บทที่ 2 โลกาภวิ ัตน์กบั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โลกำภวิ ตั น์เป็นกำรเปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ ในโลกยุคปัจจุบนั ทมี่ ผี ลกระทบต่อวิถีชีวติ เศรษฐกิจ และสังคมของคนทั่วทั้งโลก ซ่ึงกำรเปล่ียนแปลงอำจก่อให้เกิดควำมเจริญหรือควำมเส่ือมโทรมก็ อำจจะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันโลกำภิวัตน์ก็เป็นควำมท้ำทำยของคนในปัจจุบันท่ีจะอยู่กับกำร เปล่ียนแปลงสิ่งต่ำง ๆ อย่ำงรวดเร็วและกำรมีวิถีชีวิตแบบใหม่ โลกำภิวัตน์เป็นสถำนกำรณ์ท่ีกระตุ้น ให้เกิดควำมก้ำวหน้ำของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีแต่ในทำงกลับกันวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีก็ เป็นเคร่อื งมอื สำคญั ในกำรขับเคลอ่ื นโลกำภิวัตนจ์ ึงอำจกล่ำวไดว้ ำ่ ตำ่ งมีอทิ ธิพลต่อกนั และกัน 2.1 ความหมาย ผลกระทบและการปรบั ตัวยคุ โลกาภวิ ัตน์ 2.1.1 ความหมายโลกาภวิ ัตน์ โลกำภิวัตน์ (Globalization) ตำมควำมหมำยของพจนำนุกรมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. 2542 หมำยถึง กำรแพร่กระจำยไปท่ัวไป กำรที่ประชำคมโลกไม่ว่ำจะอยู่ ณ จุดใด สำมำรถ รับรู้ สัมพันธ์หรือรับผลกระทบจำกสิ่งท่ีเกิดข้ึนได้อย่ำงรวดเร็วกว้ำงขวำงซ่ึงเนื่องมำจำกกำรพัฒนำ ระบบสำรสนเทศ เปน็ ต้น โลกำภิวัตน์ หมำยถึง กำรเปล่ียนแปลงโลกด้วยกิจพึงกระทำเพ่ือให้โลกดีขึ้น โดยกำร ทำกิจใด ๆ เพ่ือให้โลกดีย่ิงข้ึนแปลว่ำ โลกในปัจจุบันยังไม่ดีพอ หรือไม่ดีเลยจึงทำให้ชำวโลกทั้งหลำย ต้องมำรว่ มคิดอำ่ นทจี่ ะช่วยทำให้โลกดยี ิ่งข้นึ ไปอีก (พิชยั วำศนำสง่ , 2549) โลกำภิวัตน์ในมิติเชิงเศรษฐกิจ หมำยถึง ควำมเชื่อมโยงและกำรผนวกรวมกันเป็นเน้อื เดียวกันของระบบเศรษฐกิจโลกซ่ึงก็หมำยถึงระบบตลำดหรือโลกำภวิ ัตน์อำจถึงหมำยถึง ควำมสำคญั ของระบบทนุ นิยม กำรคำ้ เสรี กำรแบ่งงำนกนั ทำในระดับสำกล (International Division of Labor) กำรผลิตเพื่อส่งออก ควำมคล่องตัวทำงกำรผลิตในระดับโลกหรือเรียกรวมกันว่ำ สัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) (วีระ สมบรู ณ์, 2551) โลกำภิวัตน์ เป็นกระบวนกำรที่มีลักษณะพลวัตในกำรผลักดันตลำดภำยในแต่ละ ประเทศทัง้ ในด้ำนสนิ ค้ำ บริกำรและสินทรพั ย์ให้เข้ำสตู่ ลำดโลก (มำคิน อำ้ งถึงในศรีรฐั โกวงศ์, 2559) โลกำภิวัตน์เป็นศัพท์เฉพำะท่ีบัญญัติข้ึนเพ่ือตอบสนองปรำกฏกำรณ์ของสังคมโลกท่ี เหตุกำรณ์ทำงเศรษฐกิจ กำรเมือง สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่เกิดข้ึนในส่วนหนึ่งของโลก ส่งผล กระทบอันรวดเร็วและสำคัญต่อส่วนอื่น ๆ ของโลก โลกำภิวัตน์ยังสร้ำงควำมรู้สึกว่ำเป็นโลกเดียวกัน ด้วยเรำสำมำรถเชอ่ื มต่อถึงกันไดผ้ ำ่ นเทคโนโลยีสำรสนเทศ โลกำภวิ ัตนเ์ ป็นกำรเปลีย่ นแปลงทเี่ กิดขึ้น จำกกำรเคลื่อนย้ำยทุนในเศรษฐกิจโลกซ่ึงได้แก่ กำรเคลื่อนย้ำยทุนมนุษย์ กำรเคลื่อนย้ำยทุนกำรเงนิ กำรเคลื่อนย้ำยทุนทรัพยำกรและทุนอำนำจ กำรค้ำขำยระหว่ำงประเทศหรือภำยในประเทศในยุค โลกำภิวัตน์จะอยู่ภำยใต้ควำมเป็นไปของโลกำภิวัตน์ซ่ึงเศรษฐกิจในยุคสมัยโลกำภิวัตน์จะเป็นไปตำม ลัทธิทุนนิยม มีกำรแข่งขันแบบเสรีนิยม เปิดกำรค้ำระหว่ำงประเทศแบบไร้พรมแดนแต่ควำมเสรีนี้ ควำมได้เปรียบจะตกอยู่กับบริษัทข้ำมชำติประกอบกับกำรปฏิวัติทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศทำให้กำร
36 เชื่อมโยงสื่อสำรเป็นไปอย่ำงสะดวกรวดเร็วมำกข้ึน และค่ำนิยมที่ถูกสร้ำงข้ึนมำผ่ำนทำงเทคโนโลยี สำรสนเทศอันได้แก่ ค่ำนิยมทำงกำรเมือง ค่ำนิยมทำงเศรษฐกิจ ค่ำนิยมทำงสังคม และค่ำนิยมกำร ปกป้องทำงกำรค้ำ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ำกกำรปกป้องกำรค้ำในรูปแบบลิขสิทธิซ์ ่ึงเป็นเครื่องมือสำคัญในกำร ปกป้องสินค้ำและบริกำร นอกจำกน้ียังมีกำรใช้มำตรกำรทำงกำรเงินผ่ำนกองทุนต่ำง ๆ เช่น IMF ADB Bank ซ่งึ มกั จะเปน็ ประโยชน์ต่อธรุ กจิ ขำ้ มชำติ หำกจะกล่ำวถึงที่มำของโลกำภิวัตน์อำจกล่ำวถึงลักษณะท่ีสำคัญของโลกำภิวัตน์ คือ ควำมหลำกหลำยท่ีเก่ยี วขอ้ งกับกำรกระจำยกจิ กรรมกำรดำเนนิ งำนโดยอำจจะผกู ขำดในพน้ื ท่ไี ม่กี่แห่ง และมีกำรกระจำยออกไปยังท้องถ่ินหรือพ้ืนท่ีใหม่ ๆ หลำกหลำยมำกข้ึน ดังนั้นจึงกล่ำวว่ำสังคมโลก ยุคโลกำภิวัตน์เป็นโลกท่ีมนุษย์สำมำรถข้ำมพรมแดนของประเทศและสำมำรถทะลุกำลเวลำได้โดย เทคโนโลยสี ำรสนเทศในกำรติดต่อสื่อสำรได้ง่ำยและเร็วข้ึนมีผลทำให้ประเทศตำ่ ง ๆ ในโลกตอ้ งพ่ึงพำ อำศยั ซงึ่ กนั และกันและมคี วำมเชือ่ มโยงระหว่ำงกนั มำกขึ้น (อำรีย์ นัยพินิจ และคณะ, 2557) จำกรำยงำนกำรศึกษำของสถำบันบัณฑิตบริหำรธุรกิจศศินทร (2554) โดยภำพรวม นับตั้งแต่ก้ำวเข้ำสู่ศตวรรษที่ 21 แสดงใหเห็นว่ำโลกกำลังเผชิญหนำกับกำรเปล่ียนแปลงต่ำง ๆ ที่ เกิดขึ้นและมีผลกระทบท่ีถึงขั้นเรียกได้ว่ำวิกฤติ โดยวิกฤติที่สำคัญในทศวรรษท่ีแลวเริ่มตั้งแต่วิกฤติ เศรษฐกิจเอเชียในป พ.ศ. 2540 ท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยและลุกลำมไปในอีกหลำยประเทศ ทั้งใน สหรัฐอเมริกำและยุโรป ผลจำกกำรเปลี่ยนแปลงและวิกฤติต่ำง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ประกอบกับแนวโนมกำร ขยำยตัวทำงเศรษฐกิจของประเทศพัฒนำแลวทำให้ประเมินได้ว่ำในทศวรรษนี้เศรษฐกิจของประเทศ กำลังพัฒนำจะมีควำมสำคัญตอทิศทำงกำรพัฒนำของระบบเศรษฐกิจโลกมำกขึ้นโดยมีประเทศจีน และอินเดียเป็นประเทศท่ีมีบทบำทโดดเดนท่ีสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนำ โดยระบบเศรษฐกิจโลก จะอยู่ภำยใตสภำพแวดลอมท่ีมีกำรขยำยตัวโดยรวมค่อนข้ำงต่ำ มีแรงกดดันจำกภำวะกำรว่ำงงำน และกำรใชพลังกำรผลิตไม่เต็มท่ี มีควำมผันผวนในตลำดกำรเงิน ภำครัฐมีบทบำทเขำมำแทรกแซง ระบบตลำดและกำกับดูแลมำกขึ้น ประชำชนมีภำระทำงภำษี ภำครัฐมีนโยบำยให้ควำมสำคัญกับ เศรษฐกิจภำยในประเทศมำกข้ึนและสงผลใหอำจมีกำรกีดกันทำงกำรคำในรูปแบบใหม่เกิดข้ึน จำก กำรศึกษำของ The Future Agenda Program (2010) ซ่ึงเป็นโครงกำรอนำคตศึกษำขนำดใหญ่ทไี่ ด วิเครำะห์ภำพอนำคตในปี พ.ศ. 2563 วำมี 4 ประเด็นท่ีมีแนวโนมที่ชัดเจน ไดแก (1) ควำมไม่สมดุล ของกำรเติบโตของประชำกร (Imbalanced Population Growth) โดยประเทศ พัฒนำแล้วและ ประเทศกำลังพัฒนำจำนวนมำกจะมีประชำกรสงู อำยุมำกข้ึน ในขณะที่ประชำกรในวยั แรงงำนลดลง และจำนวนชนชั้นกลำงในโลกเพ่ิมสูงข้ึน (2) ข้อจำกัดของทรัพยำกรธรรมชำติที่สำคัญ (Key Resource Constraints) เชน พลังงำน โลหะ แร่หำยำก (Rare Metals) น้ำ ท่ีดิน และอำหำร (3) กำรเพิ่มขึ้นของควำมม่ังคั่งของเอเชีย (Asian Wealth Shift) โดยเฉพำะประเทศจีนและอินเดีย (4) กำรเขำถึงข้อมูลอย่ำงทั่วถึง (Universal Data Access) จำกกำรพัฒนำเทคโนโลยีส่ือสำรและ สำรสนเทศ กำรผนวกรวมของกำรแพรภำพกระจำยเสียง กำรส่ือสำรไรสำยและอินเทอรเน็ต นอกจำกนี้ยังพบผลกำรศึกษำจำกหลำย ๆ แห่งวำกำรเปลี่ยนแปลงจำนวนหนึ่งมีแนวโนมท่ีค่อนข้ำง ชัดเจนและคำดวำจะส่งผลกระทบในวงกว้ำงท่ีทุกประเทศและทุกองคกรตองเตรียมพรอมรับมือกับ แนวโนมท่ีจะเกิดข้ึนดงั กล่ำวและประชำคมโลกตองรว่ มกันรับมือไม่วำ่ จะเป็นด้ำนสังคม (Societal) ท่ี ต้องประสบกับสถำนกำรณสังคมผู้สูงอำยุ สถำนกำรณโรคระบำดและโรคเรื้อรัง กำรขยำยตัวของ
37 สงั คมเมอื ง ดำ้ นเทคโนโลยี (Technological) ต้องพบกบั กำรขยำยตัวของเครือข่ำยข้อมูล กำรพัฒนำ ของนำโนเทคโนโลยีและเทคโนโลยีชีวภำพ ด้ำนเศรษฐกิจ (Economic) จะพบกับกำรข้ึนเป็น มหำอำนำจทำงเศรษฐกิจของเอเชีย ได้แก่ จีนและอินเดีย บทบำททำงเศรษฐกิจที่เพ่ิมขึ้นของชนชั้น กลำง กำรเปิดเสรีและกำรรวมกลุมทำงเศรษฐกิจ บทบำททำงกำรเงินของหนวยงำนภำครัฐ กำร ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อกำรกำกับดแู ลเสถียรภำพทำงกำรเงิน แนวโนมรำคำพลงั งำนและอำหำร ดำ นส่ิงแวดลอมต้องเผชิญกับสถำนกำรณ์ภำวะโลกร้อน แนวโนมกำรเกิดภัยพิบัติทำงธรรมชำติ ภำวะ มลพิษ กำรขำดแคลนน้ำสะอำด และด้ำนภูมิรัฐศำสตร์ (Political) เชน แนวโน้มกำรกอกำรร้ำย ควำมขดั แย้งทำงกำรเมืองภำยในประเทศ กำรขยำยบทบำทของจนี นอกจำกนี้โลกยังเผชิญกับควำม ไม่แน่นอนหรือควำมเส่ียงที่เกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงที่คำดกำรณ ได้ยำกหรือไม่สำมำรถคำดกำรณ์ได้ ซ่ึงทำให้โลกต้องเผชิญกับควำมเสี่ยงดังรำยงำนกำรศึกษำของสภำเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum ; WEF) ทีแ่ สดงให้เหน็ ควำมเส่ียงของโลกในด้ำนต่ำง ๆ และควำมเสีย่ งนั้นมีควำมเช่ือมโยงกัน จนทำให้เกิดผลกระทบข้ึน ในป พ.ศ. 2554 ผู้เช่ียวชำญของสภำเศรษฐกิจโลกประเมินว่ำควำมเสี่ยง จำกกำรเปล่ียนแปลงสภำพอำกำศ ควำมเส่ียงจำกควำมผันผวนของรำคำพลังงำน ควำมเส่ียงจำก ควำมแตกต่ำงของสถำนะทำงเศรษฐกิจของประเทศต่ำง ๆ และควำมเสี่ยงจำกวิกฤติทำงกำรคลังจะ เป็นปัจจัยควำมเสี่ยงกลุ่มสำคัญสูงคือ เป็นควำมเสี่ยงท่ีมีโอกำสเกิดขึ้นสูงและมีผลกระทบรุนแรงมำก และเป็นปัจจัยที่มีควำมเช่ือมโยงกับปัจจัยควำมเส่ียงอื่น ๆ เช่น กำรเปลี่ยนแปลงสภำพอำกำศอำจจะ นำไปสคู่ วำมเสีย่ งกำรขำดแคลนนำ้ อำหำรและภยั พบิ ัตทิ ำงธรรมชำติ 2.1.2 ผลกระทบจากกระแสโลกาภวิ ตั น์ โลกำภวิ ัตน์สง่ ผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และโลก นกั เศรษฐศำสตร์ยอมรับว่ำโลกำภิวัตน์มี อทิ ธิพลตอ่ ภำวะเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศต่ำง ๆ โดยเฉพำะประเทศทต่ี ้องพงึ่ พำตำ่ งประเทศสูง และจำกกำรคำดกำรณข์ องนักวิชำกำรไดส้ รุปว่ำ โลกจะมแี นวโนม้ เปล่ียนแปลงไปทั้งในด้ำนเศรษฐกิจ สังคมและกำรเมือง และเก่ียวข้องกับควำมสำมำรถของประเทศในกำรแข่งขัน ในปี ค.ศ. 2025 คำด ว่ำจะมีประชำกรเพิ่มข้ึนเป็น 7.8 พันล้ำนคน เพ่ิมขึ้นร้อยละ 28 และประชำกรที่เพ่ิมขึ้นส่วนใหญ่อยู่ ในประเทศกำลังพัฒนำ รวมทั้งแนวโน้มประชำกรก็จะมีกำรเปล่ียนแปลงท้ังทำงด้ำนโครงสร้ำงและ พฤติกรรม ประชำกรวัยหนุ่มสำวจะลดลงโดยเฉพำะในประเทศพัฒนำแล้ว อัตรำกำรเกิดประชำกร ของประเทศพัฒนำแล้วต่ำลง คนมีสุขภำพดีและอำยุยืนขึ้น รวมท้ังค่ำนิยมและพฤติกรรมของ ประชำกรจะมกี ำรเปลีย่ นแปลงอยำ่ งรวดเร็ว ตลำดสินค้ำในโลกยุคโลกำภิวัตน์จะเปลี่ยนไปโดยจะมีตลำดของกลุ่มคน 2 กลุ่มอย่ำง ชัดเจน คือ ตลำดของกลุ่มผู้สูงอำยุ และตลำดของกลุ่มวัยรุ่น มีกำรพัฒนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพ่ือ ตอบสนองค่ำนิยมและพฤติกรรมของคนที่เปล่ียนไปอย่ำงรวดเร็ว ดังน้ันจึงจำเป็นต้องมีกำรคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ และใช้ประสบกำรณ์ควำมรู้ และภูมิปัญญำในกำรเตรียมรับกำรเปลี่ยนแปลงท่ี เกิดขึ้น ในด้ำนแรงงำนจะมีกำรเคลื่อนย้ำยแรงงำนท่ีมีฝีมือจำกประเทศกำลังพัฒนำไปสู่ประเทศ พัฒนำแล้ว เช่น แรงงำนไทยไปทำงำนประเทศสงิ คโปรห์ รือไต้หวัน เป็นต้น และในทำงตรงกนั ข้ำมจะ มีกำรเคล่ือนย้ำยแรงงำนที่มีทักษะต่ำจำกประเทศที่พัฒนำแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนำเพื่อลด จำนวนแรงงำนในประเทศที่พัฒนำแล้ว และเศรษฐกิจโลกจะทำให้เกิดควำมซับซ้อนของโครงสร้ำง กำรทำงำนในสังคมที่กำลังพัฒนำโดยเกิดกำรจ้ำงงำนที่ขำดเสถียรภำพ งำนท่ีต้องกำรควำมชำนำญ
38 หลำยอยำ่ งอำจถูกลดระดบั ลงหรือถูกทดแทนดว้ ยแรงงำนทตี่ ำ่ กวำ่ ระดับจรงิ ดว้ ยกำรใช้แรงงำนค่ำแรง ตำ่ และยงั สง่ ผลให้เกิดปัญหำในเมืองใหญ่ที่คนเข้ำไปอำศัยทำงำนเป็นจำนวนมำก ทำใหต้ อ้ งมกี ำรวำง แผนกำรพัฒนำเมืองที่ป้องกันและจะไม่ก่อปัญหำทำงสังคม เศรษฐกิจ โครงสร้ำงพื้นฐำนและ ส่งิ แวดลอ้ ม (อำรีย์ นัยพนิ ิจ และคณะ, 2557) งบประมำณค่ำใช้จ่ำยเพ่ือกลุ่มผู้สงู อำยจุ ะมำกข้ึน ควำม เล่ือมล้ำของควำมรู้จะเกิดข้ึนท่ัวโลก เพรำะควำมไม่เท่ำเทียมกันของควำมสำมำรถในกำรพัฒนำองค์ ควำมรู้จำกกำรศึกษำ ข้อมูลข่ำวสำรและกำรวิจัย ประเทศที่มีกำรพัฒนำองค์ควำมรู้อย่ำงต่อเน่ือง ย่อมได้เปรียบทำงกำรแข่งขัน ในโลกยุคโลกภิวัตน์ต้องอำศัยองค์ควำมรู้ในกำรพัฒนำมำกกว่ำปัจจัย ทำงด้ำนทรัพยำกรซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบในลักษณะตำ่ ง ๆ คือ กำรศึกษำเรียนรู้ทข่ี ยำยตวั เพ่ิมข้ึน มำกจนเข้ำสู่ระบบเศรษฐกิจฐำนควำมรู้ (Knowledge Economy) มีกำรเปลี่ยนแปลงควำมรู้อย่ำง รวดเร็วโดยกำรใชว้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในกำรทุกภำคสว่ นของกำรผลิตเพ่ือลดตน้ ทุน ลดกำรใช้ แรงงำนที่ขำดแคลน ประชำกรในวัยแรงงำนต้องปรับตัวให้เข้ำกับสถำนกำรณ์พร้อมพัฒนำตนเอง อย่ำงต่อเนื่องเพ่ือให้สำมำรถทำงำนที่จำเป็นต้องใช้ทักษะและฝีมือ โลกจะต้องเผชิญกับภำวะสินค้ำ และบริกำรที่มีกำรผลิตมำกเกินไป ซึ่งเป็นเพรำะประเทศกำลังพัฒนำอย่ำงจีนและเม็กซิโกท่ีสำมำรถ ผลิตสินค้ำได้ประกอบกับกำรหดตัวของควำมต้องกำร รวมทั้งควำมก้ำวหน้ำของวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมท่ีทำให้ผลิตภำพกำรผลิตและควำมสำมำรถในด้ำนทักษะและฝีมือแรงงำน จำกเหตุกำรณน์ จ้ี ะนำไปส่ผู ลกระทบสำคัญ 2 ประกำร ประกำรแรกคือ รำคำสินคำ้ สว่ นใหญ่ท่ัวโลกจะ มีรำคำถูกลงหรือท่ีเรียกว่ำ Global Deflation เช่น ประเทศท่ีมีค่ำแรงถูกอย่ำงระเทศจีนจะผลิต สินค้ำด้วยต้นทุนต่ำ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกำรผลิตสินค้ำและเป็นประเทศท่ีมีกำรคิดค้นพัฒนำ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลำดอย่ำงต่อเนื่อง และประกำรท่ีสองคือ อัตรำกำรขยำยตัวของเศรษฐกิจ โลกจะสูงข้ึน กำรเพ่ิมกำรค้ำและกำรลงทุนกับต่ำงประเทศ กำรกระจำยตัวของเทคโนโลยีสำรสนเทศ และภำคเอกชนมีพลวัตรมำกข้ึน คำดกำรณ์ว่ำกำรผลิตภำคอุตสำหกรรมจะเพิ่มขึ้นแต่กำรจ้ำงงำน กลับลดลงท้ังนี้เป็นผลมำจำกกำรพัฒนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ท่ีข้อมูล ข่ำวสำรมีบทบำทท่ีสำคัญที่จะนำไปสู่กำรเปลี่ยนแปลงด้ำนกำรผลิตสินค้ำที่มีกำรใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เข้ำมำควบคุมกำรผลิตโดยมีลักษณะกำรใช้งำนเฉพำะ ระยะเวลำกำรผลิตสั้น ส้ินเปลือง นอ้ ยกว่ำ เชน่ รถยนต์ ทมี่ ชี ิน้ สว่ นประกอบมำจำกประเทศตำ่ ง ๆ ทมี่ คี วำมสำมำรถในกำรผลติ เฉพำะ ด้ำนแล้วนำมำประกอบอีกประเทศหน่ึงเพ่ือส่งออกไปขำยทั่วโลกจึงเป็นลักษณะกำรได้ประโยชน์ของ บริษัทข้ำมชำติที่แสวงหำกำไรในดินแดนต่ำง ๆ ทั่วโลกแล้วผลกำไรนั้นถูกส่งไปพัฒนำบริษัทใหญ่ใน ประเทศแม่ซึ่งเป็นต้นแบบธุรกิจโลกำภิวัตน์และเป็นผลทำให้ธุรกิจอื่นต้องปรับตัวเพ่ือรองรับธุรกิจ โลกำภิวัตน์ เช่น ธุรกิจกำรเงิน หลักทรัพย์ ธนำคำร ประกันภัย ระบบกำรผลิตจะเปล่ียนแปลงไป จำกระบบเดิม มีกำรผลิตตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นระบบกำรเงินจึงต้องปรับกำรให้บริกำร 24 ชั่วโมง ด้วยเช่นเดียวกัน เงินผ่ำนเข้ำออกธนำคำรตลอดช่วงเวลำเป็นเสี้ยววินำท่ีโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มีผลต่อกำรกระจำยอำนำจและผลกำไร กำรแข่งขันและกำรแสวงหำตลำดดำเนินไปอย่ำง รวดเร็วกลำยเป็นสภำพขำ้ มชำติอยำ่ งแทจ้ ริง ในดำ้ นวฒั นธรรมก็เช่นเดียวกนั ได้รับอทิ ธิพลจำกโลกำภิวตั น์ เนื่องจำกระบบส่อื สำรไร้ พรมแดนทำให้เกิดกำรครอบโลกทำงวฒั นธรรม อิทธิพลของวัฒนธรรมและอำนำจทำงเศรษฐกิจจำก ประเทศที่พัฒนำแล้วได้ไหลเข้ำไปสู่ประเทศอื่นทำให้เกิดกระแสวัฒนธรรมโลกที่มีผลตอ่ ควำมคิด กำร
39 มองโลก กำรแต่งกำย กำรบริโภค กำรครอบคลุมเหนือวัฒนธรรมประจำชำติของแต่ละประเทศจะ นำมำซ่ึงกำรเกิดระบบกำรผูกขำดแบบไร้พรมแดน ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีกำรสื่อสำรและโทร คมนำคทำให้สังคมโลกไม่มีกำแพงก้ัน โลกเหมือนหมู่บ้ำนเดียวกัน ใครทำอะไร ที่ไหนสำมำรถรับรู้ได้ ท่ัวกันทั้งโลก ปรำกฏกำรณ์ที่เกิดข้ึนน้ีเรียกว่ำ Pop cultureเป็นรูปแบบวัฒนธรรมที่มีกำรประพฤติ ปฏิบัติกันอย่ำงกว้ำงขวำง เช่น วัฒนธรรมเกำหลีท่ีมีกำรเผยแพร่ผ่ำนสื่อสำธำรณะมำยังประเทศไทย สง่ ผลต่อวยั ร่นุ ไทยในกำรแต่งตัวแบบเกำหลี หรือกำรไปท่องเท่ยี วประเทศเกำหลหี รือแม้กระท่ังระบบ กำรศึกษำต่ำง ๆ ท่ีจะเป็นแบบแผนเดียวกันเกือบท้ังโลก กระแสโลกำภิวัตน์ที่กัดกร่อนวัฒนธรรม ดั้งเดิมของประเทศต่ำง ๆ ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยำโดยธรรมชำติในกำรแสวงหำเอกลักษณ์และเสรีภำพ ของกลุ่มชนต่ำง ๆ และอำจจะสดุ โตง่ ท่ีปรำกฏออกมำในรูปของควำมคล่งั ลัทธิเผำ่ พนั ธุ์ของกลมุ่ ชนต่ำง ๆ อำจเห็นปัญหำควำมขัดแย้งแตกแยกต้องกำรเป็นรัฐอิสระของบำงกลุ่มเช้ือชำติท่ีอำจรุกลำมไปสู่ สงครำมในบำงประเทศ ควำมขัดแย้งระหว่ำงรัฐชำติกับชนกลมุ่ น้อยท่ีต้องกำรสงวนรักษำเอกลักษณ์ ทำงเช้ือชำติและวัฒนธรรมของตน ยังคงเป็นชนวนควำมร้ำวฉำนท่ีทำลำยควำมสงบสุขของบำง ประเทศ (โครงกำรกำรศกึ ษำไทยในยุคโลกำภวิ ัตน์, มปป.) กระแสโลกำภิวัตน์สร้ำงควำมรู้สึกท้องถ่ินนิยมแทนที่อุดมกำรณ์ชำตินิยม เน่ืองจำก โลกำภิวัตน์เป็นยุคของข่ำวสำร ประชำชนในท้องถ่ินสำมำรถรับรู้ข่ำวสำรด้ำนต่ำง ๆ ที่ส่งผลกระทบ ต่อชุมชนได้อย่ำงรวดเร็วทำให้เกิดกำรปลุกจิตสำนึกของคนในท้องถ่ินให้เห็นคุณค่ำ อนุรักษ์ และหวง แหนทรัพยำกรในท้องถ่ินของตนเองพร้อมท้ังดำเนินกำรตรวจสอบกำรทำงำนของรัฐบำล หำกรัฐบำล ดำเนินกำรด้วยควำมไม่โปร่งใสก็จะถูกต่อต้ำนจำกประชำชนในท้องถ่ินดังจะเห็นได้จำกกำรออกมำ เรียกร้องสิทธิหรือควำมเสมอภำคต่ำง ๆ อีกด้ำนหน่ึงผลกระทบจำกโลกำภิวัตน์อำจทำให้เกิดกำร เปลี่ยนแปลงลักษณะประชำกรดังได้กล่ำวแล้ว แนวโน้มประชำกรโลกมีกำรเปล่ียนแปลงท้ังในเชิง โครงสร้ำงและพฤติกรรม ท้ังนี้ประชำกรที่มีอำยุมำกกว่ำ 50 ปีจะมีสัดส่วนเพ่ิมขึ้น วัยหนุ่มสำวจะ ลดลงเพรำะอัตรำกำรเกิดประชำกรของประเทศพัฒนำแล้วต่ำลงและคนมีสุขภำพดีและอำยุยืนขึ้น (Borghesi and Vercelli (2003) อ้ำงถึงใน อำรีย์ นัยพินิจ และคณะ, 2557) ได้อธิบำยว่ำกำรเติบโต ของประชำกรอย่ำงไม่สมดุลในโลกควรได้รับกำรควบคุมดูแลอย่ำงใกล้ชิดเพรำะกำรเปลี่ยนแปลง ภำยใต้โลกำภิวัตน์ส่งผลต่อระบบสังคมและเศรษฐกิจหลำยด้ำนรวมไปถึงทำให้เกิดกำรทำลำย สิง่ แวดลอ้ มเพอื่ ทำให้เกิดกำรพฒั นำภำยใตก้ ระแสโลกำภิวัตน์ แนวโน้มของประชำกรวัยเด็กลดลงและประชำกรวัยสูงอำยุเพิ่มข้ึนนำมำซึ่งอัตรำกำร พ่ึงพิงวัยสูงอำยุเพิ่มขึ้นแต่ได้สะท้อนถึงควำมก้ำวหน้ำทำงด้ำนสำธำรณสุขขั้นพื้นฐำนท่ีสำมำรถทำให้ ประชำกรอำยุยืนยำวขนึ้ แนวโน้มเศรษฐกิจท่ีแสดงถึงควำมสำมำรถและควำมสำเร็จของประเทศ แต่อำจสร้ำง ควำมเหลื่อมลำ้ ของรำยได้และคณุ ภำพชีวติ โดยเฉพำะภำคกำรเกษตรของประเทศซงึ่ เป็นคนกลุ่มใหญ่ ของประเทศยังยำกจน ดงั นน้ั จึงยำกท่ปี ระเทศจะรำ่ รวย แนวโน้มทำงด้ำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพำะอิทธิพลของเทคโนโลยี สำรสนเทศได้นำมำซ่ึงกำรเปล่ียนแปลงของทุกภำคส่วน แต่กำรเข้ำถึงและกำรใช้ประโยชน์จำก เทคโนโลยีสำรสนเทศน้ันมีหลำยระดับและมีควำมแตกต่ำงกันข้ึนอยู่กับควำมสำมำรถในกำรรับ ปรับ ใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์
40 แนวโน้มทำงด้ำนสง่ิ แวดลอ้ มและกำรทำลำยทรัพยำกรธรรมชำติ ท่เี ป็นไปอย่ำงรวดเรว็ ทัง้ น้ีเพรำะไม่มกี ลไกทีม่ ปี ระสิทธิภำพในกำรบรหิ ำรจัดกำรกับสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยำกรธรรมชำติ 2.1.3 การปรับตวั ในยุคโลกาภิวตั น์ เทคโนโลยีและควำมม่ังคั่งทำงวัตถุกลำยเป็นส่ิงท่ีมีบทบำทมำกในยุคโลกำภิวัตน์ คน รุ่นใหม่อำจไม่รู้จักควำมคิด ควำมรู้และวิถีชีวิตแบบด้ังเดิม จะเห็นกำรปรับตัวของคนรุ่นกลำงกับ ควำมทันสมัย คนรุ่นปู่ย่ำตำยำยก็พยำยำมปรับตัวอย่ำงมำกเพ่ือให้สำมำรถสื่อสำรกับลูกหลำนได้ ควำมรู้และภูมปิ ัญญำดั้งเดิมไมไ่ ด้รับกำรสนับสนนุ และไม่ได้มีกำรเก็บรวบรวมเพ่ือเป็นคลงั ควำมร้แู ละ ภูมิปัญญำสำหรบั คนรุ่นหลงั (รุ้งนภำ ยรรยงเกษมสุข, มปป.) วิกฤติเศรษฐกิจเม่ือปี พ.ศ. 2540 ทำให้ คนท่ีทำงำนในกรุงเทพฯ กลับสู่ภูมิลำเนำเพื่อหำเล้ียงชีพด้วยกำรทำไร่ ทำสวน มีชีวิตอยู่กับธรรมชำติ จำกวิกฤตน้ีทำให้เรียนรู้วำ่ ชีวิตอยู่ได้ด้วยต้นไม้และธรรมชำติและภูมิปัญญำที่ได้สร้ำงสมและถ่ำยทอด สืบต่อกันและเรียนรู้ท่ีจะแปลงเป็นสินค้ำเพื่อขำยในกำรดำรงชีวิต เทคโนโลยีและกำรสื่อสำรทำให้ มนุษย์รับรู้กำรเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นอย่ำงรวดเร็วส่งผลกระทบต่อสำระสำคัญของกระแสโลกำภิวัตน์ กำรหวนกลับไปกล่ำวถึงของใช้ สถำนที่และชีวิตในอดีตผ่ำนเรื่องเล่ำดังจะเห็นได้จำกตัวอย่ำงของ ชุมชนท่ีประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตได้กลำยเป็นสินค้ำ เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีแห่ เทียนพรรษำท่ีเป็นกำรประกวดแข่งขัน มีกำรท่องเที่ยวเกิดขึ้น และทำให้เกิดกำรใช้จ่ำยและสร้ำง เศรษฐกิจชุมชนให้ดีข้ึน ฌอง โบดริยำร์ด อ้ำงถึงใน รุ้งนภำ ยรรยงเกษมสุข, มปป.) ได้กล่ำวว่ำภำวะ หลังสมัยใหม่ได้เชื่อมโยงโลกและท้องถ่ินเข้ำดัวยกันด้วยเทคโนโลยีร่วมกับกำรท่องเที่ยวและกำร สื่อสำรโดยเฉพำะเทคโนโลยีกำรส่ือสำร โดยข่ำวสำรโทรทัศน์ได้มีบทบำทหลักในกำรส่ือสำรในโลก ปจั จบุ นั โลกำภวิ ตั นข์ องข่ำวโทรทัศน์ได้นำไปสู่กำรครอบงำและผลกระทบท่เี กดิ ขึ้นอยำ่ งหนึ่งคือ กำร ทำให้ควำมแตกต่ำงระหว่ำงควำมจริงกับภำพลักษณ์พร่ำมัวและอีกประกำรหน่ึงที่สำคัญคือ กำร ทำลำยมโนทัศน์ด้ังเดิมหรือสิ่งท่ีเชื่ออย่ำงแน่นอนแบบด้ังเดิม เช่น เร่ืองของหน้ำที่ อำนำจหน้ำที่ ลำดับช้ัน นั่นเพรำะในโลกหลังสมัยใหม่ คุณค่ำต่ำง ๆ เป็นส่ิงสัมพัทธ์โดยเรำได้สร้ำงชุดคุณค่ำและ ควำมเข้ำใจจำกข้อมลู ตำ่ ง ๆ รอบ ๆ ตวั เรำเอง (Haralambos, Holborn, & Hearld, 2004 อ้ำงถงึ ใน รุ้งนภำ ยรรยงเกษมสุข, มปป.) โลกำภิวตั น์เป็นกำรสร้ำงกำรเปลยี่ นแปลงหลำยอย่ำงรอบตัวเรำทำให้มนุษย์และสังคม ต้องมีกำรปรับตัวอยู่ตลอดเวลำเพื่อให้อยู่รอดได้ท่ำมกลำงกระแสโลกำภิวัตน์ ดังแนวทำงในกำร ปรับตัวของมนุษย์ที่ อำรีย์ นัยพินิจและคณะ (2557) สรุปไว้ว่ำ (1) มนุษย์ต้องมีวินัยทำงกำรเงิน ผู้ใช้ เงินเป็นคือผู้ท่ีจะสำมำรถอยู่รอดได้ในกระแสโลกำภิวัตน์ มีวินัยในกำรออมไม่ใช้จ่ำยฟุ่มเฟือยแล ะใช้ เงินอนำคต ไม่ใช่จ่ำยและดำเนินชีวิตตำมกระแส (2) ต้องเป็นคนใฝ่รู้ สังคมยุคโลกำภิวัตน์เป็นยุค แห่งกำรเรียนรู้ ควำมรู้มีทุกหนทุกแห่ง เร่ืองที่อยำกรู้สำมำรถสืบค้นได้จำกอินเทอร์เน็ต สำมำรถ สืบค้นข้อมูลจำกเวบ็ ไซต์เพ่ือหำข้อมูลท่ีต้องกำร และคนในยุคโลกำภิวัตน์สำมำรถแลกเปลี่ยนข่ำวสำร ไดด้ ว้ ยควำมรวดเร็ว ฉับไว ผำ่ นระบบเทคโนโลยสี ำรสนเทศ และโปรแกรมกำรสนทนำต่ำง ๆ ดงั น้นั คนในยุคนี้ต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ใช้เพ่ือพัฒนำตนเองและ แลกเปล่ียนข้อมูลข่ำวสำรต่ำง ๆ เพื่อให้สำมำรถอยู่บนโลกได้อย่ำงเข้ำใจ (3) กำรใช้ภูมิปัญญำท้องถ่ิน (Local Wisdom) ในท้องถ่ินจะมีบุคลำกรที่มีควำมรู้และประสบกำรณ์ท่ีสั่งสมกันมำสำมำรถนำมำใช้ เพื่อช่วยแก้ปัญหำหรือเสนอแนะส่ิงที่ถูกต้อง ดังนั้นกำรยอมรับควำมคิดเห็นของผู้อื่นจะช่วยให้งำน
41 บำงอย่ำงสำเร็จได้ (4) กำรถนอมใช้ทรัพยำกรธรรมชำติและรักษำสภำพแวดล้อม (5) กำรปลูกฝัง จริยธรรมและคุณธรรม ให้เกิดสำนึกเรื่องควำมถูกต้อง กำรตอบแทนชุมชน สังคมควรต้องมีอยู่ในใจ ของทุกคนซึ่งสถำบันครอบครัว สถำบันกำรศึกษำ ศำสนำ ชุมชน สำมำรถช่วยขัดเกลำจิตใจได้ รู้จัก สำนึกคิดถึงดี ชั่ว ควำมยับยั้งชั่งใจในกำรทำส่ิงไม่ดี กำรมีมำรยำท อัธยำศัย ควำมเกรงใจและมี ทัศนคตทิ ด่ี ีต่อบุคคลรอบข้ำง (6) กำรใชห้ ลักปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ แนวทำงในกำรดำรงชีวิตซึ่ง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทำงเลือกของคนและกลุ่มคนจำนวนหน่ึงในกำรดำเนินชีวิตและกำรดำเนิน กิจกรรมทำงด้ำนเศรษฐกิจเพ่ือปรับตัวให้สำมำรถอยู่ได้ในสภำพเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมใน ปัจจบุ นั ได้อยำ่ งมีควำมสขุ ตำมอตั ภำพ (ภทั รพงษ์ เกรกิ สกลุ และคณะ (2554) อ้ำงถึงในอำรีย์ นัยพนิ จิ , 2557) ยุคโลกำภิวัตน์เป็นยุคของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีและวิธีกำรจัดกำรสมัยใหม่ โดยเฉพำะกำรคมนำคม กำรขนส่ง กำรติดต่อส่ือสำรเป็นเคร่ืองมือสำคัญที่ให้กำรดำเนินกิจกำรต่ำง ๆ เป็นไปด้วยควำมรวดเร็ว สะดวกและมีคุณภำพ กำรบรหิ ำรในยคุ นีม้ ุ่งเน้นกำรลดตน้ ทุนกำรผลิตแต่ เพ่ิมปริมำณ คุณภำพและกำรบริกำรที่ดีโดยกำรใชบ้ ุคลำกร กำรบริหำร กำรควบคุมดูแลไม่มำก กำร พัฒนำบุคลำกรให้รู้เท่ำทัน และสำมำรถใช้เคร่ืองมือท่ีช่วยอำนวยควำมสะดวกบนฐำนของจิตใจที่ เป็นไปในทำงสร้ำงสรรค์มำกกว่ำกำรเอำรัดเอำเปรียบ บุคคลที่จะอยู่ในยุคโลกำภิวัตน์ได้ต้องเป็น บุคคลที่คำดกำรณ์ไกล ทำงำนสำเร็จด้วยกำรลงทุนพอสมควร ใช้ยุทธศำสตร์และเทคโนโลยีท่ี เหมำะสม ทำลำยทรัพยำกรธรรมชำติน้อยท่ีสุดแต่ให้ประโยชน์ทำงสร้ำงสรรค์แก่ตนเอง องค์กรและ ส่วนรวมมำกที่สุด ดังน้ันบุคคลและองค์กรจึงต้องแสวงหำควำมรู้ ข้อมูลข่ำวสำรเพ่ือกำรพัฒนำอย่ำง ต่อเนื่องและในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนำคุณธรรมและจริยธรรม ควำมรับผิดชอบต่อสังคมและ สภำพแวดล้อมไปด้วยพร้อมกันเพรำะโลกำภิวัตน์คือกำรเคลื่อนท่ีของคนต่ำงชำติพันธ์ุ ศำสนำ ประเพณี แนวคิดจำกพื้นท่ีหน่ึงไปอีกพ้ืนท่ีหน่ึง ดังน้ันมนุษย์จึงต้องปรับตัวและดำรงอยู่ภำยใต้ควำม แตกตำ่ งและควำมขัดแยง้ ให้ได้ (อำรยี ์ นัยพนิ ิจ และคณะ, 2557) 2.2 โอกาสของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นการพฒั นา สถำนกำรณ์โลกในอนำคตที่คำดว่ำจะกระทบตอ่ ประเทศไทยท้ังในเชิงบวกและเชิงลบถือเป็น โอกำสของประเทศในกำรแสวงหำผลประโยชน์จำกกำรเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน โลกท่ีดูแคบลงทำให้ เข้ำถึงข้อมูลข่ำวสำรได้มำกขึ้น วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นสะพำนเช่ือมช่องว่ำงให้คนเข้ำมำ ใกล้กัน วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยจี ะเป็นเคร่ืองมอื ในกำรพฒั นำในด้ำนต่ำง ๆ ดงั น้ี 2.2.1 การพฒั นาการศกึ ษา กระแสโลกำภิวัตน์ทำให้มีกำรเคลื่อนย้ำยทุนและปัจจัยกำรผลิตระหว่ำงประเทศ ทรัพยำกรธรรมชำติไม่ใช่ปัจจัยที่จะสร้ำงควำมได้เปรียบอีกต่อไป เพรำะควำมสำมำรถในกำรแข่งขัน จะข้ึนอยู่กับควำมพร้อมของกำลังคนและควำมสำมำรถทำงด้ำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ดังน้ัน กำรลงทุนในด้ำนกำรพัฒนำทรัพยำกรมนุษย์จะเป็นโอกำสในกำรพัฒนำประเทศ พลเมืองของแต่ละ ประเทศจะมีควำมเป็นพลเมืองโลกด้วยและต้องมีควำมสำมำรถในกำรติดต่อสัมพั นธ์และเข้ำใจเพื่อน รว่ มโลก ประเทศตำ่ ง ๆ จะตอ้ งปรับตัวและมคี วำมเปน็ พลวตั คนในชำติจะตอ้ งเรยี นรตู้ อ่ สถำนกำรณ์ ต่ำง ๆ ทั้งด้ำนเศรษฐกิจ สังคม ได้เป็นอย่ำงดี ขณะเดียวกันแต่ละประเทศยังต้องรักษำเอกลักษณ์
42 ทำงสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง ไม่ว่ำกระแสโลกำภิวัตน์จะเป็นไปในทิศทำงใดก็ตำม กำรศึกษำ ยังคงมีควำมสำคัญในกำรพัฒนำคนให้มีคุณลักษณะท่ีสอดคล้องกับกำรพัฒนำประเทศและเป็นปัจจัย สำคญั ในกำรแสวงหำโอกำสในกำรพัฒนำประเทศ สำมำรถนำพำประเทศใหร้ อดพ้นจำกวิกฤตติ ำ่ ง ๆ ในยคุ ทส่ี ถำนกำรณ์โลกมคี วำมซับซ้อน สังคมจะดำรงอยู่ไดอ้ ย่ำงมั่นคงในกระแสโลกำภวิ ตั น์จะต้องทำ ให้เกิดควำมสมดุลระหว่ำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีกับคุณค่ำของกำรเป็นพลเมืองท่ีเป็นคนดี มี โลกทัศน์ ปรับตัวได้ดีและอยู่ร่วมกับคนต่ำงเช้ือชำติ ศำสนำได้อย่ำงแท้จริง รำกฐำนสำคัญของกำร พัฒนำคือกำรเสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถ ศักยภำพ และควำมเข้มแข็งในระดับบุคคล ครอบครัวและ ชุมชนเป็นพ้ืนฐำน สังคมไทยในอนำคตจะเป็นสังคมที่ประกอบด้วยชุมชนเมืองและชุมชนชนบทที่ ประชำชนมีควำมสำมำรถในกำรไตร่ตรอง แก้ปัญหำและพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเนื่อง ตลอดจนรู้กำร เท่ำทันในควำมสัมพันธ์กับสงั คมภำยนอกทัง้ ในระดบั ชำติและนำนำชำติ กำรศึกษำทจ่ี ะเออื้ ต่อสภำพ สังคมไทยในอนำคตท่ีมีควำมก้ำวหน้ำและควำมเสมอภำค ต้องเป็นกำรศึกษำท่ีมุ่งพัฒนำตัวบุคคล ครอบครัว และรวมกำลังกันเป็นชุมชนเป็นสำคัญ ซ่ึงระบบกำรศึกษำไทยในอนำคตจะตอ้ งเป็นระบบ ท่ีเสริมสร้ำงศักยภำพกำรเรียนรู้ของบุคคล ครอบครัวและชุมชน ส่งเสริ มให้บุคคลมีควำม ควำมสำมำรถในกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้และเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเนื่อง ปรับตัวไดก้ ับสภำวะโลกปัจจบุ ันทมี่ ีกำรเปล่ียนแปลงก้ำวหน้ำไปอย่ำงรวดเรว็ และสำมำรถรับข่ำวสำร ใหม่ ๆ แล้วนำมำคิดและตัดสินใจรวมท้ังส่งเสริมให้ชุมชนสำมำรถผนึกกำลังเพ่ือเปล่ียนแปลงสภำพ ปญั หำไปสสู่ ภำพที่พึงประสงค์ รูปแบบกำรจดั กำรศึกษำควรมุ่งเน้นควำมเป็นอิสระให้แกผ่ ู้เรยี น ตอ้ ง เป็นกำรศึกษำท่ีช่วยให้คนรักและสำมำรถอยู่ในท้องถิ่นได้ กำรบรรลุถึงจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำใน โลกยุคโลกำภิวัตน์จึงต้องมีกำรศึกษำในหลำกหลำยรูปแบบที่สนองควำมต้องกำร ควำมแตกต่ำง ระหวำ่ งบคุ คลและชุมชน เม่ือผู้เรียนมที ำงเลอื กมำกขึน้ ผู้เรียนจักตอ้ งมีวจิ ำรณญำณในกำรเลือกอย่ำง เหมำะสมดว้ ยจึงจะเป็นคุณสมบตั ิท่ีสำคญั ของกำรศึกษำในอนำคต (โครงกำรกำรศึกษำไทยในยุคโลกำ ภิวตั น์, มปป.) ยุคโลกำภิวตั นม์ ีเทคโนโลยีสำรสนเทศท่ีทุกคนสำมำรถเข้ำถงึ ได้ ดงั น้นั กำรศึกษำใน อนำคตควรจะได้นำเทคโนโลยีนมี้ ำใชใ้ หเ้ กิดประโยชนแ์ ละมีประสทิ ธิภำพสูงสุดตอ่ ตนเอง ชุมชน และ ประเทศชำติ กำรศึกษำทั้งระบบควรนำเทคโนโลยีสำรสนเทศมำปรับใช้ให้เหมำะสมและสอดคล้อง กับผู้เรียนทั้งในกำรศึกษำในรูปแบบปกติและกำรฝึกอบรมระยะสั้นเพ่ือให้เกิดกำรพัฒนำแรงงำนท่ีมี ศกั ยภำพทจ่ี ะเปน็ ประโยชน์ต่อประเทศชำติและเพิ่มควำมสำมำรถในกำรแขง่ ขันกบั ประเทศต่ำง ๆ ได้ ในอนำคต กำรศึกษำจึงเป็นเคร่ืองมือสำคัญในยุคโลกำภิวัตน์เพรำะโลกมีกำรเปล่ียนแปลงอย่ำง มำก ควำมรู้ที่เรียนกันในสมัยนี้มักไม่ตอบโจทย์ของโลกสมัยใหม่ ในท่ำมกลำงควำมผันผวนจึงทำให้ กำรเรียนแบบเดิม ๆ ท่ีเป็นกำรศึกษำเม่ือ 100 ปีที่แล้วไม่สำมำรถจะใช้ได้กับกำรมีชีวิตอยู่ในสมัยนี้ เพรำะกำรศึกษำที่เน้นให้คนรู้เยอะ ๆ คิดน้อย เน้นหำคำตอบมำกกว่ำสร้ำงคำถำมจะเป็นกำรศึกษำท่ี ล้ำสมัยเป็นกำรศึกษำที่ไม่สอดรับกับกำรเปลี่ยนแปลง ควำมท้ำทำย กำรเน้นท่องจำ คำนวณให้ ถูกต้องหรือแม้กระทั่งกำรเรียนท่ีเน้นกำรอ่ำนออก เขียนได้และคำนวณเป็น ตำมกำรศึกษำใน ศตวรรษท่ี 21 ก็อำจจะเป็นสิ่งที่ใช้ได้ลำบำกในชีวิตจริงปัจจุบันแต่ไม่ปฏิเสธว่ำมันเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่ำ ในศตวรรษน้ีเน้นทักษะกำรใช้ชีวิตหรือศิลปะกำรใช้ชีวิต (Art of Living) ทักษะกำรเรียนรู้ปรับตัว (Learning Skill) ทักษะกำรสร้ำง (Innovation and Creation Skill) และทักษะกำรทำงำนหำ
43 เล้ียงชีพ (Job Skill) ที่ทักษะเหล่ำนี้สำคัญและจำเป็นเพรำะโลกเปล่ียนอย่ำงรวดเรว็ มีควำมซับซ้อน มีควำมไม่แน่นอน และไม่ชัดเจนอยู่สูงจึงจำเป็นต้องสร้ำงทักษะกำรเรียนรู้ให้ไวโดยกำรใช้เทคโนโลยี เข้ำมำช่วย ปรับตัวเก่งเพื่อรับควำมผันผวนและควำมเส่ียง มีจุดแข็งของตัวเองและมีภำวะควำมเป็น ผู้นำ กำรสมัยใหม่มุ่งสร้ำงคนที่ไม่จำเป็นต้องเก่งรู้ทุกอย่ำง ไม่จำเป็นต้องคำนวณเร็ว หรือจำอะไรท่ี เป็นรำยละเอียดไดท้ ั้งหมด แตต่ อ้ งร้วู ่ำสิง่ ต่ำง ๆ ทำงำนด้วยกันอยำ่ งไรและม่งุ หำคำตอบใหม่ ๆ ทเี่ ป็น ที่น่ำพอใจ กำรสร้ำงบุคลำกรสมัยใหม่แตกต่ำงจำกแต่ก่อนที่เน้นควำมเป็นเลิศในทุกด้ำนอย่ำงเดียว แต่ขณะนี้เรำต้องเรียนรู้ว่ำเรำจะสร้ำงควำมแตกต่ำงกับคนอื่นหรือจะเป็นผู้นำด้ำนใด โลกสมัยใหม่ท่ี ถูก Disruption ในทุกด้ำนก็สร้ำงโอกำสใหม่เช่นกัน ดังน้ันกำรศึกษำในยุคสมัยน้ีจึงต้องปรับตัวให้ พร้อมรับกำรเปล่ียนแปลง สร้ำงคำตอบใหม่ ๆ เพ่ือ Disrupt โลกสมัยใหม่ถ้ำไม่อย่ำงนั้นเรำจะถูก Disrupt เสียเอง (ธำนนิ ทร์ เอ้ืออภธิ ร, 2561) 2.2.2 การแพทย์ สุขภาพและการรกั ษาโรค ประเทศไทยน่ำจะเป็นประเทศท่ีให้บริหำรที่ดีเยี่ยมได้ในด้ำนทันตกรรม ศัลยกรรม พลำสติก กำรแปลงเพศ โดยเฉพำะกำรนวดแผนไทย สปำ ท่ีจะสำมำรถดึงดูดลูกค้ำได้เป็นจำนวน มำก จำกกำรเปล่ียนแปลงสิ่งต่ำง ๆ ในหลำยทศวรรษที่ผำ่ นมำนับได้ว่ำกระแสโลกำภิวัตน์มีอทิ ธิพลต่อ รูปแบบกำรใช้ชีวิตและพฤติกรรมประชำกรไทยท่ีเปล่ียนไปทั้งในกลุ่มประชำกรท่ีอำศัยในเมืองใหญ่ และที่อยู่ในชนบทซึ่งมีอิทธิพลต่อรูปแบบกำรบริโภค กำรออกกำลังกำยและควำมเครียดสะสมเป็น ปัจจัยกำหนดสุขภำพของประชำชนไทยท้ังต่อสุขภำพกำยและสุขภำพจิตดังจะเห็นได้จำกสถิติกำร เสียชีวิตของคนไทยระหว่ำงปี พ.ศ. 2550-2554 พบว่ำ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หลอดเลือดในสมอง และโรคเบำหวำน เป็นสำเหตุกำรเสยี ชีวติ อันดบั ตน้ ๆ ของคนไทย กำรรับมอื กบั ปญั หำสขุ ภำพจงึ ต้อง มกี ำรจดั กำรด้ำนกำรสำธำรณสขุ งำนกำรป้องกนั เพ่อื ลดอตั รำกำรเกิดโรค เทคโนโลยที ำงกำรแพทย์จึง มีบทบำทสำคัญในกำรติดตำมเฝ้ำระวังกำรเกิดโรค กำรป้องกันกำรเกิดโรค กำรตรวจวินิจฉัย กำร รักษำตลอดจนกำรฟื้นฟูสมรรถภำพของรำ่ งกำย ซง่ึ เทคโนโลยีชีวภำพถอื เปน็ เทคโนโลยีทำงกำรแพทย์ และสุขภำพท่ีประเทศไทยมีข้อได้เปรียบหลำยด้ำนทั้งควำมเข้มแข็งด้ำนกำรศึกษำและกำรวิจัยด้ำน ชีวภำพทำงกำรแพทย์ (Biomedical Science) ประกอบกับประเทศไทยเป็นแหล่งควำมหลำกหลำย ทำงชีวภำพสูงซึ่งเป็นจุดแข็งของกำรพัฒนำต่อยอดงำนวิจัยไปสู่ผลิตภัณฑ์ทำงกำรแพทย์และสุขภำพ นอกจำกนี้ยังสำมำรถพัฒนำผลิตภัณฑ์ชีวเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ไปสู่กำรพัฒนำอุตสำหกรรม ผลิตภัณฑ์ทำงกำรแพทย์ท่ีเข้มแข็ง ลดกำรนำเข้ำผลิตภัณฑ์ด้ำนกำรแพทย์จำกต่ำงประเทศและ สำมำรถพฒั นำประเทศไปสู่เศรษฐกจิ ฐำนควำมรู้ท่ีสร้ำงรำยได้ให้แก่ประเทศได้ 2.2.3 การพฒั นาเศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรม ประเทศไทยน่ำจะมีโอกำสได้ประโยชน์จำกตลำดสินค้ำที่ใช้ฝีมือและมีลักษณะพิเศษ เช่น อัญมณี ผ้ำไหม แต่จะต้องพิจำรณำว่ำเป็นสินค้ำท่ีมีเฉพำะทรพั ยำกรธรรมชำติที่มีในประเทศไทย เรำเท่ำนั้น ตัวอย่ำงประเทศเกำหลีมีช่ือเสียงเรื่องโสมประเทศอื่นอำจมีโสมแต่มีคุณภำพไม่ดีเท่ำกับ เกำหลี หรือถ่ังเช่ำจำกทิเบต เป็นต้น ประเทศไทยจึงต้องพิจำรณำว่ำในส่วนนี้มีอะไรที่เรำมีและ สำมำรถพัฒนำได้ดีขึ้นจำกเทคโนโลยีและนวัตกรรมท่ีมีมูลค่ำเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองควำมต้องกำรของ คนอีกกลุ่มหนึ่งของสังคมที่มีควำมสำมำรถในกำรซ้ือ สินค้ำท่ีมีลักษณะโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ของไทยยังเปน็ ท่ีต้องกำรของตลำดและผนวกกับฝีมือคนไทยในด้ำนชำ่ งท่ีมีคุณภำพไม่แพช้ ำติอ่นื ทำให้
44 ประเทศไทยมีโอกำสในกำรสร้ำงรำยได้จำกสินค้ำเหล่ำน้ี นอกจำกนีค้ นงำนชำ่ งฝมี อื ไทยในโรงงำนต่อ รถยนต์ โรงงำนทำอำหำร โรงงำนทอผ้ำ กำรเย็บถัก ต่ำงได้รับกำรกล่ำวถึงในหลำยประเทศแต่ที่ สำคัญคือต้องมีกำรพัฒนำทักษะทำงด้ำนภำษำควบคู่ไปด้วย นอกจำกนี้นโยบำยประเทศไทย 4.0 ยัง ได้วำงแผนพัฒนำเศรษฐกิจของประเทศดว้ ยกำรใชเ้ ทคโนโลยีและนวตั กรรมกับทรัพยำกรชีวภำพของ ประเทศ ตำมกรอบนโยบำยกำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวภำพของประเทศไทย (พ.ศ. 2555-2564) มี เป้ำหมำยเพ่ือยกระดับคุณภำพชีวิต ยกระดับรำยได้ สร้ำงงำนในพ้ืนท่ี เพิ่มขีดควำมสำมำรถในกำร แข่งขัน สร้ำงควำมม่ันคงและนำประเทศสู่กำรพัฒนำท่ียั่งยืนซ่ึงประกอบด้วยยุทธศำสตร์สำคัญ 4 สำขำคือ (1) กำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวภำพ สำขำเกษตรและอำหำร (2) กำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวภำพ สำขำกำรแพทย์และสุขภำพ (3) กำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวภำพ สำขำพลังงำนชีวภำพ และ (4) กำร พฒั นำเทคโนโลยชี ีวภำพสำขำอตุ สำหกรรมชวี ภำพ 2.2.4 การพฒั นาดา้ นการเกษตร กระแสโลกำภวิ ัตน์เปน็ ภัยคกุ คำมรำ้ ยแรงต่อกำรดำรงอยู่ของฐำนทรัพยำกรโดยเฉพำะ ทรพั ยำกรกำรเกษตร กำรค้ำระดบั โลกก่อนยุคโลกำภิวตั น์คอื กำรส่งสนิ คำ้ เกษตรที่มีคุณค่ำเฉพำะของ แต่ละท้องถ่ินไปยังอีกท่ีหนึ่งดังจะเห็นได้จำกเส้นทำงกำรค้ำ เช่น เส้นทำงเคร่ืองเทศ เส้นทำงไหม สินค้ำจำกชุมชนเกษตรจำกตะวนั ออกลำงได้รับกำรยอมรับจำกสังคมถือเปน็ สินค้ำช้ันสูงในสังคมยุโรป ยุคกลำงท่ีมีควำมเจริญมำกกว่ำท่ีอื่น ๆ สินค้ำไม่ใช่เป็นเพียงควำมต้องกำรพื้นฐำนแต่ยังแสดงออกถึง สถำนะของผู้บริโภคด้วย สินค้ำระดับโลกท่ีแท้จริงไม่ใช่สินค้ำท่ีผลิตด้วยเทคโนโลยีหรือมำตรฐำน เดยี วกนั ทั้งโลกแต่สินค้ำระดับโลกควรเป็นสินค้ำท่ีคงคุณค่ำของท้องถน่ิ มีเอกลักษณ์ทโ่ี ดดเดน่ สนิ ค้ำ จำกประเทศไทยจะมีสถำนะเป็นสินค้ำระดับโลกได้นั้นควรจะต้องเป็นสินค้ำที่เช่ือมโยงกับวิถีชีวิต ชุมชนและเกษตรกรรมซึ่งยุคต้นของกำรค้ำระหว่ำงประเทศของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยำหรือ รัตนโกสินทร์ตอนต้น สินค้ำเกษตรของไทยเป็นท่ีต้องกำรของตลำดโลกเป็นช่วงควำมรุ่งเรืองของ ประเทศไทยในกำรสง่ ออกสินค้ำเกษตรจึงทำใหเ้ กิดกำรพฒั นำเพื่อผลติ สินค้ำในมิติของกำรเพิม่ ผลผลิต เพียงอย่ำงเดียว (วิรัตน์ แสงทองคำ, 2554) กำรผลิตเพียงแต่เพ่ิมผลผลิตเพียงอย่ำงเดียวอำจไปไม่ รอดในยคุ สมยั นเี้ พรำะประเทศใด ๆ ทม่ี คี วำมรู้ มีเทคโนโลยีอำจผลติ ได้เหมือนกนั ดังน้นั จงึ ต้องสนใจ ในด้ำนคุณภำพของกำรผลิตมำกข้ึน ผลิตอะไรท่ีแตกต่ำงจำกท่ีอ่ืนใส่คุณค่ำในเชิงวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของเอกลักษณ์ท้องถิ่นลงไปในผลิตภัณฑ์จึงเป็นกำรสร้ำงคุณค่ำท่ีแตกต่ำงและจะทำเช่นน้ันได้ต้องใช้ ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ำไปช่วยพัฒนำสินค้ำเกษตรเหลำ่ น้ันจึง น่ำจะเป็นทำงออกท่ีสร้ำงสรรค์ในยุคโลกำภิวัตน์นี้ ประเทศไทยมีข้ำวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมำช้ำ นำน นอกจำกนยี้ ังมีพืชอ่ืน ๆ อกี หลำยชนดิ ท่ีสร้ำงรำยได้ใหก้ บั ประเทศไทยแต่ยงั เปน็ กำรสรำ้ งรำยได้ ในเชิงของปริมำณเท่ำนั้น แต่ถึงอย่ำงไรก็ตำมข้ำวและพืชเศรษฐกิจอ่ืนยังคงเป็นพืชส่งออกท่ีสำคัญ ของไทยและยังมีโอกำสอย่ำงมำกในกำรสร้ำงรำยได้ให้กับประเทศไทย แต่ทั้งนี้ต้องเร่งพัฒนำควำมรู้ ทำงวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อนำมำพัฒนำพืชเศรษฐกิจเหล่ำนี้ ประกอบกับ นโยบำยกำรพัฒนำเศรษฐกิจของประเทศในกำรพัฒนำเกษตร และอำหำรโดยกำรพัฒนำ เทคโนโลยชี ีวภำพเพื่อยกระดบั ควำมสำมำรถในกำรแข่งขันและสร้ำงควำมเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรโดย ใช้วิทยำกำรด้ำนเทคโนโลยีชีวภำพในกำรเพ่ิมประสิทธิภำพกำรผลิต ลดต้นทุนกำรผลิต เพ่ิมคุณภำพ ผลผลิต พัฒนำนวัตกรรมด้ำนเกษตรและอำหำรเพ่ือรับมือกับกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ โดย
45 ประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีจีโนม พนั ธวุ ศิ วกรรม เพื่อปรบั ปรงุ พันธุแ์ บบดั้งเดิมและใช้พันธุวิศวกรรมในกำร พฒั นำพนั ธุ์พชื และสัตว์ พฒั นำปจั จยั กำรผลิตและกำรสรำ้ งมลู ค่ำเพ่ิมจึงน่ำจะเปน็ โอกำสของประเทศ ไทยในกำรสร้ำงรำยได้และควำมม่ันคงให้แก่ประเทศไทยได้ นอกจำกนี้ในกำรศึกษำของโสมรัศม์ิ จันทรัตน์และคณะ (2562) ชี้ให้เห็นถึงโอกำสในกำรเปลี่ยนแปลงภำคเกษตรไทยสู่กำรพัฒนำที่ยั่งยืน ซ่ึงได้แก่ แรงงำนภำคกำรเกษตรโดยเฉพำะแรงงำนอำยุน้อยมีกำรศึกษำเพ่ิมข้ึน กำรมีสถำบัน กำรเกษตรและกำรมีส่วนร่วมของเกษตรกร กำรพัฒนำทำงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรที่เอื้อต่อ กำรเพ่ิมผลิตภำพและมูลค่ำเพ่ิมของผลผลิตโดยตรงตลอดถึงเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีอำจช่วยให้เข้ำถึงองค์ ควำมรู้ ทรพั ยำกร และตลำด ทำใหห้ ว่ งโซ่อุปทำนในตลำดสั้นลง กำรทำเกษตรท่ีมีลักษณะกระจุกตัว เชิงพื้นทสี่ งู ซ่ึงจะเอ้ือให้มีโอกำสไดร้ ับประโยชน์จำกกำรประหยัดต่อขนำดหรือ Economies of scale ในหลำกหลำยมิติ และอำจช่วยปลดล็อกให้เกษตรกรรำยย่อยส่วนใหญ่ของประเทศสำมำรถเข้ำถึง เทคโนโลยีได้ในหลำกหลำยรูปแบบ ซ่ึงตัวอย่ำงท่ีสำคัญคือกำรเพ่ิมข้ึนของตลำดเช่ำเครื่องจักรกล สมัยใหม่ที่แพร่หลำยมำกท่ัวประเทศ วิรัตน์ แสงทองคำ (2561) ได้แสดงทัศนะกำรเช่ือมโยงสินค้ำ เกษตรกับกำรจัดกำรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เกี่ยวกับข้ำวหอมมะลิว่ำ ข้ำวเป็นสินค้ำโภคภัณฑ์ท่ีรำคำ ข้ึนลงตำมควำมต้องกำรของตลำดซ่ึงข้ำวไทยเคยสร้ำงปรำกฏกำรณ์สินค้ำมูลค่ำเพ่ิมในฐำนะข้ำว คุณภำพโดยเฉพำะกำรกำเนิดและพัฒนำข้ำวหอมมะลิที่กลำยเป็นภำพลักษณ์ข้ำวไทยที่สื่อถึงคนท่ัว โลกท่ีบ่งบอกถึงวัฒนธรรมชุมชนเกษตรกรรมที่มีควำมสำคัญในฐำนะแหล่งผลิตอำหำรคุณภำพของ โลก นอกจำกน้ียังสำมำรถสร้ำงตรำสินค้ำอ่ืน ๆ ท่ีเช่ือมโยงกับข้ำวหอมมะลิอีกหลำกหลำย เป็น สินค้ำท่ีมีมูลค่ำสูงท่ีสุดอย่ำงหนึ่งของประเทศไทย มีมูลค่ำกำรส่งออกหลำยหม่ืนล้ำนบำท กำรบริหำร จัดกำรข้ำวมะลิในฐำนะสินค้ำเกษตรทรงคุณค่ำควรเป็นกระบวนกำรอย่ำงเป็นระบบกว่ำท่ีเป็นอยู่ใน ฐำนะห่วงโซ่ต่อเนื่องอ่ืน ๆ จนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ดี บรรจุภัณฑ์ซ่ึงรักษำคุณค่ำสินค้ำ ทั้งพัฒนำระบบ เช่ือมต่อกับระบบกำรค้ำแบบใหม่ต่อจำกน้ันให้ควำมสำคัญดูแลและพัฒนำคุณค่ำตรำสินค้ำ (วิรัตน์ แสงทองคำ, 2561) 2.3 ความทา้ ทายของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีของประเทศไทย ยุคโลกำภิวัตน์สรำ้ งสงั คมไรพ้ รมแดน โลกถกู ยอ่ ให้แคบลงดว้ ยควำมกำ้ วหน้ำทำงวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี โดยเฉพำะด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศส่งผลไปยังวิถีชีวิตควำมเป็นอยู่จนกระทั่ง นำไปสู่กำรจัดระเบียบกำรค้ำขำยและเศรษฐกิจโลกแบบใหม่หรือเรียกว่ำเศรษฐกิจข้ำมชำติ ท่ีทุก ประเทศทุกภำษำต่ำงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน หำกพิจำรณำถึงผลกระทบจำกเทคโนโลยีท่ี ประเทศต่ำง ๆ จะได้รับจำกกระแสโลกำภิวัตน์ก็นับว่ำเป็นควำมท้ำทำยของแต่ละประเทศในกำรจะ บริหำรจดั กำรกับควำมทำ้ ทำยท่ีจะเกดิ ข้นึ ซงึ่ ควำมทำ้ ทำยเหลำ่ น้ันได้แก่ 2.3.1 การปรบั ตัวใหเ้ ข้ากบั วิถชี ีวติ เทคโนโลยี จำกกำรจัดอันดับควำมสำมำรถในกำรแข่งขันของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีผลกำรจัดลำดับที่ดีขึ้นแต่มีช่องว่ำงให้พัฒนำในบำงประเด็น เช่น กำรปรับตัวตำม เทคโนโลยสี ำรสนเทศซ่งึ เปน็ สง่ิ จำเปน็ ท่ปี ระเทศไทยต้องพัฒนำเพรำะกำรแข่งขนั ในโลกยุคโลกำภิวัตน์ มำพร้อมกับเทคโนโลยี เทคโนโลยีจะกลำยเป็นศูนย์กลำงในกำรขับเคล่ือนเศรษฐกิจและสังคม เครือข่ำยอินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยพ้ืนฐำนของคนสมัยใหม่และเข้ำไปสู่ยุคของ Internet of things
46 (IoT) ท่ีทุกอย่ำงจะถูกเชื่อมโยงเข้ำกับระบบกลำงที่เรียกว่ำ Cloud และยุคน้ีจะมีเทคโนโลยีที่มนุษย์ จะต้องพึ่งพิงและเป็นยุคของกำรขับเคลื่อนด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1) ปัญญำประดิษฐ์ (Artificial intelligence ; AI) 2) เทคโนโลยวี ัสดนุ ำโน (Nanotechnology) และ 3) เทคโนโลยชี ีวภำพ (Biotechnology) โดยคนจะมีควำมสำมำรถมำกขึ้นด้วยกำรใช้เทคโนโลยีเข้ำมำช่วย ระบบ คอมพิวเตอร์จะถูกฝังอยู่ในวัสดุอุปกรณ์ท่ีเรำใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน กำรเงิน (Financialization) จะเข้ำมำมีบทบำทมำกข้ึนในโลกสมัยใหม่ กำรคิดค้นเงินเคยเป็นตัวเปล่ียนอำรยธรรมของมนุษย์ โลกำภิวัตน์และเทคโนโลยีทำงกำรเงินทำให้เงินกลับเป็นตัวขับเคลื่อนโลกในด้ำนต่ำง ๆ เม่ือก่อน ทำงำนเพ่ือแลกเงินแต่ขณะน้ีเงินสำมำรถสร้ำงเงินได้โดยไม่ต้องสร้ำงมูลค่ำจริงทำงเศรษฐกิจเลย สำมำรถเคลอื่ นย้ำยได้อยำ่ งรวดเรว็ และจะพัฒนำไปสู่รปู แบบดิจิทลั มำกขน้ึ จำกกระแสของเทคโนโลยี ดังท่ีได้กล่ำวจะทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์ทำงเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ท่ีเรียกว่ำ VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) ซ่ึงเรียกรวมๆ ว่ำ กำรเกิด Disruption (ธำนินทร์ เอ้อื อภธิ ร, 2560) ซงึ่ เปน็ ส่งิ ทีเ่ กดิ ขึ้นและเปลี่ยนไปอย่ำงรวดเร็ว ดังนน้ั มนุษยจ์ ึงต้องหำทำง ในกำรจะอยู่ร่วมกับควำมผันผวน ควำมไม่แน่นอนท่ีเกิดขึ้นมำพร้อมกับโลกสมัยใหม่และส่ิงที่ดีท่ีสุดท่ี มนุษยจ์ ะสำมำรถรบั มอื ได้กับสถำนกำรณ์เหลำ่ นี้คงหนีไม่พน้ คอื กำรหำควำมรู้และกำรศึกษำน่นั เอง 2.3.2 จริยธรรมของการใช้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงของสังคมในทุกระดับไม่ว่ ำ จะเป็นระดับประเทศ ระดับภำค ระดับอนุภำคหรือระดับโลกก็ตำม กำรเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนมีท้ัง ดำ้ นบวกและดำ้ นลบ กำรพัฒนำดำ้ นหุ่นยนตอ์ ำจใชเ้ พื่อกำรทำงำนแทนคน ชว่ ยลดควำมเสีย่ งจำกงำน ทีเ่ ป็นอนั ตรำยแทนคนหรอื อำจใช้เปน็ อำวธุ เพ่ือทำลำยล้ำงกันก็อำจเปน็ ไปได้ กำรปรบั แตง่ ยีนอำจช่วย สร้ำงพันธุกรรมพืชหรือสัตว์ที่ตอบสนองควำมต้องกำรของตลำดหรืออุตสำหกรรม หรือกำรสร้ำงเด็ก อัจฉริยะ ไม่มีโรคทำงพันธุกรรมก็อำจเป็นไปได้ท้ังสิ้นแต่ก็ไม่สำมำรถปฏิเสธได้ว่ำยังมีหลำยประเด็นที่ ต้องระมัดระวังปัญหำท่ีจะตำมมำ นักวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีต้องมีควำมรับผิดชอบที่จะต้อง พยำยำมทำงำนร่วมกับผู้อื่นแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่จะตำมมำท้ังด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมเพ่ือ นำไปสู่กำรเสนอแนะแนวทำงในกำรป้องกันหรือจัดกำรกับควำมเสี่ยงที่อำจจะเกิดขึ้น สร้ำงบรรทัด ฐำนทำงจริยธรรมในประชำคมวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยและเป็น เร่ืองสำคัญและ จำเปน็ สำหรับประเทศไทย (ยงยทุ ธ ยทุ ธวงศ์, 2561) นวตั กรรมท่เี ปลยี่ นแปลง ก้ำวหน้ำ สำมำรถพลิก โลกที่เรำเคยอยู่อำศัยจนบำงคร้ังมนุษย์เรำไม่สำมำรถรับมือได้ทัน เช่นเดียวกันกับควำมก้ำวหน้ำด้ำน เทคโนโลยีจโี นมท่ีนำไปสู่กำรพัฒนำวธิ ีกำรตรวจวินิจฉัยโรค กำรรักษำโรค ตลอดจนกำรคัดเลือกเพศ หรือพันธุกรรมของบุตรแต่ก็ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงสังคมในมิติที่หลำกหลำยที่นำไปสู่ประเด็น สำคัญทำงด้ำนจริยธรรมต่ำง ๆ ที่ต้องควบคุมดูแล เช่น กำรดูแลรักษำควำมลับและกำรนำข้อมูลทำง พันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ในทำงมิชอบ กำรอ้ำงเทคโนโลยีในกำรโฆษณำสรรพคุณท่ีเกินจริง แต่ใน บำงกรณี เช่น กำรใช้ข้อมูลจโี นมสืบหำฆำตกรต่อเนื่องของสหรัฐที่ชื่อว่ำนักฆำ่ โกลเดนสเตทโดยกำรนำ ข้อมูลจีโนมท่ีพบในท่ีเกิดเหตุไปสืบค้นฐำนข้อมูลดีเอ็นเอจนกระท่ังพบตัวฆำตกรในท่ีสุด ซึ่งนับเป็น ประโยชน์ของเทคโนโลยี หรือกรณีของกลุ่มเทคโนโลยีปัญญำประดิษฐ์ Big data หุ่นยนต์ซ่ึงนับว่ำ เป็นเทคโนโลยีท่ีมีควำมก้ำวหน้ำมีวิวัฒนำกำรอย่ำงรวดเร็ว และเข้ำมำมีบทบำทต่อควำมเป็นอยู่ใน ชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว กำรปรับตัวเพื่อรองรับกับกำรเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดังกล่ำวจึงเป็น
47 เร่อื งสำคญั โดยเฉพำะกับผลกระทบเชิงจริยธรรมด้ำนกำรใช้งำนและกำรพัฒนำเพ่ือใหป้ ระเทศไทยเกิด กำรพัฒนำด้ำนเทคโนโลยีและไม่เกิดควำมเล่ือมล้ำและส่งผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลจึงต้องมีกำร ส่ือสำรทำควำมเข้ำใจกับสงั คมเพอ่ื หำแนวทำงเกี่ยวกบั จรยิ ธรรมในกำรพัฒนำเทคโนโลยีรว่ มกัน (นเรศ ดำรงชัย, 2561) ดังนั้นจำกกรณีท่ีกล่ำวมำท้ังหมดจึงควรต้องตระหนักถึงกำรใช้เทคโนโลยีอย่ำงมี จริยธรรมและควำมรับผิดชอบ คำนึงถึงช่องว่ำงกฎหมำยไทยต่อกำรโฆษณำสินค้ำและบริกำร กำร ตรวจพันธุกรรม เป็นต้น ปัญหำที่สร้ำงควำมวิตกกังวลด้ำนจริยธรรมในด้ำนวิทยำศำสตร์และ เทคโนโลยีท่ียังคงมีกำรหำรือกันอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) ศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ (Dignity) เช่น เร่ือง กำรเลือกเพศเด็ก และหำกกำรคัดเลือกท่ีไม่มีเหตุผลจะส่งผลให้สปีชีส์นั้น ๆ อ่อนแอลง (2) ควำม เป็นส่วนตัว (Privacy) หำกเกิดกำรละเมิดควำมเป็นส่วนตัวจำกข้อมูลจีโนมแล้ว ภำครัฐจะช่วยเหลอื อยำ่ งไร และ (3) ทรพั ย์สนิ ทำงปัญญำ (Intellectual Property) (ประสิทธ์ิ ผลติ ผลกำรพิมพ์, 2561) นอกเหนอื จำกจรยิ ธรรมกับเทคโนโลยีทต่ี ้องพิจำรณำอย่ำงรอบคอบแลว้ ยังต้องมีกำรพัฒนำเร่ืองกติกำ กฎหมำยท่ีต้องมีกำรพัฒนำตำมไปด้วย แต่ปัญหำคือประเทศไทยยังรับไม่ทันเรื่องของกติกำซ่ึงมี ปัญหำคือ กติกำเดิมท่ีมีอยู่นั้นเปล่ียนยำกเพรำะควำมเคยชินและกฎหมำยและยังไม่เคยมีกติกำน้ันมำ ก่อน ดังน้ันจึงจำเป็นต้องดำเนินกำรวำงกรอบกติกำให้ทันกับควำมก้ำวหนำ้ ของเทคโนโลยีเพ่ือรับมือ กบั ควำมเสยี่ งจำกกำรใชป้ ระโยชน์เทคโนโลยีนัน้ (กิติพงค์ พร้อมวงค์, 2561) กำรเปลี่ยนผ่ำนของประเทศไทยเข้ำสู่ประเทศไทย 4.0 ถือเป็นยุทธศำสตร์ท่ีสำคัญใน กำรผลักดันระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐำนของวัฒนธรรมซ่ึงมีควำมจำเป็นจะต้องพัฒนำกำลังคนในทุก ด้ำนพร้อมกับสร้ำงกลไกกำรขับเคลื่อนอย่ำงเป็นรูปธรรมเพ่ือให้กำรพัฒนำเทคโนโลยีเป็นไปอย่ำงมี ศักยภำพควบคู่กับกำรสร้ำงจิตสำนึกและควำมรับผิดชอบต่อสังคมในประเด็นที่เกี่ยวกับจริยธรรม กฎหมำยรวมถึงสังคมของกำรพัฒนำและประยุกต์ใช้วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เกิด ประโยชน์ ดังน้ันผู้ประกอบอำชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจึงต้องมี จริยธรรมทำงวิชำชีพเพ่ือให้สำมำรถปฏิบัติตนและปฏิบัติงำนในทำงที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อ สังคมและประเทศชำติ (ปฐม สวรรคป์ ญั ญำเลิศ, 2561) 2.3.3 การประเมนิ ข้อมูลข่าวสารยคุ โลกาภิวตั น์ ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีด้ำนคอมพิวเตอร์และกำรส่ือสำรทำให้สำมำรถเช่ือมต่อ โลกเข้ำด้วยกัน ในขณะเดียวกันนี้เองควำมได้เปรียบด้ำนเทคโนโลยีข้อมูลข่ำวสำรและเทคโนโลยี อวกำศได้ทำให้ประเทศผู้นำมีบทบำทเหนือกว่ำประเทศอ่ืนท่ีด้อยกว่ำ ข้อดีของเทคโนโลยีน้ีคือ ประชำคมโลกรับรู้เหตุกำรณ์ต่ำง ๆ จำกทุกมุมโลกแต่อีกด้ำนหน่ึงอำจทำให้เกิดกระแสกำรครอบงำ โลกจำกประเทศมหำอำนำจ ในยุคท่ีโลกอยู่ในกระแสโลกำภิวัตน์ท่ีมีกำรใช้เครือข่ำยอินเตอร์เน็ตกัน อย่ำงแพร่หลำย ข้อมูลข่ำวสำรมีบทบำทมำกขึ้น อำจสร้ำงควำมต่ืนตระหนกได้หำกไม่มีวิจำรณญำณ ในกำรคัดกรองข้อมูลและนำไปสู่กำรตัดสินใจที่ผิดพลำดและสร้ำงควำมเสียหำยได้ อย่ำงกรณีของ กำรเผยแพร่ข้อมูลเก่ียวกับกำรระบำดของโรคไวรัสโคโรน่ำ สำยพันธุ์ใหม่ 2019 ท่ีมีต้นกำเนิดจำก เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ประเทศไทยสำมำรถรับรู้ข้อมูลข่ำวสำรได้อย่ำงทันท่วงที และมีกำรเผยแพร่ ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ไม่ใช่มำจำกแหล่งข้อมูลทำงกำรโดยผู้ที่ไม่ประสงค์ดีหรืออำจรู้เท่ำไม่ถึงกำรณ์ จึง ทำให้เกิดควำมต่ืนตระหนกวิกตกังวลไปท่ัวเมือง กำรส่งต่อข้อมูลต่อ ๆ กันไป โดยที่ยังไม่ได้มีกำร ตรวจสอบข้อมูลอย่ำงถูกต้องนับเป็นภัยอย่ำงหนึ่งจำกกำรรับข้อมูลสำรทำงอินเตอร์เน็ต ในทำง
48 กำรเมืองอำจเป็นภัยคุกคำมควำมมั่นคงของประเทศได้ อย่ำงกรณีท่ีเจริญ ภัสระ (2552) ได้กล่ำวถึง กำรเกิดสงครำมอ่ำวเปอร์เซียครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ ที่ทุกประเทศต่ำงยอมรับในควำม ทันสมัยของสงครำมในรูปแบบใหม่ผ่ำนเครือข่ำยโทรทัศน์ CNN, BBC ทำให้เกิดควำมหวั่นไหวต่อ อำนำจกำลังรบและอิทธิพลของสหรัฐฯ ไปท่ัวโลก สงครำมข้อมูลข่ำวสำร เป็นสงครำมท่ีจะทำให้ได้ ข้อมูลข่ำวสำรท่ีเชื่อถือได้ กำรปฏิบัติกำรเพื่อให้ได้มำซ่ึงควำมเหนือกว่ำของข้อมูลจะส่งผลต่อข้อมูล ข่ำวสำร กำรใช้ฐำนข้อมูลข่ำวสำรและกำรป้องกันข้อมูลข่ำวสำร ข้อมูลข่ำวสำรมีระดับที่ต่ำงกัน 3 ระดับ คือระดับข้อมูล (Data) ระดับข่ำวสำร (Information) และระดับข่ำวกรอง (Intelligence) กำรปฏิบัติกำรทำงสงครำมเพ่ือให้ได้มำซ่ึงควำมเหนือกว่ำหรือได้เปรียบกว่ำคู่แขง่ ขนั อำจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ (1) ข้อมูลข่ำวสำรส่วนบุคคล เป็นข้อมูลเก่ียวกับเครดิตส่วนบุคคล แฟ้มประวัติและกำร โต้ตอบส่วนบคุ คล (2) ข้อมูลข่ำวสำรทำงธุรกิจ ได้แก่ กำรบันทึกข้อมูลทำงธุรกิจ กำรทำธุรกรรมของ สถำบันกำรเงิน กำรทำธุรกรรมทำงกำรเงิน และ (3) ข้อมูลข่ำวสำรทำงกำรทหำร ได้แก่ ข่ำวสำรที่ เกี่ยวข้องกับโครงกำรพัฒนำกำลังรบ แฟ้มข้อมูลและกำรประเมินค่ำกำลังพล กำรควบคุมสั่งกำรฐำน ท่ีต้ัง เป็นต้น ซ่ึงกำรโจมตีข้อมูลข่ำวสำรในระดับบุคคลอำจไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเท่ำกับกำรโจมตี ทำลำยข้อมลู ข่ำวสำรด้ำนกำรทหำร (เจริญ ภัสระ, 2552) ม นุ ษ ย์ รู้ จั ก ก ำ ร ใ ช้ เ ท ค โ น โ ล ยี ก ำ ร รั บ แ ล ะ ส่ ง ข่ ำ ว ส ำ ร ท ำ ง ไ ก ล เ ป็ น ค ร้ั ง แ ร ก เ ม่ื อ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 มกี ำรวำงเครือข่ำยสำยเคเบลิ ใต้น้ำเพ่ือวำงเส้นทำงกำรสื่อสำรของโลกและมีกำร ตั้งสำนักข่ำวขึ้นมำเพื่อหำข่ำวและขำยข่ำวให้กับประเทศต่ำง ๆ ท่ัวโลก สำนักข่ำวท่ีเก่ำแก่ที่สุดคือ สำนักข่ำว Reuters ของอังกฤษ สำนักข่ำว Haves ของฝรั่งเศส และ สำนักข่ำว Wolff ของฝร่ังเศส แต่อิทธิพลของท้ังสำมสำนักได้สิ้นสุดลงหลังสงครำมโลกครั้งท่ี 2 อำนำจกำรผูกขำดก็เป็นอันส้ินสุด ลงไปด้วย กำรส่ือสำรข้ำมพรมแดนจึงไม่ใช่เร่ืองใหม่แต่มีกำรพัฒนำขึ้นมำจนถึงยคุ โลกำภวิ ัตน์ ระบบ สื่อยุคโลกำภิวัตน์ถูกพัฒนำข้ึนมำพร้อมกับกำรทำให้ตลำดส่ือทั่วโลกกลำยเป็นตลำดเดียวกันแบบไม่ ต้องมีเส้นก้ันพรมแดน สื่อในยุคน้ีมีลักษณะกำรผูกขำดอำนำจแล้วยังมีแนวโน้มท่ีจะเป็นธุรกิจกำรค้ำ มำกขึน้ ทกุ วันเพรำะอุตสำหกรรมส่ือของประเทศต่ำง ๆ ท่แี ตเ่ ดิมเคยเป็นของรัฐได้รับงบประมำณจำก รัฐและสือ่ ภำคสำธำรณะที่ดำเนินงำนเพื่อสังคมไม่มโี ฆษณำต่ำงถูกส่ือข้ำมโลกท่ีมีกำไรจำกกำรโฆษณำ กระทบอย่ำงหนักจึงปรับทิศทำงกำรทำธุรกิจเหมือนคนอื่นเพื่อควำมอยู่รอดขององค์กรทำให้สื่อขำด ควำมรับผิดชอบ ไม่สนใจภำระหน้ำท่ีในกำรปลุกจิตสำนึกของสังคม จึงนับว่ำเป็นอันตรำยต่อกำร พัฒนำระบอบประชำธิปไตยที่ข่ำวสำรเป็นส่ิงจำเป็นของสังคม และส่ือในยุคโลกำภิวัตน์ยังมีศักยภำพ ในกำรขยำยตวั อย่ำงรวดเร็วมำกในเวลำสัน้ ๆ ซึ่งอิทธิพลของส่ือน้ีทำใหช้ ำวโลกต้องหันกลับไปทบทวน ประวัติควำมเป็นมำของส่ือโลกอีกครั้งรวมท้ังเฝ้ำติดตำมควำมเคล่ือนไหวของส่ืออย่ำงใกล้ชิด แม้ว่ำ หลำยฝ่ำยจะมีควำมเห็นในบทบำทและอิทธิพลของส่ือโลกแตกต่ำงกันอยู่บ้ำงแต่โดยหลักๆ แล้วทุก ฝำ่ ยตำ่ งตระหนกั ถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกจิ กำรเมือง วฒั นธรรมและวิถชี ีวิตของผู้คนในโลกแจ้งชัด ขนึ้ เรื่อย ๆ (วิภำ อุตมฉันท,์ 2546) 2.3.4 การเผชญิ กบั การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม กำรเผชิญกับกำรเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก นับเป็นปัญหำท่ีสำคัญของยุคโลกำภิวัตน์ โดยเฉพำะกำรเปล่ียนแปลงของสภำพภูมิอำกำศ จำกกำร รำยงำนของคณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลวำ่ ด้วยกำรเปลย่ี นแปลงสภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ในปี พ.ศ.
49 2550 ท่ีระบุว่ำหำกอุณหภูมิของโลกเพ่ิมขึ้น 1 องศำเซลเซียส จะทำให้แนวปะกำรังชำยฝ่ังเสียหำย ธำรน้ำแข็งเลก็ ๆ ในแถบภูเขำหมดไป จะมีหลำยพ้นื ที่ตอ้ งประสบปญั หำขำดแคลนนำ้ จดื ส่วนในแถบ อบอนุ่ บรเิ วณทีล่ ะตจิ ดู สงู ๆ อำจสรำ้ งผลผลติ ได้มำกข้นึ ผลกระทบทีจ่ ะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม คอื พำยุรุนแรงข้ึน มีไฟป่ำถี่ข้ึน เกิดควำมแห้งแล้ง น้ำท่วมและคล่ืนควำมร้อน หำกอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศำเซลเซยี ส ผลผลิตธญั พชื จะลดลง โดยเฉพำะในประเทศกำลังพัฒนำ นำ้ จืดขำดแคลนโดยเฉพำะ ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของแอฟริกำ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพจะน้อยลงเพรำะ สิ่งมีชีวิตหลำยชนิดมีควำมเส่ียงที่จะสูญพันธุ์ จะเกิดกำรเปล่ียนแปลงของภูมิอำกำศแบบฉับพลันและ ไม่สำมำรถกลับคืนสสู่ ภำพเดิมอีกต่อไป หำกอุณภูมิเพ่ิมขึ้น 3 องศำเซลเซียส ประเทศพัฒนำแลว้ จะ มีผลผลผลิตธัญพืชลดลง ระดับน้ำทะเลสูงข้ึนกระทบกับเมืองใหญ่หลำยแห่งของโลก โดยสำมเหลี่ยม ปำกแม่น้ำจะได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น แม่น้ำมิสซิสซิปปี แม่น้ำไนล์ แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำโขง เป็นต้น (สุชำต อุดมโสภกิจ, มปป.) ประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบจำกสถำนกำรณ์เหล่ำน้ีอย่ำง แน่นอน และจะต้องเตรียมกำรสำหรับปัญหำท่ีจะเกิดข้ึนนับเป็นควำมท้ำทำยของภำครัฐในกำร เตรียมกำรจัดกำรกับผลกระทบในอนำคต เม่ือช่วงปี พ.ศ. 2504-2550 กรุงเทพมหำนครมีอุณหภูมิ เฉลี่ยสูงสุดและต่ำสดุ อยู่ระหวำ่ งประมำณ 32.30 - 33.40 องศำเซลเซียส และ 23.20- 25.50 องศำ เซลเซียส ตำมลำดับ และมีแนวโน้มจะสูงข้ึนไปอีกในอนำคต รวมทั้งจำนวนวันท่ีมีอุณภูมิสูงกว่ำ 35 องศำเซลเซียสมีเพิ่มข้ึนทุกปี นอกจำกน้ี Syvitski และคณะ อ้ำงถึงใน สุชำต อุดมโสภกิจ, มปป. ได้ รำยงำนกำรศึกษำพื้นท่ีสำมเหลี่ยมปำกแม่น้ำจำนวน 33 แห่งทั่วโลกว่ำตลอดศตวรรษท่ีผ่ำนมำ ร้อย ละ 85 ของพ้ืนท่ีสำมเหลีย่ มปำกแมน่ ้ำประสบปญั หำน้ำท่วม 260,000 ตำรำงกิโลเมตร จมใตน้ ำ้ เป็น คร้ังครำว และในศตวรรษน้ีจะมีพ้ืนท่ีสำมเหลี่ยมปำกแม่น้ำถูกน้ำท่วมเพ่ิมขึ้นอีกร้อยละ 50 หำก ระดับนำ้ ทะเลยังสูงขึ้นในอตั รำเดียวกับปัจจบุ นั กรงุ เทพมหำนครซ่งึ เป็น 1 ใน 5 ของบริเวณพื้นที่ท่ีมี ควำมเส่ียงจะมนี ้ำท่วมสูงสุด ในศตวรรษท่ีผ่ำนมำกรุงเทพฯ บริเวณสำมเหลยี่ มปำกแม่น้ำเจ้ำพระยำ จมลงไป 15 เซนติเมตรเม่ือเทียบกับระดับน้ำทะเล ปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นน้ีทำให้คำดกำรณ์อนำคต อำจเกิดวิกฤตได้ในหลำยรูปแบบคือ ในปี พ.ศ. 2573 จะมีควำมต้องกำรอำหำรและพลังงำนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 50 ควำมต้องกำรน้ำเพ่ิมข้ึนร้อยละ 30 ซ่ึงท้ังหมดน้ีเกี่ยวข้องกับกำรเปล่ียนแปลงสภำพ ภูมิอำกำศและมีควำมกังวลเกิดข้ึนว่ำประชำกรของโลกจะมีอำหำรบริโภคเพียงพอหรือไม่ พลังงำนที่ จะตอบสนองควำมต้องกำรของคนในอนำคต 9 พันล้ำนคนจะมำจำกไหน จะบรรเทำและปรับตัวกับ ปัญหำภำวะโลกร้อนได้อย่ำงไร วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจะเข้ำมำช่วยป้องกันและ แกป้ ญั หำได้อย่ำงไร (สชุ ำต อดุ มโสภกิจ, มปป.) ในเวทีโลกอนำคตนั้นหลำย ๆ ประเทศอำจต้องประสบกับสถำนกำรณ์กำรขำดแคลน ทรัพยำกร โดยเฉพำะคนและอำหำรและจะเปน็ ปญั หำใหญข่ องโลก แตเ่ น่อื งจำกโลกในอนำคตจะทำ ใหท้ รพั ยำกรท้ังหลำยสำมำรถเคลื่อนย้ำยไปไหนมำไหนในโลกไดง้ ่ำยขึน้ จะทำใหม้ ีกำรแยง่ ชงิ ควำมเป็น เจ้ำของทรัพยำกรกำรผลิตข้ำมชำติมำกขึ้น ตัวอยำ่ งเช่น ในเรื่องแรงงำนของโลกทนี่ ับวนั จะมีแรงงำน น้อยลงๆ จะทำให้ประเทศต่ำง ๆ เปิดรับแรงงำนมีฝีมือจำกต่ำงชำติเข้ำไปทำงำนในประเทศตนเอง มำกข้ึน ถ้ำประเทศใดยังกีดกันแรงงำนต่ำงด้ำวท่ีมีฝีมืออยู่อำจเสียเปรียบในเวทีกำรแข่งขันใหม่ของ โลก อำจเห็นกำรแยง่ ชงิ พ้ืนท่เี พำะปลูกซ่ึงมีอยู่อย่ำงจำกัดกันมำกข้ึน อนำคตอำจจะเหน็ ต่ำงชำติ มำ ซ้ือท่ีดินเพื่อทำกำรเพำะปลูกพืชอำหำร เช่น พื้นที่ปลูกข้ำวแถวสุพรรณ หรือในแอฟริกำมำกข้ึน ใน
50 ขณะเดียวกันกำรพัฒนำเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมหรือเทคโนโลยีจิ๋ว (GMO หรือ Nano) ที่ทำให้ผล ผลิตงอกเงยข้ึนโดยใช้ต้นทุนลดลงจะกลำยเป็นส่ิงที่เห็นได้โดยท่ัวไป อำหำรหรือสินค้ำธรรมชำติจะ กลำยเป็นของมีค่ำในโลกอนำคตและท่ีสำคัญคือเร่ืองส่ิงแวดล้อมซึ่งจะมีผลกับกำรดำเนินชีวิตในโลก อนำคตโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งปัญหำโลกร้อน (Global warming) ที่จะนำพำภัยธรรมชำติในรูปแบบภัย แล้งและอุทกภัยให้แก่ประเทศทั่วโลก ประเทศทั้งหลำยทั่วโลกจะถูกบังคับโดยภยั ธรรมชำติให้หันมำ สนใจส่ิงแวดล้อมมำกข้ึน นอกจำกนั้นปัญหำโลกร้อนจะทำให้น้ำจืดกลำยเป็นสิ่งมีค่ำอย่ำงหนึ่งของ โลก กำรจัดกำรกับน้ำจืดจึงเป็นปัญหำและควำมท้ำทำยอีกอย่ำงของโลกอนำคต (วิรัตน์ แสงคำกุล, 2561) 2.3.5 การศกึ ษาเร่อื งกฎหมายและระเบียบปฏิบัติใหม่ของโลกยคุ โลกาภิวัตน์ โลกำภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อสงั คมโลกโลกำภวิ ัตน์เกี่ยวกับกระบวนกำรทำให้ตลำดโลก เสรีด้วยกำรลดหรือยกเลิกกฎเกณฑ์ท่ีเป็นอุปสรรคต่อกำรค้ำและกำรดำเนินธุรกิจเพื่อให้กำร เคลื่อนย้ำยสินค้ำระหว่ำงประเทศเป็นไปอย่ำงเสรี แต่ปัญหำที่ประเทศไทยจะได้รับต่อไปจำกนี้คือ ร้ำนค้ำปลีกจะอยูร่ อดหรือไม่ เพรำะจะมบี รรษทั คำ้ ปลีกขำ้ มชำตเิ ข้ำมำดำเนนิ กิจกำร วิกฤตเศรษฐกิจ จำกกำรเปิดเสรีทำงกำรเงิน ควำมเดือดร้อนของผู้บริโภคท่ีเกิดจำกกำรคุ้มครองทรัพย์สินทำงปัญญำ และผลกระทบจำกกำรเปิดเสรีดำ้ นโทรคมนำคม นอกจำกนี้ยังมีโลกำภิวัตนใ์ นทำงนิติศำสตรค์ ือกำร ปรับเปลี่ยนกฎหมำยของประเทศต่ำง ๆ ให้เอ้ือและตอบสนองต่อเศรษฐกิจเสรีด้วยกำรทำให้ กฎระเบียบในกำรกำกับธุรกิจของแต่ละประเทศเป็นไปในแนวทำงเดียวกัน หำกกฎหมำยทุกประเทศ เป็นแบบเดียวกัน สินค้ำและบริกำรท่ีผลิตในประเทศหน่ึงจะสำมำรถนำไปขำยในอีกประเทศหนึ่งโดย ไม่มีอุปสรรค เกิดประโยชน์กับผูป้ ระกอบธุรกิจข้ำมชำติที่จะขำยสนิ ค้ำได้มำกข้ึน ผู้ผลิตรำยย่อยและ รำยใหญ่ต่ำงก็มีตลำดที่ใหญ่ขึ้น นกั ลงทุนข้ำมชำติสำมำรถเขำ้ ไปตั้งบริษัทประกอบธุรกิจได้ในประเทศ ท่ีต้องกำร ส่วนผู้บริโภคสำมำรถซื้อหำสนิ ค้ำท่ีต้องกำรในคุณภำพและรำคำท่ีถูก ซ่ึงเมื่อพิจำรณำแล้ว โลกำภวิ ัตนเ์ ปน็ ประโยชน์กับทุกฝำ่ ย แตอ่ ีกด้ำนหนึ่งตลำดเสรอี ำจหมำยถงึ ตลำดเสรีเพียงดำ้ นเดียวคือ เสรีในกำรดำเนินธุรกิจของบริษัทไม่ได้เป็นกำรเสรีต่อผู้บริโภคในกำรทรำบข้อมูลเก่ียวกับสินค้ำที่ จำหนำ่ ยโดยบริษทั ไมไ่ ด้เสรีตอ่ กำรท่ีรฐั จะควบคุมกำรดำเนนิ ธรุ กิจต่อกำรปกป้องผผู้ ลิตรำยย่อย ต่อ กำรปกป้องส่ิงแวดล้อมและคุ้มครองผู้บริโภค ควำมเป็นเสรีทำงกำรค้ำทำให้บริษัทข้ำมชำติครอบงำ ตลำดและทำลำยธรุ กิจรำยย่อย กฎหมำยหลำยฉบับต้องถูกแก้ไข เชน่ กฎหมำยด้ำนกำรค้ำ และด้ำน ทรัพย์สินทำงปัญญำภำยหลังประเทศไทยเข้ำเป็นสมำชิกองค์กำรกำรค้ำโลก (จักรกฤษณ์ ควรพจน์, 2545) ประเด็นทรัพย์สินทำงปัญญำนำมำเก่ียวกับประโยชน์ทำงเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ำเพรำะ ทรัพย์สินทำงปัญญำเป็นองค์ประกอบท่ีจำเป็นของสินค้ำและบริกำร ดังน้ันกำรคุ้มครองทรัพย์สิน ทำงปัญญำท่ีไม่เพียงพออำจเพ่ิมขอบเขตกำรแข่งขันนอกกฎหมำยและกำรแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับ สินค้ำคู่แข่งเพรำะไม่ได้รวมค่ำวิจัยและพัฒนำสินค้ำและบริกำรน้ัน กำรพัฒนำระบบทรัพย์สินทำง ปัญญำของไทยได้รับอิทธิพลจำกองค์กำรระหว่ำงประเทศ และในปัจจุบันองค์กำรระหว่ำงประเทศ หลำยแห่งให้ควำมสำคัญกับกำรคุ้มครองทรัพย์สินทำงปัญญำ นอกจำกทรัพย์สินทำงปัญญำจะมี ควำมสำคัญในทำงเศรษฐกิจแล้วยังก่อผลกระทบด้ำนอื่น ๆ ด้วย เช่น กำรศึกษำ วัฒนธรรม สุขภำพ อนำมัย อำหำร หรือวิถีชีวิตของคนทั่วไป ประเทศไทยเข้ำร่วมเป็นภำคีและมีพันธกรณีท่ีต้องปฏิบัติ ตำมควำมตกลงระหวำ่ งประเทศเก่ียวกับทรัพยส์ นิ ทำงปัญญำ 2 ฉบับ คือ อนุสญั ญำกรุงเบิร์น (Berne
51 Convention) วำ่ ดว้ ยกำรคมุ้ ครองงำนวรรณกรรมและศลิ ปกรรม ควำมตกลงศลิ ปกรรมและควำมตก ลงว่ำด้วยสิทธิในทรัพย์สินทำงปัญญำเข้ำกับกำรค้ำระหว่ำงประเทศซ่ึงอยู่ภำยใต้กำรบริหำรงำนของ องคก์ ำรระหวำ่ งประเทศ (WTO) ซ่งึ มีผลบังคบั ใชต้ ้ังแตว่ นั ท่ี 1 มกรำคม 2538 กฎหมำยด้ำนทรัพย์สิน ทำงปัญญำของประเทศไทยมีหลำยฉบับ แต่ละฉบบั มุง่ สง่ เสริมและสนับสนนุ ให้มีกำรคุ้มครองสิทธิแก่ ผู้เปน็ เจำ้ ของผลงำนท่ีไดส้ รำ้ งสรรค์หรือคิดค้นผลงำนนน้ั ขน้ึ มำ ได้แก่ (1) กฎหมำยว่ำดว้ ยลิขสิทธิ์ ให้ ควำมคุ้มครองงำนสร้ำงสรรค์ด้ำนวรรณกรรม ดำ้ นศลิ ปกรรม ดนตรีกรรม นำฏกรรม และคมุ้ ครองโดย พ.ร.บ.ลิขสทิ ธิ์ ปี 2537 (2) กฎหมำยวำ่ ดว้ ยเคร่ืองหมำยกำรค้ำ ใหค้ วำมคุ้มครองแกเ่ ครื่องหมำยหรือ สัญลักษณ์ที่ใช้กับสินค้ำ ได้รับกำรคุ้มครองตำม พ.ร.บ. เครื่องหมำยกำรค้ำ ปี 2543 (3) กฎหมำยว่ำ ด้วยสิทธิบัตร ให้กำรคุ้มครองแก่ผลงำนด้ำนกำรประดิษฐ์และกำรออกแบบผลิตภัณฑ์และได้รับกำร ค้มุ ครองจำก พ.ร.บ. สทิ ธิบตั ร ปี 2522 (4) กฎหมำยว่ำดว้ ยกำรค้มุ ครองแบบผังภูมวิ งจรรวมทใ่ี ห้กำร คุ้มครองแก่ผลงำนสร้ำงสรรค์แบบผังภูมิของวงจรรวม ได้รับกำรคุ้มครองจำก พ.ร.บ.คุ้มครองแบบผัง ภมู ขิ องวงจรรวม ปี 2543 (5) กฎหมำยวำ่ ควำมลับทำงกำรค้ำ ใหก้ ำรคมุ้ ครองแกข่ ้อมูลกำรค้ำที่เป็น ควำมลับและมีประโยชน์เชิงพำณิชย์ท่ีผู้เป็นเจ้ำของได้จัดเก็บไว้ตำมมำตรกำรที่เหมำะสม ได้รับกำร คุ้มครองโดย พ.ร.บ.ควำมลับทำงกำรค้ำ ปี 2545 (6) กฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทำง ภูมิศำสตร์ (GI) เป็นกำรคุ้มครองสิทธิในกำรใช้ชื่อหรือสัญลักษณ์ของแหล่งภูมิศำสตร์กับสินค้ำที่มี คุณภำพ ช่ือเสียงหรือสัญลักษณ์พิเศษอันเนื่องมำจำกแหล่งภูมิศำสตร์นั้น ได้รับกำรคุ้มครองโดย พ.ร.บ.คุ้มครองส่ิงบ่งช้ีทำงภูมิศำสตร์ ปี 2546 (7) กฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ท่ีให้กำร คุ้มครองแก่พืชสำยพันธ์ุใหม่ทำงเศรษฐกิจที่เป็นผลมำจำกกำรค้นคว้ำวิจัย และ (8) กฎหมำยว่ำด้วย กำรสง่ เสริมคมุ้ ครองกำรแพทย์แผนไทย ทรพั ยส์ ินทำงปญั ญำมีควำมสำคญั กับกำรค้ำระหวำ่ งประเทศ ของไทยมำกขึ้นเร่ือย ๆ จำกกฎหมำยทรัพย์สินทำงปัญญำจึงทำให้ผู้ประกอบกำรต้องให้ควำมสนใจ กับกำรคุ้มครองทรัพย์สินทำงปัญญำมำกขึ้นด้วยประเด็นสำคัญดังน้ีคือ (1) กำรใช้ประเด็นทรัพย์สิน ทำงปัญญำเปน็ เง่ือนไขในกำรกีดกนั ทำงกำรค้ำ เน่อื งจำกปัญหำกำรละเมิดทรัพยส์ ินทำงปญั ญำมีกำร ขยำยตัวเพ่ิมมำกข้ึนและส่งผลกระทบต่อกำรค้ำระหว่ำงประเทศ และใช้เป็นมำตรกำรในกำรกีดกัน ทำงกำรค้ำแก่สินค้ำที่นำเข้ำ เช่น สหรัฐอเมริกำ และสหภำพยุโรปนำประเด็นน้ีมำเป็นข้ออ้ำงในกำร กีดกันทำงกำรค้ำสำหรับสินค้ำนำเข้ำจำกประเทศไทย (2) ผลกระทบจำกกำรควบคุมทรัพย์สินทำง ปัญญำของบรรษัทข้ำมชำติของกำรค้ำระหว่ำงประเทศของไทย ทำให้ผู้ผลิตในประเทศไม่สำมำรถ ผลิตสินค้ำได้เนื่องจำกกำรควบคุมทรัพย์สินทำงปัญญำของบรรษัทข้ำมชำติในประเทศ เช่น กรณีกำร ผลติ ยำ กำรจดสิทธิบตั รยำทำใหผ้ ู้ผลิตไทยไม่สำมำรถผลติ ยำและนำเข้ำวัตถุดิบในกำรผลิตยำรำคำถูก จำกประเทศอื่นได้ซ่ึงจะส่งผลต่อรำคำยำและระบบสำธำรณสุขของประเทศไทย (3) กำรควบคุม ทรพั ยส์ ินทำงปัญญำด้ำนพนั ธุพ์ ืชและควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ เนอื่ งจำกประเทศไทยเปน็ ผู้ส่งออก สินค้ำเกษตรที่สำคัญของโลกแต่กำรคุ้มครองทรัพย์สินทำงปัญญำท่ีเก่ียวกับพืชพันธ์ุและควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพเริ่มถูกผลักดันจำกต่ำงประเทศมำกขึ้น โดยควำมตกลงว่ำด้วยสิทธิใน ทรัพย์สินทำงปัญญำเข้ำกับกำรค้ำระหว่ำงประเทศ (Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights ; TRIPs Agreement) ท่ีกำหนดว่ำหำกใครสำมำรถพัฒนำพันธุ์พืช ใหม่ได้และมีคุณสมบัติครบถ้วนตำมกฎเกณฑ์ท่ีกำหนด สำมำรถขอรับกำรคุ้มครองทรัพย์สินทำง ปัญญำโดยใช้ระบบสิทธิบัตรหรือกฎหมำยเฉพำะ ทำให้บริษัทเอกชนสำมำรถเป็นเจ้ำของพันธุกรรม
52 พืชได้หำกวิจัยและพัฒนำจนได้ผลติ ภณั ฑ์ทำงกำรเกษตรชนิดใหม่ขึ้นมำ ซ่ึงเป็นปรำกฎกำรณ์ที่เกิดข้นึ ในประเทศพัฒนำแล้วและมีผลทำให้ส่วนแบ่งทำงกำรตลำดของบริษัทเมล็ดพันธ์ุของบรรษัทข้ำมชำติ เพิ่มขึ้นแต่ตลำดของเมล็ดพันธ์ุท้องถ่ินลดลง (4) กำรถูกละเมิดทรัพย์สินทำงปัญญำของสินค้ำส่งออก เจ้ำของทรัพย์สินทำงปัญญำท่ีเป็นคนไทยก็ถูกลอกเลียนและนำไปหำผลประโยชน์ในต่ำงประเทศ ถึงแม้ว่ำจะไม่ได้ส่งสินค้ำนั้นไปต่ำงประเทศก็สำมำรถถูกลอกเลียนได้ จึงเป็นปัญหำสำหรับผู้ส่งออก ไทยและถ้ำหำกผู้ประกอบกำรไทยท่ีเป็นเจ้ำของทรัพย์สินทำงปัญญำต้องกำรขอรับกำร คุ้มครองใน ต่ำงประเทศจะต้องไปยื่นขอจดทะเบียนในทุกประเทศที่ต้องกำรให้ได้รับกำรคุ้มครองซึ่งเป็นควำมไม่ สะดวกและยำกลำบำกแก่ผู้ประกอบกำรขนำดกลำงและขนำดเล็ก ภำครัฐจึงพยำยำมผลักดันให้ ประเทศไทยเปน็ ภำคีสนธิสัญญำควำมร่วมมือด้ำนสิทธบิ ัตร เพรำะกำรได้รับกำรคุ้มครองทรัพย์สินทำง ปัญญำจะมีส่วนช่วยในกำรพัฒนำเทคโนโลยีท้องถ่ิน ป้องกันสินค้ำถูกละเมิดทรัพย์สินทำงปัญญำและ ช่วยเพ่ิมควำมสำมำรถในกำรแข่งขันและเพ่ิมมูลค่ำกำรค้ำกับต่ำงประเทศของประเทศไทยโดยไม่ถูก กีดกนั ทำงกำรค้ำ (พรี ะ เจรญิ พร, มปป.) 2.3.6 การเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งประชากรและผลกระทบ กระแสโลกำภิวัตน์มีอิทธิพลกับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่ำง ๆ และ นักวิชำกำรได้คำดกำรณ์ถึงแนวโน้มกำรเปล่ียนแปลงโลกท้ังในด้ำนเศรษฐกิจ สงั คม และกำรเมืองท่ีจะ มีผลต่อควำมสำมำรถในกำรแข่งขันของประเทศ กำรเปล่ียนแปลงลักษณะประชำกรที่จะมีผู้สูงอำยุ มำกขึ้นซึ่งจะมีผลต่อตลำดสินค้ำ ท้ังนี้ยังไม่รวมถึงค่ำนิยมและพฤติกรรมของประชำกรท่ีจะเปลี่ยนไป ด้วยและก่อให้เกดิ ผลกระทบต่อกำรสน้ิ สุดของตลำดเดยี วท่ีมีวัยรุ่นเป็นผู้ครองตลำด แตต่ ่อไปตลำดจะ ถูกแบ่งออกเป็นตลำดผู้สูงอำยุและตลำดของกลุ่มวัยรุ่น ด้วยปัจจุบันคนอำยุยืนยำวขึ้นอัตรำกำรตำย น้อยลงแต่อัตรำกำรเกิดต่ำ มีผลให้ประชำกรวัยทำงำนลดลงโดยเฉพำะในประเทศกำลังพัฒนำและจะ กระทบกับเศรษฐกิจของทุกประเทศ ประเทศที่พัฒนำแล้ว เช่น ญ่ีปุ่น ในยุคก่อนญ่ีปุ่นประสบปัญหำ ประชำกรท่ีอยู่ในวัยสูงอำยุมำกโดยในปี ค.ศ. 1945 ประชำกรญ่ีปุ่นมีอำยุเฉล่ียเพียง 22.3 ปีเท่ำนั้น ขณะที่ตะวันตกและสหรฐั อเมรกิ ำอำยเุ ฉล่ยี 31 ปี ต่อมำในช่วงปี ค.ศ. 1950-1995 ญปี่ ่นุ มปี ระชำกร วัยทำงำนสูงมำกซึ่งเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีทำให้เศรษฐกิจเตบิ โตอย่ำงรวดเร็วในช่วงนั้น คำดกำรณ์กันว่ำใน ปี ค.ศ. 2050 ประชำกรญ่ีปุ่นจะลดเหลือ 90 ล้ำนคน ประชำกรวัยทำงำนเหลือเพียง 67 ล้ำนคน ประชำกรส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นจะมีอำยุเฉลี่ย 52 ปี ในปี ค.ศ. 2050 และร้อยละ 30 ของประชำกร ญ่ีปุ่นทั้งหมดจะเป็นคนในวัย 65 ปีข้ึนไป สำหรับยุโรปขณะน้ีประชำกรใหม่น้อยมำก โดยปัจจุบัน ประชำกรยุโรปมีอำยุเฉลี่ยประมำณ 42 ปี แต่ในอีก 20 ปีข้ำงหน้ำจะมีอำยุเฉลยี่ 46 ปี ประชำกรท่ีมี อำยุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนถึงร้อยละ 40 และประชำกรวัยทำงำนของยุโรปจะลดลงรำว 12 ล้ำนคน ประเทศญ่ีปุ่นและยุโรปจะประสบปัญหำโครงสร้ำงประชำกรในอนำคต แต่สหรัฐอเมริกำกลับไม่ ประสบปัญหำมำกนักเพรำะในชว่ งจำกนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2030 ประชำกรอเมริกำจะเพิ่มข้ึนถึงร้อยละ 20 หรือมำกกว่ำ 60 ล้ำนคน ในปี ค.ศ. 2030 ประชำกรจะเพ่ิมเป็น 377 ล้ำนคน อัตรำกำรเติบโต ของประชำกรอเมริกำดังกล่ำวใกล้เคียงกับของอินเดียซ่ึงเป็นประเทศที่กำลังพัฒนำ ประชำกรวัย ทำงำนของสหรัฐอเมริกำยังจะเพ่ิมขึ้นด้วยและประชำกรสูงวัยก็จะยังมีอยู่น้อย สำเหตุที่ทำให้ สหรฐั อเมรกิ ำมโี ครงสรำ้ งประชำกรท่ีแตกต่ำงไปจำกประเทศทีพ่ ัฒนำอืน่ ๆ เพรำะมปี ระชำกรที่อพยพ เข้ำมำอำศัยในประเทศอเมริกำอยู่ตลอดเวลำ คำดว่ำในอีก 70 ปีข้ำงหน้ำจะมีคนอพยพเข้ำมำอีก
53 เกือบ 35 ล้ำนคน ซ่ึงคนท่ีอพยพเข้ำมำส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงำนทั้งส้ิน ส่วนรัสเซียในปัจจุบันนี้จัดว่ำ เป็นประเทศที่กำลังประสบปัญหำประชำกรสูงสุดมีอัตรำกำรตำยสูงกว่ำอัตรำกำรเกิดถึงร้อยละ 50 ทำให้รัสเซียมีประชำกรลดลงอยำ่ งรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1937 รัสเซยี มปี ระชำกร 162 ลำ้ นคน พอถึงปี ค.ศ. 2050 คำดว่ำประชำกรรัสเซียจะเหลือเพียง 80-90 ล้ำนคนเท่ำน้ันพร้อม ๆ กับประชำกรในวัย ทำงำนที่จะลดลงรำวร้อยละ 20 ในปี ค.ศ. 2030 อำยุไขโดยเฉล่ียของคนรัสเซียขณะน้ีเพียง 52 ปี เท่ำน้ัน อันเป็นผลสืบเน่ืองมำจำกวิกฤตด้ำนสำธำรณสุขท่ีเกิดข้ึนตั้งแต่สหภำพโซเวียตล่มสลำย สำหรับประชำกรของจีนจะเริ่มลดจำนวนลงต้ังแต่ปี ค.ศ. 2030 เป็นต้นไป ในขณะท่ีประชำกรใน ประเทศไทยจะเริ่มลดลงในอีก 20 ปีข้ำงหน้ำ (อเนก เหล่ำธรรมทัศน์, 2555) นอกจำกน้ีปัทมำ ว่ำพัฒนวงศ์และปรำโมทย์ ปรำสำทกุล (มปป.) ได้สรุปลักษณะประชำกรไทยไว้ดงั น้ีว่ำ ประชำกรไทย ในอนำคตเพิ่มช้ำลงไปเร่ือย ๆ อีกไม่เกิน 20 ปีข้ำงหน้ำ อัตรำเพิ่มของประชำกรไทยจะใกล้เคียงกับ ศูนย์และอำจเป็นไปได้ว่ำอัตรำเพิ่มประชำกรลดลงไปจนต่ำกว่ำศูนย์หรือติดลบ จำนวนประชำกรไทย ใกล้จะถึงจุดคงตัวแล้ว เม่ืออัตรำเพ่ิมประชำกรใกล้เคียงกับศูนย์ ประชำกรก็จะมีจำนวนคงตัวท่ี ประมำณ 65 ล้ำนคน ในแต่ละปีประชำกรไทยจะไม่เพิ่มหรือลดไปจำกจำนวนนี้มำกนัก ประชำกร ไทยมีจำนวนคงตัวในระยะเวลำอีกเพียงประมำณ 15 ปีเท่ำน้ัน และก็จะเกิดกำรเปล่ียนแปลง โครงสร้ำงอำยุของประชำกรอย่ำงใหญ่หลวง เมื่ออัตรำเกิดลดต่ำลงอย่ำงมำกและผู้คนมีอำยุยืนยำว นั้นสังคมไทยจึงกำลังก้ำวเข้ำสู่สังคมผู้สูงอำยุอย่ำงรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีผู้สูงอำยุ ประมำณร้อยละ 10 ของประชำกรทั้งหมด แต่ในอีก 30 ปีข้ำงหน้ำ ผู้สูงอำยุจะเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของประชำกรทั้งหมด หรือมีจำนวนมำกถึง 16 ล้ำนคน เม่ือถึงเวลำน้ันประชำกรสูงอำยุจะมีจำนวน มำกกว่ำประชำกรวัยเด็ก สัดส่วนผู้สูงอำยุที่เพ่ิมข้ึนอย่ำงรวดเร็วส่งผลให้ลักษณะกำรพ่ึงพิงทำง เศรษฐกิจระหว่ำงประชำกรวัยต่ำง ๆ เปล่ียนไป เดิมมีประชำกรวัยเด็กท่ีต้องพึ่งพิงประชำกรวัย แรงงำนมำกกว่ำผู้สงู อำยุ แต่ในอนำคตอันใกลน้ ี้ จะมผี ู้สูงอำยทุ ่ตี ้องพ่ึงพงิ ประชำกรวยั แรงงำนมำกกว่ำ เดก็ อัตรำส่วนระหวำ่ งประชำกรวยั แรงงำนต่อผู้สูงอำยุจะลดลงจนเหลือเพียง 2 ตอ่ ผ้สู งู อำยุ 1 คน ใน อีก 30 ปีข้ำงหน้ำกำรเปล่ียนแปลงประชำกรไทยในอนำคตได้ก่อให้เกิดนัยยะเชิงนโยบำยหลำย ประกำร ได้แก่ (1) กำรท่ีเด็กเกิดใหม่แต่ละปีมีแนวโน้มลดน้อยลงในอนำคตจะทำให้รัฐไม่ต้องกังวล เรื่องปริมำณและสำมำรถมุ่งเน้นที่คุณภำพของเด็กเกิดใหม่ โดยเฉพำะงำนอนำมัยแม่และเด็กได้มำก ยิ่งขึ้น (2) ประชำกรในวัยศึกษำเล่ำเรียนมีแนวโน้มลดลงรัฐจะสำมำรถเน้นคุณภำพของกำรศึกษำไดด้ ี ข้ึน (3) แม้จำนวนประชำกรวัยแรงงำนมีแนวโน้มที่จะไม่เปล่ียนแปลงมำกนักในอนำคตแต่ควำม ต้องกำรแรงงำนในระบบเศรษฐกิจของประเทศอำจมีเพ่ิมข้ึน กำรนำเข้ำแรงงำนจำกต่ำงประเทศอำจ เป็นส่ิงจำเป็น ดังน้ันจึงต้องมีกำรจัดกำรแรงงำนข้ำมชำติให้เป็นระบบอย่ำงดีซึ่งสอดคล้องกับเสำวณี จันทะพงษ์และคณะ (2561) ท่ีกล่ำวว่ำควรมีกำรวำงนโยบำยแรงงำนข้ำมชำติแบบองค์รวมระหว่ำง หน่วยงำนท่เี ก่ียวข้องทัง้ เศรษฐกิจและสังคม กำรศึกษำ สำธำรณสขุ และสทิ ธมิ นุษยชนเพื่อให้แรงงำน ข้ำมชำติเข้ำถึงสิทธิและสวัสดิกำรต่ำง ๆ โดยเฉพำะสวัสดิกำรสุขภำพและบริกำรสังคมอื่น ๆ อย่ำง ท่ัวถงึ และเปน็ ธรรม กระแสกำรเคลื่อนยำ้ ยถ่นิ ระหว่ำงประเทศในโลกยุคโลกำภิวัตน์มแี นวโน้มเพ่ิมขึ้น และนับเป็น Megatrend หน่ึงในอนำคต ประเทศไทยติดอันดับ 20 ประเทศของประเทศปลำย ทำงกำรย้ำยถิ่น ไทยถือเป็นจุดหมำยปลำยทำงสำคัญของแรงงำนข้ำมชำติในภูมิภำคอำเซียน โดยใน ระยะหลงั ประเทศต่ำง ๆ ในโลกตำ่ งหันมำใหค้ วำมสำคัญอย่ำงจริงจงั ในกำรบริหำรจดั กำรกำรย้ำยถ่ิน
54 ระหว่ำงประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์ทำงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต้นทำงแ ละปลำยทำงและผู้ ย้ำยถิ่นเอง ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพำแรงงำนข้ำมชำติทำงำนอำชีพพ้ืนฐำนอยู่มำกระดับหน่ึง ประมำณร้อยละ 6 ของคนทำงำนท้ังประเทศ ส่วนใหญ่ทำงำนที่ใช้แรงและทำงำนบ้ำน ถือเป็น แรงงำนฐำนรำกสนับสนุนกิจกรรมทำงเศรษฐกิจและกระจุกตัวอยู่ในภำคอุตสำหกรรมเป็นสำคั ญ สะท้อนให้เห็นถึงระดับกำรใช้เทคโนโลยีกำรผลิตในภำพรวมที่ยังอยู่ในระดับไม่สูงนักประกอบกับ แรงงำนไทยก็เลือกงำนและไม่ต้องกำรทำงำนหนัก ขณะเดียวกันประเทศไทยยังพ่ึงพำแรงงำนข้ำม ชำติกลุ่มที่มีทักษะสูงด้วยเช่นกัน ประมำณร้อยละ 10 ของคนทำงำนกลุ่มนี้ท้ังหมด ส่วนใหญ่เป็น ผู้บริหำรระดับสูง ผู้จัดกำร อำชีพด้ำนกำรสอน ช่ำงเทคนิคด้ำนต่ำง ๆ สถำปนิก วิศวกร เข้ำมำช่วย เติมเต็มช่องว่ำงทักษะในสำขำท่ีประเทศไทยขำดแคลน (เสำวณี จันทะพงษ์ และคณะ, 2561) (4) ประชำกรอำยุมำกเพิ่มมำกข้ึนทำให้สังคมไทยกลำยเป็นสังคมผู้สูงอำยุ ดังนั้นจึงควรมีมำตรกำรและ โครงกำรทจ่ี ะเป็นสวัสดิกำรใหป้ ระชำกรสูงอำยุทัง้ เร่อื งชวี ิตควำมเป็นอยู่และสุขภำพอนำมัย รปู ที่ 2.1 จำนวนประชำกรวัยตำ่ ง ๆ พ.ศ. 2548-2578 ทม่ี ำ : (ปัทมำ วำ่ พฒั นวงศ์ และปรำโมทย์ ประสำทกลุ , มปป.) จำกรูปท่ี 2.1 กำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงประชำกรที่คำดว่ำจะเกิดขึ้นในอนำคตน้ัน จะก่อให้เกิดปรำกฏกำรณ์สำคัญคือกำรมีผู้สูงอำยุมำกกว่ำเด็กซึ่งเกิดจำกจำนวนเด็กที่ลดลงในขณะที่ ผู้สูงอำยุเพิ่มขึ้นอย่ำงต่อเน่ือง อีกประมำณ 15 ปีข้ำงหน้ำ จำนวนเด็กจะพอ ๆ กับผู้สูงอำยุ และ หลังจำกนั้นจะเกิดปรำกฏกำรณ์มีผู้สูงอำยุมำกกว่ำเด็ก กำรใช้ดัชนีผู้สูงอำยุ (Ageing index) เพ่ือ เปรียบเทียบระหว่ำงจำนวนเด็กกับผู้สูงอำยุ ดัชนีผู้สูงอำยุเป็นอัตรำส่วนของจำนวนประชำกรสูงอำยุ (60 ปีข้ึนไป) ต่อจำนวนประชำกรวยั เดก็ (อำยุต่ำกว่ำ 15 ปี) 100 คน ตำมควำมหมำยนี้ดัชนีผสู้ ูงอำยุ แสดงใหเ้ หน็ ว่ำมีผ้สู งู อำยุก่คี นต่อเด็ก 100 คน ถำ้ ดชั นมี ีคำ่ ต่ำกว่ำ 100 แสดงวำ่ มเี ดก็ มำกกว่ำผู้สูงอำยุ
55 และในทำงกลบั กนั ถ้ำดัชนมี คี ่ำสงู กว่ำ 100 ก็แสดงวำ่ มผี สู้ ูงอำยุมำกกวำ่ เดก็ (ปัทมำ วำ่ พัฒนวงศ์ และ ปรำโมทย์ ประสำทกลุ , มปป.) ตำรำงที่ 2.1 ดัชนีผู้สงู อำยขุ องประเทศไทย พ.ศ. 2548 – 2578 ปี พ.ศ. ทัง้ หมด ประชากร (ล้านคน) ดัชนีผู้สงู อายุ วัยเด็ก ผู้สงู อายุ (ผู้สงู อายุ/เดก็ 100 คน) 2548 62.2 14.3 6.4 45.0 2553 63.7 13.2 7.5 57.0 2558 64.6 12.3 9.0 73.4 2563 65.1 11.2 11.0 98.0 2564 65.2 11.0 11.3 103.2 2568 65.1 10.4 12.9 123.6 2573 64.5 9.8 14.6 149.9 2578 63.4 9.1 15.9 174.4 ท่มี ำ : (ปัทมำ ว่ำพฒั นวงศ์ และปรำโมทย์ ประสำทกุล, มปป.) จำกตำรำงที่ 2.1 ในระหว่ำงปี พ.ศ. 2563 – 2564 เป็นช่วงเวลำที่ดัชนีผู้สูงอำยุเท่ำกับ 100 หมำยควำมว่ำช่วงเวลำนี้ประเทศไทยมีประชำกรวัยเด็กเท่ำ ๆ กับผู้สูงอำยุ หลังจำกปี พ.ศ. 2564 ไป แลว้ ประเทศไทยจะมผี ู้สงู อำยมุ ำกกวำ่ เด็กต่อไปเร่อื ย ๆ ปรำกฏกำรณท์ ่มี ีผู้สงู อำยมุ ำกกวำ่ เด็กเช่นนี้จะ ไม่สำมำรถย้อนกลับได้อีกเลย ดังเช่นเหตุกำรณ์ที่ประเทศพัฒนำแล้วทั้งหลำยประสบมำก่อนหน้ำ ประเทศไทย 2.4 ความเส่ยี งจากโลกาภวิ ัตน์ ผลจำกกระแสโลกำภิวัตน์ก่อให้เกิดผลกระทบในทุกส่วนของโลกรวมทั้งผลลัพธ์จำกกระแส โลกำภิวัตน์น้ันยำกต่อกำรคำดกำรณ์และควบคุมจึงต้องมีกำรวิเครำะห์ถึงโลกยุคโลกำภิวัตน์ท่ี มี ลักษณะเป็นพลวัตในมุมที่เป็นควำมเส่ียงซ่ึงมีควำมเสี่ยงหลำกหลำยดังน้ี (แอนโธนี ก๊ิดเดนส์ แปล โดย เชษฐำ พวงหตั ถ์, 2546) 2.4.1 ความเส่ียงจากการกระทาของมนุษย์ (Manufactured risk) มนุษย์จะต้องเผชิญกับควำมเส่ียงในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึงตลอดมำแต่ควำมเส่ียงใน ปจั จุบนั นี้มีควำมแตกต่ำงในเชงิ คุณภำพที่เปล่ียนไปจำกควำมเส่ียงที่เคยมีมำก่อน กอ่ นหน้ำเมอ่ื ไม่นำน มำนี้สังคมมนุษย์ได้เคยถูกคุกคำมจำกควำมเส่ียงที่มำจำกภัยธรรมชำติ เช่น แผ่นดินไหว วำตภัย และ ไม่ได้เก่ียวข้องกับกำรกระทำของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันมนุษย์กำลังเผชญิ กับควำมเสี่ยงที่เกิดจำกกำร กระทำของมนุษย์อันเป็นควำมเสี่ยงที่เกิดจำกควำมรู้และเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้ำงขึ้นมำเองซ่ึงเห็นได้ จำกควำมเส่ียงดำ้ นสิง่ แวดล้อมและสขุ ภำพท่ีสงั คมกำลังประสบอยู่นั้นเป็นตวั อย่ำงของกำรเผชิญควำม เสย่ี งท่ีมนษุ ย์สร้ำงขนึ้ ที่เป็นผลมำจำกกำรที่มนุษยไ์ ปแทรกแซงระบบธรรมชำติ
56 2.4.2 ความเสี่ยงท่ีเกดิ จากสง่ิ แวดล้อม (Environmental risk) ตัวอย่ำงควำมเสี่ยงท่ีเห็นได้ชัดท่ีสุดจำกภัยคุกคำมของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อส่ิงแวดล้อม ทำงธรรมชำติ เช่น ผลกระทบท่ีมำจำกกำรเร่งพัฒนำด้ำนอุตสำหกรรมและเทคโนโลยีก็คือกำร แทรกแซงธรรมชำติของมนุษย์ ไม่ว่ำจะเป็นกำรแปรสภำพทำงกำรเมือง กำรผลิตด้ำนอุตสำหกรรม และมลพษิ โครงกำรสรำ้ งเขอ่ื น โรงไฟฟำ้ พลงั น้ำ โรงไฟฟำ้ พลงั งำนนิวเคลียร์ ทั้งหมดน้คี ือกำรทำลำย ล้ำงสิ่งแวดล้อม ในยุคโลกำภิวัตน์เรำกำลังเผชิญกับควำมเสี่ยงด้ำนระบบนิเวศ อุณหภูมิท่ีสูงขึ้นเป็น สิ่งที่น่ำสะพรึงกลัวถ้ำหำกน้ำแข็งที่ข้ัวโลกยังคงละลำยต่อไป ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มข้ึนสูงและมี ผลกระทบกับถิ่นท่ีอยู่ของมนุษย์ที่อยู่สูงจำกระดับน้ำทะเลไม่มำก นอกจำกนี้กำรเปล่ียนแปลงของ สภำพภูมิอำกำศยังได้ถูกหยิบยกข้ึนมำพิจำรณำในฐำนะที่เป็นสำเหตุของกำรเกิดภัยน้ำท่วมท่ีรุนแรง สร้ำงควำมหำยนะให้แก่ประเทศจีนและโมแซมบิกเมื่อหลำยสิบปีก่อน เน่ืองจำกควำมเสี่ยงจำก ส่ิงแวดล้อมที่มีลักษณะแพร่กระจำยกำรจัดกำรกับปัญหำจึงเป็นไปด้วยควำมยำกลำบำกหรือยังไม่ สำมำรถหำทำงจัดกำรแก้ไขได้ นักวิทยำศำสตร์พบว่ำ ระดับมลภำวะที่เกิดจำกสำรเคมีมีผลกระทบ ตอ่ นกเพ็นกวินในบริเวณแอนตำร์กติกแต่ยังไม่สำมำรถระบุถงึ สำเหตุทแี่ น่นอนหรือผลกระทบท่ีอำจจะ เกิดกับนกเพ็นกวินในอนำคตซง่ึ กรณีในลกั ษณะแบบนี้อีกหลำยกรณีท่ียังไม่สำมำรถดำเนินกำรจัดกำร ได้อย่ำงมีประสิทธิผลเน่ืองจำกยังไม่สำมำรถระบุถึงสำเหตุและผลกระทบของปัญหำลงไปได้อย่ำง ชัดเจน (Beck 1995 อ้ำงถึงใน แอนโธนี ก๊ดิ เดนส์) 2.4.3 ความเสี่ยงดา้ นสขุ ภาพ กระแสโลกำภิวัตน์ได้ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงส่ิงต่ำง ๆ รอบตัวมนุษย์อย่ำงมำกมำย ส่ิงที่มนุษย์ได้สร้ำงข้ึนมำก็ยังก่อให้เกิดอันตรำยกับมนุษย์ได้เช่นกัน อันตรำยจำกส่ิงที่มนุษย์ได้สร้ำง ข้ึนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภำพและได้รับควำมสนใจจำกประชำชนอย่ำงมำกผ่ำนช่องทำงกำร ประชำสมั พนั ธ์ของส่ือสำธำรณะ เช่น กำรเตอื นใหร้ ะวังอันตรำยจำกแสงอุลตรำไวโอเลตที่ทำอันตรำย ต่อผิวและควรป้องกันด้วยกำรใช้โลช่ันกันแดดเพรำะหำกไม่ป้องกันอำจมีโอกำสเกิดมะเร็งผิวหนังได้ หรือกรณีเร่ืองอำหำร อันตรำยจำกกำรรับประทำนอำหำรที่ได้มำจำกกำรใช้เทคนิคกำรเกษตร สมัยใหม่ กำรใช้ฮอร์โมนและสำรปฏิชีวนะเพ่ือเร่งกำรเติบโตในฟำร์มเลี้ยงไก่และหมูซ่ึงมีกำรทักท้วง กำรทำฟำร์มเช่นนี้จะทำให้อำหำรไม่ปลอดภัยและเป็นอันตรำยจนกลำยมำเป็นวำทกรรมระหวำ่ งสอง กลุ่มท่ีเห็นด้วยและกลุ่มท่ีมีควำมเห็นต่ำงเช่นเดียวกันกับเรื่องอำหำรที่ได้มำจำกกำรดัดแปลง พันธุกรรม (GMO) ท่ียังคงมีวำทกรรมเกี่ยวกับควำมปลอดภัยและไม่ปลอดภัยโดยยังไม่มีข้อมูลชี้ชัด อย่ำงแน่นอน นอกจำกนี้ยังมีควำมเห็นจำกแพทย์เก่ียวกับผลกระทบจำกโลกำภิวัตน์ต่อสุขภำพว่ำ โลกำภิวัฒน์ก่อให้เกิดผลกระทบต่องำนสำธำรณสุขอย่ำงน้อย 4 ประกำร ได้แก่ (1) ผลของโลกำภิ วัตน์ท่ีประชำชนมีกำรเดินทำงไปมำหำสู่กันทั่วโลกทำให้แต่ละประเทศมีควำมเสี่ยงที่จะเผชิญกับ โรคติดต่อมำกข้ึนทั้งโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ (Emerging and Re-emerging diseases) ไม่ว่ำ จะเป็นกำรระบำดของโรคไข้หวัดใหญ่สำยพนั ธุ์ใหม่ โรคติดเชอ้ื ทำงเดินหำยใจแบบเฉยี บพลัน (SARS) ไข้หวัดนก มำเลเรีย ไข้เลือดออก เอดส์ ไม่เพียงแต่โรคติดต่อเท่ำนั้นยังมีโรคไม่ติดต่อ (Non- Communicable Disease) เช่น โรคเบำหวำน โรคอ้วน ควำมดันโลหิตสูง ท่ีเกิดจำกกำรสูบบุหร่ี กำรกินอำหำรเร่งด่วนท่ีเกิดจำกกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรม กำรเลียนแบบวัฒนธรรมจำกประเทศ ตะวันตก (2) โลกำภิวัตน์ได้ส่งผลต่อระบบสำธำรณสุข เช่น เกิดกำรเดินทำงของผู้ป่วยไปรับบริกำร
57 กำรแพทย์ในประเทศที่มีค่ำรักษำพยำบำลที่ถูกกว่ำ (Medical tourism) ทำให้ประเทศดังกล่ำวมีกำร ปรับระบบบริกำรในกำรรองรับกำรให้บริกำรกำรแพทย์สำหรับชำวต่ำงชำติ เช่น ประเทศไทยรัฐบำล ได้ประกำศนโยบำยกำรเป็นศนู ยก์ ลำงกำรแพทย์แห่งเอเชยี (Center for Excellent Health Care of Asia) ทำใหม้ ผี ้ปู ว่ ยมำรบั บริกำรทำงกำรแพทย์มำกกว่ำปีละ 2 ลำ้ นคน และนโยบำยน้ีได้สง่ ผลกระทบ ตอ่ กำรขำดแคลนบคุ ลำกรกำรแพทยใ์ นชนบท (3) กำรมเี ทคโนโลยีท่เี จรญิ ก้ำวหน้ำและกำรค้ำระหว่ำง ประเทศอย่ำงกว้ำงขวำงส่งผลให้ประเทศต่ำง ๆ เข้ำถึงวัคซีน ยำ เวชภัณฑ์และเทคโนโลยีทำงกำร แพทย์ต่ำง ๆ มำกขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีสินค้ำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น บุหรี่ เหล้ำ ที่เข้ำไปทำ ตลำดในหลำย ๆ ประเทศและก่อให้เกิดผลกระทบตำมมำอย่ำงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ (4) กำรเข้ำถึง ข้อมูลข่ำวสำรทำงกำรแพทย์ของผู้ป่วยท่ีมีมำกข้ึนท้ังสื่อสิ่งพิมพ์ต่ำง ๆ รวมท้ังอินเตอร์เน็ตทำให้ สำมำรถดูแลรักษำตัวเองได้มำกขึ้นจึงมีควำมคำดหวังต่อกำรให้บริกำรมำกขึ้นส่งผลให้มีกำรฟ้องร้อง สูงข้ึนตำมมำด้วย จะเห็นได้ว่ำผลกระทบจำกโลกำภิวัตน์ต่องำนสำธำรณสุขเป็นสิ่งท่ีทุก ๆ ประเทศ ต้องเผชิญอย่ำงหลีกเล่ียงไม่ได้ ดังน้ันทุก ๆ ประเทศจะต้องเข้ำใจและเตรียมพร้อมรับมือต่อกำร เปล่ียนแปลงที่จะเกิดข้ึนต่อไปดังน้ี (1) กำรเตรียมควำมพร้อมในนโยบำยกำรควบคุม เฝ้ำระวัง และ ป้องกันโรคระบำดที่มีแนวโน้มจะเกิดข้ึนในภูมิภำคจำกกำรเดินทำงไปมำหำสู่ของประชำกรท่ัวโลกซึ่ง บุคลำกรท่ีเกี่ยวข้องจะต้องเตรียมควำมพร้อมและมำตรกำรรองรับ ไม่เพียงเท่ำน้ันอำจจะต้องสร้ำง เครือข่ำยควำมร่วมมือระหวำ่ งประเทศเพ่ือเตรียมควำมพร้อมร่วมกนั (2) กำรเตรยี มมำตรกำรรองรับ และกำรแก้ไขปัญหำขำดแคลนบุคลำกรกำรแพทย์ในชนบทซึ่งเป็นผลจำกกำรปรับบริกำรเพ่ือรองรับ ผู้ป่วยจำกต่ำงประเทศ โดยจะต้องให้ควำมสำคัญกับกำรกระจำยบุคลำกรทำงกำรแพทย์ให้เท่ำเทียม สร้ำงแรงจูงใจให้แพทย์อยู่ในระบบ (3) รัฐบำลต้องมีนโยบำยอย่ำงเคร่งครัดเพื่อให้ประชำชนเข้ำถึง ระบบบริกำรสุขภำพท่ีได้มำตรฐำนอย่ำงท่ัวถึงและเป็นธรรม สำหรับในประเทศไทยมีนโยบำย หลักประกันสุขภำพซงึ่ ต้องได้รับกำรพัฒนำและสนบั สนุนอย่ำงจริงจัง ขณะเดียวกันต้องมีมำตรกำรท่ี ชัดเจนในกำรแก้ไขปัญหำกำรเข้ำไม่ถึงยำ เน่ืองจำกยำบำงชนิดมีรำคำแพงเพรำะกำรผูกขำดของ บริษัทยำข้ำมชำติด้วย และ (4) กำรประสำนงำนและทำควำมเข้ำใจในระดับนโยบำยร่วมกันระหว่ำง หน่วยงำนต่ำง ๆ เช่น กระทรวงกำรต่ำงประเทศ กระทรวงพำณิชย์ และกระทรวงสำธำรณสุขเพ่ือ กำหนดกรอบกำรทำงำนร่วมกัน จะทำใหก้ ำรเตรยี มมำตรกำรต่ำง ๆ เพื่อรองรบั ผลกระทบของโลกำภิ วตั นต์ อ่ งำนสำธำรณสุขอย่ำงมเี อกภำพและมีประสทิ ธภิ ำพ (พงศธร พอกเพ่มิ ด,ี 2552) 2.5 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกบั การพฒั นา เศรษฐกจิ พอเพียงเป็นปรัชญำทีพ่ ระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หวั ภูมิพลอดุลยเดชมหิตรำธเิ บศ รำมำธิบดีจักรีนฤบดินทร์สยำมมินทรำธิรำช (รัชกำลที่ 9) ทรงมีพระรำชดำรัสช้ีแนะแนวทำงกำร ดำเนิน ชีวิตแก่พสกนิกรชำวไทยนับต้ังแต่ปี พ.ศ. 2517 ต้ังแต่ก่อนเกิดวิกฤตกำรณ์ทำงเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 และเมื่อภำยหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทำงกำรแก้ไขเพ่ือให้รอดพ้นและสำมำรถดำรงอยู่ได้ อย่ำงมนั่ คง และย่ังยืนภำยใต้กระแสโลกำภวิ ัตน์และควำมเปลี่ยนแปลงต่ำง ๆ เศรษฐกิจพอเพียงเป็น ปรัชญำชี้ให้เห็นถึงแนวกำรดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชำชนในทุกระดับตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทัง้ ในกำรพัฒนำและบรหิ ำรประเทศใหด้ ำเนินไปในทำงสำยกลำงโดยเฉพำะกำรพัฒนำ เศรษฐกิจเพื่อให้ก้ำวทันต่อโลกยุคโลกำภวิ ัตน์ ส่วนควำมพอเพียงหมำยถึง ควำมพอประมำณ ควำม
58 มีเหตุผล มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อกำรกระทบใด ๆ อันเกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงทั้ง ภำยในและภำยนอก ท้ังนี้จะต้องอำศัยควำมรอบรู้ ควำมรอบคอบ และควำมระมัดระวังอย่ำงย่ิงใน กำรนำวิชำกำรต่ำง ๆ มำใช้ในกำรวำงแผนและกำรดำเนินกำรทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้ำงพื้นฐำนจติ ใจของคนในชำตใิ ห้มสี ำนึกในคุณธรรม ควำมซ่อื สัตยส์ จุ รติ และใหม้ ีควำมรอบรู้ท่ี เหมำะสม ดำเนินชีวิตด้วยควำมอดทน ควำมเพียร มีสติปัญญำ และควำมรอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและ เป็นพ้ืนฐำนที่พร้อมต่อกำรรองรับกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วและกว้ำงขวำง ท้ังด้ำนวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวฒั นธรรมจำกโลกภำยนอกได้เป็นอย่ำงดี เศรษฐกิจพอเพียงประกอบไปด้วยลักษณะ 3 ประกำร ได้แก่ ควำมพอประมำณ ควำมมี เหตุผล และมีภูมคิ ุม้ กันในตวั และเงอื่ นไข 2 ประกำร ได้แก่ ควำมรู้และคุณธรรม ควำมพอประมำณ (Moderation) หมำยถึง ควำมพอดีท่ีไม่น้อยและไม่มำกเกินไป ไม่ เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน ในสังคมไทยควำมพอประมำณเป็นแนวปฏิบัติท่ีมีมำนำนดังจะเห็นได้ จำกกำรดำรงชีวิตที่เรียบง่ำย ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และยังช่วยเหลือเกื้อกูลโดยกำรแบ่งปันส่วนท่ีเกิน กว่ำควำมต้องกำรของตนไปให้ผู้อ่ืนและในทำงเศรษฐศำสตร์ควำมพอประมำณช่วยให้เกิดกำรใช้ ทรัพยำกรอย่ำงมีประสิทธภิ ำพสูงสดุ ควำมมีเหตุผล (Reasonableness) หมำยถึง กำรตัดสนิ ใจเกี่ยวกับระดับของควำมพอเพียง จะต้องเป็นไปด้วยควำมมีเหตุผล พิจำรณำถึงเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวข้องตลอดจนผลท่ีคำดว่ำจะเกิดขึ้น อำจกล่ำวได้ว่ำควำมมีเหตุผลในหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงเน้นกำรตัดสินใจและกำรปฏิบัติท่ี ถูกต้องในระดับท่ีกว้ำงข้ึน เน้นกำรใช้ข้อมูลข่ำวสำรต่ำง ๆ ทั้งในปัจจุบันและคำดว่ำจะเกิดจำกกำร ดำเนินนโยบำยในอนำคตประกอบกำรตัดสินใจ ควำมมีเหตุผลสำมำรถพัฒนำได้ด้วยกำรฝึกฝนกำร แก้ปญั หำ กำรมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง (Self-immunity) หมำยถึง กำรเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และกำรเปล่ียนแปลงด้ำนต่ำง ๆ ที่อำจจะเกิดข้ึน โดยคำนึงถึงควำมเปน็ ไปได้ของสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ที่คำดว่ำจะเกิดข้ึนในอนำคต ระบบภูมิคุ้มกันในตัวอำจเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติหรือเกิดจำกควำมไม่ ประมำท ควำมมีเหตุผล ควำมพอประมำณ หลีกเลี่ยงควำมต้องกำรท่ีเกินพอของตัวเรำเอง มีวินัย ในตนเองจะสำมำรถป้องกันตนเองได้จำกกระแสกำรบริโภคนิยม กำรพยำยำมสร้ำงภูมิคุ้มกันให้ เกิดขึน้ เป็นกลไกรองรับสุขทกุ ขข์ องชีวติ ตลอดจนเปน็ ภูมคิ ุ้มกนั ของครอบครัวและสังคม เง่ือนไขควำมรู้ (Set of knowledge) ประกอบด้วยกำรฝึกตนให้มีควำมรอบรู้เกี่ยวกับ วิชำกำรต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่ำงรอบด้ำน มีควำมรอบคอบและควำมระมัดระวังท่ีจะนำควำมรู้ต่ำง ๆ เหลำ่ นนั้ มำพจิ ำรณำใหเ้ ชือ่ มโยงกนั เพอื่ ประกอบกำรวำงแผนและในขัน้ ปฏิบัติ เงือ่ นไขคณุ ธรรม (Ethical Qualifications) ที่จะตอ้ งเสริมสร้ำงใหเ้ ป็นพน้ื ฐำนจิตใจของคน ในชำติประกอบดว้ ยด้ำนจติ ใจคือ กำรตระหนักในคณุ ธรรม รผู้ ดิ ชอบช่วั ดี ซื่อสตั ยส์ จุ ริต ใชส้ ตปิ ญั ญำ อย่ำงถูกต้องเหมำะสมในกำรดำเนินชีวิตและด้ำนกำรกระทำ คือควำมขยันหม่ันเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหน่ี ร้จู กั แบง่ ปนั และรบั ผดิ ชอบในกำรอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ่ืนในสงั คม ปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพยี งจะนำพำให้เรำทกุ คนมคี วำมพอดี ไม่ประมำท เปน็ ภมู คิ ุ้มกนั ในกำร ดำเนนิ ชีวิต และเปน็ รำกฐำนทแี่ ข็งแกร่งมั่นคง นอกจำกนย้ี งั สำมำรถตอ่ ยอดพัฒนำนำไปใชใ้ นวงกว้ำง ข้ึนได้ เพื่อทำให้สังคมเกิดกำรเรียนรู้ เกิดกำรแบ่งปันซ่ึงกันและกันรวมถึงนำไปสู่กำรพัฒนำ
59 ประเทศชำติให้มีควำมยั่งยืน หำกสำมำรถเข้ำใจ ควำมเป็นมำและควำมหมำยในหลักปรัชญำ เศรษฐกิจพอเพียงได้ดแี ล้ว ยอ่ มนำไปสู่กำรปฏิบัตไิ ด้อย่ำงไม่ยำก (ววิ ฒั น์ ศลั ยกำธร, 2562) พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว รัชกำลท่ี 9 ทรงมีพระรำชดำรัสเก่ียวกับเศรษฐกิจพอเพียง ดังน้ี “ควำมพอเพียงน้ี ไม่ได้หมำยควำมว่ำทุกครอบครัวจะต้องผลิตอำหำรของตัว จะต้องทอผ้ำ ใส่เองอย่ำงน้ันมันเกินไป แต่ว่ำในหมู่บ้ำนหรือในอำเภอจะต้องมีควำมพอเพียงพอสมควร บำงสิ่ง บำงอย่ำงท่ีผลิตได้มำกกว่ำควำมต้องกำรก็ขำยได้ แค่ขำยในท่ีไมห่ ่ำงไกลเท่ำไหร่ ไม่ต้องเสียค่ำขนสง่ มำกนกั อย่ำงน้ีทำ่ นนักเศรษฐกิจต่ำง ๆ กม็ ำบอกว่ำล้ำสมัย จริงอำจจะล้ำสมัย คนอื่นเขำต้องมีกำร เศรษฐกิจ ท่ีต้องมีกำรแลกเปลี่ยน เรียกว่ำ เป็นเศรษฐกิจกำรค้ำ ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง เลยไม่ รู้สึกว่ำหรูหรำ แต่เมืองไทยเป็นประเทศท่ีมีบุญอยู่ว่ำ ผลิตให้พอเพียงได้ ถ้ำสำมำรถที่จะเปล่ียนไป ทำให้กลับเป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ต้องท้ังหมดแม้แค่คร่ึงก็ไม่ต้องอำจจะสักเศษหนึ่งสว่ นส่ีก็จะ สำมำรถอย่ไู ด้ กำรแก้ไขอำจจะต้องใชเ้ วลำ ไมใ่ ช่ง่ำย ๆ โดยมำกคนก็ใจร้อนเพรำะเดือดร้อน แต่ถำ้ ทำ ตั้งแต่เด๋ยี วนกี้ ็สำมำรถทจี่ ะแกไ้ ขได”้ พระรำชดำรัสพระบำทสมเด็จพระมหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร เน่ืองใน โอกำสวันเฉลมิ พระชนมพรรษำ ณ ศำลำดุสิดำลัย วันท่ี 4 ธนั วำคม 2534 ในหลวงรัชกำลที่ 9 ทรงมีสำยพระเนตรอันกว้ำงไกล ดังจะเห็นได้จำกส่ิงที่พระองค์ทรง คำดกำรณ์เพรำะเป็นส่ิงเดียวกับท่ีนักวิทยำศำสตร์ระดับโลกได้เตือน ดังเช่นกำรศึกษำของ นักวิทยำศำสตร์ท่ีได้สรุปเป็นคำเตือนใน วำรสำร Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America ปี 2018 “เรำกำลังผลักโลกให้ไปสู่สภำพท่ีไม่อำจ กลับคืนมำได้ท่ีเรียกว่ำ Hothouse Effect เป็นหำยนะท่ีเกิดจำกกำรที่อุณหภูมิโลกร้อนข้ึนถึง 5 องศำเซลเซยี สหรือมำกกว่ำนน้ั โดยระดับน้ำทะเลจะสูงขึน้ ถงึ 200 ฟตุ และเรำอำจจะเข้ำใกล้ จดุ ท่ีไม่ อำจกลบั คนื มำได้ (Point of no return) เร็วข้นึ กว่ำทีค่ นสว่ นมำกตระหนกั หรอื ภำยใน 10 ปี” ซ่งึ เปน็ เร่ืองท่ใี นหลวงรัชกำลที่ 9 ทรงเตือนคนไทยมำก่อนหน้ำนั้นเปน็ เวลำกว่ำ 15 ปแี ล้ว นอกเหนือจำกควำมเสี่ยงด้ำนส่ิงแวดลอ้ มข้ำงต้นแล้วกระแสโลกำภิวตั น์ยังทำให้ประเทศไทย ได้รับผลกระทบต่อชีวติ ควำมเป็นอยู่ที่ต้องพยำยำมหำทำงแก้ไข ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงท่ีในหลวง รัชกำลที่ 9 ทรงทำไว้เป็นแบบอย่ำงนับเป็นแนวทำงในกำรอยู่รอดท่ำมกลำงสถำนกำรณ์เหล่ำน้ีได้ อย่ำงแท้จริง และต้องทำควำมเข้ำใจและทรำบท่ีมำของปรัชญำรวมถึงระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและ สังคมนิยมทเ่ี กดิ ข้นึ มำก่อนหนำ้ นนั้ ซ่ึงมกี ระแสพระรำชดำรสั ที่กลำ่ วถึงระบบเศรษฐกิจดังใจควำมตอน หนึ่ง “...เรำไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรำมีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศท่ีก้ำวหน้ำอย่ำง มำก เรำไม่อยำกจะเป็นประเทศก้ำวหน้ำอย่ำงมำก เพรำะถ้ำเรำเป็นประเทศก้ำวหน้ำอย่ำงมำกก็จะมี แตถ่ อยกลบั ประเทศเหลำ่ นนั้ ท่เี ปน็ ประเทศอุตสำหกรรมก้ำวหนำ้ จะมีแตถ่ อยหลังและถอยหลังอย่ำง น่ำกลัว...”
60 ระบบทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกตลำดเป็นตัวนำมีจุดมุ่งหมำยคือต้องกำรกำไร สูงสุด ในขณะท่ีระบบสังคมนิยมต้องกำรกระจำยรำยได้มุ่งไปท่ีควำมเท่ำเทียมและลดควำมเหลื่อม ล้ำ เมอ่ื ระบบเศรษฐกิจของโลกถกู แบ่งออกเปน็ 2 ขว้ั ในหลวงรัชกำลที่ 9 ทรงไม่มีพระรำชประสงค์ ให้ประเทศไทยเป็นประเทศก้ำวหน้ำอย่ำงมำกเพรำะถ้ำก้ำวหน้ำอย่ำงมำกประเทศไทยจะถอยหลัง อย่ำงน่ำกลัวน่คี ือเบือ้ งหลังสำคัญของปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงทีพ่ ระองค์ทรงม่งุ ควำมพอ เนน้ กำรให้ และแบ่งปัน แต่ไม่ได้หมำยควำมว่ำพอเพียงปฏเิ สธระบบทุนนิยมและสังคมนิยมแต่ต้องทำให้พ้ืนฐำน ม่ันคงเสียก่อนซึ่งจะต้องเริ่มที่กำรแบ่งปันและช่วยเหลือกันเองก่อนแล้วจึงแข่งขันเกิดเป็นกำร สรำ้ งสรรค์ แบง่ ปนั แตแ่ ขง่ ขนั ได้ กำรวิจัยและพฒั นำเพ่ือสร้ำงและสะสมองค์ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีท่ีทันสมัย ตลอดเวลำจะช่วยใหป้ ระเทศไทยสำมำรถปรับตัวรองรับผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจำกกระแสโลกำภิวตั นซ์ ง่ี จะต้องปรับรูปแบบกำรพัฒนำเศรษฐกิจใหม่ที่จำกเดิมอำศัยควำมได้เปรียบจำกทรัพยำกรและค่ำแรง รำคำถูกมำอำศัยควำมรู้เป็นปัจจัยสำคัญในกำรสร้ำงควำมสำมำรถในกำรแข่งขันทำงเศรษฐกิจของ ประเทศ องค์ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีท่ีได้ส่ังสมและพัฒนำให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลำทำ ให้คนและชุมชนในประเทศเกิดกำรเรียนรู้และรู้เท่ำทันกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสำมำรถที่ จะจัดกำรตนเองเพ่ือสร้ำงโอกำสที่มีผลกระทบทำงบวกและเตรียมป้องกันผลกระทบทำงลบจำก กระแสโลกำภิวัตน์ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพซึ่งเป็นกำรสร้ำงภูมิคุ้มกันให้ตนเองตำมหลักปรัชญำ เศรษฐกิจพอเพยี ง 2.5.1 การนาหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใชเ้ พ่อื การพัฒนาภาคการเกษตร ทฤษฎีใหม่คอื ตวั อยำ่ งทเี่ ป็นรูปธรรมของกำรประยุกต์ใช้หลกั ปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพียง พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวได้ รัชกำลที่ 9 พระรำชทำนพระรำชดำริน้ีเพื่อเป็นกำรช่วยเหลือ เกษตรกรที่ประสบปัญหำท้ังภัยธรรมชำติและปัจจัยภำยนอกที่มีผลกระทบต่อกำรทำกำรเกษตรให้ สำมำรถผ่ำนพ้นช่วงเวลำวิกฤตโดยเฉพำะกำรขำดแคลนน้ำ ควำมเสี่ยงท่ีเกษตรกรพบได้แก่ ควำม เสี่ยงด้ำนรำคำ ควำมเสี่ยงจำกรำคำและกำรพ่ึงพำปัจจัยกำรผลิตภำยนอกประเทศ ควำมเส่ียงจำก ภัยธรรมชำติ และกำรระบำดของโรคระบำด ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทำงหรือหลักกำรในกำรบริหำร กำรจัดกำรท่ีดินและน้ำ เพ่ือกำรเกษตรในท่ีดินขนำดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงกล่ำวได้ว่ำทฤษฎี ใหม่คือตัวอย่ำงของกำรนำหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำปฏิบัติเพื่อให้เกิดกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต โดยมีกำรบริหำรและจัดแบ่งท่ีดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนท่ีชัดเจนเพื่อประโยชน์สูงสุดโดยมีกำรใช้ หลักวชิ ำกำรมำคำนวณ เช่น กำรบรหิ ำรจัดกำรเกี่ยวกับนำ้ ทจ่ี ะเก็บกกั ให้พอเพยี งต่อกำรปลูกตลอดทั้ง ปแี ละมกี ำรวำงแผนสำหรบั ให้เกษตรกรปฏิบตั ิ โดยแบง่ เป็น 3 ขน้ั ตอน ทฤษฎใี หมข่ ้นั ตน้ แบ่งพ้นื ทอี่ อกเปน็ 4 ส่วน ตำมอัตรำส่วน 30:30:30:10 ซ่งึ หมำยถึง พื้นท่ีส่วนท่ีหน่ึง ประมำณ 30 % ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพ่ือใช้เก็บกักน้ำฝนและใช้เสริมกำรปลูกพืชใน ฤดูแล้งตลอดจนกำรเลยี้ งสัตว์และพืชน้ำต่ำง ๆ พ้ืนท่ีส่วนที่สอง ประมำณ 30 % ให้ปลูกข้ำวในฤดูฝน เพอ่ื ใชเ้ ปน็ อำหำรเล้ียงครอบครวั ให้เพยี งพอตลอดปีเปน็ กำรตัดค่ำใช้จ่ำยด้ำนอำหำรในครวั เรือน พน้ื ท่ี ส่วนท่ีสำม ประมำณ 30 % ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใชเ้ ป็นอำหำร หำกเหลอื จึงนำไปจำหนำ่ ย พนื้ ทีส่ ่วนทส่ี ี่ประมำณ 10 % ใชเ้ ปน็ ทอี่ ยอู่ ำศยั เลย้ี งสัตว์ ถนน และอืน่ ๆ
61 ทฤษฎีใหม่ข้ันที่สอง เม่ือเกษตรกรเข้ำใจในหลักกำรและได้ปฏิบัติในขั้นท่ี 1 จนได้ผล แลว้ จึงเริม่ ขนั้ ทส่ี อง คอื กำรรวมพลงั กนั ในรูป กลุ่ม หรอื สหกรณ์ ทำใหเ้ กดิ เศรษฐกจิ ชมุ ชนในรูปแบบ ตำ่ ง ๆ เช่น หตั ถกรรม อุตสำหกรรมแปรรปู อำหำร ท่องเท่ียวชมุ ชน กองทนุ ชุมชน ทฤษฎีใหม่ขั้นท่ีสำม เมื่อผ่ำนขั้นท่ีสองแล้วเกษตรกรควรพัฒนำไปสู่ข้ันที่สำมคือกำร เชอื่ มโยงกับบรษิ ทั ทำธรุ กิจขนำดใหญ่รวมทงั้ กำรส่งออก 2.5.2 การประยุกตใ์ ชป้ รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งของภาครัฐ ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับทุกสำขำ ทุกอำชีพ แต่จะมีรำยละเอียดของขั้นตอนกำรปฏิบตั ิแตกตำ่ งกันไปตำมภำรกิจ ในกำรกำหนดนโยบำยและกำร บริหำรจัดกำรองค์กรของภำครัฐจะต้องมีกำรเตรียมนโยบำย แผนงำน หรือโครงกำรต่ำง ๆ ทั้งนี้ควร เน้นควำมสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมไปพร้อมกันเพ่ือมุ่งควำมเป็นอยู่ท่ีดี ของประชำชน ชุมชนเม่ือประชำชน ชุมชนพ่ึงตนเองได้ก็จะสำมำรถเป็นที่พึ่งของสังคมและ ประเทศชำติในท่ีสุด กำรบริหำรงำนของภำครัฐเก่ียวข้องกับกำรออกกฎหมำยและข้อบัญญัติต่ำง ๆ ทจี่ ะต้องยึดมั่นบนฐำนควำมพอเพยี งพร้อมปรับปรงุ แก้ไขใหเ้ กิดควำมสมดุลและมีกำรพฒั นำให้เกิดสิ่ง ท่ีดีเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในกำรบริหำรงบประมำณมีควำมสอดคล้องกับเป้ำหมำยและเกิด ประโยชน์สงู สดุ มคี วำมโปร่งใส ตรวจสอบได้ ในด้ำนกำรบรหิ ำรทรพั ยำกรทม่ี อี ยใู่ หเ้ กิดประสิทธิภำพ ต้องช่วยกันสร้ำงคุณค่ำและจิตสำนึกใหม่ให้พ้นจำกควำมเอำรัดเอำเปรียบและเบียดเบียนผู้อื่น ใช้ เทคโนโลยีสำรสนเทศอย่ำงเหมำะสมและมีประสิทธิภำพสอดคล้องกับกำรใช้งำนและศักยภำพขอ ง บุคคล เกิดควำมประหยัด และกำรบริหำรทรัพยำกรบุคคลโดยจัดสรรกำลงั ให้เหมำะสมกับงำน สร้ำง บรรทัดฐำนและค่ำนิยมที่สอดคล้องตำมหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง ยึดถือคุณธรรมและจริยธรรม ในกำรทำงำน มีควำมพำกเพียร ซื่อสัตย์สุจริต มีขันติ รับฟังควำมคิดเห็นของผู้อ่ืน เป็นต้น สำหรับ ข้ำรำชกำรควรสร้ำงควำมพอเพียงให้เกิดขึ้นในกำรดำเนินชีวิตประจำวันพร้อมท้ังกำรพัฒนำควำมรู้ เพื่อนำมำใช้พัฒนำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น ยึดถือหลักคุณธรรมในทุกด้ำนเพรำะสิ่งที่ยึดถือจะนำมำซึ่ง ควำมสุขในชีวิตส่วนในด้ำนกำรปฏิบัติงำนจะต้องตระหนักถึงบทบำทหน้ำที่ของต นเองพร้อมเป็นผู้ ให้บริกำรแก่ส่วนร่วม (มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำประเทศตำมปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง, มปป.) 2.5.3 การประยุกตใ์ ชห้ ลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยคุ ดจิ ทิ ัล โลกำภิวัตน์ทำให้เกิดรูปแบบของกำรทำงำนแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศเข้ำมำ ช่วยซ่ึงในปัจจุบันเรียกว่ำเป็นยุคดิจิทัล เกิดกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินภำยใต้กระทรวงใหม่ท่ีชื่อว่ำ กระทรวงดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม ยุคของโลกดิจิทัล (Digital Age ) เป็นยุคท่ีเทคโนโลยีหมุน เรว็ ทำใหเ้ ข้ำถึงข้อมูลจำนวนมหำศำลได้ตลอดเวลำ สำมำรถติดต่อสื่อสำรและทำธุรกิจใหม่ ๆ อย่ำงไร้ ขอบเขต ยุคเศรษฐกจิ ดิจทิ ัลจงึ เปน็ โอกำสของกำรยกระดับกำรพฒั นำเศรษฐกิจให้ก้ำวไปอย่ำงรวดเร็ว กำรน้อมนำหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำประยุกต์ใช้ในยุคน้ีจะเป็นกำรสร้ำงภูมิคุ้มกันให้กับกำร ทำธุรกิจดิจิทัลบนฐำนของควำมพอเพียงรวมถึงกำรพัฒนำเศรษฐกิจบนฐำนควำมรู้ท่ีมีเป้ำหมำยของ กำรเพิ่มมูลค่ำทำงเศรษฐกิจ ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงทจ่ี ะนำมำประยกุ ต์ใชก้ ับโลกดิจิทัลคือ กำรนำ หลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำปรับใช้กับกำรดำรงชีวิตและทำธุรกิจในยุคดิจทิ ัล และเป็นกำรสร้ำง ควำมม่ันคงให้แก่ประเทศ งำนเพ่ือกำรบริกำรเศรษฐกิจและสังคมถ้ำหำกนำหลักปรัชญำเศรษฐกิจ
62 พอเพียงไปใช้ องค์กรท่ีทำงำนน้ันดำเนินธุรกิจอย่ำงมีคุณธรรมและมีธรรมภิบำล มีกำรบริหำรจดั กำร ควำมเสี่ยงที่ดีและเกิดควำมยั่งยืนโดยกำรนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ำมำเสริมประสิทธิภำพของ กำรดำเนินธุรกิจและยังได้ช่ือว่ำเป็นองค์กรท่ีมีควำมรับผิดชอบต่อสังคม ดังที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขำธิกำรมูลนิธิชัยพัฒนำได้กล่ำวว่ำ ทุกคนสำมำรถน้อมนำหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำเป็น หลักปฏิบัติในกำรดำเนินชีวิตได้โดยต้องเริ่มต้นจำกจิตสำนึก มีควำมศรัทธำ เชื่อมั่น เห็นคุณค่ำและ นำไปปฏิบัติด้วยตนเอง หลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหนึ่งในหลักคิดในกำรพัฒนำทั้งทำงด้ำน เศรษฐกิจ สังคม และทุก ๆ ด้ำน เพียงแค่ปรับใช้ให้ถูกวิธีก็จะเห็นผลได้อย่ำงชัดแจ้งไม่ว่ำจะอยู่ในยุค ดิจิทัลหรือยุคที่เทคโนโลยีก้ำวไปไกลกว่ำน้ี ทุกอย่ำงล้วนต้องอยู่บนพื้นฐำนของควำมพอเพียงไม่มำก ไป ไมน่ ้อยไป ใช้ไดแ้ ตค่ วรรู้จกั คำว่ำ พอ ไมร่ บั จนไรว้ ิจำรณญำณแต่กไ็ มป่ ิดก้นั จนเปน็ คนล้ำสมัย เพียง แคเ่ ร่งจัดกำรใหส้ มดลุ ได้ ไม่ว่ำจะเป็นเศรษฐกิจหรือสังคมกจ็ ะมีควำมสุขไดเ้ หมือนกนั นอกจำกนี้กำร นำหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพยี งไปปรับใช้ในชีวติ น้นั ไมไ่ ด้ส่งผลเพียงกำรเตรยี มควำมพร้อมแต่ยังเป็น กำรสร้ำงแนวคิดรูปแบบใหม่หรอื นโยบำยที่มนุษย์ตอ้ งมองสถำนกำรณ์อย่ำงรอบด้ำนท้ังผลกระทบใน เชิงบวกและลบ และพร้อมรับมือกับผลกระทบทุกรูปแบบ หลักปรัชญำเศรษฐกิจน้ันสอดคล้องกับ แนวคิดทำงเศรษฐศำสตร์มหภำคสมัยใหม่และวำระกำรพัฒนำที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 ของสหประชำชำติ ที่พยำยำมสร้ำงจริยธรรมใหม่ท่ีเนน้ ย้ำควำมสำคัญของสงั คมและมนุษย์ กำรประชุมสหประชำชำติวำ่ ด้วยกำรค้ำและกำรพัฒนำ (UNCTAD) เห็นควำมสำคัญของกำรพัฒนำต่ำง ๆ ว่ำจะสำเร็จได้ต้องเริ่ม จำกกำรพัฒนำภำยในซึ่งเป็นหลักที่สอดคล้องกับหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงแล้วยังเช่ือมโ ยงกับ แนวคิดทำงเศรษฐศำสตร์ของนักเศรษฐศำสตร์ Adam Smith ที่ว่ำด้วยกำรอยู่ร่วมกันในชมุ ชนท่ีผู้คน ต้องมีควำมเข้ำใจอันดี มีควำมจริงใจ เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ และตระหนักถึงกำรช่วยเหลือกันและกันใน ชุมชน (ศุภชัย พำณิชภักดิ์, 2559) โคฟี อันนัน อดีตเลขำธิกำรองค์กำรสหประชำชำติ ได้กล่ำวถึง ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงว่ำปรัชญำนี้ไม่ได้ดีเฉพำะในประเทศไทย เขำได้ต้ังคณะกรรมกำรขึ้นมำชุด หน่ึงและทำรำยงำนซึ่งได้ถูกรำยงำนเมื่อปี พ.ศ. 2550 เป็น UNDP Thailand Report หัวข้อ Human Development ซ่ึงเป็นเรื่องของกำรพัฒนำคนและได้กล่ำวถึงข้อมูลข่ำวสำรควำมรู้กำร พฒั นำประเทศไทยที่วำงอยูบ่ นหลักคดิ ของปรชั ญำเศรษฐกจิ พอเพียงโดยผู้อำนวยกำร (Director) ของ UNDP Asia Pacific ได้กล่ำวในท่ีประชุมว่ำจะนำหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่อีก 166 ประเทศ (สำนักงำน ก.พ., 2559) 2.6 ปจั จัยและความสาเรจ็ ของการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ยุคโลกำภิวัตน์สร้ำงกระแสควำมต่ืนตัวให้กับสังคมภำยในของทุกประเทศและระดับโลก มี ผลกระทบต่อสภำพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปหมด พร้อม ๆ กับกำรเกิดกลไก และมำตรกำรใหม่เพื่อเตรียมควำมพร้อมรับมือกับสถำนกำรณ์ท่ีจะเกิดขึ้น ดังจะเห็นได้จำกกำรวำง ยุทธศำสตร์กำรพัฒนำประเทศไทย 20 ปี ที่ให้ควำมสำคัญกับกำรพัฒนำและนำควำมรู้ทำง วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมำใช้เพ่ือกำรพัฒนำประเทศ และโดยเฉพำะในยุคน้ีรัฐบำลให้ ควำมสำคัญกบั โครงสรำ้ งพนื้ ฐำนดำ้ นไอซที ี ที่สำคัญคอื อนิ เทอร์เนต็ ควำมเร็วสูงท่ีกระจำยอย่ำงทั่วถึง เชน่ เดียวกับสำธำรณูปโภคด้ำนอน่ื ๆ เพ่ือหวงั ให้ประชำชนได้ใช้ประโยชน์ในกำรเข้ำถึงควำมรู้ และใช้ สำรสนเทศเพ่ือกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต ไอซีทีมีบทบำทอย่ำงมำกในกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมที่
63 เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบำลตระหนักถึงควำมสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีจะมีผลต่อกำรพัฒนำ เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำรใช้ประโยชน์จำกเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดในกำรพัฒนำ ประเทศนับว่ำเป็นโอกำสและควำมท้ำทำยของประเทศไทยในปัจจุบันที่จะนำประเทศไทยไปสู่ ควำมสำเร็จและควำมย่ังยืน ควำมท้ำทำยและโอกำสของเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับประเทศไทย 8 ประกำรคือ (1) ก้ำวข้ำมประเทศท่ีมีรำยได้ปำนกลำง (Middle Income Trap) ด้วยกำรลงทุนและ พัฒนำอุตสำหกรรมที่มีอยู่แล้วและอุตสำหกรรมใหม่ (2) พัฒนำภำคกำรเกษตร อุตสำหกรรมและ บริกำร ที่สำมำรถแข่งขันได้ด้วยกำรใช้เทคโนโลยีและโครงสร้ำงพ้ืนฐำนสำรสนเทศ กำรเสริมควำม เข้มแข็งให้แก่ SMEs ด้วยกำรส่งเสริมธุรกิจ SMEs ให้สำมำรถเข้ำถึงและใช้งำนเทคโนโลยีดิจิทัลใน ระดับที่สูงข้ึนกว่ำในปัจจุบัน (3) กำรปรับตัวและเข้ำร่วมกลุ่มทำงเศรษฐกิจ โดยเฉพำะกำรเข้ำสู่ ประชำคมอำเซียนและกลุ่มอื่น ๆ ในภูมิภำคต่ำง ๆ ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยและ สำมำรถทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจต่อไปได้และท่ีสำคัญประเทศไทยมีจุดเด่น ทำงด้ำนภูมิศำสตร์ที่ต้ังอยู่บนคำบสมุทรอินโดจีนในภูมิภำคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมท้ังมีควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพสูงซึ่งเปน็ ฐำนทรัพยำกรทม่ี ่ันคงทำงกำรเกษตรจึงทำใหป้ ระเทศไทยมโี อกำสใน กำรพัฒนำเศรษฐกจิ ได้ยิ่งขึ้น (4) ลดควำมเหลื่อมล้ำทำงสังคมซง่ึ เป็นปัญหำที่ต้องแก้ไข ควำมเลื่อมล้ำ ในด้ำนกำรศึกษำ รำยได้ สิทธิประโยชน์ กำรเข้ำถึงบริกำรของรัฐและควำมเหล่ือมล้ำทำงด้ำน เทคโนโลยีดิจิทัล (5) สังคมผู้สูงอำยุ ต้องมีกำรบริหำรจัดกำรกับกำรเปลี่ยนแปลงโครงสรำ้ งประชำกร ของประเทศไทยเพรำะโครงสร้ำงประชำกรมีผลต่อผลิตภำพ (Productivity) กำรใช้วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทัลในกำรดูแลและให้บริกำรผู้สูงอำยุ (6) กำรพัฒนำทรัพยำกรคน กำร พัฒนำศักยภำพของคนในประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลให้สำมำรถพัฒนำตนเ องในกำรใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลและข้อมูลข่ำวสำรในกำรพัฒนำกำรประกอบอำชีพ (7) กำรกำจัดคอร์รัปชั่น ซ่ึงเป็นปัญหำท่ี สง่ ผลกระทบต่อกำรพฒั นำประเทศมำอย่ำงยำวนำนเปน็ อุปสรรคในกำรตัดสนิ ใจของนักลงทุนตำ่ งชำติ และ (8) ภัยคุกคำมไซเบอร์ ต้องมีกำรจัดกำรกับภัยคุกคำมในรูปแบบต่ำง ๆ โดยเฉพำะภัยจำก สำรสนเทศแบบต่ำง ๆ ท่พี ฒั นำและเปล่ียนแปลงอย่ำงตอ่ เนอื่ งซึ่งจะต้องมีกำรติดตำม เฝ้ำระวงั พร้อม รับมือเพื่อป้องกันตนเองและลดควำมเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนจำกกำรถูกคุกคำมและผลกระทบท่ีจะตำมมำ (สำนักงำนคณะกรรมกำรดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม, 2561) ซ่ึงสอดรับกับหน่วยงำนท่ีทำหน้ำที่ โดยตรงในกำรพัฒนำและใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีเพื่อกำรพัฒนำประเทศ อย่ำงเช่นสำนักงำน พัฒนำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ (สวทช) ที่ดำเนินกำรวิจัยและพัฒนำประเทศโดยกำหนด แผนในกำรดำเนนิ ภำยใต้แนวคิด “พ้ืนฐำนทีม่ ั่นคง กำลังคน นำทำงสูค่ วำมสำเรจ็ ” ควำมก้ำวหน้ำของ กำรพัฒนำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ย่อมข้ึนอยู่กับโครงสร้ำงพื้นฐำนที่เข้มแข็งที่จะ นำไปสู่กำรต่อยอดควำมรู้ สู่กำรวิจัยและนำไปสู่ควำมสำเร็จของประเทศ กำรพัฒนำบุคลำกรของ สวทช.จึงมีควำมสำคัญเพรำะบุคลำกรมีบทบำทต่อกำรพัฒนำวิทยำศำส ตร์และเทคโนโลยีหรือกำร สร้ำงนวัตกรรม ทั้งนี้ สวทช. ได้วำงแผนพัฒนำบุคลำกรไว้ 4 ประเภท ได้แก่ (1) กำรผลิตและพัฒนำ บุคลำกรกำรวิจยั (2) กำรสนบั สนนุ กำรประชุมวชิ ำกำรและกำรพฒั นำวิชำชพี (3) กำรพัฒนำบุคลำกร ในภำคกำรผลติ และบริกำร และ (4) กำรส่งเสริมและพฒั นำเยำวชน เพิ่มศักยภำพผู้ดอ้ ยโอกำส ท้ังนี้ ควำมสำเร็จของงำนวิจัยจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเพื่อลดช่องว่ำงในสังคมและยกระดับ ผู้ด้อยโอกำสต่ำง ๆ ในสังคมและมีคุณภำพชีวิตท่ีดี งำนวิจัยต้องสำมำรถแก้ปัญหำสังคมได้
64 ตวั อย่ำงเช่น ด้ำนพลงั งำน ในปี พ.ศ. 2550 สวทช. ไดส้ นับสนุนโครงกำรพลังงำนเพ่ือส่งิ แวดล้อมกับ หน่วยงำนภำยนอก รวมถึงกำรกระตุ้นและสร้ำงจิตสำนึกในเร่ืองกำรจัดกำรด้ำนสิ่งแวดล้อมให้กับ พนักงำน เพรำะสิ่งแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไปจึงต้องร่วมกันหำวิธีในกำรป้องกันและอนุรักษ์โดย อำศัยควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญเพ่ือช่วยให้ทุกชีวิตสำมำรถดำรงอยู่บน โลกได้ต่อไป ไม่ว่ำจะเป็นกำรใช้วิทยำศำสตร์เพ่ือควำมปลอดภัย ควำมสะดวกสบำย วิทยำศำสตร์ กำรแพทย์เพ่ือคุณภำพชีวิต วิทยำศำสตร์เพื่อเกษตรกรรมก้ำวหน้ำเพ่ือกำรดำรงอยู่และเป็นผลิตผล ส่งออกที่สำคัญของประเทศ กำรสื่อสำรและโทรคมนำคม ควำมก้ำวล้ำของเทคโนโลยีกำรสื่อสำรได้ ถกู วจิ ยั และพัฒนำขนึ้ ก็เพ่ืออำนวยควำมสะดวกต่อกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งส้ิน แตท่ ้ังนคี้ วำมสำเร็จ ท่ีเกิดขึ้นจำกกำรใช้ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีจะต้องมีกำรผสมผสำนไปกับสังคมหรือ มนุษยศำสตร์ด้วย วิทยำศำสตร์จะแยกออกจำกมนุษย์ไม่ได้ ควำมเส่ือมของสังคมมนุษย์มำจำก แนวคิดเชิงวัตถุนิยมและบริโภคนิยมท่ีอยู่ภำยใต้กลไกทำงกำรตลำดที่ผู้เก่งกว่ำย่อมได้รับประโยชน์ กำรมีแนวคิดว่ำกำไรสูงสุดเป็นเปำ้ หมำยหลักของกำรดำเนินกิจกำรต่ำง ๆ ทำให้ทรัพยำกรธรรมชำติ ถูกทำลำยและหมดไป นำควำมเส่ือมถอยและผลกระทบมำสู่ชีวิตควำมเป็นอยู่ของผู้คนและ สิ่งแวดล้อม ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และทำงมนุษยศำสตร์ควรอยู่รวมกันอย่ำงผสมผสำน ควำมก้ำวหน้ำทำงวิทยำศำสตร์ทำให้เสมือนว่ำมนุษยศำสตร์ด้อยควำมสำคัญไป กำรเน้นควำมรู้ท่ี ชัดเจนวัดได้และพิสูจน์ได้ตำมหลักทำงวิทยำศำสตร์ทำให้มองเห็นว่ำมนุษยศำสตร์ขำดหลักฐำนและ ควำมน่ำเชื่อถือ แต่องค์ควำมรู้ที่มนุษย์สร้ำงขึ้นที่เป็นองค์ควำมรู้ท่ีตรงข้ำมกับวิทยำศำสตร์เป็น กำรศึกษำจำกกำรกลับเข้ำไปอยู่ในสิ่งท่ีต้องกำรศึกษำ มีคติของตนเป็นเครื่องมือแล้วสร้ำงกฎเกณฑ์ ขึ้นมำมีควำมไม่คงที่และหลำกหลำยนำไปสู่กำรมีวัฒนธรรมและศิลปะ มนุษย์จึงส่ือสำรกันได้ เช่น ภำษำเป็นเครื่องมือในกำรส่ือควำมรู้ ควำมคิดควำมเห็นจำกคนหนึ่งไปยังอีกคนหน่ึงและสื่อข้ำมเวลำ โดยอำศัยประวัติศำสตร์ ส่วนศิลปะเป็นส่ือด้ำนสุนทรียภำพและควำมเช่ือ ธรรมเป็นเครื่องมือของ มนุษย์ในกำรกำหนดสิ่งท่ีดี ที่ถูกต้องออกไปจำกส่ิงท่ีไม่ดีไม่ถูกต้อง ทำให้สังคมมนุษย์เจริญข้ึน เกิด ควำมม่ันคง มีสุนทรียภำพ ควำมสงบ และสันติสุข (จรัส สุวรรณเวลำ, 2547) กำรปรับใช้ควำมรู้ทำง วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในสภำพแห่งโลกควำมเป็นจริงน้ัน ศำสตรำจำรย์นำยแพทย์จรัส สุวรรณ เวลำ ได้เสนอแนวทำงไว้วำ่ ต้องใชใ้ นสภำพที่หลำกหลำยแตกต่ำงกนั ของมนุษยแ์ ละสังคมตลอดจนต้อง พิจำรณำบนฐำนของควำมถูกต้อง ควำมดีงำม ควำมเชื่อและวัฒนธรรม ประกอบเข้ำด้วยควำมรู้ เฉพำะกรณีและเฉพำะกำลเป็นส่ิงจำเป็น ควำมรู้ท่ีเป็นองค์รวมเน้นควำมพอดีและทำงสำยกลำงต รง ตำมแนวปรัชญำตะวันออกน่ำจะเป็นคำตอบของมนุษย์ในอนำคต กำรศึกษำวิจัยทำงวิทยำศำสตร์ ประยุกต์ในสำขำต่ำง ๆ เป็นกำรศึกษำวิจัยในองค์รวมและมีลักษณะบูรณำกำร สังคมควำมรู้ยุคต่อไป ต้องสร้ำงควำมสมดลุ มุ่งส่คู วำมเจรญิ ท่ีแท้จรงิ บทสรุป โลกำภิวัตน์เป็นกระบวนกำรที่มีลักษณะเป็นพลวัตที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตควำมเป็นอยู่ เศรษฐกจิ สังคมในระดบั โลกซง่ึ จะนำไปสูป่ รำกฎกำรณแ์ บบใหมข่ องโลกซ่ึงสิ่งท่ีเกิดขึ้นนี้เป็นควำมรู้สึก ร่วมกันของคนทั้งโลก โลกำภิวัตน์เกิดข้ึนจำกกำรเคล่ือนย้ำยทุนต่ำง ๆ ไม่ว่ำจะเป็นทุนมนุษย์ ทุน กำรเงิน ทนุ ทรพั ยำกรและทนุ อำนำจท่ีจะทำให้กำรคำ้ ขำยระหว่ำงประเทศอยภู่ ำยใต้ควำมเปน็ โลกำ
65 ภวิ ัตน์ทีเ่ ปน็ สังคมไร้พรมแดนสำมำรถส่ือสำรกันได้งำยผ่ำนระบบเทคโนโลยสี ำรสนเทศ ผลกระทบจำก โลกำภิวัตน์ทำให้เศรษฐกิจของโลกเปล่ียนแปลงไปเกิดควำมไม่แน่นอนมำกข้ึนทั้งน้ีนักเศรษฐศำสตร์ ต่ำงยอมรบั ว่ำโลกำภิวัตนม์ ผี ลตอ่ เศรษฐกจิ และประเทศทต่ี ้องพึ่งพำตำ่ งประเทศสงู จะย่งิ ประสบปัญหำ มำกข้ึนนอกจำกปัญหำเศรษฐกิจ กำรตลำดท่ีมีลักษณะท่ีต่ำงไปจำกเดิมอย่ำงเห็นได้ชัด มีกำร แบ่งแยกตลำดของกลุ่มคนท่ีชัดเจนมำกขึ้น นอกจำกน้ีแล้วโลกอำจจะต้องเผชิญกับกำรเปล่ียนแปลง ทำงดำ้ นประชำกรท่ีมีอัตรำกำรเกิดน้อยลงในประเทศท่พี ัฒนำแลว้ รวมทั้งอำจต้องเผชญิ กบั ปัญหำด้ำน ค่ำนิยมและพฤติกรรมของประชำกรท่ีมีกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงรวดเร็วในด้ำนวัฒนธรรมอำจได้รับ อิทธิพลจำกระบบส่อื สำรทรี่ วดเรว็ ทำให้สำมำรถเปดิ รบั วฒั นธรรมต่ำงชำตไิ ด้งำ่ ยซงึ่ จะมีผลต่อควำมคิด กำรมองโลกหรือแม้กระท่ังเรื่องชีวิตควำมเป็นของคนในแต่ละวัน ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีทำให้ สำมำรถรับข้อมูลข่ำวสำรต่ำง ๆ ได้มำกข้ึน ทำให้มีโอกำสในกำรนำไปพัฒนำอำชีพหรือกำรสร้ำง รำยได้นำมำซึ่งโอกำสในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตท่ีดีข้ึนแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่ำโลกำภิวัตน์ ได้ส่งผลกระทบต่อปัญหำสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกันเกิดกำรใช้ทรัพยำกรธรรมชำติมำกขึ้น ปล่อย ของเสียออกมำมำกข้ึนซึ่งจะต้องหำกลไกท่ีมีประสิทธิภำพในกำรบริหำรจัดกำรส่ิงเหล่ำน้ีไม่ให้เกิด ปัญหำในภำยหลัง เพ่ือให้อยู่ในโลกโลกำภิวัตน์ได้จำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องพัฒนำทั้งในส่วนปัจเจก บคุ คลและประเทศโดยวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยจี ะเป็นเคร่ืองมือท่สี ำคญั ในกำรสร้ำงโอกำสเพ่ือกำร พัฒนำด้ำนต่ำง ๆ ทั้งทำงด้ำนกำรศึกษำ กำรแพทย์และสำธำรณสุข กำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม กำรพัฒนำด้ำนกำรเกษตรซ่ึงเป็นควำมท้ำทำยของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีอย่ำงยิ่งในกำร ทำให้ โอกำสในกำรพัฒนำดังกล่ำวประสบควำมสำเร็จ โดยควำมท้ำทำยสำคัญที่นำไปสู่ควำมสำเรจ็ นน้ั คน จำนวนหน่ึงอำจจะต้องเผชิญกับกำรปรับตัวเข้ำกับวิถีชวี ติ เทคโนโลยีซ่ึงเป็นพื้นฐำนท่ีสำคัญของคนรุ่น ใหม่ กำรสร้ำงจริยธรรมของกำรใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่สร้ำงปัญหำสังคมตำมมำ กำร รจู้ ักกำรประเมนิ ข้อมลู ข่ำวสำรยุคโลกำภิวัตน์ กำรตอ้ งเผชญิ กับกำรเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดล้อม กำร ต้องศึกษำเรื่องกฎหมำยและระเบียบปฏิบัติใหม่ของโลกยุคโลกำภิวัตน์ และกำรเปลี่ยนแปลงของ ประชำกรท่ีเปล่ียนไป แต่ทั้งนี้ส่ิงท่ีเป็นควำมท้ำทำยเหล่ำน้ันสำมำรถบริหำรจัดกำรได้โดยนำหลัก ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกำลท่ี 9 มำเป็นแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำเพื่อให้ประชำชน และประเทศชำตสิ ำมำรถรอดพ้นวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ และเผชญิ กบั กำรเปลยี่ นแปลงของกระแสโลกำภิวัตน์ ไดอ้ ยำ่ งม่ันคง
66 คาถามทบทวนทา้ ยบทเรยี น 1. จงอธบิ ำยควำมหมำยของโลกำภวิ ตั น์ 2. โลกำภวิ ัตนจ์ ะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกจิ สงั คมของประเทศไทยอยำ่ งไร 3. ประชำกรโลกจะตอ้ งปรบั ตัวอย่ำงไรเพอื่ ให้สำมำรถอยรู่ อดไดใ้ นโลกยุคโลกำภิวตั น์ 4. กระแสโลกำภิวัตน์จะสง่ ผลกระทบตอ่ วัฒนธรรมไทยหรือไม่อยำ่ งไร 5. เพรำะเหตใุ ดนักเศรษฐศำสตร์จึงยอมรับว่ำโลกำภวิ ัตนม์ ีอิทธิพลต่อเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ ต่ำง ๆ 6. วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยีมีควำมสำคัญอย่ำงไรในยุคโลกโลกำภิวตั น์ 7. อะไรคอื ประเดน็ ควำมทำ้ ทำยของกำรใชว้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยีในยคุ โลกำภวิ ัตน์ 8. จริยธรรมของกำรใชว้ ทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยคี ืออะไรและมีควำมสำคญั อย่ำงไร 9. จงยกตัวอย่ำงกฎหมำยและระเบียบปฏิบัติใหม่ของโลกยุคโลกำภิวัตน์ท่ีต้องมีกำรปรับปรุงแก้ไข เพอื่ ให้เหมำะสมกับยคุ สมัย 10. ควำมเสย่ี งเร่ืองใดบ้ำงท่ีมนุษย์อำจต้องประสบและได้รับผลกระทบจำกโลกยคุ โลกำภวิ ตั น์
67 เอกสารอา้ งอิง กิติพงค์ พร้อมวงค์. (2561, มิถุนำยน). เปิดประตูจริยธรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. โครงการเสวนาประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2561, โรงแรมเซ็นจรู ่ี พาร์ค กรุงเทพมหานคร. โครงกำรกำรศึกษำไทยในยุคโลกำภิวัตน์. (มปป.) การศึกษาไทยในยุคโลกาภวิ ัตน์ : สู่ความก้าวหนา้ และความม่ันคงของชาติในศตวรรษหน้า. เอกสำรประกอบกำรสัมมนำระดับชำติ. ศูนย์ ประชุมแห่งชำติสริ ิกิต์ิ. จรัส สวุ รรณเวลำ. (2547). สังคมความรู้ ยคุ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สถำบนั วจิ ยั วิทยำศำสตร์กำรแพทย์ จฬุ ำลงกรณม์ หำวิทยำลัย. เจริญ ภสั ระ. (2552). กำรเตรียมรบั กำรสงครำมข้อมูลข่ำวสำรของไทย. รฏั ฐาภริ กั ษ์, 72-74 ธำนนิ ทร์ เอ้อื อภธิ ร. (2560). มนุษย์จะสร้างทักษะ-การเรยี นรู้ใหม่เพอ่ื รบั มอื ความเปลี่ยนแปลงใน อนาคตอย่างไร. ค้นเมอื่ มกรำคม 19, 2563, จำก http://thestandard.co/learning-for- change/. นเรศ ดำรงชัย. (2561, มิถุนำยน). เปิดประตูจริยธรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. โครงการ เสวนาประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561, โรงแรมเซน็ จรู ี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร. ประสิทธิ์ ผลิตผลกำรพิมพ.์ (2561, มิถนุ ำยน). เปดิ ประตูจรยิ ธรรมด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. โครงการเสวนาประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2561, โรงแรมเซ็นจูร่ี พารค์ กรงุ เทพมหานคร. ปทั มำ วำ่ พฒั นวงศ์ และปรำโมทย์ ประสำทกลุ . (มปป). ประชากรไทยในอนาคต. ค้นเมื่อ มกรำคม 25, 2563, จำกhttp://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/Annual Conference/Conferencell/Article/Article02.htm. พงศธร พอกเพิ่มดี. (2552). ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุใหม่ : สาธารณสุขยุคโลกาภิวัตน์. ค้นเมื่อ มกรำคม 26, 2563, จำก https://prachatai.com/journal/2009/05/24264. พรรณพลิ ำศ กุลดลิ ก. (2560). กำรขับเคลอ่ื นสังคมผ่ำนสอ่ื ใหมใ่ นยุคโลกำภิวตั น.์ วารสารวิชาการ มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์, 25 : 59-77. พันธวฒั น์ เศรษฐวไิ ล.(2562). โลกใหม่ ความทา้ ทายใหม่ : ยกระดบั ประเทศไทยในโลก 4.0. คน้ เมื่อ มกรำคม 18, 2563, จำก http://the101.world/futurising-thailand-seminar-2/. พิชยั วำศนำส่ง. (2549). โลกาภิวัตน์ : หมนุ ตามโลก สารพนั สาระทีค่ วรรู้เพ่ือทนั กระแสโลก. กรงุ เทพฯ : ปำเจรำ. มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำประเทศตำมปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง. (มปป.) การประยุกต์ใช้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของภาครัฐ. สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชำติ. ยงยทุ ธ ยทุ ธวงศ.์ (2561, มิถนุ ำยน). เปดิ ประตจู ริยธรรมด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. โครงการ เสวนาประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2561, โรงแรมเซน็ จรู ี่ พาร์ค กรงุ เทพมหานคร. ลิขิต ธีรเวคิน.(2556). กำรปรับตัวของประเทศไทยในยุคโลกำภิวัตน์ เอเชียรุ่งโรจน์ และประชำคม เศรษฐกจิ อำเซียน. วารสารราชบัณฑิตยสถาน, 38 : 23-48. วภิ ำ อุตมฉนั ท.์ (2546). มำรู้จกั กับส่อื โลกำภิวัตน์. BU ACADEMIC REVIEW, 2 : 120-128.
68 วิรตั น์ แสงทองคำ. (2553, เมษำยน 2). เกษตรโลกำภิวัตน.์ มติชนสุดสัปดาห์. คน้ เม่ือ มกรำคม 27, 2563, จำก https://viratts.wordpress.com/2010/04/02/glob-agri/. ---------. (2561, พฤษภำคม 31). เกษตรกรรมยคุ สมัย ตอนที่ 3. มติชนสดุ สัปดาห์. ค้นเมื่อ มกรำคม 27, 2563, จำก https://www.matichonweekly.com/column/article_105027. ววิ ฒั น์ ศลั ยกำธร. (2562, กันยำยน). การขับเคลอ่ื นสบื สานศาสตรพ์ ระราชาสเู่ ปา้ หมายความยั่งยนื ของโลก, หอประชมุ เกษม จำตกิ วณชิ สำนกั งำนใหญ่ กฟผ. ศรีรัฐ โกวงศ์. (2559). ระบบรำชกำรไทยภำยใต้กระแสโลกำภวิ ตั น.์ วารสารรัฐศาสตร์ปริทรรศน์. มหำวิทยำลยั เกษตรศำสตร์, 3 : 44-64. ศุภชัย พำณิชภักด์ิ. (2559). บรรยายพิเศษ Thailand’s Sufficiency Economy and Agenda 2030 : Showing the way forward for sustainable development 8 ธันวาคม 2559 ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์. ค้นเม่ือ มกรำคม 27, 2563, จำก http://www.mfa.go.th/europetouch/th/articles/8332/90488-Thailand- Sufficiency-Economy-and-Agenda-2030-Showi.html. สถำบนั บัณฑิตบริหำรธรุ กจิ ศศนิ ทร แหงจฬุ ำลงกรณมหำวทิ ยำลยั สถำบนั นำนำชำติเพ่ือเอเชยี -แปซิฟ กศึกษำ มหำวทิ ยำลยั กรงุ เทพ และ บรษิ ทั เบเคอร แอนด แม็คเคน็ ซ่ี จำกัด. (2554). รายงานการศกึ ษาเชิงลึก เลมท่ี 1 พลวัตโลก เศรษฐกิจการคาไทยและบทบาทกระทรวง พาณชิ ยภายใตโครงการจดั ทาแผนแมบทกระทรวงพาณชิ ย พ.ศ. 2555-2564. กระทรวง พำณชิ ย์. สำนกั งำนคณะกรรมกำรขำ้ รำชกำรพลเรือน. (2559). ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและการ ประยุกตใ์ ช้. สำนกั งำน ก.พ. เสำวณี จนั ทะพงษ์และคณะ. (2561). กระแสกำรเคล่ือนยำ้ ยแรงงำนขำ้ มชำติ : เข้ำใจ เข้ำถงึ และเปน็ ธรรม. วารสาร MPG Economic Review,.1-7 ธนำคำรแห่งประเทศไทย โสมรศั มิ์ จนั ทรตั น์และคณะ. (2562). ทัศนภ์ าคเกษตรไทย จะพลิกโฉมอยา่ งไรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน. คน้ เม่ือ มกรำคม 26, 2563, จำก https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAnd Publications/articles/Pages/Article_26Sep2019.aspx. อเนก เหลำ่ ธรรมทัศน์. (2555, พฤษภำคม 18). ประชำกรในยุคโลกำภิวตั น์. นสพ.โพสตท์ เู ดย์. ค้น เม่ือ มกรำคม 26, 2563, จำก https://www.hfocus.org/content/2012/05/217. อำรยี ์ นัยพนิ ิจ. (2557). กำรปรบั ตวั ภำยใต้กระแสโลกำภิวัตน.์ วารสารวชิ าการมหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา,7:1-12. แอนโธนี กิด๊ เดนส์ แปลโดย เชษฐำ พวงหัตถ.์ (2546). โลกในกระแสกำรเปลย่ี นแปลง. วารสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร, 23 : 133-182.
บทท่ี 3 พลังงานกบั สิง่ แวดล้อม พลังงำนมีควำมสำคัญกับกำรพัฒนำประเทศ ทำให้ประเทศเกิดควำมเจริญก้ำวหน้ำมั่นคงมำ โดยลำดับต้งั แต่อดีต แตก่ ำรใชพ้ ลังงำนท่ีมำกเกินไปและขำดประสิทธิภำพนำมำซึ่งปัญหำสงิ่ แวดล้อม โดยเฉพำะปัญหำสำคัญในระดับโลกน่นั คือ ปัญหำกำรเปล่ยี นแปลงสภำพภูมิอำกำศท่ีส่งผลกระทบไป ยังปัญหำส่ิงแวดล้อมด้ำนอ่ืน ๆ อย่ำงไรก็ตำมในปัจจุบันได้มีควำมพยำยำมในกำรใช้พลังงำนทดแทน ซ่ึงเป็นรูปแบบพลังงำนท่ีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่ำและยังเป็นพลังงำนท่ีถูกคำดหวังท่ีจะมี สัดส่วนกำรนำมำใช้ทดแทนพลังงำนที่ใช้แล้วหมดมำกขึ้นเพื่อลดปัญหำกำรขำดแคลนพลังงำนใน อนำคต 3.1 ความหมายและความสาคัญของพลงั งานตอ่ การพฒั นาประเทศ 3.1.1 ความหมายของพลงั งาน พลังงำน หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรทำงำนหรือทำให้เกิดงำน ผลกำรทำงำนของ แรงนั้นทำให้วัตถุหรือสิ่งใด ๆ เคล่ือนท่ีหรือเคลื่อนไหวได้ พลังงำนมีหน่วยเป็นจูล (J) พลังงำน สำมำรถจัดเก็บไว้ได้ไม่สำมำรถถูกทำลำยแตส่ ำมำรถเปลี่ยนแปลงจำกรปู หนึง่ ไปเป็นอีกรูปหนง่ึ ได้ เชน่ พลังงำนแสงเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ พลังงำนไฟฟ้ำเป็นพลังงำนกลหรือพลังงำนควำมร้อน กำรที่วัตถุ เคลอ่ื นทจ่ี ำกท่หี นงึ่ ไปยงั อีกท่หี นงึ่ ได้กเ็ พรำะมีแรงหรอื พลังงำนเขำ้ ไปกระทำ พลังงำน หมำยถึง ควำมสำมำรถท่ีจะทำงำนได้โดยอำศัยแรงงำนที่มีอยู่แล้วตำม ธรรมชำติโดยตรงและมนุษย์ใช้ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีดัดแปลงจำกพลังงำนตำม ธรรมชำติโดยนักวิทยำศำสตร์นิยำมพลังงำนว่ำคือ ควำมสำมำรถในกำรทำงำนและกำรทำงำนน้ี อำจจะอย่ใู นรปู ของกำรเคล่อื นท่ีหรอื กำรเปล่ียนรูปของวตั ถุได้ มนุษย์ได้นำพลังงำนมำใช้ให้เกิดประโยชน์เมื่อประมำณเกือบล้ำนปีมำแล้วพลังงำนที่ ใช้และค้นพบครั้งแรกคือพลังงำนจำกไฟ โดยมนุษย์นำมำใช้ในกำรสร้ำงควำมอบอุ่นกับตัวเอง ใช้ใน กำรหุงต้มอำหำร ป้องกันอันตรำยจำกสัตว์ร้ำย และในยุคต่อมำชำวอียิปต์ได้เรียนรู้กำรประยุกต์ พลังงำนลมมำใช้ในกำรเดินเรือ จึงเป็นที่มำของใบพัดเรือและกังหันวิดน้ีพลังงำนลมและเม่ือควำมรู้ ทำงวิทยำศำสตร์ก้ำวหน้ำมำกข้ึนจึงได้มีกำรค้นพบพลังงำนในรูปแบบต่ำง ๆ มำกข้ึน เช่น พลังงำน ไฟฟ้ำ พลังงำนน้ำ พลงั งำนจำกน้ำมัน พลังงำนจำกถ่ำนหนิ เป็นต้น 3.1.2 ความสาคัญของพลงั งานต่อการพฒั นาประเทศ พลังงำนมีควำมสำคัญต่อสรรพส่ิงบนโลกทำให้สง่ิ มีชวี ิตเจรญิ เติบโต ทุกสิ่งบนโลกล้วน เก่ียวข้องกับพลังงำน ก่อนปฏิวัติอุตสำหกรรมมนุษย์ได้ใช้พลังงำนจำกดวงอำทิตย์ พลังงำนจำกลม พลังงำนจำกดวงอำทติ ยช์ ว่ ยสร้ำงอำหำรให้แก่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลก ประเทศไทยใช้พลงั งำนเพ่ือ กำรพัฒนำประเทศในด้ำนต่ำง ๆ แต่ประเทศไทยอำจจะมีแหล่งพลังงำนในปริมำณที่ค่อนข้ำงจำกัด เมื่อเทียบกับประเทศอ่ืนอีกหลำยประเทศซึ่งวิกฤตกำรณ์พลังงำนของโลกได้ส่งผลกระทบต่อกำร พัฒนำประเทศอย่ำงหลีกเล่ียงไม่ได้ ในยุคปฏิวัติอุตสำหกรรมมีกำรประดิษฐ์เคร่ืองจักรไอน้ำ เร่ิมมี
70 กำรใช้ถ่ำนหินเป็นเช้ือเพลิงแทนไม้ ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลท่ี 5 (พ.ศ. 2411-2453) มกี ำรใช้ไฟฟ้ำเปน็ ครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2427 ไดด้ ำเนนิ กำรซอ้ื เครือ่ งกำเนิดไฟฟ้ำมำ สองเครื่องและซื้อสำยเคเบิ้ลมำจำกประเทศอังกฤษและนำไฟฟ้ำไปใช้ในด้ำนกำรสัญจรซึ่งสมัยน้ันมี กำรใชร้ ถรำงไฟฟำ้ ทงั้ ในกรงุ เทพฯและหัวเมืองบำงแห่ง ในปี พ.ศ. 2431 ไดก้ อ่ สร้ำงโรงไฟฟ้ำเพ่ือผลิต กระแสไฟฟ้ำและจำหน่ำยให้แก่ประชำชนและมีกำรวำงระบบสำธำรณูปโภคต่ำง ๆ เช่น โทรศัพท์ ไปรษณีย์ โทรเลข โรงพยำบำล ในปี พ.ศ. 2435 ประเทศไทยได้นำเขำ้ พลงั งำนจำกต่ำงประเทศ เช่น ผลิตภัณฑจ์ ำกปโิ ตรเลียมโดยบรษิ ัทรอยัลดทั ซป์ โิ ตรเลียม จำกดั ต่อมำบริษัทได้ก่อตั้งบริษัทลูกอีกหน่ึง บริษัทคือ บริษัทเชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัดและตั้งสถำนีบริกำรน้ำมันข้ึน ต่อมำในปี พ.ศ. 2503 รัฐบำลได้ตรำพระรำชกฤษฎีกำรจัดตั้งองค์กำรเชื้อเพลิงขึ้นเพ่ือให้สะดวกต่อกำรดำเนินธุรกิจโดยใช้ ตรำสัญลักษณ์กำรค้ำ สำมทหำร ซ่ึงต่อมำก็คือบริษัท ปตท. จำกัด มหำชน จำกกำรท่ีประเทศไทยมี กำรใช้พลังงำนทำให้ประเทศเกิดกำรพัฒนำในด้ำนต่ำง ๆ เช่น กำรพัฒนำกำรขนส่ง กำรพัฒนำ อุตสำหกรรม กำรพัฒนำทำงด้ำนกำรเกษตร กำรพัฒนำกำรสื่อสำร พลังงำนท่ีทำให้เกิดกำรส่ือสำร เช่น กำรส่งสัญญำณวิทยุและโทรทัศน์ กำรใช้คอมพิวเตอร์ในกำรสื่อสำรเกิดเป็นเทคโนโลยี สำรสนเทศ และยังทำให้เกิดกำรพัฒนำสิ่งอำนวยควำมสะดวก เช่น เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำและสิ่งอำนวย ควำมสะดวกในบำ้ นเรอื นที่ช่วยทำให้กำรใช้ชวี ิตประจำวนั สะดวกสบำยมำกข้นึ เช่น เคร่อื งซักผำ้ หม้อ หุงขำ้ ว เคร่อื งทำนำ้ อนุ่ ไมโครเวฟ เตำไฟฟ้ำ เปน็ ต้น 3.2 การแบ่งประเภทของพลงั งาน พลังงำนที่ใช้ในปัจจุบันมีหลำกหลำยรูปแบบและมีกำรจัดแบ่งประเภทพลังงำนเพื่อให้เกิด ควำมเข้ำใจเพื่อและให้ง่ำยต่อกำรศึกษำ ซงึ่ ในเอกสำรหรือตำรำต่ำง ๆ ได้มีกำรจดั จำแนกประเภทของ พลังงำนตำมแบบต่ำง ๆ ไว้ดังนี้ 3.2.1 จาแนกตามรปู พลงั งาน พลังงำนจำแนกได้เป็น 6 รปู ดงั น้ี 3.2.1.1 พลังงำนเคมี (Chemical energy) เป็นพลังงำนท่ีสะสมอยู่ในสำรต่ำง ๆ โดย อยูใ่ นโมเลกลุ เม่ือพนั ธะระหว่ำงอะตอมในโมเลกลุ แตกออกพลังงำนทีส่ ะสมจะถูกปลดปล่อยออกมำใน รูปของควำมร้อน แสงสว่ำง กำรหำยใจและกำรเผำผลำญ ได้แก่ พลังงำนที่สะสมในน้ำมัน ถ่ำนหิน อำหำร เมื่อสำรเหล่ำนี้เกิดปฏิกิริยำเคมีจะให้พลังงำนออกมำ เช่น อำหำรที่ร่ำงกำยได้รับจะทำให้เกิด กำรเจรญิ เติบโต เกดิ กำรเคล่อื นไหวและยังทำให้รำ่ งกำยอบอ่นุ ด้วย 3.2.1.2 พลังงำนควำมร้อน (Thermal energy) แหล่งกำเนิดพลังงำนควำมร้อนมำ จำกดวงอำทิตย์ ควำมร้อนใต้พภิ พ กำรเผำไหม้ของเชื้อเพลิง พลงั งำนไฟฟำ้ ควำมร้อนทำให้อุณหภูมิ สูงขึ้นหรือเกิดกำรเปล่ียนแปลงของสถำนะหรือเกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี หน่วยที่ใช้วัดปริมำณ ควำมร้อน ไดแ้ ก่ แคลอร่ี1 1 แคลอรี่ เป็นหน่วยวดั ปริมำณควำมร้อน 1 แคลอร่ี คือปริมำณควำมร้อนที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ 1 กรัม ร้อนขึ้น 1 องศำเซลเซียส 1,000 แคลอร่ี เรียกว่ำ 1 กิโลแคลอรี ในทำงโภชนำกำร แคลอรี่เป็นหน่วยวัดพลังงำนที่ร่ำงกำยได้รับจำกกำรเผำผลำญอำหำร อำหำร ประเภทคำร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน 1 กรัม จะใหพ้ ลงั งำน 4 กโิ ลแคลอรี่ ส่วนไขมัน 1 กรัม จะใหพ้ ลังงำนสูงถงึ 9 กโิ ลแคลอร่ี ข้ำวเปลำ่ แต่ละจำน ใหพ้ ลงั งำน 40 กโิ ลแคลอรี่ เท่ำกับกลว้ ยแขก 4 ชิน้ ข้ำวผดั กะเพรำไขด่ ำวให้พลังงำนเกือบ 200 กิโลแคลอรี่
71 3.2.1.3 พลังงำนกล (Mechanical energy) เป็นพลังงำนท่ีเกี่ยวข้องกับกำรเคลื่อนที่ ของวัตถุ แบ่งเปน็ 2 ประเภทคือ (1) พลังงำนศักย์ (Potential energy) เป็นพลังงำนท่ีวัตถุมีอยู่ขณะที่วัตถุ หยุดน่ิงอยู่กับที่หรือพลังงำนที่แฝงในวัตถุนั้น เป็นพลังงำนท่ีเกิดข้ึนจำกตำแหน่งของวัตถุที่สำมำรถ เคลื่อนที่ได้จำกแรงโน้มถ่วงของโลกหรอื แรงดึงดูดจำกสนำมแม่เหลก็ เช่น พลังงำนศักย์ของก้อนหินท่ี วำงอยบู่ นท่สี งู (2) พลังงำนจลน์ (Kinetic energy) เป็นพลังงำนท่ีเกิดข้ึนจำกกำรที่วัตถุน้ัน เคล่ือนที่ พลงั งำนน้นั เกิดเน่ืองมำจำกกำรเคลื่อนทีด่ ้วยควำมเร็วของวตั ถุ เช่น กอ้ นหินท่ีกล้ิงตกจำกที่ สูงลงสู่พ้ืน พลังงำนศักย์กำลังลดลงแต่จะมีพลังงำนจลน์เกิดข้ึน หรือกำรเคลื่อนท่ีของรถยนต์ กำร เคล่ือนท่ีของจักรยำน กำรเดิน กำรว่ิง ดังน้ันพลังงำนจลน์ก็คือ พลังงำนของวัตถุขณะเคลื่อนท่ีซึ่ง มนษุ ย์และสิง่ มชี วี ิตอำศัยพลังงำนนใ้ี นกำรทำงำนหรอื กิจกรรมกำรเคลื่อนไหว 3.2.1.4 พลังงำนจำกกำรแผ่รังสี (Radiant energy) รังสีเป็นพลังงำนที่แผ่ออกจำก แหล่งหน่ึงไปยังอีกแหล่งหนึ่งท่ีมีควำมสำมำรถทะลุทะลวงวัตถุชนิดต่ำง ๆ ได้ พลังงำนเกิดจำกกำร ปล่อยอนุภำคออกมำในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ เช่น แสงสว่ำง ควำมร้อน คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ รังสีอัลตรำไวโอเลต รังสีเอกซ์ เป็นต้น กำรแบ่งประเภทของรังสีอำจแบ่งได้ตำมลักษณะ เช่น รังสีที่ เป็นอนุภำค เช่น รังสีแอลฟำ รังสีบีต้ำ รังสีนิวตรอน รังสีคอสมิก หรือรังสีท่ีเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ เช่น คล่ืนวิทยุ แสงสว่ำง รังสีควำมร้อน รังสีเอกซ์ รังสีแกมมำ ตัวอย่ำงกำรใช้ประโยชน์ของพลังงำน จำกรังสี ได้แก่ ส่ิงมีชีวิตอำศัยพลังงำนน้ีในกระบวนกำรที่สำคัญคือ กำรสังเครำะห์ด้วยแสง กำร มองเห็นภำพ นอกจำกนี้รังสียังถูกแบ่งโดยปฏกิ ิริยำท่ีรังสีมีต่ออะตอมของตัวกลำงที่ว่ิงผ่ำนซ่ึงจะแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ (1) รังสีท่ไี ม่กอ่ ประจุหรอื รังสที ่ีไมม่ ีกำรแตกตัว (Non - ionizing radiation) หมำยถึง รังสีท่ีมีพลังงำนเพียงพอที่จะกระตุ้นอะตอมหรืออิเล็กตรอนแต่ไม่เพียงพอในกำรนำ อิเล็กตรอนออกมำจำกออร์บิทัลของอะตอม หรือรังสีที่ไม่สำมำรถก่อให้เกิดกำรแตกตัวเป็นไอออนใน อะตอมของตัวกลำงท่รี งั สนี ั้นผ่ำนเพียงแต่ทำให้อิเล็กตรอนเลื่อนตวั สงู ขน้ึ จำกวงโคจรนั้นแล้วตกลงมำสู่ วงโคจรเดิมเรียกปรำกฏกำรณ์น้ีว่ำอะตอมอยู่ในสถำนะถูกกระตุ้น รังสีประเภทนี้มีพลังงำนไม่สูงมำก นัก ตัวอย่ำงของรังสีที่ไม่แตกตัวได้แก่ อินฟรำเรด คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ แสงอำทิตย์ รังสีชนิดนี้ไม่ ก่อให้เกิดอันตรำยแก่เซลล์ของส่ิงมีชีวิตมำกนัก แต่ถ้ำได้รับในปริมำณมำกอำจทำให้ปรำกฏอำกำร อย่ำงเหน็ ได้ชดั เช่น รงั สอี ัลตรำไวโอเลตอำจทำให้เปน็ ผื่นแดงทีผ่ ิวหนงั กระจกตำและเยอ่ื บตุ ำอกั เสบ (2) รังสีก่อประจุหรือรังแตกตัวได้ (Ionizing radiation) เกิดจำกอะตอมหรือ ธำตุที่ไม่เสถียรโดยรังสีที่มีพลังงำนสูงสำมำรถทำให้อะตอมของตัวกลำงที่รังสีว่ิงผ่ำนเกิดกำรแตกตัว เปน็ ไอออน เชน่ รังสแี อลฟำ รังสีบีต้ำ รงั สีเอกซ์ รังสีแกมมำ (2.1) รงั สีแอลฟำ (Alpha radiation) ประกอบดว้ ยอนุภำคมีประจุ และมีมวลมำก ปลดปล่อยออกมำจำกอะตอมของธำตุหนัก เช่น ยูเรเนียม เรเดียม เรดอน ยูเรเนียม รังสีแอลฟำไม่สำมำรถทะลุผิวหนังหรือเส้ือผ้ำ สำมำรถเข้ำสู่ร่ำงกำยโดยกำรกินหรือกำรดื่ม สำมำรถ เกดิ ปฏิกิริยำโดยตรงกับเน้อื เยือ่ ภำยในและทำใหเ้ กิดควำมเสียหำยกบั เซลลไ์ ด้
72 (2.2) รังสีบีต้ำ (Beta radiation) อนุภำคมวลเบำสำมำรถผ่ำนเข้ำ ไปในวัตถุไดม้ ำกกว่ำอนภุ ำคแอลฟำ มคี วำมสำมำรถทะลุทะลวงปำนกลำง สำมำรถทะลุผ่ำนผวิ หนังได้ ถึงช้ันท่ผี ลิตเซลล์ใหม่ สำมำรถผ่ำนตวั กลำงที่เป็นน้ำได้ประมำณ 1-2 เซนติเมตร แต่แผน่ อลูมิเนียมที่ มคี วำมหนำไมก่ ี่มิลลเิ มตรสำมำรถก้ันรังสบี ตี ำ้ ได้ (2.3) รังสีแกมมำ (Gamma rays) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่มี อำนำจทะลุทะลวงสูงแผ่กระจำยทำงอำกำศได้หลำยเมตร สำมำรถเคลื่อนท่ีผ่ำนร่ำงกำยมนุษย์ได้ ผ่ำนผิวหนังได้หลำยน้ิว สำมำรถทะลุทะลวงวัตถุส่วนใหญ่ได้แต่ไม่สำมำรถผ่ำนผนังคอนกรีตหรือ ตะกว่ั หนำ ๆ (2.4) รังสีเอกซ์ (x- rays) เป็นรังสีในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ มี อำนำจทะลุทะลวงสูงเป็นรังสีแบบเดียวกับรังสีแกมมำแต่จะมีพลังงำนต่ำกว่ำรังสีแกมมำ รังสีเอกซ์ เกิดข้ึนจำกกำรท่ีอะตอมถูกกระตุ้นทำให้อิเล็กตรอนวงในหลุดออกไปและอิเล็กตรอนวงถัดไปเข้ำมำ แทนที่แล้วให้พลังงำนส่วนเกินออกมำเป็นรังสีเอกซ์หรือเกิดจำกกำรยิงโลหะบำงชนิดด้วยอิเล็กตรอน ควำมเร็วสงู เช่น ทงั สเตน ทำใหอ้ ิเล็กตรอนถูกหนว่ งให้ช้ำลงและปล่อยรังสีเอกซ์ออกมำ (2.5) รังสีนิวตรอน เป็นอนุภำคไม่มีประจุและไม่ทำให้เกิดกำรไอ ออไนซ์โดยตรง แต่ทำปฏิกิริยำกับอะตอมของวัตถุอ่ืนและทำให้เกิดรังสีแอลฟำ รังสีบีต้ำ รังสีแกมมำ หรือรังสีเอกซ์ซึ่งทำให้เกิดกำรไอออไนซ์ได้ รังสีนิวตรอนเกิดข้ึนในเคร่ืองเร่งอนุภำคนิวตรอนหรือใน เครื่องปฏิกรณ์ปรมำณูโดยในเคร่ืองปฏกิ รณ์จะผลิตอนุภำคนิวตรอนได้มำกมำยและนิวตรอนท่ีเกิดขนึ้ จำนวนมำกน้ันเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วสูง รังสีนิวตรอนมีอำนำจทะลุทะลวงสูงสำมำรถผ่ำนวัตถุได้ดี แต่สำมำรถหยดุ รังสีนวิ ตรอนได้ดว้ ยคอนกรีตชนดิ หนำ นำ้ หรอื พำรำฟนิ รูปที่ 3.1 Penetration abilities of different types of ionizing radiation ทม่ี ำ : (Canada’s Nuclear Regulator, 2012) (2.6) รงั สแี ตกตัวท่มี ำจำกธรรมชำติ (Natural ionizing radiation) เป็นรังสีที่พบตำมธรรมชำติได้หลำกหลำยรูปแบบ ส่ิงมีชีวิตจะเก่ียวข้องกับรังสีน้ีในระดับท่ีแตกต่ำง กันและรำ่ งกำยจะรับรงั สีชนดิ น้ไี ว้ เชน่ รังสีคอสมิก
73 คณะกรรมกำรวิทยำศำสตร์แห่งสหประชำชำติว่ำด้วยผลกระทบ จำกรังสี (The United Nations Scientific Committee on the Effects of Atomic Radiation; UNSCEAR) จำแนกกำรไดร้ ับรังสีจำกธรรมชำตเิ ปน็ 4 แหลง่ ได้แก่ รังสีคอสมิก (Cosmic radiation) โดยปกติชนั้ นอกของบรรยำกำศ โลกจะมีรังสีคอสมิกท่ีเข้ำมำอย่ำงต่อเน่ือง รังสีคอสมิกประกอบด้วยอนุภำคที่เคลื่อนท่ีอย่ำงรวดเร็วที่ อยู่ในอวกำศและมีต้นกำเนิดจำกหลำยแหล่งรวมทั้งดวงอำทิตย์และปรำกฎกำรณ์อื่นบนท้องฟ้ำ รังสี คอสมิกส่วนใหญ่เป็นโปรตอนแต่เป็นอนุภำคหรือพลังงำนคล่ืน กำรแตกตัวของรังสีคอสมิกสำมำรถ ทะลุทะลวงผ่ำนช้ันบรรยำกำศของโลกและถูกดูดซับไว้โดยมนุษย์ซึ่งเป็นผลจำกกำรสัมผัสรังสีตำม ธรรมชำติ รูปที่ 3.2 Sources of natural radiation ทีม่ ำ : (Canada’s Nuclear Regulator, 2012) รังสีจำกพื้นดิน (Terrestrial radiation) ส่วนประกอบของชั้นเปลือกโลก ส่วนใหญ่เป็นแหล่งของรังสธี รรมชำติ กำรแพร่กระจำยมำจำกกำรตกสะสมของยเู รเนียม โพแทสเซียม และธอเรียมซึ่งมำจำกกระบวนกำรย่อยสลำยผุพังซ่ึงจะปลดปล่อยรังสีออกมำ ยูเรเนียมและธอเรียม พบได้ทกุ ที่ แร่ธำตุปรมิ ำณน้อยยงั พบวำ่ มำจำกวัสดทุ ่ีก่อสร้ำงอำคำรซ่งึ ฟุ้งกระจำยออกมำได้พอๆ กบั อำกำศภำยนอก นอกจำกน้ียังตรวจพบในดินซึ่งขึ้นอยู่กับชนดิ ของดินและในน้ำรวมทั้งน้ำทะเลก็ยังมี รังสีปะปน
74 กำรไดร้ ับรังสีจำกธรรมชำตเิ กิดจำกกำรหำยใจและกำรกนิ กำรหำยใจ (Inhalation) กำรได้รับรังสีตำมธรรมชำติเกิดจำกกำรหำยใจ เอำก๊ำซกัมมันตรังสีท่ีพบอยู่ตำมดินและช้ันหิน เรดอนเป็นก๊ำซกัมมันตรังสีท่ีไม่มีสีและกลิ่นท่ีมำจำก กำรสลำยตัวของยูเรเนียม ทอรอนมำจำกกำรสลำยตัวของทอเรียม ระดับของเรดอนและทอรอนจะ แปรผันไปตำมแตล่ ะทที่ ข่ี น้ึ อยู่กบั องค์ประกอบของดินและช้ันหนิ ต้นกำเนดิ กำรกิน (Ingestion) แร่ธำตุกัมมันตรังสีปริมำณน้อยตำมธรรมชำติจะพบ ในอำหำรและน้ำดื่ม เชน่ ผกั ทีป่ ลูกในดินและน้ำใตด้ ินทีป่ ระกอบดว้ ยธำตุกัมมนั ตรงั สีซงึ่ จะถูกย่อยและ ร่ำงกำยของมนษุ ย์จะมรี ังสีทีแ่ ตกตัวจำกธรรมชำตอิ ยู่ภำยในดว้ ย กำรได้รับรังสีแม้จะมีควำมเป็นไปได้ว่ำจะมีผลต่อสุขภำพแต่ยังไม่สำมำรถ บอกว่ำจะมีอำกำรอย่ำงไรแต่ยอมรับกันว่ำมะเร็งเป็นผลจำกกำรได้รับรังสีในระยะยำวถึงแม้จะได้รับ ปริมำณน้อยและสำมำรถก่อให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงทำงพันธุกรรม ส่วนผลในระยะส้ันหำกได้รับใน ปริมำณมำกจะแสดงอำกำรอย่ำงเฉียบพลันซึ่งนักวิทยำศำสตร์กล่ำวว่ำ แต่ละคนจะได้รับรังสีจำก ธรรมชำติเป็นปกติประมำณ 2.23 มิลลิซีเวิร์ต (mSv) ต่อปี ทั้งนี้องค์กำรสำกลในกำรป้องกันอันตรำย จำกรังสี (International Commission on Radiological Protection ; ICRP) แนะนำว่ำคนทั่วไป ไม่ควรได้รับรังสีเกินกว่ำ 5 mSv ต่อปี และสำหรับผู้ปฏิบัติงำนเก่ียวกับรังสีไม่ควรได้รับเกินกว่ำ 50 mSv ตอ่ ปี 3.2.1.5 พลังงำนไฟฟ้ำ ไฟฟ้ำเกิดจำกกำรเคลื่อนท่ีของอิเล็กตรอน เป็นพลังงำน รูปแบบหนึ่งที่สำมำรถเปลี่ยนไปเป็นพลังงำนรูปอ่ืนได้ ไฟฟ้ำเป็นปรำกฎกำรณ์ทำงฟิสิกส์เนื่องกำร ปรำกฏตวั และกำรไหลของประจุไฟฟำ้ พลงั งำนจำกปฏิกริ ยิ ำเคมีแบบหนึ่งอำจทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้ำ ขึ้นได้และกระแสไฟฟ้ำที่เกิดข้ึนไหลผ่ำนควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำได้ถ้ำต่อเป็นวงจรจะทำให้เกิดควำมรอ้ น หรอื แสงสว่ำง 3.2.1.6 พลังงำนนิวเคลียร์ คือพลังงำนที่เกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงภำยในแกนกลำง ของอะตอมที่มีพลังงำนสูงที่เรียกว่ำนิวเคลียสโดยกำรเปล่ียนแปลงน้ีมำจำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ซ่ึง ปฏิกริ ยิ ำนวิ เคลียร์มี 2 แบบคือ ปฏิกิรยิ ำนิวเคลยี ร์ฟิวชัน เป็นปฏกิ ริ ยิ ำระหว่ำงนิวเคลยี สของธำตุเบำ สองนิวเคลยี สมำรวมกนั จะได้นวิ เคลียสใหม่ที่ไมเ่ สถยี รและนิวเคลียสนจี้ ะสลำยตัวอย่ำงรวดเรว็ และให้ พลังงำนสูง เช่น กระบวนกำรที่ทำให้เกิดพลังงำนของดวงอำทิตย์และดำวฤกษ์ ที่แกนกลำงของดวง อำทิตย์มอี ณุ หภมู ิ 10-15 ล้ำนเคลวนิ ทำให้โฮโดรเจนกลำยเป็นฮีเลียมและทำให้ดวงอำทิตย์มีพลังงำน สูงท่ีจะเกิดกำรเผำไหม้อย่ำงต่อเน่ือง ส่วนปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิชช่ัน เป็นปฏิกิริยำท่ีนิวเคลียสของ อะตอมเกิดกำรแตกตัวออกเป็นส่วนเล็ก ๆ สองส่วน ในปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิชชันเมื่อนิวตรอนชนเข้ำ กับนิวเคลียสของธำตุที่สำมำรถแตกตัวได้ เช่น ยูเรเนียม หรือพลูโตเนียมจะเกิดกำรแตกตัวเป็นสอง ส่วนกลำยเป็นธำตุใหม่พร้อมกับปล่อยอนุภำคนิวตรอนและพลังงำนจำนวนมำกออกมำ อนุภำค นิวตรอนท่ีปล่อยออกมำจะวิ่งชนกับอะตอมข้ำงเคียงเพ่ือให้เกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิชชัน และปล่อย พลังงำนและอนุภำคนิวตรอนออกมำอย่ำงต่อเน่ืองเรียกว่ำปฏิกิริยำลูกโซ่ (Chain reaction) แม้ว่ำใน ปัจจุบันพลังงำนนิวเคลียร์ที่มีกำรนำมำใช้จะได้มำโดยอำศัยปฏิกิริยำนิวเคลียร์แบบแตกตัวเพียงอย่ำง เดียวแต่อนำคตอำจจะนำประโยชน์จำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์แบบอ่ืนมำใช้ได้ เช่น ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ แบบรวมตัว พลังงำนท่ีปล่อยออกมำจำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ในเตำปฏิกรณ์ปรมำณูอยู่ในรูปพลังงำน
75 ควำมร้อนและรังสี ควำมร้อนใช้ในกำรต้มน้ำเพื่อผลิตไอน้ำที่จะนำไปใช้เปลี่ยนไปเป็นพลังงำนกล สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้ำหรือจุดประสงค์อ่ืน ส่วนรังสีนำไปใช้ประโยชน์ในภำคอุตสำหกรรม กำรเกษตรและกำรแพทย์ 3.2.2 จาแนกพลงั งานตามแหล่งท่ีไดม้ า 3.2.2.1 พลังงำนต้นกำเนิด (Primary energy) คือแหล่งพลังงำนที่เกิดข้ึนอยู่แล้วตำม ธรรมชำติสำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ น้ำ ลม แสงอำทิตย์ น้ำมันดิบ ถ่ำนหิน ก๊ำซธรรมชำติ พลงั งำนควำมรอ้ นใต้พิภพ แรน่ วิ เคลยี ร์ ไม้ แกลบ ชำนอ้อย เปน็ ตน้ 3.2.2.2 พลังงำนแปรรูป (Secondary energy) คือพลังำนท่ีเกิดจำกกำรนำพลังงำน ต้นกำเนิดมำแปรรูป ปรับปรุงให้อยู่ในรูปแบบท่ีสำมำรถใช้ประโยชน์ในลักษณะต่ำง ๆ ตำมควำม ต้องกำร เชน่ พลงั งำนไฟฟำ้ ผลิตภัณฑป์ ิโตรเลียม ถ่ำนไม้ เปน็ ตน้ 3.2.3 จาแนกตามการนามาใช้ประโยชน์ 3.2.3.1 พลังงำนท่ีใช้แลว้ หมด (Non-renewable energy resources) เป็นพลังงำน ท่ีใช้แล้วไม่สำมำรถหำมำทดแทนได้ทัน ได้แก่ น้ำมัน ทรำยน้ำมัน ถ่ำนหิน ก๊ำซธรรมชำติ พลังงำน เหล่ำน้ีเป็นฟอสซิลท่ีอยู่ใต้ดินถ้ำไม่นำข้ึนมำใช้สำมำรถเก็บไว้ใช้ในอนำคตได้ บำงคร้ังเรียกว่ำเป็น พลังงำนสำรอง 3.2.3.2 พลังงำนหมุนเวียน (Renewable energy resources) พลังงำนนี้สำมำรถหำ มำทดแทนใชใ้ หมไ่ ด้ ได้แก่ ไม้ แกลบ ผืน อ้อย มูลสัตว์ แสงอำทติ ย์ ลม นำ้ เป็นตน้ 3.2.4 จาแนกตามลักษณะการค้า 3.2.4.1 พลังงำนเชงิ พำณชิ ย์ (Commercial energy) เปน็ พลังงำนทมี่ ีกำรซื้อขำยผ่ำน กลไกของตลำดในกำรกระจำยไปสู่ผู้ใช้และดำเนินกำรผลิตในลักษณะอุตสำหกรรม เช่น น้ำมัน ปโิ ตรเลยี ม กำ๊ ซธรรมชำติ ถำ่ นหนิ แรน่ ิวเคลียร์ ไฟฟ้ำ และเป็นพลงั งำนท่มี กี ำรใช้มำกที่สุดในโลก 3.2.4.2 พลังงำนนอกพำณิชย์ (Non-commercial energy) เป็นพลังงำนท่ีมีกำรซ้ือ ขำยในวงแคบใช้กันในครัวเรอื นเปน็ ส่วนใหญ่ เช่น ฟืน ถ่ำน มูลสัตว์ แกลบ ชำนออ้ ย 3.3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับพลังงาน พลังงำนมีบทบำทสำคัญต่อกำรพัฒนำประเทศไทย โดยเฉพำะพลังงำนเชิงพำณิชย์ท่ีใช้ใน ปริมำณมำกท่ีสุดในปัจจุบัน กำรนำพลังงำนเหลำ่ นี้มำใชจ้ ำเปน็ ต้องพ่ึงพำควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และ เทคโนโลยีในด้ำนกำรสำรวจ ขุดเจำะ และกำรนำมำใช้ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีของพลังงำนใน แต่ละแบบมดี งั น้ี 3.3.1 ปิโตรเลียม ปิโตรเลียมเป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนที่เกิดขึ้นตำมธรรมชำติ มีธำตุท่ีเป็น องค์ประกอบหลักคือ คำร์บอนและไฮโดรเจน และอำจมีธำตุอโลหะอ่ืนปะปนมำด้วย เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ปิโตรเลียมอยู่ในสถำนะของแข็ง ของเหลวและก๊ำซ หรืออำจอยู่ปะปนกันท้ัง สำมสถำนะ แยกเปน็ ปิโตรเลยี มประเภทตำ่ ง ๆ ไดแ้ ก่ น้ำมันดบิ (Crude oil) ก๊ำซธรรมชำติ (Natural gas) และก๊ำซธรรมชำติเหลว (Liquefied Natural Gas ; LNG) โดยน้ำมันดิบและก๊ำซธรรมชำติจะ พบร่วมกันในแหล่งที่สำรวจพบ แต่บำงแหล่งอำจพบเพียงน้ำมันดิบหรือก๊ำซธรรมชำติเพียงอย่ำงใด
76 อย่ำงหนึง่ ส่วนกำ๊ ซธรรมชำตเิ หลวจะอยู่ในแหล่งทลี่ ึกลงไปใต้ดินภำยใต้อุณหภูมิและควำมดันท่ีสูง แต่ เมอ่ื นำข้ึนมำถึงระดับผิวดินจะทำให้อุณหภูมแิ ละควำมดนั ลดลงทำให้ก๊ำซกลำยสภำพเป็นของเหลวจึง เรยี กว่ำเปน็ ก๊ำซธรรมชำตเิ หลว 3.3.1.1 ประเภทของปิโตรเลยี ม (1) น้ำมันดิบ (Crude oil) น้ำมันดิบมีคุณสมบัติทำงฟิสิกส์และเคมีแตกต่ำง กัน บำงชนิดมีไขมำก บำงชนิดมียำงมะตอยมำก มีกล่ินคล้ำยน้ำมันสำเร็จรูปหรือฉุนกว่ำ ควำมหนืด ของน้ำมันดิบแตกต่ำงกันไปตั้งแต่เป็นของเหลวใสจนถึงข้นหนืดคล้ำยยำงมะตอย มีควำมถ่วงจำเพำะ ประมำณ 0.80-0.97 ท่อี ุณหภูมิ 15.6 องศำเซลเซียส น้ำมนั ดิบมีสถำนะเป็นของเหลวสว่ นมำกมีสีดำ หรอื นำ้ ตำล ประกอบด้วยสำรประกอบไฮโดรคำรบ์ อนชนิดตำ่ ง ๆ และอำจมีสำรอื่น ๆ เชน่ กำมะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนปะปนอยู่ด้วย จึงทำให้ไม่สำมำรถนำน้ำมันดิบมำใช้ได้ทันทีจำเป็นต้องผ่ำน กระบวนกำรแยกด้วยวิธีกำรที่เรียกว่ำกำรกล่ันน้ำมันดิบก่อนและจะได้สำรประกอบไฮโดรคำร์บอน ออกเปน็ กลมุ่ ๆ ซ่งึ แบ่งออกได้เปน็ 5 กล่มุ ดังน้ี (1.1) Paraffins เป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนท่ีมีโครงสร้ำง อะตอมของคำร์บอนเรียงต่อกันเป็นเส้นยำว แต่ละตัวของคำร์บอนจะมีอะตอมของไฮโดรเจนจับอยู่ พำรำฟินเป็นภำษำละติน แปลว่ำไม่ค่อยชอบรวมตัว ดังนั้นในสำรประกอบคำร์บอนชนิดน้ีจะไม่ค่อย ทำปฏิกิรยิ ำ ถกู รบกวนด้วยสำรอื่นนอ้ ยและตวั มันเองก็รบกวนสำรอืน่ น้อยเช่นกนั (1.2) Naphthenes เป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนประเภท อิ่มตัว กำรจบั ตวั เป็นแบบพนั ธะเดยี่ ว มลี กั ษณะโครงสรำ้ งเปน็ แบบครบวง (1.3) Aromatics สำรประกอบกลุ่มน้ีเป็นกลุ่มย่อยของสำรใน กลมุ่ แนฟทนี เปน็ สำรประกอบไมอ่ ิ่มตัว (1.4) Olefins เป็นสำรท่ีไม่มีอยู่ในน้ำมันดิบตำมธรรมชำติ แต่จะ ได้จำกกระบวนกำรกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสำรประกอบไม่อิ่มตัว กำรจับเกำะเป็นพันธะคู่อยู่ระหว่ำง คำรบ์ อน 2 ตัวของหว่ งโซ่ตรง ไฮโดรคำร์บอนในน้ำมันดิบมีตั้งแต่ขนำดเล็กมำกมีจุดเดือดต่ำ สำมำรถ ระเหยได้ง่ำยไปจนถึงขนำดใหญ่สุดมีจุดเดือดสูงต้องให้ควำมร้อนสูงมำกจึงจะระเหยได้ โดยอำศัย ควำมแตกต่ำงระหว่ำงจุดเดือดนี้จึงสำมำรถแยกน้ำมันดิบออกมำเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีประโยชน์ประเภท ต่ำง ๆ ส่วนสำรอ่ืน ๆ ท่ีมีปะปนอยู่ในน้ำมันดิบที่ไม่ใช่ไฮโดรคำร์บอนถึงแม้จะมีปริมำณน้อยแต่สำร เหล่ำนี้จะถูกกำจัดออกไปหรือแปรสภำพให้เป็นรูปสำรประกอบที่เป็นอันตรำยน้อยลงซ่ึงปริมำณ กำมะถันที่ปะปนอยู่ในน้ำมันดิบอำจจะมีไม่เท่ำกันอำจมีต้ังแต่ร้อยละ 0.04-5 โดยน้ำหนัก ส่วน ไนโตรเจน มีน้อยกว่ำรอ้ ยละ 0.1 โดยนำ้ หนกั และออกซิเจนมีประมำณร้อยละ 0.5 โดยนำ้ หนัก (2) ก๊ำซธรรมชำติ (Natural gas) ก๊ำซธรรมชำติมีก๊ำซหลำยอย่ำงประกอบ เข้ำด้วยกัน เช่น มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน ซึ่งเป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนท้ังหมด โดยมีก๊ำซ มเี ทนเป็นสว่ นประกอบหลักคือร้อยละ 70 ขน้ึ ไป เมือ่ จะนำมำใช้จะต้องแยกก๊ำซออกจำกกันและอำจ ต้องกำจดั กำ๊ ซอืน่ ๆ เช่น คำร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ ไนโตรเจน และน้ำ ออกก่อนนำไปใช้ ประโยชน์โดยผ่ำนกระบวนกำรแยกท่ีโรงแยกก๊ำซธรรมชำติ ก๊ำซธรรมชำติมีคุณสมบัติทำงกำยภำพ คือ เปน็ สำรประกอบทีไ่ ม่มสี ีและไม่มีกลนิ่ จึงตอ้ งมีกำรเตมิ สำรท่ีมกี ล่ินลงไปเพ่ือควำมปลอดภยั ในกำร
77 ขนส่ง เป็นสำรประกอบที่เบำกว่ำอำกำศ มีค่ำควำมถ่วงจำเพำะ ประมำณ 0.6-0.8 จึงช่วยทำให้เกิด ควำมปลอดภัยเพรำะเม่ือเกิดกำรรั่วไหลจะลอยข้ึนท่ีสูง ติดไฟได้โดยมีช่วงกำรติดไฟที่ 5-15% ของ ปริมำตรในอำกำศ อุณหภูมิที่ติดไฟได้เอง คือ 537-540 องศำเซลเซียส และมีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยกว่ำเช้ือเพลิงปิโตรเลียมชนิดอ่ืน กำรใช้ประโยชน์ก๊ำซธรรมชำติมี 2 ลักษณะคือ 1) ใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยเป็นเช้ือเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้ำหรือเชื้อเพลิงในโรงงำนอุตสำหกรรม เช่น อุตสำหกรรมเซรำมิก หรอื นำมำใชใ้ นระบบโคเจเนอเรชัน2 (Co-generation) ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับ ยำนพำหนะ และ 2) ผลิตภัณฑ์ต่ำง ๆ หลังจำกที่ได้ผ่ำนกระบวนกำรแยกในโรงแยกก๊ำซธรรมชำติ เชน่ ก๊ำซมีเทน ใช้เปน็ เช้ือเพลิงสำหรบั ผลิตกระแสไฟฟ้ำในโรงงำนอุตสำหกรรมและนำไปอัดท่ีควำม ดันสูงได้ก๊ำซธรรมชำติอัดหรือก๊ำซธรรมชำติสำหรับยำนยนต์ (NGV) ก๊ำซอีเทน ใช้เป็นวัตถุดิบใน อุตสำหกรรมปิโตรเคมขี ้นั ตน้ นำไปผลิตเมด็ พลำสติก เสน้ ใยพลำสติก กำ๊ ซโพรเพนและกำ๊ ซบวิ เทน ใช้ เป็นวตั ถดุ ิบในอตุ สำหกรรมปโิ ตรเคมีข้ันตน้ เช่นเดยี วกันและหำกนำมำผสมกนั ตำมอัตรำสว่ นและอัดใส่ ถังเป็นก๊ำซปโิ ตรเลยี มเหลว (Liquefied Petroleum Gas ; LPG) หรือเรียกว่ำก๊ำซหงุ ต้มในครวั เรือน ไฮโดรคำร์บอนเหลว (Heavier Hydrocarbon) ที่อยู่ในสถำนะของเหลวที่อุณหภูมิและควำมดัน บรรยำกำศ สำมำรถแยกจำกไฮโดรคำร์บอนที่มีสถำนะก๊ำซบนแท่นผลิตท่ีเรียกว่ำ คอนเดนเสท (Condensate) ท่ีสำมำรถนำไปกล่ันเป็นน้ำมันสำเรจ็ รปู กำ๊ ซโซลีนธรรมชำติ อยู่ในสถำนะของเหลว คือ ไฮโดรคำร์บอนเหลวบำงส่วนท่ีหลุดไปกับไฮโดรคำร์บอนสถำนะก๊ำซในกระบวนกำรแยกคอนเดน เสท และเม่ือผ่ำนกระบวนกำรแยกจำกโรงแยกก๊ำซแล้วไฮโดรคำร์บอนเหลวที่ถูกแยกออกมำเรียกว่ำ กำ๊ ซโซลนี ธรรมชำติ (Natural Gasoline ; NGL) และจะถูกสง่ ไปยงั โรงกลน่ั น้ำมนั เพือ่ ใชเ้ ป็นสว่ นผสม ของผลิตภัณฑน์ ำ้ มนั สำเรจ็ รปู และตัวทำละลำยทใี่ ชใ้ นอุตสำหกรรมบำงประเภท (3) ก๊ำซธรรมชำติเหลว (Liquefied Natural Gas ; LNG) คือก๊ำซที่ถูกแปร สภำพจำกสถำนะก๊ำซให้เปน็ ของเหลวเพ่ือให้ปริมำตรลดลงประมำณ 600 เท่ำ โดยกำรลดอณุ หภูมิให้ อยู่ที่ -160 องศำเซลเซียส เพ่ือควำมสะดวกในกำรขนส่งไปยังท่ีไกล ๆ ท่ีไม่สำมำรถวำงระบบท่อส่ง กำ๊ ซได้ โดยทัว่ ไปจะใช้วธิ ีกำรขนส่งทำงเรอื LNG เปน็ เช้ือเพลงิ สะอำด ไมม่ สี ี ไม่มกี ลิน่ ไม่มีพิษและไม่ มีฤทธ์ิกัดกร่อน เม่ือเกิดกำรรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อจะระเหยกลำยเป็นไอแพร่กระจำยในอำกำศได้อย่ำง รวดเร็วจึงไม่ตกค้ำงในดินหรือน้ำ กำรเกิดกำรลุกไหม้ได้ต้องมีควำมเข้มข้นของกำรระเหยของ LNG ในบรรยำกำศ 5%-15% และต้องมีแหล่งกำเนิดไฟในบริเวณน้ันด้วย เม่ือจะนำไปใช้งำนจะต้องผ่ำน กระบวนกำรทำใหก้ ลบั ไปสสู่ ถำนะกำ๊ ซอีกครั้งก่อน (LNG Regasification Terminal) (4) ก๊ำซธรรมชำติสำหรับยำนยนต์ (Natural Gas for Vehicles ; NGV) หรือก๊ำซธรรมชำติอัดควำมดัน (Compressed Natural Gas ; CNG) คือรูปแบบของกำรใช้ก๊ำซ ธรรมชำติเปน็ เชื้อเพลิงสำหรับยำนยนต์ ส่วนใหญเ่ ป็นกำ๊ ซมีเทนเมื่อขนส่งทำงท่อเขำ้ สู่สถำนีบริกำรจะ ถูกอัดเพิ่มควำมดันประมำณ 3,000-3,600 ปอนด์ต่อตำรำงน้ิวแล้วจึงเก็บไว้ในถังเก็บก๊ำซของรถยนต์ ต่อไป NGV ท่ัวไปมีสภำพเป็นก๊ำซท่ีอุณหภูมิและควำมดันบรรยำกำศปกติ มีค่ำควำมถ่วงจำเพำะต่ำ กว่ำอำกำศ จึงทำใหล้ อยตัวและกระจำยไปในอำกำศได้อย่ำงรวดเรว็ 3.3.1.2 แหลง่ ปโิ ตรเลียม 2 ระบบโคเจเนอเรชัน (Co-generation) หมำยถึง กำรผลิตพลังงำนไฟฟ้ำ (หรือพลังงำนกล) ร่วมกับพลังงำนควำมร้อน (ก๊ำซร้อน ของเหลวร้อน หรือไอน้ำ) หรอื เรยี กอกี ชอื่ วำ่ Combined Heat and Power (CHP)
78 ปิโตรเลียมกำเนิดจำกส่ิงมีชีวิตท่ีทับถมผุพังและย่อยสลำยสะสมอยู่กับ ตะกอนดินในสภำพแวดลอ้ มที่เหมำะสมและเกิดกำรเปลี่ยนแปลงของชนั้ ดินตะกอนทีจ่ มตัวลงเร่ือย ๆ พรอ้ มกบั มกี ำรเปลยี่ นแปลงทำงด้ำนเคมคี ือกำรเปล่ียนแปลงสำรอินทรีย์หรือคโี รเจนไปเปน็ ปโิ ตรเลียม หินที่มีคีโรเจนสะสมในปริมำณมำกจะให้กำเนิดปิโตรเลียมหรือเรียกว่ำหินต้นกำเนิด (Source rock) ซ่ึงหินนี้เมื่อได้รับพลังงำนควำมร้อนและควำมกดดันภำยใต้ช้ันหินที่จมตัวลงเร่ือย ๆ คีโรเจนจะ แปรเปลีย่ นสภำพเปน็ นำ้ มนั ดิบและเมอื่ ไดร้ ับควำมรอ้ นและควำมกดดันต่อเนื่องจะทำให้น้ำมันดิบแตก ตัวเป็นก๊ำซธรรมชำติ ปิโตรเลยี มจะไหลออกจำกช้ันหินให้กำเนิดไปตำมรอยแตก รอยแยกและรูพรนุ ของหิน แรงเหน่ียวนำจำกควำมแตกต่ำงของควำมกดดันจะทำให้ปิโตรเลียมไปตกสะสมในช้ันหรือ โครงสรำ้ งท่ีถกู ปิดกันท่เี รยี กวำ่ ชน้ั หนิ กกั เก็บ (Reservoir) แหล่งปิโตรเลียมที่พบแล้วในปัจจุบันมีประมำณ 30,000 แหล่งกระจำยอยู่ ทั่วโลกทั้งบนพ้ืนดินและในทะเล มีขนำดควำมหนำของชั้นปิโตรเลียมประมำณ 6 เมตร ครอบคลุม พื้นท่ีประมำณ 2 ตำรำงกิโลเมตร และมีแหล่งใหญ่เพียง 2-3 แหล่งที่มีขนำดควำมหนำของช้ัน ปิโตรเลียม 100 เมตรขึ้นไป และครอบคลุมพ้ืนท่ีมำกกว่ำ 15 ตำรำงกิโลเมตร ใน 30,000 แหล่ง มี เพยี ง 300 แหล่งทส่ี ำมำรถผลิตนำ้ มนั ดิบและกำ๊ ซธรรมชำติได้มำกกว่ำร้อยละ 75 ของกำรผลติ ท้งั หมด แหล่งปิโตรเลียมสำคัญของโลกส่วนมำกอยู่ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลำงและเป็นสมำชิกผู้ สง่ ออกนำ้ มันโลก ไดแ้ ก่ ซำอุดอิ ำระเบยี อหิ ร่ำน อิรกั คูเวต กำร์ตำร์ สหพันธรฐั อำหรบั เอมิเรตส์ กลุ่ม ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน ได้แก่ เวเนซูเอลลำ โคลัมเบีย เม็กซิโก ตรินิแดด เอกวำดอร์ใน อเมริกำใต้ แหล่งปิโตรเลยี มขนำดใหญ่และสำคัญ ได้แก่ แหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือในทวีปยโุ รป และแหลง่ ปิโตรเลียมในประเทศออสเตรเลีย อินโดนเี ซยี และมำเลเซยี ประเทศไทยมีแหล่งปิโตรเลียมท่ีสำมำรถผลิตก๊ำซธรรมชำติและน้ำมันได้เอง แต่มีปริมำณผลผลิตไม่เพียงพอกับควำมต้องกำรใช้ในแต่ละวันทำให้ต้องมีกำรนำเข้ำจำกต่ำงประเทศ เพื่อควำมมั่นคงด้ำนพลังงำน ก๊ำซธรรมชำติที่นำเข้ำในรูปก๊ำซนั้นมำจำกประเทศเมียนมำรผ์ ่ำนท่อส่ง ก๊ำซไทย-เมียนมำร์ ทำงฝั่งตะวันตกของประเทศ ส่วนก๊ำซธรรมชำติที่นำเข้ำจำกประเทศท่ีอยู่ไกล ออกไปจะนำเข้ำมำในรูปของก๊ำซธรรมชำติที่เปล่ียนสถำนะเป็นของเหลว ส่วนน้ำมันดิบส่วนใหญ่ นำเขำ้ จำกแหลง่ น้ำมนั ในตะวนั ออกกลำง 3.3.1.3 กำรเกดิ และสะสมปโิ ตรเลียม นำ้ มันดบิ และแก๊สธรรมชำติจะพบร่วมกบั หนิ ตะกอนท่เี กิดในทะเลเสมอโดยมี ต้นกำเนิดมำจำกอินทรียวัตถุที่เป็นพืชและสัตว์ กำรสะสมตัวของตะกอนต้องอำศัยสภำวะแวดลอ้ มท่ี เหมำะสมและจำเป็นต้องอำศัยแอ่งของกำรตกตะกอนและกำรหมุนเวียนของกระแสน้ำที่ไหลช้ำมำก เพ่ือให้ซำกอินทรีย์ได้สะสมตัว เม่ือซำกอินทรีย์เกิดกำรสะสมตัวแล้วจะถูกปิดทับโดยตะกอน จำก น้ำหนักตะกอนท่ีปิดทับทำให้อุณหภูมิและควำมดันเพ่ิมขึ้น ท่ีควำมลึกประมำณ 2.5 กิโลเมตรจะเกิด กำรเปลี่ยนแปลงของอินทรียวัตถุโดยโมเลกุลเดิมถูกทำลำยลงและเกิดโมเลกุลใหม่ซึ่งเป็น ไฮโดรคำร์บอนในรูปของเหลวและก๊ำซในช่องว่ำงของหินและสำมำรถเคลื่อนย้ำยไปตำมช่องว่ ำงและ รอยแตกของหินบริเวณข้ำงเคียง น้ำหนักของหินที่ปิดทับอยู่จะบีบอัดให้น้ำมันและก๊ำซเคลื่อนตัวไป ตำมช่องว่ำงและรอยแตกของหิน ช้ันหินดินดำนจะเป็นตัวช่วยปิดก้ันหรือกำหนดกำรเปล่ียนทิศ ทำงกำรเคล่ือนที่ของน้ำมันและก๊ำซได้ซ่ึงอำจจะปิดกั้นไฮโดรคำรบ์ อนในระหว่ำงที่เคลือ่ นสู่ผิวดินและ
79 เก็บกักไว้ใต้ดนิ ต่อไปซ่ึงเรยี กช้ันหนิ น้วี ำ่ ช้นั หินกักเก็บ เมือ่ มีกำรขุดเจำะเปิดช้ันหนิ จะทำให้น้ำมันและ ก๊ำซธรรมชำติเคลื่อนท่ีจำกช่องว่ำงของชั้นหินกักเก็บเข้ำไปยังหลุมขุดเจำะจึงสำมำรถนำน้ำมันและ ก๊ำซธรรมชำตขิ น้ึ มำใช้ได้ กำรเคลื่อนท่ีของแผ่นเปลือกโลกอำจทำให้แหล่งกักเก็บถูกเปดิ ออกและทำ ใหน้ ้ำมนั และกำ๊ ซธรรมชำตเิ กิดกำรเคลื่อนท่ีไปสแู่ หล่งใหมห่ รือขน้ึ มำสผู่ ิวดนิ กำรกัดเซำะท่เี กิดข้ึนบน เปลือกโลกอำจเปน็ สำเหตทุ ี่ทำให้แหลง่ กกั เก็บถูกทำลำยลงถำ้ หำกมีกำรกัดเซำะรนุ แรง 3.3.1.4 กำรสำรวจหำแหล่งปิโตรเลียม โดยท่วั ไปกำรสำรวจหำแหลง่ ปิโตรเลยี มจะมสี ง่ิ บ่งช้ีให้เห็นบนผวิ ดนิ วำ่ มนี ้ำมัน กักเก็บอยซู่ ่ึงได้พฒั นำนำขึ้นมำใช้หมดแลว้ จงึ ต้องหำกรรมวิธีกำรสำรวจหำแหลง่ ปโิ ตรเลียมอน่ื ๆ ใน บริเวณทน่ี อกเหนือไปจำกบรเิ วณขำ้ งต้นซึ่งอำจเปน็ แหล่งกักเก็บของปิโตรเลียมท่ีอยูล่ ึกลงไปในช้ันหิน นับเป็นหลำย ๆ กิโลเมตร นักธรณวี ิทยำจะใช้วิธกี ำรสำรวจเพ่อื หำแหล่งปิโตรเลยี มด้วยวธิ กี ำรดงั นี้ (1) กำรสำรวจทำงธรณีวิทยำ (Geological exploration) กำรทำแผนที่ของ พ้ืนที่สำรวจโดยกำรใช้กำรรับรู้ระยะไกล (Remote sensing) เช่น ภำพถ่ำยดำวเทียม ภำพถ่ำยทำง อำกำศเพ่ือประเมินเบ้ืองต้นว่ำพ้ืนท่ีใดมีโครงสร้ำงทำงธรณีที่ควรจะสำรวจต่อไปแล้วจึงสำรวจ ภำคสนำมโดยกำรขุดเจำะหลุมเพ่ือเก็บตวั อยำ่ งชนดิ หินและฟอสซิล เพอื่ กำหนดอำยุและลำดับช้ันหิน และแปลควำมทำงธรณีประวัติและควำมเป็นมำของพ้ืนที่หลังจำกน้ันจึงตรวจวัดทิศทำงควำมเอียงเท ของช้ันหินเพ่ือคำดคะเนหำแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม ข้อมูลจำกกำรสำรวจน้ีจะได้รับกำรยืนยันให้ แนน่ อนโดยกำรสำรวจทำงธรณฟี ิสิกส์อีกชนั้ หน่งึ (2) กำรสำรวจทำงธรณีฟิสิกส์ (Geophysic exploration) เป็นขั้นตอนกำร สำรวจโครงสรำ้ งทำงธรณีของชั้นหินท่ีอยู่ใต้พ้ืนผวิ โลกเพื่อคำดคะเนหำแหล่งกักเก็บของปิโตรเลียมให้ ถกู ตอ้ งแม่นยำมำกข้นึ โดยวธิ กี ำรสำรวจทำงธรณีฟสิ กิ สไ์ ดแ้ ก่ (2.1) วิธีกำรตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน (Seismic prospecting) เป็นกำรส่งคลื่นส่ันสะเทือนลงไปใต้ดินซึ่งเป็นคลื่นคลำ้ ยกับคล่ืนแผ่นดินไหวในธรรมชำติ แหล่งกำเนดิ คล่ืนสั่นสะเทือนผลิตจำกรถสร้ำงแรงสั่นสะเทือน เมื่อคล่ืนสั่นสะเทือนไปกระทบชั้นหินจะสะท้อน กลับมำบนผิวโลกเข้ำท่ีตัวรับคลื่น (Geophone) ควำมเร็วของคล่ืนจะแปรผันตรงกับควำมหนำแน่น และชนิดของชัน้ ดนิ และหนิ นนั้ ในชน้ั หนิ ทีค่ วำมหนำแนน่ ตำ่ มีควำมพรุนและมีของเหลวแทรกอยู่คลื่น จะเดินทำงผ่ำนได้ช้ำกว่ำในหินชั้นที่มีเนื้อแน่นด้วยลักษณะของคล่ืนจึงทำให้วิเครำะห์ลักษณะ โครงสรำ้ งและสภำพทำงธรณวี ิทยำใต้ผิวดนิ ได้ และหินแต่ละชนดิ จะมคี ุณสมบัติในกำรสะท้อนหรือหัก เหคล่ืนท่ีเดินทำงผ่ำนได้แตกต่ำงกัน ข้อมูลท่ีได้จะแสดงผลทั้งในรูปของภำพตัดขวำง 2 มิติ และ แบบจำลอง 3 มิติ ซ่ึงสำมำรถนำมำแปลควำมเพื่อประเมินควำมหนำของช้ันหินและโครงสร้ำงทำง ธรณีวิทยำใต้ดิน (2.2) กำรสำรวจโดยวัดค่ำควำมโน้มถ่วง (Gravity prospecting) เป็นวิธีกำรท่ีอำศัยควำมแตกต่ำงของค่ำควำมหนำแน่นของชั้นดิน-หินอันเน่ืองมำจำกลักษณะของหิน ชนิดต่ำง ๆ ภำยใต้เปลือกโลก โดยหินต่ำงชนิดกันจะมีควำมหนำแน่นต่ำงกัน หินที่มีควำมหนำแน่น มำกกว่ำจะมีลกั ษณะโค้งข้ึนเป็นรูปประทนุ ควำ่ สำมำรถประยกุ ต์นำเอำกำรสำรวจวัดค่ำควำมโน้มถ่วง มำสำรวจและแปลควำมหำสภำพใต้ผิวดินได้ โดยมีหลักกำรคือถ้ำสภำพธรณีวทิ ยำใต้ผิวดินของพ้ืนท่ี สำรวจมีควำมแตกต่ำงกันของชั้นดิน ถ้ำหินในแนวด่ิงและแนวนอนมีนัยสำคัญต่อควำมเร่งโน้มถ่วง
80 แล้วย่อมสำมำรถตรวจวัดค่ำควำมโน้มถ่วงผิดปกติของพ้ืนที่น้ันได้ กล่ำวคือถ้ำชั้นหินวำงตัวในแนว ระนำบจะสำมำรถวัดค่ำควำมโน้มถ่วงที่คงท่ีได้แต่ถ้ำช้ันหินมีกำรเอียงเทค่ำของควำมโน้มถ่วงจะแปร ผนั กับกำรวำงตวั ของชนั้ หินน้ันจงึ ทำให้สำมำรถแปลควำมและทรำบลักษณะกำรวำงตวั และโครงสร้ำง ของชั้นหินน้ันได้ซ่ึงค่ำควำมโน้มถ่วงท่ีวัดได้จะมีควำมสัมพันธ์กับมวลของช้ันดิน-หิน มวลของชั้นดิน- หินมีควำมสัมพันธ์กับค่ำควำมหนำแน่นของช้ันดิน-หิน และค่ำควำมหนำแน่นของชั้นดิน-หินมี ควำมสมั พนั ธก์ ับแรป่ ระกอบดิน-หิน เนอ้ื ดิน-หิน ชอ่ งว่ำงหรอื รูพรนุ และของเหลวทแี่ ทรกอยใู่ นรูพรุน (2.3) วิธีวัดค่ำสนำมแม่เหล็ก (Magnetic survey) หรือเรียกว่ำ กำรสำรวจวัดค่ำควำมเข้มสนำมแม่เหล็ก เป็นกำรวัดสนำมแม่เหล็กโลกรวมหรือสนำมแม่เหล็กโลก แนวด่ิง หรือสนำมแม่เหล็กโลกแนวนอน แนวใดแนวหนึ่งซ่ึงเป็นส่วนประกอบของสนำมแม่เหล็กโลก ในพ้ืนท่ีที่สนใจเพ่ือแปลควำมหมำยหำสภำพธรณีวิทยำใต้ผิวดิน โดยวิเครำะห์จำกค่ำควำมผิดปกติ ของคำ่ ควำมเขม้ สนำมแม่เหล็กท่ีเป็นผลเน่ืองมำจำกวัตถุมีคุณสมบตั ิทำงกำยภำพด้ำนค่ำของสภำพรับ ไวไ้ ด้เชิงแม่เหล็ก (Magnetic susceptibility) ของวัตถสุ งู แทรกอยู่ในสนำมแม่เหล็กโลกรวมปกติ ทำ ให้พื้นท่ีบริเวณน้ันมีสนำมแม่เหล็กโลกรวมต่ำงไปจำกสนำมแม่เหล็กโลกปกติ ค่ำของสภำพรับไว้ได้ เชงิ แมเ่ หลก็ ของวัตถุเทียบได้กบั ควำมหนำแน่นของวตั ถุ และคำ่ ควำมเขม้ สนำมแม่เหล็กเทียบได้กับค่ำ ควำมเร่งโน้มถ่วง ควำมผิดปกติของสนำมแม่เหล็กขึ้นอยู่กับรูปทรงสัณฐำนทำงเรขำคณิตหรือขนำด ควำมลึก ระยะห่ำงจำกสถำนีท่ีทำกำรวัดสนำมแม่เหล็กของวัตถุท่ีมีค่ำของสภำพรับไว้ได้เชิงแม่เหล็ก สูงและทิศทำงของสนำมแม่เหล็กโลกรวม (เพียงตำ สำตรักษ์, 2550) กล่ำวโดยสรุปวิธีวัดค่ำ สนำมแม่เหล็กเป็นกำรวัดควำมแตกต่ำงของสนำมแม่เหล็กโลกที่เก่ียวข้องกับกำรเปลี่ยนแปลง โครงสรำ้ งหรือควำมสำมำรถในกำรดูดซึมแม่เหล็กของหินที่อยู่ใต้ผิวโลกทำให้ทรำบลักษณะโครงสร้ำง ของหินโดยใช้เครื่องวัดค่ำสนำมแม่เหล็กทำให้เห็นโครงสรำ้ งและขนำดของแหลง่ กำเนิดปิโตรเลียมใน ข้ันต้น ก่อนวิธีกำรใด ๆ ซ่ึงมีค่ำใช้จ่ำยน้อยกว่ำกำรสำรวจด้วยวิธีวัดควำมเร่งโน้มถ่วงและกำรสำรวจ วัดคลื่นไหวสะเทือน 3.3.1.5 ผลิตภัณฑจ์ ำกปิโตรเลยี ม (1) ปิโตรเคมีภัณฑ์ อุตสำหกรรมปิโตรเคมีภัณฑ์เกิดจำกกำรนำสำรประกอบ ไฮโดรคำร์บอนจำกกำรกล่ันน้ำมันดิบและกำรแยกก๊ำซธรรมชำติมำใช้เป็นวัตถุดิบเพ่ือผลิตเคมีภัณฑ์ ตำมที่แสดงรำยละเอยี ดในรูปที่ 3.3 และ 3.4
81 รปู ท่ี 3.3 กำรกลัน่ นำ้ มันดิบและผลิตภัณฑ์ ที่มำ : (http://sorntanong1.blogspot.com/2013/04/crude-oil.html) (2) ก๊ำซธรรมชำติ (NG) และก๊ำซหุงต้ม (LPG) เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีจุดเดือด ต่ำ มีสถำนะก๊ำซท่ีอุณหภมู ิห้อง กำรเก็บรักษำในรปู ของเหลวทำโดยกำรเพิ่มควำมดันหรือลดอณุ หภมู ิ กำรลุกไหมจ้ ะใหค้ วำมรอ้ นสูงและมเี ปลวทสี่ ะอำด (3) เชื้อเพลงิ เหลว เช้ือเพลงิ เหลวแบง่ เปน็ ชนิดตำ่ ง ๆ ได้แก่ น้ำมันเบนซนิ (Gasoline) นำ้ มันกำ๊ ด (Kerosene) น้ำมันเช้ือเพลงิ ดีเซล (Diesel) น้ำมันเตำ (Fuel oils)
82 รปู ท่ี 3.4 อุตสำหกรรมปโิ ตรเคมแี ละกำรใชป้ ระโยชน์ ทม่ี ำ : (https://chemistrypetroleum.files.wordpress.com/2011/12/picture-014.jpg) 3.3.2 ถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหนิ สะอาด เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำด (Clean Coal Technology) เป็นเทคโนโลยีท่ีพัฒนำข้ึน เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพของถ่ำนหินก่อนนำมำใช้ประโยชน์โดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยท่ีสุด เทคโนโลยถี ่ำนหินสะอำดจะเก่ียวข้องกับกำรลดหรือกำจดั มลพิษที่เกิดจำกกำรนำถ่ำนหินมำใชร้ วมทั้ง กำรเพิ่มประสิทธิภำพของถ่ำนหินในกำรเป็นเช้ือเพลิงและสนับสนุนนโยบำยกำรใช้พลังงำนถ่ำนหิน
83 สะอำดเพื่อควำมม่ันคงทำงด้ำนพลังงำนและกำรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เทคโนโลยีถ่ำนหิน ส ะ อ ำ ด มี ห ล ำ ย ลั ก ษ ณ ะ ไ ด้ แ ก่ เ ท ค โ น โ ล ยี ถ่ ำ น หิ น ส ะ อ ำ ด ก่ อ น ก ำ ร เ ผ ำ ไ ห ม้ ( Pre- combustion) เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำดขณะเผำไหม้ (Combustion) และเทคโนโลยีสะอำดหลัง กำรเผำไหม้ (Post-combustion) ซง่ึ แตล่ ะเทคโนโลยมี รี ำยละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ 3.3.2.1 เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำดก่อนกำรเผำไหม้ (Pre-combustion) เทคโนโลยี ในขั้นตอนน้ีอำจเรียกว่ำเป็นกำรปรับระดับถ่ำนหิน (Coal upgrading) เพ่ือลดปริมำณขี้เถ้ำและ กำมะถันที่ปะปนอยู่ในถ่ำนหินและเป็นกำรเพิ่มค่ำควำมร้อนของถ่ำนหิน ซึ่งมีวิธีกำรทำให้ถ่ำนหิน สะอำด 3 วิธีคอื (1) กำรทำควำมสะอำดโดยวิธีทำงกำยภำพ (Physical cleaning) โดยกำร กำจัดส่ิงเจือปนประเภท ฝุ่นละออง ดิน หิน และสำรประกอบกำมะถัน โดยอำศัยหลักกำรควำม แตกตำ่ งของควำมหนำแนน่ ของถำ่ นหินกับสำรเหล่ำนี้ เม่อื นำถำ่ นหนิ มำบดแลว้ ลำ้ งผ่ำนน้ำ สำรตำ่ ง ๆ ท่ีไม่ต้องกำรแยกออกจำกเนื้อถ่ำนหิน ถ่ำนหินจะถูกบดให้มีขนำดเล็กกว่ำขนำดของฝุ่นผง จะทำให้ สิ่งเจือปนต่ำง ๆ ที่ไม่ต้องกำรจะถูกแยกออกจำกเนื้อถ่ำนหิน ทำให้ไพไรติกซัลเฟอร์ถูกกำจัดออกได้ ประมำณร้อยละ 90 (2) กำรทำควำมสะอำดโดยวิธีทำงเคมี (Chemical cleaning ) เป็นกำรใช้ สำรเคมีเข้ำไปทำปฏิกิริยำกับผงถ่ำนหินซ่ึงสำรเคมีดังกล่ำวมีคุณสมบัติในกำรกำจัดส่ิงเจือปนท่ีไม่ สำมำรถกำจดั โดยวธิ ที ำงกำยภำพได้ (3) กำรทำควำมสะอำดโดยวิธีทำงชีวภำพ (Biological cleaning) เป็น เทคโนโลยกี ำรใชส้ ง่ิ มชี วี ิตเล็ก ๆ ในกำรกำจดั กำมะถนั ในถำ่ นหิน เช่น แบคทีเรยี และเชอื้ รำบำงชนิดใช้ กำมะถันเป็นอำหำร โดยนำส่ิงมีชีวิตที่พบในถ่ำนหินระหว่ำงกำรย่อยสลำยเหล่ำน้ีมำเพำะเลี้ยงและ สกัดเอำเอนไซนย์ ่อยสลำยกำมะถนั มำใชใ้ นกำรเรง่ กระบวนกำรกำจัดกำมะถันในถำ่ นหนิ สำหรับประเทศไทยมีกำรปรับปรุงคุณภำพถ่ำนหินที่แหล่งงำว เหมืองแม่เมำะ จังหวัด ลำปำง และเหมืองบ้ำนป่ำค่ำ จังหวัดลำพูน ใช้วิธีกำรปรับปรุงถ่ำนหินคุณภำพต่ำโดยวิธี Liquid- Phase Cracking with Solvent ทำใหถ้ ำ่ นหนิ สะอำดมีคำ่ ควำมร้อนสูงขนึ้ 3.3.2.2 เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำดขณะเผำไหม้หรอื เมอื่ นำไปใช้ประโยชน์ (Combustion) เทคโนโลยีน้ีถูกพัฒนำข้ึนเพ่ือนำมำใช้ในกระบวนกำรเผำไหม้ถ่ำนหินหรือในขณะท่ี นำถ่ำนหินมำใช้ประกอบด้วย เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำด เทคโนโลยีถ่ำนหินโดยกำรแปรรูป และ เทคโนโลยีสังเครำะห์เชื้อเพลิงสะอำด ซึ่งจะช่วยลดปริมำณสิ่งเจอื ปนโดยเฉพำะกำมะถันลงได้ (1) เทคโนโลยีสะอำดขณะเผำไหม้ เป็นเทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับระบบกำร เผำไหมถ้ ่ำนหินโดยกำรปรับปรงุ เตำเผำและหม้อไอน้ำเพ่ือเพมิ่ ประสทิ ธภิ ำพในกำรเผำไหม้ถ่ำนหินและ ลดมลพิษจำกกำรเผำไหม้ทำใหถ้ ำ่ นหนิ ไม่มีกำรปลอ่ ยก๊ำซมลพษิ ซ่ึงไดแ้ ก่ (1.1) เทคโนโลยี Pulverized fuel combustion เป็นกำรเผำ ไหม้ถำ่ นหินที่ใช้ในกำรผลิตไฟฟ้ำจำกถ่ำนหิน โดยถำ่ นหินจะถูกบดให้มีขนำดเล็กมำกแล้วพ่นเข้ำไปใน เตำเผำพร้อมอำกำศ เมื่อถ่ำนหินติดไฟจะให้ควำมร้อนแก่หม้อไอน้ำ และไอน้ำจะไปหมุนกังหันของ เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำ ในปัจจุบันมีกำรพัฒนำเทคโนโลยีของเตำเผำทำให้ประสิทธิภำพในกำรเผำไหม้ ถ่ำนหินเพม่ิ ขึน้ ถงึ ประมำณร้อยละ 40-55
84 (1.2) เทคโนโลยี Fluidized Bed Combustion (FBC) ถ่ำนหินที่ บดจนมีขนำดเล็กมำกผสมกับหินปูนจะถูกพ่นเข้ำไปในหม้อไอน้ำพร้อมอำกำศร้อนและแขวนลอยอยู่ ในคล่นื อำกำศรอ้ นคลำ้ ยของเหลวเดอื ด ขณะทถี่ ำ่ นหินเผำไหม้หนิ ปูนจะทำหน้ำทคี่ ล้ำยฟองน้ำดักจับ กำมะถนั ที่เกิดขึน้ ควำมรอ้ นทเี่ กดิ ขน้ึ ทำให้น้ำเดอื ดและเกิดไอน้ำไปหมุนกงั หนั ของเครื่องกำเนดิ ไฟฟ้ำ กระบวนกำรนี้สำมำรถลดปริมำณกำมะถันท่ีจะถูกปล่อยออกมำจำกกำรเผำไหม้ได้มำกถึงร้อย ละ 90 นอกจำกนี้อุณหภูมิของหม้อไอน้ำที่ใช้กระบวนกำรนี้ยังต่ำกว่ำอุณหภูมิท่ีใช้ในวิธีกำรเดิมทำให้ สำมำรถลดปริมำณมลพิษท่ีเกิดจำกไนโตรเจนในถ่ำนหินได้ และ 3) Pressured Fluidized Bed Combustion (PFBC) เป็นกำรเผำไหม้ถ่ำนหินแบบฟลูอิดไดซ์เบดภำยใต้ควำมดันสูง ควำมร้อนที่ ผลิตได้นำไปใช้ผลติ ไอน้ำเพ่ือขับกังหันไอน้ำ ส่วนก๊ำซร้อนที่ได้มีแรงดันและอุณหภูมิสูงสำมำรถนำไป ขับกังหันก๊ำซเพื่อผลิตไฟฟ้ำร่วม กำรผลิตพลังงำนควำมร้อนรว่ มแบบนี้มีประสิทธิภำพสูงและยังมีกำร พัฒนำระบบกำรเผำไหม้ถ่ำนหินแบบฟลูอิดไดซ์เบดภำยใต้ควำมดันสูง ชนิดฟองอำกำศ (Bubbling type PFBC) (2) เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำดโดยกำรแปรรูป เป็นเทคโนโลยีท่ีพัฒนำข้ึนเพ่ือ แปรรูปถ่ำนหิน (Coal Conversion) ให้เป็นก๊ำซเช้ือเพลิง (Coal gasification) หรือเช้ือเพลิงเหลว (Coal Liquefaction) โดยมีรำยละเอยี ดดงั น้ี ( 2 . 1 ) Coal gasification Technology เ ป็ น ก ร ะ บ ว น กำ ร ออกซิเดชันถ่ำนหินเพียงบำงส่วนภำยใต้อุณหภูมิและควำมดันสูงให้ได้ก๊ำซเชื้อเพลิง (Fuel gas) ซ่ึง ประกอบด้วยไฮโดรเจนและคำร์บอนไดออกไซด์เป็นสว่ นใหญ่ซ่งึ จะต้องนำมำกำจัดมลพิษก่อนนำไปใช้ เปน็ เชื้อเพลิงหรอื เปน็ สำรต้งั ตน้ ในกำรสงั เครำะหแ์ อมโมเนยี เมทำนอล หรือก๊ำซไฮโดรเจน (2.2) Coal Liquefaction Technology เป็นกำรแปรรูปถ่ำนหิน ให้อยู่ในรูปเชื้อเพลิงเหลว (Liquid fuel) โดยท่ัวไปกำรผลิตเช้ือเพลิงเหลวจำกถ่ำนหินทำได้โดยกำร แยกคำร์บอนออกหรือกำรเติมไฮโดรเจน กำรแยกคำร์บอนออกมำเรียกว่ำกระบวนกำร Carbonisation หรือ Pyrolysis ส่วนกำรเติมไฮโดรเจน เรียกว่ำ Liquefaction เช้ือเพลิงเหลวที่ได้ จำกถ่ำนหนิ สำมำรถนำมำกล่ันในกระบวนกำรกลัน่ น้ำมันจะได้นำ้ มันสำหรบั รถยนต์และผลติ ภัณฑ์อื่น ๆ เช่น พลำสติก และตวั ทำละลำยตำ่ ง ๆ 3.3.2.3 เทคโนโลยีถ่ำนหินสะอำดหลังกำรเผำไหม้ หรือเทคโนโลยีกำรป้องกัน ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีเหลำ่ นเ้ี ก่ียวข้องกับกระบวนกำรทเ่ี กิดขึน้ หลังจำกถ่ำนหินเผำไหม้ แล้ว นำมำใชเ้ พอ่ื กำจดั มลพิษที่เกดิ จำกกำรเผำไหมเ้ ทคโนโลยกี ลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ (1) เทคโนโลยกี ำรกำจดั ฝุ่นละออง ไดแ้ ก่ (1.1) เคร่ืองดกั ฝุ่นดว้ ยไฟฟำ้ (Electrostatic precipitator) ระบบ นีถ้ ือวำ่ มีประสทิ ธิภำพสูงมำกในกำรดักจบั ฝนุ่ (1.2) เครื่องแยกฝุ่นแบบลมหมุน (Cyclone Separator) ใช้หลัก ของแรงเหว่ียงเพ่ือให้ก๊ำซซ่ึงมีฝุ่นละอองผสมอยู่เกิดกำรหมุนตัวจะทำให้ฝุ่นละอองซึ่งมีน้ำหนัก มำกกวำ่ รวมตวั กันและถกู แยกออกมำ (1.3) เครื่องกรองฝุ่นแบบถุง (Bag filter) เป็นอุปกรณ์ที่มีถุงกรอง เปน็ ตวั กรองแยกฝุ่นละอองออกจำกกำ๊ ซท่เี กิดจำกกำรเผำไหม้ถำ่ นหิน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358