Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Description: หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Search

Read the Text Version

ภำพท่ี ๑๗ หลุมขดุ คน้ ทแ่ี หล่งโบรำณคดบี ำ้ นโป่งมะนำว กำรขุดคน้ ทำงโบรำณคดที บ่ี ้ำนโป่งมะนำวเม่อื ระหวำ่ งวนั ท่ี ๘ – ๓๑ ตลุ ำคม ๒๕๔๔ นนั้ ดำเนินกำรไปไดเ้ พยี งระดบั ชนั้ บนๆ ของแหล่งโบรำณคดี ซ่ึงลึกจำกผิวดินปัจจุบันโดยเฉล่ียระหว่ำง ๔๐ – ๑๑๐ เซนติเมตรเท่ำนัน้ อย่ำงไรก็ตำม ในช่วงระหว่ำงวนั ท่ี ๑๓ – ๒๙ มีนำคม ๒๕๔๕ ภำควิชำ โบรำณคดี คณะโบรำณคดี มหำวิทยำลยั ศิลปำกร ได้นำนักศึกษำวชิ ำเอก โบรำณคดีไปขุดค้นแหล่งโบรำณคดีบ้ำนโป่ งมะนำวต่อในหลุมขุดค้นเดิม พรอ้ มทงั้ ไดท้ ำกำรขุดค้นเพิม่ เติมในพ้นื ท่ีซีกตะวนั ออกของแหล่งโบรำณคดี โดยปฏบิ ตั งิ ำนเพม่ิ เตมิ ในหลุมขดุ คน้ ขนำดกวำ้ ง ๓ เมตร ยำว ๓ เมตร จำนวน ๒ หลุม พน้ื ท่ขี ดุ คน้ ใหมน่ ้ีอยหู่ ำ่ งจำกหลุมขดุ คน้ เดมิ ไปทำงตะวนั ออกประมำณ ๑๐๐ เมตร [๑๐๑]

กำรปฏิบตั ิงำนขุดค้นทำงโบรำณคดที ่ีบ้ำนโป่ งมะนำวครงั้ ล่ำสุดน้ี สำมำรถปฏบิ ตั งิ ำนในหลุมขุดคน้ ท่ดี ำเนินกำรคำ้ งไวเ้ ม่อื เดอื นตุลำคม ๒๕๔๔ ได้จนแล้วเสร็จ ส่วนหลุมขุดค้นใหม่ทงั้ สองหลุมนัน้ สำมำรถขุดค้นถึงเพียง ระดบั ชนั้ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดตี อนบนๆ เท่ำนัน้ และได้พบชนั้ ทบั ถมของ โบรำณวตั ถุและทฝ่ี ังศพของคนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรห์ นำแน่นเช่นเดยี วกบั ท่ี พบในหลมุ ขดุ คน้ ทอ่ี ยทู่ ำงพน้ื ทซ่ี กี ตะวนั ตกของแหล่งโบรำณคดี ผลสรปุ เบือ้ งต้นของการขดุ ค้นทางโบราณคดีท่ีบ้านโป่ งมะนาว ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ และ ๒๕๔๕ แมว้ ำ่ กำรขุดคน้ ทำงโบรำณคดที ่แี หล่งโบรำณคดบี ำ้ นโป่งมะนำวยงั ไม่แล้วเสรจ็ อย่ำงสมบูรณ์และหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีเท่ำท่ีพบในกำรขุดค้น ก็ยงั อยู่ในระหว่ำงกำรศึกษำและวเิ ครำะห์ แต่ก็สำมำรถสรุปเบ้ืองต้นได้ว่ำ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดปี ระเภทหลกั ทพ่ี บในทุกหลมุ ขดุ คน้ ทแ่ี หลง่ โบรำณคดนี ้ี ได้แก่ท่ีฝังศพของคนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ โดยได้พบท่ฝี ังศพตงั้ แต่ในชนั้ ทบั ถมทำงโบรำณคดีระดบั บนๆ ซ่ึงลกึ จำกผวิ ดินปัจจุบนั โดยเฉล่ยี ประมำณ ๔๐ เซนตเิ มตร ในระดบั ชนั้ ทับถมทำงโบรำณคดีตอนบนๆ ดงั กล่ำวน้ีไม่พบ ร่องรอยกำรใช้พน้ื ท่บี รเิ วณท่ขี ุดค้นเป็นเขตท่ตี งั้ บ้ำนเรอื นพำนักอำศยั แต่ได้ พบเฉพำะร่องรอยกำรใช้พ้นื ท่สี ำหรบั ฝังศพและพบโครงกระดูกคนสมยั ก่อน ประวตั ศิ ำสตรท์ งั้ ทส่ี มบรู ณ์ทงั้ โครงและไมส่ มบูรณ์แตพ่ บเพยี งกระดกู บำงช้นิ หลกั ฐำนเช่นน้ีแสดงใหเ้ หน็ ว่ำพน้ื ทห่ี ลุมขดุ คน้ ทุกหลุมลว้ นอยู่ในเขต พน้ื ท่สี ุสำนของคนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ท่แี หล่งโบรำณคดีบ้ำนโป่ งมะนำว นอกจำกน้ียังช้ีให้เห็นว่ำสุสำนของคนสมัยก่อนประวัติศำสตร์ท่ี แหล่ง โบรำณคดีบ้ำนโป่ งมะนำวนัน้ มีขนำดใหญ่มำก ครอบคลุมพ้ืนท่ีขนำดยำว มำกกวำ่ ๑๐๐ เมตร และอำจกวำ้ งไมน่ ้อยกวำ่ ๑๐๐ เมตรเช่นกนั โครงกระดกู คนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรท์ ข่ี ดุ คน้ พบทแ่ี หล่งโบรำณคดี บำ้ นโป่ งมะนำวนัน้ มที งั้ โครงกระดูกของเดก็ และผูใ้ หญ่ ทงั้ เพศหญิงและชำย ซง่ึ ถูกฝังไวอ้ ยำ่ งเป็นระเบยี บในหลุมตน้ื ๆ โดยจดั วำงศพใหอ้ ยู่ในทำ่ นอนหงำย [๑๐๒]

เหยยี ดยำว ในกำรฝังศพบำงศพมกี ำรจงใจทุบภำชนะดนิ เผำหลำยใบใหแ้ ตก นำเศษจำกภำชนะดนิ เผำท่ที ุบแตกมำปูรองบรเิ วณท่จี ะฝังศพก่อนวำงศพทบั ลงไป แลว้ จงึ นำดนิ มำกลบทบั ศพ ภำพท่ี ๑๘ โครงกระดกู มนุษยใ์ นทฝ่ี ังศพหมำยเลข ๘ พบในกำรขดุ คน้ ระหวำ่ ง ๘ – ๓๑ ตุลำคม ๒๕๔๔ เป็นโครงกระดกู ผใู้ หญ่ สวมต่ำงหทู ำจำกแกว้ สเี ขยี วทห่ี ขู ำ้ งขวำ มกี ระดกู ปลำยขำลกู หมวู ำงอยขู่ ำ้ งขอ้ ศอกขวำ มภี ำชนะดนิ เผำอย่ำงน้อย ๓ ใบวำงอยทู่ ไ่ี หล่ซำ้ ย [๑๐๓]

ภำพท่ี ๑๙ ต่ำงหพู บจำกโครงกระดกู คนในทฝ่ี ังศพหมำยเลข ๘ โครงกระดูกแต่ละโครงมีสงิ่ ของเคร่อื งใช้ถูกฝังเป็นเคร่อื งเซ่นด้วย เคร่อื งใช้ประเภทหลกั ท่ถี ูกฝังไว้กบั ทุกศพไดแ้ ก่ ภำชนะดนิ เผำ เคร่อื งเซ่นท่ี พบฝังอยู่กบั บำงศพได้แก่ เคร่อื งมอื หรอื อำวุธทำด้วยเหลก็ ในบำงศพยงั พบ เคร่อื งประดบั ทำจำกวสั ดุชนิดต่ำงๆ เช่น ต่ำงหูทำจำกแก้ว ต่ำงหูทำจำกหิน ออ่ นสขี ำว แหวนสำรดิ และเคร่อื งประดบั หน้ำอกลกั ษณะเป็นแผ่นกลมแบนทำ จำกกระดองส่วนหน้ำอกของเต่ำทะเล นอกจำกน้ีมโี ครงกระดกู หลำยโครงท่มี ี กระดกู ปลำยขำของหมวู ำงอยเู่ ป็นเคร่อื งเซ่นดว้ ย อน่ึง นอกเหนือจำกหลกั ฐำนทำงโบรำณคดที ่ีได้มำจำกกำรขุดค้น ทำงวชิ ำกำรดงั กล่ำวข้ำงต้นแลว้ ยงั มโี บรำณวตั ถุอีกหลำยชนิดท่พี บจำกกำร ขุดหำโบรำณวตั ถุและเกบ็ รกั ษำไวท้ ่พี พิ ธิ ภณั ฑว์ ดั โป่งมะนำว ท่สี ำคญั ท่ไี ดแ้ ก่ ภำชนะดนิ เผำ ขวำนหนิ ขดั เคร่อื งมือเหล็ก ลูกปัดหนิ และลูกปัดแก้ว กำไล ขอ้ มอื ทำจำกเปลอื กหอยทะเล เคร่อื งประดบั หน้ำอกทรงแผน่ กลมแบนทำจำก กระดองเต่ำทะเล เป็นตน้ [๑๐๔]

สรุปความสาคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านโป่ งมะนาวใน ภาพรวมเรอ่ื งสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นภาคกลางของประเทศไทย กำรศึกษำค้นคว้ำทำงโบรำณคดใี นพ้ืนท่ีของจงั หวดั ลพบุรีในช่วง ตงั้ แต่สิบกว่ำปีท่ีผ่ำนมำ ไดพ้ บโบรำณวตั ถุและแหล่งโบรำณคดจี ำนวนมำก ซ่ึงแสดงว่ำพ้ืนท่ีของจงั หวดั ลพบุรปี ัจจุบันนัน้ มีมนุษย์เริ่มเข้ำมำอยู่อำศัย มำกมำยตงั้ แต่กวำ่ ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ และตงั้ แต่นนั้ มำกม็ ปี ระชำกรเพม่ิ มำกขน้ึ เรอ่ื ยๆ พรอ้ มทงั้ มวี ฒั นธรรมและวทิ ยำกำรทพ่ี ฒั นำยงิ่ ขน้ึ ตำมเวลำทผ่ี ำ่ นไป พน้ื ท่รี มิ หว้ ยสวนมะเดอ่ื บรเิ วณวดั โป่งมะนำวกเ็ ป็นแหง่ หน่ึงทม่ี นุษย์ สมยั โบรำณเลอื กเป็นทส่ี รำ้ งบำ้ นเรอื นอยอู่ ำศยั รวมกนั เป็นหมบู่ ำ้ นถำวรและอยู่ อำศยั ต่อกนั มำเป็นเวลำนำน โบรำณวตั ถุและหลกั ฐำนทำงโบรำณคดเี ท่ำท่ีพบในขณะน้ี แมว้ ่ำมี เพยี งส่วนน้อยท่เี ป็นตวั อยำ่ งท่ไี ดม้ ำโดยกำรขุดคน้ ตำมหลกั วชิ ำกำร ในขณะท่ี ส่วนใหญ่เป็นวตั ถุท่ีถูกรบกวนขน้ึ มำโดยกำรลกั ลอบขุดหำโบรำณวตั ถุ แต่ก็ ประกอบด้วยวตั ถุประเภทเด่นท่ีเคยพบท่ีแหล่งโบรำณคดีอ่ืนๆ ในเขตภำค กลำงของประเทศไทยมำก่อน จึงสำมำรถกำหนดอำยุได้ค่อนข้ำงสะดวก กำรศกึ ษำตวั อย่ำงโบรำณวตั ถุเหล่ำน้ีแสดงใหเ้ หน็ ว่ำบรเิ วณบ้ำนโป่ งมะนำว เคยเป็ นทัง้ ชุมชนและสุสำนสมัยก่อนประวตั ิศำสตร์ โดยอำจแบ่งได้เป็ น ๒ สมยั ใหญ่ๆ ชุมชนสมัยก่อนประวัติศำสตร์สมัยแรกสุดของบ้ำนโป่ งมะนำว อำจเป็นชุมชนขนำดไม่ใหญ่นัก น่ำจะมอี ำยุเก่ำแก่ถึงรำว ๓,๐๐๐ – ๓,๕๐๐ ปีมำแลว้ โบรำณวตั ถุทเ่ี ป็นของสมัยดงั กล่ำวท่พี บท่บี ้ำนโป่งมะนำวอย่ำงน้อย ประกอบไปดว้ ยไดแ้ ก่ ขวำนหนิ ขดั เครอ่ื งประดบั แผน่ กลมแบนเจำะรตู รงกลำง ทำจำกกระดองส่วนอกของเต่ำทะเล ลูกปัดและกำไลข้อมือทำจำกหินอ่อน สขี ำว และลกู ปัดและกำไลขอ้ มอื ทำจำกเปลอื กหอยทะเล [๑๐๕]

สว่ นชุมชนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรส์ มยั สุดท้ำยของบ้ำนโป่ งมะนำว นนั้ คงมอี ำยเุ รมิ่ ต้นเม่อื ช่วงใดช่วงหน่ึงในระหวำ่ ง ๒,๕๐๐ – ๒,๓๐๐ ปีมำแล้ว โบรำณวตั ถุและรอ่ งรอยทำงโบรำณคดที ่เี ป็นของสมยั ดงั กล่ำวท่พี บทบ่ี ำ้ นโป่ ง มะนำว ได้แก่ โครงกระดูกคนจำนวนมำกซ่ึงล้วนมีสิ่งของเคร่ืองใช้ เคร่อื งประดบั ฝังร่วมอยู่ด้วย ส่ิงของท่ีมกั พบถูกฝังร่วมอยู่กบั โครงกระดูก ได้แก่ ภำชนะดินเผำ กำไลและแหวนสำริด เคร่ืองมือเหล็ก ลูกปัดหินก่ึง อญั มณี เช่น หนิ โมรำและหนิ โมกลุ ลูกปัดแกว้ สว่ นสง่ิ ของท่พี บในปรมิ ำณน้อย ไดแ้ ก่ แมพ่ มิ พท์ ำดว้ ยดนิ เผำใช้สำหรบั หลอ่ หวั ลูกศรโลหะ แวดนิ เผำสำหรบั ใช้ ปัน่ เสน้ ดำ้ ย ลูกกระสนุ ดนิ เผำ เป็นตน้ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดเี ท่ำท่ีพบทงั้ หมดแสดงให้เห็นว่ำตงั้ แต่เม่อื สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรช์ ่วงรำว ๒,๕๐๐ – ๒,๓๐๐ ปีมำแล้วนัน้ บรเิ วณบ้ำน โป่งมะนำวไดพ้ ฒั นำเป็นชุมชนขนำดใหญ่มำก ชุมชนน้ีมกี ำรจดั พน้ื ทบ่ี ำงส่วน ไว้เป็นสุสำนโดยเฉพำะ ซ่ึงแสดงว่ำชุมชนน้ีมีระบบในกำรจดั ระเบียบสงั คม มปี ระเพณีกำรทำศพท่ยี ดึ ถือร่วมกนั ในชุมชน โครงกระดูกคนนับร้อยโครงท่ี พบและถูกลกั ลอบขุดทำลำยไปแล้วท่บี รเิ วณวดั โป่ งมะนำว เป็นหลกั ฐำนท่ีช้ี ชดั เจนวำ่ ชุมชนน้ีมปี ระชำกรหนำแน่นมำก แมว้ ่ำสงิ่ ของเคร่อื งใช้และเคร่อื งประดบั ทำจำกวสั ดุต่ำงๆ ท่คี นสมยั โบรำณอุทศิ ใหศ้ พแตล่ ะศพจะถกู ลกั ลอบขดุ ไปขำยนกั สะสมโบรำณวตั ถุ ทำให้ เรำขำดหลกั ฐำนสำหรบั กำรศกึ ษำหำควำมรไู้ ปมหำศำล แต่กพ็ อจะทรำบไดว้ ่ำ เคยมกี ำรพบโบรำณวตั ถุมำกมำยในศพเหล่ำนัน้ วตั ถุบำงช้ินเป็นสิง่ ท่ไี ด้มำ จำกกำรแลกเปล่ียนกบั ชุมชนอ่ืนๆ ทงั้ ท่ีอยู่ใกล้และไกล ทงั้ หมดน้ีแสดงว่ำ หมู่บ้ำนสมัยก่อนประวัติศำสตร์ท่ีบ้ำนโป่ งมะนำวเม่ือช่วงรำว ๒,๕๐๐ – ๒,๓๐๐ ปีมำแลว้ นนั้ ไดพ้ ฒั นำขน้ึ เป็นศนู ยก์ ลำงประชำกร ศนู ยก์ ลำงเศรษฐกจิ และศูนยก์ ลำงทำงวฒั นธรรมทส่ี ำคญั ยง่ิ แหง่ หน่ึงในภำคกลำงของประเทศไทย ในปัจจุบนั ชำวบำ้ นโป่งมะนำวไดร้ ว่ มมอื กนั อนุรกั ษ์แหล่งโบรำณคดี และหลกั ฐำนทำงโบรำณคดที ่พี บทแ่ี หล่งโบรำณคดนี ้ีไว้ โดยหวงั ให้เป็นแหล่ง ศกึ ษำหำควำมรแู้ ละเป็นแหล่งทรพั ยส์ นิ ทำงวฒั นธรรมของประเทศชำตสิ บื ไป [๑๐๖]

ภำพท่ี ๒๐ รองศำสตรำจำรยส์ ุรพล นำถะพนิ ธุ ขณะถ่ำยภำพใบหอกเหลก็ ทแ่ี หล่งโบรำณคดบี ำ้ นโป่งมะนำว [๑๐๗]

สรปุ พฒั นาการของวฒั นธรรมสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย สรปุ ลกั ษณะวฒั นธรรมบางประการในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ของประเทศไทย ช่วงก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ว กำรศกึ ษำและวเิ ครำะหห์ ลกั ฐำนทำงโบรำณคดเี ทำ่ ทม่ี กี ำรทำกนั บำ้ ง แลว้ ช่วยให้พอจะสรปุ ลกั ษณะของวฒั นธรรมมนุษยส์ มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรใ์ น ประเทศไทยเมอ่ื ชว่ งกอ่ นหน้ำ ๑๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ ไดบ้ ำงประกำร ดงั น้ี ลักษ ณ ะก ารท าม าห ากิ น ข องมนุ ษย์สมัยก่ อ น ประวตั ิศาสตรช์ ่วงก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ว คนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ยุคตน้ ๆ น้ี เป็นประชำกรท่ยี งั ไมท่ ำกำรเพำะปลูกพชื และยงั ไมเ่ ลย้ี งสตั ว์ แตด่ ำรงชวี ติ แบบหำของป่ำ-ล่ำสตั ว์ หรอื ดำรงชวี ติ ประจำวนั ดว้ ยกำรล่ำสตั วป์ ่ำ จบั สตั วน์ ้ำ และหำพชื ผกั ผลไมท้ ข่ี น้ึ เองตำมธรรมชำติมำเป็นอำหำร ตำมลกั ษณะกำรดำรงชวี ติ เช่นน้ีมนุษย์ต้อง พ่งึ พงิ และพยำยำมปรบั ตวั เองให้สอดคล้องกบั ธรรมชำติแวดล้อมเป็นอย่ำง มำกและมนุ ษย์แทบจะไม่ทำกิจกรรมใดๆ ท่ีเป็ นกำรพยำยำมควบคุม สภำพแวดลอ้ มธรรมชำติ เทคโนโลยีการทาเคร่ืองมือเคร่ืองใช้สอยสมยั ก่อน ประวตั ิศาสตรช์ ่วงก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ว เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้สอยของคนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรร์ ุ่น แรกๆ ในประเทศไทยท่ีหลงเหลืออยู่และยังไม่ผุสลำยไปหมดนัน้ ได้แก่ เคร่อื งมือหนิ ท่ีเรยี กโดยรวมๆ ว่ำ “เคร่อื งมอื หินกะเทำะ” มีทงั้ ชนิดท่ีทำจำก แกนหนิ และจำกสะเกด็ หนิ บำงครงั้ จงึ สำมำรถแบ่งเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะออกได้ เป็นชนิด “เคร่อื งมอื แกนหนิ ” และ “เคร่อื งมอื สะเกด็ หนิ ” ซ่งึ ล้วนแล้วแต่ทำโดย กำรนำก้อนหนิ หรอื สะเกด็ หนิ ขนำดต่ำงๆ ตำมต้องกำรมำกะเทำะใหเ้ กดิ รอย แตกท่ีมคี วำมคม โดยกำหนดจุดกะเทำะอย่ำงมแี บบแผน รอยแตกจำกกำร [๑๐๘]

กะเทำะจงึ ต่อเน่ืองกนั จนเกดิ เป็นคมท่มี ปี ระสทิ ธภิ ำพพอจะใชต้ ดั เฉือน ขูดสง่ิ ต่ำงๆ ได้ มคี วำมเป็นไปไดเ้ ช่นกนั วำ่ คนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรร์ ุ่นแรกๆ อำจ ใช้ไม้ทำเป็นเคร่อื งมือใช้สอยและอำวุธด้วย โดยเฉพำะไม้ไผ่ท่ีมีอยู่มำกใน ประเทศไทยและมคี ุณสมบตั เิ หมำะสมในกำรใช้ทำสง่ิ ของนำนำประเภท เช่น เคร่อื งมือปลำยแหลม เคร่อื งมือมีคม ภำชนะหุงต้ม ภำชนะบรรจุของแห้ง ภำชนะบรรจุน้ำ ฯลฯ แต่เคร่อื งมอื ใช้สอยท่ีทำจำกอินทรยี วตั ถุคงผุสลำยไป หมดแลว้ ผลของกำรศกึ ษำโดยกำรสำรวจและขุดคน้ แหลง่ โบรำณคดสี มยั ก่อน ประวตั ิศำสตร์ท่ีมีอำยุเก่ำกว่ำ ๑๐,๐๐๐ ปีมำแล้วเท่ำท่ีผ่ำนมำ ได้ก่อให้เกิด ค ว ำ ม เ ห็ น ว่ ำ เท ค โ น โ ล ยี ก ำ ร ท ำ เค ร่ือ ง มื อ หิ น ก ะ เท ำ ะ ข อ ง ค น ส ม ัย ก่ อ น ประวตั ิศำสตรร์ ุ่นแรกๆ ในประเทศไทยและเอเชียอำคเนย์น่ำจะมพี ฒั นำกำร ตำมชว่ งเวลำต่ำงๆ ดงั น้ี ก. รำว ๖๐๐,๐๐๐ – ๔๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ มกี ำรใชเ้ ครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะ แบบหยำบๆ ทำจำกหนิ กรวดแมน้ ้ำ (river cobble/pebble) โดยนำมำกะเทำะ ด้วยวิธีท่ีเรียกว่ำกำรกะเทำะโดยตรงด้วยค้อนหิน เพ่ือให้เกิดรอยแตก ต่อเน่ืองกนั ไม่ก่ีรอยท่ีขอบของก้อนหนิ แค่พอให้มคี มสำหรบั ใช้ขูด สบั ตดั และเฉือนสง่ิ ท่ีต้องกำร เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะชนิดน้ีจดั เป็นประเภทเคร่อื งมือ แกนหนิ ซง่ึ ยงั สำมำรถเรยี กรวมๆ ตำมลกั ษณะหน้ำท่ใี ช้งำนได้ว่ำ “เคร่อื งมอื ขดู สบั และสบั ตดั ” (chopper-chopping tools) นอกจำกน้ียงั พบวำ่ เครอ่ื งมอื เหลำ่ น้ีมลี กั ษณะคลำ้ ยกบั ทพ่ี บในหลำย ประเทศในเอเชยี ตะวนั ออก จงึ มกี ำรจดั รวมเครอ่ื งมือทำจำกหนิ กรวดแม่น้ำรุ่น แรกๆ น้ีไว้ในกลุ่มเดยี วกบั บรรดำเคร่อื งมอื หินท่มี ลี กั ษณะคล้ำยๆ กนั ซ่งึ พบ ทวั ่ ไปในเอเชียตะวนั ออก หรอื ถูกจดั รวมไวใ้ น “กลุ่มเคร่อื งมือหนิ กรวดของ เอเชยี ตะวนั ออก” (East Asian Pebble Tools Complex) หรอื “กลุ่มเคร่อื งมอื ขูดสับและสับตัดของเอเชียตะวันออก” (East Asian Chopper-Chopping Tools Complex) [๑๐๙]

อำจเป็ นไปได้ว่ำ วัฒนธรรมเคร่ืองมือหินกะเทำะในช่วงระยะ สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรต์ อนตน้ ๆ น้ี เป็นวฒั นธรรมของบรรพบุรุษมนุษยช์ นิด โฮโม อเี รคตสั และชนิด โฮโม เซเปียนส์ รนุ่ แรกๆ ส่วนวฒั นธรรมช่วงหลงั จำก ประมำณ ๔๐,๐๐๐ ปี เป็นต้นไปเป็นวฒั นธรรมของมนุษย์ท่ีมีลกั ษณะทำง กำยภำพแบบมนุษยป์ ัจจบุ นั ทจ่ี ดั เป็นชนิด โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ข. รำว ๔๐,๐๐๐ – ๑๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ เป็นช่วงเวลำทม่ี เี ครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะแบบใหมเ่ พม่ิ ขน้ึ มำ คอื เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะขนำดเลก็ ลงกวำ่ เคร่อื งมอื หนิ รุ่นแรกๆ และมคี วำมแตกต่ำงในวสั ดุท่ีใช้ทำ โดยเปล่ียนจำกกำรใช้ก้อน แกนหนิ มำใช้สะเกด็ หนิ ช้นิ ใหญ่ๆ ซง่ึ ตงั้ ใจกะเทำะใหแ้ ตกออกมำจำกหนิ กรวด แม่น้ำหรอื หินภูเขำก้อนใหญ่ แล้วนำสะเก็ดหนิ ท่ีกะเทำะออกมำหรอื เตรยี ม ไว้นัน้ มำแต่งด้วยเทคนิคกำรกะเทำะโดยตรงด้วยค้อนหิน ให้เกิดรอยแตก เลก็ ๆ อย่ำงต่อเน่ืองและเป็นแบบแผน ท่บี รเิ วณขอบของสะเก็ดหนิ ทำใหเ้ กิด เป็นดำ้ นคมท่มี ปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรใช้ตดั และเฉือนวตั ถุต่ำงๆ ได้ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะขนำดเล็กลงชนิดน้ี เรียกรวมๆ ว่ำ “เคร่ืองมือสะเก็ดหิน” (Flake Tools) เคร่ืองมือสะเก็ดหินเหล่ำน้ีมีรูปแบบหลำกหลำยไม่เป็ นแบบแผน แน่นอนตำยตวั ค. รำว ๑๒,๐๐๐ ปี มำแล้ว ลงมำจนถึงช่วงประมำณ ๑๐,๐๐๐ ปี มำแลว้ เรม่ิ ปรำกฏมเี คร่อื งมอื หนิ กะเทำะชนิดทม่ี ลี กั ษณะคลำ้ ย “เคร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียน” (Hoabinhian) ซ่งึ เป็นเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะประเภทแกนหนิ ท่ี ทำจำกหนิ กรวดแม่น้ำ แต่มรี ปู ลกั ษณ์และขนำดต่ำงไปจำกเคร่อื งมอื หนิ กรวด รนุ่ แรกๆ เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะชนิดน้ี พบครงั้ แรกท่ีแหล่งโบรำณคดีในแถบ จงั หวดั ฮวั บินห์ ประเทศเวียดนำม เน่ืองจำกในช่วงของกำรพบครงั้ แรกนัน้ นักโบรำณคดผี ู้พบเห็นว่ำเป็นเคร่อื งมือหินแบบเฉพำะท่ียงั ไม่เคยมผี ู้ใดพบ มำก่อน เม่อื เปรยี บเทยี บแล้วไม่สำมำรถจดั เป็นของวฒั นธรรมใดๆ อนั เป็นท่ี รูจ้ กั กนั อยู่แล้ว จงึ ตงั้ ช่ือใหม่เรยี กเคร่อื งมือหินชนิดน้ีว่ำ “เคร่อื งมอื หินแบบ [๑๑๐]

ฮวั บิเนียน” ซ่งึ หมำยควำมว่ำเป็นเคร่อื งมอื แบบของพ้นื ท่แี ถบจงั หวดั ฮวั บินห์ นนั ่ เอง ในบรรดำเครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะท่จี ดั เป็นแบบฮวั บเิ นียนนนั้ มปี ระเภท หน่ึงทเ่ี ป็นแบบเดน่ เรยี กวำ่ “เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะแบบสมุ ำตรำ” หรอื “สมุ ำตรำ ลทิ ธ”์ (Sumatraliths) เป็นเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทท่ี ำโดยกำรกะเทำะผวิ เดมิ ของ หินกรวดด้ำนใดด้ำนหน่ึงออกทงั้ หมด ส่วนด้ำนตรงข้ำมเหลือผิวหินเดมิ ไว้ ส่วนใหญ่จงใจทำเคร่อื งมอื หนิ ให้มรี ูปทรงไข่ แต่กม็ รี ูปทรงอ่นื ๆ ดว้ ย รวมทงั้ บำงครงั้ กม็ ชี นิดทก่ี ะเทำะเอำผวิ เดมิ ของหนิ กรวดออกหมดทงั้ สองดำ้ น เคร่ืองมือหินกะเทำะบำงชนิดท่ีจดั เป็ นประเภทเด่นแสดงถึงชุด เคร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียน ประกอบดว้ ย ๑. เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะหน้ำเดยี ว เหลอื ผวิ หนิ เดมิ (cortex) ไวม้ ำก บ้ำงน้อยบ้ำง มีทัง้ ทรงรูปไข่ ทรงสำมเหล่ียม ทรงแผ่นกลมแบน เป็ นต้น สว่ นแบบท่เี ป็นทรงรปู ไขท่ ่กี ะเทำะผวิ หนิ เดมิ ดำ้ นหน่ึงออกจนหมดนนั้ เรยี กวำ่ เคร่อื งมอื หนิ แบบสมุ ำตรำลทิ ธ์ (sumatraliths) ๒. เคร่ืองมือหินกะเทำะ ๒ หน้ำ มีรูปทรงต่ำงๆ แบบเดียวกับ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะหน้ำเดยี ว ๓. ขวำนสนั้ (short axes) ซ่ึงหมำยถึงเคร่อื งมอื หินกะเทำะทำจำก หินกรวดแม่น้ำให้มีรูปร่ำงคล้ำยหัวขวำน โดยกำรกะเทำะหน้ำเดียวหรือ สองหน้ำ และมกี ำรกะเทำะแนวขวำงให้ปลำยดำ้ นท้ำยหกั ออกเพ่อื ใหเ้ ป็นดำ้ น ดำ้ มของเครอ่ื งมอื ๔. เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะขดั ฝนเฉพำะส่วนคมใช้งำน (edge-ground tools) หรอื เคร่อื งมือหนิ ขดั รุ่นเก่ำ (proto-neoliths) ซ่ึงหมำยถึงเคร่อื งมอื หิน กะเทำะเป็นรูปหวั ขวำนท่ีมีกำรขดั ฝนเฉพำะด้ำนคมของเคร่อื งมือ ยงั ไม่ขดั เรยี บทงั้ ชน้ิ ๕. เคร่อื งมือหินกะเทำะแบบอ่ืนๆ รูปทรงหลำกหลำย มที งั้ ท่ีเป็น เคร่อื งมอื สะเกด็ หนิ เคร่อื งมอื แกนหนิ รวมทงั้ ฆอ้ นหนิ [๑๑๑]

อน่ึง เคร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียนท่เี ก่ำท่สี ุดเท่ำทพ่ี บในขณะน้ีพบท่ี ถ้ำซอมไตร ในประเทศเวยี ดนำม กำหนดอำยุได้รำว ๑๗,๐๐๐ – ๑๘,๐๐๐ ปี มำแล้ว อย่ำงไรกต็ ำม เคร่อื งมอื หินกะเทำะแบบฮวั บิเนียนท่ีพบในเวยี ดนำม สว่ นใหญ่กำหนดอำยไุ ดร้ ะหวำ่ ง ๑๒,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ ปั จ จุบัน ได้มีก ำร ค้น พ บ เค ร่ือ งมือ หิน ก ะ เท ำะช นิ ด น้ี แ ล้ว ท่ีแ ห ล่ ง โบรำณคดีมำกมำยในหลำยประเทศของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ภำคพ้ืน แผ่นดนิ ใหญ่ (Mainland Southeast Asia) รวมทงั้ ยงั พบในเฉพำะบำงบรเิ วณ แถบชำยฝัง่ ตะวันออกเฉียงเหนือของเกำะสุมำตรำ ประเทศอินโดนีเซีย ซง่ึ จดั เป็นพน้ื ทเ่ี อเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตภ้ ำคหมเู่ กำะ (Island Southeast Asia) แ บ บ แ ผ น ท่ี พ านั ก อ าศัย ข อ งม นุ ษ ย์ส มัย ก่ อ น ประวตั ิศาสตรช์ ่วงก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ว กลุ่มชนล่ำสตั ว์-หำของป่ ำสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ หรือ แมแ้ ต่ท่ยี งั มอี ยู่ในปัจจบุ นั สว่ นใหญ่ ไม่นิยมสรำ้ งบำ้ นเรอื นอยอู่ ำศยั อย่ำงถำวร แต่น่ำจะมกี ำรเคล่อื นยำ้ ยถน่ิ พำนักอำศยั อย่เู สมอ โดยอำจเป็นกำรเคล่อื นยำ้ ย หมุนเวยี นไปมำภำยในขอบเขตของพ้นื ท่ีท่ีตนคุ้นเคย กำรเคล่อื นย้ำยปรกติ อำจเป็นไปตำมช่วงฤดูกำลของแต่ละปีเพ่ือให้สอดคล้องกบั สภำพภูมอิ ำกำศ และแหล่งอำหำร (ทงั้ พชื และสตั ว์) ท่ีเปล่ยี นไปอุดมสมบูรณ์ ณ ทำเลต่ำงๆ ในช่วงฤดหู รอื เวลำต่ำงๆ ทพ่ี กั พงิ ของประชำกรพวกน้ีอำจประกอบดว้ ยเพงิ พกั ชวั ่ ครำวทส่ี รำ้ ง แบบงำ่ ยๆ ตำมท่โี ล่ง หรอื ในบำงครงั้ กใ็ ชถ้ ้ำหรอื เพงิ ผำเป็นทพ่ี กั อำศยั มคี วำม เป็นไปได้ท่ีจะมกี ำรเปล่ียนแปลงรูปแบบท่ีพำนักและสถำนท่ีพำนักตำมช่วง ฤดกู ำล เช่น ในฤดูรอ้ นทำเพงิ พกั ตำมท่โี ล่งไมไ่ กลจำกแหล่งน้ำ ส่วนในฤดูฝน และฤดูหนำวย้ำยเข้ำไปอยู่อำศยั ตำมถ้ำหรือเพิงผำท่ีสำมำรถกำบังลมและ ฝนได้ เช่อื กนั วำ่ ขอ้ จำกดั เรอ่ื งพน้ื ทท่ี ห่ี ำอำหำรและแบบแผนท่พี ำนกั อำศยั เป็น สำเหตุท่ที ำใหค้ นในชว่ งสมยั น้ีอยรู่ วมกนั เป็นเพยี งกลุ่มเลก็ ๆ ซ่งึ อำจเป็นเพยี ง ครอบครวั เดยี วกเ็ ป็นได้ [๑๑๒]

สรปุ ลกั ษณะวฒั นธรรมบางประการในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ช่วงราว ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปี มาแล้ว กำรศกึ ษำและวเิ ครำะหห์ ลกั ฐำนทำงโบรำณคดเี ท่ำทม่ี กี ำรทำกนั บำ้ ง แลว้ ช่วยใหส้ ำมำรถสรปุ ลกั ษณะของวฒั นธรรมมนุษยส์ มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ ในประเทศไทยเม่อื ช่วงรำว ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ มำแลว้ ไดด้ งั น้ี ลกั ษณะการทามาหากิน วิถีกำรดำรงชีวิตของผู้คนในช่วงเวลำน้ียังคงเป็ นแบบ หำของป่ ำ-ล่ำสตั ว์ ซ่ึงประกอบด้วยกำรล่ำและดกั จบั สตั วป์ ่ ำ รวมทงั้ สตั วน์ ้ำ นำนำชนิด กำรเท่ียวตระเวนเก็บพืชผกั ผลไม้ป่ ำ กำรหำหวั เผอื กมนั ป่ ำเพ่ือ นำมำเป็นอำหำร กำรขุดค้นแหล่งโบรำณคดที ่มี อี ำยชุ ่วง ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมำแล้ว บำงแหล่งได้พบกระดูกของสตั ว์ป่ ำขนำดกลำงท่ีถูกคนในสมยั นัน้ ล่ำมำเป็น อำหำร เช่น ววั ป่ ำ หมูป่ ำ กวำง เก้ง สมนั อกี ทงั้ ท่บี ำงแหล่ง เช่นท่ี ถ้ำผแี มน จงั หวดั แม่ฮ่องสอนก็ได้ขุดคน้ พบกระดูกของสตั ว์ป่ ำขนำดใหญ่ท่ีคนล่ำมำได้ เช่น ววั ป่ ำ และแรด สตั ว์ป่ ำชนิดต่ำงๆ เหล่ำน้ีล้วนแต่มลี กั ษณะธรรมชำติท่ี ปรำดเปรยี ว วงิ่ เรว็ และแขง็ แรง กำรล่ำสตั ว์เหล่ำน้ีดว้ ยตวั คนเดยี วคงทำได้ ยำกหรือแทบจะทำไม่ได้ โดยเฉพำะในพ้ืนท่ีป่ ำรกๆ นักโบรำณคดีจึงมี ควำมเหน็ ว่ำกำรล่ำสตั วป์ ระเภทเหล่ำน้ีคงดำเนินไปในลกั ษณะของกำรร่วมมอื กนั โดยคนหลำยคนช่วยกนั ไล่และล่ำ นัยควำมหมำยประกำรหน่ึงของควำม คิดเห็นน้ีคือ กำรเช่ือว่ำผู้คนในสมัยน้ีน่ำจะอยู่รวมกันเป็ นกลุ่ มใหญ่ข้ึน โดยอย่ำงน้อยก็เป็นกำรอยู่ร่วมกนั เป็นกลุ่มใหญ่เฉพำะในบำงช่วงเวลำหรอื บำงช่วงฤดกู ำล นอกเหนือจำกสัตว์ป่ ำขนำดใหญ่ – กลำงดังกล่ำวแล้ว ยังพบ หลกั ฐำนวำ่ คนในสมยั น้ีสำมำรถล่ำสตั วใ์ นกลุ่มลงิ และกระรอกพนั ธตุ์ ่ำงๆ สตั ว์ ขนำดเลก็ เหล่ำน้ีอำศยั อย่บู นตน้ ไมซ้ ่งึ แทบจะเป็นไปไมไ่ ดท้ จ่ี ะล่ำดว้ ยมอื เปล่ำ หรอื ล่ำโดยทุบ-ตดี ว้ ยเคร่อื งมอื สนั้ ๆ ทถ่ี ืออยู่ในมอื จงึ มคี วำมเป็นไปไดว้ ำ่ กำร [๑๑๓]

ล่ำสตั วท์ ่อี ย่บู นต้นไมเ้ หล่ำน้ีทำโดยกำรใชก้ บั ดกั หรอื อำจมกี ำรใช้เคร่อื งมอื ยงิ สตั วจ์ ำกระยะไกลประเภทเดยี วกบั ธนูและไม้ซำงพร้อมด้วยลูกดอก อย่ำงไร กด็ ยี งั ไมเ่ คยมกี ำรขดุ คน้ พบเศษช้นิ สว่ นของเครอ่ื งมอื -อุปกรณ์ดงั กลำ่ วน้ีเลย กระดูกสตั วท์ ่พี บในกำรขุดคน้ แหล่งโบรำณคดที ม่ี เี คร่อื งมอื หนิ แบบ ฮวั บิเนียนมักประกอบไปด้วยกระดูกของสตั ว์หลำกหลำยชนิดซ่ึงมำจำก สภำพแวดล้อมแบบต่ำงๆ ของเขตภูมิศำสตรแ์ บบป่ ำฝนเขตร้อน (tropical rainforest) และยังประกอบไปด้วยสตั ว์หลำกหลำยขนำด ตัง้ แต่ขนำดเล็ก จนถึงขนำดกลำง รวมทงั้ สตั ว์น้ำนำนำชนิด หลกั ฐำนเก่ยี วกบั อำหำรกำรกิน และกำรดำรงชีวิตดงั กล่ำวแสดงให้เห็นว่ำประชำกรท่ีใช้เคร่อื งมือหินแบบน้ี ดำรงชพี ด้วยกำรหำพชื ป่ำและล่ำสตั วป์ ่ ำจำกหลำกหลำยระบบนิเวศน์รวมทงั้ หำสตั วน์ ้ำเป็นหลกั อย่ำงไรก็ตำม หลักฐำนเก่ียวกับกำรใช้ประโยชน์จำกพืชของ ประชำกรท่ใี ชเ้ คร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียนยงั มไี ม่มำกนัก หลกั ฐำนชุดทส่ี ำคญั นัน้ ได้มำจำกกำรขุดค้นท่ีถ้ำผีแมน จงั หวัดแม่ฮ่องสอนของประเทศไทย ซ่ึงกำหนดอำยุได้รำว ๖,๐๐๐ – ๙,๐๐๐ ปี มำแล้ว โดยมีกำรพบช้ินส่วน เมลด็ พชื ซ่งึ นักพฤกษศำสตร์ไดว้ เิ ครำะหไ์ วว้ ่ำสว่ นหน่ึงเป็นพชื ในกลุม่ ผกั เช่น น้ำเต้ำ แตงกวำ และถวั ่ บำงชนิด จงึ ทำใหผ้ ู้ขุดคน้ แหล่งโบรำณคดนี ้ี เสนอว่ำ พชื ในกลุ่มน้ีเป็นพชื ทจ่ี ะเจรญิ งอกงำมในพน้ื ทท่ี ่ถี ูกถำกถำงกำจดั วชั พชื จงึ อำจ เป็นไปได้ว่ำกระบวนกำรดูแลพชื เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลผลิตสูงเรมิ่ เกิดขน้ึ แล้วในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้เม่อื ช่วงรำว ๖,๐๐๐ – ๙,๐๐๐ ปีมำแล้ว และกระบวนกำรน้ี อำจนำไปสกู่ ำรเพำะปลกู พชื และเกษตรกรรมในเวลำต่อมำ นอกจำกช้ินส่วนเมล็ดพืชแล้ว ในชนั้ วฒั นธรรมสมยั ท่ี ๒ ของถ้ำ ผีแมนยังได้พบเศษภำชนะดินเผำและช้ินส่วนเคร่ืองมือหินขัดท่ีทำจำก หนิ ชนวน โดยพบอยู่ในชนั้ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดีชนั้ เดยี วกบั เคร่อื งมอื หิน กะเทำะแบบฮวั บเิ นียน เน่ืองจำกมขี อ้ มลู ทำงโบรำณคดบี ่งช้วี ำ่ เครอ่ื งมอื หนิ ขดั และภำชนะดนิ เผำเป็นวตั ถุท่มี กั สมั พันธก์ บั หมูบ่ ำ้ นเกษตรกรรม ดงั นนั้ จงึ เป็น หลักฐำนทำงอ้อมแสดงว่ำอำจมีหมู่บ้ำนเกษตรกรรมปรำกฏข้ึนในเอเชีย [๑๑๔]

ตะวนั ออกเฉียงใต้แล้วตัง้ แต่รำว ๖,๐๐๐ – ๙,๐๐๐ ปี มำแล้ว ในขณะท่ี ประชำกรบำงกลุ่มกย็ งั คงใช้เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะแบบฮวั บเิ นียนและดำรงชีพ ดว้ ยกำรหำของป่ำ-ล่ำสตั วด์ งั เดมิ เทคโนโลยีการทาเครือ่ งมือใช้สอย ผูค้ นในสมยั น้ีช่วงแรกๆ ยงั คงใช้เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทงั้ ประเภทเคร่ืองมือแกนหินและเคร่อื งมือสะเก็ดหิน โดยเคร่อื งมือหินแบบ ฮวั บเิ นียนเป็นเคร่อื งมอื แบบสำคญั ทใ่ี ชก้ นั มำกในช่วงสมยั น้ี นอกเหนือไปจำก เคร่อื งมอื หินแล้วยงั น่ำจะมีเคร่อื งมอื ใช้สอยท่ีทำจำกไม้อีกด้วยดงั เหตุผลท่ี กล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ อน่ึง กำรขุดค้นท่ีแหล่งโบรำณคดีถ้ำผีแมน จงั หวดั แม่ฮ่องสอน (Gorman 1970) ไดพ้ บหลกั ฐำนวำ่ ในช่วงระหว่ำงประมำณ ๙,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ นนั้ ผคู้ นท่ยี งั คงใช้เครอ่ื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียนอำจเรมิ่ ใชเ้ คร่อื งมอื หนิ ขดั หรอื “ขวำนหนิ ขดั ” ดว้ ย เป็ นไปได้อย่ำงย่ิงว่ำคนสมัยก่อนประวัติศำสตร์ในช่วงตัง้ แต่ ประมำณ ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ เป็นต้นมำนนั้ คงไดม้ กี ำรทำและใช้เคร่อื งมอื หนิ ขดั หรอื ขวำนหนิ ขดั กนั อยำ่ งแพร่หลำยและเป็นสำมญั แลว้ แบบแผนท่ีพานักอาศยั แหล่งโบรำณคดีท่ีพบเคร่ืองมือหินแบบฮัวบิเนียนนั้น ส่วนใหญ่เป็นถ้ำหรอื เพงิ ผำบนเขำหนิ ปูนซง่ึ อย่ทู ่รี ะดบั ไมส่ ูงมำกนกั และมที ำง น้ำอยู่ใกล้ๆ อย่ำงไรก็ตำม ในประเทศเวยี ดนำม ในภำคใต้ของไทย และใน มำเลเซยี ไดพ้ บแหล่งทม่ี เี ครอ่ื งมอื หนิ แบบน้ีในพน้ื ทแ่ี ถบชำยทะเลดว้ ย แหล่งโบรำณคดปี ระเภทถ้ำหรอื เพงิ ผำบำงแห่งมชี นั้ ร่องรอยกำรอยู่ อำศยั ของคนสมยั น้ีหนำรำว ๒-๓ เมตร แสดงใหเ้ หน็ วำ่ ผคู้ นในสมยั น้ีบำงกลุ่ม เริ่มมีกำรอยู่อำศัยตำมถ้ำหรือเพิงผำบำงแห่งเป็ นระยะเวลำต่อเน่ืองกัน คอ่ นขำ้ งนำน แมว้ ่ำแหล่งท่อี ยู่อำศยั ของคนสมยั น้ีจะพบอย่ตู ำมถ้ำและเพงิ ผำ [๑๑๕]

เป็นสว่ นใหญ่ แต่กำรอย่อู ำศยั ตำมทโ่ี ล่งใกลแ้ หล่งน้ำรวมทงั้ ท่อี ยู่ใกลช้ ำยทะเล ก็มีอยู่ บำงกลุ่มก็อำจยงั คงมีกำรเคล่ือนย้ำยท่ีอยู่อำศัยหมุนเวียนไปมำอยู่ บ่อยๆ เช่นเดยี วกบั ผคู้ นในระยะเวลำก่อนหน้ำท่ผี ำ่ นมำแล้ว แหล่งท่อี ยู่อำศยั ของคนสมยั รำว ๑๐,๐๐๐ ปีมำแล้วนัน้ ได้พบแล้ว เป็นจำนวนมำกพอสมควรในประเทศไทย และเม่ือนำข้อมูลน้ีไปพิจำรณำ ประกอบกบั ข้อมูลเร่อื งปรมิ ำณของแหล่งท่ีพบแล้วในเขตประเทศอ่ืนๆ ของ เอเชียอำคเนย์ ทำให้สรุปได้ว่ำในสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ช่วงระยะเวลำน้ี ประชำกรของเอเชยี อำคเนยน์ ่ำจะมปี รมิ ำณเพม่ิ มำกขน้ึ กวำ่ สมยั ทผ่ี ำ่ นมำ สรปุ ลกั ษณะวฒั นธรรมบางประการในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ในประเทศไทยช่วงราว ๕,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปี มาแล้ว ก ำรศึก ษ ำแ ล ะก ำ รวิเค รำะห์ห ลัก ฐ ำน ท ำ ง โบ รำ ณ ค ดีท่ี พ บ จ ำ ก แหล่งโบรำณคดที ม่ี อี ำยุระหว่ำง ๕,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมำแลว้ ช่วยใหพ้ อจะสรุป ลกั ษณะวฒั นธรรมบำงประกำรของมนุษยส์ มยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ในประเทศ ไทยเม่อื ชว่ งสมยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตรร์ ะยะท่ี ๓ ไดด้ งั น้ี ลกั ษณะการทามาหากิน ระหวำ่ งไมน่ ้อยกวำ่ ๔,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมำแล้ว ประชำกร บำงกลุ่มไดเ้ รมิ่ ทำกำรเพำะปลูกขำ้ วและทำกำรเลย้ี งสตั วบ์ ำงชนิด เช่น ววั หมู และไก่ อย่ำงไรกต็ ำม แม้ว่ำสงั คมในสมัยน้ีจะสำมำรถจดั ไดว้ ่ำเป็นสงั คมผลิต อำหำรเอง (Food Producing Society) แล้ว แต่ก็มหี ลกั ฐำนว่ำกำรล่ำสตั วป์ ่ ำ และเก็บพืชพนั ธุม์ ำเป็นอำหำรควบคู่ไปกบั อำหำรท่ีผลิตได้เอง คงเป็นแบบ แผนกำรดำรงชวี ติ หลกั ทแ่ี ทจ้ รงิ ของคนในชว่ งสมยั น้ี หลกั ฐำนทำงโบรำณคดที ่ีแสดงถึงกำรเพำะปลูกขำ้ วและ กำรเล้ยี ง สตั ว์ (อย่ำงน้อยก็มวี วั และหมู) ในประเทศไทยเม่อื รำว ๔,๐๐๐ กว่ำปีมำแล้ว นนั้ อยำ่ งน้อยกไ็ ดม้ กี ำรคน้ พบท่แี หล่งโบรำณคดบี ้ำนเชยี ง อำเภอหนองหำน จงั หวดั อุดรธำนี (Gorman and Charoenwongsa 1976 ; White 1982 ; พิสฐิ [๑๑๖]

เจริญวงศ์ ๒๕๓๐) และท่ีแหล่งโบรำณคดีโนนนกทำ อำเภอภูเวยี ง จงั หวดั ขอนแก่น (Bayard 1970, 1971) หลกั ฐำนดงั กล่ำวนัน้ มที งั้ เมลด็ ขำ้ วทถ่ี ูกเผำ ไฟกลำยเป็ นถ่ำนและแกลบข้ำวท่ีผสมในเน้ือดินท่ีใช้ทำภำชนะดินเผำ โดยแกลบขำ้ วนนั้ มผี สมอยูใ่ นปรมิ ำณมำกและสม่ำเสมอจนแสดงวำ่ น่ำจะไดม้ ำ จำกข้ำวท่ีคนจดั กำรเพำะปลูกดูแลมำกกว่ำจะเป็ นข้ำวป่ ำท่ีข้ึนเองตำม ธรรมชำตแิ ลว้ คนไปเกบ็ รวบรวมเอำมำ วธิ กี ำรเพำะปลูกข้ำวในสมยั แรกสุดนัน้ อำจทำนำหว่ำนในลกั ษณะ นำเล่ือนลอยในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำขงั จวบจนต่อมำภำยหลงั อีกนำน อำจเป็นได้ว่ำ เม่อื เพยี งรำว ๒,๕๐๐ – ๒,๗๐๐ ปีมำแลว้ จงึ มกี ำรปลูกขำ้ วแบบนำดำทม่ี กี ำร ทำคนั นำทดน้ำ และน่ำจะมกี ำรใชค้ วำมเป็นสตั วแ์ รงงำนในกำรไถนำขำ้ วดว้ ย ในชว่ งสมยั น้ี กำรตดิ ต่อแลกเปลย่ี นสงิ่ ของและผลผลติ ระหวำ่ งชมุ ชน ในภูมภิ ำคเดยี วกนั และต่ำงภูมภิ ำค ปรำกฏขน้ึ อย่ำงกวำ้ งขวำง เคร่อื งประดบั ประเภทลูกปัดและกำไลท่ีทำจำกเปลือกหอยทะเลท่ีพบเสมอๆ ตำมแหล่ง โบรำณคดสี มยั น้ีแสดงใหเ้ หน็ ถงึ กำรตดิ ตอ่ ระหว่ำงชุมชนชำยทะเลกบั ชุมชนใน ภมู ภิ ำคอ่นื ๆ ทอ่ี ยหู่ ำ่ งทะเล เทคโนโลยีการทาเครื่องมอื ใช้สอย ตำมแหล่งโบรำณคดที ่เี ป็นหมูบ่ ้ำนเกษตรกรรมสมยั ก่อน ประวตั ศิ ำสตรม์ กั พบโบรำณวตั ถุประเภทเคร่อื งมอื เคร่อื งใช้และเคร่อื งประดบั ทำจำกวสั ดนุ ำนำชนิด เชน่ หนิ ดนิ เผำ กระดกู เปลอื กหอยทะเล ฯลฯ ช่วงสมยั น้ีมีกำรทำและใช้เคร่อื งมอื หนิ รูปขวำนท่ีทำอย่ำงประณีต โดยกำรขดั ฝนจนเรยี บทวั ่ ทงั้ ช้นิ แมว้ ่ำนกั โบรำณคดจี ะเรยี กเคร่อื งมอื ประเภท น้ีโดยรวมๆ ว่ำ “ขวำนหนิ ขดั ” แต่กเ็ ป็นทเ่ี ขำ้ ใจตรงกนั อยำ่ งดวี ำ่ ในบำงครงั้ นนั้ เคร่อื งมอื ประเภทน้ีสำมำรถใช้งำนไดส้ ำรพดั ประโยชน์ เช่นใช้ในลกั ษณะตดั เฉือนแบบมีด หรือต่อด้ำมยำวเพ่ือให้เป็นเสียมขุดดิน หรอื ต่อด้ำมไม้สนั้ ๆ แลว้ ใชเ้ ป็นสวิ่ ฯลฯ [๑๑๗]

ภำชนะดนิ เผำเป็นวตั ถุทพ่ี บมำกมำยเสมอในแหลง่ โบรำณคดสี มยั น้ี กำรศกึ ษำคุณลกั ษณะบำงประกำรของภำชนะดนิ เผำท่พี บตำมแหล่งหมู่บ้ำน เกษตรกรรมสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรร์ ุ่นแรกๆ ในภำคต่ำงๆ ของประเทศไทย ได้พบว่ำมคี วำมหลำกหลำยในเร่อื งลกั ษณะของภำชนะดนิ เผำประกำรต่ำงๆ เชน่ ลกั ษณะรปู ทรง วธิ กี ำรตกแต่งผวิ นอกของภำชนะ วธิ กี ำรเตรยี มเน้ือดนิ ทำ ภำชนะ เทคนิควธิ กี ำรเผำภำชนะ ฯลฯ ควำมแตกต่ำงหลำกหลำยของภำชนะ ดนิ เผำเชน่ น้ีบ่งชค้ี วำมเป็นไปไดว้ ำ่ กลมุ่ คนท่สี ำมำรถทำภำชนะดนิ เผำไดน้ นั้ มี อย่มู ำก ทุกหมบู่ ำ้ นหรอื อำจทุกครวั เรอื นลว้ นแต่ทำภำชนะดนิ เผำขน้ึ ใชก้ นั เอง กเ็ ป็นได้ ค วามแต กต่ างข อ งภาช น ะ ดิ น เผาท่ี พ บใน เข ตภูมิ ภาค ต่ างๆ ยงั สะท้อนถึงความแตกต่างในด้านกรอบความคิด ค่านิ ยม ประเพณี ฯลฯ ที่เกี่ยวเนื่องในการทาและใช้ภาชนะดินเผา จึงกล่าวได้ว่าในช่วง ราว ๔,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปี มาแล้วนัน้ น่าจะมีผ้คู นท่ีมีวฒั นธรรมแตกต่าง กนั หลายกล่มุ หรืออาจกล่าวได้ว่ามคี นหลายกล่มุ ชาติพนั ธแ์ุ พรก่ ระจาย อย่ใู นเขตภมู ิภาคต่างๆ ของพนื้ ท่ีท่ีเป็นประเทศไทยปัจจบุ นั กำรติดต่อแลกเปล่ยี นสงิ่ ของและผลผลิตระหว่ำงชุมชนในภูมิภำค เดียวกนั และต่ำงภูมภิ ำคปรำกฏข้นึ อย่ำงกว้ำงขวำง เคร่อื งประดบั ประเภท ลูกปัดและกำไลท่ีทำจำกหินก่ึงมีค่ำและเปลือกหอยทะเลท่ีพบเสมอๆ ตำม แหล่งโบรำณคดีสมัยน้ีเป็ นหลักฐำนท่ีแสดงให้เห็นถึงกำรติดต่อสัมพันธ์ ระหว่ำงชุมชนต่ำงภูมภิ ำคซ่งึ ในบำงกรณีอำจหมำยถึงกำรตดิ ต่อระหวำ่ งผูค้ น ต่ำงกล่มุ วฒั นธรรมหรอื ต่ำงกลมุ่ ชำตพิ นั ธกุ์ เ็ ป็นได้ เม่อื ผคู้ นมกี ำรติดต่อสมั พนั ธป์ ะทะสงั สรรคก์ นั ย่อมนำไปส่กู ำรรบั รู้ กำรแลกเปลย่ี นและกำรนับถือหรอื เหน็ ชอบในวฒั นธรรมบำงประกำรของกนั และกนั กำรยอมรบั เอำวฒั นธรรมอ่ืนมำใช้หรอื ดดั แปลงก่อนแล้วจงึ ใช้ หรือ ผสมผสำนกบั วฒั นธรรมเดมิ ของแตล่ ะกลุ่มจงึ เกดิ ตำมมำ กำรเปลย่ี นแปลงทำง วฒั นธรรมคงเกดิ ขน้ึ ในองคป์ ระกอบประกำรต่ำงๆ ของวฒั นธรรม เช่น ในดำ้ น [๑๑๘]

เศรษฐกิจ สงั คม ประเพณีควำมเช่อื เทคโนโลยี ฯลฯ และคงดำเนินไปอย่ำง ตลอดเวลำ รำว ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ เป็นอย่ำงน้อย ไดป้ รำกฏกำรใชโ้ ลหะสำรดิ ซ่งึ เป็ นโลหะผสมท่ีมีทองแดงและดีบุกเป็ นองค์ประกอบหลัก ในอัตรำส่วน ทองแดงรำว ๘๕ – ๙๐% ดบี ุกรำว ๑๐ – ๑๕% นอกจำกน้ี ยงั มสี ำรดิ ท่ีผสม ตะกวั ่ เพม่ิ ลงไปนอกเหนือจำกทองแดงและดบี ุกอกี ดว้ ย แบบแผนที่พานักอาศยั ในช่วงระหว่ำง ๔,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมำแลว้ นนั้ ชุมชนส่วน ใหญ่น่ำจะยงั เป็นหมู่บ้ำนเกษตรกรรมขนำดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มบี ำงชุมชนท่ีมี ประชำกรเพ่ิมข้นึ มำกจนต้องขยำยขนำดพ้นื ท่ีตงั้ หมู่บ้ำน แต่ละชุมชนน่ำจะ ยงั คงมอี สิ ระจำกกนั ปกครองตนเองโดยหวั หน้ำของแตล่ ะชุมชน อยำ่ งไรกต็ ำม กำรตดิ ตอ่ แลกเปลย่ี นคำ้ ขำยทท่ี วปี รมิ ำณมำกขน้ึ แลว้ ทำใหบ้ ำงครอบครวั หรอื บำงชุมชนมฐี ำนะโดดเดน่ กวำ่ ครอบครวั อ่นื หรอื ชมุ ชนอ่นื ช่ำงฝีมอื ท่ผี ลติ เฉพำะหตั ถกรรมบำงประเภทคงเรมิ่ ปรำกฏข้นึ แล้ว นอกจำกน้ี แหล่งผลิตส่ิงของเฉพำะประกำรมีมำกข้ึน เช่น แหล่งถลุงแร่ ทองแดง แหล่งผลติ ขวำนหนิ ขดั แหล่งผลติ กำไลหนิ เป็นตน้ กำรทำเกษตรกรรมซ่งึ ประกอบดว้ ยกำรเพำะปลูกและกำรเล้ยี งสตั ว์ เกดิ ขน้ึ สมั พนั ธก์ บั กำรสรำ้ งบำ้ นเรอื นอยอู่ ำศยั อย่ำงถำวร รอ่ งรอยของหลมุ เสำ บ้ำนท่ีพบในกำรขุดค้นแหล่งโบรำณคดบี ำงแห่งเช่นท่ีบ้ำนเชยี ง บ่งช้วี ่ำบ้ำน ของผคู้ นในสมยั น้ีมแี ผนผงั รูปส่เี หล่ยี มผนื ผ้ำและน่ำจะเป็นบ้ำนท่ยี กพ้นื สงู ขน้ึ พ้นดนิ หรอื เป็นบ้ำนท่ีมเี สำสูงจงึ มพี น้ื ท่วี ่ำงใต้ถุนบ้ำนซ่งึ ใช้เป็นท่ที ำกจิ กรรม ตำ่ งๆ รวมทงั้ สำมำรถใชท้ ำคอกเลย้ี งสตั วแ์ ละเกบ็ เครอ่ื งมอื ใชส้ อยตำ่ งๆ แหล่งโบรำณคดีท่ีเป็นพ้นื ท่ีอยู่อำศยั ของคนในสมยั น้ีมขี นำดใหญ่ กวำ่ แหล่งในสมยั เก่ำแก่กวำ่ ทผ่ี ่ำนมำและหลกั ฐำนโบรำณวตั ถุท่พี บตำมแหล่ง โบรำณคดขี องชว่ งสมยั น้ีมกั มปี รมิ ำณมำก บ่งชว้ี ำ่ ผคู้ นมกี ำรสรำ้ งบ้ำนเรอื นอยู่ รวมกนั เป็นกลุ่ม หรอื รวมตวั กนั ตงั้ เป็นหมบู่ ำ้ นถำวรนนั ่ เอง [๑๑๙]

กำรขุดคน้ แหล่งหม่บู ้ำนเกษตรกรรมรนุ่ แรกๆ มกั ไดพ้ บพ้นื ท่ฝี ังศพ ของคนสมยั นัน้ อยู่เสมอๆ ลกั ษณะกำรฝังศพอย่ำงมแี บบแผน เช่น มกี ำรมดั ข้อมือข้อเท้ำศพและห่อศพก่อนฝั ง มีกำรตกแต่งร่ำงกำยผู้ตำยด้วย เคร่อื งประดบั มีกำรอุทิศอำหำรและส่ิงของเคร่อื งใช้สอยโดยเฉพำะภำชนะ ดินเผำร่วมกับศพ แสดงให้เห็นถึงกำรมีประเพณีควำมเช่ืออนั เป็นระเบียบ ปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั คนตำยซง่ึ เป็นกฎเกณฑท์ ส่ี มำชกิ ทงั้ สงั คมยอมรบั หลุมฝังศพของคนสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นช่วงระยะเวลานี้ มักพบว่ามีสิ่ งของเรื่องใช้ เครื่องประดับฝังอยู่ด้วยในปริ มาณ ท่ี แตกต่างกนั ทงั้ ในระหว่างต่างหลมุ ฝังศพในชุมชนเดียวกนั หรือระหว่าง หลุมฝังศพของต่างชุมชนกนั หลุมฝังศพบางหลุมจากแหล่งโบราณคดี หลายแหล่งยงั ได้พบว่ามีเคร่ืองประดบั ที่เป็ นส่ิงของมีค่าที่ผลิตจากต่าง ถิ่นฝังอย่ดู ้วย หลกั ฐานเช่นนี้นอกจากจะแสดงถึงเร่ืองการแลกเปลี่ยนค้าขาย ระหว่างชุมชนแล้ว ยงั ชี้ความเป็ นไปได้ว่าอาจมีสมาชิกในสงั คมเพียง บางคนหรือเพียงบางครอบครวั ที่สามารถครอบครองของมีค่าจาก ต่างถ่ินได้ในปริมาณมากกว่าคนอื่นๆ หรือครอบครวั อื่นๆ นัน่ กค็ ืออาจ เป็ นไปได้มากว่าภายในแต่ละสงั คมช่วงสมยั นี้อาจประกอบด้วยสมาชิก ที่มสี ถานะ หรือฐานะแตกต่างกนั มากและชดั เจนแล้ว สรปุ ลกั ษณะวฒั นธรรมบางประการในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ของประเทศไทยช่วงราว ๒,๕๐๐ ปี มาแล้วลงมา กำรศกึ ษำวเิ ครำะหแ์ ละแปลควำมหมำยของหลกั ฐำนทำงโบรำณคดี ท่ีพบจำกแหล่งโบรำณคดีท่ีมอี ำยุอยู่ในสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรข์ องประเทศ ไทย ระยะท่ี ๔ ทำใหส้ ำมำรถสรปุ ลกั ษณะวฒั นธรรม ๓ ประกำรใหญ่ๆ ไดด้ งั น้ี [๑๒๐]

ลกั ษณะการทามาหากิน ในช่วงระยะเวลำน้ียงั คงมีวิธีกำรทำเกษตรกรรมแบบ ดงั้ เดิมท่ีสืบเน่ืองต่อมำ แต่ก็ได้มีพฒั นำกำรด้ำนเกษตรกรรมบำงประกำร เกดิ ขน้ึ บ้ำงในช่วงสมยั หลงั ๆ ดงั ได้พบว่ำในรำว ๒,๕๐๐ – ๒,๗๐๐ ปีมำแล้ว เรมิ่ มกี ำรเลย้ี งควำยและน่ำจะใชค้ วำยเป็นสตั วแ์ รงงำนในกำรไถนำขำ้ วดว้ ย เทคโนโลยีการทาเครือ่ งมือใช้สอย พฒั นำกำรทำงเทคโนโลยที ่สี ำคญั ซ่งึ เกิดขน้ึ ในสมยั ก่อน ประวตั ศิ ำสตรช์ ่วงปลำยน้ี ไดแ้ ก่ กำรทำและใชโ้ ลหะ โดยมพี ฒั นำกำรตำมช่วง ระยะเวลำต่ำงๆ ดงั น้ี ในรำว ๒,๗๐๐ – ๒,๕๐๐ ปี มำแล้ว เริ่มปรำกฏมีกำรใช้เหล็กทำ เคร่อื งมอื เคร่อื งใชแ้ ละอำวธุ เช่น หวั ขวำน ใบหอก มดี หวั ลูกศร ฯลฯ ในช่วงน้ี สำรดิ ก็ยงั คงเป็นท่ีนิยมใช้อยู่ แต่เปล่ยี นมำเป็นวสั ดุท่ใี ช้ทำเคร่อื งประดบั เป็น สว่ นใหญ่ พฒั นำกำรด้ำนโลหกรรมท่สี ำคญั อกี ประกำรหน่ึงซ่งึ เกิดข้นึ ในช่วง สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำยเม่อื รำว ๒,๕๐๐ – ๒,๓๐๐ ปีมำแล้ว กค็ อื กำรทำสำรดิ ชนิดท่มี ดี บี ุกผสมในปรมิ ำณสูง ซ่งึ หมำยถงึ สำรดิ ท่มี ดี บี ุกผสมอยู่ มำกกว่ำ ๒๐% ทำใหโ้ ลหะผสมชนิดน้ีมคี วำมแขง็ มำกแตก่ เ็ ปรำะมำกมสี ตี งั้ แต่ คล้ำยทองจนถึงคล้ำยเงินโดยข้นึ อยู่กับปริมำณดบี ุกท่ีผสม คุณสมบัติด้ำน ควำมแข็งแต่เปรำะของโลหะผสมชนิดน้ีทำให้ไม่สำมำรถผลิตส่ิงของท่ีมี คณุ สมบตั เิ หมำะใช้งำนออกมำไดโ้ ดยวธิ กี ำรหล่อสำรดิ แบบสำมญั แต่จะต้อง ประยุกต์เอำวธิ กี ำรของกำรตีเหลก็ มำใชร้ ว่ มดว้ ยจงึ จะไดว้ ตั ถุท่เี หมำะสมคอื มี ควำมแขง็ มำกแต่ไมเ่ ปรำะ วธิ กี ำรดงั กล่ำวประกอบด้วยกำรเผำแล้วตีในขณะท่ีโลหะร้อนเป็น สแี ดงจนไดร้ ูปรำ่ งวตั ถุทต่ี ้องกำร จำกนนั้ ตอ้ งเผำวตั ถุท่ตี ขี น้ึ รปู จนได้ทแ่ี ล้วให้ รอ้ นเป็นสแี ดงอีกครงั้ แล้วชุบลงไปในน้ำเยน็ ทนั ที ดว้ ยกำรใช้เทคนิคเช่นน้ีทำ [๑๒๑]

ให้ช่ำงโลหะสำมำรถทำเคร่อื งประดบั และภำชนะสำริดท่ีมีควำมแข็งมำก มคี วำมทนทำนและมสี สี วยงำมกวำ่ สำรดิ ธรรมดำ แบบแผนท่ีพานักอาศยั เม่อื พจิ ำรณำหลกั ฐำนท่พี บในกำรขุดค้นแหล่งโบรำณคดี สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำยทม่ี รี อ่ งรอยของวฒั นธรรมอำยตุ งั้ แต่ ๒,๕๐๐ ปีมำแล้วลงมำแหล่งต่ำงๆ เหน็ ได้ว่ำกำรสรำ้ งบ้ำนเรอื นอยู่อำศยั รวมกนั เป็น หมู่บ้ำนเป็นแบบแผนกำรตงั้ ถิ่นฐำนท่ียงั คงปฏิบัติสบื ต่อมำ อย่ำงไรก็ตำม ในชว่ งระยะสมยั น้ีเรม่ิ ปรำกฏมชี มุ ชนมำกขน้ึ กระจำยตงั้ อยใู่ นพน้ื ทภ่ี ูมสิ ณั ฐำน ต่ำงๆ หลำยชนิดทงั้ ท่ีเป็นพ้นื ท่ีลุ่ม พ้ืนท่ีดอน และพ้ืนท่ีลำนตะพกั น้ำระดบั ต่ำงๆ ในหลำยภูมภิ ำคของประเทศไทย บำงชุมชนมขี นำดใหญ่เป็นพเิ ศษกว่ำ ชุมชนอ่นื ๆ ซ่งึ น่ำจะมปี ระชำกรหนำแน่นกว่ำด้วย ดงั เหน็ ไดจ้ ำกปรมิ ำณของ โบรำณวตั ถุหรอื หลกั ฐำนทำงโบรำณคดที พ่ี บในบำงแหล่ง กล่าวโดยสรปุ ในอีกลกั ษณะหนึ่งได้ว่า ตงั้ แต่ราวช่วงระหว่าง ๒,๕๐๐ – ๑,๖๐๐ ปี มาแล้ว เร่ิมเกิดมีชุมชนขนาดใหญ่มากปรากฏขึน้ มา และกระจายอยู่ร่วมสมยั กบั ชุมชนขนาดเล็กๆ นักวิชาการหลายท่าน เหน็ ว่าขนาดความแตกต่างของชุมชนเช่นนี้อาจแสดงถึงความแตกต่าง ในลาดบั สถานะของชุมชนก็เป็ นได้ ทัง้ นี้โดยชุมชนใหญ่นั้นอาจเป็ น ศนู ย์กลาง ในขณะที่ชุมชนเลก็ ๆ อาจเป็ นชุมชนบริวาร ความแตกต่าง ของชุมชนเช่นนี้ หมายถึงการมีระบบสังคมท่ีค่อนข้างซับซ้อนกว่า สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรช์ ่วงที่ผ่านมานัน่ เอง ในช่วงสมยั เดยี วกนั น้ีพฒั นำกำรทำงกำรผลติ กเ็ กดิ ขน้ึ ในบำงทอ้ งถนิ่ ดงั เหน็ ไดจ้ ำกกำรพฒั นำขน้ึ มำของอุตสำหกรรมกำรผลติ เหลก็ และเกลอื ในภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ รวมทงั้ กำรขยำยระดบั กำรผลิตทองแดงในแถบจงั หวดั ลพบุรขี องภำคกลำง ซ่งึ ล้วนแต่เป็นกำรผลติ ระดบั เกินกว่ำเพ่อื ใช้เองภำยใน ชุมชนทงั้ ส้นิ แสดงถงึ พฒั นำกำรของระบบเช่อื มโยงควำมสมั พนั ธ์และควำม [๑๒๒]

สม่ำเสมอของกำรตดิ ต่อแลกเปล่ยี นผลผลติ ระหว่ำงชุมชนท่อี ยูต่ ่ำงภูมภิ ำคกนั ดว้ ย วตั ถุลกั ษณะพเิ ศษซ่งึ เป็นผลติ ผลของดนิ แดนอ่นื กป็ รำกฏเพม่ิ ขน้ึ ใน ชุมชนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรต์ อนปลำยช่วงท่ีใช้เหล็กแล้วแห่งต่ำงๆ วตั ถุท่ี เหน็ ได้ชดั เจนว่ำมแี พร่หลำยมำกข้นึ ได้แก่ ลูกปัดแก้ว ลูกปัดทำจำกหินก่ึง อญั มณี (semi-precious stones) เช่น หนิ โมรำหรอื หินคำร์นีเลียน หินโมกุล หรอื หินอำเกต และผลึกควอตซ์สตี ่ำงๆ และท่ีสำคญั ท่ีสุดน่ำจะได้แก่กลอง มโหระทึกสำริดและวตั ถุสำริดท่ีมีลกั ษณะองค์ประกอบด้ำนรูปทรงและกำร ตกแต่งเป็นแบบของวฒั นธรรมดองซอนในประเทศเวยี ดนำม และแบบของ วฒั นธรรมในมณฑลกวำงสที ำงตะวนั ออกเฉียงใตข้ องประเทศจนี กำรมแี หล่งทรพั ยำกรอยแู่ ละกำรมคี วำมสำมำรถนำทรพั ยำกรทม่ี อี ยู่ มำผลติ เป็นสง่ิ ของทม่ี ี “ตลำด” ต้องกำร ดงั ปรำกฏเหลอื เป็นรอ่ งรอยของแหล่ง หตั ถกรรมต่ำงๆ นนั้ คงเป็นปัจจยั ประกำรหน่ึงท่ที ำใหเ้ ครอื ขำ่ ยของกำรตดิ ต่อ แลกเปล่ยี นคำ้ ขำยพฒั นำแบบแผนและขยำยขอบเขตขน้ึ เร่อื ยๆ จนในช่วงรำว ๒,๓๐๐ – ๒,๐๐๐ ปี มำแล้วเป็ นอย่ำงน้อย จึงได้ขยำยเข้ำไปสมั พันธ์กับ เครอื ข่ำยกำรติดต่อแลกเปล่ยี นค้ำขำยระหว่ำงชุมชนท่ีห่ำงไกลกนั มำก ดงั มี หลกั ฐำนคอื ลูกปัดท่ที ำจำกหนิ ก่งึ อญั มณีรุ่นแรกๆ ท่ขี ดุ พบท่แี หล่งโบรำณคดี หลำยแหล่งในประเทศไทยนัน้ มผี ลกำรวเิ ครำะห์แสดงว่ำบำงส่วนเป็นวตั ถุท่ี ผลิตด้วยเทคนิคของวฒั นธรรมในประเทศอินเดยี ซ่ึงก็คงเป็นสนิ ค้ำท่ีพ่อค้ำ นำมำยงั เอเชยี อำคเนยต์ ำมเครอื ขำ่ ยกำรคำ้ ขำ้ มมหำสมุทรท่ปี รำกฏข้นึ ตงั้ แต่ กวำ่ ๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ เป็นอยำ่ งน้อย หลกั ฐำนทำงโบรำณคดีท่ีแสดงควำมเปล่ียนแปลงของสงั คมและ วฒั นธรรมอย่ำงมำกในช่วงสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรต์ อนปลำยช่วงน้ีทำให้นัก โบรำณคดีไทยบำงท่ำน (Charoenwongsa 1988 : 33) ได้เคยเสนอไว้ก่อน หน้ำน้ีแล้วว่ำ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ตอนปลายช่วงท่ีมีการใช้เหล็ก แล้วนัน้ เป็ นช่วงระยะเวลาท่ีมี “ความรดุ หน้าทางเศรษฐกิจ-สงั คม และ ท างป ร ะช าก ร (socio-economic and demographic breakthrough)” [๑๒๓]

เกิดขึ้นพร้อมๆ กนั ทงั้ ในภาคกลางและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย สรุปย่อเรื่องพัฒนาการของวฒั นธรรมสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ใน ประเทศไทย ฟอสซิลของ โฮโม อีเรคตสั ท่ีพบในเอเชียตะวนั ออก เช่น ท่ีถ้ำ โจวโกวเทยี น ในประเทศจนี และท่แี หล่งโบรำณคดซี ำงจริ ำน ในเกำะชวำของ ประเทศอินโดนีเซีย บ่งช้ีควำมเป็ นไปได้ว่ำเม่ือหลำยแสนปี มำแล้วอำจมี บรรพบุรุษมนุษยร์ ะดบั โฮโม อเี รคตสั กระจำยครอบคลุมพน้ื ท่กี วำ้ งขวำงของ เอเชยี ตะวนั ออกและตะวนั ออกเฉียงใต้ ลกั ษณะควำมแตกต่ำงระหว่ำงกะโหลก ศรี ษะ โฮโม อเี รคตสั ท่พี บทถ่ี ้ำโจวโกวเทยี นและทพ่ี บท่ซี ำงจริ ำนยงั บ่งช้คี วำม เป็นไปไดว้ ่ำ โฮโม อีเรคตสั ในช่วงเวลำนัน้ อำจมลี กั ษณะกำยภำพท่แี ตกต่ำง กนั ไปหลำยกลมุ่ ต่อมำในรำวเกอื บ ๔๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ จงึ ปรำกฏมนุษยแ์ บบปัจจุบนั ซ่งึ จดั เป็นชนิด โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ขน้ึ มำในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ดงั ได้พบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ชนิดน้ีท่ีแหล่งโบรำณคดีถ้ำนีอำห์ ในรฐั ซำรำวกั ประเทศมำเลเซยี ซง่ึ เช่อื กนั วำ่ อำจเป็นบรรพบรุ ษุ ของมนุษยส์ มยั กอ่ น ประวตั ศิ ำสตรร์ นุ่ แรกๆ ของดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตท้ งั้ มวล ในประเทศไทยนัน้ ขณะน้ีได้พบฟอสซิลของบรรพบุรุษมนุษย์รุ่น แรกๆ บ้ำงแล้ว และได้มีกำรค้นพบเคร่ืองมือหินกะเทำะซ่ึงอำจเป็ นของ ประชำกรรุ่นแรกๆ เหล่ำนัน้ ดว้ ย รวมทงั้ ไดพ้ บเคร่อื งมอื หนิ ของคนสมยั ก่อน ประวตั ศิ ำสตรร์ นุ่ หลงั ๆ ตอ่ มำดว้ ย มคี วำมเป็นไปไดว้ ำ่ ประชำกรสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทย เม่อื ช่วงเวลำระหวำ่ ง ๔๐๐,๐๐๐ ปีมำแล้วเป็นอย่ำงน้อย จนถึงรำว ๔๐,๐๐๐ ปีมำแล้ว มคี วำมนิยมใช้เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทม่ี รี ูปลกั ษณ์ไมซ่ บั ซอ้ นนกั ซง่ึ ทำ จำกก้อนแกนของหินกรวดแม่น้ำก้อนใหญ่ๆ ต่อมำในช่วงรำว ๔๐,๐๐๐ ถึง ๑๒,๐๐๐ ปีมำแล้วไดม้ คี วำมนิยมทำเคร่อื งมือหนิ กะเทำะจำกสะเกด็ ท่กี ะเทำะ [๑๒๔]

ออกมำจำกหนิ กรวดแม่น้ำและหินภูเขำด้วย ถดั มำตงั้ แต่ช่วงรำว ๑๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ จงึ มคี วำมนิยมเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทท่ี ำจำกกอ้ นแกนและจำกสะเกด็ ของหินกรวดแม่น้ำซ่ึงทำเป็ นเคร่ืองมือหินลักษณะใหม่ท่ีรู้จกั กันในช่ือว่ำ เคร่อื งมือหินแบบฮวั บิเนียนเพิ่มข้ึนมำ จวบจนประมำณ ๕,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ จงึ อำจเรม่ิ ปรำกฏเคร่อื งมอื หนิ ขดั หรอื ขวำนหนิ ขดั ขน้ึ มำ ตงั้ แต่ไม่น้อยกว่ำ ๔,๐๐๐ – ๔,๕๐๐ ปีมำแล้วเป็นต้นมำ ประชำกร สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรใ์ นบำงภูมภิ ำคของประเทศไทยไดม้ กี ำรตงั้ ถนิ่ ฐำนอยู่ อำศยั เป็นหมบู่ ำ้ นถำวรซง่ึ มกั ใช้เป็นทงั้ เขตพน้ื ท่พี ำนักอำศยั และทฝ่ี ังศพ ทงั้ น้ี ประชำกรของบำงหมบู่ ำ้ นไดห้ นั มำดำรงชวี ติ ดว้ ยกำรทำกำรเกษตรกรรมแลว้ หมู่บ้ำนเกษตรกรรมรุ่นแรกๆ ในสมัยก่อน ประวัติศำสตร์ของ ประเทศไทย ลว้ นมกี ำรใช้ภำชนะดนิ เผำหลำกหลำยแบบ ในบำงภูมภิ ำคมกี ำร ทำและใช้ภำชนะดนิ เผำรปู แบบพเิ ศษอนั เป็นเอกลกั ษณ์เฉพำะตวั ซ่งึ ต่ำงจำก ชุมชนในพ้ืนท่ีอ่ืนอย่ำงชัดเจน วัตถุเน่ืองมำแต่วฒั นธรรมประเภทน้ีจึงบ่ง ช้วี ่ำ ในช่วงระยะเวลำท่ีเกดิ หมู่บ้ำนเกษตรกรรมข้นึ มำนัน้ ประชำกรอำจเรม่ิ แยกเป็ นกลุ่มชำติพันธุ์ต่ำงๆ ท่ีมีวัฒนธรรมย่อยบำงประกำรแตกต่ำงกัน บำ้ งแลว้ อยำ่ งไรกต็ ำม วตั ถุบำงประเภททพ่ี บเสมอในหมู่บำ้ นเกษตรกรรมรนุ่ แรกในภูมภิ ำคต่ำงๆ ของประเทศล้วนมลี กั ษณะเหมอื นกนั เช่น ขวำนหนิ ขดั รวมทงั้ เคร่อื งประดบั ประเภทกำไลข้อมอื และลูกปัดท่ีทำจำกหนิ และเปลือก หอยทะเล แสดงใหเ้ หน็ วำ่ ประชำกรเหล่ำน้ีมไิ ดแ้ ยกกนั อย่อู ยำ่ งโดดเดย่ี ว แต่มี กำรตดิ ต่อสมั พนั ธก์ นั และคงมกี ำรแลกเปลย่ี นผลผลติ และวฒั นธรรมซ่งึ กนั และ กนั ดว้ ย ประชำกรในสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรข์ องประเทศไทยเม่อื ไมน่ ้อยกวำ่ ๓,๕๐๐ ปีมำแล้วไดม้ พี ฒั นำกำรด้ำนโลหกรรมขน้ึ มำแล้วอยำ่ งดโี ดยเฉพำะใน ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนัน้ ไดพ้ บว่ำในช่วงเวลำดงั กล่ำวมี กำรใช้สำริดทำเคร่ืองมือใช้สอยและเคร่ืองประดับกับแพร่หลำยมำกกว่ำ ภูมภิ ำคอ่ืน ในขณะท่ีภำคกลำงของประเทศไทยมีแหล่งผลิตทองแดงระดบั [๑๒๕]

อุตสำหกรรมปรำกฏขน้ึ พรอ้ มกนั น้ีก็ปรำกฏว่ำกำรติดต่อแลกเปล่ยี นค้ำขำย ระหวำ่ งประชำกรต่ำงภมู ภิ ำคและตำ่ งวฒั นธรรมเป็นไปอยำ่ งเขม้ ขน้ มำกขน้ึ ถดั มำในช่วงเวลำประมำณ ๒,๕๐๐ – ๒,๗๐๐ ปีมำแลว้ จงึ เรม่ิ มกี ำร ใช้เหลก็ ทำเครอ่ื งมอื ใช้สอยและอำวธุ อยำ่ งมำก ในขณะท่สี ำรดิ ยงั คงเป็นโลหะ ทใ่ี ชท้ ำเครอ่ื งประดบั แหล่งผลติ เหลก็ เกดิ ขน้ึ อยำ่ งมำกมำยทงั้ ในภำคกลำงและ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย ขณะเดยี วกนั ก็ปรำกฏหลกั ฐำนชดั เจนว่ำ กำรตดิ ตอ่ แลกเปลย่ี นคำ้ ขำยระหว่ำงประชำกรตำ่ งภูมภิ ำคและต่ำงวฒั นธรรมท่ี อยู่ห่ำงไกลกนั มีควำมเข้มข้นและสม่ำเสมอมำกข้ึนทัว่ ทัง้ เอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ การติดต่อแลกเปล่ียนค้าขายกนั นี้ อาจเป็ นกระบวนการทาง วฒั นธรรมประการหนึ่งท่ีส่งผลให้เกิดพฒั นาการทางสงั คมวฒั นธรรม อย่างมากในภมู ิภาคนี้ในเวลาต่อมา ดงั ปรากฏศนู ยก์ ลางทางวฒั นธรรม ใหญ่ๆ หลายแหล่งที่มีลกั ษณะสงั คมซบั ซ้อน ณ ทาเลต่างๆ ของเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงดินแดนที่เป็ นของประเทศไทยในปัจจุบนั ด้วย ในเวลาใกล้เคียงกนั หรือเหลื่อมล้ากนั ไม่มากนัก เมื่อช่วงเวลา ระหว่างศตวรรษแรกๆ ของพทุ ธกาล กล่ำวโดยสรุปไดว้ ่ำ สงั คมซบั ซ้อนท่ีอาจจดั ได้ว่าเป็ นแว่นแคว้น ขนาดใหญ่ร่นุ แรกๆ ของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้นัน้ เร่ิมปรากฏขึ้นเมื่อ ราว ๒,๕๐๐ ปี มาแล้ว ในเวลาถดั มา ซึ่งยงั คงอยู่ในช่วงศตวรรษแรกๆ ของพุทธกาล สังคมแว่นแคว้นเหล่านี้ ก็ได้คล่ีคลายต่อไปจนเกิ ด ศูนย์กลางของวฒั นธรรมสาคญั ต่างๆ ในสมยั ประวตั ิศาสตรเ์ ร่ิมแรก ของพนื้ ที่ในเขตย่อยส่วนต่างๆ ของภมู ิภาคนี้ ไดแ้ ก่ ๑. วฒั นธรรมเทียน ในลุ่มแมน่ ้ำโขงตอนบน ในมณฑลยนู นำนของ ประเทศจนี ๒. วฒั นธรรมปยูและพุกาม ในลุ่มแม่น้ำอริ ะวดี ทำงตอนเหนือ ของประเทศเมยี นมำร์ [๑๒๖]

๓. วฒั นธรรมดองซอน ในลุ่มแม่น้ำหม่ำ ทำงตอนเหนือของ ประเทศเวยี ดนำม ๔. วัฒนธรรมจามปา แถบชำยทะเลตอนกลำงของประเทศ เวยี ดนำม ๕. วฒั นธรรมฟูนัน บรเิ วณปำกแม่น้ำโขง ทำงตอนใต้ของประเทศ เวยี ดนำม ๖. วฒั นธรรมก่อนเมืองพระนคร แถบทะเลสำบใหญ่ในประเทศ กมั พชู ำ ๗. วฒั นธรรมทวารวดี ในลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำตอนล่ำงในภำค กลำงของประเทศไทย [๑๒๗]

เอกสารประกอบการเรยี บเรียง ชนิ อยดู่ ี ๒๕๑๕ วฒั นธรรมบ้านเชียง. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร ๒๕๑๙ บ้านดอนตาเพชร. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร ๒๕๒๙ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร พสิ ฐิ เจรญิ วงศ์ ๒๕๒๕ “ชุมชนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร.์ ” ใน ลกั ษณะไทย, หน้ำ ๔๖–๑๔๑. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พไ์ ทยวฒั นำพำนิช. ๒๕๓๐ มรดกวฒั นธรรมบา้ นเชียง. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. วรี พนั ธ์ มำไลยพนั ธ์ ๒๕๑๕ “เครอ่ื งมอื ยคุ หนิ เห่ำทเ่ี ชยี งแสน.” โบราณคดี ๔(๑) : ๓๕- ๔๓. สรุ พล นำถะพนิ ธุ ๒๕๒๗ “หลักฐำนจำกบ้ำนท่ำแค และข้อคิดเห็นบำงประกำร เก่ียวกับชุมชนโบรำณ ในท่ีรำบภำคกลำงตอนล่ำง.” เมืองโบราณ ๑๐(๔) : ๒๐-๒๗. ๒๕๓๑ “ภำพรวมโบรำณคดีภำคกลำง.” ใน โบราณคดีสี่ภาค. กรงุ เทพฯ, เอกสำรกองโบรำณคดหี มำยเลข ๑๐/๒๕๓๐. ๒๕๓๔ “แหล่งผลิตทองแดงสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ในประเทศ ไทย.” ใน การค้นคว้าและวิ จัยทางโบราณ คดีใน ประเทศไทย. เอกสำรกำรประชุมทำงวชิ ำกำรระดบั ชำติ ฝรัง่ เศส – ไท ย ครัง้ ท่ี ๒ , มหำวิท ยำลัยศิลป ำกร, กรงุ เทพฯ. [๑๒๘]

Anderson, Douglas D. 1988 “ Excavations of a Pleistocene Rockshelter in Krabi and the Prehistory of Southern Thailand.” In Prehistoric Studies: The Stone and Metal Ages in Thailand. Edited by Pisit Charoenwongsa and Bennet Bronson, pp. 54-60. Bangkok: Amarin Printing Group. Bayard, Donn T. 1970 “Excavations at Non Nok Tha, Northeastern Thailand 1968 : An Interim Report.” Asian Perspectives 13 : 109-143. 1971 Non Nok Tha : The 1968 Excavation. Procedure, Stratigraphy and a Summary of Evidence. Otago University Studies in Prehistoric Anthropology 4, Department of Anthropology, University of Otago, Dunedin, New Zealand. 1972 “Early Thai Bronze Analysis and New Dates.” Science 176 : 1411-1412. 1977 “Phu-Wiang Pottery and the Prehistory of Northeastern Thailand.” Modern Quaternary Research in Southeast Asia 3 : 57-102. 1979 “The Chronology of Prehistoric Metallurgy in Northeast Thailand : Silabhumi or Samrddabhumi.” In Early South-East Asia, edited by R.B. Smith and W. Watson, pp. 15-32. London : Oxford University Press. [๑๒๙]

1984 “A Tentative Regional Phase Chronology for Northeast Thailand.” In Southeast Asian Archaeology at the XV Pacific Science Congress, edited by D.T. Bayard, pp 161-168. University of Otago Studies in Prehistoric Anthropology 16. Charoenwongsa, Pisit 1983 “Southeast Asian Bronze Metallurgy : A Summary of Data and Thoughts.” In The SPAFA Training Course in Conservation of Bronze Objects. Bangkok : Bangkok National Museum. 1988 “The Current Status of Prehistoric Research in Thailand.” In Prehistoric Studies : The Stone and Metal Ages in Thailand, edited by P. Charoenwongsa and B. Bronson, pp. 17-42. Bangkok : The Thai Antiquity Working Group. Glover, Ian C. 1989 Early Trade Between India and Southeast Asia : A Link in the Development of A World Trading System. Hull : University of Hull Centre for South- East Asian Studies, Occasional Paper No. 16. Gorman, Chester F. 1970 “Excavation at Spirit Cave, North Thailand.” Asian Perspectives 13 : 81-108. Gorman, Chester F. and Pisit Charoenwongsa 1976 “Ban Chiang : A Mosaic of Impressions from the First Two Years.” Expedition 18(4) : 14-26. [๑๓๐]

Higham, C.F.W. and A. Kijngam 1977 “Ban Chiang and Northeast Thailand; the Paleoenvironment and Economy.” Journal of Archaeological Science 6(3) : 211-31. Natapintu, Surapol 1988 “Current Research on Ancient Copper-Base Metallurgy in Thailand.” In Prehistoric Studies : The Stone and Metal Ages in Thailand, edited by Pisit Charoenwongsa and Bennet Bronson, pp. 107-124. Bangkok: Amarin Printing Group. 1991 “Archaeometallurgical Studies in the Khao Wong Prachan Valley, Central Thailand.” Indo-Pacific Prehistory Association Bulletin 2(11) : 153-159. Pigott Vincent C. 1985 “Pre-Industrial Mineral Exploitation and Metal Production in Thailand.” MASCA Journal 3(5) : 170- 174. Pigott, Vincent C. and S. Natapintu 1988 “Archaeological Investigations into Prehistoric Copper Production : The Thailand Archaeometallurgy Project 1984-86.” In The Beginnings of the Use of Metals and Alloys, edited by R. Maddin, pp. 156-162. Cambridge, Mass. : MIT Press. nd The Thailand Archaeometallurgy Project. Unpublish Final Report Submitted to the Fine Arts Department and the National Research Council of Thailand. [๑๓๑]

Pookajorn, Surin 1994 Recent Archaeological Data of Human Activity and Environmental Change during the Late Pleistocene to Middle Holocene in Southern Thailand and Southeast Asia. Paper presented at the International Association of Historians of Southeast Asia, Sophia University, Japan, September 5-9, 1994. Pope, G., S. Barr, A. Macdonald, and S. Nakabanlang 1986 “Earliest Radiometically Dated Artefacts From Southeast Asia.” Current Anthropology 27(3) : 275- 279. Stech Wheeler, T. and R. Maddin 1976 “The Techniques of the Early Thai Metalsmith.” Expedition 18(4) : 38-47. White, J. 1982 Ban Chiang : The Discovery of a Lost Bronze Age. University of Pennsylvania, Philadelphia and The Smithsonian Institute. 1985 “A Revision of the Chronology of Ban Chiang and its Implications for The Prehistory of Northeast Thailand.” Unpublished Ph.D dissertation, University of Pennsylvania. [๑๓๒]

[๑๓๓]

รอ่ งรอยวฒั นธรรมอินเดียในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดย ผาสุข อินทราวธุ [๑๓๔]

ประวตั ิการค้นคว้าการเผยแพร่วฒั นธรรมอินเดียในดินแดนเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ ในตอนปลำยครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ นักคน้ ควำ้ ชำวยโุ รปไดเ้ รมิ่ ศกึ ษำ ประวตั ศิ ำสตรข์ องเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตอ้ ยำ่ งจรงิ จงั และไดพ้ บวำ่ วฒั นธรรม อินเดียมีอิทธิพลต่อศำสนำ ศิลปกรรม วรรณกรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนแถบน้ีมำก อย่ำงไรกต็ ำมช่วงต้นๆ นักคน้ ควำ้ เหล่ำน้ีมคี วำม โน้มเอยี งไปในแนวท่วี ่ำสง่ิ เหล่ำน้ีเป็นผลมำจำกกำรขยำยตวั ของชำวอินเดยี ทำงตะวนั ออก และไดม้ ผี ู้พยำยำมอธบิ ำยวำ่ กำรขยำยตวั ดงั กล่ำวมสี ำเหตุมำ จำกสถำนกำรณ์ภำยในของอนิ เดยี เอง ในช่วงต่อมำคือตัง้ แต่ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ นักวิชำกำรชำว อินเดียได้เข้ำมำร่วมค้นคว้ำด้วย และได้ผลิตผลงำนท่ีสำคญั เก่ียวกบั เร่อื งน้ี ขน้ึ มำ ซ่งึ สว่ นใหญ่เป็นจนิ ตนำกำรของผู้เขยี นท่ยี ดึ มัน่ ในเร่อื งชำตนิ ิยมอย่ำง รนุ แรง หนงั สอื เร่อื ง “ประวตั กิ ำรคำ้ ทำงทะเลและกจิ กรรมทำงน้ำ” ซง่ึ ตพี มิ พใ์ น ค.ศ. ๑๙๑๒ ได้กล่ำวถึงพ่อค้ำชำวอินเดียยุคโบรำณว่ำได้ข้ำมทะเลไปยงั “อนิ เดยี ไกล” และอนิ โดนีเซยี ไปสรำ้ งอำณำจกั ร สรำ้ งอำณำนิคม ขยำยกำรคำ้ ของเมืองแม่ (อินเดีย) และต่อมำนำเอำศิลปินท่ีมีควำมสำมำรถพิเศษจำก แควน้ เบงกอล กลงิ คะ (แควน้ โอรสิ สำ) และคชุ รำตมำสรำ้ งอนุสำวรยี ท์ ่ใี หญ่โต งดงำมจนไมม่ สี ง่ิ ใดทดั เทยี มได้ นกั วชิ ำกำรชำวอนิ เดยี ผมู้ คี วำมรสู้ กึ รนุ แรงทำงชำตนิ ิยมเหล่ำน้ีไดต้ งั้ สมำคมคน้ ควำ้ ข้นึ ใน ค.ศ. ๑๙๒๖ ใหช้ ่อื ว่ำ “สมำคมอนิ เดียอนั ไพศำล” (The Greater India Society) เพ่อื ศึกษำเร่อื งรำวเก่ยี วกบั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ หรือ “อำณำนิคมของอินเดียสมัยโบรำณ” และในงำนค้นคว้ำของอำร์ซี มำจุมดำร์ เก่ียวกบั ประวตั ิศำสตร์ตอนต้นของจมั ปำและชวำได้บรรยำยถึง ศลิ ปะและสถำปัตยกรรมของชวำและจมั ปำวำ่ ไดม้ ำจำกอนิ เดยี และไดร้ บั กำร ทำนุบำรงุ จำกประมุขชำวอินเดยี ในอำณำนิคมเหล่ำน้ี และแมก้ ระทงั ่ ประเทศ ไทย ผณินทรนำถ โบ๊ส กอ็ ำ้ งวำ่ เป็นอำณำนิคมของอนิ เดยี [๑๓๕]

อำจกล่ำวไดว้ ำ่ สมำคมอนิ เดยี อนั ไพศำลได้ก่อใหเ้ กดิ ควำมเขำ้ ใจผดิ เก่ียวกับประวตั ิศำสตร์ตอนต้นของดินแดนเอเชียตะวนั ออ กเฉียงใต้เป็ น อย่ำงมำก อยำ่ งไรกต็ ำม สมำคมน้ีไดก้ ระตุน้ ใหเ้ กดิ ควำมสนใจคน้ ควำ้ เรอ่ื งรำว ของดนิ แดนแถบน้ีอย่ำงจรงิ จงั จงึ มนี ักวชิ ำกำรทงั้ ในยุโรปและเอเชยี ใหค้ วำม สนใจมำกขน้ึ ต่อมำในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ ได้เสนอ ควำมเห็นว่ำกำรแพร่ของวฒั นธรรมอินเดียมำยงั ดินแดนเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้น้ี เน่ืองมำจำกกำรเพม่ิ ปรมิ ำณกำรค้ำขำยระหว่ำงอนิ เดยี และดนิ แดน ในแถบน้ีในตอนต้นครสิ ตกำล เซเดส์คดั คำ้ นทฤษฎีกำรอพยพใหญ่ของพวก ล้ีภัยจำกอินเดีย และกำรตัง้ อำณำนิคมของชำวอินเดียในดินแดนแถบน้ี โดยเสนอว่ำน่ำจะเรม่ิ จำกชำวอนิ เดยี เขำ้ มำตงั้ อำณำนิคมกำรค้ำตำมเมอื งท่ำ ตำ่ งๆ ของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตก้ ่อน และ ณ เมอื งท่ำคำ้ ขำยเหล่ำน้ีเองทท่ี ำ ใหพ้ วกนกั บวชและนกั ปรำชญ์ตำ่ งๆ ทต่ี ำมเขำ้ มำเผยแพร่วฒั นธรรมอนิ เดยี ใน เวลำต่อมำได้ตัง้ ถ่ินฐำนโดยสะดวก จึงเกิดทฤษฎีใหม่ซ่ึง เป็ นท่ียอมรับ โดยทัว่ ไปว่ำ การติ ดต่อค้าขายระหว่างชาวอินเดียและประชากรใน ดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้นี้เองท่ีเป็ นสื่อสาคญั ที่ก่อให้เกิดการ เผยแพร่วฒั นธรรมอินเดียมายงั ดินแดนแถบนี้ และการที่วฒั นธรรม อินเดียมามีอิทธิพลต่อประชากรในดินแดนนี้กไ็ ม่ใช่เป็ นการริเร่ิมจาก ฝ่ ายอินเดียเพียงฝ่ ายเดียว หากแต่เป็ นความสมคั รใจของชนแถบนี้ ซ่ึงเป็ นฝ่ ายเลือกรบั วัฒนธรรมอิ นเดียที่ตนพอใจมาผสมผสานกับ วฒั นธรรมพนื้ เมืองเดิม แรงกระตุ้นสำคญั ท่ีนำไปสู่กำรเพ่ิมปริมำณกำรค้ำระหว่ำงชำว อนิ เดยี กบั ประชำกรในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ คอื กำรเกดิ วกิ ฤตทำงกำรเมอื ง ในบริเวณเมดเิ ตอรเ์ รเนียนและบรเิ วณเอเชียกลำง ประกอบกบั ชำวอินเดยี ต้องกำรสินค้ำประเภทฟุ่มเฟื อยโดยเฉพำะทองคำมำกข้ึน และตัง้ แต่ พุทธศตวรรษท่ี ๔ - ๕ เป็นต้นมำ อินเดยี ถูกตดั ขำดจำกกำรคมนำคมในภำค กลำงของทวปี เอเชยี ไมอ่ ำจหำซอ้ื ทองคำจำกแควน้ ไซบเี รยี ไดอ้ กี ตอ่ ไป ดงั นนั้ [๑๓๖]

ในช่วงต้นคริสต์ศักรำช (รำวพุทธศตวรรษท่ี ๖ – ๗) อินเดียจึงหันไปซ้ือ ท อ งค ำจ ำ ก อ ำณ ำจัก ร โรมัน ท ำให้เศ รษ ฐกิจ ข อ งโรมัน ก ระ ท บ ก ระเทือ น จกั รพรรดโิ รมนั จึงระงบั ไม่ใหท้ องคำออกนอกอำณำจกั ร อินเดยี ต้องหำท่ีซ้ือ ทองแห่งใหม่จงึ มุ่งมำทำงเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้และเรยี กดนิ แดนแถบน้ีว่ำ “สวุ รรณภมู ิ” แรงกระตุ้นสำคญั อกี ดำ้ นหน่ึงท่สี ่งเสรมิ ใหก้ ำรค้ำทำงเรอื รุ่งเรอื งข้นึ คอื ในช่วงเวลำดงั กล่ำวเป็นช่วงท่มี พี ฒั นำกำรดำ้ นกำรเดนิ เรอื และกำรต่อเรอื ของชำวจีนและชำวอินเดีย อย่ำงไรก็ตำม การติดต่อค้าขายระหว่างชาว อินเดียและประชากรในเอเชียตะวนั ออกเฉี ยงใต้ มิได้ร่งุ เรืองขึ้นจาก พ่อค้าชาวอินเดียเพียงฝ่ ายเดียวเท่านั้นหากแต่ประชากรในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้กม็ ีบทบาทสาคญั เช่นกนั โดยเฉพาะการเดินเรือของ ชาวอินโดนีเซียและชาวมลายูกม็ ีส่วนช่วยให้เกิดพฒั นาการทางการค้า ขึน้ ในภมู ิภาคนี้ ในปัจจบุ นั แนวทางการศึกษาค้นคว้าเรอ่ื งราวเกี่ยวกบั ดินแดน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ยคุ โบราณได้ยึดแนวใหมน่ ี้เป็นหลกั พฒั นาการทางสงั คมและวฒั นธรรมของประชากรชาวอินเดียในยุค โบราณ เพ่อื ใหม้ องเหน็ ภำพทก่ี ระจ่ำงชดั วำ่ วฒั นธรรมอนิ เดยี ท่ชี ำวพ้นื เมอื ง ในดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้เลอื กมำผสมผสำนกบั วฒั นธรรมเดมิ ของ พวกตนนนั้ มอี ะไรบำ้ ง จำเป็นต้องกล่ำวถงึ พฒั นำกำรทำงสงั คมและวฒั นธรรม ของประชำกรชำวอนิ เดยี ในยคุ โบรำณโดยยอ่ จำ ก ห ล ัก ฐ ำน ด้ำ น วร รณ ก รร ม ซ่ึง ส่ว น ให ญ่ เขีย น ข้ึน ใน ช่ ว ง พุ ท ธ ศตวรรษท่ี ๖ – ๗ เป็ นต้นมำนั้นมักกล่ำวถึงเร่ืองรำวของพ่อค้ำอินเดียท่ี เดินทำงไปค้ำขำยติดต่อกบั ประชำกรท่ีอยู่ต่ำงแดน ทัง้ ด้ำนตะวนั ตกและ ตะวนั ออก ตงั้ แต่ช่วงตน้ พทุ ธกำลถงึ สมยั ก่อนรำชวงศโ์ มรยิ ะ (๖๐๐ – ๔๐๐ ปี ก่อน ค.ศ.) และในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๓ (๓๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) พระเจำ้ อโศก [๑๓๗]

มหำรำชแห่งรำชวงศ์โมรยิ ะได้ส่งสมณทูตมำเผยแพรพ่ ุทธศำสนำยงั ดนิ แดน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ แต่เม่ือพิจำรณำจำกหลักฐำนด้ำนโบรำณคดีจะพบว่ำในช่วงต้น พุทธกำล (๖๐๐ – ๔๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) อำรยธรรมของประชำกรในประเทศ อินเดียเองยงั จดั อยู่ในระดบั สงั คมชนบท (rural community) นักโบรำณคดี เรียกยุคน้ีว่ำ “ยุคเหล็กตอนต้น” มีกำรตงั้ ถ่ินฐำนอยู่บริเวณท่ีรำบรมิ แม่น้ำ สำยหลกั เช่น แมน่ ้ำคงคำ ยมุนำ โดยตงั้ เป็นหมบู่ ำ้ นเลก็ ๆ กระจำยตวั ไปตำม รมิ ฝัง่ แม่น้ำ มีกำรสร้ำงคนั ดินและคูน้ำล้อมรอบเมืองเพ่ือป้ องกันน้ำท่วม ประชำกรท่ตี งั้ ถน่ิ ฐำนอยู่บรเิ วณรมิ แมน่ ้ำคงคำตอนบนนบั ถอื ศำสนำพรำหมณ์ (ยุคพระเวท) ส่วนตอนล่ำงนับถือศำสนำพุทธ รู้จกั นำเหล็กมำผลิตเป็ น เคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้ อำชพี หลกั ของประชำกรคอื กำรเกษตร อำชพี รองคอื กำรล่ำ สตั ว์ หำของป่ำและจบั สตั วน์ ้ำ ประชำกรยคุ น้ียงั ไมจ่ ดั เป็นสงั คมเมอื งเพรำะยงั ไม่มกี ำรวำงผงั เมอื ง ยงั ไมม่ กี ำรใชอ้ ฐิ และหนิ ในกำรก่อสรำ้ ง ยงั สรำ้ งบ้ำนเรอื น ดว้ ยไม้ ยงั ไม่มรี ะบบเหรยี ญกษำปณ์เป็นส่อื กลำงทำงกำรค้ำขำยแลกเปล่ยี น ยงั ไมม่ กี ำรเดนิ ทำงไปคำ้ ขำยยงั ดนิ แดนท่หี ำ่ งไกล รวมทงั้ ยงั ไมม่ ตี วั อกั ษรใช้ ต่อมำในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๓ – ๕ (๓๕๐ – ๕๐ ปีก่อน ค.ศ.) ชว่ งน้ี พัฒนำกำรทำงอำรยธรรมของประชำกรสูงข้ึน นักโบรำณคดีเรยี กยุคน้ี ว่ำ “ยุคเหล็กตอนปลำย” นักประวตั ิศำสตรเ์ รยี กว่ำ “สมยั รำชวงศ์โมริยะ-ศุงคะ” เรมิ่ มกี ำรจดั ระเบยี บสงั คมแบบเมอื ง ภำยใต้กำรปกครองของกษตั รยิ ร์ ำชวงศ์ โมรยิ ะและสบื ต่อโดยกษตั รยิ ร์ ำชวงศศ์ ุงคะ มกี ำรสรำ้ งกำแพงเมอื งเพ่อื ป้องกนั เมอื งจำกขำ้ ศกึ มกี ำรจดั ระบบสำธำรณสุขทม่ี สี ขุ อนำมยั มกี ำรจดั ระบบกำรคำ้ โดยนำเหรียญกษำปณ์มำใช้เป็ นส่ือกลำงกำรค้ำขำย มีกำรติดต่อค้ำขำย ระหวำ่ งกลุ่มประเทศท่อี ยหู่ ่ำงไกลทงั้ ดำ้ นตะวนั ตกและตะวนั ออก มตี วั อกั ษรใช้ (อกั ษรพรำหมีและขโรษฐี) กษัตรยิ ์รำชวงศ์โมริยะได้กระตุ้นให้พ่อค้ำชำว อนิ เดยี เดนิ ทำงออกไปคำ้ ขำยตำ่ งแดนเพอ่ื นำรำยไดม้ ำบำรงุ ประเทศ อย่ำงไรก็ตำมหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีท่ีแสดงร่องรอยกำรติดต่อ คำ้ ขำยระหวำ่ งประชำกรชำวอนิ เดยี กบั ประชำกรในดนิ แดนทห่ี ำ่ งไกล (ทงั้ ดำ้ น [๑๓๘]

ตะวนั ตกและดำ้ นตะวนั ออก) ในช่วงน้ีพบน้อยมำก สว่ นใหญ่เป็นพวกลูกปัดท่ี ทำด้วยหินอำเกต หินคำร์เนเลียน และลูกปัดแก้ว แต่กลบั ปรำกฏร่องรอย เด่นชัดในช่วงหลังยุคเหล็กซ่ึงถ้ำเรียกช่ือตำมยุคสมยั ทำงประวตั ิศำสตร์ เรยี กว่ำ “สมยั กุษำณะ-คุปตะ” (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙) หรอื สมยั อนิ โด-โรมนั ซ่งึ เป็นช่วงท่อี ินเดยี มกี ำรตดิ ต่อค้ำขำยกบั อำณำจกั รโรมนั ดงั ไดพ้ บร่องรอย โบรำณวตั ถุแบบโรมนั บรเิ วณเมอื งทำ่ โบรำณและเมอื งโบรำณฝัง่ ตะวนั ตก เช่น เมืองเนวำษะ เมืองจันทรำวัลลี เมืองพรหมบุรี เมืองโกณฑปุรุ และฝั ง่ ตะวนั ออกเฉียงใต้ เชน่ เมอื งอรกิ เมฑุ และเมอื งกำเวรปิ ัฏฏนิ มั ภำพท่ี ๑ แผนทแ่ี สดงตำแหน่งของเมอื งสำคญั และเมอื งท่ำกำรคำ้ ในประเทศอนิ เดยี สมยั โบรำณ [๑๓๙]

นอกจำกกำรติดต่อค้ำขำยแล้วยงั มกี ำรตงั้ ถิน่ ฐำนของชำวโรมนั ใน อนิ เดยี ในบรเิ วณเมอื งท่ำสำคญั ทงั้ ในภำคตะวนั ตกและภำคตะวนั ออกเฉียงใต้ และจำกเมอื งท่ำโบรำณดงั กล่ำวเหล่ำน้ีท่ชี ำวอนิ เดยี เดนิ ทำงมำตดิ ต่อค้ำขำย กบั กลุ่มประเทศทำงตะวนั ออกเฉียงใต้ ดงั นัน้ สนิ คำ้ ท่นี ำมำขำยจงึ มที งั้ สนิ คำ้ ของอนิ เดยี เองและสนิ ค้ำของโรมนั รวมทงั้ สนิ ค้ำท่ีเลยี นแบบสนิ ค้ำโรมนั ดว้ ย จงึ ไดพ้ บโบรำณวตั ถแุ บบอนิ เดยี แบบโรมนั และแบบอนิ โด-โรมนั ตำมเมอื งท่ำ โบรำณในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ การติดต่อค้าขายกบั ต่างชาติ เพ่อื เป็นกำรสรำ้ งฐำนะทำงเศรษฐกิจของประเทศ กษตั รยิ ร์ ำชวงศ์ โมรยิ ะไดก้ ระตุ้นใหพ้ ่อคำ้ ชำวอนิ เดยี เดนิ ทำงออกไปคำ้ ขำยกบั ต่ำงชำตทิ งั้ ดำ้ น ตะวนั ตกและด้ำนตะวนั ออกมำกข้นึ เพ่ือนำรำยได้มำบำรุงประเทศ อย่ำงไร ก็ตำม ร่องรอยกำรติดต่อค้ำขำยระหว่ำงชำวอินเดียกับต่ำงชำติจะปรำกฏ เด่นชดั ในช่วงหลงั ยุคเหล็กหรอื “สมยั อนิ โด-โรมนั ” (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙) อนั เป็นช่วงท่ีอินเดียภำคเหนืออยู่ใต้กำรปกครองของรำชวงศ์กุษำณะ (พุทธ ศตวรรษท่ี ๕ – ๘) ในขณะท่มี กี ษตั รยิ ์รำชวงศศ์ ำตวำหนะ (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๘) ปกครองแควน้ อำนธระ และพวกศกะ (ซิเถียน) ปกครองภำคตะวนั ตก ของอนิ เดยี (พทุ ธศตวรรษท่ี ๗ – ๑๐) ช่ือเมืองต่ำงๆ ของอินเดีย เช่น กมรำ (กำเวริปัฏฏินัม) โปดูเก (อรกิ เมฑุ ใกลเ้ มอื งปอนดเิ ชอร)ี และโสปัตมะ ไดป้ รำกฏอยใู่ นบนั ทกึ กำรเดอื น เรือของชำวยุโรปคือ The Periplus of the Erythraean Sea (เขียนข้ึนรำว ปลำยครสิ ต์วรรษท่ี ๑ โดยนักเดินเรือชำวกรีก) ว่ำเป็นเมืองท่ำท่ีเรือสำเภำ ขนำดใหญ่ท่ีชำวตะวนั ตกเรียกว่ำ “โกลันเดีย” (Kolandiophonta) ออกไป ค้ำขำยกบั ดินแดนสุวรรณภูมิหรือสุวรรณทวีป (The Golden Khersonese) นอกจำกนนั้ ชาดกและมิลินทปัญหา ยงั ไดก้ ล่ำวถงึ กำรเดนิ ทำงไปคำ้ ขำยยงั ดนิ แดนสุวรรณภูมจิ ำกเมืองท่ำหลำยเมอื ง เช่น ภรุกจั ฉะ ศูรปำรกะและมุฉิริ ซ่ึงเป็นเมืองท่ำโบรำณบริเวณชำยฝัง่ ทะเลด้ำนตะวนั ตกของอินเดียและยงั [๑๔๐]

กล่ำวถึงเมืองตำมรลิปติ (ฝัง่ ทะเลด้ำนตะวนั ออก) ซ่ึงอยู่ปำกแม่น้ำคงคำ อกี ดว้ ย การติดต่อค้าขายกบั อาณาจกั รโรมนั อำณำจกั รโรมนั แผ่อำนำจกำรปกครองมำยงั โลกตะวนั ออก มกี ำร ติดต่อค้ำขำยกับซีกโลกตะวันออก โดยส่งกองคำรำวำนเดินทำงข้ำม ทะเลทรำยจำกศูนย์กลำงกำรค้ำใหญ่ๆ เช่น เมืองปำลไมรำ (Palmyra) ใน ซเี รยี เมอื งเปตรำ (Petra) ในจอรแ์ ดน และเมอื งอเล็กซำนเดรยี (Alexandria) ในอียปิ ต์ แต่เมืองท่เี ป็นศูนย์กลำงท่ีสำคญั ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๖ – ๗ คือ เมืองอเล็กซำนเดรีย เพรำะเป็นเมืองท่ีมีบทบำทสำคญั ในด้ำนกำรค้ำขำย ระหว่ำงซีกโลกตะวนั ตกและตะวนั ออก เป็นเมอื งสำคญั ของเส้นทำงแพรไหม (อเล็กซำนเดรยี -อินเดีย-จีน) จำกเมืองอเล็กซำนเดรีย กองคำรำวำนจะขน สนิ คำ้ มคี ่ำต่ำงๆ จำกซกี โลกตะวนั ตกไปคำ้ ขำยยงั โลกตะวนั ออก และซอ้ื สนิ คำ้ จำกโลกตะวนั ออกกลบั มำ สนิ คำ้ ทช่ี ำวตะวนั ตกตอ้ งกำร คอื เครอ่ื งเทศ น้ำหอม อญั มณี ผำ้ เน้ือ ดี พวกอำหำรแห้ง เช่น น้ำตำล ข้ำว และฆี (น้ำมนั เนย) งำช้ำง (ทงั้ ท่ีเป็ น วตั ถุดิบและท่ีสลักเสร็จแล้ว) รวมทัง้ เหล็กของอินเดียก็จดั ว่ำมีคุณภำพดี นอกนนั้ กเ็ ป็นจำพวกสตั วต์ ่ำงๆ เช่น ช้ำง สงิ โต เสอื ควำย เพ่อื นำไปแสดงใน กฬี ำต่อสกู้ บั สตั วป์ ่ำซง่ึ เป็นกฬี ำโปรดของจกั รพรรดโิ รมนั สว่ นสตั วเ์ ลก็ ๆ กเ็ ป็น สนิ ค้ำ เช่น นก (โดยเฉพำะนกแก้ว) ลิง นกยูง ก็ถูกส่งไปขำยเป็นสตั ว์เล้ียง ของสตรชี นั้ สงู ในอำณำจกั รโรมนั สำหรบั ชำวอนิ เดยี นัน้ ต้องกำรสนิ คำ้ ประเภททองคำ ภำชนะดนิ เผำ ประเภทท่ีมีผิวภำชนะสีแดงเป็ นมนั วำวตกแต่งด้วยลำยประทับ (Arretine ware)๑ และภำชนะดินเผำสีดำขดั มันท่ีตกแต่งด้วยกำรกดด้วยซ่ีฟันเฟื อง ๑ คำว่ำอำรร์ ไี ทน์ (Arretine) ใชเ้ รยี กภำชนะดนิ เผำเน้ือดที ผ่ี วิ เป็นสแี ดงมนั วำว ตกแต่งดว้ ยลำยประทบั เป็นภำชนะทน่ี ิยมผลติ กนั ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ – ๗ และไดร้ บั ช่อื ตำมแหลง่ ผลติ คอื เมอื ง Arretium (ปัจจบุ นั คอื เมอื ง Arezzo) ในอติ ำลี [๑๔๑]

(roulette ware)๒ เคร่อื งแก้วซ่ึงพบเป็ นจำนวนมำกท่ีเมืองอรกิ เมฑุ ซ่ึงเป็ น เมอื งท่ำทำงฝัง่ ตะวนั ออกเฉียงใต้ของอนิ เดยี และมบี ทบำทสำคญั ในดำ้ นกำร คำ้ ขำยตดิ ต่อกบั โรมนั ในช่วงต้นครสิ ตกำล นอกนัน้ กเ็ ป็นสนิ คำ้ ประเภทเหล้ำ ไวน์ ดบี กุ ตะกวั ่ ปะกำรงั กำรติดต่อคำ้ ขำยระหว่ำงอำณำจกั รโรมนั กบั อนิ เดยี ปรำกฏเด่นชดั ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๖ หลกั ฐำนสำคญั คอื กำรคน้ พบรูปสตรชี ำวอนิ เดยี สลกั จำกงำช้ำง (รำวพุทธศตวรรษท่ี ๖ – ๗) ทเ่ี มอื งเฮอคเู ลเนียม (Herculaneum) ส่วนสนิ ค้ำประเภทอ่นื ๆ เช่น เคร่อื งเทศ น้ำหอม เพชรพลอย ไข่มุก ผ้ำฝ้ำย ผ้ำไหม ย่อมสูญสลำยไปตำมกำลเวลำ อย่ำงไรก็ตำมรำยละเอียดเก่ียวกับ ก ำ รค้ำ ข ำ ย ระ ห ว่ำง อ ำณ ำ จัก รโร ม ัน แ ล ะอิน เดีย ได้ป รำก ฏ อ ยู่ใน ห นั ง สือ ภมู ศิ ำสตรข์ องปโตเลมี (Ptolemy Geography) ซง่ึ เป็นนักภูมศิ ำสตรช์ ำวกรกี ท่ี มีอำยุอยู่ในศตวรรษท่ี ๑ และในบันทึกกำรเดือนเรือของชำวยุโรป (The Periplus of the Erythraean Sea) ซ่ึงกล่ำวถึงเมืองท่ำทำงฝัง่ ตะวนั ตกของ อนิ เดยี ทม่ี บี ทบำทสำคญั ทำงกำรคำ้ กบั โรมนั ในอินเดียเองก็ได้พบร่องรอยกำรค้ำขำยติดต่อกบั โรมนั รวมทงั้ มี กำรตงั้ ถ่ินฐำนของพ่อค้ำโรมนั ในบรเิ วณเมืองท่ำโบรำณทำงฝัง่ ตะวนั ตกและ ฝัง่ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ภำยใต้กำรปกครองของกษตั ริย์รำชวงศ์ศำตวำหนะ (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๘) เช่น เมอื งเนวำษะ นำฟทำโตริ บำโรด้ำ พรหมบุรี พรหมครี ี จนั ทรำวลั ลี โกณฑปุระ อมรำวดี นำคำรชุนโกณฑะ อรกิ เมฑุ และ กำเวรปิ ัฏฏนิ มั โดยเฉพำะเมอื งทพ่ี รหมบุรพี บรอ่ งรอยของชำวโรมนั หนำแน่น มำก พบประตมิ ำกรรมรปู เทพโพไซดอน (Poceidon) เทพแห่งท้องทะเลของ โรมนั พบภำชนะโรมันท่ีนำเข้ำมำหลำยแบบ และพบว่ำมีกำรเลียนแบบ ภำชนะสำรดิ ของโรมนั ในสมยั รำชวงศ์ศำตวำหนะด้วย ท่ีน่ำสนใจคือได้พบ เหรียญของจกั รพรรดิติเบอริอุส (Tiberius) (พ.ศ. ๕๕๗ – ๕๘๐) ท่ีเมือง ๒ คำว่ำรูแลตด์ (rouletted) ใช้เรียกภำชนะดินเผำท่ีตกแต่งผิวโดยกำรกด ด้วยซ่ีฟันเฟื องเพ่ือทำให้เกิดลำยเป็นแถวอย่ำงมรี ะเบียบ เป็นเทคนิคท่นี ิยมกันในสมยั เฮเลนนสิ ตคิ จนถงึ สมยั โรมนั [๑๔๒]

เนวำษะ (เมอื งทำงฝัง่ ตะวนั ตก) และไดพ้ บเหรยี ญทองของจกั รพรรดฮิ ำเดรยี น (Hadrian) (พ.ศ. ๖๖๐ – ๖๘๑) ทเ่ี มอื งนำคำรชุนโกณฑะทเ่ี มอื งอรกิ เมฑุ และท่ี เมอื งกำเวรปิ ัฏฏนิ มั ซง่ึ เป็นเมอื งท่ำสำคญั ของอนิ เดยี ภำคตะวนั ออกเฉียงใตท้ ่มี ี บทบำทดำ้ นกำรตดิ ต่อค้ำขำยกบั โรมนั ก็ได้พบเหรยี ญโรมนั เป็นจำนวนมำก รวมทงั้ ภำชนะดนิ เผำประเภทไหแบบกรกี -โรมนั (amphora) และภำชนะสแี ดง มนั วำวตกแต่งดว้ ยลำยประทบั (Arretine ware) ภำพท่ี ๒ เหรยี ญเงนิ ของจกั รพรรดอิ อกุสตุสแห่งโรมนั (พ.ศ. ๕๑๖ – ๕๕๗) จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑเ์ มอื งมทั รำส (เชนไน) รฐั ทมฬิ นำดู ประเทศอนิ เดยี สำหรบั เมอื งอรกิ เมฑุนัน้ มีช่อื ปรำกฏในบนั ทึกของนักเดนิ เรือชำว ยโุ รปท่เี ดนิ ทำงมำตดิ ต่อคำ้ ขำยกบั อนิ เดยี โดยเรยี กวำ่ เมอื งโปดเู ก จดั เป็นเมอื ง ท่รี ุ่งเรอื งในฐำนะเมอื งท่ำโบรำณในสมยั รำชวงศ์ศำตวำหนะ และจำกเมอื งท่ำ แห่งน้ีและเมอื งท่ำอ่นื ๆ ทงั้ ดำ้ นฝัง่ ตะวนั ตกและตะวนั ออกของอนิ เดยี ท่สี นิ คำ้ [๑๔๓]

แบบโรมนั และอนิ โด-โรมนั ถกู สง่ ไปขำยยงั เมอื งท่ำหรอื ศูนยก์ ลำงกำรคำ้ ขำยใน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตใ้ นช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๕- ๙ นอกจำกนัน้ ยงั ได้พบสินค้ำมคี ่ำของโรมนั ในแหล่งโบรำณคดีด้ำน ตะวนั ตกเฉียงเหนือบรเิ วณพรมแดนอนิ โด-ปำกสี ถำน ซง่ึ มเี สน้ ทำงกำรคำ้ ทำง บกท่ีสำคญั จำกโลกตะวนั ตกไปยงั ประเทศจนี คอื เส้นทำงแพรไหมจำกเมอื ง อเล็กซำนเดรยี มำอนิ เดยี และต่อไปจนี โดยกองคำรำวำนจะขนสนิ ค้ำมคี ่ำมำ และซ้ือสินค้ำสำคัญของจีนคือผ้ำไหม ซ่ึงชำวโรมนั ชนั้ สูงคลงั ่ ไคล้กันมำก เมอื งสำคญั ทข่ี บวนสนิ คำ้ ต้องผ่ำนและแวะพกั คอื เมอื งตกั ษลิ ำ (ใกลร้ ำวนั ปินดี ในป ำกีสถ ำน) และเมืองเบ ครำม (๕ ๐ ไม ล์ท ำงเห นื อของคำบู ลใน อฟั กำนิสถำน) สนิ ค้ำจำกอำณำจกั รโรมนั ท่ีพบในบรเิ วณเมืองท่ำทงั้ สองคอื พวกเคร่อื งแก้วท่ีงดงำมจำกซีเรยี ภำชนะสำรดิ ประติมำกรรมสำรดิ รูปเทพ ของโรมนั จำกเมอื งอเลก็ ซำนเดรยี โบรำณวตั ถุทพ่ี บมำกจำกกำรขุดคน้ แหล่งโบรำณคดที เ่ี คยเป็นเมอื ง ท่ำคำ้ ขำยตดิ ต่อกบั โรมนั และมกี ำรตงั้ ถนิ่ ฐำนของชำวโรมนั คอื ภำชนะดนิ เผำ ๔ ประเภท คือภำชนะดนิ เผำสแี ดงมนั วำวตกแต่งด้วยลำยประทบั (Arretine ware) ไหแบบกรกี -โรมนั ท่ีใช้บรรจุเหล้ำไวน์หรอื น้ำมนั มะกอก (amphora) ภำชนะดนิ เผำตกแต่งดว้ ยเทคนิคกำรกดเป็นรอ่ งดว้ ยซ่ฟี ันเฟืองบนผวิ ภำชนะ (roulette ware) และตะเกียงโรมัน (Raman lamp) นอกนั้นยังขุดพบพวก ลูกปั ดโรมัน (Roman glass beads) ทัง้ แบบลูกปั ดแก้วมีแถบสี (striped beads) และลูกปัดมตี ำ (eye beads) และหวั แหวนสลกั จำกหนิ มคี ่ำ (intaglios) อกี ดว้ ย การติดต่อค้าขายกบั กล่มุ ประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ กำรติดต่อกันทำงบกนัน้ พ่อค้ำชำวอินเดียสำมำรถเดินทำงผ่ำน แคว้นเบงกอลตะวนั ออก แควน้ อสั สมั และแควน้ มณีปุระ แล้วผ่ำนพม่ำเข้ำไป ยงั กลุ่มประเทศทำงตะวนั ออกไกลได้ กำรติดต่อกนั ทำงบกคงจะมีนำนแล้ว ตงั้ แตส่ มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ [๑๔๔]

ส่วนการติ ดต่อค้าขายกันทางเรือนั้นแม้ว่าวรรณกรรมใน ศาสนาพราหมณ์เป็ นต้นว่ามหากาพย์รามายณะและวรรณกรรมใน ศาสนาพุทธ โดยเฉพาะชาดกต่างๆ มกั จะกล่าวถึงพ่อค้าอินเดียชอบ แล่นเรอื ไปค้าขายกบั กลุ่มประเทศทางตะวนั ออกไกลตงั้ แต่ยุคพทุ ธกาล (๖๐๐ ปี ก่อน ค.ศ.) แต่จากหลกั ฐานทางโบราณคดีในประเทศอินเดียและ ในเอเชียตะวนั ออกเฉี ยงใต้ นาไปสู่ข้อสรปุ ว่าการติดต่อแลกเปลี่ยน สินค้ากนั ระหว่างโลกตะวนั ออกและโลกตะวนั ตกนัน้ เพ่ิงเริ่มปรากฏขึ้น ในสมยั ราชวงศโ์ มริยะปกครองอินเดียภาคเหนือ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๓ – ๔) โดยเร่ิมจำกพระเจ้ำจันทรคุปต์โมรยิ ะ ปฐมกษัตรยิ ์แห่งรำชวงศ์ โมรยิ ะ ไดส้ รำ้ งเสน้ ทำงคำ้ ตดิ ต่อกนั ทวั ่ รำชอำณำจกั รในอนิ เดียภำคเหนือและมี เสน้ ทำงหลวงจำกเมอื งปำฏลีบุตร เมืองหลวงของอำณำจกั ร ซ่ึงอยู่ทำงภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของอนิ เดยี ไปยงั ภำคตะวนั ตกเฉียงเหนือถงึ เมอื งตกั ษลิ ำ (เมืองอุปรำชและศูนย์กลำงกำรติดต่อค้ำขำยกบั โลกตะวนั ตก) ดงั นัน้ สินค้ำ ต่ำงชำติจำกโลกตะวนั ตกแถบเมดเิ ตอรเ์ รเนียนจำกอำณำจกั รกรกี อำณำจกั ร โรมนั และอำณำจกั รเปอรเ์ ซียท่ีหลงั ่ ไหลเขำ้ มำท่ีเมอื งตกั ษิลำ ก็สำมำรถขน ถ่ำยตำมเสน้ ทำงกำรคำ้ ทวั ่ รำชอำณำจกั ร โดยเฉพำะเสน้ ทำงหลวงจำกเมอื ง ตกั ษลิ ำมำถงึ เมอื งปำฏลบี ุตรไดโ้ ดยสะดวก และจำกเมอื งปำฏลบี ุตรกส็ ่งไปยงั เมอื งท่ำปำกแม่น้ำคงคำคอื เมืองตำมรลปิ ติ (ตมั ลุก) จำกเมอื งตำมรลปิ ติเรอื สำมำรถแล่นข้ำมอ่ำวเบงกอลมำข้ึนบกท่ีเมืองท่ำทำงฝั ง่ ตะวันตกของ คำบสมทุ รภำคใตข้ องไทยและคำบสมทุ รมลำยู นอกจำกเมอื งตำมรลปิ ตแิ ล้วยงั มเี มอื งท่ำอกี หลำยเมอื งท่รี ่งุ เรอื งข้นึ จำกกำรคำ้ ขำยระหวำ่ งอนิ เดยี กบั โลกตะวนั ตกและโลกตะวนั ออก เมอื งทำ่ ทำง ฝัง่ ตะวนั ตกทส่ี ำคญั มเี มอื งศูรปำรกะ (โสปะระ) ภรกุ จั ฉะ (หรอื บำรกิ ำซำ) จำก เมืองท่ำดังกล่ำวสำมำรถแล่นเรือข้ำมมำระหว่ำงหมู่เกำะอันดำมันและ นิโคบำรไ์ ปขน้ึ บกท่ตี ะกวั ่ ป่ ำหรอื ตรงั (รวมคลองท่อม จงั หวดั กระบ่)ี แลว้ ขำ้ ม [๑๔๕]

ไปยงั ฝัง่ ตะวนั ออกไดห้ ลำยเสน้ ทำง (หรอื จำกไทรบุรไี ปสงขลำ) หรอื แล่นผ่ำน ชอ่ งแคบมะละกำและซุนดำไปยงั อำ่ วไทย ต่อมำในช่วงสมยั หลังยุคเหล็กของอินเดียหรือสมัยอินโด-โรมัน (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙) ซ่ึงเป็นช่วงท่ีมกี ำรตดิ ต่อค้ำขำยกบั อำณำจกั รโรมนั อยำ่ งเป็นล่ำเป็นสนั รวมทงั้ มกี ำรตงั้ ถนิ่ ฐำนของชำวโรมนั ในอนิ เดยี ภำคใต้ดว้ ย โดยเฉพำะบรเิ วณเมอื งท่ำทงั้ ฝัง่ ตะวนั ตก (ศูรปำรกะ ภรกุ จั ฉะ มฉุ ิร)ิ และดำ้ น ฝัง่ ตะวนั ออก (อรกิ เมฑุและกำเวรปิ ัฏฏนิ มั ) จำกเมอื งท่ำดงั กล่ำวพอ่ คำ้ อนิ เดยี (อำจรวมทงั้ พ่อค้ำโรมนั และพ่อค้ำชำวศกะ) สำมำรถแล่นเรอื เลียบชำยฝัง่ ไป คำ้ ขำยยงั ดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ได้ หลกั ฐานทางวรรณกรรม ช่อื เรยี กดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตท้ ค่ี อ่ นขำ้ งแน่นอนปรำกฏใน มหำกำพย์รำมำยณะ (บนั ทึกเร่อื งรำวช่วง ๓๐๐ ปีก่อน ค.ศ. และต่อเติมใน ค.ศ. ๒๐๐) ในช่ือว่ำ “สุวรรณทวีป” หมำยถึง คาบสมุทรทองคา หรือ “สุวรรณภูมิ” ซ่ึงหมำยถึง ดินแดนแห่งทอง โดยกล่ำวว่ำพ่อค้ำอินเดีย เดนิ ทำงมำติดต่อคำ้ ขำยกบั กลุ่มประเทศทำงตะวนั ออกตงั้ แต่พุทธกำล คมั ภีร์ ปุรำณะ (ฉบับปัจจุบันมีอำยุอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี ๓ – ๕) กล่ำวถึง นักเดินเรือชำวอินเดียท่ีเดินทำงไปยงั ชำยฝัง่ ของดินแดนเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ และกล่ำววำ่ พอ่ คำ้ ชำวอนิ โดนีเซยี ไปแวะชำยฝัง่ ทะเลของอนิ เดยี ดว้ ย วรรณกรรมทำงพุทธศำสนำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งชำดกและมิลินท ปัญหำและมหำนิเทศ (คัมภีร์พุทธศำสนำภำษำบำลี ซ่ึงมีอำยุอยู่ในรำว ครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๓) และนิยำยของศำสนำเซนมกั จะกล่ำวถงึ พวกพ่อคำ้ ทช่ี อบ แล่นเรือไปค้ำขำยทำงทิศตะวนั ออกซ่ึงรู้จกั กนั ในนำมว่ำ “สุวรรณภูมิ หรือ สุวรรณทวีป” ซ่ึงเป็ นดินแดนแห่งทองนัน่ คือดินแดนท่ีมัง่ คงั ่ มำก ถ้ำผู้ใด ต้ อ ง ก ำร แ ส ว ง โช ค แ ล ะ ค ว ำ ม ร่ ำ รว ย จ ะ ต้ อ ง เดิน ท ำ ง ไป ยัง ดิน แ ด น แ ห่ ง น้ี ชำดกต่ำงๆ เป็นตน้ วำ่ [๑๔๖]

มหำชนกชำดก ได้กล่ำวถึงพ่อค้ำอินเดียเดินทำงมำค้ำขำยเพ่ือ แสวงหำควำมร่ำรวยทำงดินแดนสุวรรณภูมิ โดยพ่อค้ำเหล่ำน้ีจะเดินทำง ออกจำกเมอื งท่ำต่ำงๆ ทำงฝัง่ ตะวนั ตกของอนิ เดยี เช่น เมอื งภรุกจั ฉะ เมอื ง ศูรปำรกะ เมอื งมุฉิริ และยงั กล่ำวถงึ เมอื งท่ำทำงตะวนั ออกเฉียงเหนือคอื เมอื ง ตำมรลิปติ นอกจำกน้ีชำดก มลิ ินทปัญหำ มหำนิเทศ ยงั ได้กล่ำวถึงบรเิ วณ สำคญั ๆ ในดินแดนของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เป็ นต้นว่ำ กฏาหทวีป (Katahadvipa) การปูรทวีป (Karpurdvipa) ตามพรลิ งค์ (Tambralinga) ตักโกละ (Takkola) นาลิเกลทวีป (Nalikeladvipa) ว่ำเป็นดินแดนท่ีพ่อค้ำ อินเดียเดินทำงไปค้ำขำย และนักวิชำกำรต่ำงๆ ได้ตงั้ ข้อสนั นิษฐำนไว้ว่ำ กฏาหทวีป คอื รฐั เคดะห์ (ไทรบุร)ี กรรปูรทวีป คอื ดนิ แดนแห่งกำรบูรซง่ึ คง เป็นเกำะบอรเ์ นียว สว่ น นาลิเกลทวีป หมำยถงึ เกำะมะพรำ้ วซ่งึ คงเป็นเกำะ นิโคบำร์ และ ตกั โกกะ คอื ดนิ แดนแห่งกระวำนอำจอย่บู รเิ วณจงั หวดั ตรงั หรอื พงั งำ ส่วนตามพรลิงค์ คอื ดนิ แดนบรเิ วณไชยำ เวยี งสระ อ่ำนบำ้ นดอน และ นครศรธี รรมรำช คมั ภรี ม์ หำวงศข์ องลงั กำ (เขยี นขน้ึ ในรำว ค.ศ. ๕๐๐) อำ้ งองิ มำจำก คัมภีร์อรรถกถำมหำวงศ์ (ซ่ึงสูญ หำยไปแล้ว) ได้กล่ำวไว้ว่ำในช่วง พทุ ธศตวรรษท่ี ๓ นัน้ พระเจำ้ อโศกมหำรำชแห่งรำชวงศ์โมรยิ ะไดส้ ่งสมณทูต ๒ องค์ คือเถระอุตตรและเถระโสณะมำยงั ดินแดนสุวรรณภูมิเพ่ือเผยแพร่ พทุ ธศำสนำ หลกั ฐานทางโบราณคดี ควำมสมั พนั ธท์ ำงวฒั นธรรมระหวำ่ งประชำกรในประเทศอนิ เดยี และ ประชำกรในดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เริ่มปรำกฏตัง้ แต่สมัยก่อน ประวตั ศิ ำสตรใ์ นชว่ ง ๔,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ ซง่ึ เป็นชว่ งวฒั นธรรมหนิ ใหม่ หรือช่วงสังคมเกษตรกรรมอันเป็ นช่วงท่ีชุมชนมีกำรดำรงชีพด้วยกำร เพำะปลูกเล้ียงสัตว์ ใช้ขวำนหินขดั เป็ นเคร่อื งมือเคร่อื งใช้ รู้จกั ทำภำชนะ [๑๔๗]

ดนิ เผำข้นึ เอง ขวำนหินขดั ท่ีทำข้นึ ใช้ในช่วงน้ีจะมีรูปแบบเป็นขวำนหินรูป สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ และขวำนหนิ มบี ำ่ อำจกลำ่ วไดว้ ำ่ กลมุ่ ชนในยคุ หนิ ใหมน่ ้ีมกี ำรกระจำยตวั อยใู่ นประเทศ อนิ เดยี จนี และกลุ่มประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ได้มผี ู้ทำกำรศึกษำ ค้นคว้ำเร่ืองกำรแพร่กระจำยของขวำนหินทัง้ สองแบบ แล้วสรุปว่ำเผ่ำ มองโกลอยดพ์ วกหน่ึงทพ่ี ูดภำษำกลุ่มออสโตร-เอเชยี ตคิ ซง่ึ เป็นกลุ่มภำษำใน ทวีปเอเชียกลุ่มหน่ึงได้แก่ ภำษำญวน ภำษำมอญ-เขมร และภำษำมุณฑะ (ภำษำหน่ึงในอินเดยี ) ใช้ขวำนหนิ มบี ่ำและส่วนใหญ่จะอยบู่ นผนื แผน่ ดนิ ใหญ่ สว่ นเผำ่ มองโกลอยดอ์ กี กลุ่มหน่ึงทพ่ี ดู ภำษำออสโตรนิเชยี น ซง่ึ เป็นกลุ่มภำษำ อกี กลุ่มหน่ึงในทวปี เอเชยี คนกลุ่มน้ีส่วนมำกอยู่ตำมเกำะ เช่น ชนบำงเผ่ำท่ี พูดภำษำอนิ โดนีเซยี และท่อี ยู่ในแผ่นดนิ ใหญ่ได้แก่พวกจำม คนกลุ่มน้ีจะใช้ ขวำนหนิ ขดั ดำ้ นตดั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ กำรแพร่กระจำยของขวำนหนิ ขดั ทงั้ สองแบบแสดงถึงกำรติดต่อกนั ทำงบกระหว่ำงประชำกรในอินเดยี และในดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ส่วนกำรติดต่อกนั ทำงน้ำหรือทำงทะเลระหว่ำงชำวอินเดียและประชำกรใน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตย้ งั ไมป่ รำกฏหลกั ฐำนในช่วงน้ี กล่ำวไดว้ ่ำประชำกรใน ดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละในประเทศอนิ เดยี สมยั ก่อนอำรยนั (ก่อน ๑๐๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) นัน้ มพี ้นื ฐำนทำงวฒั นธรรมร่วมกนั ทำงด้ำนวตั ถุได้แก่ กำรทำนำโดยกำรทดน้ำ กำรเล้ยี งววั และควำย ควำมรู้เบอ้ื งต้นเก่ยี วกบั โลหะ และควำมชำนำญในกำรเดนิ เรอื (โดยเฉพำะชำวอนิ โดนีเซีย และชำวมลำยู) ทำงด้ำนสังคมได้แก่ ควำมสำคัญของสตรี และกำรสืบเช้ือสำยทำงสตรี กำรปกครองเป็นหมวดหมู่อนั เกดิ จำกกำรเพำะปลูกโดยใช้กำรทดน้ำ ทำงดำ้ น ศำสนำได้แก่ กำรนับถือผี กำรเคำรพบูชำบรรพบุรุษ และเจ้ำแห่งแผ่นดิน กำรสรำ้ งศำสนสถำนขน้ึ บนทส่ี งู กำรฝังศพในไหหนิ หรอื อนุสำวรยี ห์ นิ อยำ่ งไรกต็ ำม กำรตดิ ต่อแลกเปลย่ี นสนิ คำ้ โดยใชเ้ สน้ ทำงทงั้ ทำงบก และทำงทะเล ระหว่ำงประชำกรในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้เรมิ่ ปรำกฏตงั้ แต่ ช่วงสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ตอนปลำย (ยุคโลหะ) ในรำว ๒๕๐๐ ปีมำแล้ว [๑๔๘]

ดงั ได้พบกำรแพร่กระจำยของกลองมโหระทึกแบบเฮเกอร์ ของวฒั นธรรม ดองซอน (Dongson) วัฒ นธรรมยุคโลหะซ่ึงเจริญ ข้ึนในมณ ฑลธัญ หัว ในเวยี ดนำมตอนเหนือ และจนี ตอนใต้ (ยนู นำน) ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑ – ๗ (หรอื ๕๐๐ ปีก่อน ค.ศ. ถงึ ๕.ศ. ๑๐๐) ในบรเิ วณผนื แผน่ ดนิ ใหญ่และหมเู่ กำะ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยพบมำกในมำเลเซยี และหมเู่ กำะซุนดำ สำหรบั ประเทศไทยพบในภำคเหนือ (อตุ รดติ ถ)์ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (นครพนม มุกดำหำร กำฬสินธุ์ อุบลรำชธำนี) ในภำคกลำง (กำญจนบุรี รำชบุรี และ ตรำด) ในภำคใต้ (ชุมพร สรุ ำษฎรธ์ ำนี นครศรธี รรมรำช และสงขลำ เป็นตน้ ) ภำพท่ี ๓ กลองมโหระทกึ สำรดิ จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ ไชยำ นอกจำกกลองมโหระทึกในวฒั นธรรมดองซอนแล้ว ยงั ได้พบกำร แพรก่ ระจำยของตุ้มหูทท่ี ำดว้ ยหนิ สเี ขยี ว ๒ แบบ คอื ตุ้มหรู ูปสตั ว์ ๒ หวั และ ตุม้ หูรูปวงกลมมดี อกไม้ตูมย่นื ออกมำ ๓ ตุ้ม ซ่งึ จดั อยู่ในกลุ่มเคร่อื งประดบั ท่ี เรียกว่ำ ลิง-ลิง-โอ (ling-ling-O) ซ่ึงเป็นเคร่ืองประดบั ในวฒั นธรรมซำหวิ่น [๑๔๙]

(Sa Huynh) (อนั เป็นวฒั นธรรมยุคโลหะทเ่ี จรญิ รงุ่ เรอื งขน้ึ ในช่วงพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑ – ๕ (หรอื ๕๐๐ – ๑๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) ในบรเิ วณมณฑลกวงหนำ-ดำนัง และมณฑลกวงงำย ในภำคกลำงของเวยี ดนำม ในแหล่งโบรำณคดสี มยั ก่อน ประวตั ศิ ำสตร์ตอนปลำยในประเทศไทย โดยพบในภำคใต้ท่แี หล่งโบรำณคดี เขำสำมแก้ว (ชุมพร) และในภำคตะวนั ตกท่อี ู่ทอง (สุพรรณบุร)ี และบ้ำนดอน ตำเพชร (กำญจนบุร)ี และในประเทศฟิลปิ ปินส์ ทถ่ี ้ำดยู อง และถ้ำตำบอน และ ในมำเลเซียท่ีถ้ำนีอำห์ ซ่ึงท่ีถ้ำตำบอนได้รบั กำรกำหนดอำยุให้อยู่ในยุค หนิ ใหมต่ อนปลำยตอ่ ยคุ โลหะ (๘๙๐ – ๒๐๐ ปีกอ่ น ค.ศ.) ภำพท่ี ๔ ตุม้ หรู ปู สตั วส์ องหวั พบจำกกำรขดุ คน้ ทบ่ี ำ้ นดอนตำเพชร อำเภอพนมพทวน จงั หวดั กำญจนบรุ ี กำรแพร่กระจำยของสินค้ำสำคญั ของทัง้ สองวฒั นธรรมบนผืน แผ่นดินใหญ่ และในหมู่เกำะนั้น เป็ นเคร่ืองยืนยันว่ำในช่ วงสมัยก่อน ประวตั ิศำสตรต์ อนปลำยประชำกรในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้มกี ำรติตดต่อ แลกเปล่ียนสินค้ำกนั โดยใช้เส้นทำงทงั้ ทำงบกและทำงทะเล ซ่ึงถ้ำเป็นทำง ทะเลคงเป็นกำรเดนิ เรอื เลยี บไปตำมชำยฝัง่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ร่อ ง ร อ ย ก ำ ร ติ ด ต่ อ แ ล ก เป ล่ี ย น สิน ค้ ำ ร ะ ห ว่ ำ ง ช ำ ว อิ น เดีย แ ล ะ ประชำกรในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เรม่ิ ปรำกฏหลกั ฐำนในแหล่งโบรำณคดี [๑๕๐]