Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม ๑ นานาความรู้ คู่มือการเรียนภาษาไทย ม.๕

เล่ม ๑ นานาความรู้ คู่มือการเรียนภาษาไทย ม.๕

Published by Anawin090641, 2021-08-11 14:59:22

Description: เล่ม ๑ นานาความรู้ คู่มือการเรียนภาษาไทย ม.๕

Search

Read the Text Version

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • คาครุ คือ คาท่ีออกเสียงหนกั เตม็ เสียง o คาที่มีตวั สะกดและคาที่ประสมดว้ ยสระเสียงยาวในมาตราแม่ ก กา รวมท้งั คาท่ีประสมดว้ ยสระอา ใอ ไอ เอา o ใชเ้ คร่ืองหมาย ัั • คาลหุ คือ คาที่ออกเสียงเบา o คาที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในมาตราแม่ ก กา รวมท้งั สระอา และคา บ บ่ ก็ ฤ กบั พยญั ชนะลอยที่ออกเสียงอะประสมอยู่ o ใชเ้ คร่ืองหมาย ัุ

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๘

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • อินทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๑๑

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • อินทรวงศฉ์ นั ท์ ๑๒

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • วสนั ตดิลกฉนั ท์ ๑๔

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • สทั ทุลวกิ กีฬิตฉนั ท์ ๑๙

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • อีทิสงั ฉนั ท์ ๒๐

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • หลกั การอ่านฉนั ท์ o ตอ้ งรู้คาครุ คาลหุ และคณะฉนั ทเ์ สียก่อน จึงจะอ่านไดถ้ ูกตอ้ ง o คาลหุหลายพยางค์ ควรถือเอาคาอ่านท่ีเป็นสามญั เป็นหลกั ในการ อ่านเสียก่อนแลว้ จึงอ่านใหเ้ ป็นเสียงส้นั ๆ (ลหุ) ตามคณะฉนั ท์ o การแยกคาครุออกเป็นคาลหุ ตามหลกั ที่ถกู ตอ้ งใหถ้ ือตามศพั ทเ์ ดิม เช่น พล (พะ-ละ) กศุ ล (ก-ุ สะ-ละ) สุข (สุ-ขะ) o ตอ้ งอ่านใหถ้ ูกจงั หวะวรรคตอน คาใดมีเครื่องหมายยตั ิภงั คค์ นั่ ตอ้ งอ่านคาเตม็ ก่อนแลว้ จึงอ่านตามคณะฉนั ท์

๒ การอ่านออกเสียงร้อยกรอง (ต่อ) การอ่านร้อยกรองประเภทต่างๆ การอ่านฉันท์ • หลกั การอ่านฉนั ท์ o คาท่ีรับสมั ผสั กนั ใหอ้ ่านเนน้ เสียงกวา่ ปกติ ถา้ เป็นสมั ผสั นอกตอ้ ง ทอดเสียงใหม้ ีจงั หวะยาวกวา่ ปกติ o หา้ มเอ้ือนเสียงท่ีคาลหุ เพราะมีเสียงส้นั และเบา o อ่านใหถ้ กู ทานองและทอดเสียงคาทา้ ยของวรรคใหย้ าวข้ึนนิดหน่ึง o อ่านใหไ้ ดอ้ ารมณ์ตามเน้ือหาของเร่ือง พยายามไวจ้ งั หวะในบท และบาทของฉนั ท์ ฉนั ทท์ ี่อ่านจึงจะไพเราะน่าฟัง o การอ่านตอนจะจบบทตอ้ งเอ้ือนเสียงและทอดจงั หวะใหช้ า้ ลง จนกระทง่ั จบบท

การอา่ นวเิ คราะหว์ จิ ารณ์ กำรอ่ำนเพอื่ กำรวเิ ครำะห์วจิ ำรณ์ หน้ำ ๑๓ กำรอ่ำนเพอื่ วเิ ครำะห์วจิ ำรณ์ หน้ำ ๑๗ วรรณคดแี ละวรรณกรรม

๒ การอ่านวเิ คราะห์วจิ ารณ์ การอ่าน เป็นทกั ษะที่จาเป็นต่อการรับรู้ขอ้ มลู ขา่ วสารใน ชีวติ ประจาวนั และในขณะท่ีอ่านจะตอ้ งคิด วเิ คราะห์ วิจารณ์ เพอื่ นาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ ผูเ้ รียนจึงควรฝึ กทักษะการวิเคราะห์วิจารณ์หรือประเมินค่าเรื่องที่อ่าน อย่างถูกต้องและมีเหตุผล เพ่ือจะได้เป็ นพ้ืนฐานในการวิเคราะห์วิจารณ์ ในข้ันสูงต่อไป รวมท้ังนาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวติ ประจาวนั

๑ การอ่านเพอื่ การวเิ คราะห์วจิ ารณ์ การอ่านเพอื่ การวเิ คราะห์ • การอ่านเพื่อแยกแยะขอ้ ความท่ีอ่านอยา่ งถี่ถว้ น o ทราบถึงโครงสร้าง องคป์ ระกอบ หลกั การและเหตุผลของเรื่อง o สรุปไดว้ า่ แต่ละส่วนเป็นอยา่ งไร สมั พนั ธ์กนั อยา่ งไร o เห็นความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบต่างๆ ท่ีทาใหเ้ กิดส่ิงน้นั หรือเร่ืองน้นั ๆ การวเิ คราะห์ • เป็ นการพยายามหาคาตอบว่า ขอ้ ความ บทความ หรือเรื่องท่ีอ่านน้ันให้ความรู้ อะไรบา้ ง ผเู้ ขียนแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างไร ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเรื่องน้นั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง รวมท้งั ช่วยพฒั นาสติปัญญา

๑ การอ่านเพอ่ื การวเิ คราะห์วจิ ารณ์ (ต่อ) การวจิ ารณ์ • เป็นการให้คาตดั สินสิ่งท่ีเป็ นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม โดยผมู้ ีความรู้เชื่อถือได้ วา่ มีค่าความงาม ความไพเราะดีอยา่ งไร หรือมีขอ้ ขาดตกบกพร่องอยา่ งไรบา้ ง • เป็นการติชม แต่ในความหมายโดยทว่ั ไปมกั ใชค้ าเตม็ วา่ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การวเิ คราะห์วจิ ารณ์ • เป็นการแยกแยะแลว้ นามาวจิ ารณ์ขอ้ ดีขอ้ เสีย เพื่อประเมินค่าของส่ิงใดส่ิงหน่ึง • ในท่ีน้ีจะหมายถึง การวิเคราะห์วิจารณ์ลกั ษณะของบทประพนั ธ์ แลว้ แยกแยะ ส่วนประกอบที่สาคญั และหยบิ ยกออกมาแสดงวา่ ไพเราะงดงามเพยี งไร • ถา้ ความหมายซ่อนเร้นอยกู่ ็พยายามปะติดปะต่อใหเ้ ป็ นรูปเป็นเคา้ พอท่ีผอู้ ่านจะ เขา้ ใจได้ แสดงหลกั ศิลปะและแนวความคิดของผปู้ ระพนั ธ์ • ตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่วนประกอบต่างๆ ของงานและช้ีใหเ้ ห็น ดว้ ยวา่ แต่ละส่วนมีความสาคญั ต่อส่วนรวมเพยี งไร

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม ความหมายของวรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณคดี • หนงั สือท่ีแต่งดีดว้ ยเน้ือเร่ืองและศิลปะในการประพนั ธ์ ทาใหผ้ อู้ ่านน้นั ไดร้ ับความเพลิดเพลินในการอ่าน ไดค้ วามรู้ เห็นสภาพวถิ ีชีวติ ของคน ในสงั คม ช่วยยกระดบั จิตใจใหส้ ูงข้ึน • มีค่าควรแก่การศึกษาคน้ ควา้ ซ่ึงไดพ้ สิ ูจนค์ ุณค่าแลว้ ดว้ ยกาลเวลาและ ความนิยมของผอู้ ่าน • วรรณคดีเปรียบเสมือนสมบตั ิทางวฒั นธรรมท่ีตกทอดมาจากบรรพบุรุษ

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ความหมายของวรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณกรรม • หนงั สือทวั่ ๆ ไปทุกชนิด ทุกประเภท มีความหมายรวมไปถึงจุลสาร วารสาร ปาฐกถา เทศนา สุนทรพจน์ดว้ ย วรรณกรรมจึงมีความหมายที่ กวา้ งกวา่ คาวา่ วรรณคดี บนั เทงิ คดี • เป็นเร่ืองที่แต่งข้ึนจากจินตนาการ ไม่เนน้ สาระของเร่ือง • มีจุดมุ่งหมายเพอื่ ใหอ้ ่านสนุก ผอู้ ่านจะสนุกหรือไม่ข้ึนอยกู่ บั ตวั ผอู้ ่าน เพราะระดบั ความสนุกมีหลายระดบั และมีส่วนอ่ืนๆ เขา้ มาเสริม สารคดี • เนน้ การนาเสนอขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จริง มีสาระ

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ข้นั ตอนการวเิ คราะห์วจิ ารณ์ • หาความรู้เก่ียวกบั ประเภทและลกั ษณะของเร่ืองน้นั ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้ • อ่านอยา่ งละเอียดถี่ถว้ น หาแนวคิดหลกั แก่นของเรื่องท่ีผเู้ ขียนต้งั ใจสื่อถึง • หาความรู้และขอ้ มลู ที่เกี่ยวขอ้ งในเร่ืองที่อ่านใหม้ ากท่ีสุด เพอ่ื ทาใหเ้ ขา้ ใจ เรื่องไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน • ต้งั คาถามเก่ียวกบั องคป์ ระกอบหรือขอ้ เทจ็ จริงในเร่ือง แลว้ พยายามหา คาตอบใหไ้ ด้

๒ การอ่านเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ข้นั ตอนการวเิ คราะห์วจิ ารณ์ • ฝึกต้งั คาถามเชิงคาดคะเนเหตุการณ์ท่ีอ่าน โดยมีเหตุผลประกอบ • เรียงลาดบั ความสาคญั ของประเดน็ ท่ีสาคญั และจาเป็นตอ้ งนามากล่าวใน คาวจิ ารณ์ • แยกแยะขอ้ ดีและขอ้ บกพร่องท่ีควรนามากล่าวถึง • จดั ลาดบั ประเดน็ ท่ีจาเป็นตอ้ งวจิ ารณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือช้ีใหผ้ อู้ ่านเห็น จุดดีและจุดที่ควรปรับปรุงแกไ้ ข โดยมีเหตุผลหรือขอ้ มลู ประกอบ

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) หลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรม พจิ ารณารูปแบบการประพนั ธ์ • เป็นวรรณกรรมประเภทใด o บนั เทิงคดี ประเภทนิยาย นวนิยาย นิทาน เร่ืองส้นั หรือเป็นสารคดี ประเภทบทความ ความเรียง ตาราในสาขาวชิ าต่างๆ • ส่วนร้อยกรองตอ้ งวเิ คราะห์วา่ มีลกั ษณะคาประพนั ธป์ ระเภทใด o ถา้ เป็นโคลงตอ้ งวเิ คราะห์วา่ เป็นโคลงสุภาพ โคลงด้นั โคลงกระทู้ โคลงสี่สุภาพ โคลงสามสุภาพ หรือโคลงสองสุภาพ o ผวู้ เิ คราะห์วจิ ารณ์จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ รูปแบบกบั เน้ือหาน้นั เหมาะสม กนั หรือไม่

๒ การอ่านเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) หลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์และประเมินค่าวรรณคดีและวรรณกรรม ศึกษาประวตั ผิ ู้แต่ง จุดมุ่งหมายในการแต่งและทมี่ าของเร่ือง • การรู้จกั ผแู้ ต่งจะทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเร่ืองที่แต่งชดั เจนยงิ่ ข้ึน • การอ่านคานาจะทาใหเ้ ขา้ ใจจุดประสงคใ์ นการแต่งและที่มาของเรื่อง • ในร้อยกรองผแู้ ต่งจะบอกชื่อผแู้ ต่งและจุดประสงคอ์ ยใู่ นตอนทา้ ยเรื่อง • การศึกษาประวตั ิผแู้ ต่งจะทาใหผ้ วู้ จิ ารณ์ทราบวา่ ผปู้ ระพนั ธม์ ีความรอบรู้ ในเรื่องท่ีเขียนดีเพยี งใด สามารถถ่ายทอดความรู้ลงในบทประพนั ธ์น้นั ๆ ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมเพยี งใด

๒ การอ่านเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) หลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรม พจิ ารณาองค์ประกอบของเรื่องว่าสอดคล้องเหมาะสมกนั หรือขดั แย้งกนั • ร้อยแกว้ ประเภทบนั เทิงคดี ตอ้ งวเิ คราะห์โครงเร่ือง ตวั ละคร ฉาก การ ดาเนินเร่ือง ปมขดั แยง้ การคลี่คลายเรื่องและการจบเรื่อง ตลอดจน วเิ คราะห์ถึงการแสดงความคิดเห็น ความสอดคลอ้ งสมเหตุสมผล • ร้อยแกว้ ประเภทสารคดี วเิ คราะห์ถึงความถกู ตอ้ งของเน้ือหาวา่ มีขอ้ มลู ครบถว้ น มีความสมเหตุสมผล มีหลกั ฐานในการอา้ งอิง การใชภ้ าษา เหมาะสมกบั ระดบั ของบุคคล • ร้อยกรอง พิจารณาถึงรูปแบบคาประพนั ธม์ ีรูปแบบท่ีเหมาะสมกบั เน้ือหา เน้ือหาสาระของเร่ืองมีคุณค่าในการสร้างความเพลิดเพลิน ประเทืองปัญญา สะเทือนอารมณ์ สะทอ้ นสงั คม ใหค้ วามรู้ ขอ้ คิด

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) หลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าวรรณคดีและวรรณกรรม พจิ ารณาเนือ้ หา การนาเสนอและพฤติกรรมของตวั ละคร • มีความสอดคลอ้ งกนั หรือไม่ สะทอ้ นภาพชีวติ สภาพสงั คมในสมยั ท่ีแต่ง อยา่ งไร พจิ ารณาแก่นของเรื่อง • ผแู้ ต่งต้งั ใจท่ีจะสื่อเรื่องราวเกี่ยวกบั อะไร ผปู้ ระพนั ธแ์ สดงความคิดเห็น รสนิยมและค่านิยมอยา่ งไร

๒ การอ่านเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) หลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าวรรณคดีและวรรณกรรม การวจิ ารณ์สรุปด้วยความคดิ เห็นของผู้วจิ ารณ์เอง • โดยยกขอ้ ดีใหเ้ ห็นก่อนวา่ ดีอยา่ งไร แลว้ จึงยกขอ้ บกพร่องวา่ บกพร่อง อยา่ งไร จะแกไ้ ขไดอ้ ยา่ งไร • การวจิ ารณ์ควรเป็นไปอยา่ งสร้างสรรค์ เป็นธรรมและเป็นกลาง ไม่มีอคติ • ประเมินคุณค่าในภาพรวม วา่ วรรณคดีหรือวรรณกรรมท่ีวจิ ารณ์น้นั มีคุณค่าควรแก่การอ่านหรือควรแก่การศึกษาอยา่ งไร สามารถนาคุณค่า ที่ไดร้ ับไปปรับใชใ้ นชีวติ ไดอ้ ยา่ งไร

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ตัวอย่างการวเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดใี นบทเรียน

๒ การอ่านเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ตัวอย่างการวเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดีในบทเรียน มทั นะพาธา ตานานแห่งดอกกหุ ลาบ • โศกนาฏกรรมแห่งความรัก พระราชนิพนธใ์ นรัชกาลที่ ๖ • เลือกสรรถอ้ ยคาเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตวั ละครไดด้ ี • แนวความคิดสาคญั ของเร่ือง นาเสนอใหเ้ ห็นวา่ ที่ใดมีรักที่นน่ั มีทุกข์ o ความรักยอ่ มบนั ดาลใหส้ ามารถกระทาทุกสิ่งเพอ่ื ไดค้ รอบครองและ เม่ือไม่สมหวงั o ความรักไดส้ ร้างความเจบ็ ปวดใหบ้ งั เกิดข้ึนแก่คนท้งั สอง o การใชช้ ีวติ อยา่ งมีสติ อยา่ ใหอ้ ารมณ์อยเู่ หนือเหตุผล

๒ การอ่านเพอื่ วเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ต่อ) ตัวอย่างการวเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดใี นบทเรียน โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็ นเสมยี น • เป็นเร่ืองราวเก่ียวกบั ค่านิยมและทศั นคติในการเลือกประกอบอาชีพ บทความพระราชนิพนธใ์ นรัชกาลท่ี ๖ • สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงค่านิยมของสงั คมในช่วงเวลาที่นาเสนอ การใหค้ ุณค่า และความสาคญั กบั อาชีพเสมียน จนทาใหเ้ ยาวชนหลงลืมอาชีพ เกษตรกรรมที่เป็นพ้นื ฐานของประเทศไทย • ผเู้ ขียนนาเสนอใหเ้ ห็นวา่ คนไทยมีค่านิยมที่ผดิ ทาใหเ้ ป็นอุปสรรคในการ พฒั นาประเทศ

หน่วยที่ ๒ อกั ษรสารจารจารกึ

ตอนท่ี ๒ การเขียน การเขียน เป็นกระบวนการสื่อสารที่ผเู้ขียนถา่ ยทอดความรู้ ความคิดและ จินตนาการไปสู่ผูอ้ ่านไดส้ มบูรณ์มากที่สุด เพราะในกระบวนการเขียนน้ัน ผูเ้ ขียนได้เรียงร้อยเรื่องราว ท่ีผ่านการพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียด ท้งั ในดา้ นเน้ือหาและการใชภ้ าษาเพ่ือส่ือความหมาย นอกจากน้ียงั มีการอ่าน ทบทวนแกไ้ ขก่อนจะนาเสนอเรื่องราวสู่ผอู้ ่าน การฝึ กทกั ษะการเขียน เป็ นการฝึ กฝนท้งั กระบวนการคิด การใช้ ภาษาและกระบวนการทางานท่ีละเอียดรอบคอบ ถือเป็ นพ้ืนฐาน ที่สาคญั ในการศึกษาเล่าเรียนและการทางาน

ความรู้พนื้ ฐานการเขยี น ควำมสำคญั ของกำรเขยี น การเขียนมีความสาคัญสาหรับมนุษย์ โดยเฉพาะโลกในปั จจุบันมีความ เจริญกา้ วหนา้ ไปอยา่ งรวดเร็ว การเขียนจึงยงิ่ ทวคี วามสาคญั มากข้ึนตามไปดว้ ย ซ่ึงสามารถสรุป ความสาคญั ของการเขียนได้ ดงั น้ี ๑. กำรเขยี นเป็ นกำรสื่อสำรอย่ำงหนึ่ง ซ่ึงถือเป็นลกั ษณะสาคญั เน่ืองจากการเขียนใช้ สาหรับการติดต่อส่ือสาร การใช้ภาษาในเขียนหรือพิมพจ์ ึงถือว่ามีความสาคญั มาก หากเกิด ความเขา้ ใจผดิ หรือการใชภ้ าษาบกพร่องอาจจะส่งผลกระทบต่อตวั ของผเู้ ขียนเองได้ ๒. กำรเขียนเป็ นกำรแสดงออกซึ่งภูมิปัญญำของมนุษย์ เน่ืองจากการเขียน โดยทวั่ ไปมกั ใช้สาหรับการจดบนั ทึกหรือถ่ายทอดเร่ืองราว เช่น วรรณคดีและวรรณกรรม ซ่ึงนบั เป็นภมู ปัญญาของคนในชาติหรือภมู ิภาคน้นั ๆ อนั แสดงถึงเอกลกั ษณ์ ๓. กำรเขียนเป็ นเคร่ืองมือถ่ำยทอดมรดกทำงสติปัญญำ เน่ืองจากเป็ นเครื่องมือ แสดงออกทางความคิด วฒั นธรรมของคนในชาติ ท้งั ยงั ช่วยสืบสานวฒั นธรรมอนั ดีของชาติ ๔. กำรเขยี นเป็ นเครื่องมือสร้ำงควำมสำมคั คีและควำมเจริญรุ่งเรือง ในทางตรงกนั ขา้ มกใ็ ชเ้ ป็นเคร่ืองบ่อนทาลายไดเ้ ช่นกนั

ความรู้พนื้ ฐานการเขยี น จุดมุ่งหมำยของกำรเขยี น ๑. กำรเขียนเพ่อื กำรเล่ำเรื่อง เป็นการนาเรื่องราวท่ีสาคญั มาถ่ายทอดเป็นขอ้ เขียน เช่น การเขียนเล่าประวตั ิ ๒. กำรเขียนเพ่ืออธิบำย เป็ นการเขียนเพ่ือช้ีแจงอธิบายวิธีใช้ วิธีทา ข้นั ตอน การทา โดยทว่ั ไปมกั ใชป้ ระกอบการสาธิต เช่น อธิบายการใชเ้ คร่ืองมือต่าง ๆ ๓. กำรเขียนเพื่อแสดงควำมคิดเห็น เป็ นการเขียนเพ่ือวิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เร่ืองใดเรื่องหน่ึง มกั จะเป็นการเขียนเพอ่ื วเิ คราะห์วจิ ารณ์ ๔. กำรเขียนเพ่ือโน้มน้ำวใจ เป็ นการเขียนที่ผูเ้ ขียนมีจุดประสงค์ท่ีจะชักจูง โนม้ นา้ วใจใหผ้ อู้ ่านยอมรับ หรือเปล่ียนแนวคิด ความคิดตามไปในส่ิงท่ีผเู้ ขียนเสนอ ๕. กำรเขียนเพื่อกิจธุระ เป็ นการเขียนที่ผูเ้ ขียนมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึง การเขียนชนิดน้ีมกั จะใชค้ าศพั ทห์ รือภาษาแตกต่างกนั ไปตาม ๖. กำรเขียนเพื่อสร้ ำงแนวคิดหรือจินตนำกำร เป็ นการเขียนท่ีมุ่งให้ผู้อ่าน เกิดจินตนาการคลอ้ ยตามหรือสามารถเขา้ ถึงเรื่องท่ีอ่านไดอ้ ย่างชดั เจน เช่น นิทาน นวนิยาย เร่ืองส้นั เป็นตน้

การเขยี นเรยี งความ ลกั ษณะของเรียงควำมทด่ี ี หน้ำ ๘๒ ประเภทของกำรเขยี นเรียงควำม หน้ำ ๘๓ กลวธิ ีกำรเขียนเรียงควำม หน้ำ ๘๖

๑ การเขยี นเรียงความ การเขียนเรียงความ เป็ นการเขียนร้อยแก้วที่ผูเ้ ขียนได้ถ่ายทอดความรู้ ความคิดประสบการณ์ของตนเองใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับรู้เร่ืองราวเหล่าน้นั โดยใชก้ ระบวนการ คิดที่เป็นระบบ แลว้ ถ่ายทอดผา่ นภาษาที่ร้อยเรียงอยา่ งประณีต การฝึกเขียนเรียงความจึงเป็นการฝึกทกั ษะท้งั ในดา้ นความคิดและการใชภ้ าษาอนั เป็น พ้นื ฐานของการเขียนในข้นั สูงต่อไป

๑ ลกั ษณะของเรียงความทด่ี ี เรียงความ • งานเขียนร้อยแกว้ ท่ีมุ่งถ่ายทอดความรู้ ความคิด ประสบการณ์ของผเู้ ขียนใหผ้ อู้ ่าน ไดร้ ับรู้เร่ืองราว โดยมีโครงสร้างท่ีประกอบดว้ ย คานา เน้ือเร่ืองและสรุป มีความเป็ นเอกภาพ • กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหน่ึงเพยี งเร่ืองเดียวอยา่ งชดั เจนและมีเหตุมีผลสอดคลอ้ งกนั มีสัมพนั ธภาพ • เก่ียวโยงกนั เป็ นลาดบั มีความต่อเนื่องกนั มีความสัมพนั ธ์กนั ตลอดท้งั ยอ่ หนา้ และมีเหตุผลรองรับร้อยต่อกนั ตลอดท้งั เรื่อง การใชค้ ามีความกลมกลืน มสี ารัตถภาพ • มีการเนน้ ความหรือย้าความ มีสาระที่สมบรู ณ์ตลอดท้งั เร่ือง • ยอ่ หน้าตอ้ งมีประโยคใจความสาคญั เด่นชดั มีประโยคขยายท่ีเนน้ ความสาคญั ของเร่ืองใหป้ รากฏเด่นชดั ยงิ่ ข้ึน

๒ ประเภทของการเขยี นเรียงความ เรียงความเชิงแสดงความรู้ • ผเู้ ขียนอธิบายความรู้ในสิ่งท่ีเขียนถึงลกั ษณะสาคญั คุณค่า ส่ิงที่ทาใหเ้ กิดความคิด เช่นน้นั • มุ่งใหข้ อ้ เทจ็ จริง แสดงเหตุผลจนทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ เรียงความเชิงกระทู้ธรรมและภาษติ ต่างๆ • เป็นการยกตวั อยา่ งสานวนสุภาษิต ธรรมะ พทุ ธสุภาษิต คาคม เป็นอุทาหรณ์ ประกอบ เพอื่ อธิบายกระทธู้ รรมใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายและชดั เจนยงิ่ ข้ึน ซ่ึงขอ้ ความ เหล่าน้ีอาจแทรกไวใ้ นเน้ือเร่ืองตอนใดกไ็ ดต้ ามความเหมาะสม

๒ ประเภทของการเขียนเรียงความ (ต่อ) เรียงความเชิงบรรยาย • เป็นการเขียนเล่าเร่ืองจากประสบการณ์ การศึกษาคน้ ควา้ หรือจากท่ีไดร้ ู้เห็นตาม ความเป็ นจริ งและสมจริ งท่ีสุด • ส่วนใหญ่เป็นการเขียนเรียงความเก่ียวกบั ชีวประวตั ิ ตานาน ความเช่ือ การบรรยาย สถานที่ บรรยายภาพ ฉาก บรรยากาศ ธรรมชาติ เรียงความเชิงพรรณนาโวหาร • เป็นการเขียนสอดแทรกอารมณ์และความรู้สึกของผเู้ ขียนลงไป • มีการพรรณนาอารมณ์ ความรู้สึก สร้างบรรยากาศ o การเขียนเรียงความเล่าความประทบั ใจจากการเดินทางท่องเที่ยว เพ่อื ใหเ้ กิด มโนภาพและความเพลิดเพลินแก่ผอู้ ่าน

๒ ประเภทของการเขียนเรียงความ (ต่อ) เรียงความเชิงโน้มน้าวใจ • เป็นการเขียนในลกั ษณะอบรมสง่ั สอน ช้ีแจงเหตุผลขอ้ เทจ็ จริง เชิญชวนใหผ้ อู้ ่าน เกิดความเช่ือถือ คลอ้ ยตามและปฏิบตั ิตาม o การเขียนเรียงความที่แสดงใหเ้ ห็นถึงผลดีจากการทาความดี เพือ่ โนม้ นา้ ว หรือชกั ชวนใหผ้ อู้ ื่นทาความดี • ปัจจุบนั การเขียนเรียงความไม่วา่ จะเป็นเรียงความชนิดใด นิยมเขียนในเชิง สร้างสรรค์ เพ่อื เป็นการถ่ายทอดเร่ืองราวท่ีดี สร้างความประทบั ใจใหก้ บั ผอู้ ่าน และเนน้ คุณค่าในงานเขียน • การเขียนเรียงความเชิงสร้างสรรคน์ ้นั ผเู้ ขียนจะตอ้ งมีการนาเสนอความคิดท่ี แปลกใหม่ ทนั สมยั สร้างสรรค์ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านเกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน ติดตาม อ่านขอ้ ความโดยไม่เบ่ือ

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ ข้นั ตอนการเขยี นเรียงความ เลอื กหัวข้อเร่ืองและกาหนดจุดมุ่งหมายในการเขยี น • ผทู้ ่ีจะเขียนเรียงความตอ้ งกาหนดวา่ ตนเองจะเขียนเร่ืองราวเกี่ยวกบั อะไร และเพอื่ อะไร และมีจุดมุ่งหมายใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับสิ่งใดจากเรียงความเร่ืองน้ี o เรียงความเกี่ยวกบั โทษของการด่ืมน้าอดั ลม ผเู้ ขียนอาจช้ีใหเ้ ห็นถึง โทษจากการด่ืมน้าอดั ลมและเชิญชวนใหห้ นั มาบริโภคน้าเปล่าแทน รวบรวม คดั เลอื กและจดั กลุ่มข้อมูล • ผเู้ ขียนสามารถคน้ ควา้ ขอ้ มูลไดจ้ ากแหล่งต่างๆ แลว้ นามาคดั เลือก เรียบเรียงและจดั กลุ่มเพ่ือความสะดวกในการนามาใช้ o รายการโทรทศั น์ วทิ ยุ หนงั สือพิมพ์ นิตยสาร หนงั สือ อินเทอร์เน็ต จากคาบอกเล่าของผอู้ ื่นหรือประสบการณ์ของตนเอง

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ (ต่อ) ข้นั ตอนการเขยี นเรียงความ เขยี นโครงเร่ือง • ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อใด อยา่ งไร ถือเป็นสิ่งสาคญั ในงานเขียน ทาให้ การดาเนินเรื่องเป็นไปตามลาดบั และมีความเชื่อมโยงสอดคลอ้ งกนั ลงมอื เขยี น • หลงั จากรวบรวมขอ้ มลู ไดเ้ รียบร้อยแลว้ ตอ้ งอ่านขอ้ มลู ท้งั หมดก่อนที่จะลง มือเขียน เพ่อื จบั ประเดน็ สาคญั เรียบเรียงและแกไ้ ขใหอ้ ยใู่ นกรอบโครง เรื่องที่ต้งั ไว้ โดยเป็นความคิดและภาษาของตนเอง

๓ กลวิธีการเขียนเรียงความ (ต่อ) ข้นั ตอนการเขยี นเรียงความ อ่านทบทวนและแก้ไขข้อบกพร่อง • การปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องอาจกระทาทนั ที หลงั จากท่ีเขียนเสร็จ โดยการอ่านแกไ้ ขสานวนภาษา รูปแบบ การลาดบั ความคิด หรืออาจนามา ปรับปรุงแกไ้ ขหลงั จากที่เขียนไปแลว้ ระยะหน่ึง • ควรใหผ้ อู้ ื่นไดอ้ ่านและวจิ ารณ์ เพอ่ื จะไดน้ าไปปรับปรุงแกไ้ ข

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขียนเรียงความ การต้งั ช่ือเรื่อง • การต้งั ช่ือเร่ืองท่ีดีตอ้ งครอบคลุมเน้ือหาท้งั หมด • เมื่ออ่านชื่อเรื่องแลว้ ตอ้ งเป็นท่ีสนใจ สะดุดตาผอู้ ่าน เกิดความรู้สึก อยากทราบเร่ืองราวที่เกิดข้ึนในเน้ือเร่ืองต่อไป

๓ กลวธิ ีการเขยี นเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขยี นเรียงความ การเขยี นส่วนนา • การเขียนคานาเป็นการเกริ่นนาสู่เน้ือเรื่อง • ตอ้ งไม่เยนิ่ เยอ้ มีสดั ส่วนเหมาะสมกบั เน้ือเรื่อง • นาเขา้ สู่เน้ือเรื่องไดอ้ ยา่ งน่าสนใจ • วธิ ีการเขียนคานามีหลายวธิ ี o การต้งั คาถาม o การยกสานวนสุภาษิต o บทกวหี รือคากล่าวของบุคคลสาคญั o การเริ่มตน้ ดว้ ยบทสนทนาหรือการกล่าวถึงบุคคลในเน้ือเร่ือง

๓ กลวิธีการเขียนเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขียนเรียงความ การเขียนส่วนนา

๓ กลวิธีการเขยี นเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขยี นเรียงความ การเขยี นเนือ้ เรื่อง • เน้ือเรื่องเป็นส่วนที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปของเรียงความ • ก่อนเขียนเน้ือเรื่อง ควรมีโครงเร่ืองท่ีชดั เจนวา่ จะเขียนเร่ืองเก่ียวกบั อะไร มีอะไรเป็นประเดน็ หลกั ประเดน็ รอง และความสมั พนั ธ์กนั ของ ประเดน็ ต่างๆ ในเน้ือเร่ือง o เรียงตามลาดบั เวลาก่อน-หลงั เหตุผล ความสาคญั หรือตาแหน่ง พ้ืนที่ ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของเน้ือหา o ประกอบดว้ ยยอ่ หนา้ ที่ส่ือความชดั เจน o เน้ือหามีความสมั พนั ธ์กนั o มีรายละเอียดท่ีชดั เจน

๓ กลวธิ ีการเขยี นเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขยี นเรียงความ การเขยี นเนือ้ เร่ือง

๓ กลวิธีการเขียนเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขยี นเรียงความ การเขยี นส่วนสรุป • ส่วนสรุปเป็นส่วนของการเขียนในตอนทา้ ยเพอื่ ปิ ดเรื่อง • จะตอ้ งรวบยอดความคิดสาคญั ต่างๆ ในเน้ือเรื่อง • ไม่ควรใชค้ าข้ึนตน้ ยอ่ หนา้ วา่ “สรุป” “สรุปแลว้ ” “ที่กล่าวมาสรุปไดว้ า่ ” หรือคาอื่นที่มีความหมายในลกั ษณะเดียวกนั • ไม่ควรกล่าวเน้ือความซ้ากบั ส่วนเน้ือเร่ือง • ตอ้ งกล่าวเนน้ สาระสาคญั ของเร่ือง เพอ่ื เนน้ ใหผ้ อู้ ่านสามารถจดจาเน้ือ เร่ืองไดเ้ ป็นอยา่ งดี

๓ กลวิธีการเขียนเรียงความ (ต่อ) วธิ ีการเขยี นเรียงความ การเขยี นส่วนสรุป

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ (ต่อ) การพฒั นาการเขียนเรียงความ • อ่านเรียงความที่ชนะการประกวดหลายๆ สานวนและทาแผนผงั ความคิด หวั ขอ้ ยอ่ ย • เปรียบเทียบแผนผงั ความคิดของเรียงความแต่ละเรื่องที่นามาศึกษา • เลือกรูปแบบการนาเสนอที่น่าสนใจ ลองเปล่ียนเร่ืองและกาหนดหวั ขอ้ ยอ่ ยลงในแผนผงั ความคิดของตนเอง • เขียนเรียงความตามแผนผงั ความคิดของตนเองโดยคานึงถึงลกั ษณะของ เรียงความท่ีดี • ปรับปรุงผลงาน ฝึกเขียนจนเกิดทกั ษะสามารถกาหนดวธิ ีการนาเสนอ ดว้ ยตวั เองได้

๓ กลวธิ ีการเขยี นเรียงความ (ต่อ) การพฒั นาการเขยี นเรียงความ

๓ กลวธิ ีการเขยี นเรียงความ (ต่อ) การพฒั นาการเขียนเรียงความ ข้อสังเกต จากตวั อยา่ งเรียงความ เร่ือง “คนดีที่บอกเล่า : พระครูวทิ ิตพฒั น- โสภณ เจา้ อาวาสวดั พระศรีอารย์ จงั หวดั ราชบุรี” • องค์ประกอบของเรียงความ มี ๘ ยอ่ หนา้ แบ่งเป็น o ยอ่ หนา้ ๑ เป็นคานาเรื่อง การเปิ ดเรื่อง o ยอ่ หนา้ ๒-๗ เป็นเน้ือเรื่อง o ยอ่ หนา้ สุดทา้ ย เป็นสรุปเรื่องหรือปิ ดเร่ือง

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ (ต่อ) การพฒั นาการเขียนเรียงความ ข้อสังเกต จากตวั อยา่ งเรียงความ เร่ือง “คนดีท่ีบอกเล่า : พระครูวทิ ิตพฒั นโสภณ เจา้ อาวาสวดั พระศรีอารย์ จงั หวดั ราชบุรี” • ความสมบูรณ์ของเนือ้ หา แนวคิดหลกั พระครูวทิ ิตพฒั นโสภณ วดั พระศรีอารย์ จงั หวดั ราชบุรี เป็นผทู้ ี่เป็นตน้ แบบแห่งคนดี o เป็นผทู้ ่ีมีความประพฤติดีเป็นแบบอยา่ งใหค้ นในสงั คม o เป็นผสู้ ร้างชุมชนวดั พระศรีอารยใ์ หม้ ีชีวติ ที่ดีข้ึน o เป็นผสู้ ร้างเยาวชนท่ีดีคืนสู่สงั คม o เป็นผรู้ ักษาและสืบทอดศิลปวฒั นธรรมไทยดา้ นวา่ วจุฬา o เป็นผสู้ อนใหช้ าวบา้ นเรียนรู้ความเป็นอยแู่ บบพอเพยี ง

๓ กลวธิ ีการเขียนเรียงความ (ต่อ) การพฒั นาการเขยี นเรียงความ ข้อสังเกต จากตวั อยา่ งเรียงความ เร่ือง “คนดีที่บอกเล่า : พระครูวทิ ิตพฒั น- โสภณ เจา้ อาวาสวดั พระศรีอารย์ จงั หวดั ราชบุรี” • ท่วงทานองการเขยี น ผเู้ ขียนเลือกใชถ้ อ้ ยคาที่เขา้ ใจง่าย เรียบเรียงเป็น ประโยคใหช้ วนอ่านและสื่อความหมายชดั เจน o “พระคุณเจา้ ที่มากลน้ ดว้ ยความดี มากมีดว้ ยใจพฒั นาคน้ คิด นา และ ทาสิ่งท่ีเป็นประโยชน์เพื่อวดั ” • สานวนโวหาร ผเู้ ขียนใชโ้ วหารเหมาะกบั เร่ือง คือ เป็นเร่ืองแนวช้ีแจง ผเู้ ขียนจึงใชโ้ วหารอธิบายเป็นหลกั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook