Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20201009-moral indicator

20201009-moral indicator

Published by pawnin.chaiyabat, 2020-10-09 02:21:29

Description: 20201009-moral indicator

Search

Read the Text Version

รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรมเพื่อขับเคล่ือนสู่สังคมคุณธรรม The Development of moral indicator for promoting moral society โดย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี และคณะ ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานคนไทย 4.0 สนับสนุนโดย สานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กันยายน 2563



เลขท่ีสัญญา 2562/3-04 รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมเพ่ือขับเคล่ือนสู่สังคมคุณธรรม โดย คณะนักวิจัย สังกัด 1. รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) 2. นางสาวธัญลักษณ์ ศรีสง่า ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) 3. นางสาวเปรมกมล สมใจ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) 4. นางสาวลักษิกา เงาะเศษ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) 5. นางสาวภูริชยา ภูวญาณ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานคนไทย 4.0 สนับสนุนโดย สานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)



กติ ติกรรมประกาศ ความสาเร็จของโครงการพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมเพ่ือขับเคล่ือนสู่สังคมคุณธรรมเป็นตัวช้ีวัดถึง ความร่วมมือจากภาคส่วนตา่ ง ๆ ในการร่วมแรงร่วมใจกันขับเคล่ือนสงั คมไทยสู่สังคมคณุ ธรรม คณะผู้วิจัย ขอขอบคุณทุกภาคส่วนท่มี ีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกบั กระบวนการพัฒนางานวจิ ยั ช้ินนี้ ซ่งึ ประกอบไปดว้ ย แผนงานบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 สนับสนุนโดย สานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ท่ีสนับสนุนทุนวิจัย และเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับการสร้างความรู้ในประเด็น คุณธรรม โดยเฉพาะศาสตราจารย์ ดร.ม่ิงสรรพ์ ขาวสอาด ประธานบริหารแผนงานคนไทย 4.0 รองศาสตราจารย์ ดร.ปิยะลักษณ์ พุทธวงศ์ หัวหน้าศูนย์เศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมนุษย์และสาธารณสุข ศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่หน่วยบริหารจัดการและส่งมอบผลลัพธ์ (ODU: Outcome Delivery Unit) ภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 ซึ่งประกอบไปด้วย คุณจักรี เตจ๊ะวารี คณุ สุพรรณิกา แก้วนอ้ ย คณุ ปาลติ า อ่นุ แก้ว และคณุ เจนจริ า ขม้ินเขียว ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีชวนคิด ชวนตั้งคาถาม และให้คาแนะนาในการพัฒนางานวิจัยน้ี ประกอบไปด้วย ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิญญา เฟื่องฟูสกุล ศาสตราจารย์ ดร.สุวรรณา สถาอานันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รองศาสตราจารย์ ดร.อวยพร เรืองตระกูล ภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีให้คาแนะนาต่อการพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรมจากสถาบันวิชาการดังต่อไปนี้ สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประกอบไปด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎี อนิ ทรประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นาชัย ศภุ ฤกษ์ชัยสกุล ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฐาศุกร์ จนั ประเสริฐ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นริสรา พ่ึงโพธ์ิสภ สถาบันแห่งชาติเพ่ือการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ และ ดร.พัชรินทร์ เสรี ภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ และ ดร.สุรศักด์ิ เก้าเอี้ยน และ ดร.อนุสรณ์ เกิดศรี ศูนย์วิชาการประเมินผล สานักทะเบียนและวัดผล มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมธริ าช กระบวนกรแนวจิตตปัญญาศึกษาที่จัดกระบวนการเพ่ือพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรม ประกอบไปด้วย คุณจารุปภา วะสี จากมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แม่ ดร.ศักด์ิชัย อนันต์ตรีชัย และคุณรัชนี วิศิษฎ์วโรดม จากศูนย์ จิตตปญั ญาศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหดิ ล และคณุ สสุ นิ ี วรศรีโสทร จากมูลนธิ ิสหธรรมกิ ชน คณะนักวิจัยและสนับสนุนกระบวนการวจิ ยั ประกอบไปด้วย บุคลากรของศูนย์คุณธรรม (องค์การ มหาชน) โดยเฉพาะกลุ่มงานวิจัยนวัตกรรมและระบบพฤติกรรมไทย ได้แก่ นางสาวธัญลักษณ์ ศรีสง่า นายติณณพัชช์ พูลพิพัฒน์ นางสาวเปรมกมล สมใจ นางสาวลักษิกา เงาะเศษ นางสาวภูริชยา ภูวญาณ และนางสาวเนตรนภา หนองแบก รวมทั้งนักวิจัยภายนอก ดร.ชนัญชิดา ทุมมานนท์ ภาควิชาวิจัยและ จติ วิทยาการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ที่สาคัญ คือ ผู้เข้าร่วมกระบวนการจากจังหวัดนาร่องขับเคล่ือนสมัชชาคุณธรรม 4 ภาค คือ ภาคเหนือ จังหวดั เชียงราย ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื จังหวัดอุดรธานี ภาคกลาง จังหวดั พระนครศรีอยุธยา และภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากเครือข่ายทางสังคม 6 ภาคส่วน คือ 1) ภาครัฐ 2) ภาคธุรกิจ/เอกชน 3) ภาคศาสนา 4) ภาคชุมชน/ประชาสังคม/ครอบครัว 5) ภาคสื่อมวลชน และ 6) ภาคการศึกษา ผู้ตอบ

แบบสารวจ (นาร่อง) พฤติกรรมทางคุณธรรมของคนไทยเพ่ือพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรม และผู้ร่วมทดลองใช้ แบบประเมินการรบั รู้ด้านคณุ ธรรม คณะผู้วิจัยขอขอบคุณทุกภาคส่วนอีกครั้งที่สนับสนุนให้งานวิจัยชิ้นน้ีสาเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดี และ งานวิจัยชน้ิ น้ถี ือเป็นอกี ก้าวหน่ึงของการนาความร้ทู ี่เกดิ ข้ึนไปใชข้ ับเคลื่อนสงั คมไทยสสู่ ังคมคุณธรรมตอ่ ไป รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรยิ เดว ทรีปาตี และคณะผู้วิจัย กนั ยายน 2563

บทสรุปผูบ้ รหิ าร 1) ท่มี าและความสาคญั ของปัญหา คุณธรรมนับเป็นบรรทัดฐานหรือแนวทางการประพฤตปิ ฏิบตั ิทส่ี ังคมส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นส่ิงท่ีดี งาม ควรแก่การยึดถือและปฏิบัติตาม อาจกล่าวได้ว่า คุณธรรมเป็นเสมือนกลไกทางสังคมที่คอยควบคุม พฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก่อให้เกิดความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันของคนในสังคม สง่ ผลใหส้ งั คมมีความสงบสุข อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่โลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าด้านวทิ ยาการส่ือสาร เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้เป็นปัจจัยผลักดันสาคัญซึ่งทาให้โลกอยู่ในภาวะไร้พรมแดนและนาโลกเข้าสู่ยุคแห่งการจัดระเบียบใหม่ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ กอ่ ใหเ้ กิดทงั้ โอกาสและภัยคุกคามตอ่ การพฒั นาทยี่ ง่ั ยืน ของประเทศไทย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ดาเนินงานส่งเสริมคุณธรรมในสังคมไทยมาอย่างต่อเน่ือง ประเด็นท่ีมีความสาคัญควบคู่กับกระบวนการส่งเสริมคุณธรรม คือ การพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมเป็น เคร่ืองมือวัดผลความเปล่ียนแปลงด้านคุณธรรมของคนในสังคมไทย จึงได้จัดทาโครงการพัฒนาตัวชี้วัด คุณธรรมเพ่ือขับเคลื่อนสู่สังคมคุณธรรม เพื่อเป็นเคร่ืองมือติดตามสถานการณ์ด้านคุณธรรมของสังคมไทย และเพื่อร่วมขับเคล่ือนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (10) ประเด็นการปรับเปลี่ยนค่านิยมและ วฒั นธรรม (พ.ศ.2561-2580) ทก่ี าหนดเป้าหมายวา่ คนไทยมคี ุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยมที่ดีงาม มีความรัก และภูมิใจในความเป็นไทยมากขึ้น นาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดารงชีวิต สังคมไทยมี ความสขุ และเป็นท่ียอมรับของนานาประเทศมากขึ้น 2) วัตถุประสงค์ โครงการพัฒนาตัวชีว้ ัดคณุ ธรรมเพ่อื ขับเคลอื่ นสู่สงั คมคุณธรรมมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือสร้างและพัฒนา ตวั ช้ีวัดเชงิ ปรบั ฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลใน 5 ดา้ น คือ พอเพียง วินัย สจุ ริต จิตสาธารณะ และรับผดิ ชอบ 3) วธิ ีการศกึ ษา การศึกษาใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม โดยเริ่มจากการสารวจออนไลน์เบ้ืองต้นเพื่อให้ทราบว่า ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจเร่ืองคุณธรรมอย่างไร จากนั้นทาการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง และจัด กระบวนการกลุ่ม ซ่ึงเป็นวิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพแบบ Inside-out Approach ด้วยกระบวนการ เรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษา ท่ีเปน็ การสรา้ งกระบวนการเรียนรูเ้ ชิงประสบการณ์ และชุมชนแห่งความจริง แท้ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเก่ียวกับมุมมอง โลกทัศน์ ความคิด ความเชื่อ ที่สะท้อนคุณธรรมผ่านพฤติกรรม ของบุคคล ด้วยการให้กลุ่มเป้าหมายจานวน 213 คน แบ่งออกเป็น 4 ช่วงวัย คือ 1) Baby Boomer อายุ ระหวา่ ง 55-73 ปี 2) Generation X อายรุ ะหวา่ ง 39-54 ปี 3) Generation Y อายรุ ะหว่าง 23-38 ปี และ 4) Generation Z อายุระหว่าง 13-22 ปี จากจังหวัดนาร่องขับเคลื่อนสมัชชาคุณธรรมใน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ จังหวดั เชยี งราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื จงั หวัดอุดรธานี ภาคกลาง จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา และภาคใต้ จังหวดั สุราษฎรธ์ านี

จากนั้นนาข้อมูลที่ได้จากการสารวจออนไลน์ การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง และการจัด กระบวนการกลุ่ม มาสังเคราะห์หาองค์ประกอบของคุณธรรมท้ัง 5 ด้าน เพ่ือนามาพฒั นาเป็นแบบประเมิน การรับรู้ด้านคุณธรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อคาถามเชิงสถานการณ์และตัวเลือกตามทฤษฎีพัฒนาการทาง จริยธรรมของโคลเบริ ก์ (Kohlberg's Moral Development Theory) ในส่วนของการตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินน้ัน ได้ทาการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิง เนื้อหา (content validity) ด้วยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องภายใน (Index of Item-Objective Congruence: IOC) โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ประเมินความสอดคล้องเหมาะสมระหว่างข้อคาถาม ตัวเลือก และวัตถุประสงค์การวิจัย เมื่อแบบประเมินมีค่า IOC ผ่านเกณฑ์ท่ียอมรับได้แล้ว จึงทา การทดสอบเคร่ืองมือกับกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 13 ปีข้ึนไป ซึ่งไม่น้อยกว่า 10 เท่าของจานวนพารามิเตอร์ท่ี ต้องการประมาณค่า คือ จานวน 210 คน จากน้ันจึงทาการตรวจสอบความเชื่อม่ัน (reliability) ด้วย การหาค่าสมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) 4) ผลการศึกษา ประกอบไปด้วย 4.1 ผลการสร้างและพัฒนาแบบประเมินการรับรู้ด้านคุณธรรม จากการสังเคราะห์ข้อมูลท่ีได้ จากการสารวจออนไลน์ การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ยี วขอ้ ง และการจัดกระบวนการกลมุ่ พบว่า คุณธรรมด้านพอเพียง ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีภูมิคุ้มกัน คือ การเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากความเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดขึ้น 2) มีเหตุผล คือ การพิจารณาเหตุปัจจัย และผลท่ีคาดว่าจะเกดิ ขึ้นอย่างรอบคอบ และ 3) มคี วามพอประมาณ คือ ความพอดี ไม่น้อยเกินไปและไม่ มากเกนิ ไป คุณธรรมด้านวินัย ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การตรงต่อเวลา คือ การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามเวลาที่กาหนดไว้ 2) การเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย คือ การปฏิบัติตน ตามกฎระเบยี บและกฎหมาย และ 3) การควบคุมตนเอง คือ ความสามารถในการกากับควบคมุ ตนเองเพ่ือ สร้างพฤติกรรมที่ดีอนั นาไปสู่การบรรลุเปา้ หมายท่ีตั้งไว้ คุณธรรมด้านสุจริต ประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การไม่เอารัดเอาเปรียบ คือ การไม่ดาเนินกิจกรรมที่นามาซ่ึงผลประโยชน์เหนือกว่าผู้อ่ืนด้วยวิธีการเบียดเบียนผู้อื่นหรือทาให้ผู้อื่น เดือดร้อน และ 2) การยืนหยัดในความถูกตอ้ ง คือ การยึดมั่นในความถูกตอ้ งและยืนหยัดท่ีจะกระทาในส่ิง ทถ่ี กู ตอ้ งแม้ว่าจะมีความยากลาบากหรือมีอปุ สรรคเขา้ มาขดั ขวาง คุณธรรมด้านจิตสาธารณะ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีจิตอาสา คือ การเข้าร่วมกิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของสังคม 2) มีจิตสานึกสาธารณะ คือ การคานึงถึง ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสาคัญ และ 3) การเสียสละเพ่ือช่วยเหลือผู้อื่น คือ การเสียสละแรงกาย ทรพั ยส์ นิ และเวลา เพอ่ื ชว่ ยเหลือผอู้ น่ื โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน คุณธรรมด้านรับผิดชอบ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การตั้งใจปฏิบัติ หน้าท่ีของตน คือ การปฏิบัติหน้าท่ีหรือดาเนินกิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ 2) การยอมรับผลการกระทาของตน คือ การยอมรับข้อผิดพลาดจากการกระทาของตนและพร้อมที่จะ ปรับปรงุ แกไ้ ขให้ดีข้ึน และ 3) การดูแลบุคคลท่ีอยภู่ ายใต้อาณัติหรือบุคคลภายใต้การดูแล คือ การดูแลเอา ใจใส่บคุ คลทอ่ี ยภู่ ายใต้การดแู ลของตนอยา่ งดีทส่ี ดุ จากน้ันนาองค์ประกอบของคุณธรรมท้ัง 5 ด้าน มาสร้างเป็นแบบประเมินการรับรู้ด้านคุณธรรม ซึ่งประกอบด้วยข้อคาถามเชิงสถานการณ์ 14 ข้อ ตามองค์ประกอบของคุณธรรมแต่ละด้าน การกาหนด

ตัวเลือกของแต่ละข้อคาถามน้ันจะมีจานวนไม่ต่ากว่า 6 ตัวเลือก โดยแต่ละตัวเลือกจะกาหนดพฤติกรรม และเหตผุ ลในการแสดงพฤตกิ รรมตามเหตผุ ลเชิงจริยธรรมของโคลเบริ ์ก 6 ขน้ั ดงั นี้ ขั้นท่ี 1 หลบหลีกการถูกลงโทษ เป็นการแสดงพฤติกรรมยอมปฏิบัติตามเพ่ือหลีกเล่ียงการถูก ลงโทษ ขั้นที่ 2 ถอื ผลประโยชนข์ องตน เป็นการแสดงพฤติกรรมยอมปฏบิ ตั ิตามเพราะหวังรางวัลตอบแทน หรือคาชมเชย ขั้นที่ 3 คล้อยตามหรือกระทาตามผู้อื่น เป็นการแสดงพฤติกรรมคล้อยตามหรือยอมปฏิบัติตาม ความคาดหวังของสังคมหรือกลุม่ บุคคลเพราะต้องการการยอมรับจากสังคมหรือกลมุ่ บุคคล ขั้นที่ 4 กระทาตามระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม เป็นการแสดงพฤติกรรมตามระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎหมาย และจารีตประเพณีของสงั คม ขนั้ ที่ 5 กระทาตามข้อตกลงของสงั คม เป็นการแสดงพฤติกรรมปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ทคี่ นสว่ นใหญ่ในสงั คมยอมรับและยึดถอื โดยคานงึ ถงึ ผ้อู ่นื หรือผลประโยชนข์ องส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ขั้นท่ี 6 กระทาตามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมท่ีเป็นสากล เป็นการแสดงพฤติกรรมปฏิบัติตามชุด ความคดิ หรอื มาตรฐานทางศีลธรรมท่เี ปน็ สากล ทั้งน้ีการให้คะแนนจะใช้หลักการให้คะแนนแบบรูบริค (rubric scoring) ซึ่งมีคะแนนระหว่าง 1-6 คะแนน ตามเหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบิร์ก 6 ข้ัน โดยตัวเลือกที่กาหนดพฤติกรรมและเหตุผลใน การแสดงพฤติกรรมอยู่ในขั้นที่ 1 จะได้ 1 คะแนน ตัวเลือกที่กาหนดพฤติกรรมและเหตุผลในการแสดง พฤติกรรมอยู่ในขัน้ ท่ี 2 จะได้ 2 คะแนน ตัวเลือกท่ีกาหนดพฤติกรรมและเหตุผลในการแสดงพฤตกิ รรมอยู่ ในขั้นท่ี 3 จะได้ 3 คะแนน ตัวเลือกที่กาหนดพฤติกรรมและเหตุผลในการแสดงพฤติกรรมอยู่ในขั้นท่ี 4 จะได้ 4 คะแนน ตัวเลือกที่กาหนดพฤติกรรมและเหตุผลในการแสดงพฤติกรรมอยู่ในขั้นท่ี 5 จะได้ 5 คะแนน และตัวเลอื กที่กาหนดพฤตกิ รรมและเหตุผลในการแสดงพฤติกรรมอยู่ในขัน้ ที่ 6 จะได้ 6 คะแนน 4.2 ผลการวิเคราะห์การรบั รู้ด้านคุณธรรม 4.2.1 คุณลกั ษณะทัว่ ไปของกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตวั อย่างมีจานวนทง้ั สิ้น 210 คน แบง่ เปน็ เพศชาย 65 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 และเพศหญิง 145 คน คิดเป็นร้อยละ 69.0 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 39-54 ปี จานวน 70 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.3 รองลงมา คือ อายุระหวา่ ง 13-22 ปี จานวน 55 คน คดิ เป็น ร้อยละ 26.2 อายุระหว่าง 23-38 ปี จานวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 23.3 และอายุระหว่าง 55-73 ปี จานวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 17.1 ตามลาดับ เป็นโสดจานวน 121 คน คิดเป็นร้อยละ 57.6 สมรสแล้ว 77 คน คิดเป็นร้อยละ 36.7 ในส่วนของระดับการศึกษานั้นส่วนใหญ่จบระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นหรือต่ากว่า จานวน 77 คน คิดเป็นร้อยละ 36.7 รองลงมา คือ สูงกว่าปริญญาตรี จานวน 71 คน คิดเป็นร้อยละ 33.8 และปริญญาตรี 52 คน คิดเป็นร้อยละ 24.8 ตามลาดับ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ/พนักงานของรัฐ จานวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ 37.1 รองลงมา คือ เป็นนักเรียน/ นิสิต/นักศึกษา จานวน 57 คน คิดเป็นร้อยละ 27.1 และเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ห้างร้าน จานวน 46 คน คิดเป็นร้อยละ 21.9 ตามลาดับ สาหรับศาสนา/ลัทธิ/ความเช่ือน้ันส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จานวน 201 คน คิดเป็นร้อยละ 95.7 รองลงมา คือ นับถือศาสนาคริสต์ จานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 2.9 และ นับถือศาสนาอิสลาม จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 1.4 ตามลาดับ มีภูมิลาเนาอยู่ภาคกลาง จานวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 51.9 อยู่ภาคอีสาน จานวน 68 คน คิดเป็นร้อยละ 32.4 อยู่ภาคเหนือ 17 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 8.1 และอยู่ภาคใต้ จานวน 16 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 7.6

4.2.2 การรบั รดู้ ้านคุณธรรม คุณธรรมด้านพอเพียง ส่วนใหญ่มีการรับรู้ในระดับข้ันที่ 5 จานวน 94 คน คิดเป็นร้อยละ 44.8 รองลงมา คือ ระดับข้ันท่ี 4 จานวน 63 คน คิดเป็นร้อยละ 30.0 และระดับขั้นที่ 3 จานวน 26 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 12.4 ตามลาดับ คุณธรรมด้านวินัย ส่วนใหญ่มีการรับรู้ในระดับข้ันที่ 5 จานวน 85 คน คิดเป็นร้อยละ 40.5 รองลงมา คือ ระดับข้ันที่ 4 จานวน 63 คน คิดเป็นร้อยละ 30.0 และระดับข้ันที่ 3 จานวน 33 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 15.7 ตามลาดับ คุณธรรมด้านสุจริต ส่วนใหญ่มีการรับรู้ในระดับขั้นท่ี 5 จานวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ 37.1 รองลงมา คือ ระดับข้ันที่ 4 จานวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 34.3 และระดับข้ันที่ 3 จานวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 15.7 ตามลาดบั คุณธรรมด้านจิตสาธารณะ ส่วนใหญ่มีการรับรู้ในระดับข้ันที่ 5 จานวน 86 คน คิดเป็น ร้อยละ 41.0 รองลงมา คือ ระดับขั้นท่ี 4 จานวน 79 คน คิดเป็นร้อยละ 37.6 และระดับข้ันที่ 3 จานวน 29 คน คดิ เป็นร้อยละ 13.8 ตามลาดบั คุณธรรมด้านรับผิดชอบ ส่วนใหญ่มีการรับรู้ในระดับข้ันท่ี 5 จานวน 99 คน คิดเป็น ร้อยละ 47.1 รองลงมา คือ ระดับข้ันที่ 4 จานวน 57 คน คิดเป็นร้อยละ 27.1 และระดับขั้นที่ 3 จานวน 36 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 17.1 ตามลาดบั จากข้อมลู ดังกล่าว ทาใหเ้ หน็ ประเดน็ ที่มีนัยสาคัญ ดงั น้ี การรับรู้ด้านคุณธรรมในภาพรวมทั้ง 5 ด้าน คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และ รับผิดชอบ กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้อยู่ในระดับขั้นการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบิร์ก ระดับข้ันท่ี 5 กระทาตามข้อตกลงของสังคม โดยเป็นการแสดงพฤติกรรมปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมท่ีคนส่วน ใหญ่ในสังคมยอมรับและยึดถือ ซง่ึ เป็นการคานงึ ถึงผ้อู ่นื หรือผลประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่าสว่ นตน คุณธรรมท่ีมีการรับรู้มากเป็นลาดับท่ี 1 คือ รับผิดชอบ จานวน 99 คน คิดเป็นร้อยละ 47.1 ลาดับที่ 2 คือ พอเพียง จานวน 94 คน คิดเป็นร้อยละ 44.8 ลาดับที่ 3 จติ สาธารณะ จานวน 86 คน คดิ เป็นร้อยละ 41.0 ลาดับท่ี 4 วนิ ยั จานวน 85 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 40.5 และ ลาดบั ท่ี 5 สุจริต จานวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ 37.1 การรบั รู้ด้านคุณธรรมรายดา้ นตามชว่ งวัย เมื่อวิเคราะห์ค่าเฉลีย่ การรับรดู้ ้านคุณธรรมราย ด้าน (คะแนนเต็ม 6 คะแนน) ตามช่วงวัย 4 ช่วงวัย คือ 1) Baby Boomer (อายุระหว่าง 55-73 ปี) 2) Generation X (อายุระหวา่ ง 39-54 ป)ี 3) Generation Y (อายุระหว่าง 23-38 ปี) และ 4) Generation Z (อายรุ ะหว่าง 13-22 ป)ี พบว่า คุณธรรมด้านพอเพียง ลาดับที่ 1 Baby Boomer (4.8 คะแนน) ลาดับที่ 2 Generation X (4.3 คะแนน) ลาดบั ที่ 3 Generation Y และ Generation Z (4.2 คะแนน) คุณธรรมด้านวินัย ลาดับที่ 1 Generation X (4.4 คะแนน) ลาดับที่ 2 Baby Boomer (3.9 คะแนน) ลาดบั ท่ี 3 Generation Y และ Generation Z (3.8 คะแนน) คุณธรรมด้านสุจริต ลาดับท่ี 1 Baby Boomer (4.4 คะแนน) ลาดับที่ 2 Generation X (4.3 คะแนน) ลาดบั ท่ี 3 Generation Y (4.2 คะแนน) ลาดับที่ 4 Generation Z (4.0 คะแนน) คุณธรรมด้านจิตสาธารณะ ลาดับท่ี 1 Baby Boomer (4.4 คะแนน) ลาดับที่ 2 Generation X (4.3 คะแนน) ลาดับท่ี 3 Generation Y (4.1 คะแนน) ลาดับที่ 4 Generation Z (4.0 คะแนน)

คุณธรรมด้านรับผิดชอบ ลาดับท่ี 1 Generation X (4.5 คะแนน) ลาดับที่ 2 Baby Boomer (4.4 คะแนน) ลาดบั ท่ี 3 Generation Y (4.3 คะแนน) ลาดบั ที่ 4 Generation Z (4.0 คะแนน) จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า Baby Boomer เป็นกลุ่มท่ีมีการรับรู้ด้านคุณธรรมสูงเป็น ลาดับที่ 1 ใน 3 ประเด็นคุณธรรม คือ พอเพียง สุจริต จิตสาธารณะ Generation X มีการรับรู้ด้าน คุณธรรมสูงเป็นลาดับที่ 1 ใน 2 ประเด็นคุณธรรม คือ วินัย และรับผิดชอบ ขณะที่ Generation Y และ Generation Z มกี ารรับรู้ดา้ นคณุ ธรรมท้งั 5 ประเดน็ อยใู่ นลาดับท่ี 3 และ ลาดับท่ี 4 4.3 ผลการตรวจสอบคณุ ภาพของแบบประเมนิ การรับรู้ด้านคณุ ธรรม 4.3.1 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา จากการหาค่าดัชนีความสอดคล้องภายใน (IOC) ซึ่งให้ ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ประเมินความสอดคล้องเหมาะสมระหว่างข้อคาถาม ตัวเลือก และวัตถุประสงค์ การวิจัย พบว่า ค่า IOC ของข้อคาถามเชิงสถานการณ์อยู่ระหว่าง 0.2 ถึง 1 และค่า IOC ของตัวเลือกอยู่ ระหว่าง 0.2 ถงึ 1 เม่ือทาการปรับแก้ตามคาแนะนาของผู้ทรงคุณวุฒเิ พ่ือให้ค่า IOC ผ่านเกณฑ์ทยี่ อมรับได้ คอื มากกว่า 0.5 ทุกขอ้ จึงทาให้ค่า IOC ของข้อคาถามเชิงสถานการณ์อยู่ระหว่าง 0.4 ถงึ 1 โดยมีเพียง 1 ข้อคาถามเชิงสถานการณ์เท่านั้นท่ีเม่ือปรับแก้แล้วได้ค่า IOC ต่ากว่า 0.5 คือ ได้ 0.4 แต่ท้ังนี้คณะผู้วิจัย ยังคงเลือกใช้ข้อคาถามเชิงสถานการณ์ดังกล่าวเนื่องจากเป็นสถานการณ์ท่ีสร้างขึ้นตามบริบทสังคมชนบท เพือ่ ให้แบบประเมินชดุ นี้ครอบคลุมบรบิ ททงั้ สังคมเมอื งและชนบท ส่วนคา่ IOC ของตัวเลอื กนั้นเม่ือปรับแก้ แล้วอยรู่ ะหวา่ ง 0.6 ถงึ 1 ซ่ึงผา่ นเกณฑ์ท่ยี อมรบั ได้ 4.3.2 ความเช่ือม่ัน ผลการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นด้วยการหาค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟ่า ของครอนบาค พบว่า มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ท่ี 0.7 ผ่านตามเกณฑ์ความเชื่อมั่นซึ่งไม่ควรมีค่าต่ากว่า 0.7 5) ผลสาเรจ็ และความคมุ้ ค่า ผลผลิต คือ ตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลที่พัฒนาจากกระบวนการมี สว่ นรว่ มใน 5 ด้าน คอื พอเพยี ง วนิ ยั สุจริต จติ สาธารณะ และรับผดิ ชอบ ผลลัพธ์ ตัวชี้วัดคุณธรรมท่ีนาไปพัฒนาเป็นเคร่ืองมือติดตามสถานการณ์คุณธรรมในสังคมไทย ซ่ึงสามารถนามาเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการกาหนดนโยบายการส่งเสริมคุณธรรมในระดับประเทศ และ ออกแบบแผนงาน/โครงการส่งเสรมิ คุณธรรมในระดบั พนื้ ที่ 6) กลุ่มเปา้ หมายและประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากโครงการ 6.1 กลไกหรือองค์กรกาหนดนโยบาย ประกอบไปด้วย คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ สานักงานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ 6.2 เครือข่ายทางสังคม 6 ภาคส่วน ตามโมเดลการขับเคล่ือนงานด้านคุณธรรมของศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ประกอบไปด้วย 1) ภาครัฐ 2) ภาคธุรกิจ/เอกชน 3) ภาคศาสนา 4) ภาคชุมชน/ ประชาสังคม/ครอบครัว 5) ภาคส่อื มวลชน และ 6) ภาคการศกึ ษา 6.3 ประชาชนทวั่ ไป

7) การนาไปใชป้ ระโยชน์ ผลการวเิ คราะหก์ ารรับรดู้ า้ นคณุ ธรรมในภาพรวมทงั้ 5 ดา้ น คือ พอเพยี ง วินัย สุจรติ จติ สาธารณะ และรับผิดชอบ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้อยู่ในระดับข้ันการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบิร์ก ระดบั ขนั้ ท่ี 5 กระทาตามข้อตกลงของสังคม โดยเปน็ การแสดงพฤติกรรมปฏิบตั ติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรม ทคี่ นส่วนใหญ่ในสงั คมยอมรับและยึดถอื ซึ่งเป็นการคานึงถงึ ผู้อน่ื หรอื ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นน้ั แสดงให้เหน็ วา่ คนในสงั คมไทยมตี น้ ทุนการรับรเู้ ร่ืองคุณธรรมเปน็ อย่างดี ด้วยเหตุน้ี การกาหนดแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมท้ังในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติจึงควร ขยับจากการให้ความรู้ไปสู่การสร้างปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงเชิงพฤติกรรม ด้วยการจัด กระบวนหรือการจัดกิจกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพภายในจิตใจของคน มากกว่าการเน้น “เปลือก” หรือ “สร้างภาพลักษณ์” จากการจัดกระบวนการหรือกิจกรรมแบบอีเว้นท์ท่ีจัดแล้วจบ และที่ สาคัญกระบวนการหรือกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมที่จัดนั้นต้องเกิดข้ึนจากความสมัครใจ ไม่ใช่การส่ังการ หรอื บังคับ สาหรับผลการศึกษาที่ว่าประเด็นคุณธรรมที่มีการรับรู้จากมากไปน้อย คือ 1) รับผิดชอบ 2) พอเพียง 3) จิตสาธารณะ 4) วินัย และ 5) สุจริต มีนัยสาคัญตรงท่ีประเด็นสจุ ริตมีการรับรู้น้อยที่สุดนั้น สัมพันธ์กับข้อมูลจากการจัดกระบวนการกลุ่มท่ีว่า คนในสังคมไทยรู้สึกว่าการยืนหยัดในความสุจริตต้อง แลกมากับความเส่ียงในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความปลอดภยั ในชีวติ ของตนเองและครอบครัว การส่งเสริม คณุ ธรรมจึงต้องสร้างระบบนเิ วศมนุษย์ เช่น ครอบครัว สถานศึกษา ทท่ี างาน ชมุ ชน สังคม ทเี่ อือ้ ต่อการทา ความดี เพอ่ื ให้ปัจเจกบุคคลสามารถยืนหยัดในการทาความดีได้ ในประเด็นช่วงวัย จากผลการศึกษาท่ีวา่ Baby Boomer เปน็ กลุ่มที่มีการรบั รู้ดา้ นคณุ ธรรมสูงเป็น ลาดับท่ี 1 ใน 3 ประเด็นคุณธรรม คือ พอเพียง สุจริต จิตสาธารณะ Generation X มีการรับรู้ด้าน คุณธรรมสูงเป็นลาดับที่ 1 ใน 2 ประเด็นคุณธรรม คือ วินัย และรับผิดชอบ ขณะที่ Generation Y และ Generation Z มีการรับรดู้ า้ นคณุ ธรรมทั้ง 5 ประเด็นอยใู่ นระดบั 3 และ 4 ตามลาดบั นั้น ไม่ไดห้ มายความ ว่า Generation X Y และ Z มีการรับรู้ด้านคุณธรรมน้อยกว่า Baby Boomer แต่หมายความว่าประเด็น คณุ ธรรมท้ัง 5 ประเด็นที่กาหนดมาเพ่ือส่งเสริมน้ีตรงกับชุดประสบการณ์ของ Baby Boomer มากกว่าอีก 3 Generation ด้วยเหตุนี้ แนวทางการกาหนดประเด็นคุณธรรมในอนาคตจึงต้องเปิดให้กลุ่มคน หลากหลายช่วงวัยเข้ามาร่วมกันกาหนดประเด็น เพื่อใหเ้ กิดประเด็นทมี่ ีความหลากหลาย สอดคล้องกับวิถี ชีวิต และสามารถนาไปปฏิบัตไิ ดจ้ ริง หน่วยงานที่ควรนาตัวช้ีวัดและผลจากการทดลองใช้ตัวชี้วัดนี้ไปใช้ในการกาหนดนโ ยบาย การส่งเสริมคุณธรรม คือ สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริม คุณธรรมแห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรม ในระดับปฏิบัติการ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ กรมการศาสนา ควรนาผลการศึกษาคร้ังน้ีไปออกแบบกระบวนการส่งเสริมคุณธรรมให้กับเครือข่ายทาง สังคมต่อไป 8) ขอ้ เสนอแนะ 8.1 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย แบ่งเป็น 2 ประเดน็ ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมสามารถนาไปพัฒนาเป็นเคร่ืองมือ ติดตามสถานการณ์คุณธรรมในสังคมไทยท่ีสามารถนามาเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการกาหนดนโยบาย การส่งเสรมิ คณุ ธรรมในระดับประเทศ และออกแบบแผนงาน/โครงการส่งเสริมคณุ ธรรมในระดบั พื้นที่ได้

ประเด็นท่ีสอง ข้อค้นพบจากการทดลองใช้ตัวช้ีวัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมมี นัยสาคัญในการกาหนดนโยบายใน 3 ประเด็น 1) การกาหนดแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมท้ังในระดับ นโยบายและระดบั ปฏิบัติควรขยับจากการให้ความรู้ไปสกู่ ารสร้างปฏบิ ัติการเพอ่ื ให้เกิดการเปล่ียนแปลงเชิง พฤติกรรม 2) การสง่ เสรมิ คุณธรรมตอ้ งสรา้ งระบบนเิ วศมนษุ ย์ เช่น ครอบครวั สถานศกึ ษา ท่ที างาน ชุมชน สังคม ที่เอ้ือต่อการทาความดี เพ่ือให้ปัจเจกบุคคลสามารถยืนหยัดในการทาความดีได้ 3) แนวทาง การกาหนดประเด็นคุณธรรมในอนาคตต้องเปิดให้กลมุ่ คนหลากหลายช่วงวัยเข้ามาร่วมกันกาหนดประเด็น เพ่ือใหเ้ กิดประเดน็ ท่มี คี วามหลากหลาย สอดคล้องกบั วิถชี ีวิต และสามารถนาไปปฏิบัติไดจ้ รงิ 8.2 ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ ตัวชี้วัดคุณธรรมท่ีพัฒนาขึ้นในโครงการน้ีเป็นตัวชี้วัดเชิงปรับฐาน ความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลใน 5 ประเด็นคุณธรรม คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และ รับผิดชอบ ด้วยการประเมินตนเองในด้านความรู้และทักษะการตัดสินใจบนสถานการณ์ ซึ่งไม่ได้เป็น เครื่องมือในการตัดสนิ หรือวัดระดับคุณธรรม สาหรบั ทิศทางในการพัฒนาตัวชว้ี ดั คุณธรรมในระยะตอ่ ไป ควรเชอ่ื มโยงกับแนวคิดนเิ วศวิทยาของ การพัฒนามนุษย์ (Ecology of Human Development) ของ Urie Bronfenbrenner ท่ีประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบ คอื 1) Person (บุคคล) เป็นศูนย์กลางของระบบ คุณลักษณะของบุคคล ( The individual characteristics) พัฒนาจากปฏิสัมพันธท์ ีบ่ คุ คลมตี อ่ ระบบตา่ ง ๆ 2) Context (บริบท) คือส่ิงแวดล้อมที่อยู่รอบบุคคล แบ่งเป็น 4 ระบบ คือ ระบบเล็ก (Micro system) เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ชิดกับบุคคลมากท่ีสุดและมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับบุคคล ระบบกลาง (Meso system) คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบเล็กด้วยกัน ระบบภายนอก (Exo system) ที่มีอิทธิพลต่อ ระบบกลางและระบบเล็ก แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับบุคคล ระบบใหญ่ (Macro system) เป็น สิง่ แวดลอ้ มใหญ่สุด โครงสร้างทม่ี ผี ลต่อระบบทั้งหมด เชน่ วฒั นธรรม สงั คม เศรษฐกิจ 3) Process (กระบวนการ) คอื ปฏสิ ัมพันธ์ของมนุษย์ทีเ่ ป็นกับบริบทรอบตัว 4) Time (เวลา) คอื การเปลยี่ นแปลงของบคุ คลในแตล่ ะช่วงเวลาของชีวิต โดยการพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรมยังคงลักษณะของการประเมินตนเอง และควรเพิ่มการจัดจาแนก แบบประเมินตามช่วงวัย สามารถแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชน 2) ผใู้ หญ่ 3) ผูส้ ูงวยั ซ่ึงจะมี การวิเคราะห์ระบบนิเวศท่ีอยู่รอบตัวของท้ัง 2 กลุ่ม ว่าระบบนิเวศใดบ้างท่ีเอ้ือให้เกิดคุณธรรม แล้วจึง ออกแบบและพัฒนาขอ้ คาถาม โดยที่ผลจากการประเมนิ จะทาให้เหน็ ท้ังการประเมินตนเองในด้านคุณธรรม และเห็นถึงระบบนิเวศท่ีมีอิทธิพลต่อบุคคลในเรื่องคุณธรรม ซึ่งเป็นข้อมูลที่นามาใช้ในการออกแบบ กระบวนการส่งเสรมิ คณุ ธรรมไดท้ งั้ ในระดบั บคุ คลและระดบั สงั คมทเ่ี ชื่อมโยงกนั เปน็ ระบบนเิ วศ 8.3 ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ประโยชน์ในปีต่อไป ตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้าน คุณธรรมระดับบคุ คลใน 5 ด้าน คอื พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ ควรนาไปพัฒนาต่อ เพ่ือเป็นเครื่องมือในการรายงานสถานการณ์คุณธรรมในสังคมไทย โดยยังคงลักษณะของการประเมิน ตนเอง และเพ่ิมการจัดจาแนกแบบประเมินตามช่วงวัย โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชน 2) ผู้ใหญ่ 3) ผู้สูงวยั ซ่ึงกระบวนการพัฒนาตัวช้ีวัดและกระบวนการเก็บข้อมูลควรมีการดาเนินการร่วมกับ หนว่ ยงานด้านนโยบายและหน่วยงานทีม่ เี ครอื ข่ายการดาเนนิ งานทวั่ ประเทศ เชน่ สานกั งานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม สานักงานวัฒนธรรมจังหวัด เพ่ือให้เกิดการเก็บข้อมูล และนามาวเิ คราะหใ์ หเ้ ห็นภาพรวมของประเทศ

บทคัดยอ่ โครงการพัฒนาตัวชว้ี ัดคณุ ธรรมเพื่อขับเคล่อื นสู่สงั คมคุณธรรมมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างและพัฒนา ตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลใน 5 ด้าน คือ พอเพียง วนิ ัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม นาข้อมูลที่ได้จากการสารวจออนไลน์ การทบทวน วรรณกรรม และการจัดกระบวนการกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุต้ังแต่ 13 ปีขึ้นไป ในจังหวัดนาร่อง ขับเคลื่อนสมัชชาคุณธรรมใน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัด อุดรธานี ภาคกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาสังเคราะห์หา องค์ประกอบของคุณธรรมท้ัง 5 ด้าน จากน้ันนามาพัฒนาแบบประเมินการรับรู้ด้านคุณธรรม เป็นข้อ คาถามเชิงสถานการณ์และตัวเลือกตามทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก และตรวจสอบ คุณภาพของแบบประเมินโดยการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาด้วยการวิเคราะห์ค่าดัชนี ความสอดคล้องภายใน และตรวจสอบความเชอื่ มั่นด้วยคา่ สมั ประสทิ ธิ์แอลฟา่ ของครอนบาค ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณธรรมด้านพอเพียง มี 3 องค์ประกอบ คือ มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุผล และมี ความพอประมาณ คุณธรรมด้านวินัย มี 3 องค์ประกอบ คือ การตรงต่อเวลา การเคารพกฎระเบียบและ กฎหมาย และการควบคุมตนเอง คุณธรรมด้านสุจริต มี 2 องค์ประกอบ คือ การไม่เอารัดเอาเปรียบ และ การยืนหยัดในความถูกต้อง คุณธรรมด้านจิตสาธารณะ มี 3 องค์ประกอบ คือ มีจิตอาสา มีจิตสานึก สาธารณะ และการเสียสละเพ่ือช่วยเหลือผู้อื่น และคุณธรรมด้านรับผิดชอบ มี 3 องค์ประกอบ คือ การตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีของตน การยอมรับผลการกระทาของตนเอง และการดูแลบุคคลท่ีอยู่ภายใต้อาณัติ หรือบุคคลภายใต้การดูแล 2) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการรับรู้คุณธรรมท้ัง 5 ด้าน ในระดับข้ันท่ี 5 ตาม ทฤษฎีของโคลเบิร์ก 3) แบบประเมินมีความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องภายใน มากกว่า 0.5 และมคี วามเช่อื ม่ัน โดยมีคา่ สัมประสทิ ธิแ์ อลฟา่ ของครอนบาคทั้งฉบับอยูท่ ่ี 0.7 ผลผลิตที่เกิดขึน้ จากการวิจยั คร้ังนี้ คือ ตัวช้ีวดั เชงิ ปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลที่ พัฒนาจากกระบวนการมีส่วนร่วมใน 5 ด้าน คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ ทจ่ี ะนาไปพฒั นาเป็นเครือ่ งมอื ติดตามสถานการณค์ ุณธรรมในสงั คมไทยต่อไป

Abstract This research aimed to create and develop an indicator to support and measure the moral fabric of Thai society. Five aspects of personal morality were identified: self- sufficiency, discipline, honesty, public mindedness, and responsibility. This research applied mixed-method research methodology by bringing data from online surveys, literature reviews, and focus groups. The target samples were aged above 13 years and came from pilot provinces in four parts of Thailand. They were Chiang Rai in the north, Udon Thani in the northeast, Phra Nakhon Si Ayutthaya in the center, and Surat Thani province in the south. Data were compiled based on these five aspects of morality. Next, data were used to develop assessment of morality. It contained situational questions and choices according to Kohlberg's Moral Development Theory. Quality auditing on the content validity of the assessment form via an Index of Item-Objective Congruence (IOC), and was conducted Reliability testing by Cronbach’s alpha coefficient values Research results based on the five components are as follows: 1) Self-Sufficiency consisted of three components which were self-immunity, reasonableness, and moderation. 2) Discipline also consisted of three components which were punctuality, respect of regulations and laws, and self-control. 3) Honesty consisted of two components which were non-exploitation and persistence in the right. 4) Public mindedness consisted of three components which were volunteering, public consciousness, and sacrifice. 5) Responsibility consisted of three components which were paying attention to one’s duty, admitting the result of one’s actions, and taking care of people under one’s supervision. Most of the samples registered on five aspects of morality at level 5 according to the theory of Kohlberg. The assessment form demonstrated content validity with the values of Index of Item-Objective Congruence (IOC) that were higher than 0.5; and it also registered the reliability degree with values of Cronbach’s alpha coefficient at 0.7 for the entire form. The results from this research indicate the need for further development for understanding moral perspective at the personal level in five areas: self-sufficiency, discipline, honesty, public mindedness, and responsibility. These findings would be used to develop a tracking tool for the morality situation in Thai society in the future.



สารบญั หนา้ 1 เรื่อง 1 บทที่ 1 บทนา 1 1 ทม่ี าและความสาคัญ 1 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 3 ประโยชน์ทไี่ ด้รบั จากงานวจิ ยั 5 ขอบเขตงานวจิ ัย 5 นิยามศพั ท์ 6 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 10 นิยามความหมายของคุณธรรม 39 แนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกับพฒั นาการดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม 48 การศกึ ษาดา้ นคณุ ธรรมในสังคมไทย 49 การจดั กระบวนการเรยี นรเู้ พอื่ พัฒนาตวั ช้ีวดั คณุ ธรรม 49 กรอบแนวคิดการวิจยั 49 บทท่ี 3 ระเบียบวธิ วี จิ ัย 53 ขอบเขตการวิจยั 54 วธิ กี ารดาเนินงานวจิ ยั 57 การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื วิจัย 57 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 87 บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั 165 ผลการเกบ็ ข้อมลู เพอ่ื นามาพัฒนาแบบประเมนิ การรับรดู้ ้านคณุ ธรรม 166 ผลการสร้างและพฒั นาแบบประเมนิ การรับรดู้ า้ นคุณธรรม 171 บทท่ี 5 สรุป อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ 176 สรปุ ผลการวจิ ยั 179 อภิปรายผลการวจิ ยั 187 ขอ้ เสนอแนะ 189 บรรณานกุ รม 191 ภาคผนวก 195 ภาคผนวก ก รายชื่อคณะผ้วู ิจยั 209 ภาคผนวก ข แบบสารวจ (นาร่อง) พฤตกิ รรมทางคณุ ธรรมของคนไทย 221 ภาคผนวก ค แบบประเมนิ การรบั รู้ดา้ นคุณธรรม ภาคผนวก ง ผลการวเิ คราะห์คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งภายใน (IOC) รายขอ้ ภาคผนวก จ รายช่อื ผูท้ รงคณุ วุฒิ

สารบัญตาราง ตาราง หนา้ ตารางท่ี 1 สรุปองคป์ ระกอบพอเพยี งท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม 15 ตารางท่ี 2 สรปุ องคป์ ระกอบและตวั อย่างพฤติกรรมบ่งชี้พอเพยี งท่ีไดจ้ ากการทบทวน 15 วรรณกรรม 19 ตารางท่ี 3 สรปุ องค์ประกอบวินยั ทไี่ ด้จากการทบทวนวรรณกรรม 19 ตารางที่ 4 สรปุ องคป์ ระกอบและตัวอย่างพฤติกรรมบ่งชี้วินัยทไี่ ด้จากการทบทวนวรรณกรรม 22 ตารางที่ 5 สรปุ องค์ประกอบของสจุ รติ ท่ีไดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรม 23 ตารางที่ 6 สรปุ องค์ประกอบและตัวอย่างพฤติกรรมบ่งชส้ี ุจรติ ทไ่ี ด้จากการทบทวนวรรณกรรม 30 ตารางท่ี 7 สรปุ องค์ประกอบของจิตสาธารณะท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม ตารางท่ี 8 สรปุ องค์ประกอบและตวั อยา่ งพฤตกิ รรมบ่งชี้จิตสาธารณะท่ีไดจ้ ากการทบทวน 31 36 วรรณกรรม ตารางที่ 9 สรุปองค์ประกอบของความรับผิดชอบที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม 38 ตารางที่ 10 สรปุ องคป์ ระกอบและตัวอย่างพฤติกรรมบ่งช้คี วามรับผดิ ชอบที่ไดจ้ ากการทบทวน 50 วรรณกรรม 53 ตารางท่ี 11 การจดั กระบวนการกลุ่มพัฒนาตัวชีว้ ดั คุณธรรม ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้แนว 53 57 จติ ตปัญญาศึกษา ตารางที่ 12 กาหนดการของการจัดกระบวนการกลุ่มพฒั นาตัวช้วี ดั คณุ ธรรม 58 ตารางที่ 13 ระดบั ขั้นการให้เหตุผลเชงิ จริยธรรมของโคลเบิร์กและการใหค้ ะแนนแบบรูบริค 58 ตารางที่ 14 ร้อยละของผู้ตอบแบบสารวจออนไลน์ จาแนกตามช่วงอายุ 59 ตารางที่ 15 การจัดหมวดหมู่คาถาม ถ้านึกถงึ พฤติกรรม “ความพอเพียง” ฉนั จะนกึ ถึง 60 61 พฤติกรรม 62 ตารางท่ี 16 การจดั หมวดหมู่คาถาม พฤติกรรมใดของฉนั ท่ีแสดงวา่ ฉันเปน็ คนมีความพอเพียง ตารางท่ี 17 การจัดหมวดหมู่คาถาม ถา้ นึกถึงพฤตกิ รรม “ความมวี ินัย” ฉันจะนกึ ถึงพฤติกรรม 63 ตารางท่ี 18 การจัดหมวดหมู่คาถาม พฤติกรรมใดของฉันท่ีแสดงวา่ ฉันเป็นคนมวี นิ ัย 64 ตารางท่ี 19 การจัดหมวดหมู่คาถาม ถา้ นึกถงึ พฤติกรรม “ความสจุ รติ ” ฉันจะนึกถงึ พฤตกิ รรม ตารางที่ 20 การจัดหมวดหมู่คาถาม พฤติกรรมใดของฉันที่แสดงว่าฉนั เป็นคนสุจรติ 64 ตารางท่ี 21 การจัดหมวดหมู่คาถาม ถ้านกึ ถงึ พฤติกรรม “ความมีจิตสาธารณะ” ฉันจะนึกถงึ 65 66 พฤติกรรม 67 ตารางที่ 22 การจดั หมวดหมู่คาถาม พฤติกรรมใดของฉนั ที่แสดงวา่ ฉนั เป็นคนมจี ติ สาธารณะ 67 ตารางที่ 23 การจัดหมวดหมู่คาถาม ถา้ นึกถึงพฤติกรรม “ความรบั ผดิ ชอบ” ฉันจะนกึ ถึง พฤติกรรม ตารางท่ี 24 การจัดหมวดหมู่คาถาม พฤติกรรมใดของฉนั ที่แสดงวา่ ฉันเป็นคนมีความรบั ผิดชอบ ตารางที่ 25 ร้อยละของผูเ้ ขา้ ร่วมกระบวนการกลมุ่ พัฒนาตัวช้วี ดั คณุ ธรรม จาแนกตามจงั หวัด ตารางท่ี 26 รอ้ ยละของผเู้ ข้าร่วมกระบวนการกลมุ่ พัฒนาตัวชวี้ ดั คณุ ธรรม จาแนกตามเพศ ตารางที่ 27 รอ้ ยละของผูเ้ ขา้ รว่ มกระบวนการกลมุ่ พัฒนาตัวชวี้ ัดคณุ ธรรม จาแนกตามช่วงวยั

สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตาราง หนา้ ตารางที่ 28 รอ้ ยละของผู้เข้าร่วมกระบวนการกลมุ่ พฒั นาตัวชวี้ ดั คุณธรรมที่ตอบแบบสอบถาม 67 ด้านเศรษฐกิจและสงั คม จาแนกตามสถานภาพสมรส ตารางท่ี 29 รอ้ ยละของผู้เขา้ รว่ มกระบวนการกลุ่มพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมทต่ี อบแบบสอบถาม 68 ด้านเศรษฐกจิ และสังคม จาแนกตามระดับการศกึ ษา 68 ตารางท่ี 30 รอ้ ยละของผู้เขา้ ร่วมกระบวนการกลุ่มพฒั นาตัวชี้วดั คณุ ธรรมทีต่ อบแบบสอบถาม 69 ดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม จาแนกตามอาชีพ 69 ตารางที่ 31 รอ้ ยละของผเู้ ขา้ ร่วมกระบวนการกล่มุ พัฒนาตัวชีว้ ดั คณุ ธรรมท่ีตอบแบบสอบถาม 70 ดา้ นเศรษฐกิจและสังคม จาแนกตามรายได้ 72 75 ตารางท่ี 32 ร้อยละของผเู้ ข้าร่วมกระบวนการกลมุ่ พัฒนาตัวช้วี ัดคุณธรรมท่ีตอบแบบสอบถาม 78 ด้านเศรษฐกิจและสังคม จาแนกตามการนบั ถือศาสนาและความเชือ่ 81 ตารางที่ 33 ผลการจดั กระบวนการพฒั นาตัวชีว้ ดั คณุ ธรรม ประเดน็ พอเพียง 85 ตารางท่ี 34 ผลการจัดกระบวนการพัฒนาตัวช้วี ดั คุณธรรม ประเดน็ วนิ ยั ตารางท่ี 35 ผลการจดั กระบวนการพฒั นาตัวชว้ี ดั คณุ ธรรม ประเดน็ สุจรติ 85 ตารางที่ 36 ผลการจัดกระบวนการพฒั นาตวั ช้ีวดั คุณธรรม ประเดน็ จติ สาธารณะ ตารางท่ี 37 ผลการจัดกระบวนการพัฒนาตวั ชี้วัดคณุ ธรรม ประเด็นรบั ผิดชอบ 86 ตารางท่ี 38 สรปุ องคป์ ระกอบและพฤติกรรมบง่ ชี้พอเพียงท่ีได้จากการสารวจออนไลน์ ทบทวน 86 วรรณกรรม และกระบวนการกลุ่ม ตารางที่ 39 สรุปองค์ประกอบและพฤตกิ รรมบง่ ชวี้ นิ ัยทไ่ี ด้จากการสารวจออนไลน์ ทบทวน 87 87 วรรณกรรม และกระบวนการกลุ่ม 88 ตารางที่ 40 สรุปองค์ประกอบและพฤตกิ รรมบ่งชี้สจุ รติ ทไี่ ดจ้ ากการสารวจออนไลน์ ทบทวน 89 89 วรรณกรรม และกระบวนการกลุม่ 89 ตารางที่ 41 สรปุ องคป์ ระกอบและพฤตกิ รรมบง่ ช้ีจติ สาธารณะที่ได้จากการสารวจออนไลน์ 90 90 ทบทวนวรรณกรรม และกระบวนการกลุ่ม ตารางท่ี 42 สรปุ องคป์ ระกอบและพฤติกรรมบ่งชี้รบั ผิดชอบทีไ่ ด้จากการสารวจออนไลน์ 92 93 ทบทวนวรรณกรรม และกระบวนการกลมุ่ ตารางท่ี 43 องคป์ ระกอบของคณุ ธรรมแตล่ ะด้าน ตารางที่ 44 ความเท่ียงตรงเชิงเนอื้ หาของแบบประเมินการรับรคู้ ุณธรรม ดา้ นพอเพยี ง ตารางท่ี 45 ความเที่ยงตรงเชงิ เนื้อหาของแบบประเมินการรบั รู้คณุ ธรรม ดา้ นวนิ ัย ตารางท่ี 46 ความเทย่ี งตรงเชงิ เนอ้ื หาของแบบประเมนิ การรบั รคู้ ุณธรรม ดา้ นสจุ รติ ตารางท่ี 47 ความเที่ยงตรงเชงิ เนือ้ หาของแบบประเมนิ การรับรู้คุณธรรม ด้านจิตสาธารณะ ตารางท่ี 48 ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินการรับรคู้ ณุ ธรรม ดา้ นรับผดิ ชอบ ตารางที่ 49 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่างทั้งหมด จาแนกตามคุณลกั ษณะทั่วไป ตารางที่ 50 ร้อยละของกล่มุ ตัวอยา่ งทง้ั หมด จาแนกตามคุณธรรมและระดับการรบั รู้ดา้ น คุณธรรม ตารางที่ 51 รอ้ ยละของกล่มุ ตวั อยา่ งทง้ั หมด จาแนกตามระดับการรับรู้การมภี มู ิค้มุ กนั

สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตาราง หน้า ตารางท่ี 52 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างทงั้ หมด จาแนกตามระดบั การรบั รู้การมีเหตผุ ล 94 ตารางท่ี 53 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งท้ังหมด จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีความพอประมาณ 94 ตารางท่ี 54 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งทัง้ หมด จาแนกตามระดับการรบั รู้การตรงต่อเวลา 95 ตารางที่ 55 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั หมด จาแนกตามระดบั การรบั รู้การเคารพกฎระเบียบ 95 และกฎหมาย 96 ตารางที่ 56 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งทั้งหมด จาแนกตามระดบั การรับรู้การควบคุมตนเอง 96 ตารางที่ 57 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างทง้ั หมด จาแนกตามระดับการรับรู้การไม่เอารดั เอาเปรยี บ ตารางที่ 58 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งท้ังหมด จาแนกตามระดบั การรับรู้การยืนหยัดในความ 97 97 ถูกต้อง ตารางท่ี 59 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างทง้ั หมด จาแนกตามระดบั การรบั รู้การมีจติ อาสา 98 ตารางท่ี 60 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งท้งั หมด จาแนกตามระดับการรับรู้การมจี ติ สานึก 98 สาธารณะ ตารางท่ี 61 รอ้ ยละของกล่มุ ตวั อยา่ งทง้ั หมด จาแนกตามระดับการรับรู้การเสียสละเพอื่ 99 ช่วยเหลือผู้อื่น 99 ตารางท่ี 62 ร้อยละของกลุม่ ตัวอยา่ งทั้งหมด จาแนกตามระดบั การรับรู้การตั้งใจปฏิบัติหนา้ ที่ 100 ของตน ตารางท่ี 63 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อย่างทง้ั หมด จาแนกตามระดับการรบั รู้การยอมรับผลการ 100 กระทาของตนเอง 102 ตารางที่ 64 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งทัง้ หมด จาแนกตามระดับการรบั รู้การดแู ลบุคคลที่อยู่ 103 ภายใต้อาณตั ิหรือบคุ คลภายใตก้ ารดูแล ตารางที่ 65 ร้อยละของกลุม่ ตัวอยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามคุณธรรมและระดบั การรบั รู้ 105 106 ดา้ นคณุ ธรรม 106 ตารางท่ี 66 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามคุณธรรมและระดับการรบั รู้ 107 ด้านคณุ ธรรม ตารางที่ 67 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Generation Y จาแนกตามคุณธรรมและระดบั การรบั รู้ 107 ดา้ นคณุ ธรรม ตารางท่ี 68 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามคุณธรรมและระดับการรบั รู้ ด้านคณุ ธรรม ตารางท่ี 69 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรับรู้การมภี ูมิคุ้มกนั ตารางท่ี 70 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรับรู้การมเี หตุผล ตารางท่ี 71 รอ้ ยละของกลุม่ ตวั อยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรับรู้การมีความ พอประมาณ ตารางท่ี 72 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรบั รู้การตรงต่อ เวลา

สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตาราง หน้า ตารางที่ 73 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรับรู้การเคารพ 108 กฎระเบยี บและกฎหมาย ตารางที่ 74 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรบั รู้การควบคุม 108 ตนเอง 109 ตารางที่ 75 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรับรู้การไม่เอารัด 109 เอาเปรียบ 110 ตารางท่ี 76 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรบั รู้การยนื หยดั ใน 110 ความถกู ตอ้ ง ตารางท่ี 77 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีจิตอาสา 111 ตารางท่ี 78 ร้อยละของกลุม่ ตวั อยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรับรู้การมจี ิตสานกึ 111 สาธารณะ ตารางท่ี 79 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรบั รู้การเสียสละ 112 เพือ่ ช่วยเหลอื ผอู้ ืน่ 112 ตารางที่ 80 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดับการรบั รู้การตัง้ ใจ 113 113 ปฏิบตั ิหน้าทข่ี องตน ตารางที่ 81 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ ง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรบั รู้การยอมรบั ผล 113 การกระทาของตนเอง 114 ตารางท่ี 82 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง Baby Boomer จาแนกตามระดบั การรับรู้การดูแลบคุ คล 114 ทอ่ี ยภู่ ายใต้อาณตั ิหรือบุคคลภายใต้การดแู ล ตารางที่ 83 รอ้ ยละของกล่มุ ตัวอย่าง Generation X จาแนกตามระดับการรับรู้การมีภูมคิ ุ้มกัน 115 ตารางท่ี 84 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation X จาแนกตามระดบั การรับรู้การมีเหตผุ ล ตารางท่ี 85 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดบั การรบั รู้การมีความ 115 พอประมาณ 116 ตารางที่ 86 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรับรู้การตรงต่อ 116 เวลา ตารางท่ี 87 ร้อยละของกลมุ่ ตวั อยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรบั รู้การเคารพ กฎระเบยี บและกฎหมาย ตารางท่ี 88 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรับรู้การควบคุม ตนเอง ตารางที่ 89 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation X จาแนกตามระดบั การรบั รู้การไม่เอารัด เอาเปรยี บ ตารางที่ 90 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรับรู้การยืนหยดั ใน ความถูกต้อง ตารางที่ 91 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation X จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีจิตอาสา

สารบญั ตาราง (ต่อ) ตาราง หนา้ ตารางท่ี 92 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรับรู้การมจี ิตสานกึ สาธารณะ 117 ตารางที่ 93 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation X จาแนกตามระดบั การรับรู้การเสียสละ เพ่ือชว่ ยเหลือผอู้ ่นื 117 ตารางท่ี 94 ร้อยละของกล่มุ ตวั อย่าง Generation X จาแนกตามระดบั การรับรู้การตง้ั ใจปฏบิ ัติ หน้าทข่ี องตน 118 ตารางท่ี 95 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดบั การรบั รู้การยอมรบั ผล การกระทาของตน 118 ตารางท่ี 96 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง Generation X จาแนกตามระดับการรบั รู้การดูแลบคุ คล ทีอ่ ยูภ่ ายใต้อาณัตหิ รือบคุ คลภายใตก้ ารดแู ล 119 ตารางที่ 97 ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง Generation Y จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีภูมคิ ุม้ กัน 119 ตารางท่ี 98 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation Y จาแนกตามระดบั การรับรู้การมีเหตุผล 120 ตารางท่ี 99 รอ้ ยละของกล่มุ ตัวอย่าง Generation Y จาแนกตามระดบั การรบั รู้การมีความ พอประมาณ 120 ตารางท่ี 100 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Y จาแนกตามระดับการรับรกู้ ารตรงตอ่ เวลา 121 ตารางที่ 101 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดบั การรบั ร้กู ารเคารพ กฎระเบยี บและกฎหมาย 121 ตารางท่ี 102 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดบั การรับรู้การควบคมุ ตนเอง 122 ตารางท่ี 103 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation Y จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารไม่เอารัด เอาเปรียบ 122 ตารางท่ี 104 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดบั การรับรู้การยืนหยดั ใน ความถกู ตอ้ ง 123 ตารางที่ 105 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดับการรับรู้การมจี ิตอาสา 123 ตารางท่ี 106 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดับการรบั รกู้ ารมจี ิตสานึก สาธารณะ 124 ตารางที่ 107 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation Y จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารเสียสละ เพือ่ ช่วยเหลอื ผู้อื่น 124 ตารางที่ 108 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง Generation Y จาแนกตามระดบั การรบั รูก้ ารตง้ั ใจ ปฏบิ ัติหน้าที่ของตน 125 ตารางที่ 109 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดับการรบั รูก้ ารยอมรับ ผลการกระทาของตน 125 ตารางท่ี 110 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Y จาแนกตามระดบั การรบั รู้การดูแล บุคคลท่ีอยู่ภายใตอ้ าณัตหิ รือบุคคลภายใต้การดูแล 126

สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า ตารางที่ 111 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั ร้กู ารมี 126 127 ภูมคิ ้มุ กนั 127 ตารางท่ี 112 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารมีเหตุผล 128 ตารางที่ 113 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั รูก้ ารมีความ 128 129 พอประมาณ 129 ตารางท่ี 114 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารตรงต่อ 130 130 เวลา 131 ตารางท่ี 115 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั รู้การเคารพ 131 132 กฎระเบียบและกฎหมาย 132 ตารางที่ 116 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั รู้การควบคมุ 133 133 ตนเอง 135 ตารางท่ี 117 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Z จาแนกตามระดับการรับรู้การไม่เอารดั 136 138 เอาเปรียบ 139 ตารางท่ี 118 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารยืนหยดั ในความถูกตอ้ ง ตารางท่ี 119 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรับร้กู ารมีจิตอาสา ตารางที่ 120 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารมี จติ สานึกสาธารณะ ตารางท่ี 121 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Z จาแนกตามระดับการรบั รู้การเสียสละ เพอื่ ช่วยเหลอื ผ้อู ่นื ตารางท่ี 122 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดับการรบั รกู้ ารตั้งใจ ปฏบิ ตั ิหนา้ ทีข่ องตน ตารางที่ 123 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง Generation Z จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารยอมรับ ผลการกระทาของตน ตารางที่ 124 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง Generation Z จาแนกตามระดับการรับรู้การดูแล บุคคลท่ีอยูภ่ ายใตอ้ าณัติหรือบคุ คลภายใต้การดแู ล ตารางท่ี 125 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคเหนือ จาแนกตามคุณธรรมและระดบั การรบั รูด้ า้ น คุณธรรม ตารางท่ี 126 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคกลาง จาแนกตามคุณธรรมและระดับการรบั รู้ดา้ น คณุ ธรรม ตารางท่ี 127 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคอีสาน จาแนกตามคณุ ธรรมและระดบั การรบั รู้ดา้ น คุณธรรม ตารางท่ี 128 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคใต้ จาแนกตามคณุ ธรรมและระดับการรับรู้ด้าน คุณธรรม ตารางท่ี 129 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรบั รกู้ ารมีภูมิคุ้มกนั

สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตาราง หน้า ตารางท่ี 130 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรบั รูก้ ารมีเหตผุ ล 139 ตารางท่ี 131 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารมีความ 140 พอประมาณ 140 ตารางท่ี 132 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรับรูก้ ารตรงตอ่ เวลา ตารางที่ 133 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารเคารพ 140 141 กฎระเบียบและกฎหมาย ตารางที่ 134 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรบั รู้การควบคุมตนเอง 141 ตารางที่ 135 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรบั รู้การไมเ่ อารดั เอา 142 เปรียบ 142 ตารางที่ 136 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรับรู้การยนื หยดั ในความ 142 ถูกต้อง ตารางท่ี 137 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรับรูก้ ารมจี ิตอาสา 143 ตารางท่ี 138 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรับรู้การมีจิตสานึก 143 สาธารณะ ตารางที่ 139 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารเสยี สละเพอื่ 144 ช่วยเหลอื ผอู้ ่ืน 144 ตารางท่ี 140 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรบั รู้การต้ังใจปฏิบตั ิ 145 145 หนา้ ทีข่ องตน ตารางท่ี 141 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคเหนือ จาแนกตามระดับการรบั รู้การยอมรบั ผลการ 146 146 กระทาของตนเอง ตารางที่ 142 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคเหนือ จาแนกตามระดบั การรับรู้การดูแลบคุ คลท่ีอยู่ 147 147 ภายใตอ้ าณตั ิหรือบุคคลภายใตก้ ารดูแล ตารางท่ี 143 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารมีภูมคิ มุ้ กนั 148 ตารางท่ี 144 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคกลาง จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีเหตุผล ตารางท่ี 145 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรับรู้การมีความ 148 149 พอประมาณ ตารางที่ 146 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคกลาง จาแนกตามระดับการรบั รู้การตรงต่อเวลา ตารางท่ี 147 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรบั รู้การเคารพ กฎระเบียบและกฎหมาย ตารางที่ 148 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรบั รูก้ ารควบคมุ ตนเอง ตารางที่ 149 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารไม่เอารดั เอา เปรยี บ ตารางท่ี 150 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคกลาง จาแนกตามระดับการรับรกู้ ารยืนหยดั ในความ ถูกต้อง ตารางที่ 151 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรับรู้การมจี ิตอาสา

สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หนา้ ตารางท่ี 152 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคกลาง จาแนกตามระดับการรับรูก้ ารมจี ติ สานึก 149 สาธารณะ ตารางที่ 153 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคกลาง จาแนกตามระดับการรบั รู้การเสียสละเพื่อ 150 ชว่ ยเหลอื ผอู้ ื่น 150 ตารางท่ี 154 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่างภาคกลาง จาแนกตามระดบั การรบั ร้กู ารตั้งใจปฏิบัติ 151 หนา้ ทีข่ องตน ตารางที่ 155 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคกลาง จาแนกตามระดับการรับรู้การยอมรบั ผลการ 151 152 กระทาของตนเอง 152 ตารางที่ 156 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคกลาง จาแนกตามระดับการรับรกู้ ารดูแลบคุ คลท่ีอยู่ 153 ภายใตอ้ าณัติหรือบคุ คลภายใตก้ ารดแู ล 153 ตารางท่ี 157 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรับร้กู ารมีภมู คิ มุ้ กัน ตารางที่ 158 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรับรกู้ ารมเี หตผุ ล 154 ตารางที่ 159 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารมีความ 154 พอประมาณ 155 ตารางท่ี 160 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคอีสาน จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารตรงตอ่ เวลา ตารางท่ี 161 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอีสาน จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารเคารพ 155 156 กฎระเบยี บและกฎหมาย ตารางท่ี 162 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดับการรับรู้การควบคมุ ตนเอง 156 ตารางท่ี 163 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารไมเ่ อารัดเอา 157 เปรียบ ตารางท่ี 164 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรบั รู้การยืนหยัดในความ 157 ถูกต้อง 158 ตารางท่ี 165 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคอีสาน จาแนกตามระดบั การรบั รกู้ ารมจี ติ อาสา ตารางท่ี 166 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดบั การรับรู้การมจี ิตสานึก 158 159 สาธารณะ 159 ตารางที่ 167 ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคอสี าน จาแนกตามระดับการรับรู้การเสยี สละเพื่อ ชว่ ยเหลือผู้อื่น ตารางท่ี 168 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคอีสาน จาแนกตามระดบั การรับรู้การต้ังใจปฏิบตั ิ หนา้ ท่ีของตน ตารางท่ี 169 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่างภาคอสี าน จาแนกตามระดับการรบั ร้กู ารยอมรบั ผลการ กระทาของตนเอง ตารางที่ 170 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคอสี าน จาแนกตามระดับการรบั รกู้ ารดูแลบคุ คลที่อยู่ ภายใตอ้ าณตั ิหรือบุคคลภายใตก้ ารดแู ล ตารางที่ 171 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรบั รู้การมีภูมิคุ้มกนั ตารางที่ 172 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรบั รู้การมเี หตุผล

สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า ตารางที่ 173 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรับรู้การมีความ 159 พอประมาณ 160 ตารางที่ 174 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรับรู้การตรงต่อเวลา ตารางที่ 175 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคใต้ จาแนกตามระดับการรับรู้การเคารพกฎระเบยี บ 160 161 และกฎหมาย 161 ตารางท่ี 176 ร้อยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคใต้ จาแนกตามระดับการรบั รู้การควบคุมตนเอง ตารางที่ 177 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรับรู้การไม่เอารัดเอาเปรียบ 161 ตารางที่ 178 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ งภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรบั รู้การยนื หยัดในความ 162 ถูกต้อง 162 ตารางที่ 179 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรบั รู้การมจี ติ อาสา ตารางท่ี 180 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่างภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรับรู้การมีจิตสานึก 162 สาธารณะ 163 ตารางที่ 181 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดับการรับรู้การเสยี สละเพื่อ 163 ชว่ ยเหลอื ผู้อื่น ตารางท่ี 182 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรับรู้การต้งั ใจปฏบิ ัติหน้าท่ี 164 164 ของตน ตารางที่ 183 รอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรับรู้การยอมรบั ผลการ กระทาของตนเอง ตารางท่ี 184 ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างภาคใต้ จาแนกตามระดบั การรับรู้การดแู ลบคุ คลท่ีอยู่ ภายใตอ้ าณัตหิ รือบุคคลภายใตก้ ารดูแล ตารางท่ี 185 ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมนิ การรับรู้ด้านคุณธรรม

สารบัญภาพ หน้า 43 ภาพ 45 ภาพท่ี 1 การใส่ใจอยา่ งจดจ่อและการใส่ใจอยา่ งเปดิ รบั 46 ภาพท่ี 2 มายาวัตถวุ สิ ยั แห่งความรู้ 48 ภาพที่ 3 ชุมชนแหง่ ความจรงิ แท้ ภาพที่ 4 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย



1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ทมี่ ำและควำมสำคญั คณุ ธรรมนบั เป็นบรรทัดฐานหรือแนวทางการประพฤตปิ ฏิบัติท่สี ังคมส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นส่ิงท่ีดี งาม ควรแก่การยึดถือและปฏิบัติตาม อาจกล่าวได้ว่า คุณธรรมเป็นเสมือนกลไกทางสังคมที่คอยควบคุม พฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซ่ึงก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของคนในสังคม สง่ ผลให้สังคมมคี วามสงบสุข อย่างไรก็ตาม ต้ังแต่โลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าดา้ นวิทยาการส่ือสาร เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้เป็นปัจจัยผลักดันสาคัญซึ่งทาให้โลกอยู่ในภาวะไร้พรมแดนและนาโลกเข้าสู่ยุคแห่งการจัดระเบียบใหม่ ทางเศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองระหวา่ งประเทศ กอ่ ใหเ้ กิดทัง้ โอกาสและภยั คุกคามตอ่ การพัฒนาทย่ี ั่งยืน ของประเทศไทย โดยการมุ่งเน้นการแข่งขันเพ่ือสร้างความม่ังคั่งด้านรายได้ทาให้สังคมไทยมีความเป็นวัตถุ นิยมมากข้ึน ผู้คนมีปัญหาด้านพฤติกรรม คือ การย่อหย่อนทางศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ขาดระเบียบ วินัย และการเอารัดเอาเปรียบ (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2540) ประกอบกับการสารวจสถานการณ์คุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย พ.ศ. 2561 (ระหว่างเดือนมกราคม- พฤษภาคม) โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับสานักงานวัฒนธรรมจังหวัด วิทยาลัยนวัตกรรม สังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ www.esrisk.com พบว่า ปัญหาวิกฤตด้านคุณธรรมในสังคมไทยที่มี ความรุนแรงสูงสุด 4 อันดับแรก ได้แก่ 1) ปัญหาด้านความซ่ือสัตย์สุจริต การทุจริตคอร์รัปชัน (ค่าเฉล่ีย 4.13) 2) ปัญหาด้านจิตสานึกสาธารณะ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า ส่วนรวม (ค่าเฉลี่ย 3.95) 3) ปัญหาด้านพฤติกรรมวัตถุนิยม บริโภคนิยม ไม่มีความพอเพียง และปัญหา การขาดระเบียบวินัย ไม่เคารพกติกา กฎหมาย (ค่าเฉลี่ย 3.82) และ 4) ปัญหาขาดความสามัคคี เกิด ความขัดแย้งในสังคม และปัญหาคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ ไม่เคารพผู้ใหญ่ (ค่าเฉล่ีย 3.73) ส่วน สถานการณป์ ญั หาดา้ นคุณธรรมในองค์กร 3 อนั ดบั แรก ได้แก่ 1) เหน็ แก่ประโยชนส์ ว่ นตนมากกวา่ สว่ นรวม (ร้อยละ 16.29) 2) ขาดระเบียบวินัย (ร้อยละ 15.85) และ 3) ขาดความสามัคคี (ร้อยละ 10.21) (ศูนย์ คณุ ธรรม, 2561) ด้วยเหตุน้ี ประเด็นเร่ืองคุณธรรมจึงถูกหยิบยกข้ึนมาพูดถึงและให้ความสาคัญมากข้ึน ดังจะเห็น จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เป็นตน้ มา ได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ของคนในสังคมให้เป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ และพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม โดยมี ความรับผิดชอบ มีวินัย มีจิตสานึกสาธารณะ ยึดหลักความพอเพียงในการดาเนินชีวิต และ เลือกรับ วัฒนธรรมต่างชาติได้อย่างเหมาะสม (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2540, 2545, 2550, 2555, 2560) นอกจากน้ี ยทุ ธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) ยังไดใ้ ห้ความสาคัญกับ การส่งเสรมิ คุณธรรมในสังคมไทย ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมาย คือ 1) คนไทยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ พร้อมสาหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และ 2) สังคมไทยมี สภาพแวดล้อมท่ีเอือ้ และสนบั สนนุ ต่อการพฒั นาคนตลอดชว่ งชีวิต ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ดาเนินงานส่งเสริมคุณธรรมในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่มีความสาคัญควบคู่กับกระบวนการส่งเสริมคุณธรรม คือ การพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรม เพื่อเป็น เคร่ืองมือวัดผลความเปลี่ยนแปลงด้านคุณธรรมของคนในสังคมไทย โดยเฉพาะในประเด็นพอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ ซ่ึงคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติและคณะอนุกรรมการ

2 เตรียมคนไทยสู่ศตวรรษท่ี 21 มีมตใิ ห้ขับเคล่อื นให้เกิดขึ้นในสังคมไทย อกี ท้ังแผนแม่บทภายใต้ยทุ ธศาสตร์ ชาติ (10) ประเด็นการปรับเปลย่ี นคา่ นิยมและวัฒนธรรม (พ.ศ. 2561-2580) กาหนดเป้าหมายวา่ คนไทยมี คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม มีความรัก และภูมิใจในความเป็นไทยมากข้ึน นาหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดารงชีวิต สังคมไทยมีความสุข และเป็นท่ียอมรับของนานาประเทศมากข้ึน โดยมีตัวช้ีวัด คือ ดัชนีคุณธรรม 5 ประการ ประกอบด้วย ความซ่ือสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ การเป็นอยู่อย่างพอเพียง การกระทาอย่างรับผิดชอบ และความเป็นธรรมทางสังคม ดังน้ัน จึงมี ความจาเป็นในการพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคม คุณธรรมตอ่ ไป 1.2 วตั ถุประสงคก์ ำรวิจัย เพ่ือสร้างและพฒั นาตวั ช้ีวดั เชงิ ปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบคุ คล 1.3 ประโยชนท์ ีไ่ ด้รับจำกงำนวิจยั 1.3.1 ดำ้ นวิชำกำร ไดต้ ัวชีว้ ดั เชิงปรับฐานความเขา้ ใจดา้ นคุณธรรมระดับบุคคลที่พฒั นาข้นึ จาก 3 ส่วน คือ การสารวจออนไลน์ การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และการจัดกระบวนการกลมุ่ ซ่ึงเหมาะสม กับบรบิ ทสงั คมไทย 1.3.2 ด้ำนกำรปฏิบัติ นาตัวช้ีวัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลไปพัฒนาเป็น เครอื่ งมอื ตดิ ตามสถานการณด์ ้านคณุ ธรรมของสังคมไทย 1.4 ขอบเขตกำรวจิ ยั 1.4.1 ด้ำนเนื้อหำ งานวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้าน คณุ ธรรมระดับบคุ คลใน 5 ดา้ น คือ พอเพยี ง วนิ ัย สุจรติ จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ 1.4.2 ด้ำนประชำกร กลมุ่ เปำ้ หมำย และกลมุ่ ตัวอย่ำง 1.4.2.1 ประชำกร บุคคลท่ีมีอายุ 13 ปีขึ้นไป ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการปรับเปล่ียนค่านิยมและวัฒนธรรม ซ่ึงกาหนดตัวชี้วัดไว้ว่า “ประชากรอายุ 13 ปีข้ึนไป มกี จิ กรรมการปฏบิ ัติตนท่ีสะท้อนการมคี ณุ ธรรมจริยธรรมเพิ่มขน้ึ (ร้อยละตอ่ ปี)” 1.4.2.2 กลุ่มเป้ำหมำยท่ีร่วมพัฒนำตัวชี้วัดคุณธรรม เพ่ือคน้ หาพฤติกรรมคุณธรรมด้วย กระบวนการกลุ่ม จานวน 213 ตัวอย่าง จากจังหวัดนาร่องเครือข่ายสมัชชาคุณธรรมใน 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุดรธานี ภาคกลาง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคานึงถึงความแตกต่างของช่วงวัยตามทฤษฎี เจเนอเรชัน (Theory of Generation) ซึ่งแบ่งได้ 4 กลุ่ม เพ่ือทาความเข้าใจกระบวนทัศน์ วิธีคิด คุณลักษณะนิสัย และการให้คุณค่าของคนในแต่ละช่วงวัยท่ีแตกต่างกันไปตามกาลสมัย ประกอบด้วย 1) Baby Boomer เป็นคนสูงอายุในปัจจุบัน อายุระหว่าง 55-73 ปี เกิดระหว่าง พ.ศ. 2489-2507 2) Generation X เป็นคนวัยทางานในยุคปัจจุบัน อายุระหว่าง 39-54 ปี เกิดระหว่าง พ.ศ. 2508-2523 3) Generation Y เป็นคนวัยเริ่มต้นทางาน อายุระหว่าง 23-38 ปี เกิดระหว่าง พ.ศ. 2524-2539 และ 4) Generation Z เป็นคนกลุ่มวัยนักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 13-22 ปี เกิด พ.ศ. 2540 ข้ึนไป (Pew Research Center, 2019) 1.4.2.3 กลมุ่ ตวั อยำ่ งในกำรสำรวจออนไลน์ จานวน 72 คน

3 1.4.2.4 กลุ่มตัวอย่ำงในกำรทดสอบเคร่ืองมือ ไม่น้อยกว่า 10 เท่าของจานวน พารามเิ ตอร์ท่ตี อ้ งการประมาณคา่ คือ จานวน 210 คน 1.5 นิยำมศัพท์ 1.5.1 คณุ ธรรม หมายถึง การแสดงถึงคุณลักษณะท่ีมีความคงเส้นคงวาในตัวบุคคล อันเป็นผลมา จากการฝึกฝนจนกระท่ังเกิดเป็นความสมัครใจและนิสัย โดยเป็นการรักษาความคงเส้นคงวาระหวา่ งกรอบ แนวคดิ ท่ีว่าด้วยความดีและการกระทาของตนเอง ซึ่งในการวิจยั ครั้งนี้ได้ให้ความสาคัญกับคุณธรรม 5 ด้าน คือ พอเพียง วินัย สจุ ริต จติ สาธารณะ และรบั ผิดชอบ 1.5.2 พอเพียง หมายถงึ การแสดงออกถงึ ความพอใจในสงิ่ ทม่ี ี ดาเนินชีวติ อย่างมเี หตผุ ล รอบคอบ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เบยี ดเบียนทงั้ ตนเอง ผู้อนื่ และสังคม มีการเรียนรเู้ พ่อื เป็นภมู ิคมุ้ กันตนเอง และ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยงานวิจัยคร้ังน้ีสามารถวัดความพอเพียงได้จาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีภูมิคุ้มกัน คือ การเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น 2) มีเหตุผล คือ การพิจารณาเหตุปัจจัยและผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และ 3) มีความพอประมาณ คือ ความพอดี ไมน่ ้อยเกนิ ไปและไม่มากเกินไป 1.5.3 วินัย หมายถึง การแสดงออกถึงความเคารพและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย ค่านิยม และจารีตประเพณีของสังคม ตลอดจนความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมตนเองได้ โดยงานวิจัยคร้ังน้ีสามารถวัดความมีวินัยได้จาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การตรงต่อเวลา คือ การดาเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ตามเวลาที่กาหนดไว้ 2) การเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย คือ การปฏิบัติตนตาม กฎระเบียบและกฎหมาย และ 3) การควบคุมตนเอง คอื ความสามารถในการกากับควบคมุ ตนเองเพื่อสรา้ ง พฤติกรรมทดี่ อี นั นาไปสกู่ ารบรรลเุ ปา้ หมายท่ตี ้งั ไว้ 1.5.4 สุจริต หมายถึง การแสดงออกถึงความซ่ือสัตย์ ตรงไปตรงมา เป็นธรรม ท้ังในที่ลับและที่ แจ้ง รวมถึงการปฏเิ สธการกระทาท่ไี มซ่ อื่ ตรงหรือไม่ซ่ือสัตย์ของบคุ คลอื่นท่จี ะกอ่ ให้เกดิ ความเสยี หายท้ังต่อ บุคคลและส่วนรวม โดยงานวจิ ัยคร้ังนี้สามารถวดั ความสุจริตไดจ้ าก 2 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1) การไมเ่ อารัด เอาเปรียบ คือ การไม่ดาเนินกิจกรรมทน่ี ามาซ่ึงผลประโยชน์เหนือกว่าผอู้ ่ืนด้วยวิธีการเบียดเบียนผูอ้ ื่นหรือ ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน และ 2) การยืนหยัดในความถูกต้อง คือ การยึดมั่นในความถูกต้องและยืนหยัดที่จะ กระทาในสง่ิ ท่ถี ูกต้องแม้ว่าจะมีความยากลาบากหรอื มอี ปุ สรรคเขา้ มาขัดขวาง 1.5.5 จิตสำธำรณะ หมายถึง การแสดงออกถึงความต้ังใจทาส่ิงใดส่ิงหนึ่งเพ่ือประโยชน์ต่อ สาธารณะ แม้ไม่ใช่หน้าที่ด้วยความจริงใจ เสียสละ โดยปราศจากผลประโยชน์หรือผลตอบแท นใด ๆ รวมถึงการมีจิตสานึกในการไม่กระทาในสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ โดยงานวิจัยครั้งนี้สามารถวัด จิตสาธารณะได้จาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีจิตอาสา คือ การเข้าร่วมกิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวมของสังคม 2) มีจิตสานึกสาธารณะ คือ การคานึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสาคัญ และ 3) การเสียสละเพอื่ ช่วยเหลือผอู้ ื่น คอื การเสียสละแรงกาย ทรัพย์สิน และเวลา เพ่ือช่วยเหลือผู้อ่ืน โดยไม่ หวังผลตอบแทน 1.5.6 รับผิดชอบ หมายถึง การแสดงออกถึงความมุ่งมั่นต่อหน้าที่อย่างเต็มท่ี เต็มความสามารถ เพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ รวมถึงการยอมรับผลการกระทาของตนเองและปรับปรุงแก้ไข ให้ดีข้ึน โดยงานวิจัยคร้ังนี้สามารถวัดความรับผิดชอบได้จาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การต้ังใจปฏิบัติ หน้าท่ีของตน คือ การปฏิบัติหน้าท่ีหรือดาเนินกิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ 2) การยอมรับผลการกระทาของตน คือ การยอมรับข้อผิดพลาดจากการกระทาของตนและพร้อมท่ีจะ

4 ปรับปรงุ แกไ้ ขให้ดีขึ้น และ 3) การดูแลบุคคลท่ีอยู่ภายใต้อาณัติหรอื บคุ คลภายใต้การดูแล คือ การดูแลเอา ใจใสบ่ คุ คลทอี่ ย่ภู ายใต้การดแู ลของตนอย่างดีท่สี ดุ 1.5.7 โคลเบิร์ก (Kohlberg) หมายถึง นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการทาง จริยธรรม 6 ขั้น ซ่ึงในการวิจัยครั้งนี้ได้นาทฤษฎีดังกล่าวมาพัฒนาเป็นเคร่ืองมือวิจัย คือ ตัวชี้วัดเชิงปรับ ฐานความเขา้ ใจดา้ นคณุ ธรรมระดบั บคุ คลใน 5 ดา้ น คือ พอเพยี ง วจิ ัย สุจรติ จติ สาธารณะ และรับผดิ ชอบ 1.5.8 ตัวชี้วัดเชิงปรับฐำนควำมเข้ำใจด้ำนคุณธรรม หมายถึง ตัวชี้วัดความรู้ความเข้าใจใน ประเด็นคณุ ธรรมของบคุ คลแตล่ ะช่วงวัยในสังคมไทย ซ่ึงไมใ่ ช่ตวั ชี้วัดระดบั คุณธรรมของบุคคลแต่อยา่ งใด

5 บทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรม คณะผู้วิจัยได้ทาการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เพื่อนามาพัฒนา กรอบแนวคดิ การวจิ ยั โดยมีหัวข้อในการทบทวน ดงั นี้ 1) นยิ ามความหมายของคุณธรรม 2) แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับพฒั นาการด้านคุณธรรมจรยิ ธรรม 3) การศึกษาด้านคณุ ธรรมในสังคมไทย 4) การจดั กระบวนการเรียนรู้เพ่ือพฒั นาตวั ชี้วัดคณุ ธรรม 2.1 นยิ ำมควำมหมำยของคณุ ธรรม จากการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องกับการศึกษาด้านคุณธรรมพบว่าสามารถพิจารณานิยาม ความหมายของคุณธรรมได้จาก 2 มมุ มอง คือ 1) มมุ มองเชิงโครงสร้าง ซ่ึงมองวา่ คุณธรรมเป็นอดุ มคตหิ รือ ชุดคุณค่าท่ีควรปลูกฝังให้กับคนในสังคม และ 2) มุมมองเชิงผู้กระทาการ (Agency) ซึ่งให้ความสาคัญกับ บคุ คลในการตดั สินใจเลอื กและกระทาตามชดุ คุณคา่ ที่เลือก โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 2.1.1 นิยำมควำมหมำยของคุณธรรมจำกมุมมองเชิงโครงสร้ำง คุณธรรมเป็นอุดมคติหรือชุด คุณค่าที่ควรปลูกฝังให้กับคนในสังคม โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้นิยามว่า คุณธรรมคือสภาพคุณงามความดี (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556) เช่นเดียวกบั ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 นยิ ามว่า คุณธรรมเป็นส่ิงที่มีคณุ ค่า มีประโยชน์ เป็นความดี งาม เป็นมโนธรรม เป็นเครื่องประคับประคองจิตใจให้เกลียดความชั่ว กลัวบาป เป็นเคร่ืองกระตุ้นผลักดัน ให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบ เกิดจิตสานึกที่มีความสงบเย็นภายใน และเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังโดยเฉพาะ เพ่ือให้เกิดข้ึนและเหมาะสมกับความต้องการของสังคมไทย และคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ซึ่งมองว่าคุณธรรมเป็นสภาพความดีที่เกิดขึ้นในจิตใจของคน แสดงออกเป็นการประพฤติปฏิบัติท่ีดีจน เคยชิน ก่อให้เกิดประโยชน์สุขในสังคม (คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ , 2561) รวมถึง พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ได้นิยามว่า คุณธรรมเป็น สภาพคุณงามความดีท่ีสังคมไทยพึงยึดถือเพ่ือสร้างประโยชน์สุขให้แก่ปวงชน ดังนั้น จะเห็นว่านิยาม ความหมายของคณุ ธรรมจากมุมมองเชงิ โครงสร้างน้นั มักจะปรากฏอย่ใู นเอกสารหรอื นโยบายของหนว่ ยงาน ภาครัฐ 2.1.2 นิยำมควำมหมำยของคุณธรรมจำกมุมมองเชิงผู้กระทำกำร (Agency) คุณธรรมเป็น ลักษณะของแต่ละบุคคลที่เช่ือมโยงกับวิธีคิด การดาเนินชีวิต และสภาพสังคมที่บุคคลดารงชีวิตอยู่ โดย Kaur (2015) อธิบายว่า คุณธรรมโดยทั่วไปนั้นเก่ียวข้องกับทัศนคติและแรงจูงใจท่ีส่งเสริมให้เกิด ความเคารพ ความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์ โดยความเคารพครอบคลุมในสองลักษณะ คือ เคารพ ตนเอง และเคารพผู้อื่น สว่ นความรับผดิ ชอบเก่ยี วข้องกับการยอมรับในชวี ิตและการกระทาของตนเอง และ มีความผูกพันกับสังคม ผ่านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของ ชุมชน คุณธรรมคือระบบของกฎที่ควบคุมปฏิสัมพนั ธ์ทางสังคมและความสัมพนั ธ์ทางสังคมโดยมพี ้ืนฐานอยู่ บนแนวคิดสวัสดิภาพ ความไว้วางใจ ความยุติธรรม และสิทธิ มนุษย์จึงกาหนดการแสดงออกโดยอยู่บน พ้ืนฐานของความสามารถในการตีความสถานการณ์ทางสังคม ความมีเหตุผล ทักษะการแก้ไขปัญหา และ การควบคุมตนเอง ซงึ่ ลว้ นเปน็ การจัดองคป์ ระกอบของกระบวนการดา้ นคณุ ธรรม

6 Collier (1995 อา้ งถึงใน ปกรณ์ สิงห์สุรยิ า, 2562) อธบิ ายไว้ว่า คุณธรรมคอื แนวโน้มของบุคคลท่ี จะมีการกระทาในบางลักษณะในสถานการณห์ นึ่ง ๆ โดยแนวโน้มน้เี ป็นส่วนหน่ึงของตวั บุคคล เปรยี บไดก้ ับ แนวโน้มของลูกบอลท่ีจะกระเด้งเม่ือกระทบพื้น คุณธรรมมักมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น ความกล้าห าญ ความขยัน ความซ่ือสัตย์ และความมีน้าใจ คุณธรรมแสดงถึงคุณลักษณะท่ีมีความคงเส้นคงวาในตัวบุคคล คณุ ลกั ษณะน้ีมใิ ช่ลกั ษณะที่ติดตัวมาแต่กาเนิดอย่างเช่นพื้นฐานอารมณ์ แต่เปน็ ผลจากการฝึกฝนจนกระท่ัง เกิดเป็นความสมัครใจและนิสัย ด้วยความท่ีคุณธรรมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความคงเส้นคงวาของบุคคลเช่นน้ี จึงกลา่ วไดว้ ่า คุณธรรมสะทอ้ นลกั ษณะของบุคคล (character) Perren, S. and Gutzwiller-Helfenfinger, E. (2012) ได้อธิบายถึงคุณค่าทางคุณธรรม (Moral values) ว่าเป็นการจัดระดับคุณค่าของตัวตนในอุดมคติ โดยคุณค่าทางคุณธรรมท่ีเป็นต้นแบบตาม ธรรมชาติ ประกอบด้วย 6 คุณค่า คือ 1) ความน่าเชือ่ ถือ 2) การเป็นพลเมืองดี 3) ความซ่อื สัตย์ 4) จิตใจดี และหว่ งใย 5) ยตุ ธิ รรม และ 6) แสดงออกถงึ ความซื่อตรง นอกจากน้ี Aquino and Reed (2002) ยังไดอ้ ธบิ ายถึงอัตลักษณ์ด้านคุณธรรมเอาไว้ โดยกลา่ วว่า เป็นกลไกการควบคุมตนเองชนิดหนึ่งที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดการกระทาที่มีคุณธรรม และเป็นพื้นฐานของ การระบุตัวตนทางสังคมท่ีคนใช้ในการนิยามตนเอง อัตลักษณ์ด้านคุณธรรมจึงเป็นกรอบแนวคิดท่ีมีต่อ ตนเองซงึ่ เกดิ ขนึ้ จากชุดของคุณลักษณะดา้ นคุณธรรมในสังคม ความรู้ การนิยามตัวตน และภาพลักษณข์ อง คนที่มีคณุ ธรรมแสดงออกผ่านความคดิ ความรูส้ ึก และการกระทา คนทีม่ ีอตั ลักษณด์ ้านคณุ ธรรมท่ีเข้มแข็ง นน้ั มุง่ มั่นที่จะรักษาความคงท่ีระหว่างกรอบแนวคิดตัวตนท่ีมคี ุณธรรมและการกระทา กล่าวสรปุ ได้ว่า ในมุมมองเชิงผู้กระทาการนั้น คณุ ธรรมเปน็ ลกั ษณะของแต่ละบุคคลที่เชื่อมโยงกับ วิธีคิด การดาเนินชีวิต และสภาพสังคมท่ีบุคคลดารงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิยามคุณธรรมที่ตายตัว แต่ใหอ้ านาจกับบคุ คลในการเลือกนิยามและกาหนดการกระทาของตนเอง การนิยามคุณธรรมจากมุมมองนี้ จงึ เชื่อมโยงกับแนวคดิ ทเี่ กย่ี วข้องกับตัวตนของบคุ คล เชน่ อตั ลกั ษณ์ด้านคุณธรรม ท้ังน้ี ด้วยวิธคี ิดในการทางานท่วี ่า การขับเคล่อื นสร้างสังคมคุณธรรมต้องมาจากการมสี ่วนรว่ มของ คนในสังคมโดยที่คนในสังคมรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม ดังนั้น โครงการพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรมเพ่ือขับเคล่ือนสู่ สังคมคุณธรรมจึงให้ความสาคัญกับมุมมองเชิงผู้กระทาการที่บุคคลมีอานาจในการตัดสินใจเลือกและ กระทาตามชุดคุณค่าด้านคุณธรรมที่เลือก ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงกระบวนการดาเนินงานของโครงการน้ีที่ ออกแบบให้มีกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการนิยามควา มหมายและกาหนดตัวช้ีวัด คุณธรรม และในการวิจัยครั้งน้ีได้นิยามความหมายของคุณธรรมว่าหมายถึงคุณลักษณะที่มีความคงเส้นคง วาในตัวบุคคล ท่ีเป็นผลมาจากการฝึกฝนจนกระท่ังเกิดเป็นความสมัครใจและนิสัย โดยเป็นการรักษา ความคงเสน้ คงวาระหว่างกรอบแนวคดิ ท่วี า่ ด้วยความดีและการกระทาของตนเอง 2.2 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกบั พัฒนำกำรดำ้ นคณุ ธรรมจริยธรรม การขับเคล่ือนงานส่งเสริมคณุ ธรรมเป็นงานที่ต้องดาเนนิ การใน 2 สว่ น คือ 1) การทางานในระดับ บคุ คล ที่เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากทาความดีด้วยการคดิ ค้นพัฒนาองค์ความรู้ เครื่องมอื นวตั กรรม ซ่ึงนามาใช้ในการส่งเสริมคุณธรรม และ 2) การทางานกับระบบนิเวศที่แวดล้อมบุคคลอยู่ เพื่อสร้าง ส่ิงแวดล้อมท่ีสนับสนุนให้คนทาความดี และสร้างพื้นที่ทางสังคมของคนทาความดี ด้วยเหตุน้ี การทบทวน วรรณกรรมในส่วนของทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมจึงเป็นการพิจารณา ความเชือ่ มโยงกนั 2 ส่วน คอื ระหว่างบุคคล และระบบนเิ วศท่บี ุคคลใชช้ วี ิตอยู่ โดยมีรายละเอียดดังน้ี

7 2.2.1 ทฤษฎีพัฒนำกำรทำงจริยธรรมของ Piaget แนวคิดพัฒนาการทางการรู้คิด (Cognitive- developmental approach) ของ Jean Piaget มีอิทธพิ ลอย่างมากตอ่ การศึกษาด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม โดย Piaget ให้ความสาคัญกับวัยเด็กวา่ เป็นวัยท่มี ีความสาคัญต่อการสร้างเสรมิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในบคุ คล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเหล่านั้นเป็นตัวของตนเอง ได้ใช้ชีวิต เท่ียว กิน เล่น อยู่กับกลุ่มเพื่อนฝูง เนื่องจากการใช้ชีวิตดังกล่าวส่งผลให้เด็กเรียนรู้ประโยชน์หรือข้อดีท่ีได้รับจากการปฏิบัติกับบุคคลอนื่ อย่าง ตรงไปตรงมาและเท่าเทียม ทาให้สามารถตัดสินใจและแสดงพฤติกรรมทางคุณธรรมจริยธรรมอย่าง เหมาะสม Piaget (1964 อ้างถึงใน สุรศักด์ิ เก้าเอี้ยน และคณะ, 2562) ได้อธิบายลาดับขั้นพัฒนาการทาง สติปญั ญา (The development of knowledge) ไว้ 4 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ข้ัน Operation ในขั้นนี้การพัฒนาทางสติปัญญาขึ้นอยู่กับประสาทรับรู้และการเคล่ือนไหว (Sensorimotor) ความรทู้ เี่ ด็กไดร้ ับจะเปน็ ความรูต้ ามความเป็นจริง (Reality) กลา่ วคอื ในการรบั ร้วู ่าส่งิ ใด เป็นสิ่งใดเกิดจากการลงมือกระทา เช่น การมอง และการทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็น การเรยี นร้ทู ่ีหยัง่ รากลงไปภายในตวั บคุ คล โดยการเรียนรใู้ นข้นั น้เี กิดขึน้ ในช่วงอายแุ รกเกดิ ถึง 18 เดอื น ข้นั Pre-operational representation ในขน้ั นี้เด็กเรม่ิ เรียนรภู้ าษาและสญั ลกั ษณ์ตา่ ง ๆ สง่ ผล ใหเ้ กิดความคิดความเข้าใจมากขน้ึ แตย่ ังคงมขี อบเขตจากัด เกดิ ขึ้นในชว่ ง 2-7 ปี ข้ัน Concrete operation ในข้ันน้ีเร่ิมต้นข้ึนเม่ืออายุประมาณ 7-11 ปี เด็กมีความคิดเป็นของ ตนเอง สามารถต้ังกฎเกณฑ์บางอย่างได้ และสามารถแสดงออกทางความคิดได้ ลักษณะเด่น คือ การมี ความคิดเชิงเหตุผล และแนวความคดิ ที่มีความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั และกนั ขั้น Formal or hypothetic deductive operation เริ่มต้นในช่วง 11-15 ปี โดยเด็กจะมี ความคิดแบบผ้ใู หญ่ สามารถคดิ แบบนามธรรมได้ ใหเ้ หตุผลหรือสมมตฐิ านต่อสิง่ ท่ตี นเองคาดหมายได้ ส่วนพัฒนาการทางจริยธรรม Piaget อธิบายว่ามีข้ันตอนท่ีคล้ายคลึงกับข้ันตอนการพัฒนา สตปิ ัญญาของเด็ก โดยแบง่ ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังน้ี ข้ันก่อนจริยธรรม (Pre-moral stage) ในช่วง 4 ปีแรกของชีวิต เด็กยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ เกีย่ วกับกฎระเบียบของสังคม และไม่รู้ว่าระเบียบหรือกฎต่าง ๆ มีไว้เพือ่ อะไร หรอื รู้ก็น้อยมาก เด็กวัยนีจ้ ะ เล่นโดยไม่คานึงถึงกฎกติกาใด ๆ อย่างไรก็ตาม เช่ือว่าแนวคิดที่ว่าอะไรผิดอะไรถูกนั้นได้รับการเร่ิมฝังราก มาบ้างต้ังแต่วัยทารก ข้นั รู้ควำมหมำยของจริยธรรม (Moral realism) เป็นพัฒนาการทางจริยธรรมของเด็กอายุ 5-7 ปี หรืออาจเรียกว่า ข้ันยอมรับกฎเกณฑ์กฎระเบียบ (Stage of heteronomous morality) การที่เด็ก ตัดสินใจว่าอะไรผิดมากหรือน้อยจะถือเอาขนาดความเสียหายท่ีเด็กได้ทาไป คือ ทาของเสียหายมากก็ผิด มาก ทาของเสียหายนอ้ ยก็ผิดน้อย ส่วนในเรื่องของเจตนาจะทาผิดหรือไม่ได้เจตนาน้ันเด็กไม่ไดค้ านึงถึงใน วยั น้ี ข้ันระยะช่วงต่อระหว่ำงขั้นท่ี 3 และข้ันท่ี 4 (Transitional stage) เป็นพัฒนาการทาง จริยธรรมของเด็กในช่วงอายุ 7-9 ปี โดยประมาณ เด็กในวัยน้ีจะมีการเล่นกับเพ่ือน คบเพ่ือน มีการผูก สมั พันธ์กับเพื่อนมากข้ึน ใกลช้ ิดกบั เพือ่ นมากข้ึน เด็กเริ่มมีการใหแ้ ละรบั ระหว่างกนั และกัน เด็กในวยั นีจ้ ะรู้ ว่าการทาผิดจะตอ้ งได้รับโทษเป็นการตอบแทน ขั้นพิจำรณำจริยธรรมจำกควำมเกี่ยวโยง (Stage of moral relativism) เป็นพัฒนาการทาง จริยธรรมของเด็กอายุประมาณ 10-11 ปี เปน็ ระยะทีเ่ ด็กเริ่มพฒั นาจริยธรรมขึน้ สรู่ ะดับที่มคี วามคิดวา่ อะไร ผิดอะไรถูก โดยใช้เหตุผล คานึงถึงความยุติธรรมในความคิดอ่านของเขา เด็กมีเพื่อนมากขึ้นและเข้าสังคม กับเพื่อนมากข้ึน เด็กเร่ิมมีกฎเกณฑ์ มีความคิดของตนเอง หรือยึดหลักแห่งตน (Autonomous moral

8 thinking) ถือว่ากฎระเบียบเป็นผลิตผลของการปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือนในสังคมซึ่งอาจเปล่ียนแปลงได้ (นงลกั ษณ์ วริ ชั ชัย และรงุ่ นภา ตัง้ จติ รเจริญกุล, 2551) 2.2.2 ทฤษฎีพัฒนำกำรทำงจริยธรรมของ Kohlberg ได้จัดลาดับพัฒนาการทางจริยธรรม ออกเป็นข้ันตอนต่าง ๆ รวม 3 ระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็น 2 ข้ันตอน รวมมีระดับการพัฒนาจริยธรรม ท้งั หมด 6 ข้ันตอน ซ่ึงเรียงลาดบั ตัง้ แต่เด็กไปจนถงึ ผู้ใหญ่ ดงั น้ี ระดับ 1 ระดบั ก่อนกฎเกณฑ์ (Pre-conventional level) เปน็ ระดบั ก่อนมจี ริยธรรมอย่างมีเหตุ มผี ลหรือก่อนกฎเกณฑ์สงั คม เดก็ สว่ นใหญ่ทีอ่ ยใู่ นระดบั น้ีจะมีอายุต่ากว่า 9 ปี การคดิ เหตุผลทางจริยธรรม ของเด็กยังอาศัยรูปธรรม คือ เหตุผลที่สามารถสังเกตเห็นได้หรือจับต้องได้ กฎระเบียบของสังคมท่ีเด็กใน ระดับน้ียึดถือท้ังหมดมาจากคาสั่งสอนแนะนาของพ่อแม่หรือครู การพัฒนาจริยธรรมระดับนี้แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนท่ี 1 คือ ขั้นตอนหลบหลีกการถูกลงโทษ (Punishment and obedience orientation) เป็นขน้ั ปรับตัวตามการถูกลงโทษหรือการยอมทาตาม เช่ือฟงั ตามคาส่ัง เด็กมีเหตผุ ลท่ีกระทาความดีเพราะ ไมอ่ ยากถกู ลงโทษ เด็กวัยน้ี (อายุ 2-7 ปี) จะยงั ไมส่ นใจความคิดเห็นของผู้อ่ืน ส่วนขัน้ ตอนที่ 2 คือ ขนั้ ตอน ถือผลประโยชน์ของตน (Individualism) เป็นข้ันตอนที่ถือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่หรือเป็น หลัก เด็กวัยน้ีจะตัดสินใจเอาทางเลือกที่คิดว่าถูกและมีความเหมาะสมทางจริยธรรมซ่ึงขึ้นกับความสนใจ ของเขา พฤติกรรมที่ดีถกู ต้องตามเหตุผลของเด็กจะขนึ้ กบั รางวัลตอบแทนหรือคาชมเชย ระดับที่ 2 ระดับตำมกฎเกณฑ์ (Conventional level) เป็นระดับที่มีกฎเกณฑ์ทางสังคม คนหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ในสังคมส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาจริยธรรมในระดับนี้ เหตุผลของการตัดสินใจว่า อะไรดีงามเก่ียวข้องกับการเห็นชอบของผู้อื่นด้วย บุคคลที่อยู่ในการพัฒนาจริยธรรมระดับนี้จะเร่ิมใช้ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสังคมมากขนึ้ และนามากาหนดความถูกตอ้ งและความดี เหตผุ ลทางจริยธรรมแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนท่ี 3 คือ ข้ันตอนคล้อยตามหรือปฏิบัติตามผู้อ่ืน (Mutual interpersonal normative morality) เป็นการคล้อยตามความคาดหวังทางสังคมหรือการยอมรับของกลุ่ม ผู้ที่พฒั นาการ ทางจริยธรรมอยู่ในข้ันตอนนี้ (อายุ 10-13 ปี) ต้องการการยอมรับจากกลุ่มว่าเป็นคนดี จึงกระทาในสิ่งที่ สงั คมคาดหวงั โดยการปฏิบัติตนตามระเบียบข้อบังคับและคาสั่งของเจ้าหน้าท่ี ซ่ึงทาให้มีพฤติกรรมอันเป็น ที่ยอมรับของสังคม การกระทาความดีหรือไม่ดีนั้นยังคานึงถึงเจตนาด้วย เหตุผลท่ีบุคคลตัดสินว่าดีหรือ ถูกต้องจะพิจารณาจากการท่ีกลุ่มหรือสังคมเห็นว่าเขาเป็นคนดี ส่วนข้ันตอนท่ี 4 คือ ขั้นตอนปฏิบัติตาม ระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม (Law and order orientation) เป็นระดับการปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายและ ระเบียบของสังคม ในขั้นน้ีพฤติกรรมที่ดีงามและถูกต้องน้ันขึ้นกับการปฏิบัติตามระเบียบ ประเพณี การเคารพกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ท่ีสังคมกาหนดไว้หรือต้ังไว้เป็นสาคัญ (Social system and conscience) บุคคลในระดับน้ีจะมองสงั คมอย่างเปน็ ระบบ เข้าใจบทบาทหน้าทข่ี องตน เพือ่ ใหส้ ถาบนั ของ สงั คมดารงอยตู่ อ่ ไป ระดับที่ 3 ระดับเหนือกฎเกณฑ์ (Post conventional level) เป็นระดับเลยกฎเกณฑ์ของ สังคม เป็นระดับพัฒนาการทางจริยธรรมในระดับสูงสุด มีผู้ใหญ่ท่ีพัฒนาการทางจริยธรรมถึงระดับน้ี จานวนไม่มากนัก ผู้ท่ีมีพัฒนาการทางจริยธรรมถึงระดับน้ีจะต้องไม่เห็นแก่ตัวเอง มีวิจารณญาณใน กฎเกณฑ์ และจะต้องประพฤติปฏิบัตติ ามหลักปฏบิ ัติของจริยธรรมเทา่ น้นั มจี ติ สานึกของตนเองในการรูส้ ึก ผิดชอบชั่วดี ต้องมีพฤติกรรมท่ีดีงาม บุคคลสามารถเรียนรู้และพัฒนาจริยธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติงามด้วย ตนเอง ในลักษณะท่ีเป็นสากลนิยมได้แบ่งการพัฒนาจริยธรรมในระดับนี้ออกเป็น 2 ข้นั ตอน โดยข้ันตอนท่ี 5 คือ ขั้นตอนปฏิบัติตามข้อตกลงของสังคม (Social contract orientation) เป็นการปรับตัวหรือปฏิบัติ ตนตามสัญญาหรือข้อตกลงของสังคม บุคคลในข้ันน้ีมีพฤติกรรมที่ถูกต้องดีงามซึ่งขึ้นกับระเบียบประเพณี

9 และกฎเกณฑ์ของสังคมท่ีกาหนดไว้ มีจิตสานึกที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของสังคมเป็นสาคัญ มีความเชื่อว่ากฎหมายเป็นหลักยึดให้ทาดีและจาเป็นต้องปฏิบัติตามแม้จะขัดกับความคิดเห็นของคนส่วน ใหญ่ มีความเข้าใจถึงเหตุผลในการทาส่ิงที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามกฎหมายเพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า กฎหมายตราขึ้นกเ็ พือ่ สวสั ดิภาพของประชาชนทว่ั ไป สว่ นขัน้ ตอนที่ 6 คือ ปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ท่ีเป็นสากล (Universal principle underlying moral reasoning) เป็นข้ันยึดถือคุณธรรมท่ีได้รับ การยอมรับว่าเป็นคุณธรรมสากลหรือขั้นหลักการจริยธรรมสากล โดยเช่ือว่าความดีงาม ความถูกต้อง ที่เป็นสากลนั้นเป็นที่ยอมรับจากคนส่วนมากทั่วโลกและทุกสังคม (นงลักษณ์ วิรัชชัย และรุ่งนภา ตั้งจิตร เจรญิ กุล, 2551) นอกจากน้ี Kohlberg ยังได้พัฒนาเคร่ืองมือในการวัดระดับคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเป็นมาตรวัด แบบรายงานตนเอง (Self-report) มีรายละเอียดทั้งด้านเจตคติ (Attitudes) ความเช่ือ (Beliefs) และ พฤติกรรม (Behavior) ทางคุณธรรมจริยธรรม และศีลธรรมตามมุมมองจิตวิทยา (Hart & Carlo, 2005 อ้างถึงใน สรุ ศกั ดิ์ เก้าเอี้ยน และคณะ, 2562) มาตรวดั ดงั กล่าวใช้วิธีการสมั ภาษณ์ (Interview) โดยให้กลุ่ม ตัวอยา่ งเลือกการตัดสินใจทางคุณธรรมจริยธรรมตามข้อความและการใหเ้ หตุผลเชิงศีลธรรมท่ปี รากฎในข้อ คาถาม แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ประเด็น คือ 1) ประเด็นด้านชีวิตและกฎหมาย (life VS law) 2) ประเด็น ด้านความรับผิดชอบและการลงโทษ (conscience VS punishment) และ 3) ประเด็นด้านสัญญาและ อานาจ (contract VS authority) ซึ่งนักวิจัยด้านคุณธรรมจริยธรรมส่วนใหญ่ใช้เคร่ืองมือในการวัดระดับ คุณธรรมจริยธรรมน้ีในงานวิจัยของตน โดยปรับเปล่ียนภาษาและข้อความบางอย่างให้สอดคล้องกับสภาพ สังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ดังนั้น มาตรวัดดังกล่าวนี้จึงเป็นมาตรวัดท่ีได้รับ ผลกระทบจากสภาพสงั คมและวฒั นธรรมของกล่มุ ตวั อย่างท่ีแตกต่างกนั แม้ว่าการวัดคุณธรรมจริยธรรมตามทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ Kohlberg มีจุดอ่อนด้าน การนาไปใช้กับกลุ่มตวั อย่างท่ีมีสภาพสังคมและวฒั นธรรมท่ีมีความแตกต่างหลากหลาย Kohlberg ก็ยังคง ยืนยันความถูกต้องในทฤษฎีและมาตรวัดของตนเอง โดยให้เหตุผลว่าบุคคลไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในสังคมและ วัฒนธรรมใด ๆ ต่างต้องมีกระบวนการตัดสินใจทางคุณธรรมจริยธรรมผ่าน 4 พื้นฐานหลัก ได้แก่ 1) Normative orientation คือ การปฏิบัติตามหน้าที่หรือกฎระเบียบของสังคม 2) Utilitarian orientation คือ การประเมินถึงผลลัพธ์ที่ตามมาจากการกระทาในสถานการณ์หน่งึ ๆ ว่าเป็นสิ่งท่ดี ีหรือไม่ ดี 3) Ideal or harmony-serving orientation คื อ ก าร ใ ห้ ค ว า ม สา คั ญ กั บ ภ า พลั ก ษ ณ์ ข อ ง ต น มีความสามารถในการกล่าวได้ว่าตนเองเป็นคนดีและมีความรับผิดชอบ และ 4) Fairness or justice orientation คือ การกระทาด้านคุณธรรมจริยธรรมที่มุ่งเน้นความเสมอภาค ความเท่าเทียม และ ความตรงไปตรงมา (Snarey, 1985 อ้างถงึ ใน สุรศักดิ์ เกา้ เอี้ยน และคณะ, 2562) 2.2.3 แนวคิดนิเวศวิทยำของกำรพัฒนำมนุษย์ (Ecology of Human Development) ของ Bronfenbrenner ได้ให้ความสาคัญกับองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) Person (บุคคล) เป็น ศูนย์กลางของระบบ คุณลักษณะของบุคคล (The individual characteristics) พัฒนาจากปฏิสัมพันธ์ท่ี บุคคลมีต่อระบบต่าง ๆ 2) Context (บริบท) เป็นสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่ล้อมรอบบุคคล แบ่งเป็น 4 ระบบ คือ ระบบเล็ก (Micro system) เป็นสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลมากท่ีสุดและมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับ บุคคล ระบบกลาง (Meso system) คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบเล็กด้วยกัน ระบบภายนอก (Exo system) ท่ีมีอิทธิพลต่อระบบกลางและระบบเล็ก แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับบุคคล และระบบใหญ่ (Macro system) เป็นสิ่งแวดล้อมใหญ่สุด โครงสร้างที่มีผลต่อระบบท้ังหมด เช่น วัฒนธรรม สังคม และ เศรษฐกิจ 3) Process (กระบวนการ) เป็นปฏิสัมพันธข์ องมนุษยท์ ่ีมีกับบริบทรอบตัว และ 4) Time (เวลา)

10 เป็นการเปล่ียนแปลงของบุคคลในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต (Ettekal, Andrea Vest and Joseph L.Mahoney, 2017) จากการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับพัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมจะเห็นว่าทฤษฎี ของ Piaget และ Kohlberg ได้ให้ความสาคัญกับพัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมท่ีเชื่อมโยงกับ พัฒนาการตามช่วงวัยของมนุษย์ แต่ละช่วงวัยที่เติบโตขึ้นจะมีปัจจัยแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลซึ่งส่งผลต่อ การตัดสินใจและการกระทามากข้ึน โดยค่อย ๆ ขยายวงของความสัมพันธ์จากสมาชิกในครอบครัวไปสู่ ชุมชนและสังคม ทั้งนี้แนวคิดนิเวศวิทยาของการพัฒนามนุษย์ของ Bronfenbrenner จะมาเช่ือมต่อภาพ ในจุดนี้ให้ชัดเจนข้ึน โดยช้ีให้เห็นถึงระบบนิเวศรอบตัวมนุษย์ที่มีอิทธิพลกับบุคคล และให้ความสาคัญไปท่ี ปฏิสัมพันธ์ของบุคคลมีต่อระบบนิเวศ ซ่ึงเป็นการให้ความสาคัญกับบุคคลในฐานะผู้กระทาการ (Agency) ในการเลือกตัดสินใจและดาเนินชีวติ โดยคานึงถงึ เง่ือนไขที่แวดล้อมชีวิตอยู่ สาหรับการดาเนินงานในโครงการพัฒนาตัวช้ีวัดคุณธรรมเพื่อขับเคล่ือนสู่สังคมคุณธรรมนั้น ได้ให้ ความสาคัญกับการพัฒนาตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลเพ่ือใช้เป็นเครื่องมือใน การขับเคล่ือนสังคมไทยสู่สังคมคุณธรรม โดยอาศัยการสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือวัดตามแนวคิดทฤษฎี พัฒนาการทางจริยธรรมของ Kohlberg และในขณะเดียวกันก็ให้ความสาคัญกับการพิจารณาปัจจัย แวดลอ้ มบคุ คลตามแนวคิดนิเวศวทิ ยาของการพฒั นามนุษยข์ อง Bronfenbrenner ควบคู่กันไปด้วย 2.3 กำรศึกษำดำ้ นคุณธรรมในสงั คมไทย เน่ืองจากการดาเนินงานในโครงการพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมเพื่อขับเคล่ือนสู่สังคมคุณธรรมมุ่งเน้น การพัฒนาตัวชี้วัดเชิงปรับฐานความเข้าใจด้านคุณธรรมระดับบุคคลเพ่ือนาไปใช้เป็นเคร่ืองมือส่งเสริม คณุ ธรรมในสังคม ดงั นั้น การทบทวนวรรณกรรมจึงจาเปน็ ตอ้ งทบทวนการศึกษาด้านคุณธรรมในสงั คมไทย โดยพิจารณาประเด็นคุณธรรมทั้งในส่วนที่มีการกาหนดไว้ในนโยบาย คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ ซ่ึงเป็นประเด็นคุณธรรมตามท่ีระบุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) ดา้ นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ควบค่กู ับการปฏบิ ัติในชีวิตประจาวนั การทบทวน วรรณกรรมในส่วนน้ีจึงมาจากการประมวลข้อมูล 3 ส่วน คือ 1) เอกสาร 2) การสารวจความเห็นและ ความเข้าใจด้านพฤติกรรมท่ีสะท้อนถึงการมีคุณธรรม 5 ด้าน คือ “พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และ รับผิดชอบ” ของประชาชนทั่วไปผ่านระบบออนไลน์ และ 3) กระบวนการกลุ่ม ด้วยการจัด กระบวนการพฒั นาตวั ช้ีวัดคุณธรรม 2.3.1 พอเพียง เป็นคณุ ลักษณะหนึ่งของผู้มคี ุณธรรมจรยิ ธรรมในสังคมไทย โดยพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 นิยามว่า ความพอเพียงคือได้เท่าท่ีกะไว้ เช่น ได้เท่านี้ก็พอเพียงแล้ว (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556) ในขณะท่ีคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กล่าววา่ ความพอเพียงเป็น การดาเนินชีวิตแบบทางสายกลาง มีเหตุมีผล ใช้ความรู้ในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ มีความพอประมาณ พอดี ไม่เบียดเบียนตนเอง สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ไม่ประมาท สร้างภูมิคุ้มกันท่ีดี รู้เทา่ ทันการเปลี่ยนแปลง (คณะกรรมการสง่ เสริมคณุ ธรรมแห่งชาติ, 2561) ประเด็นด้านความพอเพียงยงั ได้รับการสารวจและการจดั ลาดับจาก Sustainability Scores หรือ คะแนนความยั่งยืน โดย RobeccoSAM จัดให้ประเทศไทยมคี วามพอเพียงอยใู่ นลาดับท่ี 58 จาก 62 ตดิ อยู่ ในกลุ่ม 10 ประเทศที่มีคะแนนต่า ในขณะท่ีดัชนีโลกมีสุขหรือ The Happy Planet Index จัดให้ประเทศ ไทยมีความพอเพยี งอย่ใู นกลุม่ 10 ประเทศแรกท่ีมีคะแนนสูงสุด โดยอยู่ในลาดับท่ี 9 จาก 140 ประเทศท่ัว โลก จะเห็นได้ว่าการจัดลาดับดังกล่าวยังให้ผลไม่สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังน้ัน

11 จงึ จาเป็นต้องมีการศึกษาเพ่มิ เติมว่าตามข้อเทจ็ จริงแล้วประชาชนคนไทยมีพฤติกรรมความพอเพียงอย่างไร (ศนู ย์คณุ ธรรม, 2560) ห ล า ย ห น่ ว ย ง า น ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ก า ร ป ลู ก ฝั ง คุ ณ ธ ร ร ม ค ว า ม พ อ เ พี ย ง โดยหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ได้กาหนดใหค้ วามพอเพียงเป็นหน่ึงในคุณลกั ษณะ อันพึงประสงค์ของนักเรียน และอธิบายว่าการอยู่อย่างพอเพียงเป็นคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการดาเนิน ชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มีคุณธรรม มีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี และปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข ผู้ทอี่ ยู่อยา่ งพอเพียงจึงเป็นผู้ทด่ี าเนินชีวิตอยา่ งประมาณตน มีเหตุผล รอบคอบ ระมดั ระวัง อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนด้วยความรับผิดชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน เห็นคุณค่าของทรัพยากรต่าง ๆ มีการวางแผน ปอ้ งกันความเสี่ยงและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2561) ในขณะที่ สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) ไดก้ าหนดให้มีการปลูกฝังและพัฒนาค่านิยม 12 ประการใน สถานศึกษา ซึ่งหน่ึงในค่านิยมดังกล่าว คือ “รู้จักดารงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตาม พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจาเป็น มีไว้พอกิน พอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจาหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเม่ือมีความพร้อม เม่ือมีภูมิคุ้มกันท่ีดี” ทั้งนี้ ค่านิยมการดารงตนโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกปลูกฝังอย่างเข้มข้นในนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการเปรียบเทียบต่าง ๆ รวมถึงมี โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา ป้องกันการทุจริต หรือโครงการ โรงเรียนสุจริต โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือปลูกจิตสานึก ความซื่อสัตย์สุจริตให้กับนักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ด้วยการมุ่งเสริมสร้างการอยู่ อย่างพอเพียงผ่านตัวบ่งชี้ คือ การดาเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผลรอบคอบ มีคุณธรรม มีภูมิคุ้มกัน ในตัวที่ดี ปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ซ่ึงมีการวัดและประเมินผลคุณลักษณะตามตัวบ่งชี้ ดงั กล่าวผ่านพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ที่แตกต่างกันตามช่วงวัย (เกษม วัฒนชัย, 2559) รวมถึงศูนย์คณุ ธรรม (องค์การมหาชน) ได้จัดเวทีแลกเปล่ียนภายใต้โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในการส่งเสริมสังคม คณุ ธรรม ในหัวข้อการพัฒนาดชั นชี ี้วัดพอเพียง วินยั สจุ รติ จิตสาธารณะ และรับผดิ ชอบ โดยผเู้ ข้าร่วมงาน ดังกล่าวได้ช่วยกันระดมความคิดเห็นและให้ความหมายของความพอเพียงว่าหมายถึงความพอใจ ความภูมิใจในส่งิ ทม่ี ี ดาเนินชีวติ อย่างมเี หตผุ ล รอบคอบ ไม่ประมาท สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เบียดเบยี น ทั้งตนเอง ผู้อ่ืน และสังคม มีการเรียนรู้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันตนเอง และรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง (ศูนย์ คุณธรรม, 2562) นอกจากนนั้ ยังมกี ารศึกษาวิจัยอกี จานวนหนึ่งที่ศึกษาประเด็นทางคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย ซึ่งมักศึกษาคุณธรรมหลาย ๆ คุณธรรม โดยมีความพอเพียงเป็นหน่ึงในประเด็นคุณธรรมที่ศึกษา เช่น มุทิตา ชัยเพชร ชัยวิชิต เชยี รชนะ และศจมี าจ ณ วเิ ชียร (2557) ศกึ ษาเรื่อง การศกึ ษาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมท่ี เหมาะสมกับนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบ ทาการสังเคราะห์ตัวบ่งช้ีจาก งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 22 เรื่อง และสามารถแบ่งคุณธรรมจริยธรรมออกเป็น 7 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) พืน้ ฐานแหง่ การเรียนรู้ 2) อรรถประโยชน์ต่อเพื่อนมนษุ ย์ 3) ความพอเพียงแห่งการดารงชีวติ 4) การค้า จนุ ทางจิต 5) เกียรติภูมิแห่งตน 6) การมุ่งประกอบอาชพี และ 7) การดารงแหง่ ตน โดยความพอเพียงแห่ง การดารงชีวิตนั้นมีตัวบ่งชี้ คือ การพ่ึงตนเอง การอดออม เศรษฐกิจพอเพียง ความเป็นประชาธิปไตย จติ สาธารณะ มีสัจจะ และ มูหัมมัดรุสลี ดามาเล๊าะ และจิดาภา สุวรรณฤกษ์ (2552) ศึกษาเร่ือง คุณธรรม จริยธรรมในการดาเนินชีวิตตามหลักคาสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อสิ ลามในจังหวัดปัตตานี ซ่ึงแบ่งขอบเขตของคุณธรรมจรยิ ธรรมเป็น 5 ดาน ได้แก่ 1) ความสภุ าพอ่อนโยน

12 และการอ่อนน้อมถ่อมตน 2) การรู้จักให้อภัย 3) ความพอเพียง 4) มารยาทต่อบุคคลท่ัวไป และ 5) ความอดทน โดยนักเรียนมีพฤติกรรมความพอเพียงอยู่ในระดบั ปานกลาง เรยี งลาดับค่าเฉล่ยี จากมากไป หาน้อย 3 อันดับแรก คือ การปฏิบัติตามจริยวัตรของนบี การใช้ชีวติ เหมาะสมกบั ฐานะของตน และการให้ ความสาคญั กับคุณภาพของสินคา้ มากกวา่ ย่ีหอ้ ของสินค้า รวมถึงใช้คอมพิวเตอร์ของโรงเรยี นเม่ือผู้ปกครอง ไม่สามารถซ้อื คอมพิวเตอร์สว่ นตวั ใหไ้ ด้ ส่วนข้อท่ไี ด้คะแนนนอ้ ยท่ีสดุ คือ การออมเงินเพ่อื ใช้ในยามจาเป็น ในส่วนของงานศึกษาวิจยั เพื่อพัฒนาแบบวดั คุณลักษณะหรือพัฒนาตัวบ่งช้ีความพอเพียงนนั้ พบว่า ส่วนใหญม่ ีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรยี น เช่น ปรานี เข็มวงษ์ และไชยรัตน์ ปราณี (2553) ศึกษาเรอ่ื ง การสรา้ ง แบบวดั คุณลักษณะความพอเพียงตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง สาหรับนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 จังหวัดนครสวรรค์ กาหนดคุณลักษณะความพอเพียงแต่ละด้านเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการสร้างข้อคาถาม ของแบบวัด ได้แก่ 1) ความพอประมาณ เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความไม่โลภมาก ไม่ก่อ ความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อ่ืน รู้จักประมาณในการบริโภค การใช้จ่าย รู้จักความพอดีในการพูด การปฏิบัติ การพักผ่อน การออกกาลังกาย และการสนุกสนานร่าเริง พอเหมาะกับความจาเป็น 2) ความมีเหตุผล เป็นพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ กฎของสังคม ประเพณี วัฒนธรรม หลักกฎหมาย หลักศีลธรรม และหลักความจาเป็นในการดาเนินชีวิต พิจารณาจาก เหตุท่ีเก่ียวข้องโดยคานึงถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยความรอบคอบ 3) การมีภูมิคุ้มกันท่ีดี เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบของ การเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ทีค่ าดวา่ จะเกิดขึ้นในอนาคตทง้ั ใกลแ้ ละไกล ทง้ั ดา้ นบวกและด้านลบกับการดาเนิน ชีวิตของตน เช่นเดียวกับ ชลิดา ลุนสะแกวงษ์ สมพงษ์ ปั้นหุ่น และสุรีพร อนุศาสนนันท์. (2559) ศึกษา เร่ือง การพัฒนาแบบวัดคุณลักษณะการอยู่อย่างพอเพียงสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นตาม หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ทแ่ี บง่ คณุ ลักษณะของความพอเพยี งออกเป็น 3 ด้าน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยด้านท่ี 1 คือ ความพอประมาณ ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) การใช้ ทรัพยส์ ินของตนเองใหส้ อดคลอ้ งกบั ความจาเป็นตามศกั ยภาพ 2) การใช้ทรพั ยส์ ินของตนเองอยา่ งประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี รวมท้ังการใช้เวลาอย่างเหมาะสม 3) การใช้ทรัพยากรของส่วนรวมให้ สอดคล้องกับความจาเป็นอย่างคุ้มค่าโดยไม่ส่งผลกระทบกับผู้อ่ืน 4) ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่าง ประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี สามารถพึ่งตนเองได้ 5) ดารงชวี ิตอย่างเรียบง่าย เพ่ิมรายได้ลด รายจา่ ย พออย่พู อกิน และ 6) ดาเนินชีวิตสมควรตามอัตภาพและฐานะของตน ไม่หลงใหลตามกระแสนิยม ด้านท่ี 2 ความมีเหตุผล ตัวบ่งช้ี ได้แก่ 1) ปฏิบัติตนและตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงน้ันด้วย ความรอบคอบ มีการทบทวนไตร่ตรองด้วยเหตุและผล คานึงถึงผลที่จะเกิดตามมาอย่างรอบด้าน 2) มีคุณธรรมและใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ไม่เอาเปรียบผู้อ่ืนและไม่ทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน 3) มีจิตสานึกท่ีดี เอ้ืออาทร และคานึงถึงผลกระทบจากการกระทาของตนที่มีต่อตนเอง ผู้อ่ืน และส่ิงแวดล้อม และด้านที่ 3 คอื การมีภูมิคุ้มกนั ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) การกาหนดเป้าหมายในการปฏิบตั ิงานหรอื การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน 2) วางแผนการเรียน การทางาน และการใช้ชีวิตประจาวันบนพ้ืนฐานของความรู้ ข้อมูล ขา่ วสาร 3) รู้เท่าทนั การเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม 4) การเลือกทีจ่ ะรบั หรือไม่รบั สิ่งต่าง ๆ ท้ังทางบวกและลบ 5) ยอมรับและปรับตัวเพอ่ื อยรู่ ่วมกับผอู้ ื่นได้อยา่ งมีความสุข 6) การมีความรักใหแ้ ก่กัน และกัน การรู้จักแบง่ ปนั มคี วามสามัคคกี ัน และการตรวจสอบส่วนที่เป็นจดุ แขง็ และจดุ ออ่ นของตนเอง ฐิตินันท์ ตันทะรา (2555) ศึกษาเร่ือง การสร้างแบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ได้กาหนดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของผู้เรียนด้าน การอยู่อย่างพอเพียงเป็น 5 ด้าน คือ 1) ความพอดีด้านการบริโภคอาหาร พฤติกรรมบ่งชี้ ได้แก่

13 รับประทานอาหารหมดจาน และรับประทานอาหารตรงเวลาวันละสามมื้อ 2) ความพอดีด้านจิตใจ พฤติกรรมบ่งชี้ ได้แก่ พอใจในส่ิงท่ีตนมีอยู่ และให้อภัยเม่ือผู้อื่นทาผิด 3) ความพอดีด้านสังคม พฤติกรรม บง่ ชี้ ไดแ้ ก่ ช่วยเหลอื ผอู้ ื่นตามกาลงั ความสามารถ และให้ความร่วมมือกบั ชมุ ชนในการทากิจกรรมต่าง ๆ 4) ความพอดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม พฤติกรรมบ่งชี้ ได้แก่ ทิ้งขยะลงในถังขยะทุกครั้ง ช่วยกันรักษาความสะอาดบริเวณโรงเรียน และใช้น้าอย่างประหยัดโดยปิดทุกครั้งเม่ือเลิกใช้ และ 5) ความพอดีด้านเทคโนโลยี พฤติกรรมบ่งช้ี ได้แก่ ใช้อินเตอร์เน็ตในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และใช้ เทคโนโลยีเพอื่ การแสวงหาความรหู้ รอื การศกึ ษา มนัสนันท์ คาตัน (2560) ศกึ ษาเร่ือง การพัฒนาตัวชี้วดั คุณลกั ษณะความพอเพียงตามหลักปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียง สาหรับนักเรียนระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ในเขตพ้ืนทจ่ี ังหวัดเชียงราย แบ่งองค์ประกอบ ของความพอเพียงเป็น 5 องค์ประกอบ องค์ประกอบที่ 1 คือ ความพอประมาณ ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) ความประหยัด 2) ความพออยู่ พอกิน พอใช้ 3) การรู้จักพอ 4) ความพอประมาณกับสภาพของตน องค์ประกอบท่ี 2 คือ ความมีเหตุผล ตัวช้ีวัด ไดแ้ ก่ 1) การใช้ทรัพยากรอยา่ งฉลาดและรอบคอบ 2) การใช้ ทรัพยากรให้เกิดความย่ังยืน 3) การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ องค์ประกอบที่ 3 คือ การมีภูมิคุ้มกัน ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) การมีจิตใจท่ีเข้มแข็ง 2) การปรับตัวพร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลง 3) การวางแผนการออมและ การดาเนินชีวิต องค์ประกอบที่ 4 คือ ความรู้ ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) การใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับทรัพยากร 2) การแสวงหาความรู้ 3) ความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง 4) การพัฒนาและสืบทอดภูมิปัญญาชาวบ้าน และองค์ประกอบท่ี 5 คือ คุณธรรม ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) ความซื่อสัตย์สุจริต 2) ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ 3) ความขยันหมน่ั เพียร อตุ สาหะ 4) การรรู้ ักสามคั คี สายันต์ กลีบจอหอ และคณะ. (2561) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาตัวชี้วัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านการอยู่อย่างพอเพียงของนักเรียนระดับประถมศึกษา กาหนดองค์ประกอบของความพอเพียง 5 องค์ประกอบ คือ 1) มีเหตุผล 2) การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม 3) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 4) มีวินัยใน ตนเอง และ 5) ความประหยดั และขยัน ท้ังนี้ ยังพบงานศึกษาวิจัยทีม่ ุ่งพัฒนาตัวชี้วัดความพอเพียงในกลุ่มเกษตรกร เชน่ ธวัชชัย เพ็งพินิจ และคณะ (2555) ท่ีศึกษาเรื่อง การพัฒนาตัวช้ีวัดระดับการพ่ึงพาตนเองและพ่ึงพากันเองตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของเกษตรกรในโครงการพระราชดาริลุ่มนา้ ห้วยทอน โดยตัวชว้ี ดั ระดบั การพงึ่ พาตนเองมี ท้ังหมด 26 ตัวช้ีวัด ประกอบด้วย การทาบัญชีครัวเรือน เก็บออม ปลูกผักสวนครัว ประหยัด ลดรายจ่าย เลี้ยงสัตว์บริโภค มีเหตุผล ทาปุ๋ยชีวภาพ สร้างรายได้ ฝึกอาชีพจักสาน ปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่สร้างหนี้ พอเพียง ยึดหลักธรรม รักษาสิ่งแวดล้อม ทาเกษตรผสมผสาน ทาอาชีพเสริม หาความรู้ ให้คาปรึกษา ถือศีล ช่วยเหลือผู้อื่น เฝ้าระวังยาเสพติด ซ่ือสัตย์ ไม่รบกวนผู้อื่น ปลูกข้าวไว้กิน และละเว้นอบายมุข ส่วนตัวชี้วัดระดับการพ่ึงพากันเองมีท้ังหมด 15 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย รวมกลุ่มกิจกรรม สามัคคี ประชุม ร่วมกัน กองทุนหมุนเวียน มีอ่างเก็บน้า รับฟังเหตุผล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จัดเวรยาม ชุมชนพอเพียง ถ่ายทอด ความรู้ ช่วยเหลือกัน ถือศลี ตัง้ กฎระเบียบหมู่บ้าน เฝา้ ระวังยาเสพติด และผนู้ าเข้มแข็ง และงานศึกษาวิจัย ที่ได้สร้างแบบวัดพฤติกรรมพอเพียงของชุมชน เช่น สุรชัย ฐานสโร (2557) ศึกษาเร่ือง จิตลักษณะและ สถานการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมพอเพียงของชุมชนสุวรรณภูมิ เขาสร้างแบบวัดพฤติกรรมพอเพียง โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้านความพอประมาณ เป็นการดาเนนิ ชีวิตในทางสายกลาง สามารถพ่ึงพา ตนเองได้ โดยมีการกระทาที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไปในมิติต่าง ๆ ของชีวิตประจาวัน เช่น การผลิต การบริโภค การใช้จ่าย การออม รวมทั้งการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต 2) ด้านสุขภาพ เป็นการดูแลสุขภาพร่างกายของตนให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วยการออกกาลังกาย รับประทานอาหารที่มี

14 ประโยชน์ ตรวจสุขภาพเป็นประจา รวมทั้งการป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุต่าง ๆ 3) ด้านความซื่อสัตย์ เป็นการประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงตอ่ ความเปน็ จริง ประพฤตปิ ฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาท้ังกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น 4) ด้านพฤติกรรมพลเมืองดี เป็นการควบคุมความประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับจรรยามารยาท ขอ้ บังคบั กฎหมาย และศีลธรรม นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาวิจัยเก่ียวกับความพอเพียงท่ีได้กาหนดองค์ประกอบของความพอเพียง เอาไว้ เช่น สุปราณี สุระเดช (2554) ศึกษาเร่ือง การดาเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงและคุณภาพชีวิต ของพนักงานในผู้ใหญ่ตอนต้น กรณีศึกษาพนักงานบริษัทอิเลคโทรนิกแห่งหน่ึง แบ่งองค์ประกอบของ ความพอเพียงเป็น 3 องค์ประกอบ คือ 1) ความพอประมาณ 2) ความมเี หตุผล 3) การมีภมู ิคุ้มกันที่ดี และ วีรวรรณ วงศ์ปิ่นเพ็ชร์ (2558) ซึ่งศึกษาเร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างจิตพอเพียงและพฤติกรรมการบริโภค ด้วยปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเลือกใช้คาว่า “จิตพอเพียง” แทน “ความพอเพียง” ผลการศึกษาพบว่า จิตพอเพียงมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการบริโภคด้วยปัญญา กล่าวคือ การที่นักเรียนมีจิตลักษณะแบบพอเพียงในระดับสูงมากเท่าใด ก็จะย่ิงมีพฤติกรรมการบริโภคด้วยปัญญาเพ่ิมมากขึ้นเท่าน้ัน อาจเนื่องมาจากการมีจิตลักษณะแบบ พอเพียงซ่ึงเป็นจิตลักษณะท่ีกอปรไปด้วย 1) จิตลักษณะแห่งความพอประมาณ คือ มีความรู้จักพอ รู้ว่า อะไรเหมาะสมหรือพอควร 2) จิตลักษณะแห่งความมีเหตุผล เป็นจิตลักษณะที่เคารพในเหตุผลความเป็น จริงตามหลักวิทยาศาสตร์และกฎกติกาของสังคม 3) จิตลักษณะแห่งความมีคุณธรรมจริยธรรม คือ มคี วามซื่อสัตย์สุจรติ ขยนั หม่ันเพยี ร อดทนอดกลั้น อดออม และประหยดั และ 4) จติ ลกั ษณะที่มีภูมิคมุ้ กัน ตนเอง คือ เป็นจิตลักษณะที่ต้ังมั่นอยู่ในความไม่ประมาท ไม่เสี่ยง แต่มีความรอบคอบ ระมัดระวัง ทาให้ นักเรียนมีการคิดวิเคราะห์และไตร่ตรองก่อนท่ีจะตัดสินใจกระทาสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น จึงสามารถเลือกซื้อและ เลอื กใชส้ ิง่ ต่าง ๆ อาทิ อาหาร ส่ิงของเครอ่ื งใช้ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม และสือ่ ด้วยความเข้าใจในคณุ ค่า และประโยชน์ทีแ่ ท้จริง ไมท่ าให้ตนเอง ผู้อ่ืน และธรรมชาติส่งิ แวดล้อมเดือดร้อนหรือเสียหาย หรือเรยี กได้ ว่า มีพฤติกรรมการบริโภคดว้ ยปญั ญาน่นั เอง จากการทบทวนงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความพอเพียงในสังคมไทยดังข้างต้นจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ สนใจศึกษาในกลุ่มนักเรียน อย่างไรก็ตาม ประเด็นคุณธรรมด้านความพอเพียงยังเป็นประเด็นที่สมควร ได้รับการศึกษาเพิ่มเติม โดยอาจขยายขอบเขตการศึกษาให้กว้างออกไป ครอบคลุมในทกุ ช่วงวัย เพื่อทาให้ เหน็ ภาพรวมของคณุ ธรรมความพอเพียงในสงั คมไทยได้ชดั เจนยิง่ ข้ึน ส า ห รั บ ก า ร ด า เ นิ น ง า น ใ น โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ตั ว ชี้ วั ด คุ ณ ธ ร ร ม เ พ่ื อ ขั บ เ ค ลื่ อ น สู่ สั ง ค ม คุ ณ ธ ร ร ม คณะผู้วิจัยได้นิยามว่า ความพอเพียงคือการแสดงออกถึงความพอใจในสิ่งที่มี ดาเนินชีวิตอย่างมีเหตุผล รอบคอบ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เบียดเบียนทั้งตนเอง ผู้อื่น และสังคม มีการเรียนรู้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน ตนเอง และร้เู ทา่ ทนั การเปลยี่ นแปลง ส่วนองค์ประกอบและตัวอย่างพฤติกรรมบ่งชี้ความพอเพียงที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมนั้น ดังตารางท่ี 1 และ 2

15 ตำรำงท่ี 1 สรุปองค์ประกอบพอเพยี งท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม องคป์ ระกอบของควำมพอเพียง นกั วจิ ยั /นักวชิ ำกำร มคี วำม มเี หตุผล มภี ูมิค้มุ กนั มคี วำมรู้ มีคณุ ธรรม หมำยเหตุ พอประมำณ กลุ่มตวั อยา่ ง ปรานี เข็มวงษ์ และ    คือ นกั เรียน ไชยรัตน์ ปราณี (2553) กลมุ่ ตัวอย่าง คอื พนกั งานผ้ใู หญ่ สปุ ราณี สรุ ะเดช   (2554) ตอนต้น กลมุ่ ตวั อย่าง ธวชั ชัย เพ็งพินจิ   คือ เกษตรกร และคณะ (2555) กลุม่ ตวั อย่าง คือ นักเรยี น ฐติ ินนั ท์ ตนั ทะรา   กลมุ่ ตวั อยา่ ง (2555) คอื นกั เรยี น กลุ่มตัวอย่าง มหู มั มดั รสุ ลี ดามาเล๊าะ    คอื ชุมชน (2555) กลมุ่ ตัวอยา่ ง สุรชัย ฐานสโร (2557)      คือ นักเรียน นักศึกษา มุทิตา ชยั เพชร กลมุ่ ตวั อยา่ ง ชัยวิชติ เชยี รชนะ    คือ นักเรยี น และศจมี าจ ณ วเิ ชยี ร กลมุ่ ตวั อยา่ ง (2557) คอื นกั เรยี น วีรวรรณ วงศ์ปิ่นเพ็ชร์     กลุ่มตวั อยา่ ง (2558) คอื นกั เรยี น กลมุ่ ตัวอย่าง ชลดิ า ลนุ สะแกวงษ์ คอื นักเรียน สมพงษ์ ปั้นหุน่ และ    สรุ ีพร อนุศาสนนันท์ (2559) มนัสนนั ท์ คาตัน (2560)      สายันต์ กลบี จอหอ    และคณะ (2561) ตำรำงท่ี 2 สรปุ องคป์ ระกอบและตวั อย่างพฤตกิ รรมบ่งช้ีพอเพียงท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม องค์ประกอบ ตัวอย่ำงพฤติกรรมบ่งช้ี - รบั ประทานแต่พออ่มิ มคี วามพอประมาณ - รับประทานอาหารหมดจาน - ใชจ้ า่ ยเงินตามฐานะของตน - เลอื กทากิจกรรมทเี่ หมาะสมกบั ตน - ซ้อื สง่ิ ของตามความจาเปน็ มีเหตผุ ล - นาส่งิ ของกลับมาใช้ใหม่ - นาวสั ดุทีเ่ หลอื ใชม้ าดดั แปลงเป็นของใช้ - นาของเกา่ ไปซ่อมแซมเพอ่ื นากลับมาใชใ้ หม่

16 องค์ประกอบ ตัวอย่ำงพฤตกิ รรมบง่ ชี้ มภี ูมิคมุ้ กัน - เกบ็ ออมเงนิ ลดรายจ่ายท่ีไม่จาเป็น มีความรู้ - ไม่กูย้ มื เงนิ หากไมจ่ าเปน็ มีคุณธรรม - ปลกู ผัก ผลไม้ เลีย้ งสัตว์ เพ่อื บรโิ ภคเอง - พอใจในสง่ิ ที่ตนมี ไม่อยากได้ของผอู้ ่นื - ไม่อิจฉาริษยาผูอ้ น่ื - พึง่ พาตนเองได้ - ไม่ยุ่งเกย่ี วกับอบายมุข - พรอ้ มรบั การเปลยี่ นแปลงในเร่ืองต่าง ๆ อยตู่ ลอดเวลา - ใชเ้ ทคโนโลยเี พอื่ เพิม่ ประสทิ ธิภาพในการทางาน - ไมใ่ ช้เทคโนโลยีทาร้ายผูอ้ ื่น ทาลายทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม - ดูแลรักษาขา้ วของเครือ่ งใชเ้ พอ่ื ให้สามารถใช้งานไดย้ าวนาน - ดแู ลสุขภาพของตนเพ่ือลดคา่ ใช้จา่ ยในการรกั ษาพยาบาล - ชว่ ยเหลอื ผ้อู ่ืนตามกาลังความสามารถของตน - ถา่ ยทอดองคค์ วามรทู้ ่ีมใี หแ้ กผ่ อู้ ่นื - หากมที รัพยากรมากและเหลอื ใช้ก็แบง่ ปันให้แก่ผู้อ่ืน - เลือกใชส้ ง่ิ ของทที่ าลายทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มให้น้อยทีส่ ดุ 2.3.2 วินัย จากผลการสารวจความคิดเห็นของประชาชนเร่ือง สถานการณ์คุณธรรมในสังคมไทย ของศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับซูเปอร์โพล (SUPER POLL) กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นประชาชน ทั่วไปจานวน 1,250 คน ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน พ.ศ. 2562 พบว่า สาเหตุอันดับหน่ึงของการขาด คุณธรรมในสังคมไทย คือ “คนในสังคมไม่มีวินัย” ร้อยละ 59.70 รองลงมา คือ การคานึงถึงแต่ประโยชน์ ส่วนตัว ร้อยละ 57.90 และขาดความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 51.10 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมี ความบกพรอ่ งในเรือ่ งของวนิ ยั โดยการขาดวนิ ยั มีสาเหตุมาจากพ้ืนฐานที่ทุกคนมอี ยใู่ นตวั และปัญหาการไร้ ระเบียบวินัยก็เป็นจุดเริ่มต้นในการทาให้เกิดปัญหาอ่ืน ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร การแซงคิว และการไม่เคารพกฎระเบียบของสังคม ซ่ึงนับวันปัญหาดังกล่าวน้ีจะเพ่ิมจานวนมากข้ึน ท้ังใน ระดับปริมาณและระดับความรุนแรง (ศูนย์คุณธรรม, 2562) ดังน้ัน วินัยจึงเป็นคุณธรรมสาคัญที่ควรเร่ง ส่งเสรมิ ให้แกค่ นไทยทุกช่วงวัย Magginson (1970) อธิบายไว้ว่า วินัย (discipline) มีความหมายท่ีมองได้หลายแง่มุม คือ 1) ในแง่ของการควบคุมตนเอง เป็นการมุ่งพัฒนาตนให้สามารถปรับตัวได้ตามความจาเป็นและ ความต้องการ หรือท่ีเรียกว่า “อัตวินัย” 2) ในแง่ของเง่ือนไขท่ีทาให้มีพฤติกรรมเป็นระเบียบเรียบร้อย ซ่ึงเป็นการมงุ่ ควบคุมสมาชิกในองคก์ รให้ปฏิบัติตามระเบียบโดยใชว้ ิธีการสร้างเงื่อนไขตา่ ง ๆ และ 3) ในแง่ ของกระบวนการทางนิติธรรม เป็นการมุ่งไปท่ีกระบวนการตามกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบ ทั้งข้อพึงปฏิบัติ และห้ามปฏิบัติ รวมถึงโทษของการฝ่าฝืน เพ่ือใช้พิจารณาความผิดทางวินัย อันเป็นลักษณะของ การควบคมุ คนใหม้ วี นิ ัย ส่วน Ausubel (1968) ได้กล่าวถึงความสาคัญของวินัยในการฝึกฝนเยาวชนไว้ 5 ประการ คือ 1) วินัยมีความจาเป็นต่อกระบวนการทางสังคม เพ่ือให้เรียนรู้การยอมรับมาตรฐานของสังคมและ วัฒนธรรมต่าง ๆ ของสังคม 2) วินัยมคี วามจาเป็นต่อการสร้างคนให้มบี คุ ลิกภาพทีเ่ หมาะสมและมีวุฒิภาวะ เช่น ฝึกให้มีการควบคุมตนเอง การพ่ึงพาตนเอง 3) วินัยฝึกให้คนเป็นผู้มีศีลธรรม เชื่อฟัง พัฒนาความรู้สึก ผดิ ชอบช่ัวดี และความมีเหตุผล 4) วินยั มีความจาเปน็ ต่อความรู้สกึ ปลอดภัยของเด็กและมีความจาเป็นต่อ

17 การออกกฎข้อบังคับต่าง ๆ และ 5) วินัยสอนให้เกิดความรู้ความชานาญท่ีจะร่วมกิจกรรมกับผู้อ่ืนในสังคม โดยเฉพาะความรู้ความชานาญในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมสังคมให้เกิดความรู้ด้านมนุษย สมั พนั ธ์ที่จะทาให้การปฏบิ ัตติ อ่ ผอู้ น่ื เปน็ ไปอย่างราบร่ืน ยังผลให้เกดิ ประโยชนส์ มความมงุ่ หมาย หล าย หน่ วย ง าน ใน ปร ะเ ท ศไ ทย ได้ ให้ นิ ยา มค วา มห ม าย แล ะอ ธิบ า ยถึ งค วา มส า คัญ ขอ งวิ นั ย โดยสานักงานมาตรฐานวินัย สานักงาน ก.พ. (2558) อธิบายว่า วินัยคือปทัสถานหรือมาตรฐานทาง พฤติกรรมของคนในการประกอบกิจกรรมแต่ละอย่าง ซ่ึงอาจกาหนดไว้เป็นรูปธรรม เช่น วินัยพระสงฆ์ วินยั ทหาร วนิ ัยข้าราชการพลเรือน หรืออาจเพียงเป็นทีม่ ่งุ หวังว่าต้องอยู่ในกรอบอย่างไร เช่น วินยั นักเรียน ท่จี ะต้องอยู่ในกรอบของผปู้ ระกอบการทางการศึกษา หรือวินัยทางการเงินและการคลงั ของรัฐบาลที่จะตอ้ ง อยู่ในกรอบของผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจ ลกั ษณะการมองวินยั ดงั กลา่ วจงึ เปน็ การมองท่ี “ตัวมาตรฐาน” (norms) แต่ทั้งน้ีอาจมองอีกทางหนึ่งได้ ซ่ึงเป็นการมองที่ “พฤติกรรม” (behaviors) ดังท่ีพูดว่า “การกระทาอย่างน้ันเป็นการกระทาที่มีวินัย” หรือ “การกระทาอย่างน้ีเป็นการกระทาท่ีไม่มีวินัย” ดังนั้น วินยั ในแง่น้จี งึ หมายถึงการทาตามปทสั ถานหรอื การไมท่ าตามปทสั ถาน ขณะทสี่ านักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร (2561) ได้อธบิ ายว่า วินัยหมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อตกลงที่กาหนดข้ึน เพ่ือใช้เป็นแนวทางให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในการดารงชีวิต ร่วมกันในสังคมให้เรียบร้อยดีงาม ทั้งน้ีได้เน้นอธิบายไปที่วินัยของนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยอธิบายว่า พฤติกรรมบ่งชี้ของการมีวินัยของนักเรียนคือ 1) ปฏิบัติตนตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อ่ืน และ 2) ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน และรับผิดชอบในการทางาน อีกท้ังยังเน้นให้ความสาคัญกับวินัยด้าน ความรับผิดชอบและการตรงต่อเวลา โดยอธิบายว่า วินัยด้านความรบั ผิดชอบแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) รับผิดชอบต่อตนเอง ได้แก่ แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รับผิดชอบต่อการเรียน รักษาสุขภาพอนามัยของตนเอง มีความอดทนเพียรพยายาม 2) รับผิดชอบต่อ ครอบครัว ได้แก่ ช่วยทางานบ้าน เคารพเชื่อฟังผู้ปกครอง ไม่นาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัว และ 3) รับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ ช่วยดูแลรักษาสาธารณสมบัติ เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน และเข้าร่วม กิจกรรมของชุมชน ส่วนวนิ ัยดา้ นการตรงต่อเวลาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) วินัยดา้ นการตรงต่อเวลา ในการทากิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกับตัวนักเรียนเอง ได้แก่ มาโรงเรียนทันการเข้าร่วมกิจกรรมหน้าเสาธง เขา้ เรยี นทนั เวลา เข้ารว่ มกจิ กรรมตามเวลา สง่ งานหรอื การบ้านภายในเวลาท่ีกาหนด และเข้าสอบตรงเวลา และ 2) วนิ ัยด้านการตรงต่อเวลาในการทาภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้อ่ืน ได้แก่ ไม่ผิดเวลานัด และเมื่อยืมของ แลว้ สง่ คืนตามเวลา ศนู ย์คุณธรรม (องคก์ ารมหาชน) ได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนภายใต้โครงการขับเคล่ือนยุทธศาสตรช์ าตใิ น การส่งเสริมสังคมคุณธรรม ในหัวข้อพัฒนาดัชนีชี้วัดพอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ โดยผู้เข้าร่วมเวทีการแลกเปล่ียนดังกล่าวได้ช่วยกันระดมความคิดเห็นและให้ความหมายของวินัยว่าเป็น ความมุ่งม่ันต้ังใจ เคารพและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย รวมถึงค่านิยมท่ีดี และ จารีตประเพณีของสังคม เพือ่ ประโยชนต์ ่อตนเองและส่วนรวมอยา่ งสมา่ เสมอ (ศูนยค์ ุณธรรม, 2562) นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาวิจยั อีกจานวนหนึ่งท่ีศึกษาประเด็นทางคณุ ธรรมจริยธรรมในสังคมไทย ซึ่งมักศึกษาคุณธรรมหลาย ๆ คุณธรรม โดยมีเรื่องวินัยเป็นหน่ึงในประเด็นคุณธรรมที่ศึกษา เช่น ประกฤติยา ทักษิโณ และคณะ (2559) ได้ศึกษาเรือ่ ง โมเดลการวัดและประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ รอบด้านตามมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติและการพัฒนาชุดเคร่ืองมอื วัดโครงสร้างด้านเจตคติของนักเรียน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีเร่ืองวินัยเป็นองค์ประกอบย่อยขององค์ประกอบด้านสมรรถนะ ซ่ึงพบว่า

18 พฤติกรรมบ่งช้ีความมีวินัย คือ 1) มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมการแสดงออกของ ตน 2) เช่ือม่ันว่าการที่จะประสบผลสาเร็จตามที่ต้ังใจเป็นผลมาจากความสามารถ ทักษะ หรือการกระทา ของตนเอง 3) ปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าท่ี 4) เคารพและปฏิบัติตนตามข้อตกลงกฎระเบียบของสังคมทั้ง ต่อหน้าและลับหลัง 5) ตรงต่อเวลาในการนัดหมาย ทางานเสร็จตามเวลาที่กาหนด และ 6) รับผิดชอบใน ผลของการกระทาทั้งในด้านที่เป็นผลดีและผลเสีย ขณะที่ รจรินทร์ ผลนา และศิริพันธ์ ติยะวงศ์สุวรรณ (2559) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาตัวบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นคนดีของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 ได้ตัวบ่งชี้ความมีวินัย คือ 1) ปฏิบัติ ตนตามระเบียบ กฎเกณฑ์ ของครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และสังคม 2) รู้หน้าท่ีและปฏิบัติตามหน้าท่ี ท่ีได้รับมอบหมาย และ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน และ พรนิภา จันทร์ น้อย (2560) ศึกษาเร่ือง รูปแบบกิจกรรมการพัฒนาพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาใน สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามคุณลักษณะบัณฑิตอุดมคติไทย กาหนดพฤติกรรมบ่งช้ีความมีระเบียบวินัย คือ 1) ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ และข้อตกลงต่าง ๆ ของคณะและของมหาวิทยาลัย 2) แต่งกาย สุภาพเรียบร้อยและถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัย 3) ใช้ระเบียบแถวในการรับบริการต่าง ๆ ท้ัง ภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย รวมถึง รุ่งฤดี กล้าหาญ ดวงเดือน ศาสตรภัทร และสารสมร เฉลยกิตติ (2559) ซ่ึงศึกษาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการวัดและประเมินพฤติกรรมเพ่ือเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายของไทยในศตวรรษที่ 21 สร้างแบบประเมินความมีวินัย ของนักเรยี นโดยครปู ระจาช้ัน ซึ่งกาหนดพฤติกรรมบง่ ช้ี ได้แก่ 1) ปฏิบตั ติ ามสิทธิหน้าท่ีของตน 2) แตง่ กาย ถูกต้องตามระเบียบโรงเรียน 3) ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ 4) เข้าแถวรับบริการตามลาดับ และ 5) ไมห่ ยอกล้อกนั เล่นขณะครสู อน ในส่วนของงานศึกษาวิจัยที่มุ่งพัฒนาแบบวัดคุณลกั ษณะหรือพัฒนาตัวบ่งชี้ความมีวินัยโดยเฉพาะ นั้น เช่น ณิชา อาจเดช และคณะ (2555) ศึกษาเร่ือง การสร้างแบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้าน การมีวินัย สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ซึ่งแบบ วัดดังกล่าวสร้างตามแนวคิดของกระทรวงศึกษาธิการ มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ระเบียบของครอบครัว โรงเรียน และสังคม 2) เคารพสิทธิของผู้อ่ืน 3) ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรม 4) ยอมรับผลการกระทาของตน และ 5) ปฏิบตั ิงานตามหน้าที่ และ ประยรุ ภรณ์ บ้งุ ทอง บญุ ชม ศรีสะอาด และนุชวนา เหลืองอังกูร (2555) ศึกษาเรื่อง การสร้างแบบวัดความมีวินัยในตนเองสาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 กาหนดประเภทของการวัดความมีวินัยในตนเอง 6 ด้าน คือ 1) ด้าน ความรับผิดชอบ 2) ด้านความเชื่อมั่นในตนเอง 3) ด้านความอดทน 4) ด้านความเป็นผู้นา 5) ด้าน ความอดทน 6) ด้านความซ่อื สตั ย์ 7) ด้านความเป็นผู้นา 8) ด้านการปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บของสงั คม จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดน้ันจะเห็นว่า ส่วนใหญ่งานศึกษาวิจยั เกี่ยวกับความมีวินัยในสังคมไทยสนใจ ศึกษากลุ่มนักเรียน คณะผู้วิจัยมองว่าการที่เราจะสามารถมองเห็นภาพรวมของคุณธรรมด้านวินัยใน สังคมไทยได้น้ันจาเปน็ ต้องศึกษาประเด็นนี้ในกลุ่มชว่ งวัยอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ในการดาเนินงานโครงการพัฒนา ตวั ช้วี ดั คุณธรรมเพ่ือขับเคลือ่ นสูส่ งั คมคุณธรรม คณะผู้วจิ ยั ได้นิยามวา่ วินยั คอื การแสดงออกถงึ ความเคารพ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย ค่านิยม และจารีตประเพณีของสังคม ตลอดจน ความสามารถในการควบคุมพฤตกิ รรมตนเองได้ สว่ นองค์ประกอบและตวั อย่างพฤตกิ รรมบ่งชี้ความมวี ินัยท่ี ไดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรมน้นั ดงั ตารางท่ี 3 และ 4

19 ตำรำงท่ี 3 สรปุ องคป์ ระกอบวนิ ัยทไ่ี ด้จากการทบทวนวรรณกรรม องคป์ ระกอบของควำมมีวนิ ัย นักวจิ ยั /นกั วิชำกำร ตรงต่อ เคำรพกฎระเบยี บ/ ควบคมุ ปฏบิ ัติงำนตำม หมำยเหตุ เวลำ กฎหมำย ตนเอง หน้ำท่ี ณชิ า อาจเดช และคณะ    กลุ่มตัวอยา่ ง คอื (2555) นักเรียน ประยรุ ภรณ์ บุง้ ทอง    กลุ่มตัวอยา่ ง คือ บุญชม ศรสี ะอาด นกั เรียน และนชุ วนา เหลอื งอังกูร (2555) รงุ่ ฤดี กล้าหาญ  กลุม่ ตวั อยา่ ง คือ ดวงเดือน ศาสตรภัทร นกั เรยี น และสารสมร เฉลยกติ ติ (2559) รจรนิ ทร์ ผลนา    กลุ่มตัวอย่าง คือ และศริ พิ ันธ์ ตยิ ะวงศส์ ุวรรณ นกั เรยี น (2559) ประกฤตยิ า ทักษโิ ณ และคณะ     กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ (2559) นกั เรยี น พรนิภา จนั ทรน์ อ้ ย  กลุ่มตัวอย่าง คอื (2560) นักเรียน สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา     กล่มุ ตัวอย่าง คือ (2561) นกั เรยี น ตำรำงท่ี 4 สรุปองคป์ ระกอบและตัวอย่างพฤติกรรมบ่งช้วี นิ ยั ท่ไี ด้จากการทบทวนวรรณกรรม องค์ประกอบ ตัวอย่ำงพฤตกิ รรมบ่งชี้ - เข้าเรยี นหรือเข้าทางานตามกาหนดเวลา การตรงต่อเวลา - มาตรงตามเวลานัดหมาย - งานเสร็จสน้ิ ตามกาหนดเวลา - แต่งกายตามระเบียบของสถานท่ี การเคารพกฎระเบียบ/กฎหมาย - ปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบของสถานท่ี - ปฏบิ ัติตามกฎหมาย - ไม่ถอื ตนเปน็ ใหญ่ - แก้ปญั หาและตัดสนิ ใจอยา่ งมีเหตผุ ล - อารมณม์ ัน่ คงไม่เปลยี่ นแปลงงา่ ย การควบคมุ ตนเอง - พูดจาสุภาพ - จดั วางส่งิ ของใหเ้ ป็นท่เี ปน็ ทาง - ไม่แซงคิว - อดทนต่อการปฏิบัตงิ านหรอื กิจกรรมต่าง ๆ ให้สาเร็จ

20 2.3.3 สุจริต องค์กรเพ่ือความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International-TI) ได้เผยแพร่ ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชันในภาครัฐทั่วโลก (Corruption Perception Index-CPI) ประจาปี 2561 ผลปรากฏว่า ประเทศไทยได้ถูกลดอันดับลงจากอันดับที่ 96 เมื่อปี 2560 เป็นอันดับที่ 99 ในปี 2561 โดยประเทศที่อยู่อันดับต้น ๆ ของ CPI ได้แก่ เดนมาร์ก และนิวซีแลนด์ จากสถานการณ์ความโปร่งใสของ ประเทศไทยทต่ี กอันดับลงสะท้อนให้เหน็ ว่าสงั คมไทยเผชญิ หน้ากบั ปัญหาการทุจริตคอรัปชันซึ่งเปน็ ตวั บอ่ น ทาลายความม่ันคงของชาติ ภาพการทุจริตและการแสวงหาผลประโยชน์ได้ลุกลามและแพร่ระบาดไปทุก สาขาอาชีพ ท้งั ระดับองค์กร ภาครฐั เอกชน ไปจนถึงระดับบุคคล การทุจริตมีความสลับซับซ้อนมากย่ิงขึ้น และมีวิธีการต่าง ๆ โดยความรุนแรงได้แผ่ขยายวงกว้างและฝังรากลึกลงไปเร่ือย ๆ (ศูนย์คุณธรรม, 2562) นอกจากนั้น ผลการสารวจสถานการณ์คุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย จากการรวบรวมแบบสารวจ สถานการณ์จากผู้เกี่ยวข้องที่เข้าร่วมงานสมัชชาคุณธรรมระดับภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้) ในปีงบประมาณ 2561 จานวน 608 คน พบว่า ปัญหาที่มคี วามรุนแรงสูงสุดลาดับ แรก คือ ปัญหาความซื่อสัตย์สุจริต การทุจริตคอร์รัปชัน คิดเป็นค่าเฉล่ีย 4.13 และผลสารวจระดับ คุณธรรมแต่ละด้านที่ควรส่งเสริมอันดับแรก คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในความถูกต้องต่อหน้าที่และ บคุ คลทั่วไป โดยมีค่าเฉลยี่ 4.36 (ศูนยค์ ุณธรรม, 2561) ดังน้ัน จะเหน็ ไดว้ ่าความสจุ รติ เปน็ ประเดน็ ปญั หาที่ มคี วามจาเปน็ ต้องแก้ไขอย่างเรง่ ด่วน โดยการแกไ้ ขปัญหาท่ีตรงประเด็นนน้ั ต้องได้รับการศึกษาถึงทม่ี าของ ปัญหาและลักษณะพฤตกิ รรมทเี่ ป็นปัญหาให้ครอบคลุมทุกชว่ งวัย เพื่อใหก้ ารแก้ไขและส่งเสริมความสุจริต เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ หลายหน่วยงานในประเทศไทยได้ให้นิยามความหมายและอธิบายถึงความสาคัญของความสุจริต โดยคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ (2561) นิยามความสุจริตว่าหมายถึงความซื่อตรง ความซ่ือสัตย์ ยึดม่ันและยืนหยัดในการรักษาความจริง ความถูกต้อง และความเป็นธรรมท้ังปวง กล้า ปฏิเสธการกระทาท่ีไม่ซ่ือตรงหรือไม่ซ่ือสัตย์ของบุคคลอ่ืนท่ีจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม ขณะท่ี หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ซง่ึ ความซ่ือสัตย์สุจริตเป็นหนึ่งในคุณลักษณะดังกล่าว โดยอธิบายไว้ว่า ความซอื่ สัตย์สุจริตเป็นคุณลักษณะ ที่แสดงออกถึงการยึดม่ันในความถูกต้อง ประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อตนเองและผู้อ่ืน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ผู้ท่ีมีความซื่อสัตย์สุจริตจึงเป็นผู้ที่ประพฤติตรงตามความเป็นจริงท้ังทางกาย วาจา ใจ และยึด หลักความจรงิ ความถูกต้องในการดาเนินชีวิต มคี วามละลายและเกรงกลัวต่อการกระทาผิด (สานักวชิ าการ และมาตรฐานการศึกษา, 2561) รวมถึงมีโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลใน สถานศึกษา ป้องกันการทุจริต หรือโครงการโรงเรียนสุจริต โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกจิตสานึกความซ่ือสัตย์สุจริตให้กับนักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากร ทางการศกึ ษา ซง่ึ ในส่วนของนักเรียนนนั้ ไดม้ ุ่งปลกู ฝังให้มคี ุณลกั ษณะ 5 ประการ โดยหน่งึ ในคุณลักษณะ 5 ประการดังกล่าว คือ ความซ่ือสัตย์สุจริต ท่ีประกอบด้วยตัวบ่งชี้ 3 ตัวบ่งชี้ คือ 1) ประพฤติตรงความเป็น จริงต่อตนเอง 2) ประพฤติตรงความเป็นจริงต่อผู้อื่น และ 3) ประพฤติตรงความเป็นจริงต่อสังคม ท้ังทาง กาย วาจา และใจ โดยวธิ ีการวัดและประเมินผลคณุ ลักษณะความสุจริตน้ันจะพิจารณาจากพฤตกิ รรมที่พึง ประสงคท์ ่ีแตกต่างกันไปตามชว่ งวัย (เกษม วฒั นชัย, 2559) และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ไดจ้ ัดเวที การแลกเปลี่ยนภายใต้โครงการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ชาติในการส่งเสริมสังคมคุณธรรม ในหัวข้อพัฒนา ดัชนีชี้วัดพอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ โดยผู้เข้าร่วมเวทีดังกล่าวได้ช่วยกันระดม ความคิดเห็นและกาหนดนิยามความสุจริตว่าหมายถึงการปฏิบัติด้วยความถูกต้อง ซ่ือสัตย์ ตรงไปตรงมา

21 เป็นธรรม ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง รวมถึงการปฏิเสธการกระทาที่ไม่ซ่ือตรง ไม่ซ่ือสัตย์ ของบุคคลอ่ืน ที่จะ ก่อให้เกดิ ความเสียหายท้ังตอ่ บคุ คลและส่วนรวม (ศูนย์คณุ ธรรม, 2562) ในส่วนของงานศึกษาวิจัยที่มุ่งพัฒนาแบบวัดคุณลักษณะหรือพัฒนาตัวบ่งช้ีความสุจริตน้ันมีงาน จานวนหน่ึงได้นาตัวช้ีวัดของกระทรวงศึกษาธิการ (2551) ไปใช้ ซ่ึงกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย 2 ตัวช้ีวัด คือ 1) การประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อ ตนเอง ทั้งกาย วาจา และใจ พฤติกรรมบ่งชี้ ได้แก่ การให้ข้อมูลท่ีถูกต้องและเป็นจริง การปฏิบัติตนโดย คานึงถึงความถูกต้อง และการปฏบิ ัติตามคามั่นสัญญา และ 2) การประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อผู้อื่น ท้ังกาย วาจา และใจ พฤติกรรมบ่งช้ี ได้แก่ การไม่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง การปฏิบัติตน ต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง และการไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น อภิญญา อิงอาจ (2554) ศึกษา เรื่อง พฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วันวิสาข์ ครองสิน (2555) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาเครื่องมือประเมินคุณลักษณะซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันในการทางาน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดยโสธร พวงพันธ์ โพธิ์ศรี และคณะ (2557) ศึกษาเรื่อง การสร้างแบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านความซื่อสัตย์สุจริต สาหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ วิมลรัตน์ เทียนวิมลชัย และคณะ (2562) ศึกษาเร่ือง การพัฒนา แบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านความซื่อสัตย์สุจริต สาหรับนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา สมรื่น สิทธิยา และประวิต เอราวรรณ์ (2560) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาตัวบ่งชี้ความซ่ือสัตย์สุจริต สาหรับนกั เรียนชั้นประถมศึกษา กลุ่มตัวอยา่ ง คือ นักเรียนระดับประถมศึกษาปีท่ี 4-6 สังกัดสานักงานเขต พนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2 จานวน 600 คน ซ่ึงได้มาด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบหลาย ข้ันตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามหาพฤติกรรมบ่งช้ีความซ่ือสัตย์สุจริตแบบปลายเปิด แบ่งองค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริตท้ังหมด 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง พฤติกรรมบ่งชี้ คือ การประพฤติตนอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา มีความต้ังใจจริงที่จะทาส่ิงที่ต้ังใจไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ การทาความดีตามท่ีตนเองตั้งใจไว้ ไม่ทาผิดโดยที่คิดว่าคนอื่นไม่รู้ และความรู้สึก รบั ผิดชอบชั่วดี มีความละอายและเกรงกลวั ต่อความผดิ ที่ตนเองกระทา 2) ความซ่ือสัตย์สุจริตต่อบุคคลอ่ืน พฤติกรรมบ่งช้ี คือ การประพฤตปิ ฏิบตั ิตนด้วยความจริงใจต่อผู้อื่นท้ังต่อหนา้ และลับหลงั มคี วามซ่ือตรงต่อ ผู้อ่ืน ท้ังเพ่ือน ครู บิดา มารดา ญาติพ่ีน้อง และผู้มีพระคุณอื่น ๆ และมีความบริสุทธ์ิใจต่อผู้อื่น ทั้งเพ่ือน ครู บิดามารดา ญาติพี่น้อง และผู้มีพระคุณอ่ืน ๆ 3) ความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ พฤติกรรมบ่งชี้ คือ การประพฤติตนในการทาหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ไม่ใช้อานาจหน้าที่หาประโยชน์ใส่ตน และปฏิบัติ ตนตามหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนให้ดีที่สุด 4) องค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริตต่อ ชุมชนและสังคม พฤติกรรมบ่งชี้ คือ การประพฤติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ทาความเดือดร้อนให้แก่ ชมุ ชนและสงั คม และประพฤตติ นตามกฎหมาย นอกจากน้นั ยังมกี ารศึกษาวิจัยอกี จานวนหน่ึงที่ศึกษาประเด็นทางคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย ซึ่งมักศึกษาคุณธรรมหลาย ๆ คุณธรรม โดยมีความสุจริตเป็นหนึ่งในประเด็นคุณธรรมที่ศึกษา เช่น รุ่งฤดี กล้าหาญ และคณะ (2558) ศึกษาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการวัดและประเมินพฤติกรรมเพื่อเสริมสร้าง คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายของไทยในสตวรรษท่ี 21 ซง่ึ ไดส้ รา้ งแบบ ประเมินความซือ่ สัตย์ของนักเรียนโดยครูประจาชั้น กาหนดพฤติกรรมบง่ ช้ี ได้แก่ 1) ทาตามคาม่ันสัญญาที่ ตนเองพดู ไว้ 2) ไม่หยิบของผู้อืน่ กอ่ นได้รับอนญุ าต 3) ไม่นาของผอู้ ื่นมาเป็นของตน 4) ยอมรับเมื่อทาผิด ไม่ พูดโกหก และ 5) ไม่ลอกการบ้าน และรจรินทร์ ผลนา และศิริพันธ์ ติยะวงศ์สุวรรณ (2559) ศึกษาเรื่อง

22 การพัฒนาตัวบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นคนดีของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 ได้กาหนดตัวบ่งชี้ของความซื่อสัตย์ ได้แก่ 1) ไม่พูดเท็จ 2) ไม่ลักขโมยหรอื คดิ โลภอยากได้ของของผู้อื่น 3) ประพฤตติ นไดต้ ามทีพ่ ูดหรือคิด 4) รักษาคาม่ันสัญญาที่ ให้ไว้กับผู้อ่ืน 5) ไม่ลอกผลงานหรือการบ้านของผู้อ่ืน 6) ไม่ทุจริตในการสอบ และ 7) ไม่เอาเปรียบผู้อ่ืน รวมถึงพรนิภา จันทร์น้อย (2560) ศึกษาเรื่อง รูปแบบกิจกรรมการพัฒนาพฤติกรรมทางจริยธรรมของ นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามคุณลักษณะบัณฑิตอุดมคติไทย กาหนดพฤติกรรมความซื่อสัตย์ ได้แก่ 1) ไม่นาผลงานของผู้อื่นมาแอบอ้างเป็นของตนเอง 2) ไม่ทุจริตในการสอบ 3) ไม่ลักขโมย 4) ไม่กล่าวเท็จหรือพูดโกหก 5) ยอมรับผิดเมื่อกระทาความผิด 6) ไม่หยิบของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต 7) ไม่คัดลอกการบ้านเพ่ือนหรือให้เพ่ือนคัดลอกการบ้าน 8) ยืมของผู้อ่ืนไปแล้วส่งคืน 9) ไม่ปลอมแปลง เอกสาร 10) ปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อ่ืน และ 11) ไม่นาสิ่งของส่วนรวมไปใช้เพื่อ ประโยชน์ของตน งานศึกษาวิจัยเก่ียวกับความสุจริตในสังคมไทยดังข้างต้น ส่วนใหญ่ยังคงสนใจศึกษาในกลุ่ม นักเรียนเช่นเดียวกับงานศึกษาวิจัยเก่ียวกับความพอเพียงและวินัย ซ่ึงคณะผู้วิจัยเห็นว่าจาเป็นต้องขยาย ขอบเขตการศึกษาวิจัยที่ครอบคลมุ กลุ่มช่วงวัยอ่ืน ๆ ด้วยเช่นกัน สาหรับการดาเนินงานในโครงการพัฒนา ตวั ช้วี ัดคุณธรรมเพ่อื ขับเคลื่อนสู่สงั คมคุณธรรม คณะผู้วจิ ัยได้ให้นิยามความสุจรติ ว่าหมายถงึ การแสดงออก ถึงความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เป็นธรรม ท้ังในท่ีลับและที่แจ้ง รวมถึงการปฏิเสธการกระทาท่ีไม่ซื่อตรง หรือไม่ซ่ือสัตย์ของบุคคลอ่ืนที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อบุคคลและส่วนรวม ส่วนองค์ประกอบและ ตวั อย่างพฤติกรรมบ่งชคี้ วามสุจรติ ท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรมนั้น ดงั ตารางท่ี 5 และ 6 ตำรำงที่ 5 สรปุ องคป์ ระกอบของสุจริตท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม องคป์ ระกอบของควำมสจุ รติ นักวิจยั /นกั วชิ ำกำร ใหข้ ้อมลู ท่ี ยอมรบั ไม่ขโมย ปฏบิ ตั ติ ำม ไมเ่ อำเปรียบ ปฏิบตั ติ ำม หมำยเหตุ เป็นควำม ผิด ของผูอ้ ่ืน สญั ญำ ผอู้ นื่ กฎระเบยี บ/ กฎหมำย จรงิ กระทรวงศึกษาธิการ     กลุ่มตวั อย่าง คือ (2551) นกั เรยี น อภิญญา อิงอาจ     กลุ่มตวั อย่าง คอื (2554) นักเรียน พวงพนั ธ์ โพธ์ศิ รี     กลุ่มตัวอยา่ ง คือ และคณะ (2557) นกั เรียน วมิ ลรตั น์ เทียนวมิ ลชยั     กลุ่มตัวอย่าง คอื และคณะ (2562) นักเรยี น วนั วิสาข์ ครองสิน     กลุม่ ตวั อยา่ ง คอื (2555) นักเรยี น รจรินทร์ ผลนา และ     กล่มุ ตัวอย่าง คือ ศริ ิพันธ์ ติยะวงศ์สุวรรณ นกั เรียน (2559) พรนภิ า จันทรน์ อ้ ย      กล่มุ ตัวอย่าง คือ (2560) นักศึกษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook