Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ต้นสาย แก้วสว่าง

ต้นสาย แก้วสว่าง

Published by วิทย บริการ, 2022-07-08 02:43:31

Description: ต้นสาย แก้วสว่าง

Search

Read the Text Version

6 โดยสรุปแนวคิดของปรัชญากลุ่มธรรมชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อว่าต้นกำเนิดของชีวิตมาจากพระ เจ้า แนวคิดของปรัชญากลุ่มธรรมชาตินิยมจึงมุ่งหาคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต ทำให้เกิดแนวทาง การศึกษาด้วยวิธีการสังเกตตามธรรมชาติ (natural observation) การตั้งและสรุปสมมติฐาน (hypothesis deduction) [2] กลุม่ ชวี วิทยา (Biological orientation) ในขณะท่ีนักปรัชญากลุ่มธรรมชาตนิ ิยมเชือ่ ว่าคำตอบเก่ยี วกับต้นกำเนดิ ของชวี ติ เกิดจากส่ิงแวดลอ้ ม ภายนอก แต่นกั ปรัชญากลุ่มชีววิทยาเชอ่ื วา่ คำตอบทกุ อย่างเกย่ี วกับชีวิตอยู่ภายในของสรรี ะของมนุษย์ นกั ปรชั ญากลุ่มชวี วทิ ยาทีม่ อี ทิ ธิพลในยคุ กรกี โบราณไดแ้ ก่ แอลคเมออน (Alcmaeon) และ ฮปิ โปเครตสิ (Hippocrate) (Anthropocenepsyh, 2018; อรพนิ สถริ มน, 2562) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทีม่ า: https://www.worldmedicinehistory • แอลค์เมยี น (Alcmaeon) ประมาณ 500 - 450 ปีกอ่ น คริสตกาล .com/2018/09/alcmaeon-of-croton.html แอลค์เมียนเป็นผู้ริเริ่มใช้วิธีการผ่าศพสัตว์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับ สรีระวิทยา ผลงานชิ้นเอกของแอลค์เมียนคือการค้นพบ เส้นประสาทตาและท่อยูสเตเชียน (Ustachian tubes) แอลค์ เมียนมีความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ว่าเกิดจากกลไก ภายในร่างกายที่แสวงหาความสมดุล (Debernardi et al., 2010) • ฮิปโปเครติส (Hippocrates) ประมาณ 460 - 377 ปกี อ่ นคริสตกาล ฮิปโปเครติส (Hippocrates) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้ให้กำเนิดวิชา แพทย”์ หรือ “บดิ าแหง่ การแพทย”์ (The Father of Medicine) แนวคิด ของฮิปโปเครติสถือเป็นต้นกำเนิดของการแพทย์สมัยใหม่และยังเป็นผู้ กำหนดหลกั จรรยาแพทย์ซง่ึ ยังคงถอื ปฏบิ ตั กิ นั ถงึ ปจั จุบัน (Helen, 2008) ท่ีมา: https://www.hfocus.org/content /2014/12/8971

7 [3] กล่มุ คณติ ศาสตร์ (Mathematical orientation) นักปรัชญากลุ่มคณิตศาสตร์ไม่เชื่อในประสาทสัมผัสของมนุษย์ นักปรัชญากลุ่มนี้เชื่อว่า การจะทำ ความเข้าใจโลกต้องใช้กระบวนการให้เหตุผลหรือความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ การให้ ความสำคัญกับประสาทสัมผัส หรือ ตัวเหตุการณ์ จะทำให้มนุษย์รับรู้ความจริงที่บิดเบือน (Anthropocenepsyh, 2018; อรพนิ สถริ มน, 2562) • พที าโกรสั (Pythagoras) ประมาณ 580 - 500 ปี กอ่ นคริสตกาล มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง พีทาโกรัสเชื่อว่า โลกที่เรารู้จักผ่านการรับความรู้สึกเป็น ความจริงท่ี บิดเบือน การจะเข้าใจความจริงของโลกต้องใช้กระบวนการให้เหตุผล หรือความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ซึ่งไม่สามารถรับรู้ผ่าน การรู้สึกแต่ต้องค้นพบโดยวิธีการเข้าใจแบบฉับพลัน (intuitive) จิต วิญญาณของมนุษย์สามารถใช้เหตุผลและเข้าใจแบบฉับพลัน ดังน้ัน มนุษย์จึงสามารถเข้าถึงความจริงของโลก นอกจากนี้ พีทาโกรัส เชื่อว่า จติ วิญญาณมีความเป็นอมตะ เมือ่ มนษุ ยต์ าย จิตวิญญาณจะย้ายไปสู่ร่าง ใหม่ซึ่งแนวคิดของพีทาโกรัสได้มีอิทธิพลต่องานของ พลาโต้ (Plato) ทีม่ า: https://medicroslavl.ru/th/vases/ และ อรสิ โตเตลิ (Aristotle) ในเวลาตอ่ มา (อรพิน สถริ มน, 2562) teorema-pifagora-opredelenie-i-formula- teorema-pifagora-istoriya-voprosa.html [4] กล่มุ ความเช่ือแบบผสม (Eclectic orientation) นักปรัชญากลุ่มความเชื่อแบบผสมเชื่อว่า ทฤษฎีเพียงทฤษฎีเดียวไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้น นักปรัชญากลุ่มความเชื่อแบบผสมจึงไม่ได้ยึดติดกับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง แต่จะใช้ทฤษฎีต่างๆเพื่อสร้าง องคค์ วามรู้ประเด็นท่สี นใจ เน้นการหาคำตอบต่อชีวิตในแง่ท่ปี ฏิบัติไดจ้ ริง (practical) (Anthropocenepsyh, 2018; อรพิน สถิรมน, 2562) • โปรแทกอรัส (Protagoras) ประมาณ 481 - 411 ปี กอ่ นครสิ ตกาล โปรแทกอรัสมีความเชื่อว่า “คนเป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง; Man as the measure of all things)” กล่าวคือ ความจริงสำหรับโปรแทกอรัสจึง เป็นอันเดียวกับ“ทัศนะอัตนัย” (Subjective Opinion) ยกตัวอย่างเช่น ความจริง ความดี ความสวยงาม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถปรากฏอยู่ได้ด้วย ตัวมันเอง แต่เกิดจากการที่มนุษย์ให้สังกับ (concept) (อรพิน สถิรมน, 2562) ท่ีมา: https://reasonandmeaning.com/2019 /10/25/summary-of-protagoras-philosophy/

8 • อันตฟี อน (Antiphon) ประมาณ 480 - 411 ปี กอ่ นครสิ ตกาล อันตีฟอนเชื่อว่าสภาพธรรมชาตินั้นไดว้ างกฎเกณฑ์ไว้แล้วซึ่งเป็นกฎทีไ่ ม่ อาจหลีกเลี่ยงหรอื ขืนขดั ได้ซึ่งหมายถึงได้วา่ มนุษยเ์ องก็มขี อ้ จำกดั ในการ หาความรู้ ดังนั้น อันตีฟอนจึงเชื่อถือและให้ความสำคัญกับข้อมูลทาง ประสาทสัมผสั (Anthropocenepsyh, 2018) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ท่ีมา: https://peoplepill.com/people/antiphon /gallery • จอเจยี ส (Gorgias) ประมาณ 485 - 380 ปี ก่อนครสิ ตกาล จอเจียสมีความเห็นตรงกับแนวคิดของ โปรแทกอรัส โดยได้แต่ง หนังสือชื่อ “On Nature” เพื่อเผยแพร่ความเชื่อของเขาที่เช่ือ ว่า “สิ่งทมี่ ีอยู่เทา่ นัน้ ท่ีประสาทสมั ผสั สามารถรับรไู้ ด้; only that exists which the senses can perceive” กล่าวคอื มนุษย์จะ รู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ได้จากการรับรู้หากการรับรู้ของมนุษย์ไม่ สามารถรับรู้บางสิ่งบางอย่างแสดงว่าสิ่งนั้นไมม่ ีอยู่จริงและถงึ แม้ จะมีอยจู่ ริง มนษุ ยก์ ็ไมส่ ามารถรู้หรอื อธิบายได้ (Anthropocene -psyh, 2018) ทม่ี า: https://www.pinterest.es/pin/31877 0479865063430/?autologin=true [5] กลมุ่ มนุษยนิยม (Humanistic orientation) นักปรัชญากลุ่มมนุษยนิยมมุ่งเน้นไปที่คุณค่าของความเป็นมนุษย์โดยเน้นที่คุณลักษณะที่ทำให้มนุษย์ ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งได้แก่การใช้เหตุผล การใช้ภาษา ความสามารถในการย้อนมองตนเอง ( self- reflection) และ การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) โดยนักปรัชญากลุ่มนี้เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง โดย นักปรัชญาที่มีอิทธิพลในกลุ่มมนุษยนิยมได้แก่ โซเครติส (Socrates)เพลโต (Plato) และ อริสโตเติล (Aristotle) (Anthropocenepsyh, 2018; อรพิน สถิรมน, 2562)

9 • โซเครตสิ (Socrates) ประมาณ 470 - 399 ปี กอ่ นคริสตกาล โซเครตสิ เช่อื วา่ ความคิดเกย่ี วกบั ชีวติ เป็นส่ิงจำเปน็ และ ความพเิ ศษของ การเป็นมนุษย์ก็คือสามารถเข้าใจชีวิตได้ โซเครติสไม่เชื่อในปรัชญา ธรรมชาตินิยม โดยโซเครติสมองว่าความรู้เรื่องปฐมธาตุของโลกหรือ จักรวาลไมม่ ีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนษุ ย์ นอกจากนีโ้ ซเครตสิ ยังต่อต้านนักปรัชญากลุ่มความเชื่อแบบผสมที่มองความจริงเป็น “ทัศนะอัตนัย” โซเครติส มีทัศนะว่า เหตุผล (Reason) เป็นเครื่องมือ แสวงหาความรู้ ที่ช่วยให้คนเราค้นพบความจรงิ แบบปรนยั หรอื มโนภาพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง (Concept) ของสิ่งทั้งหลาย นอกจากนี้ โซเครติสยังมีทศั นะท่ีว่า ความรู้ ทมี่ า: https://blog.myparea.com/socrates- จะนำมาซึ่งความสุขเพราะการมคี วามรูจ้ ะทำให้มนุษย์ปฏิบัติตนได้อย่าง western-philosophy/ เหมาะสม (จริยธรรม) (Taylor, 2001) • เพลโต (Plato) ประมาณ 427 - 347 ปี ก่อนครสิ ตกาล เพลโตมีความเชื่อในแนวทวิภาค (mind - body dualism) โดยเพลโตเชื่อว่าจิตวิญญาณมนุษย์กำเนิดจากวิญญาณโลก (World Soul) ซงึ่ เป็นโลกแหง่ มโนคติ (World of Ideas) มนษุ ย์ ไม่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณแต่จิตวิญญาณเป็นตัวควบคุม ร่างกาย ดังนั้นมนุษย์จึงต้องใช้ปัญญาในการหาความรู้แท้จริง ผัสสะของร่างกายไม่สามารถนำไปสู่ความรู้แท้จริงเนื่องจาก ผัสสะแปรปรวนไปตามอารมณ์ มนุษย์ต้องแยกความรู้ (ได้มา ทางปัญญา) กับประสบการณ์ (ได้มาทางผัสสะ) ออกจากกัน จิต วิญญาณเป็นส่วนที่สำคัญและคงอยู่ถาวร จิตวิญญาณมีมาก่อน ร่างกาย เมื่อเกิดชีวิตใหม่ จิตวิญญาณจะนำความรู้เดิมมาสู่ ทีม่ า: https://real-lifeheroes.fandom.com ร่างกาย จิตวิญญาณทำหน้าที่ 3 ภาค คือ 1) ภาคตัณหา คือการ /wiki/Plato หาความสุขทางรา่ งกาย เชน่ การกินอยู่ หลับนอน 2) ภาคน้ำใจ คือความรู้สึกทางใจทเี่ กิดขึน้ โดยมไิ ด้มสี าเหตทุ างวัตถุ เชน่ ความเสียสละ ความรกั ระเบียบวนิ ัย ความเมตตา เมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ และ 3) ภาคปัญญาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเหตุผลทำให้มนุษย์รู้จักความจริง (ความรู้) และ ความเปน็ จรงิ (ประสบการณ์) เพลโตได้ใช้ทฤษฎีของเขา้ ในการพูดถึงประเด็นทางเมืองและจรยิ ธรรม โดยเพลโตมองวา่ จิตวญิ ญาณของ มนุษย์มักอยู่ในภาคตัณหาทำให้มนุษย์ขาดคุณธรรม สังคมควรจะมีการปกครองและกฏหมายเพื่อปกป้อง มนษุ ยจ์ ากความช่วั ร้ายในตนเอง (Anthropocenepsyh, 2018; อรพิน สถิรมน, 2562)

10 • อรสิ โตเตลิ (Aristotle) ประมาณ 384 - 322 ปี ก่อนครสิ ตกาล อริสโตเติลเป็นผู้วางรากฐานการสังเกตอย่างมีระบบอริสโตเติลได้ ศึกษาศาสตร์แทบทุกสาขาวิชาอาทิ ในสาขาวิทยาศาสตร์ อริสโตเติลได้ ศึกษา กายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา ฟิสิกส์และสัตววิทยา ในด้านปรัชญา อริสโตเติล อริสโตเติลได้ศึกษา สุนทรียศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จริยศาสตร์การ ปกครองอภิปรัชญาการเมืองเทววิทยา และ จิตวิทยาในส่วนของ จิตวิทยา อริสโตเติลมีความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณและกาย ตาม แนวคิดของเพลโต อย่างไรก็ตามอริสโตเติลไม่ได้เชื่อตามแนวความคิด ของเพลโตทั้งหมด อริสโตเติลปฏิเสธความเชื่อของเพลโตที่ว่าธรรมชาติ มนษุ ย์น้ันชั่วร้าย (Sastry, 2020) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทมี่ า: https://www.aplustopper.com/aristotle- biography/ สรุป ในยุคก่อนสมัยกรีกความเชื่อเรื่องชีวิตมักจะถูกอธิบายในรูปของความเชื่อเรื่องวิญญาณ (Soul) อย่างไรก็ ตามในยุคก่อนสมัยกรีกคำอธิบายเกี่ยวกับชีวิตหรือวิญญาณ ยังคลุมเครือ ต่อมาในสมัยกรีกนักปรัชญายุคกรีก พยายามเสนอวิธีในการเข้าใจชีวิตให้ชัดเจนมากขึ้น โดยในยุคกรีกมีแนวคิดสำคัญ 5 กลุ่มได้แก่ 1) กลุ่มธรรม ชาตนิ ยิ ม 2) กลุ่มชีววทิ ยา 3) กลุ่มคณิตศาสตร์ 4) กลุ่มความเชอ่ื แบบผสม และ 5) กล่มุ มนษุ ยนิยม แนวความคดิ ทางจิตวิทยายุคเฮเลนนสิ ติค (Hellenistic Greece) ในยุคเฮเลนนิสติคการเมืองไร้เสถียรภาพ ศาสนาและระบบความเชือ่ ก็เสื่อมถ้อยทำให้ชาวกรีกไม่น้อย หันไปพึ่งปรัชญามากขึ้นเพื่อเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์และปลอบประโลมใจ ดังนั้นปรัชญายุคเฮเลนนิสติคจึงมี ความข้องเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนมากกว่าปรัชญาในยุคคลาสสิก โดยปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ที่สำคัญมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ปรัชญาซีนิกส์(Cynic) 2) ปรัชญาเอพิคิวเรียนส์ (Epicurean) และ3)ปรัชญาสโตอิก (Stoic) (Anthropocenepsyh, 2018; อรพนิ สถิรมน, 2562) • แอนตสิ เธเนส (Antisthenes) ประมาณ 446 - 366 ปีกอ่ น ครสิ ตกาล แอนติสเธเนสเป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาซีนิกส์ซึ่งเป็นปรัชญาที่มุ่งเน้น การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยยึดเอาแนวคิดของโซเครติสเป็น ต้นแบบ แต่ตีความอย่างสุดโต่งแอนติสเธเนสเชื่อว่าความสุขน้ัน ขึ้นอยู่กับศีลธรรม การชีวิตเรียบง่าย ไม่ดิ้นรนแสวงหาทรัพย์สิน ชื่อเสียงเกียรติยศอำนาจ เปน็ หนทางแหง่ ความสขุ มนษุ ย์ต้องอยู่ ร่วมกันอย่างใกล้ชิดธรรมชาติ ใช้ชีวิตเรียบง่าย โดยไม่คำนึงถึง ชาติ ภาษา และ วัฒนธรรม ไม่ผูกพันธ์จงรักภักดีต่อนครหรือ อำนาจรัฐ (อรพนิ สถิรมน, 2562) ทมี่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Antisthenes

11 • อิพิควิ รุส (Epicurus) ประมาณ 341 - 270 ปีก่อนครสิ ตกาล อิพิคิวรุสเป็นนักปรัชญาที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสุขนิยมอิพิคิวรุ สมองว่ามนุษย์ต้องการสิ่งที่ช่วยชโลมให้จิตวิญญาณมีความ สมบูรณ์ กล่าวคือจิตใจของมนุษย์ต้องการความสุขซึ่งความสุขใน ความหมายของอพิ ิคิวรสุ ตอ้ งเป็นความสขุ ดว้ ยวิธีที่ชอบธรรม ไมใ่ ช่ ความสุขแบบคนเสเพลหรือคนเจ้าสำราญอย่างผู้ทรามปัญญาแต่ อย่างไรมนุษย์ทุกผู้ควรมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันให้มีความสุข มนุษย์ควรอดทนอดกลั้น มีระเบียบวินัยในตนเองหมั่นทบทวน ตนเอง เพื่อจะได้บรรลุถึงสันติสุขและความมั่นคง (พระธรรมโกศา จารย;์ ประยูร ธมมฺ จิตฺโต, 2552) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ที่มา: http://t1.gstatic.com/licensed-image ?q=tbn:ANd9GcS64yI_0hSIfyoPaMxC-sqz8 fK4i91S3qt1aRyRUJ1_wh1fLjwdvGqa0TsK CWRC • เซโน (Zeno) ประมาณ 334 - 262 ปี ก่อนครสิ ตกาล เซโนเป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาสโตอิกซึ่งเชื่อว่าความสุขแท้จริงเกิดจากการใช้ เหตุผลในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ และ มนุษย์ ต้องมีคุณธรรมโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องมีความผูกพันธ์ที่จะต้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปรัชญาสโตอิกสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ พลเมืองดี มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมืองและทางโลกโดยไม่สนับสนุน ให้ประชาชนมีความคิดเปลี่ยนแปลงระเบียบแบบแผน ปรัชญาสโตอิก เป็นปรัชญาเฮเลนนิสตคิ ที่เป็นทีน่ ิยมทีส่ ุดซึง่ จักวรรดโิ รมนั ในยุคตอ่ มาได้ ใช้ปรัชญาสโตอิกเป็นเครื่องแสดงความชอบธรรมในพิชิตและปกครอง ดินแดนอื่น (อรพิน สถริ มน, 2562) ที่มา: http://factsanddetails.com/world/cat56/ sub401/entry-6417.html แนวความคดิ ทางจติ วทิ ยายคุ โรมัน จนถงึ ยุคกลาง (Middle Ages) แม้ปรัชญาของโรมันได้รับอิทธิพลมาจากกรีกแต่ชาวโรมันจะให้ค่ากับผลด้านการปฏิบัติมากกว่ากรีก จะมีความโดดเด่นในทางสร้างสรรค์และเป็นนักปรัชญาแต่โรมนั จะใหค้ วามสำคญั ด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ กล่าวคือโรมันใช้ปรัชญาและศาสนาเพื่อประโยชน์ด้านการปกครองทำให้ยุคโรมันเป็นยุคที่มีความเข้มแข็งด้าน การปกครองและกฎหมายศาสนาคริสต์เริ่มมีบทบาทมากขึ้นนับแต่ยุคโรมัน จนคริสตจักรมีอิทธิพลสูงสุดในยุค กลาง (Middle Ages) โดยแนวคิดเกี่ยวกับจิตของมนุษย์ในยุคโรมันจนถึงยุคกลางนั้นพบได้จากแนวคิดของ นักบวชศาสนาคริสต์ เช่นเซนต์ ออกัสติน (St. Augustine) และ เซนต์ โทมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) (Anthropocenepsyh, 2018; อรพนิ สถริ มน, 2562)

12 • เซนต์ ออกัสติน (St. Augustine;354 – 430) ออกัสตินได้นำหลักปรัชญาของเพลโตมาใช้อธิบายความเชื่อใน ศาสนาคริสต์แนวความคิดของ เซนต์ ออกัสติน เน้นหนักในทาง เทวนิยม และปรัชญาศาสนา แนวคิดของ เซนต์ ออกัสติน ได้ กล่าวถึงจิตของมนุษย์ในฐานะเครื่องมือสู่การรู้แจ้ง (ปัญญา) เซนต์ ออกัสตินแบ่งจิตมนุษย์ออกเป็น 3 ส่วน คือ ความจำ ความเข้าใจ และความตั้งใจหรือเจตนารมณ์จิตสามารถรับรู้ใน เอกภาพของความจริง และจิตรับรู้ความจริงได้จากการมีความรู้ ในสัมพนั ธภาพระหวา่ งส่งิ ทง้ั หลาย (อรพนิ สถิรมน, 2562) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทมี่ า: https://www.marypages.com/augustine-of- hippo.html • เซนต์ โทมสั อไควนสั (St. Thomas Aquinas;1225 – 1274) แนวคิดที่สำคัญของเซนต์ โทมัส อไควนัสคือการใช้ปรัชญาของ อริสโตเติลมาสนับสนุนความเชื่อของทางศาสนาคริสต์ งานเขียนของ อไควนัสที่มีชื่อเสียงคือ “Summa Theologica” ในปี ค.ศ. 1265– 1274 ซง่ึ อธบิ ายเกี่ยวกับธรรมชาติของพระเจ้าศีลธรรมและงานของพระ เยซูครสิ ต์ ในแง่ของความเชอ่ื เก่ยี วกับจติ อไควนสั มที ศั นะวา่ มนุษย์เป็น สัตว์ที่มีศีลธรรมจริงจัง หนักแน่นมนุษย์สามารถควบคุมการกระทำของ ตนเองได้ด้วยสติปัญญา จิตที่อบรมแล้วจะสั่งการให้ร่างกายกระทำส่ิง ต่างๆ ตามหนา้ ท่ใี นสงั คม (อรพนิ สถริ มน, 2562) ทมี่ า: https://orderofpreachersindependent .org/2020/01/28/memorial-of-st-thomas- aquinas-dr-of-the-church/ นักปรัชญานักปรัชญาตะวันตกสมัยกลางส่วนมากเป็นบวชทำให้ปรัชญาตะวันตกสมัยกลางมีลักษณะ เป็นปรัชญาที่ผสมผสานคำสอนทางศาสนาคริสตเข้ากับปรัชญาโดยนำเอาปรัชญากรีกโดยเฉพาะปรัชญาของ เพลโต (Plato) และอริสโตเติล (Aritotle) มาอธิบายคำสอนทางเทววิทยาของศาสนาคริสต์ ตลอดจนนำ ปรัชญากรีกมาบิดเบือนตีความใหม่เพื่อสนับสนุนแนวของคริสต์ศาสนา จิตวิทยาเป็นเพียงบางส่วนของคำสอน ในศาสนาคริสต์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักศาสนา แนวคิดที่เชื่อว่า “ความผิดปกติ ทางจติ และพฤตกิ รรมเบยี่ งเบนจากกรอบที่สงั คมกำหนดเกดิ จากภูตผีหรอื วญิ ญาณช่ัวรา้ ย การรักษาอาการทาง จิตใจจึงไม่ได้มุ่งสู่ความเข้าใจมนุษย์ แต่ใช้พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือเยียวยารักษา (อรพิน สถิรมน, 2562)

13 แนวความคดิ ทางยุคฟ้นื ฟศู ลิ ปวทิ ยา (Renaissance) ยคุ ฟื้นฟศู ิลปวทิ ยาหรือ เรอแนซ็องส์ เป็นชว่ งเวลาท่เี กดิ การเปลย่ี นแปลงทางวัฒนธรรมในทวปี ยโุ รป ซึง่ เป็นจุดเร่ิมต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ ยุคฟน้ื ฟูศลิ ปวิทยาเปน็ การเคลื่อนไหวทางวฒั นธรรมในช่วงศตวรรษท่ี 14 ถึง 17 โดยการเปล่ียนแปลงหลกั เป็นการเปลย่ี นแปลงดา้ น วรรณกรรม วทิ ยาศาสตร์ ศลิ ปะ ศาสนาและ การเมือง (ฟน้ื ดอกบัว, 2555) เป็นเวลานานแล้วมนุษย์พยายามจะศึกษาธรรมชาติของมนุษย์การศึกษามนุษย์ได้เป็นจุดสนใจของ สังคมอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของค่อนข้างชัดเจนของศาสตร์ที่ศึกษาธรรมชาติของ มนุษย์ อาทิ แพทย์ศาสตร์ มานุษยวิทยาสังคมวิทยาเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ รวมถึงจิตวิทยา ซึ่งหลายๆศาสตร์ ยังมีขอบเขตและแยกออกจากกันไม่ชัดเจน โดยตัวอย่างแนวคิดทางจิตวิทยาและรัฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลในช่วง ศตวรรษที่ 14 ได้แก่ แนวคิดของนิกโกเลาะ มาเกียเวลลี (NiccoloMachiavelli; 1469-1527) ซึ่งเชื่อมโยง การศกึ ษาธรรมชาตขิ องมนษุ ย์กบั การแสวงหาอำนาจทางการเมือง (อรพนิ สถริ มน, 2562) จิตวิทยาเปน็ ศาสตร์มุ่งศึกษาเกี่ยวกับจิตใจและพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ในยุคฟน้ื ฟศู ลิ ปวิทยาแนวคิดทาง จิตวิทยาจึงแฝงอยู่ในแนวคิดของลัทธิมนุษยนิยม ลัทธิมนุษยนิยมไม่เชื่อในพระเจ้าและเนื่องจากไม่มีข้อห้าม เกี่ยวกับการผ่าศพมนษุ ย์ เลโอนารโ์ ด ดา วินชี (Leonardo da Vinci; 1452-1519) และแอนเดรยี ส เวซาเลยี ส (Andreas Vesalius; 1514-1564) จึงได้ทำการศึกษาทางกายวิภาคโดยละเอียดโดยเริ่มมองว่าร่างกายเป็น เครื่องจักรที่ซับซ้อนแต่ก็ไม่เกินศักยภาพของมนุษย์ที่จะทำความเข้าใจได้ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญสู่ วิทยาศาสตร์ต่อมา ฟรานซิสเบคอน (Sir Francis Bacon; 1561-1626) ได้ริเริ่มการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) แนวคิดของฟรานซิสเบคอนมีอทิ ธิพลอย่างมากต่อนักวิชาการในยคุ นัน้ ทำใหน้ ักวชิ าการ ในหลายๆศาสตร์รวมทัง้ จติ วทิ ยาพยายามใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพือ่ อธิบายศาสตร์ของตน (อรพิน สถิรมน, 2562; ฟืน้ ดอกบวั , 2555) ประวัติความเป็นมาของคำว่าจิตวิทยาสามารถสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการแม้ว่ารากศัพท์ของคำว่า “ Psychology” จ ะ เ ป ็ น ภ า ษ า ก ร ี ก psyche (“soul”) + logos (“word”) = psychology แ ต ่ ค ำ ว่ า “Psychology”เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 16 ต่อมาในในศตวรรษที่ 17 นักวิชาการเริ่มสนใจศาสตร์ เก่ียวกบั บคุ ลกิ ภาพซึง่ ทำใหจ้ ติ วทิ ยาเป็นทีส่ นใจในยคุ ต่อมา ในศตวรรษท่ี 18 จิตวทิ ยากลายเปน็ ประเด็นสำคัญ ทางสังคมและกลายเป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ตลอดศตวรรษที่ 20 แนวคิดทางจิตวิทยาได้ สร้างจากรากฐานแนวคิดของ ฟรานซิสเบคอนโดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสวัสดิภาพของ มนษุ ย์ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

14 •เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci; 1452-1519) เลโอนาร์โด ดา วินชีคือต้นแบบของมนุษย์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาผู้รอบรู้ และสามารถในศาสตร์ทกุ ดา้ นวินชี เปน็ ท่ีรจู้ ักในฐานะสดุ ยอดจิตรกร แต่ วินชี ก็มีความสนใจและเชี่ยวชาญในกายวิภาคศาตร์ (ฟื้น ดอกบัว, 2555) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ท่ีมา: https://www.pinterest.com/pin/ 395824254727554872/ •นิกโกเลาะ มาเกยี เวลลี (Niccolo Machiavelli; 1469-1527) นิกโกเลาะ มาเกียเวลลี ได้รับการยกย่องในฐานะบิดาแห่งบิดาแห่ง รัฐศาสตร์ยุคใหม่ มาเกียเวลลีถือได้ว่าเป็นบุคคลตัวอย่างของยุคฟื้นฟู ศิลปวิทยาเช่นเดียวกับลีโอนาร์โด ดา วินชี มาเกียเวลลีมีชื่อเสียงจาก งานเขียนเรื่องสั้นการเมืองเรื่อง เจ้าผู้ปกครอง (The Prince) ซึ่ง เชื่อมโยงการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์กับการแสวงหาอำนาจทางการ เมือง (ฟน้ื ดอกบวั , 2555) ทมี่ า:https://www.wikidata.org/wiki/Q1399 •แอนเดรียส เวซาเลียส (Andreas Vesalius; 1514-1564) อันเดรียส เวซาเลียส ได้รับการยกย่องในฐานะบิดาแห่งกายวิภาคศาตร์ สมัยใหม่เวซาเลียสได้รับอนุญาตให้ใช้ศพของนักโทษประหารมา ทำการศึกษา โดย เวซาเลียส ร่วมมือกับศิลปินหลายๆคนทำให้ไดภ้ าพท่ี มีคุณภาพสูงสำหรับใช้ศึกษากายวิภาคในส่วนของจิตวิทยา เวซาเลียส ได้เสนอว่าหัวใจไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกิจกรรมทางจิตวิทยา แต่สมอง และระบบประสาทต่างหากที่เป็นตัวกำหนดกิจกรรมทางจิตวิทยา (ฟ้นื ดอกบัว, 2555) ท่ีมา: https://www.sciencephoto.com/media /813484/view/andreas-vesalius-flemish- anatomist

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 • ฟรานซสิ เบคอน (Sir Francis Bacon; 1561-1626) ฟรานซิสเบคอนเป็นนักปรัชญาผู้บุกเบิกความคิดแบบประจักษ์นิยม (empiricism)ซึ่งส่งเสริมการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ โดยวิธีการศึกษา แบบอุปนัย (inductive method) หรือ วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) กล่าวคือ เบคอนเชื่อว่าความรู้ของมนุษย์เกิดจาก ประสบการณ์ และวิธีการท่ีได้มาซ่ึงประสบการณค์ อื ต้องศึกษาขอ้ มูลท่มี ี อยู่จริงในธรรมชาติอย่างกว้างขวางและรวบรวมข้อมูลเหล่านั้น นำมา วเิ คราะห์และสรปุ เป็นองค์ความรหู้ รือทฤษฎี (ฟน้ื ดอกบวั , 2555) ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Francis_Bacon ความกา้ วหน้าของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 18 ซงึ่ เป็นฐานสู่การเปน็ ศาสตร์จติ วทิ ยา ศตวรรษที่ 18 เป็นยุคที่มนุษยชาติเรืองปัญญา (The Age of Enlightenment) โดยนับแต่ศตวรรษที่ 18 มีการเคลื่อนไหวทางวิชาการ 3 ด้าน ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของศาสตร์จิตวิทยาซึ่งแยกออกมาจาก วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) และปรัชญา (Philosophy) ได้แก่ ด้านสรีรวิทยา ด้านจิตฟิสิกส์ และทฤษฎีววิ ัฒนาการ (ฟนื้ ดอกบัว, 2555) ความกา้ วหน้าดา้ นสรรี วทิ ยา ในช่วงศตวรรษที่ 18 ความก้าวหน้าด้านสรีรวิทยาเน้นไปที่การศึกษาการทำงานของสมองและระบบ ประสาท โดยนักสรีรวิทยาพยายามศึกษาเชิงลึกเพื่อชี้เฉพาะว่าสมองบริเวณใดทำหน้าที่อะไร เชื่อมโยงกับ ประสาทสั่งการอย่างไร และ การเชื่อมโยงของสมองกับระบบประสาทสั่งการก่อให้เกิดพฤติกรรมอย่างไร โดย งานของนักสรีรวิทยาที่เป็นรากฐานสำคัญของศาสตร์จิตวิทยาได้แก่ วลาดีมีร์ มีโฮโลวิช เบฮ์เจเรฟ (Vladimir Mikhailovich Bekhterev; 1857 – 1927) และ อวิ าน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov; 1849–1936) • วลาดีมีร์ มีโฮโลวิช เบฮ์เจเรฟ (Vladimir Mikhailovich Bekhterev; 1857 – 1927) วลาดีมีร์ มีโฮโลวิช เบฮ์เจเรฟเชื่อว่าสมองแต่ละส่วนมีหน้าที่เฉพาะ ความผิดปกติทางจิตเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในระบบประสาทเบฮ์ เจเรฟ เป็นนผู้ก่อตั้งจิตวิทยาวัตถุวิสัย (Objective Psychology) ซ่ึง เป็นฐานของจิตวิทยาเกสตอลต์ (Gestalt Psychology) และพฤติกรรม นิยม (Behaviorism) ในเวลาตอ่ มา (อรพิน สถริ มน, 2562) ท่ีมา: https://en.wikipedia.org/wiki/Vladimir _Bekhterev

16 • อวิ าน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov; 1849–1936) อวิ าน พาฟลอฟเชอื่ ว่าการเรยี นรขู้ องส่ิงมีชีวิตเกดิ จากการวางเง่ือนไข ซึ่งพาฟลอฟ ได้อธิบายแนวคิดดังกล่าวในทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบ คลาสสิค (Classical Conditioning) ซึ่งเป็นทฤษฎีสำคัญของจิตวิทยา พฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) (อรพนิ สถริ มน, 2562) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง https://en.wikipedia.org/wiki/Ivan_Pavlov ความกา้ วหนา้ ด้านจิตฟสิ กิ ส์ ในช่วงศตวรรษที่ 18 ความก้าวหน้าด้านสรีรวิทยาเน้นไปที่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติ ของสิ่งเร้าที่กระตุ้นทางกายภาพและปฏิกิริยาโต้ตอบเชิงจิตวิทยาที่มีต่อสิ่งเร้าเหล่านั้นโดยงานด้านจิตฟิสิกส์ เป็นรากฐานสำคัญของศาสตร์จิตวิทยาได้แก่งานของ กุสตาฟ ธีโอดอร์ เฟคเนอร์ (Gustav Theodore Fechner; 1801) และ ฟรานซิสคัส ดอนเดอรส์ (Franciscus Donders; 1818- 1889) (อรพนิ สถริ มน, 2562; สิทธิพงศ์ วฒั นานนทส์ กุล, 2557) • กุสตาฟ ธีโอดอร์ เฟคเนอร์ (Gustav Theodore Fechner; 1801 - 1887) ในอดีตนักปรัชญาส่วนใหญ่จะถือว่าจิตใจมนุษย์เป็นเรื่องส่วนบุคคล และไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถนำมาใช้ วัดประสบการณ์ในจิตสำนึก (consciousexperiences) ของบุคคลได้ จิตใจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะ ทดลองหรือใช้กฎคณิตศาสตรม์ าวัดได้ อย่างไรก็ตาม เฟคเนอร์ยังคงเชอ่ื ว่าการทดลองด้านจิตฟิสิกส์ (psychophysics) จะสามารถแสดง ความสัมพนั ธ์ของจิตและกายได้ เฟคเนอร์ได้ประยุกต์วิธีการของ อี. เฮช. เวเบอร์ (E.H. Weber , ค.ศ. 1795 -1878) และเสนอวิธีการกำหนดค่าการรู้สึกของบุคคลเป็น ตัวเลข เฟคเนอร์ใช้วิธีการทดลองโดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเลือก เปรียบเทียบสิ่งเร้า เช่น ให้เปรียบเทียบว่าวัตถุอันใด ในสองอันที่หนัก ที่มา: http://scihi.org/gustav-fechner- กว่า หรือเสียงใดดังกว่า โดยใช้การจับคู่อย่างเป็นระบบเพื่อหาค่าที่ psychophysics/ แท้จริง (Absolute values) และค่าความแตกตา่ งระหวา่ งของ 2 สง่ิ และสังเกตว่าเมื่อไรบุคคลจึงสามารถจะแยกแยะ หรือไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของสิ่งเร้าด้วยหลักการ ดังกล่าวจึงทำให้เฟคเนอร์สามารถคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับความเข้มของการรู้สึก โดยทั่วไปคนจะ เชื่อว่าการรู้สึกจะแปรตามส่ิงเร้าโดยตรง แต่เฟคเนอร์กลับพบวา่ S=K logR (เมื่อ K เท่ากับค่าคงท่ี) กล่าวคือ ความ

17 แตกต่างของสิ่งเร้าจะตรวจพบได้ง่ายหากสิ่งเร้าทั้งสองมีความเข้มระดับปานกลางมากกว่าความเข้มสูง เช่น การยก ลูกตุ้มหนกั 10ออนซจ์ ากลกู ตุ้มหนกั 11 ออนซ์จะง่ายจากแยกน้ำหนกั 10 ปอนด์จาก 10 ปอนด์ 1ออนซ์ เฟคเนอร์ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทำให้เกิดการวิจัยอย่างเป็นระบบด้านจิตวิทยาการทดลอง และ เป็นผู้นำกฎ คณิตศาสตร์มาใช้ในการทดลอง วิธีการของเฟคเนอร์เป็นต้นแบบในการทดลองของ วิลเฮล์ม วุนดท์ ( Wilhelm Wundt, ค.ศ. 1832 – 1920 ) (อรพนิ สถริ มน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกลุ , 2557) • ฟรานซสิ คสั ดอนเดอรส์ (Franciscus Donders; 1818- 1889) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ฟรานซิสคัส ดอนเดอรส์เชื่อว่าความเร็วของกระบวนการทางจิตใจ สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ด้วยการคำนวนจาก เวลาระหว่างการเร้าและ การตอบสนองของบุคคล ซึ่งดอนเดอรส์ ได้พัฒนาหลักการดังกล่าวเป็น แนวคดิ เมนทอล โครโนเมทรี (Mental Chronometry)ในเวลาต่อมา ตัวอย่างการคำนวนความเร็วของกระบวนการทางจิตใจด้วยแนวคิด เมนทอล โครโนเมทรี เช่น การให้ผู้รับการทดลองกดปุ่มสัญญาณเม่ือ รู้สึกว่าตนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ ที่เท้า โดยให้ผู้รับการทดลอง กดปุ่มด้วยมือซ้ายเมื่อถูกช็อตที่เท้าซ้าย และกดปุ่มด้วยมือขวาเมื่อ ถูกช็อตที่เท้าขวา จากกรณีดังกล่าว ผู้รับการทดลองจะต้องแยกว่าเท้า ใดถูกช็อตและเลือกที่จะตอบสนอง หากผู้รับการทดลองใช้เวลา 150 ส่วนของวินาทีในการกดปุ่มสัญญาณหลังจากถูกช็อต และใช้เวลา 230 ทมี่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Vladimir _Bekhterev ส่วนของวินาทีในการแยกแยะและเลือกปุ่ม แสดงว่ากระบวนการคิดน้ัน ใชเ้ วลา 230 - 150 = 80 สว่ นของวินาที แนวคิดเมนทอล โครโนเมทรี ดอนเดอรส์ถูกนำมาศึกษาต่อโดยวิลเฮล์มวุนดท์และแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดย วิลเฮล์มวุนดท์ ทำให้จิตวิทยาการทดลองแยกตัวออกมาจากแนวคิดจิตวิทยาในเชิงปรัชญา ( Qualitative philosophical psychology) อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้แนวคิด เมนทอล โครโนเมทรี ในวงการจิตวิทยาการ ทดลองก็มีข้อจำกัดมากเรื่อย ๆ เนื่องจากปัจจัยด้านความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้รับการทดลอง ซ่ึงขัดกับ แนวคิดเร่อื งความเป็นสากลของจติ (general mind) ของ วุนดท์ แต่ทว่าแนวคิด เมนทอล โครโนเมทรี ได้กลับมารับความสนใจอีกครั้งจากการกำเนิดของแนวคิดพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) โดยนักพฤติกรรมนิยมจึงได้แปรความสนใจการทดลองเรื่องช่วงเวลาการตอบสนองมาสู่เรื่องการ เรียนรู้ในเวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1960 แนวคิดจิตวิทยาการรู้ คิด (Cognitive Psychology) ได้ถูกพัฒนาขึ้น แนวคิด เมนทอล โครโนเมทรี ก็ยิ่งเป็นที่สนใจอีก เนื่องจากนักจิตวิทยาการรู้คิดต้องการหาวิธีที่จะศึกษากระบวนการทาง จิตใจ เช่นการตัดสินใจการใช้เหตุผลและรูปแบบของการจับคู่เปรียบเทยี บ (อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนา นนท์สกลุ , 2557)

18 ความก้าวหน้าด้านทฤษฎีวิวัฒนาการ • ชาลส์ ดาร์วนิ (Chales Darwin; 1809 - 1882) ชาล์สดาร์วิน เป็นนักธรรมชาติวทิ ยา นักธรณวี ิทยา และนักชีววิทยาชาว อังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาและความ หลากหลายของสิ่งมีชีวิต โดยดาร์วิน เสนอทฤษฎีว่าด้วยการคัดเลือก โดยธรรมชาติ (The Theory of Natural Selection) ดาร์วินอันเป็น รากฐานสำคัญของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ ดาร์วินเห็นว่าความ แตกต่างของมนษุ ย์และสตั ว์อยู่ที่ระดับวิวัฒนาการแนวคิดของดาร์วนิ กอ่ ให้เกิดการศึกษาจิตวิทยาเปรียบเทียบ (Comparative psychology) และแนวคิดวิวัฒนาการ (Evolutional Perspective) (อรพิน สถิรมน, 2562; สทิ ธพิ งศ์ วัฒนานนท์สกลุ , 2557) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทม่ี า:https://sites.google.com/site/elearning evolution/evolution/ct-2/ct-2-2 • ฟรานซสิ เกลตนั (Francis Galton; 1822 -1911) ฟรานซิส เกลตันได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีของชาล์สดาร์วิน ในการศึกษา เชาว์ปัญญากับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเป็นหนึ่งในผู้ก่อพัฒนา แนวคิดการคัดเลือกชาติพันธุ์ (eugenics) นอกจากนี้ เกลตันยังศึกษา และทดสอบความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการใช้การทดสอบทางจิต (mental testing) และการวิเคราะห์เชิงสถิติ เกลตันถือเป็นผู้ริเริ่มการ ใช้แบบสอบถามและแบบสำรวจในการเก็บข้อมูลการวิจัย (อรพิน สถิรมน, 2562; สทิ ธิพงศ์ วฒั นานนท์สกลุ , 2557) https://en.wikipedia.org/wiki/Ivan_Pavlov โดยสรุป คำว่า “จิตวิทยา” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Psychology” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า Psycheกับ Logos คำว่า Psyche หมายถึงวิญญาณ (Soul) กับคำว่า Logos หมาย ถึงศาสตร์ วิชา วิทยาการและการศึกษา (Study) ดังนั้น เมื่อทั้ง 2 คำรวมกันเป็นคำว่า Psychology จึงมีความหมายว่า ด้วยศาสตร์วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนี้เนื่องจากในสมัยกรีกโบราณซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของการศึกษาทาง จิตวิทยานักปรัชญาในขณะนั้นได้พยายามค้นควา้ และหาคำตอบว่าจิตหรือวิญญาณมคี วามสำคัญและมีอทิ ธิพล อย่างไรต่อพฤติกรรมของมนุษย์ จากเนื้อหาข้างต้นจะเห็นได้ว่าจิตวิทยาในยุคก่อนศตวรรษที่ 19 เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ สามารถพิสูจน์และ ค้นคว้าให้เห็นจริงได้ อย่างไรทั้งแนวคิดและการศึกษาทดลองในอดีตนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ทำให้จิตวิทยาเป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และมีก้าวหน้าเชิงวิชาการอย่างรวดเร็ว ในช่วงศตวรรษที่ 18-20 อันจะกลา่ วในบทตอ่ ไป

19 ใบกจิ กรรมที่ 1 คำชี้แจง 1.ให้นักศกึ ษาทำสรุปไทม์ไลนข์ องประวตั ิความเปน็ มาของจติ วทิ ยาพร้อมตกแต่งใหส้ วยงาม 2.ให้นักศกึ ษาให้นิยามความหมายของจิตวิทยาในกรซี ยคุ อารเ์ คอกิ (Archaic period) ถงึ ยคุ ฟ้นื ฟู ศิลปวิทยา (Renaissance) ภาพท่ี 31 ตัวอย่างการทำสรปุ ไทมไ์ ลนข์ องประวัติความเปน็ มาของจติ วิทยา ท่มี า: https://prezi.com/9v3xrq1mo9id/roots-of-psychology-timeline/ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 เอกสารอ้างอิง Anthropocenepsyh. (2018). Approaches to GREEK philosophy. ค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2564, จาก https://anthropocenepsyh.wordpress.com/2018/09/11/approaches-to-greek- philosophy/ Debernardi, Alberto; Sala, Elena; D'Aliberti, Giuseppe; Talamonti, Giuseppe; Franchini, Antonia Francesca; Collice, Massimo (February 2010). \"Alcmaeon of Croton\". Neurosurgery. 66 (2): 247–252, discussion 252. doi: 10.1227/01.NEU.0000363193.24806.02. ISSN 1524- 4040. PMID 20087125. S2CID 7737957. Dye, James. (2014), “Anaximenes of Miletus\", Biographical Encyclopedia of Astronomers, Springer New York, doi:10.1007/978-1-4419-9917-7_49, ISBN 9781441999160 King, Helen (2008). \"Hippocrates of Cos\". In Koertge, Noretta (ed.). New Dictionary of Scientific Biography. 3. Detroit: Thomson Gale. ISBN 9780684313207. Sastry (2020). Aristotle Biography, Inventions, Education, Awards and Facts. https://www.aplustopper.com/aristotle-biography/ Stephen Toulmin and June Goodfield, The Architecture of Matter. Chicago: University of Chicago Press, 1962) Smith, W. (1849). Dictionary of Greek and Roman biography and mythology (Vol. 3). CC Little and J. Brown. Taylor, C.C.W. (2001). Socrates: A very short introduction. Oxford: Oxford University Press. สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล. (2557). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสตร์จิตวิทยา. เอกสารประกอบการสอนวิชา จต 102 จิตวทิ ยาพนื้ ฐาน, กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ สุนิสา วงศ์อารีย์. (2559). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา. เอกสารประกอบการสอนวิชา ED15101 จิตวิทยาสำหรับครู. อุดรธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17k571811058953fF15F.pdf พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (2552). ปรัชญากรีก: บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวันตก. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพส์ ยาม ฟน้ื ดอกบัว. ปวงปรัชญากรีก. กรงุ เทพฯ: ศยาม. 2555 อรพิน สถิรมน. (2562). แนวความคิดทางจิตวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2564 จากhttps://ebook.lib.ku.ac.th/ebook27/ebook/2019RG0169/ files/basic-html/page1.html

21 แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 1 ความหมายของจิตวทิ ยาและแนวคิดทางจิตวิทยายคุ เริ่มตน้ ผู้สอน - อาจารยต์ น้ สาย แก้วสว่าง เวลา มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง- 4 ชวั่ โมง วัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความเปน็ มาของจติ วทิ ยาได้ 2. อธบิ ายแนวคดิ ทางจติ วิทยายุคเร่ิมตน้ ได้ เน้อื หา 1. กลมุ่ โครงสร้างของจิต (Structuralism) 2. กลุ่มหนา้ ทข่ี องจติ (Functionalism) 3. จิตวิทยาเกสตอลต์ (Gestalt Psychology) 4. กลุ่มจิตวเิ คราะห์ (Psychoanalysis) 5. กลุ่มพฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) การจดั ประสบการณ์เรยี นรู้ 1. แจง้ วตั ถุประสงค์และแจ้งขอบเขตเนอื้ หา 20 นาที 2. สอนบรรยายเนื้อหาหวั ข้อต่างๆ 170 นาที 3. อภปิ รายรว่ มกนั 30 นาที 4. ตอบถำถามและข้อสงสยั 20 นาที ส่อื การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. Power point presentation การประเมินผล 1. กจิ กรรมทา้ ยบท

22 หัวข้อการสอนที่ 2 แนวคิดทางจติ วทิ ยายุคเร่มิ ต้น จากเนื้อหาในบทที่ 1 จะเห็นว่าจิตวิทยาในยุคโบราณจนถึงก่อนช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นการสังเกต พฤติกรรมร่วมกับศาสตร์ทางปรัชญาซึ่งมีลักษณะการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ จุดเริ่มต้นที่ทำให้จิตวิทยา ได้รับการยอมรับว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์สาขาวิชาหนึ่งซึ่งแยกออกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) และปรัชญาเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1879 โดย วิลเฮล์มวุนดท์ (Wilhelm Wundt) ได้จัดต้ัง ห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรก ณ เมืองไลป์ซิก (Leipzig) ประเทศเยอรมัน ซึ่งต่อมา วุนดท์ ก็ ไดร้ ับการยกย่องเปน็ บิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง (อรพิน สถริ มน, 2562) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง • วลิ เฮล์ม วุนดท์ (Wilhelm Wundt; 1832 -1920) ทม่ี า: https://filokalist.com/bilmeseydik- วุนดท์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทำให้จิตวิทยาให้เป็นวิทยาศาสตร์ bilinemezdik-psikoloji-ve-onemi/ การศึกษาของวนุ ดทส์ ่วนมากเป็นเร่ืองเกยี่ วกบั การรับสมั ผสั และการรับรู้ (sensation and perception) โดยเฉพาะด้านจักษุสัมผัส (vision) ค ว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ค ว า ม จ ำ ( attention and memory) อ า ร ม ณ์ (emotion) การเชื่อมโยงคำ (word association) ความรวดเร็วของ ปฏิกิริยาตอบสนอง (reaction time) ต่อสิ่งเร้าหลายอย่าง จินตนาการ (imagination) ได้อาศัยระเบียบวิธีการสำรวจตนเองหรือการตรวจสอบ ตนเอง (Introspection method) หรือระเบียบวิธีการแบบอัตนัย (Subjective method) ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานที่ทำให้นักจิตวิทยาคน อื่นๆนำไปศึกษาพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดการทดลองและ แนวคิดใหม่หรือทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก ( Coon & Mitterer,2012; อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล, 2557) กลมุ่ โครงสร้างของจิต (Structuralism) แนวคิดของ วุนดท์ ได้แพร่ขยายไปสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเอ็ดวาร์ด ทิชเชนเนอร์ (Edward Bradford Titchener; ค.ศ.1867 –1927) ลูกศิษย์ของ วุนดท์ ซึ่ง ทิชเชนเนอร์ ได้เรียกนักจิตวิทยาที่ใช้ แนวความคิดของ วุนดท์ ว่าเป็น นักจิตวิทยากลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism) โดยนักจิตวิทยาในกลุ่ม โครงสร้างของจิตมีความเชื่อพื้นฐานว่า สสารทุกชนิดจะประกอบขึ้นจากส่วนย่อย ตั้งแต่ส่วนที่เล็กที่สุดจนถึง ส่วนที่ใหญ่ที่สุด เช่น บ้านหลังหนึ่งมีโครงสร้างหรือส่วนประกอบย่อยได้แก่ หลังคา ประตู หน้าต่าง เป็นต้น ดังนั้นในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแยกส่วนประกอบได้ จิตของมนุษย์ก็น่าจะแยกเป็นส่วนประกอบย่อยได้ เช่นกัน ด้วยความเชื่อพื้นฐานดังกล่าวทำให้นักจิตวิทยากลุ่มโครงสร้างของจิตมุ่งศึกษาโครงสร้างของจิตโดย แยกองค์ประกอบของจิตเป็นส่วนเล็กๆ และวิเคราะห์องค์ประกอบดังกล่าวด้วย วิธีการสำรวจตนเองหรือการ ตรวจสอบตนเอง (Introspection method) (อรพิน สถริ มน, 2562; สิทธพิ งศ์ วัฒนานนทส์ กุล, 2557)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 23 โดยเบื้องต้นนักจิตวิทยากลุ่มโครงสร้างของจิตเชื่อว่าโครงสร้างของจิตประกอบด้วย จิตธาตุ (Mental Elements) ซึ่งจิตธาตุประกอบดว้ ยธาตุ 2 ชนิด คือ 1. การรับสัมผัส (Sensation) จากประสาทสัมผสั ทง้ั ห้า 2. ความร้สู กึ (Feeling) ที่แสดงออกถงึ การชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ ตอ่ มาภายหลังทชิ เชนเนอร์ไดเ้ พิม่ จติ ธาตุตัวที่สาม ได้แก่ จินตนาการ (imagination) ที่เกิดขึ้นในจิต และมีข้อสรุปถึงความสัมพันธ์ของจิตธาตุทั้ง 3 ชนิดว่า เมื่อใดก็ตามที่จิตธาตุทั้งสามส่วนนี้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายใต้สัดส่วนและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม จะก่อใหเ้ กดิ จิตรปู ผสมเกดิ ข้นึ ใหม่ เฉกเช่น ปฏิกิรยิ าทางเคมที โ่ี ฮโดรเจนเมอ่ื รวมตัวกบั ออกซิเจนภายใต้สัดส่วน ที่เหมาะสมและความกดดันที่พอดีก็จะได้เป็นน้ำนั่นเอง โดยจิตผสมนี้เองทำให้บุคคลเกิดความคิด (thinking) อารมณ์ (emotion) ความจำ (memory) การใช้เหตุผล (reasoning) เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือจิต หรือ พฤตกิ รรมภายในนัน่ เอง (Coon & Mitterer,2012; อรพนิ สถิรมน, 2562; สิทธพิ งศ์ วัฒนานนท์สกุล, 2557) วิธีการสำรวจตนเองหรือการตรวจสอบตนเอง (Introspection method) นั้นค่อนข้างเป็นท่ี วิพากษ์วจิ ารณ์ วิธีการสำรวจตนเองมขี ้อดอ้ ยตรงทว่ี ธิ กี ารน้ยี ังไมม่ ีกระบวนการที่แนน่ อนในการสังเกตและยังไม่ มีวิธีการวัดที่ได้มาตรฐานเพียงพอ ตัวอย่างเช่น หากให้คนสองคนมาใช้วิธีการตรวจสอบด้วยตนเองกับ แอปเป้ลิ ลูกหนงึ่ โดยใหท้ ัง้ สองคนเขียนองคป์ ระกอบย่อยออกมา ผลท่ีไดค้ ือคำตอบของทงั้ คู่จะแตกตา่ งกันและ ไม่สามารถตัดสินได้ว่าคนไหนตอบถูกและคนไหนตอบผิด (benjafield, 2010) อย่างไรก็ตามวิธีการสำรวจ ตนเองกเ็ ป็นรากฐานทีท่ ำใหเ้ กิดการพัฒนาวธิ ีการทางจติ วทิ ยาหลายๆแนวคดิ ในเวลาตอ่ มา ภาพท่ี 2 เอด็ วารด์ ทิชเชนเนอร์ (Edward Bradford Titchener; ค.ศ.1867 – 1927) ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Edward_B._Titchener กล่มุ หน้าทข่ี องจิต (Functionalism) ถึงแม้แนวคิดของ วุนดท์ ได้เผยแพร่เข้าไปในสหรัฐอเมริกาโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่เป็นลูกศิษย์ ของ วุนดท์ ได้มีบทบาทในการก่อตั้งห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาในหลายมลรัฐ แต่ขณะเดียวกันใน สหรัฐอเมริกาก็ได้เกิดแนวคิดจิตวิทยากลุ่มหน้าที่ของจิต (Function Psychology) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมุมมอง ต่อพฤติกรรมว่าเป็นรูปแบบการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมมุ่งศึกษา กระบวนการคิด (mental process) มากกว่า

24 เนื้อหาความคิด (mental content) และเน้นคุณค่าของการใช้ประโยชน์จากวิชาจิตวิทยา (อรพิน สถิรมน, 2562) กลมุ่ หนา้ ท่ขี องจติ หรือกลมุ่ หน้าท่ีนยิ ม (functionalism) เป็นกลุ่มจติ วิทยาท่ีก่อต้ังข้ึนในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1900 โดยมีผู้นำได้แก่ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey; ค.ศ.1859 –1952) คณบดีคณะวิชาการศึกษา แหง่ มหาวทิ ยาลยั ชคิ าโก และ วิลเลยี ม เจมส์ (William James; ค.ศ.1842 –1910) ศาสตราจารย์ทางจติ วทิ ยา แห่งมหาวทิ ยาลัยฮารว์ ารด์ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงภาพท่ี 3 จอห์น ดวิ อี้ (John Dewey; ค.ศ.1859 – 1952)ภาพท่ี 4 วิลเลียม เจมส์ (William James; ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/John_Dewey ค.ศ.1842 – 1910) https://en.wikipedia.org/wiki/William_James แนวความคิดของกลุ่มหน้าที่ของจิตได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ( theory of evolution) ของชาล์สดาร์วิน (Charles Darwin) ที่อธิบายไว้ว่าความสามารถในการปรับสภาพร่างกายของ สิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อการดำรงอยู่หรือการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ทฤษฎี ดังกล่าวนำไปสู่ความเชื่อพื้นฐานของนักจิตวิทยากลุ่มหน้าที่ทางจิตที่ว่า การพยายามปรับตัวของมนุษย์ให้เข้า กับสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดจากกระบวนการทำงานของจิตที่แตกต่างกัน (อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนา นนท์สกุล, 2557) ดิวอี้มีความเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนเราปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีหรือไม่ ได้แก่ ประสบการณ์ (experience) โดยเชื่อว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการกระทำ” (learning by doing) ซึ่งเป็นการให้ ความสำคัญกับการส่งเสริมประสบการณ์ส่วนเจมส์เชื่อว่าสัญชาตญาณ (instinct) เป็นส่วนที่ทำให้คนเรา ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม คำว่า “สัญชาตญาณ” ในทัศนะของเจมส์ หมายถึงคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ทำให้ บุคคลมีแนวโน้มท่ีจะกระทำอย่างใดอย่างหน่ึงโดยทีก่ ารกระทำนัน้ ๆ ไม่ได้มีการเรียนรู้มาก่อน (อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนานนทส์ กุล, 2557) กลุ่มหน้าที่ของจิตจะมีความเชื่อเบื้องต้นคล้ายกับกลุ่มโครงสร้างของจิต ที่ว่ามนุษย์แต่ละคนประกอบ ไปด้วยกายกับจิตที่สัมพันธ์กันก็ตาม แต่นักจิตวิทยากลุ่มหน้าที่ของจิตมีทัศนะว่าการศึกษาเกี่ยวกับการทำงาน

25 ของจิตว่ามีหน้าที่ (function) อย่างไร และมีกระบวนการอย่างไรที่ส่งผลต่อการแสดงออกของบุคคล จะเกิด ประโยชน์มากกวา่ การศึกษาเฉพาะโครงสรา้ งของจิตเทา่ นน้ั กลุ่มหน้าที่ของจิตจึงมุ่งศึกษาสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ปรับตนต่อสิ่งแวดล้อมหรือแก้ปัญหาได้ดีและเน้นการศึกษา เกีย่ วกับกระบวนการเรยี นร้ขู องมนษุ ยด์ ว้ ย นอกจากนี้ยังเน้นการประยุกต์ใช้ประโยชน์ของวิชาจิตวิทยาในแง่ ของการการเสริมสร้างกระบวนการคดิ อยา่ งมีเหตุผลและเสริมสรา้ งพฤติกรรมของบุคคล จติ วทิ ยาเกสตอลต์ (Gestalt Psychology) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ (gestalt psychology) ได้ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนีในช่วงปี ค.ศ.1912 นักจิตวิทยากลุ่มนี้ประกอบไปด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เช่น แมกซ์เวอร์ไธเมอร์ ( Max Wertheimer; ค.ศ.1880 –1943) เคิร์ต คอฟฟ์กา (Kurt Koffka; ค.ศ.1886 –1941) และโวล์ฟกัง โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler; ค.ศ.1887 –1967) ต่อมาภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง แนวคิดของกลุ่ม เกสตัลท์จึงเริ่มแพร่หลายเขา้ สู่สหรัฐอเมรกิ า จนได้รับความสนใจและยอมรับอยา่ งกว้างขวางในเวลาไม่นานนัก คำว่า เกสตัลท์ (Gestalt)ในภาษาเยอรมันแปลว่า “รูปแบบ แบบแผน หรือ ทั้งหมด” ซึ่งความหมายดังกล่าวก็ สะท้อนถึงความเชื่อพื้นฐานของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ที่คัดค้านการศึกษาหรืออธิบายกระบวนการทางจิตของ มนุษย์ออกเป็นส่วนๆตามแนวคิดของกลุ่มโครงสร้างของจิตและหน้าที่ของจิต กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์เชื่อว่า ความพยายามที่จะวิเคราะห์ส่วนย่อยแต่ละส่วนจะทำให้สูญเสียความหมายของสิ่งนั้นๆไป สิ่งที่เราเห็น เช่น วัตถุ รูปรา่ ง จะมีความแตกตา่ งจากผลรวมของส่วนประกอบทงั้ หมดของมนั ตวั อยา่ งเช่น รถยนต์ มีความหมาย มากกว่าตัวถัง ล้อ เพลา พวงมาลัย เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์ทุกชิ้นรวมกัน เช่นเดียวกันกับ สี่เหลี่ยม จัตุรัสรูปหนึ่ง มีความเป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติเฉพาะของมัน ซึ่งเราจะไม่สามารถเข้าใจได้เต็มที่หากเรา เห็นว่ามันเป็นเพียงเส้นตรงสี่เส้นมาเชื่อมต่อกันเป็นมุมฉาก กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์เห็นว่าการพยายามอธิบาย องค์ประกอบของจิตส่วน ๆ จะไม่ช่วยทำให้เราเข้าใจจิตได้ เพราะสิ่งใดๆก็ตามจะมีความหมายมากกว่าผลรวม ขององคป์ ระกอบย่อยของมนั เอง (อรพนิ สถริ มน, 2562; สทิ ธิพงศ์ วัฒนานนทส์ กลุ , 2557) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพที่ 5 แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ (Max ภาพที่ 6 เคริ ์ต คอฟฟ์กา (Kurt Koffka; ภาพท่ี 7 โวล์ฟกัง โคห์เลอร์ (Wolfgang Wertheimer; ค.ศ.1880 – 1943) ค.ศ.1886 – 1941) Kohler; ค.ศ.1887 – 1967) ท่ีมา: https://www.jstor.org/ ท่ีมา: https://en.wikipedia.org/wiki ทม่ี า: https://alchetron.com/ stable/1417281 /Kurt_Koffka Wolfgang-K%C3%B6hler

26 กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ มีความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ว่า พฤติกรรมใดของบุคคลนั้นเกดิ จาก คุณลักษณะโดยส่วนรวมของบุคคลนั้นซึ่งประกอบไปด้วยความรู้ ความคิด ทักษะ เจตคติ ฯลฯ ไม่ได้เกิดจาก คุณสมบัติใดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อบุคคลเผชิญกับสิ่งเร้าเดียวกันก็ย่อมแสดงพฤติกรรมตอบสนอ งของแต่ ละบุคคลแตกตา่ งกันและในทำนองเดยี วกัน บคุ คลคนเดยี วกนั แตต่ า่ งเวลา ตา่ งส่ิงแวดลอ้ ม บคุ คลน้ันอาจแสดง พฤติกรรมตา่ งออกไปจากเดิม ในประเด็นการเรียนรู้ กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ มีความเห็นว่าการเรียนรู้ไม่ใช่ผลรวมของความสัมพันธ์ ระหวา่ งสงิ่ เรา้ กับการตอบสนองตามแนวคิดของกลุ่มพฤตกิ รรมนยิ ม แตก่ ารเรยี นรเู้ ปน็ ผลจากการรับรู้และแปล ความหมายของสถานการณ์หรือสิ่งเร้าในภาพรวมโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเป็นเครื่องแปล ดังนั้นบุคคลจึงมี ความสามารถในการรับรู้ต่างกัน ส่งผลให้เรียนรู้และมีพฤติกรรมต่างกัน การจะทำความเข้าใจสิ่งใดจะต้องรับรู้ ในภาพรวมเสียก่อน แล้วจึงศึกษาองค์ประกอบย่อยของสิ่งนั้นทีละส่วนในภายหลัง (อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล, 2557) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพทางซ้ายมือเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้น จากรูปวงกลมที่ไม่สมบูรณ์จำนวนหนึ่ง ตาม ทฤษฎีของกลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ที่ว่าการรับรู้ ของมนุษย์นั้นมีลักษณะการมองเป็นองค์รวม มากกว่าจะสนใจองค์ประกอบย่อย ทำให้ มองเห็นภาพเป็นรูปสี่เหลี่ยมมากกว่าเป็นวงกลม ที่ไม่สมบูรณ์จำนวน 4 วง หากเปรียบเทียบเป็น การฟังเพลงก็คือมนุษย์ย่อมไม่สามารถแยกฟัง เป็นตัวโน้ตได้ ทีม่ า: https://www.pngegg.com/en/search?q=illusory นอกจากนี้จากการทดลองของกลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ยังพบว่าการหย่ัง เห็น (insight) เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นจากการรับรู้และประสบการณ์ทั้งหลายที่สั่งสมไว้ ดังนั้นทฤษฎีของ กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้จึงให้ความสำคัญกับการรับรู้ (perception) และการหยั่งเห็น (insight) (Coon & Mitterer, 2012; อรพิน สถิรมน, 2562; สิทธิพงศ์ วฒั นานนท์สกุล, 2557 การรับรู้ (perception) เป็นการแปลผลการรับสัมผัสจากสิ่งเร้าโดยอาศัยประสบการณ์เดิมที่บุคคล สะสมไว้เป็นเครอื่ งแปลความหมาย

27 การหยั่งเห็น (insight) นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์เชื่อว่าการแก้ปัญหาของมนุษย์และสัตว์ชั้นสูงนั้น จะต้องอาศัยประสบการณ์จากการเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ ดังนั้นเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับปัญหาที่เคยแก้ไข สำเร็จมาแล้ว บุคคลย่อมมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการเดิมมาแก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกัน แต่ในกรณีที่บุคคลเผชิญกับ ปัญหาที่ยังไม่เคยประสบมาก่อนแล้วสามารถค้นพบวิธีการแก้ปัญหานั้นอย่างฉับพลันทันทีทันใดลักษณะเช่นนี้ เรียกว่าการหยั่งเห็น เช่น การหยั่งเห็นวิธีการหาน้ำหนักวัตถุของอาร์คิมิดีส (Archimedes; 287-212 ปีก่อน คริสตกาล) เปน็ ตน้ สำหรับวิธีการที่กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมนั้นนิยมใช้การทดลองเป็นส่วนใหญ่ ต่อมา แนวคิดของกลุ่มนี้ได้พัฒนาเป็น “ปัญญานิยม” เนื่องจากแนวคิดที่ว่า การศึกษาพฤติกรรมต้องศึกษาจาก กระบวนการรบั รู้และการคิดในสมองซงึ่ เป็นตัวสั่งการให้เกดิ พฤตกิ รรม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง กลุ่มจิตวเิ คราะห์ (Psychoanalysis) แนวคิดจิตวิเคราะห์เริ่มต้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยมี ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud; ค.ศ.1856 - 1939) เป็นผู้ก่อตั้ง ฟรอยด์เป็น จิตแพทย์ มีบ้านเกิดที่เมืองฟรายเบิร์ก ประเทศเชกโกสโลวาเนีย แต่ส่วน ใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ใน กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียฟรอยด์เป็นแพทย์ด้าน ประสาทวิทยาในปี ค.ศ. 1886 ฟรอยด์เริ่มสนใจด้านจิตเวชและได้เริ่มต้น งานบำบดั ทางจิตเวชกบั ผู้ป่วยฮิสทเี รีย โดยฟรอยดพ์ บวา่ ผปู้ ว่ ยมีอาการดขี ้ึน จากการพูดคุยเพื่อการบำบัด (Talking cure) จากประสบการณ์ดังกล่าว ฟรอยด์ได้พัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ฟรอยด์เชื่อว่า ม น ุ ษ ย ์ ม ี แ ร ง ข ั บ ท า ง ส ั ญ ช า ต ญ า ณ ซ ึ ่ ง ต ิ ด ต ั ว ม า แ ต ่ ก ำ เ น ิ ด ซ ึ ่ ง ก ็ คื อ “สัญชาตญาณการมีชีวิต (Libido)” และ “สัญชาตญาณแห่งความตาย (Death instinct)” พลังนี้กระตุ้นให้มนุษย์มีพฤติกรรมต่างๆ พลังนี้มี อิทธิพลเหนือสติปัญญานั่นคือ มนุษย์มักใช้สัญญาตญาณมากกว่าเหตุผลใน ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/ การดำเนินชวี ติ พฤติกรรมสว่ นใหญ่ของมมนษุ ยเ์ กดิ จากแรงขบั ภายในและ Sigmund_Freud ปมปัญหาของแต่ละบุคคลซึ่งบุคคลจะมีความรู้ตัวน้อยมากรวมถึงไม่สามารถควบคุมแรงขับดังกล่าวได้จาก ประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยในคลินิกของเขา ฟรอยด์ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ป่วยบางประเภทที่ไม่สามารถค้นหา สาเหตุทางกายได้ ด้วยเหตุดังกล่าวฟรอยด์จึงสนใจการบำบัดรักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวโดยใช้การวิเคราะห์ทาง จิต ฟรอยด์เชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของอาการเหล่าน้ีก็คือ ความขัดแยง้ ทางจิต ซึ่งถูกผลักดันไปในบางสว่ นของ จิต ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า จิตไร้สำนกึ (unconscious) โดยฟรอย์ได้พัฒนาวิธีการระบายความในใจอย่างเสรี (free association) เพอื่ หาสาเหตขุ องพฤติกรรมทีเ่ ป็นปญั หาทง้ั หลายอนั จะเป็นแนวทางในการบำบดั รักษาตอ่ ไป เนื่องจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์นั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานการรักษาผู้ป่วยจิตเวช อีกทั้งการศึกษาของกลุ่มจิต วิเคราะห์ยังเน้นศึกษาเรื่องจิตไร้สำนึก ทำให้แนวความคิดของฟรอยด์นั้นค่อนข้างถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการ นำมาใช้กับบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ทฤษฎีของฟรอยด์ยังมองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ร้าย เช่น “พฤติกรรม ของมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความก้าวร้าวและความต้องการทางเพศที่เก็บกดอยู่ภายใน”ซึ่งการมอง ธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ร้ายทำให้นักวิชาการจำนวนหนึ่งไม่สามารถยอมรับในทฤษฎีของฟรอย์ได้ (Coon & Mitterer,2012; อรพิน สถิรมน, 2562; สทิ ธิพงศ์ วฒั นานนท์สกลุ , 2557)

28 อยา่ งไรกต็ ามแนวคดิ ของกลุ่มจิตวเิ คราะห์ถือไดว้ ่าเปน็ พ้ืนฐานในการศกึ ษาด้านบุคลกิ ภาพและทำให้เกิด การสร้างทดสอบทางจิตวิทยาแบบสะทอ้ นภาพ (Projective test) ในเวลาต่อมา จิตวิเคราะห์ในภายหลังได้พัฒนาและแตกแขนงออกเป็นหลายสาย ลูกศิษย์ของฟรอย์บางส่วนก็ได้ พัฒนาทฤษฎีของตนเองในภายหลัง บางส่วนก็ยังยึดถือทฤษฎีของฟรอย์โดยได้นำทฤษฎีของฟรอยด์มาปรับแก้ และพัฒนาต่อยอดในบางส่วน (กลุ่มนักจิตวิทยาร่วมสมัย: neo - Freudians) โดยกลุ่มนักจิตวิทยาร่วมสมัยซงึ่ เชื่อในแนวคิดของจิตวิเคราะห์ เช่น แอดเลอร์ (Alfred Adler ค.ศ. 1870 - 1937) คาร์ล จุง (Carl Jung ค.ศ. 1875 - 1961) และกลุ่มนักจิตวิเคราะห์รุ่นหลัง เช่น อีริค ฟรอมม์ (Erich Fromm ค.ศ. 1900 -1980) คาเรน ฮอรน์ าย (Karen Horney ค.ศ. 1885 -1952) และแฮร่ี สแตค ซัลลิแวน (Harry Stack Sullivan ค.ศ. 1892 - 1949) เป็นต้น (อรพนิ สถริ มน, 2562) กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) ในช่วงการก่อตั้งศาสตร์จิตวิทยา วิลเฮล์ม วุนด์ และ วิลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ทำให้จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ โดย วุนด์ และ เจมส์ ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาสิ่งที่อยู่ในจิตสำนึก (Consciousness) ต่อมา ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้พัฒนาทฤษฎีท่ีใหค้ วามสำคัญกบั การศกึ ษาทั้งจิตสำนึกและจิตไร้ สำนกึ จากนัน้ ในชว่ งกอ่ นสงครามโลกครง้ั ท่ี 1 จอหน์ บี วัตสัน จอห์น บี วัตสนั (John B. Watson; ค.ศ. 1878 – 1958) และ บี เอฟ สกินเนอร์ (B. F. Skinner; ค.ศ. 1904 - 1990) ได้พัฒนาแนวคิดพฤติกรรมนิยมขึ้น โดย มีพื้นฐานแนวคิดมาจากงานของอิวาน พาฟลอฟ (Ivan pavlov; 1849–1936) และ วลาดีมีร์ เบฮ์เจเรฟ (Vladimir Mikhailovich Bekhterev; 1857-1927) แนวคิดพฤติกรรมนิยมได้ทำให้นิยามของจิตวิทยาได้ถูก เปลี่ยนเป็นวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรม กล่าวได้ว่าจิตวิทยาได้เปลี่ยนจากจิตนิยม (mentalism) มาเป็น พฤติกรรมนิยม (behaviorism) ซึ่งมุ่ง อธิบาย ทำนาย และควบคุมรูปแบบพฤติกรรมของอินทรีย์ (อรพิน สถริ มน, 2562; สทิ ธพิ งศ์ วัฒนานนท์สกลุ , 2557) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพท่ี 10 จอห์น บี วัตสัน จอหน์ บี วัตสัน ภาพที่ 11 บี เอฟ สกินเนอร์ (B. F. Skinner; (John B. Watson; ค.ศ. 1878 – 1958) ค.ศ. 1904 - 1990) ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ ที่มา: https://myhero.com/B_Skinner_dnhs John_B._Watson _sh_US_2017_u

29 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงภาพที่ 12 วลาดมี ีร์ เบฮเ์ จเรฟ (Vladimir M.ภาพท่ี 13 อิวาน พาฟลอฟ Bekhterev; 1857-1927) (Ivan pavlov; 1849–1936) ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ ท่ีมา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Vladimir_Bekhterev Ivan_Pavlov กลุ่มพฤติกรรมนิยมนั้นสนใจและมุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สามารถมองเห็นและวัดได้เท่านั้น นักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยมใช้วิธีการศึกษาพฤติกรรมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมักจะ ศึกษาสิ่งเร้าและการตอบสนองของอินทรีย์โดยใช้สัตว์ทดลอง (Benjafield, 2010) ถึงแม้นักจิตวิทยากลุ่ม พฤติกรรมนิยมจะไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษากระบวนการทางจิตที่ทำให้เกิดพฤติกรรม แต่การศึกษาสิ่งเรา้ และการตอบสนองของอินทรีย์นั่นสามารถสังเกตเห็นได้ชัดและวัดค่าออกมาได้จึงทำให้จิตวิทยาได้รับการ ยอมรับว่าเป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์บริสุทธ์มากกว่าเป็นสาขาย่อยของวิชาปรัชญา (Coon &Mitterer, 2013) ในเวลาต่อมาแนวคิดพฤตกิ รรมนิยมยังคงถกู วิพากษ์วา่ ละเลยกระบวนการท่เี กิดในตวั บคุ คล และสนใจ เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) เป็นนักภาษาศาสตร์ได้ วิพากษ์วิจารณแ์ นวคดิ พฤตกิ รรมอยา่ งตอ่ เนือ่ งโดย ชอมสกีเช่ือว่า การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ เร้ากับการ ตอบสนองไม่สามารถอธิบายกระบวนการเรียนรู้และพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์ได้โดยเฉพาะอย่างย่ิง กระบวนการเรียนรู้ด้านภาษานอกจากชอมสกีแล้ว ก็ยังมีนักวิทยาจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิด พฤติกรรมนิยมทั้งหมดเช่นกัน เช่น จูเลียน รอตเตอร์ (Julian Rotter ค.ศ. 1916 –2014) และ อัลเบิร์ต แบน ดูรา (Albert Bandura ค.ศ. 1925 – ปัจจุบัน) ทั้งสองเป็นนักจิตวิทยาที่มีบทบาทสำคัญในปรับเสริมแนวคิด พฤติกรรมนิยมโดยได้นำแนวคิดเรื่องการรู้คิด (Cognition) มาเสริมในการอธิบายกระบวนการเรียนรู้ซึ่งได้ พัฒนาเปน็ แนวคดิ จิตวทิ ยาการร้คู ดิ ในภายหลงั (อรพิน สถริ มน, 2562)

30 แนวคดิ จิตวทิ ยามนุษยนิยม (Humanistic Psychology) แนวคิดมนุษยนิยมเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แนวคิดมนุษยนิยมมอง ธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดี เชื่อว่ามนุษย์มีความใฝ่ดีและมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์ทุกคนมี แรงจงู ใจทีจ่ ะพฒั นาตนเองให้เป็นมนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณแ์ นวคิดมนษุ ยนิยมเปน็ แนวคดิ ท่ไี ด้รบั การยอมรับมากเช่นกัน โดยเฉพาะในวงการให้คำปรึกษาและ วงการศึกษา นักจิตวิทยาคนสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ อับราฮัม เอช. มาส โลว์ (Abraham H. Maslow; ค.ศ. 1908 - 1970) และคาร์ล อาร์ โรเจอร์ (Carl R. Rogers; ค.ศ. 1902 - 1987) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพท่ี 14 อับราฮัม เอช. มาสโลว์ ภาพที่ 15 คารล์ อาร์ โรเจอร์ (Abraham H. Maslow; ค.ศ. 1908 - 1970 (Carl R. Rogers; ค.ศ. 1902 - 1987) ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/ Abraham_Maslow Carl_Rogers โดยแนวความคิดของกลุ่มมนุษยนิยมอาจสรุปเป็นแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ได้ดังน้ี (Coon & Mitterer,2012; อรพิน สถิรมน, 2562; สทิ ธิพงศ์ วัฒนานนทส์ กลุ , 2557) 1. มนุษย์เป็นส่ิงที่มชี ีวิตที่มีเนื้อแท้คือความดี มนุษย์มีความเป็นเฉพาะของแต่ละบคุ คล มีต้องการด้าน ตา่ งๆ เชน่ ความรกั ความอบอุ่น ความเข้าใจ ทแี่ ตกตา่ งกนั 2. มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะเข้าใจตนเองและต้องการพัฒนาตนเองไปสู่การเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ (self-actualization) รวมท้งั ยอมรับในศักยภาพของตนเอง 3. ถ้ามนุษย์สามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่น ยอมรับตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขได้เมื่อไร จะเกิด ความพยายามที่จะพัฒนาตนเองไปถึงข้นั สูงสดุ ของความเปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ 4. เนอื่ งจากมนุษย์มธี รรมชาตทิ ต่ี ้องการจะพฒั นาตนเองอยูแ่ ลว้ ดงั นนั้ มนษุ ยท์ ุกคนจงึ ควรไดร้ บั โอกาส มนุษย์ทุกคนมีอิสระในการที่จะเลือกกระทำในสิ่งที่ตนต้องการ สามารถตัดสินใจที่จะเลือกหนทางในการ แกป้ ญั หาใหก้ บั ตนเองและรบั ผดิ ชอบผลจากการกระทำของตนเอง

31 5. ความรู้และข้อเท็จจริงทั้งหลายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและประสบการณ์ส่วนบุคคล ดังน้นั สง่ิ ท่ีจะเป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเองของมนษุ ยจ์ งึ อยทู่ ีว่ ิธีการแสวงหาความรูใ้ ห้กับตนเอง แนวคิดจากกลุ่มมนุษยนิยมเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในการใช้เพื่อการพัฒนาศักยภาพบุคคลโดย ให้ความสำคัญกับเสรีภาพ ความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นให้บุคคลมองตนเองในด้านบวก ยอมรับตนเอง และนำข้อดีของตนเองมาใช้ประโยชน์ให้เต็มศักยภาพเน้นให้บุคคลรักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษ ย์ของตนเอง สร้างสรรค์สิ่งดีให้ตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสู่การมองผูอ้ ื่นในด้านบวก การยอมรับคนอื่นเสยี สละให้แกผ่ ู้อื่น พร้อม ทั้งมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม จากเนื้อหาก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าศาสตร์ทางจิตวิทยาเริ่มจากการศึกษาในเรื่องของวิญญาณ (Souls) จากนั้นศึกษาเรื่องของจิต (Mind) ต่อมาจึงมีการศึกษาจิตวิทยาในรูปแบบของวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง โดย เน้นศึกษาพฤติกรรม ดังนั้น จิตวิทยาจึงมีความมายว่า “ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของอินทรีย์โดยใช้ ระเบียบวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งพฤติกรรมในที่นี้หมายความรวมทั้งพฤติกรรมภายนอก (พฤติกรรม ที่มองเห็น เช่น ลุก นั่ง ยืน เดิน) และ พฤติกรรมภายใน (พฤติกรรมที่อยู่ภายใน เช่น ความคิดจิตใจซึ่งเป็น ตวั กำหนดพฤตกิ รรมภายนอก มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

32 ใบกจิ กรรมที่ 1 คำชี้แจง 1. จงอธิบายแนวคิดของนักจิตวิทยากลมุ่ จติ วเิ คราะห์ (Psychoanalysis) มาโดยสงั เขป 2.จงอธบิ ายแนวคิดของนกั จิตวิทยากลมุ่ กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) มาโดยสังเขป 3. จงอธบิ ายแนวคดิ ของนักจิตวทิ ยากลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Psychology) มาโดยสังเขป มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เอกสารอา้ งอิง Benjafield, J. G. (1996). A history of psychology. Allyn & Bacon. Coon, D., & Mitterer, J. O. (2012). Introduction to psychology: Gateways to mind and behavior with concept maps and reviews. Cengage Learning. สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล. (2557). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสตร์จิตวิทยา. เอกสารประกอบการสอนวิชา จต 102 จติ วิทยาพ้นื ฐาน, กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ สุนิสา วงศ์อารีย์. (2559). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา. เอกสารประกอบการสอนวิชา ED15101 จิตวิทยาสำหรับครู. อุดรธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17k571811058953fF15F.pdf อรพิน สถิรมน. (2562). แนวความคิดทางจิตวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2564 จากhttps://ebook.lib.ku.ac.th/ebook27/ebook/2019RG0169/ files/basic-html/page1.html

33 แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 3มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทฤษฎีจติ วทิ ยาพัฒนาการ ผ้สู อน - อาจารยต์ น้ สาย แก้วสว่าง เวลา - 12 ช่วั โมง (3 สปั ดาห)์ วตั ถุประสงค์ 1. อธิบายความหมายและความสำคญั ของจติ วทิ ยาพัฒนาการได้ 2. ระบปุ ัจจยั ทม่ี ีอิทธิพลตอ่ พัฒนาการของบุคคลได้ 3. จำแนกประเภทของพัฒนาการได้ 4. อธิบายหลกั ของพัฒนาการได้ 5. อธบิ ายทฤษฎพี ัฒนาการได้ เน้อื หา 1. ความหมายและความสำคญั ของจติ วทิ ยาพฒั นาการ 2. องคป์ ระกอบของพฒั นาการ 3. ลกั ษณะของพฒั นาการ 4. หลักธรรมชาตขิ องพฒั นาการ 5. ทฤษฎพี ฒั นาการตามแนวคดิ ของนักจิตวิทยา 5.1 ทฤษฎีของ ซกิ มันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud; ค.ศ.1856 - 1939) 5.2 ทฤษฎพี ฒั นาการทางเชาวน์ปัญญาของเเพียเจต์ (Jean William Fritz Piaget; ค.ศ.1896 - 1980) 5.3 ทฤษฎพี ฒั นาการทางทางจติ สงั คมของอีริคสัน (Erik Homburger Erikson; ค.ศ.1902 - 1994) 5.4 ทฤษฎีพฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg; ค.ศ.1972 - 1987)

34 การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ 20 นาที * 3 สปั ดาห์ 170 นาที * 3 สัปดาห์ 1. แจ้งวตั ถปุ ระสงค์และแจ้งขอบเขตเนื้อหา 30 นาที * 3 สัปดาห์ 2. สอนบรรยายเนอ้ื หาหวั ขอ้ ต่างๆ 20 นาที * 3 สัปดาห์ 3. อภิปรายรว่ มกัน 4. ตอบถำถามและข้อสงสยั สื่อการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. Power point presentation การประเมินผล 1. กจิ กรรมท้ายบท มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 35 หวั ขอ้ การสอนท่ี 3 จติ วิทยาพัฒนาการ ตลอดอายุขัยของมนุษย์ ชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆตามวัยที่ผ่านไปนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง เสยี ชีวติ การเปลย่ี นแปลงนี้จะครอบคลุมท้ังทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และจรยิ ธรรม ซึ่งในแต่ ละช่วงวัยจะมีเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป การที่จะส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลในแต่ละวัยได้อย่าง เหมาะสมจำเป็นต้องเขา้ ใจเรือ่ งพัฒนาการว่ามนษุ ยม์ กี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งไรในวยั ใด อาชีพครูมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนและการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้มีคุณภาพ ดังนั้นครูจึง จำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการเป็นอย่างยิ่งเพราะพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละวัย แตกต่างกัน การจัดการเรียนการสอนบนพื้นฐานของความเข้าใจและสอดคล้องกับพัฒนาการจะทำให้ผู้เรียนมี พัฒนาการที่ดี เรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จตามเป้าหมายของการศึกษา อยา่ งย่งิ 1.ความหมายและความสำคญั ของจติ วทิ ยาพฒั นาการ คำว่า พัฒนาการ (development) ในความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป หมายถึงความเจริญงอกงามและ การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ในทางด้านจิตวิทยาแล้ว พัฒนาการหมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลง (process of change) ในด้านต่างๆ เช่น ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และ จริยธรรม ของบุคคลอย่างมี ข้ันตอนและเป็นระเบยี บแบบแผนอย่างต่อเนอื่ งตั้งแตอ่ ยใู่ นครรภ์มารดาจนกระทัง่ ถงึ วยั ชรา โดยมากการ เปลย่ี นแปลงจะเป็นการเปลยี่ นแปลงในเชิงคุณภาพเพือ่ ใหบ้ คุ คลนัน้ พรอ้ มจะแสดงความสามารถทางพฤติกรรม ที่เหมาะสมกบั วยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นไปได้ทั้งทางบวก (positive) ได้แก่ การเจริญงอก งาม (growth) และทางลบ (negative) ได้แก่ ความเสื่อม (deterioration) ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ (สนุ ิสา วงศอ์ ารยี ์, 2559; สทิ ธพิ งศ์ วฒั นานนทส์ กลุ , 2557) ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าครูจำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ ความรู้ในเรื่อง จิตวทิ ยาพฒั นาการจะเป็นประโยชนต์ อ่ การจัดการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมกบั ธรรมชาตขิ องผู้เรยี นช่วยให้การ ส่งเสริมบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอกล่าวสรุปถึงความสำคัญของการศึกษาทฤษฎีจิตวิทยา พฒั นาการดังน้ี (วชริ ะ พิมพท์ อง, 2563; สุนิสา วงศอ์ ารยี ,์ 2559) 1. ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติของผู้เรียนและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนทำให้ สามารถสง่ เสรมิ พฒั นาการใหผ้ เู้ รยี นมคี วามพรอ้ มและสามารถเรียนรูไ้ ด้อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ 2. ช่วยให้ครูสามารถปรับตัวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย และ สามารถลดความขดั แยง้ ที่อาจเกิดขนึ้ เน่ืองจากปัญหาความแตกตา่ งกันระหว่างวัย 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนและบริหารชั้นเรียนได้ตรงกับตามความต้องการของผู้เรียน ได้มากย่ิงขน้ึ ส่งผลให้ผ้เู รยี นมคี วามสขุ ในการเรียนรู้และสามารถเรียนรูไ้ ดอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพมากย่งิ ขึ้น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 36 2.องค์ประกอบของพัฒนาการ พฒั นาการในด้านต่างๆ ของบุคคลจะสมบรู ณ์ได้นน้ั จำเปน็ จะต้องอาศยั องคป์ ระกอบสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (สุนิสา วงศ์อารยี ์, 2559; สทิ ธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล, 2557; ศรเี รอื น แกว้ กังวาล, 2549) 1.วุฒิภาวะ (maturation) หมายถึง ศักยภาพที่เด็กแสดงออกมาในเวลาอันสมควรซึ่งเกิดจาก การ เจริญเติบโต (growth) ของโครงสร้างทางร่างกายและอวัยวะต่างๆ อย่างมีระเบียบแบบแผนเป็นไปตามลำดับ ขั้น (sequences) ตามธรรมชาติวุฒิภาวะเป็นศักยภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้หรือ ประสบการณ์ เช่น เด็กสามารถนั่งได้เมื่ออายุ 6 เดือน ยืนได้เมื่ออายุ 10 เดือน ซึ่งก่อนที่เด็กจะมีพัฒนาการใน การยืนได้นั้น ทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อขาของเด็กจะต้องเกิดการเจริญเติบโตจนพร้อมที่จะรับน้ำหนักส่วนบน ของร่างกายเสียก่อนเดก็ จึงจะสามารถยืนได้ กล่าวคือพัฒนาการด้านตา่ งๆ ของบุคคลนัน้ จะเกิดขึน้ ได้ตอ้ งมวี ฒุ ิ ภาวะเป็นพนื้ ฐานท้ังส้นิ 2.การเรยี นรู้ (learning) หมายถึงการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมที่ค่อนขา้ งคงทนและถาวร โดยพฤติกรรม ดังกล่าวต้องเกิดมาจากการฝึกหัดหรือประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ ตัวอย่างพฤติกรรมการเรียนรู้ เช่น การป่ัน จักรยาน การวา่ ยนำ้ การพิมพด์ ดี รวมไปถงึ การเรยี นรใู้ นวชิ าตา่ งๆ เป็นต้น พัฒนาการเป็นผลของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างวุฒิภาวะและการเรียนรู้ กล่าวคือ วุฒิภาวะมี ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง ความสามารถหรือศักยภาพบางอย่าง อาจไม่เกิดขึ้นหรือเกิดช้ากว่าที่ควร เช่น ความสามารถในการใช้ภาษา เด็กที่มีวุฒิภาวะในการพูดจะสามารถ เปล่งเสียงพูดออกมาได้เอง แต่ถ้าไม่ได้รับการสอนภาษาพูดก็จะใช้ภาษาพูดไม่ได้เลย ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะในการพูด ถึงแม้ว่าจะได้รับการเคี่ยวเข็ญฝึกภาษาพูดมากสักเพียงใดก็ไม่ อาจพูดได้ หาก เด็กยังไม่พัฒนาถงึ วุฒิภาวะนั้น ดังที่ ฌ็อง วีลียาม ฟริตส์ ปียาแฌ (Jean William Fritz Piaget; ค.ศ. 1896 – 1980) หรือ ที่นักวิชาการไทยนิยมเรียกว่า “เพียเจต์”กล่าวว่า “เราไม่มีทางแยกวุฒิภาวะกับการเรียนรู้ออก จากกันได้โดยเด็ดขาด” วุฒิภาวะเป็นความพยายามขั้นต้นของสิ่งมีชีวิตในการจัดระบบเพื่อเตรียมหา ประสบการณ์ต่างๆ ในการนำมาใช้ประโยชน์ให้กับตนเอง ส่วนการเรียนรู้เป็นการเพิ่มความชำนาญให้กับ ประสบการณ์นน้ั ๆ จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลแต่ละคนมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองตามกำหนดเวลาเฉพาะ ของพัฒนาการนั้นๆ โดยธรรมชาติเด็กจะมีวุฒิภาวะในด้านต่างๆเป็นไปตามลำดับขั้นตามธรรมชาติโดยมี สภาพแวดล้อมช่วยเสริมต่อการเรียนรทู้ ำให้พฒั นาการให้สมบูรณ์ยิ่งข้นึ ชว่ งเวลาท่เี ดก็ สามารถพฒั นาได้อย่างมี ประสิทธิภาพเต็มที่นี้ เรียกว่า ระยะพอเหมาะ (Optimal Period) ลักษณะพฤติกรรมที่เด็กสามารถแสดงออก เมอื่ อยู่ในข้ันพัฒนาการนั้นๆ เรียกวา่ พฒั นาการตามวยั (Developmental task) เดก็ ทีแ่ สดงพฤติกรรมตามขั้น พฒั นาการไดพ้ อเหมาะกับวัยถอื ว่ามพี ฒั นาการสมวัย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 37 3.ลักษณะของพัฒนาการ โดยทั่วไปนักวิชาการมักจะแบ่งพัฒนาการออกเป็นด้านต่างๆ 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และ สตปิ ญั ญา (สุนสิ า วงศอ์ ารีย์, 2559; สิทธพิ งศ์ วฒั นานนทส์ กุล, 2557; ศรเี รอื น แกว้ กงั วาล , 2549) 1. พฒั นาการด้านรา่ งกาย (Physical Development) หมายถึง การเปล่ยี นแปลงท่เี ก่ยี วกับโครงสร้าง ทางร่างกายทั้งหมด อาทิ การเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพ (เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง รูปร่าง) ความสามารถในการใช้ อวัยวะ(เช่น การใชก้ ลา้ มเน้ือมัดใหญ่ (Gross Motor Development) เช่น ว่งิ กระโดดปีนปา่ ย)และการทำงาน ประสานสัมพันธ์กันระหว่างอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย(เช่น การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมือและตาประสานกัน ในการทำกิจกรรมตา่ งๆ (Fine Motor - Adaptive Development) เชน่ ระบายสีจบั ชอ้ นตดิ กระดุม) 2. พฒั นาการดา้ นอารมณ์ (Emotional Development) หมายถึงการเปลยี่ นแปลงทีเ่ กย่ี วกบั ความใน สามารถดา้ นการแสดงความรู้สึกและควบคมุ การแสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสม ในอารมณต์ ่างๆ 3. พัฒนาการด้านสังคม (Social Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่ีเกี่ยวกับความสามารถ ด้านการปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอื่นเข้าใจผู้อื่น (personal-social) การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ใน สังคมท่ีตนเปน็ สมาชกิ อยู่ด้วยและการร้จู ักผดิ ชอบช่ัวดพี ัฒนาการด้านสังคมประกอบดว้ ย พัฒนาการดา้ นสังคม (Social Development) และพัฒนาการดา้ นคุณธรรม (Moral Development) 4. พัฒนาการด้านสติปัญญา (Cognitive Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับ ความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆกับตนเอง เป็นกระบวนการทางจิตใจ ( mental processes) ที่บุคคลใช้คิด เรียนรู้ หาเหตุผล แก้ไขปัญหา และสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย พัฒนาการด้านภาษา (Language Development) และพฒั นาการด้านกลา้ มเนอื้ มดั เลก็ (Fine Motor Development) พัฒนาการทั้ง 4 ด้านของบุคคลนั้นไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาดเพราะทุกบุคคลจะมี พัฒนาการในทุกด้านและพัฒนาการแต่ละด้านจะสัมพันธ์กันโดยตลอด การแบ่งพัฒนาการออกเป็นด้านๆ น้ี แบ่งเพยี งเพื่อสะดวกแก่การอธบิ ายเทา่ นน้ั 4.หลกั ธรรมชาตขิ องพฒั นาการ การที่จะทำความเข้าพัฒนาการได้ดีนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจหลักธรรมชาติของของพัฒนาการ (principle of development) ซึ่งหลักธรรมชาติของพัฒนาการมนุษย์ สรุปได้ดังนี้(สุนิสา วงศ์อารีย์, 2559; สทิ ธพิ งศ์ วัฒนานนท์สกลุ , 2557; ศรีเรือน แกว้ กงั วาล, 2549) 1.พฒั นาการของมนษุ ย์จะมีทิศทางเฉพาะ (Principle of Directions) แนวโนม้ ของพฒั นาการอวยั วะ เคลื่อนไหวในรา่ งกายแบ่งได้เปน็ 2 ทศิ ทาง ดังน้ี 1.1 ทิศทางจากส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง (cephalocaudal law) เป็นการพัฒนาในแนวดิ่ง โดย ยึดศีรษะเป็นอวัยวะหลัก กล่าวคือ อวัยวะใดก็ตามที่อยู่ใกล้ศีรษะมากที่สุด บุคคลจะสามารถควบคุมการ ทำงานของอวัยวะสว่ นน้นั ไดก้ ่อนอวยั วะทอ่ี ยู่ไกลศรี ษะลงไป ดงั น้นั เดก็ ทารกจะขยบั ศรี ษะไดก้ ่อนขยับลำคอ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 38 ขยับลำคอได้ก่อนต้นขา ขา ฝ่าเท้า และ นิ้วเท้า ตามลำดับ ในวัยทารกพัฒนาการจะเกิดที่ศีรษะมากกว่า ร่างกายแต่สัดส่วนพัฒนาการของศีรษะต่อร่างกายในช่วงหลังจากวัยทารกจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงวัยผู้ใหญ่ ร่างกายจะมกี ารเตบิ โตมากกวา่ ศีรษะเม่อื เทียบสัดสว่ นกัน ดังภาพแสดงท่ี 1 ภาพท่ี 1 แสดงการเปลยี่ นแปลงรูปรา่ งและสดั ส่วนของมนษุ ย์ ทมี่ า: https://vlastra.ru/es/thrush/when-the-adolescent-begins-to-grow-a-sexual- organ-sexual-maturation-in-boys.html 1.2 ทิศทางจากสว่ นกลางไปสสู่ ่วนรมิ (proximodistal law) เปน็ การพัฒนาในแนวขวาง โดย ยึดลำตัวเป็นอวัยวะหลัก กล่าวคือ อวัยวะใดก็ตามที่อยู่ใกล้แกนกลางลำตัวมากที่สุด บุคคลจะควบคุมการ ทำงานของอวัยวะส่วนนั้นได้ก่อนอวัยวะที่อยู่ส่วนริมของร่างกาย ดังนั้นเด็กทารกจะขยับลำตัวได้ก่อนหัวไหล่ ขยบั หัวไหลไ่ ดก้ อ่ นขยบั แขน ขา ฝ่ามือ และ นิว้ มือ ตามลำดบั 2. พัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการต่อเนื่อง(Principle of Continuity) พัฒนาการของมนุษย์ นับตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นทารกและพัฒนาไปสู่วัยชรานั้นเป็นกระบวนการต่อเนื่องกัน พัฒนาการจะพัฒนาต่อเนื่องไปทีละขั้นตอน จะไม่ข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งและจะไม่หยุดชะงักอยู่ในช่วง ระยะใดระยะหนึ่งเว้นแต่เกิดการเจ็บป่วยขึ้น และเมื่อร่างกายสุขภาพดีดังเดิมแล้วพัฒนาการก็จะยังคงพัฒนา ต่อเนื่องเป็นขั้นตอนเรื่อยไป เนื่องพัฒนาการของมนุษย์จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พัฒนาการในแต่ละช่วงวัยจึง ส่งผลต่อพัฒนาการในวัยต่อไปเสมอ ดังนั้นวัยทารกและวัยเด็กซึ่งเป็นช่วงต้นของชีวิตจึงเป็นวัยที่มีบทบาท สำคญั ต่อการสรา้ งพ้ืนฐานทางพฒั นาการในดา้ นต่างๆ ของบุคคล

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 3. พัฒนาการของมนุษย์เป็นไปตามลำดับขั้น ( Principle of Developmental Sequence) พัฒนาการของมนุษย์นั้นจะมีแบบแผนเฉพาะ กล่าวพัฒนาการด้านต่างๆของมนุษย์มักจะเป็นไปตามลำดับข้ัน เสมอและจะไม่มีการข้ามขั้น เช่น เด็กจะเริ่มพัฒนาการจากหงาย คว่ำ คืบ คลาน นั่ง ยืน เดิน และวิ่ง เป็นต้น เด็กทุกคนจะสามารถแสดงพัฒนาการดังกล่าวได้เองตามธรรมชาติ เพียงแต่จะมีความช้าหรือเร็วในการเปลี่ยน พฒั นาการแตล่ ะข้นั แตกตา่ งกัน แต่เด็กทุกคนจะมีลำดับพฒั นาเหมือนกนั คอื หงาย ควำ่ คืบ คลาน นั่ง ยนื เดนิ และวงิ่ ไมส่ ามารถมพี ฒั นาการขา้ มขั้นเช่นการว่งิ ได้ก่อนยืน 4.พัฒนาการของมนุษย์ต้องอาศัยวุฒิภาวะและการเรียนรู้ ( Principle of Maturation and Learning) พัฒนาการของบุคคลจะเกิดขึ้นได้บุคคลนั้นจำเป็นต้องมีวุฒิภาวะที่พร้อมจะแสดงพัฒนาการนั้นๆ และตอ้ งอาศัยการเรียนรผู้ า่ นการฝึกฝนและประสบการณ์พฒั นาการจึงจะเกดิ ความสมบูรณข์ น้ึ ได้ 5. พัฒนาการของมนุษย์แต่ละบุคคลมีอัตราแตกต่างกัน (Principle of Individual Growth Rate) อตั ราพัฒนาการของบุคคลแต่ละคนจะแตกตา่ งกนั เน่ืองจากแต่ละบคุ คลนน้ั จะมีวุฒิภาวะในเวลาที่แตกต่างกัน หลักธรรมชาติของพัฒนาการเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และอาจารย์เข้าใจ พัฒนาการของเด็กนำไปสู่การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติของ พฒั นาการ 5.ทฤษฎพี ัฒนาการตามแนวคิดของนกั จติ วทิ ยา ทฤษฎีพัฒนาการ (theories of development) เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ศึกษาสามารถทำ ความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในด้านต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยทฤษฎีพัฒนาการที่นักวิชาการให้ การยอมรับและควรศึกษาได้แก่ทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud; ค.ศ.1856 - 1939)ฌ็อง วีลี ยาม ฟริตส์ ปียาแฌ (Jean William Fritz Piaget; ค.ศ. 1896 – 1980)อีริค อีริคสัน(Erik Homburger Erikson; ค.ศ. 1902 – 1994) และ ลอเรนซ์ โคลเบริ ์ก (Lawrence Kohlberg;ค.ศ.1972 - 1987) 5.1 ทฤษฎีของ ซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud; ค.ศ.1856 - 1939) “ทฤษฎีจิตวิเคราะห์” เป็นทฤษฎีที่ถูกคิดค้นโดย ฟรอยด์ทฤษฎีจิตเคราะห์เป็นทฤษฎีที่ศึกษาเกี่ยวกับ สิ่งที่อยู่ภายใต้บุคลิกภาพของมนุษย์ แรงขับ ความขัดแย้ง การเรียนรู้ รวมทั้งพลังการขับเคลื่อนภายใน ซึ่ง ส่งผลต่อพฤตกิ รรมหรือการกระทำของมนษุ ย์ที่แสดงออกมาใหป้ รากฏ (ศรเี รือน แก้วกงั วาล, 2551) ฟรอยด์เชื่อว่าระยะแรกเกิดถึงห้าปีแรกซึ่งเรียกระยะนี้ว่าระยะวิกฤต (crisis period)เป็นระยะที่มี ความสำคัญต่อการสร้างบคุ ลกิ ภาพของมนษุ ยค์ วามตอ้ งการทางเพศและบคุ ลิกภาพของมนุษยเ์ ป็นสิ่งที่สมั พันธ์ กันโดยต้องอาศัยการพัฒนาที่ต่อเนื่องอย่างเป็นลำดับขั้นจนกลายเป็นบุคลิกภาพที่ถาวรในที่สุดซึ่งความเช่ือ ดังกล่าวได้พัฒนามาเป็นแนวคิด “พัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลกิ ภาพ(psychosexual stages of personality development)” ซงึ่ เป็นองคป์ ระกอบสำคญั ของทฤษฎจี ติ วิเคราะห์และ ยังถือได้ว่าเป็นรากฐาน ของทฤษฎีจติ วทิ ยาพัฒนาการอน่ื ๆ (ศรเี รือน แก้วกงั วาล, 2551)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 40 ผู้เขียนมีทัศนะว่า การจะทำความเข้าใจเพียงแนวคิดทฤษฎีพัฒนาการความต้องการทางเพศและ บุคลิกภาพซ่ึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึง่ ของทฤษฎีจติ วิเคราะหพ์ ียงอย่างเดยี วนั้นอาจทำให้ผู้ศึกษาไม่สามารถ เขา้ ใจแนวคดิ ดงั กล่าวได้อย่างถอ่ งแทแ้ ละไมเ่ พยี งพอตอ่ การทำความเข้าใจบคุ คล ดงั นัน้ ในเอกสารประกอบการ สอนฉบับนี้ผู้เขียนจึงจะใส่เนื้อหาของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ส่วนอื่นๆซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็น “พฒั นาการ” ไว้ 6 ส่วน ดังน้ี 1.สัญญาตญาณ (instinct) 2.ระดบั ของจติ (levels of awareness) 3.โครงสรา้ ง ของจิต (Structure of Personality)4.พัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพ(psychosexual stages of personality development) 5.ความหวาดกังวล (Anxiety) และ 6.กลไกป้องกันจิต (defense mechanism) 1.1 สญั ญาตญาณ (instinct) ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณ (instinctual drive) ซึ่งแรงขับดังกล่าว เป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้ ความเชื่อดังกล่าวนำไปสู่แนวคิดที่ว่าจิตเป็นพลังงาน รูปแบบหน่งึ สามารถเปลีย่ นแปลงและไมห่ ยดุ นงิ่ (dynamic) ตามแนวคิดของฟรอยด์ แรงขบั ทางสญั ชาตญาณประกอบไปด้วย 1.สัญชาตญาณแหง่ การมีชีวิต (eros or life) ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่แสดงออกมาเพือ่ การมีชีวิตอยู่ เช่นความหิว ความกระหาย ความปรารถนา การ ป้องกันตัวเองรวมถึงสัญชาตญาณทางเพศ (sexual Instinct) และ 2.สัญชาตญาณแห่งความตาย (thanatos or death instinct) เป็นสัญชาตญาณที่แสดงออกในการทำลาย หรือความก้าวร้าว (destructive instinct or aggressive instinct) (สุนิสา วงศอ์ ารีย,์ 2559; สทิ ธิพงศ์ วฒั นานนท์สกุล, 2557; ศรีเรอื น แก้วกงั วาล, 2549) 5.1.2 ระดบั ของจติ (levels of awareness) ฟรอยด์เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์สามารถแสดงออกในระดับของความรู้ตัว 3 ระดับ ได้แก่ 1.จิตสำนึก(Conscious mind) 2.จิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือ จิตกึ่งสำนึก (Preconscious mind) และ 3.จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) โดยมีรายละเอียดดังนี้ (Schultz, D. P., & Schultz, S. E., 2016; สนุ สิ า วงศ์อารยี ,์ 2559; สทิ ธพิ งศ์ วัฒนานนทส์ กลุ , 2557; ศรเี รอื น แก้วกังวาล, 2549) 1.จิตสำนึก(Conscious mind) เป็นระดับจิตที่แสดงออกโดยรู้ตัว บุคคลจะมีสติตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ มีความต้องการอย่างไร รู้สึกเช่นไร การแสดงพฤติกรรมจะ เป็นไปอย่างรู้ตัว (awareness) เป็นการแสดงออกอย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกับหลักของความเป็นจริงตาม สถานการณ์และเปน็ ทย่ี อมรบั 2.จิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือ จิตกึ่งสำนึก (Preconscious mind) เป็นระดับ จิตท่ีเปน็ ส่วนของ ความจำ ความรู้ และ ประสบการณ์ที่สะสมไว้ ซ่ึงโดยปกติบุคคลไม่ไดน้ กึ ถงึ แตเ่ มอ่ื ถูกกระตุ้น ก็สามารถละลกึ ได้ 3.จิตไรส้ ำนึก (Unconscious) เปน็ ระดบั ของจิตทีม่ บี ทบาทสำคัญในการแสดงพฤตกิ รรมของ มนุษย์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกตามหลักแห่งความพึงพอใจ เช่น ความต้องการทางเพศ ความก้าวร้าว ความกลัว ความเห็นแก่ตัว นอกจากนี้จิตไร้สำนกึ ยังเป็นระดับจิตที่เก็บประสบการณ์ตา่ งๆของบุคคลตั้งแตแ่ รก

41 เกดิ ซึง่ อาจเป็นประสบการณท์ ี่ไมพ่ งึ ประสงค์ เป็นความทกุ ขใ์ จในวยั เดก็ เช่น การอจิ ฉาพ่ีนอ้ ง การเกลียดพอ่ แม่ เป็นต้น และเนื่องจากจิตไรสำนึกเป็นระดับจิตที่บุคคลไม่รู้ตัวจึงเป็นระดับจิตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ บุคคล ทำให้บุคคลไม่สามารถรับรู้ถึงสิง่ ที่อยู่ภายในจิตไร้สำนกึ จิตไร้สำนึกมีอิทธิพลตอ่ การแสดงพฤติกรรมของ บุคคล กล่าวคือจิตไร้สำนึกเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังของพฤติกรรมมนุษย์ จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของบุลคล หลายๆพฤตกิ รรม เปน็ พฤติกรรมทไ่ี ม่ทราบสาเหตุ แมแ้ ตเ่ จ้าตวั ก็ไม่สามารถอธบิ ายสาเหตุของพฤตกิ รรมได้ จิต ไร้สำนึกยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เช่น ความฝัน การละเมอ การพูดพลั้งปาก ออกมาโดยไม่ตั้งใจนอกจากนี้จิตไร้สำนึกยังมีอิทธิพลต่อร่างกายของบุคคล เช่น เด็กที่เก็บกดการชอบความ รุนแรงทางเพศเมื่อโตมาอาจจะเปน็ บคุ คลท่ีไม่มคี วามร้สู ึกทางเพศท้ังท่รี ่างกายก็ไมม่ ีความผิดปกตอิ ะไร ตามแนวคิดของฟรอยด์ ระดับของจิตเปรียบได้กับภูเขาน้ำแข็ง (iceberg) ซึ่งส่วนยอดลอยโผล่พ้นผิวน้ำอยู่ เพียงเล็กน้อยแต่ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำนั้นมีขนาดใหญ่มหึมา (ดังรูปภาพที่ 3) ส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ลอยพ้นผิวนำ้ มานั้นเปรียบได้กับจิตสำนึก และส่วนที่อยู่ปริ่มน้ำเปรียบได้กับจิตใต้สำนึกหรือจิตกึ่งสำนึก และภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่อยู่ลึกลงไปใต้น้ำนั้นเปรียบเทียบได้กับจิตไร้สำนึก การที่เปรียบจิตสำนึกและจิตกึ่งสำนึกเป็นส่วนยอด และส่วนปริ่มน้ำนั้นเนื่องจากพฤติกรรมที่มนุษย์รู้ตัวนั้นเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพฤติกรรมที่เป็นผลจากการ ทำงานของจิตไรส้ ำนึกนน้ั และมนุษยไ์ ม่สามารถรับรู้ถึงแรงจูงใจสำนกึ นนั้ ภาพที่ 2 ภาพจำลองการระดบั ของจิตเปน็ ภูเขานำ้ แขง็ ทม่ี า: https://www.simplypsychology.org/Sigmund-Freud.html มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

42 5.1.3 โครงสรา้ งของจติ (Structure of Personality) ฟรอยด์เชื่อว่าบุคลิกภาพนั้นเป็นระบบที่อยู่ไม่นิ่ง (dynamic system) โดยพฤติกรรมของมนุษย์เกิด จากการทำงานของบุคลกิ ภาพ 3 ส่วน อันได้แก่ 1.อิด (Id) 2.อีโก้ (Ego) และ 3.ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย มีรายละเอียดดังน้ี (Schultz, D. P., & Schultz, S. E., 2016; สุนิสา วงศ์อารีย์, 2559; สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์ สกลุ , 2557; ศรีเรือน แก้วกังวาล, 2549) 1. อิด (Id) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่เป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และยังเป็นต้นกำเนิดบุคลภาพของบุคคล “อิด”ประกอบด้วยแรงขับตามสัญชาติญาณ (instinct) ที่ผลักดันให้ บุคคลตอบสนองความต้องการต่างๆตามสัญชาตญาณแห่งการมีชีวิต(อาทิ ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และ ความปรารถนาทางเพศ) และ สัญชาตญาณแห่งความตาย (อาทิ ความก้าวร้าวความรุนแรง และการ กระทำทางเพศ) ดังนั้น “อิด” จึงเป็นกลไกลดความเครียดของบุคคลไปในตัว การทำงานของ “อิด” เป็นไป ตามหลักความพึงพอใจ (pleasure principle) ที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมตามความเป็นจริง แต่เป็นไปใน ลักษณะการทำตามสัญชาตญาณ กล่าวคือ “อิด” จะผลักดันให้บุคคลทำทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจของตน ผลักดันให้บุคคลจะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงค่านิยมของสังคม ไม่มี เหตุผลไม่พจิ ารณาถึงความถูกต้องเหมาะสม การทำงานของ “อดิ ” จะอยู่ภายใตจ้ ิตไร้สำนึก (ดงั รปู ภาพที่ 2) 2.อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ทำหน้าที่ประสาน “อิด” กับ “ซุปเปอร์อีโก้” เพื่อให้ พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมามีความเหมาะสมกับความเป็นจริงและสอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคม การ ทำงานของ “อีโก้” เป็นไปตามหลักแห่งความเป็นจริง (reality principle) การทำงานของ “อีโก้” จะอยู่ ภายในระดับจิตสำนกึ เปน็ ส่วนใหญ่ (ดังรปู ภาพที่ 2) 3.ซุปเปอร์อีโก้ (superego) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ที่ยึดตามหลักแห่งมโนธรรม (Moral Principle) ตามแนวคิดของฟรอย์ “ซุปเปอร์อีโก้” สามารถแบ่งการทำงานได้เป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการมี มโนธรรม (conscience) ซึ่งพัฒนามาจากการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) โดยทั่วไปแล้ว “ซุปเปอร์อี โก้” ทำหน้าที่ผลักดันให้บุคคลคำนึงถึงมโนธรรม รู้สึกผิดเมื่อตนเองละเมิดหลักศีลธรรม ส่วนที่สองคืออุดมคติ แห่งตน (ego-ideal) ซึ่งจะทำให้บุคคลรับรู้ว่าสิ่งใดควรปฏิบัติเพื่อจะได้รับการยอมรับและชื่นชม อุดมคติแห่ง ตนพัฒนามาจากกลไกการเลียนแบบ (identification) จากบุคคลที่เคารพรักการทำงานของ “อิด” จะอยู่ใน จติ ไรส้ ำนกึ และบางสว่ นภายใต้จิตไรส้ ำนึก (ดงั รปู ภาพท่ี 3) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 43 ภาพท่ี 3 ตำแหน่การทำงานของง อดิ อโี ก้ และ ซปุ เปอร์อโี ก้ ในระดบั ของจติ ทม่ี า: https://www.pinterest.com/pin/776026579537314277/ 5.1.4 พฒั นาการความตอ้ งการทางเพศและบคุ ลกิ ภาพ (psychosexual stages of personality development) ฟรอยด์ เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความต้องการที่จะแสวงหาความสุขและความพึงพอใจ (pleasure principle) ให้กับตนเองจากอวัยวะส่วนต่างๆของรา่ งกายทมี่ คี วามไวต่อความรสู้ ึก ซงึ่ เรียกวา่ อีโรจี เนียส โซน (erogenous zone) โดยอวัยวะที่ตอบสนองความสุขและความพึงพอใจจะแตกต่างไปตามวัย และ มีการพัฒนาเป็นขั้นตอนตามลำดับ การได้รับการตอบสนองความสุขและความพงึ พอใจจาก อีโรจีเนียส โซน มี อิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล หากบุคคลใดได้รับการตอบสนองความสุขและความพึง พอใจจาก อีโรจีเนียส โซน ตามขั้นตอนของพัฒนาการด้วยดีบุคคลนั้นก็จะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ สมบูรณ์ แต่หากบคุ คลไม่สามารถตอบสนองความสขุ และความพงึ พอใจจาก อโี รจีเนียส โซน ได้ตามพัฒนาการ ที่ควรเป็น ก็จะเกิดสภาวะ “การชะงักงัน” (fixation) ซึ่งการชะงักงันอาจจะเกิดในพัฒนาการขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือหลายขั้นก็ได้ โดยบุคคลที่เกิดสภาวะชะงักงันก็จะยังต้องแสวงการตอบสนองความสุขและความพึงพอใจ จาก อีโรจีเนียส โซน ในขั้นเกิดภาวะชะงกั งนั อยู่ต่อไปแมว้ ่าจะผ่านวยั ของพฒั นาการขั้นน้ันๆ การชะงักงนั มีผล ต่อพฒั นาการด้านบุคลกิ ภาพในแง่ลบของบคุ คล (ศรีเรอื น แก้วกงั วาล, 2553)

44 ฟรอยด์ เชื่อว่าพื้นฐานของบุคลิกภาพน้ันถูกสร้างในช่วงพัฒนาการ 6 ขวบปีแรก ซึ่งเรียกระยะนี้ว่า ระยะวกิ ฤต (crisis period) ฟรอยดล์ ำดับพฒั นาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพตาม อีโรจเี นียส โซน ว่ามี 4 ขั้นได้แก่ 1. ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก (oral stage) 2.ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะทวาร หนกั (anal stage)3.ข้นั แสวงหาความสขุ จากอวยั วะเพศปฐมภมู ิ (phallic stage) และ 4. ข้ันแสวงหาความสขุ จากแรงกระตุ้นของทุติยะภูมิทางเพศนอกจากนี้ยังมีช่วง “แฝง (Latency)” ซึ่งเป็นช่วงที่บุคคลไม่มีความ ต้องการที่จะแสวงหาความสุขและความพึงพอใจจาก อีโรจีเนียส โซน โดยช่วงแฝงจะอยู่ระหว่างขั้นที่ 3การ แสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ และ ขั้นที่ 4 การแสวงหาความสุขจากแรงกระตุ้นของทุติยะภูมิทาง เพศซึ่งรายละเอียดของลำดับพัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพมีดังนี้ ( Schultz, D. P., & Schultz, S. E., 2016; สุนสิ า วงศอ์ ารยี ,์ 2559; สิทธิพงศ์ วฒั นานนทส์ กุล, 2557; ศรเี รอื น แกว้ กงั วาล, 2549) ขั้นที่ 1 ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก (oral stage) ในช่วง 18 เดือนแรกของชีวิต ทารกจะ แสวงหาการตอบสนองความสขุ และความพึงพอใจจากการกระตุ้นบริเวณอวัยวะปาก ทารกจะใช้ปากเพื่อสรา้ ง ความสุขและความพึงพอใจให้กับตนเองด้วยการดูด กัด อม เช่น ดูดนม ดูดนิ้ว กันแทะของเล่น เล่นน้ำลาย และทำเสียงต่างๆ เปน็ ตน้ หากทารกไดร้ บั ตอบสนองความสุขและความพงึ พอใจในข้ันนีเ้ หมาะสมถูกต้องจะทำ ให้ทารกสามารถพัฒนาการบุคลิกภาพได้อย่างเหมาะสม ไม่มีปัญหา แต่ถ้าทารกไม่ได้รับการตอบสนอง ความสุขหรอื ถกู ขัดขวางความพึงพอใจจากการใช้ปาก เช่น ไดด้ ดู นมไมเ่ พียงพอ เม่อื ดูดนมเสรจ็ แมก่ ็เอาทารกอ อกจากเต้านมมันที ถูกบังคับให้หย่านมเร็วจนเกินไป ถูกห้ามไม่ให้อมสิ่งของต่างๆ เช่น ห้ามดูดนิ้ว ห้ามแทะ ของเล่น เป็นต้น การถกู ขดั ขวางดังกลา่ วจะทำใหเ้ กิดการชะงกั งันในข้ันปาก (oral fixation) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การชะงักงันในขั้นปากจะทำให้ทารก ทมี่ า: https://www.parentsone.com/psychoanalytic- พัฒนาบุคลิกภาพท่ีสัมพันธ์กับการพึ่งพิง theory-by-sigmund-freud/ ( oral - dependence personality) ยกตัวอย่างเช่น ทารกจะต้องการความ สนใจมากกว่าปกติอย่างมาก ต้องการ การปลอบโยน ต้องการความรักความ เอาใจใส่มากเกินไป และหากทารกไม่ได้ รับความสนใจดังกล่าวจะทำให้ทารก เกิดภาวะการก้าวร้าวทางปาก (oral - aggressive) ซึ่งส่งผลให้ทารกเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ชอบเอาชนะ ใช้ความ ก้าวร้าว เป็นต้น นอกจากนี้การชะงักงนั ในขั้นปากจะทำให้ทารกที่โตขึ้นมี คุณลักษณะของการใชป้ าก (oral traits) ที่ไม่เหมาะสม เช่น ชอบกินจุบจิบ ชอบ เคี้ยวหมากฝรั่ง ติดบุหรี่ กัดเล็บ ชอบ พูดคุย ชอบนินทาวา่ ร้ายผู้อืน่ ขี้บ่น เป็น ต้น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 45 ข้นั ท่ี 2 ขน้ั แสวงหาความสุขจากอวยั วะทวารหนกั (anal stage) ช่วงนีอ้ ายโุ ดยประมาณ ตั้งแต่ 18 เดือนถงึ 3 ปี เป็นชว่ งท่เี ดก็ แสวงหาการตอบสนองความสุขและความพึงพอใจจากการกระตุ้นบรเิ วณ อวัยวะทวารหนัก เดก็ จะมีความสขุ และความพงึ พอใจจากการควบคมุ การขบั ถา่ ย การขบั ถา่ ยในระยะนจี้ ึงควร เป็นไปตามความพึงพอใจของเดก็ การฝึกหดั ให้เดก็ ขับถา่ ยใหเ้ ป็นเวลาควรฝึกอยา่ งค่อยเปน็ ค่อยไป ฝึกด้วย ความอ่อนโยน ไม่ควรบงั คับเด็ก เดก็ ท่ไี ดร้ บั การฝกึ อยา่ งเหมาะสมเมอ่ื โตข้นึ จะมีบคุ ลิกภาพทเ่ี หมาะสม ส่วน เด็กทไี่ ดร้ ับการฝึกอย่างไมเ่ หมาะสมเช่นไดร้ ับการฝกึ มากเกนิ ไปหรือไม่ไดร้ บั การฝึกเลยจะทำใหเ้ กดิ การชะงัก งันในข้นั ทวารหนัก (anal fixation) การชะงกั งันในขน้ั ทวารหนักจะทำใหเ้ ด็กมบี คุ ลิกภาพผิดปกติ เดก็ ทไ่ี ด้รับการฝึกขับถ่ายอย่าง เข้มงวดมากเกินไปจะพฒั นาบุคลิกภาพแบบเก็บกักทางทวารหนัก (anal-retentive personality) ซึ่งส่งผลให้ เมื่อเด็กโตมาจะเป็นคนเจ้าระเบียบและรักความสะอาดมากเกินไป ในทางกลับกันเด็กที่ได้รับการฝึกระเบียบ การขับถ่ายจะพัฒนาบุคลิกภาพท่ีเกี่ยวกับการถ่ายแบบไม่ควบคมุ (anal-expulsive personality) ซึ่งส่งผลให้ เมอื่ เด็กโตมาจะเปน็ คนท่ีไม่มีระเบยี บวินยั กา้ วร้าว และสกปรก ขั้นที่ 3 ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ (phallic stage) ช่วงนี้อายุ โดยประมาณตั้งแต่ 3 ถึง 5ปี เป็นช่วงที่เด็กแสวงหาการตอบสนองความสุขและความพึงพอใจจากการกระตุ้น บริเวณอวัยวะเพศปฐมภูมิเด็กจะมีความสุขและความพึงพอใจกับการได้เล่นหรือสัมผัสอวัยวะเพศของตนเอง นอกจากน้ีเด็กยังจะมีความสนใจเกี่ยวกับอวัยวะเพศอย่างมาก ตามทัศนะของฟรอยด์ การเล่นอวัยวะเพศมีผล ต่อพัฒนาการทางเพศ ได้แก่ การสำนึกรู้ถึงเพศของตนอย่างลึกซึ้งว่าตนเป็นหญิงหรือชาย การเลียนแบบ บทบาททางเพศเป็นต้น เด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ห้ามหรือขัดขว้างการเล่นหรือสัมผัสอวัยวะเพศของตนเองเมื่อโตข้ึน จะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม ส่วนเด็กที่ถูกพ่อแม่ขัดขวางการเล่นหรือสัมผัสอวัยวะเพศของตนเองจะเกิดการ ชะงักงนั ในขนั้ อวยั วะเพศปฐมภูมิ (phallic stage) นอกจากการตอบสนองความสุขและความพึงพอใจจากการกระตุ้นบรเิ วณอวัยวะเพศปฐมภมู ิ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ กับ ลูก ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของบุคคล ในขั้นแสวงหาความสุข จากอวัยวะเพศปฐมภูมินี้ เด็กจะสนใจเกี่ยวกับเพศมากขึ้นและเข้าหาพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้าม กับตนเอง ความรู้สึกผูกพันต่อพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามกับตนจะก่อให้เกิดปม (complex)โดยเด็กผู้ชายจะเกิดปม ออดปิ สุ (Oedipus complex)เด็กผู้ชายจะรักแม่แบบช้สู าวมคี วามหึงหวงแม่ และอยากเป็นเจา้ ของแม่แตเ่ พียง ผู้เดียว ขณะเดียวกันจึงรู้สึกเกลียดพ่อ อิจฉาพ่อ เมื่อแม่แสดงความรักหรือเอาใจใส่ต่อพ่อ แต่อยากไรก็ตาม เด็กชายก็จะเลียนแบบพฤติกรรมความเปน็ ผู้ชายของพอ่ เพราะเขา้ ใจว่าหากตนสามารถเป็นเหมอื นพอ่ จะทำให้ แม่รักตนได้ ฟรอยด์เรียกกระบวนการดังกล่าวว่า “resolution of Oedipus complex” ในทำนองเดียวกัน เด็กผู้หญิงจะเกิดปมอิเล็กตรา (Electra complex)เด็กผู้หญิงจะรักพ่อแบบชู้สาวจึงรู้สึกเกลียดแม่แต่จะ เลียนแบบพฤติกรรมของแม่โดยธรรมชาติเด็กผู้ชายจะมีแรงขับของพฤติกรรมการเลียนแบบพ่อมากกว่าเพศ หญิงเลียนแบบแม่เนื่องจากเด็กผู้หญิงจะรู้สึกว่าตนเองถูกตัดอวัยวะเพศไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อพ้นข้ัน แสวงหาความสขุ จากอวัยวะเพศปฐมภูมิไปแล้ว ลักษณะพฤตกิ รรมของปมท้ังสองชนิดนจี้ ะหายไปเอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 46 การชะงักงันในขั้นอวัยวะเพศปฐมภูมิและ การที่รูปแบบความสมั พันธ์ระหวา่ งพ่อ แม่ กับ ลกู ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของ ปมออดิปุส และ ปมอิเล็กตรา จะทำให้เมื่อเด็กโตขึ้นจะเกิดพฤติกรรมเบ่ี ยงเบน ทางเพศ (homosexual) ภาพที่ 4 พฒั นาการข้นั ท่ี 2 ขนั้ แสวงหาความสขุ จากอวัยวะทวารหนัก (anal stage) และ ขน้ั ท่ี 3 ขั้นแสวงหา ความสขุ จากอวัยวะเพศปฐมภมู ิ (phallic stage) ทม่ี า: https://www.pinterest.com/pin/776026579537314277/ ชว่ งแผง (Latency) เปน็ ชว่ งอายโุ ดยประมาณต้ังแต่ 6 ถึง 12 ปี โดยชว่ งแฝงไมส่ ามารถจดั ได้ เป็นขั้นของการพัฒนาบุคลิกภาพ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่พัฒนาการเป็นไปอย่างล่าช้าระหว่างที่รอการ พฒั นาการทางบคุ ลิกภาพอีกขน้ั จะปรากฏขึ้น ชว่ งแผงเปน็ ชว่ งท่เี ดก็ จะพฒั นาความเขา้ ใจในบทบาทของตนเอง และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เด็กจะสามารถสะกดกลั้นหรือเก็บกดความต้องการทางเพศที่เกิดข้ึนไว้ภายใตจ้ ิตสำนึก โดยเบี่ยงเบนความต้องการทางเพศไปสู่เรื่องอื่นๆ แทน เช่น การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างที่เป็นเพศ เดยี วกนั มากกว่าตา่ งเพศ การเลน่ กีฬา เล่นเกม และกจิ กรรมต่างๆ เป็นต้น ขั้นที่ 4 ขั้นแสวงหาความสุขจากแรงกระตุ้นของทุติยะภูมิทางเพศ (genital stage) เป็น ช่วงอายุโดยประมาณตั้งแต่12 ถึง 18 ปีเด็กจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นและเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะทุติภูมิทางเพศบรรลุ วุฒิภาวะสมบูรณ์เช่น เด็กผู้หญิงมีประจำเดอื น หน้าอกขยาย รังไข่ผลิตไข่เพื่อสืบพันธุ์เด็กผู้ชายอวัยวะสืบพันธ์ (อัณฑะ) สามรถผลิตอสุจิได้ ความต้องการทางเพศในช่วงแผงที่เก็บกดไว้ภายในจิตใต้สำนึกจะปรากฏขึ้นอีก ครั้ง ในกรณีที่เด็กสามารถผ่านขั้นที่ 3 แสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศไปได้อย่างราบรื่น เด็กจะแสดงบทบาท ความเป็นชายและหญิงตรงตามเพศของตน (heterosexual) และ ต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเพศตรง ข้ามข้ันแสวงหาความสขุ จากแรงกระต้นุ ของทตุ ยิ ะภูมิทางเพศ นี้จะจบลงเม่ือเด็กสามารถมคี วามสัมพนั ธ์ที่มีวุฒิ ภาวะ (mature) และก้าวเข้าสคู่ วามสมั พนั ธ์ทางเพศแบบผู้ใหญ่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 47 ภาพที่ 5 พฒั นาการชว่ งแผง (Latency) และ ข้นั ที่ 4 ขั้นแสวงหาความสขุ จากแรงกระตุน้ ของทตุ ิยะภูมทิ าง เพศ (genital stage) ท่ีมา: https://www.pinterest.com/pin/776026579537314277/ 5.1.5.ความหวาดกงั วล (Anxiety) ความวิตกกังวลเป็นความรู้สึกของอันตรายที่ใกล้เข้ามาซึ่งเป็นซึ่งที่ขัดขวางความปรารถนาหรือความ ต้องการของบุคคล ส่งผลให้ อีโก้ ไม่สามารถควบคุม อิด และ ซุปเปอร์อีโก้ ได้อย่างสมดุล ฟรอยด์ได้แบ่งความ วิตกกังวลออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ (Schultz, D. P., & Schultz, S. E., 2016; สุนิสา วงศ์อารีย์, 2559; สิทธิ พงศ์ วฒั นานนท์สกลุ , 2557; ศรีเรอื น แก้วกังวาล, 2549) ความวิตกกังวลจากสิ่งแวดล้อม (Reality Anxiety/ Objective anxiety) เป็นความ หวาดกลัวต่อส่ิงที่เป็นอันตรายต่อความเป็นอยู่ที่ดีของบคุ คล กล่าวคือ เป็นความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม ที่อยู่รอบตัวบุคคลซึ่งเกิดกับมนุษย์เราเป็นส่วนใหญ่ เช่น กลัวสูญเสียคนรัก กลัวตกงาน กลัวไม่มีบ้านอยู่ความ วิตกกังวลจากสิ่งแวดล้อมเป็นต้นกำเนิดของ ความวิตกจริต (Neurotic Anxiety) และ ความวิตกกังวลเชิง ศลี ธรรม (Moral Anxiety) ความวิตกจริต (Neurotic Anxiety) ได้แก่ เป็นความวิตกกังวลที่เกิดจากความกลัว ความ วิตกจริตเป็นผลมากจากการที่ อิด มี อิทธิพลเหนือ อีโก้ โดยบุคคลจะถูกกระตุ้นจากความกลัวในจิตไร้สำนึก และความกลัวนัน้ จะปรากฏในระดับจติ สำนกึ ทำให้บคุ คลแสดงอาการบางอย่างออกมา โดย ความวิตกจริตมี 3 รูปแบบได้แก่ 1.ความวิตกกังวลแบบเลื่อนลอย (free floating form) คือ บุคคลจะรู้สึกวิตกกังวลโดยไม่ทราบ สาเหตุ 2.ความกลัว (phobic form) คอื บคุ คลจะกลวั ในสง่ิ ทคี่ นปกติท่วั ไปไมร่ สู้ ึกกลวั หรอื รสู้ ึกว่าเป็นอันตราย เช่น กลัวที่แคบ กลัวการออกสังคม กลัวขนนก 3.ความตื่นตระหนก (panic form) คือ บุคคลจะมีความรู้สึก กลวั ต่ืนตระหนกเป็นอย่างมาก แบบไม่คาดคิดมาก่อน ไม่ทราบสาเหตุ และเกดิ ข้นึ ซำ้ ๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 48 ความวิตกกังวลเชิงศีลธรรม (Moral Anxiety) ได้แก่ เป็นความวิตกกังวลเมื่อเกิดขึ้นแล้ว และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการที่มีประสิทธภิ าพ จะกลายเป็นความวิตกกังวลที่กระทบกระเทอื นจติ ใจอยา่ ง รนุ แรง บุคคลจะลดตัวลงมาสูภ่ าวะ เหมือนทารกทชี่ ่วยตนเองไม่ได้ 5.1.6 กลไกปอ้ งกันจิต (defense mechanism) กลไกทางจิตเป็นกลไกอัตโนมัติที่บุคคลใช้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คุกคามและก่อให้เกิด ความเครียด หรือ ความวิตกกังวล บุคคลจะใช้กลไกทางจิตชนิดต่าง ๆ เข้าจัดการแก้ไขปัญหาขึ้นอยู่กับตัว บุคคลและสถานการณ์ กลไกทางจิตมีหลายชนิดโดยแต่ล่ะชนิดนั้นจะเป็นกลวิธีการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ แตกต่างกันไป (สมภพ เรืองตระกูล, 2553; สมพร บุษราทิจและคณะ, 2544; จันทิมา องค์โฆษิต, 2545; พิชญา นาวีระ, 2557; Vaillant et al,1986) กลไกทางจิตมีหลายชนิดซึ่งแต่ละชนิดมีความเป็นเอกลักษณ์ กลไกทางจิตมีหน้าที่หลักเพื่อลดความวิตกกังวล ป้องกันอีโก้จากสิ่งที่มาคุกคามและคงสภาพความเก็บกด (repression) ไว้ กลไกทางจิตสังเกตได้จากการแสดงออก ความคิด ความรู้สึก การกระทำและความฝัน กลไก ทางจิตเป็นกลไกที่ทำให้บุคคลจัดการหรือลดความรู้สึกทางลบและปกป้องความรู้สึกทางบวกไว้ บุคคลปกติจะ ใช้กลไกทางจิตที่เหมาะสมสามารถความแรงกดดันได้ ถือเป็นลักษณะการการปรับตัว แต่ในบุคคลที่มีปัญหา สุขภาพจิตตั้งแต่ไม่รุนแรงจนไปถึงมีอาการเจ็บป่วยทางจิตมักใช้กลไกทางจิตที่ไม่ค่อยเหมาะสมหรือชนิดที่ ผิดปกติอยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นการปรับตัวที่ไม่ดี (maladaptive) จนถึงเจ็บป่วยทางจิตหรือมีบุคลิกภาพ ผิดปกติ และกลไกทางจิตไม่ถือว่าผิดปกติหรือเป็นพยาธิสภาพ (จำลอง ดิษยวณิช , 2540) ในปัจจุบัน นกั วชิ าการท่ศี กึ ษากลไกทางจิตได้ต้นพบกลไกทางจิตถงึ 60 ชนิด แตใ่ นเอกสารการสอนฉบับนี้ผู้เขียนจะขอยก มาอธบิ ายเพียง 9 ชนดิ หลัก ดังน้ี (ต้นสาย แก้วสวา่ ง, 2561) Denial หมายถึงการปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง เพราะการรับรู้ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจ อย่างรุนแรงจนไม่สามารถยอมรับได้ เกิดความทุกข์ใจ จึงทำให้บุคคลนั้นไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตน การท่ี บคุ คลจดั การกับความขัดแยง้ ทางอารมณห์ รือสิ่งทท่ี ำใหเ้ กดิ ความเครียดทง้ั ภายในหรอื ภายนอก โดยการปฏเิ สธ ที่จะรับรู้บางสิ่งที่ทำให้ปวดร้าวจากความจริงที่เกิดขึ้น และความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ คำว่า Psychotic Denial ใช้เมื่อการทดสอบความจริง (reality testing) เกิดเสื่อมเสียอย่างมาก สิ่งที่ถูกปฏิเสธอาจ เป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความจำ หรือการรับรู้ (perception) ที่กระทบกระเทือนใจอย่าง ยกตัวอย่าง เช่น ชายคนหนึ่งปวดท้องอย่างแรง เมื่อไปตรวจแพทย์แจ้งว่าเขาเป็นมะเร็ง เขาไม่เชื่อและไม่ยอมปฏิบัติตาม คำแนะนำของแพทย์ Identification หมายถงึ การเลียนแบบผอู้ ืน่ โดยการเลยี นแบบบุคลิกลักษณะ ลกั ษณะทา่ ทาง รวมท้ัง เอกลักษณ์ (Identity) อื่น ๆ ของบุคคลอื่นนอกจากนี้การเลียนแบบค่านิยม หรือเจตคติก็ถือเป็น Identification ได้ เชน่ นักเรียนชายบอกคุณพ่อให้ซื้อโทรศัพท์เหมอื นกับท่ีเพ่อื นคนอนื่ ๆ นิยมใช้กนั Introjection หมายถึง การรับเอาภาพหรือความคิดความรู้สึกหรือลักษณะของบุคคลอื่นจาก ภายนอกเข้ามาไว้ในตวั เอง เช่น แทนที่จะแสดงความโกรธตอ่ คนอื่นกลับรับเอาความรู้สึกก้าวร้าวที่ไม่ดีมาไวใ้ น ตัวเอง หรือการรับเอาความร้สู ึกผดิ จากคนอืน่ เข้าสู่ตนเป็นการโทษตวั เอง เปน็ ตน้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 49 Projection หมายถงึ การโยนความผดิ ใหผ้ อู้ ่ืนหรือโทษผู้อน่ื แทน เปน็ การซดั ทอดความคดิ ความรู้สึก หรือแรงขับที่ไม่น่าพึงปรารถนาไปให้ผู้อื่น เพื่อป้องกันตนเองให้พ้นผิด ถ้าใช้บ่อย ๆ อาจเป็น delusional disorder เช่นเดียวกับ Denial เป็นกลไกทางจิตที่มักพบในโรคจิต แต่ก็อาจพบได้ในโรคประสาท และ บุคลิกภาพแปรปรวน เป็นกลไกทางจิตที่ก่อให้เกิดอาการหลงผิด และประสาทหลอน และถ้าใช้มากจนเกิน ขอบเขตของความเป็นจริง มักเกิดอาการระแวง ซึ่งพบได้ใน Delusional Disorders และ Paranoid Schizophrenia โดยทั่วไปการซัดทอดความรู้สึกที่ตนเองยอมรับไม่ได้ไปยังผู้อื่น เช่น อคติ ความระแวง ความ ไม่ไว้วางใจ ความระแวดระวัง ภยันตรายจากภายนอก และความไม่ยุติธรรม รวมทั้งแรงขับทางเพศ การโทษ ผู้อื่น (projection) มีความสัมพันธ์กับกลไกการพุ่งเข้าหาตน (introjections) ในลักษณะที่ว่า สิ่งที่ถูกซัดทอด ไปนั้น มักจะสะท้อนกลับและมีการรับเอาเข้ามาไว้ในตัวโดยกลไกการกำหนดรู้ภายใน (internalization) ใน ระดับที่สูงกว่า projection อาจแสดงออกมาในรูปของการตีความหมายแรงขับ เจตคติ ความรู้สึกหรือ เจตนารมณ์ ของผอู้ น่ื ในเชงิ ลบ Rationalization ปกปิดการกระทำหรือความร้สู กึ แท้จรงิ ซง่ึ ทำใหเ้ กิดความขัดแย้งด้วยการหาเหตุผล ที่ตนรู้สึกว่าดีและเป็นที่ยอมรับของสังคมแทนเหตุผลที่แท้จริงของพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้ตนเกิดความดีต่อ ตนเอง บางกรณี การกระทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้ไม่ให้รู้สึกเสียหน้าหรืออับอายคน อื่น การหาเหตุผลเข้าข้างตนมีจุดประสงค์อยู่สองอย่าง คือ ช่วยลดความผิดหวังเมื่อเรา ไม่สามารถไปถึง เป้าหมายที่ต้องการและเป็นแรงจูงใจที่ยอมรับได้สำหรับพฤติกรรมของเรา โดยใช้วิธีการการอ้างเหตุผลที่ดี (good reason) แทนทจ่ี ะเปน็ เหตผุ ลทแี่ ทจ้ ริง (true reason) Reaction formation เป็นการแสดงพฤติกรรม ความคิด ความรูส้ ึกในทางตรงกันขา้ มโดยสิ้นเชิงกบั แรงขับที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เนื่องจากแรงขับหรือพลังผลักดันอาจไม่เป็นที่ยอมรับโดยตนเองหรือผู้อ่ืน เช่น หญิงคนหนึ่งหนึ่งมีความรู้สึกดีทางเพศกับเพื่อนร่วมงานแต่พอพบชายคนนี้ทีไรกลับพยายามเลี่ยงที่จะ พดู คยุ ดว้ ย Reaction formation เป็นไกทางจิตทพี่ บบอ่ ยในโรคประสาทชนดิ ยำ้ คิดยำ้ ทำ Regression หมายถึงการถดถอยหรือการถอยกลับของอีโก้ไปสู่ระยะเริ่มต้นหรือระยะแรก ๆ ของ พัฒนาการทางจิตใจและทางเพศ เมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งหรือความคับข้องใจ โดยทั่วไปการถดถอย มักจะดำเนนิ กลบั ไปส่จู ดุ ชะงักงนั ของพฒั นาการบคุ ลกิ ภาพ เชน่ พนกั งานบรษิ ัทคนหนึง่ เครยี ดมากจนนอนฉ่ีรด ทน่ี อนตลอดทงั้ สปั ดาหเ์ นื่องจากถูกกดดนั ใหล้ าออก Repression เป็นการกดเก็บความรู้สึก ทำให้ลืมแต่จะลืมเฉพาะเรื่องที่มากระทบจิตใจ เป็นไปโดย การทำงานของ unconscious ทำให้บุคคลไม่รู้สึกตัว เช่น ชายคนหนึ่งลืมว่าเคยถูกเพื่อนแกล้งดึงกางเกงหน้า หอ้ งเรียน Sublimation คือการหาทางระบายแรงขับสัญชาตญาณ (instinctual drives) ไปสู่กิจกรรมที่ สร้างสรรค์และเป็นที่ยอมรับของสังคมกล่าว คือ เปลี่ยนความรู้สึกไม่ดีหรือไม่ถูกต้องไปเป็นพฤติกรรมที่สังคม ยอมรับ เช่น บุคคลที่มีแรงขับความก้าวร้าวผันตนเองสู่การเป็นนักมวยมืออาชีพ เพื่อแสดงพฤติกรรมได้โดยที่ สังคมยอมรับ เป็นไกทางจิตทม่ี ีประสิทธภิ าพ และก่อใหเ้ กดิ ผลสำเรจ็ พบไดเ้ สมอ ๆ ในคนทบ่ี รรลุวฒุ ภิ าวะแล้ว กลไกปอ้ งกนั แบบนี้บางทีเรียกว่า “การเปลยี่ นให้เป็นทย่ี อมรับ”

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 50 5.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเเพียเจต์ (Jean William Fritz Piaget; ค.ศ.1896 - 1980) เพียเจต์เป็นนักจิตวิทยาที่ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา เพียเจต์เชื่อว่า พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเดก็ เกิดจากพัฒนาการทางสมองซึ่งผลมาจากวฒุ ิภาวะ ร่วมกับการมปี ฏิสัมพันธ์ อย่างต่อเนื่องกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยเด็กดูดซึมประสบการณ์ใหม่ๆและจัดรวบรวมกระบ วนการต่างๆ ภายในความคิดอย่างเป็นระบบและจัดเก็บไว้ในรูปแบบของโครงสร้างเชาวน์ปัญญา การมีปฏิสัมพันธ์กับ สง่ิ แวดล้อมทีก่ ลา่ วไว้ขา้ งตน้ เป็นปัจจัยทท่ี ำใหเ้ กดิ พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาข้นึ กล่าวคอื เม่อื เด็กมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ กับสิ่งแวดล้อม เด็กจะมีกระบวนการทางสติปัญญาอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.การจัดระบบ (organization) และ 2.การปรับตวั (adaptation) ซ่ึงอธิบายไดด้ ังตอ่ ไปน้ี (Ginsburg& Oppe, 1988; สุนิสา วงศอ์ ารยี ,์ 2559; สิทธิ พงศ์ วัฒนานนทส์ กลุ , 2557; สมชาย รัตนทองคำ, 2556) การจัดระบบ เป็นที่เด็กจะจัดระบบความคิดของตนโดย เชื่อมโยงข้อมูลจัดข้อมูลเป็นกลุ่มและ ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลาตราบทเี่ ดก็ ยังมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ส่งิ แวดล้อม กระบวนการดังกล่าวก่อให้เกดิ เป็นโครงสรา้ งทางความคิด ที่เด็กจะใช้ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกับข้อมูลใหม่หรือเหตุการณ์ใหม่ๆแล้วสร้างเป็นโครงสร้างทาง ความคิดใหม่ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โครงสร้างความคิดใหม่นี้ก็จะถูกนำไปใช้ในการทำความ เข้าใจและเรียนรู้ข้อมลู ใหมๆ่ ซำ้ เป็นวงจรต่อไปอีกเกิดเป็นโครงสรา้ งทางความคิดใหม่ทพ่ี ฒั นาข้นึ อย่างต่อเน่ือง เพียเจต์ไดเ้ รียกโครงสรา้ งทางความคดิ น้ีวา่ สกมี า (schema) เพียเจต์ได้อธิบายถึงสกีมาว่าสกีมาเป็นพื้นฐานโครงสร้างของพฤติกรรมและความคิดต่างๆ ที่มีการ จัดระบบเป็นอย่างดี โดยบางสกีมาอาจมีขนาดเล็กและมีลักษณะง่ายๆ ในขณะที่บางสกีมามีขนาดใหญ่และมี ความซับซ้อน เมื่อเด็กพัฒนาสกีมาใหม่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการตอบสนองของเด็กที่มีต่อสิ่งแวดล้อมก็จะมี คุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ในวัยทารก สกีมาเป็นรูปแบบพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน อาทิ การดูดนิ้ว การกัด การคลาน การยืนและเดิน เด็กทารกแต่ละคนอาจมีพัฒนาการของสกีมาที่แตกต่างกัน เช่น วิธีการดูดนิ้ว ดูดนม จับขวดนม ซึ่งจะสามารถสังเกตสกีมาของวัยทารกและวัยเด็กได้ง่าย แต่เมื่อบุคคลอายุ เพิ่มขึ้น มีการพัฒนาทางความคิดสติปัญญาเพิ่มซับซ้อนเป็นนามธรรมมากขึ้น การสังเกตสกีมาจึงไม่สามารถ เหน็ ไดช้ ัดเจน การปรับตัว เป็นกระบวนการที่เด็กจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่ในสภาพสมดุลโดยมี กระบวนการพ้ืนฐานที่เกี่ยวข้องกบั การปรบั ตัว 2 อย่าง ได้แก่ การดูดซึมประสบการณ์ (assimilation) เป็นกระบวนการพื้นฐานแรก กล่าวคือเมื่อเด็ก (ยงั ไม่มีประสบการณใ์ ดๆ)มปี ฏิสมั พันธ์กบั สิง่ แวดลอ้ มรอบตัว เดก็ จะมกี ารดูดซึมภาพหรอื เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ (ตาม ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล)และจะแสดงพฤติกรรมต่อสิ่งใหม่ดังเช่นที่เคยมีประสบการณ์ เพราะคิดว่าสิ่ง ใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เดิม เช่น เด็กเล็กอายุประมาณ 1 - 2 ขวบ เมื่อได้ของสิ่งใดมาจะเอาเข้า ปาก หากผู้ปกครองเอาปากกาให้เด็ก เด็กก็จะแสดงพฤติกรรมต่อปากกานั้นเหมือนที่แสดงต่อสิ่งอื่น คือ กัด หรือเขย่า ซึ่งเป็นพฤติกรรมตามประสบการณ์เดิม การดูดซึมจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 51 ยกตัวอย่างเช่นเรื่องทม่ี ารดาของผู้เขยี นเคยเล่าให้ฟังวา่ สมัยผู้เขียนยังเปน็ เดก็ มารดาไดพ้ าผู้เขียนน่ังรถไฟกลับ บา้ น ในขณะน่งั รถไฟผูเ้ ขียนกไ็ ด้เห็นวัวในทุ่งนา ผ้เู ขียนจงึ บอกมารดาวา่ “มาม๊าตา๊ โฮง่ ๆแระแระเลย (แม่จ้า มี หมาเยอะแยะเลย)” พอผู้เขียนเห็นนกบนท้องฟ้าก็บอกมารดาว่า “มาม๊าต๊า กุ๊กไก่เต็มท้องฟ้าเลย (แม่จ้า ไก่ เต็มท้องฟ้าเลย)” คุณลุงที่นั่งตรงกันข้ามได้ยินจึงสอบถามมารดาของผู้เขียนว่า “เอาลูกไปเลี้ยงที่ไหนมาถึงไม่ รู้จักวัว รู้จักนก”เหตุการณ์ดังกล่าวอธิบายตามหลักคิดของเพียเจต์ได้ว่า เด็กรู้จักแต่หมา ไก่ เมื่อเด็กไปเห็นวัว และนกเด็กจะดูดซึมเขา้ มาตามประสบการณ์อนั น้อยนิดที่เด็กมีอยู่ โดยที่คิดว่าวัวและนกตัวนั้นเป็นหมาเปน็ ไก่ ฉะนั้น เด็กจะเรียกวัวและนกตัวนั้นตามประสบการณ์ของเด็ก การที่เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เด็กจะ ดูดซึมประสบการณ์ต่างๆ เข้าไปในโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ในสมอง ซึ่งโครงสร้างทางปัญญาดังกล่าวจะ สะสมเพม่ิ พูนขน้ึ เร่ือย ๆ ตามประสบการณท์ ไี่ ดร้ ับ การปรับโครงสร้างทางเชาวน์ปัญญา (accommodation) เป็นกระบวนการในการปรับ ความเข้าใจเดิมให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่ ดังเช่นตัวอย่างที่ได้กล่าวไปในกระบวนการดูดซึมประสบการณ์ท่ี เด็กได้รับปากกาครั้งแรกเด็กจะดูดหรือกัดซึ่งเป็นพฤติกรรมตามประสบการณ์เดิม และโดยบังเอิญเด็กได้พบ คุณสมบัติเฉพาะตัวของปากกา คือสามารถเขียนได้ ฉะนั้น เด็กจะมีการปรับความเข้าใจเดิมที่มีปากกานั้นว่า ไม่ใช่มีไว้ดูดหรือกัดแต่เด็กจะลองใช้ปากกานั้นไปขีดเขียนสิ่งต่าง ๆ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปดังกล่าวเกิดจากการ ที่เด็กมีการปรับความเข้าใจเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งใหม่หรือที่เรียกว่าการปรับโครงสร้างทางเชาวน์ ปัญญา นอกจากกระบวนการ การดูดซึมประสบการณ์และการปรับโครงสร้างทางเชาวน์ปัญญาแล้ว เพียเจต์ ยังได้กล่าวถึง ความสมดุล (equilibration) และ การปฏิบัติการ (operation) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสภาวะ การปรบั ตวั ความสมดลุ (equilibration)คือ สภาวะที่เด็กสามารถผสมผสานความคิด/ประสบการณใ์ หม่ และความคดิ /ประสบการณเ์ ก่า ให้กลมกลนื เขา้ กนั ได้ สภาวะท่โี ครงสรา้ งเชาว์ปญั ญาเกดิ ความสมดุลจะนำไปสู่ พัฒนาการทางสติปญั ญา การปฏิบัติการ (operation) คือ สภาวะที่เด็กสามารถแสดงความสามารถทางสมองในการ คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ลักษณะสำคัญของการปฏิบัติการ คือ ความสามารถคิดย้อนกลับ กล่าวคือ ความสามารถคิดกลับไปกลับมาระหว่างจุดสุดท้ายและจุดเริ่มต้นได้ เช่น เมื่อเด็กรู้ว่าน้ำในแก้วใบหนึ่งเมื่อริน ไปสู่ภาชนะอื่นที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน น้ำจำนวนนั้นก็ยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หรือก ารที่แบ่งดินน้ำมัน ออกเป็น 2 กอ้ น เด็กรู้วา่ ดนิ นำ้ มนั 2 ก้อนน้นั เมือ่ นำมารวมกนั จะมีจำนวนเทา่ เดมิ เป็นต้น ขน้ั พัฒนาการทางเชาวนป์ ัญญาของเพยี เจต์ เพียเจต์ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกบั พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ไว้ว่า พัฒนาการทางสติปัญญา ของมนุษย์จะพัฒนาไปตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไปโดยในระยะแรกๆ จะพัฒนาการ ทางสติปัญญาจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางสรีระค่อนข้างมาก มนุษย์ทุกคนจะมีลำดับขั้นการพัฒนาการทาง สติปัญญาในลักษณะเดียวกันแต่อาจจะเร็วบ้างช้าบ้างตามความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่โดยทั่วไปขั้นของ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 52 พัฒนาการจะเกี่ยวโยงกับอายุเป็นส่วนใหญ่ ขั้นพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเพียเจต์ แบ่งออกเป็น 4 ข้ัน ดังน้ี (วชริ ะ พิมพ์ทอง,2563; สนุ สิ า วงศอ์ ารีย,์ 2559; สมชาย รตั นทองคำ, 2556) ขั้นที่ 1 ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (sensorimotor stage) เป็นขั้นพัฒนาการทาง สติปัญญาในช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 ปีเด็กจะเริ่มเรียนรู้ได้โดยอาศัยประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวของ ร่างกายเพื่อตอบสนองสิ่งแวดล้อมเนือ่ งจากเด็กยังใช้ภาษาพูดไม่ได้ ในระยะนี้เป็นช่วงเริ่มตน้ ที่จะเรียนรู้ในการ ปรับตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม รูปแบบความคิดของเด็กวัยน้ีจะรับรู้สิ่งท่ีเป็นรูปธรรมได้เท่านัน้ ขั้นประสาทสมั ผสั และการเคล่ือนไหวสามารถแบ่งยอ่ ยไดเ้ ปน็ 6 ขน้ั ไดแ้ ก่ 1.ขั้นปฏิกิริยาสะท้อน (reflexive) อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 เดือน ทารกจะใช้พฤติกรรม ปฏิกิริยาสะท้อน เช่น การดูดนมแม่ (สะท้อนทางปาก; Oral Reflex) การร้อง (Moro Reflex) การกำมือ (Palmar Grasp Reflex) การถีบและหดเท้าหนี (ปฏิกิริยาสะท้อนของเท้า; Babinski Reflex) ในการปรับให้ เข้ากบั สงิ่ แวดลอ้ ม และเอาชวี ติ รอด ซึ่ง พฤตกิ รรมเหลา่ นเี้ กิดข้นึ โดยอตั โนมัติเพ่ือตอบสนองตอ่ สิง่ เร้า ไม่ได้เกิด จากการเรยี นรู้ 2.ขั้นการทำพฤติกรรมซ้ำๆ (primary circular reaction) อายุตั้งแต่ 1 – 4 เดือน เด็กวัยนี้ จะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อโดยเด็กจะใช้กล้ามเนื้อในการทำพฤติกรรมง่ายๆ และ จะทำซ้ำ เช่น การกำมือเข้าและเปิดออกช้าๆ การเอามือแตะริมฝีปากแล้วจะดูดนิ้ว การเอามือจับหน้าตนเอง เป็นต้น โดยการกระทำพฤตกิ รรมดังกล่าวนัน้ เดก็ จะทำโดยไมม่ ีจดุ มุง่ หมาย 3. ขั้นการทำพฤติกรรมซ้ำๆ โดยมีจุดมุ่งหมาย (secondary circular reaction) อายุตั้งแต่ 4 – 8 เดือนเด็กวัยนี้ยังคงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อแต่เด็กจะใช้กล้ามเน้ือในการทำพฤติกรรม โดยมีจุดมุ่งหมายและสนใจผลของพฤติกรรมนั้น เช่น เด็กจะเขย่าตุ๊กตาเพราะสนใจในเสียงที่เกิดจากการสั่น นอกจากนี้เด็กยังเริ่มเข้าใจความคงอยู่ที่ถาวรของสิ่งต่าง ๆ(object permanence)เช่นเมื่อตุ๊กตาหล่นจากเปล เด็กจะมองหาตุ๊กตามากกวา่ การละสายตาจากตกุ๊ ตา 4. ขั้นการรู้ความสัมพันธ์ของ 2 สิ่ง (coordination of secondary reaction) อายุตั้งแต่ 8 – 12 เดือน เด็กวัยนี้สามารถแก้ปัญหาอย่างง่ายๆ ได้ด้วยการประสานพฤติกรรมเข้าด้วยกันโดยก่อให้เกิด เป็นพฤติกรรมใหม่ที่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น เด็กต้องการจับกล่องไม้ขีดแต่พ่อได้ยื่นมือไปขวางไว้ เด็กก็ไม่ ใสใ่ จมอื ของพอ่ ทีข่ วางไว้ จึงพยายามจะย่ืนมือข้ามไปและออ้ มไปหยบิ กล่องไมข้ ีด หลายวนั ต่อมาในสถานการณ์ เดิม เด็กได้ผลักมือของพอ่ ทีข่ วางออกไปก่อนแล้วจึงจบั กล่องไม้ขีดเหตุการณ์ดงั กล่าวอธิบายได้ว่า เด็กสามารถ ประสานพฤติกรรม 2 อย่าง คือ ผลัก และ จับ เข้าด้วยกัน เป็นพฤติกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเพื่อเป้าหมาย นอกจากนี้ในวัยนี้เด็กยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้สามารถเลียนแบบพฤติกรรมที่แปลกใหม่ได้ซึ่งถือเป็น การเรยี นรู้โดยการสงั เกต(observational learning) 5. ขนั้ การทำพฤตกิ รรมลองผดิ ลองถกู (tertiary circular reaction)อายตุ ง้ั แต่ 12 – 18เดือน เด็กวัยนี้เร่ิมทดลองพฤติกรรมในลักษณะลองผดิ ลองถูก (trial and error) และสนใจผลของพฤตกิ รรมใหมๆ่ ที่ เกิดขึ้นเชน่ เดก็ เกิดความสนโตะ๊ จึงตีโตะ๊ หลายครัง้ ซ่งึ แตล่ ะคร้ังมเี สียงแตกต่างกันเดก็ เกิดความสนใจจึงตีโต๊ะอีก โดยบางครั้งกต็ แี รง บางครงั้ ก็ตีเบา เพือ่ สังเกตเสยี งทเี่ กิดขึ้นว่าจะแตกต่างกนั อย่างไร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 53 6. ขั้นการเริ่มต้นใช้ความคิด (primary circular reaction) อายุตั้งแต่ 18 – 24 เดือนเด็กวัย นี้สามารถใช้ความคิดในการแกป้ ญั หาเน่ืองจากสามารถเขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่ิงหนง่ึ กับอีกส่งิ หน่งึ เด็กจะ ใช้วิธีการแก้ปัญหาทั้งแบบลองผิดลองถูกและใช้ความคิดในลักษณะอนุมานถึงเหตุและผลได้ นอกจากนี้เด็กยัง สามารถมีจินตนาการถึงผลของพฤติกรรมก่อนที่จะแสดงพฤติกรรม นอกจากนี้เด็กจะความสามารถในการ เลียนแบบพฤติกรรมจากผ้ใู หญโ่ ดยอาศัยความจำ ขั้นท่ี 2 ขั้นก่อนการคิดแบบมีเหตุผล (preoperational stage) อายุตั้งแต่ 2 – 7 ปี โดยอาจแบ่ง พัฒนาการเปน็ 2 ขัน้ ย่อยได้ ดงั น้ี ขัน้ ท่ี 2.1 ข้ันกอ่ นเกดิ สงั กปั (Preconceptual Thought) อายุตัง้ แต่ 2 – 4 ปี ในช่วงอายุ นี้เด็กเริ่มมีความสามารถในการใช้ภาษาและมีความเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์รอบ ๆ ตัวที่เกี่ยวข้องกับ ตนเองเท่านั้น เด็กจะเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้นและสามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรอื มากกว่ามาเปน็ เหตผุ ลเกี่ยวโยงซึ่งกนั และกัน แตเ่ หตุผลของเด็กวยั นย้ี ังมขี อบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคง ยดึ ตนเองเปน็ ศนู ย์กลางจึงทำใหค้ วามคดิ และเหตุผลของเดก็ วัยนจี้ งึ ไมค่ ่อยถูกตอ้ งตามความเปน็ จรงิ นัก ขั้น 2.2 ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ (Intuitive Thought) อายุตั้งแต่ 4 – 7 ปี ช่วงอายุน้ี เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจ ความหมายของจำนวนเลข อย่างไรก็ตามเดก็ ยังไมส่ ามารถใช้เหตุผลที่ในการตัดสินใจได้ การตัดสินใจจะขึ้นอยู่ กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ เด็กจะตอบสนองสิ่งแวดล้อมอย่างกระตือรือร้น เด็กจะเริ่มเลียนแบบพฤติกรรมของ ผใู้ หญ่ ใช้ภาษาเป็นเครอ่ื งมอื แทนการคิด พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กในขั้นก่อนการคิดแบบมีเหตุผลขึ้นอยู่กับการเรียนรู้เป็นส่วนใหญ่ พัฒนาการทางภาษา การใช้สัญลักษณ์ และการคิดจะพัฒนาขึ้นมาก ลักษณะพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาใน ขั้นนอ้ี าจสรุปไดด้ ังนี้ 1.เด็กจะเริ่มเข้าใจภาษาได้ดีขึ้นพัฒนาการที่เด่นชัดที่สุดคือภาษาพูด ในช่วงอายุประมาณ 2 ปี เด็กจะเริ่มสามารถใช้ภาษาพูดโดยเริ่มแรกเด็กจะพูดเป็นคำคำเดียว (one word sentences) พัฒนาการ ทางภาษาของเขาจะเร็วมาก เมอ่ื อายุ 4 ปี เด็กจะพูดคลอ่ งและสามารถเขา้ ใจภาษาทีผ่ อู้ นื่ พดู ภาษาพูดของเดก็ มี 2 ประเภท คอื 1.ภาษาพูดแบบยึดตัวเอง (egocentric speech) เป็นภาษาที่ขาดการส่ือ ความหมายทแี่ ท้จริง พูดกับผ้อู นื่ แต่ไม่ใส่ใจว่าจะเข้าใจหรือโต้ตอบอะไร 2.ภาษาพดู แบบส่ือสังคม (socialized speech) เป็นการส่ือความคิดระหว่างเดก็ กับ ผอู้ ่ืน เดก็ จะไม่เพยี งแตพ่ ดู หรือถามแตย่ ังสนใจวา่ ผู้อน่ื คดิ หรือโต้ตอบอยา่ งไรต่อคำพดู ของตน 2. เด็กสามารถเลียนแบบโดยไม่ปรากฏแม่แบบ(deferred imitation) เช่น เด็กสามารถเล่น แสดงบทบาทสมมุติพ่อแม่ลูกซึ่งเป็นการแสดงเลียนแบบผู้ใหญ่ที่เกิดจากความทรงจำโดยที่ตัวแบบไม่ จำเป็นต้องอยู่ตรงหน้าขณะนั้น นอกจากนี้เด็กยังสามารถเล่นสมมุติ เช่น ใช้ใบไม้หรือก้อนหินทำเป็นขนมใน การเล่นขายของ สามารถแสรง้ ทำ เชน่ เด็กจะเล่นแกลง้ ทำเป็นนอนตายในการเลน่ ตอ่ สู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 54 3. เด็กวัยนี้จะยึดตนเองเปน็ ศูนย์กลาง (egocentrism) ดังนั้นเด็กจะไม่เขา้ ใจถึงความคิดหรือ ความรู้สึกของผู้อื่น จะยึดแต่ความคิด ความรู้สึก และคิดว่าความคิดของตนเองถูกต้องเสมอ เช่น วันหนึ่งเด็ก ร้องไห้พ่อก็เข้ามาปลอบพร้อมกับให้ของเล่นและขนม เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เด็กเห็นพ่อร้องไห้เด็กจึงเข้ามา ปลอบพ่อพร้อมกับให้ของเล่นและขนม เพราะเด็กคิดว่าความรู้สึกและความคิดของผู้อื่นก็เป็นเช่นเดียวกับ ความคิดของผู้อ่นื 4. เด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการเรียงลำดับได้ (seriation) เช่น เด็กยังไม่สามารถ เรียงลำดับตัวเลขจากน้อยไปหามากหรือจากมากไปหาน้อย นอกจากนี้เด็กยังไม่เข้าใจการคิดย้อนกลับไปมา (reversibility) ได้ เชน่ ถา้ 1 + 1 = 2 แล้ว 2 – 1 = 1 ได้เช่นกัน 5. เด็กจะรับรู้แบบมุ่งสู่ศูนย์กลาง(centration) เป็นลักษณะที่เด็กจะเพ่งความสนใจในสิ่งใด สิ่งหนึ่งได้ครั้งละลักษณะเดียวหรือครั้งละมิติเดียวเท่านั้น เช่น เมื่อพิจารณาความสูงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะไม่ สามารถพิจารณาความกว้างในเวลาเดียวกันได้ หรือกล่าวคือไม่สามารถเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละมิติในส่ิง นั้นๆได้ เช่น หากเทน้ำจากแก้วที่สูงแต่เล็กใส่แกว้ ที่เตีย้ แต่ใหญ่ และถามเด็กว่าเข้าใจอย่างไร เด็กจะตอบได้แค่ ว่าน้ำในแก้วแรกสูงกว่า แสดงให้เห็นว่าเด็กไม่สามารถมุ่งความสนใจที่มิติความเตี้ย/สูง ได้เพียงอย่างเดียว ไม่ สามารถแบง่ ความสนใจมาท่ีมติ คิ วามเล็ก/ใหญ่ 6. เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับความคงสภาพปริมาณของสสาร (conservation) เนื่องจากเด็กในวัยนี้จะให้เหตุผลจากรูปร่างที่เห็น (status) เท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเป็นรูปอื่น (transformation) เช่นใช้แก้วน้ำที่มีขนาดและความสูงเท่ากันสองใบใส่น้ำให้มีระดับเท่ากัน เมื่อถามเด็กว่าน้ำ ทั้งสองแก้วเท่ากนั หรือไม่ เด็กจะตอบว่าเท่ากัน (ภาพที่ 5 PHASE 1) จากนั้นจึงนำน้ำแก้วหนึง่ ไปเทใส่แก้ว อีก ใบซึ่งมีรูปทรงแตกต่างไปจากแก้วทั้งสองใบคือสูงและแคบกว่า (ภาพที่ 5 PHASE 2) เมื่อถามเด็กว่าน้ำทั้งสอง แก้วเท่ากันหรือไม่เด็กจะตอบว่าไม่เท่ากัน น้ำในแก้วที่สูงกว่ามีน้ำเยอะกว่า (ภาพที่ 5 PHASE 3) จากกรณี ดงั กลา่ วแสดงใหเ้ หน็ วา่ เดก็ ยงั ไมส่ ามารถเข้าใจเหตุผลของหลักการคงสภาพของสสารทมี่ ปี รมิ าณเท่ากนั ภาพท่ี 6 ความคงสภาพปรมิ าณของสสาร (conservation) ทม่ี า: http://psych.colorado.edu/~colunga/P4684/piaget.pdf

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 55 ขั้นที่ 3 ขั้นการคิดแบบมีเหตุผลเชิงรูปธรรม (concrete operational stage) อายุตั้งแต่ 7 – 11 ปี เด็กในวัยนี้จะมีพัฒนาการทางเชาวน์ปญั ญาสูงขึ้นกว่าขั้นก่อนการคิดแบบมีเหตุผลมากเพราะเด็กสามารถใช้ เหตุผลในการตัดสินใจในปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น ลักษณะพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กในขั้นนี้ที่ไม่พบใน ข้นั ก่อนการคิดแบบมเี หตผุ ลสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. เด็กสามารถสร้างภาพในใจ (mental representations) ขึ้นมาได้ เช่น ถ้าให้เด็กเขียน ภาพครอบครัวของฉัน เด็กจะสามารถอธิบายหรือวาดภาพได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง หรือการคิดเลขในใจ การจดจำเสน้ ทางตา่ งๆ เปน็ ตน้ 2. เด็กเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับการคงสภาพปริมาณของสสาร (conservation) กล่าวคือ เด็กจะ สามารถเข้าใจคณุ สมบตั ิทางปริมาณของสิง่ ของว่ายงั คงอยู่เท่าเดิม แม้ว่าจะมีการเปลยี่ นรปู รา่ งหรอื ทอ่ี ยู่กต็ าม การคงสภาเดิมมีหลายลักษณะ ได้แก่ การคงสภาพเดิมของมวลสาร (substance or mass) การคงสภาพเดิมของความยาว (length) การคงสภาพเดิมของจำนวน (number) การคงสภาพเดิมของ ปริมาตรของเหลว (liquid volume) การคงสภาพเดิมของพ้นื ที่ (area) การคงสภาพเดิมของน้ำหนัก (weight) และการคงสภาพเดิมของปริมาตรของของแข็ง (solid) โดยเด็กจะเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับการคงสภาเดิมใน แตล่ ะลักษณะในช่วงอายุทีแ่ ตกตา่ งกนั โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ 2.1 การคงสภาพเดิมของมวลสาร (เข้าใจได้เมื่ออายุโดยประมาน 6 – 7 ปี) ตัวอย่าง เช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่าเมื่อดินน้ำมันก้อนใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นก้อนเล็กหลายก้อน เมื่อนำมา รวมกนั ก็จะยังมมี วลเทา่ เดมิ 2.2 การคงสภาพเดิมของความยาว (เข้าใจได้เมื่ออายุโดยประมาน 6 – 7 ปี) ตัวอย่างเช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่าลวดตรงสองเส้นที่มีความยาวเท่ากันเมื่อดัดลวดเส้นหนึ่งให้ เป็นวงกลม ลวดท้งั สองเสน้ ยงั คงยาวเท่ากนั 2.3 การคงสภาพเดิมของจำนวน (เข้าใจได้เมื่ออายุโดยประมาน 5½– 7 ปี) ตัวอย่างเช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่าเมื่อนำเหรียญบาทจำนวนเท่ากันวางเรียงกันสองแถวใน ระยะห่างเท่ากันเมื่อขยายระยะห่างของเหรียญในแถวที่สอง เหรียญก็ยังคงมีจำนวนเท่ากัน 2.4 การคงสภาพเดมิ ของปรมิ าตรของเหลว (เขา้ ใจไดเ้ มอื่ อายุโดยประมาน 6 – 7 ป)ี ตัวอย่างเช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่าเมื่อเทน้ำจากภาชนะใบหนึ่งไปยังอีกใบหนึ่ง ปริมาตรน้ำยังคง เทา่ เดิม 2.5 การคงสภาพเดิมของพื้นที่ (เข้าใจได้เมื่ออายุโดยประมาน 7 ปี) ตัวอย่างเช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่าเมื่อเข้าใจได้ว่าเมื่อย้ายของในสนามหญ้าหน้าบ้าน พื้นที่ที่ดินบ้านก็ยังคง เทา่ เดิม 2.6 การคงสภาพเดิมของน้ำหนัก (เข้าใจได้เมื่ออายุโดยประมาน 9 - 12 ปี) ตัวอย่างเช่น เด็กจะเข้าใจได้ว่า ก้อนดินน้ำมันทีถ่ ูกแบ่งเป็นชิ้นเล็ก เมื่อรวมกันยังคงมีน้ำหนัก เท่าเดมิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook