๓ มารยาทในการฟังและการดู (ต่อ) มารยาทผู้ฟังและผู้ดู • ไม่นาอาหารหรือเคร่ืองดื่มเขา้ ไปรับประทานในหอ้ งประชุม • เม่ือเกิดความไม่พอใจในส่ิงใดขณะที่ฟัง ควรรู้จกั ระงบั สติอารมณ์และ สารวมกิริยาใหอ้ ยใู่ นสภาพท่ีเป็นปกติ • ใชค้ วามคิดและวจิ ารณญาณไตร่ตรองขอ้ ความท่ีฟัง มีความน่าเช่ือถือ เพียงใดและมีการใชภ้ าษาที่เหมาะสมหรือไม่ • ในการสนทนาทว่ั ไป ควรต้งั ใจฟังคู่สนทนา สบตาผพู้ ดู ผฟู้ ัง • ไม่พดู สอดแทรก ขณะท่ีคู่สนทนากาลงั พดู ตอ้ งต้งั ใจฟังใหจ้ บขอ้ ความก่อน • ขณะที่ดูภาพยนตร์ ชมละครหรือโทรทศั น์ ควรต้งั ใจดู ไม่พดู คุย เล่าเร่ือง หรือวพิ ากษว์ จิ ารณ์เร่ืองท่ีดู เพราะจะทาลายสมาธิผอู้ ่ืน
๓ มารยาทในการฟังและการดู (ต่อ) การฟังและการดู เพอื่ ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด • ผฟู้ ังและผดู้ ูตอ้ งมีมารยาทในการฟังและดู • ผสู้ ่งสารหรือผพู้ ดู ควรมีความคิดที่ดี มีความจริงใจ เตม็ ใจ และต้งั ใจ • ผฟู้ ังหรือผดู้ ู ควรรับสารปราศจากอคติ รู้จกั แยกแยะขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ คิดเห็น การฟังและการดู ผฟู้ ังหรือผดู้ ู ควรมีคุณลกั ษณะของผฟู้ ังผดู้ ีท่ีดี คือ • มีคุณธรรมและมารยาทในการฟัง การดู • รู้จกั การเลือกฟังและเลือกดูส่ือหรือเรื่องราวต่างๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม • ใชว้ จิ ารณญาณในการเลือกรับสารใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเอง เพื่อการพฒั นา สติปัญญาและการยกระดบั จิตใจ
การพูดโนม้ น้าวใจ ควำมหมำยและควำมสำคญั หน้ำ ๒๐๕ ของกำรพดู โน้มน้ำวใจ จุดมุ่งหมำยของกำรพูดโน้มน้ำวใจ หน้ำ ๒๐๖ หน้ำ ๒๐๗ กำรพดู โน้มน้ำวใจในชีวติ ประจำวนั หน้ำ ๒๑๑ หน้ำ ๒๑๕ กลวธิ ีในกำรโน้มน้ำวใจ มำรยำทในกำรพูด
๒ การพูดโน้มน้าวใจ การพูดโน้มน้าวใจ เป็ นกลวิธีการส่ือสารที่มีบทบาท สาคญั ในชีวิตประจาวนั ในฐานะผูพ้ ูดหรือผูส้ ่งสาร หากสามารถ โน้มน้าวใจผูฟ้ ังได้ ก็จะเกิดประโยชน์บรรลุตามความมุ่งหมาย แต่ในฐานะผู้ฟังหรื อผู้รับสาร หากเชื่อการโน้มน้าวใจ โดย ไม่ใชว้ ิจารณญาณก็อาจตกเป็ นเหย่ือของผูพ้ ูดได้ เราจึงควรเรียนรู้ กลวิธี ก าร พูด โน้มน้าว ใจ เพ่ื อน าไ ปใ ช้ใ ห้เ กิ ด ปร ะโ ยช น์ ท้ังในการเป็ นผู้พูดโน้มน้าวใจท่ีมีคุณธรรมและการเป็ นผู้ฟัง ที่มีวจิ ารณญาณ
๑ ความหมายและความสาคญั ของการพูดโน้มน้าวใจ ความหมายของการพดู โน้มน้าวใจ • ความพยายามเปล่ียนความเชื่อ ทศั นคติ ค่านิยม และการกระทาของบุคคล ดว้ ยวธิ ีการต่างๆ ที่เหมาะสมใหม้ ีผลกระทบต่อจิตใจของบุคคลน้นั จนยอมรับ และเห็นคลอ้ ยตาม ความสาคญั ของการพดู โน้มน้าวใจ • มีความสาคญั ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเราอยา่ งมาก โดยเฉพาะใน ประเทศเสรี ซ่ึงใชว้ ธิ ีบงั คบั หรือวางกฎเกณฑน์ อ้ ย การโนม้ นา้ วใจกย็ ง่ิ มี บทบาทสาคญั ในการสร้างพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ คนในสงั คมมากยงิ่ ข้ึน
๒ จุดมุ่งหมายของการพดู โน้มน้าวใจ พดู โน้มน้าวใจให้กระทา • ใชใ้ นสถานการณ์ท่ีมีผตู้ อ้ งการชกั จงู ให้กระทาส่ิงใดส่ิงหน่ึงเพอื่ ประโยชน์ เฉพาะบุคคลหรือส่วนรวม โดยการใชเ้ หตุผลเพือ่ หวา่ นลอ้ มใหผ้ ฟู้ ังเชื่อหรือ คลอ้ ยตาม • “ชกั แม่น้าท้งั หา้ ” หรือ “เจรจาหวา่ นลอ้ ม” พดู โน้มน้าวใจให้เลกิ กระทา • เป็นการพดู ท่ีตอ้ งลบลา้ งความเชื่อหรือทศั นคติเดิมแลว้ เปล่ียนความคิดเห็น ใหม้ าเช่ือคาพดู ของผพู้ ดู จนละเวน้ หรือเลิกกระทาส่ิงที่เคยกระทาหรือเคย ประพฤติปฏิบตั ิ
๓ การพูดโน้มน้าวใจในชีวติ ประจาวนั การพูดโฆษณา
๓ การพูดโน้มน้าวใจในชีวติ ประจาวนั (ต่อ) การพดู โต้แย้ง
๓ การพดู โน้มน้าวใจในชีวติ ประจาวนั (ต่อ) การพดู เชิญชวน
๓ การพูดโน้มน้าวใจในชีวติ ประจาวนั (ต่อ) การพดู ขอร้องวงิ วอน
๔ กลวธิ ีในการโน้มน้าวใจ การทาให้ผู้ฟังเกดิ อารมณ์ความรู้สึกร่วม • บุคคลที่มีความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมกนั ยอ่ มเป็นแรงผลกั ดนั ใหค้ ลอ้ ยตาม กนั ไดง้ ่าย • ใชว้ ธิ ีการสร้างความรู้สึกร่วมกนั โดยหยบิ ยกประเดน็ ท่ีเป็นจุดร่วมกนั ข้ึนมาพดู ผพู้ ดู กจ็ ะเห็นช่องทางท่ีจะใชก้ ารพดู โนม้ นา้ วใจใหผ้ ฟู้ ังเห็น คลอ้ ยตามได้ o ประกอบอาชีพเหมือนกนั o สูญเสียโอกาสเหมือนกนั o ไม่ไดร้ ับความเป็นธรรมเหมือนกนั
๔ กลวธิ ีในการโน้มน้าวใจ (ต่อ) การสร้างความน่าเช่ือถือในตวั ผู้พูด • ผพู้ ดู มีความรู้ในเรื่องที่พดู เป็นอยา่ งดี สามารถอธิบาย ขยายความ ยกตวั อยา่ งไดช้ ดั เจน หยบิ ยกประเดน็ ที่เป็นขอ้ ดี ขอ้ ดอ้ ยไดถ้ ่องแทแ้ ม่นยา • ผพู้ ดู มีคุณธรรม หาวธิ ีนาเสนอหรือสอดแทรกเน้ือหาของสารที่จะแสดงให้ เห็นถึงความมีคุณธรรมของตน แต่ไม่ควรบอกตรงๆ วา่ ตนมีคุณธรรม อยา่ งไร • ผพู้ ดู มีความปรารถนาดีอยา่ งจริงใจต่อผฟู้ ัง โดยตอ้ งแสดงท้งั วจั นภาษา และอวจั นภาษา o การใหค้ ามน่ั สญั ญา การแสดงความห่วงใย
๔ กลวิธีในการโน้มน้าวใจ (ต่อ) การแสดงให้เห็นความหนักแน่นของเหตุผล • การใหเ้ หตุผลตอ้ งสมเหตุสมผลผพู้ ดู ตอ้ งแสดงใหป้ ระจกั ษว์ า่ เรื่องท่ีกาลงั พดู อยนู่ ้นั มีเหตุผล มีความน่าเช่ือถือ แสดงความจริงจงั ท้งั สีหนา้ แววตา ท่าทาง ควรค่าแก่การยอมรับ การแสดงให้เห็นถึงผลดผี ลเสีย • ตอ้ งแสดงใหผ้ ฟู้ ังทราบอยา่ งชดั เจนถึงผลดีผลเสีย เปรียบเทียบช้ีใหเ้ ห็นผลดี มากกวา่ ผลเสีย เพื่อเปิ ดโอกาสใหผ้ รู้ ับสารไดใ้ ชค้ วามคิดพิจารณาไตร่ตรอง ดว้ ยตนเอง
๔ กลวิธีในการโน้มน้าวใจ (ต่อ)
๕ มารยาทในการพดู จรรยาในการพูด • เตรียมตวั ใหพ้ ร้อมก่อนพดู ทุกคร้ัง • ตอ้ งมีสมาธิในการพดู ทุกคร้ัง • ตอ้ งรู้จกั รักษาเวลา • พยายามปรับปรุงวธิ ีการพดู ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจง่าย • เสนอความคิดเห็นใหม่ๆ เก่ียวกบั เร่ืองที่พดู • แสดงความนบั ถือผฟู้ ัง • แสดงความเคารพยกยอ่ งและใหเ้ กียรติผอู้ ื่น • มีความรับผดิ ชอบต่อการพดู • ต้งั ใจฟังผอู้ ื่น ผพู้ ดู ที่พดู เป็นคนสุดทา้ ยตอ้ งนงั่ ฟังผพู้ ดู คนแรกก่อน
๕ มารยาทในการพูด (ต่อ) มารยาทในการพดู • ผพู้ ดู ท่ีมีกิริยาวาจาเรียบร้อย ท่าทางสง่างาม อ่อนโยน สุภาพ หนา้ ตายมิ้ แยม้ แจ่มใส การฝึกตนใหม้ ีมารยาทในการพดู o รู้จกั กล่าวคาปฏิสนั ถาร o มีจงั หวะในการพดู o รู้จกั ควบคุมน้าเสียง o ไม่พดู จาดูถูกหรือข่มข่ผู ฟู้ ัง o รู้จกั ใชค้ าสุภาพ
๕ มารยาทในการพูด (ต่อ) คุณธรรมในการพดู • สภาพคุณงามความดีในการพดู ผพู้ ดู ที่มีคุณธรรมยอ่ มเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา เป็นที่นบั ถือยกยอ่ ง และเป็นท่ีรักใคร่ของคนทวั่ ไป o พดู ใหถ้ ูกกาลเทศะ o พดู แต่คาสตั ยจ์ ริง o พดู สุภาพอ่อนหวาน o พดู แต่ส่ิงที่เป็นประโยชน์ o พดู ดว้ ยเมตตาจิต
หน่วยที่ ๔ เพลิดเพลนิ การใช้ ภาษาไทย
ตอนที่ ๔ หลกั การใช้ภาษา ภาษาไทย มีประวตั ิความเป็ นมายาวนานกว่า ๗๐๐ ปี คนไทย ใชภ้ าษาไทยเป็ นเครื่องมือในการสื่อสารทาความเขา้ ใจระหว่างคน ในสังคม เป็ นเคร่ืองมือในการศึกษาหาความรู้และถ่ายทอดความคิด วิทยาการต่าง ๆ ภาษาไทยจึงเป็ นท้ังวฒั นธรรมไทยและเคร่ืองมือ ในการถ่ายทอดวฒั นธรรม เราคนไทยจึงควรใชภ้ าษาไทยให้ถูกตอ้ ง ตามหลักภาษา เพ่ือให้การสื่อสารสัมฤทธิผลตามความมุ่งหมาย และเพื่อดารงรักษาเคร่ืองมือในการสื่อสารให้เป็ นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยสืบไป
ลกั ษณะของภาษา ลกั ษณะสำคญั ของภำษำ หน้ำ ๒๒๒ ส่ วนประกอบของภำษำไทย หน้ำ ๒๒๗ องค์ประกอบของพยำงค์และคำ หน้ำ ๒๓๖ กำรใช้คำหรือกลุ่มคำสร้ำงประโยค หน้ำ ๒๔๒ ให้ ตรงตำมเจตนำของผู้ส่ งสำร กำรร้อยเรียงประโยค หน้ำ ๒๕๐
๑ ลกั ษณะของภาษา การเรียนรู้ภาษา เพื่อนาไปใช้ในการส่ือสารให้สัมฤทธิผล จะต้องรู้ว่าภาษาแต่ละภาษามีลักษณะเฉพาะ อันประกอบไปด้วย เสียงในภาษา ประเภทของภาษา และองคป์ ระกอบของภาษา ซ่ึงใน แต่ละภาษาจะแตกต่างกัน ในภาษาไทยก็จะมีลักษณะภาษาที่เป็ น เอกลักษณ์ ผูใ้ ช้ภาษาไทยจึงควรศึกษาให้เขา้ ใจเพ่ือการส่ือสารได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ
๑ ลกั ษณะสาคญั ของภาษา ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นภาษาคาโดด • เป็นภาษาที่มีคาใชโ้ ดยอิสระไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปคาเพื่อบอกเพศ พจน์ กาล จะใชค้ าอ่ืนมาประกอบหรืออาศยั บริบท คาไทยแท้ส่วนมากมพี ยางค์เดยี วและมีความหมายสมบูรณ์ในตวั • ฟังแลว้ เขา้ ใจไดท้ นั ที o พอ่ แม่ โต๊ะ อ่าง ลูก หมา แมว ที่ดิน น้า นอ้ ง นงั่ นอน อว้ น ผอม
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษา (ต่อ) ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย คาไทยแท้มตี ัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด • มาตราตวั สะกดมี ๘ มาตรา คาไทยจะสะกดตรงตามมาตราตวั สะกดและไม่ มีการันต์ o ลด ตดั นก จบ รับ อว้ น อ่าง แรง ซอ้ ม ยอม เลย รวย ดาว เคียว ภาษาไทยมเี สียงวรรณยุกต์ • วรรณยกุ ตท์ ่ีต่างกนั ทาใหร้ ะดบั เสียงต่างกนั และคากม็ ีความหมายต่างกนั ดว้ ย o ขาว ข่าว ขา้ ว เสือ เส่ือ เส้ือ
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษา (ต่อ) ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย การเรียงลาดับคาในประโยค • มีความสาคญั มาก ถา้ เรียงคาผดิ ที่ ความหมายของประโยคกจ็ ะเปลี่ยนไป • ตาแหน่งของคาจะเป็นตวั ระบุวา่ คาน้นั มีหนา้ ที่และมีความหมายอยา่ งไร o คนไม่รักดี ไม่รักคนดี พี่สาวใหเ้ งินนอ้ งใช้ นอ้ งสาวใหเ้ งินพใ่ี ช้ คาขยายในภาษาไทยจะเรียงอยู่หลงั คาทถ่ี ูกขยายอยู่เสมอ • เวน้ คาที่แสดงจานวน ปริมาณ จะวางไวข้ า้ งหนา้ หรือขา้ งหลงั คาขยายกไ็ ด้ o เขาเดินเร็ว (คาขยายอยหู่ ลงั คาถกู ขยาย) o เขาสวมเส้ือสีฟ้ า (คาขยายอยหู่ ลงั คาถูกขยาย) o มากหมอกม็ ากความ (คาบอกปริมาณอยหู่ นา้ คาที่ขยาย) o เขามาคนเดียว (คาบอกปริมาณอยหู่ ลงั คาท่ีขยาย)
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษา (ต่อ) ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย คาไทยมลี กั ษณนาม • เป็นคานามที่บอกลกั ษณะของนามขา้ งหนา้ ซ่ึงคาลกั ษณนามมีหลายชนิด o ลกั ษณนามบอกชนิด เช่น ขลุ่ย ๒ เลา o ลกั ษณนามบอกอาการ เช่น บุหรี่ ๑ มวน o ลกั ษณนามบอกหมวดหมู่ เช่น ทหาร ๕ กองร้อย ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขยี นและมจี งั หวะในการพูด • หากแบ่งวรรคตอนไม่ถูกตอ้ ง ความหมายจะไม่ชดั เจนหรือมีความหมาย เปล่ียนไป o นอ้ งสาวพ่ีสวยไหม o นอ้ งสาว พี่สวยไหม
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษา (ต่อ) ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย ภาษาไทยมกี ารใช้คาพูดทเี่ หมาะสมกบั บุคคลและโอกาส • เป็นลกั ษณะวฒั นธรรมของภาษาและเป็นศิลปะในการใชภ้ าษาท่ีมีรูปแบบ เฉพาะตวั o การมีคาราชาศพั ท์ o การกล่าวอวยพร งานมงคลสมรส งานวนั เกิด o การกล่าวแสดงความรู้สึก พดู แสดงความดีใจ เสียใจ o การกล่าวคาอาลา
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย เสียงและหน่วยเสียง เสียงพยญั ชนะ • เป็นเสียงสาคญั ในภาษาไทยเน่ืองจากเป็นเสียงท่ีเกิดจากลมผา่ นออกมาจาก เสน้ เสียงและถูกอวยั วะต่างๆ ภายในปากกล่อมเกลาเป็นเสียงพยญั ชนะ จานวนมาก • เสียงของพยญั ชนะมีความแตกต่างกนั ซ่ึงเสียงที่ต่างกนั น้ีจะส่งผลให้ ความหมายของคาในภาษาแตกต่างกนั ตามไปดว้ ย • พยญั ชนะในภาษาไทยมีท้งั หมด ๔๔ รูป แต่เสียงพยญั ชนะที่ใชแ้ ยก ความหมายออกจากกนั มี ๒๑ เสียง
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงพยญั ชนะ
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงสระ • เกิดจากการปล่อยลมจากหลอดลมออกทางช่องปาก • อวยั วะในช่องปากท่ีอยใู่ นลกั ษณะต่างๆ ส่งผลใหเ้ กิดเสียงที่แตกต่างกนั • เสียงสระภาษาไทยมีท้งั หมด ๒๑ เสียง o สระเด่ียว ๑๘ เสียง o สระประสม ๓ เสียง
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงสระ สระเด่ียว ๑๘ เสียง เสียงส้นั ๙ เสียง เสียงยาว ๙ เสียง
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงสระ สระเดย่ี ว ๑๘ เสียง เสียงส้นั ๙ เสียง เสียงยาว ๙ เสียง
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงสระ สระประสม • นกั ภาษาศาสตร์บางคนเรียกวา่ สระเลื่อน • โดยแทจ้ ริงมี ๓ เสียง คือ เอีย เอือ อวั แต่เนื่องจากแต่ละเสียงมีท้งั เสียงส้นั และเสียงยาว เมื่อนบั รวมกนั จึงมี ๖ เสียง • เสียงสระประสมแต่ละเสียงประกอบดว้ ยเสียงสระเดี่ยวสองเสียงประสมกนั
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) เสียงและหน่วยเสียง เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ • ทุกคาตอ้ งมีระดบั เสียงวรรณยกุ ตอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึง • เม่ือระดบั เสียงวรรณยกุ ตเ์ ปลี่ยนไป ส่งผลใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนไป • เสียงวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยมี ๕ เสียง o เสียงสามญั เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจตั วา • มีเคร่ืองหมายแทนเสียงวรรณยกุ ตเ์ พียง ๔ รูป o รูปเอก รูปโท รูปตรี รูปจตั วา
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) ความหมาย ความหมายนัยตรง • เรียกวา่ ความหมายตามตวั • ลกั ษณะของความหมายที่ตรงตามตวั ของคาน้นั
๒ ส่วนประกอบของภาษาไทย (ต่อ) ความหมาย ความหมายเชิงอุปมา • เรียกวา่ ความหมายนยั ประหวดั • คาท่ีมีความหมายแฝงหรือมีความหมายนอกเหนือจากความหมายตามตวั ของคาน้นั ๆ จะทาใหเ้ กิดความหมายท่ีแตกต่างกนั ออกไป
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา พยางค์ • ถือเป็นหน่วยท่ีเลก็ ที่สุดในการพดู เพอ่ื การส่ือความหมาย • เมื่อเสียงพยญั ชนะ สระและวรรณยกุ ตป์ ระกอบกนั จะเป็นพยางค์ • ทุกพยางคใ์ นภาษาไทยจะมีเสียงพยญั ชนะตน้ เสียงสระและเสียง วรรณยกุ ต์ • บางพยางคม์ ีเสียงพยญั ชนะทา้ ยหรือเสียงพยญั ชนะสะกดดว้ ย แต่ใน บางพยางคก์ ไ็ ม่มี • พยางค์ ๑ พยางคถ์ า้ มีความหมายกจ็ ะกลายเป็นคา ๑ คา แต่ถา้ ไม่มี ความหมายกไ็ ม่ถือวา่ เป็นคา พยางคจ์ ึงเป็นส่วนหน่ึงของคา o รัก ๑ พยางค์ ๑ คา o ประโยชน์ ๒ พยางค์ ๑ คา o นาฬิกา ๓ พยางค์ ๑ คา
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา (ต่อ) พยางค์ ลกั ษณะส่วนประกอบของพยางค์ • พยางคท์ ี่มีเสียงสระเป็นเสียงยาวและพยางคท์ ่ีมีเสียงพยญั ชนะทา้ ย คือ คาครุ มกั จะออกเสียงเนน้ หนกั ตาแหน่งของพยางค์ในคา • ถา้ เป็นคา ๒ พยางค์ ผพู้ ดู มกั ลงเสียงหนกั ท่ีพยางคท์ ่ี ๒ o สติ มะระ ประโยชน์ • ถา้ เป็นคา ๓ พยางค์ ผพู้ ดู มกั ลงเสียงหนกั ที่พยางคท์ ่ี ๓ และอาจลงเสียง หนกั ท่ีพยางคท์ ่ี ๑ หรือ ๒ ดว้ ย ถา้ พยางคท์ ี่ ๑ หรือ ๒ น้นั มีสระเสียงยาว หรือมีพยญั ชนะทา้ ย o คารวะ สถิติ ประชาชน
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา (ต่อ) พยางค์ ตาแหน่งของพยางค์ในคา • ถา้ เป็นคา ๔ พยางคข์ ้ึนไป มกั ลงเสียงหนกั ที่พยางคท์ า้ ย ส่วนพยางคอ์ ื่นๆ กอ็ อกเสียงหนกั หรือเบาตามลกั ษณะของส่วนประกอบพยางค์ o ยทุ ธหตั ถี สาธารณสุข วทิ ยาลยั วรรณคดี หน้าทแี่ ละความหมายของคา • คาซ่ึงทาหนา้ ท่ีเป็นประธาน กริยา และกรรม หรือทาหนา้ ท่ีขยายประธาน กริยา กรรม เรามกั ออกเสียงเนน้ หนกั • คาท่ีใชแ้ สดงความสมั พนั ธ์ของคาอื่น ทาหนา้ ท่ีเป็นคาเชื่อม เรามกั จะไม่ เนน้ เสียงหนกั
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา (ต่อ) พยางค์ หน้าทแี่ ละความหมายของคา • เจตนาที่แทจ้ ริงในการส่งสารของผพู้ ดู จะเห็นวา่ ผพู้ ดู อาจเลือกเนน้ คา บางคาในประโยคไดต้ ่างกนั เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสนใจเป็นพิเศษ o นอ้ ยชอบนันทน์ ไม่ใช่ชอบนุช o น้อยชอบนนั ทน์ ไม่ใช่ฉนั ชอบ o นอ้ ยชอบนนั ทน์ ไม่ไดร้ ัก • เม่ือผพู้ ดู ตอ้ งการประชดประชนั กอ็ าจเนน้ คาบางคาเป็นพิเศษ ผฟู้ ังจะ สงั เกตไดว้ า่ ผพู้ ดู ไม่ไดส้ ่ือความหมายตรงตามที่พดู o แน่ล่ะ เขาดกี วา่ ฉนั นี่ o โอ๊ย เขาเก่งไม่มีใครสูไ้ ดห้ รอก o ใช่สิ ฉนั ไม่สวยน่ี
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา (ต่อ) คา • เสียงพยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ตป์ ระกอบกนั เป็นพยางค์ • พยางคท์ ่ีมีความหมายเรียกวา่ คา • คาอาจมีพยางคเ์ ดียวหรือหลายพยางคก์ ไ็ ด้ • คาที่ยงั ไม่ไดป้ ระกอบกบั คาอ่ืนเรียกวา่ คามลู • คาท่ีเกิดจากการประกอบคาเรียกวา่ คาซ้า คาซอ้ น คาประสม คา ประสาน หรือคาสมาส แลว้ แต่วธิ ีการประกอบคาน้นั ๆ • ประเภทคา เช่น คานาม คากริยา คาช่วยกริยา คาบุพบท คาวเิ ศษณ์ คา บอกจานวน คาบอกลาดบั คานาหนา้ จานวน คาหลงั จานวน คาสรรพ- นาม คาลกั ษณนาม คาบอกกาหนดไม่ช้ีเฉพาะ เป็นตน้ • คาที่บอกท่าทีของผพู้ ดู • คาบอกสถานภาพของผพู้ ดู กบั ผฟู้ ัง
๓ องค์ประกอบของพยางค์และคา (ต่อ) คา คาบริบท • ถอ้ ยคาท่ีปรากฏร่วมกบั คา สถานการณ์แวดลอ้ มในขณะท่ีพดู หรือเขียน • ในภาษาไทยเราจะรู้ความหมายของคาและความสมั พนั ธ์กบั คาอื่นได้ จากบริบท o “เขาพากนั ออกจากบา้ นไปแลว้ ” เขา เป็นพหูพจน์ เพราะใชส้ รรพนาม กนั เป็นกรรมท่ีแสดงความเป็นพหูพจน์ แลว้ เป็นอดีตกาล แสดงวา่ เหตุการณ์น้นั เกิดข้ึนในอดีต o หมอดูคนน้ีมีคนข้ึนมาก ข้ึน หมายถึง นิยม นบั ถือ o มีดเล่มน้ีสนิมข้ึนเขรอะเลย ข้ึน หมายถึง มี เกิด o สินคา้ ข้ึนราคาอีกแลว้ ข้ึน หมายถึง เพมิ่
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ประโยคแจ้งให้ทราบ • ประโยคท่ีผพู้ ดู หรือผเู้ ขียนใชแ้ จง้ ขอ้ ความหรือบอกเล่าเรื่องราว บางอยา่ งใหผ้ ฟู้ ังหรือผอู้ ่านไดท้ ราบถึงขอ้ ความหรือเร่ืองราวน้นั • เรียกวา่ ประโยคแจง้ ใหท้ ราบ • เป็นประโยคส้นั ๆ เช่น ฉนั อ่านหนงั สือ • เป็นประโยคขนาดยาวซบั ซอ้ น เช่น ฉนั อ่านหนงั สือท่ีฉนั ยมื มาจาก หอ้ งสมุดประชาชน • มี ๒ ลกั ษณะ คือ แจง้ ใหท้ ราบแบบเน้ือความบอกเล่าและแจง้ ใหท้ ราบ แบบมีเน้ือความปฏิเสธ
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร (ต่อ) ประโยคถามให้ตอบ • ประโยคที่ผพู้ ดู หรือผเู้ ขียนใชถ้ ามเรื่องราวบางประการเพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังหรือ ผอู้ ่านตอบคาถาม • มีรูปแบบเช่นเดียวกบั ประโยคแจง้ ใหท้ ราบ จะแตกต่างกนั ตรงท่ีวา่ ประโยคถามใหต้ อบจะตอ้ งมีคาที่แสดงความเป็นคาถาม o ใคร อะไร ท่ีไหน เม่ือไร อยา่ งไร ไหน บา้ งไหม เท่าไร ก่ี หรือไม่ ใช่ไหม • ถา้ ประโยคถามใหต้ อบน้นั มีเน้ือความปฏิเสธ จะมีคาปฏิเสธ ไม่ อยใู่ น ประโยคดว้ ย ยกเวน้ ประโยคถามใหต้ อบที่ใชค้ า ไหม อยทู่ า้ ยประโยค ไม่อาจเปล่ียนเป็ นเน้ือความปฏิเสธได้ o คุณเหน่ือยไหม ไม่อาจเปลี่ยนเน้ือความเป็นปฏิเสธวา่ คุณไม่ เหน่ือยไหม
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผ้สู ่งสาร (ต่อ) ประโยคบอกให้ทา • เป็นประโยคที่ผพู้ ดู ใชเ้ พอ่ื ใหผ้ ฟู้ ังกระทาตามความตอ้ งการของตน • ออ้ นวอน ขอร้อง สง่ั แนะนา ชกั ชวน o มีคาที่แสดงเจตนาดงั กล่าวประกอบอยดู่ ว้ ย โดยบางคาอาจจะวางไวต้ น้ ประโยค เช่น คาวา่ โปรด กรุณา เป็นตน้ ซ่ึงกรณีเช่นน้ีจะใชเ้ มื่อละภาค ประธานของประโยคไว้
๔ การใช้คาหรือกลุ่มคาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร (ต่อ) ประโยคบอกให้ทา • ถา้ ประโยคมีภาคประธานซ่ึงอาจเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒ เช่น คุณ ท่าน เธอ หรือเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ พหูพจน์ คือ เรา คาที่แสดงเจตนาให้ ทาจะตอ้ งอยหู่ ลงั ประธาน
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผ้สู ่งสาร (ต่อ) ประโยคบอกให้ทา • การใชป้ ระโยคบอกใหท้ า บางคร้ังถา้ ตอ้ งการเนน้ ท่ีกริยาหลกั ของ ประโยค กข็ ้ึนตน้ ประโยคดว้ ยคากริยา และลงทา้ ยประโยคดว้ ยคาท่ีใช้ แสดงคาสง่ั หรือคาร้อง เช่น ซิ เถิด หรือ นะ
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผ้สู ่งสาร (ต่อ) ประโยคบอกให้ทา • อาจเป็นขอ้ ความปฏิเสธ คือ เป็นขอ้ ความท่ีหา้ มหรือขอร้องไม่ใหก้ ระทา อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกไ็ ด้ ซ่ึงจะมีคาที่แสดงการหา้ มปรากฏอยู่ เช่น คาวา่ อยา่ ตอ้ งไม่ เวน้ จงอยา่ งด หา้ ม
๔ การใช้คาหรือกลุ่มคาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผ้สู ่งสาร (ต่อ) ข้อสังเกตเกย่ี วกบั ประโยคแสดงเจตนาของผู้ส่งสาร • คาที่ปรากฏในประโยค มีส่วนช่วยใหเ้ ราสงั เกตไดว้ า่ ผสู้ ่งสารมีเจตนา อยา่ งไร เรียกวา่ การพิจารณาเจตนาของผสู้ ่งสาร โดยอาศยั รูปประโยค ซ่ึงมี ๓ ชนิด คือ ประโยคแจง้ ใหท้ ราบ ประโยคถามใหต้ อบ ประโยค บอกใหท้ า o นกั เรียนทาการบา้ น ประโยคแจง้ ใหท้ ราบ o นกั เรียนทาการบา้ นหรือ ประโยคถามใหต้ อบ o ทาการบา้ นนะ ประโยคบอกให้ทา
๔ การใช้คาหรือกล่มุ คาสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร (ต่อ) ข้อสังเกตเกย่ี วกบั ประโยคแสดงเจตนาของผู้ส่งสาร • บางกรณีรูปประโยคอาจไม่ช่วยใหท้ ราบเจตนาที่แทจ้ ริงของผสู้ ่งสารได้ จะตอ้ งอาศยั บริบทหรือความที่แวดลอ้ มประกอบ เพราะรูปประโยค ต่างกนั แต่อาจมีเจตนาอยา่ งเดียวกนั o เร่ืองน้ีผดิ กฎหมาย ฉนั ไม่ทาหรอก o เรื่องน้ีผดิ กฎหมาย ใครจะกลา้ ทา
๕ การร้อยเรียงประโยค การเช่ือมประโยค ประโยคที่เชื่อมดว้ ยคาสนั ธานหรือสนั ธานวลี แลว้ มีเน้ือความคลอ้ ยตามกนั ประโยคที่เชื่อมดว้ ยคาสนั ธานหรือสนั ธานวลี แลว้ มีเน้ือความขดั แยง้ กนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308