มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 155 ข้อแนะนำในการออกคำสั่งกับเด็ก ขณะพูดควรสบตา ให้คำสั่งขัดเจน รัดกุม และสม่ำเสมอในแต่ละวัน เป็นขั้นตอน เข้าใจง่าย พยายามหลีกเลี่ยงคำสั่งหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน โดยท่าทีของผู้สั่งต้องสงบ และมีความ ตั้งใจดี สั่งแล้วควรสังเกตว่าเด็กเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจต้องอธิบายซ้ำ ให้ความเป็นกันเอง เปิดโอกาสให้เด็ก ซักถาม ให้เวลาทำงานนานกว่าปกติ แล้วค่อย ๆ ลดเวลาลงมา และหมั่นตรวจสมุดจดการบ้าน พร้อมลายเซ็น คุณครูและผู้ปกครอง ซึ่งช่วยดูการทำงานของเด็ก ถ้าเด็กทำไม่เสร็จจริง ๆ ควรช่วยและเป็นหนทางที่จะติดต่อกัน ระหว่างครกู ับผ้ปู กครอง ข้อแนะนำสำหรับการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมและการช่วยให้เด็กมองตัวเองในแงด่ ี 1. รักษากฎของห้องและคอยตรวจตราดูแล โดยผู้ออกคำสั่งจะต้องมีท่าทีที่ใช้ต้องสงบ ไม่ชวนทะเลาะ หรือตวาดใส่เด็ก มีการเตือนถึงผลที่จะตามมาหลังพฤติกรรมที่ไม่ดี ถ้าต้องทำโทษ ทำทันทีและตรวจดูพฤติกรรมท่ี ดีและชื่นชมบ่อย ๆ กฎภายในห้องเรียนไม่ควรมีมาก ปฏิบัติตามได้ชัดและสม่ำเสมอ หากมีการลงโทษต้องอยู่ใน เกณฑ์ทีพ่ อเหมาะ ไม่ประจานความคิด และต้องหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ เยาะเย้ย ถากถาง เนื่องจากเด็กสมาธิสั้น จะ มคี วามลำบากท่ีจะอยใู่ นกฎเกณฑ์ 2. สนับสนุนและส่งเสริม ผู้ออกคำสั่งต้องตระหนักว่ารางวัลควรมากกว่าการลงโทษ เพื่อส่งเสริม ความรู้สึกที่ดีของตัวเด็ก รางวัลควรได้รับโดยไม่ช้า หลังจากที่เด็กมีพฤติกรรมที่ดี ถ้ารางวัลไม่ได้ผล อาจเปลี่ยน ลกั ษณะของรางวัล เพ่ือเพม่ิ แรงจูงใจ โดยหาทางหลาย ๆ ทาง ท่จี ะกระตุ้นให้เดก็ สนใจ กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ มองตวั เองใน แงท่ ่ดี ี และชน่ื ชมตัวเอง เช่น “วันนี้นั่งอยูก่ ับทไี่ ด้นานขน้ึ ดจี รงิ ๆ และถามวา่ เด็กรู้สึกอย่างไร ตัวอย่างปญั หาพฤตกิ รรมท่พี บบอ่ ยในโรงเรยี น มักพบพฤติกรรมทีไ่ ม่น่าพึงพอใจหลายอยา่ ง ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ (สถาบันราชานุกลู , 2557ง) ดอ้ื คอื พฤติกรรมหลกี เลี่ยง หลบเล่ียงไม่ทำตามคำสั่ง หรอื ทำผดิ ไปจากขอ้ ตกลงท่ีทำไว้ล่วงหนา้ อาการด้อื ของเด็กสมาธิสน้ั เปน็ พฤตกิ รรมทีพ่ บไดบ้ อ่ ย เด็กจะดื้อจากหลายสาเหตุ คอื 1. เดก็ ไมต่ ัง้ ใจจะฟงั คำส่งั ไมใ่ สใ่ จ เมอื่ ส่งั แลว้ ลืม หรือทำไมค่ รบ 2. เด็กไม่ค่อยอยากทำตามคำส่ัง เนอ่ื งจากติดเล่น หรือกำลงั ทำอะไรเพลินๆ สนกุ ๆ 3. เด็กอาจหงดุ หงดิ หรอื โกรธไม่พอใจในเรอ่ื งอ่ืน เมื่อสัง่ ใหท้ ำอะไรกไ็ มอ่ ยากทำ จงึ อาจใชก้ ารด้ือ ไม่ ร่วมมือ ไมท่ ำตาม เปน็ การตอบโต้เดก็ ดื้ออาจจะโเสดงออกด้อื ตรง ๆ ตอบโตค้ ำสง่ั ทนั ทหี รือดือ้ เงียบ คือ รับปากว่า จะทำแต่ขอผัดผ่อนไปก่อนแตแ่ ลว้ ในที่สุดก็ไม่ทำ (ด้วยเจตนาหรอื ลมื จรงิ ๆ) ครูควรใช้คำสั่งที่ได้ผล เวลาสั่งควรแน่ใจว่าเด็กสนใจในคำสั่งนั้น ควรให้เด็กหยุดเล่นหรือหยุดพฤติกรรม ใด ๆ ที่กำลังทำอยู่เสียก่อน สั่งสั้นๆ ชัดเจน อย่าใช้หลายคำสั่งพร้อม ๆ กัน ให้เด็กทวนคำสั่ง แล้วเริ่มปฏิบัติทันที อย่าให้เด็กหลบเลี่ยง พร้อมกับขมเมื่อเด็กทำได้ ในกรณีที่คำสั่งนั้นไม่ได้ผล คุณครูต้องคอยกำกับให้ทำสม่ำเสมอใน ระยะเวลาแรกๆ กอ่ น ไมค่ วรสงั่ หรอื ตกลงกนั ในกิจกรรมท่ีครไู มม่ เี วลาคอยกำกับให้ทำในระยะแรก ๆ แกล้งเพื่อน เนื่องจากเด็กมักจะชน ควบคุมตัวเองลำบาก ทำให้อาจไปละเมิดเด็กอื่นได้ แต่เด็กมักไม่ค่อย ยอมรับว่าตนเองเปน็ ผูเ้ ริ่มต้นละเมิดคนอื่นก่อน เช่น ล้อเลียน แหย่ แกล้ง ทำให้คนอ่ืนไมพ่ อใจ จนมีการตอบโตก้ ัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 156 ไปมา แต่เมอื่ ให้เด็กสรปุ เอง เขาจะบอกว่าโดนแกลังกอ่ น ท้ัง ๆ ทกี่ ่อนหนา้ น้ีเขาอาจจะเป็นผเู้ ริม่ ตน้ กอ่ นก็ได้ บางที การตอบโต้นนั้ เกิดเปน็ วงจนหาจุดเร่ิมต้นจรงิ ๆ ไมไ่ ด้ ภาพท่ี 8 พฤตกิ รรมแกล้งเพือ่ นท่มี กั พบไดใ้ นเด็กสมาธสิ ้นั ที่มา: สถาบนั ราชานกุ ูล. (2557). เด็กสมาธสิ ั้น คมู่ ือสำหรบั ครู. พิมพ์ครง้ั ที่ 4. กรุงเทพ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . เมื่อเด็กมาฟ้องครูว่าตนเองถูกรังแก ครูต้องทำใจให้เป็นกลางอย่าเพิง่ เชื่อเด็กทันที ควรสอบถามให้ชัดเจน กอ่ นว่า เหตุการณท์ เ่ี กิดขึ้นจรงิ ๆ เป็นอยา่ งไร ยกตัวอย่าง เช่น “ลองเล่าเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขนึ้ อย่างละเอยี ดซี” “แล้วหนูตอบโตไ้ ปอยา่ งไร” “หนูคิดวา่ เขาจะคดิ อยา่ งไร รูส้ กึ อย่างไร” “หนคู ดิ ว่าเร่ืองมนั นา่ จะจบลงแคน่ ้หี รอื เปลา่ ” “หนคู ดิ วา่ จะหาทางออกอยา่ งไรดี ทีจ่ ะไดผ้ ลดใี นระยะยาว” สง่ิ ทค่ี รคู วรจะสอนเด็กคอื วธิ กี ารแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ กี ารท่ีนุม่ นวลหาทางออกสำหรับแก้ปญั หาหลาย ๆ แบบ ใหเ้ ดก็ เลือกใช้ โดยไม่ไปตำหนเิ ดก็ ตรง ๆ กอ่ น ก้าวร้าว เด็กที่ถูกเพื่อนยั่วบ่อย ๆ หากไม่ได้ฝึกควบคุมตนเอง อาจทำให้เด็กตอบสนองต่อเพื่อนด้วยวิธี กา้ วร้าวรุนแรงได้ การลงโทษดว้ ยวธิ ีรนุ แรง เชน่ ตีหรอื ประจานใหเ้ สยี หน้า อาจชว่ ยหยุดพฤติกรรมไดใ้ นระยะสน้ั ๆ แตไ่ ม่ชว่ ยแก้ไขปญั หาพฤติกรรมของเด็กในระยะยาว ส่ิงท่ีครสู ามารถช่วยเดก็ ได้ คอื 1. ฝึกให้เดก็ ระบายอารมณ์ และจัดการอารมณ์ตนเองอยา่ งสม่ำเสมอดงั ทีก่ ล่าวมาข้างต้น 2. เมื่อเกิดสถานการณ์ ครูต้องเข้าไปใกล่เกลี่ย แยกเด็กซึ่งเป็นคู่กรณีออกจากกัน แต่ถ้าเด็กมีพฤติกรรม อาละวาด ในเด็กเล็กครูอาจใช้วิธี \"กอด\" เด็กไว้ ส่วนในเด็กโต อาจให้ครูผู้ชายตัวโตๆ อย่างน้อย 2-3 คน ช่วยล็อค ตวั เดก็ ไว้ และพาเดก็ ไปอยทู่ ่ีสงบพรอ้ มบอกเด็กวา่ \"หนโู กรธไดแ้ ตท่ ำรา้ ยคนอื่นไมไ่ ด้\" จากน้ันพดู คุยให้เดก็ ระบาย ความรู้สกึ และใช้วิธพี ดู คุยสอบถามเช่นเดียวกบั กรณีแกลง้ เพอื่ น 3. ช่วยให้เด็กคิดหาทางออกในหลากหลายวิธี และปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในสถานการณ์ที่ทั้งคู่มี อารมณ์สงบดีแล้ว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 157 4. สอนให้เด็กรจู้ ดั สังเกตอารมณ์ของตนเองและผ้อู น่ื รวมถึงหาวิธีหลกี เสี่ยงและสื่อสารความต้องการอย่าง เหมาะสม 5. ใหเ้ ดก็ พยายามหลีกเล่ียงสถานการณ์ ซ่ึงเปน็ ตัวกระตุ้นใหโ้ กรธ 6. คิดทบทวนดูว่าเรื่องอะไรที่มีผลกระทบต่ออารมณ์มากที่สุดโดยสังเกตว่าร่างกายส่งสัญญาณเตือน อย่างไรเมื่อมีอารมณเ์ ปลี่ยนแปลงจากเรื่องทีเ่ ข้ามารบกวน เช่น หายใจเร็ว ใจสั่น หน้าแดง ฯลฯ และรีบออกจากท่ี เกิดเหตุ ไม่พูดต่อล้อต่อเถียงในขณะท่อี กี ฝ่ายกำลังมอี ารมณโ์ กรธ 7. ใหเ้ ด็กบอกตัวเองว่าตอ้ งควบคมุ อารมณ์โกรธกอ่ นท่อี ารมณโ์ กรธจะควบคมุ เรา 8. นกึ ถงึ ส่งิ ดี ๆ ในชวี ิต เพ่อื ให้อารมณผ์ อ่ นคลายลง 9. ขอบคุณตัวเองที่สามารถเอาชนะอารมณ์โกรธได้ ในการสอนให้เด็กรู้จักสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น ครูอาจ ให้เด็กทั้งห้องเรียนรู้อารมณ์ร่วมกัน โดยแสดงสถานการณ์สมมติ ขออาสาสมัครแสดงสีหน้าท่าทางถึงภาวะอารมณ์ ต่าง ๆ ให้เด็กคนอื่น ๆ ช่วยกันทาย รวมถึงอาจให้เด็กแลกเปลี่ยนว่าถ้าเพื่อนอยู่ในอารมณ์โกรธพวกเขาควรทำ อย่างไร ให้เด็กช่วยกันคิดวิธีและแสดงท่าทางตอบสนองเวลาที่เพื่อนมีอารมณ์โกรธ ก็จะช่วยให้เด็กเรียนรู้จักวิ ธี สงั เกตและตอบสนองอารมณ์ผู้อน่ื อย่างสนุกสนาน 3.3 เด็กทม่ี คี วามบกพร่องทางสตปิ ัญญา ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual disability (ID) หรือ intellectual developmental disorder) เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีความบกพร่องทางเชาวน์ปัญญาร่วมกับมีความบกพร่องในการทำหน้าที่ของตน (adaptive functioning) ที่ควรจะทำได้ตามเพศ อายุ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน (พลิศรา อังศุสิงห์ และศริ ไิ ชย หงสส์ งวนศรี, 2558) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถพบสภาวะที่การพัฒนาของสมองหยุดชะงักหรือพัฒนาไม่ สมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ มีความบกพร่องของทักษะต่าง ๆ ในช่วงระยะวัยพัฒนาการทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ ทักษะในด้านการรู้คิด (Cognitive) ภาษา (Language) การเคลื่อนไหว (Motor) และความสามารถทาง สังคม(Social Abilities) ซึ่งทักษะทั้งหมดเหล่านี้เป็นสิ่งเกื้อหนุนต่อระดับเชาวน์ปัญญา และมีพื้นฐานจาก พันธุกรรม ผู้ที่มีภาวะปัญญาอ่อนส่วนใหญ่มีระดับ IQ เป็นช่วง mild MR โดยร้อยละ 5 จะอยู่ในช่วง severe/profound MR ทำให้มีปญั หาพฒั นาภาษาล่าชา้ และอาจมีปญั หาภาษาพัฒนาไม่ดีแมโ้ ตเปน็ ผ้ใู หญ่ ความสามารถและความผดิ ปกตดิ า้ นตา่ ง ๆ ความสามารถด้านความคิดและปัญญา (Cognitive Style) ผู้ที่มีภาวะปัญญาอ่อนจะมีความสามารถ โดดเด่นในส่วนของ Visual processing แต่มีลักษณะด้อยที่ Auditory processing การตอบสนองโดยทันที ค่อนขา้ งดี แตก่ ระบวนการทต่ี อ้ งอาศัยการทำตามขนั้ ตอนตา่ ง ๆ เปน็ ปัญหา มีความบกพรอ่ งของมองสมองซกี ซ้าย ความผิดปกติด้านภาษา (Language Disorder) ร้อยละ 75% มีปัญหา expressive language disorder ที่ไม่ทราบสาเหตุ และพบปัญหาเมื่อเด็กอายุ 1 - 2 ปี สามารถช่วยได้ด้วยการใช้การสื่อสารหลายทาง ร่วมกัน และการใช้ภาษาจะมีปัญหาเนื่องจากเด็กไม่ค่อยเข้าใจ มีปัญหาเรื่องความเร็ว พูดเป็นภาษาโทรเลข และ พดู ไมช่ ดั
158 ปัญหาพฤติกรรมที่พบ เช่น มีปัญหาการควบคุมอารมณ์เป็นผลจากพัฒนาภาษาไม่ดี ความเข้าใจ กฎเกณฑ์ไม่ดเี พราะปญั หาด้านภาษา มีลักษณะเพ้อฝนั พูดมาก พูดกบั ตวั เอง มักมปี ญั หาซน สมาธสิ น้ั และหุนหัน พลันแล่น และบางครั้งใชย้ า stimulant อาจไม่ไดผ้ ล การเข้าเรียนสามารถเขา้ เรียนและอยูใ่ นห้องเรียนได้ปกติ แต่ ควรแยกย่อยเนื้อหาในการเรียนทีละขั้นตอน ใช้สายตาได้ดี แต่ต้องการผู้ดูแลใกล้ชิด ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ปกตแิ ละควรปฏบิ ตั สิ ม่ำเสมอ และพบว่าหลายคนทท่ี กั ษะการอ่านทค่ี ่อนข้างดี การจำแนกความรุนแรงของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ลักษณะทางคลินกิ ตามระดับความรุนแรง 1. บกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก พัฒนาการล่าข้าขัดเจนตั้งแต่เล็ก ๆ อาจจะฝึกการช่วยเหลือ ตนเองได้บ้าง แต่ต้องอาศัยการฝึกอย่างมาก ส่วนใหญ่พบว่ามีพยาธิสภาพ ต้องการการดูแลตลอดเวลา ตลอดชีวิต แมจ้ ะเป็นผู้ใหญแ่ ลว้ กต็ าม 2. บกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง พบความผิดปกติของพัฒนาการตั้งแต่ 1-2 ขวบปีแรกมักมี พัฒนาการล่าช้าทุกด้าน โดยเฉพาะพัฒนาการด้านภาษา สื่อความหมายได้เพียงเล็กน้อยหรือพูดไม่ได้เลย บางราย เรม่ิ พูดได้เมอ่ื เข้าสู่วยั เรียน มปี ญั หาในการเคลื่อนไหว ในบางราย พบพยาธสิ ภาพมากกว่า1 อย่าง ปอ้ งกันตนเองได้ น้อย มีความจำกัดในการดูแลตนเอง ทำงานง่ายๆได้ ส่วนใหญ่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดหรือต้องช่วยในทุก ๆ ดา้ นอยา่ งมาก ตลอดชวี ติ 3. บกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง มักได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่วัยก่อนเรียน เมื่ออายุประมาณ 2-3 ปี โดยพบว่ามีพัฒนาการล่าช้าในด้านภาษา เรียนได้ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-3 ในวัยเรียน มักต้องการการจัด การศึกษาพิเศษ สามารถเรียนรู้การเดินทางตามลำพังได้ในสถานที่ที่คุ้นเคย ใช้ชีวิตในชุมชนได้ดีทั้งการดำรงชีวิต และการงาน แต่ต้องการความชว่ ยเหลือปานกลาง ตลอดชวี ติ ประมาณรอ้ ยละ 20 ดำรงชวี ิตอยูไ่ ด้ดว้ ยตนเอง 4. บกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย อาจพบพัฒนาการข้าเมื่ออายุประมาณ 3-4 ปี มักได้รับการวินิจฉัย เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียนแล้ว เนื่องจากในวัยก่อนเรียนพัฒนาทักษะทางสังคมและการสื่อความหมายได้เพียงพอ ส่วน ใหญ่เรียนได้ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรือสูงกว่า เมื่อเป็นผู้ใหญ่สามารถทำงานแต่งงาน ดูแลครอบครัวได้ แต่อาจ ตอ้ งการความชว่ ยเหลือบา้ งเป็นครั้งคราวเม่ือมีปัญหาชีวิตหรือหน้าทก่ี ารงาน มักไม่พบสาเหตุทางพยาธสิ ภาพ ส่วน ใหญจ่ ะสมั พนั ธก์ ับปจั จัยทางสงั คมและเศรษฐานะยากจนหรือด้อยโอกาส มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
159 ระดับเชาวน์ปัญญากับความสามารถทางการศกึ ษา ประเภท ระดบั สตปิ ัญญา ความสามารถรบั การศกึ ษา เด็กเรยี นช้า 71 - 90 สามารถรับการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กเรียนช้าและประกอบอาชีพ ช่างฝมี ือได้ ปญั ญาออ่ นขนาด 50 - 70 การปรบั ตวั ทางสังคมทำได้ แต่ขาดความสามารถในการวางแผน อาจ นอ้ ยพอเรยี นได้ พอรับการศึกษาในระดับประถมต้น หรือการศึกษาพิเศษ และ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ประกอบอาชีพที่ไม่ต้องใช้ ความรับผิดชอบสูง หรืองานประเภท ชา่ งฝีมอื ปัญญาอ่อนขนาด 35 - 49 สามารถอ่าน เขียน และคิดเลขได้เพียงเล็กน้อย เรียนรู้ได้ช้าถ้าได้รับ ปานกลาง การฝึกสอนที่เหมาะสม อาจพอดูแลตนเองในชีวิตประจำวันได้ และ ทำงานง่ายๆภายใต้การควบคมุ ดูแล ปญั ญาออ่ นขนาด ต่ำกว่า 34 มีความบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด ในพฤติกรรมการปรับตัว และอาจมี หนกั พัฒนาการบกพร่องในด้านภาษา การรับรู้ และการเคลื่อนไหว การ ดำรงชวี ิตตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารควบคุมดูแลเชน่ เดยี วกบั เด็กเลก็
ระดับความรนุ แรงของภาวะบกพรอ่ งทางสติปญั ญา ระดับ IQ ดา้ นความคิดรวบยอด (conceptual domain) (so น้อย (Mild) 55 - 69 - ปฐมวยั อาจไมพ่ บความแตกตา่ งชัดเจน - ปฏิสัมพันธ์ท - วัยเรียนและผู้ใหญ่มีความลำบากใน ตดั สนิ ใจทางสัง การเรียน ปานกลาง 40 - 54 - ทักษะด้านความคิดช้ากว่าเพื่อนอย่าง - การสื่อสารแ (Moderate) 25 - 39 ชัดเจน เพอื่ อยา่ งเหน็ ได - เรียนรู้ได้ในระดับประถมศึกษาและต้อง - มีข้อจำกดั ในก รุนแรง ได้รับความช่วยเหลือในการทำงานและ - ทักษะทางส (Severe) ชวี ติ สว่ นตวั ไดร้ บั การช่วยเห - มีความเข้าใจน้อยในด้านภาษาเขียน - มีข้อจำกัด จำนวน ปรมิ าณ เวลา และเงิน ไวยากรณ์และค - ต้องการความช่วยเหลืออยา่ งมากในการ - มีสัมพันธภ แกป้ ัญหาตลอดชีวติ ครอบครัว และ มหาวิทยา ัลยราช รุนแรงมาก < 25 - ทักษะด้านการคิดโดยท่ัวไปเก่ียวข้องกับ - มีข้อจำกัดขอ (Profound) โลกทางวัตถุมากกว่ากระบวนการทาง เชิงสญั ลักษณท์ สัญลกั ษณ์ - การแสดงถึง - ความบกพร่องด้านกล้ามเนื้อและ ของตน มักผ่ ประสาทสัมผัสอาจส่งผลต่อการใช้สิ่งของ ส่อื สารโดยไมใ่ ช ต่าง ๆ - ความบกพร ประสาทสัมผัส สงั คมต่าง ๆ
160 ดา้ นสังคม ด้านการปฏิบัตติ น รอ้ ยละ ocial domain) (practical domain) ทพ่ี บ ช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทางสังคม การสื่อสาร การ - อาจดแู ลตนเองได้เหมาะสม ยกเวน้ กจิ วัตรประจำ 85 10 งคมลา่ ช้ากว่าวยั วนั ทยี่ ุง่ ยาก 3-4 1-2 - วยั ผ้ใู หญ่ทำงานทไี่ มต่ ้องอาศยั ทกั ษะการคดิ - ตอ้ งการความชว่ ยเหลือในการเล้ยี งดคู รอบครัว และทักษะทางสังคมช้ากว่า - ดแู ลตนเองได้แต่ต้องสอน เตือน และใหเ้ วลา ด้ชัด - การทำงานที่ไม่ต้องอาศัยการคิด และทักษะทาง การตัดสนิ ใจ สังคมตอ้ งได้รับการวยเหลอื อยา่ งมาก สังคมและการสื่อสารต้อง - พบพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่ก่อให้เกิดปัญหาทาง หลือ สงั คมไดบ้ า้ ง ดของการสื่อสารในด้าน - ตอ้ งการความชว่ ยเหลือในทกุ กิจวัตรประจำวัน คำศัพท์ ภาษา และการพดู - ต้องการการกำกบั ดูแลตลอดเวลา ภาพเฉพาะกับสมาชิกใน - การฝกึ สอนทักษะทกุ ด้านตอ้ งใช้เวลาและตอ่ เน่ือง ะคนทค่ี นุ้ เคย - บางรายมีปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสม รวมทั้ง การทำรา้ ยตนเอง องความเข้าใจในการสื่อสาร - พึ่งพาผู้อื่นทุกด้านในการดูแลตนเอง สุขภาพและ ทงั้ การพูดและภาษาท่าทาง ความปลอดภยั ความต้องการและอารมณ์ - ฝึกทักษะได้เพียงการใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ซึ่งต้องการ านภาษาท่าทางและการ การดูแลอย่างมากและตอ่ เนอ่ื ง ช้สญั ลักษณ์ - ความบกพร่องด้านกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ร่องด้านกล้ามเนื้อและ มักเปน็ อปุ สรรคตอ่ การมสี ว่ นร่วมในสังคม สอาจส่งผลต่อกิจกรรมทาง - พบพฤติกรรมไม่เหมาะสมในบางราย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 161 การจดั กิจกรรม ควรเนน้ ให้เดก็ ไดฝ้ ึกปฏบิ ัตจิ รงิ เช่น การทำบัตรคำหรอื สัญลกั ษณ์ติดในที่ต่าง ๆ และการ จัดสิ่งแวดล้อม การสอนให้ปฏิบัติตามระเบียบ การเก็บรักษาของ และควรจัดให้นั่งแถวหน้า และเลือกเด็กปกติท่ี สามารถชว่ ยดเู ด็กใหน้ ั่งคู่ การช่วยเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา การมอบหมายงานให้กับเด็กกลุ่มนี้ควรให้ทำกิจกรรม ร่วมกับเพื่อน และหมั่นคอยกระตุ้นและให้กำลังใจสม่ำเสมอ ควรจัดกับให้อยู่กลุ่มกับเพื่อนที่มีความเข้าใจ และ ไม่ให้การบ้านมากเกินไป เพ่มิ เติมเวลาสอบตามความเหมาะสมโดยรว่ มมือกบั ผู้ปกครอง การจัดการศกึ ษาสำหรบั เด็กที่มคี วามบกพร่องทางสติปญั ญา (ID) ระดับก่อนวัยเรียน เน้นความพร้อมของเด็กทั้งในด้านความคิด ความจำ ร่างกาย อารมณ์ และสังคมของ เด็ก ความพร้อมของเด็กเป็นพื้นฐานสำคัญใน การเรียนในระดับประถมศึกษา การพัฒนาทักษะของเด็กในระดับนี้ ควรเน้นทักษะที่จะจำเป็นที่จะช่วยให้เด็กมีความพร้อมในการเรียน เช่น การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัด ใหญ่ การฝกึ ให้นักเรยี น มคี วามสนใจในบทเรียนนานข้ึน การฝกึ ความคิดความจำ ฝึกภาษา ฝกึ พดู เป็นต้น ระดับประถมศึกษา เน้นเกี่ยวกับการอ่าน คณิตศาสตร์ ภาษา ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์และสังคมศึกษานั้นมี ความสำคัญรองลงไป ในหลักสูตรแตกต่างไปจากหลักสูตรสำหรับเด็กปกติตลอดจนเอกสารการเรียนการสอนให้ สอดค ล้องกบั ความสนใจและความสามารถของเดก็ สว่ นเน้อื หาวชิ าดนตรี และศลิ ปะ ควรจัดใหเ้ หมาะสมกบั เดก็ ระดับมธั ยมศึกษา เน้นความต้องการและความสามารถของเด็กเป็นสำคัญ หากเด็กมีความสามารถในการ เรยี น เดก็ ควรได้รบั การส่งเสรมิ ใหเ้ รียนวิชาทเี่ หมาะสม หากเดก็ ไมม่ ีความพรอ้ ม ควรใหเ้ ดก็ เรียนในด้านอาชีพ และ ฝึกทักษะท่ีจำเป็นในการดำรงชีวิต เพื่อเตรียมเด็กให้สามารถดำรงชีพในสังคมได้ ควรฝึกให้เด็กมีทักษะในด้าน ต่อไปนี้ คือ ทักษะด้านการงานและอาชีพ การครองเรือน นันทนาการ การดูแลสุขภาพ การดำรงชีพในชุมชน ครูผู้สอนต้องมีความอดทนและพยายามอย่างมาก เนื่องจากเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีระดับสติปัญญา ต่ำ มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย และมักจะมีความพิการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความบกพร่องทางร่างกาย ทางการพูด และปญั หาพฤตกิ รรมต่าง ๆ ทค่ี รูผสู้ อนจะต้องมีความเขา้ ใจและแก้ไขปัญหาดงั กลา่ วด้วย หลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนการสอนสำหรบั เด็กปญั ญาออ่ น ควรจะมลี ักษณะดงั น้ี 1. เน้นหลกั สตู รที่ปรับปรุงเนอื้ หาง่ายกว่าและน้อยกวา่ ของเดก็ ปกตมิ าก เพอ่ื ให้เหมาะสมกบั ความสามารถ ในการเรยี นรูข้ องเด็กแต่ละระดับชนั้ 2. เน้นเนื้อหาทักษะพื้นฐานที่เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การเข้าใจสื่อความหมาย การ รู้จักค่าของตัวเลข ฯลฯ 3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเรียนร่วมในสังคมได้ เช่น การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ มี ความรบั ผิดชอบตอ่ งานที่ไดร้ ับมอบหมายไดค้ รจู ึงจำเป็นต้องใช้หลักการสอนพิเศษกวา่ เดก็ ปกติ เช่น ใช้ส่ือการสอน ให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็ก โดยคำนึงถึงอายุสมองไม่ใช่อายุตามปฏิทิน สอนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงความสนใจของเด็ก และสอนตามขั้นตอนของงานที่แยกย่อยตามลำดับจากง่ายไปหายาก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 162 และไม่ซับซ้อนและเนื้อหาน้อย สอนซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ และให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกับ ผปู้ กครองและนกั วชิ าชพี ทเ่ี กี่ยวข้อง เทคนคิ การสอนเดก็ ท่มี คี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา ขั้นแรกครูต้องสร้างแรงจูงใจในการเรียนก่อน หลังจากนั้นใช้เทคนิคอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ก่อนการ สอนครูจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องพัฒนาการและข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กก่อน ตัวอย่างเทคนิคการสอน ได้แก่ (ณัชพร ศุภสมุทร์, 2553) หลกั 3 R’s ประกอบด้วย 1. Repetition คือ การสอนซ้ำ ๆ ซากๆ ทบทวนบอ่ ย ๆ สอนง่ายๆ สน้ั ๆ และสอนจากงา่ ยไปหายาก 2. Relaxation คือ การสอนจะต้องไม่เคร่งเครียด ให้บรรยากาศผ่อนคลายดัดแปลงการสอนเป็นการเล่น การรอ้ งเพลง การเล่านทิ าน 3. Routine คือ การสอนจะต้องสมำ่ เสมอเป็นประจำ ภาพที่ 9 ใช้การเลา่ นทิ านเป็นการเลน่ เพอื่ ให้เดก็ ผ่อนคลาย ทมี่ า: สถาบนั ราชานุกลู . (2557). เด็กเรียนรชู้ า้ คู่มือสำหรบั คร.ู พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด. การวิเคราะห์งาน (Task analysis) การวางแผนการสอนที่ละเอียด แยกย่อยเรื่องที่จะสอนจึงเป็นสิ่งที่ สำคัญ ซึ่งในแต่ละขั้นตอน ครูจะต้องเข้าไปช่วยเพื่อให้เด็กทำให้ได้ การช่วยเหลือนี้ ครูจำเป็นต้องใช้เทคนิคท่ี เหมาะสม เพื่อให้เด็กทำได้ในระยะแรกครูต้องช่วยทุกขั้นตอน และลดลงเมื่อเด็กทำได้มากขึ้น วิธีการวิเคราะห์งาน ใหผ้ ้ทู ี่จะสอนควรลองปฏิบัติตามเร่ืองที่จะสอน และจดบันทกึ ข้นั ตอนย่อยตา่ ง ๆ เพื่อนำมาใชส้ อนเดก็ ต่อไป การทำตัวอย่างให้ดู (Modeling) การแสดงวิธีการที่ถกู ต้อง เด็กควรจะทำสิ่งทีถ่ ูกต้องและฝึกทำในเร่อื ง นั้น โดยครูทำตัวอย่างครูต้องทำตัวอย่างให้เด็กดูหลาย ๆ ครั้ง ใช้ภาษาพูดให้ชัด สีหน้าท่าทางของครูที่น่าสนใจ และมคี วามอดทน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 163 การแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดี เด็กจะเข้าใจและสามารถ เลียนแบบสิ่งที่ถูกต้องได้ในที่สุดครูควรจัดเตรียมอุปกรณ์ ที่จะสอนให้พร้อม และให้เด็กปกติมาร่วมการแสดง บทบาทสมมตดิ ว้ ย โดครตู อ้ งใจเยน็ และให้โอกาสเสมอเมอื่ เดก็ ทำไมไ่ ด้ การช่วยชี้แนะ (Prompts) เป็นการกระตุ้นทางกาย เป็นการช่วยเหลือเด็กในการเคลื่อนไหว เช่น เด็ก เอื้อมมือหยิบของไม่ถึง ครูช่วยอุ้มเด็กขึ้น ครูจับมือเด็กลากเส้นในครั้งแรกๆ โดยใช้การเน้น เป็นการเน้นด้วยเสียง หรือด้วยเส้นก็ได้ การแทนด้วยเสียง ได้แก่ การเปล่งเสียงคำตอบดังๆ การเน้นด้วยเส้น เช่น ขีดเส้นสีขาวรอบ เครื่องมือท่ีเป็นอันตราย แล้วอธิบายให้เด็กเข้าใจจนกระทั่งเด็กเขา้ ใจดีแล้วจึงลบเส้นออกเป็นตน้ และการช่วยด้วย คำพูด ครูต้องระมัดระวังและใช้คำพูดในเชิงบวก ไม่ใช้คำสั่งที่ยาวเกินไป และไม่บังคับบอกให้เด็กเลือกอะไร หรอื ไมเ่ ลอื กอะไร การช่วยจดั ตำแหนง่ (Situational prompt ) เด็กสามารถผ่านการเรียนรูแ้ ละทำได้ โดยครูเป็นผู้ที่ชว่ ย เด็ก การสอนในแต่ละเร่ืองเด็กอาจพบปัญหา ในขั้นตอนย่อยท่ีทำให้เด็กไม่ผ่าน วิธีการช่วยจัดตำแหน่งคือเทคนคิ ที่ ครูพบว่าเด็กมีปัญหาในขั้นตอนใด จึงแก้ไข เช่น ครูให้เด็กหยิบเลข 1 แต่เด็กหยิบผิดเป็นเลข 2 เนื่องจากครูพบว่า เด็กมองไม่ทั่ว ครั้งต่อไปครูอาจวางเลข 1 ให้ใกล้ตัวเด็กมากกว่าเลข 2 เด็กจะหยิบของใกล้ตัว เมื่อฝึกครั้งต่อ ๆ ไป ครูวางเลขคละกนั เดก็ กจ็ ะทำได้ 3.4 เด็กออทสิ ตกิ ในอดตี พบเดก็ ออทิสติกประมาณ 4 - 6 คนตอ่ ประชากร 10,000 คน แตใ่ นปัจจบุ นั พบเด็กออทิสติจำนวน มากขึ้น โดยพบประมาณ 1 - 2 คน ต่อประชากร 1,000 คน และมีอาการรุนแรงประมาณ 2 คนต่อประชากร 10,000 คน โดยเดก็ ออทิสติก จะพบความผดิ ปกตทิ ี่รุนแรง 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. พัฒนาการด้านสังคม ได้แก่ ไม่มองสบตา ไม่ชอบการโอบกอด แยกตัวออกจากกลุ่ม มองผ่านหรือมอง คนอื่นเหมือนไม่รู้ว่ามีคนอยู่ ไม่ชอบเลียนแบบการเล่นของคนอื่น ซนผิดปกติหรือนั่งน่ิงผิดปกติ หัวเราะหรือร้องไห้ ไมห่ ยุด 2. พัฒนาการด้านการสื่อความหมาย ได้แก่ ไม่สามารถพูดออกเสียงเป็นคำทีมีความหมาย เมื่อต้องการสิ่ง ใดจะดงึ มอื คนอื่นไปทำ พดู เลียนเสียงหรือทวนคำ พูดซำ้ คำต่าง ๆ จากท่ีเคยไดย้ ิน ไมส่ ามารถเร่ิมตน้ การสนทนาได้ ไมต่ อบสนองเสียงเรยี ก 3. พฤติกรรมแปลก ๆ ซ้ำ ๆ ได้แก่ ชอบหมุนวัตถุ สะบัดมือ กระดิกนิ้วมือ วิ่งถลาไปข้างหน้าอย่าเร็ว น่ัง โยกตัว เดนิ เขย่งปลายเท้า หมุนตัวหรอื โยตัวไปมา จ้องมองวตั ถุนาน ๆ พฤติกรรมน่าสงสยั วา่ เดก็ อาจจะเปน็ โรคออทสิ ตกิ การสงั เกตพฤติกรรมของเดก็ ทมี่ โี อกาสเปน็ ออทสิ ตกิ สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมต่อไปน้ี (สถาบนั รา ชานกุ ลู , 2557ข)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 164 พฤติกรรมนา่ สงสัยวา่ เดก็ อาจจะเปน็ โรคออทสิ ตกิ ในเดก็ เล็ก 1. ความผิดปกติทางสังคมและปฏสิ ัมพันธ์กับผ้อู ื่น 1. ไม่มองหนา้ ไมส่ บตาเวลาคนพดู ดว้ ย หรอื อาจมองหน้าสบตาน้อยมาก สบตาเพยี งช่วงส้นั ๆ 2. ไม่ตอบสนองต่อผู้อื่น เช่น เรียกชื่อแล้วไม่หัน ไม่สนใจฟังเวลาพูดด้วย ชอบเล่นคนเดียว ไม่ทำอะไร ร่วมกับคนอื่น เช่น เล่นหรือฟังนิทานร่วมกับเด็กคนอื่น ชอบเล่นกับสิ่งของ สนใจสิ่งของมากกว่าคนไม่เข้ามาหา เพื่อให้กอด ไมเ่ ข้ามาคลุกคลกี บั ผู้ใหญ่ 3. ไมเ่ ล่นสมมติ เช่น เล่นขายของ เลน่ ปอ้ นขา้ วตกุ๊ ตา หรอื ทำทา่ ทางเลยี นแบบผูใ้ หญ่ 4. ไมร่ ู้จกั หน้าทข่ี องส่งิ ของ เช่น เอาของเล่นมาดมแทนทจี่ ะเลน่ เหมอื นเดก็ ทวั่ ไป 5. เฉยเมย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ภาพท่ี 10 เดก็ ชอบเลน่ คนเดียว ไมต่ อบสนองต่อผ้อู นื่ ที่มา: สถาบันราชานุกลู . (2557ข). เดก็ ออทสิ ติก คมู่ อื สำหรับคร.ู พิมพค์ ร้งั ที่ 4. กรงุ เทพ : โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. 2. ความผิดปกติทางภาษาและการสอื่ สาร 1. พูดช้าหรือไม่พดู เลย 2. มภี าษาแปลกๆ ทีค่ นอืน่ ฟงั ไม่เข้าใจ 3. ชอบพดู ทวนคำหรือประโยคท่คี ณุ พอ่ คณุ แมพ่ ดู ไป 4. ไม่ขีน้ ิว้ บอกเวลาอยากไดอ้ ะไร แต่จะร้องไหห้ รือดึงมือผู้ใหญ่ไปทสี่ งิ่ นนั้ 3. ความผดิ ปกตขิ องพฤตกิ รรม-ความสนใจที่มลี ักษณะซ้ำ ๆ จำกัด 1. ปรบั ตัวตอ่ สิง่ ใหม่ๆ ไดย้ าก เช่น ร้องไหเ้ วลาเจอสถานการณห์ รือบคุ คลทไ่ี มค่ นุ้ เคย 2. ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ หากไปเปลี่ยนแปลงสง่ิ ท่เี ดก็ เคยทำจะหงุดหงิดอาละวาด 3. ชอบเลน่ ของเล่นชำ้ ๆ 4. สนใจเร่ืองใดเรอ่ื งหนง่ึ มากเปน็ พเิ ศษ เชน่ ได้โนเสาร์ ระบบสรุ ิยะจักรวาล 5. มพี ฤตกิ รรม กระโดด สะบดั มอื ซำ้ ๆ 6. รับประทานอาหารซ้ำ ๆ ไม่เปล่ยี นแปลง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 165 พฤติกรรมน่าสงสัยวา่ เด็กอาจจะเป็นโรคออทิสติกในเด็กโต 1. ความผดิ ปกติทางสังคมและปฏสิ มั พนั ธ์กับผู้อ่ืน 1. ไม่คอ่ ยสบตาเวลาพดู คุยด้วย 2. ชอบเกบ็ ตัวหรืออยู่ตามลำพงั 3. มักเลน่ คนเดยี ว 4. ไมค่ ่อยมีเพอ่ื น 5. เข้ากับเพอ่ื นไดย้ าก 6. ไม่มีเพื่อนสนิท 7. ไมเ่ ขา้ ใจอารมณ์ความรสู้ ึกของผู้อ่ืน 8. ไมเ่ ขา้ ใจสถานการณ์ทางสังคม ทำให้ทำตัวผิดกาลเทศะ ไม่เหมาะสมกับสถานการณอ์ ยบู่ อ่ ย ๆ 2. ความผดิ ปกติทางภาษาและการสื่อสาร 1. สานตอ่ บทสนทนาไม่ค่อยได้ 2. ใช้ภาษาพดู ท่ไี มเ่ หมาะกบั กาลเทศะ พูดแบบขวานผ่าซาก 3. ไม่เข้าใจคำพดู ขำขัน อปุ มาอุปมัย 3. ความผดิ ปกตขิ องพฤติกรรม-ความสนใจทม่ี ลี กั ษณะซำ้ ๆ จำกัด 1. ชอบคดิ ซ้ำซากหรือทำอะไรซำ้ ๆ 2. ปรับตวั ยาก ทำกจิ วตั รตอ้ งมีขนั้ ตอนเหมอื นเดมิ สลบั สบั เปล่ยี นไมไ่ ด้ 3. หมกมุ่นอยแู่ ตเ่ รือ่ งทตี่ นเองสนใจ บางคนสะสมของแปลกๆ เช่น รูปทหาร ฉลากผลติ ภณั ฑ์ อาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้บางอย่างอาจพบได้ในเด็กปกติแต่ก็จะเป็นอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเด็กออทิสตกิ จะมีอาการหลายอย่างพร้อมกันและเป็นอยู่นานหากคุณพอ่ คุณแม่สงสยั วา่ เดก็ ๆ ของเราเป็นออทิสติกหรือไม่ ควร พาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง และสามารถหาทางช่วยเหลือที่เหมาะสมได้ตั้งแต่ เน่ิน ๆ ทำให้เกิดปัญหาในการเรียน เช่น เด็กจะมีการสนใจเป็นระยะที่สั้นมาก มีปัญหาในการสื่อความหมายและภาษา บุคคลออทิสตกิ เด็กออทิสติกจำบุคคลได้โดยการดูเกีย่ วกบั รายละเอียดเพ่ือค้นหา เด็กออทิสติกจะเล่นสถานการณ์ สมมติไม่เป็น ความเข้าใจและการแสดงความรู้สึกของเด็กออทิสติกแสดงออกไม่เหมาะสม โดยการรักษา ได้แก่ พฤติกรรมบำบดั กจิ กรรมบำบดั อรรถบำบัด การรกั ษาด้วยยา การศกึ ษาพเิ ศษ หลักการสอนเด็กออทสิ ตกิ สอนเป็นรายบุคคล และตามระดับความสามารถของเด็ก โดยเริ่มสอนจากง่ายไปยาก ใกล้ตัวไปไกลตัว อาจใช้หลัก 3 R (การสอนซ้ำ ๆ บรรยากาศเป็นกันเองและสอนอย่างสม่ำเสมอ) และการฝึกปฏิบัติจริงมาช่วย โดย การทำกิจกรรมแต่ละกิจกรรมไม่ควรเกิน 15-20นาที รวมถึงการใช้วิธีการเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกบั เด็กกลุ่มนี้ร่วมด้วย เนื่องจากทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร ไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเองที่ถูกต้องได้ และมีการเกิดพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ไม่เหมาะสมจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ ตัวอย่างการปรับพฤติกรรม เช่น การไม่ สนใจ การเบี่ยงเบนความสนใจ การให้แรงเสริมทางบวก การแยกเด็กให้อยู่ตามลำพัง รวมถึงการลงโทษและการ สรา้ งพฤตกิ รรมใหมเ่ มอ่ื เด็กมีความพร้อม ซ่งึ จะเป็นประโยชนต์ ่อการเรยี นรู้ และใช้ชวี ติ ตอ่ ไป
166 หลกั การรักษาเดก็ ออทสิ ตกิ 1. การบำบัดฟ้ืนฟูหลกั ได้แก่ การเสรมิ พลังครอบครัว การฝกึ กระตุน้ พัฒนาการ พฤติกรรมบำบดั การ ฟน้ื ฟูสมรรถภาพทางการศกึ ษา การฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางสังคม การฟืน้ ฟสู มรรถภาพทางอาชพี การรักษาด้วยยา 2. การบำบัดฟืน้ ฟูทางเลือก ไดแ้ ก่ ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบดั การกระตุ้นประสาทสมั ผสั และกล้ามเน้อื การฝงั เข็ม การบำบัดด้วยสัตว์ การบำบัดด้วยการกอด การกระตุ้นดว้ ยกระแสไฟฟา้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง4. การคดั กรองกลุ่มโรคปัญหาทางการเรยี นรู้ การคัดกรองกลุ่มเด็กพเิ ศษทมี่ ีภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรใู้ นโรงเรียน การคัดกรองนักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นการพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนที่มีภาวะ บกพร่องทางการเรียนรู้เพื่อการจำแนกนักเรียน มีประโยชน์อย่างยิ่งในการหาวิธีการที่เหมาะสมในการดูแล ชว่ ยเหลือนักเรียนให้ตรงกับสภาพปญั หาและความตอ้ งการทจ่ี ำ เปน็ ดว้ ยความรวดเร็วและถกู ต้องแมน่ ยำ ในระบบ การดูแลนักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้อาจจำแนกนักเรียนตามลักษณะของกลุ่มภาวะความบกพร่อง ตามขอบข่ายและเกณฑก์ ารคดั กรองของเครอ่ื งมอื หรอื ตามท่ีโรงเรียนกำหนด แนวทางการคดั กรองเดก็ ท่มี ีภาวะบกพร่องทางการเรยี นรใู้ นโรงเรียน แบง่ ออกเปน็ 2 ข้ันตอน คอื 1. การประเมินขั้นแรก ครูประจำชั้นคัดกรองเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางเรียนรู้แยกจากเด็กปกติโดยใช้ หลักการสงั เกตเด็กพิเศษทีม่ ีภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ทัง้ 4 กลมุ่ โดยมีหลักการสงั เกตเดก็ แตล่ ะกลมุ่ ดังนี้ ภาวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ อาการ สมาธสิ ้ัน - ไมต่ ั้งใจเรียน วอกแวก เหมอ่ ลอย ลมื คำสง่ั - จดงานไมท่ นั โอ้เอ้ลมื ทำการบ้าน ลืมส่งการบ้าน - ซน ไม่นง่ิ โลดโผน อบุ ัติเหตบุ ่อย - พูดมาก พูดสอดแทรก ไม่รอ แซงคิว - ผลการเรียนไมส่ ม่ำเสมอ แตว่ ิชาทช่ี อบอาจทำ ได้ดี - ถา้ มคี นดแู ล จะตัง้ ใจเรยี นไดม้ ากขึ้น แอลดี วยั อนุบาล - เด็กมปี ระวัตเิ ริ่มพดู ชา้ เชน่ พดู คำแรก เมือ่ อาย1ุ ขวบครึง่ หรือ 2 ขวบ - เดก็ มีประวตั ิพดู ไมช่ ัด หรอื ยังมกี ารออกเสียงไมช่ ดั ในบางพยญั ชนะ - มกี ารพูดสลับคำ ,เรยี งประโยคไมถ่ ูก เช่น “หนอู ยากขนมกนิ ” “ขนมหนกู ิน” - พูดตะกุกตะกัก หรือบอกชื่อวัตถทุ ต่ี อ้ งการไม่ได้ได้แตช่ ีส้ ่ิงของนั้น - มีปญั หาการส่ือสาร เชน่ พูดแล้วคนอืน่ ฟังไม่เข้าใจ หรอื ฟังคนอ่นื ไมเ่ ข้าใจ - มีปัญหาการใช้กล้ามเนื้อมดั เล็กมีลักษณะงุ่มง่ามเชื่องช้าเช่น การหยิบสิ่งของ การผูกเชอื กรองเทา้ ตดิ กระดมุ เสอื้ จบั ดินสอไม่ถนัด เขยี นหนังสือแลว้ เม่อื ยเรว็ - มีปัญหาการใช้สายตาร่วมกับมือ เช่น การกะระยะระหว่างสิ่งของ การแยก วตั ถุเลก็ ๆ การแยกภาพออกจาก พ้นื หลัง
167 ภาวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ อาการ ออทสิ ตกิ วัยประถมศกึ ษา กลุ่มเด็กเรยี นรชู้ ้า - ดฉู ลาดหรือปกติดแี ตม่ ปี ัญหาในการเรยี น - อา่ นผิด ไมค่ ลอ่ ง อา่ นขา้ ม อ่านตกหลน่ อา่ นเกิน - ผสมคำ ผนั เสียงวรรณยุกต์ไม่เปน็ จับใจความไม่ได้ - เขียนผิด เขยี นไม่คลอ่ ง ผดิ บ่อย - คดิ เลขผิด/ไม่คลอ่ ง ปญั หาความคิดรวบยอด (บวก ลบ คูณ หารไมเ่ ปน็ /ไม่ ถูกวธิ )ี - คะแนนไม่ดีอาจเป็นเฉพาะบางวิชา - ไม่ค่อยมองหนา้ สบตาน้อย เลน่ คนเดียว ไมเ่ ล่นกับเพ่ือน - เล่นไมค่ ่อยเปน็ เล่นแปลกๆ ซ้ำ ๆ - ปญั หาการส่ือสาร ไม่พดู พดู ไมเ่ ปน็ ภาษา แสดงอารมณน์ ้อยหรือไมเ่ หมาะสม - อาจมีความจำ ทีด่ ีเรยี นรบู้ างดา้ นเรว็ มาก - ความร่วมมอื ในการเรยี นไมแ่ น่นอน - เรยี นรู้ชา้ คิดช้า ไมเ่ ข้าใจเรอื่ งซับซ้อน เรยี นแล้วลมื จำ ได้เฉพาะส่ิงง่ายๆ - เลน่ ไมค่ ่อยทนั เพ่อื น - พฒั นาการชา้ ตัง้ แต่เดก็ - ผลการเรียนตำ่ หรอื คะแนนสอบไมด่ ีหลายวิชา มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง หลงั จากคัดกรองเด็กเบอ้ื งต้นแลว้ สามารถแบ่งผลการคดั กรองออกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้ 1. เมื่อไม่พบว่าเด็กมีภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ เด็กสามารถเรียนตามชั้นเรียนปกติ ส่งเสริม ทักษะการเรียนรู้ และติดตามหาสาเหตุอื่น ๆ ที่มีผลกระทบกับการเรียน เช่น ความเครียด วิตกกังวล ปัญหาด้าน ครอบครัว (ไม่เน้นความสำคัญเร่ืองการเรียน ขาดการติดตามดูแลเร่ืองการเรยี นจากผูป้ กครอง) ภาวะเจ็บป่วย โรค เรื้อรัง หรือภาวะความบกพร่องทางการมองเหน็ หรอื การไดย้ ิน 2. เมื่อไม่แน่ใจว่าเด็กมีภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้หรือไม่ ควรสอนเสริมตัวต่อตัวระหว่างพกั เท่ียงหรอื หลังเลิกเรียน และเขียนแจง้ ผู้ปกครองในสมดุ การบา้ นใหช้ ว่ ยทบทวนบทเรียน เป็นการดูแลรว่ มกัน 3. เม่อื พบเดก็ ท่สี งสยั วา่ มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ สง่ เดก็ ต่อเพือ่ ประเมินขั้นที่สอง 2. การประเมนิ ข้นั ท่สี อง โดยครูการศกึ ษาพิเศษ หรือผทู้ รี่ ับผดิ ชอบด้านการศึกษาพิเศษในโรงเรยี น โดย เลือกใช้วิธีการท่ี 1 หรอื วธิ ีการท่ี 2 วธิ กี ารท่ี 1 เด็กสมาธสิ ัน้ ใช้แบบคัดกรอง KUS-SI Rating Scale เดก็ แอลดี ใชแ้ บบคดั กรอง KUS-SI Rating Scale ออทิสติก ใช้แบบคดั กรอง KUS-SI Rating Scale เด็กเรียนรู้ชา้ ใช้แบบคัดกรองจากสำ นักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน/แบบประเมิน ความสามารถทางเชาวนป์ ญั ญาเดก็ อาย2ุ -15 ปี
168 วิธีการที่ 2 เดก็ สมาธิสน้ั ใชแ้ บบคัดกรอง SNAP-IV เดก็ แอลดี ใชแ้ บบคดั กรองจากสำ นักงานการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน เดก็ ออทสิ ตกิ ใชแ้ บบสำรวจพฒั นาการเด็ก PDDSQ เดก็ เรียนรู้ชา้ ใ ช ้ แ บ บ ค ั ด ก ร อ ง จ า ก ส ำ น ั ก ง า น ก า ร ศ ึ ก ษ า ข ั ้ น พ ื ้ น ฐ า น / แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ความสามารถทางเชาวน์ปญั ญาเดก็ อายุ 2-15 ปี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
169 แบบประเมินพฤตกิ รรม SNAP-IV (Short Form) เงอ่ื นไขการใชแ้ บบประเมนิ 1. ใชป้ ระเมินเด็กอายุ 6 - 18 ปี 2. มจี ำนวน 26 ขอ้ 3. ใช้เวลาทำ ประมาณ 5 - 10 นาที 4. ผ้ตู อบคำถามเปน็ ครูหรือผปู้ กครองเดก็ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การแปลผล 1. การใหค้ ะแนน ไม่เลย ให้ 0 คะแนน เล็กนอ้ ย ให้ 1 คะแนน ค่อนขา้ งมาก ให้ 2 คะแนน มาก ให้ 3 คะแนน 2. การแปลผลคะแนนแตล่ ะดา้ น ขอ้ 1 - 9 เป็นการประเมนิ อาการขาดสมาธิ(inattention) ข้อ 10 - 18 เปน็ การประเมนิ อาการซน อย่ไู มน่ ง่ิ หุนหนั พลันแล่น (hyperactivity/impulsivity) ขอ้ 19 - 26 เปน็ การประเมินอาการด้อื ตอ่ ตา้ น (oppositional defiant) 3. จุดตดั คะแนนแตล่ ะด้าน ผู้ปกครอง คะแนนรวมขอ้ 1 - 9 ได้ 16 คะแนนข้ึนไป ถือว่ามีความเสี่ยงของอาการขาดสมาธิ คะแนนรวมขอ้ 10 - 18 ได้ 14 คะแนนขึ้นไป ถอื ว่ามคี วามเสยี่ งของอาการซน อยู่ไมน่ ่งิ หุนหนั พลนั แลน่ คะแนนรวมขอ้ 19 - 26 ได้ 12 คะแนนข้นึ ไป ถือว่ามีความเสยี่ งของอาการดือ้ ต่อต้าน ครู คะแนนรวมขอ้ 1 - 9 ได้ 23 คะแนนขึ้นไป ถอื ว่ามีความเสี่ยงของอาการขาดสมาธิ คะแนนรวมขอ้ 10 - 18 ได้ 16 คะแนนข้ึนไป ถอื ว่ามคี วามเสย่ี งของอาการซน อยูไ่ มน่ ่งิ หุนหันพลันแลน่ คะแนนรวมขอ้ 19 - 26 ได้ 11 คะแนนขึ้นไป ถือวา่ มคี วามเส่ียงของอาการดื้อต่อตา้ น
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ 170
171 แบบคัดกรองนกั เรยี นทมี่ ีภาวะสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรยี นรู้ และออทิซึม (KUSSI Rating Scales : ADHD/LD/Autism : PDDs) 1. ใช้ประเมนิ เด็กอายุ 6 - 13 ปี 2. ใช้เวลาทำ ประมาณ 30 นาที 3. ใช้สำหรับประเมนิ - นกั เรยี นทม่ี ภี าวะสมาธสิ น้ั 30 ข้อ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง - นกั เรยี นทม่ี ภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 60 ข้อ ด้านการอา่ น 20 ขอ้ ด้านการเขยี น 20 ขอ้ ดา้ นการคำนวณ 20 ขอ้ - นกั เรยี นทม่ี ภี าวะออทซิ มึ 40 ขอ้ 4. ผู้ตอบคำถามเปน็ ครู/อาจารยผ์ ู้สอนวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตรอ์ ยา่ งนอ้ ย 2 ทา่ น ทร่ี จู้ ักและคุ้นเคย กบั นกั เรยี นเป็นอย่างดีหรอื มีโอกาสสอนนกั เรียนอย่างใกลช้ ิดอยา่ งนอ้ ย 1 ภาคการศึกษา 5. การให้คะแนนและแปลผลศึกษาได้จากคูม่ อื การใชแ้ บบคดั กรอง การคดั กรองภาวะออทสิ ติก การคัดกรองภาวะออทิสติกในประเทศไทย มีการพัฒนาเครื่องมือในการคัดกรองภาวะออทิสติกขึ้นมา 2 ฉบับ คือ 1. แบบคัดกรองโรคในกลุ่มพัฒนาการผิดปกติอย่างรุนแรงสำหรับเด็กอายุ 1-18 ปี (Pervasive Developmental Disorders Screening Questionnaire: PDDSQ) เป็นแบบคัดกรองทีพ่ ัฒนาโดยนพ. ชาญ วิทย์ พรนภดลร่วมกับโรงพยาบาลยุวประสารทไวทโยปถัมภ์ พัฒนาขึ้นมาจากแบบคัดกรองที่มาตรฐานใน ต่างประเทศตามเกณฑ์การวินิจฉัย DSM-IV โดยที่ข้อคำถามดัดแปลงมาจากแบบคัดกรอง CHAT, M-CHAT, CARS.IASQ และ PDDST ทีน่ ิยมใช้อยา่ งแพร่หลายในตา่ งประเทศ แบบคดั กรอง PDDSQ มี 2 ฉบับ PDDSQ 1-4 ปี สำหรบั เดก็ อายุ 12 เดือน - 47 เดอื น (1 ปี - 3 ปี 11 เดอื น) มจี ำนวน 25 ขอ้ PDDSQ 4-18 ปี สำหรับเด็กอายุ 4 ป-ี 12 ปี มีจำนวน 25 ข้อ ข้อคำถามมุ่งเน้นวัตความผิดปกติ 3 ด้าน คือการสื่อสาร ทักษะทางสังคมและพฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นตัว บง่ ชถี้ ึงโรค PDD ขอ้ คำถามเปน็ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ในชวี ติ ประจำวนั ของเดก็ ให้ผู้ปกครองเลือกตอบ ใช่/ทำบอ่ ย และ ไม่ใช่/ไม่ค่อยทำ ตามพฤติกรรมท่ีเด็กแสดงออก ขอ้ คำถามทัง้ 2 ฉบับนีแ้ ตกต่างกนั ท้ังหมดเน่ืองจากพัฒนาการของ เดก็ แตล่ ะวัยแตกตา่ งกันทำใหล้ ักษณะอาการของเด็ก PDD ท่ีอายมุ ากต่างกับ PDD ทอี่ ายุนอ้ ย วิธกี ารใชเ้ ครื่องมือ 1. เลอื กแบบทตสอบ PDDSQ ตามอายุจรงิ ของเดก็ 2. ใหผ้ ปู้ กครองเปน็ ผเู้ ลอื กตอบ ใช/่ ทำบอ่ ย หรอื ไม่ใช/่ ไมค่ อ่ ยทำใหต้ รงตามพฤติกรรมของเดก็ ที่แสตงให้ มากทีส่ ดุ
172 3. ใหผ้ ปู้ กครองตอบใหค้ รบทุกหัวขอ้ คำถาม เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบคัดกรอง แบบคัดกรอง ขอ้ ท่ไี ด้คะแนน 1 คะแนน ข้อที่ได้คะแนน 1 คะแนน คะแนนจุดตัด หากตอบใช/่ ทำบอ่ ย หากตอบไมใ่ ช/่ ไมค่ อ่ ยทำ Cut-point PDDSQ 1 - 4 6-10 , 16-20 1-5 , 11-15 , 21-25 8 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง PDDSQ 4 - 18 1-17 18-25 13 หากรวมคะแนนแล้วใด้มากกว่าคะแนนจุดตัด (cut- point) ของ PDDSQ ทงั้ 2 ฉบับ แสตงว่ามีความเสย่ี งทีจ่ ะเปน็ กลมุ่ พฒั นาการผดิ ปกติ (PDDS) ข้อควรระวงั ในการใชแ้ บบคดั กรอง PDDSQ 1. แบบคัดกรองฉบับนี้ไม่ใช่เครื่องมือในการวินิจฉัยโรคในกลุ่ม PDD เป็นเพียงแบบคัดกรองเบื้องต้น เท่านน้ั เมอื่ พบเด็กทม่ี ภี าวะเสยี่ งให้ทำการส่งต่อผเู้ ชย่ี วชาญตอ่ ไป 2. ในการตอบให้ผู้ปกครองตดั สนิ ใจเองไม่ชนี้ ำ้ ในการตอบ 3. ทำการตรวจเช็คทุกครั้งหลังจากผู้ปกครองตอบเสร็จว่าข้อมูลครบถ้วนหรือไม่เพราะจะทำให้ผลการคัด กรองคลาดเคลื่อนได้ 4. ผู้ตอบแบบคัดกรองควรเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กหรือใกล้ชิดพอที่จะรู้ถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของเด็กเพื่อจะได้ คำตอบทแ่ี ท้จริงไมใ่ ช่การคาดเดา 2. แบบคัดกรองโรคออทิสติกในเด็กอายุ 1-5 ปี เป็นแบบคัดกรองที่พัฒนาจาก PDDSQ 1-4 ปี, เกณฑ์ การวินิจฉัยโรคตาม DSM-IV-TR และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษา เด็กออทิสติก ปรับลดหัวข้อคำถามให้เหลือเพียง 10 ข้อมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในหน่วยบริการ ปฐมภมู ิเพือ่ ใชค้ ลนิ ิกเดก็ สุขภาพดี (well child clinic) แบบคดั กรองประกอบด้วยหวั ข้อคำถามเพยี ง 10 ข้อ ที่เป็น พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเด็ก ให้ผู้ปกครองเลือกตอบ ใช่/ทำบ่อย กับ ไม่ใช่/ไม่ค่อยทำ ตามพฤติกรรมที่เด็ก แสดงออก วิธกี ารใชเ้ ครอื่ งมือ 1. ใหผ้ ูป้ กครองเลือกตอบ ใช่/ทำบ่อย หรือ ไม่ใช่/ไมค่ ่อยทำ ใหต้ รงตามพฤตกิ รรมของเด็กท่ีแสดงใหม้ าก ท่สี ดุ 2. ใหผ้ ปู้ กครองตอบใหค้ รบทุกหัวข้อคำถาม
173 เกณฑ์การใหค้ ะแนน แบบทดสอบชุดน้ีมีคะแนนเตม็ 10 คะแนน ให้คะแนน 1 คะแนนในหัวข้อคำถามท่ีตอบ ไมใ่ ช/่ ไม่ทำ คะแนนจุดตดั (cut-point) เท่ากับ 5 คะแนน หมายความวา่ เมอ่ื รวมคะแนนแบบทดสอบทัง้ ฉบับแล้วพบวา่ ได้ คะแนนตง้ั แต่ 5 คะแนนขึ้นไป แสดงว่ามคี วามเส่ียงทีจ่ ะเปน็ กลุ่มอาการออทสิ ติก ข้อควรระวังในการใช้แบบคัดกรองโรคออทซิ มึ ในเด็กอาย 1 - 5 ปี 1. แบบคัดกรองฉบับนี้ไม่ใช่เครื่องมือในการวินิจฉัยโรคออทิสซึมเป็นเพียงแบบคัดกรองเบื้องต้นเท่าน้ัน เมอ่ื พบเด็กท่มี ภี าวะเสย่ี งใหท้ ำการสง่ ตอ่ ผู้เชี่ยวชาญตอ่ ไป 2. ในการตอบให้ผปู้ กครองตดั สินใจเองไมช่ น้ี ำในการตอบ 3. ทำการตรวจเช็คทุกครั้งหลังจากผูป้ กครองตอบเสร็จว่าข้อมูลครบถ้วนหรือไม่ เพราะจะทำให้ผลการคดั กรองคลาดเคลือ่ นได้ 4. ผู้ตอบแบบคัดกรองควรเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กหรือใกล้ชิดพอที่จะรู้ถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของเด็กเพื่อจะได้ คำตอบทแี่ ทจ้ ริงไม่ใช่การคาดเตา ความแตกต่างในการใช้ PDDSQ กับ แบบคดั กรองโรคออทิซึมในเด็กอายุ 1-5 ปี แบบคัดกรองทั้ง 2 ฉบันมีความเป็นมาตรฐานสามารถคัดแยกเด็กที่มีความผิดปกติได้ดีทั้ง ฉบับแต่มีความ เหมาะสมในการใช้แตกตา่ งกนั คอื 1. PDDSQ มีข้อคำถามครอบคลุมลักษณะอาการของโรคและมีความละเอียดมากกว่าแบบคัดกรองโรค ออทิซึมในเด็กอายุ 1 - 5 ปี จึงเหมาะที่จะใช้ในเชิงคลินิกมากกว่า และ PDDSO ใช้คัดกรองเด็กที่มีพัฒนาการ ผิดปกติในกลุ่ม PDD ได้จึงสามารถที่จะแยกเด็กที่ผิดปกติได้มากกว่าแบบคัดกรองโรคออทิซึมในเด็กอายุ 1 - 5 ปี ทีม่ ุ่งเน้นกลุ่มออทิสตกิ เพยี งกลุ่มเดียว 2. แบบคัดกรองโรคออทิซึมในเด็กอายุ 1- 5 ปีมีจำนวนข้อไม่มากทำให้ใช้เวลาในการคัดกรองน้อยและ สะดวกในการใช้ จงึ เหมาะสมทีจ่ ะใชใ้ นการคดั กรองเบ้ืองตน้ ในหนว่ ยบริการปฐมภมู ิหรอื ทติยภมู ขิ นาดเลก็ หลังจากคัดกรองด้วยแบบคัดกรองแล้วพบว่าเด็กมีความเสี่ยงในกลุ่มอาการออทิสติกสเปคตรัมควรส่งต่อ ให้จิตแพทย์เดีก ตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาต่อไป โดยให้การกระตุ้นพัฒนาการในเบื้องต้นไปควบคู่ ระหวา่ งรอยืนยันการวินิจฉยั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
174 แบบคดั กรองภาวะเสี่ยงตอ่ โรคออทิซึมในเดก็ อายุ 1 – 5 ปี ไม่ใช่/ไม่ทำ คำถาม ใช่/ทำบ่อย 1. ย้มิ เวลาเหน็ หนา้ คุณหรอื ยิ้มตอบเวลาเห็นคุณยิ้มให้ 2. ชห้ี รือแสดงทา่ ทางบอกความตอ้ งการ 3. อวดของเล่นหรือส่ิงท่ชี อบใหค้ ุณดู 4. ชอบเลน่ คนเดยี วหรืออยตู่ ามลำพงั 5. หนั หน้ามามองเมอ่ื คุณเรียกช่อื 6. เวลาชีใ้ ห้ดสู ิง่ ต่างๆ เด็กสนใจมองตาม 7. มองหน้า/สบตาเวลาที่คณุ พูดคยุ หรือเลน่ ดว้ ย 8. ทำทา่ ทาง (เชน่ สะบดั มอื เขยง่ เท้า หมนุ ตัว) ซำ้ ๆ 9. เล่นสมมติเช่นปอ้ นข้าวตุ๊กตา เล่นขายของ ทำทา่ โทรศัพท์ 10. พูดชา้ หมายถงึ มขี ้อใดขอ้ หนงึ่ ต่อไปน้ี ก. ไมพ่ ดู คำเดีย่ วทีม่ ีความหมาย เมื่ออายุ 18 เดือน ข. ไมพ่ ดู กลมุ่ คำท่มี ี 2 คำตอ่ กนั เม่อื อายุ 2 ปี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แบบประเมินความสามารถทางเชาวน์ปญั ญาเดก็ อายุ 2 - 15 ปี 1. ใช้ประเมนิ เดก็ อายุ 2 - 15 ปี 2. เปน็ แบบทดสอบรายบุคคล 3. วดั ความสามารถ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ความสามารถในการร้จู กั เข้าใจความหมายและเหตผุ ลทางดา้ นภาษาในระดบั งา่ ย 2) ความสามารถในด้านความจำจากการเห็นและการไดย้ ิน 3) ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล สามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบและเกี่ยวโยง ความสัมพนั ธข์ องส่ิงต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และการเขา้ ใจความหมายท่ีเปน็ ตวั เลขสัญลกั ษณห์ รือนามธรรม 4) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว หยิบจับ ความสามารถในการรบั รู้และเข้าใจ จากการมองเห็นและแสดงออกในการแกป้ ญั หาตา่ ง ๆ ดว้ ยการกระทำอยา่ งรวดเรว็ เหมาะสม 5) ความสามารถในการเรยี นรูส้ ังเกตจากสิ่งแวดลอ้ ม และการแก้ปญั หาโดยใช้ประสบการณ์ 4. เวลาทใี่ ชใ้ นการทดสอบประมาณ 30 - 90 นาที (แลว้ แต่ความสามารถของเดก็ แต่ละคน) 5. ผู้ทดสอบเป็นครหู รือเจา้ หนา้ ที่สาธารณสุขทผ่ี า่ นการอบรมการใช้คู่มอื จากนักจติ วิทยาคลินิก การแปลผล แปลผลจากจำนวนข้อทดสอบที่เด็กทำได้เทียบกับอายุจริง ผลการทดสอบจะแสดงค่าคะแนนเชาวน์ ปัญญา (Intelligence Quotient : IQ) และเทียบเป็นระดบั เชาวน์ปญั ญา
175 ใบกิจกรรมท่ี 1 คำชี้แจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มเป็น 4 กลุ่ม แล้วจับฉลากหัวข้อประเภทของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ได้แก่ 1.เดก็ สมาธิสน้ั 2.เด็กทม่ี ีปญั หาทางการเรียนรู้ 3. เดก็ ทีม่ ีความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา และ 4.เด็กออทิสตกิ จากนั้น ให้นักศึกษาทำการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษตามประเภทที่ได้รับ โดยจัดท ำเป็น รายงานและนำเสนอหน้าชั้นเรียน กำหนดหัวข้อที่ทำการศึกษาค้นคว้า ดังน้ี 1. ความหมาย / ลักษณะ / ประเภท 2. การให้ความช่วยเหลือ 3. การเรียนร่วมกับเด็กปกติ 4. การประเมินผลการเรียนรู้ และ 5. ยกตัวอย่างการศึกษา เป็นรายกรณีของผูเ้ รยี นท่ีมคี วามตอ้ งการพเิ ศษ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
176 เอกสารอา้ งอิง กรองทอง จุลิรัชนีกร. (2556). การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษระดับปฐมวัย. กรุงเทพ :มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สำนักพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. จริยา ทะรกั ษา. (2558). เดก็ พิเศษ. วารสารสารานุกรมศึกษาศาสตร์. 48 : 22-31. ณัชพร ศุภสมทุ ร์. (2553). การจดั การเรียนการสอนสาหรบั เด็กทีม่ ีความต้องการพเิ ศษ. กรุงเทพ : สถาบนั ราชานกุ ูล. ดารณี ศักดิ์ศิริผล. (2546). เด็กที่มีความตอ้ งการพิเศษ. ในการศึกษาพิเศษ. สารานุกรมศึกษาศาสตร์ ฉบับรวมเลม่ เฉพาะเรอ่ื ง อันดับท่ี 4. บญุ ศรี ไพรัตน์. หนา้ 53-58. กรงุ เทพฯ. ธนธัชการพมิ พ.์ พัชรินทร์ เสรี. (2558). ปัญหาการเรียน. ใน นันทวัช สิทธิรักษ์ และอื่น ๆ. จิตเวช ศิริราช DSM-5. กรุงเทพ : ภาควชิ าจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตรศ์ ริ ริ าชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. พลิศรา องั ศุสงิ ห์ และศิริไชย หงส์สงวนศรี. (2558). โรคทางจติ เวชของเด็กและวยั รุ่น. ใน มาโนช หล่อตระกลู และ ปราโมทย์ สุคนิชย์. จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ : ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะ แพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. ประกฤติ พูลพฒั น์. การเรยี นรว่ มช้ันของเดก็ พิเศษ. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฎสวนดุสิต, 2546. ราชกิจจานุเบกษา. (2550). พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการพุทธศักราช 2550. เล่มท่ี 124 ตอนท่ี 61ก. 27 กนั ยายน 2550. ราชกิจจานุเบกษา. (2552). กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา 2552. เล่มที่ 126 ตอน พเิ ศษ 80 ง. 8 มถิ ุนายน 2552. ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย. (2558). คู่มือการตรวจประเมิน วินิจฉัยและแนวทางช่วยเหลือเด็ก พกิ าร. กรุงเทพ : ราชวทิ ยาลยั กมุ ารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย. ศรเี รือน แกว้ กงั วาน.(255). จิตวิทยาเดก็ ที่มีลักษณะพเิ ศษ. พมิ พค์ รั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : หมอชาวบา้ น. ศศิพินต์ สุขบุญพันธ์. (2551). ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาพิเศษ : เอกสารประกอบการสอนรายวิชา, เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. สถาบันราชานุกูล. (2555). คู่มือครู ระบบการดูแลนักเรียนกลุ่มเด็กพิเศษที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้. กรงุ เทพ : บรษิ ัทบยี อนดพ์ บั ลสิ ซิง่ จำกดั สถาบันราชานุกูลa. (2557ก). เด็กแอลดี คู่มือสำหรับครู. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. สถาบันราชานุกูล. (2557ข). เด็กออทิสติก คู่มือสำหรับครู. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . สถาบันราชานุกูล. (2557ค). เด็กเรียนรู้ช้า คู่มือสำหรับครู. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. สถาบันราชานุกูล. (2557ง). เด็กสมาธิสั้น คู่มือสำหรับครู. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
177 แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 6มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกบั การแนะแนว ผู้สอน - อาจารยต์ ้นสาย แกว้ สว่าง เวลา - 4 ชั่วโมง วัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมายของการแนะแนวได้ 2. อธิบายประวตั ิ ความสำคัญและความจำเปน็ ของการแนะแนวได้ 3. บอกจุดมุ่งหมายและประเภทของการแนะแนวได้ 4. อธิบายปรัชญาและหลักการของการแนะแนวได้ 5. อธิบายรูปแบบวธิ กี ารแนะแนวได้ 6. อธิบายและยกตัวอยา่ งบริการแนะแนวได้ 7. บอกประโยชนข์ องการแนะแนว 8. บอกจรรยาบรรณวิชาชพี จิตวทิ ยาการแนะแนวได้ เนอ้ื หา 1. ความหมายของการแนะแนว 2. ประวัตกิ ารแนะแนวในประเทศไทย 3. ความสำคญั และความจำเป็นของการแนะแนว 4. จุดมงุ่ หมายของการแนะแนว 5. ประเภทของการแนะแนว 6. ปรชั ญาของการแนะแนว 7. หลกั การของการแนะแนว 8. รปู แบบวธิ กี ารแนะแนว
178 เน้ือหา (ตอ่ ) 9. บรกิ ารแนะแนว 10. ประโยชน์ของการแนะแนว 11. จรรยาบรรณวิชาชพี จติ วิทยาการแนะแนว การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ 1. แจ้งวตั ถุประสงค์และแจง้ ขอบเขตเน้อื หา 2. สอนบรรยายเน้ือหาหัวขอ้ ต่างๆ 3. อภปิ รายรว่ มกัน 4. ตอบถำถามและขอ้ สงสยั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 นาที 170 นาที 30 นาที 20 นาที สือ่ การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. Power point presentation การประเมินผล 1. กิจกรรมท้ายบท
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 179 หัวขอ้ การสอนท่ี 6 ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับการแนะแนว ความหมายของจติ วิทยาและประวัตคิ วามเปน็ มา 1. ความหมายของการแนะแนว การแนะแนว (Guidance) มีผูใ้ ห้ความหมายของการแนะแนวต่าง ๆ กนั ดังน้ี กรกฎา นักค้มิ (2555) ได้ให้ความหมายของการแนะแนว ว่าคอื กระบวนการชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นให้รู้จักเข้าใจ ตนเองและสงิ่ แวดลอ้ ม รู้เท่าทันตนเองและสังคม มีสารสนเทศทสี่ อดคลอ้ งกับความต้องการของตนเอง เพือ่ ให้เรยี น สามารถตัดสินใจและวางแผนได้ด้วยตนเอง สามารถปรับตัวดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและเจริญงอกงามเต็ม ตามศกั ยภาพแหง่ ตน Good (1973) อธิบายความหมายของการแนะแนว คือ แบบของการช่วยเหลือท่ีมีระเบียบแบบแผนอย่าง หนึ่ง ที่นอกเหนือจากการสอนตามปกตแิ ก่นักเรียน นักศึกษาหรือบุคคลอนื่ ๆ เพื่อใหเ้ ขารูจ้ กั แสวงหาความรู้ ความ ฉลาดโดยปราศจากการบงั คบั ใด ๆ เป็นการนำทางให้เขารจู้ ักการนำตนเอง Miller (1976) ให้ความหมายของการแนะแนวว่า การแนะแนวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทาง การศึกษา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือแต่ละบุคคลให้สามารถเข้าใจตนเอง ตัดสินใจได้ด้วยตนเอง และมีการ วางแผนในการพฒั นาระบบของชวี ติ ของตนเองใหด้ ีขนึ้ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2559) ให้ความหมายของการแนะแนวว่า หมายถึง กระบวนการที่ ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่นคิดเป็น ใช้ชีวิตเป็น สามารถตัดสินใจและวางแผน การศกึ ษา อาชพี และปรบั ตัวอยูใ่ นสงั คมได้อย่างมีความสุข รังสรรค์ โฉมยา (2555) กล่าวว่า การแนะแนว หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือบุคคลเพื่อให้ บุคคลได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง สามารถที่จะปรับตัวและพัฒนาด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสมกับ บริบททางสงั คม อัชรา เอิบสุขสิริ (2556) กล่าวว่า การแนะแนวหมายถึงกระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักและเข้าใจ ตนเอง เข้าใจสภาพแวดล้อม สามารถตัดสินใจในการแก้ปัญหาต่าง ๆ และวางแผนชีวิตได้อย่างฉลาด โดยพัฒนา ตนเองให้เตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพและดาเนนิ ชีวิตอย่างมคี วามสขุ และมีคณุ ค่าต่อสังคม สรปุ คอื การแนะแนวเป็นกระบวนการทชี่ ว่ ยให้นกั เรยี นเข้าใจตนเอง เขา้ ใจผูอ้ ื่นและสามารถปรับตวั ในการ ดำรงในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีสารสนเทศที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ช่วยให้สามารถ สามารถวางแนวชีวิตอนาคตของตนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมอันจะนาไปสู่ความสขุ และความสำเรจ็ ในชีวิต
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 180 2. ประวตั กิ ารแนะแนวในประเทศไทย การแนะแนวถือได้ว่ากำเกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานานกว่า 70 ปีแล้ว การที่งานด้านแนวใน ประเทศนี้ เจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าประเทศอื่น ๆ ก็เพราะสถานการณ์และอิทธิพลแวดล้อมสำคัญๆ หลายทางด้วยกัน ที่ช่วยผลักดัน และสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีแหล่งอ้างอิงถึงบุคคลแรกที่เป็นนำมาใช้เป็นคน แรกหลายแหล่ง โดยเริ่มมีการใช้ที่โรงเรียนเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1895 เป็นโรงเรียนแรกที่เริ่มจัดบริการแนะแนว อาชีพให้แก่นักเรียน โดยมีมีการสอนอาชีพหลายแขนง มีการพิจารณาคุณสมบัติของนักเรียน มีการให้คำาแนะนา และหางานใหท้ ำ นอกจากนน้ั ยังตดิ ตามดผู ลงานของนกั เรียนเกา่ ที่ออกไปแลว้ ด้วย และถูกนำมาตอ่ อยา่ งแพรห่ ลาย ในเวลาต่อมาตามเมอื งตา่ ง ๆ โดยแฟรงค์ พาร์สัน (Frank Parsons) เปน็ ครทู ่ี Southbridge มลรฐั เมสซาจเู ซตส์ (Massachusetts) เขา สอนวิชาประวัติศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ภาษาฝร่ังเศส ขณะเป็นครอู ยนู่ ้นั มีโอกาสไดเ้ ขา้ รว่ มอภปิ รายปัญหาตา่ ง ๆ ของ ท้องถิ่น แฟรงค์มีวาทศิลป์ดี จึงมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชุมชนรอบโรงเรียน แฟรงค์ได้รับยกย่องให้เป็น บิดาแหง่ การแนะแนวอาชพี ของสหรัฐเพราะเขาได้วางหลกั เกณฑ์การแนะแนวไวเ้ ป็นอย่างดี นกั แนะแนวท้ังในอดตี ถึงปัจจุบันยังต้องดำเนินตามหลักของแฟรงค์ และได้จัดตั้งโครงการเพื่อพัฒนาการแนะแนวที่มีบทบาทสำคัญใน การแนะแนวเป็นเวลาต่อมา เริ่มมีการพัฒนาองค์ความรู้การแนะแนวอย่างแพร่หลาย และเกิดการขยายออกไป ทั้งการแนะแนวอาชีพ แนะแนวการศึกษา การแนะแนวทางด้านสังคมและส่วนตัว มีการปรับปรุงพัฒนากลวิธีของการแนะแนวให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริการให้คำปรึกษาซึ่งเป็นขบวนการช่วยเหลือแต่ละบุคคล พบกันตัวต่อตัว เฉพาะผู้ให้ คำปรึกษากับผู้มาขอรับคำปรึกษาเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับคำปรึกษา (Client) ได้ข้อคิดสามารถเข้าใจตนเองและ สิ่งแวดล้อมดีขึ้น จนสามารถวาดเค้าโครงชีวิตหรือแผนอนาคตของตัวเองได้อย่างเหมาะสมและตัดสินใจแก้ปัญหา ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การแนะแนวในประเทศไทย กิจกรรมของงานแนะแนวในประเทศไทย ได้กระทำกันมาเป็นเวลานานแล้ว การแนะแนวของไทยเริ่มต้น ได้มาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี เมื่อ พ.ศ. 2491 ได้มีการดำาริจัดตั้ง “กองการศึกษาประชากร” ขึ้นในกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (วัชรี ทรัพย์มี, 2531) ให้มีหน้าที่โฆษณาให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการศึกษา แนะนำ การศึกษาและอาชีพ จัดทัศนศึกษา ให้การศึกษาทางวิทยุและหนังสือพิมพ์และจัดโรงเรียนเด็กพิการ ตลอดจนต้ัง สำนักงานให้ผู้ปกครองมาติดต่อรับคำแนะนาเกี่ยวกับเลือกแนวทางศึกษาและอาชีพของเด็ก เริ่มให้ความสำคัญกับ การแนะแนวมากขนึ้ เชน่ เริม่ ใหม้ ีวิชาแนะแนวขนึ้ ศกึ ษาดงู านแล้วนำมาเผยแพร่ กรมอาชีวศึกษาได้จัดตั้ง “กองส่งเสริมอาชีพ” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์จะปรับปรุงกิจการด้านอาชีวศึกษา กองนี้ ซึ่งมีรปู แบบงานท่ีเก่ียวข้องกบั บริการแนะแนวอาชีพเป็นอย่างมาก โดยทำหน้าที่ตรวจสอบและให้คำแนะนำ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 181 ปรึกษาในการแนะแนวเกี่ยวกับการศึกษา และการประกอบอาชีพการเลือกเรียนวิชาชีพให้แก่นักเรียน และจัดหา งานใหผ้ ูส้ ำเรจ็ การศึกษาหรอื ผูท้ ่อี ย่รู ะหวา่ งการศึกษาให้มีรายได้ ใน พ.ศ. 2495 เริ่มมีหลายหนว่ ยงานใหค้ วามสนใจในการแนะแนว แต่ในระยะนั้นเรื่องการแนะแนวนับได้ ว่ายังคงเป็นวิชาใหม่ ยังไม่ได้บัญญัติศัพท์คำว่า “แนะแนว” ขึ้น ยังไม่เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแก่บรรดานักบริหาร ศึกษาธกิ ารการแนะแนวจงึ ไมไ่ ดร้ บั ความสนใจทา่ ทค่ี วร การเร่มิ ตน้ จึงเป็นไปอยา่ งค่อยเป็นคอ่ ยไป ใน พ.ศ. 2496 ได้มีการทดลองจัดบริการในโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก ที่ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จงั หวัดฉะเชงิ เทรา ซ่ึงเป็นโรงเรยี นแบบประสม (Comprehensive High School) เพ่อื ให้บรกิ ารแกน่ กั เรยี นในการ เลือกสายการเรียนตามหลักสูตรโรงเรียนมัธยมแบบประสมได้เหมาะสม บริการแนะแนว ที่จัดขึ้นครั้งแรกที่ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เรียกว่า “ห้องศึกษาสงเคราะห์” (Guidance Room) โดยเปิดบริการให้คำปรึกษา หรือเกี่ยวข้องกับการเลือกเรียนต่าง ๆ มีการใช้แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาของนักเรียน ต่อจากนนั้นก็มีโรงเรียน ต่าง ๆ หลายแห่งโดยเฉพาะโรงเรียนกรมวิสามัญในพระนคร ได้เริ่มสนใจมากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ขาดผู้สนับสนุน อุปกรณ์ ความเขา้ ใจทางวิชาการและเทคนคิ การแนะแนวกจิ การแนะแนว กรมวิสามัญได้เริ่มให้ใช้ระเบียนสะสม (Cumulative Record) ในโรงเรียนต่าง ๆ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะความผิดพลาดไม่รอบคอบการขาดความรู้ของผู้เริ่มต้น มิได้มีการแนะวิธีการใช้อย่างเป็นทางการ ต่อมากอง ส่งเสริมอาชีพ กรมอาชีวศึกษาได้สร้างแบบทดสอบเพื่อใช้ในการแนะแนวขึ้น ตัวอย่างเช่น ข้อสอบทดสอบ สติปัญญา แบบสำรวจความสนใจ ข้อทดสอบบุคลิกภาพ ข้อทดสอบความถนัดทางช่าง (Mechanical Aptitude Test) อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์สุขวิทยาจิต สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นสถานที่ที่ให้บริการ ตรวจรกั ษาเด็กและเยาวชนที่มปี ัญหาทางอารมณ์ และความประพฤติไมเ่ หมาะสม ศนู ย์สุขวทิ ยาจิตมีหน้าที่ส่งเสริม สุขภาพจิตของประชาชน โดยให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตและปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากสุขภาพจิตไม่ สมบูรณ์ โดยอาศัยสื่อมวลชน เช่น เสนอบทความทางวิทยุ อภิปรายทางโทรทัศน์ ปาฐกถา และอนุสารเก่ี ยวกับ ปัญหาเดก็ พ.ศ. 2497 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะส่งเสริมกิจการแนะแนวให้กว้างขวางและเป็นปึกแผ่น ยิ่งขึ้น จึงโอน “กองเผยแพร่การศึกษา” จากกรมวิชาการไปสังกดั สานักงานปลักระทรวงศึกษาธิการและเปลี่ยนชือ่ “แผนกแนะแนวการศึกษาและอาชีพ” พร้อมกับบัญญัติศัพท์คำว่า “การแนะแนว” (Guidance) กองแรงงาน สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ได้จัด “บริการแนะแนวอาชีพ” ขึ้น ได้เริ่มเผยแพร่การแนะแนว เป็นรูปเอกสาร ได้จัดพิมพ์ “คู่มือแนะแนวทางศึกษา” เพื่อชี้แนวทางการศึกษาต่อระดับต่าง ๆ มหาวิทยาลัยบาง แหง่ มีการกำหนดวชิ าแนะแนวเปน็ วชิ าบังคบั พ.ศ. 2503 มีนโยบายที่จะส่งเสริมบริการแนะแนวให้ดีขึ้น ในโรงเรียนต่าง ๆ กองเผยแพร่การศึกษาได้จัด สัมมนาแนะแนวการศึกษาและอาชีพขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกโดยเชิญผู้ที่มีความรู้ทางแนะแนว ผู้ที่มีประสบการณ์ เกี่ยวกับการแนะแนวมาร่วมประชุมกันเป็นจำนวนมากเพื่อร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานพัฒนากิจการ แนะแนว ระดมสมองหาแนวทางพัฒนางานแนะแนว การสัมมนาครั้งนี้ ทำให้เกิดการเคล่ือนไหวเรื่องการแนะแนว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 182 ตามโรงเรียนตา่ ง ๆ มากข้นึ หลงั จากการสัมมนาแนะแนวเมือ่ พ.ศ. 2503 แล้ว กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดว้ างนโยบาย ตอ่ เนื่อง โดยมอบหมายให้กองเผยแพรก่ ารศึกษาเปน็ ศนู ยป์ ระสานงานแนะแนว (Clearing House) เพ่อื เป็นหน่วย ประสานงานแนะแนวต่าง ๆ ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงศึกษา และทาหน้าที่ประสานบุคคลในวงการแนะแนว เพอื่ รวบรวมความรู้ ข้อคิดเหน็ ตา่ ง ๆ เผยแพรพ่ ัฒนากิจการแนะแนวใหก้ วา้ งขวางยง่ิ ขึน้ และการแนะได้ถูกนำมาใช้ในโรงเรียนต่าง ๆ อย่างแพร่หลายมากขึ้น และบัญญัติหลักสูตรการศึกษาแนะ แนวในระดับอุดมศึกษา เพื่อส่งเสริมผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการแนะนำมาปฏิบัติงานอย่างแท้จริง และมี เพียงพอ สอดรับกับนโยบายของคุรุสภาให้มีตำแหน่งผู้ช่วยครูแนะแนวในโรงเรียน และยังมีการเผยแพร่หลักสูตร ระยะสั้น และระดับบัณฑิตศึกษาสำหรับสร้างผู้มีความรู้ทางด้านการแนะแนวในเวลาต่อมาอีกมากมาย รวมถึง หน่วยงานต่าง ๆ ได้เห็นความสำคัญและเผยแพร่ข้อมูลของบริการแนะแนวอันเป็นประโยชน์ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วารสาร และจัดระบบแนะแนวต้นแบบในโรงเรียนต้นแบบ และขยายออกไปในที่สุด จนถึงการเสนอการแนะแนว เข้าส่แู ผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ 3. ความสำคัญและความจำเปน็ ของการแนะแนว บริการแนะแนวเป็นบริการที่มีความสำคญั และมีความจำเป็นทีต่ ้องมีการดำเนินการขึ้นให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจ โดยสามารถจัดได้ทั้งแบบรายบุคคลและแบบกลุ่ม โดยสามารถอธิบายความสำคัญและความจำเป็น ของการจัดบริการแนะแนว ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน , 2559 ; กฤตวรรณ คำสม , 2557) 1. บริการแนะแนวในสถานศึกษา เป็นภารกิจที่มุ่งช่วยเหลือและส่งเสริมให้ผู้เรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง รู้จัก เข้าใจตนเขา้ ใจผู้อ่ืน เข้าใจสภาพแวดล้อม สามารถนำตน พึ่งตนเองได้ ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และมีความพรอ้ มที่จะ พัฒนาศักยภาพของตนด้านชีวิตส่วนตัวและสังคม การพัฒนาทางการศึกษา และการพัฒนาทางอาชีพ โดยใช้ กระบวนการใหบ้ รกิ ารบนพ้นื ฐานของการประยุกตจ์ ิตวิทยาแห่งความเขา้ ใจและช่วยเหลือมนษุ ย์ที่สอดคล้องกับการ พฒั นาชีวิตแตล่ ะชว่ งวัย 2. บริการแนะแนวมุ่งเน้นให้จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้หลักการบริการแนะแนวสำหรับครูและผู้บริหารการศึกษาและคุณธรรม มีจริยธรรมและ วฒั นธรรม ในการดำรงชวี ติ อยู่ร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้อยา่ งมีความสขุ 3. สง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณคา่ ตนเอง มีความสามารถใน การสื่อสารและเทคโนโลยี มีทักษะชีวิต สามารถรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต รักการออกกำลงั กาย มีจิตสำนึก ความเปน็ พลเมอื งของโลกมจี ติ สาธารณะอยูร่ ่วมกันในสงั คมอย่างมคี วามสุข 4. บริการแนะแนวมีความสำคัญต่อผู้เรียนในด้านการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคมให้พร้อมที่จะพึ่งตนเอง สามารถปรับตัว สามารถศึกษาเล่าเรียน พัฒนาทักษะพื้นฐานการงานอาชีพตาม วัยและสถานภาพของตน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 183 5. บริการแนะแนวมีความสำคัญต่อผู้เรียนในด้านการป้องกันปัญหาของผู้เรียนทั้งปัญหาส่วนตัว ปัญหาท่ี เกีย่ วข้องกบั สังคม และปญั หาในการดำรงชวี ติ ต่าง ๆ 6. บริการแนะแนวช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถช่วยตนเอง แก้ไขปัญหาของตน และสามารถปรับเปล่ยี น พฤตกิ รรมให้เหมาะสมตามวัย 7. บริการแนะแนวชว่ ยลดปญั หาครอบครัว เนอ่ื งจากโครงสร้างครอบครัวไทยมีนกั เรยี นจำนวนมากท่ีไม่ได้ อาศัยอยู่กับบิดามารดา ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการขาดการอบอุ่น ไม่มีผู้คอยชี้นำแนวทางในการเรียน การใช้ชีวิต ให้มีความเหมาะสม 8. ลดการเกิดพฤติกรรที่ไม่เหมาะสมจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็ว ขาดการกลั่นกรอง และมีการถ่ายทอดกันอย่างแพร่หลายไปยังกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงนักเรียน อาจเกิดการซึมซับสื่อที่มีค่านิยมไม่ เหมาะสม สง่ ผลต่อการเกดิ พฤตกิ รรมหรือทศั นคตทิ ี่ไม่เหมาะสม จะเห็นได้ว่าการแนะแนวเป็นบริการที่มีความสำคัญ และเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการชี้แนะช่องทางให้เด็ก ได้รู้จักตนเองด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่หลากหลาย การที่เด็กได้สำรวจตัวเอง รู้จักตนเอง รู้จักจุดแข็ง ข้อจำกัด รู้ว่า ตนเองสนใจในเรอ่ื งใดเปน็ พิเศษ หรอื ถนดั ทางด้านอะไร ทำให้สามารถพฒั นาตนเองไปทเี่ หมาะสม 4. จดุ มุง่ หมายของการแนะแนว การแนะแนวเป็นกระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักเข้าใจตนเอง และสิ่งแวดล้อม สามารถตัดสินใจใน การแก้ปัญหาต่าง ๆ และวางแผนชีวิตได้อย่างเหมาะสม และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพสามารถดำเนินชีวิตได้ อย่างมีความสุข ดังนั้น จุดมุ่งหมายของการแนะแนว สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ (สุนิสา วงศ์อารี , 2559 ;นริ นั ดร์ จุลทรพั ย์ , 2554) 1. จดุ ม่งุ หมายทั่วไป จุดมุ่งหมายทั่วไป หมายถึง จุดมุ่งหมายของการแนะแนวโดยส่วนรวม นั่นคือการแนะแนวไม่ว่าจะจัด ณ สถานที่ใดก็ตามย่อมจะมีจุดมุ่งหมายทั่วไปเหมือนกัน หรืออาจจะเรียกว่าหน้าที่ของการแนะแนวก็ได้ ซึ่งมีอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ 1. เพื่อป้องกันปัญหา (prevention) การแนะแนวมุ่งป้องกันไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาหรือความยุ่งยากใน การดำเนินชีวิตของตน เพราะถ้าผู้เรียนปราศจากปัญหาหรือจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม ผู้เรียนก็จะมี โอกาสพัฒนาตนเองไปได้อย่างดี ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานแนะแนวจำเป็นต้องศึกษาพัฒนาการ พฤติกรรมปกติ และ เบี่ยงเบนทั้งหลาย เพื่อเข้าใจสาเหตุ และหาทางป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นเป้าหมายหลักของการแนะ แนว 2. เพื่อแก้ไขปัญหา (curation) การแนะแนวมุ่งให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้นกับตน โดยหาทางขจดั ปญั หาให้หมดสิ้นไป หรือทำให้คลี่คลายขึ้น เพราะถ้าผู้เรยี นประสบปญั หาโดยไมใ่ หค้ วาม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 184 ช่วยเหลือแล้ว ผู้เรียนย่อมจะไม่สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้ และในบางครั้งอาจจะมีการปรับตวั ที่ผิดๆ ทำให้เกิดปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่จะได้ผลจะต้องแก้ไขตามสาเหตุ ดังนั้นการรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนในด้านต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาทจ่ี ะได้ผลจะตอ้ งไดร้ ับความรว่ มมอื ท้งั จากทัง้ เจ้าของปัญหา และบคุ คลทแ่ี วดล้อมคนๆ น้นั ดว้ ย 3. เพื่อส่งเสริมพัฒนา (development) การแนะแนวมุ่งจะให้การส่งเสริมผู้เรียนทุกคนถือเป็นเป้าหมาย สำคัญอีกประการหนึ่ง ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนา หรือส่งเสริมทั้งในด้านการศึกษาอาชีพและการพัฒนาในด้าน บุคลิกภาพ เพือ่ ใหเ้ ติบโตเปน็ คนที่มีคณุ ภาพเป็นพลเมืองดขี องสังคมและประเทศ การส่งเสรมิ พัฒนาควรกระทำกับ เด็กทุกคนทั้งคนที่มีปัญหาและคนที่ไม่มีปัญหา ทั้งนี้เพราะการแนะแนวเป็นการเตรียมปัจจุบันให้ดีพร้อมสาหรับ ชีวิตในอนาคต 2. จุดมงุ่ หมายเฉพาะ จุดมุ่งหมายเฉพาะ หมายถึง จุดมุ่งหมายของการแนะแนวที่สถานศึกษาซ่ึงจัดใหม้ ีการบริการแนะแนวเปน็ ผู้กำหนดขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญา เป้าหมายหลักสูตร และสภาพสังคมของสถานศึกษา นั้น ๆ เช่น คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพวิชาการ กลุ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (2546) ได้สรุปจุดมุ่งหมายของการแนะแนว ไว้ 6 ประการ ดังนี้ 1. เพือ่ ให้ผ้เู รยี นค้นพบความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตนเอง รักและเห็นคณุ คา่ ของตนเองและ ผอู้ ื่น 2. เพื่อให้ผูเ้ รยี นได้พฒั นาบุคลิกภาพและปรับตวั อยใู่ นสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ 3. เพอ่ื ให้ผู้เรียนรจู้ กั แสวงหาความรู้จากขอ้ มูลข่าวสาร แหลง่ การเรียนรู้ ทง้ั ด้านการศึกษาอาชพี ส่วนตวั และสังคม เพ่ือนาไปใชใ้ นการวางแผนเลอื กแนวทางการศึกษา อาชพี ได้เหมาะสมสอดคลอ้ งกับศกั ยภาพของตนเอง 4. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมีความรู้ มีทกั ษะ มคี วามคดิ สรา้ งสรรคใ์ นงานอาชีพและมเี จตคตทิ ี่ดตี ่ออาชีพสุจรติ 5. เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนมีคา่ นิยมที่ดงี ามในการดำเนนิ ชวี ิต เสริมสรา้ งวนิ ยั คุณธรรมและจรยิ ธรรมแกผ่ เู้ รียน 6. เพือ่ ใหผ้ ้เู รยี นมีจิตสำนึกในการรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ครอบครวั สงั คม และประเทศชาติ สนุ ิสา วงศ์อารยี ์ (2559) อธบิ ายจุดมงุ่ หมายของการแนะแนว ได้ดง้ น้ี 1. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนให้งอกงามเต็มตามศักยภาพแห่งตน ซึ่งการที่จะพัฒนาตนเองได้นัน้ ตอ้ งเริ่มจาก การรูจ้ ักเขา้ ใจตนเอง และสภาพแวดล้อม ซ่งึ จะชว่ ยให้สามารถดำเนนิ ชีวติ อยา่ งเป็นสุข 2. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลในทุกด้าน โดยการวางแผนการศึกษา อาชีพ และการดำเนินชีวิต สามารถบริหารจัดการตนเอง ป้องกันแก้ไขปญั หาได้ เน้นให้บุคคลสามารถรับผิดชอบดูแลตนเองได้ รวมถึงส่งเสริม การมคี ณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดลอ้ ม และยอมรับสภาพความเป็นจริงของชีวติ ได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 185 3. เพื่อช่วยให้บุคคลทุกฝ่ายเข้าใจผู้เรียน มีเจตคติและความปรารถนาที่ดี ส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีของ บุคลากรในสถานศึกษา ทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขจะเห็นได้ว่า จุดมุ่งหมายของการแนะแนวจะช่วย ให้ผู้แนะแนว หรือครูแนะแนวได้มีทิศทางในการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการแนะแนว เป็นกระบวนการในการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน กล่าวคือ การป้องกันปัญหาเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งกายและใจของผู้เรียนก่อนที่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่แท้จริง ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ การแก้ปัญหาจึงเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และเมื่อ ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขแล้ว การส่งเสริมและพัฒนาจะทาให้ผู้เรียนมีกำลังในในการดาเนินชีวิต และมี เป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น หากจะกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการแนะแนวให้เกิดความชัดเจนก็คือ“การ ชว่ ยเหลือบคุ คล ให้เขาสามารถช่วยเหลอื ตนเองได้” (help him to help himself) 5. ประเภทของการแนะแนว การแนะแนวมีหลายประเภท สามารถจำแนกออกได้ตามลักษณะของปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้เรยี นต้องการความ ช่วยเหลือ หรือตามจุดมุ่งหมายที่สถานศึกษาจะให้ความช่วยเหลือแก่นักเรียน เช่น ถ้าผู้เรียนมีปัญหาทางด้านการ เรียน การศึกษาต่อ การติวข้อสอบ การช่วยเหลือที่ทางสถานศึกษาจัดให้กับผู้เรียนเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ก็เรียกว่า การแนะแนวการศึกษา ถ้าผู้เรียนมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ การหางาน การปรับตัวให้เข้ากับงาน การ ช่วยเหลือที่ทางสถานศึกษาจัดให้ก็เรียกว่าการแนะแนวอาชีพ ถ้าผู้เรียนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย การ ช่วยเหลือของทางสถานศึกษากเ็ รียกว่า การแนะแนวสขุ ภาพ ถ้าผู้เรยี นมปี ัญหาเกยี่ วกบั การคบเพอ่ื น การวางตัวใน สังคม การช่วยเหลอื ของทางสถานศกึ ษากเ็ รยี กวา่ การแนะแนวด้านสงั คม เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การแบ่งประเภทของการแนะแนวนั้น สามารถแบ่งได้มากมายตามลักษณะปัญหาของผู้เรียน ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยส่วนมากมักจะแบ่งการแนะแนวออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คือ (สุนิสา วงศอ์ ารี , 2559 ;นริ ันดร์ จุลทรัพย์ , 2554 ; กฤตวรรณ คำสม , 2557) 1. การแนะแนวการศกึ ษา 2. การแนะแนวอาชพี 3. การแนะแนวสว่ นตวั และสงั คม 1. การแนะแนวการศึกษา (educational guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือผู้เรียน ในเรื่องท่ีเกีย่ วกับการศึกษา เพื่อใหป้ ระสบความสำเร็จทางด้านการศกึ ษาตามศักยภาพของผู้เรยี น เช่น แนวทางใน การศึกษาต่อ โครงสร้างหลักสูตร การเลือกแผนการเรียน วิธีการเรียน เกณฑ์การสำเร็จการศึกษา การเข้าร่วม กิจกรรมเสริมหลักสูตร การบริหารจัดการนการเรียน การแบ่งเวลาเรียน การเตรียมตัวสอบ การสร้างสมาธิในการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 186 เรียน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักเลือกและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถวางแผน และแก้ปัญหา ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ ในเร่ืองทเี่ กย่ี วขอ้ งกับกระบวนการเรยี นได้ โดยจุดมุ่งหมายของการแนะแนวการศกึ ษา สรปุ ไดด้ งั นี้ 1. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล ระเบียบกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ของสถานศกึ ษา เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ นวทางในการปฏิบัติตนไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง 2. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตัดสินใจเลือก แผนการเรยี นไดถ้ ูกตอ้ งตรงกับความสนใจ ความตอ้ งการ ความถนัด และความสามารถของตน 3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศทางการศึกษาต่อในด้านต่าง ๆ เช่น คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าศึกษา วิธีการรับเขา้ ศึกษา จำนวนทรี่ ับ ค่าใช้จา่ ยในการศกึ ษาเลา่ เรียน และระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา 4. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทางสถานศึกษาจัดขึ้นได้อย่ าง เหมาะสม ซง่ึ จะช่วยใหค้ วามสามารถพิเศษของผู้เรยี นปรากฏเดน่ ชัด และไดร้ บั การส่งเสรมิ พัฒนาอย่างเตม็ ท่ี 5. เพ่อื ช่วยใหผ้ เู้ รียนได้ประสบความสำเร็จในการศกึ ษาตามแผนการเรียนของตน ตัวอย่างของกิจกรรมแนะการทางการศึกษา เช่น การวางแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมโฮมรูม การจัดโครงการแนะแนวทางด้านการศึกษา นิทรรศการการให้ข้อสนเทศด้านการศึกษา และข้อมูลด้านการศึกษา ผ่านส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ สื่อออนไลนต์ ่าง ๆ 2. การแนะแนวอาชีพ (vocational guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือผู้เรียน เกี่ยวกับการวางแผนและการตัดสินใจเลือกอาชีพ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ค้นพบอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถ ความถนดั ความสนใจ และสภาพร่างกายของตน ดงั นน้ั การแนะแนวอาชีพจงึ เปน็ การช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับงานอาชีพ การเตรียมตัวเพื่อประกอบอาชีพ แนวทางและโอกาสของการประกอบอาชีพแต่ละชนิด วธิ ีการทำงานเพอื่ ใหเ้ กิดความกา้ วหน้าในการประกอบอาชีพการปรับตวั อยา่ งมคี วามสุขในการประกอบอาชีพนัน้ ๆ ตลอดจนการมีเจตคติที่ถูกต้องต่อการทำงานสุจริตทุกชนิด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนวางแผนในการตัดสินใจเลือกอาชีพ และการเตรียมตัวเพ่ือการประกอบอาชพี ที่เลอื กไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยจดุ มุง่ หมายของการแนะแนวอาชพี คือ 1. เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้มองเหน็ ความสำคญั ของงานอาชีพ 2. เพอ่ื ชว่ ยให้ผเู้ รยี นไดม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั อาชพี ตา่ ง ๆ ท่มี อี ยูใ่ นทอ้ งถนิ่ และในโลกกวา้ ง 3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงอิทธิพลของสิ่งต่าง ๆ เช่น ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ ระดับ สติปญั ญา สภาพรา่ งกาย ทม่ี ีความสำคญั ตอ่ การตดั สนิ ใจเลือกอาชีพ 4. เพื่อให้ข้อสนเทศแก่ผู้เรียนเกี่ยวกับอาชีพที่ผู้เรียนสนใจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจในอาชีพ นน้ั ๆ ลึกซ้ึงมากยงิ่ ข้นึ 5. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหางาน วิธีการสมัครงาน วิธีการปรับตัวให้เข้ากับงานและวิธีการ ปฏิบตั ิตนให้มีความเจริญก้าวหนา้ ในการทางาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 187 6. เพื่อช่วยใหผ้ เู้ รียนมเี จตคตทิ ่ดี ตี ่ออาชพี ทีส่ ุจริตทกุ อาชีพ ตัวอย่างกิจกรรมแนะแนวทางอาชีพ เช่น เช่น การตั้งเป้าหมายอาชีพของตนเอง การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ โลกกว้างทางอาชีพ ศึกษาอาชีพต่าง ๆ จากสื่อออนไลน์ การเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพที่ได้รับนิยม การเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ การเชิญรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการป ระกอบอาชีพ เทคนิคการสัมภาษณ์ให้ได้งาน ตลอดทั้งการส่งผู้เรียนไปทดลองฝึกอาชีพที่ตนเองสนใจ การทัศนศึกษา การฝึก อาชพี ทีเ่ ป็นอาชพี ของทอ้ งถน่ิ โดย 3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (personal and social guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความ ช่วยเหลือผู้เรียนในเรื่องที่นอกเหนือจากด้านการศึกษาและอาชีพ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจตนเอง และสภาพแวดล้อม รู้จักปรับปรุงตนเอง ทำให้สามารถดำเนินชีวิตและปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องประสบได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น การแนะแนวส่วนตัวและสังคมจึงเป็น การช่วยให้ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมารยาทสังคม การคบเพื่อนเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศ การรักษาสุขภาพ กายและสุขภาพจิต บุคลิกภาพและการแต่งกาย อารมณ์และการควบคุมอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ การใช้เวลาว่าง จริยธรรมและคา่ นิยม ศาสนาและความเชื่อการใช้จ่ายเงินและการออม เป็นตน้ โดยจดุ มงุ่ หมายของการแนะแนวส่วนตัวและสงั คม สรุปได้ดงั น้ี 1. เพ่อื ช่วยให้ผเู้ รยี นเป็นผ้ทู ่ีมีคณุ ลกั ษณะ และบุคลิกภาพท่เี หมาะสมเปน็ ทชี่ ืน่ ชมแกผ่ ้พู บเหน็ 2. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง ยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง และรู้จักปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของ ตนใหม้ กี ารเปลีย่ นแปลงไปในทางท่ดี ีขนึ้ 3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ เป็นอยา่ งดี ทาให้มีชวี ติ อยู่ในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ 4. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักรกั ษาสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตของตนให้ดอี ยูเ่ สมอ เพื่อจะไดไ้ ม่เปน็ ปัญหาหรอื อปุ สรรคต่อการดาเนนิ ชีวติ ของตน 5. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้มีเจตคติ ค่านิยมและจริยธรรมที่ถูกต้อง ไม่ประพฤติปฏิบัติตนไปในทางที่เสื่อม เสีย 6. เพอ่ื ช่วยให้ผูเ้ รียนร้จู กั ใช้เวลาว่าง และใช้จา่ ยเงินใหเ้ กิดประโยชน์แกต่ นอย่างแทจ้ รงิ ตัวอยา่ งกจิ กรรมแนะแนว เชน่ การให้ความรู้ ฝึกอบรมเร่อื งการบรหิ ารเวลา การบริหารเงิน การปรับตวั การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการควบคุมอารมณ์ ทักษะการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด การวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละ ช่วงวัยการสง่ เสริมสขุ ภาพจติ ด้วยตนเอง แบบทดสอบบุคลกิ ภาพ แบบทดสอบการบรหิ ารเวลา ความมุ่งหมายประการหนึ่งของการแนะแนว คือ การส่งเสริมพัฒนาในทุก ๆ ด้านของผู้เรียนดังนั้นการ ให้บริการแนะแนวจึงต้องครอบคลุมประเภทของการแนะแนวทั้งสามประการข้างต้น และในทางปฏิบัติ ประเภท
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 188 ของการแนะแนวทั้งสามประการก็ไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะพัฒนาการของมนุษย์จะเกี่ยวข้อง และส่งผลถึงกัน และกนั เสมออยา่ งทก่ี ล่าวกันวา่ การแนะแนวน้ันเปน็ การแนะแนวชีวติ (life guidance) ของบุคคล 6. ปรัชญาของการแนะแนว ปรัชญาของการแนะแนว อธิบายได้ว่า คือแนวคิดหรือทัศนคติ ซึ่งได้รับการพิจารณามาอย่างถ่ีถ้วนแล้ววา่ มีความเหมาะสมและควรยึดถือเป็นหลักในการให้บริการแนะแนวให้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับ ผู้รับบริการอย่างสูงสุด โดยสามารถอธิบายแนวคิดปรัชญาของแนะแนวได้ ดังนี้ (สุนิสา วงศ์อารี , 2559 ; กรกฎา นกั ค้มิ , 2555 ; กฤตวรรณ คำสม , 2557) 1. มนุษย์มีความแตกต่างกัน (individual differences) จัดว่าเป็นแนวคิดหลักของการแนะแนว เพราะเป้าหมายสูงสุดของการแนะแนว คือ การส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากผู้เรียนแต่ละมี คุณลักษณะ เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกายอารมณ์ สังคม สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ความสนใจ ความต้องการ ความถนัด ความสามารถ และค่านิยม ดังนั้น ในการให้บริการแนะ แนวแก่ผู้เรียน ผู้แนะแนวจะต้องเข้าใจ และยอมรับในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ ผเู้ รยี นแต่ละคนไดพ้ ัฒนาส่ิงท่ีเขามีอยู่ให้เกิดประโยชนท์ ง้ั กบั ตนเอง และสังคมให้มากที่สดุ 2. มนษุ ย์มีคุณค่าและศกั ด์ศิ รขี องความเป็นมนษุ ยเ์ ท่าเทยี มกัน ดังนั้นผู้เรยี นทกุ คนจึงมสี ิทธิและโอกาสท่ี จะได้รับความช่วยเหลือ และส่งเสริมพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันเต็มศักยภาพ สามารถวางแผนสร้างทางเลือกในการ ดำเนินชีวิตได้ และประสบความสำเร็จในชีวิตตามอัตภาพ โดยจะต้องเป็นความช่วยเหลือที่ไม่ล่วงล้ำหรือละเมิด ศักดิ์ศรี และผู้เรียนทุกคนมีสิทธิ์และมีอิสรภาพในการเลือกเป้าหมายชีวิตของตนเอง (freedom to choose) ใน ฐานะที่เขาเป็นเจ้าของชีวิตได้อย่างเต็มท่ี เพียงแต่ช่วยให้บุคคลมีกาลังใจ มีความภาคภูมิใจ มองเห็นคุณค่าใน ตนเองช่วยใหเ้ ขาสามารถดำเนินชีวติ ได้อย่างมีความสขุ 3. พฤติกรรมทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ (all behavior is caused) การแสดงพฤติกรรมใด ๆ ก็ตามของ บุคคล ถ้าพิจารณาใหด้ ีจะพบว่าพฤติกรรมที่เกิดข้ึนนัน้ มีสาเหตหุ รือมีที่มาทั้งสิน้ แม้พฤติกรรมจะเหมือนกันแตอ่ าจ เกิดจากสาเหตตุ า่ งกนั ได้ ในการพิจารณาพฤติกรรมของบุคคลจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถี่ถว้ นก่อนที่จะตัดสิน พฤติกรรมใด ๆ ของบุคคล ควรพิจารณาหรือศึกษาบุคคลเป็นส่วนรวม หรือหลายแง่หลายมุมจนแน่ใจ เพราะการ ตัดสินพฤติกรรมหรือบุคคล โดยพิจารณาอย่างผิวเผินจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นในการแก้ไขปัญหา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือเบี่ยงเบนไปของผู้เรียน จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงสาเหตุแห่งความเบี่ยงเบนนั้น ๆ เสียก่อน เมื่อค้นพบสาเหตุแล้วย่อมจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ถูกจุดและทำได้ง่าย นอกจากนี้การแนะแนว จำเป็นตอ้ งทำเปน็ กระบวนการให้ครบวงจร ทงั้ ดา้ นปอ้ งกนั ปัญหาสาหรบั พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พฒั นาและสร้าง เสริมพฤตกิ รรมท่ีเหมาะสม และปรบั ปรุงแก้ไขพฤตกิ รรมที่ไม่เหมาะสม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 189 4. มนษุ ย์ย่อมมปี ญั หา และตอ้ งการความช่วยเหลือ ในการดำรงชีวติ ของทกุ คนยอ่ มมอี ุปสรรคปัญหา จึง ทำให้ทุกคนมีความต้องการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งความต้องการความช่วยเหลือนั้นก็แตกต่างกันไปในแต่ ละบุคคล บางคนต้องการความชว่ ยเหลอื บ้างเป็นครั้งคราวหรือในสถานการณ์ท่วี กิ ฤต (critical period) แต่บางคน ก็มีความต้องการความชว่ ยเหลืออยู่เสมอ ดังนั้นเม่ือผู้แนะแนวมีความเช่ือดังกลา่ วแล้ว ก็จะต้องพรอ้ มท่ีจะใหค้ วาม ช่วยเหลอื ผู้เรยี นทุกคนใหเ้ อาชนะปญั หาความยุ่งยากต่าง ๆ ใหไ้ ด้ ซง่ึ การให้ความชว่ ยเหลอื ของการแนะแนวจะตอ้ ง เป็นไปในลักษณะของการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้ความช่วยเหลือและผู้รับความช่วยเหลือ จะไม่ใช้วิธีการบงั คับและ จะเน้นที่การให้บุคคลผู้มีปัญหาได้ปลดปล่อยแรงจูงใจภายในของตนออกมา และการช่วยเหลือนี้จะต้องช่วยให้ บคุ คลผู้มปี ัญหาเป็นผ้ทู ่สี ามารถช่วยตนเองได้ในทีส่ ดุ 5. มนุษย์มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ บุคคลจะประสบความสุข ความสำเร็จในชีวิตได้ก็ ต่อเมื่อได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ในด้านต่าง ๆ ได้นำเอาศักยภาพความสามารถต่าง ๆ มาใช้อย่างเต็มที่ และ สามารถดำเนินชีวิตของตนเองได้ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้สำเร็จ ดังนั้นการแนะแนวจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยให้ ผู้เรียนแต่ละคนได้มีโอกาสได้พัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นความมุ่งหมายประการหนึ่งที่สำคัญ ถ้าหากผู้เรียนได้รับความ ช่วยเหลือจากผู้แนะแนว ผู้เรียนจะสามารถค้นหาคุณลักษณะความสามารถ ความสนใจ ตลอดจนความถนัดใน ตนเองได้ และจะทาใหผ้ ู้เรียนได้กระทาอะไรตา่ ง ๆ ในชีวิตได้อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั ผู้เรียนมากข้ึน 6. มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ในบรรดาทรัพยากรทั้งหลาย ทรัพยากรมนุษย์ถือว่ามี ความสำคัญและมีคุณค่ามากที่สุด ดังนั้นการแนะแนวจะต้องจัดอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการวางแผนล่วงหน้า จัด อย่างต่อเนื่อง ใช้วิธีการที่หลากหลาย และอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ พัฒนาในทุกด้าน และใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดทั้งกับตนเองและประเทศชาติ ทั้งนี้เพื่อเป็น การช่วยรักษาทรพั ยากรมนษุ ยท์ ่ีถอื ว่ามีคณุ ค่ายงิ่ ตอ่ สังคม 7. หลกั การของการแนะแนว ปรัชญาของการแนะแนวนั้นนำมาซึ่งหลักการแนะแนว โดยมี Shertzer and Stone (1966 อ้างถึงใน นิ รันทร์ จุลทรพั ย์, 2558) อธบิ ายหลกั การแนะแนวไว้ทั้งหมด 10 ประการ ดังมใี จความสำคญั ดังน้ี 1. การแนะแนวเปน็ การช่วยเหลอื บุคคลโดยอาศัยระบบการพัฒนา มิใช่การนำบคุ คลเพอื่ ให้เกดิ การพฒั นา ในตัวของเขา การช่วยเหลือนั้นจะต้องอาศัยวุฒิภาวะของแต่ละบุคคลเป็นหลัก ผู้ให้การแนะแนวต้องเคารพและ ยอมรับในความรับผิดชอบของบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือเป็นการช่วยเหลือให้บุคคลได้เพิ่มพูนประสบการณ์ เกดิ เจตคตใิ นการท่จี ะช่วยตนเอง 2. หน้าที่ที่เหมาะสมของการแนะแนว คือ การพยายามสร้างสัมพันธ์ระหว่างวิชาการและสังคมภายนอก เพราะการแนะแนวเปน็ เรื่องพิเศษของบุคคลตา่ ง ๆ เก่ียวกบั เหตกุ ารณแ์ ละสิ่งแวดลอ้ มภายนอก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 190 3. การแนะแนวตั้งอยู่บนรากฐานของความเชื่อว่าคนทุกคนมีเกียรติ มีค่า และความถูกต้อง มีความนับถือ ตอ่ คนอืน่ ด้วยใจจริง การใหค้ วามเคารพนบั ถอื ในตวั บุคคลนั้นเพราะทุกคนยอ่ มมีคุณค่า มีสทิ ธิในการตดั สนิ ใจทุกส่ิง ทุกอย่างท่ีถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิที่จะเลือกแนวทางของตัวเองและคนเราสามารถก้าวไปสู่ จุดมุ่งหมายที่เขาอยากจะเป็นนั้นได้ แม้ว่าจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากความจริงที่เคยคาดคิดไว้ก็เป็นหน้าที่ ของเขาทตี่ ้องรับผิดชอบตัวเอง 4. การแนะแนว คือ การให้ความช่วยเหลือบุคคลในการเลือกการวางแผนการตีความสิ่งต่าง ๆ และการ ตัดสินใจอย่างฉลาด พร้อมจะแก้ไขหรือตอ่ สู้กบั อุปสรรค อันจะเกิดขึ้นในแผนต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตาม สถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง การแนะแนวนี้นักเรียนสามารถวางแผนด้วยตนเองได้อย่างถูกต้อง รู้จักตัวเอง รู้จักการ วางโครงการที่จะเข้าเป็นสมาขิกต่าง ๆ โดยการตัดสินใจด้วยตนเองอย่างอิสระ รู้จักเลือกแนวทางชีวิตเพื่อปฏิบัติ และร้จู กั รับผิดชอบตวั เอง 5. การแนะแนว คือ จุดเริ่มต้นในการรู้จักการทางานร่วมกันโดยไม่บังคับไม่ควรบังคับให้นักเรียนปฏิบัติ ตามผู้แนะแนว เมื่อนักเรียนไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติก็จะรู้สึกต่อต้าน ขัดแย้ง บางทีอาจจะรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ การแนะ แนวจะเกิดขึ้นจากแรงจูงใจภายในหรือด้วยความเต็มใจของบุคคลนั้น ๆ มากกว่าจะเกิดจากแรงจูงใจภายนอก นกั เรยี นทกุ คนมีสทิ ธทิ จ่ี ะขอความชว่ ยเหลอื 6. การแนะแนว เป็นกระบวนการศึกษาที่จะต้องปฏิบัติการต่อเนื่องกันตลอดไป จะเริ่มตั้งแต่ในโรงเรียน ประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมีคณะผู้ให้การแนะแนวทางานร่วมกันติดต่อกันมี ข้อมูลตา่ ง ๆ รวบรวมไว้เปน็ อันหนึง่ อันเดยี วกนั เพื่อช่วยให้โครงการการแนะแนวของโรงเรียนมีระสิทธิภาพ 7. การแนะแนวต้องอยู่บนพื้นฐานกว้างๆ ของบุคคลและสังคมของเขาเป็นรายบุคคล ก่อนจะให้ความ ช่วยเหลือแก่บุคคลหนึ่งควรต้องรู้ลักษณะของบุคคลเสียก่อน เช่น ข้อจำกัด ความถนัด ความชอบ และ ความสามารถพิเศษ การที่จะรู้จักสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จาเป็นต้องใช้เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ เข้าช่วยเหลือให้รู้จัก บุคคลให้มากทสี่ ุด 8. การแนะแนว เป็นหน้าที่ของบุคคลหลายคนช่วยกันทางานอย่างเข้มแข็ง ได้แก่ ผู้แนะแนว ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ นักจิตวิทยา ทั้งหมดนี้จะช่วยกันให้การแนะแนวแก่นักเรียน ตามขีดจำกัดของความสามารถและความ รบั ผิดชอบของบคุ คลเหลา่ น้นั เปน็ รายบคุ คล 9. การแนะแนว คือ การช่วยให้นักเรียนได้ตระหนักในความจริงเกี่ยวข้องกับตัวของเขาเองอย่างมากที่สุด เพื่อจะได้รู้จักปรับตัว ปรับความเข้าใจในตนเอง การยอมรบั และเข้าใจจุดมุ่งหมายของตนเอง เพ่อื ทราบวา่ ตนเองมี ความสามารถและโอกาสต่าง ๆ มากหรือน้อยเพียงใด 10. การแนะแนว คือการชี้ให้เห็นความแตกต่างของสภาพบุคคลภาวะสังคมของนักเรียนแต่ละคน รวมทั้ง การชี้ให้เห็นผลของการศึกษาของบุคคล ตลอดจนความพยายามของโรงเรียน ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เล่าเรียนจน จบบรรลคุ วามสำเรจ็ ตามความตอ้ งการของแต่ละคนได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 191 จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นำไปสู่การวางแผนการแนะแนว ในการช่วยเหลือบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพ ต้องมีหลักการ มกี ารวางแผนในการชว่ ยเหลือบุคคลทัง้ 3 ลักษณะไปพรอ้ มกัน โดยอธิบายได้ ดงั นี้ 1. Development Approach คือ มุ่งสู่การพัฒนา โดยการมุ่งเน้นให้บุคคลเกิดพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ไปพรอ้ ม ๆ กนั 2. Preventive Approach คอื การเนน้ การปอ้ งกนั คอื การมงุ่ จะปอ้ งกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับ บคุ คลอย่างครอบคลุม 3. Curative Approach คือ การเน้นการสนับสนนุ กล่าวคือการมุง่ ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ได้รับการแกไ้ ข แลว้ ใหด้ ีข้นึ อย่างต่อเนอื่ ง อาจนำไปสกู่ ารไม่กลับไปเกดิ ปัญหาดังกล่าวซำ้ ในขณะเดียวกัน พนม ลิม้ อารีย์ (2548) ได้สรุปหลกั การที่สำคญั ของการแนะแนวไว้คลา้ ยคลึงกัน แต่มีการ เพ่มิ เติมหลักลกั ษณะบางประการไว้ ดงั นี้ 1. การจัดบรกิ ารแนะแนวในโรงเรียนจะต้องมุ่งใหค้ วามชว่ ยเหลือผู้เรยี นทกุ คน เนือ่ งจากผู้เรยี นทุกคนย่อม ต้องการความชว่ ยเหลือจากโรงเรยี นของตน และเป็นการใหบ้ ริการดว้ ยความเสมอภาคเป็นธรรม และเทา่ เทียมกัน 2. การจัดบริการแนะแนวจะต้องกระทำอย่างเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง คือ จัดอย่างมีระบบ มีระเบียบ แบบแผน มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ทุกขั้นตอน จนกระทั่งบุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือสามารถนา ตนเองได้ ชว่ ยตนเองได้ 3. ผทู้ ำงานแนะแนวจะตอ้ งยอมรบั ในความเป็นเอกตั บุคคล (individual) ของผเู้ รยี น นน่ั คอื จะตอ้ งมีความ เข้าใจและยอมรบั ในเรอ่ื งความแตกต่างระหว่างบุคคล ตวั อย่างเช่น รปู ร่าง สติปญั ญา ความสามารถ คา่ นิยม ความ สนใจ พัฒนาการเกดิ ขน้ึ อยา่ งเป็นขัน้ ตอน และคำนงึ ถึงประสบการณ์ของบุคคลในการแนะแนว 4. การแนะแนวเป็นงานท่ีวางอยูบ่ นพืน้ ฐานกระบวนการพฤตกิ รรมของบุคคล และเก่ยี วข้องกบั พัฒนาการ ของมนุษย์ ดังนั้นการแนะแนวจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือและกลวิธีต่าง ๆ ทั้งที่เป็นแบบทดสอบและไม่ใช่ แบบทดสอบ เพื่อจะได้เข้าใจบุคคลแต่ละคน และเพื่อช่วยให้บุคคลแต่ละคนได้เข้าใจตนเอง เพื่อจะได้สามารถ ควบคุมพฒั นาการส่วนตัวของผู้เรยี นได้ 5. เคารพในสิทธิและเสรีภาพของบุคคลแต่ละคน นั่นคือจะต้องยอมรับว่าผู้เรียนแต่ละคนมีอิสรภาพที่จะ เลือกแนวทางชีวิตของตนเอง การเลือกและการตัดสินใจของผู้เรียนควรเกิดจากการใช้วิจารณญาณของผู้เรียนเอง ไมใ่ ช่เกดิ จากการบงั คบั 6. การแนะแนวถือวา่ เปน็ ส่วนหนึง่ ของกระบวนการของการศึกษา ดังนัน้ การแนะแนวควรสอดแทรกอยู่ใน กระบวนการเรียนการสอนของโรงเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีการพัฒนาตนเองทุกด้านอย่างมีบูรณาการ (integration)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 192 7. การแนะแนวที่มีประสทิ ธภิ าพ ผู้ที่ทาหน้าท่ีเป็นผู้แนะแนว (counselor) จะต้องเป็นผู้ท่ีได้รับการศึกษา อบรมทางการแนะแนวมาโดยเฉพาะ มีทั้งความรู้ (knowledge) และทักษะ (skills) ที่เหมาะสมและมีการ จัดบรกิ ารแนะแนวอยา่ งมรี ะบบ (systematical guidance) 8. ต้องเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นประชาธิปไตยเป็นผู้ที่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และ จะต้องเปน็ ผูท้ ีส่ ามารถทางานร่วมกบั ผู้อื่นไดเ้ ปน็ อย่างดี 9. การจัดบริการแนะแนวจะได้ผลดีมีประสิทธิภาพ จะต้องเกิดจากความร่วมมือและความสมัครใจจาก บุคลากรทกุ ฝา่ ยในโรงเรียน และผูเ้ รยี นผ้มู ารับบริการจะตอ้ งมาดว้ ยความเต็มใจใหค้ วามร่วมมือดว้ ย 10. ผู้ต้องเป็นผู้ที่สามารถเก็บรักษาความลับได้ เพราะถ้าเป็นผู้ที่ไม่สามารถเก็บรักษาความลับได้ ก็จะทำ ให้ผเู้ รยี นเกิดความรสู้ กึ ไม่ปลอดภัย ทาให้ขาดความไวว้ างใจและไมย่ นิ ดีทจี่ ะมารบั ความชว่ ยเหลอื 8. รูปแบบวธิ ีการแนะแนว รปู แบบของการแนะแนว แบ่งออกเป็น 2 รปู แบบ คือ (กฤตวรรณ คำสม , 2557 ; สนุ ิสา วงศอ์ ารี , 2559) 1. การแนะแนวเปน็ รายบุคคล (Individual Guidance) บุคคลมีความแตกต่างกัน ทำให้ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหานั่นย่อมแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน การแนะ แนวจึงจำเป็นต้องจัดเป็นรายบุคคล โดยให้การช่วยเหลือทีละคน โดยการแนะแนวเป็นรายบุคคล เป็นวิธีการแนะ แนวที่ละเอียดอ่อน นักแนะแนวต้องทำความเข้าใจเรื่องราวและผู้รับนักเรียนเป็นอย่างดี โดยศึกษาข้อมูลจาก ระเบยี นสะสม ระเบยี นพฤติกรรม สังคมมติ ิ การสังเกต การสัมภาษณ์ หรอื การไปเย่ียมบ้าน รวมไปถงึ การขอความ ช่วยเหลือจากบคุ คลท่ีเกยี่ วข้อง เช่นครปู ระจาช้ัน ครปู ระจาวชิ า บดิ ามารดา เพื่อน เพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ตอ้ งใช้วธิ ีการต่าง ๆ เพ่ือรวบรวมข้อมูลเก่ียวกบั นักเรยี นทีถ่ กู ต้องและมากท่ีสุด เพือ่ นำมาวเิ คราะหป์ ระกอบการแนะแนว การแนะแนวเป็นรายบุคคลถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเป็นรายบุคคล เพื่อช่วยให้รู้จัก พัฒนาการตัวเองในทุก ๆ ด้าน จนถึงขีดสูงสุดแห่งความสามารถของตนเอง ช่วยให้บุคคลรู้จักมองตัวเอง รู้จัก วิเคราะห์ตนเอง และเข้าใจตนเองมากที่สุด สามารถใช้สติปัญญาของตนเองในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างฉลาด และถูกต้อง นำไปสู่การดำเนินชีวิตในสังคมอย่างราบรื่น และสามารถเผชิญต่ออุปสรรคต่าง ๆ อย่างที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตได้ 1.1 ลักษณะของการแนะแนวเป็นรายบคุ คล การแนะแนวเป็นรายบุคคลก็ คือ วิธีการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้นักเรียนสามารถแก้ไข ปญั หาไดอ้ ยา่ งถกู หลักวธิ ี การแนะแนวเปน็ รายบคุ คล แบ่งออกเป็น 2 วิธี คอื
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 193 1.1.1 การแนะแนวแบบไม่เป็นแบบแผน (Informal Guidance) เป็นการแนะแนวแบบทั่ว ๆ ไป ซึ่งครูอาจใช้เมื่อพบหรือสนทนากับเด็ก เป็นการถามปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาการเลือกวิชาเรียน ปัญหาในการ เรียน ครูอาจสนทนาให้ความช่วยเหลือไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้จะเป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับ เด็ก หรือช่วยลดความกดดันทางจิตใจให้ลดน้อยลง ซึ่งการแนะแนวแบบนี้เป็นวิธีการแนะแนวทั่ว ๆ ไปไม่ใชป่ ญั หา ที่ซับซ้อน อาจทำได้ตามเวลาและโอกาสที่เหมาะสม แต่หากปัญหามีความรุนแรงควรต้องนัดเวลาในการให้ คำปรกึ ษาต่อไปได้ 1.1.2 การแนะแนวแบบเปน็ แบบแผน (Formal Guidance) เปน็ การแนะแนวทีท่ ำตามแผนท่ีวาง ไว้ มีผู้ขอคำปรึกษามาขอความช่วยเหลือ ซึ่งผู้แนะแนวต้องทำการรวบรวมข้อมูลและศึกษาปัญหาอย่างละเอียด มี การนัดสัมภาษณ์พูดคุยกัน และร่วมกันกับเด็กวางนโยบายในการแก้ปัญหา โดยให้เด็กได้เกิดความเข้าใจตัวเอง และเข้าใจปัญหาอย่างละเอียด มกี ารบันทกึ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน การแนะแนวเป็นรายบุคคล ผู้แนะแนวยึดถือหลักเกณฑ์ต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญท่ี จำเปน็ จะตอ้ งทราบกอ่ นให้การแนะแนว คอื 1) ประวัตสิ ว่ นตวั ชีวติ ตง้ั แต่แรกเกดิ สภาพความเปน็ อยู่ในครอบครัว ประวตั คิ วามเจบ็ ป่วย โรคประจำตัว ความกระทบกระเทอื นจากอบุ ัตเิ หตุ 2) สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว เช่น บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พ่ี นอ้ ง หรือบุคคลอ่นื ๆ ฐานะของครอบครวั หรือเศรษฐกิจ รวมทัง้ การไดร้ บั ความอบอนุ่ จากครอบครัวดว้ ย 3) สภาพแวดล้อมทางโรงเรียน การปรับตวั เข้ากับเพือ่ น ปญั หาตา่ ง ๆ อันเกิดจากการเรียนการสอน 4) ความสามารถและความถนัด เด็กมีความสามารถหรือความถนัดทางด้านใด มีระดับสติปัญญาเ ป็น อย่างไร 1.2 ความสำคัญของการแนะแนวเป็นรายบคุ คล การแนะแนวเป็นรายบุคคลมีสาเหตุมาจากบุคคล กล่าวว่าบุคคลมีความแตกต่างระหว่างบุคคล อยา่ งมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตนเองต้องรับผิดชอบอนั เน่ืองจากปจั จัยหลายอย่าง ดงั นี้ 1.2.1 สภาพแวดล้อมทางครอบครวั (Family Circumstances) สภาพแวดล้อมทางครอบครัวท่ีมี ความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านความพร้อมทางเศรษฐกิจ ด้านความรักความอบอุ่นในแต่ละครอบครัว ในด้าน การศึกษา นักเรียนบางคนจำเป็นจะต้องช่วยครอบครัว หาเลี้ยงชีพ ต้องรับภาระอย่างหนักทั้งงานบ้านและทาง โรงเรียน บางครอบครัวไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือในการส่งเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาได้ บิดามารดาในบาง ครอบครัวต้องมีภาระออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้ บิดามารดาบางคนอาจมีแสดงการไม่ยอมรับหรอื เชือ่ ใจ บุตร จะคอยระมัดระวัง ตักเตือน ไม่ปล่อยให้ทาอย่างอิสระ บางครั้งบิดามารดามีความขัดแย้งเกี่ยวกับระเบียบ แบบแผนหรือกฎเกณฑ์ที่วางไว้ให้เด็กปฏิบตั ิในเรื่องการเลือกอาชีพ บิดามารดาตัดสินใจเลือกอาชีพให้บตุ ร หรือไม่ สนใจ ไมเ่ หน็ ด้วยกับการเลือกอาชพี ของบตุ ร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 194 1.2.2 การปรับตัวทางด้านส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Adjustment) เนื่องจาก โดยทั่ว ๆ ไป เด็กมีปัญหาทางด้านส่วนตัวและสังคม เด็กมีลักษณะเขินอาย ไม่กล้าแสดงอออก ชอบหลบหนีออก จากสังคม เพราะเขาพบว่าเป็นการยากที่จะอยู่รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ มีความกังวลใจเกี่ยวกับรูปร่างลั กษณะของ ตนเอง มปี ญั หาเกย่ี วกับอารมณ์ เช่น โมโห เกรี้ยวกราด เกบ็ ตวั ไมเ่ ข้าสงั คม 1.2.3 ปัญหาในการเลือกอาชีพ (Problem in Choosing Vocation) เด็กมีความคิดที่แตกต่าง กันในการเลือกอาชีพ เด็กต้องการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพก่อนการตัดสินใจเข้าสู่อาชีพ การแสวงหาโอกาสหรือ ประสบการณ์ในการทางาน การไปดูสถานที่ทางานของแต่ละอาชีพ การฝึกงานการสนทนาพูดคุยกับบุคคลที่ทา งานอาชีพต่าง ๆ เด็กบางคนมีความจาเป็นที่จะต้องเรียนและประกอบอาชีพไปพร้อม ๆ กัน เพราะมีปัญหาด้าน เศรษฐกิจ 1.3 วิธีการแนะแนวเปน็ รายบคุ คล การแนะแนวเป็นรายบุคคลมี 3 วิธีที่แตกต่างกัน โดยการแนะแนวโดยผู้ทำการแนะแนวจะเป็นผู้ พิจารณาว่า ปัญหาชนิดใดควรจะใช้การแนะแนวโดยตรง และปัญหาชนิดใดควรใช้การแนะแนวทางอ้อม ทั้งนี้ผู้ แนะแนวจะเป็นผูด้ ูความเหมาะสมโดยสังเกตจากปัญหา และบุคคลท่ีประสบปญั หา โดยแตล่ ะวิธมี ีรายเอียด ดังน้ี 1.3.1 วิธกี ารแนะแนวโดยตรง (Directive Guidance) เปน็ วธิ กี ารแนะแนวทใ่ี ช้ช่วยเหลือเดก็ ท่ีไม่ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ส่วนมากมักจะเป็นผู้ส่งมาขอรับความช่วยเหลือ เด็กกลุ่มนี้มีข้อจำกัดใน เรื่องของสติปัญญา อารมณ์หวั่นไหว ไม่สามารถรวบรวมกำลงั ใจหรือรวบรวมความเชื่อมั่นในตนเองมาใช้แก้ปัญหา ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งวิธีนี้ผู้แนะแนวต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ และศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ของเด็กอย่างรอบคอบ เพราะ ผู้ใหค้ ำปรกึ ษาจะเปน็ บุคคลทสี่ ำคญั ในการแกไ้ ขปญั หาใหก้ ับเด็กโดยตรง 1.3.2 วิธีแนะแนวทางอ้อม (Non-Directive Guidance) เป็นการช่วยเหลือเด็กทางอ้อม ช่วยให้ เด็กผ่อนคลายความตึงเครียด และความสับสนทางใจ ด้วยการระบายความรู้สึกต่าง ๆ ออกมา แล้วจึงจัดแนวทาง ในการศึกษาเก่ยี วกับตัวเด็กอย่างละเอียดรอบคอบโดยศกึ ษาจากขอ้ มูลต่าง ๆ ช่วยใหเ้ ด็กเกิดความเขา้ ใจในสภาพท่ี แท้จริงของตนเอง ช่วยให้เด็กมองเห็นปัญหาอย่างแจ่มแจ้งแล้วค่อยๆ คิด ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ตนเองพอใจ และเป็นท่ียอมรบั ของสังคมต่อไป 1.3.3 วธิ ีการแนะแนวทางสายกลาง (Eclectic Guidance) คอื การช่วยเหลือโดยการแนะแนวเป็นรายบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่จาเป็นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะ เก่ียวกบั เรือ่ งความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล บุคลกิ ภาพท่ีแตกตา่ งกนั ทาให้ปญั หาของบคุ คลแตกตา่ งกันออกไป แมแ้ ต่ ปัญหาบางอย่างจะออกมาในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่ในต่างบุคคลกันนั้น วิธีการแก้ปัญหาอย่างเดียวกันอาจจะ ไม่สำเร็จ ต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาอย่างอืน่ ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นการแนะแนวเปน็ รายบุคคล จึงจาเป็นต้อง มีวธิ ีการหลายๆ อยา่ งทไ่ี ม่เหมือนกนั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 195 2. การแนะแนวเปน็ กลุ่ม (Group Guidance) การแนะแนวเป็นกลุ่ม เป็นวิธีการให้การแนะแนวแก่ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับด้านการเรียนความรู้สึกเกี่ยวกับ อารมณ์ ซ่งึ การแนะแนวจะจัดรวมๆ กันไดเ้ ป็นการจัดให้กบั นกั เรยี นครั้งละหลายๆ คนการจัดการแนะแนวเปน็ กลุ่ม โดยท่ัวไปจะแนะแนวในเรอื่ งต่อไปน้ี 1. เรื่องที่นักเรียนมีความสนใจร่วมกัน หรือปัญหาบางอย่างที่โรงเรียนจาเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบ รวมทั้ง แนวทางในการปอู งกันปัญหา หรอื แก้ปัญหา 2. ปัญหาการปรบั ปรงุ บคุ ลิกภาพ การปรบั ตัวให้สามารถดาเนินชวี ติ อยใู่ นสังคมได้อยา่ งราบรืน่ 3. ปญั หาเกย่ี วกบั สขุ ภาพ ความปลอดภยั 4. ปัญหาเกีย่ วกับการเรียน การเลอื กอาชพี การวางแผนการเรยี น การเลอื กวชิ าเรียนการศึกษาตอ่ ภาพท่ี 1 รูปการแนะแนวแบบกลุ่ม ท่มี า : https://www.shareyouressays.com/knowledge/the-present-position-of-guidance-and- counseling-in-india/95512 2.1 ลกั ษณะของการใหก้ ารแนะแนวเป็นกลุ่ม ลกั ษณะของการแนะแนวเป็นกลมุ่ จะช่วยให้ผไู้ ด้รบั การแนะแนวไดด้ ังน้ี 2.1.1 ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจ สามารถมองเห็นภาพอนาคตได้อย่างชัดเจน อันจะ นาไปสู่การปฏบิ ตั ไิ ด้ 2.1.2 ชว่ ยส่งเสริมพฒั นาการ ซึง่ จะนาไปสูก่ ารเจริญงอกงามจนถงึ ขดี สดุ ของแตล่ ะบุคคล 2.1.3 ช่วยให้เกิดความคิดริเริ่ม สามารถเข้าใจตนเอง และปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง มีความ รับผิดชอบและสามารถตัดสินใจแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ย่างฉลาด 2.1.4 ช่วยให้สามารถเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมของตนเองไปสกู่ ารมพี ฤติกรรมเช่นเดียวกับกลุม่ หรือ บคุ คลที่อยรู่ ่วมกัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 196 2.2 วัตถุประสงค์ของการแนะแนวเป็นกลมุ่ การแนะแนวเป็นกล่มุ มวี ตั ถปุ ระสงค์ ดงั ต่อไปน้ี 2.2.1 เพ่อื ช่วยให้นกั เรยี นทกุ ๆ คนได้อาศัยหม่คู ณะในการเปน็ ผนู้ าตนเองเกย่ี วกับสง่ิ ตอ่ ไปนี้ 1) การร้จู ักใชบ้ รกิ ารตา่ ง ๆ ที่โรงเรียนจดั หาไว้ให้ 2) ช่วยในการแก้ไขพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นพฤติกรรมที่กลุ่มยอมรับและสามารถ แก้ไขพฤติกรรมทสี่ งั คมยอมรับ 3) ช่วยวางแผนระยะยาว และช่วยกันแก้ปัญหาของกลุ่ม สร้างหลักเกณฑ์และการรู้จัก เลือกประสบการณซ์ ึ่งมคี ุณประโยชน์ตอ่ ชวี ิตมาใชใ้ นการสรา้ งปรชั ญาชีวิตของตน 4) ศกึ ษาเกีย่ วกับพัฒนาการกลมุ่ และการรักษาสุขภาพจิตของบุคคล 2.2.2 เพื่อให้การช่วยเหลอื อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการแนะแนวกล่มุ เปน็ การประหยัดเวลา และบคุ ลากรในการปฏิบัติหนา้ ท่ี 2.2.3 เพื่อช่วยให้เห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน สามารถมองเห็นปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ทำให้เห็นปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากมีผู้มองปัญหาหลายๆ คน จะมองปัญหาได้หลายแง่ หลายมุม ทำให้การ พจิ ารณาปญั หาต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งละเอียดและรอบคอบมากยิง่ ข้นึ 2.3 ประโยชนข์ องการแนะแนวเป็นกลุ่ม การแนะแนวเป็นกลุ่มมีประโยชน์ ดงั นี้ 2.3.1 ช่วยให้สามารถทำงานครั้งเดียวกับนักเรียนกลุ่มใหญ่ เป็นการประหยัดเวลาบุคลากร และ งบประมาณ 2.3.2 ช่วยให้เดก็ ลดความกังวล เนอื่ งจากไดท้ ราบว่าคนอ่นื ๆ ก็มีปัญหาเชน่ เดียวกบั ตนเอง 2.3.3 ช่วยฝึกให้เด็กเรียนรู้บทบาทของการเป็นสมาชิกในกลุ่ม ทั้งบทบาทของผู้นำและบาบาท ของผู้ตาม สามารถปรับเจตคตขิ องตนให้เขา้ กับกลมุ่ 2.3.4 ช่วยให้เด็กรู้จักแนวทางในการปรับตัว รู้จักอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น รู้จักรับฟังความคิดเห็นของ ผอู้ ่นื รจู้ ักรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื 2.3.5 ชว่ ยให้เด็กรู้จกั ควบคุมอารมณข์ องตนเอง รู้จกั แพ้ รจู้ ักชนะ และมองโลกในแงด่ ี 2.3.6 ช่วยให้เด็กเข้าใจถึงหลักของการอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตย ช่วยให้เด็กเข้าใจ ความหมายของประชาธปิ ไตย อนั เปน็ แนวทางในการอย่รู ว่ มกันโดยสนั ติสขุ 2.4 แนวทางในการจดั การแนะแนวกลมุ่ 2.4.1 การจัดกลุ่ม สมาชิกในกลุม่ ควรมีลักษณะที่เข้ากันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องนาบคุ คลท่ี มีบุคลิกภาพเหมือนๆ กัน มารวมกลุ่มกัน อาจนำบุคคลที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกันมาร่วมกลุ่มกันได้ เช่น คนกล้า แสดงออก คนขี้อาย คนใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนตระหนี่ เห็นแก่ตัว คนมีศีลธรรม มีคุณธรรม คนที่มีความม่นั ใจ
197 คนที่ขาดระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ บุคคลดังกล่าวสามารถจัดกลุ่มการแนะแนวได้ จะช่วยลดลักษณะของ บุคลิกภาพที่ไม่ดี เมื่อบุคคลต้องการให้กลุ่มยอมรับก็จะพยายามปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองไปตามความ ต้องการของกลุ่ม เช่น คนที่ขาดความรับผิดชอบเมื่ออยู่ในกลุ่มที่รับผิดชอบก็จะค่อยๆ ปรับปรุงตนเองและพัฒนา ตนเองใหด้ ขี น้ึ 2.4.2 ลักษณะของผู้นำกลุ่ม ผู้นากลุ่มต้องเป็นผู้นากลุ่มแบบประชาธิปไตยสามารถสร้างความ สามคั คภี ายในกลุ่มได้ดี เปน็ ผนู้ ำที่ใหส้ ทิ ธเิ สรภี าพอันเหมาะสมแก่สมาชกิ ภายในกลมุ่ ช่วยเสรมิ สร้างบรรยากาศอนั ดี งามในการร่วมกลุ่ม ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายปัญหา หาวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน สามารถผ่อนคลาย ความตึงเครียดในกลมุ่ ให้กล่มุ รจู้ กั ภาระและหนา้ ท่ีทีถ่ กู ท่ีควรของตนเอง 2.4.3 การแนะแนวกลุ่มให้ถือผู้มีปัญหาเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้เด็กมองเห็นปัญหามองเห็นตนเอง แล้วตีความหมายของปัญหา ดูจุดมุ่งหมายแห่งพฤติกรรม การที่จะทำให้บุคคลเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งนั้น ต้อง อาศัยประสบการณ์ ความรสู้ กึ และการมอี ารมณ์ร่วมกบั ผอู้ ่นื 9. บริการแนะแนว (5 บริการ) การแนะแนว เปน็ กระบวนการช่วยเหลอื นกั เรียน ใหเ้ ขา้ ใจตนเองและผู้อน่ื สามารถปรบั ตัวไดอ้ ยา่ งมี ความสุขในการดำเนนิ ชวี ิตและการแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ โดยกระบวนการทช่ี ว่ ยช้นี ำแนวทางให้กับนักเรยี นทส่ี ำคัญ ของการบรกิ ารแนะแนวมี 5 บริการ คือ (สนุ ิสา วงศอ์ ารี , 2559 ;นริ นั ดร์ จุลทรัพย์ , 2554 ; กฤตวรรณ คำสม , 2557) ดังภาพท่ี 2 แสดง 5 บรกิ ารแนะแนว มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บรกิ ารแนะแนว การบริการรวบรวม บรกิ ารสนเทศ บริการจดั วางตวั บคุ คล บริการใหค้ าปรกึ ษา บรกิ ารติดตามผล และศึกษาข้อมลู 1. การบริการรวบรวมและศกึ ษาขอ้ มูล (Inventory Service) 2. บรกิ ารสนเทศ (Information Service) 3. บรกิ ารใหค้ ำปรึกษา (Counseling Service) 4. บริการจดั วางตวั บุคคล (Placement Service) 5. บรกิ ารติดตามผล (Follow-up Service)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 198 1. บริการรวบรวมและศึกษาขอ้ มลู (Inventory Service) บริการรวบรวมและศึกษาข้อมูลเป็นรายบุคคลเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เรียนในทุก ๆ ด้าน แล้วบันทึก ขอ้ มูล และแปลความหมายขอ้ มลู ต่าง ๆ อย่างมีระบบ จากนั้นนำมาเก็บรวบรวมไว้อยา่ งเป็นระเบียบ เพื่อนำข้อมูล ที่ได้รับมาใช้ในการช่วยเหลือผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีข้อมูลที่ละเอียดจะช่วยให้ครูเข้าใจผูเ้ รียนมากขึน้ เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จนั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง เหมาะสม เครื่องมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ อัตชีวประวัติ การศึกษาเฉพาะราย ระเบียนสะสม สังคม มิติ ระเบียนพฤติการณ์ มาตรประมาณค่า และแบบสอบถาม เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนใหญ่มี ประโยชน์ในการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับนักเรีนเป็นรายบุคคล เพื่อที่จะเข้าจะเข้าใจนักเรียนได้ดี และทราบ สาเหตขุ องปัญหา เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล การสังเกต (Observation) การสังเกต เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียน เป็นรายบุคคลที่เก่าแก่และนิยมใช้มากที่สุด นับว่าเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์มาก เพราะข้อมูลที่ได้ถือเป็นข้อมูล สำคัญทีจ่ ะช่วยให้ครหู รือผ้แู นะแนวเข้าใจพฤติกรรมบางอยา่ งของผู้เรียนดีข้ึน ซ่ึงเปน็ การสังเกตทีป่ ราศจากอคติ ไม่ มีการตีความ เป็นเพียงการสังเกตความจริงเท่านั้น โดยการสังเกตเป็นการสังเกตแบบมีเป้าหมาย คือ ต้อง ตั้งเป้าหมายว่าต้องการทราบอะไรจากการสังเกต เช่น การสังเกตพฤติกรรม โดยการสังเกตต้องให้ข้อเท็จจริงอย่าง น้อย 2 อย่าง คือ ข้อเท็จจริงทางจิตวิทยา ได้แก่ ความสนใจ ทัศนคติ ความถนัด ไหวพริ และข้อเท็จจริงทางสังคม เชน่ ส่งิ แวดลอ้ ม สถานการณ์ ผมู้ ีอทิ ธิพล โดยการสงั เกตมีแนวทางในการสังเกต ดังนี้ 1. ควรสังเกตในขณะทีน่ ักเรียนไม่รตู้ วั ไมร่ ู้เปา้ หมายของการสงั เกต 2. ควรบันทึกผลการสังเกตทันที เพอ่ื ปอ้ งกันการลืมรายละเอียดของการสังเกต 3. หากการสงั เกตเรือ่ งน้นั ซ้ำหลายๆ ครง้ั หากมผี ู้ช่วยสงั เกตหลายคนจะทำใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่กวา้ งข้นึ 4. ผู้สงั เกตควรมใี จเปน็ กลาง และมคี วามละเอียดในการสงั เกต ไมด่ ่วนสรปุ 5. จดบันทึกการสังเกตด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านตีความเข้าใจตรงกัน หลีกเลี่ยงการตีตรา หรือ ตัดสินใจนักเรยี น ประโยชน์ของการสังเกต คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้รายละเอียดมาสนับสนุนเกี่ยวกับนักเรียนมากขึ้น เกิด ข้อเทจ็ จริงบางอย่างที่ไม่สามารถหาไดด้ ว้ ยวิธีอืน่ ๆ และเปน็ ข้อเท็จจรงิ การสัมภาษณ์ (Interview) หมายถึง การสนทนาหรือการคุยกันระหว่างบุคคล 2 คน อย่างมีหลักการ และจุดประสงค์ร่วมกัน และหากเป็นการสัมภาษณ์นี้เป็นวิธีการที่ผู้สัมภาษณ์สามารถเห็นสีหน้า อัปกิริยา และได้ ยินเสียง การแสดงอารมร์ของผู้รับการสัมภาษณ์ วิธีการนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพใน ด้านการแนะแนว และเป็นหัวใจของกระบวนการปรึกษาหรือการสัมภาษณ์เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าในตัวเอง และชว่ งเวลาในการเรียนรูข้ องทงั้ ผูส้ มั ภาษณแ์ ละผูถ้ ูกสมั ภาษณด์ ้วย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 199 การสัมภาษณ์เป็นเทคนิคที่ต้องใช้วัสดุหรืออุปกรณ์ เพียงใช้ตัวบุคคลเป็นผู้สัมภาษณ์ โดยการพูดคุย ซักถาม แต่การพูดการสัมภาษณ์ มีความแตกต่างจากการพูดคุยตามปกติ เนื่องจากเป็นการพูดคุยที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสำรวจหาความจริง หาข้อมูล หรือต้องการทราบทัศนคติ ความรู้สึกของผู้ถูกสัมภาษณ์ และข้อมูลที่ได้นำไปใช้ ในกระบวนการช่วยเหลือต่อไป โดยในการสัมภาษณ์มวี ธิ ีการ หลักการทัว่ ๆ ไป ดังนี้ 1. สรา้ งบรรยากาศที่ดีการสร้างมนษุ ยสมั พันธใ์ หผ้ ถู้ กู สัมภาษณ์รสู้ ึกเปน็ กนั เอง 2. การเตรียมประเด็นที่สัมภาษณ์การสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริง มีความจำเป็นมากที่จะต้องเตรียมจุด หรอื คำถามท่ตี อ้ งการให้ชดั เจน เพื่อความสะดวกควรมีแบบฟอรม์ เพอ่ื บนั ทกึ ขอ้ มูลไวก้ นั ลืม 3. คำถามทีใ่ ชก้ ารใชค้ ำถามหรอื คำพดู ควรเป็นไปในลกั ษณะทผี่ ูฟ้ ังเขา้ ใจงำย เป็นคำถามสั้นๆ มลี กั ษณะที่ชัดเจน สุภาพ และชว่ ยกระต้นุ ใหผ้ ถู้ ูกสัมภาษณ์มีส่วนรว่ มในการสัมภาษณ์ เพือ่ จะได้ข้อมลู มากขนึ้ อัตชีวประวตั ิ (Autobiography) หมายถึง การที่บุคคลได้เขียนประวัติความเป็นมาและเรื่องราวของตน ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับการศึกษา การให้นักเรียนเขียนอัตชีวประวัติ ทำให้ทราบถึงทัศนคติ ความคิด ความต้องการ แต่ก่อนจะให้นักเรียนเขียนอัตชีวประวัติ ครูต้องทำความเข้ากับนักเรียนก่อนว่าการเขียนอัตชีวิต ประวัติมีไว้เพื่ออะไร เพื่อให้นักเรยี นเขียนด้วยความเต็มใจและเป็นไปตามความจริง โดยแบบอัตชีวประวัติสามารถ เขียนได้ทั้งแบบอิสระ ไม่มีหัวข้อ และแบบกำหนดหัวข้อให้เขียน การเขียนนี้นักเรียนจะเขียนประวัติเรื่องราวของ ตนเองตามเค้าโครงเรื่อง หรือหัวข้อที่ครูกำหนดให้ตามที่ครูต้องการทราบ แล้วแต่จุดประสงค์ของข้อมูลที่ต้องการ วตั ถปุ ระสงค์ของการใชอ้ ัตชวี ประวตั ิ ไดแ้ ก่ 1. ช่วยใหน้ กั เรียนมีโอกาสได้สำรวจชวี ติ ตนเอง ซงึ่ จะทำใหร้ ู้จักและเข้าใจตนเอง 2. ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนมากขึ้น ทั้งส่วนตัวและสิ่งแวดล้อมของนักเรียน เพื่อประโยชน์ในการสอน และ การให้คำแนะนำปรึกษา 3. เพ่อื ใหค้ รูไดร้ บั ความรู้ ความเข้าใจเพมิ่ ขนึ้ ว่านกั เรียนมคี วามคิด ความเขา้ ใจเกีย่ วกับตนเองอย่างไร การศึกษารายกรณี (Case Study) หมายถึง ขบวนการของการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล ต่อเนื่องกันเป็นรายกรณีไป โดยมีวัตถุประสงคเ์ พื่อหาทางช่วยให้บคุ คลสามารถปรับตัวได้และให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน เช่น ในด้านอารมณ์ สังคม และการเรียน การศึกษารายกรณี เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมของบุคคลแต่ละคนอย่าง ละเอียด โดยมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลนั้น เมื่อได้ข้อมูลแล้วจะมีการตีความหมายพฤติกรรม และทำการ วินิจฉัยหาสาเหตุของปัญหา แล้วจึงทำการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมพัฒนาการแล้วแต่กรณี อันดับสุดท้าย คือ การ ติดตามผลหลังจากที่ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กผู้นั้นไปแล้ว วิธีการที่ใช้ควบคูํไปกับการศึกษารายกรณีได้แก่ การทำ ประวัติรายกรณี (Case History) หมายถึง การรวบรวมและการจดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลอย่างละเอียด สมบรู ณใ์ หม้ ากที่สดุ เทำทีจ่ ะทำได้ และใหถ้ ูกต้องตรงตามความจรงิ ทีส่ ดุ โดยไมต่ อ้ งมกี ารตีความหมาย และแปลผล ของข้อมูลแต่ประการใด และการประชมุ เก่ยี วกบั เดก็ เปน็ รายกรณี (Case Conference) วัตถุประสงค์ที่สำคัญของการเกบ็ รวบรวมรายละเอยี ดขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ เกย่ี วกับเด็กคือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 200 1. เพ่อื ศกึ ษาทำความร๎ูจกั และเข้าใจเดก็ แตล่ ะคน 2. เพื่อนำความรูค๎ วามเขา้ ใจในนั้นมาใช้เปน็ พ้นื ฐานสำหรับการพจิ ารณาช่วยเหลอื หรือแนะแนวให้เดก็ แต่ ละคนสามารถแกป๎ ญั หา ปรบั ตัวได้ดีและเหมาะสมตอ่ ไป การทำประวตั ริ ายกรณี จึงเปน็ การศกึ ษาใหเ้ กดิ ความเข้าใจบุคคลแตล่ ะคน เพราะเป็นการศกึ ษาถึงภูมิหลัง สิ่งแวดล้อม ความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคลและองคป์ ระกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการพฒั นาในด้านต่าง ๆ และการ ปรับตัวของเขา โดยที่การศึกษารายกรณีต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นแรกของการดำเนินงาน ดังนั้นการทำ ประวัติรายกรณี (Case History) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการศึกษารายกรณี กระบวนการศึกษาเป็นราย กรณีเริ่มต้นด้วยการคัดเลือกนักเรียน รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ ตีความหมายของข้อมูล นำไปไปสู่การวาง แผนการแก้ปญั หาและตดิ ตามผล การเยี่ยมบ้าน (home visitations) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวได้ทราบ สภาพแวดล้อมทางบ้านของผู้เรียน และได้พบปะสนทนากับผู้ปกครองของผู้เรียน ซึ่งจะทำให้ครูหรือผู้แนะแนวได้ ทราบขอ้ มูลท่ชี ดั เจนย่ิงข้ึนและนาข้อมลู น้ันมาใช้ให้เปน็ ประโยชน์ในการช่วยเหลอื แก้ไขและสง่ เสริมพฒั นาผูเ้ รียนได้ ถูกต้องเหมาะสม จุดมุ่งหมายของการเยี่ยมบ้าน เพื่อให้ครูได้เห็นแท้สภาพจริงของสิ่งแวดล้อมและสภาพความ เป็นอยู่ทางครอบครัวของผู้เรียน ช่วยให้ทราบถึงเจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อผู้เรียน ครู และโรงเรียน สร้างความ เข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้านและโรงเรียนอันจะส่งผลให้เกิดความร่วมมือที่ดีในการช่วยแก้ปัญหาหรือ พัฒนานักเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันวางแผนในการแก้ปัญหาและการพัฒนาผู้เรียน ในการ เยี่ยมบ้านครูควรมีการเตรียมความพร้อม ศึกษาข้อมูลและตั้งจุดมุ่งหมายของการไปเยี่ยมบ้าน และนั ดหมาย ล่วงหน้า เมื่อไปถึงบ้านของผู้เรียควรทำความรู้จักและสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ปกครองผู้เรียน เริ่มสนทนาเรื่อง ทว่ั ไป แล้วจงึ สนทนาสัมภาษณผ์ ู้ปกครองตามทเี่ ตรียมข้อมูลมาระหว่างการสัมภาษณต์ อ้ งเปดิ โอกาสให้ผูป้ กครองได้ แสดงความคิดเห็นเพอื่ หาข้อเท็จจริงเกย่ี วกบั นักเรียนทกุ ดา้ น ระเบียนสะสม (Cumulative Records) ระเบียนสะสม คือ เอกสารอย่างหนึ่งที่เป็นที่รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงและรายละเอียดในด้านตา่ ง ๆ ของนักเรียนแต่ละคนอย่างมีระบบแบบแผน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติ ครอบครัว รายงานการเรียน รายงานการทดสอบ รายงานสุขภาพ ความถนัด ความสนใจ กิจกรรมพิเศษ โครงการ ศึกษา และอาชีพในอนาคต บันทึกการสัมภาษณ์ บันทึกการให้คำปรึกษาและอื่น ๆ ที่โรงเรียนต้องการทราบ เกี่ยวกับตัวนักเรียน ระเบียนสะสมใช้สำหรับบันทึกรวบรวมรายละเอียดของความเป็นไปของนักเรียนต่อเนื่องกัน เป็นเวลานาน นับตั้งแต่นักเรียนเริ่มเข้าโรงเรียน จนออกจากโรงเรียนไปเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูง หรือเพื่อการ ประกอบอาชีพ และระเบียนสะสมควรจะได้ติดตามไปด้วย เพือ่ ใชเ้ ป็นหลักฐานใหผ้ ้ทู ่ที ำหนา้ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับนักเรียน โดยหัวข้อในระเบียนสะสมควรประกอบด้วย ประวัติส่วนตัว (เพศ วันเดือนปีเกิด เชื้อชาติ และสัญชาติ เหตุการณ์ตอนเกิด ที่อยู่ของนักเรียน สถานที่เกิด ที่อยู่ของบิดามารดา) บ้านและชุมชน (ชื่อบิดา มารดาหรือผปู้ กครอง นกั เรยี นอาศัยอยกู่ ับใคร อาชพี บิดามารดา บดิ ามารดายงั มีชีวติ อย่หู รือถึงแกก่ รรม เศรษฐกิจ ทางบ้าน จำนวนพี่น้อง) ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา คะแนนการทดสอบ เวลามาเรียน สุขภาพ ระเบียนพฤติการณ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 201 และอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ระเบียนสะสมมีประโยชน์ทั้งต่อครูแนะแนวในการช่วยเหลือนักเรียน ประโยชน์ต่อ นักเรียนในการเก็บข้อมูลและรู้จักตนเองมากขึ้น ประโยชน์ต่อผู้ปกครองได้รู้จักและเข้าใจเด็ก และต่อการบริหาร โรงเรยี น ในการจดั กลุ่มนกั เรยี นเขา้ ชนั้ ใหเ้ กิดความเหมาะสม สังคมมิติ (Sociometry) หมายถึง วิธีการศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างบุคคลในกลุ่ม โดยการ ถามความรู๎สึกของสมาชิกแต่ละคนที่มีต่อเพื่อนในกลุ่มนั้น สังคมมิติ (Sociometry) เป็นเครื่องมือวัดอันหนึ่งที่ใช้ เป็นประโยคในการศึกษาสถานภาพทางสังคมของเด็ก โครงสร้างทางสังคมของกลุ่มและความสัมพันธ์เชิงสังคม ระหว่างเด็กแต่ละคนกบั เด็กอน่ื ท่รี ่วมสงั คมกับเขา จดุ มุ่งหมายของการทำสังคมมิติ 1. เพื่อหาดารา หมายถึง นักเรียนที่ได้รับความนิยมจากเพื่อนฝูง จากเพื่อนๆในกลุ่มของเขา และอาจจะ ไดร้ ับจากนอกกลุ่มก็ได้ ในแต่ละกลุ่มมกั จะมดี าราอยูแ่ ทบทั้งนนั้ การตัดสินใจทุกสิ่งมกั จะได้รับอิทธิพลจากดาราใน กลุ่มของเขาเอง ด้วยเหตุนี้ด้วยครูคนใดหรือผู้ใดได้ดาราจากกลุ่มย่อยมาสนับสนุนตนแล้ว ครูหรือบุคคลนั้นจะ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลไปโดยปริยาย เนื่องจากการชนะน้ำใจของหัวหน้ากลุ่มย่อยใดได้แล้ว ก็จะสามารถชนะน้ำใจ สมาชิกอน่ื ๆ ในกลมุ่ ไดด้ ว้ ย 2. เพื่อหากลุ่มย่อย (Subgroup) ที่แตกออกจากกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มย่อมมีอิทธิพลต่อกลุ่มใหญ่ ประสิทธิภาพของกลุ่มส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นอันหนึง่ อันเดียวกันของสมาชกิ และไม่ควรแตกแยกเปน็ กลุ่มยอ่ ย ๆ มาก กลุ่มย่อย คือ บุคคลกลุ่มเล็ก ๆ ที่แยกตวั ออกมาจากกลุ่มใหญ่ ในกลุ่มใหญ่หนึ่งๆ อาจประกอบขึน้ ด้วยกลุม่ ยอ่ ยหลายๆ กลุม่ กลมุ่ ย่อยทเี่ ลก็ ทีส่ ุดอาจมีสมาชิกเพยี ง 2 คนก็ได้ หรอื อาจมสี มาชกิ เทำกบั ครึ่งหน่ึงของกลมุ่ ใหญ่ก็ เป็นได้ 3. เพื่อหาผู้ที่ถูกทอดทิ้ง (Isolates) เป็นบุคคลที่ไม่ได้รับการเลือกจากเพื่อนร่วมกลุ่มเลย แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่าถูกตัดออกจากกลุ่มเลยทีเดียว ครูผู้สอนจะเห็นได้ชัดว่าหากนักเรียนเข้ามาในชั้นใหม่ที่อยู่ปะปนกับ เดก็ เกำ นักเรียนเกำจะไม่แสดงความรังเกียจเด็กใหมเ่ พียงแตย่ งั ไมส่ นิทสนมเทำนั้น ครูต้องคอยสังเกตหากพบเดก็ ท่ี ถกู ทอดท้ิงควรหาทางชว่ ยเหลือแกไ๎ ข เพราะอาจเกิดปัญหาทางบคุ ลิกภาพอนื่ ๆ ก็ได้ 4. เพื่อหาเด็กผู้ถูกรังเกียจ (Reject) ผู้ถูกรังเกียจหมายถึง เด็กที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนาในการคบหาสมาคม จากเพื่อนร่วมกลุ่ม เป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งไม่ต้องการจากเพื่อนๆ ในการหาตัวผู้รังเกียจที่กระทำได้โดยการถามคำถาม สังคมมิติ โดยให้เด็กบอกชื่อเพื่อนที่เขาไม่ต้องการคบด้วย การท่ีใช้สังคมมิติเพื่อหาผู้ถูกรังเกียจนี้ก็เพื่อหาทาง ชว่ ยเหลือเด็ก 5. เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างสองคน (Mutual Choices) เป็นการเลือกชอบซึ่งกันและกันบุคคลเหล่าน้ี อาจจะไม่ร่วมกบั กลุ่มใหญ่ แตพ่ ึงใจจะคบดว้ ยกนั เองอยา่ งเช่น เพ่ือนสนิทบางคํูมกั จะทำอะไรดว้ ยกนั เสมอ 6. เพอื่ หาฐานะทางสังคม (Sociometry Status) โดยถือจำนวนคนทั้งหมดท่ีเพือ่ นอยากเลือกเขาในแต่ละ สถานการณเ์ ปน็ เกณฑ์ เดก็ ท่เี รียนดมี ักจะมีสถานภาพทางสงั คมดีกวา่ เดก็ ท่ีมีผลการเรยี นต่ำหรือเรยี นอ่อน 7. เพือ่ ตดั สินหรอื วางแผนในการมอบหมายกจิ กรรมใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุ่มทำวิธกี ารทำสังคมมติ ิ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 202 ตัวอย่างคำถามที่ครูจะต้องเตรียมถามเด็กในสิ่งที่ครูต้องการทราบ ต้องเขียนให้ชัดเจน อาจใช้กลวิธี “ใคร เอ่ย” เป็นคำถามที่บรรยายเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคน เด็กแต่ละคนจะได้รับการขอร้องให้เขียน ชื่อเพื่อนในห้องเรยี นที่เขาคิดว่ามลี ักษณะต่าง ๆ ที่ตรงหรอื ใกลเ้ คียงกบั คำถามเหลำนัน้ เช่น ใครเอย่ เป็นเด็กดีท่ีสดุ ในหอ้ งเรียน เขาเป็นบคุ คลที่เปน็ เพอื่ นกบั ทกุ คน หรอื ใครเอย่ ทีช่ อบแสดงตวั โอ้อวด ภาพที่ 3 ตัวอยา่ งการทำสงั คมมิติ ทมี่ า : http://what-when-how.com/social-sciences/sociometry/ ขอ้ ดขี องการทำสงั คมมิติ 1. ทำให้ทราบกลุ่มของนักเรียนในชั้นอันเป็นประโยชน์ต่อการมอบงานที่ต้องกระทำร่วมกันเป็น กล่มุ 2. ทำให้ทราบว่าใครเป็น “ดารา” ของห้องเรียน อันเป็นประโยชน์ต่อการมอบงานที่ต้องใช้ความ ร่วมมือของนกั เรียนในชั้นเรยี น 3. ทำให้ทราบว่าผใู้ ดถูกทอดทิง้ ซง่ึ จะได้ทำการแก๎ไขปญั หาน้ีต่อไป 4. เปน็ เครื่องมือชว่ ยในการศกึ ษานักเรยี นได้อยา่ งใกล๎ชดิ อย่างมรี ะบบ 5. ไมต่ ้องการฝึกฝนหรือความร๎อู ะไรมากนัก เพราะเปน็ เคร่ืองมอื ท่ีเขา้ ใจงำย 6. ประหยัดเวลา ขอ้ จำกัดของการทำสังคมมติ ิ 1. แผนภูมอิ ันหนง่ึ ใชไ้ ด้กบั คำถามเพยี งคำถามเดยี ว ฉะนน้ั ผลของสงั คมมติ อิ ันหน่งึ จะสรปุ พฤตกิ รรมของนักเรียนแตล่ ะคนไมไ่ ด้ 2. แผนภมู ิอันหน่งึ ใช้ได้ชัว่ ระยะเวลาหนึง่ เทำนั้น ไมส่ ามารถใช้ไดต้ ลอดไป ฉะนน้ั ต้องมกี ารทำ สงั คมมติ อิ ย่างตอ่ เนือ่ ง 3. ต้องให้นักเรยี นในชัน้ คุ้นเคยกนั เสยี ก่อน จงึ จะทำสังคมมติ ไิ ด้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 203 ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal Record) หมายถึง บันทึกย่อของครูที่ได้จากการสังเกตเด็กเป็น รายบุคคล หลักเกณฑ์ในการทำบันทึกย่อจากการสงั เกต ควรจดบันทกึ พฤตกิ รรมอยา่ งตรงไปตรงมาในสถานการณ์ แวดล้อมเฉพาะที่เกิดขึ้นจริง ๆ และควรจะมีการลำดับเรื่องราวต่าง ๆ ของเหตุการณ์รวมทั้งสถานที่ บุคคลท่ี เกี่ยวข้องพฤติกรรมหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่บันทึกนั้นควรมีความสำคัญ และความหมายสำหรับเด็กมากกว่า เพื่อ ประโยชน์ของผู้บันทึก ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเขียนสั้นๆ เพื่อที่จะได้อำนเข้าใจได้ง่าย และไม่ควรจะใช้ความเห็น ส่วนตัวแปลความหมายพฤติกรรมของเด็กที่สังเกต ถ้าต้องการเขียนความคิดเห็นส่วนตัวหรือตีความหมายของ พฤติกรรมที่สังเกตควรเขยี นแยกไวต้ ่างหาก แบบสอบถาม (Questionnaires) หมายถึง ข้อความต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อประสงค์ให้ผู้ถูกถามกรอก ข้อความลงไป อาจใหก้ รอกขอ้ ความส้ันหรอื ยาวกไ็ ด้ การใชแ้ บบสอบถามสำหรับรวบรวมข้อมลู เปน็ กลวิธีอย่างหน่ึง ของการแนะแนว เป็นเครื่องมือที่ประหยัดทั้งเวลาและคำใช้จ่ายได้มาก เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการรวบรวม ข้อมูลจากนักเรียน ทำให้ครูได้เข้าใจในปัญหา ความต้องการ เจตคติ ความรู๎สึกนึกคิด และความคิดเห็นของ นักเรียนแต่ละคน โดยแบบสอบถามมีประโยชน์สามารถนำมาจัดบริการแนะแนวให้แก่นักเรียนได้เหมาะสม นำ ข้อมูลบางอย่างมากรอกในระเบียนสะสมหรือเก็บแบบสอบถามทั้งฉบับแทรกไว้ในระเบียบสะสมได้ ช่วยให้ทราบ เรอ่ื งราวของนักเรียนเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสน้ั ๆ และทราบพร้อมกันหลายด้านได้ แบบทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Test) คือ เครื่องมือที่มีความเป็นมาตรฐาน (Standardized) ที่สร้างขึน้ เพือ่ ใช้วัดลักษณะใดลกั ษณะหนึ่งหลายๆ ลักษณะของบุคลิกลักษณะทัง้ หมดอย่างมเี ปาู หมาย (Objectively) โดยอาศัยตัวอย่าง (Sample) ของการตอบสนองต่อเครื่องมือในทางถ้อยคำ (Verbal) หรอื ไมใ่ ช้ถ้อยคำ (Nonverbal) ประเภทของแบบทดสอบทางจิตวิทยา แบบทดสอบทางจิตวิทยาอาจจัดแบง่ เปน็ ประเภทไดเ้ ป็นหลายรูปแบบ สรุปได้ดังน้ี 1. จำแนกตามเนอื้ หาของแบบทดสอบ จำแนกได้เปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี 1.1 แบบทดสอบที่ใช้ภาษา (Verbal or Language Test) ลักษณะของปัญหาที่สร้างอาจขึ้นอยู่ในรูปของ คำ วลี ประโยค ข้อความ หรอื ชดุ ของตวั เลข ผู้รบั การทดสอบจะต้องอำนออกเขยี นได้ 1.2 แบบทดสอบที่ไม่ใช้ภาษา (Nonverbal or Nonlanguage) สิ่งที่จัดขึ้นเป็นข้อปัญหาในแบบทดสอบ เปน็ รปู ภาพ ซึง่ อาจเปน็ ภาพที่มีความหมายหรือไมม่ คี วามหมายกไ็ ด้ 1.3 แบบทดสอบที่เป็นเครื่องมือ (Apparatus Test) เป็นการจำลองสิ่งของหรือเป็นวัสดุอุปกรณ์ทางใด ทางหน่ึง เชน่ ลกู บาศก์ ตุ๊กตา 2. จำแนกตามเปาู ประสงคข์ องการวัดวา่ ประสงคจ์ ะวัดส่ิงใด (พฤติกรรม) จากบุคคลแบ่งไดเ้ ป็น 4 ประเภทด้วยกนั คือ 2.1 แบบทดสอบเชาวน์ (Intelligence Test) มุ่งหวังความสามารถทางสมองของบุคคลโดยอาศยั การวัดที่ ได้เปน็ เกณฑภ์ าคเชาวน์ (I.Q. = Intelligence Quotient)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311