๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การเช่ือมประโยค ประโยคที่เชื่อมดว้ ยคาสนั ธานหรือสนั ธานวลี แลว้ มีเน้ือความใหเ้ ลือก อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ประโยคที่เช่ือมความดว้ ยสนั ธานหรือสนั ธานวลีแลว้ มีเน้ือความเป็นเหตุเป็น ผลกนั
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การเช่ือมประโยค ประโยคท่ีเช่ือมความดว้ ยคาสนั ธานหรือสนั ธานวลีแลว้ แสดงความเกี่ยวขอ้ ง กนั ทางเวลา ประโยคที่เช่ือมความดว้ ยคาสนั ธานหรือสนั ธานวลี แสดงความเกี่ยวขอ้ งกนั ในดา้ นท่ีเป็นเงื่อนไข
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การซ้าคาหรือวลี • ประโยคหนา้ และประโยคหลงั กล่าวถึงบุคคลเดียวกนั • ประโยคหนา้ และประโยคหลงั กล่าวถึงสิ่งของส่ิงเดียวกนั
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การซ้าคาหรือวลี ข้อสังเกต • ในกรณีท่ีมีคาซ้ากนั คาท่ีซ้าอาจมีคาวเิ ศษณ์บอกความช้ีเฉพาะ • หากคาวเิ ศษณ์บอกความช้ีเฉพาะใชข้ ยายคาในประโยคหนา้ อยแู่ ลว้ คาที่ อยปู่ ระโยคหลงั มกั ไม่มีคาวเิ ศษณ์บอกความช้ีเฉพาะขยายอีก
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การซ้าคาหรือวลี ข้อสังเกต • คาขยายท่ีซ้ากนั น้นั นอกจากคาวเิ ศษณ์บอกความช้ีเฉพาะแลว้ อาจมีคาชนิด อื่นอีกกไ็ ดว้ า่ เป็นสิ่งท่ีกล่าวถึงไปแลว้
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การละคาหรือวลี • การละคาหรือวลีจะกระทาไดเ้ มื่อประโยคหนา้ และประโยคหลงั มีส่วนที่ กล่าวถึงบุคคล เหตุการณ์ การกระทา หรือสภาพเดียวกนั จึงไม่จาเป็นท่ี ตอ้ งกล่าวซ้าอีกกไ็ ด้
๕ การร้อยเรียงประโยค (ต่อ) การแทนด้วยคาหรือวลี • ใชใ้ นกรณีท่ีไม่ตอ้ งการซ้าคาหรือวลี และการละคาหรือวลีกจ็ ะใชว้ ธิ ีการ แทนดว้ ยคาหรือวลี
วฒั นธรรมกับภาษา ควำมรู้เกยี่ วกบั วฒั นธรรม หน้ำ ๒๖๐ อทิ ธิพลของภำษำไทยถน่ิ หน้ำ ๒๗๒ ในภำษำไทย
๒ วฒั นธรรมกบั ภาษา สังคมไทย เป็ นสังคมที่มีความหลากหลายทางภาษาและ วฒั นธรรม ภาษาไทยจึงมีความแตกต่างกันตามถิ่นท่ีอยู่อาศัย ของผพู้ ูด ทาให้เกิดภาษาไทยถ่ินแตกต่างกนั ในภาคต่างๆ ภาษาถ่ิน จึงเป็นเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมอยา่ งหน่ึงของทอ้ งถ่ินน้นั
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม วฒั นธรรม • ทุกส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนซ่ึงแสดงถึงความเจริญงอกงามและเป็นแบบแผน อนั ดีงามในการดาเนินชีวติ ที่สะทอ้ นถึงการประพฤติปฏิบตั ิของมนุษย์ • เป็นส่ิงที่มีลกั ษณะเป็นพลวตั คือ เป็นสิ่งที่ไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ เสมอตามยคุ สมยั แต่ละพ้นื ท่ียอ่ มมีความแตกต่างกนั ไป มาจากหลาย ปัจจยั • วฒั นธรรมทางวตั ถุ คือ วฒั นธรรมท่ีสามารถจบั ตอ้ งได้ o นาฬิกา จกั รยาน ถนน คอมพิวเตอร์ • วฒั นธรรมที่ไม่ใช่วตั ถุ คือ วฒั นธรรมท่ีไม่สามารถจบั ตอ้ งได้ เป็นสิ่งที่ สามารถรับรู้ไดท้ างจิตใจ o ความรู้ ความเช่ือ ศาสนา ศิลปะ ภาษา
๑ ความรู้เกยี่ วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรม ภาษาไทยเป็ นส่ิงท่แี สดงถึงความเป็ นชาติ • คนไทยมีภาษาและอกั ษรเป็นของตวั เอง • แมว้ า่ จะไดร้ ับอิทธิพลจากภาษาอื่นเขา้ มาแต่กเ็ ป็นการรับเพยี งส่วนหน่ึง เพื่อใหเ้ กิดคาที่หลากหลายมากข้ึนและเหมาะสมกบั สภาพสงั คมไทย • คนไทยจึงควรภมู ิใจในภาษาของตนและรักษาภาษาโดยการใชภ้ าษาไทย ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษาและช่วยกนั อนุรักษภ์ าษาไทยใหค้ งอยตู่ ่อไป
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมรี ะดบั การใช้ภาษาในสังคม • การใชภ้ าษาไทยมีการลดหลนั่ กนั ไปตามความเคารพในแต่ละระดบั ช้นั เพ่ือแสดงความเคารพนบนอบและการใหเ้ กียรติถือเป็นวฒั นธรรมทาง ภาษา และเป็นลกั ษณะเด่นอยา่ งหน่ึงของความเป็นไทย • มีการแบ่งระดบั ของภาษาอยา่ งชดั เจน เช่น คาวา่ “กิน” o พระมหากษตั ริย์ ตอ้ งใชค้ าวา่ เสวย o พระภิกษุสงฆ์ ตอ้ งใชค้ าวา่ ฉนั o บุคคลทว่ั ไป- เป็นทางการ ตอ้ งใชค้ าวา่ รับประทาน o บุคคลทว่ั ไป- ไม่เป็นทางการ ตอ้ งใชค้ าวา่ กิน
๑ ความรู้เกยี่ วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมีลกั ษณนาม • เป็นส่ิงท่ีบ่งบอกถึงหน่วยท่ีใชเ้ รียกคน สตั ว์ ส่ิงของ เม่ือจะตอ้ งบอกให้ ทราบถึงจานวนซ่ึงจะมีลกั ษณนามที่ใชเ้ รียกแตกต่างกนั ออกไป o ขลุ่ย ๑ เลา มีด ๒ เล่ม เล่ือย ๓ ป้ื น • ลกั ษณนามยงั มีระดบั ในการใชท้ ่ีแตกต่างกนั ออกไป o ชา้ งที่อาศยั อยตู่ ามธรรมชาติมีลกั ษณนามเป็น ตวั o ชา้ งท่ีมีคนเล้ียงจะใชล้ กั ษณนามวา่ เชือก o ชา้ งของพระมหากษตั ริย์ จะใชล้ กั ษณนามวา่ ชา้ ง
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมกี ารรับภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทย • อิทธิพลในดา้ นต่างๆ อาทิ อิทธิพลทางดา้ นภมู ิศาสตร์ ดา้ นประวตั ิศาสตร์ ดา้ นการพาณิชย์ ดา้ นศาสนา ดา้ นการศึกษา ดา้ นความเจริญทางเทคโนโลยี • รับภาษาต่างประเทศจานวนมากเขา้ มา ทาใหภ้ าษาไทยขยายตวั และมีคา ใชม้ ากข้ึนเพียงพอท่ีจะส่ือสารกนั ได้ o ภาษาองั กฤษ ภาษาจีน ภาษาญ่ีป่ ุน ภาษาชวา-มลายู ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต ภาษาฝร่ังเศส ภาษามอญ • แต่การรับภาษาต่างประเทศเขา้ มา คนไทยไดป้ รับภาษาและเสียงพดู จน กลายเป็นคาไทยและสาเนียงไทย บางคาไม่มีเคา้ สาเนียงเดิมเลย o ภาษาจีนใช้ เต้ียะหลิว ภาษาไทยใช้ ตะหลิว o ภาษาเขมรใช้ กระเวน ภาษาไทยใช้ ตะเวน
๑ ความรู้เกยี่ วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยนิยมใช้ถ้อยคาสัมผสั ทาให้เกดิ สานวนต่างๆ และ เป็ นวฒั นธรรมทางภาษา • คนไทยมกั ใชค้ าท่ีมีเสียงสมั ผสั ทาใหภ้ าษาเกิดความไพเราะดา้ นเสียง • มีการถอ้ ยคาสานวนท่ีมีคาคลอ้ งจองใชใ้ นการพดู จากนั มาก o ฟังเทศน์หาวนอน ดูละครตาสวา่ ง o ไฟในอยา่ นาออก ไฟนอกอยา่ นาเขา้ o จะบีบกต็ าย จะคลายกร็ อด o คนรักเท่าผนื หนงั คนชงั เท่าผนื เสื่อ
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมคี าใช้เกยี่ วกบั ศัพท์วชิ าการต่างๆ เพอ่ื การศึกษา และการถ่ายทอดความรู้ • ชาวไทยมีการติดต่อกบั ชาวต่างชาติมากข้ึน จึงไดร้ ับเอาเครื่องมือเคร่ืองใช้ ความรู้ทางวชิ าการเฉพาะอยา่ งเขา้ มาในประเทศไทย • ชื่อและศพั ทเ์ ฉพาะวชิ าบางคาเขา้ มารวมอยใู่ นภาษาไทย ทาใหภ้ าษาไทยมี ถอ้ ยคาใชใ้ นการศึกษาและถ่ายทอดความรู้ศิลปวทิ ยาการแขนงต่างๆ o ดา้ นการกีฬา มีคาศพั ทใ์ นวงการกีฬา เช่น โคช้ ทีม เซท สแตน สตาร์ท จบเกม o ดา้ นการแพทย์ มีคาศพั ทท์ ี่ใชส้ ่ือสารในวงการแพทย์ เช่น เอกซเรย์ อายรุ กรรม กมุ ารเวชสูตินรีเวช ชนั สูตร วสิ ญั ญีแพทย์
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมีมาตรฐานเพอ่ื ใช้ในการสื่อสารทางราชการ • ภาษาไทยท่ีใชใ้ นเมืองหลวงเป็นภาษาไทยมาตรฐาน เพราะเป็นศูนยก์ ลาง ของการติดต่อของคนทวั่ ไป เป็นภาษาของสุภาพชนและใชใ้ นราชการ o แถลงการณ์ของรัฐบาล o ประกาศของทางราชการ • ภาษาท่ีใชต้ อ้ งเป็นภาษาท่ีง่าย คนทุกทอ้ งถิ่นสามารถเขา้ ใจได้ • ไม่ใชภ้ าษาถิ่น ไม่ใชค้ าหยาบ • ไม่ใชภ้ าษาเก่าที่เลิกใชไ้ ปแลว้ หรือคาตลกคะนอง
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมีภาษาถน่ิ ใช้ในการสื่อสารแต่ละท้องถน่ิ • เป็นภาษาท่ีมีเสียงเพ้ียนไปเท่าน้นั เรียกวา่ ภาษาชนบท • ถ่ินท่ีอยใู่ กลเ้ คียงกนั ภาษาถิ่นยอ่ มคลา้ ยกนั ถา้ ห่างไกลกนั กอ็ าจแตกต่างกนั มากข้ึน แต่สามารถจะสื่อสารกนั รู้เร่ือง • ส่วนมากจะแตกต่างกนั ในระบบเสียงพยญั ชนะและระบบเสียงสระ o ภาษาไทยภาคกลาง จะใชเ้ สียง ช เช่น ชา้ ง ชื่อ เชือก o ภาษาถ่ินเหนือจะใชเ้ สียง จ เป็น จา้ ง จ้ือ เจือก o ภาษาถิ่นอีสาน จะใชเ้ สียง ซ เป็น ซา้ ง ซ่ือ เซือก
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมทางภาษา ภาษาไทยมีภาษาถน่ิ ใช้ในการสื่อสารแต่ละท้องถน่ิ • ภาษาถิ่นเหนือ o ตุ๊หลวง หมายถึง เจา้ อาวาสหรือสมภาร o หอคา หมายถึง ทอ้ งพระโรง • ภาษาถิ่นอีสาน o ม่วน หมายถึง สนุก o งึด หมายถึง แปลกใจ • ภาษาถ่ินภาคใต้ o ทาไม่แลว้ หมายถึง ทายงั ไม่เสร็จ o ปึ ดปัด หมายถึง กระฟัดกระเฟี ยด
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมการใช้ภาษา • ใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผนของภาษาไทย • ใชภ้ าษาสุภาพ ไม่ใชค้ าหยาบคายหรือคาผวนท่ีความหมายในทางหยาบ • ใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ในการพดู และการอ่านออกเสียง เพ่อื การสื่อสาร ทาความเขา้ ใจกนั ไดถ้ กู ตอ้ ง ไม่กากวมหรือผดิ ความหมาย • ใชภ้ าษาเพ่อื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั ก่อใหเ้ กิดความร่วมมือร่วมใจกนั • มารยาทการใชภ้ าษาเป็นสิ่งจาเป็นในการสื่อสารที่จะช่วยสร้างสรรคค์ วาม สามคั คีกลมเกลียว จริยธรรมของการพดู จึงเป็นสิ่งสาคญั เช่น การไม่นินทาวา่ ร้ายต่อกนั การไม่พดู ยยุ งใหเ้ กิดการแตกความสามคั คี
๑ ความรู้เกย่ี วกบั วฒั นธรรม (ต่อ) วฒั นธรรมการใช้ภาษา • ใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ งตามความหมายของคาและกาลเทศะ เหมาะกบั ฐานะ ของบุคคล เป็นมารยาททางสงั คมแสดงถึงความเป็นผมู้ ีวฒั นธรรม • ใชภ้ าษาไทยใหถ้ ูกตอ้ งตามสานวนภาษา • ใชภ้ าษาไทยโดยไม่นาภาษาต่างประเทศเขา้ มาใชห้ ากไม่จาเป็น ท้งั ภาษา พดู และภาษาเขียน • ใชภ้ าษาไทยเพื่อสร้างสรรคว์ รรณกรรม บทร้อยแกว้ หรือบทร้อยกรอง ซ่ึง เป็นวฒั นธรรมทางภาษา ตอ้ งส่งเสริม เพราะภาษาในวรรณกรรมเป็นภาษา ที่มีลกั ษณะพิเศษ คือ ถูกใชเ้ พอื่ สร้างสุนทรียะและเพ่อื ความบนั เทิงทาง อารมณ์
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถ่ินในภาษาไทย ความหมายของภาษาถน่ิ ภาษาไทยถิ่นและภาษาไทยมาตรฐาน • ภาษายอ่ ยของภาษาใดภาษาหน่ึง แตกต่างกนั ตามทอ้ งถ่ินท่ีผพู้ ดู อาศยั อยู่ • ภาษายอ่ ยของภาษาไทยท่ีใชส้ ่ือสารกนั ในทอ้ งถ่ินต่างๆ ในประเทศไทย และมีความแตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถ่ิน • ภาษาไทยซ่ึงเป็นท่ียอมรับใหใ้ ชเ้ ป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสาร ใชเ้ ป็นภาษาทางราชการและในการศึกษาทวั่ ประเทศ • ภาษาไทยที่ใชใ้ นกรุงเทพฯ เป็นภาษาถิ่นของภาคกลาง และกาหนดเป็น ภาษาไทยมาตรฐาน
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถนิ่ ในภาษาไทย (ต่อ) การกาหนดภาษาถิ่น ระบบของภาษา • ภาษาถิ่นของภาษาเดียวกนั จะมีระบบของภาษาอยา่ งเดียวกนั o ภาษาไทยท่ีใชใ้ นทุกถ่ินมีระบบของภาษาเป็นอยา่ งเดียวกนั คือ เป็นภาษาคาโดด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคาเพ่ือบอกหนา้ ที่ทาง ไวยากรณ์ • ภาษาไทยทุกถิ่นมีโครงสร้างของประโยค วลี และการสร้างคาเป็นแบบ เดียวกนั o มีการวางคาขยายไวห้ ลงั คาที่ถูกขยาย o มีการวางคาลกั ษณนามหลงั คาบอกจานวน
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถ่ินในภาษาไทย (ต่อ) การกาหนดภาษาถิน่ ระบบของภาษา • ดา้ นระบบเสียง ภาษาไทยทุกถ่ินมีระบบเสียงอยา่ งเดียวกนั o หน่วยเสียงพยญั ชนะ หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์ คลา้ ยกนั • ดา้ นระบบคาศพั ท์ ถา้ คาศพั ทท์ ี่ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เหมือนกนั แสดงวา่ เป็ นภาษาถิ่นของภาษาเดียวกนั o คาเรียกญาติ เช่น ลุง ป้ า นา้ อา o คาเรียกอวยั วะ เช่น มือ ปาก ผม o คากริยาทวั่ ไป เช่น นง่ั นอน กิน ยนื
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถน่ิ ในภาษาไทย (ต่อ) สาเหตุทท่ี าให้เกดิ ภาษาถ่ิน สภาวะทางภูมิศาสตร์ • ภาษายอ่ มมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ • คนท่ีพดู ภาษาเดียวกนั หากแยกยา้ ยไปอยอู่ าศยั ต่างถิ่นห่างไกลกนั นาน เขา้ ภาษาของคนท่ีอยใู่ นแต่ละถ่ินกเ็ ปลี่ยนแปลงไป • ภาษาที่ใชเ้ หมือนกนั แต่เดิมกแ็ ตกต่างกนั ออกไปเป็นภาษาถิ่น ในดา้ น การออกเสียงและการใชค้ า ดงั ตวั อยา่ ง เช่น คาวา่ “สบั ปะรด” o ภาษาไทยถิ่นเหนือ ออกเสียงวา่ “บะขะหนดั ” o ภาษาไทยอีสาน ออกเสียงวา่ “บกั นดั ” o ภาษาไทยถ่ินใต้ ออกเสียงวา่ “หยา่ นดั ”
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถ่ินในภาษาไทย (ต่อ) สาเหตุทที่ าให้เกดิ ภาษาถ่นิ การผสมระหว่างเชื้อชาติและวฒั นธรรม • การต้งั ครอบครัวอยใู่ นส่วนต่างๆ ของประเทศ ทาใหเ้ กิดการผสม กลมกลืนทางเช้ือชาติ และภาษากบั กลุ่มชนท่ีพดู ภาษาอ่ืนท่ีอยใู่ กลเ้ คียง o ภาษาไทยถิ่นใตม้ ีคาภาษาชวามลายใู ชป้ ะปนอยู่ เช่น ยา่ หมู หมายถึง ผลฝรั่งมาจากภาษาชวามลายวู า่ ยามู (jambu) o ภาษาไทยถ่ินเหนือมีคาภาษาพม่าและภาษามอญปะปนอยู่ เช่น ฮงั เล ช่ือแกงชนิดหน่ึง เป็นภาษาพม่า สลุง มาจากภาษามอญ แปลวา่ ขนั น้า o ภาษาไทยถ่ินอีสานมีคาภาษาเขมรปนอยู่ เช่น ลออ แปลวา่ งาม กาจาย แปลวา่ กระจาย
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถิ่นในภาษาไทย (ต่อ) ประเภทของภาษาถ่นิ ภาษาไทยถ่ินกลาง • ภาษาไทยท่ีพดู กนั ในจงั หวดั ต่างๆ ในภาคกลาง รวมท้งั ภาคตะวนั ออก ภาค ตะวนั ตก นอกจากภาษาราชการของชาวกรุงเทพฯ แลว้ เรายงั สามารถไดย้ นิ สาเนียงภาษาเหน่อของคนจงั หวดั นครปฐมและสุพรรณบุรีดว้ ย ภาษาไทยถ่ินเหนือ • ภาษาท่ีพดู กนั ในจงั หวดั ต่างๆ ในภาคเหนือ และภาคกลาง บางส่วน เน่ืองจากการอพยพเคล่ือนยา้ ย เช่น ในจงั หวดั ราชบุรีและสระบุรี
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถิ่นในภาษาไทย (ต่อ) ประเภทของภาษาถนิ่ ภาษาไทยถนิ่ อสี าน • ภาษาไทยท่ีพดู กนั ในจงั หวดั ต่างๆ ในภาคอีสาน กม็ กั เป็นคาหรือสาเนียงท่ี เราไดย้ นิ คุน้ หู o คาวา่ ไปบ่ แปลวา่ ไปหรือเปล่า o ชวั่ โมง พดู วา่ ซวั โมง o ขา้ งแรม พดู วา่ เดือนดบั๋ ภาษาไทยถ่ินใต้ • ภาษาไทยที่พดู กนั ในจงั หวดั ต่างๆ ในภาคใต้ มกั จะเป็นคาพดู หว้ นๆ ส้นั ๆ o คาวา่ มะละกอ พดู วา่ ลอกอ ทะเล พดู วา่ เล ขนม พดู วา่ หนม
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถิน่ ในภาษาไทย (ต่อ) ประเภทของภาษาถ่ิน ภาษาไทยถิน่ กลาง • คนไทยท่ีอยใู่ นจงั หวดั ในภาคกลาง เช่น จงั หวดั สุพรรณบุรี ราชบุรี ระยอง สิงห์บุรี มีเสียงหรือสาเนียงพดู ไม่เหมือนภาษาไทยที่ใชใ้ นกรุงเทพฯ o คาวา่ หู ภาษาไทยถิ่นสุพรรณบุรีจะออกเสียงวา่ “หู”้ ภาษาไทยถิ่นเหนือ • ท่ีพดู ในจงั หวดั เชียงใหม่จะมีเสียงและใชค้ าบางคาต่างกบั ภาษาไทยถ่ิน เหนือท่ีพดู ในจงั หวดั ซ่ึงอยใู่ นภาคเหนือดว้ ยกนั o คาวา่ พีส่ าว ภาษาไทยถ่ินเชียงใหม่ เรียกวา่ “ป้ี ” ภาษาไทยถิ่นแพร่ เรียกวา่ “ใญ้ หรือ เญย้ ” (ตรงกบั คาวา่ ใหญ่)
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถน่ิ ในภาษาไทย (ต่อ) ประเภทของภาษาถ่นิ ภาษาไทยถิน่ อสี าน • ที่พดู ในจงั หวดั อุบลราชธานีกไ็ ม่เหมือนกนั กบั ภาษาไทยถ่ินอีสานท่ีพดู ท่ี จงั หวดั ขอนแก่นหรือจงั หวดั ชยั ภมู ิ ภาษาไทยถิ่นใต้ • ภาษาไทยถิ่นสงขลากไ็ ม่เหมือนกบั ภาษาไทยถ่ินใตท้ ี่พดู ในจงั หวดั นครศรีธรรมราชหรือจงั หวดั พทั ลุง
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถนิ่ ในภาษาไทย (ต่อ) ความแตกต่างระหว่างภาษาไทยถ่นิ กบั ภาษาไทยมาตรฐาน ลกั ษณะการออกเสียงแตกต่างกนั • เสียงพยญั ชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยกุ ต์ ตวั อยา่ งเช่น เสียงควบกล้า ไม่มีในภาษาถิ่นอีสาน แต่ในภาษาไทยมาตรฐาน มีท้งั ๑๒ หน่วยเสียง การใช้คาแตกต่างกนั • คาลงทา้ ย ประโยคหรือวลี o ภาษาไทยมาตรฐาน ใช้ สิ นะ คะ ครับ o ภาษาถิ่นใต้ ใช้ หา เล่า ตะ เหอ o ภาษาถิ่นอีสาน ใช้ เดอ้ นอ แน แม o ภาษาถ่ินเหนือ ใช้ เจา้ กอ อ่ือ กา
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถิ่นในภาษาไทย (ต่อ) ความแตกต่างระหว่างภาษาไทยถนิ่ กบั ภาษาไทยมาตรฐาน การใช้คาแตกต่างกนั • ใชศ้ พั ทแ์ ตกต่างกนั คาที่มีความหมายเดียวกนั ภาษาต่างถิ่นกนั อาจใช้ คนละคา
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถ่นิ ในภาษาไทย (ต่อ) ความแตกต่างระหว่างภาษาไทยถิ่นกบั ภาษาไทยมาตรฐาน คาเดยี วกนั แต่ความหมายแตกต่างกนั ระบบการสร้างคาหรือไวยากรณ์แตกต่างกนั • ภาษาถ่ินอีสานใช้ ตาสม้ ภาษาไทยมาตรฐานใช้ สม้ ตา • ภาษาถิ่นใตใ้ ช้ พอ่ หลวง, พห่ี ลวง ภาษาไทยมาตรฐานใช้ หลวงพอ่ , หลวงพ่ี • ภาษถ่ินเหนือใช้ น้าบ่อ ภาษาไทยมาตรฐานใช้ บ่อน้า
๒ อทิ ธิพลของภาษาไทยถิ่นในภาษาไทย (ต่อ) ประโยชน์ในการศึกษาภาษาไทยถิน่ • เกิดความเขา้ ใจในเรื่องของภาษาวา่ ภาษาในโลกน้ี นอกจากจะมีหลาย ตระกลู แลว้ ในตระกลู หน่ึงๆ ยงั มีภาษายอ่ ยอีกหลายภาษา • เขา้ ใจความเป็นมาของภาษาและซาบซ้ึงในวฒั นธรรมในการใชภ้ าษา และเห็นความสาคญั ของภาษาไทยถิ่นน้นั ๆ • เขา้ ใจในเร่ืองการกลายเสียงและความหมายของคา ในภาษาไทยถิ่นหน่ึง อาจเห็นการใชค้ าบางคาบางถ่ินฟังแลว้ อาจถือวา่ เป็นคาหยาบ แต่ ความหมายไม่ใช่อยา่ งที่เขา้ ใจ • เป็นแนวทางในการเรียนรู้วธิ ีการและวเิ คราะห์ภาษาในระบบต่างๆ • เป็นประโยชนใ์ นการสอนภาษาแก่เดก็ นกั เรียนท่ีพดู ภาษาถ่ินและแกไ้ ข ปัญหาเดก็ นกั เรียนท่ีออกเสียงภาษาไทยมาตรฐานไม่ชดั พร้อมนา ความรู้ไปแกป้ ัญหาในการเรียนการสอนภาษาไทยแก่เดก็ นกั เรียน
การแตง่ คาประพนั ธ์ ประเภทรา่ ยและฉันท์ กำรแต่งคำประพนั ธ์ประเภทร่ำย หน้ำ ๒๘๗ กำรแต่งคำประพนั ธ์ประเภทฉันท์ หน้ำ ๒๙๕
๓ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่ายและฉันท์ คาประพนั ธ์ร้อยกรอง เป็ นการเรียงร้อยเร่ืองราวต่างๆ ผ่านภาษาที่สละสลวยไพเราะ งดงาม ซ่ึงผูป้ ระพนั ธ์บรรจงสรรค์สร้างดว้ ยปัญญาและความพากเพียร บทประพนั ธ์ร้อยกรองจึงเป่ี ยมไปดว้ ยคุณค่าทางวรรณศิลป์ เป็นมรดกทาง ภาษาท่ีเราคนไทยทุกคนควรเรียนรู้และสร้างสรรค์บทประพนั ธ์ข้ึนใหม่ อนั เป็ นการสืบทอดและอนุรักษม์ รดกทางภาษาไทยให้คงอยคู่ ู่ชาติไทยไป ตราบนานเท่านาน
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย ร่าย • แปลวา่ อ่าน เสก หรือเดิน o ร่ายโบราณ ร่ายสุภาพ ร่ายด้นั และร่ายยาว • คณะ o ร่ายบทหน่ึงจะมีก่ีวรรคกไ็ ด้ เพียงแต่ตอ้ งเรียงคาใหค้ ลอ้ งจองกนั ตามขอ้ บงั คบั เท่าน้นั โดยทวั่ ไปมกั จะมีต้งั แต่ ๕ วรรคข้ึนไป o ตอนจบ บางชนิดจบแบบธรรมดา บางชนิดจบโดยมีขอ้ บงั คบั o จานวนคาในวรรค โดยมากกาหนด ๕ คา แต่อาจนอ้ ยกวา่ หรือ มากกวา่ กไ็ ด้ • สัมผสั o เป็นพ้นื ของร่าย คือ มีสมั ผสั ส่งทา้ ยวรรคและมีสมั ผสั รับเช่ือมหนา้ วรรคต่อไปเช่นน้ีจนจบ โดยจะตอ้ งส่งและรับคาชนิดเดียวกนั
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายสุภาพ คณะ • มีต้งั แต่ ๕ วรรคข้ึนไป จดั เป็นวรรคละ ๕ คา หรือจะเกินกวา่ ๕ คาบา้ งก็ ได้ แต่ไม่ควรเกิน ๕ จงั หวะในการอ่าน • แต่งยาวกี่วรรคกไ็ ดไ้ ม่กาหนด แต่อีกสามวรรคก่อนจบจะตอ้ งเป็นโคลง สองสุภาพเสมอ สัมผสั • คาสุดทา้ ยของวรรคหนา้ ตอ้ งสมั ผสั กบั คาท่ี ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อๆ ไป จนถึงวรรคสุดทา้ ยกใ็ หส้ ่งสมั ผสั ไปยงั บาทตน้ ของโคลงสองสุภาพ ซ่ึงเป็น สมั ผสั รับในคาท่ี ๑, ๒ หรือ ๓
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายสุภาพ สัมผสั • คาสุดทา้ ยของวรรคหนา้ ส่งสมั ผสั เป็นคาเอกหรือคาโท คาที่รับสมั ผสั ในวรรคต่อไป ตอ้ งเป็นคาเอกหรือโทเช่นเดียวกนั ซ่ึงร่ายสุภาพ มีเอก ๓ กบั โท ๓ เฉพาะที่โคลงตอนทา้ ยบท • คาท่ีส่งสมั ผสั เป็นคาเป็นหรือคาตาย คาที่รับสมั ผสั กต็ อ้ งเป็นคาเป็น หรือคาตายดว้ ย แต่คาสุดทา้ ยของบท (คาสร้อยไม่นบั ) หา้ มใชค้ าตาย หรือคาที่มีรูปวรรณยกุ ต์ • ในตอนสุดทา้ ยของบทสามารถเติมคาสร้อยไดอ้ ีก ๒ คา หรือจะเติม ทุกๆ วรรคกไ็ ด้ แต่เมื่อถึงโคลงสองตอ้ งงดเวน้ ไวแ้ ต่สร้อยของโคลง สองเอง สร้อยชนิดน้ีจะตอ้ งใหเ้ หมือนกนั ทุกวรรค เรียกชื่อวา่ “สร้อย สลบั วรรค”
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายสุภาพ
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายยาว คณะ • บทหน่ึงจะมีกี่วรรคกไ็ ด้ แต่ส่วนใหญ่มี ๕ วรรคข้ึนไป คาในวรรคหน่ึงๆ มีต้งั แต่ ๖-๑๐ คา หรืออาจมีมากกวา่ น้นั สัมผสั • มีบงั คบั เฉพาะสมั ผสั ระหวา่ งวรรค ใหค้ าสุดทา้ ยของวรรคตน้ สมั ผสั คาใด คาหน่ึงของวรรคต่อไป โดยไม่กาหนดวา่ จะตอ้ งเป็นคาใด แต่ไม่ควรใหอ้ ยู่ ใกลช้ ิดกบั คาสุดทา้ ย และไม่มีการบงั คบั เอก โท • คาสร้อยอยา่ งร่ายสุภาพ ส่วนมากมีคาสร้อยเม่ือจบตอน o น้นั แล น้ีแล ฉะน้ีแล
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายยาว คณะ • บทหน่ึงจะมีกี่วรรคกไ็ ด้ แต่ส่วนใหญ่มี ๕ วรรคข้ึนไป คาในวรรคหน่ึงๆ มีต้งั แต่ ๖-๑๐ คา หรืออาจมีมากกวา่ น้นั สัมผสั • มีบงั คบั เฉพาะสมั ผสั ระหวา่ งวรรค ใหค้ าสุดทา้ ยของวรรคตน้ สมั ผสั คาใด คาหน่ึงของวรรคต่อไป โดยไม่กาหนดวา่ จะตอ้ งเป็นคาใด แต่ไม่ควรใหอ้ ยู่ ใกลช้ ิดกบั คาสุดทา้ ย และไม่มีการบงั คบั เอก โท • คาสร้อยอยา่ งร่ายสุภาพ ส่วนมากมีคาสร้อยเม่ือจบตอน o น้นั แล น้ีแล ฉะน้ีแล
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) ร่ายยาว
๑ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย (ต่อ) กลวธิ ีการแต่งร่ายสุภาพและร่ายยาว กาหนดเรื่องราวเนือ้ หาทจี่ ะแต่ง • โดยกาหนดเรื่องราวและเน้ือหาท่ีตอ้ งการแต่งไวเ้ ป็นความเรียงธรรมดา ก่อน เพ่อื ลาดบั ความคิดและเป็นการกาหนดทิศทางของเร่ือง นาความมาเรียงกนั ทลี ะวรรคและสรรคาทเ่ี หมาะสม • โดยเลือกสรรคาที่มีน้าหนกั มีเสียงไพเราะ • นาคาที่เลือกสรรมาเรียงร้อยกนั ทีละวรรค จนสืบเนื่องจบเร่ืองราว • ควรเลือกใชค้ านอ้ ย แต่กินความมาก เป็นคาท่ีมีพลงั • ควรใชค้ าสมั ผสั ภายในวรรคดว้ ย จะยงิ่ ส่งเสริมใหร้ ่ายเกิดทานองร้อยเรียง เกาะเกี่ยวไพเราะ เสนาะหู
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ ความเข้าใจเกยี่ วกบั ครุ ลหุ ครุ • พยางคห์ รือคาท่ีมีเสียงหนกั ไดแ้ ก่ คาที่ประสมกบั สระเสียงยาวในแม่ ก กา (ไม่มีตวั สะกด) รวมอา ไอ ใอ เอา และคาที่มีตวั สะกดท้งั หมด o ดี สวย ไกล เขา เป็น นก • ใช้ เป็นสญั ลกั ษณ์แทนคา ครุ ลหุ • พยางคห์ รือคาท่ีมีเสียงเบา ไดแ้ ก่ คาท่ีประสมกบั สระเสียงส้นั ในแม่ ก กา o ชิ นะ รวิ ศิระ ปะทุ นิธิ • ใช้ เป็นสญั ลกั ษณ์แทนคา ลหุ
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ (ต่อ) วชิ ชุมมาลาฉันท์ ๘ คณะ • ๑ บท มี ๔ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๔ คา สัมผสั • คาสุดทา้ ยของวรรคแรกสมั ผสั กบั คาท่ี ๒ ของวรรคท่ี ๒ • คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ • คาสุดทา้ ยของบทที่ ๑ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ ในบทต่อไป • แต่ง ๒ บท คู่กนั เป็น ๑ ตอน ข้ึนตอนใหม่ ตอ้ งยอ่ หนา้ ทุกตอนใหค้ าสุดทา้ ย ของบทท่ี ๒ ของตอนตน้ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของบทที่ ๑ ของตอนต่อไป ครุ ลหุ • คาทุกคาในแต่ละวรรคเป็นคาครุท้งั หมด
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ (ต่อ) วชิ ชุมมาลาฉันท์ ๘
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ (ต่อ) อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ คณะ • ๑ บท มี ๔ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค วรรคแรก ๕ คา และวรรคหลงั ๖ คา สัมผสั • คาสุดทา้ ยของวรรคแรกสมั ผสั กบั คาที่ ๓ ของวรรคท่ี ๒ • คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ • ถา้ แต่งหลายบท จะตอ้ งมีสมั ผสั ระหวา่ งบท คือ คาสุดทา้ ยของบทแรก สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ในบทต่อไป ครุ ลหุ • วรรคแรก ครุ ๒ คา ลหุ ๑ คา และครุ ๒ คา • วรรคหลงั ลหุ ๒ คา ครุ ๑ คา ลหุ ๑ คา และครุ ๒ คา
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ (ต่อ) อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑
๒ การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ (ต่อ) ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ คณะ • ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๖ คา สัมผสั • คาสุดทา้ ยของวรรคแรกสมั ผสั กบั คาท่ี ๓ ของวรรคท่ี ๒ • คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๓ • ถา้ แต่งหลายบท จะตอ้ งมีสมั ผสั ระหวา่ งบท คือ คาสุดทา้ ยของบทแรก สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ในบทต่อไป ครุ ลหุ • ในแต่ละวรรคจะมีลหุ ๒ คา และครุ ๔ คา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308