มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 105 2. การใช้ตัวแบบ (Modeling) การสังเกตตัวแบบที่ดีจะส่งผลให้ได้รับผลของการกระทำที่น่าพึงพอใจ และสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้สำเร็จ ตัวอย่างเช่น น้องที่เรียนไม่เก่งและกลัวการสอบ เห็นพี่ชายของตนที่ เคยสอบตกหันมาตั้งใจเรียน จนสอบได้คะแนนดี ก็จะทำให้น้องรู้สึกว่าเขากท็ ำได้ ถ้าตั้งใจและพยายาม จนในที่สดุ กไ็ มก่ ลัวการสอบ 3. การพูดชักจูง (Verbal Persuasion) เป็นการบอกว่าบุคคลนั้นมีความสามารถที่จะประสบ ความสำเรจ็ ได้โดยใช้คำพดู ท่ีเปน็ แรงจงู ใจในการพฒั นาตนเองต่อไปเรื่อย ๆ จนประสบความสำเรจ็ 4. การกระตุ้นทางอารมณ์ในเชิงบวก (Emotional Arousal) บุคคลควรจะได้รับการกระตุ้นทาง อารมณ์ในเชิงบวก เช่น การให้กำลังใจเมื่อเด็กทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี จะทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนั้น อนั นำไปสู่การรับรู้ว่าตนเองมีความสามารถในเรื่องนั้น ๆ แต่ถ้าได้รับการกระตุ้นในเชิงลบ เช่น การข่มขู่ หรือลงโทษ อาจจะส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลหรือเครียด และทำให้บุคคลไม่สามารถแสดงออกได้ดีเท่าที่ควร อันนำไปสู่การ รับร้คู วามสามารถในตนเองที่ตนเองที่ต่ำลง การกำกับตนเอง (Self - Regulation) ในการเรียนรู้ที่มีความชับซ้อนนั้น การกำกับตนเองเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับการรับรู้ ความสามารถของตนเอง การกำกับตนเอง หมายถึง ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง หรือความสามารถที่จะ ควบคมุ พฤตกิ รรมของตนเอง โดยมีความเข้าใจต่อผลท่ีตามมาของพฤติกรรม โดยกระบวนการของการกำกบั ตนเอง ประกอบดว้ ย 3 ข้ันตอน ดังนี้ (Bandura, 1986) 1. การสังเกตตนเอง (Self - Observation) บคุ คลจะตอ้ งสำรวจตนเองและสำรวจพฤติกรรมของตนเอง 2. กระบวนการตัดสิน (Judgement Process) เป็นการเปรียบเทียบสิ่งที่สำรวจพบกับมาตรฐานที่มีอยู่ ทัง้ จากมาตรฐานสว่ นบุคคล มาตรฐานของกล่มุ และของสังคม 3. ปฏิกิริยาต่อตนเอง (Self - Reaction) การตัดสินจะนำไปสู่การแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อทำได้ ตามมาตรฐานทม่ี อี ยู่ก็เกดิ ความภาคภูมใิ จในตนเอง เมื่อทำไม่ได้มาตรฐานกอ็ าจเกดิ ความคบั ข้องใจ ตัวอยา่ งวิธกี ารในการส่งเสรมิ ความสามารถในการกำกับตน 1. การเรียนด้วยตนเอง (Self- Instruction) เป็นวิธีการบอกตนเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ เช่น ในการเริ่มฝึก เทนนสิ ผู้เล่นจะพฒั นาฝีมือการตโี ต้ลูกกลับไป ดว้ ยการบอกกบั ตนเองวา่ Ball เพ่อื จับตามองที่ลกู เทนนสิ Bounce เพอ่ื มองเสน้ ทางของลกู Hit เพอ่ื มองเมือ่ ลกู มากระทบไมเ้ ทนนสิ Ready เพ่ือเตรียมพร้อมสำหรับลูกตอ่ ไป เป็นตน้ 2. การเฝ้าติดตามตนเอง (Self - Monitoring) เป็นวิธีการสำรวจและตรวจสอบเองอยู่เสมอ โดยการ ทบทวนพฤติกรรมของตนเองว่ามีความผดิ พลาดหรือไม่ แลว้ ดำเนินการข้ันต่อไป
106 3. การเสริมแรงตนเอง (Self - Reinforcement) เป็นวิธีการให้รางวัลแก่ตนเอง เมื่อแสดงพฤติกรรมท่ี ถูกต้อง การเสริมแรงอาจกระทำได้หลายรูปแบบ เช่น การพูดชมเชยตนเอง การหาเวลาพักเล็กน้อยเมื่อทำงาน อย่างหน่งึ สำเร็จ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
107 ใบกิจกรรมที่ 1 คำชแ้ี จง 1. ให้นักศกึ ษาแบง่ กลุ่มออกเป็น 5 กล่มุ แล้วศึกษาแนวคิดทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (1.ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสิค ของพาฟลอฟ 2.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์ 3.ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์ 4.ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม 5. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม) พร้อมระดมความคิดเห็น ในประเด็น “การประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้สู่การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน” จากนั้นแต่ละกลุ่มออกมาแสดงบทบาท สมมตกิ ารนำทฤษฎกี ารเรียนรไู้ ปประยกุ ตใ์ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
108 เอกสารอา้ งองิ Bandura. (1986). Social Foundations of Thought and Action: A Social Cognitive Theory. Englewood Cliffs, N.J.: Prentice Hall. Driscoll, M. P. (2000). The Psychology of Learning for Instruction, 2nd Allyn and Bacon: Boston. จิตตินันท์ เดชะคุปต์และคณะ. (2560). จิตวิทยาและวิทยาการการเรียนรู้ ( Psychology and Learning Methodology). นนทบรุ .ี สำนกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมธิราช มสธ. ธัญญภสั ร์ ศิรธชั นราโรจน.์ (2563). จติ วิทยาการเรยี นร้.ู กรงุ เทพ : แดเน็กซ์อินเตอรค์ อรป์ อเรชัน่ . นนั ทนพ เขม็ เพชร. (2561). ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นต่ำของนสิ ิตวิทยาลัยการเมอื งการปกครอง มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. วารสารการเมืองการปกครอง. 10 (2) : 221-239. ประณต เคา้ ฉมิ . (2553). การเรยี นรแู้ ละการจำ. กรุงเทพฯ : ภาควิชาจติ วิทยา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวโิ รฒ. ประยุทธ ไทยธาน.ี (2560). จิตวทิ ยาการเรียนร.ู้ นครราชสมี า : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา พาสนา จุลรัตน์. (2548). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยา. การศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. มธรุ ส สวา่ งบารุง. สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2556). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สุรางค์ โค้วตระกูล. (2559). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั สุวัฒน์ วัฒนวงศ์. (2533). จิตวิทยากาเรียนรู้วัยผู้ใหญ่. กรุงเทพ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ. สิรอิ ร วชิ ชาวธุ . (2554) จิตวทิ ยาการเรียนร.ู้ กรุงเทพ : สำนักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. อุบลรตั น์ เพง็ สถติ ย์. (2553). จิตวทิ ยาการเรยี นร.ู้ พมิ พค์ รัง้ ที่ 7. กรุงเทพ : เบรน-เบส บุ๊คส.์ อรรควชิ จารกึ จารีต. (2561). จติ วทิ ยาการเรยี นร.ู้ กรุงเทพ : แดเน็กซ์อินเตอร์คอรป์ อเรช่ัน. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
109 แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 5 จิตวทิ ยาสำหรบั ผเู้ รียนทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษ ผสู้ อน - อาจารย์ต้นสาย แก้วสว่าง เวลา - 12 ชั่วโมง (3 สัปดาห)์ วัตถุประสงค์ 1. อธิบายความหมายของผู้เรียนท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ และการศกึ ษาพิเศษได้ 2. อธบิ ายรูปแบบการเรียนของผูเ้ รียนทีม่ คี วามต้องการพเิ ศษได้ 3. จำแนกประเภทของผู้เรยี นที่มคี วามตอ้ งการพิเศษและบทบาทของครูได้ 4. บอกแนวทางการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผ้เู รยี นท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษได้ 5. บอกแนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนสำหรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษได้ 6. อธิบายแนวทางการคดั กรองผูเ้ รยี นท่มี ีความต้องการพเิ ศษได้ เนื้อหา 1. ความหมายของผ้เู รยี นท่มี คี วามต้องการพเิ ศษ 2. ประเภทของผู้เรียนทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษ 3. กลุ่มโรคปัญหาทางการเรยี นรู้ และบทบาทของครู 3.1 โรคความบกพร่องทางการเรยี นรู้ 3.2 โรคสมาธิสนั้ 3.3 เด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา 3.4 เดก็ ออทิสติก 4. การคดั กรองกลมุ่ โรคปญั หาทางการเรยี นรู้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ 20 นาที * 3 สัปดาห์ 170 นาที * 3 สัปดาห์ 1. แจง้ วัตถุประสงคแ์ ละแจ้งขอบเขตเนอื้ หา 30 นาที * 3 สปั ดาห์ 2. สอนบรรยายเน้ือหาหัวข้อตา่ งๆ 20 นาที * 3 สปั ดาห์ 3. อภปิ รายรว่ มกนั 4. ตอบถำถามและข้อสงสัย
110 สื่อการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. Power point presentation การประเมินผล 1. กิจกรรมทา้ ยบท มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 111 หัวขอ้ การสอนที่ 1 จิตวทิ ยาสำหรบั ผเู้ รียนท่มี คี วามต้องการพเิ ศษ 1. ความหมายของผเู้ รียนท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ มีนักวิชาการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่หลากหลายได้ให้ความหมายของเด็กทีม่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ (Children with special needs) ใกล้เคยี งกัน ดังมรี ายละเอยี ดดงั น้ี กระทรวงศกึ ษาธิการ (2552) อธบิ ายความหมายของเดก็ พเิ ศษหรือเดก็ ทม่ี ีความตอ้ งการพเิ ศษ หมายถึง เด็ก ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือบำบัดฟื้นฟูและให้การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะความจำเป็นและ ความต้องการของเด็กแต่ละคน ดารณี ศักดิ์ศิริผล (2546) ได้ให้ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษไว้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการเรียนการสอนตามปกติ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพความ บกพรอ่ ง หรอื ความแตกต่างทางร่างกาย สตปิ ญั ญา และอารมณแ์ ละรวมไปถงึ เดก็ ที่มคี วามสามารถพิเศษอกี ด้วย ศศิพินต์ สุขบุญพันธ์ (2551) ให้ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง ท้งั ในด้านรา่ งกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจติ ใจ จนขาดความสามารถในการเรยี น และเดก็ ทม่ี ีความสามารถ พิเศษรูปแบบต่าง ๆ นี้ เด็กแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการจัดการศึกษาที่พิเศษและมีรูปแบบเฉพาะต่างจากเด็ก ปกติทวั่ ไป ศรีเรือน แก้วกังวาน (2550) ให้ความหมายของเด็กที่มีลักษณะพิเศษไว้ว่าเด็กที่มีลักษณะพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความเบี่ยงเบนด้านพัฒนาการและพฤติกรรมจากเกณฑ์ที่ปกติอย่างมากและอย่างชัดเจนทั้งทางบวกและ ทางลบ ประกฤติ พูลพัฒน์ (2546) ได้นิยามความหมายของเด็กที่มีลักษณะพิเศษไว้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความต้องการเฉพาะในการเรียนรู้ตามภาพของความสามารถในการเรียนเช่นเด็กทั่ว ๆ ไป เพื่อ พัฒนาความสามารถในการดำรงชพี ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและมคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ีดีเท่าเทยี มกับบคุ คลทั่วไป ณัชพร ศุภสมุทร์ (2553) เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีสภาพความบกพร่องในลักษณะ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะทางด้านพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา หรือสติปัญญา และไม่สามารถปฏิบัติงานใน ชีวติ ประจำวนั ได้ดังเช่นเดก็ ปกติท่ัว ๆ ไป รวมถึงทางด้านการจัดการศกึ ษาซ่ึงต้องจัดใหม้ กี ารเรยี นการสอนที่ตา่ งไป จากเดก็ ปกติ เพื่อใหส้ อดคล้องและเหมาะสมกับสภาพของความบกพรอ่ งของเด็กและประเภทดว้ ย จากความหมายที่กล่าวว่าข้างต้น สามารถสรุปความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้ คือ เด็กที่มี ความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านใดด้านหนึ่ง ได้แก่ ด้านร่างกาย สติปัญหา อารมณ์ สังคมรวมถึงเด็กที่มีความสามารถพิเศษ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ บำบัดฟื้นฟื้น และมีความต้องการในการ จัดการเรียนการสอนท่ีพิเศษ มีความเฉพาะสำหรับแต่ละประเภท เพื่อพัฒนาความสามารถในการดำรงชีพในสังคม อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพเท่าเทียมกบั บุคคลท่ัวไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 112 2. ประเภทของผ้เู รียนทมี่ คี วามต้องการพิเศษ ตามพระราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคน พิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัด การศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงออกประกาศกำหนดประเภทและ หลกั เกณฑ์ของคนพกิ ารทางการศึกษา ไวด้ ังตอ่ ไปนี้ ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคน พิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552” ขอ้ 2 ประเภทของคนพิการ มดี งั ตอ่ ไปนี้ (1) บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเหน็ (2) บุคคลทม่ี ีความบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน (3) บุคคลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางสติปัญญา (4) บคุ คลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางร่างกาย หรือการเคลอื่ นไหว หรือสขุ ภาพ (5) บคุ คลทม่ี คี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ (6) บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการพูดและภาษา (7) บุคคลท่มี ีความบกพร่องทางพฤตกิ รรม หรอื อารมณ์ (8) บคุ คลออทิสตกิ (9) บุคคลพิการซ้อน ข้อ 3 การพจิ ารณาบุคคลทม่ี ีความบกพรอ่ งเพ่ือจัดประเภทของคนพกิ าร ใหม้ ีหลักเกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) บคุ คลทมี่ คี วามบกพร่องทางการเหน็ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิท ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ภาวะบกพร่องทางการเห็นที่มีสิทธิรับการช่วยเหลือและความคุ้มครอง รวมทั้งการฟื้นฟู สมรรถภาพในด้านต่าง ๆ จากรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 แบ่งเปน็ 2 ลักษณะโดยใช้ระดับสายตาที่ได้รับการแก้ไขด้วยแว่นตาแล้ว (Best corrected distance visual acuity) ของ ตาขา้ งท่ีดีกว่า โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี (ราชวทิ ยาลัยกมุ ารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย, 2558) 1. คนตาบอด หมายถึง คนที่มีสายตาข้างที่ดีกว่า เมื่อได้รับการตรวจแก้ไขด้วยแว่นตาแล้ว (Best corrected distance visual acuity) สามารถเห็นได้น้อยกว่า 3 ส่วน 60 เมตร (3/60) หรือ 20 ส่วน 400 ฟุต (20/400) จนถงึ มองไมเ่ หน็ แม้แต่แสงสว่าง หรอื มีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา 2. คนตาเห็นเลือนราง หมายถึง คนที่มีสายตาข้างที่ดีกว่า เมื่อได้รับการตรวจแก้ไขด้วยแว่นตาแล้ว (Best corrected distance visual acuity) สามารถเห็นได้ตั้งแต่ 3 ส่วน 60 เมตร (3/60) หรือ 20 ส่วน 400 ฟุต (20/400) ไปจนถึงนอ้ ยกว่า 6 ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 สว่ น 70 ฟุต (20/70) หรอื มลี านสายตาแคบกวา่ 30 องศา ลงไปจนถึง 10 องศา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 113 ปัจจยั เสีย่ ง ท่จี ะทำใหเ้ กดิ ภาวะบกพร่องทางการเหน็ ในเดก็ ไดแ้ ก่ 1. ประวัติกอ่ นคลอดและประวตั ิการคลอด (Prenatal and birth history) เชน่ • กลมุ่ อาการทารกในครรภ์ไดร้ บั แอลกอฮอล์ (Fetal alcohol syndrome) • กลุ่มอาการบาดเจ็บจากการคลอด หรือการขาดออกซิเจน ( Fetal distress or birth trauma/hypoxia) • เลือดออกในกะโหลกศรี ษะ (Intracranial hemorrhage) • การสมั ผัสกบั สารพิษในมดลกู (Intrauterine exposure to toxins) • การตดิ เชือ้ ในมดลกู (Intrauterine infection) • การคลอดกอ่ นกำหนดโดยเฉพาะทารกนำ้ หนักแรกเกดิ ตำ่ (น้อยกวา่ 2,000 กรมั ) • ทารกที่มนี ้ำหนักแรกเกดิ ต่ำมาก (น้อยกวา่ 1,500 กรัม) 2. ความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด (Congenital conditions) เช่น โรคเผือกหรือสมองพิการ (Albinism/Cerebral palsy) ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ 3. ภาวะอน่ื ๆ เชน่ • การเจ็บป่วยเฉยี บพลนั เชน่ เยือ่ ห้มุ สมองอักเสบหรือไขส้ มองอกั เสบ • การลว่ งละเมิดเด็ก (โดยเฉพาะอาการบาดเจบ็ ท่ศี รี ษะ เช่น อาการเดก็ ส่ัน) • ประวัติครอบครัวเป็นโรคที่ทำให้ตาบอดหรือมีความบกพร่องทางสายตาอย่างรุนแรง (เช่น ต้อ กระจกแตก่ ำเนิด โรคทางเมตาบอลิซมึ และพนั ธกุ รรมบางชนิด) • พฒั นาการล่าชา้ ทัว่ ไปหรือปัญญาออ่ น • การบาดเจบ็ ท่ีศีรษะ/น้ำครำ่ • โรคตดิ เชือ้ ต่าง ๆ กรองทอง จุลิรชั นกี ร (2556) อธิบายตัวอยา่ งการสงั เกตอาการที่เดก็ แสดงออก เช่น 1) เด็กอายุ 2 เดอื น ถ้ายังไมจ่ ้องหน้า ใหส้ งสัยวา่ เดก็ จะมีสายตาผดิ ปกติ 2) ดลู กั ษณะ ขนาด และตำแหน่งของดวงตาทผ่ี ดิ ปกติ 3) มพี ฤตกิ รรมชอบขยี้ตา กระพริบตาบอ่ ย ๆ 4) ดอู ะไร ต้องเพง่ ใกลต้ าผดิ ปกติ 5) มอี าการปวดตา ปวดศีรษะ หลงั จากการใชส้ ายตา 6) มอี าการตาไม่ส้แู สง นำ้ ตาไหล เม่อื ออกทแี่ จ้งจะหร่ีตาลง 7) ในการอ่านหรอื เขียนหนังสือมแี นวโนม้ ท่ีจะสับสนกันระหวา่ งอักษรทคี่ ล้ายกัน เช่น ด กับ ค บ กับ ม ช กับ ซ ฯลฯ หรือมักจะหลงตำแหน่งหรือบรรทัด เช่น อ่านข้ามข้อหรือข้ามบรรทัด ฯลฯ ซึ่งเป็นอาการของผู้มี ลานสายตาผดิ ปกติ 8) จดการบ้านผดิ เรยี นไมท่ ันเพอ่ื น 9) เดินชน พัฒนาการช้า ตัวอย่างลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นท่ีสังเกตได้ เช่น เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ ไม่ สนใจในสิ่งท่ีต้องใช้สายตา เช่น การเล่นซ่อนหา มองเห็นสีผิดไปจากปกติ มักบ่นว่าปวดศีรษะคลื่นไส้ตาลาย คันตา มองเห็นเลอื นราง ก้มศีรษะชิดกบั งาน หรือของเลน่ ทีว่ างอยู่ตรงหน้า เพง่ ตา หรีต่ าหรือปดิ ตาขา้ งหนง่ึ เมื่อใช้สายตา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 114 การฟน้ื ฟสู มรรถภาพความบกพร่องทางการมองเห็นทางการแพทย์ เนื่องด้วยการรักษา หรอื ฟ้นื ฟสู มรรถภาพทางการแพทยข์ องคนพกิ ารทางการเห็น รวมท้งั การใช้เครอื่ งช่วย สายตาเลือนราง (Low vision aids) จำเป็นต้องทำโดยจักษุแพทย์หรือพยาบาลเวชปฏิบัติทางจักษุ ถ้าผู้ประเมิน เป็นแพทยท์ ั่วไป ควรพิจารณาสง่ ตอ่ ไปรับการตรวจรักษา/ประเมนิ จากจกั ษุแพทย์ในกรณตี อ่ ไปน้ี 1. ในการตรวจประเมินเด็กเล็กหรือเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งยังไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยแผ่นวัดสายตา มาตรฐาน ตอ้ งใช้บุคลากรและเคร่อื งมือ/อปุ กรณพ์ ิเศษในการตรวจ 2. ในกรณีท่ีแพทย์ผู้ประเมินมีความเห็นว่าอาจจะสามารถให้การรักษาทางการแพทยใ์ ห้ดีข้นึ ได้ 3. ในกรณีที่เป็นคนพิการทางการเห็น และต้องการขอรับเครื่องช่วยสายตาเลือนราง (Low vision aids) โดยตอ้ งไปดำเนินการจดทะเบยี น เพอ่ื ให้ไดบ้ ัตรประจำตัวคนพกิ ารกอ่ นไปขอรับบริการ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยกระบวนการทางการแพทย์ และ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และสื่อส่งเสริมพัฒนาการสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2552 สำหรบั คนพกิ ารทางการเหน็ ครอบคลมุ บริการ 2 เร่อื งคือ 1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการเห็น หมายถึง การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือความสามารถของคนพิการ ทางการเห็นให้มีสภาพที่ดีขึ้น หรือดำรงสมรรถภาพหรือความสามารถที่มีอยู่เดิมไว้ โดยอาศัยกระบวนการทาง การแพทย์ เพื่อให้คนพิการทางการเห็นได้ปรับสภาพทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม พฤติกรรม สติปัญญา การ เรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไข และปรับสภาพความพิการทางการเห็นเพื่อให้ดำรงสมรรถภาพหรือ ความสามารถที่มีอยู่เดิม หรือเสริมสร้างให้ดีขึ้น ดำรงชีวิตอิสระ อยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และเสมอ ภาคกับบุคคลทั่วไป สามารถทำงานหรือประกอบอาชีพได้ตามศักยภาพที่มีอยู่ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และ พง่ึ ตนเองได้ 2. การสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว ( Orientation and Mobility) “ความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม” หมายถึง ความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ และ “การ เคล่ือนไหว” หมายถึง ความสามารถในการทจี่ ะเคลื่อนไหวจากสถานทีแ่ หง่ หน่ึง ไปยังสถานท่ีตา่ ง ๆ ในสิ่งแวดล้อม ได้ การฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางการศึกษา เด็กพิการทางการเห็นมีสิทธิไดร้ ับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนถึงปริญญาตรี พร้อม ทั้งการไดร้ บั เทคโนโลยีสงิ่ อำนวยความสะดวก ส่ือ บรกิ าร และความช่วยเหลืออืน่ ใดทางการศกึ ษาไดร้ ับการศกึ ษาท่ี มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษาที่ เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ สถานศึกษาทุกระดับ ในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคน พิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือจำนวนที่เหมาะสม อาจจะเป็น สถานศึกษาทั่วไป สถานศึกษาเฉพาะ การศึกษา
115 ทางเลือกหรือการศึกษานอกระบบ หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา ไดแ้ ก่ 1. วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนงานด้านวิชาการ หลักสูตรสำหรับผู้ดูแลคนพิการ ทางการเหน็ หลักสตู รระดับปรญิ ญาสำหรบั คนพิการทางการเห็น 2. สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จัดหาสื่อ และสิ่งอำนวยความสะดวกทางดา้ นการศกึ ษา เช่น หนังสอื เสยี ง หนังสืออักษรเบลล์ เคร่อื งอเิ ล็กทรอนิกส์ ขยายขอ้ ความแบบมอื ถือ รวมท้งั จัดบรกิ ารเสริมด้านต่าง ๆ สำหรับคนพิการทางการเหน็ เชน่ การนำทาง การจดคำ บรรยาย การแนะแนวการศกึ ษา พเี่ ลยี้ งและผูช้ ่วยเหลอื การฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางสังคม เด็กพิการทางการเห็นมีสิทธิได้รับการบริการทางสังคมและสวัสดิการต่าง ๆ เช่น เบี้ยคนพิการคนละ 1000 บาทต่อเดือนตลอดชีพ เงินสงเคราะห์คนพิการในครอบครวั บริการดูแลในสถานสงเคราะห์ ในกรณีที่ถูกทอดทิ้งไม่ มีผอู้ ปุ การะเลยี้ งดู มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แนวทางการตรวจสขุ ภาพตาเดก็ วยั ทารก ตรวจสายตาโดยการถามประวตั เิ กย่ี วกบั พฤติกรรมการเห็นเม่ืออายุแรกเกดิ , 1 เดอื น, (อายุ 0-1 ปี) 2 เดอื น, 4 เดอื น, 6 เดอื น, 9 เดอื น และ 12 เดอื น วยั กอ่ นเรียน ตรวจสายตาโดยการถามประวตั ิเกีย่ วกับพฤติกรรมการเหน็ เมอ่ื อายุ 15 เดอื น, 18 เดอื น (อายุ 2-5 ป)ี และ 2 ปี ตรวจสายตาโดยการใชแ้ ผน่ ป้ายวดั ระดบั สายตาเมื่ออายุ 3 ปี และ 4 ปี วัยเรยี น ตรวจสายตาโดยการใชแ้ ผน่ ปา้ ยวดั ระดับสายตาเมื่ออายุ 6 ปี และตรวจชำ้ ทกุ 2 ปี แต่ (อายุ 6-12 ป)ี ถ้ามปี ญั หาสายตาผิดปกติ (Refractive error) ควรตรวจซ้ำทกุ ปี วัยรนุ่ ตรวจสายตาโดยการใชแ้ ผน่ ปา้ ยวัดระดับสายตาทกุ 3 ปี (อายุ 13-20 ป)ี พฤติกรรมการเห็นที่ปกติ อายุช่วงเดอื นแรก มองตามไฟ มองจอ้ งหนา้ แม่ อายุ 2-4 เดอื น สนใจวตั ถุสสี ดใส และเคลือ่ นไหว อา่ นริมฝปี ากแมไ่ ด้ อายุ 3-6 เดอื น จอ้ งมอื ของตวั เอง เอ้ือมมอื หยบิ ของได้ กวาดตาจากขา้ งหนงึ่ ไปอกี ข้างหนงึ่ อายุ 7-10 เดือน หยิบของขึน้ มาได้โดยใช้สองน้ิวหยิบ สนใจในรูปภาพ อายุ 11-12 เดอื น สามารถจำผู้คนได้ จำภาพต่าง ๆ ได้ เลน่ ซอ่ นหาได้
116 แนวทางการสง่ ต่อจกั ษุแพทย์ อายุ วธิ กี ารตรวจ ความผิดปกติที่อาจตรวจพบและตอ้ งสง่ ต่อ 0 - 1 เดอื น ดพู ฤติกรรมการเหน็ ไมพ่ ฒั นาตามอายุ ตรวจพบความผดิ ปกตขิ อง 6 เดอื น Penlight examination ลกู ตาเช่น กระจกตาเป็นฝ้า หรือตาแกว่ง 3 - 5 ปี มากกว่า 5 ปี ดูพฤติกรรมการเหน็ Fixation to ไม่พฒั นาตามอายุ เด็กไม่ยอมใหป้ ดั ตาขา้ งท่ี light Corneal light reflex มองไฟฉายอยู่ แสดงว่าตาอีกขา้ งมองไม่เห็น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แสงสะท้อนของไฟฉายไมต่ กกลางตาดำ ตรวจวัดสายตาด้วยแผน่ ปา้ ยวัดสายตา ระดบั สายตาเท่ากับหรอื น้อยกวา่ 20/40 ตรวจวัดสายตาดว้ ยแผ่นป้ายวดั สายตา ระดบั สายตาเทา่ กับหรือน้อยกว่า 20/30 (2) บุคคลท่มี คี วามบกพร่องทางการได้ยนิ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก ซึง่ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ (ราชวทิ ยาลัยกมุ ารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย , 2558) 2.1 คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการไดย้ ินไม่วา่ จะใส่หรอื ไมใ่ ส่เครอ่ื งชว่ ยฟัง ซ่ึงโดยทั่วไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสยี การไดย้ นิ 90 เดซเิ บลขึน้ ไป 2.2 คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน โดยทั่วไป จะใสเ่ ครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวดั การได้ยนิ จะมกี ารสูญเสยี การไดย้ ินนอ้ ยกวา่ 90 เดซิเบลลงมาถงึ 26 เดซเิ บล แนวทางการให้ early intensive intervention และประเมินผล แบ่งตามช่วงอายุ ออกเป็น 3 ช่วงอายุ ได้แก่ 1) อายแุ รกเกิด-6 เดือน 2) อายุ 6 เดือน -3 ปี และ 3) อายุมากกวา่ 3 ปี ซึ่งในเด็กแนะนำให้ใส่เครื่องช่วยฟัง 2 ข้าง ถ้ามีการได้ยินบกพร่องทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกัน การAuditory deprivation ซึ่งต่างจากในผู้ใหญ่ที่สามารถใส่ 1 ข้างได้ และในเด็กต้องทำควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือด้าน Bio-psycho-social care ทางการแพทย์ และการชว่ ยเหลือจากโรงเรียน แนวทางการให้คำแนะนำเบ้อื งต้นแก่ครอบครวั เดก็ ที่มีปญั หาการไดย้ นิ เมื่อเด็กได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาการได้ยิน กุมารแพทย์ควรให้คำแนะนำครอบครัวเด็กเกี่ยวกับการ ปฏิบตั ติ วั ของผ้ปู กครองเดก็ และการศกึ ษาของเด็ก 1. ในกรณีที่เด็กมีปัญหาประสาทหูพิการ ผู้ปกครองต้องหาอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับระดับการ ได้ยินให้เด็ก โดยไปพบโสต ศอ นาสิกแพทย์ เพื่อออกเอกสารรับรองความพิการ จดทะเบียนผู้พิการเพื่อได้รับสิทธิ เบิกเครื่องช่วยฟังจากสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือแล้วแต่สิทธิบัตร ควรพาเด็กไปใส่เครื่องช่วย ฟังให้เร็วที่สุด ผู้ปกครองต้องดูแลให้เด็กใส่เครื่องช่วยฟังอย่างสม่ำเสมอ ถูกวิธี พาเด็กมาตรวจติดตามและฟื้นฟู สมรรถภาพทางการได้ยิน และการพูดต่อเนื่อง และต้องฝึกฝนที่บ้านตามที่นักอรรถบำบัด (นักแก้ไขการพูด) แนะนำต้องเอาใจใส่ดูแลสุขภาพอนามัยเด็กด้านความเจ็บป่วย การฉีดวัคซีน ป้องกันโรค เมื่อเด็กเจ็บป่วยต้องรีบ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 117 รักษาและแจ้งให้แพทย์ทราบถึงปัญหาด้านการได้ยิน เพื่อระมัดระวังในการให้ยา ในกรณีที่เด็กได้รับการผ่าตัดใส่ ท่อระบายอากาศในหู ต้องดแู ลไมใ่ ห้น้ำเขา้ หู 2. เด็กที่มีปัญหาด้านการได้ยินควรได้รับการรักษาเร็วที่สุด เด็กประสาทหูพิการต้องได้รับการรักษาโดย การใส่เครื่องช่วยฟังทันทีที่ได้รับการวินิจฉัย ต้องฝึกฟัง ฝึกพูด และตรวจติดตามการใช้การได้ยินอย่างต่อเนื่องเพือ่ ประเมินผลการใช้เครื่องช่วยฟัง ถ้าใส่เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผลดีใน 6 เดือน อาจพิจารณาผ่าตัดประสาทหูเทียม (Cochlear implant) เด็กที่มีหูชั้นกลางอักเสบชนิดน้ำใสเรื้อรัง อาจมีผลต่อการได้ยินทำให้พัฒนาการด้านการพูด ล่าช้า มีผลต่อการเรียน ถ้าเป็นหูชั้นกลางอักเสบชนิดน้ำใสนานกว่า 3 เดือน ควรได้รับการผ่าตัดเจาะแก้วหูและใส่ ท่อระบายอากาศ (myringotomy with ventilation tube) เพื่อดูดน้ำจากหูชั้นกลาง ปรับความดันในหูชั้นกลาง และปอ้ งกันการเกิดพังผืดในหูชน้ั กลาง 3. การศกึ ษา ถา้ เดก็ ได้รบั การฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางการได้ยนิ และการพดู จนสามารถพูดสมวัย เด็กสามารถ เรยี นรว่ มกบั เด็กอื่นในช้นั เรียนปกติ การเขา้ เรยี นในโรงเรยี นอนุบาลปกติอาจช่วยกระตุ้นใหเ้ ดก็ อยากพดู มากข้นึ ถ้า เดก็ สามารถพูดได้บ้างแตไ่ มช่ ดั และไมส่ มวยั เดก็ ควรเรียนในโรงเรยี นทม่ี คี รูการศึกษาพเิ ศษคอยช่วยหรอื เรียนในชัน้ เรียนพิเศษ ถ้าเด็กหูหนวก ไม่สามารถพูดได้ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินไม่ได้ผลต้องเข้าโรงเรียนโสตศึกษาเพือ่ เรยี นภาษามือ ตวั อย่างลักษณะบางอยา่ งของเด็กทม่ี ีความบกพร่อง ทส่ี ามารถสงั เกตได้ เชน่ ไมต่ อบสนองเมื่อเรียก ไมพ่ ูด มักแสดงท่าทาง พูดไม่ชัด เสียงผิดปกติ พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ พูดมีเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง พูดด้วยเสียงต่ำ หรอื เสยี งท่ดี ังเกนิ ความจำเป็น เวลาพูดคุยมักมองปากผู้พดู ไมพ่ ูด เม่ือมีส่งิ เราจากสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ (3) บุคคลทมี่ ีความบกพร่องทางสติปญั ญา ต า ม Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition, ( DSM- 5) โ ด ย American Psychiatric Association (APA) ในปี พ.ศ. 2556 หมายถึง ผู้ที่มีภาวะ (ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่ง ประเทศไทย, 2558) 1. ความบกพร่องในความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่งได้แก่ การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การวางแผน การคิดเชิงนามธรรมการตัดสินใจ การเรียนรู้ทางวิชาการและการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่มีผลกระทบต่อ พฤติกรรมการปรับตน จากการประเมินทางคลินิกและ/หรือการทดสอบระดับเชาวน์ปัญญา โดยทั่วไปหมายถึง ระดบั เชาวนป์ ัญญาทีต่ ่ำกวา่ เกณฑเ์ ฉลย่ี ของคนปกติ คอื ต่ำกว่า 70 2. พฤตกิ รรมการปรบั ตน หมายถึง การปฏิบัตติ นในชวี ิตประจำวันทั่ว ๆ ไป ในการดำรงชวี ิตบกพร่องเม่ือ เทยี บกับความสามารถตามวัย ตั้งแต่ 1 ดา้ นขน้ึ ไป ใน 3 ดา้ น ได้แก่ ก. ทักษะด้านความคิดรวบยอด (conceptual skills) ได้แก่ ทักษะด้านภาษา การอ่าน เขียน คณติ ศาสตร์ การใช้เหตผุ ล ความรู้ และความจำ ข. ทักษะด้านสังคม (social skills) ได้แก่ การเข้าใจผู้อื่น ทักษะการสื่อสารกับผู้อื่น สัมพันธภาพ กับผอู้ ืน่ การตัดสนิ ใจ และการควบคุมตนเอง
118 ค. ทักษะด้านการปฏิบัติ (practical skills) ได้แก่ การดูแลตนเอง ความรับผิดชอบด้าน การงาน การจัดการด้านการเงนิ การพักผอ่ นหย่อนใจ การจัดการดา้ นการเรยี นและการงาน 3. แสดงอาการในชว่ งท่สี มองยงั มีการพัฒนา (developmental period) อาการและอาการแสดง ไดแ้ ก่ 1. พัฒนาการช้า มักมีพัฒนาการล่าช้าทุกด้าน แต่ส่วนใหญ่มักมาด้วยเรื่องพัฒนาการทางภาษา ล่าช้า ภาวะบกพร่องทางสติปญั ญายงิ่ รุนแรงมากเท่าใด พฒั นาการชา้ ย่ิงปรากฏให้เห็นเรว็ ข้ึนและหลายดา้ น 2. ปญั หาการเรียน เรียนไม่ทนั เพอื่ น อา่ นไม่ออก เขยี นไมไ่ ด้ หรอื สอบตกซำ้ ช้นั 3. ปัญหาพฤติกรรม เช่น ซน อยไู่ ม่น่งิ สมาธิสั้น 4. มีลักษณะผิดปกติต่าง ๆ (dysmorphic features) ให้เห็นชัดเจนตั้งแต่แรกเกิด เช่น กลุ่ม อาการดาวน์ เปน็ ตน้ ตัวอย่างลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่สังเกตได้ เช่น พัฒนาการทางร่างกาย ภาษาอารมณ์และสงัคม เช่น การชันคอ การนั่ง การยืน การเดินทำได้ไม่สมกับวัย ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย ช่วง ความสนใจสั้น ขาดความสนใจในสิ่งที่เฉพาะเจาะจง ความคิด และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย อดทนต่อการรอคอย น้อย ทำงานชา้ ทำอะไรรุนแรง ไม่มีเหตุผล ไมถ่ กู กาลเทศะ แนวทางการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (2558) แบ่งแนวทางในการฟื้นฟูสมรรถภาพตามช่วงอายุ ออกเปน็ 3 ชว่ ง ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. ช่วงแรกเกิด-6 ปี เน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ ซึ่งรวมทั้งการส่งเสริมป้องกัน บำบัดรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพ นอกจากการส่งเสริมสุขภาพเช่นเด็กปกติ การบำบัดรักษาความผิดปกติที่อาจพบร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนที่พบในกลุ่มอาการดาวน์แล้ว จะให้การส่งเสริม พัฒนาการเพื่อพัฒนาทักษะด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ภาษา สังคมและการช่วยเหลือ ตนเองเพื่อให้เดก็ มีความพรอ้ มในการศกึ ษาและพฒั นาทักษะตอ่ ไป 2. ช่วงอายุ 7-15 ปี เป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา มีการจัดการการศึกษาโดยมีแผนการศึกษา สำหรับแต่ละบุคคล (Individualized Educational Program: IEP) ในโรงเรียนซึ่งอาจเป็นการเรียนในชั้นเรียน ปกตเิ รยี นรว่ ม หรือมกี ารจดั การศกึ ษาพิเศษ 3. ชว่ งอายุ 15-18 ปี เป็นการฟนื้ ฟูสมรรถภาพด้านสงั คมและด้านอาชพี มกี ารฝกึ วิชาชีพและลกั ษณะนสิ ัย ที่ดีในการทำงาน ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา สามารถดำรงชีวิตอิสระ (independent living) ในสงั คมได้อย่างคนปกติ (normalization) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 119 การฟืน้ ฟสู มรรถภาพด้านการแพทย์ (Medical Rehabilitation) 1. การส่งเสริมพัฒนาการ (Early Intervention) หมายถึง การจัดโปรแกรมการฝึกทักษะที่จำเป็นในการ เรียนรู้ เพื่อนำไปสู่พัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก เพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมในการเรียน โดยเน้นบทบาทของ พอ่ แม่และผู้เลีย้ งดูในการฝึกเดก็ อย่างสม่ำเสมอ 2. กายภาพบำบัด กรณีที่มีกล้ามเนื้ออ่อนนิ่ม หรือมีอาการเกร็งของแขน ขา ลำตัว เพื่อช่วยลดการยึดติด ของขอ้ ตอ่ และการสญู เสยี กลา้ มเน้อื 3. กิจกรรมบำบัด ฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก การทำงานประสานกันของตาและมือ (eye-hand co- ordination) ไดแ้ ก่ การใชม้ อื หยิบจับส่ิงของ รวมท้งั oro-motor function 4. การแก้ไขการพดู ฝกึ ใชก้ ล้ามเนอื้ ในการพดู เปล่งเสยี งและออกเสยี งให้ถกู ตอ้ ง 5. การรักษาดว้ ยยา 6. การรักษาดา้ นจิตสงั คม (Psychosocial Treatment) ตัวอยา่ งเชน่ 1) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification) คือ การลดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา การเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสม และการคงพฤติกรรมที่เหมาะสมให้มีอย่างต่อเนื่อง วิธีการที่นิยมใช้ ได้แก่ การให้ รางวัลเมื่อมีพฤติกรรมที่ต้องการเกิดขึ้น การเบี่ยงเบนความสนใจ การเพิกเฉยหรือหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เปน็ ต้น 2) การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม (Managing the Environment) ลดตัวกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อลด ความรุนแรง และความถ่ขี องพฤติกรรม 3) ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยและครอบครัว (Client and Family Education) เพื่อให้เข้าใจปัญหา พฤติกรรม ความผดิ ปกติทางจติ และรู้ถงึ วธิ จี ดั การกับปัญหา 4) การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) แบบกลุ่มหรือตัวต่อตัว เพื่อแก้ปัญหา ส่งเสริมการเข้าใจ ตนเอง และการจัดการอารมณ์อยา่ งเหมาะสม 5) การเลือกใช้เทคนิคใดขึ้นกับความสามารถของผู้ป่วย ความร่วมมือของครอบครัว และความ ชำนาญของทีมผ้รู กั ษา การฟื้นฟสู มรรถภาพทางการศกึ ษา (Educational Rehabilitation) ควรเปิดโอกาสให้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเรียนร่วมกับบุคคลปกติมากที่สุด การจัดการศึกษา พิเศษเฉพาะเด็กทีม่ ีภาวะบกพร่องทางสติปญั ญาล้วน ๆ (Special Education) จะจัดให้เท่าท่ีจำเปน็ จริง ๆ เท่านัน้ แตจ่ ะส่งเสรมิ การจัด การเรยี นรว่ ม และ การเรยี นรวม (Integration and Inclusion Education) ใหม้ ากท่ีสุด 1. การเตรียมความพร้อม การจัดกิจกรรมการสอนต้องคำนึงถึงความสามารถของแต่ละบุคคลเนื่องจากมี การเรียนรู้ช้า การสอนจึงควรทำซ้ำ ๆ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรมีหลากหลายแตกต่างกันไปเพื่อไมใ่ ห้ เบื่อ การสอนควรเร่ิมจากสงิ่ ท่ีง่ายไปหายาก และใหเ้ รยี นกิจกรรมทเี่ รยี นรู้ไดง้ า่ ยกอ่ น
120 2. การจัดกิจกรรมนันทนาการ เพื่อให้เกิดความสนุกสนานผ่อนคลาย และพัฒนาทักษะด้านสังคมให้ สามารถเลน่ กบั เพือ่ นได้ รกู้ ฎกติกาของการเล่นและการปฏบิ ัติตน สามารถนำไปปรบั ใช้ในการดำเนินชีวติ ประจำวัน ตอ่ ไป มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพท่ี 1 กจิ กรรมนันทนาการกบั เพอ่ื นพัฒนาทกั ษะด้านสงั คม ท่ีมา: สถาบนั ราชานกุ ลู . (2557ค). เดก็ เรียนร้ชู า้ คู่มือสำหรับคร.ู พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรงุ เทพ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . 3. การปรับพฤติกรรม เป็นกระบวนการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ตลอดจนการสร้างพฤติกรรมใหม่ การปรับพฤติกรรมมีหลายวิธี เช่นการใช้แรงเสริม การเป็นแบบอย่างที่ดี การให้ รางวัล การสะสมเหรียญ หรือคะแนนเพื่อนำมาแลกรางวัล อย่างใดอย่างหนึ่ง การเรียนของเด็กที่มีภาวะบกพร่อง ทางสตปิ ัญญา ควรพิจารณาตามความสามารถของเด็กมากกวา่ ค่าคะแนน IQ ภาวะบกพร่องทางสตปิ ญั ญากับการเรยี น ระดบั การเรียน น้อย เรียนรว่ มกบั เดก็ ปกติหรอื เรียนหอ้ งเรยี นพเิ ศษในโรงเรียนปกติ ปานกลาง เรียนหอ้ งเรียนพิเศษในโรงเรยี นหรอื เรียนโรงเรยี นพเิ ศษเฉพาะทาง การฟืน้ ฟูสมรรถภาพทางอาชีพ (Vocational Rehabilitation) การเตรียมฝึกอาชีพให้แก่เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา อายุ 15-18 ปี ได้แก่ ฝึกการตรงต่อเวลา รู้จักรับคำส่งั และนำมาปฏิบตั ิเอง โดยไม่ต้องมีผ้เู ตือน การปฏิบัตติ นต่อผรู้ ่วมงานและมารยาทในสงั คม ชว่ ยเหลือให้ มีอาชีพที่เหมาะสมกบั ความสามารถและศักยภาพของแต่ละคน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 121 (4) บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางร่างกาย บุคคลทีม่ ีความบกพร่องทางรา่ งกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ (กรอง ทอง จุลริ ชั นกี ร, 2556) 4.1 บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว ได้แก่ บุคคลที่มีอวัยวะไม่สมส่วนหรือขาด หายไป กระดกู หรอื กล้ามเน้ือผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคล่ือนไหวความบกพรอ่ งดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบ ประสาท โรคของระบบกล้ามเน้อื และกระดกู การไม่สมประกอบมาแตก่ าเนดิ อุบัตเิ หตุและโรคตดิ ต่อ 4.2 บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีโรคประจำตัวซ่ึง จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทำให้เกิดความจำเป็นต้องได้รับ การศึกษาพเิ ศษ จากคู่มือการตรวจประเมินความพิการ และการวินิจฉัยความพิการตาม พรบ.ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพ ชีวติ คนพิการ พ.ศ. 2550 ใหค้ วามหมายดงั ต่อไปนี้ (ราชวิทยาลยั กมุ ารแพทย์แหง่ ประเทศไทย, 2558) 1. ความพิการทางการเคลื่อนไหว หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่อง หรือการสูญเสียความสามารถของ อวัยวะในการเคลื่อนไหว ได้แก่ มือ เท้า แขน ขา อาจมาจากสาเหตุ อัมพาต แขนขาอ่อนแรง แขนขาขาด หรือ ภาวะเจบ็ ปว่ ยเรอ้ื รังจนมีผลกระทบต่อการทำงาน มือเท้า แขนขา 2. ความพิการทางร่างกาย หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิต ประจำวัน หรือ การเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมทางสังคม ซงึ่ เปน็ ผลมาจากการมคี วามบกพร่อง แนวทางการดแู ลเดก็ พกิ ารทางการเคลือ่ นไหว องค์การอนามัยโลกได้แนะนำกรอบแนวคิด biopsychosocial model ของ ICF (International classification of functioning, disability and health) ซ่งึ ให้การดูแลในมติ ิตา่ ง ๆ ของ ความพกิ ารดังน้ี 1. ความบกพร่องของอวัยวะ (body function and structure) คือการรักษาให้อวัยวะต่าง ๆ มี anatomy หรอื physiology ใกล้เคียงปกติ 2. ความสามารถในการทำกิจกรรมโดยรวมของร่างกาย (activity limitation) เป็นการปรับใช้อวัยวะอื่น มาทดแทน เช่นเคลอ่ื นยา้ ยตัวดว้ ยการใชแ้ ขนยกตัวให้ลอยพน้ พืน้ แทนการยนื 3. บทบาทการทำกิจกรรมในสังคม (participation limitation) การดูแลในมิติของความบกพร่องของ อวยั วะ (body function and structure) โดยการแก้ไขตามอวยั วะที่กอ่ ให้เกดิ ความบกพร่อง ดงั น้ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 122 1) สาเหตุจากระบบประสาท สมองและไขสันหลัง ซึ่งส่งผลให้เด็กมีภาวะอ่อนแรง กล้ามเน้ือ ทำงานไมป่ ระสานกนั (incoordination) กล้ามเนอื้ หดเกร็ง (spasticity) และการรบั ความรสู้ กึ ของข้อต่อเสยี ไป ให้ การดแู ลดงั น้ี ก. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ กล้ามเนื้อหดสั้น ข้อติดยึด ข้อสะโพกหรือไหล่ เคลื่อน และกระดูกสันหลังคด ซึ่งแบ่งการดูแลเป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสมองพิการ กลุ่มที่มีความผิดปกติของ โครโมโซม และ กลมุ่ Neural tube defect ในกลุ่มสมองพิการ มีความเกร็งร่วมด้วย จะเน้นการยืดเหยียดข้อต่าง ๆ ด้วยมือ หรือใส่เครื่องดาม การใช้ ยากินเพื่อลดอาการหดเกร็งทั้งตัว หรือใช้ยาฉีดเพื่อลดอาการหดเกร็งเฉพาะส่วนซึ่งมีได้ทั้งการใช้ 5% phenol block nerve ending หรือ ใช้ botulinum toxin ฉีดเข้ากล้ามเนื้อโดยตรง นอกจากนี้เด็กอาจมีภาวะดูดกลืน ลำบาก ซึง่ ทำใหม้ ีภาวะทพุ โภชนาการและปอดอกั เสบ ในกลุ่มที่มีความผิดปกติของโครโมโซมมักมีภาวะตัวอ่อนปวกเปียก dyskinesia ข้อต่อหลวม เน้นการจัด ทา่ ปอ้ งกัน over stretching และ ใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยดาม หรอื รองเท้าเพอื่ พยุงข้อตา่ ง ๆ ให้อยู่ในทา่ เหมาะสมกับการใช้ งาน ข. การบำบัดเพื่อเพิ่มสมรรถนะของสมอง เนื่องจากสมองยังมีศักยภาพ ( brain plasticity) แม้ไม่สามารถแก้ไขสมองที่เสียไปไดแ้ ต่สามารถช่วยให้สมองจัดเรยี งคำสั่งให้มาชดเชยได้ด้วยการบำบดั ด้วยเทคนิคต่าง ๆ เทคนิคเหล่านี้ได้แก่ การฝึกทำกิจกรรมตามความสามารถในการใช้งาน (functional training) โดยจัดให้ทำกิจกรรมที่ยากกว่าความสามารถเดิมเพียงขั้นเดียว หากจัดกิจกรรมยากเกินไปเด็กจะใช้ความเกร็ง ทดแทน เช่นเด็กยังคลานไม่ได้ ให้หัดเพียงตั้งคลาน ยกมือหรือขาทีละข้าง เพื่อรู้จักการถ่ายน้ำหนัก ไม่ควรพาเดิน เพราะเดก็ จะชดเชยดว้ ยการใชท้ ่าทางทีผ่ ิดปกติ เชน่ หนีบขา ยืนเขยง่ อาจพบวา่ เดก็ ท่มี คี วามพกิ ารซ้ำซอ้ น เชน่ ตา บอด สายตาเลือนราง หูหนวก มีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวล่าช้ากว่าที่ควร สาหตุหลักคือ เด็กไม่สามารถ กำหนดทิศทางหรือรู้ว่าตนเองอยู่ห่างจากสิ่งแวดล้อมเพียงใด ตนเองจะปลอดภัยหรือไม่ จึงมักยึดติดกับท่านอน เพราะผิวสมั ผสั กว้าง ก่อใหเ้ กดิ ความม่นั คง เด็กกลุ่มน้ีจึงควรไดร้ ับการฝกึ Orientation and mobility ร่วมดว้ ย 2) สาเหตุจากระบบกระดูก ข้อกล้ามเน้ือและโครงรา่ ง ซงึ่ เกดิ จาก primary deficit (เชน่ แขนขา ขาดหายแต่กำเนิด เท้าปุก muscular dystrophy osteogenesis imperfecta, arthrogryposis multiplex congenita กลุ่มโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์) หรือ secondary deficit จากความอ่อนแรงส่งผลให้กล้ามเนื้อหดสั้น ข้อติด ข้อเคลื่อนหลุด การรักษาด้วยการให้ยา ในกรณีโรคข้อ หรือผ่าตัดให้ใกล้เคียงปกติ ร่วมกับการใช้กาย อุปกรณเ์ พือ่ ดัดดาม ข้อให้คงรูป หรือชว่ ยจดั ข้อให้เหมาะสมขณะใชง้ าน 3) สาเหตุจากระบบผิวหนัง กลุ่มที่จัดว่าพิการคือกลุ่มที่มีความบกพร่องของผิวหนังมากส่งผลให้ ผิวหนังไม่ยืดหยุ่นต่อการเคลื่อนไหวของข้อต่าง ๆ หรือก่อให้เกิดรูปลักษณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในสังคม ควรปรึกษา แพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญดา้ นผวิ หนังรักษากอ่ น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 123 4) สาเหตุจากอวยั วะภายในผิดปกติ กลุม่ ที่จัดว่าพิการคือกลุ่มทไี่ ด้รับการรกั ษาทั้งทางอายุรกรรม และศัลยกรรมแล้วแต่การใช้งานของอวยั วะยังมีขอ้ บกพร่องอยู่ จนทำกจิ กรรมในชวี ติ ประจำวนั ไม่ได้การดแู ลในมิติ ของความสามารถในการทำกิจกรรมโดยรวมของร่างกาย (activity limitation) เมื่อปรับแก้ไขอวัยวะให้กลับมา ปกติดังเดิมไม่ได้ จะต้องฝึกฝนให้มีการนำอวัยวะอื่นมาทำงานชดเชย โดยการฝึกทำกิจกรรมที่เน้นการดูแลตนเอง ในชีวติ ประจำวัน ได้แกก่ ารกินอาหาร การสวมเสื้อผ้า การนั่ง การพลกิ ตวั การยนื การเดนิ การเขา้ หอ้ งน้ำ นอกจาก ปรับที่ร่างกายของผู้ป่วยแล้ว ยังต้องปรับสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น ราวจับ เก้าอี้ล้อเข็น ที่นั่งทรงตัว อุปกรณ์พยุงเดนิ ชอ้ นตกั ขา้ ว แกว้ น้ำตัดขอบ เปน็ ต้น บทบาทการทำกิจกรรมในสงั คม (participation limitation) กิจกรรมทางสังคมในเด็กมี 4 ด้าน คือ การอยู่ร่วมกับญาติพี่น้อง การเล่นกับเพื่อน งานอดิเรก และ การศกึ ษา 1. การอยู่ร่วมกับญาติ พี่น้อง: ในเด็กที่มีสติปัญญาปกติ จะมีบุคลิกภาพเรียกร้อง มักแสดงอารมณ์รุนแรง เอาแต่ใจ เนื่องจากเด็กมีความต้องการเรียนรู้แต่ข้อจำกัดของร่างกายทำให้ต้องพึ่งผู้อื่นอยู่เสมอ หากญาติพี่น้อง ตอบสนองได้ไม่ทันใจ เด็กจะใช้อารมณ์รุนแรงมาเป็นข้อต่อรองให้มาสนใจอย่างรวดเร็ว การเลี้ยงดูจึงต้องใช้ หลักการสร้างระเบยี บวนิ ยั เชน่ เดยี วกบั เดก็ ทัว่ ไป แตช่ ว่ ยให้เด็กเข้าถึงสงิ่ ทตี่ อ้ งการด้วยตนเองงา่ ยข้ึน 2. การเล่นกับเพื่อน: ควรจัดให้เด็กได้มีโอกาส เล่นและเรียนร่วมกับเพือ่ นในสังคมปกตใิ ห้มากท่ีสุด เพราะ จะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากพัฒนา และฝึกทักษะทางสังคมที่อาจจะโดนแกล้ง หรือล้อเลียน โดยผู้ปกครอง ตอ้ งคอยประคับประคองจติ ใจ ชว่ ยเดก็ หาวิธีการสร้างความม่ันใจในตนเอง และคอยดูแลเร่อื งความปลอดภัย ภาพท่ี 2 เดก็ มงี านอดเิ รก เชน่ การว่ายนำ้ ทม่ี า: สถาบนั ราชานุกูล. (2557ง). เด็กสมาธิส้นั คู่มือสำหรับครู. พิมพค์ ร้งั ท่ี 4. กรงุ เทพ : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั .
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 124 3. การทำงานอดิเรก: การช่วยเด็กได้ทำงานอดิเรกที่เหมาะสมกับข้อจำกัดของร่างกาย จะช่วยฝึกการอยู่ กบั ตนเอง ได้ค้นพบความถนัดของตนเองและกอ่ ให้เกิดความมั่นใจในตนเองเพมิ่ ขนึ้ ไดด้ ว้ ย 4. การศึกษา: ทำให้เด็กได้ฝึกทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การแสวงหาความรู้ ระเบียบวินัย อุปสรรคสำคัญ ของการเขา้ เรียนร่วมในเด็กที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว คือ ความปลอดภยั ของเด็กขณะอยู่ที่โรงเรียน การเข้าห้องน้ำ และการเดินเรียน หากมีการปรับสภาพแวดล้อม หรือจัดกลุ่มเพื่อนพี่เลี้ยง เพื่อช่วยเด็ก จะช่วยเ ด็กให้เรียนอยู่ใน โรงเรยี นใกล้บา้ นได้ ในการดูแลทั้งสามมิตนิ ี้ ไม่เพียงแต่เน้นการพัฒนาตัวเด็กโดยตรง แต่ต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาครอบครวั ของเด็กด้วยโดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจในการดูแล และการเผชิญกับความเครียดเนื่องจากภาระการดูแลที่ หนักและยาวนาน ซึ่งส่งผลถึงภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวด้วย การพัฒนาทักษะของครอบครัว ควรทำทุกครั้ง ที่มาพบปะกับบุคลากรทางการแพทย์ การได้พบปะพูดคุยระหว่างผู้ปกครองที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน เป็นช่องทาง หนึ่งของการพัฒนาครอบครัว ปัจจุบันในกรุงเทพมหานคร มีการรวมกลุ่มของผู้ปกครองเด็กสมองพิการเพ่ือ แลกเปลี่ยนความรู้และผลัดกันดูแลให้ผู้ปกครองมีโอกาสได้มีเวลาของตนเอง ซึ่งช่วยบรรเทาความเครียดจากการดู ยาวนานได้ (5) บุคคลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่ แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทั้งที่มีระดับสตปิ ัญญาปกติ (จริยา ทะ รักษา, 2558) ความพิการทางการเรียนรู้ หมายถึง บุคคลทีม่ ขี ้อจำกดั ในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวนั หรอื การเขา้ ไปมีส่วนร่วมกิจกรรมทางสังคมเฉพาะด้านการเรียนรู้ สาเหตุเกิดจากความบกพร่องทางสมอง ท ำให้อ่านหนังสือ เขียนหนงั สือและการคดิ คำนวณทำได้ต่ำกวา่ เกณฑ์มาตรฐานชดั เจน เช่น มากกว่า 1 ชัน้ เรยี นในระดับประถมศึกษา ปีที่ 1-2 หรือ มากกว่า 2 ชั้นเรียนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ในช่วงการเรียน ภาคบังคับ (ตามมติคณะกรรมการ บริหารชมรมจติ แพทย์เดก็ และวัยรุ่นแห่งประเทศไทย 2557) อาการปรากฏชัดเจนในช่วงของเด็กวยั เรียน และไมด่ ี ขึ้นจากการฝึกฝนช่วยเหลือพิเศษแบบเข้มข้นเต็มที่อย่างน้อย 6 เดือน (Intensive Training) ส่งผลกระทบต่อการ เรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันไปตลอดชีวิต ซึ่งมิได้เกิดจากความไม่เข้าใจภาษาไทย ขาดโอกาสในการ เรียนรู้ ถูกละทิ้ง ถูกละเลย เจ็บป่วยรุนแรงจนขาดเรียนนาน อยู่ในห้องเรียนที่ขาดคุณภาพ ตาบอด หูหนวกหรือมี ความผิดปกตขิ องประสาทสมั ผสั หรอื การควบคมุ กลา้ มเนือ้ โรคทางจติ เวชอ่นื เชน่ ภาวะสตปิ ัญญาบกพร่อง โรคจิต โรคออทสิ ตกิ โรคทางอารมณห์ รอื ปัจจยั ทางสงั คม วฒั นธรรม เศรษฐฐานะท่ีแตกตา่ งกัน ใน พ.ศ.2557 เป็นต้นไป ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Specific Learning Disorder (SLD) โดยพบ ความบกพร่องด้านการอ่านหนังสือ การเขียนและการคำนวณ ด้านใดด้านหนึ่งหรืออาจพบ ความบกพร่องมากกวา่ 1 ด้านก็ได้ และการวนิ ิจฉยั ของแพทยจ์ ะออกให้เฉพาะชว่ งทบ่ี คุ คลนนั้ ยงั อยใู่ นระบบการศึกษาเท่าน้นั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 125 ภาพที่ 3 แพทย์วินจิ ฉัยแอลดโี ดยดจู ากผลการเรยี น รายงานจากโรงเรยี น สมดุ การบ้าน และประวัตทิ างพันธกุ รรม ท่มี า: สถาบนั ราชานกุ ูล. (2557). เด็กแอลดี คู่มอื สำหรบั ครู. พิมพค์ รั้งที่ 4. กรงุ เทพ : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . อาการแสดง อาการผดิ ปกตทิ เี่ ดก็ แสดงออกในด้านตา่ ง ๆ 4 แบบ คอื 1. ด้านการเรียน คือ เรียนรู้ช้า สมาธิสั้น ความจำไม่ดี จำตัวหนังสือไม่ค่อยได้ อ่าน เขียนหนังสือลำบาก หรือทำไม่ได้ คิดเลขไม่ได้ ผลการเรียนต่ำกว่าเด็กทั่วไปชัดเจน โดยเห็นปัญหาบางอย่างมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลว่าเด็ก สับสนจำพยญั ชนะไดน้ อ้ ยไม่เขา้ ใจหลกั การคิดเลขงา่ ยๆ เปน็ ต้น 2. ด้านพฤติกรรม เช่น ก้าวร้าว ไม่ยอมไปโรงเรียน หนีเรียน ไม่สนใจ ไม่ทำตาม ซุกซน อยู่ไม่นิ่ง บางราย ครคู ดิ ว่าเด็กเปน็ โรคสมาธิสั้นเพราะเวลาเรียน คือ ไม่สนใจเรยี น เหมอ่ 3. ดา้ นอารมณ์ เชน่ เงียบ แยกตัว ไมม่ นั่ ใจตนเอง ประหม่า กลัว วิตกกังวล ซึมเศรา้ เปน็ ตน้ 4. ดา้ นอาการทางกาย เชน่ ปวดหัว ปวดทอ้ ง Peptic Ulcer คล่นื ไส้ ตาพร่า เป็นต้น ท่แี พทยต์ รวจแลว้ ไม่ พบความผิดปกติ อาการผิดปกติทีแ่ สดงออกดา้ นการเรียน 1. อา่ นหนังสอื ไมไ่ ดห้ รอื สะกดคำลำบาก เป็นความผดิ ปกตทิ ่ีพบได้บอ่ ยที่สุด จำพยญั ชนะไมไ่ ด้ หรือสับสน ผสมคำผิด สะกดคำไม่คล่อง อ่านตะกุกตะกัก อ่านช้า อ่านผิดและจับประเด็นในการอ่านไม่ได้ ความสามารถใน การอ่านหนงั สอื โดยรวมตำ่ กว่าเด็กในวัยเดยี วกนั ชัดเจนมผี ลกระทบตอ่ การเรยี นในหอ้ งเรียน มักมปี ระวตั ิพดู ชา้ พดู ไมช่ ดั ในวัยเด็กเล็ก โดยจะฟงั และแยกเสยี งไดล้ ำบาก สบั สน หรอื อ่านได้แต่ไมเ่ ขา้ ใจ ตคี วามไมไ่ ด้ 2. เขียนหนังสือไม่ได้หรือเขียนผิดมาก สะกดคำไม่ได้หรือสะกดผิด เขียนคำเป็นรูปประโยค ไม่ได้ ใช้หลัก ไวยากรณผ์ ดิ แบ่งแยกวรรคตอนผดิ พลาด หรอื เขียนหนังสอื แลว้ อ่านไม่ร้เู รอื่ ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 126 3. คิดเลขไม่ได้หรือคิดเลขผิดมาก สับสนเกี่ยวกับตัวเลข ไม่เข้าใจหลักการคำนวณพื้นฐาน บวก ลบ คูณ หรอื หารสับสน อดทนต่ำถา้ ทำงานเกีย่ วกับตัวเลข แทนคา่ ดว้ ยการเขียนสญั ลกั ษณเ์ ลขไมไ่ ดห้ รือสับสน จะเหน็ อาการชัดเจนในชว่ งช้นั ประถมศกึ ษา ทง้ั ๆ ทไ่ี ด้รับความชว่ ยเหลอื พิเศษเฉพาะตวั อย่าง เต็มท่ีอย่าง น้อย 6 เดือน อาการก็ยังคงปรากฏอยู่ชัดเจน เห็นหลักฐานจากสมุดพก เอกสารชิ้นงาน เอกสารการตรวจจาก ทมี สหวิชาชพี ทางการแพทย์ ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ การเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวนั ไปตลอดชวี ิต ปัญหา ท่ีมักพบร่วมกับความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท และปัญหาจิตสังคม เช่น ปัญหาในการพูดและ สื่อสาร พูดช้า พูดไม่ชัด ฟังแล้วไม่เข้าใจ แปลความหมายลำบาก และบกพร่องในการแยกเสียงที่คล้ายๆ กัน โรค สมาธิสน้ั ปญั หาสายตาในดา้ นการกะระยะ ปัญหาในการใช้ตากับมอื /ขา ใหท้ ำงานประสานกนั ทำใหก้ ารใชน้ ้ิว มือ ขา สบั สน ทำงานไม่ประสานกนั และปัญหาพฤติกรรม ผลกระทบของโรค SLD ต่อเดก็ ถึงแม้ว่าโรค SLD จะมีความบกพร่องของระบบประสาทเพียงเล็กน้อย และไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้า ไม่ได้รับการวินิจฉัยและช่วยเหลือทางการแพทย์และทางการศึกษา อาจส่งผลกระทบต่อเด็กในระยะยาวไปตลอด ชีวติ เช่น 1. มองตัวเองไม่ดี มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองที่แตกต่างจากเพื่อน ไม่สามารถเอาชนะข้อบกพร่องได้ มองตัวเองเป็นคนโง่ มีปมด้อย ลม้ เหลว พ้ืนอารมณ์ไมด่ ี ย่ิงเรียนย่งิ ทำไมไ่ ด้ เปน็ คนไมด่ ี 2. คิดว่าตัวเองเรียนรู้ไม่ได้และไม่รู้วิธีที่จะเรียนรู้ต่อไป เด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองท ำให้เรียน แตกต่างจากเพ่ือน และคนรอบข้างกช็ ว่ ยเหลือเดก็ ไม่ได้ 3. มีความสามารถโดยรวมต่ำกว่าเพื่อน เด็กจะถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญในเรื่องการเรียนพิเศษ เพิ่มขึ้นจนขาด โอกาสทำกิจกรรมและเพ่ิมความสามารถในด้านอืน่ 4. ถูกคาดหวงั รู้สึกว่าถูกกดดนั จากท่ีบ้านและทโี่ รงเรยี น พอ่ แมไ่ ม่เขา้ ใจปัญหา จงึ ไปดวุ า่ ตำหนิ เคีย่ วเข็ญ ทำใหน้ ้อยใจ เสียใจ มพี ฤติกรรมดื้อ ตอ่ ตา้ น กา้ วรา้ ว หนเี รยี น ตามมา 5. สร้างสัมพันธภาพกบั ครไู มไ่ ด้ดี สาเหตุจากความไม่เข้าใจปญั หาของครูหรอื ครไู ม่ยอมรับ ความบกพร่อง ของเด็ก จึงสอนและจัดสอบด้วยวิธีการปกติ ผลสอบไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เด็กจึงถูก ครู ดุว่า ตำหนิ เคี่ยวเข็ญ หรอื ไม่ใหค้ วามสนใจ ปลอ่ ยปละละเลย ขาดโอกาสเรียนรู้ ถูกออกจากระบบการศกึ ษาเรว็ กวา่ กำหนด 6. เพื่อนล้อเลียน ล้อเรื่องที่เด็กแก้ไขอะไรไม่ได้ ถูกตัดโอกาสสนุกในการเล่นกับเพื่อนเพราะ ต้องเรียน พิเศษเพิ่มขึ้น และถ้าถูกออกจากระบบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดเท่ากับถูกตัดความสัมพันธ์กับเพื่อน ชีวิตที่ไม่มี เพอื่ นหรอื เพือ่ นไม่เข้าใจ จะเงยี บเหงา และไมม่ คี วามสุข
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 127 แนวทางการรักษา และฟื้นฟสู มรรถภาพ ถึงแม้ว่าจะรักษาโรคให้หายขาดไม่ได้ แต่การช่วยเหลือมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กมีความรู้และมี ความสามารถในด้านต่าง ๆ มากพอในการประกอบอาชีพและดำเนินชวี ิตตอ่ ไปได้ โดยมีรายละเอียดดังน้ี แนวทางการชว่ ยเหลอื ครอบครวั 1. ให้คำปรึกษาพ่อแม่ อธิบายให้พ่อแม่เข้าใจรายละเอียดของโรคและข้อจำกัดของเด็กในการเรียนรู้ ให้ โอกาสซักถาม จนพ่อแม่เข้าใจ ยอมรับโรคและข้อจำกัดของเด็ก ปรับความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเด็กตามสภาพ ความเป็นจริง 2. การช่วยเหลอื พอ่ แม่ โดยการให้ 3. Education ให้ความรู้ผ่านเอกสาร แผ่นพับ คู่มือ หรือทำการฝึกอบรมพ่อแม่เพื่อให้ได้ทั้งความรู้และมี ทกั ษะในการฝึกฝนเด็กตอ่ ไป 4. Parental group support และการฝึกอบรมเพือ่ ใหพ้ ่อแม่มีเพ่ือน และปรับวธิ ีการเล้ยี งดูให้สอด คล้อง เหมาะสม และปรับเปลยี่ นวธิ ีการช่วยเหลอื ด้านการเรยี น 5. ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว โดยเปิดโอกาสให้พ่อแม่ซักถาม และปรับมุมมองและทำ ความเข้าใจต่อปัญหาที่ถูกต้อง แก้ไขความสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อแม่ส่วนใหญ่วิตกกังวลและตึงเครียดจากปัญหา การเรียนของเด็ก ควรให้เวลาพ่อแม่ได้ระบายความคับข้องใจ ประคับประคองจิตใจและให้กำลังใจเป็นระยะ ช่วย พ่อแม่วางแผนแกป้ ัญหาทุกด้านของเดก็ ไปพร้อมกนั และปรับแนวคดิ ในการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสม ชี้ให้พอ่ แม่ เห็นข้อดีในตัวเดก็ 6. ปรับเปลี่ยนวิธีเลี้ยงเด็กของผู้ปกครอง โดยลดการตามใจหรือให้ความช่วยเหลือมากเกินไป ฝึกฝนให้มี ความสามารถรอบด้านและปรับวิธีการฝึกสอน จากเดิมที่มุ่งเน้นการตำหนิลงโทษ คาดโทษมาเป็นความสนใจที่จะ ชว่ ยเหลอื ใหก้ ำลงั ใจ ช่นื ชม ให้ช่วยเหลือทำงานบ้าน ฝกึ ใหเ้ ป็นคนอดทน ไม่เกีย่ งงาน รบั ผดิ ชอบ มีน้ำใจ สิ่งเหล่านี้ เป็นปจั จัยสำคัญทีท่ ำใหเ้ ดก็ มีแรงจงู ใจใฝเ่ รยี นรแู้ ละประสบความสำเรจ็ ในชีวิต 7. สนับสนุนให้พ่อแม่ได้มีส่วนร่วมในโรงเรียน ในสังคม ให้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผน Individual educational program (IEP) ร่วมกบั ครปู ระจำช้นั และครูการศึกษาพิเศษ แนวทางการช่วยเหลอื เด็ก การชว่ ยเหลือเดก็ มจี ุดมุง่ หมายเพ่ือใหเ้ ด็กเข้าใจตนเอง และพัฒนาตนเองต่อไปได้ ดงั นี้ 1. สร้างสัมพนั ธภาพที่ดีกบั เด็กและเปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึกผิดหวงั เสยี ใจ และชว่ ยใหเ้ กดิ แนวคิดใน การเรียนร้ตู อ่ ไปในอนาคต เปดิ โอกาสให้เด็กไดร้ ะบายความรสู้ กึ ใหเ้ ด็กซักถามเรอ่ื งท่ีคับขอ้ งใจ 2. มีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับโรค Specific Learning Disorders ให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรคและ ผลกระทบที่มตี ่อตนเอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 128 3. ชี้ให้เห็นความสามารถของตนเอง ให้รู้ว่าตัวเองฉลาด เรียนรู้ต่อไปได้ แต่ต้องใช้วิธีการเรียนอื่นท่ี แตกต่างจากเพื่อน ช่วยเด็กหาทางออกที่เหมาะสม ให้โอกาสพบกลุ่มเด็กอื่นที่มีปัญหาคล้ายกัน เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรวู้ ธิ ีการในการเรียนร้ตู ่อไปและสรา้ งใหเ้ กิดกำลังใจในการเรียนรู้ต่อ 4. ฝึกฝนทักษะด้านการเรยี น เช่น ฝึกอ่านหนังสือ เขียน คำนวณ โดยครูการศึกษาพเิ ศษ และฝึกให้เดก็ ใช้ อุปกรณ์ช่วยเรียน เช่น ใช้เครื่องอัดเทปมาช่วยในกรณีที่มีปัญหาการอ่าน โดยคุณครูหรือผู้ปกครองอ่านหนังสือใส่ เทปแล้วเปิดให้เด็กฟัง ให้ใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ช่วยในการเรียน (โปรแกรมอ่าน ไทย เขียนไทย) เด็กที่มี ปัญหาการคำนวณควรไดใ้ ชเ้ คร่อื งคิดเลข ลกู คดิ เป็นตน้ 5. พัฒนาความสามารถรอบด้าน พัฒนาความสามารถทุกด้าน เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ การใช้เครื่องมือ ช่าง การทำกิจกรรม การใช้ภาษา การใช้คอมพิวเตอร์ การช่วยเหลือแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ส่งเสริมทักษะทางสังคม เปิดโอกาสให้มีประสบการณ์ตรงในหลายเรื่อง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในตนเองและเป็นที่ยอมรับ ส่งผลให้เด็กมี ความสุข ภูมิใจ เกดิ แรงจงู ใจในการเรยี นรู้ และสามารถยอมรบั ข้อจำกัดของตนเอง 6. พัฒนาจุดด้อย โดยฝึกกิจกรรมบำบัด sensory integration ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด ฝึกฝนทักษะ ที่มาขัดขวางด้านการเรียนรู้ เช่น ฝึกพูด ฝึกทักษะการใช้มือ และการทำงานประสานระหว่างมือกับตา (visual- spatial) ฝึกฝนทักษะเฉพาะทบ่ี กพรอ่ งโดยครกู ารศึกษาพเิ ศษ เช่น การอ่าน สะกด คำนวณ ปัญหาทางการเรียนรู้ท่ีสังเกตได้มี เช่น แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้ จำหรือนับตัวเลข ไม่ได้ มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์ เข้าใจคำศัพท์น้อยมาก ไม่ตั้งใจฟังครู มีปัญหาด้านการอ่าน เช่น อ่านข้าม บรรทัด อ่านไม่ออก อ่านไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน มีปัญหาด้านการเขียน เช่น เขียนหนังสือไม่ เป็นตัว จำตัวอักษรไม่ได้ สะกดคำไม่ได้ เขียนบรรยายภาพไม่ได้เลย สับสนเรื่องเวลา จำสิ่งที่ได้ยินไม่ได้และแยก เสียงไมไ่ ด้ (6) บคุ คลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ (พูดไม่ชัด เสียงขึ้นจมูก) อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ (พูดติดอ่าง พูดรัว) หรือบุคคลที่มี ความบกพร่อง ในเรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช่น ความผิดปกตทิ างการพูดและภาษาที่เกดิ จากพยาธสิ ภาพของสมอง (dysphasia or aphasia) ไมเ่ ขา้ ใจคำถาม หรอื เข้าใจแตต่ อบไมไ่ ด้ มคี ำศัพท์จำกดั พดู ส่ือสารแสดงความตอ้ งการไม่ได้ เปน็ ตน้ ซ่งึ อาจเก่ียวกับรปู แบบ เนื้อหา และหน้าที่ของภาษา (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทาง การศกึ ษา พ.ศ. 2552 ; จริยา ทะรกั ษา , 2558) ความบกพร่องดา้ นการตดิ ตอ่ สือ่ สาร (Communication disorders) คำพูดและภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร การติดต่อสื่อสารประกอบด้วยการส่งและการรับ ข่าวสาร ฉะนั้นจึงมีผู้สื่อสารและผู้รับสารแต่อาจไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องใช้ภาษา เช่น สัตว์ต่าง ๆ ติดต่อสื่อสาร โดยใช้การเคลื่อนไหวและการส่งเสียงซึ่งไม่มีคุณภาพเทียบเท่าการใช้ภาษา ภาษาเป็นการสื่อสารความคิด ต่าง ๆ อย่างมีระบบที่ชัดเจน เมื่อคนเราคิดถึงภาษามักนึกถึงภาษาพูดหรือคำพูดมากที่สุด คำพูดหรือภาษาพูดจึงเป็น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 129 ระบบสัญลักษณ์ที่ธรรมดาที่สุดในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ อย่างไรก็ตามภาษาบางอย่างก็ไม่ใช้คำพูด เช่น ภาษาสญั ลกั ษณท์ ค่ี นหูหนวกใช้ในการตดิ ต่อสอื่ สารความคดิ ระหว่างกัน สมาคมเกี่ยวกับการพูด ภาษา และการได้ยินของสหรัฐอเมริกาได้ให้คำนิยามของคำว่า ความบกพร่อง ทางการติดต่อสื่อสาร (Communication disorders) ตลอดจนคำนิยามของคำว่า ความผิดปกติเกี่ยวกับคำพูด (Speech disorders) และความผิดปกติเกี่ยวกับภาษา (Language disorders) รวมทั้งนิยามถึงการสื่อสารอื่น ๆ เช่น ความแตกต่างในการใช้ภาษาถิ่น ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาสัญลักษณ์ สำหรับความผิดปกติทางภาษา (Language disorders) นั้น รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเข้าใจและการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร ส่วนคนที่อยู่ ในภูมิภาคที่แตกต่างกันออกไปอาจมีสำเนียงหรอื การออกเสียงที่ผิดเพี้ยนไปนั้น ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อยา่ ง ใด ความบกพร่องด้านการสื่อสารนั้นค่อนข้างจำแนกได้ยาก เพราะบางรายมีอาการความบกพร่องอื่น ๆ ร่วม ด้วย เช่น ปัญญาอ่อน การได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ มีอาการ ออทิสติก ในสหรัฐอเมริกามีข้อมูลบ่งชี้ว่ามีเด็กมากกว่าล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของเด็กที่ต้องได้รับการศึกษาพิเศษ และต้องได้รับบริการพน้ื ฐานเกย่ี วกับความบกพรอ่ งด้านการส่ือสารอาจกล่าวได้ว่าความบกพรอ่ งทางการสื่อสารมัก เป็นสาเหตุท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ ความบกพร่องอ่ืน ๆ ด้วย สาเหตใุ หญ่ๆ ที่ทำให้เกดิ ความบกพรอ่ งทางการสอื่ สารมี 3 สาเหตุ คอื 1. ความบกพร่องหรือความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองถูกทำลายหรือสมองไม่ สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ สาเหตุนี้ยังทำให้เกิดอาการความบกพร่องทางสติปัญญา ออทิสติก อาการอยู่ไม่สุข (hyperactivity) 2. ความบกพร่องหรือความผิดปกติของอวัยวะหรือประสาทรับสัมผัสที่ไม่ได้เกิดจากสมองถูกทำลาย แต่ ทำใหเ้ กิดปัญหาในการส่อื สาร นอกจากนน้ั ยงั เปน็ สาเหตุที่ทำใหเ้ กิดความบกพรอ่ งในการมองเหน็ การไดย้ นิ 3. ความบกพร่องหรือความผิดปกติของระบบหลายอย่างรวมกัน เช่น ความบกพร่องทั้งข้อ 1 และข้อ 2 รว่ มกันตลอดจนปจั จยั ดา้ นสง่ิ แวดล้อมและอารมณ์ ความบกพร่องทางการติดตอ่ ส่ือสาร (Communication disorders) จำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ความบกพร่องด้านภาษา (Language disorders) เป็นความบกพร่องที่ทำให้เกิดปัญหาความลำบากใน การสื่อสารอย่างมากเด็กอาจมีการพูดหรือคำพูดที่ปกติทุกอย่าง แต่ไม่เข้าใจในความหมายที่เราส่งออกไป ภาษา ต้องเกิดจากรูปแบบและการแปลความหมาย ภาษาจึงมีความสมั พนั ธก์ ับการฟังและการพูด การอ่านและการเขยี น ตลอดจนการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกัน ปัญหาด้านภาษาเป็นพื้นฐานท่ีทำให้ความสามารถหลายอย่างของคนเรา ไม่ได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่มีความบกพร่องด้านการได้ยิน บุคคลที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ บุคคลที่สมองที่ได้รับความกระทบกระเทือน และบุคคลที่มี อาการออทิสติก ความบกพร่องด้านภาษานี้แบ่งความบกพร่องเป็น 3 ลักษณะ คือ รูปแบบของภาษา (Form of language) เนื้อหาของภาษา (Content of language) และหนา้ ทีข่ องภาษา (Function of language) 2. ความบกพรอ่ งดา้ นการพูด (Speech disorders) เป็นความบกพร่องหรือความผิดปกติเกี่ยวกับการพูดใน ลักษณะต่าง ๆ ดงั น้ี 1) ความบกพร่องหรือความผิดปกติของเสียง (Voice disorders)เป็นความบกพร่องเกี่ยวกับ คณุ ภาพของเสียงในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ระดบั เสียง ความดัง จงั หวะ และความแหบสัน่ เครือของเสียง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 130 2) ความบกพร่องหรือความผิดปกติของการออกเสียง (Articulation disorders) ลักษณะแรก เป็นลักษณะทีอ่ อกเสียงไม่ได้ เช่น ไม่สามารถออกเสียงพยัญชนะนั้น ๆ ฉะนั้นคำทีม่ ีเสียงพยัญชนะนั้น ๆ จึงหายไป นอกจากนั้น อีกลักษณะหนึ่งเป็นลักษณะการออกเสียงแทนกัน เช่น การออกเสียงตัว ท เป็น ต (รัฐบาล ออกเสียง เป็น รัด – ตะ – บาน) ลกั ษณะสุดทา้ ยเปน็ การออกเสยี งผิดเพีย้ นไป 3) ความบกพรอ่ งหรือความผิดปกติของความลื่นไหลของคำพดู (Fluency disorders) เป็นความ บกพร่องของอัตราและจังหวะการพูด เช่น พูดเร็วเกินไป หยุดพูดในคำที่ไม่ควรหยดุ พูดคำว่า เอ้อ อ้า ทีน้ี แบบว่า บอ่ ยเกินไป นอกจากน้ันยังมคี วามบกพรอ่ งในลักษณะการพดู ตดิ อา่ ง 4) ความบกพร่องของคำพูดอันเนื่องมาจากความผิดปกติของปากและใบหน้า ความผิดปกติเกือบ ทั้งหมดมักเป็นมาตั้งแต่เกิด (บางกรณีความผิดปกติของปาก และใบหน้าเกิดจากอุบัติเหตุ) ความผิดปกตินี้เป็นไป ไดท้ ้งั ล้นิ รมิ ฝปี าก จมูก หู ฟัน เหงือก และเพดานปาก (7) บคุ คลทม่ี คี วามบกพร่องทางพฤตกิ รรม หรืออารมณ์ บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็น อย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทาง จิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น (ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑข์ องคนพกิ ารทางการศกึ ษา พ.ศ. 2552) บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็น อย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติ ทาง จิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิดเช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น ซ่ึงการจะจดั ว่าใครมคี วามบกพร่องทางพฤตกิ รรมและอารมณ์ตอ้ งคำนึงถงึ องค์ประกอบต่าง ๆ ดงั นี้ 1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ ในอีกสถานการณ์หน่ึง ทง้ั นีข้ น้ึ อยกู่ บั เวลา สถานที่ และการปฏิบัติของชนกลุ่มนัน้ 2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกันย่อมไม่ เหมอื นกนั 3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดทำให้การมองพฤติกรรมเดียวกันของคนสอง คนมองกันคนละแง่เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะ เพยี งขอ้ ใดขอ้ หน่งึ หรอื หลายข้อก็ไดแ้ ละเปน็ ปัญหาทเี่ กิดขนึ้ และมมี าเป็นเวลานานแล้ว ไดแ้ ก่ (กรองทอง จลุ ริ ชั นีกร , 2556) 1) ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติและเด็กที่ไม่สามารถเรียนได้นั้นมิได้มีสาเหตุมาจาก องค์ประกอบทางสติปญั ญา และสุขภาพ หรอื ความบกพรอ่ งทางรา่ งกาย 2) ไม่สามารถรักษาความสมั พนั ธ์อันดีกบั เพือ่ นนักเรยี นด้วยกัน หรือกับครูได้ 3) มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์ 4) แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหรือมีความ หวาดกลัว เมื่อมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาทางด้านการเรียนเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความ รุนแรงมาก และก าลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่ เด็กสมาธิส้ัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 131 (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) หรือเรียกยอ่ ๆ วา่ ADHD หมายถึงเด็กท่ซี น อยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติเคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา บางคนมีลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเจนถึงปัญหาเรื่องสมาธิ บกพร่อง (Attention Span) หรืออาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive Behaviors) สำหรับ เดก็ เหล่านท้ี างการแพทย์จะเรยี กว่า Attention Deficit Disorders : ADD แนวทางการรักษา และฟ้ืนฟสู มรรถภาพ (ราชวทิ ยาลัยกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย, 2558) 1. การรักษาด้วยยา การรกั ษาดว้ ยไฟฟา้ และการรักษาโรคร่วมทพี่ บตามมาตรฐานวชิ าการ 2. การบำบัดมุ่งเน้นการปรับตัวต่อความเจ็บป่วย และการสามารถทำหน้าที่/มีคุณค่าใน การดำรงชีวิต ประจำวนั รวมถึงการค้นหาและเสรมิ ศักยภาพที่เป็นกลไกแก้ไขปญั หาท่ีเปน็ ธรรมชาติ ของคนพกิ ารทางจติ 3. การให้คำปรึกษา จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด ครอบครัวบำบัดตามสภาพปัญหาและ ความจำเป็นของ คนพิการทางจติ และครอบครัว 4. การให้สุขภาพจิตศึกษาแก่คนพิการทางจิต ผู้ดูแลหรือครอบครัวเพื่อปรับตัวในการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การสังเกตอาการเตอื น/กำเริบของโรค เป็นต้น 5. การฟืน้ ฟสู มรรถภาพทางการแพทย์ และทางการศกึ ษา 6. การฟื้นฟสู มรรถภาพทางสงั คม เชน่ ฝกึ ทกั ษะทางสังคม การจัดการและแก้ไขปัญหา 7. การฟืน้ ฟูสมรรถภาพทางอาชพี ได้แก่ การคน้ หาความถนดั การฝึกอาชพี การทดลองจา้ งงาน เปน็ ตน้ 8. การเยีย่ มบา้ นและการดแู ลในชุมชน โดยกระต้นุ หรอื สง่ เสริมพลังอำนาจการมีส่วนร่วมของคนพิการทาง จติ ครอบครวั และ ชมุ ชน เด็กทม่ี ีความบกพร่องทางอารมณ์หรอื พฤตกิ รรมมลี กั ษณะตา่ ง ๆ ท่นี า่ สนใจ ดงั น้ี 1. ลักษณะทางสติปัญญาและการประสบความสำเร็จ ในการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าเด็กที่มีปัญหา เหล่านี้ มีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (dull-normal) มีไอคิวประมาณ 90 มีจำนวนน้อยที่มีระดับ สติปัญญาอยูใ่ นระดับฉลาดปกติ (bright-normal) เด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์ส่วนใหญม่ ีระดับสตปิ ญั ญาอยู่ ในกลุ่มเรียนช้า (slow learner) และกลุ่มปัญญาอ่อนระดับต้น (mild mental retardation) เด็กออทิสติกมัก ไม่ได้รับการทดสอบทางสติปัญญา เด็กที่ได้รับการทดสอบทางสติปัญญามักมีระดับสติปัญญาต่ำ แต่บางคนก็มี ระดับสติปญั ญาเฉลยี วฉลาด เด็กกลุ่มนสี้ ่วนใหญ่มกั ไมค่ อ่ ยประสบความสำเรจ็ ในการเรยี น เด็กทมี่ ีอาการรุนแรงมัก มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะพื้นฐาน เช่น การอ่าน การคิดคำนวณ ส่วนเด็กที่ดูเหมือนมีความสามารถในการอ่านหรือ การคิดคำนวณก็ไม่สามารถประยุกต์นำทักษะเหล่านี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาประจำวัน เด็กที่มีอาการรุนแรงบางคน มักไม่ดแู ลตนเอง หรอื ไม่ทำกจิ วัตรประจำวันของตนเอง 2. ลักษณะทางสังคมและอารมณ์ เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการท่ีแสดงออกในรูปพฤติกรรมที่เรียกว่า conduct disorders เด็กกลุ่มน้ีมักมีปัญหาพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความก้าวร้าวรุนแรง เช่น ชกต่อยทะเลาะเบาะแว้ง ตะโกน ทำลายข้าวของ ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ถึงแม้เด็กปกติอาจมีพฤติกรรมดังกล่าวแต่ไม่บ่อยนักและไม่รุนแรง เท่าเด็กที่มีปัญหา เด็กกลุ่มน้ีไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ นอกจากเพื่อนที่มีปัญหาซึ่งไม่ต่อต้านพฤติกรรมที่ไม่ดี เหมือนกนั หากมีคนมาช่วยเหลือเด็กมักไม่ค่อยยอมรับการช่วยเหลือเพราะมีทัศนคติไม่ดีต่อผู้มาช่วยเหลือ เด็กที่มี ปัญหาบางคนมีอาการอยูไ่ ม่สขุ และมีปญั หาเกยี่ วกบั สมาธิ รว่ มกบั อาการสมองได้รบั ความกระทบกระเทอื น (brain
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 132 injury) หรือบางทีเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า “อันธพาล” เพราะเด็กพวกนี้มักทำร้ายผู้อื่นโดยที่ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่ สามารถอยู่ในกฎระเบียบใด ๆ หรือไม่มีวินัยใด ๆ การทำโทษดุด่าไม่มคี วามหมายสำหรบั กลุ่มนี้ ผู้ใหญ่ส่วนมากมัก ไม่สามารถอดทนต่อตัวเด็กกลุ่มนี้เพราะกระทำผิดซ้ำซาก ในขณะเดียวกันเด็กกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ใหญ่ พวกนี้ได้ เพราะเด็กมักถูกทำโทษอย่างมากด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงว่าการทำโทษเด็กไม่สามารถแก้ปัญหาความ กา้ วร้าวได้ พฤติกรรมก้าวร้าวเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม เด็ก ๆ เรียนรู้พฤติกรรมก้าวร้าวจากการ สังเกตพฤติกรรมก้าวร้าวของพอ่ แม่ เพื่อน ภาพยนตร์ โทรทัศน์ เด็ก ๆ จะเลียนแบบพฤตกิ รรมก้าวร้าวที่เขาสงั เกต จากตัวแบบซึง่ ได้รับรางวัลจากการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและยังสามารถหลบหลีกการได้รับโทษได้อีกด้วย ดังน้ัน เด็ก ๆ จึงเกิดการเรียนรู้ว่า เราสามารถหลบหลีกจากสถานการณ์เลวร้ายได้โดยการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว พฤติกรรมก้าวร้าวเป็นการแสดงออกที่ดูเสมือนได้รับรางวัลเป็นการตอบแทน เช่น ทำให้มีอำนาจ มีสถานภาพทาง สังคม เหยื่อได้รับความทุกข์ทรมาน นอกจากนั้นยังเป็นการเสริมแรงให้แก่ตนเอง นั่นคือ เกิดความรู้สึกชื่นชม ตนเอง สิ่งเหล่าน้ีถ้าเป็นสิ่งที่เดก็ ซึมทราบเด็กกจ็ ะก้าวรา้ วยิ่งขึ้น การลงโทษจะเป็นสิง่ ท่ีทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว ยิ่งข้ึนในบางสถานการณ์ ภาพท่ี 4 เด็กทม่ี ปี ญั หาพฤติกรรมหรืออารมณ์กา้ วร้าวทมี่ า: สถาบันราชานุกูล. (2557). เด็กออทิสตกิ คู่มอื สำหรับ ครู. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณการเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . เทคนิคการช่วยเหลือเด็กก้าวร้าวก็คือการให้ตัวแบบที่ไม่ก้าวร้าวในสถานการณ์ที่ยั่วยุให้ก้าวร้าว หรือการ ให้เด็กฝกึ บทบาทสมมุติที่ไม่ก้าวร้าว การเสริมแรงเมื่อเด็กแสดงพฤตกิ รรมไม่กา้ วร้าว การลงโทษพฤตกิ รรมกา้ วร้าว โดยไม่ใช้ความก้าวร้าว เช่น การใช้เวลานอกหรือการให้อยู่คนเดียว เด็กก้าวร้าวมักล้มเหลวในการเรียนทำให้ อนาคตมืดมน นอกจากนั้นยังมีปัญหาในการปรับตัวและปัญหาสุขภาพจิตโดยเฉพาะเด็กชาย ในขณะที่เด็กกลุ่มที่ วิตกกังวลง่าย ขี้อาย ค่อนข้างหวั่นไหวง่าย นั้นมีโอกาสที่จะมีงานทำและมักสามารถเอาชนะปัญหาบุคลิกภาพของ ตนเองได้ เดก็ จงึ ไม่คอ่ ยตดิ คกุ หรือ ต้องอยูใ่ นโรงพยาบาลจติ เวช เมอ่ื เปรยี บเทยี บกับเด็กทม่ี ปี ญั หาความประพฤติ หรอื เด็กทีก่ ระทำผดิ กฎหมาย เดก็ ที่ไมม่ วี ุฒภิ าวะ เด็กท่ีมี พฤติกรรมถดถอย (Immature, Withdrawal หรือ Internalizing) เด็กกลุ่มนี้หากมีอาการรุนแรง เช่น เด็กที่มี อาการจิตเภท และเด็กออทิสติก เด็กพวกนี้หากมีอาการรุนแรงมากมักมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหา สุขภาพจิต โดยทั่วไปแล้วเด็กปกติทุกคนอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่มีวุฒิภาวะหรือพฤติกรรมถดถอยได้ในบางครั้ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 133 บางขณะ แตเ่ ดก็ ทม่ี ีปัญหาดังกลา่ วจะมีอาการมากกวา่ และบอ่ ยกวา่ เด็กพวกนี้มเี พื่อนน้อย ไม่ค่อยเล่นกับเพื่อนรุ่น ราวคราวเดียวกันและขาดทักษะทางสังคมที่จำเป็นต่ออารมณ์ขัน เด็กบางคนมักฝันกลางวันหรือฟุ้งซ่าน เด็กบาง คนแสดงออกเป็นอาการเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง อาการเจบ็ ปว่ ยเหล่าน้ีทำให้เด็กสามารถหลีกเลีย่ ง การเข้าร่วมกิจกรรมปกติ พฤติกรรมถดถอยบางอย่างเป็นพัฒนาการในระยะแรกของมนุษย์และต้องการความ ช่วยเหลือ ความเอาใจใส่ แต่บางอย่างก็เป็นความซึมเศร้าที่ไม่มีเหตุผล เด็กที่มีอาการดังกล่าวในทัศนะของ นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ เชื่อว่าเกิดจากความขัดแย้งในใจ และแรงจูงใจภายใต้จิตไร้สำนึกเป็นสาเหตุสำคัญ ส่วนนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เชื่อว่าเกิดจากความล้มเหลวในการเรียนรู้ทางสังคม (อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ เหมาะสม) นอกจากนั้นยังมีสาเหตุจากการอบรมเลี้ยงดูที่ควบคุมมากเกินไป การลงโทษกับพฤติกรรมที่เหมาะสม แต่กลับให้รางวลั เม่อื เด็กแยกตวั เด็กบางคนขาดโอกาสในการเรียนรู้และฝึกทักษะทางสังคมมีแต่ตัวแบบที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงควร ช่วยเหลอื เด็กกลุ่มนี้ให้โอกาสเดก็ ได้เรียนรูแ้ ละฝึกฝนการตอบสนองที่เหมาะสม ให้เด็กไดม้ ีโอกาสสังเกตตัวแบบที่มี พฤติกรรมที่เหมาะสมและให้รางวัลเมื่อเด็กปรับปรุงพฤติกรรม เด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะมักพัฒนากลายเป็นเด็กซึมเศร้า จากการศึกษาพบว่า ปัญหาความซึมเศร้ากลายเป็นปัญหาที่เกิดมากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น ความซึมเศร้าในเด็กและ วัยรุ่นคล้ายคลึงกับความซึมเศร้าในผู้ใหญ่ สิ่งที่บ่งชี้ถึงความซึมเศร้าก็คืออารมณ์ ซึ่งท ำให้เด็กไม่สามารถคิดหรือ รวบรวมความตั้งใจให้เกิดสมาธิได้ เด็กขาดแรงจูงใจทำให้หน้าตาดูไม่ดี เด็กซึมเศร้ามักแสดงอาการเงียบเศร้า แยกตัว ไม่ค่อยเห็นคุณคา่ ในตวั เอง รสู้ ึกว่าตวั เองผดิ มากเกินไป มองโลกในแง่รา้ ย หลีกเลย่ี งการทำงานและการเข้า สงั คม นอกจากนั้นยังมีปัญหาเกี่ยวกับการนอน การกิน หรือการขับถ่าย (อาการปัสสาวะรดที่นอน) กลัวและไม่ ยอมไปโรงเรียน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือมักพูดถึงการฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย ความซึมเศร้าที่รุนแรง เป็นความรู้สึกที่สิ้นหวัง ทำให้อยากฆ่าตัวตาย หรือ พยายามฆ่าตัวตาย ฉะนั้นคนที่ทำงานกับวัยรุ่นจึงต้องเรียนรู้ สญั ญาณในลกั ษณะเชน่ น้ี โดยทั่วไปเดก็ วยั รุ่นที่ติดสารเสพติดมักมคี วามเก่ียวข้องสมั พันธ์กบั อารมณ์ซึมเศร้า ความซึมเศรา้ บางอย่าง เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยา จึงสามารถใช้ยาต่อต้านความซึมเศร้าในการบำบัดรักษาได้ อย่างไรก็ตามในหลาย ๆ กรณีไม่ใช่เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยา แต่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมหรือจิตใจ เช่นการสูญเสียคนที่รกั การแยก จากพ่อแม่ ความล้มเหลวในการเรียน เพื่อนฝูงไม่คบค้าสมาคมด้วย หรือถูกทำโทษ ดังนั้นจึงควรบำบัดด้วยเทคนิค การเรียนรทู้ างสังคม สอนใหเ้ ด็กมีทักษะทางสังคม และเทคนคิ การควบคุมตวั เอง สอนใหเ้ ดก็ มีทัศนคตทิ างบวก 3. ลักษณะของเด็กออทิสติก เด็กจิตเภท และเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาอย่าง รนุ แรงทงั้ 3 ลกั ษณะ แมจ้ ะมอี าการที่แตกตา่ งกัน แตก่ ็มบี างอย่างทีค่ ลา้ ยกันลักษณะต่าง ๆ นน้ั ได้แก่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 134 1) ลักษณะสัมพันธภาพกับผู้อื่นบิดเบือนไปหรือไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ ยกเว้น วัตถุสง่ิ ของ ไม่สามารถแสดงออกถึงความรกั ได้ 2) มีปัญหาการติดต่อสื่อสารอย่างรุนแรง เช่น ไม่พูด หรือพูดเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน พูดคำที่ไม่มี ความหมาย ใชส้ รรพนามผิดๆ พูดน้อยหรือพดู ถึงส่งิ ทเ่ี ปน็ ไปไม่ได้ 3) กระตุ้นตัวเองโดยการกระทำซ้ำ ๆ 4) ทำร้ายตวั เอง 5) การรบั รู้แปรปรวน ทำให้เกดิ การตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าผิดปกติ หรือไมใ่ สใ่ จสง่ิ เร้า ทำให้ดเู หมือน มีความบกพรอ่ งดา้ นประสาทสัมผสั 6) ความรู้ความเข้าใจบกพรอ่ ง 7) ก้าวร้าวต่อผู้อ่นื 8) ขาดทักษะในการดำรงชวี ติ ประจำวนั (8) บคุ คลออทสิ ติก บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน ซึ่งส่งผลต่อความ บกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมี ความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน (ประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลกั เกณฑ์ของคนพกิ ารทางการศึกษา พ.ศ. 2552) อาการออทิสติกนั้นจะยังคงอยู่ติดตัวเด็กไปจนเป็นผู้ใหญ่จนตลอดทั้งชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายได้หาก พิจารณาเปรียบเทียบด้านพัฒนาการของทักษะด้านต่าง ๆ ของเด็กออทิสติกใน 4 ด้าน คือ ด้านทักษะการ เคลื่อนไหว ด้านทักษะการรับรู้เกี่ยวกบัรูปทรงขนาดและพื้นที่ด้านทักษะภาษาและการสื่อความหมายและด้าน ทักษะทางสังคม จะพบว่าเด็กออทิสติกจะมีพัฒนาการด้านภาษา และพัฒนาการด้านสังคมต่ำมาก แต่จะมี พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ด้านการรับรู้รูปทรงขนาดและพื้นที่โดยเฉลี่ยสูงถา้ความแตกต่างระหว่างทักษะด้าน ภาษา และสังคมยิง่ ต่ำกวา่ ทักษะด้านการเคล่ือนไหว และการรับรู้รปู ทรงมากเท่าใดความเปน็ ไปได้ข้องออทิสติกก็ ยงิ่ สูงเทา่ น้นั พัฒนาการทผี่ ดิ ปกตนิ ้ี กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายอยา่ งรุนแรงตลอดชีวิต ซงึ่ ปกติปรากฏในระยะ 3 ปี แรก ของชวี ิต ลักษณะของเด็กออทิสตกิ มีดังนี้ (กรองทอง จุลิรชั นีกร, 2556) 1. อยู่ในโลกของตนเอง คือไม่สนใจต่อความรูส้ ึกของคนอ่ืน มองเห็นคนอื่นเป็นเสมือนวัตถุหรือมองเลยไป ท่ีวัตถุท่ีเขาสนใจเท่านน้ั 2. ไม่สนใจที่จะเข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ เมื่อเกิดการหกล้ม หรือเจ็บจะส่งเสียงร้องเพียงชั่วขณะแล้ว จะหยุดหายอยา่ งปลดิ ท้งิ ไปเลย 3. ไม่เข้าไปเล่นในกลุม่ เพ่ือน ๆ หรือไมเ่ ลน่ เลยี นแบบเด็กอน่ื ๆ 4. ไมย่ อมพดู ส่วนการเลน่ เสียงจะไมม่ ีแบบแผนแน่นอน อาจแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละวนั 5. เคลื่อนไหวแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อยา่ งเดียวบ่อยจนผดิ ปกติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 135 6. ยึดติดวตั ถสุ งิ่ ของอยางใดอย่างหนึง่ มกั ถือเดินไปเร่อื ย ๆ หรอื เก็บไวเ้ ปน็ สว่ นตวั ถา้ ถกู แยง่ ไปจะรอ้ งล่นั 7. ตอ่ ตา้ น หรอื แสดงกริ ิยาอารมณ์รนุ แรง และไรเ้ หตผุ ล 8. มที ีทา่ เหมอื นคนหหู นวก 9. ท่าทางไม่รู้สึกรับร้ตู ่อสง่ิ เร้าท่ีมากระตนุ ้ 10. ใช้วธิ กี ารสมั ผสั และเรยี นรู้ส่ิงตา่ ง ๆ ด้วยวิธกี ารที่ต่างจากคนท่ัวไป เช่น ใช้วธิ กี ารดม การชิม เด็กออทิสติก หรือกลุ่มอาการออทิซึม (autistic or autism spectrum disorder) ได้แก่ เด็กที่มีความ ผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท (neurodevelopmental disorder) ซึ่งส่งผลให้เกิดความบกพร่องของ พฒั นาการและพฤตกิ รรม 3 ด้านหลกั ดงั น้ี (จรยิ า ทะรักษา, 2558) 1. ความบกพร่องของพัฒนาการทางสังคม ได้แก่ ไม่สบตาหรือสบตาน้อย ไม่แสดงออกทางสีหน้า ไม่รู้จัก การเลียนแบบ เล่นสมมุติไม่เป็น ขาดความสนใจในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นใน ลักษณะท่ีผดิ ปกติ เช่น ไมส่ นใจความรสู้ กึ ผูอ้ ่นื พดู หรือมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั ผู้อืน่ เฉพาะในเรอ่ื งทตี่ นเองสนใจ เปน็ ตน้ 2. ความบกพร่องของพัฒนาการทางภาษา ได้แก่ ไม่พูด หรือพูดช้า เช่น ไม่เล่นเสียงริมฝีปาก (babble) เมื่ออายุ 12 เดือน ไม่สามารถพูดคำเดี่ยวที่มีความหมายเมื่ออายุ 16 เดือน หรือไม่สามารถพูดเป็นวลีที่มี 2 คําต่อ กันเมื่ออายุ 24 เดือน เป็นต้น หรือไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ ใช้ภาษาแปลกๆ ที่ผู้อื่นไม่เขา้ ใจ (neologism) พูดซ้ำ คำ (echolalia) และมีความบกพร่องในการสื่อสารโดยใช้ท่าทางหรือสีหน้า (non-verbal language) เช่น ไม่ ชี้บอกความต้องการ ไม่แสดงอารมณ์ร่วมกบั ผ้อู ่ืน เปน็ ตน้ 3. ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ มีพฤติกรรมแปลกๆ ซ้ำ ๆ (repetitive or stereotyped behaviors) เช่น หมุนตัว สะบัดมือ เรียงของเป็นเส้นตรง สนใจวัตถุหมุน ๆ ชอบทำกิจกรรมซ้ำ ๆ ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง อาจมีความสนใจมากเป็นพิเศษกับบางเรื่อง เช่น ตัวเลข รถยนต์ และสัตว์บางชนิด เป็นต้น ในบาง รายอาจมีความผิดปกติต่อการกระตุ้นทางประสาทสัมผัส (sensory integration disorder) เช่น ไวต่อเสียงหรือ สัมผัส เป็นต้น ความผิดปกติต่าง ๆ เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นก่อนเด็กอายุ 30 เดือน และอาจพบโรคร่วมอื่น ๆ ได้บ่อย เช่น โรคสมาธิสั้น ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา โรคลมชัก ฯลฯ ในปัจจุบันพบความชุกของกลุ่มอาการออทิซึมเพ่ิม สูงขึ้นทั่วโลก โดยพบได้ประมาณร้อยละ 0.01-1.8914,15 จากการศึกษาต่าง ๆ พบว่าสาเหตุของกลุ่มอาการ ออทิซึมเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยพบว่าอุบัติการณ์การเกิดโรคนี้ซ้ำในแฝด เหมือน (monozygotic twin) สูงถึงร้อยละ 60-90 แต่ยังไม่พบ gene ที่จําเพาะเจาะจงที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ สำหรับปัจจัยทางชีวภาพ เช่น ความผิดปกติของระบบสมองและประสาทในบางบริเวณ ได้แก่ frontoparietal lobe, prefrontal cortex, cerebellum ฯลฯ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบข้อมูลที่ ชดั เจนขนึ้ อนั จะเปน็ ประโยชนใ์ นการบำบัดรกั ษาเด็กกลมุ่ นี้ต่อไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 136 (9) บคุ คลพิการซอ้ น บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่งประเภทในบุคคล เดียวกัน (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552) 3. กลุ่มโรคปญั หาทางการเรยี นรู้ และบทบาทของครู ปัญหาการเรียน หมายถึง การที่เด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียน (academic achievement) ในวิชาใด วิชาหนึ่งหรือหลายๆ วิชาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือต่ำกว่าเด็กที่อยูใ่ นระดับชั้นเดียวกัน โดยที่ผลสัมฤทธิ์ทางด้าน การเรียนอาจต่ำกวา่ ความสามารถทางเชาวน์ปญั ญาที่แทจ้ ริงของเด็ก หรืออาจเกดิ จากระดับเชาวน์ปัญญาที่ต่ำกวา่ ปกติ ซ่งึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความยากลำบากในการนำทักษะด้านวชิ าการไปใช้ในการดำรงชวี ติ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วิชาการ สาเหตขุ องปญั หาการเรียน อาจเกดิ จากหลายปจั จัย ทง้ั จากตัวเด็กเอาและสง่ิ แวดล้อม เพราะบรบิ ทขอสงั คมท่ีเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำ ให้วถิ ชี วี ิตและการปรบั ตวั เปลยี่ นแปลงไปด้วย พอสรุปได้ดังนี้ 1. สาเหตทุ เ่ี กดิ จากปจั จยั ภายในตวั เดก็ เอง มีดังน้ี 1) โรคหรอื สภาวะทางดา้ นรา่ งกาย - มคี วามเจบ็ ปว่ ยทางดา้ นรา่ งกายเรือ้ รัง (chronic illness) เช่น โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว ไตวายเชื้อรัง โรคสมชัก โรค hemophilia โรค thalassemia เป็นต้น ซึ่งต้องใช้เวลารักษานานเด็กอาจชาดเรียน บ่อยทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน ประมาณ 1 ใน 4 ถึง 2 ใน 3 ของเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังจะมีปัญหาการเรียนร่วมด้วย เด็ก บางคนอาจได้รับยาที่ส่งผลต่อระบบประสาททำให้ง่วงนอนหรือซึม หรือเพลีย เช่น ยาเคมีบำบัด ทำให้มี ประสิทธภิ าพในการเรียนรู้น้อยลง - มีความพิการในอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องกับการรับรู้และประสาทสัมผัส ได้แก่ เด็กที่บกพร่อง ต้านการมองเห็นหรือการได้ยิน จะไม่สามารถเรียนได้เหมือนเด็กปกติชั่วไป หรือเรียนไม่ทันเพื่อน เด็กบางคน อาจจะอาย ไม่กลา้ บอกว่าตนเองมปี ญั หา ทำใหเ้ กดิ การสะสมของปัญหาดา้ นการเรียน - โรคและความพิการทางด้านร่างกายอื่น ๆ เช่น พิการแขนขา โรค cerebral palsy โรคสมชัก เด็กกลุ่มนี้มีความยากลำบากในด้านการเขียน และการมีส่วนร่วมในการเรยี นรู้ทำให้พัฒนาการเรียนรู้ได้ ไม่ดี เรยี นไม่ทันเพือ่ น แมว้ า่ เดก็ บางคนจะใชว้ สั ดุ สือ่ และอปุ กรณ์อำนวยความสะดวกแล้ว แตก่ ็ยังเรียนรู้ได้ข้ากว่า เพื่อน เด็กที่เป็นสมซักที่ควบคุมอาการซักไม่ได้มักมีปัญหาเรื่องระดับสติปัญญาที่ลดลงตามการดำเนินโรคที่แย่ลง และมีปัญหาการเรียนรู้ในภายหลงั ถงึ แมว้ า่ เดก็ มีระดับเชาวนป์ ญั ญาปกตติ ง้ั แต่แรกเกิดกต็ าม - มีปัญหาการรับรู้ภาษาและการพูด (language disorder) พบได้ร้อยละ 8 - 10 ของ เด็กวัยเรียน มีปัญหาพัฒนาการด้านการใช้และความเข้าใจภาษา พบได้ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนเด็กจะต้องได้รับการ ช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เด็กที่มีปัญหานี้จะมีปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมถึง ร้อยละ 40-60 เล่นกับเพื่อนไม่ได้หรือเล่นไม่เป็น ไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน ตอบคำถามครูไม่ได้ เป็นเหตุใหข้ าดความมนั่ ใจในตนเองและไม่มีแรงจูงใจในการเรียนในทส่ี ุด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 137 - มีระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติหรือภาวะปัญญาอ่อน (intellectual disability ตาม DSM-5 ใกล้เคียงกับ mental retardation; MR ตาม DSM-V-TR) ทั้งเด็กที่ปัญญาทึบ (dull-IQ: IQ=71-89) และ เด็กปญั ญาออ่ น (mental retardation: IQ <= 70) จะมปี ญั หาด้านการเรียนทง้ั ส้ิน ไมส่ ามารถเขา้ ใจเนือ้ หาทเี่ รยี น ได้ ส่งผลให้ผลการเรียนต่ำ พบเด็กที่มีความบกพร่องทางเชาวน์ปัญญาประมาณร้อยละ 2-3 ของเด็กวัยเรียน และ จากการศึกษาพบว่า ระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กไทยลดลงจากเดิม โครงการวิจัยพัฒนาการแบบองค์รวมของ เด็กไทย ได้ศึกษาในปี พ.ศ. 2547 พบว่า ระดับเชาวน์ปัญญาเฉยของเด็กวัยเรียนเท่ากับ 89.9 จากผลการสำรวจ สุขภาพอนามัยของเด็กของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 255 1-2552 โดยสำรวจ เด็ก 2 กลุ่มคือ กลุ่มปฐมวัย อายุ 1 - 5 ปี จำนวน 3,029 คน และกลุ่มอายุ 6-14 ปี จำนวน 5,999 คนจาก 20 จังหวัด พบว่า ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยระดับเชาวน์ปัญญาของไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นเหมือนกับประเทศอื่น โดย เด็กไทยอายุ 6 - 14 ปี มีระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ คือ 80ซึ่งถือว่าเป็นเด็กปัญญาทึบ และจาก การศึกษาของกรมสุขภาพจติ ในปี พ.ศ. 2552 พบวา่ คนไทยมภี าวะปัญญาอ่อนถึง 48 คนต่อประซากรหนงึ่ แสนคน - มรี ะดับสตปิ ญั ญาสูงกวา่ ปกติหรอื มีความสามารถพิเศษ (gifted child) พบวา่ ร้อยละ 5 - 10 ของเด็กกลุ่มนี้มีปัญหาด้านการเรียน และต้องการการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน เพราะเด็กสามารถเรียนรู้บทเรียนได้เร็วกว่าเพื่อนใน วัยเดียวกัน ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่าเด็กกลุ่มนี้เก่งและไม่ต้องการความช่วยเหลือ และไม่มีปัญหาการเรียนจึงถูก ละเลย ในความเป็นจริงแล้วเด็กกลุ่มนี้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมจะเบื่อหน่ายการเรียน มีทัศนคติที่ไม่ดี ต่อการเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียน และไม่อยากไปโรงเรียน ในที่สุดจะต่อต้านการเรียนการสอนในระบบทำให้ พบวา่ มเี ด็กฉลาดจำนวนมากท่ีเลกิ เรยี นกลางคัน เดก็ ในระดบั อัจฉริยะส่วนใหญ่เรียนไม่จบชั้นมธั ยมศึกษาสูงสุด จะ เห็นได้วา่ เด็กยง่ิ ฉลาดเท่าใดกย็ ง่ิ หนไี ปจากระบบโรงเรยี น 2) มีปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคทางจิตเวช จากการสำรวจของกรมสุขภาพจิตพบว่าคนไทยมีแนวโน้มจะมี ปัญหาทางสุขภาพจิตหรือมีโรคทางจิตเวชมากขึ้น โดยมีความชุกร้อยละ 2.27 ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งมากกว่าปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมีรอ้ ยละ 2.26 เด็กและวยั รนุ่ ทีม่ ปี ัญหาการเรยี นสว่ นหนึ่งมาจากโรคทางจติ เวช ดังน้ี - โรคการเรยี นร้บู กพร่อง (specific learning disorder; SLD) - โรคสมาธิสั้น (attention-deficit/hyperactivity disorder; ADHD) - ปัญหาทางอารมณ์ (emotional disturbance) เช่น โรคซึมเศร้า (major depressive disorder; MDD) โรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder) โรควิตกกังวล (anxiety disorder) โรคเครียด school refusal เปน็ ตน้ - โรค autism spectrum disorder - โรคทางจิตเวชอื่น เช่น โรคจิตเภท (schizophrenia) ภาวะโรคจิตโรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive- compulsive disorder) เป็นตน้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 138 3) มีปัญหาทัศนคติหรือแรงจูงใจในการเรียน เด็กที่เบื่อหน่ายการเรียนอาจเกิดจากความสามารถของเด็ก เอง เรยี นไม่เก่ง หรอื มคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นโรคสมาธิส้นั ทำให้เรยี นไม่ทันเพ่ือน ถกู ครูหรือพอ่ แม่ตำหนิ บ่อย ๆ เรื่องการเรียน นำเด็กไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือเด็กที่มีเชาวน์ปัญญาสูงกว่าเด็กปกติมาก ทำให้เด็กขาด แรงจูงใจในการเรียน ขาดเรียนบอ่ ย 1.4 ปัญหาบุคลิกภาพ เด็กที่มีบุคลิกภาพที่หนีปัญหา ท้อถอยง่าย หรือมีแนวโน้มล้มเลิกความตั้งใจง่าย ๆ เมื่อเจออุปสรรค มักไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียนเท่าที่ควร ทั้งที่อาจมีความสามารถด้านการเรียนเท่ากับเพื่อน ในวัยเดียวกนั กอ่ ให้เกดิ ปัญหาการเรียน หรือเด็กทีม่ บี ุคลิกภาพทตี่ ิดสบาย เอาแตใ่ จตนเอง ไม่ค่อยช่วยเหลือตนเอง มักจะขาดความอดทนต่อการเรียนเชน่ กัน 1.5 ปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น ตั้งครรภ์ในวัยเรียน เด็กกลุ่มนีม้ ักมุ่งความสนใจไปทีค่ ูร่ ักของตนเองและมี เพศสัมพนั ธใ์ นวยั เรยี น ทำใหข้ าดความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 2. จากปัจจัยภายนอกหรอื สิ่งแวดล้อม (environment factor) ปัจจัยภายนอกท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ ปญั หาการเรียนเป็นอย่างมากพอจะสรุปได้ดงั นี้ 1) ปจั จัยจากสภาวะและลกั ษณะของครอบครัว - ขาดการสนับสนุนจากครอบครัว ครอบครัวที่มีปัญหาเศรษฐกิจ เด็กต้องทำงานช่วยเหลือ ครอบครัวจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน บิดามารดาไม่มีเวลาดูแลและช่วยเหลือทางด้านการเรียนไม่ สนใจการเรียนของเด็ก ทำให้เด็กได้รับการเอาใจใส่ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดปัญหาการเรียนตามมา รวมถึง ครอบครัวที่มีทัศนคติต่อการเรียนไม่ตี ไม่สนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษา มักพบในครอบครัวที่บิดามา รดามี การศึกษาต่ำ เศรษฐฐานะไม่ดี ครอบครัวเกษตรกรรมหรือครอบครัวที่มีปัญหา เช่น ป่วยทางด้านจิตเวช ติดสุรา หรือสิ่งเสพติด เป็นต้น เด็กที่มีบุคลิกภาพที่ดีมักมาจากการวางรากฐานจากครอบครัวที่ดี บิดามารดาตั้งความหวัง และจุดมุ่งหมายในการเรียนไว้ชัดเจนและฝึกนิสัยของการเป็นนักเรียนที่ตี เด็กกลุ่มนี้จะมีพื้นในการเรียนดี เมื่อมี โอกาสจะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ครอบครัวที่ไม่ค่อยสนับสนุนด้านการเรียน เด็กจะไม่ได้ถูกฝึกหรือถูกเตรียมให้มี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางด้านการเรียน เมื่อมีปัญหาการเรียน เด็กมักจะยอมแพ้หรือหลีกหนีปัญหา อีกทั้งมีนิสัยไม่ ค่อยเอาชนะหรือฝาฟันอุปสรรคเท่าที่ควร เมื่อเรียนไม่ทันเพื่อน ฟังครูไม่เข้าใจ ทำงานไม่เสร็จจะทำให้สนใจการ เรียนน้อยลง ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่ปลูกฝังนิสัยรักการเรียนตั้งแต่วัยเยาว์จะพบว่าเด็กจะมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ สูง และมีความเชื่อมั่นในการฟันฝาอุปสรรค และพบว่าจะเป็นครอบครัวที่คอยส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจ เดก็ เมอื่ เกดิ ปัญหา - การอบรมเลี้ยงดู เป็นรากฐานของพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กพบว่าปัญหาการเลี้ยงดูเป็นสาเหตุ ของปัญหาการเรียนได้ร้อยละ 28.1 โดยพบการละทิ้ง ละเลย ขาดความเอาใจใส่ในพัฒนาการเด็ก ทำให้ขาดความ รกั ความอบอุน่ - เศรษฐกิจหรอื เศรษฐฐานะของครอบครวั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 139 2) ปจั จยั จากโรงเรยี นหรือสถานศกึ ษา โรงเรียนมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากรองลงมาจากสถาบันครอบครัว เพราะเป็นสถานที่สำหรับ อบรมสั่งสอน รวมถึงให้ความรู้และประสบการณ์มากมาย อีกทั้งยังเป็นชุมชนสำหรับการเรียนรู้ที่สำคัญของเด็กอกี ด้วย ครูและบุคลากรอื่นในโรงเรียนเป็นบุคคลสำคัญในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาการเรียน อีกทั้งอาจส่งผลถึง คณุ ภาพการเรียนของเด็กอีกด้วย พอสรปุ ได้ดงั น้ี - ครู เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและสำคัญต่อนักเรียนมาก ความรู้ความสามารถบุคลิกลักษณะ รูปแบบ การจัดการเรียนการสอนของครู มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ครูที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู และมีรูปแบบการ สอนที่สนุกสนาน น่าสนใจ จะสามารถดึงดูดความสนใจและสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนของเด็กได้เป็น อย่างดี เด็กที่มีปัญหาการเรยี นมกั จะเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และมีพฤติกรรมท่ีก่อปญั หาในห้องเรียน ครูท่ี มีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงมีทัศนคติที่ดีต่อนักเรียน จะทำให้เด็กได้รับการช่วยเหลือและจัดการพฤติกรรมไป ในทางทีถ่ ูกต้องและเหมาะสมสามารถเรยี นอยูใ่ นระบบได้ และมีปัญหาการเรยี นลดน้อยลง - เพื่อน มีอิทธิพลอย่างมากในการเรยี นและการสร้างแรงจูงใจในการเรียนโดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่น เดก็ ทม่ี ปี ญั หาการเรยี นมักจะปรับตวั เขา้ กบั เพ่อื นไมไ่ ด้ ไม่มีเพอ่ื นสนิทเด็กสว่ นหน่งึ ถูกรงั แกจากเพ่ือนคนอนื่ และไม่ มีเพื่อนคอยดูแลและช่วยเหลือ เด็กที่มีเพื่อนสนิทและเพื่อนช่วยสนับสนุนทั้งด้านการเรียน และการปรับตัว มี แนวโน้มที่จะขาดเรียนน้อยกว่าเด็กที่ไม่มีเพื่อนสนิทและปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้โรงเรียนควรจะสนับสนุนให้มี ระบบเพื่อนช่วยเพ่ือน เพือ่ สร้างและกระต้นุ การเรยี นร้ขู องเดก็ ทีม่ ปี ัญหาการเรยี น ภาพท่ี 5 เด็กทมี่ ีกลุม่ เพ่ือนคอยดูแลชว่ ยเหลือ เพื่อชว่ ยสนับสนุนดา้ นการเรยี นและการปรับตัว ท่มี า: สถาบนั ราชานกุ ูล. (2557ค). เดก็ เรียนรู้ชา้ คมู่ อื สำหรับครู. พมิ พค์ รั้งท่ี 4. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . - ระบบและการจัดการเรียนการสอน (instructional system or instructional model) ใน ประเทศไทยมกี ารจดั ระบบการเรียนการสอนที่หลากหลายภายใต้หลกั สูตรแกนกลางทำให้ระบบการเรียนการสอน ของแต่ละโรงเรียนแตกต่างกันตามบริบท นโยบาย และวิสัยทัศน์ของโรงเรียน บางโรงเรียนมีการจัดการเรียนการ สอนที่เหมาะสมและหลากหลาย ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในราย ทม่ี ปี ญั หาการเรยี น รวมถงึ การบรหิ ารจัดการในชน้ั เรยี นและจำนวนนักเรียนในช้นั เรียนกม็ ีผลตอ่ การเรียนร้ทู ง้ั สิ้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 140 - หลักสูตร (curriculum) ปัจจุบันประเทศไทยได้กำหนดให้เด็กจบการศึกษาขั้นต่ำชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 ภายใต้หลักสูตรแกนกลาง แแบบบูรณาการ โดยแบ่งหลกั สูตรเปน็ 4 ช่วงชั้น คือ ช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) ช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) ช่วงชั้นที่ 3 (ม. 1-ม.3) และชว่ งชน้ั ท่ี 4 (ม.4-ม.6) ทำให้แต่ละโรงเรียนมีการจัดแบ่งเน้อื หาในการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน เด็กที่ ข้ายโรงเรียนบ่อยจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนที่แตกต่างกันได้ อีกทั้งใน ปัจจุบันมีการแข่งขันด้านการศึกษาค่อนข้างสูง เด็กถูกเร่งรัดเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กบางส่วนที่ขาด โอกาสและแหล่งสนบั สนนุ ด้านการศึกษาเกดิ ปญั หาการเรียน การประเมนิ และวินจิ ฉยั ปญั หาการเรยี น การประเมินจากจิตแพทย์หรือจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อรับรองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาการเรียนและ ต้องการการชว่ ยเหลอื อย่างถกู ต้องเหมาะสมตามมาตรฐานและสทิ ธิที่เดก็ พึงจะไดร้ บั การตรวจประเมนิ และวินิจฉัย นนั้ จะต้องมกี ารตรวจประเมินทางคลินิก ดังน้ี 1) การซักประวัติ แพทย์จะชักประวัติทั้งตัวเด็กและผู้ที่เกี่ยวข้องกบั เด็ก ดังน้ี ซักประวัติจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเรื่องการเรียน เช่น ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อใด วิชาใดบ้างที่เป็นปัญหา ทำงานหรือการบ้านเสร็จหรือไม่ พฤติกรรมขณะทำการบ้านเป็นอยา่ งไร เป็นต้น ซักประวัติพัฒนาการ โดยเฉพาะด้านภาษาและการพูด การสื่อสาร การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็ก เพราะพัฒนาการเหล่านี้มีนัยสำคัญในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็ก รวมทั้งรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูก็มีส่วนสนับสนุน ส่งเสริม หรือขัดขวางการเรียนรู้สัมพันธภาพระหว่างเด็กและ บุคคลในครอบครวั เป็นอย่างไร การจัดการพฤตกิ รรมของบิดามารดาเป็นอยา่ งไร ประวตั ิการเรียนและการเจ็บป่วย ภายในครอบครัว รวมถงึ คน้ หาว่าเด็กมปี ญั หาอ่ืนร่วมด้วยหรือไม่ เช่น ปญั หาพฤตกิ รรม ปัญหาอารมณ์ ติดเกมหรือ ติดสารเสพติด เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุและผลที่ตามมาจากปัญหาการเรียน ชักประวัติจากครูหรือ บุคคลอื่นในโรงเรียน ถ้าเป็นไปได้อาจสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการเรียนและพฤติกรรมการเรียนจากครูที่โรงเรียน สัมพันธภาพระหว่างเด็กกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเด็กกับครู ความรู้สึกและทัศนคติที่ครูมีต่อเด็ก บ่อยครั้งที่ข้อมูล จากผปู้ กครองอยา่ งเดยี วไม่เพยี งพอสำหรับการวนิ ิจฉัย 2) การสัมภาษณ์เด็ก โดยตรวจและประเมินสภาพจิตใจ เช่น สภาวะอารมณ์บุคลิกภาพ พื้นฐานทาง อารมณ์ ทศั นคตติ ่อการเรยี น ทกั ษะการเผชิญและการแกป้ ัญหา เป็นต้น 3) การตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดสายตา การตรวจการได้ยิน เป็นต้น และการตรวจทางระบบประสาท สมอง เชน่ การตรวจคล่ืนไฟฟา้ สมอง ในรายท่ีมีขอ้ บ่งชี้ เชน่ มีประวัติอาการเข้าได้กับโรคลมชกั เปน็ ตน้ 2.2 การประเมินจากนักจิตวิทยา เด็กที่มีปัญหาการเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเรียนรู้และมี ความบกพร่องทางเชาวน์ปัญญา หลังจากการตรวจและประเมินจากจิตแพทย์แล้วนักจิตวิทยามีบทบาทในการทำ แบบทดสอบเพื่อประกอบการวินิจฉัย โดยใช้เครื่องมือประเมินปัญหาการเรียน เช่น แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน (Wide Range Achievement Test; WRAT) แบบทดสอบทางเชาวน์ปัญญา เพื่อที่จะดูว่าเด็กมี เชาวน์ปัญญาต่ำหรือไม่ และสามารถดูเรื่องสมาธิความจำ รวมถึงรูปแบบในการเรียนรู้ได้ด้วย หรือทดสอบว่ามี พยาธสิ ภาพทางสมองหรือไม่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 141 2.3 การประเมินจากบุคลากรสหสาขาวิชาชีพอื่น เช่น นักวิชาการศึกษาพิเศษนักกิจกรรมบำบดั เป็นต้น เด็กที่มีปัญหาการเรียนบางรายมีระดับสติปัญญาสูงมาก แต่เรียนไม่ทันเพื่อนและสอบตก ซึ่งมีความไม่ สอดคล้องกันระหว่างเชาวน์ปัญญาและผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนกรณีอาจส่งให้นักวิช าการศึกษาพิเศษหรือนัก กิจกรรมบำบัดร่วมทดสอบเพื่อวินิจฉัยได้ บ่อยครั้งที่พบว่า เด็กที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่องที่มีระดับเชาวน์ปญั ญา สูง มีผลทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปกติ เมื่อทดสอบในด้านพฤติกรรมและขั้นตอนในการอ่านและเขียนแล้ว มกั จะพบความผิดปกติ เช่น การเขยี นคำท่ีเขียนจากความจำ (จำเป็นภาพ) เปน็ ตน้ การรักษาและช่วยเหลือผู้ทมี่ ีปัญหาการเรยี นต้องอาศยั ความรว่ มมอื จากหลายหน่วยงานและหลายวชิ าชีพ รว่ มกนั กับบุคคลรอบขา้ งในการให้กำลังใจและสรา้ งแรงจงู ใจใหก้ ับเดก็ กลมุ่ น้ี การช่วยเหลอื เด็กทม่ี ีปญั หาการเรียน พอสรปุ ได้ดงั น้ี (พชั รนิ ทร์ เสร,ี 2558). 1. บทบาทของครอบครวั ครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุดแต่สำคัญที่สุด แต่บิตามารดามักเข้าใจผิดคิดว่าหน้าที่ด้านการเรียน การสอนเป็นหน้าที่ของครูหรือโรงเรียนเป็นหลัก โดยที่บิดามารดาไม่ต้อมีบทบาทใด การให้คำปรึกษาแนะนำ ผู้ปกครองจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการปลูกฝังและปรับทัศนคติว่า แท้จริงแล้วบิดามารดามีส่วนในการสนับสนุนต้าน วิชาการอย่างมาก โดยการช่วยสอนและทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำสมอ ซึ่งไม่เพียงเป็นการให้ความรู้ด้านวิชาการ เทา่ น้ัน แต่ยงั เป็นการสรา้ งสัมพันธภาพและความผกู พนั กันในครอบครัว อีกทงั้ เปน็ การสรา้ งนสิ ัยและพฤตกิ รรมท่ีดี ในการเรยี นอีกดว้ ย 2. บทบาทของครแู ละระบบการช่วยเหลอื ในโรงเรียน 2.1 บทบาทของครู ครูเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างมากในการพัฒนาและปลูกฝังนิสัยด้านการเรียน ให้กับเด็ก วิธีการจัดการเรียนการสอน คลิกภาพ หรือบุคลิกลักษณะของครูมีผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้เป็น อย่างมาก เช่น ครูที่มองว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งด้านพื้นฐานอารมณ์ ลักษณะการเรียนรู้ สติปัญญา ความถนัด และความสนใจ จะสามารถสอนเด็กได้ถูกช่องทางในการเรียนรู้ของแต่ละคน อีกทั้งครูที่มีวิธีการสอนที่ สนุกสนาน สอนจากง่ายไปยากมเี ทคนิคหลากหลายในการจำ สร้างบรรยากาศในชัน้ เรียนให้เกดิ การเรียนรู้ จะช่วย ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ใด้สูงสุดช่วยลดปัญหาการเรียนได้มาก นอกจากวิธีการสอนแล้ว ครูจะต้องมีวิธีการวัดและ ประเมินผลอย่างเหมาะสมอกี ด้วย 2.2 ระบบการช่วยเหลือในโรงเรียน เด็กที่มีปัญหาการเรียนส่วนหนึ่งไม่สามารถเรียนในระบบ โรงเรียน แต่ยังต้องอาศัยแหล่งช่วยเหลือจากทางโรงเรียน เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียน ขาดเรียนบ่อยเช่น เจ็บป่วยเรื้อรัง ติดสารเสพติดที่ต้องได้รับการบำบัดในระยะยาว หรือมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมที่ไม่สามารถเรียนใน ห้องเรียนได้ ต้องการการช่วยเหลือที่เป็นระบบและเหมาะสมอาจต้องปรับทั้งหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน รวมถึงการประเมินผลและการติดตาม พบว่าโรงเรียนที่มีระบบช่วยเหลือนักเรียนสามารถช่วยให้เด็กที่มีปัญหา เหลา่ นี้ไดร้ บั การจัดการศึกษาอยา่ งเหมาะสม สามารถอยใู่ นระบบการศกึ ษาและเขา้ ถงึ การศกึ ษาไดเ้ ทา่ ท่ีควรจะเปน็ โรงเรียนท่ีผ้บู ริหารมอี งค์ความรู้ในระบบการช่วยเหลอื เด็กในโรงเรียน จะทำใหเ้ กดิ การช่วยเหลือได้อย่างครบวงจร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 142 3. บทบาทของทมี แพทยแ์ ละสหสาขาวชิ าชีพ จะต้องช่วยเหลือให้ครอบคลุมทั้งต้านร่างกาย จิตใจ และสังคม และประสานความร่วมมือระหว่างบดิ า มารดาและครู เพอ่ื ให้เกดิ ผลสูงสุด 3.1 บทบาทของจิตแพทย์หรือจิตแพทยเ์ ด็กและวัยรุน่ นอกจากตรวจประเมินและวินจิ ฉัยแล้ว ยัง มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือทางด้านต่าง ๆ เช่น การรักษาด้วยยา หรือให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ครอบครัว เกีย่ วกับโรคและการปรบั พฤตกิ รรม รวมถงึ การสง่ ตอ่ ในการรักษา 3.2 บทบาทของทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา นักวิชาการศึกษาพิเศษ (ครูการศึกษา พิเศษ) นักสังคมสงเคราะห์ นักกิจกรรมบำบัด เป็นตัน ปัญหาการเรียนอาจส่งผลต่อสัมพันธภาพภายในครอบครัว บิดามารดาอาจรู้สึกผิด หรือตำหนิและลงโทษเดก็ อย่างไม่เหมาะสม ขาดทักษะการเป็นบิดามารดาที่ดี นักจิตวิทยา จึงมีบทบาทในการให้ความรู้และฝึกทักษะที่ถูกต้อง ผู้ปกครองหรือครูบางรายมีปัญหาในการสอนเด็ก นักวิชาการ ศึกษาพิเศษจะเป็นผู้ให้ความรู้และแนวทางในการสอนและช่วยเหลือเด็กได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงการสอน ซ่อมเสริมวิชาการ (remedial teaching) และจัดหาบริการด้านการศึกษา เพื่อให้เด็กเข้าถึงการศึกษาตามสิทธิ์ที่ เด็กพึงจะได้รับ เช่น การร่วมเขียนแผนการจัดการศึกษาเฉพาะรายบุคคล (IEP) การให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาการ เรียนการสอน รวมถึงการเป็นตัวแทนของเด็กในการเรียกร้องสิทธิทางการศึกษาอีกล้วย บางรายอาจมีปัญหา พัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เช่น การแยกแยะภาพพื้น ทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็ก เป็นต้น นักกิจกรรมบำบัดสามารถฝึกและกระตุ้นพัฒนาการเหล่านี้ให้เทียบเท่ากับเด็กปกติใต้ หรือในรายที่มีปัญหาด้าน เศรษฐกิจ หรือการสนับสนุนของครอบครัว เช่น กรละเลยหรือทอดทิ้งเด็ก และต้องการหาแหล่งช่วยเหลือด้านอื่น นอกจากครอบครวั นกั สังคมสงเคราะหก์ จ็ ะเข้ามามีบทบาทในด้านน้ี จะเห็นว่าเด็กหน่ึงคนท่มี ปี ญั หาการเรียนไม่ได้ มีแค่หนึ่งปัญหา แต่จะมีปัญหาหลายด้านที่เกี่ยวข้องกัน ทีมสหสาขาวิชาชีพจึงมีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือ และประสานงานการทำงานเป็นทีมอย่างเป็นระบบก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการช่วยเหลือ ดา้ นการเรยี น โดยในบทนี้จะอธิบายกลุ่มโรคปัญหาทางการเรียนรู้ 4 กลุ่ม ได้แก่ โรคความบกพร่องทางการเรียนรู้ โรค สมาธสิ ัน้ เดก็ ท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางสติปญั ญา โรคออทิสติก ซ่งึ มรี ายละเอียด ดงั น้ี 3.1 โรคความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ โรคความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder : LD) หรือ แอลดี หน้าตาของเด็กแอลดีจะปกติ เหมอื นเด็กท่ัวไป สามารถพดู คุยตอบคำถามทว่ั ไปไดร้ ้เู รอื่ งดี แต่เวลาเรยี นหนงั สอื ความสามารถในการเรียนของเด็ก จะต่ำกวา่ เด็กคนอ่นื ในวัยเดยี วกนั 2 ระดับช้ันเรยี น เช่น เดก็ เรียนอยชู่ ัน้ ป.3 แต่อา่ นหนงั สือไดเ้ ท่ากบั เด็ก ป.1 โดย การวินิจฉัยว่าเด็กมีความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือไม่นั้น เด็กจะต้องมีความยากลำบากในการเรียนรู้และการใช้ ทักษะทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ทั้ง ๆ ที่เด็กได้รับการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสม แลว้ ซ่งึ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท
143 1. ความบกพรอ่ งด้านการอ่าน เด็กมคี วามบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ ขาดทักษะในการสะกดคำ และเรียนรูค้ ำศพั ท์ใหม่ๆ ไดอ้ ย่างจำกดั จงึ อา่ นหนังสือไม่ออกหรืออา่ นแตค่ ำศพั ท์ง่าย ๆ อา่ นผดิ อา่ นตะกุกตะกกั 2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำเด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์และการันต์ ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิดมีปัญหาการเลือกใช้คำศัพท์ การแต่งประโยคและการสรุปเนื้อหาสำคัญทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดความคิด ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน แตส่ ามารถลอกตัวหนังสอื ตามแบบได้ 3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์เด็กขาดทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข การนับจำนวน การจำ สูตรคูณรวมทั้งการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคิดหาคำตอบจากการบวกลบ คูณ หาร ตามเกณฑ์ ทางคณติ ศาสตร์ได้นอกจากนย้ี งั มีการแบ่งเดก็ ตามความรนุ แรงของโรค โดยแบง่ เปน็ 3 ระดบั คือ ระดบั นอ้ ย ระดับ ปานกลางและระดับรุนแรง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในการประเมินระดับความรุนแรง เช่น เด็กมีความ ยากลำบากในทกั ษะการเรียนรูก้ ่ดี ้าน การตอ้ งการความชว่ ยเหลือสนบั สนุน เป็นตน้ ความบกพร่องทางการเรยี นยงั มกั พบรว่ มกับความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาทในดา้ นอ่นื ร่วม ด้วย ได้แก่ 1. โรคสมาธิสั้น เป็นโรคที่พบร่วมกับแอลดีได้บ่อยมากที่สุด สองในสามของเด็กที่เป็นโรคแอลดีจะพบ สมาธิสั้นร่วมด้วย อาการของโรคสมาธิสั้น ได้แก่ วอกแวกง่าย ไม่สามารถจดจ่อต่อเนื่องกับสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน ชน หุนหัน พลันแล่น ในเด็กแอลดีที่มีปัญหาสมาธิสั้นร่วมด้วยมักพบว่าเด็กจะมีปัญหาการเรียนควบคู่ไปกับปัญหา พฤติกรรมอยา่ งแยกไมอ่ อก 2. ปัญหาในการสื่อสาร เด็กอาจมีประวัติเริ่มพูดได้ข้ากว่าเด็กทั่วไป หรือพูดได้แต่พูดไม่ชัด ออกเสียงไม่ ถูกต้อง หรือพูดได้ชัดแต่มีปัญหาในการใช้คำ การเรียงคำในประโยค ทำให้เด็กพูดแล้วคนอื่นฟังไม่เข้าใจ หรือมี ปญั หาในการฟงั ผู้อ่นื พดู แลว้ ไม่เข้าใจ 3. ปัญหาในการประสานงานระหว่างตาและกล้ามเนื้อมือ เด็กจะมีปัญหาในการใช้นิ้วมือทำงานไต้ลำบาก ชุ่มง่าม เช่น การใช้มือในการตัดกระดาษ หยิบของชิ้นเล็ก ๆ ผูกเชือกรองเท้า ติดกระดุม มีปัญหาในการกะระยะ เช่น ลากเสน้ ไม่ตรง ระบายสอี อกนอกเส้น โยนลูกบอลไมล่ งตะกรา้ ตปี ีงปองหรือเตะลูกบอลไมโ่ ดน เลน่ กฬี าไม่เกง่ 4. ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ จาการที่เด็กแอลดีเรียนหนังสือได้ไม่ดี ทำให้เกิดอารมณ์วิตกกังวล เบื่อ หน่าย เศร้า เป็นปมด้อย แยกตัว และมีปัญหาพฤติกรรมตามมาได้เด็กแอลดีร้อยละ 30 เท่นั้นท่ีไม่มีความบกพร่อง อื่นร่วมด้วย การที่เด็กแอลดี แต่ละคนมีความผิดปกติอื่นร่วมด้วยแตกต่างกัน จะทำให้อาการแสดงออกไม่ เหมอื นกนั และแนวทางช่วงเหลือฝกึ ฝนก็จะแตกตา่ งกันไปดว้ ย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 144 ลักษณะของเดก็ แอลดีแตล่ ะชว่ งวยั วัยอนุบาล - เดก็ มีประวัติเรมิ่ พดู ช้า เชน่ พูดคำแรก เมอ่ื อายุ 1 ขวบครึง่ หรือ 2 ขวบ - เด็กมปี ระวัตพิ ูดไม่ชดั หรือ ยงั มีการออกเสยี งไมซ่ ดั ในบางพยัญชนะ - มีการพูดสลับคำ,เรยี งประโยคไมถ่ กู - พดู ตะกุกตะกกั หรอื บอกชอ่ื วสั ดทุ ต่ี ้องการไมใ่ ด้ ไดแ้ ต่ซ้สี ิง่ ของน้ัน - มปี ัญหาการสอ่ื สาร เช่น พูดแล้วคนอ่ืนฟงั ไม่เข้าใจ หรอื ฟังคนอนื่ ไมเ่ ข้าใจ - มีปัญหาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมีลักษณะงุ่มง่าม เชื่องช้า เช่น การหยิบสิ่งของ การผูกเชือก รองเทา้ ติดกระดมุ เส้ือ จับดนิ สอไมถ่ นดั เขียนหนงั สอื แลว้ เมอื่ ยเรว็ - มีปัญหาการใช้สายตาร่วมกับมือ เช่น การกะระยะระหว่างสิ่งของการหยิบแยกวัตถุเล็ก ๆ จาก พน้ื หลงั วยั ท่ีเรียนชน้ั ประถมศึกษา เด็กแอลดีในวัยนี้ลักษณะที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ความสามารถ ด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ และ คณติ ศาสตร์ ลกั ษณะของความบกพรอ่ งแต่ละดา้ น มีดังน้ี ความบกพร่องดา้ นการอา่ น ภาพท่ี 6 เดก็ ทม่ี ีความบกพรอ่ งด้านการอา่ น ที่มา: สถาบันราชานุกลู . (2557ก). เด็กแอลดี คมู่ อื สำหรับคร.ู พิมพค์ รั้งที่ 4. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ชมุ นุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. - อ่านหนงั สือไมอ่ อก อา่ นไดแ้ ต่คำศพั ท์งา่ ยๆ ทสี่ ะกดตรงไปตรงมาหรือคำที่เห็นบอ่ ย ๆ - มีปญั หาในการสะกดคำตามเสยี งพยัญชนะ สระ ตวั สะกด - มปี ญั หาในการจำตัวอักษรใหต้ รงกับเสยี ง - อ่านขา้ อ่านตะกกุ ตะกัก อา่ นขา้ ม อา่ นเตาคำจากตัวอกั ษรแรก - อ่านคำศพั ทย์ ากๆ ไมไ่ ด้ เชน่ คำควบกล้ำ คำการันต์ คำสระลดรปู คำสะกดเฉพาะ - สอนแล้วจำยาก จำไดแ้ ล้วลมื ง่าย - อา่ นไดแ้ ต่สรปุ จับใจความไมไ่ ด้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 145 ความบกพรอ่ งดา้ นการเขยี น - สะกดคำผดิ เขยี นไดแ้ ต่พยัญขนะต้น แตเ่ ลอื กใชต้ ัวสะกด สระ วรรณยกุ ต์ ไมถ่ กู ต้อง เช่น มะเขอื เทศ เขยี นเปน็ มะเขงเทก - เขียนพยัญชนะไดไ้ ม่ครบ 44 ตวั เขยี นได้แตต่ วั ทีใ่ ชบ้ ่อยๆ ไม่คอ่ ยได้เขยี นจะเขยี นไมไ่ ด้ เช่น ฒ ฏ ฑ - เขยี นกลบั ซา้ ย ขวา เหมือนสอ่ งกระจก สับสนการมว้ นหัวเข้า - ออก - สบั สนการเขยี น - อ่าน คำพ้องรูป พอ้ งเสียง หรือพยญั ขนะที่มีเสยี งเหมอื นกนั เช่น พ ภ ผ. ส ศ ษ - มีความบกพรอ่ งในการใชค้ ำศัพทใ์ นการแต่งประโยค การเขียนเรยี งความเรยี บเรยี งเนือ้ หาในการเขียน ตอบคำถามหรอื การจดงาน ความบกพรอ่ งด้านการคำนวณ - ไม่เข้าใจค่าของตัวเลข เชน่ นบั จำนวนไดไ้ ม่ตรงกบั เลข เชน่ เหน็ เลข 5 แตไ่ มเ่ ข้าใจว่าหมายถึงของ จำนวน 5 ชน้ิ - ไม่เขา้ ใจคา่ ของตัวเลขในหลัก เช่น 540 ไมเ่ ข้าใจว่า 5 = 500, 4 = 40 เปน็ ต้น - สับสนในหลกั การคดิ เลข ไมเ่ ข้าใจหลักการบวก การลบ การคูณ การหาร - เห็นสญั ลักษณ์ทางคณิตศาสตร์แล้วไมเ่ ข้าใจความหมาย - ปัญหาในการวิเคราะหโ์ จทย์ปัญหาที่เปน็ ตวั หนงั สอื ไม่สามารถแปลเปน็ ประโยคสัญลักษณท์ าง คณิตศาสตร์ได้ - คิดเลขชา้ ผิดพลาด สบั สนในการทด การขอยืม สาเหตขุ องการเรยี นรูบ้ กพรอ่ ง - การทำงานของสมองบางตำแหนง่ บกพร่อง โดยเฉพาะตำแหน่งทเ่ี กย่ี วข้องกบั การเรยี นร้แู ละการใชภ้ าษา ท้ังการอ่าน การเขยี น และการพูด - พนั ธุกรรม พบวา่ เครือญาตอิ ันดับแรกเดก็ แอลดี รอ้ ยละ 35 – 40 จะมปี ญั หาการเรยี นรู้ - มีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างคลอดหรือหลังคลอด เช่น คลอดก่อนกำหนดน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่า เกณฑ์ เปน็ ตน้ - ความผดิ ปกติของโครโมโซม การชว่ ยเหลือเด็กแอลดี 1. ทางการศึกษา ครูประจำชั้นหรือครูการศึกษาพิเศษจะวางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล มีการนำ ส่อื เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาประกอบในการเรียนการสอน ตามสภาพปญั หาของเด็กเชน่ เครอื่ งคอมพิวเตอร์ เทป วี ดีทศั น์ เคร่ืองคดิ เลข ฯลฯ 2. ทางการแพทย์ โดยแก้ไขปัญหาเฉพาะที่เกิดร่วมด้วย เช่น โรคสมาธิสั้นปัญหาการประสานงานของ กลา้ มเน้อื ปญั หาในดา้ นการพูดและการสอื่ สาร 3. การลดความรุนแรงของผลกระทบที่ตามมา เช่น ปัญหาการเรียนปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาพฤติกรรม และปญั หาการปรับตวั โดยคัดกรองปัญหาแต่แรกเร่ิม ให้กำลังใจ และให้ความชว่ ยเหลือตามแนวทางทเี่ หมาะสม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 146 4. การชว่ ยเหลอื ด้านจติ ใจ โดยเสรมิ สร้างความรู้ ความเขา้ ใจให้กับครอบครัวเพอื่ ใหเ้ กิดความเข้าใจวา่ เปน็ ความบกพรอ่ งที่ต้องให้การชว่ ยเหลือ ไมต่ ำหนติ ิเตยี นวา่ เป็นความไม่เอาใจใสข่ องเด็ก แนวทางการดแู ล/ชว่ ยเหลือเด็กแอลดใี นโรงเรียน สิ่งสำคัญของการช่วยเหลือเด็ก คือ การทำงานเป็นทีมระหว่างคุณครูและผู้ปกครอง คุณครูจำเป็นต้อง หมั่นพบปะพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อติดตามและแลกเปลี่ยนข้อมูลความเป็นไปของ เด็กจะได้เข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ร่วมมือกันในการดูแลและช่วยเหลือเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ทนั ทว่ งที หากไมม่ ีเวลาพบปะพดู คยุ อาจใชก้ ารเขยี นในสมดุ การบา้ นของเด็กเพ่ือใหผ้ ้ปู กครองรับทราบ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับเด็กแอลดี คือเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับการสอนเสริมพิเศษ เพราะเด็ก แต่ละคนมีรูปแบบการเรียนรู้เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีครูที่มีความรู้ ความเข้าใจในความต้องการ พเิ ศษเพือ่ ที่เด็กจะไดต้ ดิ ตามการเรียนการสอนในช้นั เรียนไดท้ ัน นอกจากนี้ควรมีการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะรายบุคคล เนื่องจากเด็กแอลดีอาจมีบกพร่องเฉพาะบาง ด้าน แผนการศึกษาเฉพาะรายบคุ คล (Individualized Education Program :IEP) เป็นการจัดการศึกษาพิเศษ ให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กในแต่ละราย อาศัยความร่วมมือจาก หลายฝ่าย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ครูประจำชั้น ครูการศึกษาพิเศษ แพทย์ นักจิตวิทยา และบุคลกรที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญท่ีสุดกค็ อื พอ่ แม่ ผปู้ กครองของเดก็ การจัดทำ IEP อาจจัดเป็นเทอมหรือเป็นปีก็ได้ โดยต้องกำหนดเนื้อหาที่ชัดเจน ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ ของการเรียนการสอนอย่างเป็นขั้นตอน กำหนดกลวิธีที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ การประเมินและบริการพิเศษที่ เด็กควรไดร้ บั การสนับสนุนและสง่ เสรมิ การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ควรจัดให้เสร็จก่อนเปิดภาคเรียนแรก เนื้อหาที่ปรับ ควรทำเฉพาะวิชาทักษะ ได้แก่ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ เฉพาะวิชาที่เด็กทำได้ต่ำกว่าชั้นเรยี น ปัจจุบัน โดยไม่ปรับวิชาสาระอื่นอีก 5 สาระ และปรับวิธีการสอนและวิธีวัดผลให้สอดคล้องกับเด็ก เช่น เด็กที่มี ความสามารถทางการอา่ นต่ำกว่าช้ันเรยี นปจั จุบันมาก ควรสอบปากเปล่า การสอนเดก็ แอลดี วิธีการสอนเดก็ แอลดนี นั้ คล้ายกบั การสอนเด็กทั่วไป แต่คุณครคู วรเพ่ิมเติมการสอนในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี 1. การสอนให้เด็กรู้จักจัดระเบียบของอุปกรณ์และงานที่ได้รับมอบหมาย สอนให้เด็กเขียนหัวข้อเพ่ือ จดั ลำดับความสำคญั ของเรือ่ งทีเ่ รยี นและสอนทกั ษะการเรียนรู้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 147 2. การช่วยให้เด็กรู้จักคิดวางแผนขั้นตอนต่าง ๆ จนกระทั่งงานสำเร็จและสอนให้รู้จักใช้คำถามมาช่วยใน การเรียน เช่น การทำงานชิ้นนี้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ งานชิ้นนี้ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง หากเขามีคำถาม เขาควรจะ ถามใคร เป็นตน้ 3. ครูควรมองข้ามข้อผิดพลาดเล็กน้อย เช่น การสะกดคำผิด หรือลายมือไม่สวย แต่คุณครูควรเน้นการ ถา่ ยทอดความคิดของเดก็ และความพยายาม ความตงั้ ใจในการทำงานช้นิ น้ันใหส้ ำเรจ็ มากกว่า 4. ครูควรจัดกิจกรรมที่ให้เด็กใช้สมองซีกขวาด้วย เช่น ศิลปะ ละคร หรือดนตรี มากกว่าการเน้นฝึกฝน สมองซีกซ้าย เชน่ การให้เหตุผลหรอื การจดั ลำดับความคิดแตเ่ พียงอย่างเดยี ว 5. เด็กแอลดีจำนวนมากมีความคบั ข้องใจด้านการเรียน คุณครูควรดูแลดา้ นจิตใจและอารมณ์ของเด็กด้วย เชน่ การใหก้ ำลงั ใจเพ่ือชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถผ่านพ้นความรูส้ ึกคับขอ้ งใจไปได้ เน้นวา่ ส่ิงทเี่ ดก็ ทำได้ไม่ดี ไม่ได้เปน็ การ แสดงว่าเดก็ เปน็ คนไม่มีความสามารถ 6. ครูควรให้เวลาในการสอบมากกว่านักเรียนคนอื่น หรือใช้การสอบปากเปล่าเพื่อวัดความรู้ต่อวิชานั้นๆ ในเด็กทีม่ ปี ญั หาด้านการเขียน 7. ข้อสอบที่ให้เลือกตอบควรจัดอยู่ในแนวตั้งมากกว่าตัวเลือกที่อยู่ในแนวนอน เพราะเด็กสามารถอ่านได้ ง่ายกวา่ ตัวเลือกท่ีอยูใ่ นแนวตั้ง เชน่ ก……….................... ข……….................... ค………................... ง……….................... ตัวเลือกทอ่ี ยู่ในแนวนอนซึ่งไมค่ วรใช้ เช่น ก…….......ข…….......ค…….......ง……....... 8. ครูควรใช้คำสง่ั ที่ง่ายและชดั เจน พร้อมทง้ั ให้นักเรียนทวนคำส่งั ก่อนท่จี ะเร่ิมลงมอื ทำทุกคร้งั เพอ่ื ตรวจสอบวา่ เดก็ เข้าใจคำส่ังนนั้ หรือไม่ 9. ครคู วรสอนความรใู้ หม่ทีผ่ สมผสานกบั ประสบการณ์เดิมของนักเรียนเพอ่ื ช่วยให้เดก็ จำ และเข้าใจได้ ง่ายขึ้น รวมถงึ สามารถนำไปใช้ชีวิตจริงได้ 10. อปุ กรณท์ คี่ รนู ำมาสอน ตอ้ งใช้ประสาทสัมผสั ทั้งหา้ และครูควรให้เดก็ ทบทวนส่ิงท่ีสอนไปด้วยวิธกี าร ใหมๆ่ มากกวา่ การใชแ้ บบฝึกหดั เพยี งอยา่ งเดยี วเช่น การเขียนตัวอักษรลงบนกระบะทราย หรือการใหเ้ ดก็ เล่นทาย พยัญชนะจากการเขียนบนฝ่ามอื 11. ส่ิงสำคญั คอื ครูจะต้องรว่ มมือกับผปู้ กครองในการพฒั นาเดก็ แอลดี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 148 เทคนคิ เบื้องตน้ ในการฝึกทกั ษะการรับและแปลผลขอ้ มลู ดว้ ยสายตาและการฟงั 1. การสอนโดยการใชว้ ิธเี ชื่อมโยงสิง่ ที่เด็กได้เคยเรียนรู้หรอื มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวนั กบั สิง่ ท่ี ตอ้ งการท่ีจะสอนเดก็ เช่น การสอนให้เขยี นสระอี โดยให้เด็กนึกภาพ กางร่ม แลว้ มฝี นตกลงมา 2. การสอนโดยการใชว้ ธิ ีเรียนรผู้ า่ นประสาทสัมผสั ท้ังส่ี การสอนจากการมองเห็น 1. ควรมีรปู ภาพประกอบในประโยคใหเ้ ดก็ ดู เช่น คำวา่ กา อาจจะมีรูปภาพ กา แทน และตอ่ มาเม่อื เดก็ อา่ นคลอ่ ง จากรปู ภาพก็ปรับเปลย่ี นเขยี นคำว่า “กา” พรอ้ มกบั รปู กา จนเมอื่ เดก็ อา่ นไดค้ ลอ่ ง จงึ ค่อยลบภาพกา ออก เหลอื แตค่ ำวา่ “กา” เพยี งอย่างเดียว 2. การใชส้ แี บง่ สว่ นของอักษร เชน่ บริเวณ หวั ให้เขยี นสีแดง แตบ่ รเิ วณเส้นให้เขยี นสนี ำ้ เงิน เพือ่ ใหเ้ ดก็ เหน็ ได้ชัดเจนว่า หัวออกหรือหัวเข้า 3. การใช้สีแทนสิ่งที่เราต้องการให้เด็กเรียนรู้และจดจำ เช่น การใช้สีเข้ามาช่วยจำในเครื่องหมายทาง คณติ ศาสตร์ เชน่ สีเขียว หมายถึง เครอื่ งหมายบวก (+) สีแดง หมายถงึ เคร่ืองหมาย (-) สีฟา้ หมายถงึ เครือ่ งหมาย คณู (x) โดยเมื่อเด็กเหน็ สเี ขียวก็จะรวู้ ่าเป็นวธิ บี วก 4. การจำรปู ทรงของคำ เพราะในบางครง้ั เดก็ จะจดจำตัวอักษรไมไ่ ด้ จงึ อาจจะใชส้ หี รอื ปากกาขดี รอบล้อม คำนัน้ ให้เหน็ เปน็ รปู ร่างเรขาคณติ ต่าง ๆ แลว้ ให้เด็กจดจำรูปร่างนน้ั แทนคำ 5. เกมคันหาตัวเลข เกมนี้จะมีตัวเลขปะปนกันอยู่ให้เด็กหาตัวเลขเป้าหมายเป็นการฝึกให้เด็กมีการ แยกแยะรูปทรงของตัวเลขโดยอาจจะให้เด็กเล่นแข่งขันกัน ทำบรรยากาศให้สนุก เพราะถ้าหากเด็กสนุกในสิ่งที่ กำลังเรียนรู้จะสามารถจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ดี การสอนจากการฟงั 1. อ่านเนื้อหาหรอื เรอื่ งให้เดก็ ฟงั อัดเสียงแล้วเปิดใหเ้ ด็กฟังบอ่ ยๆหรือให้เด็กฟงั ในเวลาที่เด็กวา่ ง ให้ฟังเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะ จะทำให้เด็กสามารถจำได้มากขึ้น เช่น เพลงที่สอน ให้ท่องจำพยัญชนะ ก-ฮ หรือการลบบวกเลข เป็นต้น การสอนจากการเคลื่อนไหว 1. การใบ้คำโดยใชท้ ่าทาง 2. การเล่นเกมหรือกิจกรรมเคลื่อนไหว เพื่อสอนคณิตศาสตร์การบวก ลบ เช่น เกมรวมเหรียญ หมากเก็บ กระโดดยาง เป็นตน้ 3. เกมกระโดดเหยียบตัวอักษร เป็นการฝึกแยกแยะรูปร่างของพยัญชนะ ฝึกความจำและการเคลื่อนไหว ร่วมกัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 149 การสอนจากการสัมผัส 1. การลากเส้นตัวอักษรบนแผ่นหลัง/ฝ่ามือของเด็ก วิธีนี้เป็นการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสผิวหนัง การ สอนวธิ ีนเ้ี ปรยี บเสมอื นเปน็ การเขยี นภาพในสมอง 2. การเขียนกระบะทราย กระบะข้าวสาร ฟองครีม 3. การสอนโดยใชเ้ ชือกมาขด หรือนำเมล็ดถ่ัวมาเรียงเปน็ ตัวอกั ษรหรอื ป้นั ดนิ นำ้ มันมาเปน็ ตวั อักษร 4. การสอนโดยการใช้หลายวิธีรวมกัน เช่น สอนเรื่องนาฬิกาโดยใช้นาฬิกาที่มีหนูวิ่งร่วมในการสอนเรื่อง การเดินของเข็มนาฬิการ่วมกับการร้องเพลงหรือการสอนโดยครูให้ดูรูปใบไม้ และให้เพื่อนเขียนตัวอักษร \"บ\" บน แผน่ หลังของเด็กแล้วใหเ้ ดก็ เขยี นบนกระบะทรายและให้เดก็ พดู วา่ บ.ใบไม้ 5. การทายอกั ษร เชน่ ถา้ จะใหเ้ ดก็ หาตวั ภ.สำเภา กท็ ำตัว ภ. สำเภา ให้นนู ข้นึ กว่าตัวอกั ษรอื่น 6. การทายคำจากการคลำ นำกระดาษทรายมาตัดคำ ให้เด็ก ปิดตาคลำ การสัมผัสจะทำให้เด็กเรียนรู้ และจดจำไดด้ ีขึ้น หรืออาจนำตวั อักษรมาใส่ถงุ ทึบ ให้เด็กหยิบตัวอกั ษรตามส่ัง อาจใหแ้ ข่งขนั กบั เพอื่ น จะทำให้เด็ก สนุกและอยากเรียนรู้ การสอนโดยการใช้หลายวธิ รี วมกนั เทคนิคเบอื้ งตน้ ในการฝึกทกั ษะการจัดหมวดหมู่ การเรยี งลำดบั และการสรุปความคิดรวบยอด 1. การสอนโดยการใช้เทคนิคการจำ 1) การจำอักษรต้นตัวแรกของคำ วิธีนี้จะทำโดยให้เด็กจำตัวอักษรจากคำขึ้นต้น เช่น โทรทัศน์ รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยจำเป็นช่อื ยอ่ วา่ ทรท 2) การแต่งเป็นเรือ่ งหรือเปน็ กลอน 3) การเชือ่ มโยงกบั สง่ิ ทเ่ี คยเรียนรมู้ ากอ่ น 2. เทคนิคในการสรา้ งกระบวนการคิด การทำแผนผังการคดิ (mind mapping) นอกจากนีย้ ังมีเทคนคิ อ่ืน ๆ ที่ชว่ ยใหค้ ณุ ครูสามารถช่วยเหลอื เด็กไดร้ อบดา้ นมากข้ึน ดงั นี้ 1. การให้ตัวเสริมแรง การชมเชย การให้รางวัล การให้แต้มหรือดาวเพื่อสร้างความภาคภูมิใจ และ เสรมิ สร้างแรงจงู ใจในการเรียน รวมถึงใหเ้ ด็กรบั ร้ไู ด้ถึงความร้สู กึ ท่ีดตี ่อตนเอง ภาพท่ี 7 การให้สติกเกอรห์ รอื ดาวเปน็ ตวั เสรมิ แรง สรา้ งแรงจงู ใจในการเรียน ที่มา: สถาบนั ราชานุกลู . (2557). เดก็ เรียนรูช้ ้า คูม่ ือสำหรบั ครู. พิมพค์ รงั้ ท่ี 4. กรุงเทพ : โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณการเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั .
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 150 2. การสังเกตลักษณะการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน และส่งเสริมให้ถูกทางเช่น บางคนอาจเรียนรู้ได้ดีด้วย การลงมอื ทำ บางคนต้องเห็นและลงทำพร้อม ๆ กนั บางคนต้องทั้งเหน็ และฟังดว้ ย เป็นต้น 3. การค้นหาคุณสมบัติที่ดีในตัวของเด็กเพื่อส่งเสริมให้เด็กเห็นศักยภาพที่ดีของตนเองในด้าน อื่น ๆ นอกจากเรียน เช่น มีความพยายาม ตั้งใจจริง ขยันอดทน รับผิดชอบ มีมารยาทดี เป็นที่รักของเพื่อน ร้องเพลง เพราะ วาดรูปเก่งเล่นดนตรี หรือเล่นกีฬาเก่ง ทำกับข้างเก่ง แสดงเก่ง ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์เก่งมีความสามารถใน การซอ่ มแซมเครื่องมือและอปุ กรณต์ า่ ง ๆ เปน็ ตน้ 4. การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เช่น การสร้างความภาคภูมิใจตนเองให้เกิดกับเด็กที่มีความบกพร่องในการ เรียนรู้ โดยมองหาจุดดี จุดแข็งของเด็กและให้คำชมอยู่เสมอ การพัฒนาความสามารถในการอ่าน การเขียน และ การคำนวณ (remedial therapy) ควรจัดให้เด็กเรียนแบบตัวต่อตัวหรือเป็นกลุ่มย่อย ในห้องเรียนพิเศษ (resource room) โดยปรับการสอนให้เหมาะสมกับเด็กเป็นรายบุคคลและใช้วิธีการเรียนรู้หลายรูปแบบ เพื่อให้ เด็กเกิดการกระตือรือร้นในการเรียนหากโรงเรียนไม่พร้อม พ่อ แม่ สามารถจัดหาครูสอนพิเศษให้แก่เด็กได้ เด็กท่ี รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จะพัฒนาความสามารถด้านการเรียนได้มากขึ้นภายในเวลา1 ปีครึ่ง - 2 ปี การใช้ เครื่องมืออำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมถึงการปรับเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ประเมินผล เช่น ใช้เป็นระบบ โดยแข่ง กับตัวเอง ไม่ต้องถูกตัดเกณฑ์กับเพื่อนๆ วัดความก้าวหน้าของตัวเด็กเองเป็นหลัก เด็กควรได้เวลาในการสอบนาน กว่าเด็กปกติ หากเป็นไปได้ ควรแยกสอบตัวต่อตัว ถ้าเด็กยังอ่านข้อสอบไม่ออกคุณครูผู้สอบควรอ่านให้ฟัง ถ้าเดก็ ยังเขยี นไม่เป็นคุณครผู สู้ อบควรอนญุ าตให้เดก็ ตอบ โดยวาจาแลว้ ครเู ขียนให้ การฝกึ ทกั ษะทางวิชาการ เดก็ แอลดมี กั มปี ญั หา 3 วิชา คอื ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณติ ศาสตร์ เทคนคิ หน่ึงที่ใชไ้ ดผ้ ล คือ การแจก แจงทักษะใหญอ่ อกเปน็ ทักษะย่อย ๆ แลว้ ฝึกทกั ษะทีละขน้ั ยอ่ ย ๆ เช่น วชิ าภาษาไทย เด็กท่ีจะอ่านออกเขยี นได้ จะต้องมที ักษะทางวชิ าภาษาไทย ตามลำดับนี้ 1. การจำแนกพยัญชนะ 2. การจำแนกสระ 3. การอา่ นคำทป่ี ระสมด้วยพยัญชนะตน้ 44 รูป 21 เสียง 4. การอา่ นคำทผ่ี สมดว้ ยสระ 32 รูป 21 เสียง 5. การอา่ นคำตามเสียงวรรณยุกต์ 6. การอา่ นคำทมี่ อี กั ษรครบ 7. การอ่านคำที่มีอักษรนำ 8. การอา่ นคำทมี่ ีตวั สะกดรปู 9. การอา่ นคำท่ีมีตวั สะกดตรงมาตรา 8 มาตรา 10. การอา่ นคำทม่ี ีตัวสะกดไมต่ รงมาตรา 7 มาตรา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 151 11. การเขยี นพยัญชนะ สระ ไดถ้ กู ตอ้ ง สวยงาม พอควร 12. การอา่ นจบั ใจความ 13. การเขียนคำศพั ท์ตามขอ้ 3-10 รวมทงั้ คำท่ีมีตวั การนั ต์ 14. การเขียนประโยค เขยี นเรียงความ 15. การจดบันทกึ คำบรรยาย ตัวอยา่ งเทคนคิ การสอนทักษะวิชาการดา้ นภาษาและคณติ ศาสตรเ์ ทคนคิ การสอนภาษา คณุ ครูอาจชว่ ยเหลือเด็ก ๆ ดว้ ยวธิ ีการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. Fading หมายถงึ การลดการช่วยลง ใช้ในการสอนเขียนตัวอักษรตวั เลข และการฝกึ คัดลายมือ 2. Phonics หมายถึง เสียง เป็นการสอนานออกเสียง โดยคำนึงถึงหน่วยเสียงในภาษาเปน็ สำคัญ ตัวอย่าง การสอนสระอา เชน่ มา กา วา ยา การสอนอักษรควบกล้ำ เชน่ กลา้ กล้อง กล้วย กลืน 3. Guided Note เป็นเทคนิคที่ทำให้คำหรือข้อความในประโยคในเรื่องที่อ่านมีสีเข้มแตกต่างไปจาก ตวั อกั ษรอนื่ ทำใหอ้ ่านงา่ ย ใช้ในการสอนอา่ นจบั ใจความ 4. Herring Bone Method เป็นการสอนโดยการใช้ไดอะแกรมประกอบให้เห็นใจความสำคัญของเรื่อง การอา่ น เปรียบเสมนื ก้างปลาทมี่ ีกา้ งปลาใหญ่ และกา้ งเล็ก ๆ ใชใ้ นการสอนอ่านจับใจความ 5. Graphic Organizer เป็นการใช้กราฟประกอบการอธิบายเนื้อหาใจความใช้ประกอบการบรรยายการ สอน การอธิบายให้เข้าใจเนือ้ หาสาระ เทคนคิ การสอนคณติ ศาสตร์ วิธีสอนแบบ CRA (Concrete Representational Abstract) วิธสี อนนี้ มีข้ันตอนการสอน 3 ขั้นตอน คอื 1. Concrete เป็นขั้นตอนการสอนความคดิ รวบยอดโดยใชต้ ัวแบบทเี่ ป็นวสั ดุ ทีเ่ ปน็ รูปธรรม เชน่ ก้อนหิน สตี ่าง ๆ แทง่ ไม้บล็อก ลูกบาศก์ 2. Representational เป็นขั้นตอนการสอนให้เปลี่ยนจากรูปธรรมมาเป็นกึ่งรูปธรรม โดยการวาดภาพ วาดรปู วงกลม หรอื จดุ เพ่ือใชส้ ำหรบั การนบั 3. Abstract เป็นขั้นตอนการสอนโดยใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เพื่อแสดงจำนวนของรูปภาพ จุดหรือ วงกลมและมกี ารใช้เครอื่ งหมายทางคณิตศาสตร์ + - x ÷ เพือ่ แสดงการบวก การลบ การคณู และการหาร การสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ Touch Math มลี ักษณะดังนี้ 1. ใช้จดุ แสดงตวั เลข 1-9 2. จำนวน 6-9 ใชว้ งกลมล้อมรอบจุด 3. ใหน้ กั เรยี นนับตัวเลขพรอ้ มกับสมั ผัสจดุ ในตัวเลขแตล่ ะตัว 4. ฝึกนบั ไปขา้ งหนา้ และนบั ถอยหลงั
152 ตัวอย่างการสอนตัวเลขโดยใช้ Touch Math ตวั อยา่ งการสอนการลบโดยใช้ Touch Math มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การสอนกระบวนการเกี่ยวกบั ปญั หา (Teach a problem procedure) มีรายละเอียดดงั น้ี 1. อ่านคำถาม 2. อ่านซำ้ 3. เนน้ /ขดี เส้นใต้คำสำคัญและจำนวน 4. ตัดสนิ ใจเลือกยทุ ธศาสตร์ 5. เขยี นสัญลักษณท์ ต่ี ้องการแลว้ เนน้ 6. คาดคะเน 7. ลงมอื แก้ปญั หา 8. ตรวจสอบคำตอบกับการคาดคะเน 9. ตรวจสอบคำตอบกบั คำถาม 10. ทา้ ยทสี่ ุดพิจารณาว่า คำตอบนน้ั มีเหตผุ ลหรือไม่ 3.2 โรคสมาธสิ ้ัน โรคสมาธิสั้น เป็นการขาดความสามารถตั้งใจ/สนใจ ต่อกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็น ความผิดปกติทางพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่เด็กมักแสดงออกจนเป็นลักษณะเฉพาะตัว ประกอบด้วยพฤติกรรมไม่ เหมาะสมกับวยั หรอื ระดบั พฒั นาการ ปกตมิ าตรฐาน ซนมาก ไมม่ รี ะเบียบ วอกแวก ขาดสมาธิ มกั ทำอะไรกอ่ นคิด วู่วาม กา้ วรา้ ว (จริยา ทะรกั ษา, 2558 ; ณชั พร ศุภสมทุ ร์, 2553 ; สถาบันราชานุกลู , 2557ง) ลักษณะดงั กล่าว สง่ ผลกระทบ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การเรียนรู้ ตามที่เด็กที่ความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน พูดมาก อยู่ไม่นิ่ง นั่งไม่ติดที่จะทำให้เด็กมี การรบั รู้ต่ำกว่าเพ่ือนๆ ทำงานไมเ่ สรจ็ และบางครั้งยังกอ่ กวนความสงบสุขภายในชั้นเรียนอีกดว้ ย 2. พฤติกรรมเบี่ยงเบน พบได้ตั้งแต่พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง ทำอะไรรุนแรง ข้าวของเสียหาย ก้าวร้าว เพื่อนไม่ ชอบเล่นดว้ ย ขาดทักษะตา่ ง ๆ เน่ืองจากอดทนเลน่ ฝึกไมไ่ ด้นาน และกอ่ กวนเด็กอนื่ พฤตกิ รรมก้าวร้าวในเด็กสมาธิ สนั้ มีความสมั พันธก์ ับการยอมรบั การดำเนินโรคของพ่อแมแ่ ละคุณครเู ป็นอย่างย่ิง 3. มีภาพพจน์ต่อตัวเองไม่ดี เนื่องจากว่าเด็กมีโอกาสทำผิดพลาดได้บ่อยกว่าเด็กอื่น และพบกับความ ล้มเหลวในการเรียน การเข้าสังคม การกีฬา ดนตรี ฯลฯ ผู้ใหญ่รอบข้างไม่ชอบ คุณครูไม่รัก เนื่องจากเรียนไม่เก่ง แถมทำตวั กอ่ ให้เกิดปัญหาอีกดว้ ย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 153 4. การเข้าสังคมเบี่ยงเบน เนื่องจากเด็กขาดทักษะในการเล่น การกีฬา ฯลฯ ร่วมกับเด็กที่มีความยับยั้ง ตัวเอง ในขีดจำกัด พูดมากทำข้าวของเสียหายจึงส่งผลทำให้พี่น้อง เพื่อน คุณครู พ่อแม่ เกิดความรู้สึกไม่พอใจได้ ง่าย ลักษณะอาการทางคลนิ ิกทพ่ี บได้ กลุม่ อาการขาดสมาธิ 1. ไมส่ ามารถจดจำรายละเอยี ดของงานได้มักจะทำผิดเนอ่ื งจากขาดความรอบคอบ 2. ไมม่ สี มาธใิ นการทำงาน หรือเลน่ 3. ไม่สนใจฟังคำพูดของคนอ่ืน 4. ไมส่ ามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอยี ดของคำส่งั ได้ 5. ทำงานไมเ่ ปน็ ระเบียบ 6. ไม่เตม็ ใจ หรือเล่ียงการทำงานทต่ี อ้ งใชค้ วามคิด 7. ทำของใชส้ ว่ นตัวที่จำเปน็ ต้องใช้ในการเรยี นหรือการทำงานหายบอ่ ย ๆ 8. วอกแวกง่ายๆ 9. ข้ีลืมบ่อย ในกจิ วตั รประจำวันของงานทท่ี ำ กล่มุ อาการซน หุนหนั พลนั แล่น 1. ยุกยกิ อยูไ่ ม่เป็นสุข ชอบขยับมอื ขยบั เท้าไปมา 2. ชอบลกุ จากท่ีนงั่ เวลาเรียน หรือสถานทท่ี จี่ ำกัดให้ต้องนั่งเฉยๆ 3. ชอบวง่ิ หรอื ปนี ป่ายสงิ่ ต่าง ๆ (ในวยั ร่นุ อาจจะแค่กระวนกระวายใจเทา่ นน้ั ) 4. ไมส่ ามารถเล่น หรือนง่ั นิ่งอยเู่ งียบๆ ได้ 5. ต้องเคลอ่ื นไหวตลอดเวลาเหมอื นมเี คร่อื งยนต์ติดตัว 6. พดู มาก พูดไม่หยดุ 7. ชอบโพลง่ คำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม โดยท่ฟี งั คำถามยังไมจ่ บ 8. มคี วามลำบากในการเข้าควิ หรอื การรอคอย 9. ชอบขัดจังหวะ หรอื สอดแทรกเวลาผูอ้ ืน่ คุยกนั หรอื แยง่ เพ่อื นเล่น โรคที่สามารถพบอาการสมาธิสนั้ 1. อาการปัญญาออ่ น 2. โรคออทสิ ซมึ (Autism) 3. อาการบกพร่องในการเรยี นรู้ (Learning Disabilities: LD) 4. อาการเคลือ่ นไหวผดิ ปกติของกลา้ มเน้ือทีเ่ รียกว่าโรค Tics และโรคTourette 5. โรคทางจิตเวชตา่ ง ๆ เช่น โรคประสารทวิตกกังวล ไบโพลาร์ โรคซึมเศรา้ โรคจติ บคุ ลิกภาพผดิ ปกติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 154 6. อาการผดิ ปกตขิ องการปรับตัวในภาวะตึงเครียดทีเ่ กดิ ขน้ึ กบั ตนเอง โรคต่าง ๆ เหล่านเ้ี มื่อเกิดข้นึ และมี อาการสมาธิสนั้ ปนอยดู่ ้วยการแก้ปัญหาต้องใช้ความระวงั เป็นอยา่ งยงิ่ มิฉะนัน้ เด็กจะมกี ารเพิม่ มากข้ึนโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์ 7. โรคลมชัก และความผดิ ปกตขิ องสมอง เช่น บาดเจ็บที่ศีรษะหรอื การติดเช้อื ในสมอง 8. โรคต่อมไทรอยดท์ ำงานผดิ ปกติ การช่วยเหลือเด็กสมาธิสัน้ ในโรงเรยี น การชว่ ยเหลอื เด็กสมาธสิ ้นั ในโรงเรยี นนั้น คุณครูสามารถชว่ ยเหลือได้ตามแนวทางดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเรียน: เพิ่มความสามารถในด้านการเรียนเพื่อช่วยให้เด็กสมาธิสั้นประสบผลสำเร็จด้านการเรียน ตามศกั ยภาพ และเกิดความภาคภมู ิใจในตนเอง 2. สงั คม: เพ่มิ ทกั ษะทางสงั คมทจ่ี ำเปน็ ตอ่ การปรบั ตัวอยู่ร่วมกบั ผู้อื่นของเด็กสมาธสิ น้ั 3. พฤติกรรม: ลดพฤติกรรมปัญหาทีร่ บกวนการเรยี นรู้ อันเปน็ ผลจากอาการของโรคสมาธิส้นั บทบาทของคุณครใู นการชว่ ยเหลอื เดก็ สมาธสิ น้ั 1. จัดทนี่ ัง่ ใหม่ ลดสิ่งทจ่ี ะทำใหเ้ ด็กวอกแวก 2. ให้คำส่งั ทชี่ ัดเจน ง่าย สน้ั ทลี ะคำส่ัง และเขียนงาน การบ้านบนกระดานใหช้ ดั เจน 3. หาวิธีเตอื นให้เด็กกลับมาสนใจเรียนโดยไมท่ ำให้เด็กอาย 4. มอบหมายหน้าทบ่ี างอยา่ งในห้องเรียนเพ่ือเปน็ การเปลี่ยนอิรยิ าบถของเดก็ เช่น ลบกระดาน แจกสมดุ 5. ให้รางวัล คำชม เมือ่ เดก็ ตั้งใจ พยายาม หรอื ประพฤตติ วั ดี 6. หลกี เลย่ี งคำพูดตเิ ตยี นอย่างรุนแรงหรอื ตี ใชก้ ารลงโทษโดยการทำความดีชดเชย หรอื การใชเ้ วลานอก 7. มีกฎระเบียบในหอ้ งทุกคนปฏบิ ัตใิ ห้เหมอื นกนั ชดั เจน ไมม่ ีสทิ ธิพิเศษสำหรับเด็กสมาธิสัน้ ในการงดเวน้ กฎ การลงโทษ 8. ชว่ ยเด็กคดิ วธิ ีแกไ้ ขจุดอ่อน จะแก้อาการขีล้ ืมได้อย่างไร 9. ชว่ ยใหไ้ ด้ใช้พลงั งานอย่างสร้างสรรค์ (กฬี า, ดนตร,ี ศลิ ปะ) ข้อแนะนำสำหรับสิง่ แวดลอ้ มภายในโรงเรียน 1. นงั่ ใกลโ้ ต๊ะคุณครู พยายามให้นง่ั ข้างหนา้ 2. น่งั อยใู่ นวงของเดก็ ที่ต้ังใจเรยี น 3. พยายามใหเ้ ดก็ ห่างจากบรเิ วณประตู หน้าต่าง ฯลฯ 4. กฎ ระเบียบ ตารางสอน ความสมำ่ เสมอ เพราะเด็กปรับตวั ยาก 5. มุมสงบ ของหอ้ งเป็นท่ีท่ีเด็กทุกคนมีสทิ ธิใช้ ซึ่งจะชว่ ยทำใหเ้ ดก็ ไม่รูส้ กึ วา่ ตวั เองแตกต่างจากผู้อืน่ 6. ชี้ชวนใหผ้ ูป้ กครองหาทที่ สี่ งบในการทำงานของเด็ก โดยต้ังเวลาสำหรบั ทำงาน เวลาสำหรับพอ่ แม่ตรวจ การบา้ น เวลาจัดกระเป๋า ทบทวนบทเรียนโดยสม่ำเสมอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311