Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Published by วิทย บริการ, 2022-07-02 02:20:56

Description: กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าการสอนสังคมศึกษา 1 ดร. กันต์กนษิ ฐ ธนชั พรพงศ์ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ 2563

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าการสอนสังคมศึกษา 1 ดร. กันต์กนษิ ฐ ธนชั พรพงศ์ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ 2563

คำนำ เอกสารประกอบการสอน รายวิชาการสอนสงั คมศกึ ษา1 ประกอบดว้ ย ความเป็นมาของการจดั การศึกษา ระดบั ประเทศ การใหค้ วามสาคญั กบั การศกึ ษาใหป้ ระชาชนทุกคนไดร้ บั การศกึ ษาเพอ่ื เป็นสมาชิกท่ี ดขี องสังคม เปน็ แรงงานนาพาการพฒั นาประเทศต่อไปได้ทดแทนคนรุ่นตอ่ ๆ ไป เปน็ วงจรยาวนาน ตอ่ มาเปน็ เนอ้ื หาของจิตวิทยาพฒั นาการ เพื่อทาความเข้าใจผู้เรียนแล้ว จงึ สามารถจดั การเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม เม่ือเลอื กทฤษฎีการเรยี นรไู้ ดก้ ม็ าค้นหาวธิ ีการจดั การเรยี นการสอนใหส้ อดคลอ้ ง เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น และกลมุ่ สาระสงั คมศกึ ษา หลักการสอน หลกั การจดั การเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรรู้ ปู แบบตา่ งๆ ในเอกสารเล่ม นี้มีเนือ้ หาสาระพร้อมวธิ ีการวดั ผลประเมินผลการจดั การเรยี นรูไ้ วใ้ ห้พร้อมนาไปเลือกใช้ได้ เมื่อจดั การเรยี นรู้ แลว้ ต่อมากม็ าวัดผลประเมินผลการเรียนรู้วา่ ประสบความสาเร็จมากนอ้ ยเพยี งใด พร้อมกบั มเี นอื้ หาสาระของ กลุ่มสาระสงั คมศึกษาทัง้ 5 กลมุ่ สาระตามมาตรฐานการเรียนรขู้ องสานกั งานคณะกรรมการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ในเอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ี นาเสนอการจดั กระบวนการเรยี นร้ตู ามแนวคิด CCR-CBE ในยคุ ปจั จบุ นั ทใี่ ห้ความสนใจแนวคดิ จิตตปญั ญาศกึ ษา การโค้ช และโครงงานฐานวจิ ยั เพอ่ื ตอบโจทยท์ กั ษะใน ศตวรรษที่ 21 และนาเสนอผลงานวจิ ัยจากการจัดกระบวนการเรยี นรู้ตามแนวคิด CCR-CBE ของผู้เขียนไวด้ ้วย ขอขอบคุณนกั ศกึ ษาทุกรุ่น ทกุ คนที่ไดเ้ รียนรายวชิ านม้ี าดว้ ยกันตลอด ดร.กนั ตก์ นิษฐ ธนชั พรพงศ์ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงสารบญั หนา้ หัวขอ้ 1 3 คานา 3 แผนบริหารการสอนประจารายวิชา 3 4 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 17 บทท่ี 1 หลักการเบอ้ื งต้นของการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน 20 22 1. บทนำ 24 24 2. ควำมหมำยของกำรศกึ ษำพนื้ ฐำน 24 3. พระรำชบญั ญัตกิ ำรศึกษำแหง่ ชำติ พ.ศ. 2542 24 4. หลักสตู รกำรศกึ ษำขน้ั พื้นฐำน 26 27 5. บทสรปุ 29 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2 29 บทท่ี 2 จติ วิทยาพฒั นาการ 30 33 1. บทนำ 37 2. พฒั นำกำรชีวิตมนุษย์: ควำมคิดรวบยอด 40 3. ควำมหมำยของพัฒนำกำรและกำรเจริญเติบโต 40 46 4. กระบวนกำรพฒั นำกำร (The Process of Development) 48 5. หลกั กำรของพฒั นำกำรของมนุษย์ (Principles of Growth Development) 51 6. พัฒนำกำรในวยั ตำ่ งๆ 54 55 6.1 วยั กอ่ นเกดิ 57 6.2 วัยทำรก 57 6.3 วยั เด็กตอนต้นหรือวัยเดก็ ก่อนเขำ้ โรงเรียน 57 57 6.4 วัยเดก็ ตอนกลำงหรอื วยั เขำ้ เรียน 59 7. ข้นั ของพฒั นำกำร (Stages of Development) 60 61 7.1 ทฤษฎจี ิตวเิ ครำะห์ 61 7.2 Erikson’s Theory 7.3 Piaget’s Theory 7.4 Kohlberg’s Theory 8. บทสรปุ แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 3 บทท่ี 3 ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. บทนำ 2. กลุ่มใหญท่ ่ี 1 ทฤษฎีเกี่ยวกบั กำรเรยี นรู้ในชว่ งก่อนคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 2.1 กลมุ่ ยอ่ ยที่ 1 เนน้ กำรฝกึ จิตหรือสมอง 2.2 กลุ่มย่อยท่ี 2 เนน้ กำรพัฒนำไปตำมธรรมชำติ 2.3 กลุ่มย่อยท่ี 3 เน้นกำรรบั ร้แู ละเชอ่ื มโยงควำมคดิ 3. กลมุ่ ใหญ่ท่ี 2 ทฤษฎีเกยี่ วกบั กำรเรยี นรู้ในช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 3.1 กลุ่มย่อยท่ี 1 กลมุ่ พฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงสารบญั (ตอ่ ) หนา้ หัวขอ้ 68 75 3.2 กล่มุ ยอ่ ยที่ 2 กลมุ่ พุทธนิ ิยมหรอื ควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจ (Cognitivism) 78 3.3 กลุ่มยอ่ ยท่ี 3 กลมุ่ มนุษยนิยม (Humanism) 81 3.4 กล่มุ ย่อยท่ี 4 กลมุ่ ผสมผสำน (Eclecticism) 82 4. บทสรุป 84 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 84 บทที่ 4 หลักการเบอื้ งตน้ ในการจัดการเรียนการสอน 84 1. บทนำ: หลกั กำรสอน 84 2. ควำมหมำยของกำรสอน 85 3. ควำมหมำยของกำรสอน จำแนกตำมควำมมงุ่ หมำย 85 4. องค์ประกอบของกำรเรยี นกำรสอน 85 5. จุดประสงค์กำรเรียนกำรสอน 86 6. รปู แบบกำรสอน 86 7. กำรเลอื กวิธสี อน 88 8. ลกั ษณะกำรสอนท่ดี ี 88 9. กำรสอนสงั คมศกึ ษำ 91 10. กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรำยวิชำสังคมศึกษำแบบ Active learning 93 11. สอนสงั คมอย่ำงไรในศตวรรษที่ 21 95 12. บทสรปุ 97 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5 97 บทที่ 5 หลกั การและแนวคดิ ในการจดั การเรยี นการสอนร่วมสมยั 98 บทนำ 100 1.หลักกำรจัดกำรเรียนกำรสอนทำงตรง 102 2.หลกั กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยยดึ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลำง 103 2.1 แบบเน้นตวั ผูเ้ รียน 105 2.2 แบบเน้นควำมรู้ ควำมสำมำรถ 107 2.3 แบบเน้นประสบกำรณ์ 109 2.4 แบบเน้นปญั หำ 112 2.5 แบบเนน้ ทักษะกระบวนกำร 115 2.6 แบบเน้นบรู ณำกำร 116 บทสรุป 118 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 6 118 บทที่ 6 รูปแบบการเรียนรูต้ ามพฤตกิ รรมทางการศกึ ษา 118 1. บทนำ: ควำมหมำยของรปู แบบ (Model) 119 2. ประเภทของรปู แบบ 3. รูปแบบกำรเรียนกำรสอน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงสารบัญ(ตอ่ ) หนา้ หวั ขอ้ 119 119 3.1 ควำมหมำยของรปู แบบกำรเรียนกำรสอน 119 3.2 องค์ประกอบของรปู แบบกำรเรียนกำรสอน 3.3 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนแบบตำ่ งๆ 120 3.3.1 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนทเี่ น้นกำรพฒั นำด้ำนพทุ ธพิ สิ ัย 128 (cognitive domain) 132 3.3.2 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเี่ น้นกำรพัฒนำด้ำนจติ พสิ ยั (affective domain) 135 3.3.3 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรพัฒนำด้ำนทกั ษะพสิ ัย 139 (psycho-motor domain) 149 150 3.3.4 รปู แบบกำรเรียนกำรสอนทเี่ น้นกำรพัฒนำทกั ษะกระบวนกำร 152 (process skills) 152 152 3.3.5 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรบรู ณำกำร 152 (integration) 153 153 4. บทสรปุ 154 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 7 155 บทที่ 7 การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ 156 158 1.บทนำ :แนวคดิ ของกำรจดั กำรเรียนรู้เชิงรกุ 162 2. ควำมหมำยของกำรจัดกำรเรยี นรเู้ ชิงรกุ 166 3. ควำมสำคญั ของกำรจดั กำรเรยี นรเู้ ชิงรกุ 167 4. ลักษณะของกำรจัดกำรเรียนรเู้ ชิงรกุ 175 5. ลกั ษณะกจิ กรรมทเ่ี ป็นกำรเรียนรเู้ ชิงรุก 176 6. รูปแบบวิธีกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นร้เู ชงิ รุก 178 6.1 รปู แบบกำรเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐำน (Activity-Based Learning) 6.2 รูปแบบกำรเรยี นร้เู ชิงประสบกำรณ(์ Experiential Learning) 178 6.3 กำรเรยี นรูโ้ ดยใช้ปญั หำเปน็ ฐำน (Problem-Based Learning) 178 6.4 รูปแบบกำรเรยี นรู้โดยใช้โครงงำนเป็นฐำน ( Project-Based Learning ) 180 7. บทบำทของผสู้ อนในกำรเรยี นรเู้ ชงิ รกุ 182 8. กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนรเู้ ชงิ รุก 9. บทสรุป แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 8 บทที่ 8 ความสาคญั ของประสบการณก์ บั การเช่อื มโยงการเรยี นรู้ บทนำ 1.ควำมสำคญั ของประสบกำรณ์ 2.ศักยภำพในกำรเรียนรู้ 3.กำรเช่ือมโยงประสบกำรณก์ บั กำรเรียนรู้

สารบัญ(ต่อ) หวั ข้อ หน้า 4.กำรออกแบบสิ่งแวดลอ้ มกำรเรียนรู้มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 187 191 บทสรุป 193 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 9 195 บทท่ี 9 การจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ CCR-CBE 195 195 1. บทนำ 196 2. แนวคดิ CCR นำสูฐ่ ำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ 201 3. กำรจดั กระบวนกำรเรียนรตู้ ำมแนวคดิ จติ ตปญั ญำศกึ ษำ(C: Contemplative Education) 202 204 4. กำรจัดกระบวนกำรเรยี นร้ตู ำมแนวคดิ กำรโคช้ (C:Coach) 5. กำรจดั กระบวนกำรเรียนร้ตู ำมกำรวจิ ัยเปน็ ฐำน (R: Research Based Learning) 207 6. งำนวิจัยกำรจดั กำรเรยี นรตู้ ำมแนวคิด CCR-CBE 209 7. บทสรุป 211 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 10 211 บทที่ 10 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 211 211 1. บทนำ 212 2. จดุ มุง่ หมำยของกำรวัดประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ 215 3. หลักกำรของกำรวัดประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ 217 219 4. กำรวัดผลกำรเรียนรู้ 221 5. กำรประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ 223 6. กำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 223 224 7.บทสรปุ 225 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 11 226 บทท่ี 11 เน้ือหาสาระสงั คมศกึ ษา 226 230 1. บทนำ: ทำไมตอ้ งเรยี นสังคมศกึ ษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม 235 2. สำระและมำตรฐำนกำรเรยี นรู้ 240 3. คุณภำพผ้เู รยี น 245 250 4. กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้แยกตำมชัน้ ปี 4.1 ชน้ั ประถมศึกษำปที ี่ 1 256 4.2 ช้ันประถมศึกษำปที ่ี 2 257 4.3 ชั้นประถมศึกษำปีที่ 3 4.4 ชั้นประถมศกึ ษำปีที่ 4 4.5 ช้นั ประถมศึกษำปีท่ี 5 4.6 ชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ 6 5. บทสรุป บรรณานกุ รม

แผนบริหารการสอนประจารายวิชา รหัสวชิ า SE 58757 3 (2-2-5) รายวิชา การสอนสังคมศึกษา 1 Social Studies Teaching 1 เวลาเรียน 40 ชั่วโมง/ภาคเรยี น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง คาอธิบายรายวชิ า ศึกษาทฤษฎกี ารเรยี นรู้ จิตวิทยาการเรยี นรขู้ องนักเรยี นในระดบั ประถมศึกษา พฒั นาการของวัยแต่ ละชว่ งช้ันในระดับประถมศึกษา หลักการสอนแบบต่างๆ ความสาคัญของประสบการณก์ ับการเช่ือมโยงการ เรียนรู้ และศึกษาหลักวิชาการในกลุ่มสาระสังคมศกึ ษา เพ่อื นามาออกแบบบูรณาการจัดการเรยี นการสอนให้ เหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั ในระดบั ประถมศกึ ษา วตั ถปุ ระสงค์ทว่ั ไป 1.เพอ่ื ให้นักศึกษาสามารถนาความรู้ทั้งหมดจากรายวิชาน้ี มาวางแนวทางการสอนสงั คมศึกษาไดถ้ ูกต้อง เหมาะสมกับวฒุ ิภาวะของเด็กนักเรียนระดับประถม 2. เพอ่ื ใหน้ กั ศกึ ษาบรรลุสมรรถนะทางคุณธรรมจริยธรรม ปัญญา ความรู้ ความสมั พนั ธ์ทางสังคม การวิเคราะหต์ ัวเลข และการจดั การเรียนการสอน 3.เพื่อให้นักศึกษาตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญของการเป็นครูสังคมศึกษา อันเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมไทยซง่ึ ถอื เปน็ สว่ นหน่งึ ของพันธกจิ แหง่ วิชาชีพครู 4. เพือ่ ให้นักศกึ ษาสามารถจัดกระบวนการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะตามแนวคดิ CCR-CBE 5. เพ่ือให้นักศึกษาบรรลุสมรรถนะของความตระหนักถงึ การเปน็ ครสู ังคมจอมบึง เน้อื หา 1 ช่ัวโมง 2 ชัว่ โมง บทที่ 1 หลกั การเบือ้ งต้นของการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน 1. บทนา 2. ความหมายของการศกึ ษาพ้นื ฐาน 3. พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 4. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 5. บทสรุป บทท่ี 2 จติ วิทยาพัฒนาการ 1. บทนา 2. พฒั นาการชีวิตมนษุ ย:์ ความคิดรวบยอด 3. ความหมายของพัฒนาการและการเจรญิ เตบิ โต

4. กระบวนการพัฒนาการ (The Process of Development) 5. หลกั การของพฒั นาการของมนุษย์ (Principles of Growth Development) 6. พฒั นาการในวัยต่างๆ 6.1 วยั ก่อนเกดิ 6.2 วยั ทารก 6.3 วยั เดก็ ตอนต้นหรอื วัยเดก็ ก่อนเขา้ โรงเรียน 6.4.วัยเด็กตอนกลาง หรอื วัยเข้าเรยี น 7. ขน้ั ของพัฒนาการ (Stages of Development) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 7.1 ทฤษฎจี ติ วิเคราะห์ 7.2 Erikson’s Theory 7.3 Piaget’s Theory 7.4 Kohlberg’s Theory 8. บทสรปุ บทที่ 3 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 3 ชัว่ โมง 1. บทนา 2. กลุม่ ใหญท่ ี่ 1 ทฤษฎเี กี่ยวกับการเรยี นรู้ในช่วงก่อนครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 2.1 กลุ่มย่อยที่ 1 เน้นการฝึกจิตหรือสมอง (Mental Discipline) 2.2 กลมุ่ ย่อยที่ 2 เน้นการพฒั นาไปตามธรรมชาติ (Natural Unfoldment) 2.3กลุ่มย่อยท่ี 3 เนน้ การรบั รแู้ ละเชอ่ื มโยงความคดิ (Apperception หรอื Herbartianism) 3. กลมุ่ ใหญท่ ่ี 2 ทฤษฎเี กย่ี วกบั การเรียนรใู้ นช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 3.1 กลมุ่ ย่อยท่ี 1 กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) 3.2 กลมุ่ ย่อยที่ 2 กลมุ่ พทุ ธินิยมหรือความรูค้ วามเข้าใจ (Cognitivism) 3.3 กลุ่มยอ่ ยที่ 3 กลมุ่ มนษุ ยนยิ ม (Humanism) 3.4 กลุม่ ยอ่ ยท่ี 4 กลมุ่ ผสมผสาน (Eclecticism) 4. บทสรุป บทท่ี 4 หลกั การเบื้องต้นในการจดั การเรยี นการสอน 4 ชั่วโมง 1. บทนา: หลกั การสอน 2. ความหมายของการสอน 3. ความหมายของการสอน จาแนกตามความมงุ่ หมาย 4. องคป์ ระกอบของการเรียนการสอน 5. จุดประสงคก์ ารเรยี นการสอน 6. รูปแบบการสอน 7. การเลอื กวิธีสอน 8. ลักษณะการสอนทด่ี ี 9. การสอนสังคมศึกษา 10. การจัดการเรยี นการสอนในรายวชิ าสังคมศกึ ษาแบบ Active learning 11. สอนสงั คมอยา่ งไรในศตวรรษที่ 21 12. บทสรปุ

บทท่ี 5 หลักการและแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนรว่ มสมัย 5 ชั่วโมง บทนา 1.หลักการจดั การเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction) 1.1 การจดั การเรยี นการสอนทางตรงแบบใชผ้ ลการวจิ ัย 1.2 การจัดการเรยี นการสอนทางตรงแบบใช้ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 2.หลักการจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง (Student-Centered Instruction) 2.1 แบบเนน้ ตัวผูเ้ รยี น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2.1.1 การจัดการเรยี นการสอนตามเอกัตภาพ 2.1.2 การจัดการเรียนรู้โดยผ้เู รยี นนาตนเอง 2.2 แบบเนน้ ความรู้ ความสามารถ 2.2.1 การจัดการเรียนรแู้ บบรจู้ ริง 2.2.2 การจดั การเรยี นการสอนแบบรบั ประกันผล 2.2.3 การจดั การเรยี นการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ 2.3 แบบเนน้ ประสบการณ์ 2.3.1 การจดั การเรยี นรู้แบบเนน้ ประสบการณ์ 2.3.2 การจดั การเรียนร้แู บบรบั ใช้สงั คม 2.3.3 การจดั การเรียนรู้ตามสภาพจรงิ 2.4 แบบเน้นปัญหา 2.4.1 การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้ปญั หาเป็นหลกั 2.4.2 การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก 2.5 แบบเน้นทกั ษะกระบวนการ 2.5.1 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสบื สอบ 2.5.2 การจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการคิด 2.5.3 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการกลมุ่ 2.5.4 การจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการวจิ ยั 2.5.5 การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 2.5.6 แบบเนน้ บรู ณาการ 3.หลกั การจดั การเรียนการสอนโดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นหลัก( Technology Information Instruction) 3.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู 3.2 การจดั การเรยี นการสอนทางไกล 3.3 การจัดการเรียนการสอนผ่านเครอื ข่ายเวิลด์ ไวด์ เวบ็ บทสรปุ

บทที่ 6 รูปแบบการเรียนรู้ตามพฤตกิ รรมทางการศกึ ษา 4 ชว่ั โมง 1. บทนา: ความหมายของรปู แบบ (Model) 2. ประเภทของรปู แบบ 3. รปู แบบการเรยี นการสอน 3.1 ความหมายของรปู แบบการเรียนการสอน 3.2 องคป์ ระกอบของรปู แบบการเรยี นการสอน 3.3 รูปแบบการเรียนการสอนแบบต่างๆ 3.3.1 รปู แบบการเรียนการสอนทเี่ น้นการพฒั นาด้านพทุ ธิพิสยั (cognitive มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง domain) 3.3.2 รูปแบบการเรียนการสอนทเี่ นน้ การพัฒนาด้านจติ พสิ ยั (affective domain) 3.3.3 รปู แบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การพฒั นาด้านทกั ษะพสิ ัย (psycho-motor domain) 3.3.4 รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ การพัฒนาทกั ษะกระบวนการ (process skills) 3.3.5 รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี น้นการบูรณาการ (integration) 4. บทสรุป บทที่ 7 การจดั การเรยี ร้เู ชิงรุก 4 ชัว่ โมง 1.บทนา :แนวคดิ ของการจดั การเรียนรู้เชิงรกุ 2. ความหมายของการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ 3. ความสาคัญของการจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รุก 4. ลกั ษณะของการจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ 5. ลกั ษณะกิจกรรมทเี่ ปน็ การเรยี นรเู้ ชิงรุก 6. รูปแบบวธิ กี ารจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้เชงิ รุก 6.1 รปู แบบการเรียนรูโ้ ดยใช้กิจกรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning) 6.2 รปู แบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์(Experiential Learning) 6.3 การเรยี นร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) 6.4 รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน ( Project-Based Learning ) 7. บทบาทของผสู้ อนในการเรยี นรเู้ ชิงรกุ 8. การออกแบบการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ 9. บทสรุป บทท่ี 8 ความสาคญั ของประสบการณ์กบั การเชอ่ื มโยงการเรียนรู้ 4 ช่วั โมง บทนา 1.ความสาคญั ของประสบการณ์ 2.ศักยภาพในการเรยี นรู้ 3.การเชอ่ื มโยงประสบการณก์ บั การเรยี นรู้ 4.การออกแบบสิง่ แวดลอ้ มการเรียนรู้ บทสรปุ

บทที่ 9 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด CCR-CBE 5 ชัว่ โมง 1. บทนา 2. แนวคิด CCR นาสู่ฐานสมรรถนะการเรียนรู้ 3. การจดั กระบวนการเรียนรตู้ ามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา(C: Contemplative Education) 4. การจัดกระบวนการเรยี นรตู้ ามแนวคิดการโคช้ (C:Coach) 5. การจัดกระบวนการเรียนรูต้ ามการวจิ ยั เป็นฐาน (R: Research Based Learning) 6. งานวิจัยการจดั การเรียนร้ตู ามแนวคดิ CCR-CBE 7. บทสรุป มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทท่ี 10 การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 4 ชว่ั โมง 1. บทนา 2. จดุ มงุ่ หมายของการวัดประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 3. หลกั การของการวดั ประเมินผลการเรยี นรู้ 4. การวดั ผลการเรยี นรู้ 5. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6. การวัดและประเมินผลการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 7.บทสรุป บทท่ี 11 เนื้อหาสาระสงั คมศกึ ษา 4 ชว่ั โมง 1. บทนา: ทาไมตอ้ งเรียนสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม 2. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 3. คุณภาพผเู้ รยี น 4. กลุ่มสาระการเรียนรแู้ ยกตามชั้นปี 4.1 ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 4.2 ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 4.3 ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 4.4 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 4.5 ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 4.6 ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 5. บทสรุป วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. การจดั การเรยี นรู้ดว้ ยแนวคดิ CCR-CBE 2. การจดั การเรยี นรู้ดว้ ยแนวคิดโครงงานฐานวจิ ยั (Research Based Learning:RBL) 3. การจดั การเรยี นรู้ด้วยแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) 4. การจดั การเรียนรดู้ ว้ ยแนวคิดโค้ชและระบบพเี่ ลี้ยง(Coach and Mentoring) 5. การจัดการเรยี นรแู้ บบใช้คาถาม (Questioning Method) 6. วิธสี อนแบบโมเดลซปิ ปา 7. วิธสี อนแบบโครงงาน(Project Method) 8. การจัดการเรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน

9. การจดั การเรียนร้แู บบค้นพบ (Discovery Method) 10. การจดั การเรียนรแู้ บบนริ นยั (Deductive Method) 11. การจดั การเรียนรแู้ บบอปุ นัย (Induction Method) 12. การพฒั นาทกั ษะ/กระบวนการแก้ปญั หา 13. การพฒั นาทกั ษะ/กระบวนการใหเ้ หตผุ ล 14. การจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้(Inquiry Process) 15. วธิ สี อนแบบอุปนยั (Inductive Method) 16. วธิ ีสอนแบบนิรนัย (Deductive Method) 17. วิธสี อนแบบอภปิ ราย (Discussion Method) 18. วิธีสอนแบบสบื สวนสอบสวน 19. วธิ สี อนแบบแบ่งกลุ่มทางาน (Committee Work Method) 20. วิธสี อนแบบศึกษาด้วยตนเอง (Self Study Method) 21. วธิ สี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 22. การสอนแบบบรู ณาการ (Integration Instruction) 23. การสอนให้เกิดความคิดสรา้ งสรรค์ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ส่ือการเรยี นการสอน 1. ไฟล์วีดทิ ศั น์ 2. ภาพเลอื่ นประกอบการบรรยาย (slide) 3. เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสอนสงั คมศกึ ษา 1 การวัดผลและประเมนิ ผล รอ้ ยละ 80 รอ้ ยละ 20 1. การวัดผล รอ้ ยละ 40 (4ครั้ง) 1.1 ประเมินผลระหว่างภาค รอ้ ยละ 20 สอบขอ้ เขียนกลางภาค ร้อยละ 20 รายงานกลุ่ม การสอบสอน(เดีย่ ว) ร้อยละ 100 1.2 ประเมินผลปลายภาค รวมคะแนน

2. การประเมนิ ผล ระดบั คะแนน ความหมายของผลการเรยี น ค่าระดับคะแนน คา่ ร้อยละ A ดเี ยย่ี ม 4.0 85-100 B+ ดีมาก 3.5 80-84 B ดี 3.0 75-79 C+ ดีพอใช้ 2.5 70-74 C พอใช้ 2.0 65-69 D+ ออ่ น 1.5 60-64 D ออ่ นมาก 1.0 55-59 E ตก 0.0 0-54 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 หัวข้อเนอ้ื หา 1. บทนำ 2. ควำมหมำยของกำรศกึ ษำพ้นื ฐำน 3. พระรำชบญั ญัตกิ ำรศึกษำแหง่ ชำติ พ.ศ. 2542 4. หลักสูตรกำรศึกษำขนั้ พนื้ ฐำน 5. บทสรปุ วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. อธบิ ำยกำรแบ่งกำรศกึ ษำออกเป็นชว่ งชนั้ ตำ่ งๆ ได้ถูกตอ้ ง 2. อธิบำยควำมสำคญั ของกำรศกึ ษำขัน้ พืน้ ฐำนไดถ้ กู ตอ้ ง 3. อธบิ ำยควำมสำคัญของคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ได้ถกู ตอ้ ง 4. อธบิ ำยควำมสำคัญของสมรรถนะทสี่ ำคัญได้ถกู ต้อง 5. อธิบำยวิธกี ำรจดั แบง่ กำรเรยี นกำรสอนไดถ้ ูกตอ้ ง วิธสี อนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 กำรจดั กำรเรียนร้แู บบใชค้ ำถำม 1.2 กำรจดั กำรเรยี นรูแ้ บบใชป้ ัญหำเปน็ ฐำน 1.3 กำรพฒั นำทกั ษะ/กระบวนกำรให้เหตผุ ล 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดูวดี ิทัศนท์ ีแ่ สดงตวั อย่ำงปญั หำเดก็ เรร่ อ่ นต่ำง ๆ อำจำรยก์ ระตุน้ ใหส้ งั เกตปัญหำและ ตอบคำถำมเก่ยี วกบั ปญั หำเดก็ เรร่ ่อนต่ำง ๆ ตง้ั คำถำมให้นักศกึ ษำช่วยกันคิดหำคำตอบวำ่ ปญั หำเดก็ เรร่ อ่ น กอ่ เกดิ ปญั หำอะไรในสงั คมไดบ้ ำ้ ง 2.2 นักศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพ่อื ตรวจสอบคำตอบและควำมเห็นตรงกนั กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ควำมรหู้ รอื ไม่อยำ่ งไร 2.3 อำจำรย์ชักชวนคน้ หำเหตผุ ล อธบิ ำยประเดน็ สำคญั เร่อื งกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน 2.4 นกั ศึกษำต้ังกลุ่มย่อย อภิปรำยประเด็นปัญหำของเด็กเรร่ ่อนต่ำงๆ 2.5 อำจำรยจ์ ดั สมั นำให้นกั ศกึ ษำหำเหตผุ ลปญั หำของเด็กเรร่ ่อนต่ำงๆ เพอื่ นร่วมชัน้ แสดงควำมคิดเหน็ ตอ่ อย่ำงมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ควำมเหน็ อธิบำยให้นักศึกษำได้แลกเปลยี่ นเรียนรรู้ ว่ มกัน 2.6 นักศกึ ษำศึกษำกำรจดั แบ่งกำรเรียนกำรสอนจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นกั ศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภิปรำยเพื่อสรปุ เนอ้ื หำท่ีได้เรยี นรู้ 2.8 อำจำรย์มอบหมำยใหน้ กั ศกึ ษำสะทอ้ นคิดเป็นรำยบุคคล ส่อื การเรยี นการสอน 1. ไฟลว์ ีดทิ ศั น์แสดงตวั อยำ่ งเดก็ เร่ร่อน 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผัง 3. เอกสำรประกอบกำรสอน

2 การวัดผลและประเมนิ ผล 1. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวนขณะเรยี นรู้ 2. วดั และประเมินผลจำกกำรอภิปรำย สมั มนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะท้อนคิดในสมุดสะท้อนคดิ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3 บทท่ี 1 หลกั การเบือ้ งตน้ ของการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน 1. บทนา การศกึ ษา เปน็ นโยบายทางการปกครอง ตอ้ งการใหป้ ระชาชนรู้หนงั สอื อา่ นออก เขียนได้ เพอื่ ต้องการสร้างสมาชิกใหม่ของสงั คมออกมาทดแทนสมาชกิ เกา่ มีลักษณะเคลื่อนที่ไปแบบสมดุล กลา่ วคือ สมาชิกใหมไ่ ดร้ บั การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มาทางานในสงั คมแทนสมาชกิ เกา่ การศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานเปน็ ส่งิ ทร่ี ฐั มอบ ใหส้ มาชิกใหม่ของสงั คมอย่างเท่าเทียวกัน เสมอภาคกนั ทุกคน ถว้ นหนา้ ทกุ คนไดเ้ ขา้ รับการศกึ ษาพร้อมกนั ตามเกณฑท์ รี่ ฐั กาหนด ไดร้ ับการศึกษาไปตลอดช่วงชวี ติ จวบจนสาเรจ็ การศกึ ษาเขา้ ทางานไดต้ ามมาตรฐาน ข้ันต่าน่ัน คอื ใช้เวลาในการรบั การศกึ ษาเปน็ จานวนเวลา15 ปี หมายถึงจบการศึกษาทร่ี ะดับมัธยมปีที่ 3 เมอื่ เรม่ิ ตน้ การศกึ ษาทรี่ ะดับประถมปที ่ี 1 การศึกษาขน้ั พื้นฐานจดั การเรยี นการสอนตามวุฒิภาวะ แบ่งเป็นช่วงช้นั ตา่ งๆ กาหนดคุณลักษณะอัน พึงประสงคเ์ มอื่ จบช่วงชัน้ หน่ึงๆ ไวแ้ ล้ว และยังกาหนดคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะทสี่ าคัญไว้ ดว้ ย มีการจัดการเรียนการสอนการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี นดว้ ย ในบทนมี้ ขี ้อมูลลงรายละเอียดเร่อื ง ความหมายของการศกึ ษาพื้นฐาน การกาหนดนโยบายเก่ียวกับการศกึ ษาพ้ืนฐาน และหลกั สตู รการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน ดังตอ่ ไปน้ี 2. ความหมายของการศึกษาพนื้ ฐาน คาว่า “การศึกษาพืน้ ฐาน” (Basic Education) เป็นคาทมี่ คี วามหมายหลากหลากในสหรฐั อเมรกิ า การศึกษาพืน้ ฐานหมายถงึ “การสอนใหม้ ที กั ษะในการสอื่ สาร คดิ คานวณ และเขา้ สงั คม เพอ่ื ใหบ้ ุคคลสามารถ อ่านออกเขยี นได้ คดิ คานวณเป็น สามารถค้นควา้ หาความรู้ตอ่ ไปได้ รู้จักโลกแหง่ การงาน หนว่ ยสวัสดกิ าร สงั คม ทางานกบั นายจา้ งได้ รู้จกั การบรโิ ภคที่เหมาะสมรจู้ กั การปรบั ปรงุ สุขภาพ”ตามความหมาย นม้ี ุ่งถงึ การศกึ ษาเบอ้ื งตน้ เปน็ สาคญั องคก์ ารยูเนสโก ซง่ึ เปน็ ศนู ยร์ วมของนานาชาติในด้านการศึกษา ไดใ้ หค้ า นยิ ามการศกึ ษาพ้นื ฐานไวว้ า่ “การศกึ ษาสาหรับคนทุกเพศทกุ วยั ใหม้ โี อกาสได้เรยี นความรทู้ ัว่ ไปทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ ก่ชวี ิต ปลูกฝงั ให้ เกดิ ความอยากเรยี นอยากรู้ มที กั ษะในการเรยี นดว้ ยตนเอง รู้จักถาม สงั เกต วิเคราะห์ ตระหนักว่าตนเป็นส่วน หนึ่งของชมุ ชน มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง และผ้อู ื่น” ความต้องการการเรียนรูข้ ้นั พน้ื ฐาน (Basic learning needs) หมายถึง ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และ ค่านยิ มท่จี าเปน็ สาหรบั บคุ คลเพอื่ ความอย่รู อด ปรับปรงุ คุณภาพชวี ิตและการเรียนรตู้ อ่ เนอื่ ง การศึกษาพนื้ ฐาน (Basic education) หมายถึง การศกึ ษาทม่ี ุ่งให้ตอบสนองความต้องการทางการ เรียนรขู้ น้ั พ้นื ฐาน ซง่ึ รวมถงึ การเรียนการสอนในระดบั ตน้ ซงึ่ เปน็ พื้นฐานใหแ้ ก่การเรียนรขู้ ้ันตอ่ ไป เชน่ การศกึ ษาสาหรบั เดก็ วยั เร่ิมต้น การศกึ ษาระดับประถม การสอนใหร้ หู้ นังสอื ทักษะความรทู้ ัว่ ไป ทกั ษะเพื่อ การดารงชวี ติ สาหรบั เยาวชนและผ้ใู หญ่ ในบางประเทศ การศึกษาพื้นฐานยงั ขยายขอบเขตไปถึงระดับมธั ยม ดว้ ย ดังนนั้ จงึ เหน็ ไดว้ า่ การศกึ ษาพ้นื ฐานมไิ ด้หมายความจากัดอย่เู ฉพาะการศึกษาช้ันประถม ศกึ ษา ซง่ึ เปน็ การศึกษาชัน้ ตน้ เท่านั้น แต่ยงั ครอบคลมุ การศึกษาชน้ั มัธยมศึกษา ซึง่ บคุ คลส่วนใหญม่ ีโอกาสได้ เขา้ เรยี นด้วย แผนการศึกษาแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช 2535 ไดก้ ล่าวไว้ในหมวดท่ี 3 แนวนโยบายการศึกษาวา่ “ให้ การศึกษาระดบั มัธยมศกึ ษาเป็นการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานของปวงชน รัฐพงึ เรง่ รัดและขยายการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4 เพ่ือปวงชนอยา่ งทั่วถงึ เพอื่ ยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนให้สูงขนึ้ ” ขอ้ ความน้แี สดงให้เห็นวา่ ทาง ราชการไทยไดถ้ ือวา่ การศึกษาขั้นพนื้ ฐานมีขอบเขตครอบคลมุ ถงึ การศึกษาระดบั มธั ยมดว้ ย รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2540 ได้ระบไุ ว้วา่ “มาตรา 43 บุคคล ยอ่ มมีสทิ ธิ เสมอกนั ในการรบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน ไมน่ อ้ ยกวา่ สบิ สองปี ที่รัฐจะตอ้ งจดั ให้ทว่ั ถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บ คา่ ใชจ้ ่าย--” ซ่ึงเปน็ การยืนยันอกี ครง้ั หนงึ่ ว่าการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานมีขอบเขตขยายถึงการศกึ ษาระดบั มธั ยม ปลายซงึ่ ใชเ้ วลาเรยี นตั้งแตร่ ะดับประถมศกึ ษาสบิ สองปี 3. พระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยทเี่ ปน็ การสมควรมี กฎหมายวา่ ดว้ ยการศึกษาแหง่ ชาติ พระราชบญั ญัตนิ ี้มบี ทบญั ญัตบิ างประการเกย่ี วกบั การจากัดสิทธแิ ละเสรีภาพของบุคคล ซงึ่ มาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 50 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทย บัญญัตใิ หก้ ระทาได้ โดยอาศัยอานาจตามบทบญั ญัติแห่งกฎหมายจงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ตรา พระราชบัญญตั ขิ น้ึ ไวโ้ ดยคาแนะนาและยินยอมของรฐั สภา ดังตอ่ ไปน้ี มาตรา 1 พระราชบญั ญตั นิ เี้ รียกว่า \"พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542\" มาตรา 2 พระราชบัญญัตินีใ้ หใ้ ชบ้ ังคับตงั้ แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ต้นไป มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบงั คบั ระเบียบ ประกาศ และคาสง่ั อ่ืนในสว่ นท่ไี ด้ บญั ญตั ไิ วแ้ ล้วในพระราชบญั ญตั นิ ้ี หรอื ซงึ่ ขดั หรอื แย้งกบั บทแห่งพระราชบญั ญตั ิน้ี ให้ใชพ้ ระราชบญั ญตั นิ แี้ ทน มาตรา 4 ในพระราชบญั ญตั ิน้ี \"การศึกษา\" หมายความว่า กระบวนการเรยี นรเู้ พือ่ ความเจรญิ งอกงามของบุคคล และสงั คม โดยการถา่ ยทอดความรู้ การฝกึ การอบรม การสืบสานทางวฒั นธรรม การสรา้ งสรรคจ์ รรโลงความกา้ วหนา้ ทางวิชาการ การสร้างองค์ความรอู้ นั เกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสงั คมการเรยี นรู้ และปัจจัยเกือ้ หนุนให้ บคุ คลเรยี นรอู้ ย่างตอ่ เนอื่ งตลอดชีวิต \"การศึกษาข้ันพื้นฐาน\" หมายความว่า การศึกษากอ่ นระดบั อดุ มศกึ ษา \"การศกึ ษาตลอดชีวติ \" หมายความวา่ การศกึ ษาท่ีเกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาใน ระบบ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั เพ่ือใหส้ ามารถพฒั นาคุณภาพชวี ติ ไดอ้ ย่างต่อเนื่อง ตลอดชวี ิต \"สถานศึกษา\" หมายความว่า สถานพัฒนาเดก็ ปฐมวยั โรงเรยี น ศนู ยก์ ารเรยี น วทิ ยาลยั สถาบนั มหาวิทยาลัย หนว่ ยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอน่ื ของรฐั หรอื ของเอกชน ที่มีอานาจหน้าทหี่ รอื มี วัตถุประสงคใ์ นการจดั การศกึ ษา \"สถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน\" หมายความว่า สถานศึกษาทีจ่ ดั การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน \"มาตรฐานการศกึ ษา\" หมายความว่า ขอ้ กาหนดเกย่ี วกบั คุณลักษณะ คุณภาพท่พี ึงประสงค์ และมาตรฐานท่ตี อ้ งการใหเ้ กดิ ข้ึนในสถานศกึ ษาทกุ แหง่ และเพ่อื ใช้เปน็ หลกั ในการเทียบเคียงสาหรับการ สง่ เสริมและกากบั ดูแล การตรวจ-สอบ การประเมนิ ผล และการประกันคณุ ภาพทางการศึกษา \"การประกนั คณุ ภาพภายใน\"หมายความวา่ การประเมินผลและการตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพ และมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาน้นั เอง หรอื โดยหนว่ ยงานต้น สังกดั ที่มหี นา้ ทีก่ ากบั ดแู ลสถานศึกษานัน้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5 \"การประกนั คุณภาพภายนอก\" หมายความวา่ การประเมินผลและการตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษาจากภายนอก โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพ การศึกษาหรือบุคคลหรอื หนว่ ยงานภายนอกทส่ี านกั งานดังกลา่ วรบั รอง เพ่ือเป็นการประกนั คุณภาพ และให้มี การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษา \"ผสู้ อน\" หมายความวา่ ครูและคณาจารยใ์ นสถานศึกษาระดบั ตา่ ง ๆ \"ครู\" หมายความวา่ บุคลากรวชิ าชพี ซึ่งทาหนา้ ทหี่ ลกั ทางดา้ นการเรียนการสอน และการ สง่ เสริมการเรียนรขู้ องผเู้ รียนดว้ ยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศกึ ษาทั้งของรฐั และเอกชน \"คณาจารย์\" หมายความว่า บุคลากรซง่ึ ทาหนา้ ทห่ี ลกั ทางดา้ นการสอนและการวจิ ยั ในสถาน ศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษาระดับปรญิ ญาของรัฐและเอกชน \"ผู้บริหารสถานศกึ ษา\" หมายความว่า บคุ ลากรวชิ าชพี ท่ีรบั ผดิ ชอบการบรหิ ารสถานศกึ ษาแต่ ละแหง่ ทง้ั ของรัฐและเอกชน \"ผูบ้ ริหารการศกึ ษา\" หมายความว่า บคุ ลากรวชิ าชีพท่รี บั ผิดชอบการบรหิ ารการศกึ ษานอก สถานศกึ ษาตั้งแต่ระดับเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาข้ึนไป \"บคุ ลากรทางการศึกษา\" หมายความวา่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผบู้ รหิ ารการศกึ ษารวมท้ังผู้ สนับสนุนการศกึ ษา เป็นผทู้ าหน้าท่ีใหบ้ ริการหรอื ปฏบิ ตั งิ านเก่ียวเนือ่ งกบั การจดั กระบวนการเรยี นการสอน การนิเทศ และการบรหิ ารการศึกษาในหนว่ ยงานการศกึ ษาต่าง ๆ \"กระทรวง\" หมายความวา่ กระทรวงศึกษาธกิ าร ศาสนา และวัฒนธรรม \"รัฐมนตร\"ี หมายความวา่ รัฐมนตรผี ้รู กั ษาการตามพระราชบัญญตั นิ ้ี มาตรา 5 ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงการศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม รกั ษาการตาม พระราชบญั ญัตนิ ี้ และมอี านาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศเพ่ือปฏิบตั กิ ารตามพระราชบญั ญตั ิน้ี กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศน้ัน เมื่อไดป้ ระกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว้ ใหใ้ ช้บงั คบั ได้ 3.1 ความมงุ่ หมายและหลกั การ มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเปน็ ไปเพ่ือพัฒนาคนไทยใหเ้ ปน็ มนุษยท์ สี่ มบูรณท์ ง้ั รา่ งกาย จติ ใจ สตปิ ญั ญา ความรู้ และคุณธรรม มจี รยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดารงชีวติ สามารถอยู่รว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้ อยา่ งมีความสขุ มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรู้ ตอ้ งมุ่งปลกู ฝงั จิตสานักท่ถี ูกตอ้ งเกยี่ วกับการเมืองการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข รจู้ ักรกั ษา และสง่ เสรมิ สทิ ธิ หน้าท่ี เสรภี าพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาคและศักด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์ มีความภาคภมู ิใจในความเปน็ ไทย รู้จักรกั ษาผลประโยชน์สว่ นรวมและของประเทศชาติรวมทงั้ สง่ เสริมศาสนา ศลิ ปะวฒั นธรรมของชาติ กีฬา ภูมิ ปญั ญาท้องถ่ิน ภูมปิ ัญญาไทย และความรอู้ ันเป็นสากล ตลอดจนอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม มคี วามสามารถในการประกอบอาชีพรจู้ กั พึง่ ตนเอง มคี วามริเรม่ิ สร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรยี นรู้ดว้ ยตนเองอย่าง ตอ่ เนือ่ ง มาตรา 8 การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังน้ี (1) เปน็ การศกึ ษาตลอดชีวติ สาหรบั ประชาชน (2) ให้สงั คมมสี ว่ นร่วมในการจดั การศึกษา (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรยี นรูใ้ หเ้ ป็นไปอย่างตอ่ เนอื่ ง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 6 มาตรา 9 การจัดระบบ โครงสรา้ ง และกระบวนการจัดการศกึ ษา ให้ยดึ หลกั ดงั น้ี (1) มเี อกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏบิ ตั ิ (2) มีการกระจายอานาจไปสเู่ ขตพน้ื ที่การศกึ ษา สถานศึกษา และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ (3) มกี ารกาหนดมาตรฐานการศกึ ษา และจัดระบบประกนั คุณภาพการศึกษาทกุ ระดบั และ ประเภทการศกึ ษา (4) มีหลักการสง่ เสรมิ มาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา และการ พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง (5) ระดมทรพั ยากรจากแหลง่ ต่าง ๆ มาใชใ้ นการจัดการศกึ ษา (6) การมสี ่วนรว่ มของบคุ คล ครอบครวั ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ เอกชน องคก์ รเอกชน องคก์ รวชิ าชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบนั สังคมอนื่ 3.2 สิทธแิ ละหนา้ ทที่ างการศึกษา มาตรา 10 การจดั การศึกษา ตอ้ งจดั ใหบ้ คุ คลมีสทิ ธิและโอกาสเสมอกันในการรบั การศึกษา ข้ันพ้นื ฐานไม่น้อยกวา่ สิบสองปีทรี่ ฐั ตอ้ งจดั ใหอ้ ยา่ งทั่วถึงและมคี ุณภาพโดยไมเ่ ก็บค่าใช้จ่าย การจดั การศกึ ษาสาหรบั บคุ คลซ่ึงมคี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย จติ ใจ สตปิ ัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรยี นรู้ หรือมรี ่างกายพิการ หรอื ทพุ พลภาพหรือบคุ คลซง่ึ ไม่สามารถพงึ่ ตนเองไดห้ รอื ไม่มผี ูด้ แู ลหรอื ด้อยโอกาส ต้องจัดใหบ้ ุคคลดังกล่าวมสี ทิ ธิและโอกาสไดร้ ับการศกึ ษาข้ันพื้นฐานเปน็ พิเศษ การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ ารในวรรคสอง ใหจ้ ัดตั้งแต่แรกเกิดหรอื พบความพิการโดยไม่เสียคา่ ใช้ จ่าย และใหบ้ ุคคลดงั กลา่ วมสี ทิ ธไิ ดร้ ับส่ิงอานวยความสะดวก สอื่ บริการ และความชว่ ยเหลอื อ่นื ใดทางการ ศกึ ษา ตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารทก่ี าหนดในกฎกระทรวง การจัดการศึกษาสาหรบั บุคคล ซึ่งมีความสามารถพเิ ศษ ต้องจดั ด้วยรูปแบบทเ่ี หมาะสมโดย คานึงถึงความสามารถของบุคคลน้นั มาตรา 11 บดิ า มารดา หรอื ผปู้ กครองมหี นา้ ทจ่ี ัดใหบ้ ตุ รหรือบคุ คล ซ่งึ อยใู่ นความดแู ลได้รบั การศึกษาภาคบงั คับตามมาตรา 17 และตามกฎหมายทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ตลอดจนใหไ้ ดร้ ับการศกึ ษานอกเหนอื จาก การศกึ ษาภาคบงั คบั ตามความพรอ้ มของครอบครัว มาตรา 12 นอกเหนอื จากรัฐ เอกชน และองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ให้บุคคล ครอบครวั องคก์ รชมุ ชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สงั คมอน่ื มสี ทิ ธิใน การจดั การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ทงั้ น้ี ใหเ้ ปน็ ไปตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 13 บดิ า มารดา หรือผปู้ กครองมสี ทิ ธิไดร้ ับสทิ ธิประโยชน์ ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) การสนับสนุนจากรัฐ ใหม้ ีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดู และการให้การศกึ ษา แกบ่ ุตรหรือบุคคลซงึ่ อยู่ในความดแู ล (2) เงนิ อุดหนุนจากรฐั สาหรบั การจดั การศกึ ษาขน้ั พื้นฐานของบุตรหรอื บคุ คลซึ่งอยู่ในความ ดแู ลที่ครอบครวั จดั ให้ ท้งั น้ี ตามทกี่ ฎหมายกาหนด (3) การลดหย่อนหรอื ยกเว้นภาษีสาหรับค่าใช้จา่ ยการศึกษาตามทกี่ ฎหมายกาหนด มาตรา 14 บคุ คล ครอบครวั ชมุ ชน องค์กรชุมชน องคก์ รเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถาน-ประกอบการ และสถาบันสงั คมอนื่ ซงึ่ สนบั สนนุ หรือจดั การศึกษาข้ันพืน้ ฐานมสี ทิ ธไิ ดร้ ับสิทธิ ประโยชนต์ ามควรแกก่ รณี ดังตอ่ ไปนี้

7 รับผิดชอบ (1) การสนับสนุนจากรฐั ใหม้ ีความรู้ความสามารถในการอบรมเลย้ี งดบู คุ คลซงึ่ อยู่ในความดูแล (2) เงินอดุ หนนุ จากรฐั สาหรบั การจดั การศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานตามทก่ี ฎหมายกาหนด (3) การลดหย่อนหรอื ยกเวน้ ภาษสี าหรับคา่ ใชจ้ า่ ยการศกึ ษาตามทก่ี ฎหมายกาหนด 3.3 ระบบการศกึ ษามหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง มาตรา 15 การจัดการศกึ ษามสี ามรปู แบบ คือ การศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และ การศึกษาตามอธั ยาศยั (1) การศึกษาในระบบ เปน็ การศกึ ษาทกี่ าหนดจุดมงุ่ หมาย วธิ ีการศกึ ษา หลักสตู รระยะเวลา ของการศกึ ษา การวดั และประเมินผล ซึง่ เป็นเงื่อนไขของการสาเรจ็ การศึกษาทแี่ น่นอน (2) การศึกษานอกระบบ เปน็ การศึกษาทมี่ คี วามยดื หยุ่น ในการกาหนดจุดมุ่งหมายรปู แบบ วธิ กี ารจัดการศกึ ษา ระยะเวลาของการศึกษา การวดั และประเมินผล ซึง่ เป็นเงือ่ นไขสาคัญของการสาเร็จการ ศกึ ษาโดยเนื้อหาและหลกั สตู รจะตอ้ งมีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหา และความต้องการของบุคคล แต่ละกลมุ่ (3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาท่ีใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดลอ้ มสือ่ หรือแหลง่ ความรูอ้ ่ืน ๆ สถานศกึ ษาอาจจัดการศกึ ษาในรปู แบบใดรปู แบบหนง่ึ หรอื ทง้ั สามรูปแบบก็ได้ใหม้ กี ารเทียบ โอนผลการเรียนที่ผเู้ รยี นสะสมไวใ้ นระหวา่ งรปู แบบเดยี วกันหรอื ต่างรปู แบบได้ ไมว่ า่ จะเป็นผลการเรียนจาก สถานศกึ ษาเดียวกนั หรือไม่ก็ตาม รวมทงั้ จากการเรียนรนู้ อกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรอื จาก ประสบการณ์การทางาน มาตรา 16 การศกึ ษาในระบบมีสองระดบั คอื การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน และการศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษา การศึกษาขน้ั พืน้ ฐานประกอบดว้ ยการศกึ ษาซึง่ จดั ไมน่ อ้ ยกว่าสิบสองปกี อ่ นระดบั อุดมศกึ ษา การแบง่ ระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง การศึกษาระดับอดุ มศึกษาแบง่ เป็นสองระดบั คือ ระดับตา่ กวา่ ปรญิ ญา และระดบั ปริญญา การแบง่ ระดบั หรือการเทยี บระดบั การศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอธั ยาศัยใหเ้ ป็นไป ตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 17 ใหม้ กี ารศึกษาภาคบังคับจานวนเก้าปี โดยใหเ้ ด็กซง่ึ มีอายุยา่ งเขา้ ปที ่เี จด็ เข้าเรยี น ในสถานศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานจนอายุยา่ งเขา้ ปีทสี่ บิ หกเว้นแตส่ อบได้ชั้นปที ีเ่ ก้าของการศกึ ษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์ และวธิ กี ารนบั อายุใหเ้ ป็นไปตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง มาตรา 18 การจัดการศึกษาปฐมวยั และการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานให้จัดในสถานศึกษา ดงั ต่อไปน้ี (1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวยั ได้แก่ ศูนยเ์ ดก็ เลก็ ศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ ศูนย์พัฒนาเดก็ กอ่ น เกณฑข์ องสถาบันศาสนา ศูนย์บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ ของเด็กพิการและเดก็ ซงึ่ มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ หรอื สถานพฒั นาเด็กปฐมวัยท่เี รียกชอื่ อย่างอ่ืน (2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรยี นของรฐั โรงเรียนเอกชน และโรงเรยี นทส่ี งั กดั สถาบนั พุทธศาสนา หรอื ศาสนาอืน่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8 (3) ศนู ยก์ ารเรียน ได้แก่ สถานทีเ่ รยี นทห่ี นว่ ยงานจดั การศกึ ษานอกโรงเรียนบุคคล ครอบครวั ชมุ ชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ องคก์ รเอกชน องคก์ รวชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบ การ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบนั สงั คมอ่ืนเปน็ ผจู้ ดั มาตรา 19 การจดั การศกึ ษาระดบั อุดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบันวทิ ยาลยั หรือ หน่วยงานที่เรยี กชอื่ อยา่ งอ่ืน ทงั้ นี้ให้เป็นไปตามกฎหมายเกยี่ วกับสถานศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา กฎหมายว่าด้วย การจดั ตง้ั สถานศกึ ษาน้นั ๆ และกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง มาตรา 20 การจัดการอาชวี ศึกษา การฝกึ อบรมวชิ าชีพ ให้จัดในสถานศกึ ษาของรัฐ หรอื ของ เอกชน สถานประกอบการ หรอื โดยความรว่ มมอื ระหวา่ งสถานศึกษากับสถานประกอบการ ท้งั นี้ใหเ้ ป็นไปตาม กฎหมายวา่ ดว้ ยการอาชีวศึกษาและกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ ง มาตรา 21 กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอน่ื ของรฐั อาจจดั การศกึ ษา เฉพาะทางตามความต้องการ และความชานาญของหน่วยงานนน้ั ได้ โดยคานึงถึงนโยบาย และมาตรฐาน การศกึ ษาของชาติ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเง่อื นไขท่กี าหนดในกฎกระทรวง 3.4 แนวการจัดการศกึ ษา มาตรา 22 การจดั การศกึ ษาตอ้ งยดึ หลกั วา่ ผูเ้ รยี นทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้ และพฒั นา ตนเองได้ และถอื ว่าผเู้ รยี นมีความสาคญั ทส่ี ุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องสง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นสามารถพฒั นา ตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพ มาตรา 23 การจัดการศึกษา ทงั้ การศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตาม อธั ยาศยั ตอ้ งเน้นความสาคัญท้งั ความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบรู ณาการตามความเหมาะสมของ แต่ละระดบั การศึกษาในเรือ่ งตอ่ ไปนี้ (1) ความรเู้ ร่ืองเกย่ี วกับตนเอง และความสมั พนั ธข์ องตนเองกับสงั คม ไดแ้ ก่ ครอบครวั ชมุ ชน ชาติ และสงั คมโลก รวมถึงความรู้เกยี่ วกบั ประวตั ิศาสตร์ ความเป็นมาของสังคมไทย และระบบการเมืองการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ (2) ความรูแ้ ละทักษะดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทงั้ ความร้คู วามเข้าใจและประสบ- การณเ์ รือ่ งการจัดการ การบารงุ รกั ษาและการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มอย่างสมดลุ ยั่งยืน (3) ความรู้เกีย่ วกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภมู ิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภมู ิ ปญั ญา (4) ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกตอ้ ง (5) ความรู้ และทกั ษะในการประกอบอาชพี และการดารงชวี ิตอยา่ งมีความสุข มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ใหส้ ถานศกึ ษา และหน่วยงานท่เี ก่ยี วขอ้ ง ดาเนินการ ดังตอ่ ไปนี้ (1) จัดเนอื้ หาสาระ และกจิ กรรมใหส้ อดคล้องกบั ความสนใจ และความถนัดของผู้เรยี นโดย คานึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล (2) ฝกึ ทักษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยกุ ตค์ วามรู้ มาใช้เพ่อื ป้องกนั และแก้ไขปญั หา (3) จดั กจิ กรรมให้ผเู้ รียนได้เรียนรจู้ ากประสบการณจ์ ริง ฝกึ การปฏิบัตใิ หท้ าได้ คิดเปน็ ทาเปน็ รกั การอา่ นและเกดิ การใฝ่รอู้ ยา่ งตอ่ เนือ่ ง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 9 (4) จดั การเรยี นการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านตา่ ง ๆ อยา่ งได้สัดสว่ นสมดลุ กนั รวมทั้งปลกู ฝังคณุ ธรรม คา่ นยิ มท่ดี ีงามและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคไ์ ว้ในทกุ วิชา (5) ส่งเสรมิ สนบั สนุนใหผ้ ้สู อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สอ่ื การเรยี นและอานวย ความสะดวกเพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนร้แู ละมคี วามรอบรู้รวมทง้ั สามารถใชก้ ารวิจยั เป็นส่วนหนงึ่ ของกระบวน การเรียนรู้ ทง้ั น้ี ผสู้ อนและผ้เู รียนอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกันจากส่อื การเรยี นการสอนและแหล่งวทิ ยาการประเภท ต่าง ๆ (6) จัดการเรียนรูใ้ หเ้ กดิ ขึ้นได้ทกุ เวลาทกุ สถานท่ี มกี ารประสานความร่วมมือกบั บิดา มารดา ผูป้ กครอง และบุคคลในชมุ ชนทุกฝา่ ย เพ่อื ร่วมกันพฒั นาผเู้ รียนตามศักยภาพ มาตรา 25 รัฐตอ้ งสง่ เสรมิ การดาเนินงานและการจัดต้งั แหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ทุกรปู แบบ ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ ประชาชน พพิ ิธภัณฑ์ หอศลิ ป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อทุ ยานวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศนู ย์การกฬี า และนนั ทนาการ แหลง่ ข้อมูลและแหล่งการเรยี นรอู้ ่ืนอยา่ งพอเพียง และมี ประสทิ ธิภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจดั การประเมนิ ผู้เรยี น โดยพจิ ารณาจากพัฒนาการของผเู้ รียน ความประพฤติ การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียน การร่วมกจิ กรรม และการทดสอบควบค่ไู ปในกระบวนการเรยี น การสอนตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับและรูปแบบการศึกษา ใหส้ ถานศึกษาใชว้ ิธกี ารที่หลากหลายในการจดั สรรโอกาสการเข้าศกึ ษาต่อ และใหน้ าผลการ ประเมินผูเ้ รยี นตามวรรคหนึง่ มาใช้ประกอบการพจิ ารณาดว้ ย มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กาหนดหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้น พื้นฐานเพือ่ ความเป็นไทย ความเป็นพลเมอื งทดี่ ีของชาติ การดารงชีวติ และการประกอบอาชีพตลอดจนเพ่อื การศึกษาตอ่ ใหส้ ถานศึกษาข้นั พนื้ ฐานมีหนา้ ท่ีทาสาระของหลักสตู รตามวัตถุประสงคใ์ นวรรคหนง่ึ ในส่วนท่ี เกีย่ วกบั สภาพปญั หาในชมุ ชนและสังคม ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์เพอ่ื เป็นสมาชกิ ทีด่ ีของ ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ มาตรา 28 หลักสูตรการศกึ ษาระดบั ต่างๆรวมท้ังหลกั สูตรการศึกษาสาหรบั บุคคลตามมาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ตอ้ งมลี กั ษณะหลากหลาย ทัง้ น้ี ใหจ้ ัดตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับ โดยมุ่งพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของบคุ คลให้เหมาะสมแกว่ ยั และศักยภาพ สาระของหลักสูตร ทงั้ ทเ่ี ปน็ วิชาการ และวชิ าชีพ ตอ้ งมงุ่ พัฒนาคนใหม้ ีความสมดลุ ทั้งด้าน ความรู้ ความคดิ ความสามารถ ความดีงาม และความรบั ผิดชอบตอ่ สังคม สาหรบั หลกั สตู รการศกึ ษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคณุ ลกั ษณะในวรรคหนงึ่ และวรรคสอง แล้วยังมีความม่งุ หมายเฉพาะทจี่ ะพฒั นาวชิ าการ วิชาชีพช้ันสูงและการค้นควา้ วิจัยเพ่อื พัฒนาองค์ความรู้และ พัฒนาสงั คม มาตรา 29 ให้สถานศึกษารว่ มกับบุคคล ครอบครวั ชุมชน องค์กรชมุ ชน องคก์ รปกครองส่วน ทอ้ งถน่ิ เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวชิ าชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอน่ื สง่ เสรมิ ความเข้มแขง็ ของชุมชนโดยจดั กระบวนการเรียนรภู้ ายในชมุ ชน เพื่อใหช้ ุมชนมีการจดั การศึกษาอบรม มีการ แสวงหาความรู้ ข้อมลู ข่าวสาร และรูจ้ กั เลือกสรรภมู ปิ ญั ญาและวิทยาการตา่ งๆ เพอื่ พฒั นาชมุ ชนใหส้ อดคลอ้ ง กบั สภาพปัญหาและความต้องการ รวมทง้ั หาวิธกี ารสนบั สนนุ ใหม้ ีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์พัฒนาระหว่าง ชุมชน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 10 มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพฒั นากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสทิ ธภิ าพ รวมทง้ั การ ส่งเสริมใหผ้ สู้ อนสามารถวจิ ัยเพอื่ พฒั นาการเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดบั การศึกษา 3.5 การบริหารและการจดั การศกึ ษา 3.5.1 การบริหารและการจัดการศกึ ษาของรัฐ มาตรา 31 ใหก้ ระทรวงมอี านาจหน้าที่กากบั ดแู ลการศึกษาทกุ ระดบั และทกุ ประเภท การ ศาสนา ศิลปะและวฒั นธรรม กาหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศกึ ษาสนับสนนุ ทรพั ยากรเพ่ือการ ศึกษา ศาสนา ศิลปะและวฒั นธรรม รวมทั้งการตดิ ตามตรวจสอบและประเมินผลการจดั การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวฒั นธรรม มาตรา 32 ให้กระทรวงมีองค์กรหลกั ทเ่ี ปน็ คณะบุคคลในรปู สภา หรือในรูปคณะกรรมการ จานวนส่ีองคก์ ร ได้แก่ สภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแหง่ ชาติ คณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา และคณะกรรมการการศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อพจิ ารณาให้ความเห็นหรอื ให้ คาแนะนาแก่รัฐมนตรี หรอื คณะรัฐมนตรี และมอี านาจหน้าทอี่ ่นื ตามท่ีกฎหมายกาหนด มาตรา 33 สภาการศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมแหง่ ชาติ มหี น้าทพ่ี ิจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาของชาติ นโยบายและแผนด้านศาสนา ศลิ ปะและวัฒนธรรมการสนบั สนนุ ทรพั ยากรการประเมินผลการจดั การศกึ ษาการดาเนินการดา้ นศาสนาศิลปะและวฒั นธรรมรวมทง้ั การพจิ ารณา กลน่ั กรองกฎหมายและกฎกระทรวงทอ่ี อกตามความในพระราชบญั ญัตนิ ้ี ให้คณะกรรมการสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแหง่ ชาติ ประกอบด้วยรฐั มนตรเี ป็น ประธาน กรรมการโดยตาแหนง่ จากหน่วยงานทเ่ี กีย่ วข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผ้แู ทนองคก์ รปกครองสว่ น ท้องถนิ่ ผ้แู ทนองค์กรวชิ าชีพ และกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ซ่งึ มจี านวนไม่น้อยกวา่ จานวนกรรมการประเภทอืน่ รวมกัน ให้สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมแหง่ ชาติเป็นนติ บิ ุคคล และให้ เลขาธิการสภาเปน็ กรรมการและเลขานกุ าร จานวนกรรมการ คณุ สมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ วาระการดารง ตาแหน่งและการพ้นจากตาแหนง่ ให้เปน็ ไปตามทกี่ ฎหมายทกี่ าหนด มาตรา 34 คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน มีหน้าท่ีพจิ ารณาเสนอนโยบายแผนพฒั นา มาตรฐานและหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ท่สี อดคลอ้ งกบั แผนการศกึ ษาศาสนา ศิลปะและ วัฒนธรรมแหง่ ชาติ การสนบั สนุนทรพั ยากร การตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา มหี นา้ ท่พี จิ ารณาเสนอนโยบาย แผนพฒั นา และมาตรฐานการ อดุ มศกึ ษา ท่สี อดคลอ้ งกบั แผนการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติการสนบั สนุนทรพั ยากร การ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาระดับอดุ มศกึ ษาโดยคานงึ ถึงความเป็นอสิ ระและความเป็น เลิศทางวิชาการของสถานศกึ ษาระดบั ปรญิ ญา ตามกฎหมายว่าดว้ ยการจดั ตง้ั สถานศกึ ษาแต่ละแหง่ และ กฎหมายทเี่ ก่ยี วขอ้ ง คณะกรรมการการศาสนาและวัฒนธรรม มีหน้าท่ีพจิ ารณาเสนอนโยบาย แผนพัฒนาศาสนา ศลิ ปและวัฒนธรรมทส่ี อดคลอ้ งกบั แผนการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมแหง่ ชาติ การสนับสนุน ทรัพยากร การตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผลการดาเนนิ การดา้ นศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 11 มาตรา 35 องคป์ ระกอบของคณะกรรมการตามมาตรา 34 ประกอบด้วย กรรมการโดย ตาแหน่งจากหน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ผู้แทนองค์กร วชิ าชพี และผทู้ รงคุณวุฒซิ ง่ึ มจี านวนไม่นอ้ ยกวา่ จานวนกรรมการประเภทอ่ืนรวมกัน จานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลกั เกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและ กรรมการ วาระการดารงตาแหนง่ และการพน้ จากตาแหนง่ ของคณะกรรมการแต่ละคณะ ให้เป็นไปตามท่ี กฎหมายกาหนดท้งั น้ีใหค้ านงึ ถงึ ความแตกต่างของกิจการในความรับผดิ ชอบของคณะกรรมการแตล่ ะคณะด้วย ใหส้ านักงานคณะกรรมการตามมาตรา 34เป็นนติ ิบุคคลและใหเ้ ลขาธกิ ารของแต่ละสานักงาน เป็นกรรมการและเลขานกุ ารของคณะกรรมการ มาตรา 36 ใหส้ ถานศึกษาของรัฐทจี่ ัดการศึกษาระดบั ปรญิ ญาเป็นนิติบุคคล และอาจจดั เป็น ส่วนราชการหรอื เป็นหนว่ ยงานในกากบั ของรฐั ยกเวน้ สถานศกึ ษาเฉพาะทางตามมาตรา 21 ให้สถานศึกษาดังกล่าวดาเนนิ กจิ การไดโ้ ดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบรหิ ารและการจดั การ ที่เปน็ ของตนเอง มคี วามคลอ่ งตัว มีเสรภี าพทางวิชาการและอย่ภู ายใต้การกากบั ดูแลของสภาสถานศกึ ษา ตาม กฎหมายว่าด้วการจดั ตงั้ สถานศึกษานัน้ ๆ มาตรา 37 การบรหิ ารและการจดั การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน และอุดมศกึ ษาระดบั ต่ากวา่ ปรญิ ญา ให้ยดึ เขตพื้นทก่ี ารศึกษา โดยคานงึ ถึงปริมาณสถานศึกษา จานวนประชากรเป็นหลกั และความเหมาะสมดา้ น อ่นื ด้วย ให้รัฐมนตรโี ดยคาแนะนาของสถานศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมแหง่ ชาตมิ อี านาจประกาศใน ราชกิจจานเุ บกษากาหนดเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา มาตรา 38 ให้แต่ละเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา ใหม้ คี ณะกรรมการและสานกั งานการศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรมเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษา มอี านาจหน้าที่ในการกากบั ดูแลสถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน และสถานศึกษา ระดับอุดมศึกษาระดบั ตา่ กวา่ ปรญิ ญารวมทง้ั พิจารณาการจดั ตั้ง ยุบ รวมหรือเลิกสถานศึกษา ประสาน สง่ เสริม และสนบั สนุนสถานศกึ ษาเอกชนในเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษา ประสาน และส่งเสรมิ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ให้ สามารถจัดการศกึ ษาสอดคลอ้ งกบั นโยบายและมาตรฐานการศกึ ษา ส่งเสรมิ และสนับสนนุ การจดั การศกึ ษา ของบุคคล ครอบครัว องคก์ รชุมชน องค์กรเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและ สถาบันสงั คมอื่นทจี่ ัดการศึกษาในรูปแบบท่ีหลากหลาย รวมทง้ั การกากับดูแลหนว่ ยงานดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม และศาสนา ในเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษา คณะกรรมการการศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประกอบดว้ ยผูแ้ ทนองค์กร ชมุ ชน ผู้แทนองคก์ รเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ผ้แู ทนสมาคมผูป้ ระกอบวิชาชพี ครู ผแู้ ทน สมาคมผูป้ ระกอบวชิ าชีพบริหารการศึกษา ผ้แู ทนสมาคมผปู้ กครองและครู ผู้นาทางศาสนาและผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ด้านการศึกษา ศาสนา ศลิ ปะและวฒั นธรรม จานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลกั เกณฑ์ วธิ กี ารสรรหา การเลอื กประธานกรรมการและ กรรมการ วาระการดารงตาแหนง่ และการพน้ จากตาแหน่ง ใหเ้ ป็นไปตามทก่ี าหนดในกฎกระทรวง ใหผ้ ู้อานวยการสานักงานการศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นทก่ี ารศึกษา เปน็ กรรมการ และเลขานุการของคณะกรรมการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา มาตรา 39 ใหก้ ระทรวงกระจายอานาจการบรหิ าร และการจัดการศกึ ษา ทงั้ ดา้ นวชิ าการ งบประมาณ การบรหิ ารงานบุคคล และการบรหิ ารทวั่ ไปไปยังคณะกรรมการ และสานักงานการศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรมเขตพ้นื ท่ีการศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นทกี่ ารศึกษาโดยตรง หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอานาจดงั กลา่ ว ใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 12 มาตรา 40 ใหม้ ีคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน และสถานศึกษาระดบั อุดมศึกษาระดบั ต่ากว่าปริญญาของแตล่ ะสถานศึกษา เพ่ือทาหนา้ ทกี่ ากับและสง่ เสรมิ สนบั สนนุ กิจการของสถานศึกษา ประกอบด้วย ผ้แู ทนผู้ปกครอง ผูแ้ ทนครู ผแู้ ทนองค์กรชมุ ชน ผแู้ ทนองคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ ผ้แู ทนศษิ ย์ เกา่ ของสถานศกึ ษา และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จานวนกรรมการ คณุ สมบตั ิ หลกั เกณฑ์ วธิ กี ารสรรหา การเลอื กประธานกรรมการและ กรรมการ วาระการดารงตาแหนง่ และการพน้ จากตาแหนง่ ให้เป็นไปตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง ให้ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาเป็นกรรมการและเลขานกุ ารของคณะกรรมการสถานศึกษา ความในมาตรานไ้ี ม่ใช้บงั คบั แกส่ ถานศกึ ษาตามมาตรา 18 (1) และ (3) 3.5.2 การบรหิ ารและการจดั การศึกษาขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน มาตรา 41 องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ มสี ทิ ธิจัดการศกึ ษาในระดบั ใดระดับหน่งึ หรอื ทกุ ระดบั ตามความพรอ้ ม ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถนิ่ มาตรา 42 ให้กระทรวงกาหนดหลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารประเมินความพรอ้ มในการจัดการ ศึกษาขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น และมีหน้าท่ใี นการประสาน และส่งเสรมิ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ให้สามารถจัดการศึกษา สอดคลอ้ งกบั นโยบาย และไดม้ าตรฐานการศกึ ษา รวมทง้ั การเสนอแนะการจัดสรร งบประมาณอดุ หนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ 3.5.3 การบริหารและการจดั การศกึ ษาของเอกชน มาตรา 43 การบรหิ ารและการจัดการศึกษาของเอกชนใหม้ ีความเปน็ อสิ ระ โดยมกี ารกากบั ตดิ ตาม การประเมนิ คณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษาของรฐั และตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลักเกณฑ์การประเมนิ คุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาเชน่ เดียวกับสถานศึกษาของรัฐ มาตรา 44 ให้สถานศึกษาเอกชนตามมาตรา 18(2) เปน็ นติ ิบคุ คลและมีคณะกรรมการบริหาร ประกอบดว้ ย ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาเอกชน ผ้รู ับใบอนุญาต ผ้แู ทนผูป้ กครอง ผ้แู ทนองค์กรชมุ ชน ผู้แทนครู ผู้แทนศษิ ย์เกา่ และผู้ทรงคุณวุฒิ จานวนกรรมการ คุณสมบัติ หลกั เกณฑ์ วธิ ีการสรรหา การเลอื กประธานกรรมการและกรรม- การวาระการดารงตาแหนง่ และการพน้ จากตาแหน่ง ใหเ้ ปน็ ไปตามที่กาหนดในกฎระทรวง มาตรา 45 ให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศกึ ษาไดท้ ุกระดับและทกุ ประเภท การศึกษาตามท่ี กฎหมายกาหนด โดยรัฐต้องกาหนดนโยบายและมาตรการทีช่ ดั เจน เก่ียวกับการมสี ่วนร่วมของเอกชนในดา้ น การศึกษา การกาหนดนโยบายและแผนการจดั การศกึ ษาของรัฐ ของเขตพื้นที่การศกึ ษา หรือขององคก์ ร ปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ให้คานึงถงึ ผลกระทบต่อการจดั การศึกษาของเอกชน โดยใหร้ ฐั มนตรหี รอื คณะกรรมการ การศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษา หรือองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ รบั ฟงั ความคดิ เห็นของ เอกชนและประชาชนประกอบการพจิ ารณาดว้ ย ให้สถานศกึ ษาของเอกชน ท่ีจดั การศกึ ษาระดับปริญญาดาเนินกจิ การได้โดยอสิ ระ สามารถ พัฒนาระบบบรหิ ารและการจดั การทเ่ี ปน็ ของตนเอง มคี วามคลอ่ งตวั มเี สรภี าพทางวิชาการและอยู่ภายใต้การ กากบั ดูแลของสภาสถานศึกษา ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชน มาตรา 46 รฐั ต้องใหก้ ารสนบั สนนุ ดา้ นเงนิ อดุ หนุน การลดหย่อนหรอื การยกเวน้ ภาษี และ สิทธปิ ระโยชน์

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 13 อย่างอน่ื ทเี่ ป็นประโยชนใ์ นทางการศกึ ษาแกส่ ถานศกึ ษาเอกชนตามความเหมาะสมรวมท้งั ส่งเสรมิ และ สนบั สนนุ ด้านวชิ าการใหส้ ถานศกึ ษาเอกชนมีมาตรฐานและสามารถพง่ึ ตนเองได้ 3.6 มาตรฐานและการประกันคณุ ภาพการศึกษา มาตรา 47 ใหม้ รี ะบบการประกันคณุ ภาพการศกึ ษาเพ่ือพฒั นาคุณภาพ และมาตรฐานการ ศึกษาทุกระดบั ประกอบดว้ ย ระบบการประกันคณุ ภาพภายใน และระบบการประกนั คุณภาพภายนอก ระบบ หลกั เกณฑ์และวิธีการประกันคณุ ภาพการศกึ ษาใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 48 ให้หน่วยงานตน้ สงั กดั และสถานศกึ ษา จดั ให้มรี ะบบการประกนั คุณภาพภายใน สถานศึกษา และใหถ้ ือวา่ การประกนั คุณภาพภายใน เป็นสว่ นหนึง่ ของกระบวนการบรหิ ารการศึกษาที่ตอ้ ง ดาเนนิ การอยา่ งต่อเนื่อง โดยมกี ารจดั ทารายงานประจาปเี สนอตอ่ หน่วยงานต่อสงั กัด หนว่ ยงานทเี่ กี่ยวข้อง และเปดิ เผยตอ่ สาธารณชน เพือ่ นาไปสูก่ ารพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพอื่ รองรบั การประกนั คณุ ภาพภายนอก มาตรา 49 ใหม้ สี านกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษามฐี านะเป็นองค์การ มหาชนทาหนา้ ทพ่ี ัฒนาเกณฑ์ วธิ กี ารประเมนิ คุณภาพภายนอก และทาการประเมินผลการจัดการศึกษาเพอ่ื ให้ มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคานงึ ถึงความมุ่งหมายและหลกั การและแนวการจดั การศึกษาใน แต่ละระดบั ตามทกี่ าหนดไว้ในพระราชบญั ญัติน้ี ใหม้ ีการประเมนิ คุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทกุ แห่งอยา่ งน้อยหนง่ึ ครงั้ ในทุกหา้ ปี นบั ตง้ั แตก่ ารประเมนิ ครง้ั สุดทา้ ย และเสนอผลการประเมนิ ต่อหนว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ งและสาธารณชน มาตรา 50 ให้สถานศึกษาใหค้ วามร่วมมือในการจดั เตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่มขี ้อมลู เกีย่ วขอ้ งกบั สถานศึกษา ตลอดจนใหบ้ ุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษา รวมท้งั ผปู้ กครองและผทู้ ม่ี ีส่วน เกยี่ วข้องกบั สถานศึกษาใหข้ อ้ มลู เพิม่ เตมิ ในส่วนทพี่ ิจารณาเหน็ วา่ เกยี่ วขอ้ งกบั การปฏิบัติภารกิจของสถาน ศึกษา ตามคารอ้ งขอของสานักงานรับรองมาตรฐาน และประเมนิ คุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงาน ภายนอกทีส่ านักงานดงั กลา่ วรับรอง ท่ที าการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศกึ ษาน้นั มาตรา 51 ในกรณที ่ผี ลการประเมนิ ภายนอกของสถานศกึ ษาใดไมไ่ ด้ตามมาตรฐานท่ีกาหนด ใหส้ านักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษาจัดทาข้อเสนอแนะการปรบั ปรงุ แก้ไขตอ่ หนว่ ยงาน ตน้ สงั กดั เพอื่ ใหส้ ถานศกึ ษาปรบั ปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กาหนด หากมไิ ด้ดาเนินการดงั กลา่ วใหส้ านกั งาน รับรองมาตรฐาน และประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา รายงานตอ่ คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน หรือคณะ กรรมการการอดุ มศกึ ษาเพอ่ื ดาเนนิ การใหม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ข 3.7 ครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา มาตรา 52 ใหก้ ระทรวงสง่ เสรมิ ให้มรี ะบบ กระบวนการผลติ การพัฒนาครูคณาจารย์ และบคุ ลากร ทางการศกึ ษาให้มคี ุณภาพและมาตรฐานทเ่ี หมาะสมกบั การเปน็ วิชาชพี ชน้ั สงู โดยการกากบั และประสานให้ สถาบนั ทที่ าหนา้ ทผ่ี ลิตและพฒั นาครู คณาจารย์ รวมทง้ั บคุ ลากรทางการศกึ ษาให้มีความพรอ้ มและมคี วาม เข้มแข็งในการเตรยี มบุคลากรใหม่และการพัฒนาบคุ ลากรประจาการอยา่ งต่อเนอื่ ง รฐั พงึ จดั สรรงบประมาณและจดั ต้งั กองทนุ พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษาอยา่ ง เพียงพอ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 14 มาตรา 53 ใหม้ อี งคก์ รวชิ าชีพครู ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา และผบู้ รหิ ารการศกึ ษา มฐี านะเป็น องคก์ รอสิ ระภายใต้การบรหิ ารของสภาวชิ าชีพ ในกากับของกระทรวง มีอานาจหน้าทกี่ าหนดมาตรฐาน วิชาชพี ออกและเพกิ ถอนใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพ กากับดแู ลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณ ของวิชาชีพรวมทงั้ การพฒั นาวชิ าชพี ครู ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาและผบู้ รหิ ารการศึกษาให้ครู ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ผู้บรหิ ารการศกึ ษา และบคุ ลากรทางการศกึ ษาอ่นื ทงั้ ของรฐั และเอกชนตอ้ งมีใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ตามท่ี กฎหมายกาหนด การจัดให้มอี งคก์ รวชิ าชีพครู ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ผู้บรหิ ารการศกึ ษาและบคุ ลากรทางการ ศึกษาอน่ื คุณสมบัติ หลกั เกณฑ์ และวิธีการในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ให้เปน็ ไปตามที่ กฎหมายกาหนด ความในวรรคสองไม่ใชบ้ ังคบั แกบ่ ุคลากรทางการศึกษาทีจ่ ดั การศกึ ษาตาอธั ยาศัย สถานศึกษา ตามมาตรา 18 (3) ผู้บริหารการศกึ ษาระดบั เหนอื เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา และวิทยากรพเิ ศษทางการศึกษาความ ในมาตรานไี้ ม่ใช้บงั คับแกค่ ณาจารย์ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา และผูบ้ รหิ ารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดบั ปรญิ ญา มาตรา 54 ใหม้ ีองคก์ รกลางบรหิ ารงานบคุ คลของข้าราชการครู โดยให้ครแู ละบุคลากรทาง การศกึ ษาทง้ั ของหนว่ ยงานทางการศึกษาในระดบั สถานศึกษาของรัฐ และระดบั เขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาเปน็ ขา้ ราชการในสงั กัดองคก์ รกลางบรหิ ารงานบุคคลของขา้ ราชการครู โดยยดึ หลักการกระจายอานาจการบรหิ าร งานบคุ คลสูเ่ ขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษา และสถานศกึ ษา ท้งั นี้ ให้เปน็ ไปตามที่กฎหมายกาหนด มาตรา 55 ให้มกี ฎหมายวา่ ด้วยเงินเดอื น ค่าตอบแทน สวัสดกิ าร และสทิ ธิประโยชนเก้อื กูล อืน่ สาหรบั ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อใหม้ รี ายไดท้ ี่เพยี งพอและเหมาะสมกับฐานะทางสังคม และวิชาชีพ ให้มีกองทุนส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา เพอ่ื จัดสรรเป็นเงินอดุ หนนุ งาน รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ ผลงานดเี ด่น และเปน็ รางวลั เชิดชเู กียรติครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษาทง้ั น้ีใหเ้ ป็น ไปตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 56 การผลิต และพฒั นาคณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา การพฒั นามาตรฐาน และจรรยาบรรณของวชิ าชพี และการบริหารงานบคุ คลของขา้ ราชการ หรือพนักงานของรฐั ในสถานศึกษา ระดบั ปรญิ ญาทเี่ ป็นนิตบิ คุ คล ให้เปน็ ไปตามกฎหมายว่าดว้ ยการจดั ตง้ั สถานศึกษาแตล่ ะแหง่ และกฎหมายท่ี เกย่ี วขอ้ ง มาตรา 57 ให้หนว่ ยงานทางการศกึ ษาระดมทรัพยากรบคุ คลในชมุ ชน ให้มีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาโดยนาประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชานาญ และภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ ของบุคคลดงั กล่าวมาใช้เพอ่ื ให้ เกดิ ประโยชนท์ างการศกึ ษาและยกย่องเชดิ ชผู ู้ทสี่ ่งเสริมและสนับสนนุ การจัดการศกึ ษา 3.8 ทรพั ยากรและการลงทนุ เพอ่ื การศกึ ษา มาตรา 58 ใหม้ กี ารระดมทรพั ยากรและการลงทุนดา้ นงบประมาณ การเงิน และทรพั ยส์ นิ ทงั้ จากรัฐ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น บุคคล ครอบครัว ชมุ ชน องค์กรชุมชนเอกชนองค์กรเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ สถาบนั สงั คมอน่ื และตา่ งประเทศมาใชจ้ ดั การศกึ ษาดงั นี้ (1) ใหร้ ฐั และองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินระดมทรพั ยากรเพื่อการศกึ ษา โดยอาจจัดเกบ็ ภาษี เพือ่ การศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทงั้ น้ี ใหเ้ ป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 (2) ใหบ้ คุ คล ครอบครวั ชุมชน องค์กรชมุ ชน องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ เอกชน องค์กร เอกชน องคก์ รวชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบนั สงั คมอนื่ ระดมทรัพยากรเพอื่ การศึกษา โดยเปน็ ผจู้ ัดและมีสว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา บริจาคทรพั ย์สินและทรพั ยากรอ่ืนใหแ้ กส่ ถานศึกษา และมี ส่วนร่วมรบั ภาระค่าใชจ้ ่ายทางการศกึ ษาตามความเหมาะสมและความจาเป็น ทัง้ นี้ ให้รฐั และองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ สง่ เสรมิ และใหแ้ รงจงู ใจในการระดมทรพั ยากร ดงั กลา่ ว โดยการสนับสนนุ การอดุ หนุนและใชม้ าตรการลดหย่อนหรอื ยกเว้นภาษีตามความเหมาะสม และ ความจาเป็น ทง้ั น้ี ให้เป็นไปตามทก่ี ฎหมายกาหนด มาตรา 59 ให้สถานศกึ ษาของรฐั ทเ่ี ป็นนติ บิ คุ คล มีอานาจในการปกครอง ดแู ลบารุงรกั ษา ใช้ และจดั หาผลประโยชน์จากทรพั ยส์ นิ ของสถานศกึ ษา ทงั้ ท่ีเปน็ ทีร่ าชพสั ดุ ตามกฎหมายวา่ ด้วยที่ราชพสั ดุ และ ที่เป็นทรัพยส์ ินอ่นื รวมท้งั จดั หารายได้จากบริการของสถานศกึ ษา และเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มการศกึ ษาทไ่ี ม่ขัดหรอื แย้งกบั นโยบาย วตั ถุประสงค์ และภารกจิ หลกั ของสถานศึกษา บรรดาอสงั หาริมทรัพย์ทส่ี ถานศึกษาของรฐั ท่เี ปน็ นติ บิ ุคคลได้มาโดยมผี ูอ้ ทุ ิศให้ หรอื โดยการ ซ้ือหรือแลกเปลีย่ นจากรายได้ของสถานศกึ ษา ไมถ่ ือเปน็ ที่ราชพัสดุ และใหเ้ ป็นกรรมสทิ ธข์ิ องสถานศึกษา บรรดารายได้ และผลประโยชนข์ องสถานศกึ ษาของรัฐทเี่ ป็นนติ บิ ุคคล รวมทง้ั ผลประโยชน์ท่ี เกดิ จากท่ีราชพสั ดุ เบ้ียปรบั ทเี่ กิดจากการผิดสญั ญาลาศกึ ษา และเบีย้ ปรบั ทเ่ี กิดจากการผิดสญั ญาการซ้ือ ทรพั ยส์ นิ หรือจา้ งทาของทดี่ าเนนิ การโดยใชเ้ งินงบประมาณไมเ่ ปน็ รายไดท้ ี่ต้องนาส่งกระทรวง การคลังตาม กฎหมายวา่ ดว้ ยเงินคงคลงั และกฎหมายวา่ ดว้ ยวิธกี ารงบประมาณ บรรดารายไดแ้ ละผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐท่ไี มเ่ ปน็ นิตบิ คุ คล รวมท้งั ผลประโยชน์ที่ เกดิ จากทร่ี าชพสั ดุ เบีย้ ปรับทเ่ี กดิ จากการผิดสญั ญาลาศกึ ษา และเบ้ียปรบั ทเี่ กิดจากการผดิ สญั ญาการซือ้ ทรพั ยส์ นิ หรือจ้างทาของทีด่ าเนินการโดยใช้เงินงบประมาณให้สถานศึกษาสามารถจดั สรรเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยในการ จัดการศึกษาของสถานศกึ ษานน้ั ๆ ไดต้ ามระเบยี บท่ีกระทรวงการคลงั กาหนด มาตรา 60 ให้รฐั จดั สรรงบประมาณแผ่นดนิ ให้กบั การศกึ ษาในฐานะทมี่ ีความสาคญั สูงสดุ ตอ่ การพัฒนาทยี่ ง่ั ยืนของประเทศโดยจัดสรรเปน็ เงนิ งบประมาณเพอื่ การศกึ ษา ดังนี้ (1) จดั สรรเงินอุดหนุนทวั่ ไปเป็นคา่ ใชจ้ ่ายรายบุคคลท่ีเหมาะสมแก่ผเู้ รยี นการศึกษาภาคบงั คบั และการศกึ ษาขัน้ พื้นฐานที่จดั โดยรัฐและเอกชนใหเ้ ทา่ เทยี มกัน (2) จัดสรรทนุ การศกึ ษาในรปู ของกองทนุ กยู้ มื ใหแ้ ก่ผเู้ รยี นทีม่ าจากครอบครวั ที่มีรายได้นอ้ ย ตามความเหมาะสมและความจาเป็น (3) จัดสรรงบประมาณและทรพั ยากรทางการศึกษาอนื่ เปน็ พเิ ศษใหเ้ หมาะสม และสอดคล้อง กับความจาเปน็ ในการจัดการศกึ ษาสาหรบั ผเู้ รียน ทมี่ ีความต้องการเป็นพเิ ศษ แตล่ ะกลมุ่ ตามมาตรา 10 วรรค สอง วรรคสาม และวรรคส่ี โดยคานึงถงึ ความเสมอภาคในโอกาสทางการศกึ ษาและความเป็นธรรม ทง้ั นใ้ี หเ้ ปน็ ไปตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารทก่ี าหนดในกฎกระทรวง (4) จัดสรรงบประมาณเป็นค่าใชจ้ า่ ยดาเนินการ และงบลงทุนใหส้ ถานศกึ ษาของรัฐตาม นโยบายแผนพฒั นาการศกึ ษาแหง่ ชาติ และภารกิจของสถานศกึ ษา โดยใหม้ ีอิสระในการบรหิ ารงบประมาณ และทรพั ยากรทางการศกึ ษา ทงั้ น้ี ใหค้ านงึ ถึงคุณภาพและความเสมอภาคในโอกาสทางการศกึ ษา (5) จดั สรรงบประมาณ ในลักษณะเงินอุดหนุนทว่ั ไปใหส้ ถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรฐั ที่ เป็นนิตบิ ุคคล และเปน็ สถานศกึ ษาในกากบั ของรัฐหรือองคก์ ารมหาชน (6) จดั สรรกองทนุ กู้ยืมดอกเบยี้ ต่าให้สถานศึกษาเอกชน เพื่อใหพ้ ึ่งตนเองได้ (7) จดั ตั้งกองทนุ เพื่อพฒั นาการศึกษาของรฐั และเอกชน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 16 มาตรา 61 ให้รัฐจัดสรรเงินอดุ หนุนการศึกษาทจี่ ัดโดยบคุ คล ครอบครวั องค์กร ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสงั คมอืน่ ตามความเหมาะสม และความจาเป็น มาตรา 62 ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประเมนิ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลการ ใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักการศกึ ษา แนวการจดั การศกึ ษา และคณุ ภาพ มาตรฐานการศกึ ษา โดยหน่วยงานภายในและหน่วยงานของรฐั ทมี่ หี นา้ ท่ีตรวจสอบภายนอก หลกั เกณฑ์ และวิธีการในการตรวจสอบ ตดิ ตามและการประเมิน ให้เป็นไปตามทก่ี าหนดใน กฎกระทรวง 3.9 เทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษา มาตรา 63 รฐั ต้องจดั สรรคลืน่ ความถ่ี ส่อื ตวั นา และโครงสรา้ งพ้นื ฐานอน่ื ทจี่ าเป็นต่อการสง่ วทิ ยุกระจายเสยี ง วทิ ยโุ ทรทศั น์ วิทยโุ ทรคมนาคม และการส่อื สารในรปู อื่น เพ่อื ใช้ประโยชนส์ าหรบั การศึกษา ในระบบ การศกึ ษานอกระบบ การศกึ ษาตามอัธยาศัย การทะนบุ ารงุ ศาสนา ศลิ ปะและวัฒนธรรมตามความ จาเป็น มาตรา 64 รัฐต้องสง่ เสริมและสนบั สนุนให้มีการผลิต และพฒั นาแบบเรียน ตาราหนงั สอื ทาง วิชาการ สื่อสง่ิ พิมพอ์ ื่น วัสดุอปุ กรณ์ และเทคโนโลยเี พือ่ การศึกษาอน่ื โดยเร่งรัดพฒั นาขีดความสามารถในการ ผลิต จัดให้มเี งนิ สนบั สนุนการผลติ และมกี ารให้แรงจงู ใจแกผ่ ผู้ ลติ และพฒั นาเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา ทัง้ น้ี โดย เปิดใหม้ ีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเปน็ ธรรม มาตรา 65 ให้มีการพฒั นาบคุ ลากรทง้ั ดา้ นผู้ผลิต และผูใ้ ชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา เพอื่ ให้มี ความรู้ ความสามารถ และทกั ษะในการผลติ รวมทงั้ การใช้เทคโนโลยที เี่ หมาะสมมีคณุ ภาพ และประสทิ ธภิ าพ มาตรา 66 ผู้เรียนมสี ทิ ธิไดร้ บั การพฒั นาขดี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา ในโอกาสแรกทีท่ าได้ เพอื่ ใหม้ คี วามรู้และทักษะเพยี งพอท่จี ะใช้เทคโนโลยเี พือ่ การศึกษาในการแสวงหาความรู้ ดว้ ยตนเองได้อยา่ งเนอ่ื งตลอดชวี ติ มาตรา 67 รฐั ตอ้ งสง่ เสริมให้มีการวิจัยและพฒั นา การผลติ และการพฒั นาเทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษา รวมท้ังการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษา เพ่อื ใหเ้ กดิ การใช้ท่ี คุม้ ค่าและเหมาะสมกบั กระบวน-การเรียนรขู้ องคนไทย มาตรา 68 ให้มีการระดมทนุ เพอ่ื จัดตัง้ กองทนุ พฒั นาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาจากเงิน อุดหนนุ ของรฐั คา่ สัมปทาน และผลกาไรทไ่ี ด้จากการดาเนินกจิ การด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยสี ารสนเทศ และโทรคมนาคมจากทกุ ฝา่ ยท่เี ก่ียวข้องทง้ั ภาครฐั ภาคเอกชน และองคก์ รประชาชนรวมทง้ั การให้มกี ารลด อตั ราค่าบรกิ ารเปน็ พเิ ศษในการใช้เทคโนโลยีดงั กลา่ วเพ่อื การพัฒนาคนและสงั คม หลักเกณฑ์และวธิ ีการจัดสรรเงินกองทุนเพอ่ื การผลติ การวจิ ยั และการพฒั นาเทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษา ให้เป็นไปตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 69 รฐั ตอ้ งจดั ใหม้ ีหน่วยงานกลางทาหน้าทพี่ จิ ารณาเสนอนโยบาย แผนส่งเสรมิ และ ประสานการวจิ ัย การพฒั นาและการใช้ รวมทงั้ การประเมนิ คุณภาพ และประสทิ ธภิ าพของการผลติ และการใช้ เทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน.https://obeclaw.obec.go.th สืบค้นเม่อื 26 มิถนุ ายน 2564)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 17 4. หลักสตู รการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน 4.1หลักการ เพอ่ื ให้การจัดการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานเป็นไปตามแนวนโยบายการจดั การศึกษา ของพระราชบญั ญัติ การศกึ ษาแหง่ ชาตพิ .ศ.2542จงึ กาหนดหลกั การของหลักสูตร การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานไวด้ งั นี้ 1)เสริมสรา้ งความเปน็ เอกภาพของชาตไิ ทย มงุ่ เน้นความเปน็ ไทย ควบคูก่ ับความเปน็ สากล 2)เป็นการศกึ ษาเพอ่ื มวลชน ทปี่ ระชาชนทกุ คนจะไดร้ บั การศกึ ษาอย่างเสมอภาคและเทา่ เทียม กนั โดยสงั คมทุกส่วนมสี ว่ นร่วมในการจดั การศกึ ษา 3)สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียนไดพ้ ฒั นา และเรยี นรู้ด้วยตนเองอยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชีวิต โดยถอื ว่าผู้เรยี นมี ความสาคญั ทส่ี ดุ สามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศกั ยภาพ 4)มีการกาหนดให้มมี าตรฐานการเรยี นรู้ เม่ือจบการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน และ มาตรฐานการเรียนรู้ ระหวา่ งชว่ งชน้ั การศกึ ษา มีระบบการประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายในของสถานศึกษา และมกี ารทดสอบตาม มาตรฐาน 5)การจัดการเรยี นรเู้ น้นการบรู ณาการตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับการศึกษา โดยใหม้ ี ความยดื หยนุ่ ในเรื่องการจัดสรรเวลาและยึดมาตรฐานการเรยี นรู้เป็นหลกั 6)กาหนดใหส้ ถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐานจดั ทาหลักสตู รของสถานศกึ ษา ใหส้ อดคล้องกับความตอ้ งการ ของผู้เรียนชุมชนสงั คมและประเทศชาติ 7)เปน็ หลกั สตู รทจ่ี ัดการศึกษาไดท้ กุ รปู แบบ ครอบคลมุ ทกุ กล่มุ เปา้ หมายสามารถเทยี บโอนผล การเรยี นรู้และประสบการณ์ 4.2จดุ หมาย หลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน ม่งุ พัฒนาผู้เรียนใหเ้ ป็นคนดี มปี ญั ญา มคี วามสขุ บนพืน้ ฐานความเป็น ไทยโดยมงุ่ ปลูกฝงั ใหผ้ เู้ รียนมีคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงคดังน้ี 1)มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมท่ดี งี ามในการดาเนินชวี ติ ปฏบิ ตั ิตาม หลกั ธรรมของศาสนา มงุ่ ม่ันพฒั นาตนเองและสังคมประกอบอาชีพสจุ ริตและพงึ่ ตนเองได้ 2)มคี วามสามารถในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง รจู้ ักคดิ ตดั สินใจและแก้ปญั หา อย่างรอบคอบมีเหตุผล มีความรู้อนั เปน็ สากล รเู้ ท่าทันการเปล่ยี นแปลงและความเจริญก้าวหน้าของวทิ ยาการต่างๆ มคี วามสามารถใน การสอ่ื สารการจัดการและใช้เทคโนโลยที ี่จาเป็น 3)มที ักษะทจี่ าเป็นในการดาเนินชีวิต มสี ุขภาพและบุคลกิ ภาพท่ีดี มสี นุ ทรียภาพ มีความมน่ั คงทาง อารมณแ์ ละอยู่รว่ มกบั ผ้อู ืน่ ได้อย่างมีความสุข 4)มคี วามภมู ิใจในความเปน็ ไทยและประวัติความเปน็ มาของชาติไทย ยดึ ม่นั ในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ ส่งเสรมิ ศาสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรมของชาติ การกีฬา และภูมิปญั ญาไทย 5)มีความรักท้องถน่ิ ประเทศชาติ เหน็ คณุ ค่าของประโยชนส์ ว่ นรวม มจี ติ สานึกในการอนรุ ักษ์ ศลิ ปะ วัฒนธรรม ทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งาน และ สง่ิ แวดลอ้ ม

18 4.3การจดั หลกั สตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน หลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน เป็นหลักสตู รทกี่ าหนดให้ใชใ้ นการจดั การศึกษา ต้งั แต่ชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ 1 จนถงึ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 สาหรับผเู้ รยี นทกุ คน ทุกกลุ่มเป้าหมาย และทกุ รูปแบบการศึกษา สาหรบั การ จดั การศกึ ษาปฐมวยั ไดจ้ ดั ใหม้ หี ลักสตู รไวโ้ ดยเฉพาะ เพอ่ื เป็นการเตรยี มผู้เรยี นใหพ้ รอ้ มในการเขา้ เรียนชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 1 หลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน ประกอบดว้ ย หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พื้นฐาน และ สาระของหลักสตู รทส่ี ถานศกึ ษาจดั ทาขน้ึ ในสว่ นท่ีเกีย่ วกบั สภาพปญั หาในชุมชนและสังคมแตล่ ะทอ้ งถ่นิ การ จัดหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน มแี นวดาเนินการดงั นี้ 4.3.1 จัดหลักสูตรต่อเน่อื ง 12 ปี โดยจดั แบง่ เปน็ 4 ช่วงชัน้ คอื ชว่ งชน้ั ที่ 1 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ช่วงชนั้ ที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ช่วงชน้ั ที่ 3 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ชว่ งชัน้ ท่ี 4 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4-6 4.3.2 กาหนดสาระการเรียนรู้ และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน 1) สาระการเรียนรู้ หมายถงึ สาระและกระบวนการทใี่ ช้เปน็ ส่อื ให้ ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 8 กลุ่ม 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4) สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สขุ ศกึ ษา และพลศึกษา 6) ศลิ ปศกึ ษา 7) การงานและอาชีพ 8) ภาษาต่างประเทศ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง โครงสร้างของสาระการเรยี นรู้ดงั กล่าว ประกอบดว้ ย สาระการเรยี นรู้ บังคบั และสาระการเรยี นรู้ เลือก ดงั นี้ สาระการเรียนรบู้ งั คบั เปน็ สาระพ้นื ฐานทจี่ าเป็น สาหรบั ผเู้ รียนทกุ คน สาหรบั ภาษาตา่ งประเทศ กาหนดเปน็ ภาษาองั กฤษในทุกชว่ งช้ัน สาระการเรียนรเู้ ลอื ก เปน็ สาระทตี่ อบสนองความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผ้เู รยี น รวมท้งั สนองความตอ้ งการของผ้ปู กครองและชุมชนทั้งด้านวชิ าการวิชาชีพและเฉพาะทาง 2) กิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียน เป็นองคป์ ระกอบหนง่ึ ทส่ี าคัญของการจดั การเรียนรตู้ ามหลกั สูตร การศึกษาข้นั พ้นื ฐานเพม่ิ เตมิ จากการเรยี นรู้ตามกลุม่ สาระ เปน็ การเชอื่ มโยงและบรู ณาการสาระการเรยี นรู้ตาม กลุ่มสาระ ใหเ้ ขา้ กบั ชีวติ จรงิ โดยการจาลองการใช้ชวี ิตในสงั คม ด้วยการใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ร่วมกจิ กรรมได้รบั ประสบการณ์ตรงนอกจากนยี้ งั เปน็ การจัดกระบวนการแนะแนวให้ผู้เรยี นรจู้ กั ตนเองและผู้อืน่ รสู้ ภาพ แวดลอ้ มรปู้ ญั หาและรู้วิธีการทจี่ ะจดั การกบั ตนเองอย่างสรา้ งสรรค์ 4.3.3 สัดสว่ นเวลาการจดั สาระการเรียนรู้ และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น เพือ่ ใหก้ ารใช้หลกั สตู รการศึกษา ข้นั พ้ืนฐาน เป็นไปตามหลกั การ และบรรลผุ ลตามจุดหมายของหลักสูตร จงึ กาหนดสดั สว่ นเวลาของสาระการ เรยี นรู้และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี

19 1) ช่วงชนั้ ท่ี 1 ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 1-3 และช่วงชัน้ ท่ี 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 มเี วลาประมาณ ปลี ะ 1,000 ชัว่ โมง ใหส้ ถานศกึ ษาจดั การเรยี นรใู้ นเชิงบรู ณาการตามความเหมาะสม เช่น การทาโครงงาน และพิจารณามุ่งเน้นสาระทเ่ี ปน็ เครื่องมอื การเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการอา่ น การเขยี น การคิดคานวณ และการ คิดวิเคราะห์ การจดั สาระการเรียนรู้ของช่วงชน้ั ที่ 1 และช่วงช้ันท่ี 2 ซ่งึ ใชเ้ วลาโดยประมาณ ในการจดั สาระ การเรยี นรบู้ งั คบั 80 % และเวลาในการจัดกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียน 20 % สถานศึกษาสามารถยืดหย่นุ เวลาใน การจัดการเรยี นรู้แตล่ ะกลมุ่ สาระได้ตามทเ่ี ห็นสมควร โดยสอดคลอ้ งกบั วิสัยทัศน์ของสถานศึกษา และจัดการ เรยี นรใู้ นลกั ษณะโครงงาน สหวิทยาการ บรู ณาการขา้ มกลุม่ สาระ โดยยดึ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ ดังนี้ ก)กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ภาษาองั กฤษ เน้นทกั ษะพื้นฐานในการติดตอ่ สอื่ สาร มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ข)กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สงั คมศึกษา ศาสนาและ วฒั นธรรมเนน้ ทักษะพ้นื ฐานการคดิ วิเคราะหว์ จิ ารณ์(มนษุ ย์กับสง่ิ แวดลอ้ ม) ค) กลุม่ สาระการเรยี นรู้ศิลปศึกษา สุขศกึ ษาและพลศึกษา การงานและอาชพี เน้นการพฒั นา ลักษณะนสิ ัย 2) ช่วงชน้ั ที่ 3 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1-3 ให้สถานศกึ ษาจดั สาระการเรยี นรู้เชิงบูรณาการ หรอื เปน็ รายวชิ าหรอื เป็นโครงงาน ตามความเหมาะสม โดยมีเวลาเรยี นรวมประมาณปลี ะ 1,200 ชัว่ โมง และมสี ดั สว่ น ของสาระการเรียนรู้บงั คบั 50% สาระการเรียนรู้เลือก 35% และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 15% ของเวลา ทง้ั หมดสถานศึกษาสามารถยืดหยุน่ เวลาในการจดั การเรียนรู้แต่ละกลุ่มสาระได้ตามทีเ่ ห็นสมควร โดย สอดคลอ้ งกบั วสิ ยั ทัศน์ของสถานศกึ ษา และจัดการเรียนรใู้ นลักษณะ โครงงาน สหวิทยาการ บรู ณาการขา้ ม กลุม่ สาระ 3) ช่วงช้ันที่ 4 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4-6 ให้สถานศึกษาจัดสาระ การเรียนรู้ในแตล่ ะกลมุ่ เป็นหนว่ ย กติ มเี วลาเรยี นปลี ะไมน่ อ้ ยกวา่ 1,200 ช่ัวโมง โดยมสี ดั สว่ นของสาระการเรยี นรบู้ งั คับจานวน 30 หน่วยกิต สาระการเรยี นร้เู ลือกจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ 55 หนว่ ยกติ และกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น ประมาณ 400 ชั่วโมง ของ เวลาเรยี นทงั้ หมดสถานศึกษาสามารถยืดหยนุ่ เวลาในการจัดการเรียนรู้แตล่ ะกลุ่มสาระได้ตามท่เี ห็นสมควร โดยสอดคลอ้ งกบั วสิ ยั ทัศนข์ องสถานศกึ ษา และจดั การเรยี นรใู้ นลักษณะ โครงงาน สหวิทยาการ บรู ณาการ ขา้ มกลุ่มสาระ 4.4การจดั การศึกษาสาหรับผเู้ รียนกลุ่มเป้าหมายพเิ ศษ การจัดการศึกษาสาหรับผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ผมู้ คี วามสามารถพเิ ศษ และการจัดการศึกษาเฉพาะ ทาง สถานศึกษาหน่วยงานที่เกย่ี วขอ้ ง และผทู้ ี่จัดการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ต้องจดั การเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษา และสามารถพจิ ารณาปรับ ลด หรือเพมิ่ ระดบั คณุ ภาพของมาตรฐานให้เหมาะสมกบั กลมุ่ เป้าหมายน้ันๆ ได้ ทงั้ นใี้ หเ้ ป็นไปตามทก่ี ระทรวงศกึ ษาธิการกาหนด (มลู นิธิเครือข่ายครอบครัว. http://www.familynetwork.or.th/contentสืบค้นเมื่อ 7 มิถนุ ายน 2564) หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551(กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551.หน้า 6-7) มงุ่ พัฒนา ผู้เรียน ใหม้ สี มรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดงั นี้ 1. ความสามารถในการส่อื สาร เป็นความสามารถในการรบั และสง่ สาร มวี ัฒนธรรม ในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคดิ ความรู้ ความเข้าใจ ความรสู้ ึก และทศั นะของตนเอง เพือ่ แลกเปลย่ี นข้อมลู ขา่ วสารและ ประสบการณ์อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นา ตนเองและสงั คม รวมทงั้ การเจรจาตอ่ รองเพอื่ ขจดั และลด ปัญหาความขดั แยง้ ต่างๆ การเลอื กรบั หรือไมร่ ับข้อมลู ข่าวสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถกู ต้องตลอดจนการ เลอื กใช้ วธิ กี ารสือ่ สาร ทมี่ ปี ระสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบทม่ี ตี อ่ ตนเองและสงั คม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 2. ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และการคิดเปน็ ระบบ เพือ่ นาไปสู่ การสรา้ งองค์ความรหู้ รอื สารสนเทศ เพ่ือการตัดสนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ ง เหมาะสม 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา เป็นความสามารถในการแกป้ ญั หาและอุปสรรค ต่างๆ ทเี่ ผชญิ ได้ อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมบนพื้นฐานของหลกั เหตผุ ล คณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ เปล่ยี นแปลงของเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ในสังคม แสวงหา ความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใชใ้ นการป้องกันและแก้ไขปญั หา และมกี ารตดั สนิ ใจท่ีมี ประสิทธิภาพ โดยคานึงถึง ผลกระทบ ทเ่ี กิดข้ึนตอ่ ตนเอง สงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการ ตา่ งๆ ไปใชใ้ นการ ดาเนินชีวติ ประจาวัน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรอู้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง การทางาน และการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม ดว้ ยการสร้างเสรมิ ความสมั พนั ธอ์ ันดรี ะหวา่ ง บุคคล การจดั การปญั หาและความขัดแยง้ ตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม การปรบั ตัวใหท้ ันกับ การเปลี่ยนแปลงของสงั คมและสภาพแวดล้อม และการรจู้ ักหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมไม่ พงึ ประสงคท์ สี่ ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผูอ้ ่นื 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี า้ นต่างๆ และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอ่ื การพฒั นาตนเองและสงั คม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ ทางาน การแกป้ ญั หา อย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสมและมคี ณุ ธรรม คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ในการพัฒนาผ้เู รยี นตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน ม่งุ พัฒนาผเู้ รยี น ให้มคี ณุ ลกั ษณะอัน พึงประสงค์ เพือ่ ให้สามารถอยู่รว่ มกับผ้อู ืน่ ในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ ทัง้ ในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลก ดังน้ี 1. รักชาติ ศาสนา กษัตริย์ 2. ซ่ือสัตย์สจุ รติ 3. มีวินัย 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยอู่ ย่างพอเพียง 6. ม่งุ มั่นในการทางาน 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มีจติ สาธารณะ 5. บทสรปุ การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน กาหนดเปา้ หมายใหผ้ ู้เรียนสาเรจ็ การศกึ ษาไดค้ ณุ ลกั ษณะประจาช่วงช้ันไวแ้ ล้ว เพ่อื สร้างสมาชิกใหม่ทมี่ คี ุณสมบตั ติ ามทสี่ งั คมต้องการ มสี มรถถนะสาคญั ในการดารงชีวติ ได้แก่ ความสามารถ ในการส่อื สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี และมีคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามวัฒนธรรมไทยได้แก่ รักชาติ ศาสนา กษตั ริย์ ซ่อื สัตยส์ จุ รติ มวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ อยูอ่ ย่างพอเพียง มุง่ มน่ั ในการทางาน รกั ความเป็นไทย และมจี ติ สาธารณะผา่ นกระบวนการจัดการเรียนการสอนในช้นั เรยี น และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียนตา่ งๆ ตามหลักสตู ร แกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 กาหนดเวลาเรียนของสาระการเรยี นรปู้ ระกอบด้วย 8 กลุม่ ได้แก่

21 ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สุขศกึ ษา และพล ศกึ ษา ศิลปศกึ ษา การงานและอาชีพ และภาษาตา่ งประเทศ อ้างอิง สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน. กระทรวงศึกษาธิการ พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542. https://obeclaw.obec.go.th สบื ค้นเมือ่ 26 มิถนุ ายน 2564 กระทรวงศึกษาธกิ าร. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ม.ป.ป. ม.ท.พ.หน้า 6-7 มูลนธิ ิเครอื ขา่ ยครอบครวั .หลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน. http://www.familynetwork.or.th/content สืบค้นเม่อื 7 มถิ นุ ายน 2564 กจิ กรรมทา้ ยบท 1. เขยี นแผนผงั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน 2. อธิบายสาเหตทุ ี่ทกุ คนตอ้ งไดร้ บั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 3. ยกตัวอย่างคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของเด็กไทยเม่ือจบประถมศึกษาปีท่ี 3 4. ยกตวั อย่างคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องเด็กไทยเม่อื จบประถมศึกษาปีที่ 6 5. วิเคราะหค์ วามแตกต่างของคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ระหว่างประถมศึกษาปที ี่ 3 และประถมศกึ ษาปีที่ 6 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

22 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง หัวข้อเนื้อหา 1. บทนำ 2. พัฒนำกำรชีวติ มนุษย:์ ควำมคดิ รวบยอด 3. ควำมหมำยของพฒั นำกำรและกำรเจรญิ เติบโต 4. กระบวนกำรพฒั นำกำร (The Process of Development) 5. หลักกำรของพฒั นำกำรของมนษุ ย์ (Principles of Growth Development) 6. พฒั นำกำรในวัยตำ่ งๆ 6.1 วัยก่อนเกดิ 6.2 วยั ทำรก 6.3 วัยเด็กตอนตน้ หรือวยั เด็กกอ่ นเข้ำโรงเรียน 6.4.วยั เด็กตอนกลำง หรอื วัยเขำ้ เรยี น 7. ขนั้ ของพฒั นำกำร (Stages of Development) 7.1 ทฤษฎีจติ วเิ ครำะห์ 7.2 Erikson’s Theory 7.3 Piaget’s Theory 7.4 Kohlberg’s Theory 8. บทสรุป วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. มีควำมรูค้ วำมเข้ำใจจิตวิทยำพฒั นำกำรของเดก็ ประถม 2. สำมำรถอธบิ ำยพฤติกรรมเดก็ ประถมไดต้ ำมหลักจติ วทิ ยำพฒั นำกำร 3. สำมำรถนำควำมรเู้ ก่ียวกับจติ วยิ ำพัฒนำกำรไปวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้ 4. มีทศั นคติทดี่ ตี อ่ เด็กประถม 5. สำมำรถปฏบิ ตั ติ อ่ เด็กประถมไดเ้ หมำะสมตำมหลกั จติ วิทยำพัฒนำกำร วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนแบบใชค้ ำถำม (Questioning Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นยั (Inductive Method) 1.3 วิธสี อนแบบศึกษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแกป้ ัญหำ (Problem-Solving Method)

23 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดวู ีดิทศั นท์ แ่ี สดงตัวอย่ำงปญั หำเด็กสมำธสิ นั้ ต่ำง ๆ อำจำรย์กระตุ้นใหส้ ังเกตและตอบ คำถำมเก่ียวกับปญั หำเด็กสมำธิสัน้ ต่ำง ๆ ตงั้ คำถำมให้นกั ศกึ ษำชว่ ยกันคิดหำคำตอบวำ่ ปญั หำเด็กสมำธิสน้ั ก่อ เกดิ ปญั หำอะไรในกำรเรยี น 2.2 นักศึกษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพือ่ ตรวจสอบคำตอบและควำมเหน็ ตรงกนั กับข้อเทจ็ จรงิ หรอื ควำมรหู้ รอื ไมอ่ ยำ่ งไร 2.3 อำจำรย์ชักชวนค้นหำเหตผุ ล อธิบำยประเด็นสำคญั เร่อื งเด็กสมำธสิ ัน้ 2.4 นกั ศกึ ษำต้ังกลมุ่ ยอ่ ย อภิปรำยประเด็นปญั หำของเดก็ สมำธิส้นั ต่ำงๆ 2.5 อำจำรย์จดั สมั นำให้นกั ศึกษำหำเหตผุ ลปญั หำของเด็กสมำธสิ น้ั ต่ำงๆ เพอื่ นรว่ มช้นั แสดงควำม คดิ เห็นต่ออยำ่ งมมี ำรยำทในกำรสัมนำ อำจำรย์ให้ควำมเห็น อธิบำยใหน้ กั ศึกษำไดแ้ ลกเปลยี่ นเรียนร้รู ่วมกนั 2.6 นักศกึ ษำศกึ ษำจิตวิทยำพฒั นำกำรของเดก็ ปกติจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภปิ รำยเพือ่ สรปุ เนื้อหำที่ไดเ้ รียนรู้ 2.8 อำจำรย์มอบหมำยใหน้ กั ศกึ ษำสะท้อนคิดเป็นรำยบคุ คล สอื่ การเรียนการสอน 1. ไฟลว์ ีดทิ ศั น์แสดงตัวอยำ่ งเดก็ สมำธสิ น้ั 2. กระดำษฟลปิ ชำรท์ เขียนแผนผงั พฒั นำกำรทำงสตปิ ญั ญำ อำรมณ์ สังคมของเดก็ สมำธิสนั้ 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมินผลจำกกำรอภปิ รำย สัมมนำ 3. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรสะทอ้ นคดิ 4. วัดและประเมินผลจำกกำรทดสอบย่อย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 24 บทท่ี 2 จติ วทิ ยาพฒั นาการ 1. บทนา มนษุ ย์ มกี ารเจรญิ เติบโตและมีพฒั นาการตลอดช่วงชวี ิต ในแต่ละชว่ งชวี ิตมีกระบวนการเจรญิ เตบิ โต และพฒั นาการตามพันธกุ รรมและสภาพแวดล้อมร่วมกาหนดทิศทาง การกาหนดทศิ ทางพฒั นาการที่มาจาก สภาพแวดลอ้ มมอี ิทธิพลตอ่ การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพได้มากหรอื นอ้ ยตา่ งๆกันไป ในบทนี้นาเสนอเน้อื หาของ จติ วิทยาพฒั นาการวัยทารก วัยเดก็ เฉพาะสว่ นทเี่ ก่ียวข้องกบั การศึกษาระดับประถมศึกษา เพอ่ื ใช้เปน็ แนวทาง ทาความเข้าใจเด็กประถม และจัดกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฒั นาการของเดก็ ประถม และ เพื่อปรบั พฤตกิ รรมของเด็กประถมใหส้ ามารถเรียนร้ตู ่อไปได้ ไมส่ ะดุดหยุดลง หรอื ตดิ ค้างอยใู่ นขัน้ ตอนใด ขั้นตอนหน่งึ ของกระบวนการพฒั นาการ เนื้อหาสาระในบทนี้เร่ิมจากวยั ทารก มหี ลายแนวคิดอธบิ ายพฒั นาการ ของวัยนี้ และวยั เด็กกดว้ ยเช่นกนั มรี ายละเอียดดงั นี้ 2. พฒั นาการชีวิตมนุษย์: ความคดิ รวบยอด พัฒนาการของมนุษย์มแี บบแผนและข้นั ตอน การศกึ ษาแบบแผนและข้ันตอนของพฒั นาการจะช่วย ทาใหเ้ ราเข้าใจพฤตกิ รรมของมนุษยใ์ นแต่ละช่วง แตล่ ะวยั และทาให้เราสามารถคาดคะเนหรอื พยากรณ์ พฤตกิ รรมทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ตอ่ ไปได้ เช่น สามารถทานายได้ว่าทารกจะคลานก่อนเดนิ ได้ จะสง่ เสียงอ้อแอ้ได้กอ่ นการ พูดเป็นคาๆ หรือทานายไดว้ ่าเมือ่ เด็กมอี อายยุ า่ งเข้าสวู่ ัยรนุ่ เดก็ จะมคี วามต้องการเป็นอสิ ระมากขน้ึ ชอบไป ไหนมาไหนกบั กลมุ่ เพอื่ น หรือทานายไดว้ ่าเมอ่ื เขา้ สวู่ ยั ชรา ร่างกายจะเส่ือมสภาพลงอย่างมาก นอกจากนี้ ความรู้เบ้ืองตน้ เกยี่ วกับเร่อื งพฒั นาการของมนุษย์ ยังใชเ้ ป็นขอ้ มลู เบื้องต้นทจี่ ะทาใหม้ ีแนวทางการป้องกนั และ แกไ้ ขพฤติกรรม ปัญหาของเดก็ ทอี่ าจเกดิ ข้นึ อกี ทง้ั ยงั ช่วยเสริมสรา้ งลกั ษณะพฤตกิ รรมที่ต้องการบางอย่างให้ เกิดขน้ึ ได้ด้วย ตามหลักพฒั นาการอธบิ ายวา่ ทารกจะต้ังไขเ่ มอ่ื อายปุ ระมาณ 8 เดือน เมอ่ื ถึงช่วงเวลาของวยั นี้ ถ้าทารกยังตง้ั ไขไ่ มไ่ ด้ กจ็ ะไดค้ น้ หาแนวทางรกั ษาไดท้ ันเวลา หรอื ถา้ ทารกตง้ั ไข่ได้ตามช่วงเวลาของพฒั นาการก็ สง่ เสรมิ พฒั นาการขั้นต่อไป และความร้เู รือ่ งการตงั้ ไข่ของทารกวยั 8 เดือน ทาให้ต้องเฝา้ ระวังอบุ ตั ิเหตจุ ากการ ต้งั ไขไ่ ด้ หรือพัฒนาการของวัยรนุ่ ต้องการความเป็นอิสระจากผใู้ หญ่ มคี วามต้องการเป็นตวั ของตวั เองสูง พอ่ แม่หรือผูใ้ หญ่รอบตวั วัยรุ่นใชว้ ิธกี ารแนะนา มากกวา่ การบงั คับ อบรมสง่ั สอน (ณัฐภร อนิ ทุยศ.2556.หนา้ 107) การศกึ ษาพฤตกิ รรมต่างๆ มคี วามสมั พันธ์กบั อินทรีย์อย่างใกลช้ ดิ โดยเฉพาะพฤติกรรมของมนษุ ย์นน้ั ตวั มนษุ ยเ์ ป็นอินทรีย์ท่ีมลี กั ษณะซับซอ้ นนา่ ศกึ ษาย่ิง เรมิ่ ตง้ั แตก่ ารปฏสิ นธิ ไปจนกระทงั่ เจรญิ เตบิ โตและตาย ในทสี่ ุด พฒั นาการชวี ิตมนษุ ยจ์ ะทาใหเ้ ราเขา้ ใจถึงขั้นตอนและแบบแผนของการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของ มนุษย์ในแต่ละชว่ งชวี ิต ตลอดจนทาให้เราเขา้ ใจถงึ ปจั จัยตา่ งๆ ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อพฒั นาการของชวี ติ มนษุ ย์ 3. ความหมายของพัฒนาการและการเจรญิ เติบโต โดยทั่วไปเม่อื พูดถงึ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของมนุษย์ มกั จะมคี า 2 คาทีน่ ยิ มใชแ้ ทนกนั คาแรก คอื พฒั นาการ (Development) และ คาว่า การเจริญเติบโต (Growth) ซงึ่ ตามความจรงิ แลว้ คาสองคานมี้ ี ความหมายแตกตา่ งกัน พัฒนาการ หมายถงึ กระบวนการเจรญิ เตบิ โตและการเปลี่ยนแปลงในด้านตา่ งๆของร่างกายมนุษย์ กระบวนการเจรญิ เตบิ โตและการเปล่ียนแปลงนมี้ ที ้งั ด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ พฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 25 พัฒนาการทางดา้ นภาษา พฒั นาการทางด้านสตปิ ัญญา พฒั นาการทางดา้ นบุคลิกภาพ เป็นตน้ พัฒนาการ ทางดา้ นร่างกาย ได้แก่ การพฒั นาการตามลาดบั ของการเคลอ่ื นไหวของทารกจากการท่ที ารกสามารถควา่ ตอ่ มาสามารถคลาน สามารถยืน และสามารถเดินได้ เป็นพัฒนาการท่ีสมั พนั ธ์ต่อเน่ืองกนั และต้องอาศยั ความ พรอ้ มร่วมกันของระบบหลายๆ ระบบในร่างกาย เชน่ ระบบกลา้ มเน้อื ระบบประสาท เปน็ ตน้ พฒั นาการของมนษุ ยม์ ลี ักษณะการเปล่ยี นแปลงและเจริญเติบโตเป็นระบบ มลี าดับเป็นข้นั เปน็ ตอน ต่างกนั ท่รี ะยะเวลาหมายถงึ บางคนอาจมีพฒั นาการเรว็ กว่าอกี คน เช่นเดนิ ไดเ้ ร็วกวา่ เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ าม พัฒนาการดาเนินไปตามลาดับขั้นตอน ไม่สามารถกา้ วกระโดดไดอ้ ย่างเช่น พฒั นาการทางภาษาจะเกดิ ตามมา หลงั จากมพี ัฒนาการของกล้ามเนอื้ พัฒนาการของมนษุ ย์มลี กั ษณะไม่แน่นอน คงทีท่ ่ีจะเกิดขนึ้ กับทกุ คนในเวลา เดียวกนั ได้ เนือ่ งจากปจั จยั อนื่ แทรกซ้อนนน่ั คอื พันธกุ รรมและสงิ่ แวดลอ้ ม อย่างเช่น บางคนเดนิ ได้เมอื่ อายุ 10 เดอื น บางคนเดนิ ไดเ้ มอื่ อายุ 16 เดือน บางคนพดู เป็นประโยคได้เมื่ออายุ 20 เดือน แต่บางคนพดู ไดเ้ ม่อื อายุ 30 เดอื น เป็นตน้ พฒั นาการของมนุษยเ์ ป็นกระบวนการทเี่ กิดตอ่ เนอื่ งไปตลอดชวี ิต เป้าหมายของการศกึ ษาพัฒนาการ ของมนษุ ย์ เพ่อื อธิบายพฤติกรรมต่างๆของบคุ คลจากอายุ และการเจรญิ เตบิ โต พยากรณ์พฤติกรรมทจ่ี ะ เกิดขนึ้ ในช่วงวัยตา่ งๆของบคุ คล ศกึ ษาองคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ พฒั นาการของบคุ คล ความเข้าใจนี้สามารถนาไปใช้ในการจดั การเรียนรู้ จัดสภาพแวดลอ้ มการเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกบั พฒั นาการของ เดก็ วยั ตา่ งๆ มปี ระโยชน์ตอ่ สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คมอนื่ ๆ ในการอบรมเล้ียงดูสมาชิกใหม่ของ สงั คมให้เหมาะสมกบั สงั คม พฒั นาการเปน็ การเจรญิ เติบโต เพือ่ นาไปสกู่ ารมีวฒุ ิภาวะ(Maturation) วฒุ ภิ าวะ เปน็ ขบวนการเปล่ยี นแปลงทเี่ กิดขึ้นตามวิถีทางธรรมชาติของอินทรยี ์ ทุกอวัยวะในระบบ รา่ งกายมนษุ ยต์ ้องเจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ีก่อนจงึ จะทาหน้าทีข่ องตนเองได้ เช่น กระเพาะอาหารของทารกรบั ได้แต่ นมเท่าน้นั ไมส่ ามารถรับอาหารอ่นื ไดเ้ ลย จวบจนกระเพาะอาหารเจริญเติบโตเตม็ ท่ีแลว้ จึงรับอาหารอ่นื ๆได้ อยา่ งไรกต็ ามกระเพาะอาหารกร็ บั อาหารได้ตามลาดบั ข้นั ตอน เริ่มจาก นม ต่อไปเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น ขา้ วตม้ แล้วตามดว้ ยข้าวสวย และอ่ืนๆ ตามมา รวมทั้งรสชาตอิ าหารเร่มิ ที่รสชาตอิ อ่ นๆ ก่อน แลว้ พฒั นาตอ่ ไปเป็น อาหารรสจัดมากขน้ึ ตามลาดบั ระบบยอ่ ยอาหารมที ้ังกระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ทกุ อวัยวะของ ระบบยอ่ ยอาหารเจรญิ เตบิ โตเตม็ ทีพ่ รอ้ มๆกนั ไป และระบบอื่นๆของร่างกายเจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ีตามไปด้วย เม่ือ อวยั วะของทุกระบบเจริญเตบิ โตเตม็ ท่ี กส็ ามารถทาหน้าทขี่ องอวยั วะนน้ั ได้เต็มศักยภาพของอวยั วะ เรียกว่า อวยั วะนัน้ มวี ุฒิภาวะของอวัยวะ กระบวนการเกิดวุฒภิ าวะเกี่ยวข้องสมั พันธ์กับพันธุกรรม และสงิ่ แวดล้อม ยกตวั อยา่ งเช่น เดก็ หญิง เขา้ สู่ภาวะเจริญพนั ธเ์ ม่อื อายปุ ระมาณ 12-15 ปี ถา้ เดก็ ปว่ ย ร่างกายขาดการบารงุ ได้อาหารไมค่ รบถ้วน สมบรู ณ์ตามหลักโภชนาการ เดก็ หญงิ อาจเข้าสภู่ าวะเจรญิ พนั ธเ์ มอื่ อายปุ ระมาณ 20 ปี กเ็ ป็นได้ พฤติกรรมเกอื บทกุ อยา่ งของมนุษยต์ อ้ งรอวฒุ ภิ าวะ(ยกเว้นพฤติกรรมreflex) เม่ือมีวฒุ ภิ าวะแล้ว บคุ คลไดร้ บั การฝกึ ฝน หรอื ได้รบั ประสบการณ์ กระบวนการพฒั นาการกเ็ รม่ิ ต้น เช่น การพูดภาษาของมนุษย์ การพดู เปน็ กจิ กรรมท่ซี บั ซ้อนของมนุษยต์ อ้ งใชอ้ วยั วะที่มวี ฒุ ิภาวะแล้ว เร่ิมจากทารกส่งเสียงร้องยังไมเ่ ป็น คาพดู ได้เมือ่ หิว เจบ็ และอ่นื ๆ เมื่อทารกเตบิ โตต่อไปอายปุ ระมาณ 6-9 เดอื นเร่มิ มคี าพดู ส้นั ๆ เป็นคาๆทไ่ี มม่ ี ความหมาย อายุ 18 เดอื นสามารถพูดเปน็ คาสัน้ ๆได้ 3-5 คา และเมอ่ื ถงึ ออายุ 2 ปี เด็กจะมวี ุฒิภาวะในการ ควบคมุ เสยี ง ระบบสมอง ความเข้าใจภาษา ทาใหพ้ ฒั นาการทางภาษาของเดก็ วัยนเ้ี ปน็ ไปตามขน้ั ตอนของ พฒั นาการ และความสามารถในการพูดก็พฒั นาข้ึนไปเรอ่ื ยๆ จนพดู เปน็ ประโยค และเขา้ ใจความหมายของ ภาษาพูดได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 26 พฒั นาการของมนุษยจ์ ะพัฒนาไปตามลาดบั ขนั้ ตอนในแตล่ ะชว่ งวยั ของชีวติ ไมม่ ีการขา้ มขนั้ ตอน แต่ อตั ราการพัฒนาของแตล่ ะบคุ คลอาจแตกต่างกนั เช่น บางคนมีพัฒนาการเร็ว บางคนมพี ัฒนาการช้า พัฒนาการแตล่ ะดา้ นจะมลี กั ษณะเดน่ เฉพาะในแต่ละวยั พัฒนาการแตกตา่ งแตกต่างจากการเจริญเติบโต (ก่ิงแกว้ ทรพั ยพ์ ระวงศ์. 2558. หน้า 80-82) การเจรญิ เตบิ โต หมายถงึ การเพิม่ หรือการเปล่ยี นแปลงทางด้านปริมาณ เชน่ การเพิม่ ของสว่ นสงู การเพมิ่ ของนา้ หนัก การเพมิ่ ขนาดของอวยั วะ เชน่ แขน ขา ลาตวั หรือขนาดของสมอง เปน็ ตน้ พัฒนาการของมนุษยจ์ ะมรี ะยะวกิ ฤติ (Critical Period) คือ ชว่ งระยะสาคัญที่ลกั ษณะบางอยา่ งควร จะเกดิ ขึน้ ตามพัฒนาการปกติ ถา้ ไม่เกดิ ขน้ึ ในช่วงนีแ้ ล้ว ความบกพรอ่ งอาจจะเกิดข้นึ ได้ ซึง่ มผี ลเสียตอ่ พัฒนาการในช่วงต่อไป การพัฒนาการของมนุษย์ ต้องอาศยั ทง้ั วุฒิภาวะ การเรียนรู้และเกดิ ขึน้ ในระยะเวลาท่เี หมาะสม ถ้า ขาดอย่างใดอย่างหนงึ่ อาจจะทาให้มพี ฒั นาการท่ีลา่ ช้าหรือไม่เกิดข้นึ ไดม้ นี กั จิตวิทยาพยายามศึกษาอทิ ธพิ ล ของวุฒิภาวะและการเรียนรทู้ มี่ ตี ่อพฒั นาการของมนุษยแ์ ละสรปุ วา่ 1.เดก็ จะสามารถเรยี นรทู้ กั ษะทเี่ กิดจากแบบแผนของพฤตกิ รรม ทสี่ ืบเน่อื งมาจากพฒั นาการไดเ้ รว็ ท่ีสดุ เช่น เด็กสามารถพูดคาวา่ แม่ ไดเ้ รว็ ทส่ี ดุ เพราะคาออกเสียงคล้ายเสียงธรรมชาติของเดก็ คือ เสยี งอ้อ แอ้ เปน็ ต้น 2.อตั ราของพฒั นาการจะยงั คงเป็นไปอยา่ งสม่าเสมอ แมจ้ ะจดั ประสบการณ์การเรยี นรูอ้ ยา่ ง กวา้ งขวางเพียงใดก็ตาม 3.ยง่ิ มีวฒุ ภิ าวะมาก การฝึกฝนก็ย่งิ ใช้นอ้ ยลง 4.การฝกึ หรอื การเรียนรกู้ อ่ นชว่ งท่มี ีวุฒภิ าวะอาจจะไมไ่ ดผ้ ลดีข้นึ เลย ถงึ จะดีขึ้นกเ็ ปน็ อยใู่ นช่วง ระยะเวลาช่ัวคราวเทา่ น้ัน 5.ถ้าในระหวา่ งการฝกึ กอ่ นการมีวุฒภิ าวะ ถ้ามสี ถานการณ์ท่ีทาใหบ้ ุคคลมีความคับข้องใจจะก่อให้เกดิ ผลเสยี มากกวา่ ผลดีเพราะเปน็ การเรง่ ก่อนทบี่ ุคคลจะมคี วามพร้อม 4. กระบวนการพฒั นาการ (The Process of Development) ในช่วงชวี ติ ของแตล่ ะบุคคล การเปลี่ยนแปลงเป็นสง่ิ ท่ีมอี ยตู่ ลอดเวลาไมม่ ีอะไรอยนู่ ิ่งต้งั แตเ่ กดิ จนตาย ในชว่ งชีวติ การเปลีย่ นแปลงบางอย่างอาจเร่ิมขน้ึ บางอยา่ งอาจถึงจดุ ยอดเตม็ ท่ี และบางอยา่ งอาจเรม่ิ ถอยหลงั แตท่ กุ อย่างยอ่ มเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การเปลย่ี นแปลงในช่วงชวี ิตของแตล่ ะคนอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 ลักษณะคือ 4.1 การเปลีย่ นแปลงเกี่ยวกับขนาด (Changes in size) เปน็ การเปล่ียนแปลงทางดา้ นขนาด เชน่ รูปรา่ งทสี่ ูงใหญข่ ึน้ น้าหนักท่มี ากขึ้น อวัยวะทัง้ ภายนอกและภายในมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นตน้ 4.2การเปลย่ี นแปลงทางสัดส่วน (Changes in Proportion) สัดส่วนของมนุษย์จะมกี าร เปลย่ี นแปลงในชว่ งระยะต่างๆ ของอายุ เชน่ ในผู้ใหญ่จะมีสดั สว่ นของสว่ นต่างๆ แตกตา่ งไปจากเด็ก เชน่ เมือ่ แรกเกิดสว่ นศีรษะจะมีขนาด 1 ใน 4 ของส่วนสงู ทง้ั หมด แต่เมอ่ื โตเปน็ ผู้ใหญ่ สดั ส่วนของศีรษะจะ เปลีย่ นแปลงไปเป็น 1 ใน 7 ของส่วนสงู ของรา่ งกาย นอกจากนั้นส่วนลาตัว เม่อื เจริญเติบโตเตม็ ทจ่ี ะยาว 3 เท่าของความยาวของลาตวั เมอ่ื แรกเกดิ เป็นตน้ 4.3 การเปลี่ยนแปลงทางดา้ นความซับซอ้ น (Changes in Complexity) โดยทวั่ ไปเม่ือมนุษย์มี การเจรญิ เตบิ โตเพม่ิ ข้นึ ลกั ษณะตา่ งๆ จะมีความซับซ้อนเพ่ิมมากขน้ึ ด้วย ไม่วา่ จะเปน็ ลกั ษณะทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ สังคมและสตปิ ญั ญา ทางดา้ นร่างกายเชน่ การเคลื่อนไหวของมอื สามารถท่จี ะหยบิ จบั ดงึ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 27 และบดิ สิ่งตา่ งๆ ได้ ทางด้านอารมณ์ มกี ารแสดงออกทางอารมณ์ตา่ งๆ ไดเ้ พ่มิ มากขึน้ จากช่วงวัยเดก็ ท่แี สดงได้ เพียง 2-3 อย่าง พอโตขน้ึ สามารถแสดงอารมณ์ไดเ้ พม่ิ ข้ึนและซบั ซอ้ นข้นึ ทางด้านสังคมรูจ้ กั สรา้ งความสมั พันธ์ กบั คนแปลกหน้าหรอื คนทีไ่ มค่ นุ้ เคย ทางดา้ นสตปิ ัญญาสามารถคดิ สง่ิ ทซ่ี บั ซ้อนข้นึ ไดเ้ ชน่ ส่ิงทเ่ี ปน็ นามธรรรม หรอื ตอ้ งใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรก 4.4 ความสามารถเกา่ ๆ หายไป พรอ้ มกบั มีความสามารถใหม่ๆ เขา้ มาแทนท่ี (Disappearance of old feature and acquisition of new features) การเปลยี่ นแปลงนเ้ี กดิ จากสิ่งเกา่ ทเี่ คยมหี ายไป แลว้ มสี ิง่ ใหม่เกดิ ขึ้นมาแทนที่ เชน่ การเปล่ียนของฟันนา้ นมไปสูก่ ารมีฟนั แท้ เสน้ ผมทหี่ ลดุ แลว้ งอกใหมท่ ุกวนั หรอื หนงั กาพรา้ ทห่ี ลุดแลว้ เกดิ ใหม่ข้นึ มาทดแทน เป็นตน้ 5. หลกั การของพัฒนาการของมนษุ ย์ (Principles of Growth Development) พัฒนาการ หรอื การเปล่ยี นแปลงด้านต่างๆ ของมนษุ ย์ มหี ลายลักษณะ ไดแ้ ก่ 5.1 การพฒั นาการเป็นไปตามแบบแผน (Pattern) ของมันเองในการพัฒนาการของมนุษย์ หรอื สัตว์ ก็ตาม จะมีแบบแผนของมนั เองเปน็ ระยะๆ อย่างมีลาดบั ขั้นตอน มิไดเ้ กดิ ขน้ึ โดยบังเอญิ ยกตวั อย่างเชน่ หลงั จากมีการปฏสิ นธิในครรภ์มารดา ตัวออ่ นในครรภ์มารดามพี ฒั นาการทางดา้ นร่างกายคอ่ ยๆ พฒั นารปู ร่าง จนเปน็ ทารก มีอวัยวะครบ 32 ประการ และมีขนาดใหญข่ ึ้นๆ เมื่อเด็กทารกคลอดออกมาจากครรภม์ ารดา ระยะแรกๆ ทารกจะทรงรปู รา่ งในแนวราบ ขยับแขนขาได้ เคล่ือนไหวได้ แต่เคล่อื นท่ีไมไ่ ด้ จากน้นั มีพฒั นาการ สามารถควา่ ไดก้ อ่ นคลาน คลานได้ก่อนเดนิ เดนิ ได้ก่อนว่งิ พูดไดม้ ากขนึ้ ตามลาดบั ข้ันตอนจวบจนอา่ น เขียน เรียนหนังสือได้ในวยั เดก็ เตบิ โตเปน็ วยั รุ่น เข้าสวู่ ัยผูใ้ หญม่ รี ่างกายแขง็ แรง สมบรู ณท์ ีส่ ดุ ของความเปน็ มนษุ ย์ หลงั จากนี้ไปร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลงหลายๆ ด้าน เดินทางสู่วัยชรา และตายไปในทส่ี ดุ หมายความว่า พฒั นาการของมนษุ ยท์ กุ คนมีลาดบั ขั้นตอนตามนี้อย่างหลกี เล่ยี งไมไ่ ด้ และไมส่ ามารถข้ามขนั้ ตอนลาดับของ พฒั นาการได้ เร่ิมจาก ถอื กาเนดิ ออกมาเป็นทารก เตบิ โตเขา้ สวู่ ัยเด็ก ต่อไปเป็นวัยรนุ่ วัยผู้ใหญ่ วัยชราและตาย จากไป นั่นคือพฒั นาการของมนษุ ย์ ซึ่งเปน็ ส่งิ ทที่ านายได้ คาดการณไ์ ดว้ ่าจะเกิดอะไรขน้ึ บ้างตามลาดบั ขั้นตอน 5.2 ทิศทางของพฒั นาการ มลี กั ษณะคงที่ แนน่ อน เม่อื อวยั วะตา่ งๆ ของร่างกายผา่ นวฏั จกั รแห่งการ เปล่ียนแปลงของตัวเองแลว้ การเปล่ยี นแปลงทง้ั หมดมีแนวโน้มไปในทศิ ทางทค่ี งที่ แน่นอนจนอาจเรียกได้ว่า เป็นกฎ จากการทเ่ี ราพบว่าการพัฒนาจะเริ่มทสี่ ่วนศรี ษะ(head region) กอ่ นแล้วคอ่ ยไลร่ ะดับงไปทสี่ ว่ นล่าง ของร่างกาย(tail region) ในการพัฒนาลักษณะเดียวกนั นี้ของแนวขวางของรา่ งกาย จะเรม่ิ ทีส่ ว่ นกลางของ รา่ งกาย(mid-dorsal region) ก่อนแลว้ การพัฒนาต่อไปกค็ อื ทแี่ ขนขา หลกั การพฒั นาการทางรา่ งกายและการเคลื่อนไหวของมนษุ ย์ มที ิศทางการพฒั นาเป็นไปตามหลัก 2 ทิศทาง (Directions) ดงั นี้ 5.2.1 Cephalo – caudal direction คอื การพัฒนาจากสว่ นบนลงมาหาส่วนลา่ ง เรม่ิ ท่ีศีรษะกอ่ นมี การพัฒนาทั้งโครงสร้างและหนา้ ที่แลว้ การพฒั นาไลร่ ะดบั ลงมาทลี่ าตัวและไปต่อทเี่ ท้า เช่น เดก็ ทารกจะ สามารถใชอ้ วัยวะบรเิ วณศีรษะกอ่ น กล่าวคอื ยกศีรษะไดก้ อ่ น และยกลาคอขนึ้ ต่อไปยกส่วนอกได้ตามลาดบั แลว้ ค่อยๆ เลอื่ นลงมาทลี่ าตัว และลงมาส่วนขาเปน็ ต้น 5.2.2 Proximo – distal direction คือ การพัฒนาการทเี่ ร่มิ จากแกนกลางลาตัวออกไปยงั ข้างลาตวั โดยเริ่มจากแกนกลางของร่างกายออกสู่ด้านข้างทัง้ 2 ข้างคอื ซ้ายและขวาต่อไปจนสดุ ปลายแขน เช่น เดก็ กอ่ นทจ่ี ะใช้มือหยบิ จบั อะไร จะใช้ทอ่ นแขนก่อน แล้วจงึ คอ่ ยๆ พัฒนาการการใช้มือ และสามารถควบคุมการ ใชน้ ้วิ มอื ตามลาดบั

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 28 5.3การพัฒนาการเริม่ จากสว่ นใหญ่ไปหาสว่ นยอ่ ย หรอื จากพฤตกิ รรมท่วั ไปไปหาพฤติกรรมที่ เฉพาะเจาะจงมากขนึ้ เชน่ ในเดก็ ทารกมกี ารเคล่ือนไหวท้ังตวั ก่อนการเคล่ือนไหวส่วนใดสว่ นหนงึ่ ของ รา่ งกาย หรอื การออกเสียงจะออกเสยี งอือ ออ กอ่ นทจ่ี ะเปน็ คาเฉพาะเจาะจงลงไป(พรรณทพิ ย์ ศริ วิ รรณบุศย์. 2556.หน้า21-22) 5.4พัฒนาการจะต่อเนื่องกนั โดยไม่มีการหยุดหรอื ขาดตอน การพัฒนาการของอวยั วะเกิดขึน้ มา ตั้งแต่ยงั อยู่ในครรภ์มารดา และพัฒนามาเรอ่ื ยไมม่ ีการหยุดยัง้ การทเ่ี รามฟี นั ข้นึ ไมใ่ ช่เพง่ิ มาพฒั นาตอนที่เรามี ฟนั ข้นึ แตพ่ ฒั นามาตงั้ แตเ่ ราอยู่ในครรภ์ โดยฟันอยใู่ นเหงอื กซ่ึงเรามองไมเ่ หน็ การพัฒนาเปน็ สายต่อเนื่องจึง เปน็ ส่งิ ทีอ่ าจได้รบั อทิ ธพิ ลจากส่ิงแวดลอ้ มทม่ี ผี ลต่อพฒั นาการ เช่น การขาดสารอาหารตงั้ แตอ่ ยู่ในครรภ์ มารดา หรือขาดอาหารตอนเป็นทารก จะสง่ ผลตอ่ พฒั นาการทางสมองและสติปญั ญาเมือ่ เติบโตขนึ้ 5.5อตั ราการพฒั นาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกนั ขึน้ อย่กู บั องค์ประกอบท่สี าคญั 2 ประการคอื พนั ธกุ รรมและสิง่ แวดลอ้ ม ดังน้นั เราจะได้พบวา่ เด็กบางคนมกี ารเจรญิ เตบิ โตเร็ว บางคนเจริญเติบโตช้า เพราะมพี ันธุกรรมต่างกนั หรืออยใู่ นสภาพแวดล้อมต่างกัน 5.5.1อตั ราการพฒั นาการของส่วนต่างๆ ของร่างกายแตกตา่ งกนั อวัยวะหรือสว่ นตา่ งๆ ของ ร่างกายมอี ัตราการเจรญิ เตบิ โตต่างกนั เชน่ มอื เท้า จะเจรญิ เตบิ โตถึงขีดสุดในวัยรุน่ การคิดคานงึ การคิด สรา้ งสรรคจ์ ะเจรญิ อย่างรวดเร็วในระหว่างวยั เดก็ และถงึ ขีดสุดเมอื่ เข้าสูว่ ัยหนุ่มสาว 5.5.2 พัฒนาการทุกด้านจะสัมพันธก์ ัน และเราสามารถทานายพฒั นาการของเดก็ ได้ พฒั นาการ ทกุ ดา้ น ทงั้ ด้านรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม สตปิ ัญญา มกั จะมีการเกีย่ วขอ้ งสัมพันธก์ นั หมด ถา้ ดา้ นหนง่ึ ด้านใด บกพรอ่ ง ด้านอืน่ กจ็ ะบกพรอ่ งไปดว้ ย เชน่ ถา้ มพี ฒั นาการทางรา่ งกายไมด่ ี กย็ ่อมมีผลกระทบกระเทอื นตอ่ การพัฒนาการทางอารมณ์ เชน่ อารมณ์เสียบ่อย หงดุ หงิด มีผลกระทบตอ่ พัฒนาการทางสงั คม เชน่ ไมก่ ลา้ ติดตอ่ สมั พนั ธก์ บั คนอื่น ขาดความมน่ั ใจในตนเอง มีผลกระทบตอ่ พฒั นาการทางสตปิ ญั ญา เดก็ จะไมก่ ล้าคดิ วเิ คราะห์ จะเหน็ วา่ เราสามารถทานายพัฒนาการของเดก็ ได้ว่าเด็กจะมปี ญั หาอะไรได้บ้างและเติบโตข้นึ จะเป็น คนทม่ี ลี กั ษณะอย่างไร โดยอาศัยแนวโน้มของพฒั นาการที่เกิดในปจั จบุ นั 1)การพฒั นาการแตล่ ะวัยมลี กั ษณะเฉพาะตัวของมนั เอง ในเดก็ แตล่ ะวยั จนถงึ วัยผู้ใหญ่ พฤติกรรมในแต่ละวัยยอ่ มแตกตา่ งกันไป เช่น ในวัยเดก็ การกระโดดโลดเต้น การถามซ้าๆ เปน็ พฤตกิ รรมที่ เป็นลกั ษณะเฉพาะวัย เมอ่ื โตขนึ้ เปน็ ผ้ใู หญ่ลกั ษณะเหล่านี้จะหายไปแต่จะมีลกั ษณะเฉพาะวยั อย่างอนื่ เกดิ ขนึ้ มาแทน เช่น มลี ักษณะสุขมุ รอบครอบ เป็นต้น 2) เด็กปกติทั่วไป จะผา่ นการพฒั นาการทกุ ข้นั ตอนอย่างสะดวก จนอายปุ ระมาณ 21 ปี จงึ จะเจรญิ เตม็ ทที่ กุ ๆ ดา้ น การพฒั นาการขึน้ อยูก่ ับวุฒิภาวะและการเรยี นรู้ วุฒิภาวะทาใหเ้ กิดความพรอ้ ม ของร่างกาย ท่ีจะทาให้มีความสามารถในการกระทาอยา่ งหนงึ่ ได้ การเรียนรจู้ ะชว่ ยฝึกฝนทาใหเ้ กดิ ความ ชานาญ ทงั้ วุฒิภาวะและการเรียนรเู้ ปน็ ของค่กู ัน การเรยี นรตู้ อ้ งอาศัยวฒุ ภิ าวะอยูม่ าก เชน่ ถ้าเราฝึกหัดเด็ก 2 ขวบให้เขียนหนงั สอื ยอ่ มเป็นไปไดย้ ากมาก ทั้งนีเ้ พราะเด็กยงั ไมม่ ีวฒุ ิภาวะในความสามารถทจี่ ะเขยี นได้ เนือ่ งจากร่างกายยังไมพ่ ร้อม กล้ามเนือ้ มือ นวิ้ ยังไม่แขง็ แรงพอ ความสัมพนั ธข์ องสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายเช่น การเคลอ่ื นไหวของมือและตายงั ไมส่ มั พนั ธก์ นั ดีพอ ถงึ จะสอนใหเ้ ขียนก็ไมม่ ปี ระโยชน์ เนอ่ื งจากเดก็ ยงั มีวุฒิ ภาวะไม่พร้อม ดังนนั้ เราควรดวู า่ เด็กพรอ้ มหรือยงั ทจ่ี ะฝกึ หัดทางานอย่างใดอยา่ งหน่ึง การเรง่ สอนไมใ่ ช่สง่ิ ที่ เป็นประโยชนเ์ สมอไป แตอ่ าจทาใหเ้ กิดผลเสียได้ เชน่ อาจทาให้เดก็ ท้อหรือวติ กกงั วลในเรือ่ งการเรยี นมี ทศั นคตทิ ี่ไม่ดีตอ่ การเรียนในอนาคตได้ (ณัฐภร อินทุยศ.2556.หนา้ 108-109)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 29 6. พัฒนาการในวัยต่างๆ นักจติ วทิ ยาพัฒนาการนิยมแบ่งชวี ิตตลอดชวี ิตเปน็ ชว่ งเวลาหลายช่วง เรยี กว่า วยั แตล่ ะช่วงวยั อาศยั อายตุ ามปฏทิ ินเปน็ เกณฑ์ในการแบ่ง พฒั นาการทสี่ าคญั ในวัยตา่ งๆ มีดังน้ี 6.1วัยกอ่ นเกดิ (Prenatal Period) เป็นวัยนบั ตง้ั แตป่ ฏิสนธจิ นถึงคลอด ซ่งึ มรี ะยะเวลาตง้ั แต่ ประมาณ 250 – 280 วนั หรือประมาณ 9 เดอื น ชวี ิตใหมไ่ ดก้ าเนิดขนึ้ มาเม่ือไข(่ Ovum)ของแมไ่ ด้รบั การผสม กบั อสจุ ิ(Sperm Cell) ของพ่อ ซงึ่ ชีวิตใหม่นม้ี ีโครโมโซม 23 คู่ ได้มาจากพอ่ และแม่คนละครง่ึ สาหรบั ลกั ษณะ เพศนน้ั ถูกกาหนดโดยการผสมโครโมโซม X หรอื Y จากพ่อกับโครโมโซม X ของแม่ ถา้ ลูกได้ XX จะเปน็ เพศ หญงิ ส่วน XY จะเป็นเพศชาย วยั นี้มีการเปลีย่ นแปลงทางด้านร่างกายเร็วทส่ี ดุ เมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ชีวิตในชว่ งวยั อน่ื ๆ และเป็นวัยท่ี การมีชวี ิตต้องพง่ึ พาอาศัยอาหาร และออกซเิ จน ตลอดจนปัจจัยในการมีชวี ติ จากแม่มากทสี่ ดุ ดงั นนั้ สุขภาพ ของทารกในวัยนี้ขน้ึ กบั สขุ ภาพของแม่ สาหรับรปู รา่ งหน้าตาน้นั มยี ีนส์ (Genes) เปน็ ตวั กาหนด ทง้ั น้ีข้นึ อยกู่ บั ลกั ษณะเดน่ ดอ้ ยของยนี สพ์ ่อ และแม่ ถ้าลกั ษณะยนี ส์แมเ่ ด่นกจ็ ะข่มลกั ษณะยีนสพ์ อ่ ให้ดอ้ ย ลูกท่เี กดิ มาจะเหมอื นแม่มากกวา่ พ่อ ในทานอง เดียวกนั ถ้ายีนส์พอ่ เดน่ ลกู กจ็ ะเหมอื นพอ่ ท่ีว่านี้เปน็ ไปตามกฎของเมนเดล(Mendel) ภายหลงั จากการปฏสิ นธบิ รเิ วณท่อนาไข่ (Fallopian tube) ประมาณ 24 ช่ัวโมงแลว้ ไข่กจ็ ะแบง่ เซลล์ โดยทีแ่ ต่ละเซลลจ์ ะแบง่ ตวั มนั เองออกเปน็ 2 สว่ น ซึ่งมลี กั ษณะเหมือนเดมิ ทกุ ประการไปเรอื่ ยๆ กระบวนการน้ีจะเกดิ ขึ้นซา้ กนั จนกระท่งั เกิดเซลลข์ น้ึ มากมาย ในขณะทม่ี กี ารแบง่ เซลล์ กล่มุ ของเซลลก์ ็จะ คอ่ ยๆเคลอื่ นมาตามทอ่ นาไขไ่ ปยงั มดลูก ปกติการเดินทางของไขถ่ งึ มดลกู จะกินเวลาประมาณ 7 วัน กลมุ่ ของ เซลลจ์ ะมเี สน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางเพียง 2/100 นว้ิ เท่าน้นั เซลลน์ จ้ี ะยึดตดิ กบั ผนังมดลูก ทารกจะเจรญิ เตบิ โตในถุง น้าคร่าท่ีผนงั มดลกู โดยมีสายสะดอื ตดิ ตอ่ กับรก รกฝงั ตัวทผ่ี นังมดลกู ทารกในครรภ์กบั มารดาติดต่อถึงกนั ผา่ น สายสะดอื นี้ ไข่ทีไ่ ด้รบั การผสมอาจแบ่งพฒั นาการไดเ้ ปน็ 3 ระยะดงั น้ี ระยะที่ 1 คอื (Zygote stage) คอื ระยะต้ังแตแ่ รกเกิด ถึง 2 สปั ดาหแ์ รกท่ไี ขไ่ ดร้ บั การผสมและเซลล์ ต่างๆ ท่เี กิดขน้ึ จะมลี กั ษณะเหมือนตวั มันเอง ระยะที่ 2 คือ Embryonic stage คือระยะตง้ั แตส่ ัปดาห์ที่ 2 ถึง สปั ดาหท์ ่ี 6 สปั ดาห์รวม 4 สัปดาห์ จากระยะทหี่ น่งึ เริม่ ต้นของระยะนี้เซลล์จะแบง่ ออกเปน็ 3 ช้นั ดว้ ยกนั คอื ชน้ั ท่ี 1 เนือ้ เย่ือชน้ั ใน (endoderm) ซึง่ ตอ่ มาจะพฒั นาเปน็ ระบบท่ออาหาร ชั้นท่ี 2 เน้อื เยอ่ื ชน้ั กลาง (mesoderm) เป็นแหลง่ ทจี่ ะพฒั นาเป็น กล้ามเน้อื หลอดเลือด เย่อื บุตา่ งๆในร่างกาย อวยั วะสบื พนั ธุ์ อวยั วะขับถ่าย กระดกู ชัน้ ที่ 3 เน้ือเย่ือชนั้ นอก (ectoderm) จะพฒั นาเป็นผวิ หนงั อวยั วะรับความรสู้ ึก ระบบประสาท สมอง เมือ่ สิน้ สุดระยะที่ 2 หรอื สองเดือนหลังปฏสิ นธิเซลลแ์ ละอวัยวะจะมลี กั ษณะของมนษุ ย์อยา่ งครา่ วๆ ความสาคญั ของระยะนี้คอื อวัยวะในระบบตา่ งๆ ของร่างกายกาลงั พฒั นา รวมทั้งระบบประสาทด้วย กล่าวคอื เมอ่ื อายุได้ 1 เดือนหรือ 4 สัปดาห์ อวัยวะตา่ งๆจะเจรญิ เตบิ โตและมอี วัยวะครบ มหี ัวใจเล็กๆเตน้ ได้ 65 ครง้ั ต่อนาที สมอง ไต ตบั ระบบทางเดนิ อาหารพฒั นาขึน้ เม่ืออายไุ ด้ 2 เดือนหรอื 8 สัปดาห์ อวยั วะต่างๆ บนใบหน้าพัฒนาอย่างชัดเจน รวมทั้งสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย แขน ขา นว้ิ มอื นบั เปน็ ระยะสิน้ สดุ ก่อนเข้าสู่ระยะ ที่ 3 จัดเป็นระยะชวี ติ ใหม่ ระยะท่ี 3 คือ Fetal stage เป็นระยะทจ่ี ะมผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของตวั ออ่ นตอ่ มาตลอด 7 เดอื น เมอ่ื ทารกคลอดออกมาแล้วกจ็ ะเป็นเด็กทารก ระยะนี้เป็นชว่ งเวลาของการพฒั นารายละเอียดของอวัยวะต่างๆ ท่ีไดส้ รา้ งไวแ้ ล้วต้งั แตร่ ะยะท่ี 1 เมอ่ื ทารกอายุได้ 8-9 สปั ดาห์ จะมีน้วิ มอื นิว้ เทา้ เห็นชัดเจน สามารถแยกเพศ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 30 ได้ มผี มและขนเกิดขน้ึ เม่ืออายุ 6 เดอื น จะมีน้าหนกั ประมาณ 680 กรัม ช่วง 3 เดอื นสุดท้ายของการตงั้ ครรภ์ เป็นช่วงทีม่ กี ารเจรญิ เติบโตขึน้ มาก และเป็นระยะทร่ี ะบบประสาทเจรญิ มากขนึ้ ดว้ ย(ณัฐภร อินทุยศ.2556.หน้า 111) ลกั ษณะเดน่ เฉพาะของวยั น้ี คือ ความเจรญิ เตบิ โตทางรา่ งกาย และระบบประสาทท่มี กี ารเจรญิ เตบิ โต อยา่ งรวดเรว็ สขุ ภาพทางกายและจิตของมารดาสง่ ผลถงึ ความเจริญของลูกออ่ นในครรภ์ มารดาท่ีดมื่ alcohol มากๆ อาจจะส่งผลใหท้ ารกในครรภม์ ลี ักษณะทเ่ี รยี กวา่ alcohol syndrome มารดาที่มีความวติ กกังวล มากๆ (anxiety) จะสง่ ผลต่อบุคลกิ ภาพบางอยา่ งของเดก็ เมอ่ื เตบิ โตขน้ึ 6.2 วัยทารก (Infancy Period) วัยทารกเป็นวยั ท่ีสาคญั อยา่ งยงิ่ สาหรบั การวางรากฐานของชวี ติ วยั นี้เร่ิมต้ังแตค่ ลอดออกจากครรภ์มารดาจนถึงประมาณ 2 ปแี รกของชวี ิต พฒั นาการในวยั นีแ้ ยกเป็น 4 ด้าน ไดแ้ ก่ พฒั นาการทางกาย พัฒนาการทางสตปิ ญั ญา พฒั นาการทางอารมณ์ และพฒั นาการทางสงั คม 6.2.1 พัฒนาการทางกาย (Physical Development) หลังจากทค่ี ลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว ทารกจะต้องปรับตวั ใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ หลายประการ เช่น การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิ การหายใจ การดดู กลืนอาหาร การย่อยอาหาร การขับถ่าย ก่อนหน้าน้ีทารกอยูใ่ นครรภม์ ารดาตอ้ งพง่ึ พิงมารดาทง้ั หมด จงึ นับวา่ เปน็ การเปลย่ี นแปลงทีย่ ิ่งใหญ่ทที่ ารก จะตอ้ งปรบั ตวั ให้เขา้ กบั สภาพแวดล้อมใหม่ให้ได้เพ่ือจะไดด้ ารงชีวิตอยูต่ อ่ ไปใหไ้ ด้ สัดส่วนของร่างกายมี ลักษณะศีรษะใหญ่ คอสัน้ ลาตวั สนั้ กลม แขนขาส้นั การเคลอ่ื นไหวของทารกแรกเกิดใชป้ ฏกิ ริ ิยาสะท้อน (Reflect Action) ทง้ั การดดู นม การสาลักนม การจาม การตอบสนองของแขนขาแบบผวา แขนขาหดเขา้ หา ลาตวั ทารกยงั ไมส่ ามารถควบคมุ กล้ามเนอื้ ได้ สายตาทางานไมป่ ระสานกนั การมองเห็นสิ่งตา่ งๆ เปน็ ไป อยา่ งไรจ้ ดุ หมาย ไม่สามารถจบั จ้องมองสง่ิ ใดได้นานจนกว่าจะมีอายปุ ระมาณ 7 วัน การได้ยินเสยี งเกดิ ขึ้นกอ่ น การมองเหน็ สีต่างๆ การรบั รสทารกจะตอบสนองรสหวาน และปฏิเสธรสขม เคม็ เผ็ด เปร้ียว เมือ่ ทารกอายุ 6 เดอื น นา้ หนกั เพ่มิ ข้นึ มากกว่าสว่ นสูง ตอบสนองทุกเสยี ง สายตาทางาน ประสานกนั มากขึ้น มองแบบมจี ดุ หมาย จมกู รบั กลิ่น และลน้ิ รับรสทตี่ นเองชอบ ตอบโตก้ ารสมั ผสั มากขน้ึ การ เคล่ือนไหวเรม่ิ มจี ดุ หมายมากข้ึน มีการเปล่ยี นแปลงทางดา้ นโครงสร้างของรา่ งกายและการรจู้ ักใช้อวัยวะต่างๆ อย่างรวดเรว็ ศีรษะท่โี ตคอ่ ยๆ ดเู ลก็ ลง ลาตัวและขาดยู าวใหญข่ ึน้ โครงกระดกู เจรญิ เติบโตรวดเร็ว แขนและขาจึงแขง็ แรง ข้นึ ทาใหม้ กี ารพฒั นาการอยา่ งมากมายทางการเคลื่อนไหว การใชก้ ล้ามเนอ้ื และประสาทสัมผสั ทารกทีอ่ ยู่ ในช่วงน้ีจึงไม่คอ่ ยจะอย่นู ง่ิ ชอบสารวจสิ่งแวดลอ้ ม ผ้เู ลยี้ งดจู งึ ควรระมัดระวงั ไมใ่ หเ้ ดก็ เลน่ สิง่ ของอนั จะนา อนั ตรายมาส่ตู วั เอง เช่น ปลัก๊ ไฟ เหรยี ญสตางค์ เป็นตน้ ผู้เลยี้ งดูควรจัดสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ด็กได้รับความ ปลอดภยั มากที่สุดเทา่ ทจ่ี ะทาได้ นอกจากการปรับตัวกบั สภาพแวดลอ้ มใหมแ่ ล้ว สิง่ ท่สี าคัญอกี ประการหนง่ึ ในวัยทารกคอื บคุ คล รอบข้างของเด็ก บคุ คลรอบข้างทเี่ ปน็ สภาพแวดล้อมทส่ี าคัญของเด็กไดแ้ ก่มารดาหรือผเู้ ล้ียงดู ซึ่งดแู ลให้ อาหาร ให้ความรักความอบอนุ่ สมั ผสั อุ้มชดู ว้ ยความรัก และทาความสะอาดรา่ งกายให้ ทารกจะไดเ้ รยี นรู้ การสร้างความสัมพันธ์กบั บุคคลอนื่ เปน็ ครั้งแรกในวยั น้ี ซ่ึงทักษะการสรา้ งความสมั พันธ์กับบคุ คลอื่นน้ี จะเปน็ ทกั ษะทส่ี าคัญในการสรา้ งความสมั พันธท์ ่ีดกี ับบคุ คลอ่นื ในสงั คมต่อไปในอนาคต

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 31 รูปแสดงพฒั นาการสดั ส่วนของร่างกาย 6.2.2 พฒั นาการทางความคิดสติปัญญา (Intellectual Development) วัยทารก สามารถรับรู้และมีปฏกิ ริ ิยาตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ท่ีเขา้ มากระตนุ้ ได้ สามารถแยกความ แตกตา่ งของเสยี งได้ ถ้าเปน็ เสียงนุ่มนวล ไพเราะ เขน่ ดนตรบี รรเลง ทารกจะเงยี บ ฟังและหลบั ได้ เมอ่ื อายมุ าก ขึ้นความอยากรู้ อยากเห็นก็มากข้ึน กระตอื รอื ร้นในการเรยี นรู้สง่ิ ตา่ งๆ รอบตวั รื้อคน้ ดว้ ยความสงสัย มี พัฒนาการด้านการรบั รรู้ วดเรว็ ใชอ้ วัยวะรับสัมผสั เปน็ เคร่ืองมอื สาคญั ในการเรียนรสู้ ง่ิ แวดล้อมรอบตัว เช่น การหยบิ จบั วตั ถทุ กุ อย่างรอบตัวเขา้ ปาก กัด เลีย รับรรู้ สของวัตถุ การหันมองสงิ่ ตา่ งๆ รอบตวั ดว้ ยความอยากรู้ อยากเหน็ สนใจกระจกเงา ต่ืนเต้นกบั การมองเหน็ ตวั เองในกระจกเงา เลียนแบบ ลองผดิ ลองถกู ทาซา้ เดิมเชน่ หยบิ แลว้ โยน ทาเรือ่ งเดิมๆ ซา้ ๆ วนไปมา เร่ิมเรยี นร้วู ิธีการใหมๆ่ มาใช้ในการตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ หรอื แกป้ ัญหาเดิมดว้ ยวธิ กี ารทไ่ี มเ่ คยทามาเลยไดด้ ้วย เช่น ใชเ้ ทา้ เตะลูกบอลแทนมอื หรอื ใชไ้ ม้เขี่ยลกู บอล เรยี นรู้ การแสดงออกถึงความตอ้ งการของตนเอง ความพอใจ ความไมพ่ อใจใหค้ นอ่ืนรบั รไู้ ด้ เชน่ การพูดคาว่า “หม่าๆ” เมอื่ หิว การชีไ้ ปที่โต๊ะ หรอื การดงึ ผ้าปโู ตะ๊ เมอื่ ตอ้ งการส่ิงของบนโตะ๊ การมองหาส่ิงของทีต่ อ้ งการ การยิ้มใหผ้ ู้อื่นเมือ่ พอใจ เป็นตน้ เมอื่ อายุ 8 เดอื น เรมิ่ หดั พูดจากการเลยี นแบบเสยี ง เร่ิมเขา้ ใจความหมายของคาว่า ไม่ อยา่ กนิ ปลายวยั นี้เริม่ พูดเปน็ วลี ประโยคสัน้ ๆได้ เรมิ่ เขา้ ใจความหมายของคาว่า ไม่ อยา่ กิน ได้ ปลายวัยทารกพูดเป็น วลี ประโยคสัน้ ๆ ได้ เขา้ ใจความหมายของคาถามคาขอรอ้ ง คาหา้ มปราม คาเตอื น การส่งเสริมทกั ษะทางภาษา ดว้ ยการให้เดก็ รจู้ กั สง่ิ ของ และช่ือของสง่ิ ของดว้ ยการพูดซา้ ให้เด็กพดู ตาม เลีย่ นแบบบ่อยๆ ในชว่ งปลายๆ ขวบปีที่ 2 เด็กเรม่ิ แยกแยะส่งิ ของตา่ งๆ ได้ มองเห็นความเหมอื นและความแตกตา่ ง ของสงิ่ ของ เรม่ิ ชอบ อาหารบางอยา่ งเปน็ พเิ ศษ พฒั นาการทางสติปญั ญา ขนึ้ อยูก่ บั ปจั จัยดงั นี้ ไดแ้ ก่ พ้นื ฐานทางสตปิ ญั ญาที่ไดร้ บั การถ่ายทอด จากบรรพบรุ ุษ โอกาสทีเ่ ด็กจะได้เรียนรู้ สิ่งแวดลอ้ มทอ่ี ย่รู อบตวั เดก็ นอกเหนือจากปจั จัยท่กี ลา่ วมาแลว้ สิ่งทม่ี อี ิทธพิ ลต่อการพฒั นาสติปญั ญายงั ได้แก่ โอกาสทเี่ ดก็ จะได้เลน่ เพราะการเลน่ ชว่ งสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจ สง่ิ แวดล้อม ดงั คากลา่ วท่ีวา่ การเล่นคอื การเรยี น (Playing is Learning) ความสามารถท่จี ะเขา้ ใจภาษา และใชภ้ าษาที่ทาใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจ พัฒนาการของกลา้ มเนอ้ื และประสาทสัมผสั (Sensory motor) เพราะระยะ นเ้ี ดก็ เรียนรสู้ ่ิงต่างๆ โดยอาศัยกลา้ มเนื้อและประสาทสัมผสั เปน็ สือ่ เป็นสว่ นใหญ่ การท่ีเดก็ ไดม้ โี อกาสแตะต้อง เหน็ ไดย้ นิ วตั ถทุ ่ใี ห้การเรียนรู้ จะชว่ ยพฒั นาสตปิ ัญญาอย่างมาก

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 32 การส่งเสรมิ พฒั นาการทางด้านน้ีจาตอ้ งอาศยั การเรยี นรู้ จึงควรจดั สภาพแวดลอ้ มให้เกิดการ เรียนรูใ้ หม้ ากท่สี ดุ เท่าทจี่ ะมากได้ เพือ่ ตอบสนองการเรยี นรู้ในดา้ นต่างๆ ซ่งึ สง่ิ เหล่านีจ้ ะชว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสมอง ผู้เลย้ี งดคู วรจัดหาของเล่นใหเ้ ดก็ ให้เหมาะสมกบั วัยและความสามารถของเด็ก ของเลน่ นอกจากจะให้ความเพลดิ เพลนิ แลว้ เดก็ ยังสามารถเรยี นรู้หลายๆ อย่างจากของเล่นน้ันๆ เชน่ เรียนรเู้ กี่ยวกบั รูปฟอร์มตา่ งๆ เช่น รปู สามเหล่ียม รปู สเี่ หลย่ี ม รูปวงกลม เป็นต้น ซ่ึงความร้เู หลา่ น้กี ็คอื ความรูข้ ั้นพนื้ ฐาน ของวชิ าคณิตศาสตร์นั่นเอง นอกจากความรเู้ กยี่ วกบั รปู ฟอรม์ ต่างๆ แล้ว เดก็ ยังไดเ้ รยี นรเู้ กี่ยวกับขนาด เชน่ ใหญ่-เลก็ จานวนและสีของส่ิงเหล่าน้ันวา่ มจี านวนมากน้อยเท่าใดและมสี ีสนั อะไรบา้ ง ฉะนั้นในการหาซอื้ ของ เล่นใหเ้ ดก็ บดิ ามารดาจงึ ควรหาซอ้ื ของเล่นชนดิ เพอ่ื การศึกษา (Educational Toys) เพือ่ สนองความตอ้ งการ อยากรูอ้ ยากเห็น และยงั ช่วยสง่ เสริมพัฒนาการทางสตปิ ญั ญา 6.2.3 พฒั นาการทางอารมณ์ (Emotional Development) ระยะแรกทารกมีอารมณต์ นื่ เต้นอยา่ งเดียว ตอ่ มามีอารมณพ์ อใจและไม่พอใจ อารมณ์พอใจมา จากการไดด้ ดู นม ได้รบั การสัมผสั อารมณไ์ มพ่ อใจมาจากการจบั ทารกเปลยี่ นทา่ อย่างรวดเร็ว รุนแรง ไมไ่ ด้ เคลื่อนไหว อารมณใ์ นวยั นมี้ หี ลากหลามากขึน้ เปล่ยี นแปลงง่ายรวดเร็วขน้ึ อยู่กบั ส่งิ เร้า อารมณ์โกรธมมี าก เพราะเปน็ ระยะท่เี ด็กพฒั นาความเป็นตวั ของตัวเอง พยายามฝึกฝนตนเองเพือ่ ใหส้ ามารถชว่ ยตนเองทาง สมรรถภาพของร่างกาย แตเ่ ด็กไมส่ ามารถทาไดต้ ามใจตนเอง สิง่ เหล่าน้ีล้วนแต่ยั่วยุใหเ้ ดก็ โกรธได้งา่ ยๆ ผลท่ี ตามมาก็คอื ความหงุดหงิด ฉนุ เฉียว โยเย เดก็ อาจแสดงอารมณโ์ กรธออกมาหลายวิธเี ชน่ ร้องไห้ ทุบตี ไม่ สบาย เป็นตน้ อารมณ์กลวั เกดิ จากสาเหตตุ ่างๆ เชน่ ความไมเ่ ขา้ ใจสง่ิ แวดล้อม การหลอกหรอื ขขู่ องผูใ้ หญ่ หรอื อาจจะเกดิ จากประสบการณท์ ี่เดก็ ได้รับโดยตรงกไ็ ด้ เชน่ ความสูง ความมดื การถกู ทงิ้ ใหอ้ ยคู่ นเดยี วตาม ลาพัง เด็กแสดงอารมณ์กลัวออกมาโดยวธิ ี ร้องไหจ้ ้า หนี ใหผ้ ใู้ หญ่อมุ้ หรอื หลบหลงั ผ้ใู หญ่ ไมร่ ับประทาน อาหาร เป็นต้น อารมณอ์ ยากรูอ้ ยากเห็น เปน็ อกี อารมณ์หนง่ึ ทีม่ ีค่อยข้างมาก เกดิ จากความต้องการรจู้ ักสิง่ แวด ล้อม อารมณ์ประเภทนี้มปี ระโยชน์ต่อการพฒั นาสตปิ ัญญา ถา้ บิดามารดาสง่ เสรมิ ให้ถกู วิธจี ะชว่ ยสง่ เสรมิ การ พัฒนาทางด้านสตปิ ญั ญาได้ การสง่ เสรมิ พฒั นาการทางอารมณ์ ผเู้ ล้ยี งดไู มค่ วรปลอ่ ยให้เด็กอยู่ในอารมณโ์ กรธนานๆ เพราะจะ ทาใหเ้ ด็กทเ่ี ตบิ โตขึน้ เปน็ คนท่ีเจา้ อารมณ์ ฉนุ เฉยี วโกรธง่าย ควรสนองความตอ้ งการของเด็กตามความ เหมาะสม และไมค่ วรหลอกเดก็ ให้กลัวโดยไมม่ เี หตุผล หรอื ขู่กรรโชกเดก็ ให้กลวั เพราะจะทาใหเ้ ด็กเตบิ โต ขึ้นมาเปน็ คนท่กี ลวั ง่าย ตกใจง่าย หวาดระแวงเปน็ ผลกระทบตอ่ บุคลิกภาพของเด็กในอนาคต เม่อื เด็กสงสัย ซักถามผู้ใหญห่ รือบดิ ามารดาเพราะความอยากรูอ้ ยากเหน็ ไม่ควรดวุ า่ เดก็ จะทาใหเ้ ดก็ ไมก่ ลา้ ซกั ถามอะไรอกี ต่อไป ซง่ึ ไมช่ ว่ ยให้เดก็ ไดศ้ กึ ษาส่ิงแปลกๆ ใหมๆ่ ท้งั ยงั ไมไ่ ดต้ อบสนองความต้องการในดา้ นความอยากรูอ้ ยาก เหน็ ของเดก็ ด้วย นอกจากนนั้ ยังควรส่งเสรมิ อารมณ์ร่ืนเรงิ ยนิ ดใี ห้กับเด็ก เพราะอารมณ์นีจ้ ะช่วยสง่ เสรมิ ให้ เดก็ เตบิ โตขนึ้ เป็นผูใ้ หญท่ มี่ สี ขุ ภาพจติ ที่ดี การสง่ เสริมทาไดโ้ ดยการสมั ผสั อมุ้ ชู หยอกลอ้ เล่นกบั เด็ก หรอื สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ได้ทากจิ กรรมทเี่ ดก็ ชอบ 6.2.4 พฒั นาการทางสงั คม (Social Development) พัฒนาการทางสงั คม หมายถึง พฤติกรรมทีเ่ ดก็ สร้างความสัมพันธ์กบั บุคคลต่างๆ ต้งั แต่ บิดา มารดาหรอื ผ้เู ลย้ี งดู ขยายออกไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว บุคคลอื่นๆ ในชุมชน ในโรงเรยี นและใน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 33 สงั คมทต่ี นเองเป็นสมาชิก แบบพฤตกิ รรมสงั คมมหี ลายอย่าง เชน่ ก้าวร้าว นุม่ นวล เยอื กเยน็ รุ่มร้อน เกบ็ ตัว ชอบสงั คม คบคนงา่ ย คบคนยาก ชอบโทษผู้อนื่ ชอบโทษตนเอง ชอบวางอานาจใสผ่ อู้ ่ืน ชอบเป็นผนู้ า ชอบเปน็ ผูต้ าม เปลยี่ นแปลงงา่ ย เปล่ียนแปลงยาก ไม่ยอมใครงา่ ยๆ ยอมใหผ้ ้อู ่นื งา่ ยๆ ชอบเอาเปรยี บ ชอบ ตอ่ สู้ ฯลฯ การสอ่ื สารทางสงั คมของวยั นีใ้ ช้ การรอ้ งไห้ โดยระดบั เสยี ง และรปู แบบการร้องไหจ้ ะส่อื ความ ตอ้ งการของวัยนใ้ี หค้ นรอบตัวรับรู้ เชน่ การรอ้ งไหเ้ สยี งดงั ตลอด การร้องเสียงดังและหยดุ เปน็ ระยะๆ การ ร้องไหพ้ รอ้ มขยบั ตวั การรอ้ งไหค้ รวญคราง การรอ้ งเสียงดงั สูง วยั น้ีตอบสนองต่อสิ่งกระตนุ้ ทางประสาทสมั ผสั ไวมาก ดงั นั้นการสมั ผสั ทอ่ี บอ่นุ ชว่ ยให้เดก็ เตบิ โตเปน็ ผ้ใู หญ่ที่เข้าใจผอู้ ่ืน เหน็ อกเห็นใจผู้อืน่ อยรู่ ว่ มกับผู้อ่นื ใน สังคมได้ ตอ่ มาวยั น้จี ะพยายามสอ่ื สารกบั คนรอบขา้ ง ร้จู กั เลน่ กบั คนอ่ืน ระยะน้มี คี วามสาคญั ตรงเป็น ช่วงเวลาการวางรากฐานการสรา้ งความสมั พันธ์กบั บุคคลรอบข้าง การมที ัศนคติต่อตนเอง และผู้อื่น การ แสดงออกทางพฤตกิ รรม บคุ ลิกประจาตวั เกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาน้จี นเป็น บคุ ลกิ ภาพ ตดิ ตวั ไปจนเป็นผใู้ หญ่ (ณฐั ภร อินทยุ ศ.2556.หนา้ 112-116) พฤติกรรมทางสงั คมของแต่ละบคุ คลจะแสดงออกมาอยา่ งไร ขน้ึ อยู่กบั อทิ ธพิ ลตา่ งๆ หลายประการ ที่ บคุ คลเรียนรแู้ ละได้รบั ในวยั ทารก เชน่ 1)ความรู้สกึ ท่เี กดิ ข้ึนขณะทเี่ ดก็ ได้รบั อาหาร การไดร้ ับอาหารเปน็ เรอื่ งทสี่ าคญั มากสาหรบั เด็กในวัยนี้ ฟรอยดเ์ ชอื่ ว่า ความสุขของคนในระยะนีอ้ ยทู่ ่ีการได้กินอาหาร ดงั นนั้ ถา้ เด็กไม่มคี วามสขุ อยา่ งเพยี งพอ เกย่ี วกับการกินอาหาร จะกระทบกระเทอื นไปถงึ การพัฒนาการทางสังคม และพฒั นาการทางอารมณ์ดว้ ย 2)ความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คลตา่ งๆ ภายในบา้ น ความสัมพันธร์ ะหวา่ งบุคคลในบ้านทงั้ ในแง่ดีและไม่ ดจี ะเปน็ รอยประทบั ไวใ้ นจิตใจของเดก็ โดยท่เี ด็กไมร่ สู้ กึ ตัวและไม่สามารถใช้สตปิ ญั ญาเลอื กเฟ้น เดก็ จะเรยี น และเลียนแบบความสมั พนั ธเ์ หล่านี้ไปปฏบิ ัตใิ นชีวติ อนาคต 3)การฝึกหดั ให้เด็กรสู้ ึกเคารพระเบยี บกฎเกณฑต์ ่างๆ เปน็ รากฐานทสี่ าคัญของพฤตกิ รรมทางสังคมใน การอยู่ร่วมกับบุคคลอ่นื 4)การฝึกใหเ้ ดก็ ได้เรยี นรู้ รับรู้ และเข้าใจเรอ่ื งมารยาทสงั คม ค่านิยม (Value) และจรรยา (Moral) เป็นเร่อื งสาคัญท่ีทาใหบ้ คุ คลมชี วี ิตทางสังคมอย่างมคี วามสขุ การสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสงั คม ความสมั พนั ธภ์ ายในครอบครัวเปน็ ปจั จยั ทสี่ าคัญทส่ี ดุ ในการสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสงั คม เด็กที่ไดร้ บั ความรกั ความอบอ่นุ จากบดิ ามารดาอยา่ งเพียงพอจะเรยี นรูใ้ นการที่จะรกั บุคคลอืน่ ดว้ ย บดิ ามารดาควรจัดสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ด็กได้มปี ระสบการณท์ างสงั คมมากข้ึน ไดม้ ีโอกาสสมาคม กบั ผอู้ ื่น ไดม้ โี อกาสรว่ มแสดงความเห็นกับผ้อู ่ืน จะทาใหเ้ กดิ ผลดตี อ่ การพฒั นาการทางสงั คม นอกจากน้ีบดิ า มารดาควรทาตัวเป็นแบบอย่างท่ีดีแกเ่ ด็กในการแสดงมารยาททางสังคม เชน่ การทกั ทาย การต้อนรบั แขก รวมท้ังมารยาทท่พี งึ ปรารถนาในสังคมทกุ ประเภท 6.3 วัยเด็กตอนต้นหรือวัยเด็กก่อนเขา้ โรงเรียน (Early Childhood or Pre School Age) วัยเด็กตอนตน้ หรอื ระยะวัยเดก็ ก่อนเขา้ โรงเรียน เรม่ิ ตน้ ตัง้ แตอ่ ายปุ ระมาณ 2 ปี จนถึง 5 ปี ลักษณะเดน่ ของเดก็ วยั นีค้ ือ อยากเป็นอสิ ระ อยากเปน็ ตวั ของตวั เอง ดือ้ ดงึ ตอ่ พอ่ แม่ เดก็ วัยนเ้ี ป็นวยั ท่ีกาลัง นา่ รกั และนา่ ชงั ไม่ตามใจใครงา่ ยๆ วยั นจี้ ึงไดร้ บั สมญาว่า วัยชา่ งปฏิเสธ (Negativistic Period) ที่เปน็ เชน่ น้ี เพราะเพิ่งพน้ จากวยั ทารก ประกอบมคี วามสามารถทางกายเพม่ิ มากขน้ึ จึงตอ้ งการแสดงความสามารถ และ มีการตดิ ต่อกบั บคุ คลต่างๆ มากข้นึ การตดิ ต่อสงั สรรค์กบั ผู้อืน่ เป็นการเพิ่มและเร้าให้มีความต้องการเปน็ ตัว

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 34 ของตัวเองมากขน้ึ เด็กวยั น้ีบางคนเร่มิ ไปโรงเรยี นเด็กเลก็ (nursery) หรอื โรงเรยี นอนบุ าล(kindergarten) เพ่ือ เตรยี มความพรอ้ มในการเรียนระดบั ประถมศกึ ษาตอ่ ไป พฒั นาการที่สาคญั ในเด็กวัยน้ีมีดงั นี้ 6.3.1 พัฒนาการทางกาย (Physical Development) พฒั นาการทางกายในวยั เดก็ ตอนต้น ยงั เป็นไปแบบเจรญิ เติบโตเพอ่ื ใหท้ างานเต็มท่ี แต่ อตั ราแปรเปลี่ยนคอ่ นขา้ งชา้ เมอ่ื เทียบกบั ระยะวยั ทารก น้าหนักและสว่ นสงู ยงั คงเพม่ิ ขึ้นแต่ไม่เพมิ่ มากนกั สัดสว่ นของร่างกายจะคอ่ ยๆ เปลย่ี นไป แขนขายาวขน้ึ ลาตัวยาวและกว้างขึน้ เปน็ สองเท่าของทารกเกดิ ใหม่ กระดูกเพมิ่ ความแข็งแรงกว่าเดมิ กล้ามเน้ือและประสาทสัมผสั ทาหน้าทีไ่ ดด้ ีขึน้ ฉะนั้นจึงเปน็ ระยะทีเ่ หมาะ ท่สี ุดทจ่ี ะฝกึ ได้เลน่ กฬี าประเภทเคลือ่ นไหวตา่ งๆ ทเี่ หมาะกบั กาลงั ของเด็ก ซง่ึ จะชว่ ยการเรียนรแู้ ละพฒั นา พฤตกิ รรมด้านอารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา ความเจริญเตมิ โตทางร่างกายเป็นสงิ่ จาเปน็ เพราะเป็นการเตรยี มตัวใหเ้ ดก็ ช่วยเหลอื ตัวเองได้ บิดามารดาจงึ ควรสนบั สนนุ ให้เด็กชว่ ยเหลือตัวเองทางด้านรา่ งกายตา่ งๆ เช่น ฝึกใหเ้ ดก็ รบั ประทาน อาหารเอง ใสเ่ สอ้ื ผ้าเอง ถอดเสื้อผ้าเอง ฯลฯ ถ้าไม่ฝึกใหช้ ว่ ยเหลือตัวเองเด็กจะปรับตัวใหเ้ ข้ากับโลกภายนอก และบคุ คลอนื่ ๆ นอกครอบครัวไดค้ อ่ นขา้ งลาบาก การรับประทานอาหาร เดก็ เรม่ิ เลอื กรบั ประทานอาหารที่ชอบเทา่ นั้น การสร้างอปุ นสิ ัย ในการรบั ประทานอาหารควรทาอยา่ งจรงิ จงั และเป็นข้อทผ่ี ูป้ กครองตอ้ งถอื ปฏิบตั ิในการอบรมเดก็ ของตนเอง เพื่อใหเ้ ด็กรจู้ กั เลอื กรบั ประทานอาหารไดอ้ ยา่ งถกู สขุ ลกั ษณะ ถูกเวลา และมีมารยาทในการรบั ประทานอาหาร ถา้ ปล่อยปละละเลยจะทาให้หัดไดย้ ากเมื่อพ้นวัยนี้ สว่ นการสรา้ งสขุ นิสยั ในการขบั ถ่าย ควรฝึกเดก็ อย่างจริงจัง เนอื่ งจากสภาพทางรา่ งกาย ของเด็กพรอ้ มแล้ว เดก็ สามารถควบคมุ การขับถา่ ยอจุ าระไดก้ ่อนปัสสาวะ และควบคมุ การถา่ ยปสั สาวะตอน กลางวันได้ดีกว่าตอนกลางคนื การสรา้ งสขุ นสิ ยั ทางกายเปน็ เรื่องทส่ี าคญั มาก เพราะมีผลตอ่ พฤติกรรมทางด้านสังคม ดว้ ย ไดแ้ ก่ การคบเพอื่ น การเข้าโรงเรยี น การผูกมิตร การมวี นิ ยั ฯลฯ ในปัจจบุ ันนเี้ ด็กๆ มักเรมิ่ ออกจาก บ้านตัง้ แตใ่ นวัยนี้ ดงั นนั้ การสรา้ งสุขนสิ ัยทางกายตา่ งๆ นอกจากจะเรม่ิ จากทางบ้านแลว้ จะต้องไดร้ ับความ รว่ มมือจากทางโรงเรียนด้วยเพราะเดก็ วยั นใี้ ช้เวลาวันละประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง นอกจากนสี้ ขุ นสิ ยั ทางกายยัง มผี ลต่อพัฒนาการทางดา้ นอื่นๆ อกี เชน่ พัฒนาการทางอารมณ์และความคิด ทักษะการเคลอ่ื นไหว การเล่นสาหรบั เดก็ ในวัยนีใ้ นทกุ รูปแบบ เปน็ เรอ่ื งจาเปน็ สาหรบั การพฒั นาการทางกาย ทางสงั คม และทางอารมณ์ของเดก็ ความสาคญั ของการเลน่ จะมผี ลไปถงึ วยั เด็กตอน ปลาย เพราะการเลน่ ของเดก็ คือ การเรยี นรู้ (Playing is Learning) แตก่ ารเลน่ จะใหค้ ุณหรือใหโ้ ทษนน้ั อยู่ที่ลกั ษณะของการเล่นและของเลน่ ทเ่ี หมาะกับวยั สุขภาพ และเพศของเดก็ เด็กวยั น้ีชอบชว่ ยเหลอื ตวั เองในการปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจาวัน เชน่ การอาบน้า การแต่งตัวใส่เส้อื และ กางเกงหรอื กระโปรงเอง การหวผี ม อยา่ งไรก็ตามขอ้ ควรระวังของเดก็ วยั นี้คอื อบุ ัตเิ หตจุ ากความซนของเดก็ เอง และ/หรอื จากการเลน่ ของเดก็ เอง 6.3.2 พฒั นาการทางอารมณ์ (Emotional Development) เดก็ ในวัยน้ีจะมีหลากหลายอารมณท์ ง้ั ทางบวก และทางลบ อารมณ์โดดเดน่ ได้แก่ จะมี อารมณห์ งุดหงดิ งา่ ยกวา่ เดก็ ในวยั ทารก ดื้อรนั้ เอาแต่ใจตวั เอง เจ้าอารมณ์ ท้ังนีเ้ พราะอยู่ในวยั ช่างปฏิเสธ (Negativistic Phase) อารมณโ์ กรธเป็นอารมณ์ธรรมดาท่ีสุดของเด็กในวยั น้ี เพราะในระยะนเี้ ดก็ โกรธง่าย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 35 เน่ืองจากอยากเป็นตัวของตวั เอง การแสดงอารมณ์โกรธอาจแสดงออกมาไดห้ ลายวธิ ี เชน่ กระทืบเท้า รอ้ งไห้ กร๊ดี ๆ นอนด้นิ กับฟน้ื ฯลฯ อารมณอ์ วดด้อื ถอื ดี (Negativistic) เปน็ อารมณท์ ่ีเกิดข้ึนมากพอๆ กบั อารมณ์ โกรธ ความด้ือร้ันสืบเนอื่ งมาจากความตอ้ งการทาอะไรๆ ดว้ ยตัวของตัวเอง นอกจากนี้ ยงั มีอารมณอ์ ยากร้อู ยากเห็นแสดงใหเ้ หน็ จากการที่เดก็ ชอบตั้งคาถาม โนน่ อะไร ทาไมจึงเป็นเช่นนนั้ ทาไมไม่เป็นอย่างนั้น อารมณก์ า้ วร้าวแสดงออกใหเ้ ห็นทง้ั ทางกายเชน่ รงั แกเพอ่ื น และ ทางวาจาโดยเฉพาะในชว่ งอายุ 4-5 ปี จะแสดงความก้าวรา้ วออกมาโดยใชค้ าพดู มากกว่าใช้กาลงั ตอ่ สกู้ นั อารมณอ์ จิ ฉาริษยา เกดิ ข้ึนเน่ืองจากตนรสู้ กึ วา่ กาลงั จะสญู เสียส่งิ ที่ตนรกั และเป็นสมบัติพิเศษของตนไปให้แก่ บคุ คลอืน่ เชน่ เมอื่ มนี อ้ งใหม่ อารมณ์หวาดกลัวเมอ่ื พบสงิ่ แปลกใหมห่ รอื กลัวสงิ่ ทจ่ี นิ ตนาการเอง เชน่ กลวั ผี กลัวยักษ์ กลวั ตุ๊กแกกนิ ตบั การแสดงออกของอารมณ์น้ีอยใู่ นลักษณะของการหลบซอ่ น หลกี เลย่ี ง สถานการณ์ทที่ าใหต้ กใจกลัวหรือว่งิ หนเี ขา้ หาผู้ใหญ่ อกี ทง้ั ยังเลยี นแบบความกลัวจากผู้ใหญ่ท่ีใกล้ชิดดว้ ย อารมณ์หรรษาจะเกิดเมอื่ เด็กประสบความสาเรจ็ ในการเป็นตวั ของตัวเองไดส้ มใจ การแสดงออกทางอารมร์ของเดก็ วัยน้ีมลี กั ษณะตรงไปตรงมา เปิดเผย และเป็นอิสระ เมือ่ ดใี จ เดก็ จะหัวเราะเสียงดงั ย้ิม ปรบมอื กระโดดโลดเต้น เวลาโกรธจะเสียงดงั แบบแผดเสยี ง ลงมือลงเทา้ (temper tantrum) เวลากลวั จะหลบซอ่ น วิง่ หนี รอ้ งเสียงดงั ว่งิ เข้าหาผใู้ หญ่ เมอ่ื อจิ ฉาริษยาก็อาจแสดงภาวะถดถอย กลบั ไปเปน็ ทารกอีกครงั้ เพอื่ เรียกรอ้ งความสนใจดว้ ยการปสั สาวะรดทีน่ อน ดูดน้ิว ดอื้ ดงึ ร้องไหง้ อแง โยเย เป็นต้น 6.3.3 พัฒนาการทางสงั คม (Soical Development) พัฒนาการทางสงั คมไดเ้ รมิ่ แล้วตั้งแต่วยั ทารก เด็กวยั นพ้ี ยายามเรยี นรู้ทจ่ี ะเป็นสว่ นหนึ่งของ สงั คม เรียนรู้มารยาทการไหว้ การทกั ทาย การเล่นกบั เด็กวัยเดียวกันตา่ งคนต่างเล่น แต่อยใู่ นบรเิ วณเดียวกัน และอาจมปี ญั หาการแยง่ ของเลน่ เพราะเดก็ วัยน้ยี ังมลี กั ษณะยึดตนเองเป็นศนู ย์กลาง(Self– Center) เอาแตใ่ จ ไม่แบ่งปนั กบั ผใู้ หญเ่ ด็กจะดื้อ ชอบปฏิเสธ เพราะตอ้ งการเป็นตัวของตัวเองและเปน็ อสิ ระ การอบรมเลย้ี งดูท่ี ถกู ตอ้ ง เหมาะสมจากพ่อแมจ่ ะชว่ ยให้เดก็ ผา่ นปญั หาเหล่านี้ไปได้ ในระยะนี้ของวยั เด็กตอนตน้ มีลกั ษณะผิด แผกจากวยั ทารก เชน่ 1) เด็กเรมิ่ รจู้ กั เข้าหาผอู้ ่นื ไม่คอยแต่เป็นฝ่ายรบั การเขา้ หาจากผู้อ่นื เหมอื นตอนเป็นทารก 2) เด็กเรม่ิ เบอ่ื หนา่ ยที่จะคบผ้ใู หญเ่ ปน็ เพอ่ื น เรม่ิ แสวงหาเพือ่ นรว่ มวัยเดยี วกนั 3) เด็กคบกบั เพอ่ื นรว่ มวัยยังไมร่ าบรน่ื นัก เพราะยงั ตอ้ งการให้ผอู้ นื่ สนใจตนมากกว่าตนสนใจ ผ้อู ืน่ (Self – Center) 4) เพือ่ นของเด็กยงั มจี านวนจากัด นอกจากเพอ่ื นทเี่ ปน็ บคุ คลจรงิ ๆ แล้วเด็กยงั มีเพอ่ื นอีก ประเภทหนงึ่ คอื เพือ่ นสมมุติ (Imaginative Friend) เพอื่ ชว่ ยลดความตงึ เครียดในดา้ นประสบการณ์ สมาคม ระยะท่เี ดก็ สร้างเพอ่ื นสมมตุ มิ ากท่สี ุดอยรู่ ะหวา่ ง 2 ขวบครึ่ง ถึง 4 ขวบครึง่ 5) พรอ้ มๆ กบั มเี พอื่ นสมมุติ เดก็ จะสร้างโลกสมมตุ หิ รอื เรอ่ื งสมมตุ ขิ น้ึ (Imaginative Word or Imaginative Play) การสร้างโลกสมมุตเิ ปน็ การเลน่ ชนดิ หน่ึงของเดก็ ในวยั น้ี การเลน่ สมมตุ เิ ปน็ การเลน่ เลยี นแบบชวี ติ จรงิ เชน่ เล่นขายของ เล่นเป็นแม่ เล่นเลียนบทละครที่ดจู ากโทรทัศน์ เด็ก มกั จะมีของเล่น และอปุ กรณก์ ารเล่นประเภทตา่ งๆ ประกอบการเลน่ สมมตุ ิ เชน่ ดนิ นา้ มัน ลูกปัด ตุก๊ ตา กรรไกร ดินสอสี ฯลฯ การเล่นสมมตุ บิ างอย่างอาจเลียนชีวติ จรงิ บางส่วนเท่าน้นั เช่น เรื่อง เกยี่ วกบั เทวดา นางฟ้า ยักษ์ ห่นุ ยนตต์ า่ งๆ บุคคลเหล่าน้ีเป็นเพอื่ นสมมุติของเด็ก ซึ่งเดก็ บางคน ร้สู ึกใกลช้ ดิ สนทิ สนมมากกว่าเพอ่ื นในชวี ติ จรงิ ๆ ของเขาเสียอีก

36 6) พฤตกิ รรมทางสงั คมอีกอยา่ งหนงึ่ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ในระยะวยั เดก็ ตอนตน้ ซ่ึงนา่ รนู้ ่าสนใจและ ไม่ควรมองข้าม ไดแ้ ก่ การทีเ่ ดก็ หญงิ และเด็กชาย เรมิ่ มองเห็นความแตกตา่ งระหวา่ งเพศ (Sex Difference) เริม่ ตระหนักวา่ ตนเป็นเพศหญงิ หรอื ชาย และควรจะประพฤตติ นอย่างไรจึงจะสมเปน็ ผู้หญิงสมเป็นผชู้ าย (Sexual Typing) การเรียนรเู้ หลา่ น้ี นอกจากเดก็ จะเรียนดว้ ยอาศัยการสังเกต และการเลยี นแบบแลว้ ยังถูกอบรมแนะนาจากผใู้ หญด่ ว้ ย การเรยี นรเู้ หลา่ น้ีเปน็ รากฐานของการ ประพฤตติ นอยา่ งชายหนุ่มหญิงสาว หรือบทบาทอยา่ งอืน่ สาหรบั เฉพาะชายหรือหญงิ ในภายภาคหนา้ เชน่ บิดา สามี มารดา ภรรยา ฯลฯ สาเหตทุ ท่ี าให้ผใู้ หญบ่ างคนประพฤตติ นผดิ ไปจากลกั ษณะ บทบาททางเพศของตนทสี่ งั คมไม่ยอมรบั เช่น กะเทย รกั ร่วมเพศ นนั้ มสี าเหตหุ นง่ึ ก็คือ ประสบการณ์และการเรยี นรขู้ องเขาในวยั น้ผี ดิ ไปจากบทบาทท่ีควรจะเปน็ ตามเพศทเี่ หมาะสมของตน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ฟรอยด์ (Freud) อธบิ ายเกย่ี วกบั เรอื่ งนวี้ ่า ระยะวัยเดก็ ตอนตน้ เปน็ ระยะพฒั นาการซง่ึ เขาใช้ชอ่ื ว่า Oedipal Stage เดก็ หญงิ และเด็กชายจะตระหนักถงึ ความเปน็ เพศชายหรอื เพศหญิงของตน และเรยี นรูท้ จี่ ะ ทาตามเพศของตน โดยเลยี นแบบจากผใู้ หญ่ทเี่ ป็นเพศเดยี วกบั ตน (Model or Identification Figures) การ เลียนแบบบทบาททางเพศเกิดข้ึนเมือ่ 1) มีบุคคลทเ่ี ปน็ เพศเดียวกบั ตน 2) บคุ คลนน้ั เปน็ ผู้ทเ่ี ด็กมีความสมั พนั ธ์ท่ดี ี 3) บคุ คลนัน้ ประพฤติตนตามบทบาททางเพศ สองขอ้ ข้างต้นมีความสาคญั ทจ่ี ะบนั ดาลให้มกี ารเลียนแบบบทบาททางเพศเกิดขน้ึ ส่วนขอ้ สดุ ท้ายน้นั เป็นตวั กาหนดวา่ ลกั ษณะการเลยี นแบบนั้นจะเปน็ ไปในรปู ใด เชน่ สมตามเพศหรอื ไม่ สมตามเพศแต่ พอประมาณ หรือไมส่ จู้ ะสมตามลกั ษณะบทบาททางเพศ พรอ้ มๆ กับการเลยี นแบบ บทบาททาง เพศ เด็กจะเรม่ิ สรา้ งความสมั พันธ์กบั บุคคลเพศตรงข้ามกับตนซง่ึ ในระยะน้ีคอื ผู้ใหญท่ ใ่ี กลช้ ดิ กบั เดก็ เนื่องจากในหลายๆ ครอบครบั บดิ ามารดามกั ใกล้ชิดกบั เดก็ มากทสี่ ดุ ฟรอยด์จงึ อธิบายว่า ระยะน้เี ดก็ หญงิ รกั พอ่ เลียนบทบาททางเพศจากแม่ เด็กชายรกั แมเ่ ลียนบทบาททางเพศจากพ่อ ถ้าเด็กหญงิ และเด็กชาย ไม่ได้ รบั การสนองความตอ้ งการเลียนแบบบทบาททางเพศของตนจากผูใ้ หญท่ ีเ่ ป็นเพศเดียวกบั ตน และสร้าง สัมพันธภาพกบั ผ้ใู หญต่ ่างเพศกับตน เม่ือเด็กยงั อยู่ในระยะวัยเด็กตอนต้น เดก็ จะเกดิ ปมของอารมณ์ความ ตอ้ งการน้ตี ิดตวั ไปในภายภาคหน้าเปน็ ลกั ษณะ Fixation (ไมเ่ ปลยี่ นไปตามกาล) ฟรอยดใ์ ห้ช่อื ปมนวี้ ่า Oedipus Complex ปมนเี้ รา้ ให้มนษุ ยม์ พี ฤตกิ รรมทางเพศหลายอย่าง ซ่งึ อาจผิดแผกไปจากทส่ี งั คมสว่ นมาก ยอมรบั เชน่ รกั ร่วมเพศ ไมส่ ามารถสร้างสมั พันธภาพกับเพอ่ื นได้ ฯลฯ จะเปน็ แบบใดหรือรุนแรงอย่างไรนน้ั ขึ้นอยูก่ ับความเข้มข้นและลกั ษณะของปม Oedipus Complex ซ่งึ มีตน้ เหตมุ าจากประสบการณข์ องชีวติ เกยี่ วกับเรอ่ื งน้ใี นระยะวยั เดก็ ตอนตน้ 6.3.4 พัฒนาการทางความคิดสตปิ ัญญา (Intellectual Development) วัยเด็กตอนตน้ อยากรู้อยากเหน็ ชา่ งซักช่างถาม สงสยั ทุกเรอ่ื งและถามได้ตลอดเวลา ไม่สิ้นสดุ ชอบสารวจ รอ้ื คน้ เรยี นรู้จากการลองผดิ ลองถกู ชอบอิสระ ชอบฟังนทิ าน ดภู าพยนตรต์ ่ืนเตน้ มหศั จรรย์ ผจญภยั ชอบสงั เกต จดจา และเลียนแบบ มีจนิ ตนาการ สร้างสรรค์ มเี พอ่ื นสมมุติของตนเอง สามารถใชภ้ าษาไดด้ ีขน้ึ ด้วยความเขา้ ใจ เข้าใจความหมายของคาใหมๆ่ อา่ นและเขยี นได้ดีขึ้นอยา่ งมีพฒั นาการ ในชว่ งอายุ นี้ พัฒนาการทางความคิดของเดก็ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ระยะ คือ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook