Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ต้นสาย แก้วสว่าง

ต้นสาย แก้วสว่าง

Published by วิทย บริการ, 2022-07-08 02:43:31

Description: ต้นสาย แก้วสว่าง

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 204 2.2 แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test) วัดความสามารถของบุคคลในเวลาปัจจุบัน เพื่อนำไป พจิ ารณาสภาพการณใ์ นอนาคตของบคุ คลน้ัน ๆ วา่ จะสามารถทำงานหรือกจิ กรรมหนึง่ ๆ เรยี นหนังสอื ฝกึ ฝนอบรม ได้สำเร็จหรือไม่เพยี งใด 2.3 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) เพื่อวัดความสำเร็จในการฝึกอบรมทางวิชาชีพ หรือ การศกึ ษาเลา่ เรียน หลังจากทไ่ี ด้ศกึ ษาอบรมหรือไดเ้ ล่าเรยี นมาแล้วว่าบคุ คลน้ันไดร้ อบร๎ูเข้าใจ นำเอาสงิ่ ท่ีได้รับจาก การทไ่ี ด้จากการฝกึ อบรมให้แก๎ปญั หาไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด 2.4 แบบทดสอบบคุ ลิกภาพ (Personality Test) มุ่งใช้เพื่อตรวจสอบบคุ ลิกลักษณะของบคุ คลในด้านต่าง ๆ อาทิ เจตคติ ความสนใจ การปรับตัว การเข้าสมาคม สภาวะทางจิต แบบทดสอบประเภทนี้มักเป็นที่รู๎จักกันใน รปู ของแบบสอบถาม (Questionnaires) แบบสำรวจ (Inventories) 3. จำแนกตามวธิ ีการทดสอบ จำแนกได้ 3 ประเภทด้วยกัน คอื 3.1 แบบทดสอบเขยี นตอบ (Paper Pencil Test) 3.2 แบบทดสอบปากเปลา่ (Oral Test) 3.3 แบบทดสอบใหก้ ระทำ (Performance Test) สรา้ งขน้ึ ในรูปเครอื่ งมือทดสอบ (Apparatus) เช่น เครือ่ งมือทใ่ี หป้ ระกอบชน้ิ ส่วน รอ้ ยลกู ปัด สรา้ งหอคอย 4. จำแนกตามเวลาที่ใช้ จำแนกได้เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1 แบบทดสอบท่ใี ชพ้ ลัง (Power Test) ไม่จำกัดเวลา ใหโ้ อกาสผทู้ ดสอบใชพ้ ลังความสามารถเตม็ ที่ 4.2 แบบทดสอบที่ใช้ความเร็ว (Speed Test) จำกัดเวลาในการทำข้อสอบ เป็นการทดสอบเพื่อวัด ลกั ษณะน่ันเอง การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยานั้น ไม่สามารถทำกันได้อย่างง่ายดาย ตามความชอบใจที่จะใช้ทั้งของผู้ ทดสอบและผู้รับการทดสอบ บุคคลที่จะเป็นผู้ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาควรเป็นนักจิตวิทยา นัก วดั ผล หรือบคุ คลที่ได้รบั การฝึกฝนอบรมใหร้ จู๎ ักใช้ข้อทดสอบประเภทน้ีมาแล้ว 2. บรกิ ารสนเทศ (Information Service) ในปัจจุบันสังคมในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาและ อาชพี ใหม่ ก็มปี รากฏมากมาย ตลอดจนสภาพท่ซี บั ซอ้ นของสงั คม ฉะนัน้ การจดั หลกั สูตรเฉพาะความรูท้ างวชิ าการ อย่างเดียว ดูจะไม่พอเพียงที่จะทำให้นักเรียนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของสังคมได้เป็นอย่างดี โรงเรี ยนจึง จำเป็นต้องมีบริการที่จะให้นักเรียนแต่ละคนได้รับข่าวสารความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการศึกษา การเลอื กอาชพี และการปฏิบัตติ นให้เขา้ กับสงั คมได้ ซึง่ เราเรยี กบรกิ ารนวี้ า่ บริการสนเทศ (Information Service) บริการสนเทศเป็นบริการหนึ่งของการแนะแนวที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการช่วยพัฒนาเด็กให้เจริญก้าวหน้าได้ ตามคุณสมบัติและความสามารถของตน บริการนี้เป็นงานใช้เวลา กำลังงาน และกำลังสมองของบุคคลากรท่ี เกี่ยวข้องทำงานกับแนะแนว เพื่อให้เข้าใจถึงบริการสนเทศในบทนี้ จะขอกล่าวถึงความหมายและขอบข่ายของ บรกิ ารสนเทศ รวมท้ังหลกั การของการบรกิ ารสนเทศ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 205 บริการสนเทศ หมายถึง บริการสนเทศเป็นบริการที่จัดหารวบรวมข่าวสารทั้งทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม โดยอาศัยเครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลเหลำนั้นมาวิเคราะห์แจกแจง เพื่อให้เป็น ข้อสนเทศและพร๎อมที่จะนำเสนอให้แก่นักเรียนด้วยเทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสมเพื่อให้นักเรียน สามารถท่จี ะนำมาประกอบการตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ขอบข่ายของบริการสนเทศ ขอบข่ายของบริการสนเทศมุ่งที่จะเก็บรวบรวมการประมาณคุณค่า การจัดลำดับข้อสนเทศและการให้ ข้อมูลทางสนเทศที่เกี่ยวข้อง และสัมพันธ์กับนักเรียนแแต่ละคนความจริงแล้ว บริการสนเทศก็ได้เคยปฏิบัติกันมา นานแล้วในโรงเรียนของไทย เชน่ การแนะนำสถานทแ่ี ละบคุ ลากรโนโรงเรยี นให้นักเรียนใหม่ทราบ การประกาศให้ นักเรียนทราบถึงสถานที่เรียนต่อ การอบรมจริยธรรม ศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอของครู การชุมนุมศิษย์เก่า การเชิญ วิทยากรผูม้ ีอาชีพต่าง ๆ มาบรรยาย และการพานกั เรยี นไปชมโรงเรียน หรือสถาบนั การศกึ ษาต่าง ๆ แต่การจัดการสนเทศเหล่านี้ ไม่ได้ถูกจัดเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น การจัดให้เป็นกิจลักษณะนั้นต้องมีการ เขียนโครงการใหช้ ัดเจน จัดหาบคุ ลากรทจี่ ะรว่ มกนั ทำงาน คาดประมาณงบที่ใชจ้ า่ ยและประโยชน์ในการนำเทคนิค บรกิ ารสนเทศไปใช้ให้ไดผ้ ลอย่างจริงจงั ตามปกตผิ ู้ทำหน้าทแี่ นะแนวในสถาบนั การศกึ ษา จะมุง่ จดั บริการสนเทศกัน เป็นงานหลักของบริการแนะแนว และมีเหตุผลชวนให้คิดได้ว่าบริการนี้เป็นบริการที่สำคัญที่สุดในการบริการให้ คำปรกึ ษาบริการจัดวางตัวบุคคล บรกิ ารติดตามผล มคี วามสัมพนั ธ์และเชอื่ มโยงกบั บรกิ ารสนเทศอย่างทจ่ี ะแยก ออกจากกันไม่ได้เลย เพราะการแนะแนวเป็นกรรมวิธีหรือขบวนการที่ซับซ้อนในการช่วยให้บุคคลที่จะกล่าว คือ เขาจะต้องเข้าใจตนเองก่อน การที่จะช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเองก็จำเป็นต้องมีการใช้เทคนิคในการเสนอหรือลำดับ ขอ้ สนเทศ ฉะนนั้ คงจะกล่าวได้ว่า บริการสนเทศเป็นจุดเริ่มต้นของบริการอ่นื ๆ วัตถปุ ระสงคข์ องบรกิ ารสนเทศ 1. เพื่อให้นักเรียนได้มองเห็นภาพอย่างกว้างๆ ในสภาพที่แท้จริงของโอกาสต่าง ๆ ในชีวิตที่เกี่ยวกับ การศกึ ษาการอาชพี และการปรบั ตนทง้ั ปจั จบุ ันและอนาคต 2. เพ่อื ใหน้ ักเรยี นตระหนกั ถงึ ความต้องการความถนัด และความสนใจของตนในโอกาสต่าง ๆ เหล่านน้ั 3. เพื่อให้นักเรียนรู้จักแสวงหาข้อสนเทศต่าง ๆ ด้วยตนเองและนำเอาข้อสนเทศเหลำนั้นมาใช้เป็น ประโยชน์ 4. เพอ่ื ให้นกั เรียนรู้จักเลือกทางเดนิ ของชวี ิตอย่างฉลาด จากการศึกษาพจิ ารณาต่าง ๆ แล้วมาเปรยี บเทยี บ กับความถนัด ความต้องการ และความสนใจของตน ประเภทของบรกิ ารสนเทศ แบง่ แยกออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ข้อสนเทศด้านการศึกษา (Educational Information) 2. ข้อสนเทศด้านอาชพี (Occupational Information) 3. ขอ้ สนเทศดา้ นสว่ นตวั และสังคม (Personal-Social Information)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 206 1. ข้อสนเทศด้านการศึกษา (Educational Information) คือ การให้ข้อมูลข่าวสารและรายละเอียด ต่าง ๆ เกี่ยวกับการศึกษาทั้งปัจจุบันและอนาคต เช่น แนะแนวทางวิธีการเรียนที่ถูกต้องหลักสูตร การวัดผล การ เลือกวิชาเรียน กิจกรรมต่าง ๆ ระเบียบ วินัย กฎเกณฑ์ ข้อบังคับของโรงเรียนแนวทางการศึกษาต่อ คุณสมบัติผู้ที่ จะเข้าศึกษา วิธีสมัคร หลักสูตร คำใช้จ่าย โอกาสก้าวหน้า ข้อดีข้อเสียในการศึกษาในแต่ละสาขาวิชา และ รายละเอียดอื่น ๆ ของสถาบัน ซึ่งข้อมูลเหลำนี้ต้องเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อเด็กในการใช้ ข้อมูลดังกล่าว เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจเลือกศึกษาได้อย่างเหมาะสม ข้อสนเทศด้านการศึกษา อาจ ประกอบไปด้วย 1.1 ระเบยี บและกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ของโรงเรยี น 1.2 หลกั สูตรและการวัดผล 1.3 กิจกรรมเสริมหลกั สตู รของโรงเรยี น 1.4 วธิ กี ารเรยี นท่ดี ี ตลอดจนการเตรียมตวั สอบ 1.5 ทุนการศึกษาของสถาบัน 1.6 รายละเอียดต่าง ๆ ของวิทยาลัย มหาวิทยาลยั และสถานศกึ ษาทั่วๆ ไป 1.7 สังคมและการดำเนนิ ชีวติ ของการเรียนในสถานศกึ ษาข้ันสงู ไปแตล่ ะขั้น กจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีควรจดั ในการใหข้ อ้ สนเทศดา้ นการศกึ ษา มีดังน้ี 1. บริการห้องสมุด ห้องสมุดเป็นหัวใจสำคัญของโรงเรียน มีความสำคัญต่อการเรียนมากเพราะห้องสมุด เป็นแหลง่ การต่าง ๆ ได้ทุกแขนงวิชา เช่น ภาษาไทย สังคมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ สขุ ศึกษา 2. การจัดป้ายนิเทศ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้และประโยชน์ในการนำไปประกอบวิชา เรียน ทำให้นักเรยี นเกิดความกระตือรือร้น และสนใจปา้ ยนิเทศ สามารถจัดให้สัมพันธ์กับวิชาเรยี นต่าง ๆ ได้หลาย อยา่ ง เช่น สงั คมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ ภาษาไทย 3. การจัดชุมนุมและนิทรรศการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศิลปะ และ กฬี า ฯลฯ 4. การใช้อุปกรณ์ประกอบการสอน ในการสอนแต่ละวิชาควรจัดอุปกรณ์เพื่อประกอบการสอน เพื่อ นกั เรยี นจะไดม้ ีความเขา้ ใจในบทเรยี นดยี ง่ิ ขน้ึ 5. การจัดการปาฐกถา เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการศึกษาของเด็กในด้านความรู้รอบตัวที่เรียนอยู่และ โดยทั่วไป เช่น เชญิ วิทยากรมาบรรยายในเรื่องเกยี่ วกบั สขุ ภาพของนกั เรยี น ความปลอดภยั บนทอ้ งถนน 6. การศึกษานอกสถานท่ี เพื่อให้ความรู้ด้านทัศนศึกษา นักเรียนจะได้มีประสบการณ์กว้างขวางต่อไป จะ ไดเ้ ปลย่ี นบรรยากาศของการเรยี น เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 207 2. ข้อสนเทศด้านอาชีพ (Occupational Information) คือ ข้อมูลที่ช่วยให้บุคคลสามารถใช้ในการ เลือกและเตรียมการสำหรับประกอบอาชีพ และช่วยให้เกิดความมั่นคงและก้าวหน้าในงานที่จะทำ สรุปคือ การให้ ข้อมูลที่ช่วยให้บุคคลเลือกศึกษาหรือฝึกอบรมวิชาชีพ เพื่อที่จะไปประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับตนเอง ทำให้ สามารถปรับตัวเข้ากับงานที่จะทำและมีความมั่นคงก้าวหน้าในการทำงาน ข้อสนเทศทางอาชีพ สรุปได้เป็นข้อๆ ดงั น้ี 2.1 ชนิดของอาชีพ คือ รายละเอียดของอาชีพว่ามีลักษณะการทำงานอย่างไร ความมั่นคงปลอดภัย อนั ตรายมากนอ้ ยแค่ไหน 2.2 สิ่งตอบแทนต่าง ๆ คือ เงินเดือนและสวัสดิการอื่น ๆ เช่น คำตอบแทนล่วงเวลาคำรักษาพยาบาล บริการรบั สง่ ทพ่ี กั อาศยั และอนื่ ๆ 2.3 ความก้าวหน้าในการประกอบอาชพี คอื การเล่ือนขัน้ เลอ่ื นตำแหน่ง โอกาสในการไดร้ บั การศกึ ษาหรอื ฝึกอบรมเพ่มิ เติม 2.4 คุณสมบตั ิ เพศ วยั รูปรำงลกั ษณะ ระดบั การศกึ ษา ประสบการณ์และความสามารถพเิ ศษ 2.5 วิธีการสมัคร เช่น การสอบคัดเลือก สัมภาษณ์ ทดสอบ เกณฑ์การตัดสิน ช่วงระยะเวลารับสมัครและ สอบ 2.6 ความต้องการของตลาด โอกาสของการเขา้ ทำงาน ความต้องการของอาชีพในปัจจุบันและแนวโน้มใน อนาคต กจิ กรรมทค่ี วรจะจดั ใหแ้ ก่เดก็ มีดังน้ี 1. การใหค้ วามรู้ด้านแนะแนว โดยสอนใหส้ มั พนั ธ์กับวิชาอ่นื ๆ โดย 1.1 ชี้ให้เห็นคุณค่าของวิชาสามัญที่เรียนอยู่ ว่ามีประโยชน์สำหรับการประกอบอาชีพหรือ การศึกษาต่ออย่างไร นอกจากนีเ้ วลาสอนจริง ๆ อาจเปลี่ยนแปลงปัญหาหรอื แบบฝกึ หัดให้เกี่ยวขอ้ งกับอาชีพ เป็น การเนน้ ได้อีกดว้ ย 1.2 แทรกความร้ทู างด้านอาชพี ในการสอนวิชาตา่ ง ๆ 2. จดั ใหม้ ีการปาฐกถาเกี่ยวกับงานอาชีพท่ีสนใจ 3. จดั ใหม้ ชี มุ นมุ อาชีพ เช่น ชุมนมุ หัตถศึกษา ชุมนุมยุวกสิกร ชมุ นุมแมบ่ า้ นการเรอื น ชุมนุมดนตรี 4. จดั ใหม้ วี นั ประชมุ ใหญ่ “วันอาชพี ” แล้วเชิญผเู้ ช่ยี วชาญอาชีพสาขาต่าง ๆ มากลา่ วปาฐกถาในที่ประชมุ 5. จัดให้มีทัศนศึกษา กล่าวคือ การฉายภาพยนตร์ เรื่องการประกอบอาชีพ จัดทำป้ายนิเทศ ฝึกให้อ่าน ปา้ ยนเิ ทศ จัดใหม้ ีนิทรรศการใหค้ วามรู้เร่ืองอาชพี 6. จัดให้มีการทัศนาศึกษาที่โรงงานอุตสาหกรรม บริษัท ห้างร้านค้า เพื่อให้เข้าใจการทำผลิตผล หรืองาน ทางด้านธุรกิจ ให้นักเรียนเห็นสภาพการทำงานที่แท้จริงของพนักงาน หรือลักษณะการทำงาน และหน้าที่ที่ รบั ผิดชอบตา่ ง ๆ กนั

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 208 3. ข้อสนเทศด้านส่วนตัวและสังคม (Personal-Social Information) หมายถึง ข้อมูลที่มุ่งช่วยให้ บุคคลมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ มีความเจริญทั้งทางกายและจิตใจ มีความมั่นคง สามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สงั คมไดอ้ ยา่ งเป็นสุข รู้จักบำเพ็ญตนใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อตนเองและสงั คม และรจู้ ักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ข้อสนเทศในด้านส่วนตัวและสงั คม อาจกล่าวไดเ้ ปน็ ลกั ษณะยอ่ ย ๆ ดงั นี้ 3.1 ความรูเ้ ก่ยี วกับความสมั พนั ธ์ระหว่างชาย-หญิง 3.2 ลกั ษณะของบุคคล เช่น ขอ้ มูลเกยี่ วกบั การปรบั ปรุงรปู รำงหน้าตา ทำทาง กิรยิ ามารยาท และการแต่ง กายทีเ่ หมาะสม 3.3 มารยาทและการวางตวั ในสงั คม 3.4 กจิ กรรมท่คี วรทำในเวลาว่าง 3.5 การวางแผนการใชเ้ งิน 3.6 การสรา้ งความสัมพันธท์ ี่ดีในครอบครัว 3.7 การรกั ษาสขุ ภาพอนามัยในการดำรงชีวิต กิจกรรมทค่ี วรจะจัดใหเ้ ด็ก ได้แก่ 1. การปฐมนเิ ทศ จัดขนึ้ ในวันเปดิ เรียนใหม่ เพ่อื เดก็ จะได้ปรบั ตัวให้เข้ากับสภาพโรงเรียนและกฎข้อบังคับ ตา่ ง ๆ และเพื่อจะไดแ้ นะแนวทางในการเรยี นดว้ ย 2. บรกิ ารเก่ียวกบั สุขภาพของเด็ก เชน่ ตดิ ตอ่ ขอความชว่ ยเหลือจากอนามยั โรงเรียน 3. จัดบริการหาทุนการศกึ ษา เชน่ ทุนวันเด็ก มูลนิธชิ ่วยเหลอื นกั เรียนขาดแคลน 4. จัดวันอบรมศลี ธรรมในวันสดุ สปั ดาห์ 5. จดั ทัศนศึกษานอกสถานท่ี หลักของบริการสนเทศ บรกิ ารสนเทศนยี้ ึดถือกนั เปน็ หลักการทวั่ ๆ ไป มีดงั นี้ 1. เป็นกระบวนการต่อเนื่อง โดยการให้การสนเทศแก่เด็กตั้งแต่ระดับประถม ซึ่งเป็นการสนเทศให้เด็กรู้ ทั่ว ๆ ไปอย่างกว้างๆ ก่อนไปจนถึงระดับมัธยมและระดับอุดมศึกษาในที่สุด สำหรับระดับสูงขึ้นๆ ข้อมูลก็จะเพ่ิม ลักษณะความเฉพาะเจาะจง และมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น ฉะนั้นระดับเด็กจึงเป็นการปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการศึกษา ต่องานแตล่ ะแขนงและต่อสงั คมรอบ ๆ ตัวเดก็ พอถงึ พัฒนาการวยั สูงข้นึ เดก็ จะไดเ้ ลือกโอกาสท่เี หมาะสมกบั ตนได้ อยา่ งถูกต้อง 2. บริการสนเทศเป็นบริการที่สำคัญยิ่งในการแนะแนวเด็ก ทั้งระดับประถมและมัธยม เป็นผู้ที่กำลังมี ปญั หาทางการเรียน อาชีพ และสังคมรออยูเ่ ปน็ ข้นั ๆ เมือ่ พน้ ปญั หาระดับหน่งึ แล้วกจ็ ะต้องเผชิญปัญหาระดบั ต่อไป อีก โดยให้เด็กเข้าใจถึงปัญหาของตนแต่ละขั้น รู้ถึงโอกาสที่ตนมีอยู่ และช่วยให้เด็กรู้จักจัดการกับอนาคตของตน อยา่ งมคี วามหมาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 209 3. บริการสนเทศไม่ใช่เป็นบริการที่ผู้แนะแนวรับผิดชอบแต่ฝ้ายเดียว เด็กผู้รับบริการมีหน้าที่ต้อง รบั ผิดชอบในการศึกษาข้อสนเทศด้วยตนเอง เพอื่ ท่ีจะไดต้ ดั สินใจเลือกโอกาสของตนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 4. ต้องให้เด็กผู้มารับบริการสนเทศ สำรวจตนเองเสียก่อนในด้านบุคลิกภาพ ความสนใจ แรงจูงใจ สติปัญญา ความสามารถ แล้วนำลักษณะต่าง ๆ ของเด็กมาสัมพันธ์กับข้อสนเทศที่เด็กได้รับข้อสนเทศต่าง ๆ จะมี ความหมายต่อเด็กก็ต่อเมื่อ มีส่วนสัมพันธ์กับตัวเด็กได้เทำนั้น ข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษาวิชาชีพขั้นสูงที่ต้องการผู้ ประกอบอาชีพที่มีสติปัญญาไหวพริบดี ถึงแม้จะละเอียดถูกต้องสักเพียงใดก็ย่อมไม่มีความหมายต่อเด็กที่มีระดับ สตปิ ญั ญาอย่ใู นขั้นตำ่ 5. การให้บริการสนเทศ ผู้ให้ต้องกระทำด้วยความพร๎อมและจริงใจ ด้วยความเอาใจใส่ สนใจในปฏิกิริยา ทางอารมณแ์ ละทศั นคติของเดก็ ที่มีตอ่ ข้อสนเทศนน้ั ๆ ดว้ ย ไมใ่ ช่เพยี งแต่เปน็ การแจกข้อสนเทศอย่างเดยี ว และสิ่ง ที่สำคัญผู้ให้บริการจะต้องมีเวลาที่ให้โอกาสเด็กเข้าพบเพื่อสอบถามข้อสงสัย หรือสอบหารายละเอียดที่เด็ก ต้องการมากขน้ึ 6. ผู้ที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบในบริการสนเทศในโรงเรียน ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการสนเทศ เป็นอย่างดี การบริการจึงจะไดผ้ ล เมื่อใดท่ีฝา่ ยแนะแนวตอ้ งการความร่วมจากฝ่ายอื่นในการช่วยเร่ืองการสนเทศน้ี ทางฝา่ ยแนะแนวกค็ วรจะจัดให้มกี ารฝกึ อบรมแก่บุคคลเหลา่ นนั้ เสยี ก่อน 7. ต้องมีการประเมินผลบริการสนเทศที่ได้จัดหรือให้แก่เด็กไปแล้ว ว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด วิธี การให้ ขอ้ สนเทศ เชน่ เดยี วกนั กต็ อ้ งประเมนิ ผลดวู า่ มีประสทิ ธภิ าพในการทำใหเ้ ด็กได้รบั ขอ้ สนเทศหรือไม่เพยี งใด 8. ผ้ใู หข้ อ้ สนเทศตอ้ งมีความกระตือรือร้นและใฝ่รู้ สนใจเหตุการณ์การเคล่ือนไหวของสถานการณ์ของโลก ต้องหาข้อสนเทศทเ่ี ป็นปัจจบุ นั อยู่เสมอ ประโยชน์ของบรกิ ารสนเทศ จากที่กล่าวมาแล้วว่า การจัดหลักสูตรเฉพาะความรู้ทางวิชาการอย่างเดียวจะไม่ช่วยให้เด็กสามารถ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนของสังคมได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นถ้าเด็กได้รับบริการสนเทศอย่างมี ประสิทธิภาพแล้ว เด็กจะสามารถดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ของเขาได้ดีขึ้น ประโยชน์ของบริการสนเทศ นอกจาก กับเดก็ แลว้ ยังกอ่ ให้เกดิ ประโยชนก์ ับครแู ละผู้ปกครองอกี ดว้ ยดงั น้ี คือ 1. ประโยชนข์ องบรกิ ารสนเทศต่อนกั เรียน 1.1 ชว่ ยให้นกั เรยี นเขา้ ใจสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั ดีขนึ้ ซ่งึ การเขา้ ใจส่ิงแวดล้อมนีจ้ ะนำไปสู่การกำหนด แนวทางในการดำเนินชีวติ ของนกั เรียนได้อย่างเหมาะสมกบั อตั ภาพ และมีความสุขความสำเร็จ 1.2 ช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยปกติมักจะเข้าใจตนเองได้ไม่ถูกต้องทุก อย่าง การได้รับข้อสนเทศที่มีคุณค่า เช่น การที่นักเรียนได้รับการทดสอบเพื่อค้นหาความสามารถความถนัด ทางการเรียน ความถนัดทางด้านอาชพี ความสนใจในการอาชพี และอน่ื ๆ จะทำใหน้ ักเรียนเข้าใจและรู้จักตนเองได้ ดีขน้ึ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 210 1.3 ช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจ ที่จะกระทำกิจกรรมต่าง ๆ หลังจากเข้าใจสิ่งแวดล้อมและ ตนเองเป็นอย่างดี นักเรียนจะมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ในการที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งโอกาส ทีจ่ ะรบั ผลสำเร็จยอ่ มมีมากกวา่ การไมไ่ ด้รบั ข้อสนเทศใด 2. ประโยชนข์ องบรกิ ารสนเทศต่อครู 2.1 ชว่ ยใหค้ รูเขา้ ใจนกั เรยี นในด้านต่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง ซ่งึ จะนำไปสูก่ ารกำหนดแนวทางในการสอน ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 2.2 ช่วยใหค้ รูสามารถช่วยเหลือนักเรยี นได้ดีข้นึ เพราะครไู ด้รับข้อสนเทศท่ที ำให้เขา้ ใจนกั เรยี น 3. ประโยชน์ของบริการสนเทศตอ่ ผู้ปกครอง 3.1 ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะการที่ผู้ปกครองได้รับข้อสนเทศด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับตัวเด็กจะช่วยใหเ้ กิดความคดิ อย่างกวา้ งขวาง สว่ นมากผ้ปู กครองมักรูจ้ กั เดก็ ของตนเองในสภาพแวดล้อมภายใน บ้าน แท้จริงแล้วสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กนั้นมิได้จำกัดวงแคบอยู่แต่ภายในบ้านเทำนั้น สิ่งแวดล้อมนอกบ้านย่อมมี ผลต่อการแสดงออกของเดก็ แตกตำงกันไปด้วย ดังนัน้ การได้รับขอ้ สนเทศด้านตา่ ง ๆ จะชว่ ยให้ผู้ปกครองเข้าใจเด็ก ของตนไดอ้ ย่างถูกต้องขน้ึ 3.2 ช่วยให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการวางแผนชีวิตให้กับเด็กอย่างมีประสิทธิภาพข้อสนเทศ ทางด้านการศึกษา อาชีพ และด้านส่วนตัวและสังคม ย่อมช่วยให้การวางแผนดีขึ้น อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ ความสำเร็จในชีวิตของนักเรียนเปน็ สำคัญ ตัวอย่างกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในการจัดบรกิ ารสนเทศ ภาพที่ 4 ตัวอย่างกิจกรรมการปฐมนิเทศ ทีม่ า : https://blogs.ibo.org/blog/2018/02/16/dressing-up-for-success/ 1. การปฐมนิเทศ (Orientation) สถาบันทางการศึกษา รัฐวิสาหกิจ บริษัท หน่วยงานของรัฐ ในหลาย แห่งจัดให้มีการปฐมนิเทศให้กับผู้เข้ามาเรียนหรือทำงานใหม่ ให้ได้รับทราบกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย การเรียน การ ปฏิบัติงาน เพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน อันจะทำให้การอยู่ร่วมกันในสถานที่นั้น ๆ ได้อย่างสงบ การปฐมนิเทศนั้น ใน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 211 สถาบันทางการศึกษา ถือว่าเป็นนโยบายอันสำคัญยิ่งที่จะต้องจัดปฐมนิเทศให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่เข้ามาเรียน ใหม่ได้รับทราบนโยบายตรงกัน ซึ่งทุกสถาบันถือว่าเมื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ จะต้องจัดปฐมนิเทศให้กับนักเรียน นักศึกษาทีเ่ ขา้ มาเรียนใหม่เสมอจดุ ม่งุ หมายของการปฐมนเิ ทศ 1. เพื่อให้นักเรียนที่เข้ามาใหม่ได้รับทราบเกี่ยวกับนโยบายของสถาบันในด้านหลักสูตรการเรียนการสอน การเลือกวิชาเรียน การวดั ผล ระเบยี บกฎเกณฑ์ ขอ้ บงั คับของสถานท่แี ห่งน้นั ๆ 2. แนะนำให้นักเรียนได้รู้จักสถานที่เรียน ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ ตลอดจนบริการในด้านต่าง ๆ เช่น บรกิ ารแนะแนว ห้องสมดุ ห้องพยาบาล หอ้ งคนตรีนาฏศิลป์ ห้องศลิ ป์ โรงงาน ฯลฯ 3. ให้นักเรยี นได้ทราบกจิ กรรมและชุมนุมต่าง ๆ ที่แตล่ ะสถาบันจัดขึ้นเพ่ือจะได้เข้ารว่ มกจิ กรรมและเลอื ก เข้าชุมนมุ ต่าง ๆ ตามที่สนใจ 4. แนะนำผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ตลอดจนอาจารย์ประจำภาควิชา อาจารย์พยาบาล บรรณารักษ์ อาจารย์แนะแนว 5. สร้างความร้จู กั คนุ้ เคย ระหว่างเพื่อนนักเรียนใหม่ดว้ ยกนั โดยจัดกิจกรรมให้นกั ศึกษาใหม่มีส่วนร่วมใน กิจกรรม เชน่ กจิ กรรมการเรยี น การแสดงในด้านต่าง ๆ 6. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียนนักศึกษา โดยให้แต่ละคนกรอกข้อมูลในแบบสอบถามด้วยตนเอง เพอ่ื รวบรวมไว้เป็นระเบียนสะสม กิจกรรมในการจัดการปฐมนิเทศ กิจกรรมในการปฐมนิเทศใช้วิธีการบรรยาย เพื่อแนะนำผู้บริหาร อาจารย์ หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน ตลอดจนพาไปรู้จักสถานที่ แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มกิจกรรมในวันปฐมนิเทศ ขึ้นหลายกิจกรรม เช่น ใช้วิธีการทางกลุ่มสัมพนั ธ์ แบํงกลุ่มนักศึกษาซึง่ ทำให้นักศึกษาได้รบั ความรู้ความสนุกสนาน เป็นที่น่าสนใจ โดยกิจกรรมที่จัด เช่น การบรรยาย จากคณะอาจารย์ให้ความรู้ในด้านหลักสูตร การเลือกวิชาเรียน แนวการเรียนการสอน การวัดผล ตลอดจนแนะนำอาคารสถานที่ การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ แบ่งนักศึกษา เปน็ กล่มุ ๆ ผลดั เปลย่ี นไปตามห้องต่าง ๆ การแสดงบทบาทสมมติ การพาชมสถานท่ี แจกเอกสาร การตอบปัญหา 2. กิจกรรมโฮมรูม (Home Room Activities) กิจกรรมโฮมรูม เป็นการจัดกิจกรรมในห้องเรียนเพ่ือให้ นักเรียนเกิดความอบอุ่นใจเหมือนกับอยู่ที่บ้าน ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความสบายใจพึงพอใจ มีความพร้อมที่จะ เรียนต่อไป กิจกรรมนี้มีประโยชน์มากสำหรับนกั เรียนทีเ่ ข้ามาเรียนใหม่ ซึ่งต้องปรับตัวเขา้ กบั สิ่งแวดล้อมใหม่ ครูที่ ทำหน้าที่เป็นครูที่ปรึกษาหรือครูประจำชั้น เป็นผู้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามนโยบายของผู้บริหาร สามารถที่จะ ปรับปรุงกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับชั้น และความต้องการของนักเรียนเป็นการสร้างบรรยากาศให้นักเรียนมี ความคนุ้ เคยซง่ึ กนั และกนั จะทำใหน้ ักเรยี นปรับตวั อยู่ในโรงเรยี นไดอ้ ย่างเหมาะสม ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นกจิ กรรมโฮมรู มแต่ละสถาบันจะเลือกเวลาที่เหมาะสม บางแห่งอาจจะเลือกเวลาก่อนเข้าเรียนประมาณ 10 – 15 นาที หรือหลัง เลิกเรียนแล้ว แต่ละสถาบันควรกำหนดเวลาให้ตรงกันและปฏิบัติโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะในระดับเด็กเล็กควรจัด ทกุ วันวนั ละ 10 – 15 นาที เพราะเดก็ ในวัยน้มี ีความตอ้ งการคำแนะนำในการตดั สินใจเร่ืองตา่ ง ๆ

212 จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมโฮมรูมเพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างครูกับนักเรียน เพื่อนนักเรียนด้วยกนั นักเรียนกับอาคารสถานที่ใหม่ เพื่อให้นักเรียนปรับตัวเข้ากับบรรยากาศใหม่อย่างสบายใจ แนะนำเรื่อง ระเบียบ วินัย กริยามารยาท ตักเตือนเรื่องความประพฤติ ความรับผิดชอบ เพื่อเสริมสร้างวินัยในตนเอง รวมถึงการเรียน การเตรยี มตวั สอบ เพือ่ ใหน้ กั เรยี นมโี อกาสได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลย่ี นซ่งึ กันและกัน 3. กิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co-Curriculum Activity) เป็นการจัดกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากหลักสูตรที่ กำหนดไว้ให้นักเรียน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการ เพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เรียนยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการจัดกิจกรรมให้ นักเรียนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น และเลือกเข้าร่วมกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งตามความสนใจ ความถนัด ความสามารถของแต่ละบุคคล เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ไว้เป็นพ้ืนฐานของการดำรงชีวิตในโอกาสต่อไป นักเรียนได้ปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ นอกเหนือจากเพื่อนที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกันทำให้มีเพื่อนเพิ่มขึ้น เกิดการร่วมมือ ร่วมใจในการทำกิจกรรม ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ในบรรยากาศที่ไม่ใช่การเรียนการสอน นักเรียนมีโอกาสพูดคุยปรึกษาหารือปัญหาต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดการ ช่วยเหลอื ปรบั ทกุ ข์ แก้ปญั หารว่ มกัน ทำให้มีความเข้าใจอันดตี อ่ กนั ฝึกความรับผิดชอบและการใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์ 4. การจัดงานวันอาชีพ (Career Day) การจัดงานวันอาชีพเป็นการจัดข้อสนเทศในแต่ละอาชีพ ให้ นักเรียนได้ทราบในหลายๆอาชีพ เพื่อเป็นการสำรวจความสนใจในแต่ละอาชีพ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เลือกประกอบอาชีพในอนาคต การจัดงานวันอาชีพนี้บางโรงเรียนอาจจะจัดเป็นสัปดาห์ (Career Week) งาน สัปดาห์อาชีพนี้กองแนะแนวการศึกษาและอาชีพ กรมวิชากร กระทรวงศึกษาธิการได้จัดงานขึ้นทุกปี เพื่อให้ นักเรียนนิสิต นักศึกษา ได้สำรวจอาชีพต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกประกอบอาชีพในอนาคต เพื่อให้ นกั เรยี นไดร้ บั ข้อมลู เกีย่ วกบั อาชพี ต่าง ๆ ซึง่ เปน็ การสำรองอาชพี สำหรบั เป็นแนวทางในการเลือกประกอบอาชีพได้ อย่างเหมาะสม กระตุ้นให้นักเรียนวางแผนในการดำเนินชีวิตในการเลือกอาชีพอย่างมีจุดมุ่งหมายมีเจตคติที่ดีต่อ อาชีพที่สุจริต ไม่ดูถูกเหยียดหยามอาชีพบางอาชีพ ได้ทราบกระบวนการของการประกอบอาชีพนั้น ๆ เพื่อจะได้ ปรับตัวให้เหมาะสมกับอาชีพที่สนใจ เช่น เตรียมคุณสมบัติตามข้อกำหนดของแต่ละอาชีพ การคัดเลือกเข้า ประกอบอาชีพ ลักษณะของอาชีพ รายได้ ความก้าวหน้าในอนาคต ได้รับประสบการณ์ตรงจากการชมกิจการของ แต่ละอาชีพ หรือสัมภาษณ์ผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพในด้านนั้น ๆ โดยเฉพาะ เป็นแนวทางให้ นกั เรยี นเขา้ รับการปรกึ ษาหารอื ในการเลอื กอาชพี ย่ิงข้นึ และมีโอกาสซักถามเพ่ือความเข้าใจมากข้ึน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 213 ภาพที่ 5 ตวั อยา่ งกจิ กรรมวนั อาชีพ ท่ีมา : https://blogs.ibo.org/blog/2018/02/16/dressing-up-for-success/ 5. การจัดกิจกรรมแนะแนวในการศึกษา (Further Education Days) การจัดกิจกรรมแนะแนว การศึกษาต่อ อาจจะจัดรวมในครั้งเดียวกับการแนะแนวอาชีพก็ได้แต่แยกเอาไว้อีกกลุ่มหนึ่งสำหรับการแนะแนว ศึกษาต่อ หรือจะจัดต่อมาจากงานวันอาชีพก็ได้ขึ้นอยู่กับกำลังของบุคลากร ความพร้อมของแต่ละสถาบัน เพื่อให้ นักเรียนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาต่อในแต่ละสถาบัน โดยเลือกให้เหมาะสมกับระดับของผู้เรียน เช่น คุณสมบัติ หลักสูตร รายวิชา การวัดผล ค่าใช้จ่าย โอกาสในการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการสำรวจความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตัวเอง แล้วเตรียมตัวให้เหมาะสมกับสถาบันที่จะไปศึกษาต่อ และเป็นแนวทางให้ นักเรียนมาใช้บริการของการให้คำปรึกษาหารือในการศึกษาต่อมากยิ่งขึ้น สามารถจัดได้ทั้งแบบจุลสารเกี่ยวกับ การศึกษาต่อในแต่ละสถาบัน ป้ายนิเทศ การเชิญวิทยากรโดยเชิญนิสิต นักศึกษาในแต่ละสถาบันมาบรรยาย แนวทางในการศกึ ษา 6. การจดั ทัศนศึกษานอกสถานที่ (Field Trip) การจดั ทศั นศกึ ษานอกสถานทเ่ี ปน็ การบรกิ ารสนเทศ ให้ นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงโดยการพาไปเยี่ยมชมสถานศึกษา โรงงาน บริษัท เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลทาง การศึกษาและอาชีพเพิ่มขึ้น ดังนั้นก่อนเดินทางไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ควรจะตั้งวัตถุประสงค์และวางโครงการ ไว้ล่วงหน้าก่อน โดยการจัดทัศนศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ตรงใจด้าน การศึกษา และประกอบอาชีพ เกดิ เจตคติและแรงจูงใจในการศกึ ษาตอ่ และการประกอบอาชพี และเป็นการเปลี่ยน บรรยากาศจากการเรียนภายในห้องเรียน โดยเรียนรู้จากชีวิตจริงทำให้สนุกสนานตื่นเต้นกับบรรยากาศใหม่ โดย สถานที่ทีไ่ ปขน้ึ อยกู่ บั ระดบั ชั้น และวยั ของนกั เรียน 7. การปัจฉิมนิเทศ เป็นการจัดกิจกรรมให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจบการศึกษา กิจกรรมที่จัดขึ้นมักจะเป็น กจิ กรรมในดา้ นการศกึ ษา การประกอบอาชีพ และแนวทางในการปรบั ตวั ตอ่ สถานทจี่ ะไปศกึ ษาต่อ หรือสถานท่ีจะ ไปประกอบอาชีพหลังจากจบการศึกษาแล้ว โดยจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันในด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับการศึกษาต่อในสถาบันต่าง ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ พื้นฐานสำหรับการเลือก ดำเนินชีวติ ในโอกาสต่อไป

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 214 3. บรกิ ารการใหค้ ำปรึกษา (Counseling) การให้คำปรึกษา คือ กระบวนการช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษา โดยการสร้างสัมพันธภาพของผู้ให้คำปรึกษา และผู้รับคำปรึกษา เพื่อสร้างความรู้สึกไว้วางใจ และเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหา โดยการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษา สามารถหาทางออกจากความไม่สบายใจ หรือความทุกข์ให้สามารถปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกหรือพฤติกรรม ได้ โดยผู้ให้คำปรึกษาต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ทักษะ และได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี (สามารถศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมในบทความรู้เบ้ืองตน้ เกย่ี วกบั การใหค้ ำปรึกษา) จดุ มงุ่ หมายของการให้คำปรึกษา คือการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถเผชิญ หรือจัดการกับปัญหาของตนเองได้ สามารถอธิบาย รายละเอียดได้ ดงั นี้ (มัลลวรี ์ อดุลวฒั นศิริ, 2554 ; ดวงมณี จงรกั ษ์ , 2556 ; ธีรพฒั น์ วงศค์ ุ้มสนิ , 2560) 1. เพื่อปรับเปลี่ยนความรู้สึก ผู้รับคำปรึกษามีความต้องการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ไม่พอใจของตนเอง เช่น ความโกรธ ความเครียด ความวิตกกังวล ความเสียใจ โดยผู้รับคำปรึกษาจะทำให้บุคคลเกิดความเข้าใจใน คณุ คา่ ของตนเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้สกึ ทไ่ี ม่ดขี องตน 2. เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและผู้อื่น เป็นการเพิ่มโอกาสในการสำรวจตนเองและผู้อื่น บทบาทของ ตนเอง รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยการสำรวจ พิจารณาตามความเป็นจริง ทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิด ความเข้าใจตนเอง และผู้อื่น โดยมีสติที่แท้จริง ไม่บิดเบือนความจริง เข้าใจความสามารถ ศักยภาพที่แท้จริงของ ตนเอง 3. เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ในชีวิตประจำวันบุคคลต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเมื่อผู้รับ คำปรึกษาเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ การให้คำปรึกษาจะช่วยในการตัดสินใจ ด้วยการ ทบทวนเรื่องราว ค้นหาข้อมูล ค้นหาศักยภาพของตนเอง คุณลักษณะ ความสนใจ รวมถึงทัศนคติหรือความชอบ เพ่อื เปน็ ข้อมลู เปรียบเทียบการตดั สินใจ ดคู วามเปน็ ไปได้ของวิธีการต่าง ๆ เพ่อื ให้เกดิ การตดั สินใจทีม่ ีประสิทธภิ าพ โดยผ้รู ับคำปรึกษาตัดสินใจดว้ ยตนเอง 4. เพื่อใหเ้ กิดการนำไปปฏิบัติในชีวิตจริง เป็นการกระตุ้นใหผ้ ู้รับคำปรึกษานำสิง่ ทีไ่ ดจ้ ากกระบวนการให้ คำปรึกษาไปปฏิบัติจริง ด้วยการร่วมกันวางแผน ทดลองปฏิบัติ รวมถึงการติดตามผลของการปฏิบัติว่ามีอุปสรรค หรือมคี วามสำเร็จอยา่ งไร โดยการนำไปสกู่ ารปฏิบัติอาจหมายถงึ ทกั ษะตา่ ง ๆ เช่น การเข้าสงั คม การแก้ไขปัญหา การจดั การกบั ความเครียด พฤติกรรมตา่ ง ๆ เช่น การเผชญิ ความกลัว การวางแผนการเรียน การสรา้ งสัมพนั ธภาพ กบั ผู้อนื่

215 กระบวนการในการใหค้ ำปรกึ ษา ในกระบวนการให้คำปรึกษาเป็นกระบวนการที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ ต้องใช้ศิลปะในการสื่อสาร ใหผ้ รู้ บั คำปรึกษาได้รสู้ กึ ถึงความหว่ งใย ด้วยศลิ ปะการฟงั ทำให้เข้าถงึ โลกของผูร้ ับคำปรกึ ษา ชว่ ยใหผ้ ู้รับคำปรกึ ษา ได้ตระหนักถึงความเข้มแข็ง และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ศิลปะของการปรึกษาช่วยให้ผู้รับการปรึกษาสามารถ ตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อประเด็นที่อ่อนไหวในประเด็นต่าง ๆ กระบวนการให้คำปรึกษาจะนำความเป็ น วิทยาศาสตร์และศิลปะมาร่วมกันอย่างสมดุล เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการให้ คำปรึกษา ที่ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่การสร้างสัมพันธภาพจนถึงขั้นยุติ ติดการผลการให้คำปรึกษา (ดวงมณี จงรักษ์ , 2556) การสรา้ ง สมั พนั ธภาพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ขนั้ ยตุ กิ ารให้ สารวจตน ทา คาปรกึ ษา ความเขา้ ใจปัญหา สารวจตน ทา ความเขา้ ใจปัญหา ภาพที่ 6 แผนภาพกระบวนการการให้คำปรกึ ษา กระบวนการใหค้ ำปรกึ ษาให้คำปรึกษาแบง่ ออกเป็น 4 ขน้ั ตอน คือ 1. ขั้นเรมิ่ ต้นการปรกึ ษาและการสรา้ งสมั พันธภาพ 2. ขั้นสำรวจตน ทำความเขา้ ใจปัญหา 3. สำรวจตน ทำความเข้าใจปัญหา(Working Through) 4. ขนั้ ยตุ ิการใหค้ ำปรกึ ษา 1. ขั้นเร่ิมต้นการปรึกษาและการสร้างสัมพันธภาพ ในการเริ่มต้นกระบวนการให้คำปรึกษา มีเป้าหมาย หลักเพื่อสร้างบรรยากาศที่ไว้วางใจ รู้สึกปลอดภัยสำหรับผู้รับคำปรึกษา และทำให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าว่าใจผู้ให้ คำปรึกษาพร้อมรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ เต็มใจช่วยเหลือ ซึ่งในการให้คำปรึกษาผู้รับคำปรึกษาจำเป็นต้องเปิดเผย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 216 เรื่องราว และข้อมูลของตนเองให้กับคนแปลกหนาฟัง ดังนั้นขั้นเริ่มต้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีของผู้ให้ คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาเป็นเรื่องสำคัญ โดยใช้ท่าทาง เทคนิคต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดข้อตกลงของการให้ คำปรึกษา เช่น การรักษาความลับ ก่อนนำสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งในขั้นเริ่มต้นให้คำปรึกษาจะประกอบด้วย กระบวนการ เร่ิมที่การสร้างสมั พันธภาพเพื่อสร้างบรรยากาศท่ีดีในการใหค้ ำปรกึ ษาเสียก่อน 2. ขั้นสำรวจตน ทำความเข้าใจปัญหา ขั้นตอนนี้เริ่มต้นเมื่อผู้รับคำปรึกษารู้สึกมั่งคงในความสัมพันธ์ ระดับหน่ึง มีความไว้วางใจในผู้ให้คำปรึกษา ผู้รับคำปรึกษาจึงเปิดเผยเรื่องราวมากขึ้น ในขั้นตอน โดยเป้าหมาย ของขั้นตอนนี้ คือ การที่ผู้ให้คำปรึกษากระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้รับคำปรึกษาได้สำรวจปัญหาและความรู้สึกต่าง ๆ เพื่อที่เพิ่มการตระหนักรู้ในตนเองให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั้น รักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์ ใช้ทักษะ และวิธีการที่ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเปิดเผยตัวเองมากขึ้น สำรวจตัวเองมากขึ้น สำรวจความรู้สึกที่ขัดขวาง ความก้าวหน้าที่จะบรรลุเป้าหมายท่ีตั้งไว้ โดยการสำรวจตนเอง ผู้รับคำปรกึ ษาจะเริม่ สำรวจตนจากระดับน้อยไปสู่ ระดับมากทสี่ ุด 3. ขั้นจัดการ/ดำเนินการกับปัญหา การจัดการกับปัญหา ต้องพยายามให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความเข้าใจ ใหม่ ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า \"Working Through\" ซึ่งผู้เขียนจะใช้คำว่า \"จัดการ\" หรือ \"ดำเนินการ\" คือ การสลายการต่อต้าน ให้เกิดความตระหนักรู้ถึงประสบการณ์นอดีตว่ามีผลอย่างไรกับอารมณ์ความรู้สึกในปัจจุบัน ผู้รับการปรึกษาพฒั นาการมีสติรู้เข้าใจความรู้สึกภายใน เข้าใจเหตุการณภ์ ายนอก แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหา การมคี วามเข้าใจถงึ ปัญหา ความรสู้ ึก และพฤติกรรม จะชกั นำให้เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมต่อไปมากขึ้น ผู้ให้ คำปรึกษาควรตั้งเป้าหมายร่วมกับผ้รู ับคำปรกึ ษาทีช่ ัดเจน เจาะจงพฤติกรรม และใช้ทกั ษะการฟงั การสะท้อน การ เผชิญหน้า การแปลความ และเรียนรู้และมีพฤติกรรมใหม่ เพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเกิด พฤติกรรมขึ้นแล้วผู้ให้คำปรึกษาต้องประเมินความสำเร็จของพฤติกรรม ซึ่งการกำหนดพฤติกรรมที่ชัดเจน จะช่วย ใหป้ ระเมนิ ได้ชดั เจนขน้ึ ช่วยทำให้ทราบวา่ เทคนคิ ท่ีใช้มปี ระสทิ ธภิ าพเพียงใด ควรปรับหรอื เปลีย่ นแปลงประการใด ดงั นน้ั หากไม่สำเรจ็ ตอ้ งมกี ารต้ังเป้าพฤตกิ รรมใหม่ และทบทวนเทคนิคท่ใี ชเ้ พ่อื ปรบั พฤติกรรมดว้ ย ผูใ้ ห้การปรึกษา ควรสนับสนุนผู้รับการปรึกษาให้ดำรงชีวิตกับความเข้าใจ โดยพยายามแสดงพฤติกรรมใหม่ให้สำเร็จจะช่วย เสริมแรงการดำเนนิ ชีวิตทป่ี รบั เปลย่ี นไปจากเดิม 4. ขั้นยุติการให้คำปรึกษา หากขั้นต่าง ๆ ในการให้การปรึกษาผ่านมาได้อย่างราบรื่นและผู้รับคำปรึกษา ทราบล่วงหน้ามาอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะยุติความสัมพันธ์ในการให้การปรึกษาแล้ว ขั้นนี้ไม่มีความยุ่งยาก จุดมุ่งหมายสำคัญของขั้นยุติการให้การปรึกษาก็คือเพื่อสรุปสาระสำคัญในกระบวน การที่ผ่านมาและเพื่อกล่าวลา โดยการยุติต้องประเมินความพร้อมของผู้รับคำปรึกษาในการยุติความสัมพันธ์ในการให้การปรึกษา และส่งเสริมให้ ผรู้ ับคำปรกึ ษาพ่งึ ตนเองได้ และเพิม่ ความมน่ั ใจในการคงไว้ซ่ึงความเปล่ียนแปลงหลังจากความสัมพันธก์ ารให้ความ ช่วยเหลือจบส้นิ ลงแล้ว

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 217 ตวั อยา่ งทักษะในการใหค้ ำปรึกษา 1. ทักษะการฟัง (Listening Skill) ทักษะการฟังมีบทบาทที่สำคัญในขั้นตอนของการให้คำปรึกษา การ ฟังเป็นกระบวนการที่ช่วยใหผ้ ู้รับคำปรึกษาเล่าเรื่องราวท่ีเกิดขึ้น รู้สึกว่าถูกเขา้ ใจโดยผู้ฟัง การฟังเป็นกระบวนการ ซบั ซอ้ นทป่ี ระกอบด้วยทักษะย่อย ได้แก่ การเอาใจใส่ตอ่ ภาษพูดและท่าทที แี่ สดงออก ชว่ ยใหผ้ ู้รบั คำปรกึ ษามีอิสระ กล้าเปิดเผยเรื่องราวมากขึ้น นำไปสู่การเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้รับคำปรึกษา และตอบสนองด้วยท่าทีที่เหมาะสม โดยการเอาใจใส่ต่อภาษาพูดและท่าทาง ต้องฟังให้ได้ครบ 3 มิติ คือ พฤติกรรม ความคิดและความรู้สึก นั่นคือฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าผู้รับคำปรึกษามีพฤติกรรมอะไร อย่างไร มีความคิดหรือทัศนคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร และมีความรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเรื่องราวทั้ง 3 มิติต้องครอบคลุมผู้รับคำปรึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดย การสังเกตภาษากายหรือภาษาท่าทาง ผู้ให้คำปรึกษาต้องสังเกตภาษากายที่สื่ออกมา ซึ่งได้แก่ การแสดงออกบน ใบหน้า อากัปกิริยา การเคลื่อนไหวของร่างกาย การวางตัว ทิศทางการสอบสายตา ระยะห่างของพฤติกรรม ลักษณะภายนอก การออกเสียงทีไ่ ม่ใชภ่ าษาพูด 2. ทกั ษะการถาม (Questioning Skill) ทกั ษะการตงั้ คำถาม เปน็ สว่ นหนง่ึ ในการชว่ ยในกระบวนการให้ คำปรึกษาหลายอย่าง เช่น ช่วยในการเริ่มต้นการสนทนา การเข้าสู่ประเด็น การขยายความ เมื่อต้องการทราบ ข้อมูลที่เจาะจง หรือต้องการความชัดเจนหรือต้องการเน้นเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง การตั้งคำถามนอกจากช่วยให้ ทราบข้อมูลต่าง ๆ แล้วยังช่วยส่งเสริมการสำรวจและเข้าใจตนเอง รวมทั้งการกำหนดเป้าหมาย สำหรับข้อที่พึง ระมัดระวังในการต้งั คำถาม ควรละการใช้คำวา่ ทำไม เนอื่ งจากจะทำให้ผู้รับคำปรกึ ษาหาเหตุผลมาสนับสนนุ ตนเอง มากกว่าส่งเสริมใหเ้ กิดการสำรวจตนเอง โดยมีแนวทางในการถามคำถามคอื ควรกำหนดวัตถปุ ระสงค์ของการถามว่าต้องการข้อมลู แบบใดจากผู้รับ คำปรึกษาแล้วการตั้งคำถาม ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือการถามเปิดและการถามปิด การถามเปิด เมื่อต้องการให้ผู้รับ คำปรกึ ษาได้พูดเล่าความร้สู ึกหรือเรอื่ งราวของเขาอย่างอิสระ มักจะลงท้ายประโยคด้วย “อะไร อยา่ งไร” และการ ถามเปิด เมื่อต้องการคำตอบสั้นและเฉพาะเจาะจงมักจะลงท้ายประโยคด้วย “ ไหม เหรอ หรือไม่ หรือยัง รึ เปลา่ ” โดยทั่วไปแล้วผู้ให้คำปรึกษาควรใช้คำถามแบบเปิด เพื่อเปิดโอกาสให้ผูร้ ับคำปรึกษาได้ตอบตามท่ีต้องการ อย่างเต็มที่ และจะช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาไม่รู้สึกว่าถูกซักถามมากเกินไป จากการถามแบบปิด เพราะได้ข้อมูลน้อย ผู้ให้คำปรึกษาต้องถามบ่อยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ และฟังคำตอบโดยรายละเอียดก่อนแล้วจึงตั้งคำถาม เพื่อ รวบรวม สำรวจขอ้ มูล แตไ่ มค่ วรถามคำถามมากเกินไป อาจส่งผลเสียตอ่ การให้คำปรึกษาและไดร้ ับการต่อตา้ นได้ 3. ทักษะการทวนความ (Paraphrasing Skill) เป็นการทวนเนื้อหาสำคัญที่ผู้รับคำปรึกษาพูด โดยการ พูดผ่านผู้ให้คำปรึกษาเพื่อให้เขาได้ยินเสียงตัวเองโดยการเรียบเรียงประโยคด้วยการใช้คำพูดใหม่ที่กระชับและ กระจ่างชัดแต่ได้สาระสำคัญ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นตนเองเข้าไป จะช่วยทำให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าใจตนเองมากข้ึน เกิดความกระจำงในความคดิ และสถานการณท์ ีต่ นเองประสบอยู่ ขณะเดียวกนั ก็ยงั เปน็ การตรวจสอบความถูกต้อง ของการรับรู้ข่าวสาร ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษารู้สึกว่าตนเองได้รับความเข้าใจ ทำให้เกิดเจตคติที่ดี ต่อผู้ให้คำปรึกษา ซง่ึ จะช่วยส่งเสริมใหเ้ กิดการสำรวจไดล้ ึกซ้งึ ข้นึ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 218 4. ทักษะการสะท้อนความรู้สึก (Reflection off feeling Skill) การสะท้อนความรู้สึก หมายถึงการ สะท้อนให้ทราบว่าผู้ให้คำปรึกษามีความเข้าใจต่อความรู้สึกของผู้รับคำปรึกษาอย่างไร การสะท้อนความรู้สึกยัง แสดงซึ่งความเข้าใจในตัวผู้รับคำปรึกษาอย่างลึกซึ้ง ขั้นตอนการสะท้อนความรู้สึก คือ การฟังเรื่องราวเพื่อจับใจ ความรู้สึก โดยต้องมีความไวต่อความรู้สึกของผู้รับคำปรึกษา และเลือกคำที่มีความเหมาะสมกับความรู้สึกที่สุดสื่อ ออกมาให้ผู้รับคำปรึกษาทราบและค้นหาความหมายของความรู้สึก และสาเหตุ ในการสะท้อนความรู้สึกควรต้อง ระบุสาเหตุทท่ี ำให้เกิดความรสู้ ึกจะช่วยให้ผู้รับคำปรกึ ษาเขา้ ใจความตวั เองมากขึ้น 5. ทักษะการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Informing Skill) การให้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นการพูดเพื่อให้ผู้รับ คำปรึกษาได้ทราบข้อมูลท่ีชดั เจนเกี่ยวกบั การประพฤติปฏิบัตขิ องตนเอง เพือ่ ให้ได้ร้วู า่ ผ้อู ่นื มองเขาอยา่ งไร การให้ ข้อมูลย้อนกลับอย่างมีประสิทธิภาพ คือ การที่ผู้รับคำปรึกษาสามารถมองเห็นหรือรับรู้ตนเองได้เหมือนกับที่ผู้ อ่ืน มอง ใช้เทคนิคนี้เมื่อต้องการให้ผู้รับคำปรึกษาสำรวจและรับรู้พฤติกรรมของเขาที่แสดงออกมาในสายตาของผู้ให้ คำปรกึ ษา 6. ทกั ษะการเจาะจง (Focusing Skill) ทักษะการเจาะจงเป็นทกั ษะหน่งึ ทีผ่ ใู้ ห้คำปรกึ ษาใช้เพื่อชว่ ยให้ผู้ ขอรับคำปรกึ ษาพูดเกี่ยวกับตนเองใหม้ ากที่สุด และประกอบกบั การเลือกให้ความใสํใจต่อคำพูดหนึ่ง โดยเฉพาะจะ ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษารู้และตัดสินใจว่า จะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรต่อไป จุดประสงค์ของการให้คำปรึกษาก็คือเพ่ือ ชว่ ยเหลอื ผู้ขอคำปรกึ ษาไม่ใชเ่ พ่ือผอู้ ืน่ แต่เพอ่ื บุคคลทอ่ี ยู่ตรงหน้าผู้ให้คำปรึกษา ดังนนั้ จะต้องใชท้ ักษะการเจาะจง เพื่อให้การให้คำปรึกษาเป็นประโยชน์ต่อผู้รับคำปรึกษามากที่สุด เลือกให้ความใสํใจในคำใดคำหนึ่งที่ผู้ขอ คำปรึกษาเล่า โดยพิจารณาความเป็นไปได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผู้ขอคำปรึกษา เช่น การเจาะจงที่ผู้ขอ คำปรกึ ษา การเจาะจงที่ผู้อนื่ การเจาะจงทีป่ ัญหา และโครงเรอื่ งสำคัญ 7. ทักษะการให้กำลังใจ (Encouraging Skill) การให้กำลังใจเป็นการแสดงความสนใจ ความเข้าใจใน สงิ่ ท่ผี ้รู ับคำปรกึ ษาพดู มาแลว้ เป็นการกระตุ้นใหผ้ รู้ บั คำปรึกษารู้สึกว่ามผี ู้ใหก้ ำลังใจ ชว่ ยใหเ้ ขามีความคิดริเริ่มท่ีจะ ตอ่ สู้ รวมถงึ มคี วามม่ันใจตนเองมากขึน้ การใหก้ ำลงั ใจจะช่วยกระตุน้ ให้ผูร้ ับคำปรกึ ษาเล่าเรื่องต่อ เล่ารายละเอียด เพมิ่ เติม โดยการใหก้ ำลงั ใจสามารถทำได้ด้วยการสนบั สนุนคำพดู ของผ้รู บั คำปรกึ ษา สร้างความรู้สึกมีแรงใจในการ แก้ไขปัญหาตอ่ 8. ทักษะการสรุป (Summarizations) การสรุปความ เป็นการรวบรวมใจความสำคัญทั้งหมดของ ความคดิ อารมณ์ ความรสู้ กึ ของผู้รบั คำปรึกษาทเี่ กิดขึน้ ในระหวา่ งใหค้ ำปรกึ ษาหรอื ในแต่ละครั้ง โดยใชค้ ำพูดสั้น ๆ ให้ได้ใจความสำคัญทั้งหมด เพื่อย้ำประเด็นสำคัญให้มีความชัดเจน และผู้รับคำปรึกษาเข้าใจเรื่องราวและ ความรู้สึกของตัวเอง และสนทนากันได้อย่างถูกต้องตรงกันและได้ใจความที่ชัดเจน โดยการสรุปอาจมีการสรปุ เมือ่ สน้ิ สุดการปรึกษาในแต่ละคร้ัง ตอ้ งการเปลย่ี นประเด็นไปสู่เร่ืองอ่ืน ผรู้ บั คำปรกึ ษาร้สู ึกท่วมท้นกับสิ่งที่เกิดข้ึน และ รวบรวมเรื่องราวที่ดำเนินการมาแล้ว ซึ่งสามารถสรุปได้ทั้งผู้ให้คำปรึกษา และมอบหมายให้ผู้รับคำปรึกษาสรุปได้ เช่นกัน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 219 4. บริการจดั วางตัวบุคคล (Placement Service) บริการจัดวางตัวบุคคล คือบริการที่จัดให้บุคคลได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมกับระดับสติปัญญา ความสนใจ อุปนิสัย ความถนัด ความสามารถพิเศษ สุขภาพ ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพโดยทั่วไปของตน และความต้องการ ของสังคมในด้านการศึกษาและอาชีพ การจัดวางตัวบุคคลนี้แตกตำงจากการให้คำปรึกษา ถึงแม้บริการทั้งสอง อย่างจะมีความสัมพันธ์กันอย่างมากก็ตาม การให้คำปรึกษานั้นเป็นการช่วยเหลือแก่นักเรียนในการวางแผนการ และการตัดสินใจอยา่ งฉลาด ส่วนการจดั วางตวั บุคคลเปน็ การบรกิ ารทช่ี ่วยใหน้ กั เรียนดำเนินการตามแผนการ และ ปฏิบัติการในสิ่งที่ตนได้เลือกไว้อย่างฉลาดนั้นแล้ว บริการนี้ต้องจัดไว้อย่างมีระบบให้นักเรียนได้เลือกดำเนินการ ตามที่เลือกไว้อย่างเหมาะสมทั้งในการเลือกวิชาเรยี น เลือกสายการเรียนและอาชีพ โดยทางโรงเรียนจัดบริการต่าง ๆ ให้ เช่น การจัดนักเรียนเข้ากลุม่ เขา้ ช้ันตามความเหมาะสมแก่อตั ภาพ การจดั ใหม้ ีบรกิ ารสอนซอ่ มเสรมิ แกเ่ ด็กท่มี ี ปัญหาในการเรียน การจัดการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำหรือฉลาดมาก การช่วยให้นักเรียน สามารถวางแผนการศึกษาต่อ การวางแผนประกอบอาชีพ ฝึกงาน หางาน ทำงานนอกเวลาหารายไดพ้ ิเศษ บริการต่าง ๆ ที่โรงเรียนจัดนี้ เพื่อช่วยให้เด็กได้เตรียมตัวหรือดำเนินการให้ตรงตามจุดหมายปลายทาง ตามแผนประสบความสขุ และความสำเร็จอยา่ งดที ีส่ ดุ 1. เพอ่ื ช่วยให้นกั เรียนไดเ้ ลอื กเรยี นอยา่ งเหมาะสม เช่น เลอื กวิชาเรยี น เลอื กสายการเรียนเลอื กหลักสูตร 2. เพื่อช่วยให้นักเรียนได้พิจารณาเรื่องการวางแผน ทางอาชีพอย่างเหมาะสม โดยมีผู้แนะแนวคอยให้ ความชว่ ยเหลอื ไมว่ า่ ศึกษาต่อหรือประกอบอาชพี 3. เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ทางด้านอาชีพ โดยจัดหางานพิเศษนอกเวลาเรียนทั้งยังเป็นการ สนองความตอ้ งการของสังคม หรอื ชุมชนอกี ดว้ ย 4. เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีงานทำตามความถนัด ความสามารถ ซึ่งรวมทั้งนักเรียนท่ีต้องออกจากโรงเรียน กลางคัน หรอื จบข้นั สงู สดุ ของโรงเรยี นก็ได้ 5. เพ่ือช่วยให้นักเรยี นไดใ้ ช้โอกาสในโรงเรียน ให้เป็นประโยชนใ์ นการพฒั นาทักษะความสามารถในดา้ น ตา่ ง ๆ เชน่ เข้าร่วมกจิ กรรม หรือเป็นสมาชกิ ชุมชนตา่ ง ๆ ตามความสนใจและเหมาะสม ประเภทของบริการจัดวางตวั บคุ คล 1. การวางตัวบุคคลทางการศกึ ษา การวางตัวบุคคลทางการศึกษา หมายถึง การจัดบริการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนในด้านท่ี เกี่ยวกับการศึกษาให้นักเรียนได้เรียนวิชาที่เหมาะสมตามความรู้ ความสามารถทางสติปัญญา และความสนใจของ นักเรียนเพื่อที่จะได้ก้าวหนา้ และสัมฤทธิ์ผลในการเรียน โดยมีหลักเกณฑ์ทั่วไปวา่ จะต้องให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจ ตนเองในเร่ืองต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ เพ่อื จะได้ชว่ ยให้เขาตดั สินใจด้วยตนเองอยา่ งถกู ตอ้ งการจัดวางตวั บุคคลทางการ ศกึ ษา อาจทำได้ในเร่อื งดังต่อไปนี้ การจัดวางตัวบุคคลภายในโรงเรียน ได้แก่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 220 1.1 การจัดวางตัวนักเรียนในโครงการเรียน โดยช่วยให้นักเรียนเลือกหลักสูตรเรียนได้เหมาะสมกับ ความสามารถ และความถนัดของตน บริการน้มี ีความสำคญั มากทส่ี ุด โดยเฉพาะหลกั สตู รมธั ยมศึกษาตอ้ นตน้ และ ระดับศึกษาตอนปลาย เพราะนักเรียนต้องเลือกเรียนโครงการเรียนโครงการใดโครงการหน่ึง จึงควรจะได้รับความ กระจำ ง และเข้าใจในหลักสูตรเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ สำหรับในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับอดุ มศกึ ษา หรอื มหาวทิ ยาลัย 1.2 การจัดวางตัวนักเรียนในกิจกรรมเสริมหลักสูตร ซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียน เช่น การเข้าชุมนุมทางวิชาการ และสันทนาการ การแข่งขันกีฬา การแบ่งสี กิจกรรมเหลำนี้จะช่วยให้นักเรียนมีโอกาสเรยี นรู้ และพัฒนาตนเองใน ดา้ นตา่ ง ๆ ไดเ้ ชน่ เดียวกบั เรยี นวิชาทั่ว ๆ ไป ในห้อเรยี น ฉะน้ันเพอื่ ใหก้ ารตดั สินใจของนกั เรียนเหมาะสมกับตัวเอง และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องมีการจัดโครงการแนะแนวและการให้คำปรกึ ษาเพ่ือ ชว่ ยใหน้ ักเรียนตัดสินใจเลือกทำกจิ กรรมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สดุ และอยา่ งฉลาด 1.3 การจัดวางตัวบุคคลในการจัดหางานให้นักเรียนทำนอกเวลาเรียนการจัดให้นักเรียนได้ทำงานในเวลา ว่างจากการเรียน (Part-Time Jobs) หรือในระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งนับว่าเป็นการหาประสบการณ์ที่ดีให้แก่ นักเรียน ทำให้นักเรียนได้เรียนได้รู้เกี่ยวกับงานในอาชีพแขนงต่าง ๆ รู้ความตื้นลึกของอาชีพนั้น ๆ การจัดให้ นกั เรยี นไดท้ ำงานในเวลาวา่ ง 1.4 การจัดวางตัวนักเรียนในการศึกษาต่อ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ศึกษาต่อในวิชาหรือสาขาที่เหมาะสมกับ ตน ซ่ึงอาจจดั ดำเนนิ การได้ดงั น้ี 1.4.1 แจกเอกสาร ข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับรายละเอียดของสถาบันที่จะไปศึกษาต่อได้ และ ระเบียบการรบั สมคั ร ฯลฯ 1.4.2 เชิญวิทยากรจากสถาบันต่าง ๆ ที่นักเรียนจะไปศึกษาต่อมาบรรยายหรือมาอภิปรายให้ นกั เรยี นฟงั และตอบขอ้ ข้องใจ 1.4.3 พาไปชมสถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ที่นักเรียนสนใจและจะไปศึกษาต่อเพื่อให้ศึกษา สภาพแวดลอ้ มหลกั สูตรๆ ดว้ ยตนเอง 2. การจดั วางตวั บุคคลทางอาชพี (Vocational Placement) การจัดวางตัวบุคคลทางอาชีพ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนได้ออกไปประกอบอาชพี ที่เหมาะสมกับตนเอง เมื่อบุคคลสำเร็จการศึกษาแล้วหรือ เพื่อให้บุคคลที่ออกจากสถานศึกษากลางคันได้ มีโอกาสประกอบอาชีพ และมี ความรับผิดชอบต่อตัวเองในการจัดวางตัวบุคคลทางอาชีพ ควรจะช่วยให้บุคคลได้งานที่เหมาะสมคือ ถือ หลัก “Put the right man to the right job หมายถึง การบรรจุคนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อจะช่วยให้การทำงาน ประสบความสำเร็จ ก้าวหน้าในการทำงานการดำเนินงานจัดวางตัวบุคคลทางอาชีพนั้น ต้องอาศัยข้อมูลในด้าน ต่าง ๆ ประกอบการตดั สินใจ เพ่อื ใหถ้ ูกตอ้ งซึ่งข้อมลู ที่สำคญั ไดแ้ ก่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 221 2.1 ขอ้ มูลเก่ยี วกับตัวเด็ก ซึง่ จะตอ้ งรวบรวมข้อมลู ให้ละเอยี ดทุก ๆ ดา้ น เช่น ความรู้ ความสามารถ ความ ถนัดตามธรรมชาติ ความสนใจ ทศั นคติ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน สุขภาพ ตลอดจนสถานภาพทางครอบครวั 2.2 ขอ้ มลู เกย่ี วกับอาชพี ทีน่ กั เรียนสนใจ ซง่ึ จะตอ้ งมีขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ประกอบการพจิ ารณา 2.2.1 ความต้องการของการตลาด 2.2.2 โอกาสในการทำงาน 2.2.3 รายไดแ้ ละความเจริญกา้ วหน้า 2.2.4 ความม่ันคงของอาชพี และความปลอดภัย 2.2.5 ระเบยี บการรบั สมคั รงาน 2.2.6 พื้นความรูแ้ ละวฒุ ิของผู้ทจ่ี ะประกอบอาชพี 2.3 การสัมภาษณ์ และการปรึกษาหารือระหว่างครูกับนักเรียน ที่จะตัดสินใจเลือกอาชีพโดยอาศัยข้อมูล ทั้งสองประการที่กล่าวมาแล้ว มาประกอบการพจิ ารณาและให้เด็กเปน็ ผู้ตัดสนิ ใจด้วยตนเอง 2.4 การจัดปัจฉิมนิเทศให้แก่นักศึกษาเมื่อเรียนจบ การตัดสินใจเลือกและเตรียมพร๎อมในการทำงานได้ อยา่ งดีวิธีหนงึ่ 2.5 การติดตามผล ควรจัดทำเมื่อเด็กออกไปประกอบอาชีพแล้ว เพื่อตรวจสอบดูว่าการจัดบริการของเรา ได้ผลหรือไม่เพียงใด และเด็กที่ออกไปประกอบอาชีพแล้วประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพมากน้อย เพียงไร สามารถปรับปรุงตัวเข้ากับอาชีพได้มากน้อยเพียงใดนอกจากนี้ยังมีการบริการที่สำคัญอีกบริการหนึ่ง คือ การบริการหาทุนการศึกษา นักเรียนบางคนการเรียนสมองดี แต่ไม่สามารถศึกษาต่อได้ เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ การจัดวางตัวบุคคลในด้านนี้ คือ การจัดหารายละเอียดต่าง ๆ มาพิจารณาหาทางช่วยเหลือเด็กที่ยากจนเป็นรายๆ ไป เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้คนยากจนแต่สมองดี ความประพฤติไดเ้ รียนไปถึงขัน้ มหาวิทยาลัยและในทีส่ ุดผลการสนับสนุนใน การศึกษาก็คือ ทำให้พลเมืองดีของชาติมากข้นึ 5. บริการตดิ ตามผล (Follow-up Service) การติดตามผลเป็นการบริการหนึ่งในหลายบริการที่โรงเรียนจัดขึ้น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานแนะ แนว การปรับปรงุ การเรียนการสอน และประโยชน์ในการบรกิ ารโรงเรยี นโดยทั่วไปวัตถปุ ระสงคข์ องการติดตามผล อาจจำแนกได้ 1. เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถปรับปรงุ ตนเองในดา้ นต่าง ๆ เช่น การเรียน การสังคม 2. เพื่อประเมนิ ผลวิธีการสอน การจัดกจิ กรรมของโรงเรยี นว่าดำเนินไปไดด้ เี พียงใด 3. เพื่อนำมาปรบั ปรุงบริการแนะแนวให้มปี ระสิทธิภาพย่ิงขึน้ 4. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพของนักเรียนแล้วนำมาวิจัยเพื่อประโยชน์ ของนกั เรียนรนุ่ ต่อ ๆ ไป

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 222 ประเภทของการติดตามผล 1. การติดตามผลนักเรียนที่ได้รับการแนะแนวไปแล้ว นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ดี ขน้ึ หรือแยล่ ง หรือยงั คงเหมอื นเดิม ทั้งนี้เพือ่ จะให้การให้คำปรึกษาครง้ั ต่อไปดขี ึ้น 2. การติดตามผลนักเรียนที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน โดยดูผลการเรียนแต่ละภาคเรียนว่าเป็นอย่างไร หรือ อาจจะติดตามผลเมื่อนักเรียนย้ายระดับชั้น ทั้งนี้เพื่อผลดีต่อโรงเรียนของนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่มีผลการ เรยี นไม่ดี ตลอดจนจะได้เปน็ แนวทางในการปรบั ปรุงหลักสูตรและวธิ ีสอนตอ่ ไป 3. การติดตามผลนักเรียนที่เป็นกรณีพิเศษ เช่น นักเรียนที่มีปัญหาทางจิตใจ ที่ต้องอาศัยจิตแพทย์ นกั เรยี นทเ่ี รยี นออ่ นมากจนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ เสรมิ หรอื นกั เรยี นทเ่ี รยี นมาก จนตอ้ งจดั ชน้ั ใหพ้ เิ ศษ 4. การติดตามผลนักเรียนที่ออกจากโรงเรียน ทั้งผู้ที่ไปเรียนต่อที่อื่น และผู้ที่ไม่ได้เรียนต่อเพื่อที่จะดูว่า นกั เรียนเหลำนนั้ สามารถปรับตัวให้เขา้ กับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนใหม่ หรอื สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียนได้ หรอื ไม่ 5. การติดตามผลนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ว่าได้ไปศึกษาต่อและประกอบอาชีพอะไรที่ไหน ประสบผลสำเรจ็ หรอื ไมส่ ำเรจ็ อยา่ งไรบา้ ง การติดตามผลทั้ง 5 ประเภทนี้ การติดตามผลนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว เป็นการติดตามผลที่ยาก แก่การปฏิบัติ ส่วนใหญ่มักจะติดตามผลในระยะเพยี งหนึ่งปีเทำน้ัน เพราะยิ่งนักเรยี นสำเร็จการศกึ ษาไปนานเทำไร การติดตอ่ กย็ งิ่ ลำบากขน้ึ จุดมงุ่ หมาย 1. เพื่อเป็นแนวทางให้นักเรียนรุ่นปัจจุบันได้ทราบ และเตรียมตัวที่จะเข้าสู่สภาพศึกษาหรืออาชีพที่ ต้องการ 2. เพอ่ื รวบรวมข้อมลู ในการท่จี ะนำมาประเมินผลการเรียนการสอนตลอดจนหลกั สูตรทใี่ ช้ 3. เพ่ือรวบรวมข้อมูลอันจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการแนะแนววธิ กี ารใชใ้ นการติดตามผล 1. สัมภาษณ์ 2. ส่งแบบสอบถามไปใหน้ กั เรียนท่ีเรียนจบไปแล้ว 3. เชญิ นกั เรยี นเกำมาโรงเรียนเปน็ ครัง้ คราว เพอ่ื เลา่ เรือ่ งราวหรอื อภปิ ราย 4. จัดงานสังสรรค์นกั เรยี นเก่า ขอ้ ล้มเหลว 1. นักเรียนที่สำเร็จการศึกษานั้น ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน หรือประกอบอาชีพจึงไม่อยากให้ใคร ทราบ 2. ศษิ ย์เกา่ ไมเ่ หน็ ความสำคญั ของการติดตามผล จึงไม่สง่ แบบสอบถามกลับคนื มายงั โรงเรยี น 3. ระยะเวลาทจ่ี ะกรอกแบบสอบถามนานเกินไป

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 223 4. เกิดการผิดพลาดหรือบกพรํองในระบบ การสือ่ สาร วิธีการอืน่ ๆ 4.1 สอบถามจากครู-อาจารย์ในโรงเรียนที่รู้จัก และทราบว่าศิษย์เกำไปศึกษาต่อที่ไหนหรือ ประกอบอาชีพอะไร ท่ีใด 4.2 ขอความรว่ มมอื จากเจา้ หนา้ ท่ธี ุรการ 4.3 ส่งแบบสอบถามไปถงึ สถาบันตา่ ง ๆ บริการแนะแนวประกอบด้วย 5 บริการ คือ บริการที่ 1 บริการรวบรวมและศึกษาข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบุคคล ซึ่งบริการนี้เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น โดย ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ การทำสังคมมติ ิ กรณศี กึ ษา ซง่ึ ครแู นะแนว ครปู ระจำชน้ั ครปู ระจำวชิ า ผปู้ กครอง และ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือได้เหมาะสม บริการที่ 2 บรกิ ารสนเทศ เปน็ บริการท่ใี ห้ข้อมูลข่าวสาตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั การศึกษา อาชีพ สว่ นตัวและสังคม ข้อมูลเหลา่ น้จี ะช่วย ให้ผู้เรียนได้ใช้ในการตัดสินใจด้านการศึกษาด้านอาชีพ และช่วยในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนได้ตรงกับความ ตอ้ งการ บริการท่ี 3 บรกิ ารการใหค้ ำปรกึ ษา เป็นบริการท่ีใหค้ วามชว่ ยเหลือใหผ้ ู้เรียนได้ผา่ นพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้ ด้วยดี บริการที่ 4 บริการจัดวางตัวบุคคล เป็นบริการที่จัดคนให้เหมาะสมกับตัวตนที่แท้จริงของเขา เมื่อผู้เรียนได้ อยู่ในสิ่งเหมาะสมกับตนเองแล้วจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และบริการที่ 5 บริการติดตามผล เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้แนะแนวได้ทราบข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในทุก ๆ ด้านข้อมูลส่วน หนึ่งจากการติดตามผลจะนำมาใช้ประโยชน์ต่อปรับปรุงและพัฒนางานแนะแนวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอีก ส่วนหนึ่งเป็นการสะทอ้ นผลการใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้เรียน จะเห็นว่าบริการแนะแนวทั้ง 5 บริการเป็นการจัดบริการ ที่มีลกั ษะเด่นของแต่ละบริการ และแต่ละบรกิ ารจะตอ้ งจดั ควบคกู่ ันไป 10. ประโยชนข์ องการแนะแนว การแนะแนวเปน็ กิจกรรมที่มีประโยชนก์ ับผู้เรียนหลายประการ โดยเป็นประโยชน์ทั้งทางตรง เช่น การทำ ความเข้าใจตนเอง รู้จุดเด่น และความถนัดของตนเองได้รวดเร็วนไปสู่การพัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสม และ ทางอ้อม เช่น การสอดแทรกสารสนเทศอันเป็นประโยชน์กับผู้เรียน เป็นแนวทางในการใช้ชีวิต โดยการแนะแนว ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจปัญหาได้กระจ่างชัดขึ้น สามารถยอมรับและหาทางแก้ปัญหา พยายามที่จะช่วยเหลือ ตนเองใหไ้ ดม้ ากที่สดุ รวมถึงการต้ังเปา้ หมายของตนเองในการดำเนนิ ชีวิตอีกดว้ ย ซึ่งจะสรปุ ประโยชน์ของการแนะ แนวต่อผู้รับประโยชน์ ดงั นี้ (กุสุมา ยกชู , ม.ป.ป. ; กฤตวรรณ คำสม , 2557) 1. ประโยชน์ต่อนักเรียน การแนะแนวช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง รู้ถึงข้อบกพร่อง ความสามารถ ความถนัดของตน สามารถพัฒนาตนเองได้ตามความถนัดพร้อมกันทุกมิติ มีความรู้ความเข้าใจใน เร่อื งราวต่าง ๆ ท่เี ป็นประโยชน์ สามารถหาความรไู้ ด้อย่างถูกตอ้ งส่งผลตอ่ ประสิทธิภาพในการเรียน เกิดความรู้สึก

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 224 เห็นคุณค่าในตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักคิด และทดลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อค้นหาตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ นักเรียนสามารถพิจารณาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและดำเนินชีวิตในสังคมและ เข้าใจผู้อื่น สามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมไปถึงนำไปสู่การพัฒนาตนเองไปสู่การเลือกอาชีพ ตามความถนัดของตนเอง 2. ประโยชน์ต่อครู อาจารย์ และโรงเรียน บริการต่าง ๆ ในงานแนะแนวจะช่วยให้ครู อาจารย์เข้าใจ นักเรียนได้ดีขึ้นทุกด้าน สามารถปรับปรุงการเรียนการสอนและการปกครองให้เหมาะสม สามารถจัดแบ่งนักเรียน ออกตามความสามารถ และจัดบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ โดยการวางแผน เอาไว้ล่วงหน้าได้ และจะช่วยให้โรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมและบริการต่าง ๆ ได้เหมาะสมกับความต้องการของ นกั เรยี น ซ่ึงจะเปน็ การชว่ ยลดปญั หาเรอ่ื งความประพฤตขิ องนกั เรยี น 3. ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง การแนะแนวจะช่วยให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจเด็กของตนเองดีขึ้น เข้าใจถึง แนวทางและโอกาสในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถชี้แนะช่องทางแก่เด็ก ของตนได้ดีข้นึ 11. จรรยาบรรณวชิ าชพี จิตวทิ ยาการแนะแนว เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของนักแนะแนวที่ทำงานในโรงเรียนอย่างเป็นมาตรฐาน แต่เนื่องด้วย ความแตกต่างของประสบการณ์ บริบท การฝึกอบรม เป็นข้อจำกัดของการบญั ญตั ิจรรยาบรรณ จึงมีการกำหนดไว้ อย่างกวา้ งๆ และชดั เจน เพอื่ ให้เกิดความเข้าใจ ยอมรับและนำไปเปน็ เครื่องนำทางในการปฏิบตั งิ าน จรรยาบรรณของนกั แนะแนวไทย จำเนียร ชว่ งโชติ (2524; กฤตวรรณ คำสม , 2557) ได้เสนอจรรยาบรรณของนกั แนะแนวไทยไว้ ดงั น้ี 1. นักแนะแนวจะต้องยอมรับ เคารพในหน้าที่และความรับผิดชอบ เพื่อรักษาและส่งเสริมสวัสดิภาพและ ผลประโยชนข์ องผ้มู ารบั บริการ ไม่วา่ เขาจะไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุม่ 2. นกั แนะแนวจะตอ้ งเก็บรกั ษาข้อมลู สว่ นตวั ตลอดจนสมั พันธภาพทางการใหค้ าปรึกษาท่เี กย่ี วกับผู้มารับ บริการไวเ้ ปน็ ความลบั และมวี ิจารณญาณอนั ดีในการที่จะถา่ ยทอดเร่ืองราวเหล่านน้ั 3. นักแนะแนวจะต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้มารับบริการในการที่จะเลือกตัดสินใจแก้ปัญหาและ ดำเนินชวี ติ ของตนเอง 4. นักแนะแนวจะต้องประพฤติตนในกรอบของวัฒนธรรม และเหมาะสมตามขอบข่ายของศีลธรรมจรรยา อันดงี าม 5. นักแนะแนวควรตระหนักในหน้าที่และขอบข่ายของความสามารถของตนที่มีอยู่ในการปฏิบัติงาน ถ้า นอกเหนอื ความสามารถของตน ควรสง่ ผู้มารบั บรกิ ารไปรับบรกิ ารจากผู้เชีย่ วชาญท่ีเกยี่ วข้อง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 225 6. นกั แนะแนวจะต้องปฏบิ ัตหิ น้าท่ีด้วยความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ใจ เสยี สละกอปรดว้ ยคุณธรรมต่อการช่วยเหลือ เพื่อนมนษุ ย์ 7. นักแนะแนวจะต้องยดึ มั่นในหลกั วิชาการ เพิ่มพูนความรู้และทักษะ รักษามาตรฐานการประกอบอาชีพ แนะแนวให้เจรญิ ก้าวหน้าอยู่เสมอ จรรยาบรรณของสมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย จรรยาบรรณของครูแนะแนว สมาคมแนะแนวแหงประเทศไทย ได้ประกาศใช้หลักจรรยาบรรณวิชาชีพ จิตวิทยาการแนะแนว สมาคมแห่งประเทศไทย เพื่อให้วิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนวในประเทศไทยมีมาตรฐาน คุณภาพ ผู้ปฏิบัติงานมีคุณธรรมและจรรยาวิชาชีพ สมาคมแนะแนวซึ่งเปนสมาคมวิชาชีพจึงประกาศใช้ จรรยาบรรณวชิ าชพี จติ วทิ ยาการแนะแนว ซงึ่ มี 9 ข้อ ดงั น้ี 1) ให้บริการด้วยความเต็มใจ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบคคลผู้ปฏิบัติงานใหบริการทางจิตวิทยา การแนะแนว ใหบริการด้วยความเสียสละและอุทิศตนอยางเต็มความสามารถ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล ทางดา้ นรางกาย อารมณ สงั คมและ สติปญั ญา 2) ยอมรับและศรัทธาในวิชาชีพ จิตวิทยาการแนะแนวและเป็นสมาชิกท่ีดีขององค์กรวิชาชีพ ผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวทิ ยาการแนะแนว มีเจตคติที่ดีเหน็ คุณค่าในวิชาชพี จิตวิทยาการแนะแนว และเป็นสมาชกิ ที่ดขี อง องค์กรวิชาชีพ โดยการแสดงออกด้วยความช่นื ชมว่าเป็นอาชพี ทมี่ ีเกยี รติ มคี วามสำคัญและจำเป็นตอ่ สังคม รวมท้ัง ปกปอ้ งเกียรติภูมิของวิชาชพี จิตวิทยาการแนะแนว เข้ารว่ มกิจกรรมและสนบั สนุนองคก์ รวชิ าชีพจติ วิทยาแนะแนว 3) เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ใหกำลังใจแก่ผู้รับบริการ ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยเสมอ ผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้รับบริการโดยสนองต่อความ ต้องการ ความถนัด ความสนใจอย่างจริงใจ ด้วยความเห็นอกเห็นใจโดยคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานของผู้รับบริการอย่าง เทา่ เทยี ม และปรารถนาทจ่ี ะให้ผู้รบั บริการพัฒนาตนเองไดอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพ 4) มีวิสัยทัศนและพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทาง จิตวิทยาการแนะแนว มีความสนใจใฝ่รู้ศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ เสริมสร้างความรู้ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันตอ่ การเปล่ยี นแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง และเทคโนโลยี 5) ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว เป็นผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว ปฏิบัติงานโดยอาศัยความรู้ทักษะและประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝนตามหลักวิชาการ จากสถาบันหรือองค์กร วิชาชีพทมี่ กี ารรับรองอยา่ งเปน็ ทางการ 6) รกั ษามาตรฐานและรับผดิ ชอบต่อการประกอบวิชาชพี จิตวิทยา การแนะแนวผู้ปฏบิ ัติงานให้บริการทาง จิตวิทยาการแนะแนว สามารถรักษาคุณภาพการปฏิบัติงาน ตามมาตรฐานวิชาชีพไว้ในระดับสูงเสมอ และ รับผิดชอบต่อผลทีเ่ กิดขนึ้ จากการปฏบิ ัตงิ าน

226 7) ยุติการให้บริการที่นอกเหนือความสามารถของตนและส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวต้องหยุดการให้บริการ เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วพบว่าการให้บริการนั้นอยู่ นอกเหนือความสามารถของตน และส่งผู้รับบริการไปยังบุคคลที่มีความเหมาะสม หรือตามความประสงค์ของ ผู้รบั บริการ 8) รักษาความลับของผู้รับบริการและผู้เกี่ยวของเว้นแต่ได้รับการยินยอมจากผู้รับบริการ ผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวต้องไม่เปิดเผยความลับซึ่งเป็นข้อมูลของผู้รับบริการและผู้ที่เกี่ยวข้อง หาก จำเปน็ จะต้องนำข้อมลู ไปใชต้ อ้ งไดร้ บั การยนิ ยอมจากผรู้ บั บริการ 9) เคารพสิทธิและไม่แสวงหาผลประโยชน์จากผู้รับบริการ ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะ แนวต้องให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ผู้รับบริการ เพื่อให้ผู้รับบริการทราบสิทธิและผลที่อาจได้รับจากการรับบริการรับฟัง ความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้รับบริการและ ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จาก ผู้รับบริการ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

227 ใบกจิ กรรมที่ 1 คำชี้แจง ให้นกั ศึกษาแบ่งกลุม่ แล้วใหศ้ กึ ษาทำความเข้าใจในหวั ขอ้ “ความสมั พันธ์ระหว่างปรัชญาและหลกั การ ของการแนะแนว” และใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ยกตัวอย่างแนวทางปฏิบตั ิท่ีสอดคลอ้ งกบั ปรชั ญาและหลักการของการแนะ แนว จากนั้นสรุปลงในกระดาษฟลปิ ชารท์ ตกแต่งให้สวยงาน และ นำเสนอหน้าชนั้ เรยี น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

228 เอกสารอ้างอิง กรกฎา นักคม้ิ . (2555). บรหิ ารจัดการชน้ั เรียนอยา่ งไรให้ไดผ้ ูเ้ รยี น. กรุงเทพฯ : วสิ ตา้ อินเตอรป์ ร้ิน. กฤตวรรณ คำสม. (2557). การแนะแนวเบอ้ื งต้น. อุดรธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2559). หลักการบริการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเบื้องต้น สำหรับครูและผู้บรหิ ารการศึกษา. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. วชั รี ทรพั ยม์ .ี (2531). การแนะแนวในโรงเรียน. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . จำเนยี ร ช่วงโชติ. (2524). เทคนคิ การแนะแนว. มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง. รังสรรค์ โฉมยา. (2555). การแนะแนวในโรงเรียน : หลักสูตรจิตวิทยาสำหรับครู. มหาสารคาม : สำนักพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. นริ ันดร์ จุลทรัพย์. (2554). การแนะแนวเบอื้ งต้น. พิมพค์ ร้งั ท่ี 4. สงขลา : บริษัทนำศลิ ปโ์ ฆษณา. สุนิสา วงศอ์ ารี. (2559). หลกั การแนะแนว. อุดรธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธาน.ี อชั รา เอบิ สขุ สิริ. (2556). จติ วทิ ยาสำหรับคร.ู กรงุ เทพ : สำนกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. Good, carter V. (1973). Dictionary of Education. 3rd ed. New York: Mc Graw. Hill Book Company. Miller, Carroll H. (1976). Foundations of Guidance. New York: Harper & Row publisher. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

229 แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 7มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ความรู้เบ้อื งต้นเก่ยี วกบั การให้คำปรกึ ษา ผู้สอน - อาจารยต์ ้นสาย แกว้ สวา่ ง เวลา - 12 ช่วั โมง (3 สัปดาห)์ วตั ถปุ ระสงค์ 1. อธบิ ายความหมาย และความสำคัญของการใหค้ ำปรกึ ษาได้ 2. อธิบายจดุ มงุ่ หมาย ทฤษฎกี ารให้คำปรกึ ษาได้ 3. อธบิ ายหลกั การ และขอบขา่ ยของการใหค้ ำปรกึ ษาได้ 4. ระบุรูปแบบของการให้คำปรึกษาได้ 5. บอกคณุ สมบัตขิ องผู้ให้คำปรึกษาได้ 6. อธบิ ายจรรยาบรรณการใหค้ ำปรกึ ษาได้ 7. อธิบายวิธกี าร ทฤษฎี และกระบวนการใหค้ ำปรึกษาได้ 8. บอกทกั ษะการให้คำปรึกษาได้ 9. แสดงการให้คำปรึกษาเชงิ จติ วทิ ยาได้ เนือ้ หา 1. ความหมายของการใหค้ ำปรึกษา 2. ความสำคญั ของการใหค้ ำปรกึ ษา 3. จดุ มุง่ หมายของการให้คำปรึกษา 4. หลักทฤษฎกี ารให้คำปรึกษาแบบผู้รับคำปรึกษาเปน็ ศูนยก์ ลาง 5. หลักการของการใหค้ ำปรึกษา 6. ขอบขา่ ยของการให้คำปรกึ ษา

230 เนอ้ื หา (ตอ่ )มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง20 นาที * 3 สปั ดาห์ 170 นาที * 3 สปั ดาห์ 7. รูปแบบของการให้คำปรกึ ษา 30 นาที * 3 สปั ดาห์ 20 นาที * 3 สปั ดาห์ 8. คณุ สมบตั ขิ องผู้ให้คำปรกึ ษา 9. จรรยาบรรณการให้คำปรกึ ษา 10. กระบวนการใหค้ ำปรกึ ษา 11. ทกั ษะการใหค้ ำปรกึ ษา การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ 1. แจ้งวตั ถุประสงค์และแจ้งขอบเขตเนอ้ื หา 2. สอนบรรยายเน้ือหาหัวขอ้ ตา่ งๆ 3. อภิปรายร่วมกนั 4. ตอบถำถามและข้อสงสัย สือ่ การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. Power point presentation การประเมินผล 1. กิจกรรมท้ายบท

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 231 หัวข้อการสอนที่ 1 ความรู้เบือ้ งตน้ เกีย่ วกับการใหค้ ำปรกึ ษา 1. ความหมายของการให้คำปรกึ ษา ผเู้ ชีย่ วชาญทางด้านการใหก้ ารปรึกษาหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของการให้การปรกึ ษาไว้ ดงั นี้ Nystul (2003) เป็นกระบวนการพลวัตรระหว่างผู้ให้คำปรึกษาที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อช่วยเหลือผู้รับ คำปรึกษาที่มีเรื่องกังวลใจ ในกระบวนการนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะใช้กลวิธีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือครอบครัว เพื่อเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ส่งเสริมทักษะการเผชิญปัญหา การตัดสินใจ และการ แก้ไขปัญหาอย่างมปี ระสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับปรงุ การมสี ัมพนั ธภาพ วัชรี ทรัพย์มี (2556) ให้ความหมายของการให้การปรึกษาว่า เป็นกระบวนการของสัมพันธภาพระหว่าง ผใู้ หค้ ำปรกึ ษา ซ่งึ เป็นนกั วชิ าชพี ทีไ่ ด้รับการฝึกอบรม กับผรู้ ับคำปรึกษา ซึ่งต้องการความชว่ ยเหลอื เพื่อช่วยให้ผู้รับ คำปรึกษาเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจสิ่งแวดล้อม ได้ปรับปรุงทักษะในการตัดสินใจและทักษะในการ แก้ปญั หาตลอดจนปรับปรุงความสามารถในการที่จะทำใหต้ นเองพฒั นาขน้ึ ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ (2554) ให้ความหมายของการให้คำปรึกษาว่าเป็นกระบวนการช่วยเหลือ ที่สร้าง สัมพันธภาพของการช่วยเหลือระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา โดยผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและได้รับการฝึกฝนมา พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษาได้เกิดความเข้าใจตนเองและ สิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น สามารถพัฒนาทักษะในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา รวมถึงการพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพ มีความสบายใจ มกี ารเปลีย่ นแปลงความคดิ ความรู้สึกหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ใหม้ ีการดำเนินชวี ิตท่ดี ขี ึ้น มัลลวีร์ อดุลวัฒนศิริ (2554) อธิบายความหมายของการให้คำปรึกษา ว่าเป็นกระบวนการช่วยเหลือ สื่อสารกันด้วยวัจนภาษาและอวัจนภาษา เกิดการสร้างสัมพันธภาพของผูใ้ ห้และผู้รับคำปรึกษา โดยผู้ให้คำปรึกษา ต้องมีคุณลักษณะในการเอื้อให้เกิดการให้คำปรึกษา มีความรู้ ทักษะในการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเหลือผู้รับ คำปรึกษา ที่มีความยุ่งยาก หรือไม่สบายใจ ให้สามารถหาทางออกเพื่อลดหรือขจัดความทุกข์นั้นได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ สรุปได้ว่า การให้คำปรึกษา คือ กระบวนการช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษา โดยการสร้างสัมพันธภาพของผู้ให้ คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา เพื่อสร้างความรู้สึกไว้วางใจ และเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหา โดยการช่วยให้ผู้รับ คำปรึกษาสามารถหาทางออกจากความไม่สบายใจ หรือความทุกข์ให้สามารถปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกหรือ พฤตกิ รรมได้ โดยผูใ้ ห้คำปรึกษาตอ้ งเปน็ ผู้ทีม่ คี วามรู้ ทกั ษะ และได้รับการฝกึ ฝนเป็นอย่างดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 232 2. ความสำคญั ของการใหค้ ำปรกึ ษา การให้คำปรึกษาเป็นกระบวนการในการบรรเทาให้บุคคลได้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยกระบวนการให้ คำปรึกษา จะช่วยให้บุคคลได้จัดการกับความคับข้องใจของตนเองที่มี ปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกและ พฤติกรรมที่เหมาะสมด้วยความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมใหม่ที่เกิดจากความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติใน ชีวิตประจำวันได้ เช่น ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ครอบครัว โดยการให้คำปรึกษาจะช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนา ตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการตัดสินใจ การสร้างสัมพันธภาพ การปรับตัว และยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอีก ด้วย หากบคุ คลไมไ่ ด้รับการใหค้ ำปรกึ ษา ปัญหาทเี่ กิดขึ้นอาจกอ่ ความรนุ แรงข้ึน และเรอ้ื รงั จนส่งผลต่อการดำเนิน ชีวิต ความผดิ ปกตทิ างจิต หรอื อาจรนุ แรงขึ้นการฆ่าตัวตายได้ 3. จดุ มุ่งหมายของการใหค้ ำปรึกษา จุดมุ่งหมายของการให้คำปรึกษา คือการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถเผชิญ หรือจัดการกับปัญหาของ ตนเองได้ สามารถอธิบายรายละเอียดได้ ดังนี้ (มัลลวีร์ อดุลวัฒนศิริ, 2554 ; ดวงมณี จงรักษ์ , 2556 ; ธีรพัฒน์ วงศค์ ุ้มสนิ , 2560) 1. เพื่อปรับเปลี่ยนความรู้สึก ผู้รับคำปรึกษามีความต้องการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ไม่พอใจของตนเอง เช่น ความโกรธ ความเครียด ความวิตกกังวล ความเสียใจ โดยผู้รับคำปรึกษาจะทำให้บุคคลเกิดความเข้าใจใน คุณค่าของตนเอง เกดิ การเปลี่ยนแปลงความร้สู ึกทไ่ี ม่ดีของตน 2. เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและผู้อื่น เป็นการเพิ่มโอกาสในการสำรวจตนเองและผู้อื่น บทบาทของ ตนเอง รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยการสำรวจ พิจารณาตามความเป็นจริง ทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกดิ ความเข้าใจตนเอง และผู้อื่น โดยมีสติที่แท้จริง ไม่บิดเบือนความจริง เข้าใจความสามารถ ศักยภาพที่แท้จริงของ ตนเอง 3. เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ในชีวิตประจำวันบุคคลต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเมื่อผู้รับ คำปรึกษาเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ การให้คำปรึกษาจะช่วยในการตัดสินใจ ด้วยการ ทบทวนเรื่องราว ค้นหาข้อมูล ค้นหาศักยภาพของตนเอง คุณลักษณะ ความสนใจ รวมถึงทัศนคติหรือความชอบ เพอ่ื เปน็ ข้อมูลเปรยี บเทียบการตดั สนิ ใจ ดคู วามเปน็ ไปไดข้ องวิธีการต่าง ๆ เพอ่ื ให้เกิดการตดั สินใจทีม่ ีประสทิ ธิภาพ โดยผูร้ ับคำปรกึ ษาตดั สินใจดว้ ยตนเอง 4. เพื่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติในชีวิตจริง เป็นการกระตุ้นใหผ้ ู้รบั คำปรกึ ษานำสิง่ ทีไ่ ดจ้ ากกระบวนการให้ คำปรึกษาไปปฏิบัติจริง ด้วยการร่วมกันวางแผน ทดลองปฏิบัติ รวมถึงการติดตามผลของการปฏิบัติว่ามีอุปสรรค หรอื มคี วามสำเร็จอยา่ งไร โดยการนำไปสกู่ ารปฏิบตั ิอาจหมายถงึ ทกั ษะตา่ ง ๆ เชน่ การเขา้ สังคม การแก้ไขปัญหา การจดั การกับความเครยี ด พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ เชน่ การเผชิญความกลัว การวางแผนการเรยี น การสรา้ งสัมพันธภาพ กับผอู้ ื่น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 233 ในกระบวนการให้คำปรึกษาของแต่ละบุคคล จะมีวัตถุประสงค์ในการให้คำปรึกษาที่แตกต่างกัน และบาง กรณีอาจครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์ได้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับความเร่งด่วน หรือการลำดับความจำเป็นของผู้รับ คำปรึกษาว่ามีความต้องการในเรื่องใดเป็นสำคัญ หรือเรื่องใดส่งผลต่อการรบกวนจิตใจ การดำเนินชีวิตประจำวัน มากท่ีสดุ 4. หลักทฤษฎกี ารให้คำปรกึ ษาแบบผรู้ บั คำปรกึ ษาเปน็ ศูนย์กลาง ภาพที่ 1 Carl Roger (นักจติ วิทยาผู้นำแนวคดิ การใหค้ ำปรึกษาแบบศูนย์กลาง) ทีม่ า : http://hanan83.blogspot.com/2016/01/6-carl-roger.html แนวคิดการให้คำปรึกษาแบบผู้รับคำปรึกษาเป็นศูนย์กลาง (Person Centered Counseling) แนวคิดนี้ เริ่มต้นจาก คาร์ล โรเจอรส์ (Carl Rogers) ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ของเขา มีความเช่ือในความสามารถของ มนุษย์ที่จะพึ่งพาตนเองและเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ โดยแนวคิดนี้มีมุมมองเพิ่มเติมจากแนวคิดจิตวิเคราะห์ และ แนวคิดลักษณะนิสัย-องค์ประกอบ แต่แนวคิดนี้มีความแตกต่างจากสองคิด เนื่องจากเป็นแนวคิดการให้คำปรึกษา แบบไม่นำทาง และแนวคิดนี้ยังนำไปสู่การพัฒนาของแนวคิดอื่น ๆ ตามแนวคิดการใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ของ บคุ คล การพฒั นาทฤษฎีต้งั แต่เร่มิ ตน้ จนถงึ ปจั จบุ ัน แบ่งเป็น 3 ระยะ ดงั นี้ (ดวงมณี จงรกั ษ์ , 2556) 1. ระยะไม่นำทาง (Nondirective) การให้คำปรึกษาในช่วงเวลานี้ให้ความสำคัญกับการยอมรับผู้รับ คำปรึกษา การสร้างบรรยากาศทางบวก ปลอดจากการประเมินตัดสิน ความไว้วางใจในสติปัญญาของผู้รรับการ ปรึกษา และการยินยอม เทคนิคที่ใช้มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด และเข้าใจโลกของผู้รับคำปรึกษา ดังน้นั ในยคุ นีจ้ ะให้ความสำคัญกับทักษะในกระบวนการปรกึ ษา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 234 2. ระยะรับการปรึกษาเป็นศูนย์กลาง (Client Centered) ในยุคนี้เน้นสะท้อนความรู้สึกของผู้รับ คำปรึกษา จัดการแก้ไขความไม่สอดคล้องระหว่างตนในอุดมคติและตนจริง หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กระทบจิตใจ ผรู้ ับคำปรึกษา ใหค้ วามสำคญั กับผู้รบั คำปรกึ ษาวา่ เปน็ บคุ คลธรรมดาคนหน่ึง 3. ระยะบุคคลเป็นศูนยก์ ลาง (Person Centered) การปรึกษาในปจั จุบันให้น้ำหนกั กับการมีสัมพันธภาพ ระหว่างบุคคล คือผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาเพิ่มการมีส่วนร่วมกับผู้รับคำปรึกษาตาม สถานการณ์ เพิ่มความสัมพนั ธข์ องบคุ คล เพอ่ื ใหเ้ ชอ่ื วา่ เปน็ การให้คำปรึกษาแบบยดึ บคุ คลเปน็ ศูนย์กลางที่แทจ้ ริง 1) ความเชอ่ื เกย่ี วกบั ธรรมชาติของมนษุ ย์ แนวคิดนี้ เชื่อว่าบุคคลไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามล้วนมีศักยภาพในตัวเองที่จะพัฒนาตนใหด้ ีขึ้น หากผู้ที่ไม่เชอื่ ว่าตนเองมีศักยภาพเป็นเพราะถูกขัดขวางจากประสบการณ์ในอดีตที่บิดเบือน หรือเนื่องจากการเลี้ยงดูใน ครอบครัว การศึกษา โรงเรียน รวมถึงความกดดันอื่น ๆ โดยการไม่เชื่อในศักยภาพของตนเองสามารถขจัดออกได้ หากบุคคลพร้อมที่จะยอมรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน บุคคลนั้นจะเริ่มรู้สึกว่าเขาเหมือนคนใหม่ เป็นผู้ที่ สามารถกำหนดชวี ิตไดด้ ้วยตนเอง เข้าใจมองเหน็ ตนเองอย่างแท้จริง 2) แนวคิดที่สำคญั เงื่อนไขสำหรบั การพัฒนางอกงาม ตามแนวคิดนีม้ ีเงือ่ นไขสำคัญ 3 ประการ ที่ส่งเสริมพัฒนาการทางจิตใจ ซึ่งเงื่อนไขทั้งสามนี้ คือ ความจริง แท้ (Genuineness) การยอมรับทางบวกอย่างไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Positive Regard) และการมีความ ข้าใจอย่างลกึ ซง้ึ (Empathic Understanding) (Corey , 2015 ; วชั รี ทรัพย์มี , 2556 ; ดวงมณี จงรักษ์ , 2556) ความจริงแท้ คุณลักษณะที่สำคัญของความจริงแท้ คือ ความโปร่งใส ซึ่งหมายถึงการปราศจากความเส แสร้งของการคิดหรือการกระทำของผู้ให้คำปรึกษา ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้รับคำปรึกษารรับรู้ต่อผู้ให้คำปรึกษา ต้อง เป็นสภาพที่ผู้ให้คำปรึกษาเป็นอย่างนั้นจริง ทั้งความรู้สึก ความคิดและการกระทำที่แสดงกับผู้รับคำปรึกษาในการ ให้คำปรึกษา จะสะท้นตัวตนของผู้ให้คำปรึกษาอย่างแท้จริง ความโปร่งใสอาจหมายถึง การที่ความรู้สึกและ ความคิดของผู้ให้คำปรึกษามีความสอดคล้องกัน ผู้ให้คำปรึกษามีสติรู้ตัวในขณะที่แสดงพฤติกรรมสื่อความคิดและ ควานรสู้ กึ ของตนต่อผูร้ ับคำปรกึ ษา ดังนัน้ ผ้ใู ห้คำปรกึ ษาที่มคี วามโปรง่ ใสหรือความจริงแท้ จะต้องยอมรบั ความจริง ว่า ตนเองมีข้อบกพร่อง มีการกระทำที่ผิดพลาด และหลายครั้งได้แสดงพฤติกรรมที่ขาดวุฒิภาวะ เป็นผู้ที่มีอคติใน หลายเรอ่ื ง ซึ่งควรจะฝึกทำใจให้เปดิ กวา้ ง และบางครัง้ กม็ ีอารมณ์มากกว่าเหตผุ ล การยอมรับความจริงหรือมีความ จรงิ แท้ โปรง่ ใส ทำให้ผ้ใู ห้คำปรึกษาเปน็ เสมือนปถุ ชุ นธรรมดาทพี่ ฒั นางอกงามได้ นอกจากนี้ความจริงแท้ยังหมายถึง การที่ผู้ให้คำปรึกษามีความเปิดเผยต่อประสบการณ์ที่ได้รับจาก สัมพันธภาพระหว่างให้การปรึกษา เช่น ผู้ให้คำปรกึ ษาแสดงความอบอุ่นและมีเมตตาต่อเรือ่ งราวที่ทุกข์ใจของผูร้ บั คำปรกึ ษา รู้สึกเจ็บ เม่อื ผ้รู บั คำปรกึ ษาถูกรงั แก ขม่ เหง เบอื่ หาย เมอื่ ผรู้ ับคำปรึกษาพูดช้ำตดิ อยกู่ บั เร่อื งเดมิ ๆ และ รู้สึกหวาดกลัวเมื่อผู้รับคำปรึกษามีท่าทีไม่เป็นมิตร และส่อไปในทางเป็นภัยต่อผู้อื่นหรือผู้ให้คำปรึกษา ลักษณะ อารมณ์เหล่านี้คือคุณลักษณะของผู้ให้คำปรึกษาที่มีความจริงแท้ แนวคิดนี้เชื่อว่าผู้ให้คำปรึกษายิ่งมีสติเปิดรับ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 235 ความรู้สึกดังกล่าวข้างต้นที่เป็นทั้งอารมณ์ทางบวกและทางลบ กระบวนการให้การปรึกษาจะยิ่งก้าวหน้า การ ยอมรับว่าตนเองมีความรู้สึกเหล่านี้ แสดงถึงการมีความจริงแท้ในระดับสูงและต้องอาศัยความกล้าหาญ ผู้ให้ คำปรึกษาที่ไม่มีความจริงแท้ต่ออารมณ์ของตนจะไม่ยอมรับว่าตนมีความรู้สึกทางลบ และมักจะฉายความรู้สึก ดังกล่าวไปสู่ผู้รับคำปรึกษาแทนเพราะทำได้ง่ายกว่า แต่จะเป็นอุปสรรคต่อความช่วยเหลือ ผู้ให้คำปรึกษาพึง ตระหนกั วา่ ช่วงเวลาทก่ี ำลังช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษา เป็นเวลาของผรู้ ับคำปรึกษา ไมใ่ ชเ่ ป็นเวลาที่ผู้ให้คำปรึกษาจะ ระบายความคับข้องใจ หรือแสดงความไม่มีสมรรถนะของตนต่อผู้รับคำปรึกษาผู้ให้คำปรึกษาพึงแสดงตัวอย่างต่อ ผู้รับคำปรึกษาในการกล้าท่ีจะสื่อความคิดและอารมณ์อย่างสอดคล้องและรูส้ ึกปลอดภัยที่จะมีความจริงแท้เช่นนัน้ การให้การปรกึ ษาจะขับเคลื่อนไปขา้ งหน้า เมื่อผู้ให้คำปรึกษากล้าที่จะสัมผสั กับความรู้สึกของตนและสื่อออกมาให้ ผ้รู ับคำปรึกษารับรู้ได้ การยอมรับทางบวกอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความหมายใกล้เคียงกับการทำให้บุคคลรู้สึกมีคุณค่า การแสดง ความห่วงใย และการให้การยอมรับ คุณลักษณะนี้แสดงออกมาได้ไม่ง่าย เพราะทุกช่วงขณะที่ผู้รับคำปรึกษาแสดง ความรู้สกึ โกรธ เกลยี ด กลวั สับสน เสยี ใจ หรือแสดงความร้สู กึ อน่ื ๆ ผู้ให้คำปรึกษาต้องมคี วามเต็มใจท่ีจะรับสัมผสั กับอารมณ์เหล่านั้น หรือต้องมีความห่วงใยต่อสภาพที่ผู้รับคำปรึกษาเป็นอยู่ในขณะนั้น โดยไม่นำประเด็นความ เหมาะสมหรือความถูกต้องของการแสดงอารมณ์มาเป็นเงื่อนไข ผู้ให้คำปรึกษาต้องสื่อให้ผู้รับคำปรึกษารับรู้ว่ามี ความเต็มใจทจ่ี ะมีสมั พันธภาพ ไม่วา่ เขาจะมอี ารมณ์อยู่ในสภาพใด การยอมรับทางบวกอย่างไม่มีเงอื่ นไข ไม่ใช่การ แสดงความรักต่อผู้รับคำปรึกษา งานวิจัยสนับสนุนวา่ ยิ่งผู้ให้คำปรกึ ษาแสดงการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขบ่อยครัง้ เท่าไร การบำบดั จะยิ่งประสบผลสำเรจ็ และหากแสดงนอ้ ย การเปล่ยี นแปลงในทางบวกของผู้รับคำปรึกษาก็จะลด น้อยลงด้วย อย่างไรก็ดีผู้ให้คำปรึกษาหรือใครก็ตามย่อมไม่สามารถรู้สึกยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขกับทุกคนได้ ตลอดเวลา ความเข้าใจอยา่ งลกึ ซ้ึง หมายถงึ คุณลักษณะของผู้ให้คำปรึกษาท่สี ามารถเขา้ ใจผู้รับคำปรึกษาเสมือนเป็น ผู้รับคำปรึกษาเสียเอง หรือเสมือนเป็นผู้ที่อยู่ในโลกเดียวกัน ผ่านประสบการณ์และรับรู้ได้ตรงกัน โดยเฉพาะ ความรสู้ กึ ในระดับลึก การมีความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงนี้ ผู้ใหค้ ำปรกึ ษาต้องแสดงการรบั รเู้ สมอื นเดินผา่ นประสบการณ์ ของผู้รับคำปรึกษาอย่างมีความละเอียดอ่อน โดยไม่มีความรู้สึกประเมินตัดสิน หรือรู้สึกเวทนาสงสาร การเสมือน เข้าใจผู้รับคำปรึกษาในระดับลึกจะเปลี่ยนเป็นการตัดสินประเมินแทน ทันทีท่ีผู้ให้คำปรึกษาใช้อารมณ์หรือเหตุผล ของตนมาวัดความถูกต้องเหมาะสมในพฤติกรรมของผู้รับคำปรึกษา การประเมินจะส่งผลต่อผู้รับคำปรึกษาให้ปิด ตวั เองและมีอาการปอ้ งกันตน สำหรับการมคี วามรู้สกึ เวทนาสงสารผู้รับคำปรกึ ษา แสดงถึงการก้าวพันขอบเขตของ การมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะผู้ให้คำปรึกษาไม่เพียงแต่จะเข้าใจอารมณ์ของผู้รับคำปรึกษา แต่รับรู้เสมือน เป็นอารมณ์ของตนเอง เช่นการรับสัมผัสอารมณ์โศกเศร้าหรือความโกรธ และแสดงอารมณ์นั้นเองด้วย การกระทำ เช่นนี้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกของผู้ให้คำปรึกษาที่ขาดความมีสมรรถภาพเพราะเป็นการเปลี่ยนเป้าหมายมาสู่ผู้ให้ คำปรกึ ษา แทนทจี่ ะให้ความสำคญั กบั ความรู้สกึ ของผรู้ บั คำปรึกษาแตเ่ พียงฝ่ายเดียว

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 236 การมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนี้ ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องรับสัมผัสกับความหมายที่ผู้รับคำปรึกษาอาจจะไม่มี สติรู้ตัว และจะต้องไม่บังคับผู้รับคำปรึกษาให้เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่จิตไร้สำนึก เพราะการกระทำเช่นนั้นจะสื่อ ความที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของผู้รับคำปรึกษาในระดับลึก นอกจากน้ีผู้ให้คำปรึกษาควรแสดงความเข้าใจ อย่างลึกซึ้ง ด้วยการหมั่นตรวจสอบการรับรู้ของตน ว่าตรงกันกับการรับรู้ของผู้รับคำปรึกษาหรือไม่ และไม่แสดง อาการตกใจต่อเนื้อหาที่ผู้รับคำปรึกษาเสนอ ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องมองผ่านผู้รับคำปรึกษาด้วยสายตาที่ปราศจาก ความตื่นตระหนกในเรื่องราวนำกลัวที่ผู้รับคำปรึกษาประสบ การจะกระทำเช่นนี้ได้ ผู้ให้คำปรึกษาต้องวางตนให้มี ความมนั่ คง พอท่จี ะกา้ วไปสู่โลกของผรู้ ับคำปรกึ ษาทอี่ าจกำลังกลัวและหวาดผวา ผใู้ ห้คำปรกึ ษาจะตอ้ งวางฐานต่อ การรับสัมผัสอารมณ์ของผู้รับคำปรึกษาในระดับลึก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทำให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถรับรู้อารมณ์ ระดับลึกของตนอย่างเต็มที่ ผู้ให้คำปรึกษาพึงกระทำในลักษณะของการตรวจสอบร่วมกับผู้รับคำปรึกษาถึงความ เปน็ ไปได้ของอารมณ์ระดบั ลึก ไม่ใช่บงั คับให้เขาเผชิญกบั ความรสู้ กึ น้นั 3) บทบาทหนา้ ทีข่ องผูใ้ ห้คำปรกึ ษา วชั รี ทรัพยม์ ี (2556) อธบิ ายบทบาทของผใู้ หค้ ำปรึกษามีหนา้ ทด่ี งั ต่อไปน้ี 1. ทำความเขา้ ใจโลกของผรู้ บั คำปรกึ ษา โดยไมม่ ีการคาดการณ์หรือตัง้ สมมติฐานไว้ก่อนล่วงหนา้ 2. สร้างสัมพันธภาพที่มีพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ยอมรับและมีความเป็นธรรมชาติ ไม่มี อคติ หรือเสแสรง้ แกลง้ ทำ 3. ไม่ใส่หรือป้อนคา่ นิยมและเกณฑ์มาตรฐานใด ๆ ทั้งสน้ิ ให้แก่ผรู้ บั คำปรึกษา 4. รับฟังและมีปฏิกิริยาตอบสนองเอาใจใส่ แสดงความเข้าใจโดยสื่อทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง เพื่อให้ ผู้รบั คำปรกึ ษาทราบถึงความเคารพ การเห็นคณุ ค่า ตลอดจนยอมรบั และมคี วามเข้าใจในตัวผูร้ ับคำปรึกษา 5. แสดงความพยายามส่ือให้ผูร้ บั คำปรกึ ษารบั รู้ถงึ การยอมรับอยา่ งไมม่ เี ง่อื นไข 6. แสดงปฏกิ ริ ยิ าให้ผรู้ บั คำปรึกษารับร้ไู ดว้ ่า มีความเข้าใจในสง่ิ ทเี่ ขาส่ือแสดงออกมาทั้งโดยตรงเปน็ คำพดู และโดยอ้อมด้วยภาษาท่าทาง 7. แสดงให้ผู้รับคำปรึกษารับรู้ได้ว่ามีความไว้วางใจในตัวเขา มีความเชื่อมั่นในความรับผิดชอบและ ความสามารถกำกบั ดูแลตนเองของเขา 8. ส่งเสริมบรรยากาศทเ่ี อ้ือใหผ้ ู้รบั คำปรึกษากล้าท่ีจะทดลองแสดงพฤติกรรมใหม่ 4) เทคนคิ และวธิ กี ารต่าง ๆ แนวคิดนี้ใช้ทักษะการให้คำปรึกษาทั่วไป แต่แก่นสำคัญสำหรับการให้คำปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็น ศูนย์กลาง คือ การสร้างสัพมันธภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการให้คำปรึกษา การให้คำปรึกษาต้องอยู่ภายใต้ บรรยากาศของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แนวคิดนี้ไม่ได้เน้นเทคนิคเหมือนแนวคิดอื่น ๆ แต่เน้นประสบการณ์ที่ เกดิ ขนึ้ ในปจั จบุ ันระหวา่ งผ้ใู หค้ ำปรกึ ษาและผรู้ บั คำปรกึ ษา ทง้ั น้ีผ้ใู ห้คำปรกึ ษาตอ้ งทำให้เงอ่ื นไขท้ัง 3 ประการที่ได้ กล่าวกอ่ นหนา้ น้ีเกิดขึน้ ใหไ้ ด้ โดยอธิบายตัวอย่างวิธีการ ดงั น้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 237 4.1 การส่งเสริมการมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เทคนิคนี้อาจหมายถึงการตั้งใจจดจ่อ การสื่อให้มีความ เข้าใจในภาษาพูด มีความเข้าใจในท่าทาง และการใช้ความเงียบ กล่าวคือ ผู้ให้คำปรึกษาต้องพักเรื่องราวต่าง ๆ ของตนเองระหว่างการให้คำปรึกษา เนอื่ งจากผู้รับคำปรึกษาสามารถรบั รู้ได้ว่าผใู้ หค้ ำปรกึ ษากำลงั ตง้ั ใจฟังเร่ืองราว ของเขาอย่จู ริงหรอื ไม่ จากสหี นา้ ทา่ ทาง สายตา ทำใหเ้ ขา้ ใจความตง้ั ใจของผ้ใู หค้ ำปรึกษาได้ ผู้ให้คำปรึกษาจึงต้อง พักวางเรื่องราว และตั้งใจจดจ่อกับผู้รับคำปรึกษา รวมถึงการใช้น้ำเสียง ผู้ให้คำปรึกษาที่มคี วามจดจ่อ จะสามารถ ช่วยใหผ้ ู้รบั คำปรึกษาลดความรู้สึกด้านลบทมี่ ลี งได้ 4.2 การสื่อแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยภาษาพูด หมายถึงการแสดงความเข้าใจในอารมณ์ ความคิดและเนื้อหาที่ผู้รับคำปรึกษาสื่อสาร โดยสื่อสารกลับไปยังผู้รับคำปรึกษาเพื่อความแน่ใจว่าเข้าใจถูกต้อง หรอื ไม่ โดยการเรยี งรอ้ ยถอ้ ยคำ (Paraphrase) และสะทอ้ นกบั ไปเพ่ือยนื ยนั ความเขา้ ใจ 4.3 การสื่อแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยภาษาท่าทาง การแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งครอบคลุม การแปลความได้ถูกต้องทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง โดยรับรู้ได้จากท่าทาง การเคลื่อนไหว สีหน้า แววตา หน้าผาก ริมฝีปากอากัปกิริยาการใช้มือและเท้า หรือน้ำเสียง ที่อาจสื่ออารณ์โกรธ กลัว สงสัย หลีกหนี ปฏิเสธ ภาษาท่าทางเหล่านี้อาจสื่อออกมามากกว่าคำพูด ผู้ให้คำปรึกษาต้องมีความไวในการสังเกต และสะท้อนอารมณ์ เหล่าน้ี และประเด็นทถี่ กู ข้ามไปอาจแสดงถึงความตงั้ ใจในการหลีกเล่ียงได้ 4. การใช้ความเงียบ ในบางครั้งระหว่างการสนทนา ความเงียบอาจเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากทั้งผู้ให้ คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาต่างกำลังคำนึงอยู่กับสิ่งที่กล่าวออกไป ในช่วงนั้นความเงียบเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ผู้ให้คำปรึกษาอาจสังเกตรับรู้ว่าผู้รับคำปรึกษากำลังอยู่ในห้วงความคิดและความรู้สึก ส่วนการเงียบของผู้ให้ คำปรึกษาจะสะท้อนปฏิกิริยาที่แสดงถึงความเข้าใจผู้รับคำปรึกษาในขณะนั้น และเปรียบเหมือนกับการสื่อใน ทำนองว่าผู้ให้คำปรึกษาเข้าใจและกำลังรอคอยจนกว่าผู้รับคำปรึกษาจะพร้อม หรือผู้ให้คำปรึกษาไม่เร่งรีบเพราะ เชือ่ วา่ ผ้รู ับคำปรึกษามีความสามารถที่จะจดั การ หรือทง้ั ผใู้ ห้คำปรึกษาและผ้รู บั คำปรกึ ษาตอ้ งการเวลาที่จะจัดการ กับเรื่องนั้น ช่วงเงียบไม่ใช่ช่วงที่ผู้รับคำปรึกษาและผู้ให้คำปรึกษาอึดอัดใจ ทั้งสองใช้เลาที่เงียบนั้น สื่อถึงการรับรู้ ด้วยภาษาท่าทาง ซึ่งมีพลังกวา่ การพูดตลอดโดยไม่มคี วามเงียบเลย เมื่อใดที่ผูร้ ับคำปรกึ ษารับรู้ใด้ว่าผู้ให้คำปรึกษา ไม่รสู้ กึ อดึ อดั และยอมรับความเรยี บรับการปรกึ ษาจะมีความพรอ้ มทจี่ ะสำรวจและเปดิ เผยตนเพมิ่ ขึ้น เน่ืองจากผ้รู ับ คำปรึกษาใหก้ ารปรกึ ษาไม่ไดม้ ีความตอ้ งการท่ีจะกำกับหรอื ควบคมุ ตัวเขา 5. การสอ่ื การยอมรับทางบวกอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นการยอมรับทางบวกอย่างไมม่ ีเงื่อนไขว่าเป็นการแสดง การยอมรบั นบั ถือ ผู้ให้คำปรึกษาสามารถส่ือคุณสมบตั ิข้อนี้ต่อผูร้ ับคำปรึกษาโดยแสดงทัศนคตดิ ังนี้ 1) มีความช่วยเหลอื ผู้รับคำปรกึ ษา เพราะมีความเปน็ มนุษย์เหมอื นกนั และมศี กั ยภาพ 2) ตกลงใจแน่วแน่ทีจ่ ะดำเนนิ งานร่วมกับผูร้ ับคำปรึกษา 3) มีความพรอ้ มท่ีจะใหก้ ารสนับสนุนและให้ลงั ใจผู้รบั คำปรกึ ษาในการพฒั นาอัตลกั ษณข์ อง ตนเอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 238 4) มคี วามเช่อื ในศักยภาพของกหรอื การนำตนเอง 5) เช่อื วา่ ผรู้ บั คำปรึกษามีการตกลงใจที่จะเปล่ียนแปลง 5) ขอ้ ดี ทฤษฎีนม้ี ขี ้อดหี รือลักษณะเดน่ หลายประการ ตังตอ่ ไปนี้ (Seligman, 2003) 1. ทฤษฎีนี้สามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของมนุษย์ได้อย่างหลากหลาย นอกเหนือจากการให้การปรึกษาแบบรายบุคคลและแบบกลุ่ม เช่น การเปลี่ยนแปลงในองค์กร สัมพันธภาพ ระหว่างการจัดการและแรงงาน การพฒั นาผนู้ ำ การตดั สินใจเลอื กอาชีพการทตู ระหว่างประเทศ 2. ทฤษฎีนี้ได้รับการทดสอบสมมุติฐาน กล่าวคือมีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนทฤษฎีนี้และนักวิจัยที่ สนบั สนนุ ทฤษฎีนย้ี งั ได้คิดคนั วิธีการประเมนิ ความกา้ วหน้าของผรู้ ับคำปรกึ ษา แนวคดิ ของทฤษฎีนีจ้ ัดเป็นแนวคิดท่ี รเิ ริ่มใหม้ กี ารวจิ ัยตวั แปรทีม่ คี วามจำเปน็ ต่อการเปลย่ี นแปลงที่ได้รบั จากการทำจิตบำบัด 3. ทฤษฎีนี้ได้รับการทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ เพราะการให้การปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง สามารถส่งเสริมการปรับตัว การเรียนรู้ การอดทนต่อความคับข้องใจ การลดการป้องกัทฤษฎีนี้หมาะสำหรับ ช่วยเหลือผทู้ ม่ี คี วามวติ กกังวลระดับอ่อนถึงปานกลาง หรือผ้ทู ี่มีควานผดิ ปกติในการปรบั ตวั 4. แนวคิดนี้ได้ยกระดับความสำคัญของการฟัง การเอาใจใส่ และความเข้าใจในปรึกษา ในการฝึกผู้ให้ คำปรกึ ษา นกั จติ วทิ ยา มสี ว่ นตอ่ การพฒั นาทกั ษะการเปน็ ผู้ฟงั การตอบสนอง และทักษะการสอื่ สมั พันธ์ 5. ให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพอย่างเปิดเผยระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา กระบนการ ชว่ ยเหลือทใ่ี ช้เวลาน้อย และคณุ ลักษณะไดร้ ับการยอมรับว่าสามารถเขา้ ถึงบุคคลไดอ้ ย่างหลากหลาย 6. แนวคิดนี้แสดงมุมมองทางบวกต่อธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อทฤษฎีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกถูกจัดว่ามี ลักษณะของการปฏิรูปรูปแบบการบำบัดในสมัยนั้น ที่มีมุมมองตอ่ มนุษยใ์ นทางผู้ถูกกำหนด เหตุผลที่ชัดเจนในการ อธิบายว่าทำไมมนุษย์เปลี่ยนแปลงก็คือ ความเชื่อในความสามารถของมนุษย์ที่จะเปลี่ยน ผู้ให้คำปรึกษาในแนวคดิ นเ้ี ปน็ ผู้ทม่ี คี วามเชอ่ื อยา่ งแรงกลา้ ตอ่ กระบวนการเปลย่ี นแปลงของมนษุ ย์ 6) ขอ้ จำกัด 1. หลักการและปรัชญาของทฤษฎีอาจไม่มีความสอดคล้องเหมาะสมกับความเชื่อและทัศนคติของผู้ให้ คำปรึกษาทุกคน ถึงแม้เข้าใจในแนวคิดของทฤษฎีน้ีก็ตาม 2. แนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับการยอมรับและการมีความเข้าใจผู้รับกาซึ้ง ผู้ให้คำปรึกษาบางคนอาจมี ความรู้สึกร่วมกับผู้รับคำปรึกษามากเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ให้คำปรึกษาปรึกษา นอกจากนี้ผู้ให้คำปรึกษาที่ให้ ความสำคัญกับทักษะการฟังและการสะทอ้ นเท่าน้ัน อาจทำให้ผรู้ บั คำปรึกษาเกิดความไม่เชือ่ ถือได้ 3. แนวคิดนี้จะเกิดผลดีที่สุดถ้าผู้รับคำปรึกษามีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขปัญหา รวมถึงเป็นผู้มีสติปัญญา และสามารถหยัง่ รู้เขา้ ใจ จงึ ไม่สามารถใชก้ บั เดก็ เล็กได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 239 4. แนวคิดนี้จะสะท้อนผู้รบั คำปรึกษาตามจังหวะทีผ่ ูร้ ับคำปรึกษามีความพรอ้ ม ผู้รับคำปรึกษาบางคนอาจ ไม่พร้อมที่จะสำรวจตนในระดับลึก ซึ่งผู้ให้คำปรึกษาจะไม่สามารถได้ข้อมูล ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช้เวลานานพอ อาจทำ ให้ผู้รบั คำปรกึ ษาอาจไมเ่ กดิ การหย่งั รูต้ นเองในระดบั ลกึ ซง่ึ ส่งผลใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงท่ีไมถ่ าวร 5. หลักการของการใหค้ ำปรึกษา ผใู้ ห้คำปรึกษายดึ หลักตอ่ ไปนี้ในการพจิ ารณาการใหค้ วามช่วยเหลอื บุคคล (แกว้ ตา ผพู้ ฒั นพงศ,์ 2561) 1. ผู้มาขอรับคำปรึกษาเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยขอความช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษา ไม่ใช่ มาขอความชว่ ยเหลอื เพราะถูกบังคับ 2. การให้คำปรึกษามีวัตถุประสงคใ์ ห้ผขู้ อรบั คำปรกึ ษาร้จู ักตนเอง ผ้อู น่ื และสิ่งแวดล้อมใหด้ ยี ่ิงข้ึน ไม่ว่าจะ เปน็ ความรสู้ กึ ความเข้าใจ การตัดสนิ ใจ และการนำไปปฏบิ ัตเิ พือ่ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ และเหมาะสมยง่ิ ข้ึน 3. ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนและอบรมทางด้านการให้คำปรึกษาโดยเฉพาะและเป็น อยา่ งดี 4. ผู้ใหค้ ำปรกึ ตอ้ งยึดหลกั วา่ ผู้ขอคำปรึกษาทกุ คนมสี ิทธิและความสามารถในการตดั สินใจหรือปัญหาด้วย ตนเอง ดงั น้ันผู้ให้คำปรึกษาไมค่ วรตดั สินใจแทนผูร้ บั คำปรึกษา เพียงชว่ ยเหลือในเรื่องของการตัดสินใจเท่านัน้ 5. ผู้ให้คำปรึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้ขอคำปรึกษาแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านความคิด ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด ตลอดจนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นผู้มาขอรับคำปรึกษาจึงมีทุก เพศ ทกุ วยั ซงึ่ แตล่ ะคนจะมคี วามแตกต่างกันในเรอ่ื งดงั กลา่ ว 6. ขอบขา่ ยของการใหค้ ำปรกึ ษา ในกระบวนการใหค้ ำปรกึ ษามีขอบขา่ ยที่ที่เก่ยี วข้องดังต่อไปนี้ (ธรี พฒั น์ วงศ์คมุ้ สนิ ,2560 ; แกว้ ตา ผู้พัฒน พงศ์ , 2561 ; วชั รี ทรัพยม์ ี , 2556) 1. ผู้รับคำปรกึ ษา 2. ผู้ใหค้ ำปรกึ ษา 3. ความสัมพันธ์ของการให้คำปรึกษา 4. แนวคดิ ทฤษฎีและประเภทของการใหค้ ำปรกึ ษา 5. กระบวนการการให้คำปรกึ ษา 1. ผู้รับคำปรึกษา คือบุคคลที่มีปัญหา และต้องการการเรียนรู้ เพื่อที่จะเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง และ เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขพฤติกรรมบางประการ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากบุคคลนั้นมีปัญหาอย่างใด อย่างหนึ่ง ซ่ึง สามารถจำแนกไดด้ งั นี้ 1.1 ปัญหาความคิด เกิดจากบุคคลไม่รู้และเข้าใจตนเองในด้านต่าง ๆ ดีพอ มีความวิตกกังวล สับสนในความรู้สึก ความต้องการและการรับรู้ เช่น ไม่สามารถตัดสินใจว่าควรทำงานขั้นใดก่อน ปัญหาดังกล่าว

240 อาจเนื่องมาจากผู้ขอคำปรึกษาขาดข้อมูล หรืออาจได้ข้อมูลไม่ถูกต้องปัญหาระดับความคิดมาจาก เช่น การขาด ขอ้ มูลเกีย่ วกบั ตนเอง ขาดข้อมูลเก่ียวกบั ส่ิงแวดลม้ การไดร้ ับขอ้ มูลทีไ่ มถ่ ูกต้อง 1.2 ปัญหาด้านความรู้สึก เกิดจากบุคคลมีความรูส้ ึกเศร้าใจ เสียใจ ไม่สบายใจในเรื่องต่าง ๆ ถ้า หากเก็บความรู้สึกดังกล่าวไว้นาน ๆ อาจทำให้เป็นคนเก็บกดทางด้านอารมณ์ เช่น การน้อยใจเพื่อน หรือ ผใู้ ต้บงั คับบญั ชาไมเ่ ชือ่ ฟัง ความท้อแท้ เศร้า หรือปัญหาในการใชช้ วี ิต 1.3 ปัญหาด้านพฤติกรรม บุคคล เมื่อเกิดปัญหาด้านความคิดและความรู้สึกยอ่ มส่งผลให้เกดิ ผล ในด้านพฤติกรรมตอ่ ไป เช่น การขาดงาน ทำงานไมม่ สี ทิ ธิภาพ ปัญหาการตดิ สารเสพติด 2. ผู้ให้คำปรกึ ษา คือบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ได้รับการฝึกฝน หรือมีประสบการณเ์ ก่ียวกับการให้ คำปรึกษามาก่อน โดยยึดหลักการปฏิบัติการให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา และมีความไวต่อสถานการณ์ การ ประยุกตใ์ ช้แนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกบั ผรู้ ับคำปรกึ ษาและความถนัดของตนเอง 3. ความสัมพนั ธข์ องการให้คำปรึกษา ความสัมพันธข์ องการให้คำปรกึ ษาเกดิ จากคนสองฝ่ายทีเ่ ก่ียวขอ้ ง กัน ทำให้เกิดการให้คำปรึกษา เช่น พนักงานเป็นผู้ขอคำปรึกษากับหัวหน้า ผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาชีพ ความ เกี่ยวพันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของการให้คำปรึกษา ขณะเดียวกัน หัวหน้างานไม่สามารถที่จะละเลยความ ต้องการการช่วยเหลือของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เลย โดยความสัมพันธ์ในการให้คำปรึกษาต้องเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ ผู้ให้คำปรึกษา และไม่ขัดกับหลักจรรยาบรรณในการให้คำปรึกษา สามารถแยกความสั มพันธ์ส่วนตัวกับ ความสมั พนั ธ์ทางอาชพี ได้ หากไม่สามารถทำได้ควรมีการสง่ ต่อการใหค้ ำปรึกษาน้ีให้กบั ผใู้ ห้คำปรกึ ษาท่านอ่ืน 4. แนวคิดทฤษฎีและประเภทของการให้คำปรึกษา ในการให้คำปรึกษามีแนวคิดการให้คำปรึกษาหลาย แนวคิด ซึง่ แตล่ ะแนวคิดมีมมุ มองธรรมชาตมิ นุษย์ เป้าหมาย เทคนิค กระบวนการในการใหค้ ำปรึกษาท่แี ตกต่างกัน ขณะ ผู้ให้คำปรึกษาสามารถใช้แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งหรือบูรณาการแต่ละแนวคิดในการให้คำปรึกษาได้ ประเภท ของการให้คำปรกึ ษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การให้คำปรึกษารายบุคคล (Individual Counseling) และการ ให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม (Group Counseling) 5. กระบวนการการให้คำปรึกษา กระบวนการให้คำปรึกษามีขั้นตอนและวิธีการที่เกี่ยวเนื่องเป็นขั้นเป็น ตอนลำดับก่อนและหลัง ซึ่งต้องมีการกำหนดเป้าหมาย การใช้วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา การเลือกใช้แนวคิดและ ทฤษฎีการให้คำปรึกษาว่าควรใช้วิธีการใด รวมถึงเทคนิคการให้คำปรึกษา จนถึงขั้นการประเมินผลการให้ คำปรกึ ษาว่ามีความพรอ้ มในการยตุ ิการใหค้ ำปรกึ ษาหรอื ไม่ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 241 7. รูปแบบของการใหค้ ำปรกึ ษา การให้คำปรกึ ษาแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือการใหค้ ำปรึกษาแบบกลมุ่ และการให้คำปรกึ ษารายบุคคล ซึง่ มีหลกั การ จดุ มุง่ หมาย ข้อดีและขอ้ จำกัดท่แี ตกตา่ งกัน สามารถอธิบายได้ดงั น้ี 7.1 การให้คำปรกึ ษารายบคุ คล (Individual Counseling) การให้คำปรึกษารายบุคคลเป็นกระบวนการให้คำปรึกษาระหว่างผู้รับคำปรึกษาและผู้ให้คำปรึกษา โดย การสร้างสัมพันธภาพ และมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาสำรวจปัญหา ยอมรับและเพื่อร่วมกันหา แนวทางใหก้ ับผู้รบั คำปรึกษา โดยผรู้ ับคำปรึกษาเป็นผตู้ ดั สินใจเลือกแนวทางดว้ ยตนเอง 1) วัตถุประสงคข์ องการให้คำปรึกษารายบคุ คล วตั ถุประสงคข์ องการใหค้ ำปรกึ ษารายบคุ คล คือ เพ่ือช่วยให้ผูร้ ับคำปรึกษาไดส้ ำรวจ รู้จักและเข้าใจตนเอง อย่างถูกต้อง มีแนวคิด ความรู้และทักษะที่ถูกต้องเหมาะสมในด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งระบายความไม่สบายใจของ ตนเองออกมาให้ผู้อื่นรับฟังเสมือนการริเริ่มไว้วางใจ สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น นำไปสู่การมองเห็นวิธีในการ แก้ปัญหา และตัดสินใจและรับผิดชอบด้วยตนเอง สามารถเผชิญความยุ่งยากต่าง ๆ ในชีวิตได้ด้วยการปรับตัวและ แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งของตนเอง 2) หลกั ของการใหค้ ำปรกึ ษารายบคุ คล ผู้ให้คำปรกึ ษาจะยดึ หลกั การให้คำปรกึ ษา เพ่ือเป็นแนวทางใหค้ วามช่วยเหลือบคุ คล ดังนี้ (แก้วตา ผู้พฒั น พงศ์,2561) 1) ผรู้ ับคำปรึกษาเต็มใจท่จี ะเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ไม่ใชก่ ารถกู บังคบั 2) ผูใ้ ห้คำปรกึ ษาต้องเปน็ ผูม้ ีความรู้ ทักษะ ได้รบั การฝึกฝนมาเปน็ อย่างดี 3) ผใู้ ห้คำปรึกษาจะต้องยดึ หลกั ว่าทกุ คนมีสทิ ธแิ ละความสามารถในการตัดสนิ ใจหรอื แก้ปญั หาดว้ ยตนเอง ไมใ่ ห้คำปรึกษาไม่ควรตดั สินใจแทน 4) ผูใ้ หค้ ำปรกึ ษาตอ้ งยดึ หลกั ความแตกต่างกันระหวา่ งบคุ คล ทั้งเช้ือชาติ ศาสนา เพศ ทัศนคติ ความชอบ ความถนัดและอ่นื ๆ 7.2 การใหค้ ำปรกึ ษาแบบกล่มุ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 242 ภาพท่ี 2 ตวั อย่างการให้คำปรกึ ษาแบบกลมุ่ ท่มี า : https://caps.tamu.edu/groupcounseling/ การให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม (Group counseling) เป็นวิธีการที่ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะการจัด กลุ่มแตกต่างกันไปตามลักษณะของปัญหา โดยการเพิ่มการตระหนักในตนเองและความสามารถในการสื่อสาร ระหว่างบุคคล การให้คำปรึกษาแบบกลุ่มสามารถใช้ได้กับลักษณะของปัญหาที่หลากหลาย เช่น ผู้ติดยาเสพติด ผู้ ถูกทารุณกรรม กลุ่มการปรบั ตัว กลุ่มผมู้ ีปัญหาครอบครัว ปญั หาการเรยี น ชว่ งวยั การให้คำปรึกษาแบบกลุ่มเป็นกระบวนการที่ผู้ให้คำปรึกษาดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษา ซึ่ง เป็นสมาชิกภายในกลุ่มที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน โดยเน้นการสร้างสัมพันธภาพที่ดี บรรยากาศที่ไว้วางใจได้ สมาชิก กล้าที่จะเปิดเผยตนเองในการแสดงความรูส้ ึกและความคิดเห็นที่เป็นประโยชนข์ องตนเองและเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจต่อกัน เป็นผลให้สมาชิกมองเห็นตนเอง ปรับปรุงและสามารถผ่าน พ้นปญั หาไดด้ ้วยตนเอง 1) จดุ มงุ่ หมายของการให้คำปรึกษาแบบกล่มุ การศึกษาของ Corey (2015) และ ผอ่ งพรรณ เกิดพทิ กั ษ์ (2554) ผวู้ ิจัยสามารถสรปุ เปา้ หมายของการให้ คำปรึกษาแบบกลมุ่ ได้ ดงั นี้ 1) เพอื่ ชว่ ยให้สมาชกิ แตล่ ะคนในกล่มุ รจู้ ัก เข้าใจและไวว้ างใจตนเอง 2) เพ่อื ชว่ ยให้สมาชิกยอมรบั ตนเอง นบั ถอื ตนเอง และรู้สึกวา่ มีคุณคา่ 3) เพื่อช่วยให้สมาชิกได้พัฒนาวิธีการ ทักษะ ความสามารถต่าง ๆ มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมทเี่ หมาะสม 4) เพื่อช่วยให้สมาชิกพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาของตนเอง และเมื่อเผชิญกับปัญหา สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาดว้ ยแนวทางที่มปี ระสิทธิภาพ 5) เพื่อให้สมาชิกพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการ และความรู้สึกของผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อ ตนเอง สามารถเผชิญหนา้ กบั ปญั หา และมกี ารเรยี นรูก้ ารมีปฏสิ ัมพนั ธก์ ับสมาชิกในกลุ่ม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 243 6) เพอ่ื ส่งเสรมิ สรา้ งสมั พันธภาพทดี่ ี และการไว้วางใจผู้อื่น 2) หลกั ของการใหค้ ำปรกึ ษาแบบกลมุ่ จากการสังเคราะห์งานของวิชาการหลายท่านได้เสนอหลักการ ลักษณะพื้นฐานของกลุ่ม เพื่อให้เกิดการ เปลย่ี นแปลงแปลงพฤติกรรมและการตัดสนิ ใจ สามารถสรปุ ไดด้ ังนี้ (Corey, 2015 ; ผอ่ งพรรณ เกิดพทิ กั ษ์ , 2554 ; วัชรี ทรัพย์มี , 2556) 1) สมาชิกมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้กลุ่มมีความมั่นคง ปลอดภัย พร้อมแสดงหรือช่วยเหลือใน การจดั การกบั ปัญหาต่าง ๆ ได้ และมพี ลงั ความเข้มแขง็ จากสมาชิกท่ีมีความเปน็ ตัวของตัวเอง 2) สมาชิกมีศักยภาพ แสดงความต้องการของตนเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และรับผิดชอบต่อการ เปลี่ยนแปลงน้นั และพร้อมรับฟังความคดิ เหน็ ของผูอ้ ืน่ ท่มี ตี อ่ ตนเอง 3) สมาชิกต้ังเป้าหมายของกลุ่มและเรยี นรู้ที่จะเขา้ ใจจดุ มุง่ หมาย และวิธกี ารของกลุ่ม 4) สมาชิกจะเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาจากการมีปฏิสัมพันธ์ ซักถาม เปรียบเทียบ และสรุปข้อคิดเห็นต่าง ๆ ของสมาชกิ ในกลุม่ 5) ประเด็นต่าง ๆ ที่อภิปรายร่วมกันเป็นเพียงเคร่ืองมือในการดำเนนิ กลุ่ม สมาชิกสามารถแสดงความร้สู ึก ไดท้ ั้งภาษาพูดและภาษาทา่ ทาง 6) สมาชิกแก้ไขปัญหาให้ตนเอง และสมาชกิ ในกลมุ่ 7) สมาชิกตดั สินใจดว้ ยตนเอง วา่ จะพัฒนาตนเองอย่างไร 8) ในการเผชิญกับปัญหาหรือการแก้ปัญหา มีวิธีเลือกหลายวิธี ผู้ให้คำปรึกษาจะ ช่วยให้สมาชิกเห็น แนวทางจากทางเลือกต่าง ๆ และนำไปปฏบิ ัติในชวี ติ ประจำวนั ได้ จะเหน็ ได้ว่า หลกั การสำคญั ของการให้คำปรกึ ษาแบบกลมุ่ น้ัน จะยึดผรู้ ับคำปรกึ ษาเปน็ หลัก มุ่งสร้าง บรรยากาศที่ปลอดภัย เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นและช่วยเหลือตนเองและสมาชิกในกลุ่มให้สามารถจัดการกับ ปัญหาได้ 3) องคป์ ระกอบของการปรกึ ษาแบบกลุ่ม 1) สมาชิกกลุ่ม (Group member) สมาชิกภายในกลุ่มการให้คำปรึกษาเป็นบุคคลที่มีปัญหาท่ี คล้ายคลึงกัน รวมถึงระดับอายุ การศึกษา สถานภาพทางสังคมที่ไม่แตกต่างกันมากเกินไป สมาชิกจะได้รับการ ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการร่วมกลุ่ม และตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มด้วยตนเอง เมื่อเข้าร่วมกลุ่มแล้วสมาชิกจะได้รับ ขอ้ ตกลงทีค่ วรปฏบิ ตั ริ ่วมกันเพือ่ เป็นแนวทางในการดำเนนิ การของกลุม่ เป็นไปด้วยความสำเร็จ 2) ผู้นำกลุ่ม (Group Leader) เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากต่อกลุ่ม กล่าวได้ว่ากลุ่มให้คำปรึกษาจะ ดำเนินได้อย่างราบรื่นเพียงใดขึ้นอยู่กบั ความสามารถของผู้นำกลุ่ม ซึ่งผู้นำกลุ่มควรมีลักษณะของผู้นำกลุ่มทีด่ ี เช่น มีประสบการณ์ ไม่ด่วนตัดสิน มีทักษะ มองโลกในแง่ดี มีท่าทางอบอุ่นและมีความใส่ใจ โดยที่ผู้นำกลุ่มมีหน้าที่ใน การส่งเสริมให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม (Promoting interaction) เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ไว้วางใจกันเอง เกิดการ ยอมรับซึ่งกันและกัน เอื้อให้การปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม (Facilitating interaction) การริเริ่ม (Initiating) การชี้นำ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 244 (Guiding) การสอดแทรก การรวบรวมความรู้สึกนึกคิดเข้าด้วยกัน (Consolidation) การรักษากฎ (Rule- keeping) สนับสนุนให้สื่อความกันอย่างถูกต้อง (Enhancing communication) การแก้ไขความขัดแย้ง (Resolving conflicts) รวมถึงการมีทักษะที่จำเป็นต่าง เช่น การฟัง การทวนซ้ำ การสะท้อนความรู้สึก การทำให้ เกดิ ความกระจา่ ง การสรปุ ความ 8. คุณสมบตั ิของผใู้ หค้ ำปรึกษา เพื่อให้ผู้ให้คำปรึกษาสามารถแสดงบทบาทได้อย่างเหมาะสมกับวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ให้ คำปรึกษาควรมีคุณลักษณะส่วนตัวทั้งด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ ดังต่อไปนี้ (Corey, 2015 ; Hansen, Rosenberg & Cramer,1994 ; ธรี พฒั น์ วงศ์คมุ้ สิน , 2560) 1. คณุ ลกั ษณะดา้ นความรู้ ได้แก่ คุณลกั ษณะตอ่ ไปน้ี 1.1 มีความรู้ความเข้าใจในเทคนิควิธีและกระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการ ใหบ้ ริการปรกึ ษาอย่างมรี ะบบ 1.2 เข้าใจทฤษฎีการให้คำปรึกษาต่าง ๆ ทั้งในด้านหลักการ เป้าหมาย และกระบวนการ ซึ่งรวมท้ัง ขน้ั ตอนและเทคนคิ หรอื ทกั ษะในการให้บริการปรกึ ษา 1.3 มีความรคู้ วามเข้าใจทางด้านจิตวิทยาทเ่ี ก่ียวกับพฒั นาการและการแสดงพฤติกรรมของบคุ คล 1.4 มีความรอบรู้ในเรื่องการศึกษาต่อและอาชีพต่าง ๆ ในสังคมจนสามารถให้รายละเอียดที่จำเป็น แก่ผรู้ ับบรกิ ารปรึกษาได้ 1.5 มีความรอบรู้เกี่ยวกับแหล่งวิทยาการและสถานประกอบการต่าง ๆ ที่สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็น แก่ผู้รบั บรกิ ารปรกึ ษาได้ 1.6 มีความรเู้ ร่อื งอื่น ๆ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ เชน่ วฒั นธรรม วธิ ีลดความเครียด การสรา้ งสุขภาพกายและ สุขภาพจติ ทด่ี ี 2. คุณลกั ษณะด้านทักษะ ไดแ้ ก่คุณลักษณะตอ่ ไปนี้ 2.1 มีทักษะในการเลือกใช้เครื่องมือเพื่อการรวบรวมข้อมูลและแปลความหมายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ การใหบ้ ริการปรึกษาแกผ่ รู้ ับบรกิ ารปรึกษาแตล่ ะคนอยา่ งเหมาะสม 2.2 ทที่ กั ษะในการสร้างมนษุ ยสมั พนั ธท์ ี่ดีกบั บคุ คลทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.3 มีทักษะในการใหบ้ รกิ ารปรกึ ษาทกุ ข้นั ตอน ทง้ั แบบเปน็ รายบคุ คล และแบบเปน็ กลุ่ม 2.4 มที ักษะในการจัดการกับความวิตกกงั วลของตนได้ 3. คณุ ลกั ษณะด้านเจตคติ ได้แก่คุณลักษณะต่อไปนี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 245 3.1 ตระหนักในความสำคัญของการยอมรับตนเองและการยอมรับผู้รับบริการปรึกษา เพราะ สัมพนั ธภาพระหว่างผู้ใหค้ ำปรกึ ษาและผูร้ ับบรกิ ารปรกึ ษาเป็นส่งิ สำคัญท่สี ดุ ของกระบวนการการให้บรกิ ารปรกึ ษา 3.2 ตระหนักในความเปน็ ตัวตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของตน และเห็นคุณค่าของการเปิดเผยตนอย่างจรงิ ใจ 3.3 ตระหนักในความตอ้ งการของตน เหน็ คณุ คา่ ของตง้ั เปา้ หมายชวี ติ และการตรวจสอบความสำเรจ็ ท่ี จะนำไปสูเ่ ปา้ หมายนนั้ 3.4 มคี วามนับถอื และตระหนักในคุณค่าหรือความสำคัญของตน 3.5 มีวิสยั ทศั น์ทเี่ ปิดกว้างและพร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลง 3.6 เข้าใจสถานการณแ์ ละโลกของผู้ให้คำปรึกษาได้อยา่ งแท้จริงโดยไม่เอาประสบการณเ์ ฉพาะของตัว หรอื โลกของตวั เองเข้าไปเกยี่ วข้อง 3.7 แยกเรื่องส่วนตวั กับการใหค้ ำปรกึ ษาได้ 3.8 ไม่ตัดสนิ ผอู้ น่ื ดว้ ยทศั นคติของตนเอง 3.9 มีความรสู้ กึ และความคิดทด่ี ีตอ่ ทางเลือกในการทำงานใหมๆ่ และหลากหลาย 3.10 มีความยืนหยุน่ ปรบั ตวั ไดก้ บั สถานการณ์ตา่ ง ๆ อทิ ธพิ ลของปจั จัยทางสังคมจิตวทิ ยาของผ้ใู หค้ ำปรึกษาต่อการให้การปรกึ ษา ผู้ให้คำปรึกษาที่มีภูมิหลัง หรือประสบการณ์บางอย่างอาจทำให้ผู้ให้คำปรึกษาแสดงพฤติกรรมที่อาจเป็น อุปสรรคต่อประสิทธิภาพในการใหก้ ารปรกึ ษาได้ ดังน้ี 1. เลือกปฏิบัติ ในการให้ความช่วยเหลือผู้รับบริการปรึกษานั้น เนื่องจากผู้ให้คำปรึกษาก็เป็นมนุษย์ คนหนึ่งที่มีอารมณ์ และความรู้สึก การแสดงออกของอารมณ์ความรู้สึกจึงออกมากับท่าทีในการให้การช่วยเหลือ ต่อผู้รับบริการปรึกษา โดยอาจแสดงท่าที่รังเกียจ หรือปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการปรึกษาที่ตนเอง รสู้ กึ ไม่ชอบในพฤติกรรม ไมต่ อบสนองความตอ้ งการ ไมป่ ฏบิ ัติตามคำแนะนำ หรือไมใ่ ห้ความรว่ มมอื 2. ชอบตัดสินผู้อื่น บางครั้งเมื่อผู้รับบริการปรึกษามีพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่เหมาะสมในสายตา ของคนทั่วไป ผู้ให้คำปรึกษาอาจอาศัยประสบการณ์เดิมของตนเอง แปลความหมายว่าการที่ผู้รับบริการปรึกษามี พฤติกรรมอย่างนั้นเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ ซึ่งเป็นเพียงสมมติฐานหรือความเชื่อของตัวผู้ให้คำปรึกษาเองเอง เป็น การนำเอาความเชื่อของตนเองไปสวมทับพฤติกรรมที่ผู้รับบริการปรึกษาโดยไม่ได้มีการตรวจสอบว่าแรงจูงใจ หรือ สาเหตุแห่งการกระทำนั้นเป็นจริงหรือไม่ จึงอาจประเมินผู้รับบริการปรึกษาทางลบ และอาจมีผลต่อการช่วยเหลือ ได้ 3. มีอคติ ผู้ให้คำปรึกษาทำตัวเหมือนกับเป็นตัวแทนของสังคมในห้องให้การปรึกษา เมื่อผู้รับบริการมี พฤตกิ รรมท่ไี มเ่ ป็นท่ียอมรับหรอื ผิดไปจากค่านยิ มของสังคมโดยทั่วไป และอาจจะขัดกบั เจตนคติของผู้ใหค้ ำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาเหล่านน้ั ก็มักจะแสดงออกถึงค่านยิ มของตน เชน่ ตนเองไม่ชอบผู้ชายรักร่วมเพศ ก็อาจจะตำหนิผู้รับ ที่มารับบริการที่เป็นชายรักร่วมเพศ โดยลืมไปว่าตนต้องทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่คนเหล่านั้นโดยไม่เลือกวา่ เปน็ คนแบบไหน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 246 4. ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ในการให้ความช่วยเหลือผู้รับบริการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษามักจะยึดสิ่งท่ี ตนเองคิด ความรู้สึกและความรู้ที่ตนเองมี พร้อมทั้งตั้งใจให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามความเห็นของ ตนเอง และวิธีการที่ผู้ให้คำปรึกษาเลือกให้ โดยไม่ตรวจสอบว่าผู้รับบริการปรึกษามีความพร้อมที่จะร่วมมือ หรือ รับการช่วยเหลือตามที่ผู้ให้คำปรึกษาหวังเพียงใด ทำให้การแก้ไขระยะยาวมักประสบความล้มเหลวได้ง่าย อันเป็น ผลมาจากความไมพ่ รอ้ มของตวั ผ้บู รกิ ารปรึกษานั่นเอง 9. จรรยาบรรณการให้คำปรึกษา จรรยาบรรณ สมาคมการให้การปรึกษาสหรัฐอเมริกา (The American Counseling Association : ACA) ได้กำหนด กฎ กติกา เพื่อรักษามาตรฐานของผู้ที่อยู่ในวิชาพให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีคุณธรรมและอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน โดยกำหนดในปี ค.ศ. 1997 ในที่นี้จะขอนำเสนอเพียงบางหมวดหมู่ ดังนี้ (Corey et al, 1998; ดวงมณี จงรักษ์, 2556) หมวด ก สมั พันธภาพการให้การปรกึ ษา 1. สวัสดภิ าพของผู้รบั คำปรกึ ษา 1.1 ความรับผิดชอบเบื้องต้น : ผู้ให้คำปรึกษามีความรับผิดชอบเบื้องตัน โดยแสดงความ เคารพในศักด์ิศรแี ละสง่ เสริมสวสั ดิภาพของผูร้ ับคำปรกึ ษา 1.2 การพัฒนาและงอกงามทางบวก : ผู้ให้คำปรึกษาสนับสนุนให้เกิดการพัฒนางอกงามโดย ตระหนักถึงความต้องการ ความสนใจ และสวสั ดกิ าร หลกี เลีย่ งสมั พนั ธภาพผรู้ ับคำปรึกษาเกิดการพง่ึ พงิ 1.3 การวางแผนให้การปรึกษา : ผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด แผนการปรึกษาที่สนอผลของความสำเร็จที่เป็นไปได้ โดยมีความสอดคความสามารถและสถานการณ์ของผู้รับ คำปรึกษา ทั้งคู่ร่วมกันทบทวนแผนเพื่อความมั่นใจในประสิทธิผล และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับ คำปรึกษา 1.4 การมสี ่วนรว่ มของครอบครัว : ผใู้ หค้ ำปรกึ ษาต้องเข้าใจวา่ ครอบครัวมีความสำคัญต่อผู้รับ คำปรึกษา ดงั นัน้ ควรทำความเข้าใจครอบครวั และดงึ ให้เขา้ มามีสว่ นร่วมถา้ เหน็ วา่ มีความเหมาะสม 1.5 ต้องการในวิชาชีพและการจ้างงาน : ผู้ให้คำปรึกษาร่วมกับผู้รับการปริเลือกอาชีพที่ สอดคล้องกับความสามารถ โดยคำนึงถึงข้อจำกัด ความสนใจ ความถนัด ทักษะทางสังคม พื้นฐานอารมณ์ คุณลักษณะและบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องของผู้รับคำปรึกษาและผู้ให้คำปรึกษาจะต้องไม่ชักจูงในเลือกงานที่ทำลาย สวัสดภิ าพของผ้รู บั คำปรกึ ษา 2. สิทธิของผูร้ บั คำปรกึ ษา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 247 2.1 การเปิดเผยแก่ผู้รับคำปรึกษา : เมื่อผู้รับคำปรึกษาขอให้มีการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษา จะต้องแจ้งให้ผู้รับคำปรึกษาทราบถึงจุดประสงค์ เป้าหมาย เทคนิค กระบวนกวามเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และ ประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงการใช้แบบทดสอบ (ถ้ามี) และการรายงานผล ค่าใช้จ่ายและการชำระ และเนื่องจาก ผู้รับคำปรึกษามีสิทธิที่จะคาดหวังว่าเรื่องราวของตนจะเป็นความลับ ดังนั้นผู้ให้คำปรึกษาต้องแจ้งถงึ ข้อจำกดั เช่น กรณีทกี่ ารช่วยเหลอื ตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื จากผ้อู ่นื หรือการปรกึ ษาที่อยู่ภายใต้การดูแลแนะนำ 2.2 อิสระในการเลือก : ผู้ให้คำปรึกษาเสนอสิทธิแก่ผู้รับคำปรึกษา ในการตัดสินใจว่าจะมี สัมพันธภาพการปรึกษาต่อกนั 3. ผรู้ บั คำปรกึ ษาทผ่ี า่ นการรับการปรกึ ษาจากผูอ้ ืน่ ผู้ให้คำปรึกษาท่ีกำลังให้บริการกับผู้รับคำปรึกษา เมื่อทราบวา่ ผู้รับคำปรึกษาเคยผ่านการปรึกษาจากผูอ้ ื่น ด้วยความยินยอมจากผู้รับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาต้องแจ้งให้ผู้นั้นทราบ เพื่อเกิดความเข้าใจและตกลงร่วมกันท่ี จะไมส่ รา้ งความสับสนและความขดั แยง้ กับผรู้ ับคำปรกึ ษา 4. ความต้องการและคา่ นิยมสว่ นบคุ คล 4.1 ความต้องการส่วนบุคคล : ในสัมพันธภาพของการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักถึง ความใกล้ชิดสนิทสนมและความรับผิดชอบในการรักษา โดยเคารพผู้รับคำปรึกษาและหลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมที่ ตอบสนองความตอ้ งการสว่ นตนวามต้องการสว่ นตน 4.2 ค่านิยมส่วนบุคคล : ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักรู้ถึงค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ และ พฤติกรรมของตนตอ่ สังคมที่มีความหลากหลาย และหลีกเลย่ี งการยัดเยียดค่านิยมเหลา่ นีแ้ กผ่ ้รู บั คำปรกึ ษา 5. สมั พนั ธภาพสองสถานะ 5.1 หลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้ : ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักถึงอิทธิพลที่มีต่อผู้รับคำปรึกษา หลีกเลี่ยงการใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจและพึ่งพิงของผู้รับคำปรึกษา ปหลีกเสี่ยงการใช้ประโยชน์จากความ ไว้วางใจและพึง่ พิงของผู้รับคำปรกึ ษา ผู้ให้คำปรกึ ษากระทำอย่างเตม็ ทเ่ี พ่ือหลกี เลย่ี งสัมพันธภาพ 2 สถานะกบั ผ้รู บั คำปรึกษา เพราะอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางวิชาชีพ หรือมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้รับคำปรึกษาเสียหาย สัมพันธภาพอื่นที่นอกจากการให้การปรึกษา เช่น สัมพันธภาพทางสังคม ในฐานะเป็นครอบครัว ในเชิงการเงิน ธุรกิจ หรือความใกล้ชิดส่วนตัว ในกรณีที่สัมพันธภาพ 2 สถานะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้ให้คำปรึกษาพึงเพิ่มความ ระมัดระวังต่อการให้คำปรึกษา โดยการปรึกษาหรือขอคำแนะนำผู้อื่น โดยมีหลักฐานการให้คำปรึกษา หรือมี ผู้ปกครองแสดงความยินยอม ทั้งนี้เพือ่ ความมั่นใจถึงการปฏิบัติหน้าที่ ว่าการหาประโยชน์จากผู้รับคำปรึกษาจะไม่ เกิดขนึ้ 5.2 สัมพันธภาพในฐานะหัวหน้าหรือลูกน้อง : ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่รับคำปรึกษาที่เป็น หวั หนา้ หรอื ลูกนอ้ งของตน หรือไม่รับผู้ที่ตนตอ้ งประเมนิ สัมพนั ธภาพ 6. ความสนิทสนมทางเพศกับผู้รบั คำปรกึ ษา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 248 6.1 ผู้รับคำปรึกษาปัจจุบัน : ผู้ให้คำปรึกษาพึงหลีกเลี่ยงการมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้รับ คำปรกึ ษาทุกรปู แบบ และไม่ให้คำปรึกษากับผู้ท่ตี นมคี วามสมั พันธ์ทางเพศด้วย 6.2 อดีตผู้รับคำปรึกษา : ผู้ให้คำปรึกษาพึงหลีกเสี่ยงการมีความสนิทสนมทางเพศกับอดีต ผู้รับคำปรึกษาที่ยุติการให้คำปรึกษาไปแลว้ น้อยกว่า 2 ปี กรณียุติการปรึกษามากกว่า 2 ปี หากทั้งคู่มีสัมพันธภาพ ทางเพศ ผู้ให้คำปรึกษาพึงมีความรับผิดชอบที่จะตรวจสอบว่า สัมพันธภาพนั้นมีพื้นฐานจากความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ เป็นผลมาจากการเอาเปรียบหรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น ช่วงเวลาของการปรึกษา สถานการณ์เอื้ออำนวย สภาวะจิตใจ ของผู้รับคำปรึกษา หรือประวัติส่วนตัว นั่นคือสัมพันธภาพต้องไม่ส่งผลลบกับผู้รับคำปรึกษา และไม่เป็น สมั พนั ธภาพทเ่ี กิดจากการวางแผนของผู้ใหค้ ำปรึกษาทเ่ี จตนาจะทำข้นึ หลังยตุ กิ ารปรกึ ษา 7. งานกล่มุ 7.1 การคัดเลอื ก : ผู้ให้คำปรึกษาคัดเลือกสมาชิกในการทำกลุ่มการปรึกษาหรือจิตบำบัด โดย คัดเลือกผู้ที่มีความต้องการและมีเป้าหมายสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่ม เลือกผู้ที่ไม่ขัดขวางความก้าวหน้าของ กลุ่ม และผู้ทส่ี ภาวะจติ ใจจะไมเ่ สียหายจากประสบการณก์ ล่มุ 7.2 การปกป้องสมาชกิ : ในบรรยากาศกลุ่ม ผใู้ ห้คำปรึกษาต้องระมัดระวงั ท่จี ะปกปอ้ งสมาชิก ไมใ่ หเ้ กิดบาดแผลทางจิตใจหรือร่างกาย 8. การยตุ แิ ละการสง่ ตอ่ 8.1 ห้ามทอดทิ้ง : ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่ทอดทิ้งผู้รับคำปรึกษาในกรณีที่ไม่สามารถให้การ ปรึกษาได้ เชน่ ลาพักร้อน หรอื ในกรณยี ตุ เิ พือ่ รอระยะติดตามผล ทง้ั น้คี วรจัดเตรียมการนัดหมายเพือ่ ดำเนินการต่อ 8.2 การส่งต่อ : ถ้าผู้ให้คำปรึกษาพิจารณาแล้วว่าความสามารถทางวิชาชีพของตนไม่สามารถ ช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษาได้ ผู้ให้คำปรกึ ษาพึงหลีกเลี่ยงหรือยุตกิ ารมีสัมพันธภาพทางการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาพึง มีข้อมูลเกีย่ วกับแหล่งที่จะส่งตอ่ ผู้รับคำปรกึ ษา และเสนอทางเลือกทเ่ี หมาะสม ถ้าผู้รับคำปรกึ ษาปฏิเสธการสง่ ตอ่ ท่ี เสนอ ผใู้ ห้คำปรกึ ษาควรยตุ สิ มั พนั ธภาพ 8.3 การยุติที่เหมาะสม : ผู้ให้คำปรึกษาพึงยุติสัมพันธภาพการปรึกษาเพื่อรักษาสัญญาตามที่ ตกลงกับผู้รับคำปรึกษา ในกรณีที่ผู้รับคำปรึกษาไม่ได้รับประโยชน์จากการปรึกษาหรือการปรึกษาไม่ตอบสนอง ความต้องการ/ความสนใจของผู้รับคำปรึกษา หรือผู้รับคำปรึกษาไม่จ่ายค่าบริการที่ได้ตกลงไว้ หรือหน่วยงานที่ เกยี่ วขอ้ งกับผรู้ บั คำปรกึ ษาไมอ่ นญุ าตให้เขา้ รับการปรึกษาตอ่ ไป หมวด ข การรักษาความลับ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 249 1. สิทธคิ วามเป็นส่วนตวั 1.1 เคารพความเป็นส่วนตัว : ผู้ให้คำปรึกษาต้องเคารพสิทธิของผู้รับคำปรึกษาในเรื่องความ เป็นสว่ นตัว พึงหลกี เล่ยี งการเปดิ เผยข้อมูลทเ่ี ปน็ ความลับ หรอื เปิดเผยอยา่ งไมถ่ กู ตอ้ งตามกฎหมาย 1.2 การงดเว้น : สิทธิต่อความเป็นส่วนตัวอาจถูกขอให้งดเว้นโดยผู้รับคำปรึกษา หรือตัว แทนทถี่ กู ต้องตามกฎหมายของผู้รับคำปรึกษา 1.3 ข้อยกเว้น : การรักษาข้อมูลเป็นความลับสามารถยกเว้นได้ หากเปิดเผยกระทำขึ้นเพื่อ ป้องกันอันตรายชัดเจนที่จะเกดิ ขึ้นกบั ผูร้ บั คำปรึกษาหรือผู้อ่ืน หรือเมื่อการเปิดเผยความลับถูกร้องขออยา่ งถูกตอ้ ง ตามกฎหมาย 1.4 การเป็นโรคติดต่อ โรคอันตราย : หากผู้ให้คำปรึกษาทราบข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า ผู้รับ คำปรึกษาเป็นโรคอันตรายท่สี ามารถตดิ ต่อได้ พงึ เปิดเผยข้อมูลนั้นแกบ่ คุ คลท่ี 3 ซ่ึงมีสัมพนั ธภาพกบั ผ้รู บั คำปรกึ ษา และมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะติดโรคนั้น โดยก่อนเปิดเผยผู้ให้คำปรึกษาพึงแน่ใจว่าผู้รับคำปรึกษาไม่ได้บอกบุคคลที่ 3 เก่ยี วกบั โรคของตน หรือไมม่ คี วามตัง้ ใจทจี่ ะบอกในอนาคตอันใกล้ 1.5 การเปดิ เผยโดยคำส่งั ศาล : ในกรณีทศ่ี าลสั่งใหเ้ ปดิ เผยข้อมูลของผู้รับคำปรึกษา โดยไมข่ อ ความยินยอมจากผู้รับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาต้องแจ้งต่อศาลถึงการเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่จะไม่เป็นอันตรายต่อ ผรู้ บั คำปรกึ ษาหรอื กระทบตอ่ สมั พันธภาพการปรกึ ษา 1.6 การเปิดเผยเล็กน้อย : ถ้าสดานการณ์บังคับให้มีการเปิดเผยข้อมูล ผู้ให้คำปรึกษาควร เปิดเผยเฉพาะข้อมูลท่จี ำเป็น และควรแจ้งแก่ผู้รบั คำปรกึ ษาก่อนเปิดเผยข้อมูลนน้ั 1.7 อธิบายข้อจำกัด : เมื่อการปรึกษาไต้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผู้ให้คำปรึกษาควรแจ้ง ให้ผู้รับคำปรึกษาทราบถึงข้อจำกัดของการเก็บรักษาข้อมูลเป็นความลับ และยกกรณีตัวอย่างของเหตุการณ์ที่อาจ เกดิ ขนึ้ ไต้กับผูร้ บั คำปรกึ ษา 2. ข้อมลู การปรึกษา 2.1 การมีขอ้ มลู การปรึกษา : ผ้ใู ห้คำปรกึ ษาพึงมขี ้อมูลการปรกึ ษาตามความจำเปน็ ซง่ึ กำหนด โดยระเบยี บของหน่วยงานและกฎหมาย (อเมริกัน) 2.2 การเกบ็ รกั ษาข้อมลู เป็นความลบั : ผ้ใู ห้คำปรกึ ษาพงึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ความปลอดภัยและการ อยู่ในทล่ี บั ของขอ้ มลู ท่ีถกู บันทกึ ดว้ ยวธิ ีใดก็ตาม ท้ังนีพ้ งึ รับผิดชอบมใิ ห้ร่ัวไหลกรณยี ้ายโอนไปส่ผู ู้อน่ื หรือการทำลาย ข้อมลู นั้น 2.3 การอนุญาตให้บันทึกหรือสังเกต : ผู้ให้คำปรึกษาต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับคำปรึกษา ก่อนการบนั ทกึ ทอี่ าศัยอุปกรณไ์ ฟฟา้ หรอื กอ่ นการถกู สงั เกต 2.4 การเข้าถึงข้อมูลของผู้รับคำปรึกษา : ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักว่า บันทึกข้อมูลการ ปรึกษาถูกรักษาไว้เพื่อประโยชน์ของผู้รับคำปรึกษา ดังนั้นอาจยินยอมให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ถ้า

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 250 ถูกร้องขอ ยกเว้นข้อมูลที่อาจทำให้เข้าใจผิดหรือเป็นผลเสียต่อผู้รับคำปรึกษา หรือกรณีที่การปรึกษามีผู้รับ คำปรกึ ษาหลายคน การเข้าถงึ ขอ้ มูลจะจำกัดเฉพาะส่วนทีไ่ มเ่ ป็นความลับของผรู้ ับคำปรึกษาคนอน่ื 2.5 การเปิดเผยหรือการส่งต่อ : ผู้ให้คำปรึกษาได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้รับ คำปรึกษา ต่อการเปิดเผยหรือส่งต่อข้อมูลสู่บุคคลที่ 3 ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยกเว้นนี้กระทำได้ในหมวด ข ข้อที่ 1.7 หมวด ค ความรบั ผิดชอบทางวชิ าชีพ 1. ความรู้ท่เี ป็นมาตรฐาน ผู้ให้คำปรึกษามีความรับผิดชอบในการอ่านทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามจรรยาบรรณและบรรทัดฐาน ของการประกอบวิชาชีพ 2. สมรรถนะของวิชาชพี 2.1 ขอบเขตของความสามารถ : ผใู้ หค้ ำปรกึ ษาพึงใหก้ ารปรึกษาภายในขอบเขตความสามารถ ของตน บนพื้นฐานการศึกษา การอบรม การฝึกปฏิบัติ ประสบการณ์การให้การปรึกษา และพึงแสดงให้เห็นว่ามี ความตั้งใจที่จะเพิ่มเติมความรู้ มีความไวต่อการรับรู้ผู้รับคำปรึกษาที่มีความหลากหลาย ตลอดจนมีความไวต่อ ทักษะที่เกย่ี วข้องกบั การให้การปรึกษา 2.2 การศึกษาต่อ : ผู้ให้คำปรึกษาตระหนักถึงความจำเป็นของการศึกษาต่อ เพื่อให้มีความ รู้เท่าทันข้อมูลในวิชาชีพ และได้เร่ิมตันกระทำสิ่งที่จะดำรงรักษาความสามารถในทักษะตลอดจนปดิ รับแนวคดิ ใหม่ และปรบั ตวั ให้ทันกระแสของประชากรทมี่ คี วามหลากหลายมากข้นึ 2.3 ความพร้อมของร่างกายและจิตใจ : ผู้ให้คำปรึกษาควรหลีกเล่ียงการใหบ้ ริการเม่ือสภาวะ ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของตนมีแนวโน้มทีจ่ ะเปน็ อันตรายตอ่ ผู้รับคำปรึกษาหรือผู้อ่ืน ผู้ใหค้ ำปรึกษาพงึ มีความ ตื่นตัวต่อสัญญาณองอาการ และขอความช่วยเหลือกรณีเกิดปัญหานั้น หากจำเป็นควรจำกัด พัก หรือยุติความ รับผดิ ชอบในวชิ าชพี ปรกึ ษาและจรรยาบรรณ หมวด ง การประเมิน การวัด และการแปลผล 1. ความสามารถของการใช้และการแปลผลจากแบบทดสอบ ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักถึงข้อจำกัดใความสามารถ โดยทำการทดสอบะเมินเฉพาะสิ่งที่ได้รับการฝึกฝน มคี วามเข้าใจในเรอ่ื งคามแมน่ ตรง ความเช่อื มนั่ มาผิดพลาดของการวดั และรู้จกั ประยกุ ตใ์ ชอ้ ย่างถูกต้อง 2. การได้รบั ความยนิ ยอมในการอธิบายตอ่ ผรู้ ับคำปรกึ ษา ในการประเมิน ผู้ให้คำปรึกษาต้องอธิบายธรรมชาติและเป้าประสงค์ของการประกผลในภาษาที่ผู้รับ คำปรึกษาเข้าใจได้ ผู้ให้คำปรึกษาควรมีความรับผิดชอบต่อกาอย่างหมาะสมแก่ผู้รับคำปรึกษา ทั้งนี้การตรวจ คะแนนอาจให้ผอู้ นื่ กระทำได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 251 3. การเลือกแบบทดสอบทม่ี คี วามเหมาะสม ผู้ให้คำปรึกษาพึงพิจารณาด้วยความระมัดระวังถึงความแม่นตรง ความเชื่อมั่น และข้อจำกัดของการวัด ความเหมาะสมของแบบทดสอบ เมื่อต้องเลือกใช้แบบทตสอบกับผู้รับคำปรึกษาหรือเมื่อถูกนำมาใช้ในบาง สถานการณ์ 4. การสรา้ งแบบทดสอบ ผู้ให้คำปรึกษาต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาตรฐานที่เกี่ยวซ้อง และความรู้ในวิชาชีพท่ี ทนั สมัย ในการออกแบบแบบทตสอบเพือ่ พฒั นาเผยแพรแ่ ละใช้ในการศกึ ษาหรือการใหก้ ารปรึกษา หมวด จ การสอนและการฝึกปฏิบัติ 1. ผใู้ หค้ ำปรึกษาทำหนา้ ทีเ่ ป็นผู้สอน ผฝู้ กึ ปฏบิ ตั ิ 1.1 ความสัมพันธท์ างเพศ : ผ้ใู หค้ ำปรกึ ษาพึง่ เวน้ การมีความสัมพันธท์ างเพศกับนักศึกษาหรือ ผู้ท่ีอยู่ภายใต้การฝกึ ปฏบิ ตั ิ และไม่มพี ฤติกรรมทแ่ี สดงการสว่ งละเมดิ สทิ ธิทางเพศ 1.2 การมีส่วนร่วมวิจัย : ผู้ให้คำปรึกษาควรให้เครดิตกับนักศึกษาหรือผู้อยู่ภายใต้การฝึก ปฏิบัติ ที่มีส่วนช่วยในการวิจัยหรือโครงการทีเ่ ก่ียวช้องกับการศึกษา โดยให้มีชื่อร่วมตัวยประกาศขอบคุณ หรืออ่นื ๆ ตามเหมาะสม 1.3 ญาติ : ผใู้ ห้คำปรึกษาไมค่ วรรับญาติที่สนิทกันมาเป็นนกั ศึกษาหรือเปน็ ผูอ้ ยู่ภายใต้การฝึก 2. นักศกึ ษาหรอื ผทู้ อ่ี ยภู่ ายใต้การฝึกปฏิบตั ิ การให้การปรึกษากับนักศึกษาหรือผู้อยู่ภายใต้การฝึกปฏิบัติ ถ้านักศึกษาหรือผู้ที่อยู่ภายใต้การฝึกปฏิบัติ แสดงเจตจำนงขอรับการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาควรตอบรับตัวยการส่งต่อ (Refer) ให้แก่ผู้อื่น และผู้ให้คำปรึกษา ต้องไม่ทำหน้าที่ให้การปรึกษากับนักศึกษาที่ตนสอน หรือมีบทบาทในการประเมิน ยกเว้นเป็นการแสดงบทบาท สั้นๆ ท่แี สดงตัวอย่างการฝึกให้การปรกึ ษา 10. กระบวนการให้คำปรกึ ษา ในกระบวนการให้คำปรึกษาเป็นกระบวนการที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ ต้องใช้ศิลปะในการสื่อสาร ให้ผรู้ ับคำปรกึ ษาไดร้ ู้สึกถึงความห่วงใย ด้วยศิลปะการฟงั ทำให้เขา้ ถึงโลกของผู้รับคำปรึกษา ชว่ ยให้ผู้รับคำปรึกษา ได้ตระหนักถึงความเข้มแข็ง และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ศิลปะของการปรึกษาช่วยให้ผู้รับการปรึกษาสามารถ ตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อประเด็นที่อ่อนไหวในประเด็นต่างๆ กระบวนการให้คำปรึกษาจะนำความเป็น วิทยาศาสตร์และศิลปะมาร่วมกันอย่างสมดุล เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการให้ คำปรึกษา ที่ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ เริ่มตั้งแต่การสร้างสัมพันธภาพจนถึงขั้นยุติ ติดการผลการให้คำปรึกษา (ดวงมณี จงรักษ์ , 2556)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 252 กระบวนการใหค้ ำปรกึ ษาใหค้ ำปรกึ ษาแบง่ ออกเป็น 4 ข้นั ตอน คือ 1. ข้นั เร่ิมตน้ การปรึกษาและการสรา้ งสัมพันธภาพ 2. ข้ันสำรวจตน ทำความเข้าใจปัญหา 3. ขั้นจัดการ/ดำเนนิ การกับปัญหา (Working Through) 4. ขัน้ ยตุ ิการให้คำปรกึ ษา โดยในกระบวนการใหค้ ำปรึกษา ผใู้ ห้คำปรกึ ษาสามารถสอดแทรกทฤษฎี เทคนิคหรือวิธกี ารตา่ ง ๆ ได้ตาม ความถนดั ของตนเอง ซ่ึงในกระบวนการใหค้ ำปรึกษาน้นั อาจดำเนินการไปตามขน้ั ตอน หรอื อาจยอ้ นกลับได้ แตล่ ะ ขั้นไม่มีกำหนดเวลา ขึ้นอยู่กับผู้รับคำปรึกษาและปัญหาแต่ละคน โดยขั้นตอนกระบวนการให้คำปรึกษาสามารถ อธิบายได้ ดงั น้ี 1. ข้นั เร่มิ ตน้ การปรกึ ษาและการสรา้ งสัมพนั ธภาพ ในการเริ่มต้นกระบวนการให้คำปรึกษา มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างบรรยากาศที่ไว้วางใจ รู้สึกปลอดภัย สำหรับผู้รับคำปรึกษา และทำให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าว่าใจผู้ให้คำปรึกษาพร้อมรับฟังเรื่องราวต่างๆ เต็มใจช่วยเหลือ ซึ่งในการให้คำปรึกษาผู้รับคำปรึกษาจำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องราว และข้อมูลของตนเองให้กับคนแปลกหนาฟัง ดังนั้นขั้นเริ่มต้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีของผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาเป็นเรื่องสำคัญ โดยใช้ท่าทาง เทคนิคต่างๆ รวมถึงการกำหนดข้อตกลงของการให้คำปรึกษา เช่น การรักษาความลับ ก่อนนำสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่ง ในขนั้ เรม่ิ ต้นให้คำปรึกษาจะประกอบดว้ ยกระบวนการ ดังนี้ 1) ขั้นการสร้างความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา เกิดขึ้น ตั้งแต่มีการติดต่อหรือพบกันครั้งแรก โดยผู้ให้คำปรึกษาจึงควรเป็นฝ่ายเริ่มต้น และท่าทาง น้ำเสียงและการพูดคุย ที่ผู้ให้คำปรึกษาสื่อออกไปเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ให้คำปรึกษา เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นกันเอง อบอุ่น อาจ เริ่มต้นด้วยการกล่าวต้อนรับและแนะนำตนเอง ในช่วงเริ่มต้นอาจมีการพูดคุยเรื่องราวสั้นๆ เพื่อสร้างบรรยากาศท่ี ผ่อนคลายและเป็นกันเอง เมื่อผู้รับคำปรึกษารู้สึกอบอุ่นสบายใจก็จะนำไปสู่การสร้างความไว้วางใจได้ง่ายข้ึน ความรู้สึกต่อต้านก็จะลดน้อยลง และเกิดความพร้อมที่จะเข้าสู่ความสัมพันธ์ในกระบวนการให้การปรึกษา วิธีการ สรา้ งความสมั พนั ธข์ ึ้นอยู่กบั ทักษะของผูใ้ หค้ ำปรกึ ษา ซึง่ โดยท่วั ไปควรประกอบด้วยประเดน็ ต่อไปนี้ การทักทาย (Greeting) เป็นการต้อนรับด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และเต็มใจที่จะให้การช่วยเหลือด้วยการยิม้ และทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เชื้อเชิญให้นั่ง ทำความรู้จักด้วยการแนะนำตัว ถามชื่อผู้รับคำปรกึ ษา หรือถ้ารู้จกั ชอื่ มาก่อนกก็ ลา่ วคำสวัสดแี ล้วเรยี กช่ือได้เลย การพูดคุยเรื่องทั่วไป (Small talk) เป็นการสร้างความคุ้นเคย โดยใช้เวลาเล็กน้อยเริ่มต้นสนทนาเรื่อง ทั่วไป เช่น อากาศ สิ่งแวดล้อม การเดินทาง เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง ไม่อึดอัดทำให้ผู้รับ คำปรกึ ษารูส้ ึกสบายใจทีจ่ ะพูด เช่น “เดนิ ทางมาลำบากไหมคะเม่อื เชา้ น้ี” “ชว่ งนฝี้ นตกแทบทกุ วันไปไหนมาไหนคอ่ นขา้ งลำบากนะครบั ”

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 253 การใส่ใจ (Attending) เป็นการท่ีผู้ให้คำปรกึ ษาแสดงความใสใ่ จผรู้ บั คำปรึกษาในระหวา่ งการสนทนา ด้วยการแสดงสีหนา้ ทา่ ทาง ที่สอดคลอ้ งกบั เร่ืองทกี่ ำลังสนทนา โดยตัวอย่างพฤตกิ รรมท่ีแสดงถงึ ความใส่ใจ เชน่ การนัง่ มุมฉากไมป่ ระจนั หนา้ การมที า่ ทีเปดิ เผย การน่ังโดยโนม้ ตวั ไปข้างหนา้ เลก็ น้อย การสบตา การประสาน สายตาอย่างเหมาะสม และการมีทา่ ทีทผี่ ่อนคลาย ไมเ่ คร่งเครยี ด การเปดิ ประเดน็ (Opening) เป็นการทผี่ ้ใู ห้คำปรึกษาถามเพื่อเปิดประเด็นปญั หา เปิดโอกาสให้ผรู้ บั คำปรึกษาไดพ้ ูดถงึ สิ่งทต่ี ้องการปรึกษา โดยผใู้ ห้คำปรึกษาใชค้ ำพดู และท่าทางแสดงความสนใจ ใสใ่ จท่ีจะฟงั เรอื่ งราว พรอ้ มใหค้ วามช่วยเหลอื ดว้ ยความเตม็ ใจ คำพูดทผ่ี ใู้ ห้คำปรกึ ษามักใช้เพ่อื เปดิ ประเดน็ เพื่อเข้าสู่ กระบวนการสำรวจปัญหาต่อไป เชน่ “วันน้ที ี่มาพบอยากเลา่ อะไรใหฟ้ ังเชญิ ไดน้ ะคะ” “คณุ คงมีอะไรบางอยา่ งอยากเลา่ ให้ฟงั ” “คณุ มอี ะไรไมส่ บายใจ ถา้ อยากเล่าใหฟ้ งั เชิญได้เลยนะคะ” “มเี ร่อื งอะไรทไี่ ม่สบายใจครบั ” 2) การกำหนดโครงสร้าง (Structuring) เมื่อผู้ใหค้ ำปรกึ ษาไดส้ รา้ งความสมั พนั ธ์ขน้ั ต้นแลว้ ขน้ั ตอ่ ไปผู้ใหค้ ำปรึกษาจะช่วยให้ผรู้ ับคำปรึกษาเกดิ ความรสู้ กึ ปลอดภยั มคี วามมน่ั ใจ และไวว้ างใจมากข้นึ คือ การ วางเป้าหมาย บทบาทของทงั้ สองฝา่ ย และข้อตกลงบางอยา่ งท่ีจำเป็น กล่าวว่าการเร่ิมต้นด้วยการท่ีผู้ให้คำปรึกษา แจ้งให้ผู้รบั คำปรกึ ษาได้ทราบถงึ โครงสรา้ งของการให้การปรึกษาได้ซกั ถามขอ้ สงสยั ก่อนท่จี ะเริม่ ใหค้ ำปรกึ ษา ช่วย ให้ผรู้ ับคำปรกึ ษารบั รูถ้ ึงไดร้ ับความเคารพและให้เกียรติ โดยพิจารณาโครงสร้างแตล่ ะกรณแี ตกตา่ งกนั ไปตามความ เหมาสะสม ไมเ่ ปน็ ทางการเพราะอาจทำใหเ้ กิดความอึดอดั ได้ โดยปกติแล้วการกำหนดโครงสร้างในการให้การปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษามักจะอธิบายให้ ผู้รับ คำปรึกษาปรึกษาทราบโดยสังเขปเพื่อให้ครอบคลุมหัวข้อ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา กระบวนการ เวลา การรักษาความลับ การบันทึกเสียง แต่ควรต้องระวังการทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความรู้สึกกังวล โดยไม่ลืม เป้าหมายหลักของขั้นตอนนี้ เพียงแต่ต้องการให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี และมีมุมมองที่ดีต่อการให้คำปรึกษา เกิด ความผอ่ นคลาย อบอุ่น และไว้วางใจ 2. ขั้นสำรวจตน ทำความเขา้ ใจปญั หา ขั้นตอนนี้เริ่มต้นเมื่อผู้รับคำปรึกษารู้สึกมั่งคงในความสัมพันธ์ระดับหนึ่ง มีความไว้วางใจในผู้ให้คำปรึกษา ผู้รับคำปรึกษาจึงเปิดเผยเรื่องราวมากขึ้น ในขั้นตอน โดยเป้าหมายของขั้นตอนนี้ คือ การที่ผู้ให้คำปรึกษากระตุ้น และสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้รับคำปรึกษาได้สำรวจปญั หาและความรูส้ กึ ต่าง ๆ เพ่อื ท่ีเพ่ิมการตระหนักรูใ้ นตนเองใหค้ วามสำคัญ กับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั้น รักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์ ใช้ทักษะและวิธีการที่ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเปิดเผยตัวเอง มากขึ้น สำรวจตัวเองมากขึ้น สำรวจความรู้สึกที่ขัดขวางความก้าวหน้าที่จะบรรลุเป้าหมายท่ีตั้งไว้ โดยการสำรวจ ตนเอง ผู้รับคำปรึกษาจะเริ่มสำรวจตนจากระตับน้อยไปสู่ระดับมากที่สุด โดยการสำรวจตนเองของผู้รับคำปรึกษา แบ่งออกเปน็ 5 ระดับ ดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook