Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Published by supada khunnarong, 2021-07-21 07:59:49

Description: ตำราประกอบการเรียนวิชาพื้นฐาน หมวดการศีกษาทั่วไป มรภ.เพชรบุรี

Search

Read the Text Version

235 เม่ือเกิดกำรเสียดสีหรือกระทบกระแทก) โดยหลีกเลี่ยงสภำวะที่ทำให้สำรเกิดปฏิกิริยำ เช่น น้ำ แสง ควำมร้อน ไฟฟ้ำ ฯลฯ สำรท่ีไวต่อปฏิกิริยำเมื่อสัมผัสน้ำต้องเก็บให้หำ่ งจำกอ่ำงน้ำ ฝักบัวฉุกเฉิน เป็น ต้น และตู้เก็บสำรท่ีไวต่อปฏิกิริยำต่ำง ๆ ต้องมีกำรติดป้ำยคำเตือนชัดเจน เช่น สำรไวต่อปฏิกิริยำ– หำ้ มใช้นำ้ เปน็ ตน้ 6.1.6.2 เก็บสำรที่ก่อให้เกิดเปอร์ออกไซด์ห่ำงจำกควำมร้อน แสง และแหล่งกำเนิด ประกำยไฟ 6.1.6.3 ภำชนะบรรจุสำรที่ก่อให้เกิดเปอร์ออกไซด์ต้องมีฝำปิดท่ีแน่นหนำ เพื่อ หลีกเลย่ี งกำรสัมผสั อำกำศ เนอ่ื งจำกแรงเสียดทำนขณะเปิดอำจทำใหเ้ กดิ กำรระเบิดได้ อนั ตรำยจำก สำรเคมีมีหลำยรูปแบบ ที่สำคัญได้แก่ อันตรำยจำกควำมเป็นพิษ อันตรำยจำกควำมไวไฟ และ อันตรำยจำกกำรเกิดปฏิกิริยำเคมีรุนแรงหรือกำรระเบิด นอกจำกนี้แล้วยังมีอันตรำยจำกสำรเคมีซึ่ง อำจเกิดได้เน่ืองมำจำกลักษณะกำรทำงำนกับสำรเคมี รวมท้ังอันตรำยทำงชีวภำพและอันตรำยจำก สำรกัมมันตรังสี สำรทีไ่ วตอ่ ปฏิกิรยิ ำสำมำรถแบง่ เปน็ กลุ่มได้ ดังนี้ (กองมำตรฐำนกำรวจิ ัย, 2554) (1) สำรทีไ่ วต่อปฏิกริ ิยำพอลิเมอไรเซชนั (Polymerization reactions) เช่น Styrene สำรกลุ่มน้เี ม่ือเกิดปฏกิ ิริยำพอลิเมอไรเซชันจะทำใหเ้ กดิ ควำมร้อนสูงหรือไมส่ ำมำรถ ควบคุมกำรปลดปลอ่ ยควำมร้อนออกมำได้ (2) สำรทีไ่ วต่อปฏิกิรยิ ำเมอื่ สัมผสั นำ้ (Water reactive materials) เช่น Alkali metals (Lithium, Sodium, Potassium) Silanes, Magnesium, Zinc, Aluminum รวมทั้งสำรประกอบอินทรยี ์โลหะ (organometallics) เช่น Alkylaluminiums, Alkyllithiums เปน็ ต้น สำรกลมุ่ นี้เม่ือสัมผัสกบั น้ำจะปลดปลอ่ ยควำมร้อนออกมำทำให้เกิดกำรลกุ ติด ไฟขนึ้ ในกรณที ่ตี ัวสำรเป็นสำรไวไฟหรือทำให้สำรไวไฟท่ีอยใู่ กล้เคียงลุกติดไฟ นอกจำกน้ีอำจจะทำให้ เกดิ กำรปลดปล่อยสำรไวไฟ สำรพษิ ไอของออกไซด์ของโลหะ กรด และก๊ำซที่ทำให้เกิดกำรออกซิไดซ์ ได้ดี (3) สำร Pyrophoric ส่วนใหญ่เป็น Tert–butyllithium, Diethylzinc, Triethylaluminum, สำรประกอบอินทรีย์โลหะ สำรกลุ่มน้ีเม่ือสัมผัสกับอำกำศจะทำให้เกิดกำรลุก ตดิ ไฟ (4) สำรท่ีไวต่อปฏิกิริยำเม่ือเกิดกำรเสียดสีหรือกระทบกระแทก (Shock– sensitive materials) เช่น สำรท่ีมีหมู่ไนโตร, เกลือ Azides, Fulminates, Perchlorates เป็นต้น โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงถ้ำมีส่วนประกอบของสำรอินทรีย์อยู่ด้วย เม่ือสำรกลุ่มนี้ถูกเสียดสีหรือกระทบ กระแทกจะทำใหเ้ กดิ กำรระเบดิ ได้ 6.1.7 สัญลักษณแ์ สดงอนั ตรายของสารเคมี สัญลักษณ์แสดงอันตรำยของสำรเคมีจะช่วยให้ทรำบว่ำสำรเคมีที่พบเป็นสำรอันตรำย หรือไม่ซ่ึงในระดับสำกลจะมีกำรแสดงสัญลักษณ์ตำมสถำนท่ีต่ำง ๆ เช่น ติดบนภำชนะบรรจุเพ่ือเป็น กำรแสดงให้รู้ว่ำสำรเคมีท่ีพบน้ันเป็นสำรเคมีประเภทใด เพ่ือให้ผู้พบเห็นจะได้ระวังและป้องกัน อันตรำยได้อย่ำงถูกต้อง ระบบสัญลักษณ์แสดงอันตรำยท่ีรู้จักและนิยมใช้มี 4 ระบบ ได้แก่ ระบบ UN ระบบ NFPA ระบบ EEC และระบบ GHS ซ่ึงท้งั 4 ระบบ มีรำยละเอียดดังนี้

236 ( 1 ) ร ะ บ บ UN (United Nations Committee of Experts on the Transport of Dangerous Goods) จำแนกสำรที่เป็นอันตรำยและเป็นเหตุให้ถึงแก่ควำมตำย ออกเป็น 9 ประเภท (UN-Class) ตำมลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตรำยหรือควำมเส่ียงในกำรเกิดอันตรำย ดังนี้ ประเภทท่ี 1 วัตถุระเบดิ ประเภทท่ี 2 กำ๊ ซ ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ ประเภทท่ี 4 ของแขง็ ไวไฟ ประเภทท่ี 5 วัตถอุ อกซไิ ดสแ์ ละออรแ์ กนิกเปอร์ออกไซด์ ประเภทที่ 6 วัตถมุ พี ษิ และวตั ถตุ ิดเชอ้ื ประเภทที่ 7 วัตถุกมั มนั ตรังสี ประเภทท่ี 8 วตั ถุกัดกร่อน ประเภทที่ 9 วตั ถอุ น่ื ๆ ทเ่ี ปน็ อนั ตรำย รปู ที่ 6.1 สญั ลกั ษณ์แสดงอันตรำยของสำรเคมี ตำมระบบ UN ทมี่ ำ : (http://inst-doc.blogspot.com/2010/05/chemical-hazard-labels.html.) (2) ระบบ NFPA (The National Fire Protection Association) ระบบ NFPA ของสหรฐั อเมรกิ ำ กำหนดสญั ลักษณแ์ สดงอนั ตรำยเป็นรปู เพชร (Diamond-shape) เพ่ือใช้ในกำรป้องกันและตอบโต้เหตุเพลิงไหม้ สัญลักษณ์ดังกล่ำวมีลักษณะเป็น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วำงตั้งตำมแนวเส้นทแยงมุม ภำยในแบ่งออกเป็นส่ีเหล่ียมย่อย ขนำดเท่ำกัน 4 รูป ใช้พ้ืนท่ีกำกับ 4 สี ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง และสีขำว และใช้ตัวเลข 0 ถึง 4 แสดงถึงระดับ อันตรำย โดย 0 หมำยถึง สำรนั้นไมก่ ่อให้เกิดอันตรำยและ 4 แสดงถงึ อันตรำยสูงสุด โดยแต่ละสแี สดง คณุ สมบัติตำ่ ง ๆ ของสำร ดงั น้ี

237 สีแดง แสดงอนั ตรำยจำกไฟ (Flammable) สีน้ำเงิน แสดงอนั ตรำยตอ่ สขุ ภำพ (Health) สีเหลอื ง แสดงควำมไวตอ่ ปฏกิ ริ ยิ ำของสำร (Reactivity) สขี ำว แสดงคณุ สมบัตพิ ิเศษของสำร (Special hazard) โดยมีสัญลักษณต์ ่ำง ๆ คือ W หมำยถึง สำรเคมที ่ที ำปฏิกริ ยิ ำกับนำ้ (Water reactive) Ox หมำยถงึ สำรเคมที ่ีมีฤทธ์ิเปน็ ตวั ออกซิไดซ์ (Oxidizer) Co หมำยถงึ สำรเคมที ี่มีฤทธ์ิกัดกรอ่ น (Corrosive) รูปที่ 6.2 สญั ลกั ษณ์แสดงอนั ตรำยของสำรเคมีตำมระบบ NFPA ท่ีมำ : (สุเมธำ วเิ ชยี รเพชร, 2012) (3) ระบบ EEC (The European Economic Council) ตำมข้อกำหนดของประชำคมยโุ รป ที่ 67/548/EEC สัญลักษณแ์ สดงอนั ตรำย จะแบง่ ออกตำมประเภทของอันตรำย โดยใชร้ ูปภำพสดี ำเป็นสัญลกั ษณแ์ สดงอนั ตรำยบน พน้ื ส่เี หลี่ยม จัตุรัสสีส้ม และมีอักษรย่อกำกับที่มุมขวำ ซ่ึงสัญลักษณ์เหล่ำนี้ปรำกฏอยู่ที่ฉลำกของสำรเคมีที่ใช้ใน สหภำพยโุ รป ดงั รปู ท่ี 6.3

238 รปู ท่ี 6.3 สญั ลักษณแ์ สดงอนั ตรำยของสำรเคมีตำมระบบ EEC ท่ีมำ : (http://www.thailandindustry.com) (4)ระบบ GHS (The Globally Harmonized System of Classification and Labeling of Chemicals) ระบบ GHS เป็นระบบกำรจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีและกำรติดฉลำกท่ีองค์กำร สหประชำชำติได้กำหนดขึ้น เพื่อให้เป็นระบบสำกลในกำรจำแนกหรือกำรจัดกลุ่มควำมเป็นอันตรำย และกำรสอื่ สำรควำมเป็นอันตรำยของสำรเคมใี นรปู แบบของกำรแสดงฉลำกและเอกสำรข้อมูลควำม ปลอดภัยในกำรทำงำนกับสำรเคมี (Safety Data Sheet : SDS) ท่ีเป็นระบบเดียวกันทั่วโลก สัญลักษณแ์ สดงอันตรำย (Hazard Pictogram) ตำมระบบสำกล GHS ได้กำหนดไว้ 9 รูป ดังรูปที่ 6.4

239 รูปท่ี 6.4 สญั ลกั ษณแ์ สดงอันตรำยของสำรเคมตี ำมระบบ GHS ท่มี ำ : (สถำบันวจิ ัยวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, มปป.) 6.2 สารเคมใี นชีวติ ประจาวนั สำรเคมีทมี่ ีกำรใช้ในบำ้ นเรือนมหี ลำกหลำยประเภทเพื่อตอบสนองวัตถปุ ระสงคใ์ นกำร ใช้งำนทแ่ี ตกตำ่ งกนั ออกไป ซึ่งสำรเคมีในบ้ำนท่ีมีกำรใชก้ นั อย่ำงกว้ำงขวำงมีดังต่อไปนี้ 6.2.1 สารเคมีท่ีใชท้ าความสะอาด 6.2.1.1 ผงซักฟอก ผงซักฟอกผลิตคร้ังแรกในสมัยสงครำมโลกครั้งท่ี 1 แต่ไม่ได้รับ ควำมนิยมมำกนักเน่ืองจำกมีกำรใช้สบู่กันอย่ำงแพร่หลำย ต่อมำสมัยสงครำมโลกคร้ังที่ 2 สบู่เร่ิมขำด แคลนเน่ืองจำกขำดวัตถุดิบจำพวกไขมันจึงทำให้มีกำรพัฒนำผลิตผงซักฟ อกออกมำใช้มำกขึ้นเร่ิม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 สหรัฐอเมริกำผลิตผงซักฟอกด้วย Alkyl benzene sulfonate (ABS) ซ่ึงเป็น องค์ประกอบหลักของสำรลดแรงตึงผิวประเภทย่อยสลำยทำงธรรมชำติได้ยำกทำให้เกิดปัญหำน้ำเน่ำ เสียตำมมำ ปี ค.ศ.1962 เยอรมันผลิตผงซักฟอกด้วย Linear aklyl benzene sulfonate (LAB) เปน็ องค์ประกอบหลกั ของสำรลดแรงตึงผวิ ประเภทย่อยสลำยทำงธรรมชำติไดง้ ่ำย ไมท่ ำให้เกดิ ปัญหำ น้ำเน่ำเสียตำมมำหรือเกิดน้อย สำหรับประเทศไทยได้นำเข้ำผงซักฟอกคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. 2497 โดย บริษัท หลุยส์ทีเลียวโนเวนส์ จำกัด ซึ่งตั้งชื่อยี่ห้อผงซักฟอกว่ำ แฟบ และมีกำรต้ังโรงงำนผลิต ผงซักฟอกครั้งแรกในไทยเมื่อ พ.ศ. 2500 ในนำมบริษัท คอลเกตปำล์โอลีฟ จำกัด ผงซักฟอกเป็น ผลิตภัณฑ์เคมีสังเครำะห์ที่มีประโยชน์ตอ่ ชีวติ ประจำวันในกำรชำระล้ำงส่ิงสกปรกออกจำกเส้อื ผ้ำและ เครื่องนุ่งห่ม ในผงซักฟอกมีสำรลดแรงตึงผิวและสำรลดควำมกระด้ำงของน้ำ ส่วนประกอบใน ผงซักฟอกส่งผลกระทบโดยตรงตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มโดยเฉพำะอย่ำงย่งิ ต่อแหลง่ น้ำ

240 (1) สว่ นประกอบของผงซกั ฟอก (1.1) สำรลดแรงตึงผิว (Surfactant) เปน็ สำรสำคัญของผงซักฟอก ทที่ ำหน้ำที่ลดแรงตงึ ผวิ ระหว่ำงนำ้ กบั วัสดทุ ำใหน้ ำ้ แทรกซมึ สวู่ สั ดุได้งำ่ ย (1.2) สำรลดควำมกระด้ำงของน้ำ (Builder) เป็นสำรท่ีเป็น ส่วนผสมของผงซักฟอกเพ่ือช่วยลดควำมกระด้ำงของน้ำและเพ่ิมประสิทธิภำพสำรลดแร งตึงผิวให้ทำ หนำ้ ท่ีได้ดียง่ิ ขน้ึ และชว่ ยกระจำยครำบส่ิงสกปรก ครำบไขมันให้กระจำยออกเป็นโมเลกุลขนำดเล็กจน แขวนลอยในน้ำทำให้ครำบสกปรกหลุดออกจำกวัสดุได้ง่ำย สำรในกลุ่มน้ี ได้แก่ Sodium carbonate, Sodium metasilicate, Sulfate, Tripolyphosphate (1.3) สำรเพ่ิมฟอง (Sud regulator) เป็นสำรที่ทำหน้ำท่ีเพ่ิมหรือ ลดฟอง ได้แก่ Lauric ethanolamine และ Sodium carboxy methyl cellulose เปน็ ตน้ (1.4) สำรเพิ่มประสิทธิภำพอื่น ๆ (Additives) ได้แก่ สำรช่วย ละลำย สำรเร่งกำรฟอก เอนไซม์ สำรป้องกันกำรตกตะกอน สำรเพ่ิมควำมสดใส สำรกันหมอง นำ้ หอมและสี (2) ผลกระทบจำกผงซกั ฟอก สำรอลั คลิ เบนซนี ซัลโฟเนตในผงซกั ฟอกที่เป็น สำรลดแรงตึงผิว (Surfactant) ประเภท Anionic ท่ีมีโครงสร้ำงโมเลกุลแบบกิ่งจึงทำให้จุลินทรีย์ใน น้ำไม่สำมำรถย่อยสลำยได้ตำมธรรมชำติ (Biodegradable) เม่ือผงซักฟอกน้ีถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ จะทำให้น้ำเกิดกำรเน่ำเสียและสัตว์น้ำตำย ดังน้นั กระทรวงอุตสำหกรรมจึงประกำศหำ้ มผู้ผลติ ใช้สำร ลดแรงตึงผิวประเภท ABS โดยให้เปล่ียนมำใช้สำรกลุ่มลีเนียอัลคิลเบนซินซัลโฟเนต (Linear Alkyl Benzene Sulfonate, LAB) แทน เน่ืองจำกมีโครงสร้ำงโมเลกุลแบบเส้นตรงจึงทำให้สำมำรถย่อย สลำยได้เองตำมธรรมชำติ แต่ LAB มีรำคำแพงกว่ำ ABS และห้ำมผู้ผลิตใช้สำรลดควำมกระด้ำงของ น้ำท่ีมีฟอสเฟตเป็นส่วนประกอบ เช่น โซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต (Sodium Tri Poli Phosphate, STPP) ดว้ ยเหตทุ ี่สว่ นประกอบดังกล่ำวถูกชะล้ำงลงสู่แหลง่ น้ำจะทำให้พืชน้ำ (Aquatic Plants) เชน่ สำหร่ำยและแพลงก์ตอนพืชเจริญเติบโตอย่ำงรวดเร็ว เกิดปรำกฏกำรณ์ยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication) ข้ึน Eutrophication เกิดจำกแหล่งน้ำมีปริมำณธำตุอำหำรพวกสำรประกอบ ฟอสฟอรัสและไนโตรเจนซ่ึงเป็นธำตุอำหำรท่ีจำเป็นต่อกำรเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืชและ สำหร่ำยอยู่มำก จึงทำให้มีพืชน้ำเหล่ำนี้ในแหล่งน้ำมำกข้ึนจนส่งผลให้ระบบนิเวศทำงน้ำเกิดกำร เปลี่ยนแปลง โดยปกติกำรสงั เครำะห์แสงจะเกิดข้ึนได้เฉพำะตอนกลำงวันส่วนตอนกลำงคืนสำหร่ำย และพืชสีเขียวจะใช้ออกซิเจนหำยใจและคำยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยำกำศ ในช่วงเวลำ กลำงวันจะมีปริมำณออกซิเจนละลำยน้ำสูงเกินกว่ำขีดควำมเข้มข้นสูงสุดแต่ตอนกลำงคืนระดับ ออกซิเจนก็จะลดลงอย่ำงมำกจนถึงศูนย์จึงส่งผลต่อกำรตำยของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ กำรเกิด ปรำกฏกำรณ์ Eutrophication ตำมธรรมชำติในแหล่งน้ำที่ไม่มีกำรปนเป้ือนของมลพิษจะเกิดข้ึน อย่ำงช้ำ ๆ แต่ถำ้ แหลง่ น้ำไดร้ บั กำรปนเปอ้ื นจำกสำรอินทรยี แ์ ละธำตุอำหำรจะทำให้ Eutrophication เกดิ ขึน้ อยำ่ งรวดเร็วและเป็นเหตุให้จุลินทรยี บ์ ำงชนิดเตบิ โตอย่ำงรวดเรว็ จนเกดิ ปรำกฏกำรณท์ ี่เรียกว่ำ กระแสน้ำแดง (Red tide) ในทะเลและทะเลสำบ ส่วนผลกระทบของผงซักฟอกต่อสุขภำพเกิดข้ึน จำกกำรสัมผัสเป็นเวลำนำน สำรพวก Surfactant มักมีผลส่วนใหญ่เป็น Local irritant ทำให้มี อำกำรทำง systematic ถึงแม้จะมีบ้ำงแต่พบน้อย พวก Nonionic และ Anionic surfactant

241 จัดเป็นพวก Nontoxic ถึง Mild irritant อำจจะทำให้ผู้ที่รับประทำนเข้ำไปมีอำกำรปวดแสบท้อง และอำเจียนได้ ส่วนพวก Cationic detergent จะมีฤทธ์ิระคำยเคืองมำกกว่ำ อย่ำงไรก็ตำมควำม รุนแรงท่ีเกิดกับระบบทำงเดินอำหำรน้ันโดยท่ัวไปข้ึนอยู่กับปริมำณ ควำมเข้มข้น ระดับ pH หรือ ปริมำณของอำหำรขณะรับประทำนเป็นส่วนประกอบ สำรที่มีควำมเข้มข้นไม่มำกแต่ปริมำณที่ได้รับ มำกกอ็ ำจจะก่อให้เกิดควำมรนุ แรงได้เช่นเดียวกันหำกรับประทำน Surfactant ในขณะทที่ ้องว่ำงก็จะ เกิดอันตรำยมำกกว่ำเมื่อกระเพำะมีอำหำรอยู่มำก (วินัย วนำนุกูล, มปป.) นอกจำกนี้แล้วกำรสัมผัส ผงซักฟอกยังมีต่อผิวหนังโดยไปทำให้ไขมันท่ีเคลือบผิวหนังและสำรยึดน้ำในชั้นของผิวหนังจะถูก ทำลำยไปทีละน้อย ๆ จนขำดควำมต้ำนทำน เกิดกำรอักเสบ ผิวแห้งและแตก เสียคุณสมบัติในกำร ป้องกันกำรซึมของสำรเคมีเข้ำสู่ผิว เกิดกำรระคำยเคืองได้ง่ำยแม้ถูกเพียงสบู่ ควำมร้อน หรือควำม เย็น บริเวณใดที่อักเสบก็มักจะคันจึงต้องเกำหรือถูบ่อยจนทำให้หนังบริเวณนั้นแปรสภำพหนำขึ้น หรือหำกผงซักฟอกเข้ำปำกอำจจะทำให้เกิดอำกำรคล่ืนไส้ อำเจยี น ท้องเดินได้ และถำ้ หำกมีส่วนผสม ของด่ำงอำจทำให้เกิดกำรระคำยเคืองต่อเยื่อบุทำงเดินอำหำร เยื่อบุทำงเดินอำหำรอักเสบหรือในบำง คนอำจมกี ำรแตกทะลุของหลอดอำหำรและกระเพำะ ทำให้กลำยเป็นเยื่อบชุ ่องท้องอักเสบหรือหลอด อำหำรเกิดกำรตีบตันจำกกำรอักเสบได้ สำหรับในเด็กเล็ก สำรเคมีในผลิตภัณฑ์ทำควำมสะอำดอำจ ส่งผลกระทบตอ่ สุขภำพของเด็กเล็กได้ เด็กเล็กจะได้รับอันตรำยจำกสำรเคมีง่ำยกว่ำผใู้ หญจ่ ำกหลำย ๆ ทำง ได้แก่ (1) กำรหำยใจเข้ำไป เด็กเล็กหำยใจเอำอำกำศเข้ำไปในร่ำงกำยคิดเป็นสัดส่วนต่อ นำ้ หนักตวั มำกกว่ำผใู้ หญ่ เดก็ จึงมีกำรตอบสนองต่อสำรเคมที ่ีไวกวำ่ (2) กำรสมั ผสั ทำงผิวหนัง เด็กมี พนื้ ที่ผวิ หนังประมำณสองเท่ำของผใู้ หญ่เม่ือเทียบกับน้ำหนักตวั จงึ สำมำรถดูดซึมสำรเคมีได้เปน็ อย่ำงดี (3) จำกกำรเจริญเติบโตและพฒั นำกำร เนื่องจำกระบบภมู ิคุ้มกันและระบบประสำทสว่ นกลำงของเด็ก ที่กำลงั พัฒนำและเจริญเติบโตนั้นสำมำรถกำจัดสำรเคมีท่ีเขำ้ ส่รู ่ำงกำยได้น้อยกว่ำผู้ใหญ่ทำใหส้ ำรเคมี ท่ีรับเข้ำไปสะสมในร่ำงกำยเป็นเวลำนำนขึ้น นอกจำกนี้งำนวิจัยยังพบว่ำ สำรเคมีที่ใช้ในบ้ำนมีส่วน เกี่ยวข้องกับโรคหอบหืด ภูมิแพ้ ผื่นแพ้ผิวหนังและมะเร็ง ดังน้ันจึงไม่ควรละเลยในกำรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ต่ำง ๆ ในบ้ำน และเป็นกำรดีหำกสำมำรถเลิกใช้สำรเคมีทุกชนิดในบ้ำนได้ แต่ในสภำพ แท้จริงก็ยำกท่ีจะปฏิเสธกำรใช้สำรเคมี แต่ควรใช้เท่ำท่ีจำเป็นและหลีกเลี่ยงกำรใช้สำรเคมีหำกมีสำร อน่ื ที่อันตรำยน้อยกว่ำหรอื ปลอดภยั กว่ำมำใช้ทดแทน อันตรำยจำกสำรเคมีอำจจะไม่แสดงอำกำรออกมำทันทีท่ีสัมผัส แต่หำกมีกำรสะสม เป็นระยะเวลำนำนจงึ แสดงอำกำร ในรำ่ งกำยเดก็ เล็กเบ้ืองต้นอำจจะแสดงออกดว้ ยอำกำรผืน่ แพ้ตำม ผิวหนังก็เป็นได้ซ่ึงอำกำรแพ้ทำงผิวหนังอำจไม่แสดงออกมำทันทีต้ังแต่คร้ังแรกท่ีใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ แต่เกิดขึ้นในภำยหลัง อำกำรคันในจุดท่ีสัมผัสถูกเส้ือผ้ำอำจเป็นสัญญำณที่บอกถึงอำกำรแพ้ทำง ผวิ หนงั และอำจนำไปสู่โรคผิวหนังอักเสบได้ เด็กที่มอี ำกำรผน่ื แพท้ ผ่ี ิวหนงั บอ่ ย ๆ อำจจะไม่ใชเ่ พรำะ ผิวแพ้ง่ำย แต่อำจมีสำเหตุมำจำกกำรซักผ้ำด้วยผลิตภัณฑ์ซักผ้ำท่ีทำให้เกิดอำกำรคันและแพ้สำหรับ เด็ก อำกำรแพต้ ำ่ ง ๆ อำจเกดิ จำกกำรสมั ผัสโดยตรงหรือจำกครำบน้ำยำหรือผงซักฟอกท่เี กำะติดอยู่ กบั เสือ้ ผ้ำหรือที่นอนแล้ว รำ่ งกำยตอบสนองต่อสำรเคมโี ดยผวิ หนังเกิดกำรอักเสบขึ้นซ่ึงสำรเคมีท่ีเป็น สำเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ สำรแต่งสี แต่งกล่ิน และสำรกันเสีย ท่ีมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ซักผ้ำทั่วไป (ธนำรักษ์ มงั่ มชี ยั , มปป.)

242 6.2.1.2 น้ำยำปรับผ้ำนุม่ ในนำ้ ยำปรบั ผ้ำนุม่ มีสว่ นประกอบของไขมัน น้ำมนั หรือขี้ผงึ้ จึงทำให้ผิวผ้ำเกิดควำมนุ่ม หลักกำรทำงำนของน้ำยำปรับผ้ำนุ่มคือ เมื่อสำรปรับผ้ำนุ่มละลำยน้ำจะ ให้ประจุบวก ส่วนเส้นใยผ้ำทุกชนิดในน้ำจะให้ประจุลบเสมอด้วยประจุที่ตรงข้ำมกันก็จะทำให้มีแรง ดงึ ดูดเขำ้ หำกันระหว่ำงผำ้ และสำรปรับผ้ำนุ่ม สำรปรบั ผำ้ น่มุ จึงไปยึดเกำะบนเน้ือผ้ำ ทำใหผ้ ำ้ มีควำม นุ่มลื่นและลดกำรเสียดสีระหว่ำงผ้ำกับผิวจึงทำใหเ้ รำรู้สึกถึงผิวสัมผัสที่นุ่มลื่นและสำมำรถลดกำรเกิด ไฟฟ้ำสถิตที่เกิดจำกกำรเสียดสีได้อีกด้วย นอกจำกน้ีน้ำยำปรับผ้ำนุ่มยังทำให้ผ้ำอุ้มน้ำได้น้อยลงเป็น ผลทำให้ผ้ำแห้งได้เร็วข้ึน อีกท้ังยังสำมำรถกักเก็บหัวน้ำหอมไว้บนผ้ำได้ดีทำให้ผ้ำนั้นมีกล่ินหอมติด ทนยำวนำนและยังชว่ ยลดกลิ่นอับให้นอ้ ยลงได้อีก สำหรับข้อปฏบิ ัติในกำรใชน้ ำ้ ยำปรับผำ้ นุ่มคือ ควร ใช้น้ำยำปรับผ้ำนุ่มในน้ำสุดท้ำยของกำรซักโดยไม่ใส่รวมไปพร้อมกับผงซักฟอกหรือขณะท่ีมีน้ำ ผงซักฟอกอยู่ เพรำะในสำรปรับผ้ำนมุ่ จะมสี ว่ นผสมของสำรทท่ี ำใหป้ ริมำณฟองลดลง ซงึ่ จะไปขดั ขวำง กำรทำงำนของผงซักฟอกทำให้ประสิทธภิ ำพในกำรขจัดครำบสกปรกลดน้อยลง นอกจำกนแี้ ล้วผ้ำจะ ดูดซับควำมชื้นได้น้อยลงจำกกำรเคลือบของสำรปรับผ้ำนุ่ม น้ำยำปรับผ้ำนุ่มอำจทำให้เกิดรอยครำบ บนผ้ำ มีควำมเหนียวของผ้ำลดลง ผ้ำไม่ทนไฟและมีโอกำสเกิดเชื้อรำได้ง่ำย ดังน้ันจึงมีกำรผสม สำรเคมที ี่ช่วยป้องกนั เช้อื รำลงไปด้วย รูปท่ี 6.5 กลุ่มผลิตภณั ฑซ์ ักล้ำง ทมี่ ำ : (https://www.siamchemi.com/ และ https://arsirawatmimi.wordpress.com/) เม่ือสำรปรับผ้ำนุ่มละลำยน้ำจะเข้ำดูดติดบริเวณเส้นใยผ้ำ โดยมีหน่วยโซ่ยำวของสำร ที่เป็นอนุพันธ์ของไขมันท่ีเป็นสว่ นท้ำยไม่ชอบน้ำและมีส่วนหวั ท่ีเป็นส่วนชอบน้ำ เม่ือละลำยน้ำจะให้ ประจุบวก ส่วนเส้นใยมักให้ประจุลบทำให้เกิดกำรดูดติดซึ่งกันและกันภำยใต้สภำวะควำมเป็นกรด- ดำ่ งของน้ำ สว่ นประกอบท่ัวไปของนำ้ ยำปรับผ้ำนุ่มมดี ังน้ี (1) สำรทำใหน้ ุ่มทีส่ ำมำรถกระจำยในตัวทำละลำยได้ดี (2) สำรช่วยกระจำยตัว ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเสถียรภำพ สำมำรถเก็บรักษำได้ นำน ไมม่ ีกำรเกำะตวั และกระจำยตัวในสำรละลำยไดด้ ี (3) สำรช่วยให้ดูดติดเส้นใย ทำหน้ำที่ช่วยในกำรดูดติดระหว่ำงสำรทำให้นุ่ม กบั เสน้ ใยมกี ำรดูดติดท่ีดีขน้ึ

243 (4) สำรกันบูด ทำหน้ำที่ป้องกันกำรเติบโตของเช้ือจุลินทรีย์ ช่วยป้องกันกำร บดู ของน้ำยำทำให้สำมำรถเก็บไว้ได้นำน (5) สำรป้องกันฟอง ทำหน้ำท่ีป้องกันกำรเกิดฟองของสำรทำให้นุ่มเวลำ นำมำใชง้ ำน เนื่องจำกสำรทำใหน้ ุ่มมกั มคี ณุ สมบัติทำใหเ้ กดิ ฟองไดง้ ่ำยเมื่อละลำยและมีกำรกวน (6) สำรดูดควำมชื้น ทำหน้ำที่เกำะติดกับเส้ือผ้ำช่วยในกำรดูดเก็บควำมช้ืน ใหแ้ กเ่ ส้ือผ้ำ ทำให้เสือ้ ผ้ำมีควำมชน้ื ไม่แห้งกรำ้ น (7) นำ้ หอม เปน็ ส่วนผสมเพอ่ื ทำใหเ้ สือ้ ผ้ำมกี ลิ่นหอมและน่ำใช้ (8) สี ทำหน้ำท่ีเป็นสำรใหส้ ีแก่น้ำยำปรับผ้ำนุ่ม โดยสำรสีนี้จะไม่มีผลเกำะตดิ เส้ือผำ้ หรือทำให้สเี ดมิ ของเสื้อผำ้ เปล่ียนไป 6.2.1.3 น้ำยำล้ำงจำน เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ทำควำมสะอำดภำชนะต่ำง ๆ ใน ครัวเรือน ช่วยกำจัดครำบไขมันและเศษอำหำรให้ออกได้ง่ำยขึ้น น้ำยำล้ำงจำนมีหลำยชนิด ได้แก่ น้ำยำล้ำงจำนจำกพืชผลิตจำกส่วนผสมของพืชเป็นหลัก เช่น น้ำมะกรูด น้ำมะนำว เป็นต้น มักเป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีกำรผลิตเพื่อใช้ในครัวเรือน น้ำยำล้ำงจำนจำกสำรเคมี เป็นน้ำยำล้ำงจำนที่มีส่วนผสม ของสำรเคมีเป็นหลัก เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีกำรผลิตมำกในภำคอุตสำหกรรม และน้ำยำล้ำงจำนจำก ส่ ว น ผ ส ม ข อ ง ส ำ ร เ ค มี แ ล ะ พื ช ซึ่ ง เ ป็ น ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ มี ก ำ ร ผ ลิ ต แ ล ะ ใ ช้ ม ำ ก ใ น ปั จ จุ บั น ท้ั ง ใ น ภำคอุตสำหกรรมและครัวเรอื น รปู ท่ี 6.6 นำ้ ยำลำ้ งจำน ทม่ี ำ : (https://www.siamchemi.com/) น้ำยำล้ำงจำนประกอบด้วยสำรเคมีสังเครำะห์ในกลุ่มสำรลดแรงตึงผิวที่ให้ประจุลบ เปน็ หลกั มลี ักษณะลนื่ เมอื่ ละลำยนำ้ จะมีฤทธิ์เปน็ กรดและทำให้เกิดฟองจำนวนมำก สำมำรถแทรก ซึมสู่พ้ืนผิวของภำชนะได้ดี ทำให้ครำบไขมันและเศษอำหำรหลุดออกได้ง่ำย ส่วนประกอบที่สำคัญ ไดแ้ ก่ (1) Sodium Alkyl Benzene Sulphonate หรอื Linear Alkyl Benzene Sulphonate (นำ้ ยำ N70) 12.8 – 14.4% w/w (2) Sodium Lauryl Ether Sulphate 3.5% w/w (3) Cocamidopropyl Betaine 0.5% w/w และ (4) สำรสกัดจำกพชื เชน่ มะนำวหรือมะกรดู นำ้ ยำล้ำงจำนมีประโยชน์ใน

244 กำรทำควำมสะอำดครำบไขมัน ครำบอำหำรที่เปอ้ื นภำชนะต่ำง ๆ ได้ดี แต่ถ้ำหำกมกี ำรนำน้ำยำล้ำง ภำชนะในครัวเรือนเทลงในแหล่งน้ำสำธำรณะอำจก่อให้เกิดปัญหำกับแหล่งน้ำได้ เน่ืองจำกในน้ำยำ ล้ำงจำนมีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบจึงเป็นปุ๋ยให้พืชน้ำเจริญเติบโตจนกลำยเป็นปัญหำแหล่งน้ำได้ ในกำรใช้น้ำยำล้ำงจำนควรระมัดระวังไม่ให้สัมผัสกับตำ เน่ืองด้วยสำรประกอบส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็น กรด ทำให้เกิดอำกำรระคำยเคือง แสบตำ ตำแดง ตำอักเสบได้ง่ำย เมื่อสัมผัสให้รีบล้ำงด้วยน้ำ สะอำดทันที ในกรณีคนแพ้สำรเคมีง่ำยควรมีกำรทดสอบอำกำรแพ้ก่อนใช้โดยกำรละลำยน้ำและทำ บำง ๆ บนผิวหนัง หำกเกิดอำกำรแพค้ วรหลกี เล่ียงกำรใชห้ รือใหส้ วมถงุ มอื ก่อนใช้ทกุ คร้ัง 6.2.1.4 นำ้ ยำทำควำมสะอำดห้องน้ำ น้ำยำทำควำมสะอำดหอ้ งน้ำประกอบด้วยกรด และสำรลดแรงตึงผิว โดยมีส่วนประกอบหลักได้แก่ กรดโฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid) ซึ่งเป็น กรดแก่ ไอระเหยมีฤทธิ์ระคำยเคืองระบบทำงเดินหำยใจเช่นเดียวกับก๊ำซไฮโดรเจนคลอไรด์ที่เกิดจำก กรดโฮโดรคลอริกทำปฏิกิริยำกับโลหะหรือสำรเคมีอื่นจะทำให้เกิดสำรท่ีมีฤทธ์ิระคำยเคืองต่อระบบ ทำงเดินหำยใจ ผิวหนงั ไหม้ ปวดแสบปวดร้อน และเกดิ ผื่นแดงหรืออำจเกิดแผลอักเสบได้ นอกจำกน้ี ยังทำปฏิกิริยำกับหินปูนทำให้เกิดก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ห้องน้ำที่ก่อสร้ำงขึ้นจำกปูนซีเมนต์ และมกั ปูพื้นด้วยกระเบ้ืองเมื่อสัมผัสกบั น้ำเป็นเวลำนำนก็จะทำให้เกดิ ครำบสกปรกเกิดข้ึนยำกต่อกำร ขัดทำควำมสะอำด ดังนั้นจึงใช้ผลิตภัณฑ์สำรเคมีนี้ในกำรทำควำมสะอำด น้ำยำทำควำมสะอำด ห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นกรดหำกสัมผัสต้องรีบล้ำงน้ำออกทันทีแล้วรีบพบแพทย์ หำกรับประทำนเข้ำไป โดยตรงจะทำให้เยื่อบุระบบทำงเดินอำหำรระคำยเคือง เกิดอำกำรแสบร้อน ปวดท้องอย่ำงรุนแรง คล่ืนไส้อำเจียน เยื่อบุเป็นแผลและอำจทะลุได้ ดังน้ันหำกพบกำรกลืนกินห้ำมทำให้อำเจียนแต่ให้ดื่ม นมหรือนำ้ มำก ๆ พร้อมรบี นำส่งแพทยท์ นั ที จำกงำนวิจยั เร่อื งอันตรำยจำกสำรกัดกรอ่ นในผลิตภัณฑ์ ทำควำมสะอำดครัวเรือนพบว่ำ ผลิตภัณฑ์จะทำให้เกิดสะเก็ดแผลและเน้ือตำยแบบแข็งเป็นก้อน ซ่ึง จะเกิดข้ึนเฉพำะบริเวณท่ีโดนสัมผัสถูกสำรเท่ำน้ัน ส่วนด่ำงมีฤทธ์ิทำให้เกิดเนอ้ื ตำยแบบเปื่อยยุ่ยเปน็ น้ำและลุกลำมไปยังบริเวณข้ำงเคียง อันตรำยจำกกำรกลืนกินผลิตภณั ฑ์ท่ีมีฤทธิก์ รดหรือด่ำงเข้ำไปมี อันตรำยต้ังแต่น้อยถึงขั้นเสียชีวิตขึ้นอยู่กับชนิดของสำรกัดกร่อน ปริมำณและระยะเวลำที่ได้รับสำร ส่วนอำกำรทำงคลินิกจำกกำรได้รับสำรกัดกร่อนที่สัมผสั ถูกผิวหนงั หรือดวงตำ คือ ระคำยเคือง ปวด พอง เป็นแผลและเนอ้ื ตำย หำกกลืนกินผลิตภัณฑ์เข้ำไปในปรมิ ำณมำกและไม่ได้เจือจำง จะทำให้เกดิ อำกำรปวดขึ้นทันที หลอดอำหำรบวมและไหม้ ระบบทำงเดินหำยใจติดขัด เกิดบำดแผลลึก เลือดออกภำยในและช็อค อำกำรแทรกซ้อนที่เกิดตำมมำคือ กล่องเสียงบีบรัดตัว ปอดบวม เกิด ภำวะเปน็ กรดในกระแสเลอื ด กำรอุดตนั ตำมทอ่ ทำงเดนิ อำหำรจำกกำรบวมของเนอ้ื เยื่อและไตวำย ซง่ึ อำจนำไปสู่ภำวะกำรเสียชวี ิตได้ (ปำนทิพย์ รัตนศลิ ปก์ ลั ชำญ, 2556) กำรใช้น้ำยำทำควำมสะอำดห้องน้ำจึงควรใช้ด้วยควำมระมัดระวังโดยมี วิธีกำรใชอ้ ยำ่ งปลอดภัยดงั น้ี (1) ขณะใช้ควรสวมถุงมือยำง รองเท้ำบูท แว่นตำกันสำรเคมี และสวมผ้ำปิด จมกู ทุกครง้ั เพื่อป้องกนั กำรสัมผัสโดยตรง ระวังอยำ่ ให้นำ้ ยำสมั ผัสกบั เสื้อผำ้ เพรำะจะทำใหผ้ ้ำเปื่อยยุ่ย และขำดได้ง่ำย (2) ขณะใช้ควรเปิดประตูหรือหน้ำต่ำงออกให้หมด เพ่ือให้อำกำศถ่ำยเทกล่ิน และไอระเหยออกไป

245 (3) ก่อนใช้ควรผสมน้ำเพ่ือลดควำมเข้มข้นของกรดไฮโดรคลอกริกและห้ำม ผสมนำ้ ยำลำ้ งห้องน้ำกับสำรฟอกขำวหรือสำรอนื่ ๆ ที่เป็นดำ่ งแก่ (4) ให้เก็บไว้ที่สูง หรือที่มิดชิดเพ่ือให้ห่ำงจำกมือเด็ก ไม่ควรเก็บใกล้กับแหลง่ ควำมร้อนหรือสัมผสั กับแสงแดด (5) ไมค่ วรล้ำงภำชนะบรรจุแลว้ นำไปใชบ้ รรจุน้ำสำหรับกำรอุปโภค-บรโิ ภค 6.2.1.5 สเปรย์ปรับอำกำศ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับกำจัดกลนิ่ อันไม่พึงประสงค์และทำ ให้อำกำศมีกลิ่นหอม รวมถึงฆ่ำเชื้อแบคทีเรียในอำกำศหรือผิวของวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องเรือน และ เคร่ืองนุ่งห่ม เป็นต้น สเปรย์ปรับอำกำศสำหรับกำรฆ่ำเช้ือมีผลิตในภำคอุตสำหกรรมเท่ำน้ันสำมำรถ กำจัดเช้ือแบคทีเรียเปน็ หลักทำให้เชือ้ จุลนิ ทรีย์ไม่สำมำรถเจริญเติบโตและสร้ำงกลน่ิ อันไม่พึงประสงค์ ไดแ้ ละเติมส่วนประกอบอนื่ ๆ เชน่ กลิน่ สังเครำะหเ์ พ่ือเพิ่มควำมหอมให้กบั น้ำยำ และอกี ชนดิ เป็นกำร ผลิตท้ังในภำคอุตสำหกรรมและสำมำรถทำขึ้นมำใช้เองได้โดยไม่ต้องผ่ำนกระบวนกำรอัดก๊ำซใช้ สำหรับกำรดับกล่ินและอำจมีส่วนประกอบของสำรต่อต้ำนเช้ือจุลินทรีย์และน้ำมันหอมระเหยท่ีสกัด จำกพืชหรอื สังเครำะหข์ ้นึ มำ 6.2.2 สารเคมีกาจดั แมลง 6.2.2.1 สำรเคมีกำจัดปลวก ปลวกเปน็ แมลงที่มีกำรอยู่อำศัยแบบสังคมเหมือนกับผึ้ง แตน ต่อ มด ทำให้มี จำนวนมำกในแต่ละรังและถือเป็นศัตรูสำคัญท่ีกัดกินไม้ท่ีเป็นส่วนประกอบของบ้ำน ปลวกมี 2 ชนิด คือ ปลวกดินและปลวกไม้ กำรกำจัดปลวกด้วยวธิ ีกำรใช้สำรเคมีกำจดั ปลวกจึงเปน็ ท่ีแพร่หลำย และ มีประสิทธิภำพมำกที่สุด มีกำรผลิตสำรเคมีกำจัดปลวกออกมำจำหน่ำยให้เลือกใช้กันหลำยยี่ห้อ ทั้ง ในรูปแบบของน้ำยำและผงกำจัดปลวก ซ่ึงยำเหล่ำน้ีมักจะประกอบด้วยสำรเคมีชนิดต่ำง ๆ ได้แก่ คลอร์ไพริฟอสในกลุ่มออร์กำโนฟอสเฟต ไบเฟนทรนิ ในกล่มุ ไพรีทรอยด์ ฟโิ พรนิลในกลมุ่ เพนนิลไพ รำโซล และอิมดิ ำคลอพริดในกลุ่มคลอโรนิโคตนิ ลิ รูปที่ 6.7 ปลวกและสำรเคมีกำจัดปลวก ที่มำ : (https://www.siamchemi.com/) สำรเคมีท่ีใช้ในกำรกำจัดแมลงส่วนมำกจะออกฤทธ์ิยับย้ังกำรทำงำนของ เอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส (Acetylcholinesterase) ที่ทำหน้ำท่ีช่วยในกำรสังเครำะห์สำรสื่อ

246 ประสำทของแมลงทีเ่ รียกว่ำอะซิติลโคลนี พร้อมกับออกฤทธ์ิเรง่ กำรย่อยสลำยสำรส่ือประสำทอะซิติล โคลีน มีผลทำให้แมลงไม่สำมำรถสร้ำงสำรสื่อประสำทดังกล่ำวได้ซึ่งแมลงจะแสดงอำกำรว่องไว มำกกว่ำปกติ สั่น ชัก อัมพำตและตำยในทสี่ ุด สำรเคมีกำจดั ปลวกมคี วำมเป็นพิษต่อมนุษยโ์ ดยแบ่งออกเป็น 2 ระดับคอื พษิ เฉยี บพลัน(Acute toxicity) และพษิ เร้ือรงั (Chronic toxicity) (1) พิษเฉียบพลัน คือ กำรแสดงอำกำรป่วยหลังได้รับพิษเพียงคร้ังเดียวหรือ หลำยคร้ังภำยใน 24 ช่ัวโมง หรือควำมเป็นพิษแบบเฉียบพลัน หมำยถึง ผลกระทบร้ำยแรงท่ีเกิดขึน้ ภำยหลังจำกกำรได้รับสำรเคมีทำงปำกหรือทำงผิวหนังเพียงครั้งเดียว หรือหลำยครั้งภำยในเวลำ 24 ช่วั โมง หรอื ไดร้ บั ทำงกำรหำยใจเป็นเวลำ 4 ชว่ั โมง ซึ่งจะแสดงโดยใช้ค่ำ LD50 หรอื LC50 (กฤติยำ เหมือนใจ, มปป.) อำกำรควำมเป็นพิษมำกหรือน้อยข้ึนกับชนิดของสำรพิษ ปริมำณท่ีได้รับ ระยะเวลำท่ีได้รับสำรพิษและช่องทำงกำรได้รับ เช่น โดยกำรกิน กำรสัมผัสทำงผิวหนัง กำรฉีดเข้ำ เส้นเลือด หำกได้รับพิษรุนแรงอำจทำให้ตำยได้ พิษในปริมำณสูงจะมีผลเฉียบพลันต่อระบบ ประสำท ยับย้ังกำรทำงำนของเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส ทำให้มีอำกำรทำงระบบประสำท หำยใจถี่ กล้ำมเน้อื กระตุก เกรง็ กลืนนำ้ ลำยลำบำก ตวั สนั่ หำยใจไมอ่ อกจนเสียชวี ิตในที่สดุ (2) พิษเรื้อรงั คอื กำรแสดงควำมเป็นพษิ ในลักษณะต่ำง ๆ หลังได้รับสำรพิษ เขำ้ ไปในปรมิ ำณน้อย ๆ ตดิ ตอ่ กนั เป็นเวลำมำกกว่ำ 3 เดือนข้นึ ไป จนเกิดควำมเปน็ พิษและแสดงออก เช่น กำรเกิดเป็นมะเร็ง กำรเกิดกำรผ่ำเหล่ำ (Mutagenicity) กำรเกิดลูกวิรูป (Teratogenicity) กำร เกิดผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน (Immune toxicity) เม่ือได้รับสำรพิษในปริมำณต่ำและติดต่อกันเป็น เวลำนำนจะทำให้ร่ำงกำยมีกำรเปลี่ยนแปลงระดับเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรสและเกิดควำม ผดิ ปกติของร่ำงกำย เช่น ปวดหัว พดู ลำบำก สติปญั ญำตำ่ สติเลอะเลือน เป็นตน้ 6.2.2.2 สำรเคมกี ันยงุ กำรใช้สำรเคมีกันยุงเปน็ วธิ หี น่งึ ทช่ี ่วยปกป้องให้หำ่ งไกลจำกโรคร้ำยทมี่ ียุงเป็น พำหะ เช่น ไข้เลือดออก ไข้ติดเชื้อไวรัสซิกำหรือโรคไข้ปวดข้อยุงลำย แต่อันตรำยที่แฝงมำกับสำรเคมี กำจัดยุงที่ทำให้ผู้ใช้ต้องระมัดระวังในกำรใช้เพื่อควำมปลอดภัย กำรใช้สำรเคมีกันยุงเป็นกำรปิดก้ัน หรือรบกวนระบบประสำทของยุงไม่ให้ได้กลิ่นท่ีระเหยออกจำกผิวหนังของคน สำรเคมีกันยุง ประกอบด้วยสำรที่ออกฤทธิ์ไล่ยุงหรือฆ่ำยุงซึ่งอำจจะเป็นสำรสกัดจำกธรรมชำติ สำรเคมีสังเครำะห์ หรือท้ังสองชนิด มีทั้งชนิดทำแบบครีม และฉีดพ่นตำมร่ำงกำยแบบสเปรย์ ท้ังนี้ส่วนประกอบใน สำรเคมีกันยุงจะคล้ำย ๆ กัน โดยมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ดีอีอีที (DEET) อิคำริดิน (Icaridin) หรือพิคำริดิน (Picaridin) เพอร์เมทริน (Permethrin) เอธิล บิวทิลอะเซทิลอะมิโน โปรปิโอเนท (Ethyl Butylacetylamino Propionate) น้ำมันตะไคร้หอม น้ำมันยูคำลิปตัส เลม่อน นอกจำกนี้ ยังมีกำรไล่ยุ่งแบบชนิดแผ่นจุดกันยุงหรือของเหลวท่ีใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้ำ ซ่ึงเป็นวิธีท่ีสะดวกมำกขึ้น และออกฤทธ์ิไดย้ ำวนำนกว่ำสำรกันย่งุ แบบทำหรือฉีดพ่นแต่มักมีประกอบของสำรเคมีท่ีไม่ปลอดภัยที่ อำจก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองต่อดวงตำ เกิดอำกำรแพ้หรือมีปัญหำต่อระบบทำงเดินหำยใจตำมมำได้ ดงั นนั้ กำรใชส้ ำรกันยุ่งประเภทนีจ้ ึงควรจุดในทโี่ ล่ง หำ่ งไกลจำกคน ยำกนั ยุงประเภทน้ีจะระเหยสำร ออกฤทธิ์ขับไลย่ งุ หรอื ฆ่ำยุงเมอื่ ถูกจดุ จนตดิ ไฟ 6.2.2.3 สำรเคมีในกำรกำจัดแมลงศตั รพู ืช

247 สำรเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชเป็นสำรเคมีกำรเกษตรท่ีมีจำนวนชนิดมำกท่ีสุด แบ่งออกเป็นกลมุ่ ใหญ่ ๆ ตำมชนดิ ของสำรเคมีได้ 4 ประเภท คือ (1) กลุ่มออร์กำโนฟอสเฟต สำรเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชมีหลำยชนิด เช่น สำรกำจัดแมลง สำรกำจัดเช้ือรำ สำรกำจัดวัชพืช สำรท่ีมีกำรพบเป็นพิษบ่อยท่ีสุด ได้แก่ สำรกำจัด แมลง โดยมกี ลุ่มท่ีพบบ่อย ได้แก่ สำรกล่มุ ออร์กำโนฟอสเฟตและคำร์บำเมต ซึ่งเป็นสำรท่ีมีผลให้เกิด กำรเสียชีวิตสูงกว่ำภำวะเปน็ พิษท่ัวไปในประเทศไทย สำเหตุของกำรได้รับพิษมำจำกกำรสมั ผัสขณะ ทำงำนและกำรปนเปื้อนในอำหำร เน่ืองจำกกำรใช้สำรท่ีแพร่หลำยและสำมำรถหำซ้ือได้ง่ำยรวมทงั้ เกษตรกรไม่มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจต่อสำรอย่ำงเพียงพอจึงมีกำรใช้อย่ำงไม่เหมำะสมและไม่มีกำร ป้องกันตัวเองจำกกำรใช้สำรเคมี (วินัย วนำนุกูล และสุดำ วรรณประสำท, มปป.) ออร์กำโนฟอสเฟต เป็นกลุ่มของสำรอินทรีย์จำพวกฟอสฟอรัสที่มีกำรนำไปใช้เปน็ ส่วนผสมของผลิตภณั ฑ์ต่ำง ๆ เพ่ือกำร นำไปใช้ในบ้ำนเรือนและอุตสำหกรรมซ่ึงส่วนใหญ่เป็นสำรกำจัดแมลง แต่สำรในกลุ่มน้ีได้มีกำร นำไปใช้เพ่ือวตั ถปุ ระสงคอ์ ่นื ๆ ได้แก่ ยำทใี่ ช้เก่ียวกับโรคทำงตำ ยำถ่ำยพยำธิ แก๊สพิษท่ใี ช้ในสงครำม ทอี่ อกฤทธิ์ต่อระบบประสำทส่วนกลำง ควำมเป็นพษิ ของสำรเคมีกลุ่มน้ี คอื เมือ่ มีกำรสัมผสั แลว้ จะซึมผำ่ นเข้ำทำงผิวหนัง ตัว สำรเคมีจะยับย้ังเอนไซม์โคลนี เอสเทอเรส (Cholinesterase) ซึ่งส่งผลต่อระบบประสำทเน่ืองจำกมนั สำมำรถเข้ำสู่ร่ำงกำยได้ง่ำยและส่งผลอย่ำงรวดเร็วต่อระบบประสำทจึงฆ่ำแมลงได้อย่ำงมี ประสิทธิภำพ แต่สำรประเภทน้ีไม่ถูกสะสมในไขมันและจะสลำยตัวได้ในสภำพท่ีเป็นด่ำงทำให้ไม่ สะสมในเนื้อเยื่อของคน สำรเคมีประเภทนี้จะสลำยตัวภำยใน 72 ช่ัวโมงในสิ่งแวดล้อมปกติ สำรเคมี ฆ่ำแมลงในกลุ่มนี้ท่ีพบตำมท้องตลำด ได้แก่ Chlopyrifos, Dichlovos หรือ DDVP ซ่ึงพบในสเปรย์ กำจดั ยุง แมลงสำบ ปลวก มด มอด อนั ตรำยของ Dichlorvos มีค่ำ LD50 (หน)ู 28-500 มลิ ลิกรัม/ กิโลกรัม แสดงว่ำมีพิษร้ำยแรง กำรหำยใจเข้ำไปทำให้เกิดอำกำรคลื่นไส้ อำเจียน ปวดศีรษะ เวียน ศีรษะ เจ็บหน้ำอก ตัวซีดเป็นสีเขียวเน่ืองจำกขำดออกซิเจน กล่องเสียงอักเสบ ชัก หัวใจเต้นผิดปกติ กำรสมั ผสั ทำงผิวหนงั ก่อให้เกิดควำมระคำยเคือง ถ้ำกลืนหรือกนิ เขำ้ ไปทำใหม้ ีอำกำร คลนื่ ไส้ อำเจียน มีน้ำลำยขับออกมำมำก ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ตัวซีดเป็นสีเขียวเนื่องจำกขำดออกซิเจน กล้ำมเนื้อ อ่อนล้ำ ทำงำนไม่ประสำนกัน มีเหง่ือขับออกมำมำก ท้องร่วง กำรสัมผัสถูกตำทำให้รูม่ำนตำหดตัว ปวดตำ เกิดกำรระคำยเคือง Dichlorvos สำมำรถทำให้เกิดมะเร็งในคนได้ ห้ำมทง้ิ ลงสูแ่ หลง่ น้ำหรือ พื้นดิน อันตรำยของ Chlorpyrifos มีค่ำ LD 50 (หนู) 82-270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นพิษมำกเมื่อ กินหรือหำยใจเข้ำไป ถ้ำได้รับสำรเป็นระยะเวลำนำนอำจมีผลต่อระบบประสำทส่วนกลำง ทำลำย ตับหรือไต ก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองต่อตำ น้ำตำไหล ตำบวม แดง และมองภำพไม่ชัดเจน Chlorpyrifos มีผลยับย้ังกำรทำงำนของเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส (Cholinesterase enzyme) ซ่ึง พบในเน้ือเย่ือประสำท เซลล์เม็ดเลอื ดแดง และพลำสมำ ถ้ำได้รับสำรมำกเกนิ ไปจะเกดิ อำกำรภำยใน 24 ช่ัวโมง ทำใหป้ วดศรี ษะ เวียนศรี ษะ คลนื่ ไส้ อำเจียน ทอ้ งร่วง มำ่ นตำหดตัว เหน็ ภำพไม่ชดั เจน มี น้ำมูกหรือน้ำลำย เหงื่อออกมำก ปวด ท้องเกร็ง ข้ันร้ำยแรงทำให้ชัก หำยใจลำบำก หมดสติ อำจ เสียชีวิตได้เน่ืองจำกระบบหำยใจและหัวใจล้มเหลว เป็นพิษมำกต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในน้ำ (สถำบันมะเรง็ แหง่ ชำติ, มปป., กรมควบคมุ โรค, มปป.)

248 (2) กลุ่มคำร์บำเมต (Carbamate) เป็นสำรเคมกี ำจัดแมลงที่มีไนโตรเจนเป็น ส่วนประกอบ แบง่ ออกเปน็ 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ (2.1) กลุ่ม N-N-dimethyl carbamates of phenol and hydroxy heterocyclics เชน่ Pyrolan, Isolan, Dimetilan, Pirimicarb เป็นต้น (2.2) กลุ่ม Phenylcarbamates เช่น Carbaryl, Carbofuran, Bufencarb, Dioxacarb, Landrin เปน็ ต้น (2.3) กลุ่ม Oximecarbamates เช่น Aldicarb, Methomyl, Cartab เปน็ ต้น สำรในกลุ่มนี้มีกำรออกฤทธ์ิคล้ำยคลึงกับสำรออร์กำโนฟอสเฟต แต่ควำมเป็นพิษน้อย กว่ำ อำกำรท่ีเกิดข้ึนเหมือนกับกำรได้รับสำรออร์กำโนฟอสเฟต คำร์บำเมตมีผลต่อระบบประสำท โดยออกฤทธิ์ยับยงั้ กำรทำงำนของเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส (Acetylcholinesterase ; AChE) ทำให้เกิดกำรสะสมของอะซิติลโคลีนที่ซินแนปส์ของเส้นประสำท เนื่องจำกเอนไซม์ไม่สำมำรถไป ไฮโดรไลส์อะซิติลโคลีนให้เป็นโคลีนและกรดอะซิติกได้ จึงทำให้เกิดกำรกระตุ้นปลำยประสำทเพิ่มข้นึ อย่ำงมำกซ่ึงถ้ำรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ อำกำรพิษของคำร์บำเมตมี 2 แบบคือ (1) อำกำรพิษ แบบมสั คำรินคิ (Muscarinic signs and symptoms) พบส่วนใหญท่ ีก่ ลำ้ มเน้ือเรียบ หัวใจและต่อมมี ทอ่ อำกำรท่เี กิดข้ึน คือ เบือ่ อำหำร คลืน่ ไส้ อำเจียน ทอ้ งเดนิ นำ้ ตำไหล เหง่อื ออก มำ่ นตำหดตัว กลน้ั อุจจำระและปัสสำวะไม่อยู่ กำรเกร็งของหลอดลม หลอดลมมีเมือกและเสมหะมำก เป็นต้น (2) อำกำรพิษแบบนิโคตินิค (Nicotinic signs and symptoms) เกิดเน่ืองจำกกำรสะสมของอะซิติล โคลีนที่ปลำยประสำทและที่ซินแนปส์ของระบบประสำทอัตโนมัติ อำกำรที่เกิดขึ้น คือ กล้ำมเน้ือถูก กระตุ้นมำกกว่ำปกติ มีกำรกระตุกของกล้ำมเนื้อท่ีหน้ำ หนังตำ ล้ิน ถ้ำอำกำรรุนแรงขึ้นกล้ำมเนื้อจะ กระตุกมำกขึ้นท่ัวร่ำงกำย ต่อมำจะเกิดกำรอ่อนเพลียของกล้ำมเน้ือทั่วไปและเกิดเป็นอัมพำตของ กล้ำมเน้ือในท่ีสุด ส่วนอำกำรทำงสมองได้แก่ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ งง และกระสับกระส่ำย ตื่นตกใจ ง่ำยและอำรมณ์พลุ่งพล่ำน ถ้ำอำกำรมำกอำจชักและหมดสติได้ ผู้ป่วยท่ีมีอำกำรมำกอำจตำยได้ เนื่องจำกระบบกำรหำยใจล้มเหลว (Respiratory failure) ซ่ึงอำจเกิดจำกหลอดลมตีบตัน กล้ำมเน้ือ ของระบบกำรหำยใจเป็นอัมพำต และศูนย์ควบคุมกำรหำยใจใสมองหยุดทำงำน ในรำยที่มีอำกำรไม่ รุนแรงนกั อำกำรจะดขี ้ึนใน 2-3 วัน แตจ่ ะอ่อนเพลยี ไมม่ แี รงเป็นเวลำนำน (พำลำภ สิงหเสนี, 2535) (3) กลุ่มออร์กำโนคลอรีน (Organochlorine) สำรกำจัดศัตรูพืชกลุ่มนี้เป็น สำรอนินทรีย์สังเครำะห์ที่โมเลกุลประกอบด้วยคำร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยสำรสำคัญใน กลุ่มนี้ ได้แก่ ดีดีที (DDT) ดีลดริน (Dieldrin) ออลดริน (Aldrin) ท็อกซำฟีน (Toxaphene) คลอ เดน (Chlordane) และลินเดน (Lindane) เป็นต้น สำรกลุ่มนี้ถูกดูดซึมท่ีผิวหนัง เมื่อได้รับมำก ๆจะ ทำให้ระบบประสำทสว่ นกลำงถกู ขดั ขวำง กล้ำมเนอ้ื อ่อนแรง เวียนศรี ษะ ปวดศรี ษะ ร่ำงกำยจะได้รับ สำรกลมุ่ น้โี ดยกำรกนิ และหำยใจ เมอื่ เข้ำส่รู ำ่ งกำยแล้วจะไปสะสมตำมช้ันไขมันของร่ำงกำยทำให้เกิด ควำมเปน็ พิษทั้งแบบเฉยี บพลนั และเร้ือรงั (4) กลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroid) สำรกลุ่มไพรีทรอยด์เป็นสำรสังเครำะห์ เลียนแบบโครงสร้ำงโมเลกลุ จำกสำร Pyrethrins ท่สี กดั ได้จำกดอกเบญจมำศ สำรกลุม่ นี้ที่เปน็ ท่รี ้จู ัก และใช้ ได้แก่ ไซเปอร์เมธริน (Cypermethin) เดลตำเมธริน (Deltamethrin) เฟนวำเลอเรต

249 (Fenvalerate) และเปอร์เมธริน (Permethrin) อำจพบกำรตกค้ำงของสำรกลุ่มไพรีทรอยด์ในผัก ผลไม้ท่ีใช้สำรกลุ่มน้ีกำจัดแมลง กลไกกำรออกฤทธ์ิของไพรีทรอยด์มีลักษณะเช่นเดียวกับกลุ่ม ออรก์ ำโนคลอรนี แต่ฤทธน์ิ ้อยกว่ำ มกั ใช้กำจัดแมลงในบ้ำนเรือนเพรำะออกฤทธ์ิให้เกดิ อมั พำตในแมลง อย่ำงรวดเร็ว มีพิษต่อสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมค่อนข้ำงต่ำ อำกำรเป็นพิษหลังได้รับสำรกลุ่มน้ีได้แก่ คลื่นไส้ อำเจยี น เปน็ ตะคริวทท่ี ้อง เบื่ออำหำร ออ่ นเพลยี มอี ำกำรล้ำ ปวดศีรษะ หำกรบั ประทำนใน ปริมำณสงู (200-500 มิลลิลติ ร) ทำใหเ้ กิดอำกำรโคม่ำภำยใน 20 นำทีและกลำ้ มเน้ือกระตุกไม่พร้อม กันและชกั (สถำบนั อำหำร กระทรวงอุตสำหกรรม, มปป.) จำกรำยงำนกำรสำรวจขององค์กำรอำหำรและเกษตรแห่งสหประชำชำติพบว่ำ ประเทศไทยมีกำรใชส้ ำรเคมกี ำจดั แมลงมำกเป็นอันดบั 5 ของโลกและใชส้ ำรเคมีกำจัดหญ้ำเปน็ อันดับ ท่ี 4 ของโลก และยังพบสำรเคมีตกค้ำงในผักและสำรพิษอันตรำยที่ท่ัวโลกห้ำมใช้ ซึ่งเป็นอันตรำยทงั้ กับเกษตรกรและผู้บริโภคซึ่งสำรพิษตกค้ำงท่ีพบได้แก่ คำร์โบฟูรำน (Carbofuran) เมโทมิล (Methomyl) ไดโครโตฟอส (Dicrotophos) และอีพเี อน็ (ประชำชำตธิ ุรกิจ, 2558) 6.2.3 วัตถเุ จอื ปนอาหาร ตำมประกำศกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับที่ 119 พ.ศ. 2532 เรื่องวัตถุเจือปนอำหำร ฉบับท่ี 2 ได้ให้ควำมหมำยวัตถุเจือปนอำหำร (Food additive) หมำยถึง วัตถุท่ีตำมปกติมิได้ใช้เป็น อำหำร หรอื เป็นสว่ นประกอบทีส่ ำคัญของอำหำร ไมว่ ่ำวัตถนุ ั้นจะมีคณุ ค่ำทำงโภชนำกำรหรือไม่ก็ตำม แต่ใช้เจือปนในอำหำรเพื่อประโยชน์ทำงเทคโนโลยีกำรผลิต กำรบรรจุ กำรเก็บรักษำ หรือกำรขนส่ง ซง่ึ มผี ลต่อคณุ ภำพ มำตรฐำนหรอื ลกั ษณะของอำหำรและให้หมำยควำมรวมถึงวตั ถุที่มิไดใ้ ชเ้ จือปนใน อำหำรแตใ่ ช้รวมอยู่กับอำหำรเพ่ือประโยชน์ดงั กลำ่ วข้ำงต้นด้วย วตั ถุเจือปนอำหำร คอื สำรเคมีทช่ี ว่ ย เพิม่ หรอื เสรมิ คณุ สมบัติบำงอย่ำงให้กบั อำหำรซ่ึงอำจมีทีม่ ำจำกสัตว์ พืช แร่ธำตุ รวมถึงกำรสังเครำะห์ วัตถุเจือปนอำหำรแต่ละชนิดนำมำใช้เพื่อจุดประสงค์ท่ีแตกต่ำงกันไป ไมว่ ำ่ จะเป็นกำรช่วยเพ่ิมรสชำติ ยืดอำยุอำหำร หรือคงควำมสดใหม่ของอำหำร วัตถุเจือปนอำหำรเป็นส่ิงท่ีสำมำรถพบได้ในอำหำร เช่น สีผสมอำหำร เกลือ ผงชูรส กำรใช้วัตถุเจือปนอำหำรในอุตสำหกรรมต้องได้รับกำรตรวจสอบ คุณภำพควำมปลอดภัยจำกองค์กรมำตรฐำนอำหำรระหว่ำงประเทศหรือโคเด็กซ์ ซึ่งกำรบริโภควัตถุ เจือปนอำหำรอำจส่งผลกระทบตอ่ สุขภำพได้ วัตถุเจอื ปนอำหำรทีพ่ บไดบ้ อ่ ยมดี ังน้ี 6.2.3.1 สีผสมอำหำร ตำมกฎหมำยได้กำหนดสีผสมอำหำรท่ีอนุญำตให้ใช้มี 3 ประเภท คือ สีอินทรีย์ ได้มำจำกกำรสังเครำะห์ สีอนินทรีย์ ได้มำจำกสิ่งไม่มีชีวิตในธรรมชำติ เช่น ผงถ่ำนจำกกำรเผำกำบมะพรำ้ ว เกลอื ทองแดง เป็นตน้ และสีธรรมชำตทิ ี่ไดจ้ ำกกำรสกดั พชื สตั ว์ เช่น สีเขียวจำกใบเตย สีแดงจำกคร่ังและกระเจี๊ยบ สีเหลืองจำกขม้ินและฟักทอง สีน้ำเงินจำกดอก อญั ชัน เปน็ ต้น กำรใชส้ ีเพ่อื เจือในอำหำรและเคร่ืองดมื่ มวี ัตถปุ ระสงค์เพ่อื ให้สีสันนำ่ รับประทำนมำก ขึ้น สำรเคมีท่ีอยู่ในสีอำจส่งผลต่อสุขภำพแตกต่ำงกัน ในบำงรำยอำจเป็นกำรเพ่ิมควำมเส่ียงในกำร เป็นภำวะไฮเปอร์หรืออยู่ไม่น่ิงในเด็ก กระตุ้นให้อำกำรของโรคหอบหืดรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดอำกำร แพ้ โดยจำกกำรทดลองในสัตวส์ ผี สมอำหำรบำงสอี ำจเพิ่มควำมเสี่ยงของเนื้องอกบริเวณต่อมไทรอยด์ แตจ่ ำกกำรทดลองในสัตวส์ ีผสมอำหำรยังไม่มีสว่ นในกำรก่อใหเ้ กิดโรคมะเร็ง อันตรำยจำกสีสว่ นใหญ่ มำจำกสีสังเครำะห์ซึ่งจะมีโลหะหนัก เช่น ตะก่ัว สำรหนู ปรอท เป็นต้น ปะปนอยู่จึงมีอันตรำยต่อ ร่ำงกำยหำกได้รบั สำรเหล่ำนีส้ ะสมไปเรื่อย ๆ อำกำรท่เี กดิ ต่อรำ่ งกำยเมอื่ ไดร้ ับโลหะหนกั มดี งั นี้

250 (1) ตะก่ัว ทำให้ร่ำงกำยอ่อนเพลีย เบ่ืออำหำร ปวดศีรษะ โลหิตจำง หำก สะสมมำกขน้ึ จะเป็นอมั พำตทแ่ี ขน ขำ เพ้อ ชกั กระตกุ และหมดสติ (2) ปรอท จะทำให้เกิดอำกำรคล่ืนไส้ ท้องเดิน ปวดมวนท้องรุนแรง ถ้ำ สะสมเรื้อรัง เหงอื กจะบวมแดงคล้ำ เบ่ืออำหำร อ่อนเพลีย (3) สำรหนู เปน็ พษิ ตอ่ ระบบทำงเดินอำหำร ทำให้ตับอกั เสบและหัวใจวำย (4) โครเมยี ม ถ้ำสะสมในร่ำงกำยเกนิ ขนำดจะเกิดอำกำรเวยี นศีรษะ กระหำย น้ำรุนแรง อำเจียน ปัสสำวะเป็นพิษ ไตไมท่ ำงำน หมดสติ และเสยี ชวี ติ 6.2.3.2 ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตำเมต) เป็นวัตถุเจือปนอำหำรที่มีคุณสมบัติในกำร ชว่ ยเพมิ่ รสชำติของอำหำร ผงชูรสอำจสง่ ผลเสยี ต่อรำ่ งกำย เชน่ ทำลำยสมองส่วนหน้ำ ลดวิตำมินใน ร่ำงกำย เพ่ิมควำมเสี่ยงในกำรเป็นโรคมะเร็ง ลดภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นให้อำกำรของโรคบำงโรค รุนแรงขึ้น นอกจำกน้ีในกลุ่มผู้ท่ีมีควำมไวต่อผงชูรสอำจมีอำกำรปวดศีรษะ เหงื่อออก รู้สึกชำตำม ใบหน้ำและกระหำยน้ำเม่ือรับประทำนในปริมำณมำก ผงชูรสพบได้ในขนมขบเค้ียว อำหำรสำเรจ็ รูป และอำหำรแชแ่ ข็ง รปู ท่ี 6.8 ผงชรู สหรือโมโนโซเดยี มกลูตำเมต ทม่ี ำ : (https://www.pobpad.com) นอกจำกน้ีผลกำรศึกษำวิจัยยังพบว่ำ กลูตำเมตสำมำรถทำให้เกิดควำมเป็น พิษต่อร่ำงกำยได้โดยเฉพำะโรคเกิดจำกควำมเสื่อมของระบบประสำท ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) โรคพำร์กินสัน (Parkinson’disease) และโรคที่มีกำรฝ่อหลำยระบบของ สมอง (Multiple system atrophy) เด็กทำรกที่ได้รับผงชูรสมำกเกินไปจะทำให้เด็กมีควำมจำไม่ดี เรยี นรชู้ ำ้ และอำรมณแ์ ปรปรวน (เอมอร ชัยประทปี , 2558) 6.2.3.3 ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป น้ำตำลซูโครส (น้ำตำลทรำย) เมื่อเข้ำสู่ร่ำงกำยจะ เปลี่ยนเป็นกลูโคสออกมำในร่ำงกำยไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เป็นพลังงำนใช้เล้ียงสมอง หำกน้ำตำล ตำ่ หรือกลู โคสตำ่ จะเกดิ อำกำรวิงเวียนศรี ษะ ต่ำงกบั ฟรกั โทสเม่ือเข้ำไปยงั กระแสเลือดส่วนหนึ่งจะพุ่ง

251 ตรงเข้ำสู่ตับและนำไปสู่ภำวะไขมันพอกตับโดยไม่ต้องอำศัยกลไกอินซูลินในกำรส่งผ่ำนสู่เซลล์ตับ องค์กำรอนำมยั โลกใหค้ ่ำบรโิ ภคนำ้ ตำลของร่ำงกำยที่เหมำะสมคือ 6 ชอ้ นชำ หรอื 24 กรมั ตอ่ วนั กำร บริโภคน้ำตำลฟรักโทสเกิน 6 ช้อนชำอยู่เป็นประจำ ฟรักโทสจะเปลย่ี นเป็นไตรกลีเซอไรด์ คือ ไขมัน ที่สะสมอยู่ในเลือดเป็นสำเหตุให้มีกำรสะสมไขมันในตับและบริเวณพุงก่อให้เกิดโรคอ้วนลงพุงในท่ีสุด นอกจำกนี้ฟรักโทสยังมีผลต่อกำรด้ืออินซูลินทำให้ตัวเซลล์ที่จะดึงน้ำตำลกลูโคสเข้ำไปใช้ไม่สำมำรถ ทำงำนได้เพรำะฉะน้ันน้ำตำลก็จะอยู่ในเส้นเลือดเกินจนเกิดภำวะเป็นเบำหวำน (เนตรนภิส วัฒนสุ ชำติ, 2563) ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัปเป็นสำรให้ควำมหวำนท่ีผลิตมำจำกข้ำวโพด มัน สำปะหลังพบมำกในน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชำนมไข่มุก สำรชนิดนี้ให้ควำมหวำนมำกกว่ำสำรให้ควำม หวำนชนิดอื่น ๆ และมีรำคำถูกกว่ำ กำรบริโภคไฮฟรักโทสคอร์นไซรัปปริมำณมำกเป็นเวลำนำนอำจ ส่งผลให้ระบบกำรเผำผลำญทำงำนได้นอ้ ยลง เพ่ิมควำมเสี่ยงในกำรเป็นโรคอ้วน โรคเบำหวำน โรค หลอดเลือดหัวใจตีบและโรคควำมดันโลหิต โดยปกติเมื่อเวลำเรำหิว น้ำตำลในกระแสเลือดจะตกทำ ให้สมองส่ังว่ำต้องกินอำหำรเพ่ือเพ่ิมน้ำตำลในเลือดและเมื่อน้ำตำลในเลือดเพิ่มข้ึนจนปกติแล้วจึงส่ง สัญญำณไปท่ีสมองว่ำอิ่มแล้ว ฮอร์โมนกระตุ้นหิวจะหยุดหลั่งและกินน้อยลง แต่กลไกของฟรักโทส ไม่ได้เกิดกำรย่อยในลำไส้ปกติแต่ว่ำร่ำงกำยนำไปเก็บไว้ท่ีตับ น้ำตำลในกระแสเลือดจึงขึ้นช้ำมำก เรำ จึงกนิ อำหำรเข้ำไปได้มำกขน้ึ เร่อื ย ๆ โดยไมร่ ้สู ึกอ่มิ 6.2.3.4 แอสปำร์เทม (Aspartame) เปน็ สำรใหค้ วำมหวำนแทนน้ำตำล ใหค้ วำมหวำน ประมำณ 160-220 เท่ำของน้ำตำลทรำย ได้รับอนุญำตจำกองค์กำรอำหำรและยำของสหรัฐอเมริกำ (United States Food and Drug Administration : FDA) ให้ใช้เป็นสำรให้ควำมหวำนทั่วไปได้ แอสปำร์เทมจะใหพ้ ลงั งำนเทำ่ กับนำ้ ตำลทรำยคือ 4 กิโลแคลอร่ีตอ่ กรมั แตแ่ อสปำร์เทมมคี วำมหวำน มำกจึงใช้ในปริมำณเพียงเล็กน้อยก็สำมำรถให้ควำมหวำนเทียบกับน้ำตำลทรำยได้และให้แคลอร่ีนอ้ ย กว่ำมำก แอสปำร์เทมไม่ทนควำมร้อนและมีรสขมเมื่อใชใ้ นปริมำณมำก ไม่คงตัวเม่ืออยู่ในของเหลว จึงไม่สำมำรถนำไปใช้ในเครื่องดื่มหรืออำหำรที่ต้องมีกำรหุงต้ม อบ เมื่อรับประทำนเข้ำไปในร่ำงกำย แอสปำร์เทมสำมำรถถูกย่อยได้กรดแอสปำร์ติค (Aspartic acid)ฟีนิลอะลำนีน (Phenylalanine) และเมธำนอล (Methanol) ดังน้ันจึงไม่ควรให้แอสปำร์เทมกับผู้ป่ว ยฟีนิลคีโต นูเ รีย (Phenylketonuria) เน่ืองจำกผู้ป่วยมีปัญหำขำดเอนไซม์ฟีนิลอะลำนีน ไฮดร็อกซีเลส (Phenylalanine hydroxylase) มำแต่กำเนิดซงึ่ จะทำให้มีกำรสะสมของสำรฟนี ิลอะลำนีนได้ อำกำร ที่เกิดขึ้น เช่น สภำพจิตไม่ปกติ อำกำรชัก กำรเกิดเม็ดสีผิวลดลง กล้ำมเน้ือตึงตัวมำกกว่ำปกติ กำร เคล่ือนไหวมำกกว่ำปกติ คล่ืนสมองผิดปกติ กำรเจริญเติบโตช้ำลง มีกำรรำยงำนว่ำแอสปำร์เทมเป็น สำรก่อมะเร็งหลำยชนิดในสัตว์ทดลองเมื่อให้ในขนำดที่ใกล้เคียงกับขนำดที่ยอมรับว่ำใช้ได้อย่ ำง ปลอดภยั ในคน (Acceptable Daily Intake : ADI) เทำ่ กบั 50 มลิ ลิกรมั ตอ่ นำ้ หนักตวั 1 กโิ ลกรัมต่อ วัน ในสหรัฐอเมริกำและในสหภำพยุโรป และเท่ำกับ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวันใน ผปู้ ่วยฟนี ลิ คโี ตนเู รีย) (วมิ ล ศรีสขุ , มปป.) 6.2.3.5 กรดเบนโซอกิ (Benzoic acid, C6H5COOH) กรดเบนโซอกิ และเกลือเบนโซ เอตเป็นวัตถุกันเสียท่ีมีกำรใชมำนำน กรดเบนโซอิกนี้สำมำรถพบไดต้ ำมธรรมชำติ เชน ลูกพรุน แค รนเบอรี่ อบเชย และกำนพลู กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอตที่มีกำรจำหน่ำยในตลำดจะพบอยู่

252 ในรูปผงผลึกหรือเป็นเกล็ดสีขำว มีน้ำหนักโมเลกุล 121.11 มีจุดหลอมเหลว 122 องศำเซลเซียส และจุดเดือด 249 องศำเซลเซียส ในรูปของกรดละลำยน้ำได้น้อยมำกแต่จะละลำยได้ดีข้ึนใน แอลกอฮอล์ อีเทอร คลอโรฟอรม และนำ้ มัน ประสิทธภิ ำพของกรดเบนโซอิกและเกลอื เบนโซเอตจะ สูงท่ีสุดท่ีชวงควำมเป็นกรด-ด่ำง 2.5-4.0 เหมำะกับอำหำรประเภทเครื่องด่ืมชนิดต่ำง ๆ เช่น น้ำหวำน นำ้ ผลไม้ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เปน็ สว่ นประกอบ แยม ผกั และผลไม้ดอง เป็นต้น กรด เบนโซอกิ และเกลือเบนโซเอตมีประสิทธิภำพยับย้ังกำรเจริญเตบิ โตของจลุ ินทรียได้ โดยเบนโซเอตจะ ไปทำใหกระบวนกำรแทรกซึมของอำหำรเขำไปในเซลลของจุลินทรียผิดปกติไป ในขณะเดียวกันจะ ยับยั้งกำรสร้ำงเอนไซมบำงชนิดและปฏิกิริยำกำรทำงำนของเอนไซม์ท่ีมีควำมสำคัญ ตอกำรดำรงชีพ ของจุลินทรียทำใหจุลินทรียไม่สำมำรถเจริญเติบโตตอไปได้ จำกกำรศึกษำพบว่ำควำมเป็นพิษของ กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอตจัดอยู่ในประเภทพิษปำนกลำง ถ้ำได้รับปริมำณน้อยจะไม่เกิดกำร สะสมข้ึนในร่ำงกำยเน่ืองจำกร่ำงกำยมีกลไกในกำรขจัดควำมเป็นพิษของกรดเบนโซอิกและเกลือเบน โซเอต โดยกรดเบนโซอิกท่ีบริโภคเขำไปจะถูก Conjugated ท่ีตับเป็นส่วนใหญ่และจะไปรวมกับโค เอนไซมเอ (Coenzyme A) เกิดเป็นเบนโซอิลโคเอนไซมเอ (Bensoyl coenzyme A) โดยมีเอนไซม ซินทีเทส (Synthetase) เปนตัวเรง จำกนั้นเบนโซอิลโคเอนไซมเอจะรวมกับกลัยซีน (Glycine) เกิด เปนกรดฮิพพิวริก (Hippuric acid) โดยมีเอนไซมเอซิลทรำนเฟอรเรส (Acyltransferase) เป็น ตัวเร่งและถูกขับถำยออกทำงปสสำวะ โดยท่ัวไปกำรขับถำยกรดฮิพพิวริกทำงปสสำวะในคนจะมี ประมำณ 1.0-2.5 กรัมตอวนั ซง่ึ จะเทำกับกรดเบนโซอิกทีบ่ ริโภคเขำไป 0.7-1.7 กรมั แตถ่ ้ำไดร้ ับใน ปริมำณสูงมำกอำจทำให้เกิดอำกำรคล่ืนไส อำเจียน ปวดทอง ทองเสีย อำกำรเลือดตกใน อัมพำต ทำใหประสิทธิภำพกำรทำงำนของตับและไตลดลงหรืออำจสง่ ผลถึงขั้นพิกำรได้ และถำได้รับเกิน 500 มิลลิกรัม ตอน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม อำจเสียชีวิตได้ (วีรยำ กำรพำนิช, มปป.) นอกจำกนี้ยังมีงำนวิจัย เรอื่ งกำรประเมินควำมเสยี่ งของกรดเบนโซอกิ และกรดซอรบ์ คิ ในอำหำรตอ่ คนไทยของสวุ รรณี ธีรภำพ ธรรมกุลและคณะ (2559) ที่พบกรดเบนโซอิกในอำหำรร้อยละ 89.9 ปริมำณเฉลี่ยเท่ำกับ 36.8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ที่ระดับ 97.5 percentile เท่ำกับ 131.1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เมื่อนำมำ คำนวณร่วมกับข้อมูลปริมำณกำรบรโิ ภคเฉลย่ี 15.06 กรมั ตอ่ คนต่อวัน พบวำ่ คนไทยไดร้ ับสัมผัสกรด เบนโซอิกจำกอำหำรที่บริโภคประจำวันเป็นปริมำณเฉล่ียเท่ำกับ 55.4 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน คิดเป็น ร้อยละ 20.5 ของค่ำ Acceptable Daily Intake (ADI) และที่ระดับกำรบริโภค 97.5 Percentile ได้รับเท่ำกับ 93.3 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 34.5 ของค่ำ Acceptable Daily Intake (ADI) ซึ่งอธิบำยลกั ษณะควำมเสี่ยงในภำพรวมไดว้ ำ่ คนไทยยงั คงปลอดภัยจำกปรมิ ำณกรดเบนโซอิก ที่ได้รับจำกกำรบริโภคอำหำรเนื่องจำกปริมำณกำรได้รับสัมผัสต่ำกว่ำ ADI ท่ี Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additive (JECFA) กำหนด (สวุ รรณีและคณะ ธรี ภำพธรรมกลุ และ คณะ, 2559) 6.2.3.6 ไนเตรต-ไนไตรต์ (Nitrate-Nitrite) เป็นสำรกันเสียที่อยู่ในรูปแบบของเกลอื ช่วยป้องกันกำรเกิดปฏิกิริยำออกซิเดชั่นท่ีเป็นสำเหตุทำให้อำหำรบูดเน่ำและยับยั้งกำรเจริญเติบโต ของจลุ ินทรีย์จำพวกคลอสตริเดียมบอทูลินัม่ (Clostridium botulinum) และ คลอสตริเดียมเปอร์ฟ รินเจน (Clostridium perfringens) ทเี่ ป็นจลุ ินทรยี ์สรำ้ งสำรพษิ รุนแรงถึงข้นั เสียชีวิตได้ สำรไนเตรต- ไนไตรต์ทำให้เน้ือสัตว์มีสีแดงอมชมพูในผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม

253 กุนเชียง เน้ือเค็ม เป็นต้น สีแดงอมชมพูเกิดจำกกำรรวมตัวของไนไตรต์กับเม็ดสีในเลือดเป็นไนโตร โซฮีโมโครม (Nitrosohemochrome) ซ่งึ เมือ่ ถกู ควำมร้อนจะเปล่ียนเปน็ สำรสแี ดงอมชมพูทีค่ งตัวทำ ให้เน้ือมีสีสดน่ำรับประทำนจึงนิยมใช้เป็นวัตถุเจือปนในอำหำร เมื่ออุตสำหกรรมกำรผลิตอำหำรมี กำรพัฒนำและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในกำรผลติ และแปรรูปผลติ ภัณฑ์อำหำรจึงมีกำรใชส้ ำรเคมีช่วยยืด อำยุกำรเก็บรักษำสภำพอำหำรให้ไว้ได้นำน สำรไนเตรต-ไนไตรต์ที่นิยมใช้มี 4 รูปแบบ คือ โพแทสเซยี มไนเตรตหรือดินประสวิ (KNO3) โซเดียมไนเตรต (NaNO3) โพแทสเซียมไนไตรต์ (KNO2) และโซเดียมไนไตรต์ (NaNO2) ประกำศกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับท่ี 281 (พ.ศ. 2547) ได้กำหนดปริมำณที่อนุญำต ให้ใช้โซเดียมไนไตรต์และโซเดียมไนเตรตในอำหำรได้ไม่เกิน 125 และ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตำมลำดับ กรณีท่ีใช้ทั้งโซเดียมไนไตรต์และโซเดียมไนเตรตให้มีปริมำณรวมกันได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กำรรับสำรไนเตรต-ไนไตรต์มำกเกินไปจะเป็นอันตรำยต่อสุขภำพได้ แบคทีเรียในกระเพำะอำหำรและลำไส้สำมำรถเปล่ียนสำรไนเตรตให้เป็นไนไตรต์ ทำให้ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นสำรในเม็ดเลือดแดงผิดปกติ (Methemoglobin) ไม่สำมำรถนำพำออกซิเจนไปใช้ได้ ทำให้ เซลล์ขำดออกซิเจน เกิดอำกำรอ่อนเพลีย คลื่นไส้ หำยใจไม่ออก ตัวเขียว หัวใจเต้นเร็ว เป็นลมและ หมดสติในท่ีสุด อำกำรน้ีเป็นอันตรำยมำกหำกเกิดในเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภำวะซีดหรือมีปัญหำโรค เลือด กำรได้รับสำรไนเตรต-ไนไตรต์ปริมำณน้อยแต่เป็นระยะเวลำนำนจะเกิดพิษเร้ือรัง มีควำมเส่ียง ต่อกำรเป็นมะเร็งโดยสำรไนไตรต์จะทำปฏิกิริยำกับสำรประกอบเอมีนในอำหำรในสภำวะกรดใน กระเพำะอำหำรจะเกดิ เป็นสำรไนโตรซำมนี ซ่งึ เป็นสำรก่อมะเร็งท่ีอวยั วะต่ำง ๆ เชน่ ตบั อ่อน ทำงเดิน หำยใจ กระเพำะปัสสำวะ ตบั ไต กระเพำะอำหำร (พรรณพสิ ุทธ์ิ สนั ตภิ รำดร, มปป.) 6.2.3.7 กรดไขมันทรำนส์ (Trans fats, Trans-unsaturated fatty acids, Ttrans fatty acids) พบน้อยในธรรมชำติแต่จะเกิดขึ้นหลังจำกที่นำน้ำมันพืชไปผ่ำนกระบวนกำรเติม ไฮโดรเจนหรือปฏิกิรยิ ำไฮโดรจิเนชนั (Hydrogenation) เพื่อทำให้กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเปล่ยี นเป็น กรดไขมันชนิดอิ่มตัวมำกข้ึน ทำให้น้ำมันสำมำรถเก็บรักษำไว้ได้นำนข้ึน ไม่เหม็นหืนและไม่เป็นไขได้ ง่ำยและทนควำมร้อนได้สูงข้ึน นอกจำกน้ีแล้วยังทำให้ผลิตภัณฑ์ เช่น มำกำรีน เนยขำว ครีมเทียม เปล่ียนเป็นของเหลวกึ่งแข็งท่ีอุณหภูมิห้อง และยังพบไขมันทรำนส์ในอำหำรประเภทต่ำง ๆ เช่น ขนมเบเกอรีต่ ำ่ ง ๆ กรดไขมนั ทรำนส์ยังเกดิ จำกกำรใชค้ วำมร้อนในกำรปรุงอำหำร เช่น กำรทอด กำร อบ เป็นต้น ไขมันทรำนส์ทำให้เกิดควำมเสี่ยงต่อกำรเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) ซ่ึงเป็นสำเหตุกำรตำยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยรองจำกโรคมะเร็ง (ณัฏฐินี อนันตโชค, มปป.) กำรบริโภคไขมันทรำนส์จะเพ่ิมระดับคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) ไขมันไม่ดี หรือคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (low-density lipoprotein cholesterol ; LDL-C) และไตรกลี เซอไรด์ (Triglycerides) ในเลือด ลดระดับไขมันดีหรือคอเลสเตอรอลชนิดเอชดแี อล (High-density lipoprotein cholesterol ; HDL-C) ประเทศไทยโดยประกำศกระทรวงสำธำรณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เร่ืองกำหนดอำหำรที่ห้ำมผลิต นำเข้ำ หรือจำหน่ำย อำศัยอำนำจตำมควำมในมำตรำ 5 วรรคหนึ่ง และมำตรำ 6 (8) แห่งพระรำชบัญญัติอำหำร พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวง สำธำรณสุขออกประกำศไว้ว่ำใหน้ ้ำมันที่ผ่ำนกระบวนกำรเตมิ ไฮโดรเจนบำงสว่ นและอำหำรที่มีน้ำมัน ที่ผ่ำนกระบวนกำรเติมไฮโดรเจนบำงส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอำหำรท่ีห้ำมผลิต น้ำเข้ำ หรือ

254 จำหน่ำย โดยให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันท่ีประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำ ประกำศ ณ วนั ท่ี 13 มถิ ุนำยน พ.ศ. 2561 6.2.3.8 น้ำปลำ หมำยถึง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวซ่ึงได้จำกกำรหมักปลำกับเกลือ หรือกำกปลำท่ีเหลือจำกกำรหมักครั้งแรก ทั้งน้ำเกลือตำมกรรมวิธีทำน้ำปลำ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงน้ำบูดู กำรผลิตจำหน่ำยไม่จำเป็นต้องขออนุญำตผลิตจำกกระทรวงสำธำรณสุขดังเช่นอำหำรควบคุมอื่น ๆ แต่ผู้ผลิตจำหน่ำยจะต้องจัดจำหน่ำยน้ำปลำที่มีคุณภำพตำมมำตรฐำน และปิดฉลำกตำมท่ีกำหนดไว้ ในประกำศของกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับที่ 16 ลงวันที่ 13 มกรำคม 2516 น้ำปลำส่วนมำกทำจำก ปลำน้ำเคม็ เป็นส่วนใหญป่ ระมำณร้อยละ 92-96 ของน้ำปลำทีผ่ ลิตในประเทศไทย น้ำปลำช้นั ดีมักทำ จำกปลำกะตกั หรอื ใช้ปลำหลำยชนดิ คละกันสว่ นปลำนำ้ จดื นั้นสว่ นใหญใ่ ชป้ ลำสร้อย (1) ส่วนประกอบของน้ำปลำ ในน้ำปลำมีส่วนประกอบดังน้ี (ค้วน ขำวหนู, (มปป.) (1.1) เกลือแกง (NaCl) ในน้ำปลำมีเกลือแกงค่อนข้ำงสูง คือ ประมำณ 270-300 กรัม ใน 1 ลิตร เนื่องจำกกรรมวิธีเตรียมน้ำปลำต้องใช้เกลือหมักกับปลำ ใน น้ำปลำอย่ำงเลวจะมีโปรตีนที่สลำยตัวจำกเน้ือปลำน้อย จึงต้องเพ่ิมเกลือให้มำกข้ึนเพื่อให้มีควำม ถ่วงจำเพำะ 1.2 ตำมที่กำหนดไว้ ด้วยเหตุน้ีน้ำปลำอย่ำงเลวจะมีเกลือแกงสูง 301-310 กรัม ต่อลิตร น้ำปลำชนดิ น้ีจึงมรี สเคม็ กว่ำนำ้ ปลำอย่ำงดี (1.2) ไนโตรเจน ตำมประกำศของกระทรวงสำธำรณสุข น้ำปลำที่ ได้มำตรฐำนจะต้องมีไนโตรเจนทั้งหมดไม่น้อยกว่ำ 4 กรัม ต่อ 1 ลิตร จำกกำรวิเครำะห์ของกรม วทิ ยำศำสตร์ ในน้ำปลำ 120 ตวั อย่ำงพบว่ำ น้ำปลำอยำ่ งเลวสว่ นมำกมีไนโตรเจนต่ำกว่ำ 10 กรัม ตอ่ 1 ลิตร ในขณะท่ีน้ำปลำอย่ำงปำนกลำงมีไนไตรเจนทั้งหมด 10-20 กรัม ต่อ 1 ลิตร และน้ำปลำอย่ำง ดี มไี นโตรเจนทงั้ หมดตง้ั แต่ 20 กรัม ต่อ 1 ลิตรขึ้นไป (1.3) อะมิโนแอซิดไนโตรเจน (Amino acids Nitrogen) กำร หำอะมิโนแอซิดไนโตรเจน เป็นกำรหำว่ำโปรตีนจำกปลำมีกำรสลำยตัวไปถึงขั้นใด น้ำปลำอย่ำงดีที่มี กำรเจือปนหรือปรุงแต่งน้อยที่สุด จะมีอะมิโนแอซิดไนโตรเจนระหว่ำงร้อยละ 50-60 ของไนโตรเจน ทั้งหมด ในนำ้ ปลำอยำ่ งเลวอำจมกี รดนเี้ พยี งรอ้ ยละ 20-40 เท่ำนนั้ (1.4) กรดอะมิโน (Amino acids) เป็นกรดชนิดหน่ึงซึ่งร่ำงกำย จำเป็นต้องใชใ้ นเมตำโบลิสมของรำ่ งกำย จำกกำรวิเครำะห์นำ้ ปลำในท้องตลำด พบว่ำ มีกรดอะมิโนที่ จำเป็นสำหรับร่ำงกำยและร่ำงกำยไม่สำมำรถสังเครำะห์ได้ครบท้ัง 8 ชนิด คือ ทริฟโตแฟน (Tryptophane) ทรีโอนีน (Threonine) ลิวซีน (Leucine) ไอโซลิวซีน (isoleucine) ไลซีน (Lysin) เมธิโอนีน (Metheonine) เฟนนิลอะลำนีน (phenylalanine) และ วำลีน (valine) กรดอะมิโนทั้ง 8 นี้ ร่ำงกำยไม่สำมำรถสังเครำะห์ขึ้นมำได้ ต้องได้รับจำกอำหำรเท่ำน้ัน นอกจำกนี้ในน้ำปลำยังมี กรดอะมิโนอีก 9 ชนิด คือ ทัยโรซีน (Tyrosine) อะลำนีน (Alanin) แอสพำติค (Aspartic) กลูตำมิค (Glutamic) กลัยซีน (Glycine) โปรลีน (Proline) เซรีน (serine) อำจินีน (Arginine) และ ฮีสติดีน (Histidine) สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตก็จำเปน็ ต้องใชอ้ ำจินีน และฮีสติดีนเช่นกัน จะเห็นได้ว่ำใน นำ้ ปลำมีกรดอะมิโนท่มี ีประโยชน์ต่อร่ำงกำยอยู่หลำยอย่ำง

255 (1.5) วติ ะมนิ (vitamin) ในนำ้ ปลำมีวิตะมนิ อยู่หลำยอยำ่ งที่จำเป็น ต่อร่ำงกำย เช่น วิตะมินบี 1 ซึ่งพบว่ำมีอยู่เพียงเล็กน้อย วิตะมินบี 2 มี 0.08-0.40 มิลลิกรัม ต่อ 100 cm3 ไนอำซีน มี 1.3-11.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 cm3 วิตะมินบี12 0.20-3.22 ไมโครกรัมในน้ำปลำ 100 cm3 ปริมำณวิตะมินบี12 ที่มีอยู่นขี้ ึ้นกับรำคำของน้ำปลำ นำ้ ปลำทม่ี รี ำคำแพงจะมีวิตะมินบี 12 สงู กวำ่ ชนิดรำคำถูก โดยปรกตคิ นไทยรับประทำนนำ้ ปลำเฉล่ียวันละ 15 cm3 ฉะนนั้ จะไดร้ บั วติ ะมินบี 12 จำกน้ำปลำวันละ 0.1-0.4 ไมโครกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับร่ำงกำยต้องกำรวิตะมิน บี 12 เพียงวัน ละ 1-2 ไมโครกรมั นับว่ำคนไทยไดร้ ับวติ ะมนิ บี 12 จำกน้ำปลำเป็นจำนวนมำก (1.6) สำรอ่ืน ๆ จำนวนน้อย ในน้ำปลำมีธำตุท่ีจำเป็นสำหรับ ร่ำงกำยอีกหลำยอย่ำง แมจ้ ะมจี ำนวนน้อย เชน่ เหลก็ ฟอสฟอรสั แมกนเี ซยี ม แมงกำนีส และไอโอดีน ธำตุเหลำ่ นอี้ ำจไดจ้ ำกเน้อื ปลำหรือจำกเกลอื ทใี่ ชก้ ็เป็นได้ (2) คุณภำพมำตรฐำนและกำรแสดงฉลำกของน้ำปลำ ตำมประกำศของกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับท่ี 16 ลงวันที่ 13 มกรำคม 2516 ได้กำหนดคุณภำพมำตรฐำนและกำรแสดงฉลำกของน้ำปลำสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้ำเพื่อ จำหน่ำย จะต้องผลิตหรือนำสั่งเข้ำมำซึ่งน้ำปลำให้ได้มำตรฐำนและกำรแสดงฉลำกของน้ำปลำ ดงั ต่อไปนี้ (2.1) ต้องมี สี กล่ิน และรสของน้ำปลำ ซ่ึงหมำยถึง สี กลิ่น รส ตำมปกตขิ องนำ้ ปลำ ไม่ควรมีกลนิ่ รสขม หรอื รสหวำนผดิ ปกติ (2.2) ต้องมีเกลือแกง ไม่น้อยกว่ำ 230 กรัม ต่อ 1 ลิตร (หรือไม่ น้อยกวำ่ ร้อยละ 23) (2.3) ต้องมีควำมถว่ งจำเพำะไม่น้อยกวำ่ 1.2 (2.4) ต้องมีไนโตรเจนท้ังหมด (Total Nitrogen) ไม่น้อยกว่ำ 4 กรัมต่อ 1 ลติ ร (2.5) ต้องมีกรดอะมิโนไนโตรเจน (Amino Acid Nitrogen) ไม่ น้อยกวำ่ รอ้ ยละ 40 และไมเ่ กินรอ้ ยละ 60 ของไนโตรเจนทัง้ หมด (Total Nitrogen) (2.6) ต้องใส ไม่มีตะกอน เว้นแตต่ ะกอนที่เกดิ ขึน้ ตำมธรรมชำติ (2.7) หำกมีวัตถุอื่นผสมด้วย ต้องเป็นชนิดและมีปริมำณท่ีไม่เป็น อนั ตรำยตอ่ สขุ ภำพ (2.8) กำรแต่งสขี องนำ้ ปลำ ตอ้ งใชน้ ้ำตำลเคี่ยวไหมเ้ ทำ่ นั้น (2.9) น้ำปลำต้องบรรจุในภำชนะที่สะอำดและทนต่อกำรกัดกรอ่ น และกำรละลำย (2.10) ต้องมีฉลำก บนฉลำกอย่ำงน้อยต้องมีข้อควำมต่อไปน้ีเป็น ภำษำไทย อ่ำนได้ชัดเจนคือคำว่ำ “นำ้ ปลำ” ช่อื และท่อี ยูข่ องผ้ผู ลิต ปริมำตรหรอื ขนำดบรรจุ มีหนว่ ย เปน็ เมตรกิ พรอ้ มท้งั วัตถสุ ว่ นผสมอ่ืน ๆ (3) นำ้ ปลำปลอมและโทษของน้ำปลำปลอม น้ำปลำที่มีคุณภำพไม่ได้มำตรฐำนตำมประกำศของกระทรวงสำธำรณสุข เช่น มีควำมถ่วงจำเพำะต่ำกว่ำมำตรฐำน มีกรดอะมิโนไนโตรเจนไม่เป็นไปตำมมำตรฐำนท่ีกำหนด

256 ไว้ในฉลำก ไมม่ ีสถำนทีต่ ้ังสถำนท่ผี ลติ ไมแ่ จง้ ปริมำณสทุ ธิ หรือไมแ่ จง้ ว่ำใช้ขณั ฑสกรเปน็ วตั ถใุ หค้ วำม หวำนแทนนำ้ ตำล กำรผลติ น้ำปลำที่ไม่ได้มำตรฐำนเป็นกำรลดต้นทนุ ของผผู้ ลิตนำ้ ปลำโดยมกี ำรใส่สิ่ง ปลอมปนอ่ืน ๆ ลงไปแทน เช่น กำรใชน้ ้ำเกลือผสมสี กล่ิน รส สำรบอแรกซ์ หรือใสว่ ัตถุกันเสยี ท่ีไม่ได้ รับอนุญำต ซึ่งเม่ือรับประทำนเป็นประจำเป็นเวลำนำน สำรพิษท่ีเจือปนในน้ำปลำสะสมอยู่ใน ร่ำงกำยก่อให้เกิดโทษแก่ร่ำงกำยได้ เช่น พิษจำกโลหะหนักที่เจือปนอยู่ในสีสังเครำะห์ อันตรำยจำก บอแรกซ์ และกำรใช้บีเอ็กซ์ (เป็นกำกผงชูรสหรือผลพลอยได้ที่เหลือจำกกำรผลิตผงชูรสเป็นวตั ถุทม่ี ี ลกั ษณะเป็นของเหลว) ผสมน้ำและเกลอื ทำให้น้ำปลำชนดิ นี้มีคณุ คำ่ ทำงโภชนำกำรตำ่ 6.2.3.9 น้ำส้มสำยชู (Vinegar) น้ำส้มสำยชูเป็นเครื่องปรุงรสที่ใช้ปรุงรสอำหำร เป็น สำรประกอบเคมีอินทรีย์ เรียกว่ำ กรดน้ำส้มหรือกรดอะซิติก (Acetic acid) และถูกกำหนดคุณภำพ หรือมำตรฐำนตำมประกำศกระทรวงสำธำรณสขุ (ฉบบั ที่ 204) พ.ศ. 2543 น้ำส้มสำยชูมี 3 ชนดิ ดงั นี้ (1) น้ำส้มสำยชูหมัก ได้จำกกำรหมักน้ำตำลหรือผลไม้ท่ีมีน้ำตำลและข้ำว เหนียว หมักด้วยยีสต์ให้เป็นแอลกอฮอล์แล้วจึงหมักต่อกับเชื้อน้ำส้มสำยชูตำมกรรมวิธีธรรมชำติ ซึ่ง จะเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นกรดอะซิติกหรือกรดน้ำส้ม (Acetic acid) น้ำส้มสำยชูที่ได้จะมีสีเหลือง อ่อนไปจนถึงสีน้ำตำล มีกลิ่นหอมปนกล่ินเฉพำะของกรดน้ำส้ม ซึ่งน้ำส้มชนิดน้ีไม่ค่อยมีจำหน่ำยใน ท้องตลำดเน่ืองจำกกรรมวิธีในกำรผลิตไมส่ ะดวกและเก็บไวไ้ ด้ไม่นำน (2) น้ำส้มสำยชูกลั่น ได้มำจำกกำรนำแอลกอฮอล์ที่ได้จำกกำรหมักมำกล่ัน เสียก่อนแล้วจึงนำไปหมักกับเช้ือน้ำส้มสำยชูทีหลัง จะได้น้ำส้มสำยชูท่ีไม่มีสีอำจแต่งเติมให้เป็นสี เหลืองอ่อนด้วยน้ำตำลเค่ียวไหม้ น้ำส้มสำยชูกล่ันจะมีกลิ่นกรดอ่อนๆ มีควำมบริสุทธ์ิสูงกว่ำ น้ำส้มสำยชูหมักและเป็นที่นิยมในหม่ผู ู้บรโิ ภค (3) น้ำส้มสำยชูเทียม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำรนำเอำกรดน้ำส้ม (Acetic acid) ซ่ึงสังเครำะห์ขึ้นทำงเคมีเป็นกรดอินทรีย์มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนมีควำมเข้มข้นประมำณ 95% มำ เจือจำงให้มีคุณภำพหรือมำตรฐำนตำมกฎหมำยกำหนดคือ ให้มีควำมเข้มข้นของกรด 4–7 % น้ำส้มสำยชูชนิดน้ีมีลักษณะใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนของกรดน้ำส้ม น้ำส้มสำยชูชนิดน้ีมีรำคำถูกและไม่ อนญุ ำตให้เตมิ แต่งสี ส่วนน้ำส้มสำยชูปลอมทำมำจำกกรดน้ำส้มชนิดเข้มข้น (Glacial acetic acid) ซ่ึงปกติจะใช้ในอุตสำหกรรมฟอกหนัง ส่ิงพิมพ์ สิ่งทอ มำเจือน้ำ น้ำส้มดังกล่ำวแม้ว่ำจะเป็น กรดน้ำส้มแต่ไม่มีควำมบริสุทธิ์เพียงพอท่ีจะนำมำบริโภคได้และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในกำรใช้เป็น อำหำรเพรำะมีโลหะหนักหรือวัตถุอ่ืนเจือปน น้ำส้มสำยชูปลอมมีรำคำถูกมำกเมื่อเปรียบเทียบกับ น้ำส้มสำยชูท่ีเป็นอำหำร กำรรับประทำนกรดน้ำส้มในปริมำณสูงเกินไปจะเกิดอันตรำยต่อผู้บริโภค ทำให้เกิดอำกำรท้องร่วงอย่ำงรุนแรงเนื่องจำกผนังลำไส้ไม่ดูดซึมอำหำร นอกจำกนี้ยังมีกำรนำเอำ กรดแร่อิสระบำงอย่ำง เช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริก ซึ่งเป็นกรดแก่มำเจือจำงด้วยน้ำมำก ๆ เป็นอันตรำยอย่ำงยิ่งเพรำะกรดกำมะถันเป็นกรดกัดกร่อนรุนแรงมำกจะทำให้เกิดอันตรำยต่อระบบ ทำงเดินอำหำรและตับ นำ้ ส้มสำยชชู นิดน้จี ึงไม่ปลอดภัยสำหรบั กำรนำมำบริโภค 6.2.4 เคร่อื งสาอาง 6.2.4.1 ควำมหมำยเคร่ืองสำอำง

257 ตำมพระรำชบัญญัติเคร่ืองสำอำง พ.ศ. 2558 มำตรำ 4 เครื่องสำอำง หมำยควำมวำ่ (1) วัตถุที่มุ่งหมำยสำหรับใช้ทำ ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำ ด้วยวิธีอ่ืนใดกับส่วนภำยนอกของร่ำงกำยมนุษย์ และให้หมำยควำมรวมถึงกำรใช้กับฟันและเยื่อบุใน ช่องปำกโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือควำมสะอำด ควำมสวยงำมหรือเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรำกฏ หรือ ระงับกล่ินกำย หรือปกป้องดูแลส่วนต่ำง ๆ นั้น ให้อยู่ในสภำพดี และรวมตลอดท้ังเคร่ืองประทินต่ำง ๆ สำหรบั ผิวด้วย แต่ไมร่ วมถงึ เครอื่ งประดับและเครือ่ งแต่งตวั ซึง่ เป็นอปุ กรณภ์ ำยนอกรำ่ งกำย (2) วัตถุท่ีมุ่งหมำยสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในกำรผลิตเครื่องสำอำงโดยเฉพำะ หรอื (3) วัตถอุ น่ื ท่กี ำหนดโดยกฎกระทรวงให้เปน็ เครือ่ งสำอำง 6.2.5.2 ประเภทของเครื่องสำอำง เครอื่ งสำอำงตำมพระรำชบญั ญัติเครือ่ งสำอำง พ.ศ. 2535 มี 3 ประเภทดงั นี้ (1) เคร่ืองสำอำงควบคุมพิเศษ หมำยถึง เคร่ืองสำท่ีอำจเป็นอันตรำยรุนแรงต อผู้ใช หรือมีสวนประกอบของวัตถุมีพิษหรือวัตถุอ่ืนท่ีอำจกอใหเกิดอันตรำยรุนแรงตอสวัสดิภำพ อนำมัยของบุคคล ดังน้ันผู้ผลิตและผู้นำเขำจะตองขอขึ้นทะเบียนตำรับจนกระทั่งได้รับใบสำคัญกำร ขึ้นทะเบียน เครื่องสำอำงควบคุมพิเศษ และชำระคำธรรมเนียมรำยป จึงจะทำกำรผลิตหรือนำเข ำเครอ่ื งสำอำง ควบคุมพิเศษได้ (2) เคร่ืองสำอำงควบคุม หมำยถึง เครื่องสำอำงท่ีอำจเป็นอันตรำยตอสวัสดิ ภำพอนำมัยของบุคคลได้ แต่มีควำมรุนแรงนอยกวำเครอ่ื งสำอำงควบคุมพิเศษ ซึ่งผู้ผลิตและผู้นำเข้ำ จะตองแจงรำยละเอียดของเคร่ืองสำอำงควบคุมและชำระคำธรรมเนียมรำยป จึงจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้ นำเข้ำเคร่ืองสำอำงควบคุมได้ ได้มีกำรออกประกำศกระทรวงสำธำรณสุขกำหนดประเภท เครอื่ งสำอำงท่ีเปน็ เคร่ืองสำอำงควบคุมไว 4 ประเภท ได้แก่ ผ้ำอนำมัย ผำ้ เยน็ หรือกระดำษเยน็ แป้ง ฝนุ่ โรยตัวและแปง้ น้ำ และประกำศสำรควบคมุ 2 กลุม คอื สำรปองกนั แสงแดด และสำรขจัดรังแค (3) เครื่องสำอำงท่ัวไป หมำยถึง เครื่องสำอำงอื่นที่นอกเหนือจำก เครื่องสำอำงควบคุมพิเศษ และเคร่ืองสำอำงควบคุม เชน สบู แชมพู ครีมนวดผม โลช่ัน น้ำหอม เคร่ืองสำอำงสำหรับตกแต่งใบหนำ ซึ่งตรวจสอบได้จำกสูตรสวนผสมวำต้องไม่มีสำรควบคุมพิเศษ สำรควบคุม หรือเปน็ ประเภทเครอื่ งสำอำงควบคุม 6.2.4.3 ตวั อย่ำงเครอ่ื งสำอำง (1) ยำสีฟัน ยำสีฟันอยู่ในประเภทเครื่องสำอำงกลุ่มควบคุมพิเศษ มีสำร ควบคมุ พิเศษคอื Chlorates of the alkali metals และ Salts and derivatives of fluoride (2) ครีมกันแดด ครีมกันแดดจัดอยูใ่ นกล่มุ เครื่องสำอำงควบคมุ มีสำรควบคุม เชน่ Benzyl salicylate, Ethyl diethylaminobenzoate, Ethyl p-dimethyl-amino benzoate, p-Aminobenzoic acid ฯลฯ เป็นต้น ครีมกนั แดดเป็นผลิตภัณฑ์ทำผวิ ทม่ี ีสว่ นผสมของสำรกันแดด (Sunscreen agent) เพื่อใช้ป้องกันอันตรำยจำกรังสีอัลตรำไวโอเลต และรังสีที่ตำมองเห็น (Visible Light) เพรำะได้พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่ำแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญต่อกำรเกิดมะเร็งผิวหนังทั้งชนิด Nonmelanoma และ Melanoma โดยเฉพำะชำวตะวันตกท่ีพบกำรเป็นมะเร็งผิวหนังเพ่ิมมำกขึ้น

258 และมคี วำมเสย่ี งมำกกว่ำคนเอเชยี เนือ่ งจำกคนผิวขำวจะมีปรมิ ำณเมลำนนิ ที่ชน้ั ผิวหนังน้อยทำให้รังสี แพร่เข้ำไปในชั้นผิวหนังและถูกดูดซับไว้มำกจึงเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังมำกกว่ำคนเอเชียท่ีมีปริ มำณเม ลำนินสูงกว่ำจึงช่วยกระจำยและสะท้อนรังสีได้มำกกว่ำ จึงมีควำมเส่ียงต่อมะเร็งผิวหนังน้อยกว่ำ วิธีกำรป้องกันมะเร็งผิวหนังท่ีดีคือ ห้ำมถูกแสงแดดเป็นระยะเวลำนำนและกำรใช้ครีมกันแดดทำผิวก็ เป็นกำรช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ อีกท้ังยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลำย หรือเกิดควำมหมองคล้ำ หรือริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย กำรเลือกใช้ครีมกันแดดจะพิจำรณำจำกประสิทธิภำพของครีมกันแดดซึ่ง จะถูกระบุในค่ำท่ีช่ือว่ำ Sun Protecting Factor (SPF) ซ่ึงค่ำนี้หมำยถึง ควำมสำมำรถของครีมกัน แดดท่ีทำแล้ว (2 มิลลิกรัม/ตำรำงเซนติเมตรผิวหนัง) ทำให้ผิวสำมำรถทนต่อแสงแดดได้นำนในอัตรำ เท่ำใดเม่ือเทียบกับผิวท่ัวไปที่ไม่ได้ทำครีมกันแดด โดยควำมสำมำรถของผิวหนังที่ทนต่อแสงแดดได้ นั้น หมำยถึง ระยะเวลำหลังกำรสัมผัสแสงแดดแล้วทำให้ผิวหนังเกิดอำกำรแดงน้อยที่สุด ซ่ึงค่ำ SPF เป็นค่ำท่ีเพ่ิมข้ึนในอัตรำส่วนเท่ำตัวของค่ำกำรทนแสงแดดได้ในผิวหนังท่ีไม่ได้ทำครีมกันแดด เช่น SPF 20 หมำยถึง ครีมกันแดดมีประสิทธิภำพกำรกันแดดได้นำน 20 เท่ำ เม่ือเทียบกับผิวธรรมดำท่ี ไม่ได้ทำครีมกันแดด โดยทั่วไป ผิวหนังของคนเรำสำมำรถทนต่อแสงแดดได้นำนประมำณ 15 นำที ก่อนจะเกิดอำกำรไหม้แดง ดังนั้น ครีมกันแดดท่ีมีค่ำ SPF 20 จะสำมำรถทนต่อแสงแดดได้นำน ประมำณ 20 เท่ำ ของ 15 นำที หรอื ประมำณ 300 นำที (5 ช่ัวโมง) (เสำวลักษณ์ ปกี กลำง และอนงค์ นำถ พรมพินจิ , มปป.) รูปท่ี 6.9 ผลิตภณั ฑ์ครีมกันแดด ท่ีมำ : (https://www.siamchemi.com/) (3) แป้งฝนุ่ โรยตวั จดั อยใู่ นกลมุ่ เคร่ืองสำอำงควบคุม ทัลค์หรือทัลคัม(Talc หรือ Talcum powder) เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัวที่พบได้ในแร่ธำตุตำม ธรรมชำติแบ่งออกเป็น 2 เกรด ได้แก่ เกรดที่ใช้ในอุตสำหกรรมและเกรดท่ีใช้ในยำ อำหำร และ เครื่องสำอำงโดยต้องใช้ทัลค์ที่มีควำมบริสุทธิ์สูง เป็นไปตำมมำตรฐำนควำมปลอดภัยอย่ำงเคร่งครัด และต้องไม่มีกำรปนเป้ือนของแร่ใยหิน (Asbestos) ซ่ึงประกำศกระทรวงสำธำรณสุขกำหนดห้ำมใช้ เป็นสว่ นผสมในกำรผลติ เครื่องสำอำง (4) สบู่ จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอำงท่ัวไป หมำยถึง ผลิตภัณฑ์สบู่ท่ีทำให้เป็น ก้อนหรือเป็นของเหลวพร้อมด้วยส่วนผสมต่ำง ๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมำะสำหรับกำรใช้ทำควำม

259 สะอำด สบู่ในสมกำรเคมีจะหมำยถึง สำรตั้งต้นสำหรับกำรผลิตสบู่คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จำก ปฏิกิริยำระหว่ำงด่ำงเข้มข้นกับไขมันพืชหรือสัตว์กับกลีเซอรีน (Glycerine)/กลีเซอรอล (Glycerol) ซึง่ สำรท้งั สองเป็นสำรตงั้ ตน้ ในกำรทำสบเู่ หมอื นกนั แตจ่ ะให้ผลิตภัณฑ์ทแ่ี ตกต่ำงกนั ดงั นี้ ไขมนั (พชื /สตั ว์)+โซเดยี มไฮดรอกไซด/์ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ = เกล็ดสบู่+กลีเซอรนี / กลเี ซอรอล + แอลกอฮอล์ + น้ำ สบู่แบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ สบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว ซ่ึงแต่ละชนดิ มคี วำมแตกตำ่ งกันดงั ตอ่ ไปน้ี (2.1) สบู่ก้อนขุ่น เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่เรำคุ้นเคยและใช้กันมำนำน จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขำวขุ่นหรืออำจมีสีตำมสำรเติมแต่ง มีสำรตั้งต้นในกำรผลิต คอื เกล็ดสบู่ ให้คณุ สมบัติสบเู่ ป็นกอ้ นแข็ง ขำวข่นุ และมีฟองมำก (2.2) สบูก่ ้อนใส เป็นผลติ ภณั ฑส์ บู่ท่ีมลี ักษณะก้อนใสหรือค่อนข้ำง ใสตำมสัดสว่ นของกลีเซอรีนที่ผสม ก้อนสบู่จะมีลักษณะอ่อนกวำ่ สบู่ก้อนขุ่นและสำมำรถเติมสำรให้สี ฟองสบูค่ อ่ นขำ้ งนอ้ ยกวำ่ สบ่กู อ้ นขุ่นเนื่องจำกมสี ว่ นผสมของกลเี ซอรีนเปน็ ส่วนใหญ่ (3.3) สบู่เหลว เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ท่ีมีน้ำเป็นส่วนผสมทำให้เน้ือสบู่ เหลว มีสีสันต่ำง ๆ ตำมสำรเติมแต่ง สบู่ชนิดน้ีใช้สำรต้ังต้นจำกเกล็ดสบู่เช่นเดียวกับสบู่ก้อนขุ่น แต่ ตำ่ งกนั ที่จะใช้ด่ำงเข้มข้นโพแทสเซยี มไฮดรอกไซดแ์ ทนโซเดียมไฮดรอกไซด์เพรำะจะให้เนื้อสบู่อ่อนตัว ดีกวำ่ รูปที่ 6.10 ผลิตภัณฑส์ บ่กู ้อนชนิดขุน่ และสบเู่ หลว ท่ีมำ : (https://www.siamchemi.com/,https://www.tlcthai.com/horo/horo- character/26062.html.) 6.2.5 ยา ควำมเจ็บป่วยของมนุษย์สำมำรถบรรเทำหรือรักษำให้หำยได้โดยกำรใช้ยำซ่ึงมีกำร ค้นพบตวั ยำสำคัญท้ังยำแผนปจั จุบนั และยำแผนโบรำณ ท่ชี ่วยในกำรป้องกัน รักษำโรคให้หำยได้ แต่ อย่ำงไรก็ตำมกำรใช้ยำอย่ำงถูกวิธีและถูกต้องจะช่วยรักษำโรคและมีควำมปลอดภัยต่อสุขภำพ ซึ่ง จะต้องมีกำรศึกษำเพ่อื ให้มีควำมรู้เกย่ี วกบั ยำและกำรใชป้ ระโยชนซ์ ึ่งมขี ้อควรรู้ดังต่อไปน้ี

260 6.2.5.1 ควำมหมำยของยำ ยำ คือ สำรหรือสำรเคมีท่ีออกฤทธ์ิต่อร่ำงกำย ทำให้มีผลในกำรเป็นปัจจัย หน่ึงในส่ีของปัจจัยสำคัญในกำรดำรงชีวิต ยำช่วยวินิจฉัยโรค ยำช่วยป้องกันโรค ช่วยรักษำควำม เจ็บป่วย บำบัด บรรเทำ รักษำ และกำจัดโรคภัยให้หมดไป แต่ถึงอย่ำงไรยำคงเป็นสำรเคมีท่ีต้องใช้ ด้วยควำมระมัดระวังเพรำะยำมีทั้งคุณและโทษ กำรใช้ยำจึงต้องมีควำมรู้และใช้ตำมควำมจำเป็นและ อยู่ในควำมดแู ลของแพทย์และเภสัชกรเทำ่ น้ัน ตำมพระรำชบัญญตั ยิ ำ พ.ศ. 2510 ยำ หมำยควำมวำ (1) วัตถุทีร่ ับรองไวในตำรำยำทร่ี ฐั มนตรีประกำศ (2) วัตถทุ ่ีมุ่งหมำยสำหรับใชในกำรวนิ ิจฉัย บำบัด บรรเทำ รักษำหรือปองกัน โรค หรอื ควำมเจ็บป่วยของมนุษยห์ รือสัตว (3) วัตถุที่เปน็ เภสัชเคมีภัณฑ์หรือเภสชั เคมภี ณั ฑก์ ึ่งสำเร็จรปู หรอื (4) วัตถุท่ีมุ่งหมำยสำหรับใหเกิดผลตอสขุ ภำพ โครงสร้ำงหรอื กำรกระทำหน ำทใี่ ด ๆของร่ำงกำยมนษุ ย์หรอื สัตว วัตถตุ ำม (1) (2) หรอื (4) ไมห่ มำยควำมรวมถึง (ก) วัตถุที่มุ่งหมำยสำหรับใช้ในกำรเกษตร หรือกำรอุตสำหกรรมตำมท่ี รฐั มนตรปี ระกำศ (ข) วัตถุที่มุ่งหมำยสำหรับใชเป็นอำหำรสำหรับมนุษย์ เคร่ืองกีฬำ เครื่องมือ เคร่ืองใชในกำรสงเสริมสุขภำพ เครือ่ งสำอำง หรือเครือ่ งมอื และสวนประกอบของเครอื่ งมือทใ่ี ชในกำร ประกอบโรคศลิ ปะหรอื วิชำชพี เวชกรรม (ค) วัตถุท่ีมุ่งหมำยสำหรับใช ในหองวิทยำศำสตร์สำหรับกำรวิจัย กำร วเิ ครำะหห์ รือกำรชนั สตู ร โรคซ่ึงมไิ ดก้ ระทำโดยตรงตอร่ำงกำยของมนุษย์ 6.2.5.2 ประเภทของยำ พระรำชบัญญัติยำ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2530 กำหนดประเภทยำไว้ 9 ประเภท ได้แก่ (1) ยำแผนปัจจุบัน หมำยควำมวำ ยำท่ีมุ่งหมำยสำหรับใชในกำรประกอบ วชิ ำชพี เวชกรรม กำรประกอบโรคศลิ ปะแผนปจจุบนั หรือกำรบำบดั โรคสตั ว (2) ยำแผนโบรำณ หมำยควำมวำ ยำท่ีมุ่งหมำยสำหรับใชในกำรประกอบโรค ศิลปะแผนโบรำณ หรือกำรบำบัดโรคสัตว ซึ่งอยู่ในตำรำยำแผนโบรำณท่ีรัฐมนตรีประกำศหรือยำที่ รฐั มนตรีประกำศเปน็ ยำแผนโบรำณหรือยำทไ่ี ดร้ ับอนญุ ำตใหขึ้นทะเบียนตำรบั ยำเป็นยำแผนโบรำณ (3) ยำสำมัญประจำบ้ำน หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณที่ รัฐมนตรปี ระกำศเปน็ ยำสำมญั ประจำบ้ำน (4) ยำอันตรำย หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณท่ีรัฐมนตรี ประกำศเปน็ ยำอนั ตรำย (5) ยำควบคุมพิเศษ หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณที่ รฐั มนตรปี ระกำศเปน็ ยำควบคุมพิเศษ (6) ยำบรรจุเสร็จ หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณท่ีได้ผลิต ข้ึนเสร็จในรูปต่ำง ๆ ทำงเภสัชกรรม ซ่ึงบรรจุในภำชนะหรือหีบห อท่ีปิดหรือผนึกไวและมีฉลำก

261 ครบถ้วนตำมพระรำชบัญญัตินี้ (นิยำมคำน้ี แกไขโดยพระรำชบัญญัติยำ (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2530 (รก. 2530/748/1 พ.)) (7) ยำสมุนไพร หมำยควำมวำ ยำท่ีได้จำกพฤกษชำติ สัตว หรือแร ซึ่งมิได้ ผสม ปรุง หรอื แปรสภำพ (8) ยำใช้ภำยนอก หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณที่มุ่ง หมำยสำหรับใชภำยนอกท้ังน้ีไม่รวมถึงยำใชเฉพำะที่ (นิยำมคำนี้แกไขโดยพระรำชบัญญัติยำ (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2530 (รก.2530/748/1 พ.)) (9) ยำเฉพำะที่ หมำยควำมวำ ยำแผนปจจุบันหรือยำแผนโบรำณที่มุ่งหมำย ใชเฉพำะท่ีกับ หู ตำ จมูก ปำก ทวำรหนัก ช องคลอด หรือทอปสสำวะ (นิยำมคำนี้แกไขโดย พระรำชบญั ญัติยำ (ฉบบั ท่ี 5) พ.ศ. 2530 (รก.2530/748/1 พ.)) 6.2.5.3 รปู แบบของยำ บุษบำ จินดำวิจกั ษณ์ (มปป.) ได้อธิบำยรปู แบบยำวำ่ ยำมหี ลำยรปู แบบ ไดแ้ ก่ ยำเม็ดเคลือบ ยำแคปซูล ยำผง น้ำใส ยำน้ำแขวนตะกอน ยำน้ำแขวนละออง ยำครีม ยำข้ีผึ้ง ยำ ปรำศจำกเชื้อ ยำเหน็บ เป็นต้น ยำเหล่ำนี้มีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ ตัวยำสำคัญ และตัวยำไม่สำคัญ ตัวยำสำคัญจะเป็นส่วนประกอบท่ีมีฤทธิใ์ นกำรรักษำ ส่วนใหญ่ตัวยำสำคัญจะถูกปลดปล่อยออกจำก รูปแบบยำทั้งหมดในครำวเดียวทันที (Prompt release) เมื่อยำถูกนำไปใช้ แต่ปัจจุบันมีกำร ออกแบบยำให้ตวั ยำสำคัญค่อย ๆ ถูกปลดปลอ่ ยออกจำกรูปแบบยำอยำ่ งช้ำ ๆ (Sustained release) หรือเลื่อนเวลำท่ีตัวยำสำคัญจะถูกปลดปล่อยออกจำกรูปแบบยำ (Delayed release) เม่ือยำถูก นำไปใช้ รูปแบบยำท่ีแตกต่ำงกันน้ีจะช่วยให้สะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ป่วยในกำรใช้ยำ แต่ถ้ำใช้ไม่ ถูกต้อง เช่น บดหรือเค้ียวก่อนกลืนอำจจะเป็นโทษได้ รูปแบบยำเหล่ำนี้หำกนำมำจัดกลุ่มตำมวิธีใช้ จะแบ่งได้เปน็ ยำรับประทำน ยำอม ยำทำผิวหนัง ยำหยอดตำ ยำลำ้ งตำ ยำป้ำยตำ ยำหยอดหู ยำหยด จมูก ยำพ่นจมูก ยำสูดพ่นเข้ำทำงปำก ยำสอด/ยำสวนทวำรหนัก ยำสอดช่องคลอด ยำแผ่นแปะ ผิวหนังและยำฉีด ยำรูปแบบต่ำง ๆ เหล่ำน้ีมีจุดประสงค์กำรใช้และวิธีใช้ต่ำง ๆ กันไป เช่น ยำทำ ผิวหนังใช้ท่ีผิวหนังเพ่ือรักษำปัญหำเฉพำะท่ีผิวหนังเท่ำนั้น ยำหยอดตำก็ใช้รักษำโรคตำเท่ำน้ัน ไม่ ต้องกำรให้ยำไปรักษำโรคที่เกิดกับอวัยวะอื่นในร่ำงกำย แต่ถ้ำมีปัญหำติดเชื้อในกระแสเลือดก็ จำเป็นต้องได้รับยำรับประทำนหรือยำฉีดเพื่อให้ยำเข้ำไปจัดกำรกับเช้ือโรคได้ (บุษบำ จินดำวิจักษณ์, มปป.) 6.2.5.4 กำรใช้ยำอยำ่ งถกู ต้อง ยำเป็นปัจจยั สำคัญในกำรรกั ษำโรค อำกำรเจบ็ ปว่ ย กำรใช้ยำในประเทศไทย มีมูลค่ำหลำยหมื่นล้ำนบำทในแต่ละปีและมีแนวโน้มเพิ่มมำกขึ้น มีหลักฐำนที่แสดงให้เห็นว่ำกำรใช้ ยำท่ีเพิ่มข้ึนมำจำกกำรใช้ยำที่ไม่ถูกต้องสมเหตุผลและเป็นปัญหำของประเทศต่ำง ๆ โดยเฉพำะ ประเทศกำลังพัฒนำที่มีงบประมำณและจำนวนทรัพยำกรจำกัด กำรหำมำตรกำรท่ีจะช่วยทำให้เกิด กำรใช้ยำอย่ำงถูกต้องสมเหตุผลจึงเป็นกำรช่วยผู้เจ็บป่วยและทำให้เกิดกำรใช้จ่ำยงบประมำณมี ประสิทธิภำพสูงสุด กำรใช้ยำอย่ำงไม่สมเหตุผลอำจมีหลำยองค์ประกอบ ได้แก่ กำรใช้ยำโดยไม่ จำเป็น กำรใช้ยำจำนวนมำก กำรใช้ยำที่ไม่มีประสิทธภิ ำพ กำรใช้ยำขนำดไม่เหมำะสม ระยะเวลำไม่

262 เหมำะสม ใช้ยำท่ีทำให้เกิดปฏิกิริยำสัมพันธ์ต่อกัน หรือกำรใช้ยำรำคำแพงเกินควำมจำเป็น (จันทนี อทิ ธพิ ำนชิ พงศ,์ 1994) (1) กำรรบั ประทำนยำท่ีถกู ตอ้ งและปลอดภยั กำรรับประทำนยำเป็นเรื่องใกล้ตัวของทกุคน แต่บำงครั้งไม่รู้วิธีกำร รับประทำนท่ีถูกต้องและปลอดภัยจงึ ทำใหป้ ระสิทธิภำพของกำรใช้ยำไมไ่ ด้ผล กำรใช้ยำต้องอำ่ นฉลำก อย่ำงละเอียดและปฏิบัติตำมอย่ำงเคร่งครัดตำมคำแนะนำ เช่น ยำบำงชนิดต้องเค้ียวก่อนซึ่งข้อมูล กำรใช้ยำจะอยู่บนฉลำกยำ หรือคำแนะนำจำกเภสัชกรที่จ่ำยยำให้กับผู้ป่วย กำรกินยำให้ถูกโรค โดยผู้ป่วยต้องกินยำตำมข้อบ่งใช้ ยำต้ำนจุลชีพมีข้อบ่งใช้แตกต่ำงกันไป ผู้ป่วยไม่ควรกินยำต้ำน แบคทเี รียหำกเป็นไขห้ วดั จำกกำรตดิ เช้อื ไวรัส เนื่องจำกกำรใช้ยำตำ้ นแบคทเี รยี พรำ่ เพรอ่ื จะทำให้เกิด ปัญหำเชื้อดื้อยำได้และไม่ควรกินยำระบำยเพื่อลดน้ำหนัก ยำเม็ดแคปซูลควรกินพร้อมแคปซูลไม่ ควรแกะแคปซูลออกและไม่ควรกินยำบำงชนิดพร้อมกันเพรำะมีผลต่อกำรดูดซึมยำในทำงเดินอำหำร เช่น ยำต้ำนจุลชพี บำงประเภทไมค่ วรกินพรอ้ มกบั ยำน้ำลดกรด เช่น อลัมมลิ ค์ (Alum milk) เป็นตน้ ขนำดหรือปริมำณของยำที่ใช้ในเด็กและผู้ใหญ่ก็แตกต่ำงกัน ต้องใช้ยำให้ถูกกับบุคคล เช่น ยำบำง ชนิดไม่ควรให้ในผู้ป่วยท่ีมีโรคประจำตัวต่ำง ๆ หรือผู้ป่วยท่ีมีควำมผิดปกติของตับหรือไต ซึ่งเป็น อวัยวะสำคัญต่อกำรเปลีย่ นแปลงของยำและขับยำออกจำกร่ำงกำย หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นม บุตร ควรปรึกษำเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนใช้ยำ และใช้ยำให้ถูกเวลำเพรำะยำบำงชนิดอำจถูกรบกวน โดยกำรดูดซึมของอำหำรได้ เช่น ยำก่อนอำหำรให้กินยำก่อน 30 นำที กำรกินยำพร้อมอำหำร ให้ กินพร้อมคำแรกหรือรับประทำนอำหำรไปแล้วคร่ึงหนึ่ง หรือกำรกินยำหลังอำหำรใ ห้กินหลัง รบั ประทำนอำหำรเสร็จ 15-30 นำที (อไุ รวรรณ พำนิช, มปป.) (2) วธิ กี ำรใช้ยำท่ีถกู ต้อง มดี งั น้ี (บษุ บำ จินดำวจิ ักษณ์, มปป.) (2.1) ยำเม็ด ยำเม็ดเคลือบ ยำแคปซูล สำหรับรับประทำน ต้อง กลนื ไปทง้ั เมด็ หรอื แคปซลู พร้อมนำ้ สะอำด 1 แก้ว (2.2) ยำเม็ดหรือแคปซูลชนิดปลดปล่อยตัวยำสำคัญออกจำก รูปแบบยำอย่ำงช้ำ ๆ หรือชนิดท่ีเลื่อนเวลำปลดปล่อยตัวยำสำคัญออกจำกรูปแบบยำ ห้ำมบดหรือ เค้ียวเม็ดยำก่อนกลืนหรือห้ำมแกะแคปซูลออกแล้วเทผงยำใส่ปำก เพรำะจะทำให้ได้รับยำในปริมำณ สงู (2.3) ยำน้ำแขวนตะกอนหรือแขวนละออง ต้องเขย่ำขวดก่อนริน ยำเสมอเพ่อื ให้ตัวยำสำคญั กระจำยตัวอย่ำงสมำ่ เสมอ แตถ่ ำ้ เขย่ำแลว้ ยำยังจับแน่นที่กน้ ขวดหรือเขย่ำ ยำน้ำแขวนละอองแล้วยังแยกชัน้ ของนำ้ กบั น้ำมันแสดงว่ำยำเสื่อมคุณภำพ (2.4) ยำอม ยำอมใต้ล้ินต้องอมไว้โดยไม่กลืนน้ำลำยเพ่ือให้ยำถูก ดดู ซึมเข้ำกระแสเลอื ดผำ่ นทำงหลอดเลอื ดในช่องปำก ถำ้ เป็นยำอมแกเ้ จ็บคอหรอื ยำอมแกก้ ำรติดเช้ือ ในปำกใหว้ ำงยำไว้บนลิ้นและอมไว้ ปล่อยให้ยำละลำยออกมำ ยำประเภทนสี้ ำมำรถกลนื นำ้ ลำยได้ (2.5) ยำผง ต้องนำไปผสมน้ำก่อนโดยใช้ตำมที่ระบุตำมฉลำก เชน่ ยำผงเกลือแร่ทดแทนกำรสูญเสียน้ำและเกลือแร่เม่ือท้องเสีย ต้องผสมยำกับน้ำต้มสุกเย็น โดยยำ 1 ซองผสมนำ้ 1 แกว้ หรือ 750 ซีซี หำกเปน็ ซองใหญ่ คนใหล้ ะลำยและหำ้ มเก็บคำ้ งคนื ส่วนยำระบำย

263 ต้องผสมน้ำต้มสุกเย็น แล้วดื่มทันทีพร้อมกับดื่มน้ำตำมอีก 1 แก้ว ห้ำมต้ังทิ้งไว้นำนเพรำะยำจะพอง ตัวและขน้ หนดื จนดมื่ ไม่ได้ (2.6) ยำทำผิวหนัง อำจเป็นครีม เจล หรือข้ีผึ้ง ต้องทำควำม สะอำดผิวหนังบริเวณท่ีต้องกำรทำก่อนใช้ยำ บีบยำลงไปพอประมำณแล้วทำยำให้แผ่ไปบำง ๆ บน ผิวหนงั (2.7) ยำทำถูนวด อำจเป็นครีม เจลหรือข้ีผึ้ง ใช้แก้อำกำรปวด เม่ือย เมอ่ื ทำยำแลว้ ต้องถูนวดบริเวณน้นั ดว้ ยเพอื่ ใหเ้ กดิ ควำมรอ้ นจงึ จะแกอ้ ำกำรปวดเม่ือยได้ (2.8) ยำหยอดตำ ยำป้ำยตำ เป็นยำน้ำที่ถูกทำให้ปรำศจำกเชื้อ บำงชนิดตอ้ งเก็บในตู้เยน็ กอ่ นใชต้ อ้ งล้ำงมอื ให้สะอำด โดยหยอดยำ 1 หยด หรอื ปำ้ ยยำ 1 เซนติเมตร ลงไปที่กระพุ้งเปลือกตำล่ำง โดยไม่ให้หลอดยำถูกสัมผัสกับตำ เม่ือเปิดใช้ยำแล้วสำมำรถเก็บยำไว้ได้ อีกไมเ่ กนิ 1 เดอื น ยำทงั้ สองชนิดใหใ้ ช้หำ่ งกันประมำณ 10 นำที โดยให้ใชย้ ำหยอดตำก่อน (2.9) ยำล้ำงตำ เมื่อเปดิ ใชแ้ ล้วมอี ำยุอยไู่ ด้เพยี ง 7 วนั (2.10) ยำหยอดหู ยำหยอดจมูก ยำพ่นจมูก เป็นยำท่ีต้องกำรให้ ออกฤทธิ์เฉพำะท่ี ก่อนใช้จึงต้องกำจัดสิ่งอุดตันออกก่อน และใช้ยำตำมจำนวนคร้ังที่ระบุบนฉลำก หำกใช้เกินอำจทำให้มีอำกำรมำกขึ้น เช่น ยำหยอดหรือพ่นจมูกมีตัวยำลดอำกำรคัดจมูก หำกใช้เกิน กว่ำ 4 ครัง้ ต่อวันหรอื นำนกว่ำ 3 วนั จะมีผลตอ่ เยื่อบโุ พรงจมูก บวมและร้สู ึกคดั จมกู มำกกว่ำเดิม (2.11) ยำสูดพ่นเข้ำทำงปำก เป็นรูปแบบยำที่มีวิธีใช้พิเศษ ใช้ รักษำโรคหืดและโรคปอดเรื้อรัง ให้ออกฤทธิ์เฉพำะที่บริเวณหลอดลม ต้องฝึกใช้ให้ถูกยำจึงจะเข้ำไป ยงั หลอดลมโดยปรกึ ษำเภสชั กร (2.12) ยำสอดหรือสวนทวำรหนัก ใช้เพื่อรักษำริดสีดวงทวำรหรือ เป็นยำระบำย ยำสอดมีส่วนประกอบเป็นขี้ผ้ึงเป็นส่วนใหญ่จึงต้องแช่ในตู้เย็นเพื่อให้คงรูปร่ำง เม่ือจะ ใช้จึงนำออกมำปล่อยให้คลำยตัวแล้วฉีกกระดำษหุ้มออก จุ่มยำลงในน้ำสะอำด 1 แก้วแล้วจึงใช้สอด เขำ้ ในทวำรหนกั หลังจำกสอดยำแลว้ ให้นอนตอ่ สกั 15 นำที จึงลุกขนึ้ (2.13) ยำสอดช่องคลอด เป็นยำเม็ดแข็ง ไม่ต้องแช่ตู้เย็นใช้รักษำ อำกำรตกขำว ให้จุ่มยำลงในน้ำสะอำด 1 แก้ว ก่อนสอดยำเข้ำไปในช่องคลอด หลังจำกสอดแล้วให้ นอนต่อสกั 15 นำที (2.14) ยำแผ่นแปะผิวหนัง ใช้เพื่อแก้ปวดในผู้ป่วยมะเร็งระยะ สุดท้ำย ใช้ในผู้มีอำกำรเจ็บหน้ำอกจำกโรคหวั ใจ แก้เมำรถและเรือ ใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในผู้หญงิ วยั หมดประจำเดอื น ฯลฯ วธิ ใี ช้ยำแผ่นแปะคอื ต้องติดแผน่ ยำท้ังแผ่น เชน่ ยำแผน่ แปะแก้ปวดเฟนตำ นิล ที่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ำย มีอำยุกำรใช้ 3 วันต่อกำรแปะ 1 แผ่น หำกนำนกว่ำนี้จะไม่ ได้ผลแก้ปวด ก่อนกำรแปะแผ่นยำต้องทำควำมสะอำดผิวหนังให้สะอำดไม่มีเหงื่อ ไม่มีขนเพ่ือให้แผ่น ยำติดและไม่ปิดซ้ำที่เดิมหำกเปลี่ยนแผ่น และถ้ำหำกแผ่นยำหลุดออกมำก่อนเวลำเปล่ียน ให้ทิ้งแผ่น ยำน้ันแลว้ แปะแผน่ ยำใหมท่ ่ีผิวหนังบริเวณอ่ืน (2.15) ยำฉีด เป็นยำที่ต้องฉีดโดยแพทย์หรือพยำบำล ยกเว้น อนิ ซูลินทีผ่ ้ปู ่วยฉีดเอง ยำนีเ้ ป็นยำฉดี เข้ำใต้ผวิ หนัง ตอ้ งเกบ็ ยำในต้เู ย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แขง็ เมอ่ื จะใช้นำ ออกมำพักให้คลำยตัวและคลึงขวดยำด้วยฝ่ำมือท้ังสองเพื่อให้อินซูลินมีอุณหภูมิเท่ำกับอุณหภูมิ

264 ร่ำงกำย และต้องคลืงขวดยำจนยำกระจำยตวั เป็นเน้ือเดียวกันจึงดูดยำออกมำเท่ำกับปริมำณทร่ี ะบุไว้ ในฉลำก ปัจจุบันมีอินซูลินชนิดปำกกำท่ีสะดวกมำกขึ้นไม่ต้องเก็บในตู้เย็นเพรำะใช้หมดในเวลำ 1 เดือน แตถ่ ำ้ ยังไม่ได้เปิดใชจ้ ะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นท่ีไม่ใช่ช่องแข็งไม่ว่ำจะเปน็ อินซูลนิ ชนิดปกติหรือชนิด ปำกกำ (3) ผลข้ำงเคียงจำกกำรใชย้ ำ (อุไรวรรณ พำนิช, มปป.) แม้กำรรับประทำนยำของผู้ป่วยถูกต้องแต่ยำที่ให้ผลในกำรรักษำอำจมี ผลข้ำงเคียงบ้ำงแต่ไม่เป็นอันตรำย เช่น ยำลดน้ำมูกอำจทำให้เกิดอำกำรง่วงนอน แต่หำกใช้ยำไม่ ถกู ตอ้ งอำจมีผลกระทบทำใหโ้ รคน้ันไม่ดีขนึ้ และยังมีฤทธ์ิไม่พึงประสงค์ ยำบำงชนิดอำจทำให้เกิดกำร แพ้ยำ เชน่ ยำปฏิชีวนะ ยำตำ้ นอกั เสบ ยำลดระดับกรดยูรกิ ท่ีเป็นสำเหตุของโรคเก๊ำท์ เป็นต้น อำกำร แพ้ยำมีต้ังแต่มีผื่นแบบไม่รุนแรงจนถึงมีอำกำรแพ้รุนแรงท่ีเป็นอันตรำยถึงชีวิต หรือยำบำงชนิดทำให้ เกดิ กำรระคำยเคืองตอ่ ทำงเดินอำหำร โดยสง่ ผลใหม้ อี ำกำรคลื่นไส้ อำเจยี น ปวดท้อง ถำ่ ยเหลว และ เกิดแผลในกระเพำะอำหำรได้ ยำบำงชนดิ ทำใหห้ ูนวก เสยี กำรทรงตวั หรอื ไตวำยเฉียบพลัน เกดิ ควำม ผิดปกติของระบบเลือด ควำมผิดปกติของตับ ควำมผิดปกติของระบบประสำท ทำให้ฟันติดครำบ เหลอื งดำถำวร และรบกวนกำรเจรญิ เตบิ โตของกระดูกหำกใชใ้ นเดก็ อำยตุ ่ำกวำ่ 8 ปี ผ้ปู ่วยจึงต้องรู้ และจดประวัติกำรแพ้ยำของตนเองและแจ้งเภสัชกรหรือแพทยเ์ มื่อต้องได้รับยำ กำรรับประทำนช่วย ให้หำยจำกโรคได้แต่กำรใช้ยำมำกเกินไปก็ก่อให้เกิดอันตรำยได้เช่นกัน กำรใช้ยำมำกเกินไปจะส่งผล ตอ่ กำรเกิดตับอักเสบและไตวำยเฉยี บพลนั เช่น กำรรบั ประทำนยำพำรำเซตำมอลเกินขนำดจะทำให้ เกิดภำวะตบั วำยถงึ ชวี ิตได้ ระดบั ยำในร่ำงกำยสงู จะทำใหเ้ กิดควำมเปน็ พิษหรือผลข้ำงเคียงต่ออวัยวะ หรือเสยี สมดุลของสำรต่ำง ๆ ในรำ่ งกำย เช่น กำรกินยำเบำหวำนมำกเกนิ ไปจะทำใหเ้ กิดภำวะน้ำตำล ในเลือดต่ำ กำรกินยำต้ำนแบคทีเรียบำงประเภทในปริมำณสูงติดต่อกันเป็นเวลำนำนจะส่งผลให้เกิด กำรติดเช้ือแทรกซ้อนได้ ดังน้ันกำรกินยำควรกินให้ถูกต้องตำมคำแนะนำของแพทย์หรือเภสั ชกร กำรลมื กินยำในบำงม้ือสำหรับยำสำมัญประจำบ้ำนทว่ั ไป เช่น ยำลดไข้ ยำแกไ้ อ แกป้ วดท้อง หำกลืม ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้ำเป็นยำท่ีต้องกินเป็นประจำเพ่ือรักษำโรคประจำตัว เช่น ควำมดันสูง ไขมันใน เลือดสูง หำกลมื กนิ แล้วสำมำรถกินได้ทันทีท่นี ึกได้ ยำรักษำเบำหวำนให้กินม้ือต่อไปใหส้ ัมพนั ธ์กับมื้อ อำหำรตำมแพทย์สั่ง หำกเป็นยำต้ำนจุลชีพต้องกินยำติดต่อกันให้ครบกำหนดตำมแพทย์สั่งหรือเภสัช กรแนะนำ เชน่ 5-7 วนั ถ้ำหำกกินยำในระยะเวลำท่สี ั้นเกินไปจะเพิ่มควำมเส่ยี งของกำรเกิดเชื้อดื้อยำ ทำให้กำรรักษำไม่ได้ผลและเพ่ิมโอกำสในกำรติดเชื้อได้อีก และหำกลืมกินยำโดยนึกขึ้นได้ในเวลำใกล้ มือ้ ท่ีผ่ำนไปก็ให้กินยำได้ทนั ที แตถ่ ำ้ ใกล้ม้ือถัดไปก็ให้ไปกนิ ในมื้อต่อไปได้เลยโดยกินติดต่อกันจนครบ กำหนด (อุไรวรรณ พำนิช, มปป.) นอกจำกนี้กำรใช้ยำฟุ่มเฟือยยังเป็นพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มคนไทยทั้งน้ีจำก กำรกำรเผยแพร่ควำมรู้เร่ืองยำโดยชอ่ งรำมำแชนแนล มหำวิทยำลยั มหิดล ได้เผยแพร่ผลกำรสำรวจท่ี พบว่ำสังคมไทยในปัจจุบันมีกำรใช้ยำฟุ่มเฟือยเพ่ิมสูงขึ้นทุกปี ค่ำใช้จ่ำยเก่ียวกับกำรใช้ยำในประเทศ ไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกท้ังท่ีจำนวนประชำกรไทยไม่ได้มำกนักเม่ือเทียบกับค่ำใช้จ่ำยเก่ียวกบั กำรใช้ยำ นอกจำกนี้ภำวะกำรใช้ยำฟุ่มเฟือยยังนำไปสู่ปัญหำทำงสุขภำพต่ำง ๆ ท่ีหลำยคนอำจคำด ไม่ถึง ดังนั้นจึงเป็นเร่ืองสำคัญที่ทุกคนควรทรำบข้อมูลจำกผู้เชี่ยวชำญเพ่ือปรับเปล่ียนพฤติกรรม ตนเองและคนรอบข้ำงเพอื่ นำไปสู่กำรใชย้ ำทเี่ หมำะสมมำกขนึ้

265 6.3 อนั ตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมี 6.3.1 อันตรายจากสารเคมีต่อสุขภาพ สำรเคมีได้เพ่ิมขึ้นอย่ำงรวดเร็วในปัจจุบันท้ังชนิดและปริมำณท่ีผลิตข้ึนมำ ถึงแม้ว่ำ สำรเคมีจะมีส่วนช่วยพัฒนำคุณภำพชีวิตของมนุษย์ พัฒนำด้ำนอุตสำหกรรม เกษตรกรรม กำรแพทย์ แตก่ ็อำจเป็นโทษอย่ำงมหันตุถำ้ ใช้อย่ำงไม่ถูกต้อง สำรเคมอี ำจทำใหเ้ กดิ กำรบำดเจ็บหรือ เกิดโรคตำ่ ง ๆ แกผ่ ู้เกี่ยวข้องได้ หรือทำให้เกดิ อุบัตภิ ัยที่รุนแรงได้ จำกขอ้ มลู ขององคกำรอนำมัยโลก (World Health Organization ; WHO) พบวำ ในประเทศที่พัฒนำแลวบุคลำกรทำงกำรแพทย์ วิทยำศำสตร์ และอตุ สำหกรรม ผูป้ ฏบิ ัติงำนและผู้บรหิ ำรท่ีอย่ใู นองคกรทำงกำรแพทย์ วทิ ยำศำสตร์ และอุตสำหกรรมมีเกณฑ์อำยุโดยเฉลี่ยส้ันกว่ำบุคคลที่ปฏิบัติงำนในสำขำวิชำชีพอ่ืนเพรำะมีป ญหำ เร่ืองสุขภำพ เน่ืองจำกกลุ่มอำชีพเหล่ำน้ันมีโอกำสสัมผัสสำรเคมีหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ร่ำงกำยมี โอกำสรับสำรเคมีไปสะสมโดยตรงในระหว่ำงกำรทำงำน กำรเผยแพร่ควำมรู้ด้ำนอันตรำยจำก สำรเคมีของแต่ละประเทศให้ประชำชนรู้จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญเพื่อให ประชำชนมีควำมเข้ำใจ ในเร่ืองของสำรเคมี ควำมหมำยของป้ำยกำกับสำรเคมีอันตรำย และวิธีปองกันอันตรำยจำกสำรเคมี เพ่ือใหเกิดควำมปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (นฤมล พักมณี, 2548) กำรพิจำรณำควำมอันตรำย ของสำรเคมีจะดไู ดจ้ ำกฉลำกที่ตดิ มำกับภำชนะบรรจุและดูว่ำคำเตือน อันตรำย ควำมเป็นพษิ และจะ มีข้อควำมระบุเกี่ยวกับกำรปฏิบัติหรือวิธีกำรใช้ที่ถูกต้อง นอกจำกน้ียังมีรูปสัญลักษณ์ท่ีแสดงควำม เปน็ อันตรำยของผลติ ภัณฑด์ ังตำรำงที่ 6.1 ด้ำนล่ำงน้ี ตำรำงท่ี 6.1 ข้อควำม/รูปสญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงควำมเป็นอันตรำย ความเปน็ อนั ตราย ขอ้ ความ / รปู

266 \"Harmful or fatal if swallowed\" อันตรำยถ้ำกลนื กนิ เป็นพษิ \"Use only in a well-ventilated area\" ใชใ้ นทอี่ ำกำศถ่ำยเทเพียงพอ เปน็ พษิ \"Do not use near heat or flame\" ห้ำมใช้ใกล้แหลง่ ควำมรอ้ นหรือเปลวไฟ ไวไฟ \"Combustible\" ลกุ ไหม้ได้ ไวไฟ \"Do not smoke while using this product\" หำ้ มสบู บุหรีข่ ณะใชผ้ ลติ ภัณฑน์ ี้ ไวไฟ \"Causes severe burns on contact\" เกดิ แผลไหม้อยำ่ งรนุ แรง กดั กร่อน \"Can burn eyes, skin, throat\" สำมำรถไหม้ดวงตำ ผิวหนัง คอ กดั กร่อน \"Wear gloves\" ใสถ่ งุ มือ กัดกร่อน เป็นพษิ ไวไฟ กดั กร่อน ท่ีมำ : (วลยั พร มขุ สวุ รรณ, 2552) 6.3.2 ข้อควรปฏบิ ตั ใิ นการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์สารเคมี สำรเคมีที่มีกำรใช้ในอุตสำหกรรม กำรเกษตร กำรแพทย์ มีคุณสมบัติที่แตกต่ำงกันไป มีกำรระบุถึงอันตรำยที่จะเกิดขึ้นรวมท้ังข้อแนะนำ ข้อควรระวังบนฉลำก ผู้ที่ต้องทำงำนกับสำรเคมี หรือเก่ียวข้องกับสำรเคมีจึงต้องมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในกำรใช้งำนและปฏิบัติตนอย่ำงเคร่งครัดเพื่อ ควำมปลอดภัยดังนี้ 6.3.2.1 ศึกษำข้อมูลควำมปลอดภัยของสำรละลำยที่ใช้อยู่ว่ำมีวิธีกำรใช้งำนและกำร ปอ้ งกนั เบอื้ งตน้ จำกเอกสำร Material Safety Data Sheet (MSDS) ซึง่ หมำยถงึ เอกสำรข้อมลู ควำม ปลอดภัยสำรเคมีท่ีแสดงข้อมูลสำรเคมีหรือเคมีภัณฑ์เก่ียวกับลักษณะอันตรำย พิษ วิธีใช้ กำรเก็บ รักษำ กำรขนส่ง กำรกำจัดและกำรจัดกำรอื่น ๆ ซ่ีงเอกสำรน้ีจะได้จำกผู้ขำยหรือฉลำกท่ีมำพร้อมกับ ผลติ ภณั ฑ์ 6.3.2.2 ควรเกบ็ สำรเคมีอยำ่ งมิดชิด โดยกำรจดั เก็บในสถำนทที่ ่มี ีอุณหภูมิทีเ่ หมำะสม ภำยในสถำนทเ่ี ก็บสำรเคมีควรมีอำกำศเย็นและแหง้ มรี ะบบถ่ำยเทอำกำศดี มปี ้ำยบอกอย่ำงชัดเจน ว่ำเป็นสถำนที่เก็บสำรเคมี หลีกเล่ียงกำรเก็บสำรเคมีในสถำนที่ที่มีควำมร้อนสูงหรือกลำงแจ้ง เก็บ ในที่มดิ ชิด ปลอดภัยและพ้นจำกมอื เด็ก 6.3.2.3 เม่ือจะใช้สำรเคมีควรมีกำรใช้อุปกรณ์ป้องกันกำรสัมผัสกับสำรเคมีโดยตรง โดยกำรสวมถุงมือ สวมหน้ำกำก สวมรองเท้ำ เป็นต้น และไม่ต้องคิดเองว่ำกำรเพ่ิมปริมำณกำรใช้จะ เป็นกำรเพ่ิมประสิทธิภำพของสำรเคมี ท่ีสำคัญคือ ห้ำมใช้รวมกันหลำย ๆ ประเภท ยกเว้นว่ำระบุให้ ใช้รว่ มกับผลติ ภณั ฑ์ชนิดอ่ืน ๆ ได้

267 6.3.2.4 ใช้ในบริเวณท่ีมีอำกำศถ่ำยเทสะดวก แต่ถ้ำจำเป็นต้องใช้ในห้อง ควรเปิด หน้ำต่ำงหรือใช้พัดลมระบำยอำกำศ 6.3.2.5 หลีกเล่ียงกำรเปลี่ยนถ่ำยบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพำะบรรจุภัณฑ์ที่เคยใช้บรรจุ อำหำร เพรำะอำจเกดิ ควำมสบั สนในกำรใช้งำนหรือนำไปใช้อยำ่ งไม่ถกู ต้อง 6.3.2.6 หญงิ มีครรภค์ วรงดใชส้ ำรเคมเี พอ่ื ป้องกนั อนั ตรำยต่อเด็ก ตำรำงที่ 6 2 ผลิตภณั ฑ์อนั ตรำยทใ่ี ชต้ ำมบำ้ นเรือน

268 ผลิตภัณฑ์ สารอันตรายที่อาจผสมอยู่ในผลติ ภัณฑ์ อุปกรณ์เคร่อื งใช้ไฟฟ้ำ เครือ่ งปรบั อำกำศ สำรซีเอฟซี (คลอโรฟลอู อโรคำรบ์ อน) เตำอบไมโครเวฟ และอ่ืน ๆ ตเู้ ยน็ ตู้แช่ สำรทำควำมเยน็ หลอดฟลอู อเรสเซนต์ สำรปรอท ผลติ ภัณฑเ์ กีย่ วกบั รถยนต์ แบตเตอรรี่ ถยนต์ ตะกว่ั น้ำมนั เบรค ไกลคอล, ไกลคอลอเี ทอร์ น้ำยำทำควำมสะอำดคำรบ์ ูเรเตอร์ ไฮโดรคำรบ์ อนทีม่ ีคลอรีน น้ำยำกำจัดไขมัน ไฮโดรคำรบ์ อนท่ีมคี ลอรีน ชนิดผง – โซเดียมไบคำรบ์ อเนต, แอมโมเนยี ม เคร่อื งดับเพลิง ฟอสเฟต และโปตสั เซยี มไบคำรบ์ อเนต ชนดิ ฮำลอน - โบรโมไดฟลอู อกโรมเี ทน นำ้ มันเช้อื เพลิง ไฮโดรคำรบ์ อน นำ้ มันเครื่อง ปโิ ตรเลียม แบตเตอร่ี ถำ่ นนำฬิกำ กล้อง เครอื่ งคิดเลข (ก้อนเล็กแบน สเี งิน) ลเิ ทยี ม ถำ่ นชนดิ อลั คำไลน์ โปตสั เซยี มไฮดรอกไซด์ สงั กะสี ถ่ำนชำรจ์ เชน่ นกิ เกลิ -แคดเมยี ม, นกิ เกิล โลหะไฮไดรด์ นิกเกิล แคดเมยี ม ลิเทยี มไอออน ชนิดตะกว่ั ขนำดเล็ก ตะกั่ว อุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ คอมพวิ เตอร์ จอภำพ – ตะกั่ว โทรทัศน์ จอภำพ - ตะกว่ั , ปรอท กำวและซีเมนต์ ซีเมนตย์ ดึ เกำะ คีโตน, แนฟทำ อีพอ๊ กซี เรซนิ ของอีพ๊อกซ่ีและเอมนี กำวอเนกประสงค์ โทลอู ีน สไตรนี อะซโี ตน ผลิตภณั ฑ์ทำควำมสะอำด น้ำยำทำควำมสะอำดอเนกประสงค์ คลอรนี แอมโมเนีย ตัวทำละลำยอนิ ทรยี ์ สำรแต่งกลิ่น แอมโมเนีย แอมโมเนยี น้ำยำฆำ่ เชอ้ื ไฮโปคลอไรต์ ฟีโนลกิ แอลกอฮอล์ ควอเทอร์นำรี แอมโมเนียม คลอไรด์ นำ้ ยำฟอกขำวทีม่ ีคลอรนี ไฮโปคลอไรต์ ตำรำงที่ 6 3 ผลิตภัณฑ์อันตรำยที่ใชต้ ำมบ้ำนเรือน (ต่อ)

ผลติ ภณั ฑ์ 269 นำ้ ยำฟอกขำวที่มีคลอรีน ผลิตภัณฑ์ขจดั ท่ออดุ ตัน สารอนั ตรายทีอ่ าจผสมอยู่ในผลิตภณั ฑ์ น้ำยำทำควำมสะอำดเฟอร์นเิ จอร์ ไฮโปคลอไรต์ น้ำยำทำควำมสะอำดโลหะ น้ำยำทำควำมสะอำดเตำอบ ปิโตรเลยี ม นำ้ ยำขจัดสนมิ ปโิ ตรเลียม, แอมโมเนีย น้ำยำทำควำมสะอำดสขุ ภณั ฑ์ โซเดียมไฮดรอกไซด์ ผลติ ภณั ฑก์ ำจัดแมลงและสตั ว์ กรดแก่ กรด, สำรฆำ่ เช้ือ, ไฮโปคลอไรต์ ผลิตภัณฑ์กำจัดปลวก / มด ไดคลอวอส, คลอไพรฟี อส, โพรพ๊อกซวั , ผลิตภัณฑก์ ำจดั แมลง ไดอะซนี อน ผลติ ภณั ฑก์ ำจดั เหำ เห็บ หมดั ไดคลอวอส, ไพรีทรนิ ลกู เหมน็ ลินเดน ยำเบอ่ื หนู พำรำ-ไดคลอโรเบนซนี , แนฟทำลนี ผลิตภัณฑก์ ำจัดศตั รูพชื วำฟำรนี , สตริกนิน น้ำยำฆ่ำเชือ้ รำ ผลิตภัณฑ์ฆ่ำหญำ้ /วัชพืช แคปเทน, ไตรฟอรีน น้ำยำถนอมเน้อื ไม้ 2,4-ดี อะทรำซีน, ไดคลอบีนิล สีและตวั ทำละลำย ไตรบวิ ทิลตนิ , เพนตำคลอโรฟนี อล, ทองแดง, สงั กะสี สที ี่มีตะกั่ว สีน้ำมัน ตะก่ัว สีสเปรย์ เรซิน, นำ้ มนั แร่ ตวั ทำละลำย, โพรเพน, ซีเอฟซี นำ้ ยำลอกสี เมทิลลีนคลอไรด์, โซเดยี มไฮดรอกไซด์ ,โทลอู ีน, อะซีโตน, เมทำนอล ทนิ เนอร์ เทอรเ์ พนทนี , น้ำมนั แร่ แล็กเกอร์ เทอรเ์ พนทนี , แอลกอฮอล์ ผลติ ภณั ฑส์ ่วนตวั แคดเมยี มคลอไรด,์ โคบอลต์ คลอไรด์, สยี ้อมผม ควิ ปิกคลอไรด์ เลดอะซีเตต ซิลเวอรไ์ นเตรท อะซโี ตน สเปรยจ์ ัดแตง่ ทรงผม อะซโี ตน ยำทำเลบ็ อะซีโตน, เอทิลอะซีเตต น้ำยำล้ำงเล็บ อน่ื ๆ สำรปรอท เทอร์โมมเิ ตอรช์ นดิ ใช้ปรอท ทมี่ ำ : (วลยั พร มุขสุวรรณ, 2552)

270 6.4 สารเคมีกับผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม สำรเคมีมีกำรใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่ำงกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกันคือเม่ือใช้แล้วย่อม สง่ ผลกระทบตอ่ ผใู้ ช้และสง่ิ แวดลอ้ ม 6.4.1 ผลกระทบจากสารเคมีตอ่ ส่งิ แวดล้อม สำรเคมีบำงชนิดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเป็นที่ทรำบกันทั่วไป แต่สำรเคมีบำง ชนิดเป็นสำรท่ีไม่คำดคิดว่ำจะส่งผลหรือมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมได้ซ่ึงจะยกตัวอย่ำงกลุ่มของ สำรเคมีท่ีใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอำง เช่น พำรำเบนซึ่งเป็นสำรกันเสียชนิดหน่ึงที่มีใช้ทั้งใน อำหำรและเครื่องสำอำง โดยมีคุณสมบัติในกำรช่วยฆ่ำเชื้อต่ำง ๆ ไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสีย แต่เมื่อท้ิง เครื่องสำอำงเหล่ำน้ีไปแล้วพำรำเบนเม่ือไปรวมกับน้ำจะกลำยเป็นสำรพิษตกค้ำงและถ่ำยทอดสะสม ในเน้ือเยื่อของสัตว์ ไตรโคลซำนเป็นสำรกันเสียที่พบในสบู่ แชมพู น้ำยำซักผ้ำ ยำสีฟัน และครีมกัน แดดเป็นสำรที่พบตกค้ำงมำกทั้งในตะกอนและน้ำ ไตรโคลซำนเป็นพิษต่อสำหร่ำยทะเล ทำลำย ระบบฮอร์โมนของปลำ ทำลำยตัวอ่อนของปลำม้ำลำย สำรพวก UV Filters ที่พบในเครื่องสำอำง ประเภทครีมกันแดดท่ีช่วยให้สีและกล่ินของเคร่ืองสำอำงคงตัวแต่เมื่ออยู่ในน้ำจะหลุดละลำยลงไปใน น้ำเป็นอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตต่ำง ๆ นอกจำกนี้ยังพบโลมำปำกขวดที่อำศัยอยู่ในบริเวณอ่ำวซำรำโซตำ มีสำรพิษตกสะสมอยู่ในตัวและมีปริมำณมำกพอที่จะส่งผลกระทบต่อส่งสขุ ภำพของโลมำในระยะยำว รำยงำนนี้ได้เผยแพร่ในวำรสำร American Geophysical Union ว่ำมีกำรพบสำรพทำเลทซ่ึงเป็น สำรเคมีที่พบในเครื่องใช้หลำยชนิด เช่น วัสดุพลำสติก เคร่ืองสำอำง สี และจำกกำรตรวจสอบพบ สำรพทำเลทในปัสสำวะของโลมำในปริมำณมำกและโลมำบำงตัวมีปริมำณควำมเข้มข้นของสำรเคมี เทียบเท่ำกับมนุษย์ สำรพทำเลทถูกนำมำใช้ในกำรเพิ่มคุณสมบัติด้ำนควำมยืดหยุ่น ควำมโปร่งใส มี ควำมทนทำนและอำยุกำรใช้งำนยำวนำน ก่อนหน้ำน้ีเคยพบสำรนี้ในของเล่นของทำรกและมีกำร ยกเลิกกำรใช้แล้ว แต่นักวิทยำศำสตร์ยังทรำบผลกระทบของสำรชนิดน้ีน้อยมำกแม้ว่ำจะเกิดกำร ปนเปื้อนไปแลว้ ท้ังในดนิ น้ำ และอำกำศ ดังนน้ั นกั วทิ ยำศำสตร์จงึ ต้องศกึ ษำอีกมำกเกีย่ วกบั อันตรำย ของสำรพทำเลทซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่ำงมำกในกำรระบุถึงแหลง่ ที่มำของสำรและช่วยลดควำมเสย่ี ง ที่จะเกิดอันตรำยตอ่ สุขภำพและหำกผู้บรโิ ภคใช้งำนน้อยลงยอ่ มสง่ ผลกระทบในสง่ิ แวดล้อมลดลงด้วย เช่นกนั (เนช่นั แนล จโี อกรำฟกิ , 2561) 6.4.2 กรณีศกึ ษาความเป็นพิษของสารเคมี กรณีศึกษำที่ 1 สำรเคมตี อ้ งหำ้ มในมหำสมุทรแปซฟิ กิ บทควำมเชิงวิชำกำรท่ีตีพิมพ์ในวำรสำรวิวัฒนำกำรทำ งธรรมชำติและระบบนิเวศ (Nature and Ecology Evolution) ระบุว่ำ สำรก่อมลพิษ PCBs และ PBDEs ที่ถูกพบปะปนอยู่ใน ระบบนเิ วศใตท้ ะเลลกึ ในปริมำณเข้มข้นท่ีทำให้นักวิทยำศำสตรต์ ้องประหลำดใจ สำรเคมีเหลำ่ นถี้ ูกใช้ อย่ำงกว้ำงขวำงในช่วงศตวรรษที่ 20 ซ่ึงหลังจำกน้ันก็พบว่ำ เป็นพิษและสะสมในสภำพแวดล้อม ดร.อลัน เจมสี นั และคณะวิจัยจำกมหำวิทยำลยั นิวคำสเซลิ ไดเ้ กบ็ ตัวอย่ำงจำกเน้ือเยื่อไขมนั ของแอม ฟิพอด รปู ท่ี 6.11 (สัตว์นำ้ ท่ีมเี ปลือกแข็งชนดิ หนึ่ง) ทีอ่ ยลู่ ึกลงไปใตผ้ ิวน้ำในมหำสมุทรแปซิฟิก โดยใช้ ยำนดำนำ้ สำรวจพื้นมหำสมทุ รที่ออกแบบมำพิเศษ ปล่อยจำกเรือทลี่ อยอยู่เหนอื ร่องนำ้ มำรีอำนำและ เคอร์มำเดค ลกึ ลงไป 10 กิโลเมตร และหำ่ งกนั 7,000 กิโลเมตร

271 สำรก่อมลพิษท่ีพบในตัวแอมฟิพอด ได้แก่ พลีคลอรีเนต ไบเฟนิล (PCBs) และโพลี โบรมิเนตไดเฟนิล เอเธอร์ (PBDEs) ซึง่ ใชใ้ นกำรผลิตฉนวนสำหรบั อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ และวัสดุทน ไฟ รฐั บำลสหรฐั อเมรกิ ำได้ส่งั ห้ำมกำรผลิต PCBs เม่อื ปี ค.ศ. 1979 และในปี ค.ศ. 2001 ไดม้ ีกำรลง นำมในอนุสัญญำสต็อกโฮล์มว่ำด้วยสำรมลพิษที่ตกค้ำงยำวนำน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants) แต่ปรมิ ำณกำรผลติ สำร PCBs ทวั่ โลก จำกช่วงปี ค.ศ. 1930 จนถงึ ท่ถี กู สง่ั หำ้ มในปี ค.ศ. 1970 คำดว่ำจะมีถึง 1.3 ล้ำนตนั รูปที่ 6.11 แอมฟิพอดทน่ี ำขนึ้ มำจำกร่องน้ำเคอรม์ ำเดคและมำรีอำนำในมหำสมุทรแปซิฟิก ทม่ี ำ : (Dr. Alan Jamieson, Newcastle University) สำรท่ีถูกปล่อยสู่สภำพแวดล้อมทั้งจำกอุบัติเหตุในอุตสำหกรรมและกำรไหลซึมจำก กองขยะสำมำรถทนทำนต่อกำรย่อยสลำยตำมธรรมชำติได้ ทำให้ยังคงตกค้ำงอยู่ในสภำพแวดล้อม และในผลกำรศึกษำระบุว่ำ ยำกท่ีจะขยำยขอบเขตกำรวิเครำะห์ระดับกำรปนเปื้อนของสำรท่ีพบ บริเวณพ้ืนมหำสมุทรแปซิฟิก โดยสำเหตุส่วนหน่งึ มำจำกกำรใช้วธิ วี ัดค่ำและเก็บข้อมูลสำรปนเป้ือนที่ ตำ่ งกนั ในผลศึกษำก่อนหนำ้ นี้ ในรำยงำนระบุว่ำ ระดบั สำร PBCs พ่ีพบในร่องน้ำลึกมำรีอำนำสูงกว่ำ ท่ีพบในตัวปจู ำกบริเวณทุ่งนำทีร่ ับน้ำจำกแมน่ ้ำเลี่ยวเหอ ซึ่งเป็นหน่ึงในแม่นำ้ ทม่ี ีมลพิษมำกทสี่ ุดในจีน โดย ดร.เจมสี นั กล่ำววำ่ “แอมฟิพอด ท่ีได้เก็บเปน็ ตวั อยำ่ ง มรี ะดับสำรพษิ ปนเปอ้ื น มำกพอ ๆ กบั ใน อ่ำวซูรุกะ ของญ่ีปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตอุตสำหกรรมท่ีมีมลภำวะสูงท่ีสุดของทำงตะวันตกเฉียงเหนือ ของมหำสมุทรแปซิฟิก” นักวิจัยคำดว่ำ สำร PCBs และ PBDEs ไหลลงไปสะสมอยู่ในร่องน้ำของ มหำสมุทรแปซิฟิกพร้อมกับขยะพลำสติกปนเป้ือนและซำกสัตว์ที่จมลงสู่ใต้ทะเล ซึ่งต่อมำกลำยเป็น อำหำรของแอมฟิพอดและสัตว์ทะเลน้ำลึกอื่น ๆ โดยคณะผ้เู ขยี นรำยงำนผลกำรศึกษำระบวุ ำ่ เบ้ืองลึก ของมหำสมุทร อำจกลำยเป็น \"อ่ำงเก็บ\" หรือแหล่งรวมสำรมลพิษได้ นอกจำกนี้ยังให้เหตุผลว่ำ สำรเคมจี ะสะสมอยู่ในหว่ งโซ่อำหำร ซง่ึ เมือ่ จมลงถงึ ระดับน้ำลึกในมหำสมุทร ควำมเขม้ ข้นก็จะสูงกว่ำ ที่บรเิ วณใกลผ้ วิ น้ำ ดำ้ นเคเธอรีน แดฟฟอร์น แหง่ มหำวทิ ยำลยั นวิ เซำท์ เวลส์ ในประเทศออสเตรเลีย ซ่ึงไม่ไดม้ ีส่วนรว่ มในกำรศึกษำชิ้นนีก้ ล่ำวว่ำ แมค้ ณะนกั วิจัยจะสำมำรถวดั ควำมเข้มข้นของสำร PCBs และ PBDEs ได้ในตัวสัตว์น้ำเปลือกแข็งท่ีอยู่บริเวณร่องน้ำลึกในมหำสมุทร แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลมำกนัก ในแง่แหล่งท่ีมำ และกลไกของกำรไหลมำรวมกันในบริเวณนี้ และยิ่งไปกว่ำน้ัน ผลกระทบที่เป็นพิษ

272 ของสำรเหล่ำนี้ ซ่ึงอ้ำงว่ำมีแนวโน้มที่จะเกิดกำรเพิ่มปริมำณทำงชีวภำพสู่ห่วงโซ่อำหำร ก็ยังรอกำร ทดสอบอยู่ แตอ่ ยำ่ งน้อยผลกำรศึกษำนก้ี ็เปน็ หลักฐำนว่ำสว่ นทลี่ ึกลงไปของมหำสมุทร ไม่ใช่ส่วนที่อยู่ ห่ำงไกลออกไปแต่กลับมีควำมเช่ือมโยงกับผิวน้ำด้ำนบน และยังได้รับสำรมลพิษท่ีก่อโดยมนุษย์ใน ปรมิ ำณเขม้ ข้นด้วย (บีบีซี ไทย, 2017) กรณีศึกษำที่ 2 สำรเคมีผลติ ภณั ฑฟ์ อกสผี มรว่ั ไหลกระทบต่อชำวบ้ำนและนักเรียน เกิดเหตุสำรเคมีผลิตภัณฑ์ฟอกสีผมของบริษัทบิวต้ีโปรเฟสช่ันนัล บิซิเนส ในซอย รำมคำแหง 104 รั่วไหลส่งกลิ่นเหม็น ส่งผลกระทบต่อชำวบ้ำนและนักเรียน ทำให้โรงเรียนโสมำภำ นุสรณ์ต้องอพยพนักเรียนออกจำกโรงเรียน มีเหตุสำรเคมีรั่วภำยในอำคำรพำณิชย์ 4 ช้ัน ซอย รำมคำแหง 104 โดยพบว่ำ อำคำรแห่งนี้เป็นโกดังเก็บสินค้ำของบริษัทบิวต้ี โปรเฟสช่ันนัล บิสซิเนส ซงึ่ เป็นผลิตภณั ฑ์ฟอกสีผม มคี วันสขี ำวฟุง้ กระจำยปริมำณหนำแนน่ ทำใหเ้ จ้ำหนำ้ ทก่ี รมควบคมุ มลพิษ แ ล ะ เ จ้ ำ ห น้ ำ ท่ี ป้ อ ง กั น แ ล ะ บ ร ร เ ท ำ ส ำ ธ ำ ร ณ ภั ย ร ว ม ถึ ง เ จ้ ำ ห น้ ำ ที่ ก ลุ่ ม ง ำ น จั ด ก ำ ร ส ำ ร เ ค มี กรุงเทพมหำนคร ต้องเข้ำไปตรวจระดับควำมรุนแรงและกำรร่ัวไหลของสำรเคมี โดยสำรท่ีรั่วไหล พบว่ำ เป็นสำรประกอบของสำรโปแตสเซียมเปอร์ซัลเฟตและสำรโซเดียมเปอร์ซัลเฟต สำหรับกำร แก้ไขในเบื้องต้นเจ้ำหน้ำที่ขนย้ำยผลิตภณั ฑ์ที่ได้รับควำมเสียหำยกว่ำ 200 กล่อง ลงมำใส่ถังพลำสตกิ ก่อนฉีดน้ำเพื่อไม่ให้เกิดกำรฟุ้งกระจำยและส่งมอบให้บริษัทรับกำจัดสำรเคมีในจังหวัดรำชบุรี (สำนัก ข่ำวไทยพีบเี อส, 2553) บทสรปุ สำรเคมีเป็นสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ต่ืนนอนจนกระทั่งเข้ำนอน สำรเคมีที่ใช้มี หลำกหลำยประเภท กำรเกย่ี วข้องกับสำรเคมีไม่ว่ำจะชนิดใดก็ตำมจำเป็นตอ้ งใช้ดว้ ยควำมระมัดระวัง ปฏิบัติตำมขอ้ แนะนำในกำรใชอ้ ยำ่ งเครง่ ครัดเพ่ือใหเ้ กดิ ควำมปลอดภัย สำรเคมบี ำงชนิดเป็นสำรไวไฟ จึงต้องจัดเก็บเป็นพิเศษและต้องศึกษำวิธีกำรป้องกันกำรเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องมี วธิ กี ำรจดั กำรอย่ำงปลอดภัย สำรกัดกร่อน สำรออกซิไดซ์ สำรทไี่ วต่อกำรเกดิ ปฏิกริ ยิ ำทุกชนิด สำร ที่กล่ำวมำท้ังหมดมีข้อกำหนดกำรจัดเก็บ คำแนะนำพร้อมสัญลักษณ์ท่ีผู้ใช้จะต้องศึกษำก่อนกำรใช้ งำนให้เข้ำใจและปฏิบัติตำม ระบบสัญลักษณ์แสดงอันตรำยท่ีเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันมี 4 ระบบ ไดแ้ ก่ ระบบ UN ระบบ NFPA ระบบ EEC และ ระบบ GHS สำรเคมีทใ่ี ช้กันในบำ้ นเรอื น ไดแ้ ก่ กลุม่ สำรทำควำมสะอำด กลุ่มสำรเคมีกำจัดแมลงต่ำง ๆ เช่น มด ปลวก ยุง แมลงสำบ เป็นต้น กลุ่มวัตถุ เจอื ปนอำหำร กลมุ่ เครื่องสำอำง กล่มุ ยำรักษำโรค ซงึ่ แตล่ ะกลมุ่ มอี ันตรำยและมขี ้อควรปฏิบตั ิในกำร ใช้ กำรใช้สำรเคมีอย่ำงไม่ระมัดระวังอำจก่อให้เกิดควำมเสียหำยและอำจเกิดอันตรำยถึงข้ันเสียชีวิต ได้ นอกจำกสำรเคมีจะอันตรำยกับผู้ใช้แล้วสำรเคมียังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น กรณีกำร ใช้สำรเคมีกำจัดแมลงนอกจำกกำจัดแมลงแล้วอำจปนเปื้อนไปอยู่ในส่ิงแวดล้อมอ่ืน ๆ เช่น ดิน น้ำ หรืออำหำรได้ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อำหำรได้หรือเป็นอันตรำยกับสัตว์อื่น ๆ ซ่ึงมีกำร รำยงำนว่ำ สำรเคมีบำงชนิดตกสะสมอยู่ในระบบนิเวศใต้ทะเลลึกและเป็นพิษสะสมอยู่ใน สภำพแวดล้อม เช่น กำรพบสำรพิษพลีคลอรีเนตไบเฟนิลในแอมฟิพอดซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง ชนิดหน่ึงในมหำสมุทรแปซฟิ ิกซึ่งสำรพิษดงั กล่ำวนักวิทยำศำสตรค์ ำดว่ำมำจำกขยะพลำสตกิ ปนเปอ้ื น

273 และซำกสัตว์ที่จมลงสู่ทะเลและได้กลำยเป็นอำหำรของแอมฟิพอดซึ่งได้กลำยเป็นปัญหำของ สง่ิ แวดลอ้ มในทะเลในทีส่ ุด

274 คาถามทบทวนท้ายบทเรยี น 1. จงบอกวิธกี ำรปฏบิ ัติเกี่ยวกับกำรใชส้ ำรเคมีในชีวิตประจำวัน 2. สำรเคมที ไี่ วไฟควรจดั เกบ็ อยำ่ งไร 3. ระบบสญั ลักษณ์แสดงอันตรำยมีกรี่ ะบบ ไดแ้ กร่ ะบบใดบำ้ ง 4. จงบอกและอธิบำยคุณสมบัตขิ องส่วนประกอบผงซักฟอก 5. เพรำะเหตใุ ดน้ำยำปรบั ผำ้ นุ่มจึงมีคุณสมบัตใิ นกำรลดไฟฟ้ำสถิตได้ 6. จงยกตวั อยำ่ งสำรเคมีในกำรกำจัดแมลงและข้อควรระวงั ในกำรใช้สำรเคมีชนดิ นัน้ ๆ 7. สำรเคมใี นกำรกำจดั แมลงศตั รพู ชื แบง่ เป็นก่ปี ระเภท ไดแ้ กป่ ระเภทใดบ้ำง 8. กฎหมำยกำหนดให้มกี ำรใช้สผี สมอำหำรไดก้ ปี่ ระเภท ได้แกอ่ ะไรบ้ำง 9. จงอธบิ ำยวำ่ สีสงั เครำะหม์ สี ำรอะไรเปน็ สว่ นประกอบและมีอนั ตรำยต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 10. กำรใชผ้ งชูรสในปรมิ ำณทมี่ ำกเกินไปจะส่งผลกระทบต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 11. จงอธบิ ำยภำวะไขมันพอกตับเกดิ จำกสำเหตใุ ด 12. กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอตใชเ้ พือ่ วตั ถุประสงคใ์ ด 13. สำรไนเตรต-ไนไตรต์ ใชเ้ พ่อื วัตถปุ ระสงคใ์ ดและอธิบำยอนั ตรำยจำกกำรใช้สำรนี้ 14. กรดไขมันทรำนส์เกดิ จำกอะไรและมอี ันตรำยอย่ำงไร 15. เครือ่ งสำอำงตำมพระรำชบญั ญัติเครอื่ งสำอำง พ.ศ. 2535 แบ่งออกเป็นกป่ี ระเภท ไดแ้ กอ่ ะไรบำ้ ง 16. จงบอกสว่ นประกอบสำคัญของสบู่ 17. ยำตำมพระรำชบัญญัติยำ พ.ศ. 2530 แบง่ ออกเป็นกี่ประเภทได้แกอ่ ะไรบ้ำง 18. จงบอกและยกตวั อย่ำงวธิ ีกำรใชย้ ำอยำ่ งถกู วิธมี ำสัก 5 ตวั อย่ำง 19. จงอธิบำยและยกตวั อยำ่ งผลขำ้ งเคียงจำกกำรใช้ยำ 20. จงบอกขอ้ ควรปฏบิ ัติในกำรใชผ้ ลติ ภัณฑส์ ำรเคมี

275 เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (มปป.). สารเคมีกาจัดศัตรูพืชและผลกระทบต่อสุขภาพ. ค้นเมื่อ กุมภำพันธ์ 19, 2563, จำก http://envocc.ddc.moph.go.th/contents/view/405. กรมอนำมยั . (มปป.). การจัดการสารเคมใี นบา้ นพกั อาศยั สาหรบั ประชาชน. กระทรวงสำธำรณสขุ . กฤติยำ เหมือนใจ. (มปป.). ความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน ตามระบบ GHS. ค้นเม่ือ กุมภำพันธ์ 25, 2563, จำก http://www.go.th/safety/wp-content/uploads/2014/04/GHS.pdf. กำรปฐมพยำบำลผู้ไดร้ ับสำรพษิ . (มปป.) คน้ เม่ือ กมุ ภำพันธ์ 25, 2563, จำก http://www.shawpat.or.th/index.php. ขนิษฐำ พำนชูวงศ์. (มปป.). สบกู่ ้อน. ค้นเมื่อ กุมภำพันธ์ 22, 2563, จำก http://www.dss.go.th/images/st-article/cp-11-2555-barsoap.pdf. ขอ้ กำหนดสำหรับกำรจดั เก็บสำรท่ีไวต่อปฏกิ ิรยิ ำ. (มปป.). คน้ เมื่อ กุมภำพนั ธ์ 25, 2563, จำก http://esprel.labsafety.nrct.go.th/content.asp?ID=219. คว้ น ขำวหนู. (มปป.). น้าปลา. คน้ เมือ่ กุมภำพนั ธ์ 23, 2563, จำก http://www.healthcarethai.com/. ควำมรู้เก่ียวกับอำหำร ควำมปลอดภัยด้ำนอำหำร สำรปนเป้ือนในอำหำรและผลกระทบต่อร่ำงกำย เนื่องจำกกำรบรโิ ภคอำหำรท่มี สี ำรปนเปอ้ื น. (มปป.). ค้นเมือ่ กมุ ภำพนั ธ์ 21, 2563, จำก http://sc.nsru.ac.th/science-center/new/files/sidemenu/20170325-120827.pdf. จันทนี อทิ ธพิ ำนิชพงศ์. (1994). กำรใช้ยำอย่ำงถูกตอ้ งสมเหตผุ ล.ว ารสาร Chula med Journal, 38(3) : 1025-108. จำก http://clmjournal.org/_fileupload/journal/153-0-1.pdf. ณฏั ฐินี อนนั ตโชค. (มปป.). ไขมนั ทรานส์. ค้นเมือ กมุ ภำพันธ์ 23, 2563, จำก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/. ธนำรักษ์ มั่งมีชัย. (2557). วิทยาศาสตร์สาหรับเยาวชน : ผงซักฟอกภัยเงียบจากครัวเรือน. ศูนย์ ทดสอบและมำตรวทิ ยำ สถำบนั วจิ ยั วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทย (วว.) เนชนั่ แนล จโี อกรำฟิก. (2561). สารเคมจี ากพลาสตกิ และเครื่องสาอางปนเปอ้ื นในโลมา. คน้ เมอ่ื ตุลำคม 23, 2563, จำก https://ngthai.com/animals/13806/chemicals-from- plastics-in-dolphins/. บบี ซี ี ไทย. (2017). พบสารเคมตี อ้ งหา้ มเมื่อเกอื บ 40 ปกี ่อนตกคา้ งในส่วนลึกทีส่ ุดของมหาสมุทร แปซฟิ ิก. คน้ เมือ่ กุมภำพนั ธ์ 28, 2563, จำก https://www.bbc.com/thai/international-39057387 บุษบำ จนิ ดำวจิ ักษณ.์ (มปป.). รูปแบบยามกี ่แี บบใชอ้ ยา่ งไร. ค้นเม่ือ กมุ ภำพนั ธ์ 27, 2563, จำก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0023.pdf. ประชำชำตธิ รุ กิจ. (2558). รู้ทนั โลก : สำรพิษตกค้ำงอันตรำยทตี่ ้องระวงั 4 กมุ ภำพนั ธ์ 2558 (89):5 ปำนทิพย์ รัตนศลิ ปก์ ัลชำญ. (2556). อนั ตรำยจำกสำรกัดกร่อนในผลิตภัณฑ์ทำควำมสะอำดครัวเรือน วารสาร มฉก.วชิ าการ, 16(32) :157-168.

276 พรรณพิสุทธ์ิ สนั ติภรำดร. (มปป.). ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เรือ่ ง กาหนดอาหารทหี่ า้ มผลติ นาเข้าหรอื จาหนา่ ย. คน้ เมื่อ กุมภำพันธ์ 25, 2563, จำก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/. พำลำภ สิงหเสนี. (2535). พิษของยาฆ่าแมลงต่อผู้ใช้และส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ จุฬำลงกรณม์ หำวทิ ยำลัย. วลัยพร มขุ สุวรรณ. (2552). รู้จกั ของใชอ้ นั ตรายในบ้าน. ค้นเมื่อ กุมภำพันธ์ 29, 2563, จำก http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=4&ID=19. วนิ ยั วนำนกุ ลู . (มปป.). อันตรายจากผลติ ภณั ฑท์ ่ีใชใ้ นบ้านเรอื น. ค้นเมื่อ กมุ ภำพันธ์ 18, 2563,จำก https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul98/v6n4/Household_p ro. วมิ ล ศรีศุข. (มปป). เปน็ เบาหวาน เลอื กอะไรใส่กาแฟแทนน้าตาล. คน้ เมือ่ กุมภำพันธ์ 22, 2563, จำก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/. วรี ยำ กำรพำนชิ . (มปป.) กรดเบนโซอิก วัตถุกันเสียทนี่ ิยมใชใ้ นอาหาร.สถำบันโภชนำกำร มหำวิทยำลยั มหิดล. ศริศักดิ์ สุนทรไชย. (2558). ระบบสำกล GHS เพื่อกำรจัดกำรควำมปลอดภัยของสำรเคมี. วารสาร ความปลอดภยั และสุขภาพ, 8(27) : 62-66. ศูนยข์ ้อมูลพิษวิทยำ. (มปป.). รู้จกั คารบ์ าเมต. คน้ เม่อื กุมภำพันธ์ 19, 2563, จำก http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_2_001c.asp?info_id=297 สถำบันอำหำร กระทรวงอุตสำหกรรม. (มปป.). สารกาจัดแมลงและศัตรูพชื กลุม่ ออรก์ าโนคลอรนี . ค้นเมื่อ กมุ ภำพนั ธ์ 19, 2563,จำก http://www.nfi.or.th/foodsafety/upload/damage/ pdf/organochlorine_2.pdf. สำรเคมใี นชีวิตประจำวนั . (มปป.). ค้นเม่อื กุมภำพนั ธ์ 25, 2563, จำก http://worldchemical.co.th/th/page-44-. สำนักข่ำวไทยพีบีเอส. (2553). สารเคมีผลิตภัณฑ์ฟอกสีผมร่ัวไหลกระทบต่อชาวบ้าน-นักเรียน . ค้นเม่ือ สิงหำคม 16, 2563, จำก https://news.thaipbs.or.th/content/217154, 22 กนั ยำยน 2553) สำนักงำนคณะกรรมกำรอำหำรและยำ. (มปป.). สารเคมกี าจดั หนู. คน้ เมอื่ กมุ ภำพนั ธ์ 19, 2563, จำกhttp://www.fda.moph.go.th/sites/Hazardous/KM_Factsheet/. สดุ ำ วรรณประสำท. (มปป.) Acrylonitril. คน้ เม่อื กมุ ภำพันธ์ 23, 2563, จำก https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/sites/default/files/public/pdf/books/ Toxic-Substance1-01_Acrylonitile.pdf. สุเมธำ วเิ ชยี รเพชร. (2012). ชมุ ชนปลอดภยั รูเ้ ท่าทันสารเคมี. ค้นเมื่อ กุมภำพนั ธ์ 19, 2563, จำก http://dpm.nida.ac.th/main/index.php/articles/chemical- hazards/itemlist/tag/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%20 NFPA.

277 สุรินทร์ อยยู่ ง. (มปป.). บทความเผยแพรค่ วามรูส้ ่ปู ระชาชน : อันตรายจากสารเคมใี กล้ตัว. คณะ เภสชั ศำสตร์ มหำวิทยำลัยมหดิ ล ค้นเม่อื กุมภำพันธ์ 29, 2563, จำก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/ สวุ รรณี ธรี ภำพธรรมกลุ และคณะ. (2559). กำรประเมินควำมเสี่ยงของกรดเบนโซอิกและกรดซอร์บคิ ในอำหำรต่อคนไทย. วารสารวิชาการสาธารณสขุ , 25(1) : 49-59. เสำวลักษณ์ ปกี กลำงและอนงคน์ ำถ พรมพินิจ. (มปป.). การศึกษาค่าปกป้องแสงแดดของครีมกัน แดดที่มีจาหน่ายในพืน้ ที่จงั หวดั มหาสารคาม. มหำวิทยำลยั รำชภัฏมหำสำรคำม. หรรษำ ไชยวำนชิ . (มปป.). ผลติ ภณั ฑ์วัตถุมีพิษที่ใช้ในอาคารบ้านเรือน. ค้นเมอื่ กุมภำพันธ์ 19, 2563, จำก http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_ toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=66. อุไรวรรณ พำนิช. (มปป.). การรับประทานยาให้ถูกวิธี. คน้ เม่อื กุมภำพนั ธ์ 28, 2563, จำก https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/1264_1.pdf.



บทท่ี 7 อปุ กรณ์และเครอื่ งใช้ไฟฟ้าในบา้ นกับผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม อุปกรณ์และเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำเป็นปัจจัยสำคัญอย่ำงหนึ่งในกำรดำรงชีวิตประจำวันเพรำะช่วย อำนวยควำมสะดวกให้แก่ผู้ใช้ แต่กำรใช้อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ำจำเป็นต้องมีกระแสไฟฟ้ำซ่ึงเป็น พลังงำนในรูปแบบหนึ่ง กำรใช้ไฟฟ้ำอย่ำงตระหนักถึงประโยชน์และอันตรำยจำกกำรใช้ไฟฟ้ำจะช่วย ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้ำมีควำมปลอดภัยและมีควำมสุข ดังน้ันผู้ใช้ไฟฟ้ำจงึ ควรศกึ ษำใหเ้ ข้ำใจเปน็ อย่ำงดีกอ่ น กำรใชง้ ำนเก่ยี วกับระบบไฟฟ้ำภำยในบ้ำนรวมท้ังอุปกรณท์ ่ีสำคัญและเครื่องใชไ้ ฟฟ้ำแต่ละชนิดท่ีใช้ใน ชีวิตประจำวันและที่สำคัญไฟฟ้ำเป็นพลังงำนแปรรูปจำกเช้ือเพลิงที่มีต้นทุนกำรผลิตและยังมี ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม กำรใช้ไฟฟ้ำอย่ำงมีประสิทธิภำพนอกจำกจะช่วยประเทศชำติประหยัด พลังงำนแลว้ ยงั ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยพรอ้ มกัน 7.1 ความหมายของไฟฟ้า ไฟฟ้ำ คือ พลังงำนในรูปแบบต่ำง ๆ กัน เช่น ควำมร้อน แสงสว่ำง สิ่งมีชีวิตท้ังหลำย ต้องกำรพลังงำนท้ังสิ้น พลังงำนสำมำรถถูกเก็บกักและปลดปล่อยออกมำเพื่อนำไปผลิตเป็น กระแสไฟฟ้ำ เม่ือเปิดสวิตซ์ไฟกระแสไฟฟ้ำจะว่ิงมำท่ีหลอดไฟทำให้เกิดแสงสว่ำงน่ันคือพลังงำน สำมำรถเปลย่ี นเปน็ ควำมรอ้ นและแสงสวำ่ งได้ ไฟฟ้ำจำแนกเป็น 2 ประเภทคือ 7.1.1 ไฟฟ้าสถติ ไฟฟ้ำสถิตเป็นไฟฟ้ำท่ีเกิดจำกกำรขัดสี เช่น ไฟฟ้ำในบรรยำกำศ เกิดจำกกำรขัดสี ของกลุ่มเมฆกับบรรยำกำศ ทำให้เกิดกำรถ่ำยเทประจุไฟฟ้ำให้แก่กัน และอำจทำให้กลุ่มเมฆแต่ละ กลุ่มมีประจุแตกต่ำงกัน ประจุท่ีต่ำงกันก็จะวิ่งเข้ำหำกันทำให้เกิดฟ้ำแลบ ฟ้ำร้อง และฟ้ำผ่ำ เรำ สำมำรถสร้ำงไฟฟ้ำสถิตได้โดยกำรนำวัตถุ 2 ชนิดมำขัดสีกัน เช่น ไม้บรรทัดพลำสติกกับเส้นผม แท่ง อำพันกับผ้ำขนสัตว์ และพิสูจน์กำรเกิดประจุได้โดยกำรนำเอำไม้บรรทัดหรือแท่งอำพันไปแตะกับ กระดำษถ้ำหำกพบว่ำเศษกระดำษติดขึ้นมำแสดงว่ำมีประจุท่ีแตกต่ำงกันระหว่ำงไม้บรรทัดกับเศษ กระดำษ 7.1.2 ไฟฟา้ กระแส ไฟฟ้ำกระแสเป็นไฟฟ้ำที่สำมำรถส่งไปในตัวนำได้ ได้แก่ จำกแหล่งจ่ำยของกำรไฟฟ้ำ แบตเตอรี่ เซลลไ์ ฟฟ้ำ ไฟฟ้ำกระแสแบ่งเป็น 2 ชนดิ 7.1.2.1 ไฟฟ้ำกระแสตรง (Direct current) หรือ ไฟฟ้ำ DC เป็นไฟฟ้ำที่มีทิศทำงกำร ไหลทำงเดียวตลอดเวลำ โดยจะไหลจำกขั้วบวกของแหล่งกำเนิดไฟฟ้ำผ่ำนภำระทำงไฟฟ้ำหรือโหลด (Load) และไหลกลับไปท่ีขั้วลบของแหล่งกำเนิด แหล่งกำเนิดไฟฟ้ำกระแสตรง ได้แก่ แบตเตอรี ไดนำโม

280 รูปที่ 7.1 วงจรไฟฟ้ำกระแสตรงจำกแบตเตอร่ี ท่มี ำ : (https://www.electric108.com/article/16/) รูปท่ี 7.2 กรำฟแรงดันไฟฟำ้ กระแสตรงเทยี บกับเวลำ ท่ีมำ : (https://www.electric108.com/article/16/) 7.1.2.2 ไฟฟำ้ กระแสสลับ (Alternating Current) เป็นไฟฟ้ำที่มีขนำดและทิศทำงกำร ไหลเปลีย่ นแปลงตลอดเวลำโดยอธบิ ำยได้จำกรปู ด้ำนลำ่ ง รปู ท่ี 7.3 วงจรไฟฟ้ำกระแสสลับ ทมี่ ำ : (https://www.electric108.com/article/16/)

281 รูปที่ 7.4 กรำฟแรงดันไฟฟ้ำกระแสสลับเทยี บกบั เวลำ ทม่ี ำ : (https://www.electric108.com/article/16/) ไฟฟ้ำกระแสสลับเป็นไฟฟ้ำที่มีทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำกลับไป กลับมำ และขนำดของกระแสเปล่ียนแปลงตลอดเวลำ โดยกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำจะเร่ิมต้นจำก ศูนย์ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเร่ือย ๆ จนถึงจุดสูงสุดแล้วจะค่อยลดลงมำเป็นศูนย์ ต่อจำกนั้นกำระแส ไฟฟ้ำจะไหลกลับโดยจะติดลบเร่ือย ๆ จนถึงจุดต่ำสุดแล้วค่อย ๆ เพิ่มข้ึนเร่ือย ๆ จนถึงศูนย์อีกคร้ัง เปน็ อย่ำงนี้ไปเร่ือย ๆ กระแสไฟฟำ้ ครบ 1 รอบ เรยี ก 1 ลูกคล่ืน (Cycle) 7.2 ระบบไฟฟา้ ภายในบ้าน ระบบไฟฟ้ำที่เก่ียวข้องกับบ้ำน คือ กำรเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ำของบ้ำนกับกำรไฟฟ้ำ สำหรับ สำยไฟที่พบเห็นตำมเสำไฟฟ้ำนั้นจะถูกลำเลียงมำตำมสำย 3 เส้นที่เรียกว่ำ สำย Line (ชื่อย่อว่ำ L) และจะมีสำยไฟอีกเส้นท่ีไม่มีกระแสไฟฟ้ำ เรียกว่ำ สำย Neutral (ช่ือย่อว่ำ N) ซ่ึงสำย L ทั้ง 3 เส้น จะแบ่งปริมำณกระแสไฟฟ้ำมำจ่ำยใหก้ ับบ้ำนตำมปริมำณท่ีเจ้ำของบำ้ นไดย้ ่ืนเรือ่ งขอไป ระบบไฟฟ้ำ ท่ีมีกำรขอใช้ ได้แก่ ระบบไฟฟ้ำ 1 เฟส โดยท่ีสำย L จะมีแรงดันไฟฟ้ำ 220 โวลต์ และระบบไฟฟ้ำ แบบ 3 เฟส ระบบน้ีจะมีสำยไฟฟ้ำลำกเข้ำบ้ำนจำนวน 4 สำย โดยสำย L จะมีค่ำแรงดันไฟฟ้ำ 380 โวลต์ แตเ่ มอ่ื นำมำใช้ภำยในอำคำรจะมีกำรแบ่งกำรใช้ไฟฟ้ำให้สมดุลเป็นลักษณะ 1 เฟส คือ ต่อเข้ำคู่ กับสำย N จึงมคี ่ำแรงดนั ไฟฟำ้ ท่ี 220 โวลต์ สำมำรถใชง้ ำนกบั เครอื่ งใชป้ กตทิ ่วั ไป ระบบไฟฟำ้ แบบ 3 เฟสนีม้ ขี อ้ ดคี ือ สำมำรถจ่ำยกระแสไฟฟำ้ ไดม้ ำกกวำ่ ระบบ 1 เฟส ถึง 3-4 เทำ่ จึงเหมำะสมกบั สถำนที่ ท่ีต้องกำรใช้ไฟฟ้ำมำก ๆ เช่น อำคำรพำณิชย์ โรงงำนอุตสำหกรรม เป็นต้น โดยปกติขนำดมิเตอร์ ไฟฟ้ำท่ีจะขอจำกกำรไฟฟ้ำจะต้องสัมพันธ์กับปริมำณกำรใช้ไฟฟ้ำภำยในบ้ำน โดยปกติขนำดของ มเิ ตอร์ไฟฟ้ำทีจ่ ะขอติดต้ังได้จะมีขนำด 5(15), 15(45), 30(100) และ 50(150) แอมแปร์ ซึ่งเปน็ ระบบ ไฟฟ้ำ1 เฟส ตัวเลขท่ีอยู่ด้ำนซ้ำยนอกวงเล็บหมำยถึงกระแสไฟฟ้ำปกติสำหรับกำรใช้งำนของระบบ ไฟฟ้ำขนำดน้ัน ๆ ส่วนตัวเลขด้ำนขวำที่อยู่ภำยในวงเล็บ หมำยถึง กระแสไฟฟ้ำสูงสุดท่ีระบบไฟฟ้ำ สำมำรถทนได้ เชน่ มเิ ตอร์ไฟฟำ้ ขนำด 15(45) แอมแปร์ หมำยควำมว่ำ ขนำดของระบบไฟฟ้ำท่ีติดตั้ง ไว้สำมำรถรองรับกำรใช้งำนของอุปกรณ์ไฟฟ้ำต่ำง ๆ โดยรวมได้ 15 แอมแปร์อย่ำงปลอดภัยภำยใต้ สภำวะกำรใช้งำนตำมปกติแต่จะสำมำรถทนกระแสไฟฟ้ำสูงสุดได้ถึง 45 แอมแปร์ ในบำงคร้ังบำง ครำวเป็นระยะเวลำสั้นๆ เช่น ขณะท่ีเปิดเคร่ืองปรับอำกำศใหม่ ๆ เคร่ืองปรับอำกำศจะกิน กระแสไฟฟ้ำมำกกว่ำปกติ ถึงแม้ว่ำกระแสไฟฟ้ำท่ีใช้โดยรวมในช่วงเวลำนั้นอำจจะสูงเกินกว่ำระดับ ปกติแต่ถ้ำเป็นเพียงระยะเวลำสั้น ๆ ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหำต่อระบบไฟฟ้ำหรือกำรใช้ไฟฟ้ำปกติหำก

282 เป็นบ้ำนขนำดเล็กท่ีมีกำรติดต้ังดวงไฟและปลั๊กไฟเพียงไม่ก่ีจุดอำจใช้มิเตอร์ไฟฟ้ำขนำด 15(15) แอมแปร์ซ่ึงเพียงพอแล้ว แต่ถ้ำมีเครื่องปรับอำกำศ 1-2 เคร่ืองก็อำจใช้มิเตอร์ไฟฟ้ำขนำด 15(45) แอมแปร์ หำกเป็นบ้ำนที่มีกำรใช้ไฟฟ้ำมำก เช่น มีกำรติดต้ังเคร่ืองปรับอำกำศหลำยเครื่องก็อำจจะ ต้องใช้มิเตอร์ไฟฟ้ำขนำด 50(150) แอมแปร์ หรือบ้ำนท่ีมีปริมำณกำรใช้ไฟฟ้ำมำกขึ้นไปอีกก็ควรจะ พจิ ำรณำขอตดิ ต้งั ระบบไฟฟ้ำ 3 เฟส ซ่งึ ระบบดังกล่ำวจะทำให้ได้ไฟฟ้ำที่มีขนำดเป็น 3 เท่ำของไฟฟ้ำ ระบบเฟสเดียวตำมขนำดตัวเลขแอมแปร์ข้ำงต้นหรือกล่ำวอีกนัยหน่ึงคือเทียบเท่ำกับได้ระบบไฟฟ้ำ เฟสเดียวตำมขนำดตัวเลขแอมแปร์ข้ำงต้นเป็นจำนวน 3 ชุด เช่น ถ้ำติดตั้งระบบไฟฟ้ำ 3 เฟส 4 สำย 30(100) แอมแปร์ 380 โวลต์ 1 ชดุ ก็เทียบเทำ่ กบั ตดิ ตง้ั ระบบไฟฟ้ำ 1 เฟส 2 สำย 30(100) แอมแปร์ 220 โวลต์ 3 ชุดนั่นเอง รูปที่ 7.5 ระบบไฟฟ้ำ 1 เฟส (Single Phase) ทม่ี ำ : (https://www.scgbuildingmaterials.com/th/HomeConsult/Blog/new-home/) รูปที่ 7.6 ระบบไฟฟ้ำแบบ 3 เฟส (Three Phase) ที่มำ : (https://www.scgbuildingmaterials.com/th/HomeConsult/Blog/new-home/)

283 7.3 หน่วยไฟฟา้ และอุปกรณ์ไฟฟ้าในชีวิตประจาวัน 7.3.1 หน่วยไฟฟ้า 7.3.1.1 โวลต์ (Volt, V) คือ หน่วยท่ีใช้เรียกขนำดของแรงดันไฟฟ้ำ เช่น 220 V หมำยถงึ ขนำดของแรงดนั ไฟฟำ้ เทำ่ กบั 220 โวลต์ 7.3.1.2 เควี (Kilovolt, kV) คือ หน่วยของแรงดันไฟฟ้ำที่คิดเป็นโวลต์ เช่น 12 เควี หมำยถึง 12,000 โวลต์ 7.3.1.3 แอมป์ หรือ แอมแปร์ (Ampere, A) คือหน่วยที่ใช้เรียกปริมำณของ กระแสไฟฟ้ำท่ไี หลผ่ำนตวั นำไฟฟำ้ เช่น 5 A หมำยถงึ ปริมำณกระแสไฟฟ้ำท่ีไหลเทำ่ กบั 5 แอมแปร์ 7.3.1.4 กโิ ลแอมป์ กิโลแอมแปร์ ( Kilo-ampere, kA) คอื หน่วยของกระแสไฟฟ้ำคิด เป็นหน่วยของหนงึ่ พันแอมป์ เช่น 5 kA หมำยถงึ 5,000 แอมแปร์ 7.3.1.5 วัตต์ (Watt, W) คือ หน่วยที่ใช้เรียกขนำดของกำลังไฟฟ้ำจริง เช่น เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำเขียนว่ำ 2,000 W หมำยควำมว่ำ เครื่องใช้ไฟฟ้ำนี้ใช้กำลังไฟฟ้ำ 2,000 วัตต์ (กินไฟ 2,000 วตั ต์) 7.3.1.6 กิโลวัตต์ (Kilowatt, kW) คือ หน่วยของกำลังไฟฟ้ำเท่ำกับหน่ึงพันวัตต์ เช่น 2 kW หมำยถึง กำลังไฟฟ้ำ 2,000 วัตต์ สำหรับหน่วยของกำลังไฟฟ้ำหนึ่งล้ำนวัตต์ จะเรียกว่ำ เมกะ วัตต์ (Megawatt, MW) 7.3.1.7 หนว่ ยไฟฟ้ำ หรือ ยนู ิต (Unit หรือ kWh) หมำยถงึ หนว่ ยท่ีใชบ้ อกขนำด หรือปริมำณของไฟฟ้ำท่ีใช้งำน พลังงำนไฟฟ้ำ 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย เท่ำกับ 1 กิโลวัตต์-ช่ัวโมง (kilo watt hour = กำลงั ไฟ 1 กิโลวัตต์ ใช้งำนนำน 1 ชั่วโมง) 7.3.1.8 วำร์ หรือ กิโลวำร์ (Var หรือ kilovar) หมำยถึง หน่วยวัดกำลังไฟฟ้ำรีแอก ทีฟ หรือกำลังไฟฟ้ำไร้งำน โดยหน่วยวดั กำลังไฟฟ้ำรีแอกทีฟหน่ึงพันวำร์จะเรียกว่ำ กิโลวำร์ และหนึ่ง ลำ้ นวำรเ์ รยี กวำ่ เมกะวำร์ (Mvar) 7.3.2 หนา้ ท่แี ละความสาคัญของอุปกรณ์ไฟฟา้ 7.3.2.1 เมนสวิตซ์ (Main Switch) หรือ สวิตซ์ประธำน เป็นอุปกรณ์ตัวหลักที่ใช้ สำหรับต่อวงจรของสำยเมนเข้ำอำคำรกับสำยภำยในท้ังหมด เป็นอุปกรณ์สับปลดวงจรไฟฟ้ำตัวแรก ถัดจำกเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ำ (มิเตอร์) ของกำรไฟฟ้ำเข้ำมำในบ้ำน เมนสวิสซ์ประกอบด้วยเคร่ือง ปลดวงจร (Disconnecting Means) และเคร่ืองป้องกันกระแสเกิน (Overcurrent Protective Device) เมนสวิตซ์อำจเป็นอุปกรณ์ตัดไฟหลักตัวเดียวหรือจะรวมอยู่กับอุปกรณ์อ่ืน ๆ ในแผงสวิตซ์ ทีเ่ รียกว่ำตเู้ มนสวิตซ์ เมนสวติ ซ์จึงอำจจะเป็นสวติ ซค์ ันโยกทีต่ ดั โหลดได้ (Load break switch) อำจ เป็นเบรกเกอร์หรืออุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินหรือลดั วงจรหรือเป็นสวิตซ์ท่ีมีฟิวส์ในตัวก็ได้ แต่ต้องมี คุณสมบัติของเครื่องปลดวงจรท่ีเมื่อปลดวงจรดับไฟแล้วสำมำรถทำงำนได้อย่ำงปลอดภัย ดังน้ัน หน้ำท่ีของเมนสวิตซ์คือ ควบคุมกำรใช้ไฟฟ้ำให้เกิดควำมปลอดภัยในกรณีท่ีเกิดกระแสไฟฟ้ำเกินหรือ เกิดไฟฟ้ำลดั วงจร 7.3.2.2 เบรกเกอร์ (เซอรก์ ิตเบรกเกอร์) หรอื สวิตซต์ ัดไฟอัตโนมัติ หมำยถงึ อุปกรณ์ท่ี สำมำรถใช้สับปลดวงจรไฟฟ้ำได้หรอื ต่อวงจรไฟฟำ้ ไดใ้ นขณะใช้งำนปกติ กำรลือกใช้เบรกเกอร์จะต้อง

284 เลือกขนำดพิกัดกำรตัดกระแสลัดวงจร (Interrupting capacity ; IC) ของเบรกเกอร์ให้สูงกว่ำขนำด กระแสลดั วงจรที่เกิดข้ึนในวงจรนั้น ๆ 7.3.2.3 ฟวิ ส์ คือ อุปกรณป์ ้องกันกระแสไฟฟำ้ เกินชนดิ หน่งึ โดยทำหนำ้ ที่ตัดวงจรไฟฟ้ำ โดยอัตโนมตั เิ ม่ือมีกระแสไฟฟำ้ ไหลเกินคำ่ ท่ีกำหนด เมอ่ื ฟวิ สท์ ำงำนแล้วจะต้องเปลี่ยนฟิวสใ์ หม่ ฟิวส์ ทใ่ี ช้เปลย่ี นต้องมีขนำดพิกัดกำรตัดกระแสลัดวงจร (IC) ของฟวิ สไ์ ม่ตำ่ กว่ำขนำดกระแสลัดวงจรที่ผ่ำน ฟวิ ส์ 7.3.2.4 เคร่ืองตัดไฟรั่ว หรือ เคร่ืองตัดวงจรเมื่อมีกระแสไฟฟ้ำรว่ั ลงดิน (ELCB, GFCI, RCD, RCCB, RCBO) หมำยถึง สวิตช์อัตโนมัติท่ีสำมำรถปลดวงจร เม่ือมีกระแสไฟฟ้ำรั่วได้อย่ำง รวดเรว็ ภำยในระยะเวลำท่ีกำหนด เม่อื มีกระแสไฟฟ้ำร่ัวลงดินในปริมำณมำกวำ่ คำ่ ที่กำหนดไว้ เครือ่ ง ตั ด ไ ฟ รั่ ว เ ป็ น อุ ป ก ร ณ์ ป้ อ ง กั น เ ส ริ ม กั บ ร ะ บ บ ส ำ ย ดิ น เ พื่ อ ป้ อ ง กั น อั น ต ร ำ ย จ ำ ก ไ ฟ ฟ้ ำ ดู ด ก ร ณี เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำมีไฟร่ัวเกิดข้ึนเป็นกำรช่วยป้องกันกำรเกิดอัคคีภัย เคร่ืองตัดไฟร่ัวน้ีจะมีปุ่มสำหรับกด ทดสอบกำรทำงำนอยเู่ สมอ ซงึ่ ทั่วไปเรยี กว่ำ เครือ่ งปอ้ งกนั ไฟดดู 7.3.2.5 สำยดินเพื่อควำมปลอดภัย สำยเขียว สำยดินของอุปกรณ์ไฟฟ้ำ สำยดิน เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำ หรือสำยดินป้องกัน (Equipment Grounding Conductor หรือ Protective Conductor หรือ P.E.) คำเหล่ำน้ีมีควำมหมำยเดียวกันคือ หมำยถึงตัวนำ หรือสำยไฟฟ้ำที่ต่อจำก ส่วนที่เป็นเปลือกโลหะของเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำและมักมีกำรจับต้องขณะใช้งำน เพื่อให้เป็นเส้นทำงที่ สำมำรถนำกระแสไฟฟ้ำกรณีที่มีไฟร่ัวให้ไหลลงดินโดยผู้ใช้หรือบุคคลทั่วไปท่ีมำสัมผัสแล้วไม่เกิด อันตรำย สำยดินป้องกันเป็นสำยไฟเส้นท่ีมีไว้เพ่ือให้เกิดควำมปลอดภัยต่อกำรใช้ไฟฟ้ำ ปลำยด้ำน หน่ึงของสำยดินจะต้องมีกำรต่อลงดินส่วนปลำยอีกด้ำนหน่ึงจะต่อเข้ำกับวัตถุหรือเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำท่ี ตอ้ งกำรให้มีศักย์ไฟฟ้ำเปน็ ศูนยเ์ ท่ำกับพ้นื ดิน และมีกำรทำงำนร่วมกบั อุปกรณป์ ้องกนั วงจร เชน่ ฟวิ ส์ หรือเบรกเกอร์ 7.3.2.6 หลักดิน (Ground Rod หรอื Grounding Electrode หรอื Earth Electrode) หมำยถึง แท่งหรือแผ่นโลหะที่ฝังอยู่ในดินเพ่ือทำหน้ำที่แพร่หรือกระจำยประจุไฟฟ้ำหรือกระแสไฟฟ้ำ ให้ไหลลงสู่ดินได้โดยสะดวก วัตถุที่จะนำมำใช้เป็นหลักดิน เช่น แท่งทองแดงขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 16 มลิ ลิเมตร (5/8 น้วิ ) ควำมยำวมำตรฐำนตอ้ งยำวไมน่ อ้ ยกว่ำ 2.40 เมตร เป็นต้น 7.3.2.7 สำยต่อหลักดิน (Grounding Electrode Conductor หรือEarthing Conductor) คือ สำยตัวนำที่ใช้ต่อระหว่ำงหลักดินกับส่วนที่ต้องกำรต่อลงดินซึ่งหมำยถึง สำยที่ต่อ ระหว่ำงหลักดินกับข้ัวต่อสำยศูนย์หรือกับข้ัวต่อสำยดินในแผงสวิตซ์ประธำน (ตู้เมนสวิตซ์) เพ่ือให้ ระบบไฟฟำ้ และอปุ กรณไ์ ฟฟ้ำมกี ำรต่อลงดิน 7.3.2.8 เต้ำรับ หรือ ปลั๊กตัวเมีย คือ ขั้วรับสำหรับหัวเสียบจำกเครื่องใช้ไฟฟ้ำปกติ เต้ำรับจะตดิ ตั้งอย่กู บั ท่ี เชน่ ติดอยกู่ ับผนงั อำคำร เป็นต้น 7.3.2.9 เตำ้ เสียบ หรอื ปลัก๊ ตวั ผู้ คือ ขั้วหรือหวั เสยี บจำกเครื่องใช้ไฟฟำ้ เพื่อเสีบบเข้ำ กับเต้ำรับทำให้สำมำรถใชเ้ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟำ้ นั้นได้ 7.3.2.10 เครื่องใช้ไฟฟ้ำประเภท 1 หมำยถึง เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำท่ีเต้ำเสียบต้องมีสำยดิน เพรำะมีควำมหนำของฉนวนไฟฟ้ำเพียงพอสำหรับกำรใช้งำนปกติเท่ำนั้นโดยมักมีเปลือกนอกของ เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำทำด้วยโลหะเพ่ือควำมปลอดภัยผู้ผลิตจึงต้องมีกำรต่อสำยดินของอุปกรณ์ไฟฟ้ำเข้ำกับ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook