Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Published by croonui, 2022-03-10 08:34:09

Description: รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Search

Read the Text Version

สงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้) ปงี บประมาณ ๒๕๖๓ (คร้งั ที่ ๑) • คณะกรรมการปรับปรุงเนอ้ื หา • นายวาทิต มีสน่นุ ผู้อำ� นวยการศนู ยป์ ระสานงานและบรหิ ารการศกึ ษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ นายพิทยา เพชรรกั ษ์ รองผอู้ ำ� นวยการศนู ยป์ ระสานงานและบรหิ ารการศกึ ษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ นางสาวนวลพรรณ วรรณสุธี รองผอู้ ำ� นวยการศนู ยป์ ระสานงานและบรหิ ารการศกึ ษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ผศ.ดร.สุกรี หลงั ปเู ตะ๊ รองอธกิ ารบดฝี ่ายวเิ ทศน์สมั พนั ธ์ และศษิ ย์เกา่ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ดร.มูหาหมดั รูยานี บากา ผู้ชำ� นาญการอสิ ลามศกึ ษา ศึกษาธิการภาค ๗ นายดนรอฮมี สุนทรมาลาตี ผู้ชำ� นาญการอิสลามศกึ ษา ศึกษาธกิ ารภาค ๗ นายบญุ สง่ ลอยสุวรรณ ข้าราชการบ�ำนาญ ส�ำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ (ศกึ ษานิเทศกช์ ำ� นาญการพเิ ศษ) นางปัทมาวดี ขนั ธช์ ยั ศึกษานิเทศก์ ส�ำนักงานศึกษาธิการจังหวดั นราธิวาส นายวัชระ จนั ทรัตน ์ ศึกษานเิ ทศก์ สำ� นักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษายะลา เขต ๓ นางพัทธนันท์ ปน้ั แก้ว ศึกษานิเทศก์ สำ� นกั งานการศกึ ษาเอกชนจงั หวดั สงขลา นายปรดี ี มะนวี ัน นกั วิชาการวฒั นธรรม สำ� นกั งานวัฒนธรรมจังหวดั ปตั ตานี นายนพิ ล รัตนพนั ธ ์ ครชู �ำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านมะนังกาหยี ส�ำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต ๑ • ฝา่ ยจัดพิมพ์ • นางณฏั ฐวีภรณ์ ทพิ ยวาศร ี นักวชิ าการศึกษาช�ำนาญการพเิ ศษ ศูนย์ประสานงานและบรหิ าร การศกึ ษาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ว่าท่ี ร.ต.หญงิ บุศรนิ ทร์ ปิรยิ ะ นักวิชาการศึกษาปฏบิ ัติการ ศูนย์ประสานงานและบรหิ ารการศึกษา จังหวดั ชายแดนภาคใต้ นางสาวรอสนี กามาเซะ๊ นักวชิ าการศกึ ษาปฏิบัตกิ าร ศนู ย์ประสานงานและบรหิ ารการศึกษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ นางสาวกาญจนา พรัดข�ำ นกั วิชาการศึกษาปฏิบัตกิ าร ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ นางปยิ ธดิ า สวุ รรณองั กรู นักวิชาการศกึ ษาปฏิบตั กิ าร ศนู ย์ประสานงานและบรหิ ารการศกึ ษา จงั หวัดชายแดนภาคใต้ นายมะสกุ รี ตายะกาเร็ง นกั วิชาการศกึ ษาปฏิบตั ิการ ศูนยป์ ระสานงานและบริหารการศึกษา จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ พมิ พ์คร้ังท่ี ๔ : กนั ยายน ๒๕๖๓ จดั พิมพโ์ ดย : ศนู ย์ประสานงานและบรหิ ารการศกึ ษาจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) จำ� นวน : ๒๐๐ เลม่ พมิ พ์ที่ : บริษัทน�ำศลิ ปโ์ ฆษณา จ�ำกดั ๓๒ ซ.๑๐ ถ.นพิ ัทธส์ งเคราะห์ ๑ ต.หาดใหญ ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ๙๐๑๑๐ โทร. ๐๗๔-๒๓๖๖๓๗ แฟกซ์ ๐๗๔-๒๓๖๖๓๘

ค�ำน�ำ ประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนและส้ินสุดลงแล้วในอดีต การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จึงเป็น การเรยี นรอู้ ดตี อนั เปน็ ทม่ี าของปจั จบุ นั และทำ� ใหม้ องเหน็ อนาคต เราสามารถนำ� มาใชป้ ระโยชนใ์ นการปรบั ทศิ ทาง การเดนิ ไปสอู่ นาคตอยา่ งมนั่ คง และเปน็ ประโยชนก์ บั ทกุ ๆ ฝา่ ยไดม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ใหเ้ กดิ ความ “อยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ” และความเจรญิ รุง่ เรอื งของบุคคล ครอบครัว สงั คม และประเทศชาตมิ ากยง่ิ ขึ้นเป็นล�ำดบั ผู้ทรงคุณวุฒิมักกล่าวเสมอว่า การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท�ำให้รู้จักตัวเอง และเพ่ือนรอบข้างท้ังในหมู่บ้าน ต�ำบล และชุมชนใหญ่ ขยายออกไปเป็นประเทศ ภูมิภาคและโลก ด้วยความฉลาดของมนุษย์สามารถ น�ำเอาประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียนหรือภูมิปัญญาสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด ในทางตรงกันข้าม อาจมีบางคนน�ำเอาประวัติศาสตร์มาเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกก็เคยมี แต่ก็ไม่สามารถท�ำได้ยาวนาน ตลอดไป และเหตุการณ์นน้ั จบส้นิ ลงแล้ว ควรเป็นข้อคิดส�ำคัญและใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์แก่สังคมจะเหมาะสมกวา่ หนังสือเล่มน้ีก็มีฐานคิดมาจากแนวทางข้างต้น กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประสานงานกับผู้ทรงคุณวุฒิ ในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการอิสระที่มีประสบการณ์ และผลงานด้านการวิจัย และรวบรวมประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน ผู้น�ำศาสนา นักวิชาการด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ินสาขาต่างๆ ประชาชนทั่วไปและข้าราชการ ล้วนเป็นคนในพื้นที่หรือมาท�ำงานในพื้นท่ีหลายสิบปีท่ีผ่านมา เน้ือหาในหนังสือ เล่มนี้ จงึ สอดคล้องกับหลกั การทวี่ า่ “เจ้าของวฒั นธรรมควรมสี ว่ นรว่ มเปน็ ผบู้ ันทึกวัฒนธรรมของตนเองด้วย” ท้ังนี้อยู่ในกรอบของประวัติศาสตร์ชาติ ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม สืบค้นจากเอกสารหลักฐานท่ีปรากฏ และเป็นที่ยอมรับของผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ บางประเด็นอาจเป็นเรื่องเล่าก็จะถูกกล่ันกรองอย่างรอบคอบ หรือเขียนโดยผู้มีประสบการณ์ตรงในชีวิตประจ�ำวัน เป็นประวัติศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ โดยได้ประมวลมา และจัดหมวดหมู่เปน็ ๔ ภาค คือ ภาคท ่ี ๑ ยอ้ นอดตี จงั หวัดชายแดนภาคใตป้ ลายด้ามขวาน ภาคท่ี ๒ ศลิ ปวัฒนธรรม ประเพณี และภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้ ภาคท ่ี ๓ อตั ลักษณ์ทางศาสนา ภาษา ชาตพิ ันธุ์ และสทิ ธิเสรภี าพในการเป็นพลเมืองไทยของประชาชน จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ภาคท ่ี ๔ สถาบันพระมหากษัตรยิ ์ราชวงศจ์ ักรกี บั การพัฒนาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตามเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้ก็ย่อมแก้ไขเปล่ียนแปลงได้เสมอ หากมีการค้นคว้าและ พบข้อเท็จจริงท่ีถูกต้องมากกกว่าในเวลาต่อมา ฉะน้ัน หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใดต่อหนังสือเล่มน้ี กรุณาแจ้งให้หน่วยงานผู้จัดท�ำได้ทราบ เพื่อน�ำไปพิจารณาต่อไป ก็จะเป็นประโยชน์ในทางวิชาการมากย่ิงข้ึน เป็นลำ� ดบั

ส่วนการศึกษาเน้ือหาสาระประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ได้ประโยชน์มากกว่าการอ่านปกติก็คือ การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ให้เห็นแง่มุมต่างๆ ด้วยความตระหนักอยู่เสมอว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ส�ำหรับเรื่องที่เก่ียวกับวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ก็ควรฟื้นฟู ส่งเสริม อนุรักษ์ไว้สืบไป หลายประเด็น ก็ควรเป็นแนวทางในการปฏิบัติท่ีดีทั้งในเร่ืองวิธีคิด และการเป็นแบบอย่างในชีวิตประจ�ำวันน�ำไปสู่ คุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างสังคมสันติสุขร่วมกัน นั่นคือความคาดหวังและผลที่ควรจะได้รับจากการศึกษา ประวตั ิศาสตรด์ ้วยเช่นกัน คณะผจู้ ัดท�ำ กันยายน ๒๕๖๓

CONTENT สารบญั ภาคที่ ๑ ย้อนอดตี จังหวดั ชายแดนภาคใต้ปลายดา้ มขวาน หนา้ บทนำ� ๗ บทที่ ๑ ลังกาสกุ ะมหานครยอ้ นอดตี ๑๑ ๑. กำ� เนดิ ลังกาสกุ ะ ๑๑ ๒. ลังกาสกุ ะบนคาบสมทุ รทองค�ำ ๑๓ ๓. อารยธรรมอินเดยี เขา้ สลู่ งั กาสกุ ะ: พราหมณ์ฮนิ ดู พทุ ธ ๑๓ ๔. อารยธรรมอสิ ลามเขา้ ส่ลู ังกาสุกะ ๑๔ บทท่ี ๒ ก�ำเนิดปตานี ดารุสสลาม : แหล่งอารยธรรมอิสลาม ๑๗ ๑. การสถาปนาราชอาณาจักรปตานี ดารสุ สลาม ๑๗ ๒. ราชวงศ์ศรีวงั ศา : จากโกตามะฮลฺ ิฆัย ญอื แร สู่โกตานีลัม กรอื เซะ ๑๙ บทที่ ๓ ยคุ ทองของปตานี : รัชสมัยการปกครองของ ๔ กษตั รีย์ ๒๕ ๑. รชั กาลท่ี ๖ กษัตรียฮ์ ีเญา บินติ สลุ ต่านมันศูร ชาฮฺ ๒๕ ๒. รชั กาลที่ ๗ กษตั รีย์บีรู บินติ ลุสตา่ นมนั ศูรฺ ชาฮ ฺ ๒๗ ๓. รัชกาลที่ ๘ กษตั รีย์อูงู บนิ ติ สุลต่านมันศรู ฺ ชาฮ ฺ ๒๘ ๔. รชั กาลที่ ๙ กษัตรีย์กูนงิ บินติ สุลต่าน อบั ดุลเฆาะฟรู แห่งรฐั ปาหัง ๒๙ บทที่ ๔ ปาตานีสมยั ภายใตก้ ารปกครองของราชวงศ์กลนั ตนั ๓๑ บทท่ี ๕ ปตานีภายใตส้ ยามประเทศและปตั ตานีวนั น้ ี ๓๓ ๑. การแบง่ แยกพนื้ ทคี่ รั้งแรกในจงั หวดั ชายแดนภาคใต ้ ๓๖ ๒. ต�ำแหนง่ และบรรดาศกั ดข์ิ องเจา้ เมือง ๗ หัวเมือง ๓๙ บทท่ี ๖ ประวัติศาสตร์ สถาบนั ปอเนาะและอลุ ะมาฮ์ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ๔๑ ๑. ประวตั กิ ารกำ� เนิดปอเนาะยคุ แรกของปาตาน ี ๔๑ ๒. ปาตานีในฐานะศนู ย์กลางการศกึ ษาและการเผยแผ่ศาสนาอสิ ลาม ในเอเชียอาคเนย์จนได้รบั ฉายาว่า กระจกเงาแหง่ มักกะฮฺ ๔๙ บทที่ ๗ อุละมาฮ์ที่โดดเด่นของปตานี ๑. บทบาทของสถาบันปอเนาะและอลุ ะมาอขฺ องปตาน ี ๕๓ ๒. ความภาคภมู ใิ จของชยั คฺวนั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ๖๔ บทที่ ๘ บิดาแห่งการศกึ ษาของจงั หวัดปัตตานี ยคุ ปัจจุบัน ๗๘ บรรณานุกรม ๘๓

CONTENTสารบัญ (ต่อ) ภาคท่ี ๒ ศิลปวฒั นธรรม ประเพณแี ละภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้ หน้า บทท่ี ๑ รากเหง้าของเราบนแผ่นดนิ ๑. บทน�ำ ๘๙ ๒. การเข้ามาของอารยธรรมต่างๆ ในพืน้ ที่ภาคใต้ ๘๙ บทที่ ๒ วฒั นธรรมพน้ื ท่ี ประเพณีพ้นื เมอื ง ๙๓ ๑. ความหมายของวฒั นธรรมและประเพณี ๒. วัฒนธรรม ประเพณที ่ีสบื เน่อื งมาจากศาสนา ๑๐๕ ๓. บทสรปุ ๑๐๖ บทที่ ๓ ภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ภูมิปญั ญาไทย ๑๑๑ ๑. ความหมายและประเภทของภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น ๒. ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ในด้านการด�ำรงชีพ ๑๑๓ ๓. ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ในดา้ นความสมั พนั ธแ์ ละการพึง่ พา ๑๑๔ ๔. ภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ ในดา้ นภาษาและวรรณกรรม ๑๑๕ ๕. ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ในด้านหตั ถกรรมพ้ืนบ้าน ๑๑๖ ๖. ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นในด้านสถาปตั ยกรรมและทอี่ ย่อู าศัย ๑๒๔ ๗. ภูมิปญั ญาท้องถิ่นในด้านการแพทย ์ ๑๒๔ ๘. ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ในดา้ นทศั นคต ิ ๑๒๕ ๙. ภูมิปัญญาท้องถิ่นในด้านการปลกู ฝังคณุ ธรรม ๑๒๖ ๑๐. ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ในเร่ืองการแตง่ กาย ๑๒๗ ๑๑. ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ในดา้ นอาหารและการถนอมอาหาร ๑๒๘ ๑๒. ภูมิปัญญาท้องถิ่นในดา้ นวัฒนธรรมประเพณ ี ๑๒๘ ๑๓. ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นในดา้ นศิลปะการแสดง ๑๓๒ ๑๔. ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ในด้านศิลปะการละเลน่ พน้ื บ้าน ๑๓๕ ๑๕. ภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ ในดา้ นอาชีพ ๑๓๕ ๑๖. บทสรุป ๑๔๓ บรรณานกุ รม ๑๔๖ ๑๔๗

CONTENT สารบญั (ตอ่ ) ภาคที่ ๓ อัตลักษณท์ างศาสนา ภาษา ชาตพิ ันธุ์ และสิทธเิ สรภี าพในความเปน็ พลเมืองไทย หน้า ของประชาชนจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ บทที่ ๑ อตั ลักษณ์ของประชาชนในพืน้ ท่ีจังหวดั ชายแดนภาคใต ้ ๑๕๑ ๑. วถิ ีแห่งชาตพิ นั ธ ์ุ ๑๕๒ ๒. วถิ ีแห่งศาสนา ๑๕๒ ๓. วถิ แี หง่ ชาติ หรือวิถีไทย ๑๕๒ บทท่ี ๒ ชาตพิ นั ธ์ุและศาสนาของประชาชนในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ๑. วิวัฒนาการและการผสมผสานของชาตพิ นั ธุม์ ลายใู นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ๑๕๔ ๒. พัฒนาการด้านการปกครองดนิ แดนของคนมลายใู นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ๑๕๗ บทที่ ๓ สิทธิเสรภี าพและโอกาสของพลเมือง ๑. ดา้ นศาสนา ๑๗๓ ๒. ด้านการศกึ ษา ๑๘๖ ๓. ด้านวฒั นธรรม ๑๘๗ ๔. ด้านการเมืองการปกครอง ๑๘๗ ๕. ดา้ นเศรษฐกจิ และสังคม ๑๘๘ ภาคท่ี ๔ สถาบันพระมหากษตั รยิ ร์ าชวงศ์จักรกี ับการพัฒนาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ๑๙๑ บทที่ ๑ บทน�ำ ๑๙๓ บทที่ ๒ พระราชประวตั ริ ัชกาลท่ี ๑ - ๘ - รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ๑๙๓ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) - รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รชั กาลที่ ๒ ๑๙๕ (พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๓๖๗) - รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลท่ี ๓ ๑๙๗ (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) - รชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รชั กาลท่ี ๔ ๒๐๐ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) - รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ ๕ ๒๐๔ (พ.ศ. ๒๓๙๖ - ๒๔๕๓)

CONTENTสารบัญ (ต่อ) - รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั รัชกาลที่ ๖ หน้า (พ.ศ. ๒๔๒๓ - ๒๔๖๘) - รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที่ ๗ ๒๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๔๘๔) - รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล รชั กาลท่ี ๘ ๒๑๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๘๙) ๒๒๒ บทที่ ๓ พระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลท่ี ๙ ๒๒๕ บทที่ ๔ การเสดจ็ ประพาสจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ๒๒๙ ๒๒๙ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รัชกาลที่ ๙ ๒๓๑ ๑. เสดจ็ ประพาสจังหวัดสตลู ๒๓๕ ๒. เสดจ็ ประพาสจงั หวดั สงขลา ๒๓๙ ๓. เสด็จประพาสจังหวัดปัตตาน ี ๔. เสดจ็ ประพาสจังหวดั ยะลา ๒๔๒ ๕. เสด็จประพาสจงั หวัดนราธวิ าส ๒๔๗ ๒๕๔ บทที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ ๙ ๒๕๖ กับการพฒั นาในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ๒๕๘ ๑. ความเป็นมาของโครงการพระราชดำ� ร ิ ๒๖๑ ๒. โครงการพระราชดำ� รใิ นจงั หวัดชายแดนภาคใต ้ ๒๖๔ ๓. โครงการศูนยศ์ กึ ษาการพัฒนาพิกุลทองอนั เนื่องมาจากพระราชดำ� ร ิ ๔. โครงการฟารม์ ตวั อยา่ งในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ ๒๗๓ บทท่ี ๖ ตามรอยพระยคุ ลบาทฯ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ๒๗๕ รชั กาลท่ี ๙ “เขา้ ใจ เขา้ ถึง พฒั นา” ๒๘๒ ๑. เกีย่ วกบั ศาสนา/ศิลปะ/วฒั นธรรม/ประเพณี ๒. เยีย่ มราษฎร ๓. พระสหายในพน้ื ท่ีจังหวดั ชายแดนภาคใต้ บทที่ ๗ “รายอกีตอ และประไมสหุ รีกีตอ” ๑. การพฒั นาทางดา้ นจิตใจ ๒. การส่งเสรมิ ด้านอาชพี และการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของประชาชน บทท่ี ๘ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รชั กาลปจั จบุ นั

ปฐมบท บทนำ� เม่ือกล่าวถึงการอยู่รวมกันเป็น “สังคม” ของมนุษย์ แม้จะเป็นการรวมตัวกันของ “คน” ที่ต้ังอยู่บน ปัจจัยพื้นฐานท้ังด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่เหมือนกันทุกประการ มีอัตลักษณ์ตลอดจนค่านิยม ของสังคมเป็นหน่ึงเดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วเม่ือพิจารณาลึกลงไปถึงระดับปัจเจกบุคคล จะเห็นว่าแต่ละคน ในสังคมย่อมมีความแตกต่างหลากหลายท้ังในแง่ของความคิดและพฤติกรรมไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง อยา่ งไมอ่ าจหลกี เลีย่ งได้ ทงั้ น้ี ความแตกต่างหลากหลายเหล่านน้ั อาจเกิดขน้ึ ได้จากหลายปัจจัยทัง้ จากมิตทิ างดา้ น กายภาพ รวมทงั้ มติ ทิ างดา้ นจติ ใจอนั เปน็ ผลมาจากการหลอ่ หลอมเลย้ี งดจู ากหนว่ ยยอ่ ยของสงั คมในระดบั ครอบครวั หรือแม้กระท่ังจากประสบการณ์การใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลในแต่ละช่วงวัย ก็อาจส่งผลให้แม้กระท่ังคนท่ีมาจาก ครอบครัวเดียวกันก็อาจมีความแตกต่างทางความคิด มีความหลากหลายทางพฤติกรรมมีความช่ืนชอบและ ความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไปได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยิ่งหากสังคมใดเกิดจากการรวมตัวของคน ท่ีมีความหลากหลายทางเช้ือชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมด้วยแล้ว จะย่ิงท�ำให้ความแตกต่างหลากหลาย ในสังคมน้ันมีมาก ประเด็นการจัดการความแตกต่างหลากหลายของพลเมืองจึงเป็นส่ิงท่ีท้าทายของรัฐอย่างย่ิง ในการท่ีจะต้องแสวงหาหนทางจัดการให้แต่ละกลุ่มคนท่ีมีความแตกต่างหลากหลายดังกล่าวรวมตัวกัน โดยมี จุดเช่ือมระหว่างกันจนสามารถเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความกลมเกลียวสามัคคี สามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างสงบสุข พร้อมทั้งมีจิตส�ำนึกในความรักชาติ เป็นเจ้าของประเทศท่ีพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจเป็นส่วนหน่ึง ในการพัฒนาประเทศตอ่ ไป ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเร่ืองราวและพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ซ่ึงเกิดข้ึนในช่วงเวลาและ ยุคสมัยต่างๆ กัน โดยมีจุดประสงค์เพ่ือศึกษาว่ามนุษย์ในอดีตได้คิดอะไรและกระท�ำสิ่งใด อีกทั้งความคิด และการกระท�ำดังกล่าวมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ท้ังในช่วงเวลาดังกล่าว และช่วงเวลาต่อมาอย่างไร หากแต่อดีต ของมนุษย์น้ันมีระยะเวลายาวนานมาก จึงจ�ำเป็นจะต้องมีการแบ่งช่วงเวลาดังกล่าวออกเป็นยุคสมัยต่างๆ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสะดวกในการศกึ ษาคน้ ควา้ เกยี่ วกบั อดตี ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกนั และเพอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะสำ� คญั ของแต่ละช่วงเวลา “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้” ในท่ีนี้หมายถึงจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล พ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการพัฒนาการและประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในอดีตเคยเป็น ท่ีตั้งของ “ราชอาณาจักรลังกาสุกะ” มีเมืองหลวงชื่อ โกตามะฮฺลิฆัย ญือแร ลังกาสุกะเป็นเมืองท่าส�ำคัญ ของคาบสมุทรมลายู มาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒ เป็นจุดยุทธศาสตร์ส�ำคัญของการคมนาคมระหว่าง โลกตะวันตกกับโลกตะวันออก ในยุคต่อมาได้มีการโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังบริเวณริมชายหาด และเปล่ียนชื่อราชอาณาจักรเป็น “ราชอาณาจักรอิสลามปตานี ดารุสลาม” เป็นศูนย์กลางการค้าขายทางเรือ ที่ส�ำคัญของคาบสมุทรมลายู เป็นท่าเรือพี่น้อง (Sister Port) กับท่าเรือฮิราโตะของญี่ปุ่น ในยุคนั้น ปตานีมี ความเจริญรุ่งเรืองและมีความเข้มแข็งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้อิสลามของ เอเชยี อาคเนย์ เป็นแหล่งกำ� เนิดสถาบันศึกษาปอเนาะและปวงปราชญ์มสุ ลิม (อลุ ามะอฺ) จนได้รับการขนานนามว่า “ปตานี กระจกเงาและระเบียงแห่งมักกะฮฺ” (Patani Cermin dan Serambi Makkah) ต่อมาปตานีได้เกิด การเปล่ียนแปลงระบอบการปกครองคร้ังส�ำคัญเพราะปตานีได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรสยาม เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๙ 1หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

สังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสังคมท่ีประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา ภาษา การแต่งกาย การเป็นอยู่ ฯลฯ เพราะแตล่ ะกลมุ่ ชนมคี วามเชอื่ ความศรทั ธาในศาสนาและวฒั นธรรมทแี่ ตกตา่ งกนั การทจ่ี ะทำ� ใหแ้ ตล่ ะคนสามารถ อยู่ร่วมกันในชุมชนหรือสังคมเดียวกัน ด้วยการพ่ึงพาอาศัยช่วยเหลือกัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่ท�ำร้ายกัน หรือละเมิดสิทธิของกันและกัน แต่ละกลุ่มชนสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ตามความเชื่อและศรัทธา ของตนเองอยา่ งมเี สรภี าพ โดยไมม่ กี ารกดี กนั กา้ วกา่ ย ลว่ งละเมดิ หรอื กอ่ กวนซง่ึ กนั และกนั ทำ� ใหส้ ามารถอยรู่ ว่ มกัน บนความแตกตา่ งทางสงั คมและวฒั นธรรมไดอ้ ยา่ งสนั ตสิ ขุ สงบและพงึ่ พาอาศยั ซงึ่ กนั และกนั โดยไมม่ ปี ญั หาขดั แยง้ หรอื ความรนุ แรงระหวา่ งกัน ดงั เชน่ คำ� กล่าวของ (ม.ร.ว. คึกฤทธิ ปราโมทย์) “... เรือ่ งของคนในสามจังหวัดชายแดนใต้ เรื่องของคน ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ขอให้ยอมรับความจริงข้อน้ี แม้ในประวัติศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคนต่างเช้ือชาติกัน การแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะเราหลอกเขาว่าเขาเป็นไทย ซึ่งท่ีจริงเขา เป็นมลายู ตัวที่เป็นปัญหา ก็คือ การหลอกว่าตัวเขาเองเป็นไทย จึงเห็นด้วยกับนโยบายของผู้ว่าราชการ จงั หวัดยะลาทพี่ ยายามสรา้ งมิตร อยา่ บังคับเขาเป็นคนไทย สง่ เสริมให้เขาเป็นตวั ของเขาเอง รักษาเอกลกั ษณ์ (Identity) ชนมลายไู ว้ แตไ่ มใ่ ช่ให้สทิ ธเิ หนือคนท่นี บั ถอื ศาสนาพทุ ธซง่ึ อาศัยอยใู่ นจงั หวัดน้ี ...” ความหมายและความสำ� คญั ของสงั คมพหุวัฒนธรรม ความหมายของสังคมพหุวัฒนธรรม สงั คมพหวุ ฒั นธรรม หมายถงึ กลมุ่ คนทมี่ คี วามหลากหลายทง้ั เชอ้ื ชาติ เผา่ พนั ธ์ุ วถิ ชี วี ติ ความเชอ่ื ศาสนา และประเพณปี ฏบิ ตั ทิ มี่ คี วามแตกตา่ งกนั เนอ่ื งมาจากกระบวนการคดิ และสญั ลกั ษณท์ เี่ กดิ จากการสรา้ งของวฒั นธรรม ปจั จยั ทางศาสนา เชอื้ ชาติ อายุ เพศ ชนชนั้ ทางสงั คมและการศกึ ษาซง่ึ เปน็ ตวั กาํ หนดใหบ้ คุ คลมคี วามคดิ ความเชอื่ ความรสู้ กึ และการกระทำ� ในลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในโอกาสทปี่ ระเทศไทยจะกา้ วเขา้ สกู่ ารรว่ มมอื กนั ในประชาคมของประเทศอาเซียน ที่จะมีการปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างประเทศสมาชิกมากข้ึน จึงมีความจําเป็นที่ สมาชิกในสังคมต้องเรียนรู้ถึงระเบียบแบบแผนที่ควรประพฤติปฏิบัติหรือควรละเว้นตามมารยาทของกันและกัน ในแตล่ ะสังคม เพ่ือหลีกเลย่ี งความขัดแย้งท่จี ะเกิดขึ้นและนํามาซึ่งความสงบเรยี บรอ้ ยของการอยู่ร่วมกัน ความสำ� คัญของทักษะทางสงั คมพหวุ ฒั นธรรม จากคํากล่าวที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมจ�ำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นในแต่ละสังคมจึงต้องกําหนด ให้มีระเบียบแบบแผนในการประพฤติและปฏิบัติเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบเรียบร้อย และสวยงาม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปลูกฝังและถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหน่ึง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคน ในแตล่ ะสงั คม ดังน้ันทกั ษะทางสังคมจึงมคี วามสําคัญ ดังน้ี ๑. เป็นการถ่ายทอดทางภูมิปัญญาข้ันสูงของคนในแต่ละสังคมการแสดงออกทางมารยาทสังคม ในประเทศอาเซยี นเปน็ สงั คมทม่ี กี ารใหเ้ กยี รตกิ นั ตามลำ� ดบั อาวโุ สซง่ึ จาํ แนกออกเปน็ ลกั ษณะตา่ งๆ เชน่ เปรยี บเทยี บ ความมากน้อยกว่ากัน โดยอายุเรียกว่าวัยวุฒิ เปรียบเทียบความมากน้อยกว่ากันทางระดับช้ันของการศึกษา เรยี กวา่ คณุ วฒุ แิ ละเปรยี บเทยี บกนั ทางชาตกิ ำ� เนดิ เชน่ เปน็ สามญั ชนหรอื มฐี านนั ดรศกั ดเ์ิ ปน็ เชอ้ื พระวงศช์ นั้ ตา่ งๆ ทกี่ ำ� หนดไว้ตามแบบแผนของแตล่ ะสังคมเรยี กว่า ชาตวิ ุฒิ 2 หลักสูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ดงั นนั้ ในการแสดงกริ ยิ าอาการตา่ งๆ เชน่ การเดนิ การยนื การนง่ั และการนอน รวมถงึ การทำ� ความเคารพ การแต่งกาย การพูด ฯลฯ จึงมีข้อปฏิบัติที่บ่งช้ีไว้ชัดเจนแสดงถึงภูมิปัญญาท่ีลึกซึ้งของบรรพชนของแต่ละชาติ ท่คี วรแก่การเรียนรู้ ๒. เป็นการรกั ษาจารีตและประเพณี การปฏิบัติตนในทักษะสังคมด้านต่างๆ เป็นการเรียนรู้และถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางสังคม การปฏิบัติตนตามวิถีทางสังคมจึงถือได้ว่าเป็นการร่วมกัน ธํารงไว้ซึง่ จารตี และประเพณที ีเ่ ปน็ เอกลักษณข์ องชาติซึง่ บรรพชนไดม้ กี ารสืบทอดตอ่ กนั มาใหค้ งอยูต่ ่อไป ๓. เป็นเคร่อื งแสดงออกถงึ ความเป็นผู้มวี ฒั นธรรม การเรยี นรเู้ รอ่ื งทกั ษะทางสงั คมพหวุ ฒั นธรรมและสามารถนาํ ไปใชใ้ นสถานการณต์ า่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เปน็ การแสดงออกถงึ การเปน็ ผทู้ ไี่ ดร้ บั การอบรมสง่ั สอนมาเปน็ อยา่ งดี ถอื ไดว้ า่ เปน็ ผทู้ มี่ มี ารยาท ยามทต่ี อ้ งสมาคมกับ ผอู้ นื่ กม็ คี วามมนั่ ใจ แสดงออกไดอ้ ยา่ งไมเ่ คอะเขนิ หรอื อบั อาย ดงั สาํ นวนไทยทวี่ า่ “สาํ เนยี งสอ่ ภาษา กริ ยิ าสอ่ สกลุ ” การจัดการศกึ ษาสังคมพหุวฒั นธรรมส�ำคญั อย่างไร ? การจัดการศึกษาสังคมพหุวัฒนธรรมเกิดขึ้นเพ่ือต้องการให้นักเรียนทราบถึงกลุ่มคน และได้คุ้นเคยกับ ความคดิ เกย่ี วกบั ความหลากหลายในสงั คม ไมว่ า่ จะเปน็ วถิ ชี วี ติ ภาษา ศาสนา วฒั นธรรมและมมุ มองทแี่ ตกตา่ งกบั ของตนเอง โดยวัตถุประสงค์ของหลักสูตรพหุวัฒนธรรม คือ การสร้างความรู้สึกเชิงบวกท่ีมีต่อพหุวัฒนธรรม เพอื่ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนรสู้ กึ วา่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของสงั คม มคี ณุ คา่ และมคี วามเปน็ มติ ร หรอื นบั ถอื บคุ คลทม่ี วี ฒั นธรรม แตกต่างกับของตน นักเรียนทุกคนมาโรงเรียนพร้อมด้วยลักษณะท่ีแตกต่างกัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะต้องได้รับ การยอมรับจากครูและถือเป็นรากฐานส�ำหรับการจัดหลักสูตรในการเรียน นั่นก็คือ จะต้องมีการรับรู้ ความแตกต่างมากกว่าที่จะเพิกเฉยความแตกต่างเหล่าน้ัน ถือเป็นเรื่องส�ำคัญท่ีนักเรียนแต่ละคนจะต้องรับทราบ และภูมิใจในกลุ่มชนของตนตลอดจนกลุ่มชนอื่นๆ ในช้ันเรียน การยอมรับกลุ่มชนเช่นน้ันถือเป็นจุดเร่ิมต้นและ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงครูและนักเรียน หรือนักเรียนด้วยกันเอง นอกจากน้ียังถือเป็นพ้ืนฐานในกระบวนการเรียนรู้ ในเร่ืองความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นควรมีการเน้นลักษณะเฉพาะของกลุ่มชนในกระบวนการศึกษาเพื่อเป็นพ้ืนฐาน ในการพัฒนาขน้ั ต่อไป การจัดการศกึ ษาสังคมพหุวัฒนธรรมควรท�ำอย่างไร ? ในการจัดการศึกษาสังคมพหุวัฒนธรรม มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้แนวทางไว้ ซึ่งจะน�ำแนวทาง ทส่ี อดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสภาพปญั หาการจดั การศกึ ษาใน ๓ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ คอื Banks (๒๐๐๑ : ๔ - ๑๕ และ Banks, ๒๐๐๒ : ๑๓ - ๑๘) ได้เสนอแนวทางจัดการศึกษาแบบพหวุ ัฒนธรรมศึกษาไว้ใน ๕ มิติ ดงั น้ี คอื ๑. การบูรณาการในเน้ือหา (Content Integration) คือ การที่ครูผู้สอนยังคงสอนวิชาต่างๆ เหมือน ทเ่ี คยสอนมา ขณะเดยี วกนั กน็ ำ� เนอื้ หาทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั วฒั นธรรมของกลมุ่ ตา่ งๆ มาสอดแทรก บรู ณาการในเนอื้ หาเดิม ท่ีกําลังสอนอยู่ โดยครูอาจน�ำข้อมูลสารสนเทศจากกลุ่มวัฒนธรรมของนักเรียนท่ีอยู่ในห้องเรียน ในโรงเรียน หรือในชุมชนมายกตัวอย่าง มาอภิปรายร่วมกัน ซึ่งวิธีน้ีนอกจากจะเหมาะสมกับการสอนวิชาทางด้านภาษา และสงั คมศกึ ษาแลว้ ยงั สามารถสอดแทรกในวชิ าทางดา้ นคณติ ศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตรไ์ ดด้ ว้ ย เชน่ การสอดแทรก ประวัตศิ าสตร์ของบคุ คลส�ำคัญทค่ี ดิ ค้นทฤษฎี ความรู้ตา่ งๆ จากกลุ่มคนสผี วิ เป็นตน้ 3หลักสตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

๒. กระบวนการสรา้ งองคค์ วามรู้ (The Knowledge Construction Process) ในมติ นิ ี้ ครจู ะมบี ทบาท ในการช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจว่าความรู้ถูกสร้างข้ึนมาอย่างไร องค์ประกอบทางเช้ือชาติ ชาติพันธุ์ เพศ ชั้นทางสังคม ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล มีอิทธิพลต่อการก่อเกิดความรู้นั้นๆ อย่างไร ข้อสรุป กรอบการอ้างอิง ทรรศนะ และความล�ำเอียงของคนในวัฒนธรรมหนึ่งๆ เกิดข้ึนมาจากปัจจัยใด ดังน้ัน การจัดการศึกษาแบบ พหุวัฒนธรรมศึกษาในมิตินี้ สถานศึกษาและครูจะต้องเปลี่ยนจากการเรียนท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนจดจํา เป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้นักเรียนมีโอกาสค้นคว้า จากการฟัง พูด อ่าน เขียน แลกเปล่ียนอภิปรายความคิดเห็น เพ่ือให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตัดสินใจ เกิดความเข้าอกเข้าใจในผู้คนที่มาจาก วฒั นธรรมท่ีต่างจากตน เข้าใจถึงทรรศนะการมองโลกของพวกเขา ๓. การลดอคติ (Prejudice Reduction) ในมิติน้ีเช่ือว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เข้าโรงเรียนมาพร้อมกับ เจตคติต่อเชื้อชาติ ชาติพันธุ์อ่ืนๆ ในทางลบ ซ่ึงสะท้อนถึงเจตคติของพ่อแม่ ผู้ปกครองของพวกเขาเช่นกัน ดังน้ัน แนวคิดส�ำคัญ คือ ท�ำอย่างไรที่สถานศึกษาและครูจะปลูกฝังเจตคติทางเชื้อชาติในทิศทางบวกและ ปลูกฝังเจตคติ ค่านิยมความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดในตัวนักเรียน โดยการจัดหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นมเี จตคตติ อ่ เชอ้ื ชาตใิ นทางบวกและมคี า่ นยิ มแบบประชาธปิ ไตยดา้ นกจิ กรรม ๔ ประการ ดงั นค้ี อื ๑) การให้การเสริมแรงนักเรียน ๒) การให้นักเรียนได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางเช้ือชาติและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนและในสังคม ๓) การปรับเปล่ียนหลักสูตร ๔) การใช้กิจกรรมการเรียนท่ีเน้นความร่วมมือและ มกี ารตดิ ตอ่ สัมพนั ธก์ ัน ๔. การสอนท่ียึดหลักความยุติธรรม (Equity Pedagogy) ในมิติน้ี มุ่งเน้นให้ครูปรับวิธีการสอนที่จะ เออื้ อาํ นวย สนบั สนนุ ใหน้ กั เรยี นทม่ี าจากตา่ งชาติ ตา่ งวฒั นธรรมไดป้ ระสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น โดยครสู ง่ เสรมิ ให้ นักเรียนจากกลุ่มต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในช้ันเรียนอย่างทั่วถึง ท้ังในการอภิปราย แสดงความคิดเห็น การท�ำงาน รว่ มกนั เปน็ กลุ่ม ๕. การปรบั โครงสรา้ งทางสงั คมและวฒั นธรรมในโรงเรยี น (An Empowering School Culture and Social Structure) ในมิตนิ ี้ เน้นการปรบั วฒั นธรรมองคก์ รของโรงเรยี นให้เหมาะสมกบั นกั เรยี นกลุ่มต่างๆ ให้เกิด ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยผู้บริหาร ครู บุคลากรทุกคนในโรงเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ควรมีส่วนร่วม ในกระบวนการตัดสินใจ การสร้างบรรยากาศของความร่วมมือกัน การปรับรูปแบบการสื่อสารท่ีเอ้ือต่อสมาชิก ทกุ คนในโรงเรียน ปรบั หลักสตู รและการสอนรวมทัง้ กิจกรรมเสรมิ 4 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้





บทนำ� “ประวัติศาสตรท์ ้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในท่ีนหี้ มายถึงจงั หวัดปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล โดยแบง่ ออกเป็น ๒ เรอ่ื ง คอื ๑) จากอดีตสู่ปัจจุบนั : การเดนิ ทางผา่ นกาลเวลา และ ๒) ความยง่ิ ใหญ่ ของปตานีดารุสสลาม สถาบันปอเนาะ อลุ ะมาอฺ และบดิ า การศกึ ษาในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ยคุ ปจั จบุ ัน พ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้มีพัฒนาการและประวัติความเป็นมายาวนานกว่า ๒๐ ศตวรรษ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของ “ราชอาณาจักรลังกาสุกะ” มีเมืองหลวง ช่ือ โกตามะฮฺลิฆัย ญือแร ลังกาสุกะ เป็นเมืองทา่ สำ� คญั ของคาบสมุทรมลายู มาตงั้ แตต่ น้ คริสตศ์ ตวรรษที่ ๒ เป็นจุดยุทธศาสตร์ส�ำคัญของการคมนาคม ระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก ในยุคต่อมามีการโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังบริเวณริมชายหาด และเปล่ียนช่ือราชอาณาจักรเป็น “ราชอาณาจักรอิสลามปตานี ดารุสสลาม” เป็นศูนย์กลางการค้าขาย ทางเรือทสี่ �ำคัญของคาบสมุทรมลายู เป็นทา่ เรอื พนี่ ้อง (Sister Port) กับทา่ เรอื ฮิราโตะของญ่ีปนุ่ ในยุคนัน้ ปตานี มีความเจริญรุ่งเรืองและมีความเข้มแข็งด้านการเมืองและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก มีชาติตะวันตกส่งผู้แทนมา ท�ำสนธิสัญญาการค้ากับปตานี นอกจากน้ีปตานียังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้อิสลามของเอเชียอาคเนย์ เปน็ แหลง่ กำ� เนดิ สถาบนั ปอเนาะและปวงปราชญม์ สุ ลมิ (อลุ ะมาอ)ฺ จนไดร้ บั การขนานนามวา่ “ปตานี กระจกเงาและ ระเบียงแห่งมักกะฮฺ” (Patani Cermin dan Serambi Makkah) ต่อมาปตานีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบ การปกครองคร้ังสำ� คญั ขนึ้ อกี ครั้งหลังจากตกอยู่ภายใตก้ ารปกครองของราชอาณาจกั รสยามเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๓๒๙ หากมองย้อนกลับไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าดินแดนซ่ึงเป็นแหล่งอารยธรรมย่ิงใหญ่ของ คาบสมุทรมลายูแห่งน้ี มีความน่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างย่ิง ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมท่ีมีความเป็นพหุวัฒนธรรมท่ียิ่งใหญ่ “โอต้ านเี ม่ือวานตำ� นานขับ บานอรับซูนารา่ ยบรรยายเรอ่ื ง คร้ังปฐมวงศามาตั้งเมอื ง ชาวตานลี อื เล่ืองแตเ่ บือ้ งบรรพ์ เสียงแวว่ แว่วแผว่ ค�ำต�ำนานเอ๋ย หลกั ฐานเผยใช่เห็นเช่นความฝนั ส้นิ ผูเ้ ฒา่ เหมอื นจะส้นิ ความสำ� คัญ โอ้ทกุ วันรอผมู้ าศกึ ษาเอย” โดย : ขนุ ศิลปกิจจพ์ ิสณั ห์ (ผัน ศุภอกั ษร) อดตี ศึกษาธกิ ารจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ท่ีมา : หนงั สอื ลมุ่ น�ำ้ ตาน๑ี ๑ ขุนศิลปะกิจจ์พิสัณห์. ๒๕๒๕. “ข้อคิดบางประการเกี่ยวกับประวัติเมืองปัตตานี”. ลุ่มน้�ำตานี (หน้า ๕๐). ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเก่ียวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปตั ตานี 7หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

แผนท่ี คาบสมุทรมลายู ราวปี ค.ศ. ๑๖๑๑ - ๑๖๑๕ ที่มา : Floris, Peter (๒๐๐๒)๒ ๒ Floris, Peter (๒๐๐๒) [๑๙๓๔]. Mooreland, W.H., ed. Peter Floris His Voyage to the East Indies in the Globe, ๑๖๑๑-๑๖๑๕ Siam, Pattani, Bantam. White Lotus Co., Ltd. 8 หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

ผงั แสดงพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ : จากลงั กาสกุ ะ สปู่ ตานแี ละปตั ตานวี นั น้ี ราชอาณาจักรมลายลู ังกาสกุ ะ (ราชอาณาจกั รมลายูพราหมณ์ ฮินดู พุทธ) พ.ศ. ๓๘๖ - ๒๐๐๐ ราชอาณาจักรมลายูอิสลามปตานี ดารุสสลาม พ.ศ. ๒๐๐๐ - ๒๓๒๙ ปตานี ดารสุ สลาม ภายใตส้ ยามประเทศ พ.ศ. ๒๓๒๙ - ๒๓๕๑ ปตานยี ุค ๗ หวั เมืองปักษ์ใต้ เมืองตานี เมอื งยะหรง่ิ เมอื งสายบุรี เมืองหนองจิก เมอื งรามันห์ เมอื งระแงะ พ.ศ. ๒๓๕๑ - ๒๔๔๔ บริเวณหัวเมอื งตานี พ.ศ. ๒๔๔๔ - ๒๔๔๙ มณฑลปตั ตานี พ.ศ. ๒๔๔๙ - ๒๔๗๖ ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส สตูล (ส่ีจังหวดั ชายแดนภาคใต)้ พ.ศ. ๒๔๗๖ - ๒๕๒๔ ๕ จงั หวัดชายแดนภาคใต้ ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สตูล สงขลา พ.ศ. ๒๕๒๔ – ปัจจุบนั 9หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)



บทท่ี ๑ ลังกาสุกะมหานครย้อนอดตี ๑. กำ� เนิดลงั กาสุกะ คาบสมุทรมลายู (Malay Peninsular) ต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ทิศเหนือ มีจุดเริ่มต้นท่ี “คอคอดกระ” (Isthmus of Kra) และขยายอาณาเขตออกไปทางตอนใต้ตลอดแนวชายฝั่งทะเล ตะวันออกกระทั่งส้ินสุดที่ปลายแผ่นดิน (ฮูญงตาเนาะฮฺ) หรือ “มูลุตตันหยง” (ปากแหลม - ปัจจุบัน คือ เกาะสิงคโปร์) ชะอฺรอนีย์ บิน ฮัจญีอับดุลลอฮฺ อะหมัด บิน ฮัจญีเราะอูฟ เญอรีงอ syarani binabdullah พ.ศ. ๒๕๑๑ : ๖ (ตาริคปตานี ฉบบั เขียน) ภาพถา่ ยบริเวณคอคอดกระ เมือ่ ประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว ได้รับความอนเุ คราะห์จาก ดาโตะ๊ วันชมั ซดุ ดนี นายกสมาคมประวตั ิศาสตรม์ าเลเซยี ประจำ� รฐั เคดาห์ ประเทศมาเลเซยี ทา่ นได้บรรยายภาพดังกลา่ วว่า “Segenting Kra -Papan tanda dalam bahasa Thai bermaksud di sinilah bermulanyabumi Melayu” หมายถึง คอคอดกระ : ปา้ ยช่อื ภาษาไทยมีความหมายวา่ สถานท่แี หง่ นี้เป็นจุดเรมิ่ ตน้ ของแผ่นดนิ มลายู 11หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

คาบสมุทรแห่งนี้เป็นแหล่งก�ำเนิดราชอาณาจักรแห่งแรกและเก่าแก่ชื่อว่า ลังกาสุกะ๓ (Kingdom of Langkasuka) จากหลักฐานการบนั ทึกในตารีคปตานี (ประวัตศิ าสตร์ปตานี) เสนีย์ มาดากะกุล (๒๕๑๑ : ๔)๔ ระบวุ า่ ลงั กาสกุ ะมมี าอยา่ งชา้ นานกอ่ นประสตู กิ าลของทา่ นนบอี ซี า อะลยั ฮสิ สลาม (พระเยซคู รสิ ต)์ ขอ้ มลู ดงั กลา่ ว สอดคล้องกับบนั ทกึ ประวัติศาสตร์จนี ของราชวงศ์เหลยี ง (ค.ศ. ๕๐๒ - ๕๕๐) ท่รี ะบวุ า่ ลังกาสกุ ะ (Lang-ya-Hsiu) เร่ิมสร้างบ้านแปงเมืองราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑ หรือราว ปี ค.ศ. ๘๐ - ๑๐๐ โดยได้บรรยายสภาพทั่วไป ของลังกาสุกะว่า “...ชาวเมืองท้ังชายและหญิงปล่อยผมสยายออก สวมเส้ือผ้าไม่มีแขนท�ำด้วยฝ้าย กษัตริย์ และชนช้ันสูงมีผ้าคลุมไหล่ ตัวเมืองล้อมรอบด้วยก�ำแพง และมี ๒ ประตู มีหอคอยและเฉลียงอยู่ข้างบน กษตั รยิ เ์ สดจ็ ออกนอกราชวงั ดว้ ยชา้ งทรง มกี ลดสขี าวกางกน้ั พรอ้ มดว้ ยขบวนกลองและธงทวิ กบั ทหารคมุ้ กนั ” (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๒ - ๓) แผนท่ีราชอาณาจักรมลายโู บราณลังกาสุกะ ทีม่ า : http://en.wikipedia.org/wiki/Langkasuka จากบทความเร่ือง “ประวัติศาสตร์ปัตตานีโบราณ ราชอาณาจักรลังกาสุกะอยู่ท่ีไหน” โดย เสนีย์ มาดากะกลุ (๒๕๓๙ : ๑๖๖)๕ ระบวุ า่ มพี งศาวดารชวาโบราณไดก้ ลา่ วถงึ เมอื งหลวงของลงั กาสกุ ะวา่ มชี อื่ วา่ “Djere” หรือ ญือแร (Jerai) ซงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ ต้งั อยู่ทเ่ี มอื งโบราณยะรงั อ�ำเภอยะรัง จงั หวัดปัตตานี ในปจั จุบัน ๓ ลงั กา หมายถึง แผน่ ดินทกี่ วา้ งใหญ่, สุกะ หมายถงึ ความสุข ๔ เขียนโดย เมาละนา ฟากิฮฺ อะลีย์ บิน มุฮัมมัด บิน ชัยคฺเศาะฟียุดดีน อัล-ฟะฏอนีย์ ในปี ค.ศ. ๑๕๐๐ ชัยคฺดาวุดได้ท�ำการคัดลอดใหม่ในปี ค.ศ. ๑๘๑๓ และต่อมา ชะอรฺ อนยี ์ บนิ ฮัจญีอบั ดุลลอฮฺ อะหมดั บิน ฮจั ญเี ราะอฟู เญอรงี อ (อาจารย์ เสนยี ์ มะดากะกุล) ได้คัดลอกใหม่อกี ครั้งในปี ค.ศ. ๑๙๖๘/ พ.ศ. ๒๕๑๑ ๕ เสนยี ์ มาดากะกุล. ๒๕๓๙. มสุ ลมิ ในประเทศไทย. “ประวัตศิ าสตรป์ ตั ตานโี บราณ ราชอาณาจกั รลังกาสุกะอยทู่ ไี่ หน”. 12 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

๒. ลงั กาสุกะบนคาบสมุทรทองค�ำ ลงั กาสกุ ะถอื เปน็ ราชอาณาจกั รทม่ี คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมชี อ่ื เสยี งเปน็ ทรี่ จู้ กั ของชาวโลก ทงั้ ทางดา้ นประเพณี วฒั นธรรม และการคา้ ขาย จนถอื เปน็ ศนู ยก์ ลางการคา้ ขายของเอเชยี อาคเนย์ มกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั นานาประเทศ ในราวต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑ และ ๒ จักรวรรดิโรมนั ไดส้ ัง่ ซ้อื สนิ ค้าจากอาณาจกั รลงั กาสกุ ะ โดยปรากฏหลักฐาน ในบันทึกกฎหมายของโรมันระบุว่า ในรัชสมัยของกษัตริย์ Marcus Aurelius มหาราชย์ ได้มีการส่ังซ้ือสินค้า จากปตานโี บราณ (ลงั กาสกุ ะ) เชน่ การบรู ไมห้ อม เครอ่ื งเทศ ฯลฯ นอกจากนแ้ี ลว้ ยงั มชี อื่ เสยี งดา้ นการทำ� เหมอื งแร่ ทองค�ำ โดย Rolland Bradden ได้กล่าวถึงเร่ืองดังกล่าวว่า การท�ำเหมืองแร่ทองค�ำของลังกาสุกะมีอยู่ท่ัวไป ในปตานจี นถงึ ปาหงั คาบสมทุ รแหง่ นจี้ งึ ไดร้ บั ขนานนามจาก Cladius Ptolemy นกั ภมู ศิ าสตรแ์ ละนกั ดาราศาสตร์ ชาวกรีกท่ีเดินทางมายงั อษุ าคเนย์ในปี ค.ศ. ๑๕๐ ว่า “The Golden Khossenes” หมายถงึ คาบสมุทรทองค�ำ จากหนังสือ Rumpun Melayu โดย Wan Hashim Wan Teh (๑๙๙๑ : ๘) ระบุว่า มาร์โคโปโล นักเดินทางชาวอิตาเลียน เคยแวะเยือนลังกาสุกะระหว่างเดินทางจากอินเดียไปยังเมืองจีน ในปี ค.ศ. ๑๒๗๕/ พ.ศ. ๑๘๑๘ มาร์โคโปโลได้บันทึกว่า ลังกาสุกะ ในขณะนั้นไม่ต้องถวายเคร่ืองราชบรรณาการให้แก่ผู้ใด ถือเปน็ หลกั ฐานท่ีสามารถยืนยนั ถึงความเกรียงไกรของราชอาณาจกั รมลายูลงั กาสกุ ะเป็นอยา่ งดี นอกจากการมาเยอื นของชาวตา่ งชาติมายงั ดินแดนลังกาสกุ ะแล้ว ราชอาณาจกั รมลายโู บราณแหง่ นี้ยงั ได้ สานสัมพันธไมตรีกับต่างชาติโดยการส่งตัวแทนไปเยือนประเทศอ่ืนๆ เช่น ในปีที่ ๑๐ แห่งศักราชเคียงเจียน (พ.ศ. ๑๐๕๘ / ค.ศ. ๕๑๕) กษตั รยิ แ์ หง่ ราชอาณาจกั รลงั กาสกุ ะไดส้ ง่ ราชทตู ชอ่ื อชติ ะ (อาเชอ่ ตวั ) เขา้ เฝา้ จกั รพรรดจิ นี ทางการจีนได้ให้ช่างเขียนภาพราชทูตคนดังกล่าวไว้เป็นท่ีระลึก ซึ่ง สังข์ พัทโนทัย (เมืองโบราณปีที่ ๕ ฉบับท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๒๑ - มกราคม ๒๕๒๒) ไดใ้ หค้ �ำบรรยายภาพว่า “เป็นคนหัวหยิกหยองน่ากลัว นุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมก�ำไลที่ข้อมือและข้อเท้า ทั้งสอง ผวิ ค่อนขา้ งด�ำ” ท้ังน้ี พงศาวดารจีนยังบันทึกว่าชาวเมือง ลังยะเสี่ยวหรือลังกาสุกะ รู้จักการท�ำนาเกลือใช้ และไม่มี หวั เมืองใดในภาคใต้สามารถทำ� นาเกลอื ไดน้ อกจากชาวลงั กาสกุ ะเท่านน้ั (อนันต์ วฒั นานิกร, ๒๕๓๑ : ๑๔) ๓. อารยธรรมอินเดยี เขา้ สลู่ งั กาสกุ ะ: พราหมณฮ์ ินดู พทุ ธ ลังกาสุกะเป็นอาณาจักรมลายูโบราณท่ีเก่าแก่ มีท่ีต้ัง ทางภมู ศิ าสตรต์ รงจดุ กง่ึ กลางระหวา่ งตะวนั ออกและตะวนั ตก คอื จนี และอินเดีย ท้ังสองแห่งเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ในยุคนั้น ท�ำให้ได้รับอารยธรรมจากแหล่งอารยธรรมดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านความเช่ือทางศาสนา คือ พราหมณ์ ฮินดู และพุทธจากอนิ เดีย (เสนยี ์ มะดากะกลุ ๒๕๑๙ : ๑ - ๒) ก่อนการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธ ภาพวาดราชทตู ช่ืออชิตะ (อาเช่อตวั ) อ.บางนรา (๒๕๑๙ : ๔) ระบุว่า ในยุคแรกชาว ลังกาสุกะนับถือ ทมี่ า : เมืองโบราณ ปที ่ี ๕ ฉบบั ท่ี ๒ ภูตผีและวิญญาณของบรรพบุรุษ รวมทั้งต้นไม้ ลม และแม่น้�ำ ประจำ� เดอื นธนั วาคม ๒๕๒๑ - ธนั วาคม ๒๕๒๒ กระท่ังต่อมาราว ปี ค.ศ. ๒๐๐ ชาวอินเดียได้น�ำศาสนาพราหมณ์ เข้ามายงั ดนิ แดนลังกาสุกะ ตามด้วยศาสนาฮนิ ดูและพทุ ธมหายาน 13หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๔. อารยธรรมอิสลามเข้าสูล่ งั กาสุกะ ในปี ค.ศ. ๑๑๕๐/ พ.ศ. ๑๖๙๓ บรรดากษตั รยิ แ์ ละพระราชวงศานวุ งศแ์ หง่ ราชอาณาจกั รมลายู ลงั กาสกุ ะ ยงั คงนบั ถอื ศาสนาพทุ ธมหายาน แตร่ าษฎรสว่ นหนงึ่ รบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามแลว้ บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรก์ ลนั ตนั ระบวุ า่ “ค.ศ. ๑๑๕๐ ได้มีนักเผยแผ่ศาสนาจากปตานีโบราณ (ลังกาสุกะ) ไปเผยแผ่ศาสนาอิสลามยังรัฐกลันตัน ตรังกานูและปาหัง” (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๙ : ๕) จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาอิสลามก่อนท่ีจะมีการสร้างเมืองมะละกาประมาณ ๒๕๙ ปี และก่อนการสถาปนา ราชอาณาจกั รสุโขทัย โดยพอ่ ขุนรามคำ� แหงประมาณ ๑๒๘ ปี (เสาวนยี ์ จิตต์หมวด, ๒๕๓๑ : ๖๙) จุดเรม่ิ ตน้ ของอิสลามในลงั กาสุกะเกดิ ขนึ้ หลงั จากการเข้ามาของบรรดาอลุ ะมาอฺจากอาหรับและเปอร์เซยี จากเอกสารประกอบการสัมมนา Majlis Ijtimak Ulama’ Pondok Se Nusantara คร้ังที่ ๒ ในหัวข้อ การ “ฟื้นฟูมรดกวิถีศาสดาในโลกมลายู” เมื่อวันท่ี ๑๒ - ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ให้ข้อมูลเก่ียวกับ การเขา้ มาของอสิ ลามในโลกมลายูดังนี้ “หากเราสังเกตจะเห็นได้ว่า บรรดา Salafus Soleh (นักเผยแผ่ศาสนาอิสลามที่เร่ิมในฮิจเราะฮฺ ศกั ราชท่ี ๑ - ๓) ไดท้ ำ� การเผยแผว่ ชิ าการอสิ ลามดา้ นจรยิ ธรรมในซกี โลกตะวนั ออก โดยใชว้ ธิ กี ารสบื สานมรดก ของทา่ นนบมี ฮุ มั มดั ศอ็ ลลลั อฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั กระทงั่ ประชาราษฎรร์ วมทงั้ ราชสำ� นกั รบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม อุละมาอฺเหล่าน้ันเดินทางทางเรือมาค้าขายและเผยแผ่ศาสนาอิสลามในโลกนูซันตารา (หมู่เกาะมลายู) พร้อมกบั บรรดาพ่อคา้ จากอาหรบั - เปอร์เซีย” จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว การเผยแผ่อิสลามตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้ขยายไปทั่วโลกมลายู กระทั่งมีการสถาปนาระบอบการปกครองแบบอิสลามแห่งแรกในโลกมลายูที่ เปอร์ลัก อาเจะห์ (Peureulak Aceh) ในปีฮิจเราะฮฺศักราช ๒๕๕ ตรงกับปีคริสต์ศักราช ๘๔๐ (พ.ศ. ๑๓๘๓) รวมทงั้ ลงั กาสกุ ะและปตานีในเวลาต่อมา จากหลักฐานข้างต้น จะเห็นได้ว่าอิสลามได้เข้ามา เม่ือประมาณ ๑,๑๗๔ ปี มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของรัฐเคดาห์ระบุว่า “กษัตริย์มลายูพุทธแห่งเคดาห์ท่ีมีพระนามว่า Maharaja Derber ได้ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามจากการเผยแผ่อิสลามของชัยคฺอับดุลลอฮฺอัล-ยะมานี โดยมีพระนาม มุสลิมว่า Muzaffar Syah ท่ี ๑ พระองคเ์ ขา้ รบั อิสลามใน ค.ศ. ๑๑๓๖ และส้นิ พระชนม์ ในปี ค.ศ. ๑๑๗๙” (Abdullah Halim Nasir, ๒๐๐๗ : ๔๘) หลงั จากทอ่ี สิ ลามเข้ามายงั ลงั กาสุกะประมาณ ๓๐๐ ปี กษัตรยิ ์แห่งราชอาณาจกั รมลายลู ังกาสกุ ะกเ็ ขา้ รบั อิสลามในปีคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๕ หรือราวปี ค.ศ. ๑๔๕๗/ พ.ศ. ๒๐๐๐ (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๑๔ - ๑๕) โดย P. W. F. Wertheim กล่าวในหนังสือ Indonesia Society in Transition และ B. J. O. Schrieke ในหนังสือ Boek van Bonang ได้เขียนถึงเหตุการณ์ยุคน้ันว่า “กษัตริย์ไม่เชื่อในอิสลาม แต่พ่อค้าเป็นมุสลิม” (A. Teeuw & D. K. Wyatt, ๑๙๗๐ : ๒๒๒) 14 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

แผนที่เส้นทางการเดนิ ทางของนกั ดะวะฮฺจากเยเมนสู่เอเชยี อาคเนย์ แผนทร่ี าชอาณาจักรมลายูลงั กาสุกะ ท่มี า : M. Arifin Amin. B. A. ๑๙๘๔. Risalah MONISA - Dalam ศนู ยก์ ลางการเผยแผอ่ ิสลาม ราว พ.ศ. ๑๖๙๓ ทม่ี า : Khoo Kay Kim, Muhd. Yusof Ibrahim dan Zainal Abidin B. Lintasan Sejarah Bangsa Abdul Wahid. ๑๙๘๑. ด้านสภาพสังคมและวัฒนธรรมของลังกาสุกะน้ัน “ตาริคปตานี” ฉบับฟากิฮฺวันอาล๖ี ระบุว่า ชาวปตานี โบราณ (ลังกาสุกะ) ประกอบด้วยชาวมลายมู ุสลิมและชาวมลายูพทุ ธ นอกจากนย้ี ังมีชาวต่างชาติ เชน่ อาหรับและ เปอรเ์ ซยี ทเี่ ขา้ มาทำ� การคา้ ซงึ่ ไดแ้ ตง่ งานกบั หญงิ ชาวมลายู ชาวอาหรบั และเปอรเ์ ซยี ชอบลา่ สตั ว์ แตก่ ก็ ลวั เสอื มาก พวกเขาชอบล่ากระจงและกวาง เมื่อได้กวางแล้วชาวอาหรับจะเก็บเขากวาง เพ่ือใช้เป็นอุปกรณ์แขวนเส้ือโต๊บ (Jubah) ส่วนชาวมลายูพุทธชอบรับประทานเน้ือหมู บางคร้ังเม่ือล่ากระจงได้ก็จะน�ำไปแลกกับหมูป่าที่ชาวมลายู มุสลิมจับได้ ทั้งนี้หมูเป็นสัตว์ต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ส่วนการแต่งกายของชาวมลายูมุสลิม และมลายูพุทธ ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ๒ ประการ คือ ชาวมลายูมุสลิมนุ่งโสร่ง ชอบถือผึ้งและละแมะ (Beliang) มีลักษณะคล้ายจอบ ส�ำหรับใช้ถากไม้ให้เรียบ ส่วนชาวมลายูพุทธมักถูกเรียกขานว่า คนบูชาเจว็ด เพราะ ชอบใส่สรอ้ ยคอพระ (อบั ดุลลอฮฺ ลออแมน, ๒๕๓๒ : ๑๙) จากบันทึกของ I-Tsing (อ้ีจิ้ง) นักเดินทางจีนท่ีมาเยือนลังกาสุกะ ได้ให้ทัศนะว่า วัฒนธรรมมลายู ในอารยธรรมฮนิ ดู - พทุ ธ ไดร้ บั การยอมรบั และมคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ การเปลย่ี นถา่ ยจากลทั ธคิ วามเชอ่ื ของพราหมณ์ สู่ฮินดู-พุทธ ผ่านกระบวนการการเผยแผ่และการให้ความรู้ด้านภาษา ศาสนา ปรัชญา วิชาการล่องเรือ ศิลปะ ดนตรี สถาปตั ยกรรมและเครอื่ งใชใ้ นราชสำ� นกั ทำ� ใหล้ งั กาสกุ ะกลายเปน็ ราชอาณาจกั รทโี่ ดดเดน่ ในคาบสมทุ รมลายู สงิ่ สำ� คญั อกี อยา่ งหนง่ึ ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความยง่ิ ใหญแ่ ละเจรญิ รงุ่ เรอื งของราชอาณาจกั ร มลายลู งั กาสกุ ะ คือ เรือส�ำเภา โดยศาสตราจารย์ ดี.ญี. ฮอลล์ อาจารย์ผู้สอนวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจ�ำมหาวิทยาลัย ลอนดอน ได้สะท้อนภาพเรือส�ำเภาที่ใช้ในราชส�ำนักลังกาสุกะ ตั้งแต่ยุคลังกาสุกะภายใต้อิทธิพลของศรีวิชัยว่า เป็นเรือส�ำเภาท่ีมีลักษณะโดดเด่น มีความงดงาม เรือทั้งล�ำทาสีหลากสี วิจิตรงดงามเป็นอย่างย่ิง รูปทรงของ เรือแกะสลักด้วยลวดลายที่ประณีต ละเอียดอ่อน ดังที่ Mohd. Zanberi A. Malik นักประวัติศาสตร์ของ โลกมลายู กล่าวว่า เรือส�ำเภาน้ันหมายถึง เรือกอและที่ยังคงใช้อยู่ในสังคมมลายูปตานี กลันตันและตรังกานู ในเวลาต่อมาจนถงึ ปจั จุบัน (๑๙๙๓ : ๘) นกั ประวตั ศิ าสตรข์ องโลกมลายู ได้เคยกล่าวไวว้ า่ เรอื สำ� เภานน้ั หมายถงึ เรือกอและทย่ี ังคงใช้อยูใ่ นสงั คมมลายปู ตานี กลันตันและตรังกานใู นเวลาต่อมาจนถึงปจั จบุ นั ๖ เขียนโดย เมาละนา ฟากิฮฺ อะลีย์ บิน มุฮัมมัด บิน ชัยคฺเศาะฟียุดดีน อัล-ฟะฏอนีย์ ในปี ค.ศ. ๑๕๐๐ ชัยคฺดาวุดได้ท�ำการคัดลอดใหม่ในปี ค.ศ. ๑๘๑๓ และตอ่ มา ชะอฺรอนยี ์ บนิ ฮจั ญีอับดุลลอฮฺ อะหมดั บนิ ฮัจญเี ราะอูฟ เญอรีงอ (อาจารย์ เสนีย์ มาดากะกุล) ได้คัดลอกใหม่อีกคร้ังในปี ค.ศ. ๑๙๖๘/ พ.ศ. ๒๕๑๑ 15หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

• ความรู้ส�ำคญั จากบทที่ ๑ ๑. ราชอาณาจักรลังกาสุกะ ต้ังอยู่ขึ้นในคาบสมุทรมลายูเมื่อประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ เป็นต้นมา ประชาชน นับถือศาสนา พราหมณ์ ฮินดู พุทธ และอิสลามในล�ำดับต่อมา เป็นศูนย์กลางการค้าขายกับนานาประเทศ ได้แก่ จนี ชวา กล่มุ ประเทศอาหรบั อินเดีย อาณาจักรโรมนั เปน็ ต้น ๒. สนิ คา้ สำ� คัญ ได้แก่ ไมห้ อม การบรู เคร่อื งเทศ และทองคำ� ๓. ความเจริญของพุทธศาสนาสามารถดูได้จากหลักฐานเมืองโบราณ ยะรัง อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ในปัจจบุ ัน ๔. ราวปี พ.ศ. ๑๖๑๙ กษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศานวุ งศต์ ลอดจนประชาชนแหง่ ราชอาณาจกั รมลายลู งั กาสกุ ะ เริ่มเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ต่อมามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนได้รับ สมญานามวา่ “กระจกเงาหรอื ระเบยี งแหง่ มกั กะฮ”ฺ • ข้อคดิ และบทเรยี นท่ีไดร้ บั จากประวัติศาสตร์ ๑. อาณาจักรและศาสนจกั รมบี ทบาทในดา้ นการพัฒนาชาติบ้านเมืองท่เี อ้ือตอ่ กนั และกันมาแต่อดีต ๒. อาณาจกั รและศาสนจกั รยอ่ มปรบั เปลยี่ นไปตามกาลสมยั ไดเ้ สมอ ๓. ประวัติศาสตร์บอกเร่ืองราว ต้นสายปลายเหตุที่มาที่ไปและสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมแต่ละยุคสมัยเพื่อให้มนุษย์ได้จดจ�ำแนะน�ำส่วนดีส่วนเสียมาเป็นอุทาหรณ์ในการด�ำเนินชีวิต ในปัจจุบันและอนาคตไดเ้ สมอ ๔. ประวัติศาสตร์บอกให้ผู้คนได้เรียนรู้ถึงความเหมือนความต่างของแต่ละสมัยเพื่อน�ำมาเป็นข้อคิด ในการสรา้ งปัจจุบนั และพยากรณ์วางแผนอนาคตไดเ้ สมอ 16 หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

บทที่ ๒ กำ�เนดิ ปตานี ดารสุ สลาม : แหลง่ อารยธรรมอสิ ลาม กาลเวลาได้ก่อให้เกิดเร่ืองราวและการเปล่ียนแปลงมากมายในคาบสมุทรมลายูแห่งน้ี จากยุคหน่ึง ไปสู่อีกยุคหน่ึง ดังเช่นการเข้าสู่ยุคสมัยของราชอาณาจักรมลายูปตานี ดารุสสลาม ต่อจากราชอาณาจักร มลายลู ังกาสกุ ะในเวลาตอ่ มา มสั ยิดกรอื เซะ สร้างในรชั สมยั สุลต่านมุซ็อฟฟรั ชาฮฺ อบิ นิ อลั มัรฮูม สลุ ตา่ นอิสมาอีล ชาฮฺ พ.ศ. ๒๐๕๗ ๑. การสถาปนาราชอาณาจักรปตานี ดารสุ สลาม การเปล่ียนแปลงคร้ังส�ำคัญเกิดขึ้นในรัชสมัยของพญาตูนัคพา ราชบุตรของพญาตูจันทรา มหายานา พญาตูนัคพาถือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โกตามะฮฺลิฆัย ญือแร (ศรีวังศา) แห่งราชอาณาจักรมลายู ลงั กาสกุ ะ โดยพระองคไ์ ดท้ รงยา้ ยทตี่ ง้ั ของพระราชวงั จากโกตามะฮลฺ ฆิ ยั ญอื แร จากเมอื งโบราณยะรงั อำ� เภอยะรงั จังหวัดปัตตานี ในปัจจุบันไปยังบริเวณริมชายหาดและสร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้น คือ พระราชวังโกตานี ลัมกรือเซะ ซึ่งนอกจากการย้ายศูนย์กลางการปกครองแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงท่ีส�ำคัญอีกอย่างหน่ึง คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองการปกครองและการศาสนาจากลัทธิเทวราชาของพุทธศาสนา มาเป็น ระบบการปกครองแบบสลุ ต่านของอสิ ลาม หลังจากทกี่ ษัตรยิ ท์ รงเปลย่ี นมารับนบั ถือศาสนาอิสลาม 17หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ย้อนกลับไปก่อนการโยกย้ายท่ีต้ังศูนย์กลางการปกครอง เม่ือราวปี พ.ศ. ๒๐๐๐ / ค.ศ. ๑๔๕๗ พญาตูนัคพาทรงพบสถานที่ดังกล่าว เมื่อครั้งท่ีพระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ พญาตูนัคพาทรงช่ืนชอบการล่าสัตว์ เป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งขณะออกว่าราชการ พระองค์ได้ตรัสถามบรรดาข้าราชบริพารท่ีห้อมล้อมพระองค์ว่า “เราได้ยินว่าในป่าชายทะเลเมืองเราน้ีมีสัตว์ต่างๆ มากจริงหรือ” บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายก็ทูลตอบ “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบมาดังนั้นพะยะค่ะ” พญาตูนัคพาจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเราจะออกล่าสัตว์ ปา่ ริมทะเลสกั คร้งั ขอใหท้ ่านเตรียมบา่ วไพร่ไว้ พรุง่ นเี้ ราจะออกเดินทาง” บรรดาขา้ ราชบริพารทั้งหลายก็รบั ค�ำ วันรุ่งขึ้นพญาตูนัคพาได้เสด็จน�ำข้าราชบริพารและบ่าวไพร่ออกจากเมืองมายังป่าริมชายทะเล เม่ือมาถึงบ่าวไพร่ได้จัดสร้างพลับพลาท่ีประทับข้ึน พระองค์ได้เสด็จประทับพร้อมบรรดาข้าราชบริพาร มีค�ำสั่งให้ บา่ วไพรอ่ อกสำ� รวจรอยเทา้ สตั ว์ เมอ่ื บา่ วไพรอ่ อกไปดตู ามทร่ี บั สงั่ และไดก้ ลบั มากราบทลู วา่ ไดเ้ หน็ รอยเทา้ ของสตั ว์ ต่างๆ มากมาย พระองคจ์ งึ ตรัสวา่ “พรงุ่ นเ้ี ราจะไดอ้ อกล่าสัตวต์ ัง้ แตเ่ ช้าทันที” เช้าวันรุ่งข้ึนบ่าวไพร่ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ในการล่าสัตว์ เช่น บ่วง กับดัก แร้ว พระองค์รับสั่งให้เข้าไป ไลต่ อ้ นสตั วอ์ อกจากปา่ บรรดาบา่ วไพรเ่ ขา้ ไปไลต่ อ้ นสตั วป์ า่ ตามคำ� รบั สง่ั ตง้ั แตเ่ ชา้ จนตะวนั คลอ้ ยกไ็ มม่ สี ตั วป์ า่ ออกมา ท�ำให้พญาตูนัคพารู้สึกแปลกพระทัยมาก จึงทรงสั่งให้ปล่อยสุนัขไล่เนื้อของพระองค์ บรรดาบ่าวไพร่ปล่อยสุนัข ออกไปตามรับส่ัง เมื่อปล่อยสุนัขไประยะหน่ึง ก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่า พญาตูนัคพาจึงเสด็จออกไปและเจอบรรดา บา่ วไพรท่ ตี่ ดิ ตามมา พระองคจ์ งึ ตรสั วา่ “สนุ ขั ของเราเหา่ อะไรหรอื ” บา่ วไพรก่ ก็ ราบทลู วา่ “ในปา่ ตรงนนั้ มกี ระจง ตวั หน่งึ ตัวโต ขนาดเทา่ แพะ มขี นสีขาวสะอาด สวยงามมาก เม่ือสนุ ขั ไล่ออกมาถึงริมชายหาดนี้ กระจงตัวนนั้ ก็หายไป พญาตูนัคพาจึงเสด็จไปยังที่แห่งนั้น พบกระท่อมหลังหน่ึง มีชายแก่ก�ำลังช้อนกุ้งอยู่ในน้�ำ” จึงรับส่ังให้บ่าวไปถามชายผู้นั้นว่า มาจากไหนและเดิมเป็นคนท่ีไหน ชายผู้นั้นกราบทูลว่า “ข้าพระองค์น้ีก็ เป็นข้าของพระองค์เช่นกัน แต่เดิมข้าพระองค์อยู่ในเมืองโกตามะฮฺลิฆัย ญือแร เม่ือครั้งท่ีสมเด็จพระอัยกา ของพระองค์จะเสด็จไปอยุธยาน้ัน ข้าพระองค์ก็ตามเสด็จพระองค์ท่านไปด้วย แต่เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่ ข้าพระองค์เกิดล้มป่วยลง ไม่สามารถเดินทางไปกับกองทัพได้ จึงท้ิงข้าพระองค์ไว้ ณ ที่น้ี” พญาตูนัคพา จงึ ตรสั ถามว่า “เจา้ ช่ืออะไร” ชายผนู้ ัน้ ก็กราบทลู วา่ “ขา้ พระองคช์ ่ือ เจะ๊ ตานี พะยะคะ่ ” เม่ือสิ้นสดุ การสนทนา พญาตูนัคพาก็พาบรรดาบ่าวไพร่กลับไปยังพลับพลาทปี่ ระทบั ราชอาณาจกั รปตานี ดารุสสลาม ต้งั อย่บู รเิ วณพนื้ ท่ชี ายหาด กวั ลาบอื เกาะฮ์ จุดท่ีเปน็ ปากอ่าวปัตตานี 18 หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ในคืนน้ันพญาตูนัคพาได้ปรึกษาหารือกับบรรดาข้าราชบริพารท้ังหลายว่า พระองค์คิดจะสร้างเมือง ณ บริเวณท่ีกระจงขาวหายไป ทรงมีค�ำส่ังให้บ่าวไพร่กลับไปยังเมืองโกตามะฮฺลิฆัย ญือแร เพื่อตามชาวเมือง ให้มาช่วยสร้างเมืองใหม่ตามพระประสงค์ เมื่อพระองค์รับส่ังเสร็จก็เสด็จกลับไปยังเมืองโกตามะฮฺลิฆัย ญือแร ประมาณ ๒ เดือนต่อมา งานสร้างเมืองใหม่ก็แล้วเสร็จ พญาตูนัคพาเสด็จย้ายลงมายังเมืองใหม่ ทรงตั้งช่ือเมืองใหม่แห่งนี้ว่า “ปตานี ดารุสสลาม” ชื่อ “ปตานี” สันนิษฐานว่ามาจาก “Pantai Ini” (ส�ำเนียงมลายปู ตานี คือ ปาตานี : Patani) ซึ่งหมายถึง “ชายหาดน”้ี (ทก่ี ระจงขาวหายไป) อีกข้อสนั นิษฐานหน่ึง คอื มาจากช่ือของชายชราทพ่ี ญาตนู ัคพาทรงพบเจอครั้งเสดจ็ ลา่ สัตว์ ๒. ราชวงศ์ศรวี ังศา : จากโกตามะฮลฺ ฆิ ัย ญอื แร สโู่ กตานลี ัม กรือเซะ ๒.๑ รัชกาลที่ ๑ สลุ ตา่ นอิสมาอลี ชาฮฺ : กษตั ริย์องค์แรกทเ่ี ข้ารบั นบั ถือศาสนาอสิ ลาม หลังจากย้ายศูนย์กลางการปกครองมายังสถานที่แห่งใหม่ ซ่ึงใช้ชื่อว่า “ปตานี ดารุสสลาม” แล้ว ต่อมาพญาตูนัคพาได้ตัดสินพระทัยยอมรับนับถือศาสนาอิสลามตามค�ำเชิญชวนของชัยคฺมุฮัมมัดสะอีด อัล-บาซีซา หรือโต๊ะปาไซ แพทย์ และนักเผยแผ่ศาสนาอิสลามชาวอาหรับยะมันจากหมู่บ้านเบียรา ปตานี (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๔ : ๑๕) สถานทีฝ่ งั พระศพของสุลต่านอสิ มาอลี ชาฮฺ : ซึ่งเรื่องราวมีอยู่ว่า ครั้งหน่ึงพญาตูนัคพาทรง กษัตริยอ์ งค์แรกทเี่ ข้ารับนบั ถอื ศาสนาอิสลาม ล้มป่วยลง หมอหลวงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในท่ีสุด มีชายจากหมู่บ้านเบียราช่ือ ชัยคฺมุฮัมมัดสะอีด อัล-บาซีซา อาสาจะถวายการรกั ษาให้ โดยขอคำ� มน่ั สญั ญาจากพระองคว์ า่ หากรักษาหาย ขอให้พระองค์เข้ารับอิสลาม กษัตริย์ทรง ยินยอมจะท�ำตามส่ิงที่ชายผู้น้ันขอ แต่เมื่อรักษาหายแล้ว พระองคก์ ลบั ไมย่ อมรบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม กระทงั่ หลายปตี อ่ มา โรคดังกล่าวก็ก�ำเริบขึ้นอีก และชาวเบียราผู้น้ันก็ถวาย การรักษาอีกครั้ง โดยขอค�ำมั่นสัญญาเช่นเดียวกับคร้ังแรก เมื่อหายแล้วพระองค์ก็บิดพลิ้วอีกตามเคย เม่ือโรคก�ำเริบ เป็นคร้ังที่สามพระองค์ทรงสาบานว่า “ในคราวน้ีเราขอ สาบานต่อหน้าพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันว่า หากเราบิดพลิ้วอีก ขอให้กลับไปเป็นโรคเก่าอย่ารู้จัก หายอีกเลย” เม่ือหายจากโรคแล้วพระองค์ก็เข้ารับอิสลาม พร้อมกับโอรสและธิดา รวมทั้งขุนนางทั้งปวง พระองค์ ทรงมี พระนามใหม่วา่ “สลุ ตา่ นอสิ มาอลี ชาฮ”ฺ นบั แต่นั้นมา ศาสนาอสิ ลามกแ็ พร่หลายในปตานีอย่างรวดเร็ว 19หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

การเขา้ รบั อสิ ลามของกษตั รยิ ป์ ตานใี นครงั้ นน้ั พงศาวดารปตั ตานรี ะบวุ า่ เปน็ เพยี งการละทงิ้ การรบั ประทาน เน้ือหมแู ละการกราบไหว้รูปปั้นเทา่ นนั้ นอกจากนัน้ แล้วยงั มีการปฏิบตั ิตามประเพณเี ดมิ ทกุ ประการ แมใ้ นรัชสมัย การปกครองของราชโอรสของพระองค์ที่มีพระนามว่า สุลต่านมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ ก็ยังมีการบูชาส่ิงต่างๆ ยกเว้น พระพุทธรปู เทา่ นน้ั (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๑๓ - ๑๖) อย่างไรก็ตาม อิสลามเริ่มมีบทบาท ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของชนชาวปตานรี วมทง้ั ราชสำ� นกั มากข้ึนเร่ือยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ นกั เผยแผศ่ าสนาจากตา่ งแดน เชน่ ฮะฎอเราะเมาตฺ ประเทศเยเมนเดินทางมายังปตานี เพื่อท�ำการ ค้าขายและสอนศาสนาอิสลาม ผู้รู้เหล่าน้ีเป็น ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้เก่ียวกับอิสลามให้แก่ ประชาชนชาวปตานีโดยการเปิดสอนหนังสือแบบ ปอเนาะ ปอเนาะแหง่ แรกเปดิ โดยบตุ ร ๑ ใน ๓ คน ยคุ สมัยแห่งการเปิดสอนหนงั สอื แบบปอเนาะ ของชัยคฺอุษมานจากเยเมน ตรงบริเวณปากแม่น้�ำ กัวลาบือเกาะฮฺ (ปากแม่น้�ำปัตตานีในปัจจุบัน) ใกล้กับพระราชวังโกตานีลัม กรือเซะ เม่ือประมาณ ๕๐๐ ปีท่ีแล้ว (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๐ : ๒๓) และผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์ฮัจญีวันมุฮัมมัดเซาะฆีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ ในเร่ืองดังกล่าว เม่ือวันที่ ๑๕ - ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ (นา่ จะแทรกเป็นเชิงอรรถ) สุลตา่ นอสิ มาอลี ชาฮฺ ทรงมรี าชบุตรและราชธดิ า ดงั น้ี ๑. พญาตูกูรุบพชิ ัย มีพระนามมสุ ลมิ วา่ มุซ็อฟฟรั ชาฮฺ ๒. เต็งกมู หาชยั มีพระนามมสุ ลิมว่า รายาซีตี อาอชิ ะฮฺ ๓. พญาตูกรู บุ พิชยั มีพระนามมุสลิมว่า มนั ศรู ฺ ชาฮฺ (A.Teeuw D.K. Wyatt, ๑๙๗๐ : ๖๘ - ๖๙, ๗๕) ๑) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราชอาณาจักรมลายอู สิ ลามปตานกี ับโปรตุเกส ในรชั สมยั ของสลุ ตา่ นอสิ มาอลี ชาฮฺ ราชอาณาจกั รมลายอู สิ ลามปตานมี ชี อื่ เสยี งเปน็ ทรี่ จู้ กั ในระดบั นานาชาติ หลายประเทศได้ส่งทูตมายังปตานี เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี เช่น สุลต่านมะหฺมูดแห่งราชอาณาจักรมะละกา ไดส้ ง่ ลกั สะมะนาฮงั ตเู วาะฮมฺ าเยอื นปตานี และในราวปี พ.ศ. ๒๐๖๐/ ค.ศ. ๑๕๑๗ Quarte Coelho ชาวโปรตเุ กส ได้เข้าเฝ้าสุลต่านอิสมาอีล ชาฮฺ เพ่ือท�ำสนธิสัญญาการค้าขายระหว่างกัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๘๑/ ค.ศ. ๑๕๓๘ Tome Lobo และ Fernand Mendez Pinto มาเยือนปตานีและพบว่ามีชาวโปรตุเกสประมาณ ๓๐๐ คน เข้ามาค้าขายในปตานแี ละยงั มีชาวจนี กบั ญีป่ ุ่นเป็นคู่แข่งทางการค้า (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๓๔) 20 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๒) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งราชอาณาจักรมลายอู ิสลามปตานกี บั จีน : สร้างปืนใหญ่ พ่อค้าจากเมืองจีนได้เดินทางมาเข้าเฝ้าสุลต่านอิสมาอีล ชาฮฺ และถวายกระสุนปืนใหญ่ให้แก่พระองค์ เพ่ือขอพระบรมราชานุญาตในการเปิดสถานีการค้าในปตานี หลังจากที่สุลต่านได้รับการถวายกระสุนปืนใหญ่แล้ว พระองคไ์ ดเ้ รยี กอำ� มาตยแ์ ละมขุ มนตรเี พอ่ื ใหส้ รา้ งปนื ใหญ่ โดยมอี บั ดซุ เศาะมดั อรั รมู ี รบั อาสาเปน็ ชา่ งสรา้ งปนื ใหญ่ ปืนใหญ่ท�ำจากทองเหลือง จ�ำนวน ๓ กระบอก ได้รับการต้ังชื่อว่า “ศรีปตานี” “ศรีนัครี” และ “ศรีมหาเลลา” (A.Teeuw D.K. Wyatt, ๑๙๗๐ : ๗๗ - ๗๘) ปืนใหญ่ถือเป็นเอกลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของราชอาณาจักรมลายูอิสลามปตานี ดารุสสลาม โดยปืนใหญ่ ทั้ง ๓ กระบอก ต้ังอยู่หน้าพระราชวังโกตานีลัม กรือเซะ เพ่ือปกป้องอธิปไตยของราชอาณาจักรจากอริราชศัตรู สุลตา่ นอิสมาอลี ชาฮฺ ทรงครองราชย์ราวนาน ๓๐ ปี ก็เสด็จสวรรคต (Mohd. Zamberi A.Malek, ๑๙๙๓ : ๓๖) ภาพวาดปากน�้ำปตั ตานีท่ีส่ือถึงวิถชี ีวิตได้อย่างลงตวั ๒.๒ รชั กาลท่ี ๒ สลุ ตา่ นมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ อิบนิ อลั มรั ฮูม สลุ ตา่ นอิสมาอีล ชาฮฺ เอกสารพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเรียกสุลต่านมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ ว่า พระยาตานีศรีสุลต่าน พระองค์ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๗/ ค.ศ. ๑๕๓๐ - ๑๕๖๔ ขณะท่ีทรงครองราชย์น้ัน พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้สร้างมัสยิดกรือเซะและมัสยิดดาโต๊ะ ตามค�ำแนะน�ำของชัยคฺเศาะฟียุดดีน อัล-อับบาส ผู้เป็นครูสอนวิชาศาสนาอิสลามให้แก่พระองค์และพระอนุชา (สลุ ต่านมันศรู ฺ ชาฮฺ) สุลต่านมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ ทรงเชื่อมสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศเพ่ือนบ้าน พระองค์สิ้นพระชนม์ที่กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๐๗ พสกนิกรทรงเรียกพระองค์ว่า อัลมัรฮูม เกอซียัม (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๓๙) 21หลักสูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๒.๓ รัชกาลที่ ๓ สุลต่านมันศูรฺ ชาฮฺ อิบนิ อลั มรั ฮูม สลุ ตา่ นอิสมาอลี ชาฮฺ ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๐๗ - ๒๑๑๕/ ค.ศ. ๑๕๖๔ - ๑๕๗๒ พระองค์ทรงมี พระราชโอรสและพระราชธดิ า ดังนี้ ๑. กษัตรีย์ฮเิ ญา ๒. กษัตรยี ์บีรู ๓. กษตั รีย์อูงู ๔. รายาบีมา ๕. รายามสั กือรนั จัง ๖. สลุ ต่านบาฮาดรู ชาฮฺ เม่ือพระองค์ส้ินพระชนม์ พระศพถูกฝังท่ีสุสานหลวงมัรฮูม ปัจจุบันคือ หน้าบาลาเศาะฮฺหรือ สถานท่ีละหมาดประจ�ำหมู่บ้านปาเระ ต�ำบลบาราโหม อ�ำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี พสกนิกรเรียก พระองคว์ า่ อลั มรั ฮมู บงซู (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๔๒) ๒.๔ รชั กาลท่ี ๔ สุลต่านปาเตก็ ซียัม อิบนิ อลั มัรฮมู สุลต่านมุช็อฟฟัร ชาฮฺ ทรงครองราชยร์ ะหว่างปี พ.ศ. ๒๑๑๕ - ๒๑๑๖/ ค.ศ. ๑๕๗๒ - ๑๕๗๓ โดยทรงข้นึ ครองราชย์ ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษาเท่านั้น พระองค์ทรงอยู่ในความดูแลของรายาซีตี อาอิชะฮฺ ผู้เป็นอาและ เปน็ ผูส้ �ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ (อนันต์ วัฒนานิกร, ๒๕๓๑ : ๔๘ - ๔๙) การท่ีสุลต่านปาเต็ก ซียัม ทรงเยาว์วัยมาก จึงเป็นท่ีไม่พอใจของขุนนางบางคน เช่น ศรีอัมราช ศรีอัมราชได้วางแผนให้รายาบัมบัง พระโอรสของสุลต่านมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ ที่เกิดจากนางสนม มีศักด์ิเป็นพ่ีชาย ตา่ งมารดา เปน็ ผู้ใหล้ อบปลงพระชนมเ์ พื่อจะได้สถาปนาใหร้ ายาบมั บงั เป็นกษัตรยิ อ์ งค์ใหม่ของปตานี เม่ือได้โอกาส รายาบัมบังได้ใช้กริชปลงพระชนม์สุลต่านปาเต็ก ซียัม และพระนางซีตี อาอิชะฮฺ ส้ินพระชนม์ในพระราชวัง แต่ในตอนท้ายรายาบัมบังเองก็ถูกศรีอัมราชพุ่งหอกโดนหน้าอกขณะทรงช้างหนี ออกจากพระราชวงั พระศพของสลุ ตา่ นปาเตก็ ซยี มั พระนางซตี ี อาอชี ะฮฺ และรายาบมั บงั ถกู ฝงั ทบ่ี า้ นดาโตะ๊ วงั กามดู ลั (ปจั จบุ นั อยใู่ กลโ้ รงเรยี นบา้ นปาเระ ต.บาราโหม อ.เมอื ง จ.ปตั ตาน)ี (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๔๒ - ๔๓) ๒.๕ รชั กาลที่ ๕ สุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ อิบนิ อลั มัรฮมู สุลตา่ นมันศูรฺ ชาฮฺ สลุ ตา่ นบาฮาดรู ชาฮฺ อบิ นิ อลั มรั ฮมู สลุ ตา่ นมนั ศรู ฺ ชาฮฺ ทรงครองราชยร์ ะหวา่ งปี ค.ศ. ๑๕๗๓ - ๑๕๘๔ พระองคท์ รงเปน็ พระราชโอรสองคส์ ดุ ทา้ ยของสลุ ตา่ นมนั ศรู ฺ ชาฮฺ ขน้ึ ครองราชยใ์ นขณะทม่ี พี ระชนมายุ ๑๐ พรรษา ด้วยเหตุท่ีกษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงเยาว์วัย จึงท�ำให้ขุนนางอ�ำมาตย์ช้ันผู้ใหญ่อย่าง ศรีอัมราช ปะฮฺลาวัน คิดการร้ายอีกคร้ัง โดยศรีอัมราชได้ใช้เพทุบายให้รายาบีมา โอรสซ่ึงประสูติจากนางสนมของสุลต่าน มันศูรฺ ชาฮฺ สังหารสุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ เพื่อสถาปนาให้รายาบีมาข้ึนครองราชย์เป็นกษัตริย์ปตานีองค์ใหม่ แตร่ ายาบีมาปฎเิ สธแผนการดังกลา่ ว 22 หลกั สตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ต่อมาวันหน่ึงในขณะที่สุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ ก�ำลังทรงช้างชื่อศรีนัครีออกจากประตูพระราชวัง โดยมี มหาดเล็กช่ือวันฮะญะรุลลอฮฺ และอาลงอินเป็นผู้ติดตาม รายาบีมาได้ตามเสด็จพระอนุชาด้วย จากนั้นมหาดเล็ก วันฮะญะรุลลอฮฺได้ทูลเชิญให้รายาบีมาทรงช้างท่ีชื่อ ญารุมเปรัค เป็นเหตุให้สุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ ทรงกร้ิว วันฮะญะรลุ ลอฮเฺ ป็นอยา่ งมาก จึงใชพ้ ระบาทถบี หัวไหลข่ องวนั ฮะญะรุลลอฮฺ พร้อมรบั ส่ังให้รายาบมี าลงจากช้าง เหตุการณ์คร้ังนี้เป็นเหตุให้รายาบีมามีความเจ็บช้�ำพระทัยและเสียพระทัยเป็นอย่างมาก ฝา่ ยศรีอมั ราช ปะฮลฺ าวนั ได้โอกาสจึงใช้อุบายให้รายาบมี าสงั หารสุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ อีกครงั้ เช้าวันศุกร์หลังละหมาดซุบหฺ (ก่อนตะวันขึ้น) วงมโหรีจากส�ำนักพระราชวังได้บรรเลงเพลงประจ�ำ พระราชส�ำนกั ประตใู หญ่ของพระราชวงั ถกู เปิดออก ในขณะท่สี ุลตา่ นบาฮาดูร ชาฮฺ ก�ำลงั ยนื อยู่บรเิ วณหนา้ ประตู พระราชวังนั้น รายาบีมาไม่รอช้า ทรงใชก้ ริชแทงพระอนชุ าส้นิ พระชนม์ทันที สว่ นศรอี ัมราช ปะฮฺลาวนั ซึ่งตดิ ตาม มาอย่างใกล้ชิดได้ใชห้ อกพงุ่ แทงรายาบมี าจนสน้ิ พระชนม์ หนา้ ประตวู งั เชน่ กนั แผนการของ ศรีอมั ราช ปะฮฺลาวนั จงึ ถกู เกบ็ เป็นความลับโดยไม่มใี ครรเู้ หน็ (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๔๓ - ๔๔) ในรัชสมัยของสุลต่านบาฮาดูร ชาฮฺ มีผู้ล้ีภัยทางการเมืองจากประเทศจีนเข้ามาพ�ำนักในปตานี บุคคลผู้น้ันคือ ล้ิมโต๊ะเคี่ยม ซ่ึงเดินทางเข้ามายังปตานีราวปี พ.ศ. ๒๑๒๑/ ค.ศ. ๑๕๗๘ ขณะนั้นปตานีเป็น รัฐอิสระ สืบสาย กระจายพันธุ์ (๒๕๓๔ : ๓๒)๗ ระบุว่า “ล้ิมโต๊ะเคี่ยมและคณะมาอาศัยในปตานี ในรัชสมัย ของสลุ ตา่ น บาฮาดูร ชาฮฺ ไดส้ มรสกับลูกขุนนางปตานี เปล่ยี นมานบั ถือศาสนาอิสลาม ได้ชอ่ื มสุ ลิมว่า ยะกบู้ (โต๊ะอาโฆะ) และไดร้ ับตำ� แหนง่ หวั หนา้ ดา่ นศลุ กากร ประจำ� ราชส�ำนกั ปตานดี ารุสสลาม” ความร้สู �ำคัญ จากบทที่ ๒ ๑. การก�ำเนดิ ราชอาณาจักรปตานี มีเรอื่ งเลา่ เปน็ ตำ� นานสบื ทอดกนั มาต้งั แตบ่ รรพบุรษุ ๒. ค�ำว่า “ปัตตานี ดารุสลาม” มีความหมายว่า “ดินแดนแห่งสันติสุข” นั่นแสดงว่าดินแดนแห่งนี้ เปน็ ดนิ แดนทมี่ แี ตค่ วามอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ โดยประชาชนทอี่ ยอู่ าศยั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ตลอดจนบรบิ ท ทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีเสริมสร้างสันติสุข ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีชาวต่างชาติมาติดต่อค้าขายอย่างกว้างขวางและ ตอ่ เนือ่ งหลายรชั สมัย ๓. ราชอาณาจักรปตานี เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในภูมิภาคน้ี ส่งผลให้เกิดผู้รู้ปราชญ์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาอิสลามอย่างแท้จริงในเวลาต่อมา และได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในแถบภมู ภิ าคอาหรับและเอเชียอาคเนย์ ๗ สืบสาย กระจายพนั ธ์ุ. ๒๕๓๔. รอ้ ยแซ่พนั ธ์ุมงั กร. ใน หนงั สือพมิ พ์ผูจ้ ดั การ ปีท่ี ๕ ฉบับ ๒๔๘ หน้า ๓๒ 23หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

ข้อคิดและบทเรียนที่ได้รับจากประวัติศาสตร์ ๑. ประวตั ศิ าสตร์สอนใหม้ นุษย์เชอ่ื ว่า มนุษยเ์ ปน็ สัตวส์ งั คมท่ตี ้องสานสมั พันธส์ กู่ นั และกัน เพ่อื ประโยชน์ ของความอยรู่ อดของเผ่าพันธใุ์ นสงั คม ๒. ผูน้ �ำแห่งรัฐในทกุ ยุคทุกสมัยคือต้นแบบและตัวแปรหลกั ของการเปล่ยี นแปลงจากสงั คม ๓. ภูมิภาคท่ีมีอารยธรรมท่ีเจริญกว่า ย่อมมีอิทธิพลที่เหนือกว่าในด้านการจูงใจให้ภูมิภาคอื่น ๆ คลอ้ ยตามได้เสมอ ๔. ความเช่ือทางศาสนามีอิทธิพลต่อการพัฒนาและสร้างสรรค์สังคมมนุษยชาติในทุกยุคทุกสมัย แต่อดีตถึงปัจจุบนั 24 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

บทที่ ๓ ยุคทองของปตานี : รัชสมัยการปกครองของ ๔ กษัตรีย์ ๑. รัชกาลที่ ๖ กษัตรยี ฮ์ ีเญา บนิ ติ สุลต่านมันศรู ชาฮฺ ทรงครองราชย์ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๑๒๗ - ๒๑๕๙/ ค.ศ. ๑๕๘๔ - ๑๖๑๖ หลังการส้ินพระชนม์ของสุลต่าน บาฮาดูร ชาฮฺ ซ่ึงไม่มีรัชทายาทท่ีจะข้ึนครองราชย์แทนพระองค์ บรรดาอ�ำมาตย์และมุขมนตรีประจ�ำราชส�ำนัก จงึ ทลู เชญิ รายาฮเี ญาซงึ่ เปน็ พระขนษิ ฐาขนึ้ ครองราชยต์ อ่ จากพระองค์ นบั เปน็ กษตั รยี พ์ ระองคแ์ รกของแหลมมลายู (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๔๘) ขบวนชา้ งเสด็จของกษัตรยี ฮ์ เิ ญา เมอ่ื ศตวรรษที่ ๑๗ ท่มี า : Peter Floris ( ๒๐๐๒ : ๒ ) ๑.๑ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งราชอาณาจกั รปตานกี บั ฮอลนั ดา เรือส�ำเภา Der Goude น�ำโดย Jacob Venneek เดินทางถึงราชอาณาจักรมลายูอิสลามปาตานี เมอ่ื วนั ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๑๔๔ (ค.ศ. ๑๖๐๑) นำ� พระราชสาสนข์ องมกฎุ ราชกมุ าร Maurice จากฮอลนั ดา มาถวายแด่กษัตรีย์ฮีเญา พระราชสาสน์ดังกล่าวถูกน�ำขึ้นขบวนช้างแห่รอบเมืองก่อนน�ำเข้าสู่พระราชวัง กษตั รีย์ฮเี ญาทรงพระราชทานกริชแก่ Jacob Venneek เป็นทร่ี ะลึก (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๕๑) 25หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

ยคุ ทองของราชอาณาจักรปตานี คอื การเปน็ เมืองทา่ ส�ำคญั ทางการค้าขายกบั ประเทศตา่ งๆ รายชือ่ ผจู้ ัดการด้านการคา้ ของฮอลนั ดาในปตานี ๑. Daniel van der Leck – (๑๖๐๑ - ๑๖๐๘) ๒. Victor Sprinckel – (๑๖๐๘ - ๑๖๑๔) ๓. Hendrick Janssen – (๑๖๑๔ - ๑๖๑๘) ๔. Gerrant Fredericksz Druijf – (๑๖๑๘ - ๑๖๒๑) (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๕) ๑.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรปตานีกับองั กฤษ ในปี ค.ศ. ๑๖๐๐ กษัตรีย์ฮีเญาทรงแต่งต้ัง John Smith ชาวอังกฤษเป็นท่ีปรึกษาของรัฐบาลปตานี ดารุสสลาม (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๔๙) จากหนงั สอื ของมอรแ์ ลนด์ (๑๙๓๔: ๖๒)๑ ชือ่ Peter Floris : His Voyage to the East Indies in the Globe ๑๖๑๑ - ๑๙๑๕ ชาวองั กฤษคนหนง่ึ ทม่ี าอาศยั อยใู่ นปตานี เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๑๕๕ - ๒๑๕๖/ ค.ศ. ๑๖๑๒ - ๑๖๑๓ ช่อื ปีเตอร์ ฟลอริส ได้บันทกึ เก่ียวกับกษตั รียฮ์ ีเญา ดังน้ี “๓๑ DECEMBER THE QUEENE GOETH FORTHE ON HUNTING. The Queene, being accompanyed with a greate traine of prauwes (perahu), above ๖๐๐ in number, wente to sporte hirselfe, going att the fyrste to ley att Sabrangh, where they assembled theymselves; where wee wente to salute hir, having both sight and speech of hir in company of the Hollanders, being a comely olde woman, nowe aboute the age of [blank] years; shee was tall of person and full of majestie, having in all the Indies not seene many lyke unto hir….” ๑ Floris, Peter (๒๐๐๒) [๑๙๓๔]. Mooreland, W.H., ed. Peter Floris His Voyage to the East Indies in the Globe, ๑๖๑๑ - ๑๖๑๕ Siam, Pattani, Bantam. White Lotus Co., Ltd. 26 หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

คำ� แปลโดยสรุป “วันท่ี ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๕๕ กษัตรีย์ฮีเญาเสด็จออกล่าสัตว์พร้อมข้าราชบริพารและเรือกว่า ๖๐๐ ล�ำ เพ่ือล่าสัตว์ที่สะบารังตันหยง มีคนมาต้อนรับและแสดงความเคารพพระองค์ตลอดสองข้างทาง เราได้สนทนากับพระองค์พร้อมกับชาวฮอลันดา พระองค์มีพระชนมายุมากแล้ว ทรงมีรูปร่างสูงและ มีอ�ำนาจบารมี ไม่เคยเห็นใครในคาบสมุทรนีม้ บี ุคลิกเช่นน้ีมาก่อน” บันทึกของปีเตอร์ ฟลอริส (๑๙๓๔ : ๖๓)๒ ยังระบุว่า วันรุ่งขึ้น คือวันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๑๕๖ เขาและชาวฮอลันดาถูกเชิญให้ไปร่วมงานรื่นเริง พวกเขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี มีการแสดงและเต้นร�ำของ ผู้หญิงและเด็กๆ ซ่ึงสวยงามมาก นอกจากน้ีปีเตอร์ ฟลอริส ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับกษัตรีย์ฮีเญาอีกหลายตอน รวมท้งั การเจรจาท่ีจะตงั้ คลงั สินค้าของอังกฤษที่ปตานี เขาจึงตอ้ งเข้าๆ ออกๆ พระราชวังหลายครัง้ เม่ือ พ.ศ. ๒๑๔๒/ ค.ศ. ๑๕๙๙ มีทายาทของโต๊ะอาโฆ๊ะ (ล้ิมโต๊ะเค่ียม) รับราชการ คือ จาง หล่ีกุ้ย, หล่ิน อวิ่น (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ๒๕๒๙ : ๔) และในรัชสมัยของกษัตรีย์ฮีเญา ได้มีการสร้างระบบชลประทาน จากบา้ นเตอมางัน ปรฆี ี ไปถงึ คลองปาเระ กรอื เซะ ๒. รชั กาลท่ี ๗ กษตั รียบ์ รี ู บนิ ติ ลสุ ตา่ นมนั ศูรฺ ชาฮฺ ในรัชสมัยท่ีกษัตรีย์บีรูขึ้นครองราชย์นั้น สุลต่านอับดุลเฆาะฟูรแห่งปาหัง พระสวามีของเจ้าหญิงอูงู (พระขนษิ ฐาองคเ์ ลก็ ) ไดส้ น้ิ พระชนมล์ ง กษตั รยี บ์ รี จู งึ มพี ระกระแสรบั สง่ั ใหม้ หาดเลก็ ไปรบั เจา้ หญงิ องู ใู หเ้ สดจ็ กลบั มายงั ราชอาณาจักรมลายูอสิ ลามปตานีพรอ้ มกบั ราชธดิ า คือ เจา้ หญงิ กนู ิง (อ.บางนารา, ๒๕๑๙ : ๓๓) นาเกลอื ทีบ่ านา-ปตั ตานี สะท้อนภาพหนงึ่ ในสินค้ายคุ อดีตอันรงุ่ เรือง ตลอดแหลมมลายจู ะกลา่ วถงึ เกลือเมอื งตานวี า่ รสเอร็ดอร่อยกลมกลอ่ ม (Garam patani Rasayamanis) กษตั รยี บ์ รี ไู ดบ้ รู ณะคลองชลประทานเตอมางนั ในปเี ดยี วกนั นเี้ กดิ นำ�้ ทว่ มนาขา้ วของราษฎร จนไมส่ ามารถ ท�ำนาข้าวและนาเกลือได้ พระองค์จึงทรงบัญชาให้สร้างท�ำนบประตูน�้ำข้ึน ราษฎรเรียกท�ำนบนี้ว่า ตาเนาะบาตู ปจั จุบนั อยทู่ ่ี ต�ำบลคลองมานิง อำ� เภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๓ : ๖๑) ๒ Floris, Peter (๒๐๐๒) [๑๙๓๔]. Mooreland, W.H., ed. Peter Floris His Voyage to the East Indies in the Globe, ๑๖๑๑ - ๑๖๑๕ Siam, Pattani, Bantam. White Lotus Co., Ltd. 27หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ท้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

กษัตรีย์บีรู มีพระปรีชาสามารถด้านการปกครองและจูงใจพ่อค้าวาณิชย์เป็นอย่างดี พระองค์ทรง พระราชทานเงินกู้ยืมให้พ่อค้าชาวอังกฤษและชาวฮอลันดาน�ำไปซ้ือข้าวของเครื่องใช้เข้าบริษัทของตน ในยามขาดแคลนเงินลงทนุ ดงั ปรากฏหลักฐานในจดหมายของนายคอรล์ ิสฟอน นวิ รุท ความวา่ “ข้าพเจา้ นำ� เงนิ ท่ี ยมื มาจากนางพญาปตานี (กษตั รยี บ์ รี )ู ไปซอ้ื สนิ คา้ ไวม้ ากพอทเี ดยี ว คอื ซอื้ ไหมดบิ งามๆ ๒๖ หาบ นำ�้ ตาล ๘๐ หาบ ขิงดอง ๑๖ หม้อ และเครื่องปั้นดินเผา และพระนางสามารถให้ความคุ้มครองแก่บรรดาพ่อค้าท่ีเข้ามาค้าขาย เม่อื ประสบภัย เชน่ ในปี พ.ศ. ๒๑๖๑ ชาวฮอลนั ดาเกิดรบกบั ชาวอังกฤษท่เี ขา้ มาคา้ ขายอยใู่ นราชอาณาจักรปตานี ชาวองั กฤษ ซง่ึ มกี ำ� ลงั นอ้ ยกวา่ ถกู พวกฮอลนั ดาฆา่ และจบั เปน็ เชลย ทเี่ หลอื รอดมาไดก้ ม็ แี ตพ่ วกทห่ี ลบหนเี ขา้ ไปขอ ความคุ้มครองจากกษัตรีย์บีรูเท่านั้น ในการรบคร้ังนี้ชาวอังกฤษเสียเรือสองล�ำ คือเรือ “แซมซัน” และ เรอื “เฮาวน”์ เพราะถกู กองเรอื ฮอลนั ดายงิ ถลม่ จมในอา่ วหนา้ ราชอาณาจกั รปตานี เปน็ เหตใุ หก้ ปั ตนั จอหน์ จรู เ์ ดน เสยี ชีวิต” (อนันต์ วฒั นานกิ ร, ๒๕๓๑ : ๑๑๑ - ๑๑๒) กษัตรีย์บีรูสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๖๗/ ค.ศ. ๑๖๒๔ พระองค์เป็นท่ีรู้จักและเรียกขานกันว่า “มรั ฮูมตือเงาะห”ฺ (Mohd. Zamberi A. Malik, ๑๙๙๓ : ๖๑) ๓. รชั กาลท่ี ๘ กษัตรยี ์ อูงู บินติ สลุ ตา่ นมันศูรฺ ชาฮฺ ในรัชสมัยกษัตรีย์อูงู ข่าวคราวเก่ียวกับสยามจะโจมตีราชอาณาจักรมลายูอิสลามปตานีหนาหูยิ่งขึ้น พระองค์ได้ส่งกองทัพไปโจมตีเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. ๒๑๗๓/ ค.ศ. ๑๖๓๐ เพ่ือตัดก�ำลัง เพราะตามปรกตสิ ยามมักจะสง่ กองทพั จากนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลงุ ไปบุกโจมตปี ตานีเสมอ ใน พ.ศ. ๒๑๗๕/ ค.ศ. ๑๖๓๒ เจ้าชายแห่งรัฐยะโฮร์พร้อมไพร่พลจ�ำนวน ๓,๐๐๐ คน ได้เดินทาง มายังปตานีเพื่อเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าหญิงกูนิง แต่ขณะนั้นพระเจ้าปราสาททองได้ส่งกองทัพมาโจมตีปตานีพอดี ชาวปตานีได้รวมก�ำลังกับชาวยะโฮร์ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ จนในท่ีสุดสามารถขับไล่กองทัพสยาม ลา่ ถอยกลับไปได้ จงึ จดั พิธเี สกสมรสอยา่ งย่ิงใหญ่ ความพ่ายแพ้คร้ังท่ีสองของกองทัพสยามหลังจากท่ีเคยพ่ายแพ้มาแล้วในการท�ำสงคราม ในรัชสมัยของ กษัตรีย์ฮีเญาน้ัน สร้างความเจ็บแค้นแก่ฝ่ายสยามมากย่ิงข้ึน จึงส่งทูตไปเจรจากับบริษัทฮอลันดาให้มาช่วย ในการโจมตีปตานีเป็นครั้งท่ีสาม ในปี พ.ศ. ๒๑๗๗/ ค.ศ. ๑๖๓๔ ทางฮอลันดามีความปรารถนาจะผูกขาดสินค้า บางอย่างกับสยาม คือ ไม้ฝางกับหนังกวาง จึงตกลงท่ีจะส่งเรือจ�ำนวน ๖ ล�ำ พร้อมทหารและอาวุธครบมือ พระเจา้ ปราสาททองทรงสญั ญาวา่ จะใหต้ ามคำ� ขอของฮอลนั ดา หากไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื ทางการคา้ เมอื่ ตกลงกนั แลว้ สยามได้ยกทัพใหญ่ไปโจมตีปตานีทันที แต่ปรากฏว่าฮอลันดาไม่ได้มาช่วยตามที่ได้ตกลงไว้ต้องสู้รบกับปตานี ตามล�ำพัง แต่ขาดแคลนเสบียงอาหารต้องถอยทัพมาอยู่ที่สงขลา เมื่อพระเจ้าปราสาททองทรงทราบเรื่อง กท็ รงกรวิ้ ฮอลนั ดาเปน็ อยา่ งมาก พระองคส์ ง่ั ใหก้ กั ขงั ชาวฮอลนั ดาทอี่ าศยั อยใู่ นกรงุ ศรอี ยธุ ยาไวแ้ ละหา้ มมใิ หค้ นไทย ทกุ คนติดตอ่ หรือคา้ ขายกบั ฮอลันดา ต่อมาทรงพระราชทานอภัยโทษปล่อยชาวฮอลันดาจากท่ีคุมขัง หลังจากท่ีทรงทราบว่าฮอลันดามาช่วย แต่มาช้าเกินไป เมื่อเรือของฮอลันดามาถึงท่ีปตานี กองทัพไทยถอยไปอยู่ท่ีสงขลาแล้ว เม่ือเห็นกองทัพไทยถอย เช่นน้ี เรือฮอลันดาทัง้ ๖ ลำ� ก็กลบั ไปเชน่ กัน กองทัพของสยามท่ีเข้าโจมตีปตานีครั้งน้ัน มาจากกรุงศรีอยุธยาประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน นอกจากนั้น มาจากนครศรีธรรมราช พัทลุง และอ่ืนๆ ส่วนปตานีได้รับความช่วยเหลือจากรัฐมลายูต่างๆ รวมท้ังก�ำลังพล ๕,๐๐๐ คน จากยะโฮร์และปาหงั ท่ีมากบั เรอื จ�ำนวน ๕๐ ล�ำ 28 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

ชาวองั กฤษคนหนงึ่ ชอื่ อเลก็ ซานเดอร์ แฮมลิ ตนั (Alexander Hamilton) มาเยือนราชอาณาจักรมลายู อิสลามปตานีในรัชสมัยกษัตรีย์อูงู ได้เขียนบันทึกไว้ว่า “เมอื งปตานมี ี ๔๓ แควน้ รวมถงึ ตรงั กานู และกลนั ตนั เม่ือโอรสของสุลต่านยะโฮร์ได้สมรสกับบุตรีกษัตรีย์อูงู ของปตานี เมอื งตรงั กานกู เ็ ขา้ ไปอยภู่ ายใตก้ ารปกครอง ของยะโฮร์ สลุ ตา่ นยะโฮรส์ ง่ ขนุ นางคนหนง่ึ ไปปกครอง ที่นั่น ปตานีจึงเหลือ ๔๒ แคว้น ราชอาณาจักรปตานี มีเมืองท่าสองแหง่ คือ กวั ลาปตานี (ปจั จบุ ันชาวบ้าน เรยี กวา่ กวั ลาราหรอื กวั ลาโตะ๊ อาโกะ) และกวั ลาบอื เกาะฮฺ (ปากแมน่ ำ้� ปตั ตานปี จั จบุ นั ) พลเมอื งปตานี ในขณะนนั้ มรี าษฏรชายทม่ี อี ายเุ กนิ ๑๖ ปี รวมทง้ั สนิ้ ๑๕๐,๐๐๐ คน ปตานี มีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็น เมืองใหญ่เมืองหนึ่ง จากประตูพระราชวังถึงหมู่บ้าน บานา (บนั ดรั ) มบี า้ นเรอื นไมข่ าดสาย หากแมวตวั หนง่ึ เดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้นจากพระราชวังจนสุด พืน้ ทบี่ ริเวณปากอ่าวปตั ตานีในปัจจบุ ัน มันจะเดินได้ตลอดโดยไม่จ�ำเป็นต้องลงเดินบน พืน้ ดินเลย” ในปี พ.ศ. ๒๑๗๘/ ค.ศ. ๑๖๓๕ กษัตรยี ์อูงูสิ้นพระชนม์ลง และกษัตรียก์ นู งิ ข้นึ ครองราชย์ต่อ (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๔๑ - ๔๕) ๔. รชั กาลที่ ๙ กษตั รียก์ ูนิง บนิ ติ สลุ ตา่ น อบั ดุลเฆาะฟรู แห่งรฐั ปาหงั ในเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๑๗๘ หรือ ค.ศ. ๑๖๓๕ รัฐไทยได้ส่งทูตไปเจรจากับกษัตรีย์กูนิง ๕ เดือน หลังจากนั้นพระองค์ได้ส่งอุปทูตไปยังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๑๗๙ หรือ ค.ศ. ๑๖๓๖ พระองค์ทรงส่งตัวแทนน�ำเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปยังกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง Van Vliet ระบุว่า การส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองคร้ังนี้ พระเจ้ากรุงสยามน้อมรับด้วยความยินดียิ่ง และในปี พ.ศ. ๒๑๘๔ หรือ ค.ศ. ๑๖๔๑ กษตั รยี ก์ นู งิ ทรงเสดจ็ ไปกรงุ ศรอี ยธุ ยาด้วยพระองคเ์ องเพ่ือฟนื้ ฟสู ัมพนั ธภาพระหวา่ งประเทศท้งั สอง อย่างไรก็ตาม การส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองหรือเคร่ืองราชบรรณาการน้ัน มักเกิดความเข้าใจผิดเสมอ กล่าวคือ ผู้ให้มีความประสงค์ว่าเหตุท่ีให้ไปน้ัน เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์หรือสร้างสันติภาพระหว่างประเทศ ผู้ให้กับประเทศผู้รับ แต่ฝ่ายผู้รับมักจะเข้าใจผิดคิดว่าประเทศผู้ให้ยินดีจะเป็นเมืองข้ึนหรือประเทศราชของตน ยกตัวอย่างเช่น บรรดาต่างชาติที่ไปมาค้าขายหรือส่งทูตไปยังเมืองจีนหรือส่งเคร่ืองราชบรรณาการไปถวายนั้น จีนถือว่าประเทศเหล่าน้ันอ่อนน้อมยอมขึ้นต่อตนรวมท้ังประเทศไทยด้วย และจีนถือว่ากษัตริย์ของตนเป็นฮ่องเต้ สว่ นกษัตรยิ ป์ ระเทศอนื่ ถือเป็นชัน้ ออ๋ งเท่านน้ั เหตุการณเ์ ปน็ มาอยา่ งนห้ี ลายรอ้ ยปี จนถึงคราวท่ีอังกฤษกับฝรง่ั เศส ท�ำสงครามกับจีนและในที่สุดประเทศจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขณะท่ีชาวตะวันตกเดินทัพจะเข้าเมืองปักกิ่ง จีนก็ท�ำธง เขยี นตวั หนงั สอื จนี นำ� หนา้ วา่ เขาเหลา่ นจี้ ะเขา้ ไปคำ� นบั ออ่ นนอ้ มตอ่ ฮอ่ งเต้ โดยชาวตะวนั ตกรตู้ วั วา่ ตนถกู จนี หลอก 29หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

ในเร่ืองเหล่านี้ก็เม่ือพวกเขาได้เรียนภาษาจีน จนต้องท�ำหนังสือสัญญาให้จีนยอมรับว่า กษัตริย์ประเทศอื่น เป็นฮ่องเต้เหมือนกษัตริย์ของจีนเช่นกัน ฉะน้ันจดหมายเหตุเก่าของจีน จึงเรียกกษัตริย์ต่างชาติว่าอ๋องและ เหมารวมวา่ การทีท่ ตู ต่างชาตเิ ยอื นเมอื งจนี นน้ั เปน็ การยอมเปน็ เมอื งขน้ึ ของจนี ทั้งสิ้น ในท�ำนองเดียวกันรัฐต่างๆ ในแหลมมลายูที่ส่งทูตหรือเครื่องราชบรรณาการไปถวายแก่พระเจ้าแผ่นดิน สยามในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ทางฝา่ ยสยามกถ็ อื วา่ รฐั เหลา่ นนั้ ไปออ่ นนอ้ มตอ่ ตน ทง้ั ๆ ทรี่ ฐั ตา่ งๆ ในแหลมมลายยู นื ยนั วา่ มิได้เป็นเช่นนั้น ตามท่ีนายจอน แอนเดอร์เซ็น เลขานุการรัฐบาลปีนัง ได้รวบรวมและเขียนประวัติความเป็นมา ของรัฐมลายูตั้งแตป่ ตานี ไทรบุรี สงขลา ในหนงั สอื ช่อื An Account of the Origin and Progress of Siamese Influence in the Malay Peninsula, ๑๗๘๕ - ๑๘๘๒ วา่ รัฐต่างๆ ในแหลมมลายูน้ันเป็นของมลายู ไมเ่ คยเปน็ ของไทยเลย แตถ่ กู ไทยมาแอบอา้ งเอาดอ้ื ๆ อยา่ งไรส้ ทิ ธใิ ดๆ ทง้ั สน้ิ สลุ ตา่ นบางรฐั เชน่ ตรงั กานู บอกวา่ ไมข่ น้ึ กบั ไทย และการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปน้ัน ก็ไม่ใช่เร่ืองของการส่งเคร่ืองราชบรรณาการแต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ แห่งมิตรภาพเท่านั้น ส่วนรัฐปาหังและตรังกานู ทั้งสองรัฐดังกล่าวมิได้เพียงแต่ให้ดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกๆ สามปีแกไ่ ทยเท่าน้นั แตย่ งั สง่ ดอกไมเ้ งินดอกไม้ทองดงั กลา่ วไปยังสุลตา่ นซยี ักทกุ ๆ สามปเี ช่นกัน การสง่ ดอกไมเ้ งนิ ดอกไมท้ องในรชั สมยั ของกษตั รยี ก์ นู งิ ในปี พ.ศ. ๒๑๗๙/ ค.ศ. ๑๖๓๖ และการทพ่ี ระองค์ ได้เสด็จไปยังกรุงศรีอยุธยาด้วยพระองค์เองในปี พ.ศ. ๒๑๘๔/ ค.ศ. ๑๖๔๑ น้ัน ท�ำให้ฝ่ายไทยเข้าใจว่ากษัตรีย์ แห่งปตานีได้อ่อนน้อมยอมเป็นประเทศราชของไทย และในสมัยพระนารายณ์มหาราช ไทยต้องการให้อังกฤษ เปน็ พนั ธมิตรแต่อังกฤษไมย่ อมรับเพราะอังกฤษรวู้ ่าขณะน้ันปตานีไมไ่ ด้เปน็ ของไทย กษตั รยี ก์ นู งิ มไิ ดย้ กราชอาณาจกั รมลายอู สิ ลามปตานใี หเ้ ปน็ ประเทศราชของไทย Van Vliet ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ า่ การส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง (Bunga Mas) คร้ังนั้นเพ่ือเป็นการแสดงว่า “ราชอาณาจักรท้ังสองได้สถาปนา สันติภาพขี้นแล้ว โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่ดูหม่ินหรือท�ำลายซึ่งกันและกัน” ส่วนการเสด็จไปกรุงศรีอยุธยา ของกษัตรีย์กูนิงน้ัน ในบันทึก Dagh-Register ระบุว่า เพ่ือฟื้นฟูสันติภาพ (to renew the peace) เท่าน้ัน (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๔๖ - ๕๑) ความรู้สำ� คญั จากบทท่ี ๓ ๑. ตั้งแตร่ ัชกาลท่ี ๔ ถงึ รชั กาลที่ ๖ ผู้ครองราชยอ์ าณาจักรปตานี ล้วนเปน็ กษัตรียท์ ้งั สน้ิ รวมระยะเวลา ๕๑ ปี (พ.ศ. ๒๑๗๗ – ๒๒๒๘) ๒. ในหว้ งเวลาดงั กลา่ วนนี้ บั เปน็ ยคุ ทองของราชอาณาจกั รปตานี ทงั้ ทางดา้ นการคา้ ขาย การสรา้ งสมั พนั ธ์ ไมตรี และการแลกเปลี่ยนเรยี นร้ทู างวฒั นธรรมต่างๆ กบั ตา่ งประเทศ ขอ้ คิดและบทเรยี นทไี่ ด้รบั จากประวตั ศิ าสตร์ ๑. ประวัติศาสตร์สอนให้เรารบั รูถ้ ึงข้อเท็จจรงิ ทางสงั คมว่า เมือ่ บ้านเมืองมคี วามเจรญิ สูงสุดก็จะกลับมาสู่ ความตกต่ำ� ท่ีสุดอีกครัง้ หนง่ึ ประหน่ึงว่าเป็นวัฏจกั รของสังคมทีเ่ ปน็ สัจธรรม ๒. ทุกครั้งที่มีสงครามเกิดขึ้น ผู้แพ้คือบ้านเมืองและประชาชน เพราะทุกครั้งที่เกิดสงครามข้ึนส่ิงท่ี ตามมาคือความเสียหาย ซึ่งเป็นสัจธรรม จึงควรคิดหาวิธีการเพ่ือป้องกันอย่าให้มีสงครามเกิดขึ้น ด้วยการส่งเสริม และสร้างสรรค์สังคมมนุษยชาติให้เกิดสันติสุขอย่างย่ังยืน 30 หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

บทท่ี ๔ ปาตานสี มยั ภายใตก้ ารปกครองของราชวงศก์ ลนั ตนั กษัตรีย์กูนิงส้ินพระชนม์ในราวปี พ.ศ. ๒๒๓๑/ ค.ศ. ๑๖๘๘ พระองค์ไม่มีทายาทจากราชวงศ์ศรีวังศา ท่ีจะปกครองปาตานีต่อ ฝ่ายขุนนางได้แต่งต้ังรายาบาการฺ (บากัล) ซึ่งเป็นเช้ือพระวงศ์ของกลันตันและ เป็นขุนนางคนหน่ึงของปาตานี จากหมู่บ้าน “ตะลก” เป็นราชาปกครองปาตานี แต่ราชาองค์นี้ปกครองปาตานี เพยี งสองปีก็สนิ้ พระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๒๓๓ หรือ ค.ศ. ๑๖๙๐ ชนรุน่ หลงั ขนานนามราชาผ้นู ีว้ ่า “มรั ฮมู ตะลก” ต่อมาบรรดาขนุ นางได้เชิญโอรสของเจ้าเมืองกลันตนั อีกองคห์ น่ึงมาเป็นราชา มนี ามว่า “อะมัส กลันตนั ” ราชาองค์นี้ครองราชยเ์ ป็นเวลา ๑๗ ปี (พ.ศ. ๒๒๓๓ - ๒๒๕๐ หรอื ค.ศ. ๑๖๙๐ - ๑๗๐๗) ชนรนุ่ หลังขนานนามว่า “มัรฮูม กลันตัน” โอรสของพระองค์ที่มีนามว่า “อะมัส จายัม” ขึ้นครองราชย์ต่อ แต่ครองราชย์ได้เพียง ๓ ปี (พ.ศ. ๒๒๕๐ - ๒๒๕๓ หรอื ค.ศ. ๑๗๐๗ - ๑๗๑๐) ก็ถูกขบั ออกจากบัลลังก์ มีการแต่งตั้งกษตั รยี เ์ ดวจี ากเคดาห์ ขึ้นครองราชย์แทน กษัตรีย์เดวีครองราชย์เป็นเวลา ๙ ปี (พ.ศ. ๒๒๕๓ - ๒๒๖๒ หรือ ค.ศ. ๑๗๑๐ - ๑๗๑๙) กส็ ละบัลลังก์ ตอ่ มาบรรดาขนุ นางแตง่ ตง้ั รายาบนึ ดงั บาดนั ขน้ึ ครองราชย์ แตค่ รองราชยไ์ ด้ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๒๖๒ - ๒๒๖๖ หรือ ค.ศ. ๑๗๑๙ - ๑๗๒๓) ก็ถูกขุนนางคนหน่ึงช่ือ ราชา ลักสะมะนา ดาจัง ขับออกจากบัลลังก์และต้ังตน เป็นรายาปกครองปาตานี แต่ราชาลักสะมะนา ดาจัง ครองราชย์อยู่เพียง ๑๑ เดือน ก็ถูกขุนนางคนอ่ืนๆ ขบั อีก ขนุ นางเหลา่ นัน้ เรียนเชิญ รายา อะมัส จายมั จากกลันตนั ข้ึนครองราชย์อีกคร้ังหนึ่ง รายา อะมัส จายัม ครองราชย์ต่อเพียง ๒ ปี (พ.ศ. ๒๒๖๗ - ๒๒๖๙ หรือ ค.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๒๖) กส็ ้นิ ชวี ิต จากนนั้ อาลง ยนู สุ ราชาจากพระราชวงั อายรฺลเิ ละฮฺ ก็ขึ้นครองราชยแ์ ทน เม่ืออาลง ยูนุส ครองราชยไ์ ด้ ๑๑ เดือน กเ็ กิดสงครามกลางเมอื งข้ึน อาลง ยนู สุ ถูกยิงเสยี ชีวติ เม่ือปี พ.ศ. ๒๒๗๐ หรอื ค.ศ. ๑๗๒๗ ศพถูกฝงั ไว้ ทห่ี มบู่ า้ นปยู ดุ จากนนั้ บรรดาขนุ นางตา่ งๆ ไมย่ อมกม้ หวั ใหใ้ คร เมอื งปาตานจี งึ ไรก้ ษตั รยิ ป์ กครองเปน็ ระยะเวลาหนงึ่ ต่อมามีขุนนางท่านหน่ึงท่ีบ้านดูวา (ปัจจุบันอยู่ใน อ.มายอ จ.ปัตตานี) มีอิทธิพลข้ึนมาและสถาปนาตนเป็นราชา ถูกขนานนามวา่ “สุลตา่ นมฮุ ัมมัด” (ดวู า) อย่างไรก็ตาม นับต้ังแต่รัชสมัยของราชาบาการฺเป็นต้นมา ปาตานีไม่มีศัตรูมารบราน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสยามเนอื่ งจากขณะนนั้ สยามกำ� ลงั ประสบปญั หาการเมอื งภายใน มขี บถและการแยง่ ชงิ อำ� นาจ รวมทง้ั เกดิ สงครามกลางเมืองอีกด้วย ประกอบกับมีข่าวว่า พม่าจะบุกจึงท�ำให้ศึกสงครามระหว่างสยามกับปาตานีสงบลง ชั่วคราว อย่างไรก็ตามด้วยเหตุท่ีไม่ได้จับอาวุธเป็นเวลานานและเกิดความขัดแย้งระหว่าง ขุนนางต่างๆ ท�ำให้ ปาตานีอ่อนแอลงในด้านก�ำลงั พลและการป้องกันตนเอง ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างสยามกับพม่า ใน พ.ศ. ๒๓๑ หรือ ค.ศ. ๑๗๖๘ กรุงศรีอยุธยา ถูกพม่าโจมตีจนแตก บรรดาเจ้าเมืองต่างก็ตั้งตนปกครองกันเอง รวมถึงนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง จากนน้ั พระเจา้ ตากสนิ ไดร้ วบรวมสมคั รพรรคพวกเขา้ โจมตพี มา่ จนสามารถยดึ กรงุ ศรอี ยธุ ยาคนื มาได้ แตเ่ นอื่ งจาก กรุงศรีอยุธยาเสียหายมาก จึงต้องย้ายเมืองหลวงไปต้ังที่กรุงธนบุรี แล้วจึงส่งกองทัพไปปราบปรามเมืองต่างๆ ทต่ี ั้งตนเปน็ อิสระมาอยใู่ ต้อำ� นาจเกือบหมดสิ้น 31หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

ปี พ.ศ. ๒๓๑๒ หรือ ค.ศ. ๑๗๖๙ พระเจา้ ตากสนิ ส่งกองทพั ไปปราบปรามนครศรธี รรมราช พระยานคร ไมอ่ าจสไู้ ดจ้ งึ พาครอบครวั หนไี ปพง่ึ เจา้ เมอื งพทั ลงุ ตอ่ มากไ็ ปยงั เมอื งสงขลา กองทพั พระเจา้ ตากสนิ ก็ติดตามจนถึงสงขลา ในท่ีสุดท้ังพระยานคร พระยาสงขลา และ พระยาพัทลงุ ตา่ งกห็ นไี ปอาศัยอย่ทู ปี่ าตานี พระเจ้าตากสินมหาราช กองทัพสยามติดตามเจ้าเมืองไปถึงเขตแดนปาตานี และ ส่งตัวแทนไปพบสุลต่านมุฮัมมัดให้ส่งเจ้าเมืองท้ังสามคืนให้แก่กองทัพ สยาม มิเช่นนั้นแล้วปาตานีจะไม่ปลอดภัย สุลต่านมุฮัมมัดเห็นท่า ไม่ค่อยดี ประกอบกับเจ้าเมืองทั้งสามไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับปาตานี จงึ ไดส้ ง่ เจา้ เมอื งนคร เจา้ เมอื งสงขลาและเจา้ เมอื งพทั ลงุ ใหก้ องทพั สยาม กองทัพสยามจงึ ถอยกลับ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ หรือ ค.ศ. ๑๗๗๖ พม่าโจมตีสยามอีกคร้ัง ทางฝ่ายสยามส่งคนมายังปาตานี เพื่อขอให้ ปาตานีช่วยเหลือ โดยให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไปยืมเงินจากสุลต่านมุฮัมมัดเป็นจ�ำนวน ๑๐๐๐ ชั่ง เพ่ือซือ้ อาวุธ แตท่ างฝ่ายสลุ ต่านไมย่ อมให้ เจ้าเมอื งนครต้องกลบั ไปดว้ ยความผิดหวงั ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ หรอื ค.ศ. ๑๗๘๒ พระเจา้ ตากสินสนิ้ ชีวติ สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก (รชั กาลที่ ๑) ทรงขน้ึ ครองราชบลั ลงั คแ์ ละย้ายเมืองหลวงไปอยทู่ ก่ี รงุ เทพมหานคร (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๕๒ - ๕๗) ในยคุ ทป่ี าตานอี ยภู่ ายใตก้ ารปกครองของราชวงศก์ ลนั ตนั นน้ั นอกจากจะเกดิ เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วขา้ งตน้ แลว้ ความเจริญรุ่งเรืองด้านการค้าและการติดต่อกับต่างชาติก็เริ่มเส่ือมลงเรื่อยๆ ต่างกับสมัยท่ีปาตานีอยู่ภายใต้ การปกครองของบรรดากษตั รยิ แ์ ละกษตั รยี ซ์ ง่ึ การคา้ เจรญิ รงุ่ เรอื งมาก โดยในระยะหลงั ๆ แทบไมม่ พี อ่ คา้ จากยโุ รป เขา้ มาท�ำการค้าขายกบั ปาตานีเลย จะมกี ็แตพ่ ่อค้าชาวตะวันออกเทา่ นั้น เช่น จนี ญ่ีปุ่น อินเดียและอาหรับ ความสำ� คญั จากบทที่ ๔ ๑. ตง้ั แตก่ ษตั รยี ก์ นู งิ สน้ิ พระชนม์ (พ.ศ. ๒๒๓๑) ไดเ้ กดิ การแยง่ ชงิ ราชบลั ลงั กใ์ นอาณาจกั รปาตานหี ลายครง้ั ท�ำใหบ้ า้ นเมืองอ่อนแอลงอย่างเหน็ ได้ชัด ๒. ในห้วงเวลาระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๓๒๕ การคา้ ขายและความสัมพันธก์ บั ตา่ งชาตเิ ร่มิ เส่ือมถอยลง ซ่ึงอาจเป็นเพราะความขดั แย้งภายในของอาณาจกั รปัตตานี (ตามขอ้ ๑ นั่นเอง) ข้อคิดและบทเรยี นทไ่ี ดร้ ับจากประวตั ศิ าสตร์ ๑. กเิ ลสตณั หาการชงิ ดชี งิ เดน่ และความจงเกลยี ดจงชงั เคยี ดแคน้ ไมเ่ คยพฒั นาภมู ภิ าคใดใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ได้เลยแมแ้ ตน่ ้อย ๒. ผลจากการท�ำสงครามสอนให้รู้ว่า “ชนะด้วยอาวุธ จะส้ินสุดด้วยความแค้น แต่หากใช้คุณธรรม มาทดแทนความแค้นกจ็ ะหมดไป” ๓. ผู้ที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ควรรู้จักแยกแยะส่วนดีส่วนเสียในการน�ำมาเป็นข้อคิดและบทเรียน เพ่ือพฒั นาปจั จุบัน อนาคตของตนเองและบา้ นเมอื งให้ไดม้ ากท่ีสุด 32 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

บทที่ ๕ ปตานีภายใตส้ ยามประเทศและปัตตานีวนั นี้ พระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่ายกทัพใหญ่มาตีสยามในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ / ค.ศ. ๑๗๘๕ อีกครั้ง สงครามคร้ังนี้ เรียกว่า สงครามเก้าทัพ กองทัพพม่าตีลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครศรีธรรมราช แต่สมเด็จกรมพระราชวัง บวรมหาสุรสิงหนาท ก็เสด็จยกทัพหลวงไปปราบปรามพม่าจนพ่ายไป จากน้ันทรงเสด็จไปยังเมืองสงขลา และส่งกองทัพไปประชิดดินแดนปตานี เพื่อให้ปตานียอมอ่อนน้อมต่อสยาม แต่สุลต่านมุฮัมมัดไม่ยอมเพราะ การกระทำ� เช่นนัน้ เป็นการหม่ินเกียรตขิ องพระองคแ์ ละทำ� ใหป้ ตานีหมดอิสรภาพ อย่างไรก็ตามปตานีและสยามก็มีการสู้รบกันเร่ือยมา จนกระทั่งในที่สุดกองทัพสยามภายใต้การน�ำ ของพระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากร แม่ทัพหน้า คุมกองทัพยกไปโจมตีปตานีได้ส�ำเร็จ ปตานีพา่ ยแพส้ งคราม และในสงครามคร้งั น้สี ลุ ต่านมฮุ มั มดั ถูกยงิ เสยี ชีวิตในสนามรบ สาเหตุหน่ึงท่ีท�ำให้ปตานีพ่ายแพ้อย่างง่ายดายก็เน่ืองมาจากมีหนอนบ่อนไส้ กล่าวคือสุลต่านปตานี มอบความไวว้ างใจแกช่ าวสยามคนหนงึ่ ชอื่ นายจนั ทอง เดมิ เปน็ ชาวนครศรธี รรมราช แตม่ าอยทู่ ป่ี ตานเี ปน็ เวลานาน เมื่อสุลต่านทราบว่ากองทัพสยามจะบุกปตานี พระองค์ได้แบ่งกองทัพปตานีออกเป็น ๒ กองทัพ ทัพหน้าตั้งค่าย อยทู่ ่ปี ากแมน่ �ำ้ ปตานี สว่ นอีกทพั หน่งึ ตงั้ ค่ายในเมือง นายจนั ทองรบั อาสาเปน็ แม่ทัพหนา้ ไปรักษาคา่ ยทปี่ ากแมน่ ้ำ� ปตานี ไม่ให้กองทัพสยามเข้ามาในเมืองได้ โดยขอปืนใหญ่ ปืนเล็ก กระสุนดินด�ำ เสบียงอาหารและเรือปากกว้าง ๕ ศอก ล�ำหน่ึง เพื่อทว่ี ่าเมือ่ นายจันทองยงิ เรอื ของกองทพั สยามจมลงแล้ว นายทองจนั จะไดล้ งเรอื ปากกวา้ งนั้นไป จับกองทัพสยามได้โดยง่าย สุลต่านปตานีเห็นด้วยจึงจัดเสบียงและส่ิงของต่างๆ ตามท่ีนายจันทองต้องการ โดยไม่ทราบว่านายจันทองจะทรยศในภายหลัง ตกกลางคืนนายจันทองกับเพื่อนชาวสยามที่มาด้วยกัน ไดพ้ าครอบครวั และขนขา้ วของลงเรอื แลว้ ไปหากองทพั สยาม ความลบั ของปตานจี งึ ถกู เปดิ เผย ทำ� ใหก้ องทพั สยาม ตปี ตานไี ดโ้ ดยง่าย๑ เมื่อปตานีต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามต่อกองทัพสยาม สิ่งที่เกิดข้ึนตามมาตามวิธีปฏิบัติของ การท�ำสงครามในสมัยโบราณคือผู้ชนะจะต้องควบคุมก�ำลังพลและชาวเมืองอีกท้ังทรัพย์สินเงินทองอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ท้ังหมดมาเป็นของฝ่ายตน ท้ังนี้เพ่ือเป็นการป้องกันและเป็นการตัดทอนก�ำลังของฝ่ายตรงกันข้าม มิให้ก่อสงครามข้ึนมาอีก ส่วนการปกครองได้แต่งตั้งขุนนางมลายูท่านหน่ึงมาเป็นเจ้าเมืองแทนเจ้าเมืองคนเก่า เพ่ือความสะดวกต่อการบริหารจัดการบ้านเมืองในเวลาต่อมาก็ถือเป็นการให้เกียรติชาวมลายูและให้เกิด ความเขา้ ใจตอ่ เน่ืองในการปกครองบ้านเมอื ง ในหนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มระบุว่า หลังสงครามเสร็จสิ้นลง กองทัพสยามได้รวบรวมเชลยศึก ซึ่งเป็นชาวปัตตานีพร้อมทรัพย์สินเงินทองข้าวสารอาหารแห้งรวมถึงปืนใหญ่จ�ำนวน ๒ กระบอก ลงเรือส่งไปยัง กรุงเทพมหานคร จึงมีคนเชื้อสายมลายูปัตตานีไปอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมลฑลจึงถึงทุกวันนี้ และมีหลายท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้มียศมีต�ำแหน่งทางสังคมจนเป็นท่ีรู้จัก เช่น จุฬาราชมนตรีและอีกหลายๆ ต�ำแหน่งทสี่ ร้างคณุ ประโยชนต์ ่อบา้ นเมืองอย่างหลากหลายในเวลาต่อมา ๑ ดู “พงศาวดารเมอื งสงขลา” เรยี บเรยี งโดย พระยาวเิ ชยี รครี ี (ชม), ประชมุ พงศาวดารฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาต,ิ เลม่ ๒, สำ� นกั พมิ พก์ า้ วหนา้ กรงุ เทพ พ.ศ. ๒๕๐๗, หนา้ ๓๗ - ๔๐ 33หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตร์ท้องถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ปืนใหญ่ท่ีกองทัพสยามยึดได้ ๒ กระบอกน้ัน มีช่ือว่า “ศรีปตานี” (Seri Patani) และ “ศรีนัครี” (Seri Nageri) แต่กระบอกที่ชื่อ “ศรีนัครี” น้ันตกทะเลเสียก่อนระหว่างการขนย้าย มีเพียง “ศรีปตานี” เท่าน้ัน ท่ีกองทัพสยามน�ำกลับไปยังกรุงเทพฯ ได้ ต่อมาภายหลังทางการสยามได้ตกแต่งกระบอกปืนด้วยลวดลายศิลปะ แบบไทย และตั้งไว้หนา้ กระทรวงกลาโหมจนถึงปัจจบุ ัน ปนื ใหญ่ ศรปี ตานี หน้ากระทรวงกลาโหม๒ เจ้าเมืองมลายูที่สยามแต่งต้ังให้ปกครองปตานีภายหลังสงครามครั้งนั้น มีชื่อว่าเต็งกูละมีดีน (เต็งกูเกาะมะรุดดีน) ส่ิงแรกที่เต็งกูละมีดีนกระท�ำคือ รวบรวมไพร่พลและประชาราษฎร์ที่อาศัยกระจัดกระจาย ในพื้นที่ต่างๆ ของตัวเมืองและสร้างพระราชวังข้ึนใหม่ เพราะพระราชวังเก่าท่ีกรือเซะถูกเผาทำ� ลายจนไม่สามารถ ซอ่ มแซมได้ พระราชวงั แห่งใหมต่ ง้ั อยูท่ ี่ ปราวันหรือปราแว ปจั จุบันคอื ตำ� บลยะรงั อำ� เภอยะรัง จงั หวัดปัตตานี ถึงแม้ว่าเต็งกูละมีดีนจะเป็นเจ้าเมืองท่ีฝ่ายสยามแต่งต้ังและเห็นว่ามีความซ่ือสัตย์ต่อสยามจนได้รับ ขนานนามว่า “พระยาวิชิตภักดี ศรีสุรวังษา” แต่ด้วยความรักในแผ่นดินเกิดของตนเอง ในปี พ.ศ. ๒๓๓๒/ ค.ศ. ๑๗๘๙ เตง็ กลู ะมดี นี ไดแ้ ตง่ ตงั้ ทตู คนหนง่ึ ชอ่ื นะคดู าสงุ ถอื สาสนไ์ ปเขา้ เฝา้ กษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งอนั นาม (เวยี ดนาม) ซ่ึงมีพระนามว่า อง-เชียง-สือ (Ong-Chaing-Sue) โดยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ ประกอบด้วยปืนฝังทอง ๒ กระบอก ดาบด้ามทอง ๒ เล่ม แหวนเพชร ๑ วง เพื่อชกั ชวนใหก้ ษัตริยอ์ ง-เชยี ง-สือ โจมตีสยามทางตอนเหนือ ส่วนทางใต้ปตานีจะโจมตีเอง แต่กษัตริย์อง-เชียง-สือ กลับน�ำสาสน์นั้นไปให้แก่ฝ่ายสยามกองทัพสยามภายใต้ การน�ำของ พระยากลาโหมราชเสนาไดเ้ คลอ่ื นทพั มาปราบปรามปตานอี ีกครง้ั หนง่ึ ในขณะที่ นะคดู าสงุ นำ� สาสนไ์ ปยงั เวยี ดนามนน้ั ทางฝา่ ยเจา้ เมอื งปตานกี เ็ ตรยี มกองทพั พรอ้ มรบเรยี บรอ้ ยแลว้ ได้บุกโจมตีเมืองสงขลาและพัทลุงทันที แต่เมืองนครศรีธรรมราชส่งกองทัพไปช่วยต่อต้านกองทัพของปตานีไว้ได้ ขณะเดียวกันกองทัพจากกรุงเทพฯ ก็มาถึงพอดี เกิดสงครามขึ้น สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อเป็นเวลา ๓ ปี ท�ำให้ ฝ่ายปตานีอ่อนแอลง เนื่องจากพื้นท่ีสงครามอยู่ห่างจากราชอาณาจักรปตานีมาก ท�ำให้ต้องถอนทัพไปตั้งรับ ในตัวเมือง ฝ่ายสยามรุกไล่ไปจนถึงราชอาณาจักรปตานีและเกิดสงครามใหญ่อีกคร้ังหน่ึง ในท่ีสุดปตานีก็พ่ายแพ้ เมืองถกู ยดึ เต็งกลู ะมดี นี ถูกจับจำ� คุกจนเสยี ชวี ติ ๒ Ibrahim Syukri. Kerajaan Melayu Patani หนา้ ๙๔ 34 หลกั สูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต้)

คร้งั นถี้ อื เป็นคร้ังท่ี ๒ ทีป่ ตานแี ตก เหตกุ ารณน์ ี้เกิดขึน้ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๔ / ค.ศ. ๑๗๙๑ กองทพั สยามได้ กวาดตอ้ นผคู้ นกลบั ไปยังเมืองหลวง และแตง่ ตัง้ “ดาตูปังกาลัน” แห่งหมู่บา้ นปงั กาลันบือซา ซ่ึงเป็นขนุ นางมลายู ท่ีมีอ�ำนาจคนหน่ึงเป็นเจ้าเมืองปตานี และแต่งตั้งยศเป็น “หลวง” ลูกหลานของหลวงผู้น้ีชาวเมืองเรียก “ลง” นำ� หนา้ ชอ่ื จรงิ นอกจากนยี้ งั แตง่ ตงั้ ชาวสยามเปน็ ขา้ หลวงหรอื ผปู้ กครองและเปน็ กำ� ลงั รกั ษาในเมอื งอกี จำ� นวนหนง่ึ กระท่งั พ.ศ. ๒๓๕๒ / ค.ศ. ๑๘๐๙ ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดาตูปังกาลันได้น�ำพรรคพวกขับไล่ข้าหลวงสยามออกจากปตานี ให้ไปอยู่ท่ีเมืองสงขลา เจ้าเมืองสงขลาได้มีสาสน์ถึงกรุงเทพมหานครว่า ดาตูปังกาลัน คิดการขบถ ทางรัฐบาลสยามจึงให้เจ้าเมืองสงขลา และนครศรีธรรมราชไปปราบปรามดาตูปังกาลันและดาตู (ขุนนาง) อื่นๆ เช่น ดาตูปูยุด ดาตูสาย เป็นต้น แตด่ าตเู หลา่ นน้ั ไดร้ วมกำ� ลงั คนตอ่ ตา้ น จนกองทพั นครศรธี รรมราช และสงขลาตอ้ งถอยกลบั ไป ตอ่ มากองทพั หลวง จากกรุงเทพมหานคร ภายใต้การน�ำของสมเด็จกรมพระราชวังบวร มหาสุระสิงหนาท กรมหลวงเสนานุรักษ์ เคล่ือนทัพมาถึงและสมทบกับกองทัพสงขลา นครศรีธรรมราชและพัทลุง เกิดการรบกันอีกครั้ง ทั้งทางทะเล และทางบก ในท่ีสุดดาตูปังกาลันก็เสียชีวิตในขณะต่อสู้ แต่ข้อมูลบางกระแสระบุว่า ดาตูปังกาลันถูกจับพร้อมกับ เชลยอ่ืนๆ แล้วไปตั้งบ้านเรือนบริเวณหลังวัดอนงคารามฝั่งธนบุรีจนถึงบัดน้ี ส่วนดาตูอื่นๆ หลบหนีไปได้ กองทพั สยามเขา้ ยึดปตานีไวไ้ ด้อกี ครงั้ ภาพแสดงถึงยุทธนาวีในอดตี 35หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

หลงั จากยดึ ราชอาณาจกั รปตานไี ดแ้ ลว้ กองทพั สยามกจ็ บั กมุ ชาวปตานเี ปน็ เชลยและสง่ ไปกรงุ เทพมหานคร ตลอดจนจัดระเบียบการปกครองใหม่เสียใหม่ โดยแต่งตั้งปลัดจะนะ (นายขวัญซ้าย) ปกครองเมืองปตานีแทน ชาวมลายูปตานี ปลัดจะนะจึงเป็นชาวสยามคนแรกที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปตานีและมีชาวสยาม จากสงขลาประมาณ ๕๐๐ ครอบครวั เปน็ กำ� ลงั รกั ษาราชการในเมอื ง ปลดั จะนะเปน็ เจา้ เมอื งอยหู่ ลายปกี เ็ สยี ชวี ติ ในปี พ.ศ. ๒๓๕๘ จากน้ันนายพ่าย น้องชายของปลัดจะนะก็ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าเมืองปตานีต่อ โดยมีนายยิ้มซ้าย (หลวงสวัสดิภักดี) บตุ รของปลัดจะนะเป็นผชู้ ่วย ในสมยั ทนี่ ายพา่ ยเปน็ เจา้ เมอื งปตานนี น้ั เรม่ิ มปี ญั หาทะเลาะเบาะแวง้ กบั ชาวมลายปู ตานอี กี ครงั้ นายพา่ ย จึงมีสาสน์ถึงเมืองสงขลา เจ้าเมืองสงขลารายงานสถานการณ์ท่ีปตานีให้เมืองหลวงทราบ จึงได้มีการปรับปรุง การปกครองเสยี ใหมใ่ หเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ คอื การใชน้ โยบาย “แยกแลว้ ปกครอง” (Divide and Rule) ทันที ๑. การแบ่งแยกพน้ื ทคี่ รง้ั แรกในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ อนันต์ วัฒนานิกร ได้กล่าวในหนังสือ แลหลังเมืองตานีเกี่ยวกับการแบ่งแยกเมืองตานีว่า “พงศาวดาร สงขลาได้กล่าวว่า หลังจากปราบกบฏ ดาตูปะกาลัน เสร็จส้ินลงแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมพี ระบรมราโชบายใหแ้ ยกเมอื งตานี ออกเปน็ ๗ หวั เมอื ง เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ มอื งตานี กอ่ ความไมส่ งบขน้ึ อกี อนั เป็นเหตุให้ส้ินเปลืองเวลา พระราชทรัพย์ และชีวิตผู้คนในการปราบปราม อนึ่งเมืองสงขลาผู้ควบคุมดูแล เมืองตานสี มัยน้ันยงั ด้อยในก�ำลงั คน เศรษฐกจิ ส้เู มอื งตานไี มไ่ ด”้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑/ ค.ศ. ๑๘๐๘ เจ้าพระยาพลเทพฯ เจ้าพระยาอินทคีรี ศรีสมุทรสงคราม รามภักดี (บุญฮุ้ย) ได้ใช้เวลานานถึง ๖ เดือนในการแบ่งแยกอาณาเขตเมืองตานี โดยการแบ่งราชอาณาจักรปตานี ออกเปน็ เมอื งเลก็ ๆ ๗ เมอื ง เรยี กวา่ “บรเิ วณ ๗ หวั เมอื ง” ไดแ้ ก่ เมอื งตานี หนองจกิ ยะหรง่ิ สายบรุ ี ยาลอ รามนั ห์ และระแงะ มกี ารแต่งตง้ั ชาวมลายพู นื้ เมืองเปน็ เจ้าเมือง มชี าวสยามปกครองเพยี งเมอื งเดียว ดงั นี้ วงั เก่าจะบงั ติกอ หนง่ึ ในอดตี ๗ หัวเมอื ง Istana Jembak puyoh cabangtiga patani 36 หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

๑) เมืองตานี ๑. ตวนสหุ ลง (ลกู หลานของดาตูปังกาลัน) ๒. นยิ ซู ุฟ ๓. เตง็ กมู ุฮมั มัด เช้ือสายกลนั ตนั (ส้ินชีวิต พ.ศ. ๒๓๙๙) ๔. เตง็ กปู ูเตะฮฺ อบิ นุ เต็งกูมุฮมั มดั กลันตัน (สน้ิ ชวี ิต พ.ศ. ๒๔๒๔) ๕. เต็งกูตีมุน (เต็งกูบือซารฺ) อิบนุ เต็งกูปูเตะฮฺ (สิ้นชีวิต พ.ศ. ๒๔๓๓) บุตรและบุตรี ของเต็งกูตีมุน (เต็งกูบือซารฺ) มีดังน้ี คือ เต็งกูบือซารฺ (สมรสกับยุวราชากลันตัน) เต็งกูโงะ (สมรสกับเต็งกูหุเซน) เต็งกูนิฮัจญี (เต็งกูอิสมาอีล บิดาของเต็งกูบัดรียะฮฺ ชายาของสุลต่านรัฐเปอร์ลิสในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นเปอรฺไมซูรี อาฆงมาเลเซยี ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๘/ ค.ศ. ๑๙๖๐ - ๑๙๖๕ เตง็ กูตอื เงาะฮฺ (สมรสกบั เจา้ เมืองสายบุรี) และเตง็ กูมหุ มั มัด (เตง็ กูเจะ๊ กูมะ) ๖. เต็งกสู ุไลมาน ชะรฟี ุดดีน อบิ นุ เตง็ กูมุฮมั มดั กลันตนั (สิ้นชวี ติ พ.ศ. ๒๔๔๒) ๗. เต็งกูอับดุลกอดิร เกาะมะรุดดีน อิบนุ เต็งกูสุไลมาน ชะรีฟุดดีน (ส้ินชีวิตท่ีกลันตัน พ.ศ. ๒๔๗๖) บตุ รและบตุ รขี องเตง็ กอู บั ดลุ กอดริ เกาะมะรดุ ดนี มดี งั นี้ คอื เตง็ กอู ะหมดั ไซนลั อะบดิ นี (เตง็ กศู รอี าการ)์ ซบุ ยั ดะฮฺ (เตง็ กบู อื ซาร)ฺ เตง็ กยู ซู ฟุ นรู ดุ ดนี เตง็ กเู ราเฎาะฮฺ (สมรสกบั ราชาฮจั ญอี ะหมดั แหง่ เปรกั ) เตง็ กเู กาะมารยี ะฮฺ เต็งกูยะฮฺเราะหฺมะฮฺ (สมรสกับเต็งกูอับดุลกอดิร เต็งกูปุตรา - บุตรเจ้าเมืองสายบุรี) เต็งกูมะหฺมูดมะไฮยิดดีน อิบนุ เตง็ กูอบั ดลุ กอดิร เกาะมะรดุ ดีน (ฮารเี มามาลายา) สิ้นชีวิต พ.ศ. ๒๔๙๖ (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๘๓ - ๙๕) ๒) หนองจกิ ๑. ตว่ นนิ ๒. ตว่ นกะจกิ (น้องต่วนสุหลง เจา้ เมอื งตาน)ี ๓. นายเม่น (ชาวไทยจากจะนะ) ๔. นายเกล้ยี ง (บุตรนายยิ้มซา้ ย) ๕. นายเวยี ง(พระยาเพช็ ราพบิ าลนฤเบศ) ๖. นายมงิ่ (พระยาพิชรพบิ าล) ๗. นายทดั ๓) ยะหริ่ง ๑. นายพา่ ย (ชาวไทย) ๒. นายยม้ิ ซา้ ย (ชาวไทย) ๓. นยิ ซู ฟุ (ยา้ ยจากเมอื งตาน)ี สนิ้ ชวี ติ พ.ศ. ๒๓๙๖ ๔. สุลต่านเดวา คฤหาสน์พพิ ิธภักดี เมอื งสายบรุ ี ๕. นติ มี ุน (นายแต่ง บุตรนิยซู ุฟ) ๖. นิเมาะ (น้องนิตีมุน) พระยาพิชิตเสนามาต ๗. นิโวะ (บตุ รนิเมาะ) 37หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

๔) สายบรุ ี ๑. นดิ ะหฺ ๒. นิละไบ (เตง็ กูญะลาลดุ ดนี บตุ รนิดะ) ๓. นกิ ลั แปะ (เตง็ กอู ับดุลกอดิร บุตรนลิ ะไบ หรอื พระยาสุริยสุนทรบวรภกั ดี) ๕) ยาลอ ๑. ต่วนยาลอ (ส้ินชีวิต พ.ศ. ๒๓๖๐) ๒. ต่วนบางกอก (บุตรต่วนยาลอ) ๓. นายเมือง (คนไทย) ๔. เต็งกูมุหมั มัดซอและหฺ (ตว่ นบาตู ปเู ตะฮ)ฺ ๕. ตว่ นกะจกิ (เตง็ กสู ุไลมาน พระยาณรงฤทธภิ ักดี) ๖) รามนั ห ์ ๑. ตว่ นมันซูรฺ (ญาติตว่ นยาลอ) ๒. ต่วนกูโน (บุตรตว่ นมันซูรฺ) ๓. ต่วนตีมุน (บตุ รต่วนกูโน พระยารัตนภกั ดี) ๔. ต่วนยากง (เตง็ กูอบั ดุลกันดิส พระยารตั นภกั ดี) ๗) ระแงะ ๑. นเิ ดะ (นอ้ งนดิ ะหฺ เจา้ เมอื งสายบุรี) ๒. นบิ อสู (นิบงซ)ู ๓. ต่วนโนะ (ตวนวันอันโดะ) หรือพระยาภูผาภกั ดี (บตุ รนบิ อส)ู ๔. ต่วนตือเงาะหฺ (ตวนแตะ น้องตวนโนะ) ต่อมามีการจัดระเบียบการปกครองพื้นที่ ๗ หวั เมือง ดังกล่าวเสียใหมใ่ นปี พ.ศ. ๒๔๔๙ โดยแบ่งออกเปน็ ๔ เมือง คอื ๑. เมืองตานี เมอื งหนองจกิ และเมอื งยะหร่ิงเข้าเปน็ เมืองปตั ตานี ๒. เมืองยะลากับเมอื งรามันหร์ วมเปน็ เมืองยะลา ๓. เมืองสายบุรี (ยังคงเดมิ ) ๔. เมอื งระแงะ ยงั คงเดมิ แตเ่ ปลย่ี นชอื่ เปน็ บางนรา ตอ่ มาเปลยี่ นเปน็ เมอื งนราธวิ าส เมอื่ วนั ท่ี ๑๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ท้ัง ๔ เมืองดังกล่าวรวมเป็นมณฑลปัตตานี ต่อมาเปล่ียนค�ำว่า “เมือง” เป็น “จังหวัด” ในวันท่ี ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และยุบจังหวัดสายบุรีลงเป็นอ�ำเภอ ขึ้นต่อจังหวัดปัตตานี ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ทุกจังหวัดก็ข้ึนต่อกระทรวงมหาดไทยในท่ีสุด (อ.บางนรา, ๒๕๑๙ : ๕๗ - ๘๒) 38 หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

การที่ปาตานีถูกแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมือง ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ จนกระทั่งมีการลงนามในสนธิสัญญา ระหว่างสหราชอาณาจักรและราชอาณาจักรสยาม ในวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นผลให้รัฐกลันตัน ตรังกานู เคดาห์ และเปอร์ลิส ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอังกฤษ ส่วนปตานีถูกผนวกให้เป็นส่วนหนึ่ง ของราชอาณาจักรสยาม และต่อมารัฐบาลสยามได้ประกาศจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานี จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ รฐั บาลสยามไดอ้ อกพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการจดั ระเบยี บราชการบรหิ ารสว่ นภมู ภิ าค แบง่ การปกครองเปน็ จงั หวดั และอ�ำเภอ ท�ำให้ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล มีฐานะเป็นจังหวัดในราชการส่วนภูมิภาค และ มผี ูว้ ่าราชการจังหวัดเปน็ ผู้บริหารการปกครองต้งั ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เปน็ ต้นมาจนถงึ ปัจจุบัน มัสยิดกลางปัตตานียุคปัจจบุ ัน ภายใตก้ ารจดั การบรหิ ารปกครองรปู แบบใหม่ ๒. ตำ� แหนง่ และบรรดาศักด์ิของเจ้าเมือง ๗ หัวเมือง รชั กาลที่ ๕ ทรงโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานตำ� แหนง่ และบรรดาศกั ดแ์ิ กเ่ จา้ เมอื ง ๗ หวั เมอื ง (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๔๓) ดงั นี้ ๑. พระยาตานี - พระยาวชิ ติ ภกั ดีศรีสุรวงั ษารตั นาเขตประเทศราช ๒. พระยายะหร่ิง - พระยาพิพธิ เสนามาตยาธิบดศี รีสุรสงคราม ๓. พระยารามนั ห์ - พระรัตนภักดศี รรี าชบดนิ ทร์ สรุ ินทรววิ ังษา ๔. พระยาสายบรุ ี - พระยาสรุ ยิ สนุ ทร บวรภกั ดี ศรมี หารายามตั ตาอบั ดลุ วบิ ลู ยขอบเขตร ประเทศมลายู ๕. พระยาระแงะ - พระยาภยู าภกั ดีศรสี วุ รรณประเทศ วิเศษวงั ษา ๖. พระยายะลา - พระยาณรงค์ฤทธ์ิศรีประเทศ วเิ ศษวงั ษา ๗. พระยาหนองจิก - พระยาเพชราภบิ าลณฤเบศร์ วาปเี ขตรมุจลินทร์ นฤบดนิ ทรสวามิภักดิ์ ทง้ั นม้ี กี ารประกาศยกเลกิ นามบรรดาศกั ดเ์ิ มอื่ มกี ารเปลย่ี นการปกครองเปน็ แบบมณฑล ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ (ธวชั รัตนาภชิ าต,ิ มปป : ๓๖) 39หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ความสำ� คัญจากบทที่ ๕ ๑. เหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างสยามและปตานีเกิดขึ้นในอดีตและส้ินสุดลงแล้ว ทั้ง ๒ อาณาจักร มีความผูกพัน แลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกันในหลายมิติ ไม่เฉพาะแค่เพียงการสงครามเท่าน้ัน ตั้งแต่รัชสมัย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕) มีการท�ำนุบ�ำรุงบ้านเมืองร่วมกันมาตลอด แม้ว่าสยามจะชนะสงครามก็ยังให้มีการแต่งต้ังชาวมลายูปตานีที่ประชาชนให้การยอมรับขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ตลอดมา ๒. ผู้ปกครอง ๗ หัวเมือง และผู้สืบเช้ือสายมักจะมีการสมรสกับทายาทผู้ปกครองรัฐต่าง ๆ จะมีอ�ำนาจ หน้าท่ี แล้วยังถือเป็นเกียรติประวัติแก่ตนเอง วงค์ตระกูล และบ้านเมืองอีกด้วย ซ่ึงสามารถสร้างความภาคภูมิใจ ใหแ้ กป่ ระชาชนในพนื้ ท่ไี ด้เป็นอยา่ งดี ๓. ผู้ปกครองหัวเมืองทั้ง ๗ หัวเมือง ได้รับต�ำแหน่งและมีบรรดาศักด์ิเป็น “เจ้าพระยา” ซ่ึงนอกจาก จะมีอ�ำนาจหน้าท่ีแล้วยังถือเป็นเกียรติประวัติแก่ตนเอง วงศ์ตระกูล และบ้านเมืองอีกด้วย ซ่ึงสามารถสร้าง ความภาคภมู ใิ จใหแ้ กป่ ระชาชนในพืน้ ที่ได้เปน็ อย่างดี ๔. เชลยศึกปตานีที่ถูกน�ำตัวไปอยู่ในกรุงเทพมหานครน้ัน ได้รับพระราชทานพ้ืนท่ีให้อยู่อาศัยและ ในเวลาต่อมาก็ได้รับราชการสร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างมากมาย เช่น เป็นจุฬาราชมนตรี สมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา นายทหาร ครูบาอาจารย์ นกั ธรุ กิจ และตำ� แหนง่ อน่ื ๆ อกี มากมาย จนเป็นทรี่ ู้จัก 40 หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook