Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Description: หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Search

Read the Text Version

เป็นพรำหมณ์เต้ีย เช่น ภำพเล่ำเร่อื งนำรำยณ์ย่ำงสำมขุม ท่ีเก่ียวกบั ตอน รำมำวตำร หรอื กำรอวตำรลงมำเป็นพระรำม ได้แก่ ภำพเล่ำเร่อื งรำมเกยี รติ ์ ตอนตำ่ งๆ พบมำกทป่ี รำสำทหนิ พมิ ำย จงั หวดั นครรำชสมี ำ และท่ปี รำสำทหนิ พนมรุ้ง จงั หวดั บุรรี มั ย์ เช่น ภำพเล่ำเร่อื งทศกณั ฑล์ กั นำงสดี ำ ภำพเล่ำเร่ือง พระลกั ษมณ์พระรำมถกู ศรนำคบำศ ภำพเล่ำเร่อื งตอนศกึ กุมภกรรณ เป็นตน้ ภำพท่ี ๑๕ ทบั หลงั สลกั ภำพนำรำยณ์ย่ำงสำมขมุ ปรำสำทเมอื งแขก อำเภอสงู เนิน จงั หวดั นครรำชสมี ำ ประติมากรรมเนื่องในศาสนาพุทธท่ีทาเป็ นรปู เคารพ ได้แก่ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ศรีอำริยเมตไตรย นำงปรชั ญำปำรมติ ำ นำงตำรำ พระวชั รสตั ว์ พระวชั รธร เหวชั ร เป็นตน้ ประติ มากรรมภาพสลักเล่าเรื่องในพุทธศาสนาท่ี พบใน ประเทศไทย ภำพเล่ำเร่อื งในพุทธศำสนำเป็นเร่อื งท่เี ก่ยี วกบั ลทั ธมิ หำยำนทงั้ ส้นิ และพบมำกทส่ี ุดทป่ี รำสำทหนิ พมิ ำย ท่สี ำคญั ไดแ้ ก่ ภำพเล่ำเร่อื งพุทธประวตั ิ ตอนมำรวชิ ยั ภำพเล่ำเร่อื งน้ีถอื เป็นภำพเล่ำเร่อื งพุทธประวตั ิตอนมำรวชิ ยั ท่ี เกิดข้นึ เป็นครงั้ แรกในศิลปะเขมร ภำพเล่ำเร่อื งพระโพธิสตั ว์ไตรโลกยวิชัย และมภี ำพเล่ำเร่อื งท่ีเหลอื อยู่อกี มำกมำยท่เี รำไม่อำจบอกได้ว่ำเป็นภำพเล่ำ เร่อื งเก่ยี วกบั พุทธประวตั หิ รือเร่อื งรำวในพุทธศำสนำเร่อื งใด แต่รำยละเอยี ดท่ี มที ำใหท้ รำบแต่เพยี งวำ่ คงจะเป็นภำพเลำ่ เรอ่ื งในพทุ ธศำสนำลทั ธมิ หำยำน [๒๕๑]

ภำพท่ี ๑๖ ทบั หลงั สลกั ภำพเทพในพทุ ธศำสนำมหำยำน ปรำสำทหนิ พมิ ำย นอกจำกน้ียงั ไดพ้ บพระพมิ พ์ มที งั้ ท่หี ลอ่ จำกสำรดิ และดนิ เผำ เป็นท่ี สงั เกตวำ่ มกี ำรคน้ พบไทยมำกกวำ่ ในประเทศกมั พชู ำ มรี ูปแบบทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ควำมหลำกหลำยของนิกำยต่ำงๆ ในศำสนำพทุ ธลทั ธมิ หำยำนดว้ ย ประติ มากรรมท่ีสร้างขึ้นในศาสนาที่เป็ นเคร่ืองใช้สอยใน พิธีกรรม ท่ีพบส่วนใหญ่ทำมำจำกสำรดิ ได้แก่ เคร่อื งประกอบรำชรถ สงั ข์ พำน เชงิ เทยี น บำตรน้ำมนตร์ ดำ้ นกระดงิ่ มยี อดตรศี ูล ขนั ฐำนคนั ฉ่อง ฐำน ตำ่ งๆ นอกจำกน้ียงั มกี ำรคน้ พบเคร่อื งประดบั ท่ที ำจำกทองและสำรดิ ดว้ ย ประติ มากรรมเคร่ืองใช้สอยในชีวิตประจาวัน ท่ีสำคัญคือ เคร่อื งปัน้ ดนิ เผำ มกี ำรคน้ พบภำชนะดนิ เผำสมยั ลพบุรแี ละแหลง่ ผลติ แหง่ ใหญ่ ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือในบรเิ วณจงั หวดั บุรรี มั ยแ์ ละจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ทำให้ เรำทรำบว่ำ กำรผลติ ภำชนะดนิ เผำในสมยั น้ีมขี บวนกำรผลติ ทม่ี เี ทคโนโลยีท่ี ก้ำวหน้ำ เพรำะมกี ำรสร้ำงเตำเผำผลิตภำชนะดินเผำท่ีมีคุณภำพดีกว่ำยุค ก่อนๆ มำก ภำชนะดินเผำท่ีผลิตข้นึ ในสมยั น้ีจะมีเน้ือแกร่งทนทำน มีกำร เคลือบผิวด้วยเคลือบอย่ำงสวยงำม มีทัง้ ขนำดเล็กท่ีเรียนกันว่ำ กระปุก จนกระทงั ่ ขนำดใหญ่ท่เี รยี กวำ่ ไหขอม ภำชนะเหล่ำน้ีมรี ูปแบบอนั หลำกหลำย [๒๕๒]

และท่นี ่ำสนใจยง่ิ คอื ภำชนะขนำดเล็กๆ ท่ที ำเป็นรปู คนและรูปสตั วต์ ่ำงๆ เช่น ชำ้ ง กระต่ำย ปลำ นกฮูก หมี ภำพท่ี ๑๗ เตำเผำภำชนะทอ่ี ำเภอบำ้ นกรวด จงั หวดั บรุ รี มั ย์ ภำพท่ี ๑๘ ภำชนะดนิ เผำรปู สตั วจ์ ำกแหลง่ เตำในภำคอสี ำนตอนใต้ [๒๕๓]

ร่องรอยหลกั ฐานการตงั้ ถ่ินฐานและการพฒั นาแหล่งน้า จำกกำรศึกษำร่องรอยชุมชนโบรำณท่ีเจรญิ ข้นึ ในวฒั นธรรมเขมร หรอื ท่ีเรียกว่ำชุมชนโบรำณสมยั ลพบุรี พบว่ำชุมชนเหล่ำน้ีมกั จะตงั้ อยู่ไม่ ห่ำงไกลจำกลำน้ำธรรมชำติ และมีกำรจดั กำรแหล่งน้ำเป็นระบบท่ีเรียกว่ำ ระบบชลประทำนท่คี ่อนขำ้ งดพี อสมควรแล้ว ร่องรอยของชุมชนโบรำณหลำย แห่งแสดงให้เห็นว่ำมีพัฒนำกำรในเร่ืองกำรจัดกำรแหล่งน้ ำท่ีดีกว่ำยุค สมยั ก่อนๆ มำก เพรำะมกี ำรสรำ้ งอ่ำงเก็บน้ำขนำดใหญ่เพ่อื เกบ็ กกั น้ำไว้ และ มกี ำรสรำ้ งคนั ทำนบและคูคลองเพ่อื จำ่ ยน้ำไปยงั บรเิ วณพน้ื ทท่ี ่ที ำกสกิ รรมได้ กำรพฒั นำแหล่งน้ำดงั กล่ำวได้รบั แบบอย่ำงมำจำกกำรจดั กำรแหล่งน้ำตำม แบบเขมรโบรำณในรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ กำรตงั้ ถิ่นฐำนของชุมชนโบรำณในวฒั นธรรมเขมรแบ่งออกตำม ลกั ษณะออกไดเ้ ป็น ๒ แบบคอื ชุมชนท่ีมีคนู ้าคนั ดินล้อมรอบ มกี ำรวำงผงั เมอื งใหม้ รี ูปทรงเป็นสเ่ี หล่ยี มผนื ผำ้ หนั ทศิ ทำงไปตำม แนวแกนทิศหลกั มีกำรสร้ำงกำแพงเมือง ประตูเมือง สร้ำงศำสนสถำนข้ึน ภำยในเมอื ง และมกี ำรขุดสระน้ำขน้ึ ภำยในเมอื ง รวมทงั้ มกี ำรสรำ้ งอ่ำงเก็บน้ำ หรอื บำรำยอยนู่ อกเมอื งดว้ ย เช่น ทเ่ี มอื งพมิ ำย จงั หวดั นครรำชสมี ำ บำงแห่งกม็ กี ำรตงั้ ถน่ิ ฐำนสบื ต่ออยู่ในชุมชนทม่ี คี ูน้ำคนั ดนิ ลอ้ มรอบ ท่ีมีรูปร่ำงไม่สม่ำเสมอ (ซ่ึงเช่ือกันว่ำเป็ นชุมชนท่ีเจริญข้ึนในวฒั นธรรม ทวำรวดีมำก่อน) แต่มีกำรขยำยพ้ืนท่ีเมืองออกไปโดยกำรสร้ำงคูน้ำคนั ดิน เพมิ่ ขน้ึ เช่น ท่เี มอื งพลบั พลำ อำเภอห้วยแถลง จงั หวดั นครรำชสมี ำ หรอื มี กำรสรำ้ งศำสนสถำนแบบเขมรเพมิ่ เตมิ ขน้ึ ภำยหลงั เช่น ท่เี มอื งเสมำ อำเภอ สงู เนิน จงั หวดั นครรำชสมี ำ เมอื งศรเี ทพ จงั หวดั เพชรบูรณ์ [๒๕๔]

ภำพท่ี ๑๙ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งพมิ ำย จงั หวดั นครรำชสมี ำ [๒๕๕]

ภำพท่ี ๒๐ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งสระโกสนิ ำรำยณ์ อำเภอบำ้ นโป่ง จงั หวดั รำชบรุ ี [๒๕๖]

ภำพท่ี ๒๑ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งเสมำ อำเภอสงู เนนิ จงั หวดั นครรำชสมี ำ ชมุ ชนที่ไม่มคี นู ้าคนั ดินล้อมรอบ ตงั้ ชุมชนอยู่ในบรเิ วณรอบท่รี ำบเชิงเขำ มกี ำรสรำ้ งศำสนสถำนอยู่ บนยอดเขำ มีกำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำบนเขำและท่ีเชิงเขำด้วย เช่น ปรำสำท พนมรงุ้ จงั หวดั บรุ รี มั ย์ หรอื ตงั้ ชุมชนอยใู่ นพน้ื ทร่ี ำบ มกี ำรสรำ้ งศำสนสถำนขน้ึ เป็นศูนยก์ ลำงของชุมชน และมกี ำรสรำ้ งบำรำยขนำดใหญ่ขน้ึ บรเิ วณใกลเ้ คียง ด้วย เช่น ท่ีปรำสำทพนมวนั จงั หวดั นครรำชสีมำ และท่ีปรำสำทเมืองต่ำ จงั หวดั บรุ รี มั ย์ [๒๕๗]

ภำพท่ี ๒๒ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณปรำสำทเมอื งต่ำ อำเภอประโคนชยั จงั หวดั บุรรี มั ย์ เป็นท่ีสงั เกตว่ำกำรตัง้ ถ่ินฐำนหรือกำรสร้ำงบ้ำนเมืองท่ีเจริญข้ึน ภำยใตอ้ ทิ ธพิ ลวฒั นธรรมเขมรโบรำณไมว่ ำ่ จะมคี นู ้ำหรอื ไมค่ นู ้ำลอ้ มรอบมกั จะ มคี ติควำมเช่ือทำงศำสนำเข้ำมำเก่ียวข้องด้วยเสมอ เพรำะพบว่ำบ้ำนเมอื ง โบรำณท่ีเจริญข้ึนในวัฒนธรรมเขมรจะมีกำรสร้ำงปรำสำทหินข้ึนเป็ น ศูนย์กลำงของบ้ำนเมืองเสมอ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรสรำ้ งเมืองสำคญั เช่น เมืองพิมำย มีกำรวำงผังเมืองให้เป็ นรูปส่ีเหล่ียม ใช้แม่น้ำธรรมชำติเป็ น คลู อ้ มรอบตวั เมอื ง มกี ำแพงลอ้ มรอบเมอื ง มกี ำรขดุ สระน้ำขน้ึ ภำยในเมอื งและ นอกเมอื ง มกี ำรสรำ้ งบำรำยใหญ่อยู่หน้ำเมอื ง มกี ำรสรำ้ งศำสนสถำนขน้ึ กลำง เมอื ง กำรสรำ้ งเมอื งดงั กล่ำวแสดงใหเ้ หน็ วำ่ เป็นกำรพยำยำมจำลองจกั รวำลลง บนโลกมนุษย์ ศำสนสถำนกลำงเมอื งทส่ี รำ้ งขน้ึ คอื สญั ลกั ษณ์แห่งเขำพระสุเมรุ [๒๕๘]

ตำมคติควำมเช่อื ทงั้ ศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธท่เี ช่อื ว่ำศูนยก์ ลำงของ จกั รวำลคอื เขำพระสเุ มรุ สำหรบั ชุมชนท่ไี ม่มคี ูน้ำคนั ดนิ ล้อมรอบท่ตี งั้ อยู่ในบรเิ วณท่รี ำบกจ็ ะ มกี ำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำขนำดใหญ่และสร้ำงศำสนสถำนประจำชุมชนข้นึ เช่น ท่ปี รำสำทเมืองต่ำ หรอื ชุมชนท่ีตงั้ อยู่ในบรเิ วณท่ีรำบเชงิ เขำกจ็ ะสร้ำงศำสน สถำนข้ึนบนภูเขำ เช่น ปรำสำทพนมรุ้ง ในจงั หวดั บุรรี มั ย์ มีกำรสร้ำงอ่ำง เกบ็ น้ำทงั้ บนภูเขำและเชงิ เขำ สง่ิ ก่อสรำ้ งตำ่ งๆ ท่มี อี ยู่ในชุมชนสะทอ้ นใหเ้ หน็ วำ่ กำรตงั้ ชุมชนนนั้ มคี วำมเกย่ี วพนั กบั คตคิ วำมเช่อื ทำงศำสนำดว้ ย ภำพท่ี ๒๓ อ่ำงเกบ็ น้ำหนองบวั รำย (บำรำย) เชงิ เขำพนมรุง้ กำรพฒั นำแหล่งน้ำท่เี ป็นระบบด้วยกำรสรำ้ งอ่ำงเก็บน้ำขนำดใหญ่ สรำ้ งทำนบคนั ดนิ และคลองสง่ น้ำจำกบำรำยไปยงั พน้ื ทท่ี ำกำรเพำะปลกู ทำให้ สำมำรถขยำยชุมชนลงมำตงั้ ถนิ่ ฐำนอยู่ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือมำกข้นึ โดยมกี ำรสำรวจพบรอ่ งรอยของชุมชนสมยั ลพบรุ จี ำนวนมำกอยใู่ นบรเิ วณแถบ อสี ำนล่ำง [๒๕๙]

จ า ก ร่ อ ง ร อ ย ห ลัก ฐ า น ดั ง ก ล่ า ว ข้ า ง ต้ น ตั้ง แ ต่ จ า รึ ก สถาปัตยกรรม ประติ มากรรม รวมทัง้ ร่องรอยการตัง้ ถิ่นฐานและ การจัดการเรื่องน้า ทาให้เราสันนิ ษฐานถึงเรื่องราวของบ้านเมือง โบราณในประเทศไทยท่ีเจริญขึ้นในช่วงระยะเวลาท่ีอารยธรรมเขมร แพรห่ ลายเข้ามา ได้ดงั นี้ ชีวิตความเป็นอย่ขู องประชาชน อำชพี ท่ีสำคญั ของผูค้ นโบรำณในสมยั น้ี คอื กำรเกษตรกรรม มกี ำร ปลูกข้ำว เล้ียงสัตว์ เช่นเดียวกับสมัยก่อนท่ีวัฒ นธรรมเขมรโบรำณจะ แพร่หลำยเขำ้ มำ แต่คงจะมพี ฒั นำกำรท่กี ำ้ วหน้ำมำกขน้ึ กว่ำแต่ก่อน กำรปลูก ข้ำวคงจะเป็นกำรทำแบบนำดำเพรำะมีกำรจดั กำรเร่อื งน้ำหรอื กำรจดั ระบบ ชลประทำนทด่ี กี วำ่ แตก่ อ่ นมำก มกี ำรสรำ้ งอ่ำงเกบ็ น้ำขนำดใหญ่ขน้ึ หลกั ฐำนสำคญั ทแ่ี สดงว่ำกำรปลูกขำ้ วนนั้ เป็นอำชพี สำคญั อยำ่ งหน่ึง ของชุมชน คือในจำรึกเขมรโบรำณหลำยหลกั ท่ีพบในประเทศไทย มกั จะมี ข้อควำมท่ีกล่ำวถึงกำรอุทิศผลผลิตท่ีได้จำกกำรทำนำ คือข้ำวสำรและ ขำ้ วเปลอื กใหแ้ ก่ศำสนสถำนรวมอยดู่ ว้ ยเสมอๆ นอกจำกกำรปลูกขำ้ วแล้วผคู้ นโบรำณในยคุ น้ีคงมอี ำชพี อ่นื ท่สี ำคญั อีกอย่ำงหน่ึงคอื กำรทำเคร่อื งปั้นดินเผำ เพรำะมกี ำรค้นพบแหล่งเตำผลิต เคร่อื งถ้วยเขมรเป็ นจำนวนมำกในเขตอำเภอบ้ำนกรวดและละหำนทรำย จังหวัดบุรีรัมย์ และมีวิธีกำรผลิตเคร่ืองปั้นดิน เผำท่ีก้ำวหน้ำมำกกว่ำ สมยั ก่อนๆ มำก การนับถือศาสนา ศำสนำพรำหมณ์หรอื ฮินดูในลทั ธิไศวนิกำยและในลทั ธิไวษณพ นิกำย รวมทงั้ ศำสนำพทุ ธลทั ธมิ หำยำนทน่ี บั ถอื กนั อยใู่ นรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ โบรำณไดแ้ พร่หลำยเขำ้ มำและเจรญิ ขน้ึ อยำ่ งมำกมำยในชุมชนโบรำณทต่ี งั้ อยู่ บนดนิ แดนท่ีเป็นประเทศไทยปัจจุบนั โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ ในชุมชนโบรำณท่ี [๒๖๐]

ตงั้ อยู่ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภำคตะวนั ออก และภำคกลำง หลกั ฐำนท่ี พบได้แก่บรรดำโบรำณสถำนท่ีเรยี นกว่ำปรำสำทหินและประติมำกรรมรูป เคำรพดงั ไดก้ ล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ นอกจำกน้ีคงมีกำรยอมรบั เอำลทั ธิศำสนำท่ีสำคัญจำกอำณำจกั ร กัมพูชำท่ีเรยี กว่ำ ลัทธิเทวรำชำ (คือลัทธิบูชำเทวดำผู้คุ้มครองบ้ำนเมือง คมุ้ ครองรำชย์บลั ลงั ก์) เขำ้ มำด้วย จงึ มกี ำรสรำ้ งปรำสำทหนิ ข้นึ ในชุมชนเพ่อื ใชเ้ ป็นทป่ี ระดษิ ฐำนรปู เคำรพของเทวดำผคู้ มุ้ ครองเมอื งไทยดว้ ย ภำพท่ี ๒๔ เศยี รพระโพธสิ ตั ว์ ศลิ ปะเขมรแบบกำพงพระ สำรดิ สงู ๖๖ เซนตเิ มตร พบทบ่ี ำ้ นโตนด อำเภอโนนสงู จงั หวดั นครรำชสมี ำ [๒๖๑]

การเมืองและการปกครอง การเมือง ในช่วงระยะเวลำท่ีอำรยธรรมเขมรจำกรำชอำณำจกั ร กัมพูชำแพร่หลำยเข้ำมำในดินแดนท่ีเป็ นประเทศไทยปัจจุบันรำวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๘ เรำคงปฏเิ สธไมไ่ ดว้ ำ่ มกี ำรขยำยอำนำจทำงกำรเมอื งของ รำชอำณำจกั รเข้ำมำด้วย เพรำะมีกำรค้นพบจำรกึ ของกษตั รยิ ์เขมรโบรำณ จำนวนมำกในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภำคตะวนั ออกและภำคกลำงของไทย แต่อำนำจทำงกำรเมอื งจะแผ่เข้ำมำในช่วงท่อี ำณำจกั รกมั พูชำเจรญิ รุ่งเรอื งมี ผนู้ ำท่เี ขม้ แขง็ แต่หำกกษตั รยิ อ์ ่อนแอเกิดปัญหำบำ้ นเมอื งภำยใน อำนำจทำง กำรเมอื งท่เี คยแผข่ ยำยเขำ้ มำถงึ บำ้ นเมอื งบนแผ่นดนิ ไทยกค็ งถดถอยออกไป บ้ำนเมืองและแว่นแคว้นท้องถ่ินท่ีตั้งอยู่บนแผ่นดินไทยคงจะเป็ นอิสระ เพรำะกำรมีกำรค้นพบจำรึกหลำยหลักท่ีกล่ำวถึงแว่นแคว้นและกษัตริย์ พน้ื เมอื งทไ่ี มเ่ คยรจู้ กั กนั ในจำรกึ เขมรเลย จากร่องรอยหลกั ฐานต่างๆ ทงั้ ท่ีปรากฏในประเทศไทยและใน ราชอาณาจกั รกมั พูชายงั อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงเวลาท่ีอารยธรรมเขมร แพร่หลายเข้ามาในดินแดนที่เป็ นประเทศไทยปัจจบุ นั นัน้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ งราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ มีศูนย์กลางแห่งอานาจทาง การเมืองท่ีสาคญั อยู่ ๒ แห่งคือที่เมืองละโว้ (ลพบุรีในปัจจุบนั ) และที่ เมอื งพิมาย (เขตอาเภอพิมาย จงั หวดั นครราชสีมาในปัจจบุ นั ) อยำ่ งไรกด็ ี มแี นวคดิ ท่ขี ดั แยง้ กนั เก่ยี วกบั เร่อื งอำนำจทำงกำรเมอื ง เขมรบนดินแดนไทยด้วย โดยเฉพำะอย่ำงยงิ่ ในส่วนท่ีเก่ียวกับอำนำจทำง กำรเมืองในสมยั พระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ นักวชิ ำกำรมีควำมเห็นท่ีแตกต่ำงกนั ออกเป็นสองแนวคดิ คอื แนวคิดแรก เช่อื ว่ำ ในสมยั ของพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ อำนำจทำง กำรเมอื งของอำณำจกั รกมั พูชำโบรำณได้แผ่ขยำยเข้ำมำถึงดินแดนแถบลุ่ม แม่น้ำเจำ้ พระยำดว้ ย เพรำะเช่อื วำ่ เมอื งลโวทยปุระ สวุ รรณปุระ ศมั พกู ะปัฏนะ ชยั รำชปุรี ศรชี ยั สงิ หปรุ ี ศรชี ยั วชั รปรุ ี ทป่ี รำกฏอยใู่ นจำรกึ ปรำสำทพระขรรคท์ ่ี พบทเ่ี มอื งพระนครนนั้ คอื เมอื งซ่งึ ตงั้ อย่ใู นบรเิ วณภำคกลำงและภำคตะวนั ตก [๒๖๒]

ของไทย ได้แก่ ลพบุรี สุพรรณบุรี รำชบุรี ปรำสำทเมืองสิงห์ท่ีกำญจนบุรี และเพชรบุรี เน่ืองจำกมีกำรค้นพบร่องรอยหลักฐำนทัง้ โบรำณสถำนและ โบรำณวตั ถุสำคญั สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ อยตู่ ำมเมอื งต่ำงๆ เหลำ่ น้ีแนวคดิ น้ีไดร้ บั กำรยอมรบั มำกจำกนกั วชิ ำกำรทงั้ ทเ่ี ป็นชำวไทยและชำวต่ำงประเทศ ภำพท่ี ๒๕ พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวรเปล่งรศั มี ศลิ ปะเขมรแบบบำยน พบทป่ี รำสำทเมอื งสงิ ห์ จงั หวดั กำญจนบุรี [๒๖๓]

แนวคิดที่สอง มีควำมเห็นขดั แย้งกบั กลุ่มแรก โดยเช่ือว่ำบรรดำ เมอื งต่ำงๆ ในภำคกลำงท่กี ล่ำวถงึ นนั้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลทำงวฒั นธรรมเขมรในสมยั พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ โดยมิได้มีอำนำจทำงกำรเมืองเข้ำมำเก่ียวข้องแต่ อยำ่ งใด เมอื งต่ำงๆ เหลำ่ น้ีปกครองตนเองเป็นอสิ ระ มรี ำชวงศป์ กครองตนเอง สบื เน่ืองกนั มำ สำหรบั เร่อื งกำรปกครองบ้ำนเมอื งนัน้ หลกั ฐำนท่ไี ดจ้ ำกจำรกึ แสดง ให้เห็นว่ำบ้ำนเมืองโบรำณท่ีเจริญข้ึนภำยใต้อำรย ธรรมเขมรโบรำณท่ี แพร่หลำยเขำ้ มำคงจะมกี ษตั รยิ ท์ อ้ งถน่ิ ปกครอง และคงจะไดร้ บั กำรยกยอ่ งดุจ ดงั เทวะ เพรำะเช่อื ว่ำกษตั รยิ เ์ ป็นอวตำรของเทพเจำ้ เช่นเดยี วกบั กษตั รยิ ์แห่ง รำชอำณำจกั รกมั พชู ำ [๒๖๔]

ภำพท่ี ๒๔ แสดงตำแหน่งของชมุ ชนและเมอื งโบรำณสมยั ลพบรุ ี (ซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมเขมรโบรำณ) [๒๖๕]

[๒๖๖]

ประวตั ิศาสตรร์ าชอาณาจกั รกมั พชู าโบราณโดยสงั เขป โดย มยุรี วีระประเสริฐ [๒๖๗]

ราชอาณาจกั รกมั พชู าและความหมายของช่ือประเทศ รำชอำณำจกั รกัมพูชำเป็ นประเทศเพ่ือนบ้ำนใกล้เคียงท่ีตัง้ อยู่ ทำงด้ำนตะวนั ออกของประเทศไทยท่ีมีกำรติดต่อสมั พนั ธ์กันอย่ำงใกล้ชิด ในทำงประวตั ิศำสตรม์ ำแต่อดีตอนั ยำวนำน คำว่ำ “กมั พูชำ” ซ่ึงเป็นช่ือของ ประเทศนัน้ เป็ นคำในภำษำสันสกฤต แปลว่ำผู้สืบเช้ือสำยมำจำก “กัมพุ” ควำมหมำยของคำน้ีตรงกบั เร่อื งเล่ำในจำรกึ โบรำณของกมั พูชำหลำยหลกั ท่ี กล่ำวอ้ำงว่ำ กำเนิดของรำชวงศ์แห่งกมั พูชำสืบต่อลงมำจำกพระฤๅษีกมั พุ กบั นำงอปั สรเมรำซง่ึ พระศวิ ะประทำนให้ นักวิชำกำรบำงท่ำนอธิบำยว่ำ “กัมพูชำ” เป็ นช่ือเมืองในแคว้น คนั ธำระทอ่ี ยทู่ ำงตอนเหนือของประเทศอนิ เดยี สมยั โบรำณซง่ึ คงจะถูกนำมำใช้ เรยี กดนิ แดนแห่งน้ีโดยชำวอนิ เดยี ท่เี ป็นผูส้ รำ้ งจำรกึ ขน้ึ และถูกใชเ้ ป็นช่อื ของ ประเทศทเ่ี ป็นทำงกำรสบื มำจนกระทงั ่ ในปัจจบุ นั ลกั ษณะที่ตงั้ และสภาพแวดล้อมทางภมู ิศาสตร์ รำชอำณำจกั รกมั พูชำตงั้ อยใู่ นภูมภิ ำคเอเชยี อำคเนยบ์ รเิ วณตอนใต้ ของแหลมอินโดจีน มีอำณำบริเวณครอบคลุมพ้ืนท่ีกว้ำงรำว ๑๘๑,๐๓๕ ตำรำงกโิ ลเมตร อำณำเขตทำงด้ำนเหนือตดิ กบั ประเทศลำวและประเทศไทย ดำ้ นตะวนั ออกติดกบั ประเทศเวยี ดนำม ด้ำนใต้ติดกบั ประเทศเวยี ดนำมและ ทะเลจนี ใต้ ด้ำนตะวนั ตกติดกบั ประเทศไทย พ้นื ท่ีของประเทศเป็นท่ีรำบท่ีมี เทือกเขำล้อมรอบ ด้ำนเหนือมีเทือกเขำดงเร็ก ด้ำนตะวนั ออกมีเทือกเขำ อนั นัม ด้ำนตะวนั ตกมเี ทือกเขำคำร์ดำโมม (เขากระวาน) ด้ำนใต้มีเทอื กเขำ ช้ำง ตอนกลำงของประเทศซ่ึงเป็ นท่ีรำบดินตะกอนมีทะเลสำบใหญ่เป็ น ศูนยก์ ลำง ทะเลสำบแห่งน้ีเป็ นทะเลสำบน้ ำจืดขนำดใหญ่ ท่ีมีแม่น้ ำสำขำไหล ออกจำกทะเลสำบทำงดำ้ นทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ลงไปบรรจบกบั แม่น้ำโขงท่ี กรุงพนมเปญ (แม่น้าโขงเป็นแม่น้ าสายสาคญั ทีม่ ีต้นน้ าอยู่ทีเ่ ขาหิมาลยั ใน ประเทศธเิ บตไหลมาทางใต้ ผ่านจนี ลาว ไทย กมั พชู า เวยี ดนาม ไปออกทะเล [๒๖๘]

จีนใต้) กำรเช่ือมต่อถึงกันระหว่ำงทะเลสำบใหญ่กับแม่น้ำโขง ทำให้เกิด ปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติอนั พเิ ศษท่มี บี ทบำทสำคญั ยง่ิ ต่อวถิ กี ำรดำรงชวี ติ ของ ชำวเขมรตงั้ แต่อดีตถึงปัจจุบัน คือในฤดูแล้งทะเลสำบมีเน้ือท่ีรำว ๒,๖๐๐ ตำรำงกโิ ลเมตรและต้นื มำก แต่พอถงึ ฤดูฝนเน้ือท่ีของทะเลสำบจะขยำยกวำ้ ง ออกเป็น ๑๐,๐๐๐ ตำรำงกิโลเมตร เน่ืองจำกน้ำในลำน้ำโขงไหลกลบั ข้นึ มำสู่ ทะเลสำบ (เหตุทีแ่ ม่น้ าโขงไหลกลบั ข้นึ มาในช่วงน้ีเพราะแม่น้ าโขงจะต้อง รองรบั ปรมิ าณน้าทเี่ พมิ่ ข้นึ อย่างมากมายทมี่ าจากการละลายของหมิ ะบนภูเขา ซงึ่ เป็นแหล่งตน้ น้าในประเทศธเิ บต แตล่ าน้าโขงไมส่ ามารถรองรบั ปรมิ าณน้าที่ เพมิ่ ข้นึ อยา่ งมากมายในช่วงน้ีได้ ทาใหน้ ้าในลาน้าโขงไหลยอ้ นกลบั ผา่ นแม่น้า ทะเลสาบข้นึ มาสทู่ ะเลสาบ) กมั พชู า ภำพท่ี ๑ แผนทแ่ี สดงตำแหน่งทต่ี งั้ และ ลกั ษณะทำงภมู ศิ ำสตรข์ องรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ [๒๖๙]

ในช่วงน้ีเองปลำท่ีมำตำมกระแสน้ำกจ็ ะพำกนั มำวำงไขใ่ นทะเลสำบ และในบริเวณท่ีลุ่มรอบฝัง่ ทะเลสำบท่ีน้ำท่วมถึงกลำยเป็ นท่ีนำปลูกข้ำว พอปลำยฤดูฝนน้ำกจ็ ะค่อยๆ ลดลง เม่อื น้ำลดลงข้ำวก็ออกรวงเก็บเก่ยี วได้ ทะเลสำบซ่ึงมีขนำดลดลงเท่ำเดิมก็กลำยเป็ นคลังปลำท่ีไม่มีวนั หมดส้ิน ทะเลสำบจึงเป็ นแหล่งทรัพยำกรธรรมชำติท่ีมีควำมสำคัญ ยิ่งต่อวิถี กำรดำรงชวี ติ ของชำวกมั พชู ำตงั้ แต่อดตี ตรำบจนปัจจบุ นั ภำพท่ี ๒ สภำพพน้ื ทบ่ี รเิ วณทะเลสำบเขมร (Tonle Sap) ประวตั ิความเป็นมา จำกกำรศกึ ษำทำงดำ้ นโบรำณคดแี ละประวตั ศิ ำสตร์ ทำใหเ้ รำทรำบ ว่ำบรเิ วณท่ีตงั้ รำชอำณำจกั รกมั พูชำเป็นดินแดนอนั เก่ำแก่ท่ีมีประวตั ิควำม เป็นมำท่ีน่ำสนใจท่ีสุดแห่งหน่ึงในภูมิภำคเอเชียอำคเนย์ ซ่ึงแบ่งออกเป็นยุค สมยั ต่ำงๆ ไดด้ งั น้ี [๒๗๐]

สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ถึง แ ม้ ว่ ำ ห ลัก ฐ ำ น โบ ร ำ ณ ค ดีส มัย ก่ อ น ป ร ะ วัติศ ำ ส ต ร์ท่ี พ บ ใน รำชอำณำจกั รกัมพูชำจะมีไม่มำกนัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่ำแผ่นดินน้ีเป็ น ดนิ แดนอนั เก่ำแก่มผี คู้ นเขำ้ มำอำศยั อยู่ตงั้ แต่สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรย์ คุ หนิ เก่ำ เม่อื รำวๆ ๖,๐๐๐ กว่ำปีลงมำจนถึงยุคหินใหม่และยุคสำรดิ เม่อื รำว ๓,๐๐๐ ปีมำแลว้ แหล่งโบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรท์ ่เี ก่ำทส่ี ดุ และมชี ่อื เสยี งเป็น ท่ีรู้จกั กนั ดี คือถ้ำละอำงสเปียน ซ่ึงตงั้ อยู่ในเขตจงั หวดั พระตะบอง ท่ีมีอำยุ รองลงมำคอื ท่สี ำโรงเสน ลองพราว (เขมรเรยี กว่า อนั โลงผเดา) ซ่งึ ตงั้ อยู่ทำง ตอนใตข้ องทะเลสำบใหญ่ในเขตกำปงชนงั ภำพท่ี ๓ โบรำณวตั ถุสมยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์ จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ กรงุ พนมเปญ [๒๗๑]

สมยั ประวตั ิศาสตร์ แบง่ ออกเป็นยคุ ตำ่ งๆ คอื ยคุ ก่อนเมืองพระนคร แบง่ ออกเป็นยคุ ยอ่ ยๆ ๒ ยคุ คอื ยคุ ฟนู ัน (รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ - ๑๑) ยุคฟูนันเป็นยคุ แรกประวตั ิศำสตรท์ เ่ี รม่ิ ขน้ึ ตงั้ แต่รำวพุทธศตวรรษท่ี ๖ เป็ นต้นมำ แต่เร่ืองรำวต่ำงๆ รวมทัง้ ช่ือของบ้ำนเมืองโบรำณในยุคน้ีมี หลกั ฐำนปรำกฏอยู่ในจดหมำยเหตุจนี เท่ำนัน้ จนี เรยี นช่อื บ้ำนเมอื งสำคญั ใน ยุคน้ีว่ำ “ฟูนัน” และเล่ำถึงเร่อื งควำมเป็นมำของบ้ำนเมอื งว่ำ พระรำชำองค์ แรกของฟูนันเป็นชำวอินเดยี มีนำมว่ำ ฮวนเถียน ซ่งึ เดินทำงเข้ำมำถึงฟูนัน โดยทำงเรอื และถูกนำงหลิวเย่นำงพญำแห่งฟูนันนำพลพรรคเข้ำปล้นเรอื ฮวนเถียนทำกำรต่อสู้โดยยงิ ธนูไปท่ีเรอื ของนำงหลิวเย่ ทำให้นำงตกใจกลวั และยอมอ่อนน้อมเป็นภรรยำของเขำในทส่ี ดุ ต่อจำกนั้นฮวนเถียนก็ข้ึนป กครองบ้ ำนเมืองพ ร้อมกับ น ำ ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบอินเดียมำเผยแพร่ ทำให้บ้ำนเมืองฟูนัน เจรญิ รุ่งเรอื งขนั้ ภำยใต้อำรยธรรมอินเดยี เร่อื งรำวในเอกสำรจนี น้ีคล้ำยกบั เร่อื งเล่ำในนิทำนพน้ื เมอื งของชำวกมั พูชำท่เี ล่ำสบื ต่อกนั มำว่ำมพี รำหมณ์ผู้มี ธนูอนั วเิ ศษเดนิ ทำงมำจำกอนิ เดยี มำถงึ ชำยฝัง่ ทะเลของกมั พชู ำ ธดิ ำพญำนำค พำยเรือออกมำต้อนรบั แต่พรำหมณ์ผู้น้ีใช้ธนูวิเศษยิงมำท่ีเรือของธิดำ พญำนำค ทำใหน้ ำงตกพระทยั กลวั และยนิ ยอมแต่งงำนดว้ ย พญำนำคผูเ้ ป็น พระบดิ ำทรงช่วยด่มื น้ำทะเลจนเหอื ดแห้งเพ่อื สรำ้ งอำณำจกั รใหร้ ำชบุตรเขย และตงั้ ช่อื อำณำจกั รท่สี รำ้ งขน้ึ น้ีว่ำ “กมั โพช” (ชาวเขมรโบราณจงึ นับถือนาค เป็นอยา่ งมากเพราะเชอื่ วา่ นาคคอื บรรพบรุ ษุ ของพวกเขานนั ่ เอง) นักประวตั ิศำสตรส์ รุปเร่อื งรำวของฟูนันจำกรำยละเอียดท่ีมอี ยู่ใน จดหมำยเหตุจนี ว่ำ ฟูนันเป็นอำณำจกั รสมยั ประวตั ิศำสตร์แรกสุดท่ีเจรญิ ข้นึ ภำยใตอ้ ำรยธรรมอนิ เดยี ตงั้ แต่รำวพุทธศตวรรษท่ี ๖ เป็นตน้ มำ ศนู ยก์ ลำงของ ฟูนันคงจะตงั้ อยู่ทำงตอนใต้ของรำชอำณำจกั รกมั พูชำปัจจุบนั เดิมอำจจะอยู่ แถบเมืองบำพนมในเขตจงั หวดั ไพรเวง ในระยะต่อมำย้ำยลงมำอยู่ท่ีเมือง [๒๗๒]

นครบุรี (Angkor Borei) ในเขตจงั หวดั ตำแก้วและขยำยอำนำจทำงกำรเมอื ง ออกไปถึงบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนใต้รวมทัง้ ดินแดนแถบชำยฝัง่ ทะเลของ อ่ำวไทยดว้ ย อำณำจกั รน้ีมกี ษตั รยิ ป์ กครองสบื ต่อมำหลำยพระองค์ และมกี ำร ตดิ ต่อกบั จนี มำโดยตลอด จนกระทงั ่ รำวปลำยพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ อำณำจกั ร ฟูนนั กล็ ม่ สลำยลง สำหรบั หลกั ฐำนโบรำณคดยี ุคฟูนนั ท่คี น้ พบในรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ นัน้ มไี ม่มำกนัก โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ หลกั ฐำนท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรประเภท จำรกึ ซ่ึงพบอยู่ทำงตอนใต้ของประเทศมีเพียง ๓ หลกั เท่ำนัน้ ทงั้ หมดเป็น จำรึกภำษำสนั สกฤตท่ีมีอำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ซ่ึงเป็นช่วงปลำยฟูนัน สองหลกั แรกคน้ พบท่จี งั หวดั ตำแกว้ เป็นจำรกึ ของพระนำงกุลประภำวดมี เหสี ของพระเจ้ำชัยวรมัน และของโอรสองค์หน่ึงท่ีทรงพระนำมว่ำ เจ้ำชำย คุณวรมนั หลักท่ีสำมค้นพบท่ีแคว้นบำตีเป็ นจำรกึ ท่ีกล่ำวถึงเร่อื งรำวของ พระเจำ้ รทุ รวรมนั พระรำชำองคส์ ดุ ทำ้ ยของฟูนนั สำหรบั ร่องรอยหลกั ฐำนทำงด้ำนศิลปะโบรำณวตั ถุสถำนท่ีอำจจะ เกย่ี วขอ้ งกบั บำ้ นเมอื งยคุ ฟูนนั ทพ่ี บแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกเป็นโบรำณวตั ถุต่ำงชำติ ส่วนใหญ่เป็นของโรมนั และ อนิ เดยี ท่พี บไดแ้ ก่เหรยี ญกษำปณ์ เคร่อื งประดบั ประเภทต่ำงๆ มที งั้ ท่ที ำจำก ทองคำ เงนิ หนิ ชนิดต่ำงๆ รวมทงั้ แกว้ ดว้ ย นอกจำกน้ียงั พบท่ปี ระทบั ตรำท่มี ี จำรึกภำษำสนั สกฤตอีกจำนวนหน่ึง โบรำณวตั ถุเหล่ำน้ีถูกค้นพบท่ีเมือง ออกแกว้ ซง่ึ ตงั้ อยปู่ ลำยสดุ ของแหลมโคชนิ ไชน่ำ (ในเขตเวยี ดนำมใตป้ ัจจบุ นั ) หลกั ฐำนทพ่ี บเหล่ำน้ีทำใหเ้ ช่อื กนั วำ่ เมอื งออกแกว้ คงจะเป็นเมอื งท่ำคำ้ ขำยกบั ตำ่ งชำตทิ ส่ี ำคญั ทส่ี ดุ ในยคุ ฟูนนั [๒๗๓]

ภำพท่ี ๔ โบรำณวตั ถุทพ่ี บจำกแหลง่ โบรำณคดอี อกแกว้ ประเทศเวยี ดนำม (ทม่ี ำ: Nancy Tingley, “Catalogue: The Archaeology of Fu Nan in the Mekong River Delta: The Oc Eo Culture of Viet Nam,” in Arts of Ancient Vietnam From River Plain to Open Sea, ed. by Nancy Tingley (New Haven: Yale University Press, 2009), 136–142.) ประเภทท่สี องเป็นประตมิ ำกรรมรปู เคำรพในศำสนำพรำหมณ์และ ศำสนำพทุ ธทท่ี ำขน้ึ ในท้องถน่ิ มรี ปู แบศลิ ปะเป็นของตนเองแต่ยงั แสดงใหเ้ หน็ ชดั เจนว่ำไดร้ บั อทิ ธพิ ลมำจำกศลิ ปะอนิ เดยี ประตมิ ำกรรมเหล่ำน้ีเป็นหลกั ฐำน สำคญั ท่ีแสดงว่ำในสมยั ฟูนันมกี ำรนับถือศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธท่ี แพร่หลำยมำจำกอนิ เดียตรงตำมท่จี ดหมำยเหตุจนี เล่ำไว้ ทงั้ หมดคน้ พบแถบ เขำพนมดำทต่ี งั้ อยตู่ อนใตข้ องอำณำจกั รกมั พชู ำ นกั ประวตั ศิ ำสตรศ์ ลิ ปะจดั ให้ ประตมิ ำกรรมรปู เคำรพเหล่ำน้ีไวใ้ นกลุ่มศลิ ปะเขมรสมยั ก่อนเมอื งพระนครท่ี เกำ่ ทส่ี ดุ มอี ำยรุ ำวปลำยพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ - ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ [๒๗๔]

ภำพท่ี ๕ กลุ่มเทวรปู ในศำสนำพรำหมณ์ พบบรเิ วณเขำพนมดำ ประเทศกมั พชู ำ จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ กรุงพนมเปญ สำหรบั หลกั ฐำนทำงด้ำนสถำปัตยกรรมท่ีสร้ำงข้นึ ในสมยั ฟูนันนัน้ ไม่พบเลย อย่ำงไรก็ดเี รำอำจศึกษำรูปแบบของสง่ิ ก่อสร้ำงสมยั ฟูนันได้จำก ศำสนสถำนบำงแห่งทพ่ี บแถบพนมดำ ซ่งึ ถงึ แมว้ ่ำจะสรำ้ งขน้ึ ในสมยั หลงั แต่ก็ อำจสะท้อนให้เหน็ ถึงรูปแบบศำสนสถำนท่ีก่อสร้ำงข้นึ ในสมยั ฟูนันได้ เช่น ศำสนสถำนถ้ำหมำยเลข ๑ ซง่ึ เจำะเขำ้ ไปในภูเขำพนมดำ และศำสนำสถำนท่ี มชี ่อื เรยี กวำ่ อำศรมมหำฤๅษี ยคุ เจนละ (รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - กลำงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔) จ ำ ก เร่ือ ง เล่ ำ ใน จ ด ห ม ำ ย เห ตุ จีน ท ำ ให้ เร ำ ท ร ำ บ ว่ ำ ร ำ ว ป ล ำ ย พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ อำณำจกั รฟูนนั เกดิ ควำมวุ่นวำยและคอ่ ยๆ เส่อื มลง และ ในรำวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ บ้ำนเมืองก็ล่มสลำยลงเน่ืองจำกถูก “เจนละ” ยกทพั เข้ำโจมตี (เจนละเป็นบ้านเมอื งซึง่ ตงั้ อยู่ทางตอนเหนือของฟูนัน และ [๒๗๕]

เดมิ นัน้ อย่ภู ายใต้อานาจทางการเมอื งของฟูนันมาก่อน) หลงั จำกนัน้ เร่อื งรำว ของฟูนันก็ค่อยๆ หำยไปจำกจดหมำยเหตุจนี กลำยเป็ นเร่อื งรำวของเจนละ เข้ำมำแทนท่ี และดูเหมือนว่ำเร่อื งรำวของบ้ำนเมอื งในยุคเจนละท่ีเล่ำไว้ใน จดหมำยเหตุจีนค่อนข้ำงน่ำเช่ือถือกว่ำสมยั ฟูนันมำก เพรำะมีกำรค้นพบ หลกั ฐำนข้อมูลต่ำงๆ รวมทงั้ ศิลำจำรกึ จำนวนค่อนข้ำงมำกท่ีสำมำรถนำมำ สนับสนุนเร่อื งของเจนละในจดหมำยเหตุจนี ได้ หลกั ฐำนเหล่ำน้ีค้นพบทงั้ ใน รำชอำณำจกั รกมั พชู ำและในดนิ แดนใกลเ้ คยี ง หลกั ฐำนต่ำงๆ ท่ีพบแสดงให้เห็นว่ำยุคเจนละนัน้ บ้ำนเมอื งมคี วำม เจริญรุ่งเรืองและมีประเพณีต่ำงๆ รวมทัง้ กำรนับถือศำสนำพรำหมณ์และ ศำสนำพทุ ธลทั ธมิ หำยำนท่สี บื ทอดมำจำกบำ้ นเมอื งยคุ ฟูนนั พระรำชำเขมรใน ยุคเจนละยอมรบั เอำประเพณีกำรตงั้ รำชวงศ์ของพระรำชำแห่งฟูนันมำเป็น ของตน และพยำยำมท่ีจะแสดงว่ำพระองค์ทรงเป็ นผู้สืบเช้ือสำยมำจำก พระรำชำผสู้ งู สง่ ของฟูนนั ดว้ ย นักโบรำณคดีเช่ือกันว่ำศูนย์กลำงดงั้ เดิมของเจนละอำจจะอยู่ท่ี บริเวณวดั ภูแถบเมืองจำปำศักดิใ์ นเขตตอนใต้ของประเทศลำวปัจจุบัน ในระยะต่อมำเจนละได้ขยำยอำณำเขตออกไปครอบคลุมบรเิ วณพ้นื ท่ีท่เี ป็น รำชอำณำจกั รกมั พชู ำในปัจจุบนั ทงั้ หมด และยงั ขยำยอำนำจเขำ้ ไปยงั ดนิ แดน บำงส่วนในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทยด้วย บ้ำนเมืองในยุค เจนละมพี ระรำชำปกครองสบื ตอ่ กนั มำหลำยพระองค์ ดงั น้ี พระเจ้าภววรมนั ท่ี ๑ (ราว พ.ศ. ๑๐๙๓ - ?) เช่อื กนั ว่ำพระรำชำ องคน์ ้ีทรงเป็นเจำ้ ชำยในรำชวงศ์ฟูนัน และเดมิ นนั้ ครองรำชยอ์ ยทู่ เ่ี มอื งภวปรุ ะ (ซ่ึงอำจจะตัง้ อยู่ในบริเวณเมืองสมโบร์ริมฝัง่ แม่น้ำโขงทำงตอนเหนือของ กมั พชู ำปัจจุบนั ) พระองคแ์ ละพระอนุชำคอื เจำ้ ชำยจติ รเสนเป็นผโู้ จมตแี ละยดึ อำณำจกั ฟูนันได้ พระองค์ทรงเป็ นผู้ทำให้อำณำจกั รเจนละย่ิงใหญ่และมี อำนำจมำกข้นึ แต่ไม่มีกำรค้นพบหลกั ฐำนว่ำทรงครองรำชย์อยู่นำนเท่ำใด ทรำบแต่ว่ำผู้ครองรำชย์สบื ต่อจำกพระองค์คอื เจำ้ ชำยจติ รเสน เม่อื เสดจ็ ข้นึ ครองรำชยท์ รงพระนำมวำ่ พระเจำ้ มเหนทรวรมนั [๒๗๖]

พระเจ้ามเหนทรวรมนั (ราว พ.ศ. ๑๑๔๓ - ๑๑๕๘) ในรชั กำลน้ี อำณำเขตของเจนละขยำยกว้ำงออกไปมำก มกี ำรคน้ พบจำรกึ ของพระองค์ หลำยหลกั ท่ีแสดงว่ำพระรำชอำนำจของพระองค์ครอบคลุมพน้ื ท่ีไปถึงเมือง จำปำศกั ดทิ ์ ่ตี งั้ อยู่ในเขตประเทศลำวตอนใต้ปัจจุบนั และยงั รวมมำถึงบรเิ วณ พ้นื ท่ีบำงส่วนในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยไปด้วย ผู้ครองรำชย์สบื ต่อมำคอื โอรสของพระองคเ์ อง ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ อศิ ำนวรมนั ท่ี ๑ ภำพท่ี ๖ ศลิ ำจำรกึ ของพระเจำ้ มเหนทรวรมนั (จติ รเสน) พบทจ่ี งั หวดั อุบลรำชธำนี พระเจ้าอิศานวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๑๕๕ - ๑๑๗๑) ในรชั กำลน้ี อำณำเขตของบ้ำนเมอื งขยำยกวำ้ งไกลออกไปจำกเดมิ มำก มกี ำรคน้ พบจำรกึ ของพระเจำ้ อศิ ำนวรมนั ท่ี ๑ หลำยหลกั ทำงตอนใต้ของกมั พชู ำ รวมทงั้ ในเขต จงั หวดั จนั ทบุรีของไทย แสดงว่ำในรชั กำลน้ีอำณำจกั รเจนละได้ครอบครอง ดินแดนท่ีเคยเป็ นของฟูนันมำก่อนทัง้ หมดและยังขยำยพ้ืนท่ีเข้ำมำถึง ภำคตะวนั ออกของไทยท่ีจงั หวดั จนั ทบุรดี ้วย รำชธำนีของพระองค์มีนำมว่ำ อิศำนปุระ (เชอื่ กนั ว่าตงั้ อยู่ในบรเิ วณบ้านสมโบร์ไพรกุกปัจจุบนั เพราะพบ จารกึ ของพระองค์เป็นจานวนมากทีน่ ัน่ และมจี ารกึ หลกั หนึง่ ได้กล่าวถึงชือ่ เมอื งอิศานปุระไว้ด้วย) ผู้ท่ีครองรำชย์สืบต่อจำกพระองค์ ทรงพระนำมว่ำ พระเจำ้ ภววรมนั ท่ี ๒ [๒๗๗]

พระเจ้าภววรมนั ท่ี ๒ (ราว พ.ศ. ๑๑๗๑ - ?) เรำไม่ทรำบว่ำ พระรำชำองค์น้ีทรงเก่ยี วดองกบั พระรำชำองคก์ ่อนอย่ำงไรและครองรำชย์อยู่ นำนเท่ำใด เพรำะหลกั ฐำนท่เี ก่ยี วกบั พระองคพ์ บน้อยมำก ผู้ทค่ี รองรำชย์สืบ ต่อมำคอื พระโอรสของพระองคเ์ อง ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๑ พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๑ (ราว พ.ศ. ๑๑๙๘ - ๑๒๔๓) พระรำชำองคน์ ้ี ครองรำชย์ค่อนข้ำงยำวนำน แต่ดูเหมือนว่ำบ้ำนเมืองไม่มีควำมสงบเลย เพรำะแคว้นต่ำงๆ ท่ีเคยอยู่ภำยใต้อำนำจทำงกำรเมืองในรชั กำลก่อนๆ พยำยำมท่ีจะแยกตวั เป็นอิสระ และพระองค์คงจะไม่มีรชั ทำยำท หลงั จำกท่ี พระองคส์ น้ิ พระชนมล์ งไมท่ รำบว่ำเกดิ อะไรขน้ึ บ้ำง มหี ลกั ฐำนปรำกฏในจำรกึ ว่ำ รำว พ.ศ. ๑๒๕๖ มีผู้ครองบ้ำนเมืองเป็ นพระรำชินี ทรงพระนำมว่ำ พระนำงชยั เทวี พระน างชัยเท วี (ราว พ.ศ . ๑๒๕ ๖ - ?) พระนำงเสด็จข้ึน ครองรำชย์ในช่วงเวลำท่บี ำ้ นเมอื งแตกแยก และไมส่ ำมำรถแก้ไขสถำนกำรณ์ อนั เลวร้ำยในบ้ำนเมืองได้ จำรกึ ของพระนำงชยั เทวีกล่ำวถึง “โชครำ้ ยแห่ง เวลำ” นักโบรำณคดเี ช่อื กนั ว่ำกำรแตกแยกของบำ้ นเมอื งคงจะเกดิ ข้ึนหลงั จำก ท่ีพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๑ ส้นิ พระชนม์ลง ในจดหมำยเหตุจนี เล่ำว่ำหลงั พ.ศ. ๑๒๔๙ เจนละเกิดจลำจล บ้ำนเมอื งแตกแยกตวั ออกเป็น ๒ ฝ่ ำย ฝ่ ำยหน่ึงจนี เรยี กว่ำเจนละบก มอี ำนำจครอบครองดนิ แดนทำงตอนเหนือของกมั พชู ำมำถงึ บรเิ วณท่ีรำบสูงในประเทศลำวตอนใต้และประเทศไทยแถบเทือกเขำดงเร็ก อกี ฝ่ำยหน่ึงเรยี กวำ่ เจนละน้ำ ครอบครองดนิ แดนท่เี ป็นรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ ในปัจจบุ นั เกอื บทงั้ หมด และรวมไปถงึ บรเิ วณทร่ี ำบลมุ่ ปำกแมน่ ้ำโขงดว้ ย อย่ำงไรก็ตำมเม่ือแยกตวั ออกจำกกนั แล้ว เร่อื งรำวของเจนละบกก็ ยงั ปรำกฏอยู่ในจดหมำยเหตจุ นี ว่ำ เจนละบกยงั มกี ำรตดิ ต่อกบั จนี ต่อมำจนถงึ รำวกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ ส่วนเร่อื งรำวของเจนละน้ำในจดหมำยเหตุจีน แทบจะไม่ได้กล่ำวถึงอีกเลย แต่จำกหลกั ฐำนท่ีพบในรำชอำณำจกั รกมั พูชำ ทำให้สนั นิษฐำนไดว้ ่ำในขณะนัน้ เจนละน้ำถูกแบ่งแยกออกเป็นหลำยแคว้น แต่ละแควน้ แยกตวั ออกเป็นอสิ ระและแก่งแยง่ อำนำจกนั เอง และต่อมำไมน่ ำน [๒๗๘]

กถ็ ูกรุกรำนจำกศตั รภู ำยนอก (เชอื่ กนั ว่าศตั รูภายนอกน้ีเป็นพวกทยี่ กทพั มา จากเกาะชวาและสุมาตรา) จนในท่ีสุดบ้ำนเมืองก็ตกอยู่ภำยใต้อำนำจทำง กำรเมอื งของศตั รภู ำยนอกทย่ี กทพั เขำ้ มำรกุ รำน ร่องรอยหลกั ฐำนทำงด้ำนศิลปะโบรำณวตั ถุสถำนยุคเจนละยงั คง ปรำกฏหลงเหลอื ใหเ้ หน็ อยมู่ ำกมำยในปัจจบุ นั นักประวตั ศิ ำสตรศ์ ลิ ปะจดั แบ่ง โบรำณวตั ถสุ ถำนยคุ น้ีไวใ้ นกลุ่มศลิ ปะเขมรสมยั ก่อนเมอื งพระนครทม่ี อี ำยรุ ำว กลำงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - กลำงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ ในสว่ นทเ่ี ป็นสถำปัตยกรรมพบหลำยแหง่ ทงั้ หมดเป็นศำสนสถำนท่ี เรยี กว่ำ ปรำสำท ซ่ึงก่อสรำ้ งด้วยอฐิ ท่มี ชี ่อื เสยี งท่สี ุดคอื กลุ่มโบรำณสถำนท่ี เมอื งสมโบรไ์ พรกุก โบรำณสถำนกลุม่ น้ีถอื เป็นตวั อยำ่ งของปรำสำทเขมรทเ่ี ก่ำ ท่ี สุ ด ท่ี มี รู ป แ บ บ แ ส ด ง ให้ เห็ น ว่ ำ เกิ ด จ ำ ก ก ำ ร ผ ส ม ผ ส ำ น ร ะ ห ว่ ำ ง ศิล ป ะ สถำปัตยกรรมของอนิ เดยี ใตก้ บั สถำปัตยกรรมพน้ื เมอื งของเขมรทส่ี รำ้ งดว้ ยไม้ ภำพท่ี ๗ ปรำสำท (เทวำลยั ) ทเ่ี มอื งสมโบรไ์ พรกุก [๒๗๙]

สว่ นงำนทำงดำ้ นประตมิ ำกรรมทเ่ี กย่ี วกบั ยุคเจนละท่ยี งั คงปรำกฏใน ปัจจุบนั ส่วนใหญ่เป็นงำนประติมำกรรมรูปเคำรพท่ีสร้ำงข้นึ ในศำสนำพุทธ ลทั ธมิ หำยำนและศำสนำพรำหมณ์ ประติมำกรรมรูปเคำรพบำงองค์มรี ูปแบบ ศลิ ปะงดงำมท่ยี งั คงรกั ษำอทิ ธิพลศิลปะอนิ เดยี ไวด้ ้วยอย่ำงมำก แต่ส่วนใหญ่ มักจะมีรูปแบบท่ีแสดงให้เห็นถึงควำมแข็งกระด้ำง หันหน้ำตรงอันเป็ น เอกลกั ษณ์ของศลิ ปะเขมรอยำ่ งแท้จรงิ ประติมำกรรมรูปเคำรพเหล่ำน้ีใช้เป็น หลกั ฐำนสำคญั ในกำรศึกษำถงึ เร่อื งรำวของศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธ ลทั ธมิ หำยำนท่ีเจรญิ ข้นึ บนแผ่นดนิ กมั พูชำเม่ือรำวๆ พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๔ ไดเ้ ป็นอยำ่ งดี ภำพท่ี ๘ เทวรปู พระวษิ ณุ (นำรำยณ์) พบทป่ี รำสำทสมโบรไ์ พรกุก (S.9) จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ กรงุ พนมเปญ [๒๘๐]

ยคุ เมืองพระนคร (รำวกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ - พุทธศตวรรษท่ี ๒๐) ยุคเมอื งพระนครเป็นช่วงเวลำท่ีรุ่งเรอื งท่ีสุดในประวตั ิศำสตร์ของ รำชอำณำจกั รกัมพูชำ ซ่ึงเร่ิมต้นข้ึนเม่ือพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๒ เสด็จข้ึน ครองรำชย์ พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๓๓๓ - ๑๓๘๙) พระองค์ทรงเป็น ปฐมกษตั รยิ ผ์ สู้ รำ้ งรำชอำณำจกั รกมั พูชำยุคเมอื งพระนคร แต่ไม่ไดเ้ ป็นผสู้ รำ้ ง ตัวเมืองพระนคร หลกั ฐำนท่ีปรำกฏในจำรกึ สดกก๊อกธมกล่ำวว่ำ พระเจ้ำ ชยั วรมนั ท่ี ๒ เป็นเจ้ำชำยเขมรท่ีเสดจ็ กลบั มำจำกชวำ (เชือ่ กันว่าพระองค์ อาจจะถูกจบั ไปอยู่ทีช่ วาในฐานะตัวประกนั เมือ่ ครงั้ ชวายกทัพมาตีกมั พูชา เมือ่ ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๓) และทรงทำกำรรวบรวมบ้ำนเมืองท่ี แตกแยกให้รวมกลบั เข้ำเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั อีกครงั้ พระองค์ทรงทำให้ รำชอำณำจกั รกมั พูชำเป็นอสิ ระพ้นจำกอำนำจทำงกำรเมอื งของกษตั ริยช์ วำ ด้วยกำรประกอบพระรำชพิธีสถำปนำพระองค์ข้ึนเป็ นพระจักรพรรดิ (cakravartin) ผู้ยง่ิ ใหญ่แห่งรำชอำณำจกั รกมั พูชำ พระรำชพิธนี ้ีประกอบข้นึ บนเขำมเหนทรบรรบต ซ่ึงเช่ือกนั ว่ำคอื เขำพนมกุเลนท่ีตงั้ อยู่ทำงตอนเหนือ ของเมอื พระนครในปัจจุบนั เพรำะบนเขำพนมกุเลนมซี ำกโบรำณสถำนหลำย แห่งซ่ึงมีรูปแบบศิลปะท่ีแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะชวำและศิลปะจำม อนั เป็นลกั ษณะสำคญั ของศิลปะสมยั หวั เล้ียวหวั ต่อระหว่ำงศิลปะสมยั ก่อน เมอื งพระนครตอนปลำยกบั ศลิ ปะสมยั เมอื งพระนครตอนตน้ ในเวลำเดียวกันพระองค์โปรดให้พรำหมณ์ประกอบพิธี “ลัทธิ เทวราชา” เพ่ือสถำปนำเทวะผู้เป็ นรำชำของเทวดำทัง้ ปวงข้ึนเป็ นเทพ คมุ้ ครองรำชบลั ลงั ก์และรำชอำณำจกั รขน้ึ ดว้ ย ลทั ธเิ ทวรำชำเป็นลทั ธพิ ธิ ที ำง ศำสนำท่ีพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ ทรงโปรดให้พรำหมณ์ประกอบข้ึนในแผ่นดิน กมั พูชำเป็นครงั้ แรก กำรประกอบพิธนี ัน้ ทำให้มีกำรสร้ำง “ศาสนบรรบต” หรอื กำรจำลองเขำพระสุเมรุข้นึ ในรำชธำนีเพ่อื ใช้เป็นท่ปี ระดษิ ฐำนรปู เคำรพ ของเทวรำชำ (ซึง่ เป็ นเทวดาผู้คุ้มครองพระราชอาณาจักร) เช่ือกันว่ำ [๒๘๑]

ศำสนบรรบตทพ่ี ระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ โปรดใหส้ รำ้ งขน้ึ เพ่อื ใช้เป็นท่ปี ระดษิ ฐำน รูปเคำรพเทวรำชำบนเขำพนมกุเลนนัน้ อำจเป็นโบรำณสถำนท่ีเรยี กกนั ว่ำ กุฏพิ ระอำรำมโรงจนี ในปัจจบุ นั ภำพท่ี ๙ กุฏพิ ระอำรำมโรงจนี บนเขำพนมกเุ ลน ประเทศกมั พชู ำ กำรสรำ้ งศำสนบรรพตถอื เป็นรำชประเพณีสำคญั ท่สี ดุ อยำ่ งหน่ึงของ พระรำชำเขมรในสมยั เมืองพระนครสร้ำงข้นึ นัน้ มีทงั้ ท่ีตงั้ อยู่บนภูเขำจรงิ ๆ และบนพ้ืนรำบ แต่จะมีลักษณะพิเศษท่ีสงั เกตเห็นได้ชัดเจนว่ำเป็ นศำสน สถำนท่ีสร้ำงข้ึนบนพ้ืนฐำนท่ีซ้อนกนั เป็นชัน้ ๆ ลดหลนั ่ กนั ข้ึนไป (อันเป็น ลกั ษณะของภูเขาจาลอง) ตวั ปรำสำทประธำนซ่งึ เป็นท่ปี ระดษิ ฐำนรูปเคำรพ นนั้ ตงั้ อยูบ่ นฐำนชนั้ บนสุด (สาหรบั เรอื่ งราวเกยี่ วกบั ลทั ธเิ ทวราชานนั้ อนั ทจี่ รงิ แล้วข้อความในจารึกมิได้บอกว่าลัทธิเทวราชาคืออะไรกันแน่ นักวิชาการ ฝรงั ่ เศสรุ่นก่อนๆ อธบิ ายถึงความหมายของลทั ธเิ ทวราชาไว้ต่างกนั เป็น ๒ ประการคือ ประการแรกอธิบายว่าเป็นลทั ธพิ ิธีทางศาสนาในการสถาปนา กษตั รยิ ์หรอื พระราชาให้เป็นเทวะ ประการทีส่ องอธิบายว่า เป็นลทั ธพิ ธิ ที าง ศาสนาในการสถาปนาเทวะผู้เป็นราชาข้นึ เป็นเทวดาคุ้มครองราชย์บัลลงั ก์ คมุ้ ครองราชธานี และเทวะผเู้ ป็นราชาน้ีคงจะหมายถงึ พระอิศวร ซงึ่ ไดร้ บั การ ยกยอ่ งวา่ เป็นราชาของเหลา่ เทวดาตามประเพณีทนี่ บั ถอื กนั ในอนิ เดยี ภาคใต้ [๒๘๒]

นกั วชิ าการดา้ นเขมรศกึ ษาของไทยคอื ศาสตราจารย์ เกยี รตคิ ณุ ดร. อุไรศรี วรศะรนิ กล่าววา่ เหตุทมี่ คี าอธบิ ายความหมายของคาวา่ ลทั ธเิ ทวราชา ต่างกนั เป็น ๒ ประการ เพราะคาว่า เทวราชา เป็นภาษาสนั สกฤตและแปลได้ เป็นสองความหมายคอื ราชาผเู้ ป็นเทวะ และเทวะผเู้ ป็นราชา อาจารยอ์ ุไรศรมี ี ความเห็นว่าคาอธบิ ายในประการทีส่ องน่าจะถูกต้องมากกว่า เพราะคาว่า เทวราชาทีป่ รากฏในจารกึ นัน้ มคี าว่า “กมรเตง ชคต ราช” ซึง่ เป็นภาษาเขมร แปลวา่ เทวะผเู้ ป็นราชากากบั อยดู่ ว้ ย นอกจากน้ีข้อความในจารกึ บางตอนยงั กล่าวว่ามีการนาเทวราชา หรอื กมรเตง ชคต ราช จากเมอื งหนึง่ ไปยงั อกี เมอื งหนึง่ ดว้ ย ดงั นนั้ เทวราชาที่ กล่ าวถึงในจารึกน่ าจะเป็ นป ระติม ากรรม รูป เคารพ ขอ งเท วะผู้คุ้ ม ครอ งราช บลั ลงั ก์และราชอาณาจกั ร ซึง่ ถูกสถาปนาข้นึ ในรูปศิวลึงค์อนั เป็นสญั ลกั ษณ์ แหง่ พระศวิ ะและถกู อญั เชญิ ไปประดษิ ฐานไวท้ ศี่ าสนสถานประจาราชธานี นอกจากน้ีอาจารยอ์ ุไรศรไี ดใ้ ห้ข้อสงั เกตทนี่ ่าสนใจอีกว่า การสร้าง พระสยามเทวธิราชในรชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๔ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รวมทงั้ ประเพณีการสรา้ งเสาหลกั เมอื งนัน้ อาจจะเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธ์กบั ลทั ธเิ ทวราชาของกมั พชู าดว้ ย เพราะถา้ สงั เกตใหด้ ี จะเหน็ ไดว้ า่ ตวั เสาหลกั เมอื งนนั้ มรี ปู รา่ งลกั ษณะคลา้ ยกบั ศวิ ลงึ ค)์ หลกั ฐำนท่พี บในจำรกึ สดกก๊อกธมทำใหท้ รำบว่ำ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ โปรดใหส้ รำ้ งรำชธำนีขน้ึ หลำยแห่ง แห่งแรกคอื เมอื งอนิ ทรปุระ (ซงึ่ อาจจะ อยู่ในบรเิ วณบนั ทายไพรนครทีต่ งั้ อยู่ทางทิศตะตนั ออกของเมืองกาพงจาม ปัจจุบนั ) แห่งท่สี องคอื เมอื หรหิ รำลยั (ซึง่ ตงั้ อยู่ห่างจากเมอื งพระนครไปทาง ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ราว ๑๕ กโิ ลเมตร) แห่งท่สี ำมคอื เมอื งอมเรนทรปุระ (ซงึ่ อาจจะตงั้ อยู่บรเิ วณทางทิศตะวนั ตกของเมอื งพระนครแถบฝัง่ ตะวนั ตกของ บารายตะวนั ตก) แหง่ ท่สี ค่ี อื เมอื งมเหนทรบรรพต (เชอื่ กนั วา่ ตงั้ อยบู่ นเขาพนม กุเลนในปัจจุบนั ) และในบรรดำรำชธำนีท่ีพระองค์สร้ำงข้ึน เมอื งหรหิ รำลยั เป็ น รำช ธำนีแห่งสุดท้ำยท่ีพระองค์เส ด็จกลับ มำประทับ อยู่และท รงนำเอ ำ “เทวรำชำ” มำประดษิ ฐำนไวท้ น่ี นั ่ ดว้ ย พระองคป์ ระทบั อยทู่ ่เี มอื งหริหรำลยั จน [๒๘๓]

สน้ิ พระชนม์ หลงั จำกนัน้ เมอื งหรหิ รำลยั ยงั เป็นรำชธำนีท่ปี ระทบั ของกษตั รยิ ์ เขมรสบื ตอ่ มำอกี ๓ พระองค์ คอื พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๓ (พ.ศ. ๑๓๘๙ - ๑๔๒๐) ทรงเป็นพระโอรส ของพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ เรำไมค่ ่อยจะทรำบเร่อื งรำวเกย่ี วกบั รชั กำลน้ีมำกนกั ทรำบแต่เพยี งวำ่ พระรำชำองคน์ ้ีทรงพระปรชี ำเป็นอยำ่ งมำกในกำรล่ำชำ้ ง พระเจ้าอินทรวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๔๒๐ - ๑๔๓๒) พระรำชำองคน์ ้ี ทรงเก่ยี วดองกบั พระรำชำองคก์ ่อนอยำ่ งไรไมม่ ใี ครทรำบ หลกั ฐำนท่มี อี ยู่บอก แต่เพยี งวำ่ พระองคท์ รงเป็นโอรสของพระเจ้ำปฤถวิ นี วรมนั แต่ไม่ได้บอกว่ำ พระเจำ้ ปฤถวิ นี วรมนั เป็นใครมำจำกไหน ส่วนพระมเหสขี องพระองค์นัน้ ทรง สบื เชอ้ื สำยมำจำกรำชวงศอ์ นั เกำ่ แกแ่ หง่ อำณำจกั รฟูนนั เม่อื เสดจ็ ข้นึ ครองรำชยพ์ ระองคท์ รงจดั สรำ้ งระบบชลประทำนดว้ ย กำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำขนำดใหญ่ช่ือ อินทรตฏำกะ มีควำมกว้ำง ๘๐๐ เมตร ยำว ๓,๘๐๐ เมตร เพ่อื ใชเ้ กบ็ กกั น้ำในฤดฝู นซง่ึ ไหลมำตำมแมน่ ้ำเลก็ ๆ หลำย สำยท่ีมตี ้นน้ำอยู่บนท่ีรำบสูงพนมกุเลนทำงตอนเหนือและแจกจ่ำยน้ำไปยงั ทุ่งนำรอบๆ รำชธำนีตำมตอ้ งกำร และยงั ใช้เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งมหำสมทุ รอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ่มี อี ยู่คจู่ กั รวำลตำมควำมเช่อื ในศำสนำด้วย ต่อมำพระองคโ์ ปรดให้ สรำ้ งปรำสำทอิฐ ๖ หลงั (คอื ปราสาทพระโค) ข้นึ ในเมืองหรหิ รำลยั เพ่อื อุทิศ ถวำยแด่บรรพบุรุษ และสร้ำงศำสนบรรพตประจำรำชธำนี (คือปราสาท บากอง) ขน้ึ เพ่อื ประดษิ ฐำนรำชศวิ ลงึ คอ์ นิ ทเรศวรดว้ ย ในรชั กำลน้ีรำชอำณำจกั รกมั พูชำสงบสขุ และมนั ่ คงมำก ซง่ึ คงจะเป็น ผลทเ่ี น่ืองมำจำกบำ้ นเมอื งมกี ำรจดั กำรเก่ยี วกบั เร่อื งน้ำทด่ี ี มกี ำรสรำ้ งอ่ำงเกบ็ น้ำขนำดใหญ่ขน้ึ ทำให้กำรปลูกขำ้ วได้ผลดี เม่อื กำรเพำะปลูกได้ผลดคี วำม เจรญิ ด้ำนอ่ืนๆ ก็ตำมมำด้วย ดูเหมือนว่ำอำนำจทำงกำรเมอื งของพระองค์ ขยำยกว้ำงออกไปถึงชำยแดนทำงภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยด้วย เพรำะมกี ำรค้นพบจำรกึ ของพระเจำ้ อินทรำวรมนั ท่ี ๑ ท่ีบ้ำนบึงแก จงั หวดั อุบลรำชธำนี หลงั จำกท่ีพระเจ้ำอินทรวรมนั ท่ี ๑ ส้นิ พระชนม์ลง โอรสของ พระองคเ์ สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยส์ บื ต่อมำ ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ [๒๘๔]

ภำพท่ี ๑๐ ปรำสำทพระโค เมอื งหรหิ รำลยั สมยั พระเจำ้ อนิ ทรวรมนั ท่ี ๑ พระเจ้ายโศวรมันท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๔๓๒ - ๑๔๕๐) เม่ือเสด็จข้ึน ครองรำชยโ์ ปรดใหส้ รำ้ งศำสนสถำน เพ่อื อุทศิ ถวำยแดบ่ รรพบุรุษ (คอื ปราสาท โลเลย) ขน้ึ ท่ีกลำงบำรำยอินทรตฏำกะ แต่หลงั จำกนัน้ พระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ ทรงยำ้ ยไปประทบั ท่ี “ยโศธรปุระ” รำชธำนีทส่ี รำ้ งข้นึ ใหมใ่ นบรเิ วณท่เี รยี กกนั ในปัจจบุ นั วำ่ เมอื งพระนคร การสร้างเมอื งพระนคร กำรสรำ้ งเมอื งยโศธรปุระขน้ึ เป็นรำชธำนีแห่งใหม่นัน้ นักโบรำณคดี เช่อื กนั วำ่ คงจะมกี ำรเลอื กสถำนท่ตี งั้ และกำรวำงผงั เมอื งมำตงั้ แต่รชั กำลของ พระเจ้ำอินทรวรมนั ท่ี ๑ แต่พระองค์สน้ิ พระชนม์ลงก่อน ดงั นัน้ กำรก่อสรำ้ ง ทงั้ หมดจงึ มำแลว้ เสรจ็ ในรชั สมยั ของพระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ [๒๘๕]

พนมกเุ ลน บารายตะวนั ตก บารายตะวนั ออก เมืองพระนคร นครวดั เมืองหริหราลยั ทะเลสาบเขมร ภำพท่ี ๑๑ ภำพถ่ำยดำวเทยี มบรเิ วณเมอื งพระนคร (Angkor) ประเทศกมั พชู ำ สำหรบั เหตุท่ีต้องสร้ำงรำชธำนีแห่งใหม่ข้ึน โดยทัว่ ไปเช่ือกนั ว่ำ เมอื งหรหิ รำลยั นนั้ เตม็ ไปดว้ ยสงิ่ กอ่ สรำ้ งในรชั กำลก่อนๆ จนไมส่ ำมำรถวำงผงั เมืองใหม่สำหรบั รัชกำลของพระเจ้ำยโศวรมันท่ี ๑ ได้อีกต่อไป แต่นัก โบรำณคดฝี รงั ่ เศสบำงท่ำนอธบิ ำยวำ่ อนั ทจ่ี ริงแลว้ เหตุทต่ี ้องยำ้ ยรำชธำนีไปอยู่ ท่ีแห่งใหม่ เน่ืองมำจำกอ่ำงเก็บน้ ำเดิม คือบำรำยอินทรตฏำกะต้ืนเขิน ไม่สำมำรถเกบ็ กกั น้ำไดเ้ พยี งพอกบั ควำมต้องกำรของพน้ื ท่นี ำรอบๆ เมอื งซ่งึ นับวนั ต้องขยำยมำกขน้ึ และในบรเิ วณรำชธำนีเดมิ ไม่มพี น้ื ท่ที ่เี หมำะแก่กำร [๒๘๖]

สรำ้ งอ่ำงกกั เกบ็ น้ำใหม่ จงึ ต้องเลอื กหำสถำนท่ที ส่ี ำมำรถสรำ้ งอ่ำงเกบ็ น้ำใหม่ ท่ีมีขนำดใหญ่กว่ำเดิมและเหมำะสมท่ีจะสร้ำงรำชธำนีแห่งใหม่ข้ึนด้วยใน ขณะเดยี วกนั รำชธำนีแหง่ ใหมซ่ ง่ึ เรยี กกนั ในปัจจุบนั วำ่ เมอื งพระนครนนั้ ตงั้ อยู่หำ่ ง จำกรำชธำนีเก่ำไปทำงทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือรำว ๑๕ กิโลเมตร อีกอำณำ บรเิ วณครอบคลุมพน้ื ท่ตี งั้ แต่ขอบทร่ี ำบสูงพนมกเุ ลนลงมำถงึ ฝัง่ ดำ้ นเหนือของ ทะเลสำบใหญ่ และมีร่องรอยของกำรอยู่อำศยั มำก่อนตงั้ แต่สมยั ก่อนเมอื ง พระนคร ซำกสง่ิ ก่อสรำ้ งท่พี บในบรเิ วณทำงด้ำนตะวนั ตกและตะวนั ออกของ เมืองพระนครแสดงว่ำ ในบรเิ วณท่ีตงั้ เมืองพระนครคงจะเคยเป็นศูนย์กลำง ของเมอื งสำคญั ในรชั สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ ลักษณะภูมิประเทศบริเวณเมืองพระนครมีควำมเหมำะสมเป็ น อย่ำงยิ่ง สำหรบั ใช้เป็ นท่ีตัง้ รำชธำนีอันเป็ นศูนย์กลำงทำงกำรเมืองและ ศูนย์กลำงทำงศำสนำของรำชอำณำจกั ร เพรำะพ้นื ท่โี ดยทวั ่ ไปเป็นท่ีรำบท่ีมี ควำมอุดมสมบูรณ์ยง่ิ เพรำะนอกจำกจะตงั้ อยไู่ ม่ไกลจำกทะเลสำบอนั เป็นคลงั ปลำธรรมชำติขนำดใหญ่ ยงั มีแม่น้ำเสยี มเรยี บไหลลงมำจำกเขำพนมกุเลน (ซงึ่ อยู่ไม่ไกลทางตอนเหนือ) ผำ่ นท่รี ำบลงไปยงั ทะเลสำบใหญ่ ทำใหส้ ำมำรถ สรำ้ งอ่ำงเกบ็ น้ำขนำดใหญ่เพอ่ื เกบ็ กกั น้ำไดต้ ำมตอ้ งกำร พน้ื ทส่ี องฟำกฝัง่ ของ แม่น้ำเสียมเรยี บรวมทัง้ ท่ีรำบลุ่มรอบๆ ทะเลสำบใหญ่อุดมสมบูรณ์มำก สำมำรถทำกำรเพำะปลูกไดด้ ี นอกจำกน้ีในบรเิ วณดงั กล่ำวยงั มภี ูเขำท่จี ะใช้ เป็นศูนยก์ ลำงของรำชธำนีอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธติ ์ ำมควำมเช่อื ศำสนำไดถ้ งึ ๓ แห่ง คอื เขำพนมโกรม พนมบก (บูก) และพนมบำแค็ง เขำพนมบำแค็งถูกเลือกให้ เป็นศูนย์กลำงรำชธำนีแห่งใหม่สำหรบั สร้ำงศำสนำบรรพตประจำรำชธำนี เพรำะไม่สูงจนเกินไปและพ้นื ท่ีโดยรอบน้ำท่วมไม่ถึงเหมำะเป็นท่ตี งั้ ถิ่นฐำน อยอู่ ำศยั รำชธำนีแห่งใหม่ท่ีสรำ้ งข้นึ น้ีมีแผนผงั เป็นรูปสเ่ี หล่ยี มจัตุรสั มเี ชิง เทนิ ดนิ และคนู ้ำลอ้ มรอบทงั้ สด่ี ำ้ น มศี ำสนบรรพตประจำรำชธำนี (คอื ปราสาท พนมบาแคง็ ) ตงั้ อยู่บนเขำพนมบำแคง็ ซง่ึ เป็นศูนยก์ ลำงของเมอื งมอี ่ำงเกบ็ น้ำ [๒๘๗]

ขนำดใหญ่ (ซงึ่ มชี อื่ เรยี กเป็นทางการวา่ ยโศธรตฏากะ ปัจจบุ นั เรยี กวา่ บาราย ตะวนั ออก) ตงั้ อย่ทู ำงดำ้ นทศิ ตะวนั ออกคอ่ นไปทำงเหนือของตวั เมอื ง อ่ำงเกบ็ น้ำแหง่ น้ีกวำ้ งรำว ๑,๘๐๐ เมตร และยำวรำว ๗,๕๐๐ เมตร ภำพท่ี ๑๒ ปรำสำทพนมบำแคง็ ศนู ยก์ ลำงของเมอื งพระนคร ลกั ษณะทำงกำยภำพของรำชธำนีแห่งใหม่รวมทงั้ สง่ิ ก่อสรำ้ งต่ำงๆ แสดงให้เห็นอย่ำงชัดเจนว่ำ มีกำรจดั วำงผงั เมืองเพ่ือให้เป็ นรำชธำนีอัน ศกั ดสิ ์ ทิ ธติ ์ ำมควำมเช่ือในศำสนำของชำวกมั พูชำท่ีได้รบั มำจำกวฒั นธรรม อนิ เดยี เชิงเทินดนิ และคูน้ำท่ีล้อมรอบเมอื งเปรยี บเสมอื นทิวเขำและแม่น้ำท่ี ล้อมรอบเขำพระสุเมรุ เขำพนมบำแค็งซ่ึงตงั้ อยู่ใจกลำงเมืองและมีปรำสำท พนมบำแคง็ ตงั้ อยู่บนยอดเขำด้วยนัน้ คอื สญั ลกั ษณ์แห่งเขำพระสุเมรุท่ีเป็น ศูนยก์ ลำงของจกั รวำล บำรำยตะวนั ออกซง่ึ สรำ้ งขน้ึ เพ่อื กำรชลประทำนถูกใช้ เป็นสญั ลกั ษณ์แหง่ สระน้ำอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ละมหำสมทุ รทม่ี อี ยคู่ จู่ กั รวำลดว้ ย [๒๘๘]

ภำพท่ี ๑๓ พนงั หรอื คนั ดนิ ของบำรำยตะวนั ออก ซง่ึ ปัจจุบนั พน้ื ทเ่ี กบ็ กกั น้ำภำยในบำรำยต้นื เขนิ กลำยสภำพเป็นทน่ี ำ พระเจ้ำยโศวรมันท่ี ๑ โปรดให้สร้ำงศำสนสถำนข้ึนบนภูเขำอีก หลำยแห่ง นอกจำกบนเขำพนมบำแคง็ แล้วยงั โปรดใหส้ ร้ำงศำสนำสถำนข้นึ บนเขำพนมโกรมและเขำพนมบกด้วย กำรก่อสร้ำงศำสนสถำนบนภูเขำ สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ กำรสบื ทอดคตคิ วำมเช่อื ดงั้ เดมิ ของขำวเขมรท่มี ตี ่อภูเขำว่ำ ภูเขำเป็นสถำนท่ศี กั ดสิ ์ ทิ ธศิ ์ ูนยร์ วมแห่งอำนำจเพรำะภูเขำเป็นท่ีประทบั ของ เทพเจ้ำส่ิงก่อสร้ำงต่ำงๆ ท่ีพระเจ้ำยโศวรมนั ท่ี ๑ โปรดให้สร้ำงข้ึนท่ีเมือง พระนครนัน้ แสดงให้เหน็ ถงึ ควำมยงิ่ ใหญ่ของรำชอำณำจกั รกมั พชู ำในรชั สมยั ของพระองคเ์ ป็นอยำ่ งดี พระรำชอำนำจทำงกำรเมืองของพระองค์ขยำยกว้ำงออกไปไกล มีกำรค้นพบจำรึกของพระองค์ในเขตประเทศลำวตอนใต้ และในเขต ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยด้วย หลงั จำกท่ีพระเจ้ำยโศวรมนั ท่ี ๑ ส้ินพระชนม์ลง พระโอรสของพระองค์เสด็จข้ึนครองรำชย์สืบต่อมำ ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ หรรษวรมนั ท่ี ๑ [๒๘๙]

พระเจ้าหรรษวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๔๕๐ - ๑๔๖๖) เม่ือเสด็จข้ึน ครองรำชย์โปรดใหส้ รำ้ งปรำสำทเพ่อื อุทิศถวำยแด่พระรำชบิดำและพระรำช มำรดำ (คอื ปราสาทปักษีจากรง) ปรำสำทหลงั น้ีเป็นศำสนสถำนขนำดเล็กท่ี ประกอบด้วยปรำสำทอิฐหลงั เดียวตัง้ อยู่บนฐำนศิลำแลงท่ีซ้อนเป็ นชัน้ ๆ ๕ ชนั้ หลังจำกท่ีพระองค์ส้ินพระชนม์ลง พระอนุชำของพระองค์เสด็จข้ึน ครองรำชยท์ รงพระนำมวำ่ พระเจำ้ อศิ ำนวรมนั ท่ี ๒ ภำพท่ี ๑๔ ปรำสำทปักษจี ำกรง ตงั้ อย่ทู เ่ี ชงิ เขำพนมบำแคง็ พระเจ้าอิศานวรมนั ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๔๖๖ - ๑๔๗๑) ในรชั กำลน้ีเรำ ทรำบแต่เพียงวำ่ มกี ำรก่อสร้ำงศำสนำสถำนข้นึ ท่ีเมอื งพระนคร ๑ แห่ง (คอื ปราสาทกระวนั ) แต่ผู้สร้ำงเป็นขำ้ รำชกำรชนั้ สูงในรำชสำนัก พระเจ้ำอิศำน วรมนั ท่ี ๒ ครองรำชย์อยู่ไม่นำนก็เปล่ยี นรชั กำลใหม่ พระรำชำองค์ใหม่ทรง เป็นพระปิตุลำองคห์ น่ึงของพระองค์ เม่อื เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชย์ทรงพระนำมว่ำ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๔ [๒๙๐]

พระเจ้าชัยวรมนั ท่ี ๔ (พ.ศ. ๑๔๗๑ - ๑๔๘๕) พระรำชำองค์น้ี กอ่ นท่จี ะเสดจ็ ขน้ึ ครองรำชยป์ ระทบั อยูท่ เ่ี กำะแกร์ (gargyar) ซง่ึ ตงั้ อยหู่ ำ่ งจำก เมืองพระนครไปทำงทิศตะวนั ออกรำว ๑๐๐ กิโลเมตร และเม่ือเสด็จข้ึน ครองรำชยก์ ท็ รงตงั้ รำชธำนีอยทู่ เ่ี กำะแกร์ มกี ำรสรำ้ งศำสนบรรพตและอ่ำงเกบ็ น้ำขนำดใหญ่ขน้ึ ทเ่ี กำะแกรด์ ว้ ย เรำไม่ทรำบว่ำเกิดอะไรข้ึนท่ีเมืองพระนครซ่ึงเป็ นเหตุให้พระเจ้ำ ชัยวรมนั ท่ี ๔ ไม่เสด็จมำประทับท่ีเมืองพระนคร นักโบรำณคดีบำงท่ำน สนั นิษฐำนว่ำเหตุท่ีพระเจ้ำชัยวรมนั ท่ี ๔ ตงั้ รำชธำนีอยู่ท่ีเกำะแกร์อำจจะ เน่ืองมำจำกบำรำยตะวนั ออกท่ีเมืองพระนครต้ืนเขินมำกจนเก็บกกั น้ำได้ ไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำรของชุมชนท่ีนับวนั จะขยำยตัวใหญ่ข้ึนเร่อื ยๆ พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๔ ครองรำชย์อยู่ท่ีเกำะแกร์รำว ๑๔ ปี ก็ส้ินพระชนม์ พระโอรสของพระองคเ์ สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยท์ ่เี กำะแกรส์ บื ต่อมำทรงพระนำมว่ำ พระเจำ้ หรรษวรมนั ท่ี ๒ ภำพท่ี ๑๕ ปรำสำทธมทเ่ี กำะแกร์ ศนู ยก์ ลำงรำชธำนีของพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๔ [๒๙๑]

พระเจ้าหรรษวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๔๘๗ - ๑๕๑๑) เสด็จข้ึน ครองรำชย์ได้เพียง ๒ ปี เท่ำนัน้ ก็ส้ินพระชนม์ ผู้ครองรำชย์สืบต่อมำทรง พระนำมวำ่ พระเจำ้ รำเชนทรวรมนั พระเจ้าราเชนทรวรมนั (พ.ศ. ๑๔๘๗ - ๑๕๑๑) พระรำชำองค์น้ี ทรงเป็นเจำ้ ชำยแหง่ แควน้ ภวปุระทอ่ี ยทู่ ำงตอนเหนือของกมั พูชำ เม่อื เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชย์เป็นกษัตรยิ ์แห่งรำชอำณำจกั รกมั พูชำก็เสด็จมำประทับท่ีเมือง พระนคร พระองค์ทรงทำให้เมืองพระนครกลับคืนสู่ควำมย่ิงใหญ่ในฐำนะ รำชธำนีอกี ครงั้ โปรดให้บูรณะศำสนสถำนเก่ำในเขตเมอื งพระนครทส่ี รำ้ งข้นึ ในรชั กำลก่อนๆ เช่น ท่ีปรำสำทปักษีจำกรง โปรดให้ปรบั ปรุงวำงผงั พ้ืนท่ี ทำงดำ้ นตะวนั ออกของเมอื งพระนครเพ่อื สรำ้ งศำสนสถำนประจำรชั กำล และ ปรบั ปรุงบำรำยตะวนั ออกโดยกำรยกคนั เข่อื นให้สูงข้นึ หลงั จำกนัน้ โปรดให้ สร้ำงศำสนสถำนข้ึนท่ีเมืองพระนคร ๒ แห่ง ตำมแบบประเพณีท่ีพระเจ้ำ ยโศ วรมนั ท่ี ๑ ทรงทำมำก่อนแห่งแรกคอื ศำสนสถำนอุทศิ ถวำยแดบ่ รรพบุรุษ ของพระองค์ (คอื ปราสาทแม่บุญตะวนั ออกซึง่ ตงั้ อยู่กลางบารายตะวนั ออก) แห่งท่ีสองคือศำสนสถำนประจำรำชธำนี (คือปราสาทแปรรูป) เพ่ือเป็ นท่ี ประดิษฐำนรูปเคำรพของเทวดำผูค้ ุ้มครองรำชธำนี (เทวราชา หรอื กมรเตง ชคต ราช) ในรชั กำลน้ีมขี ำ้ รำชกำรชนั้ สูงในรำชสำนักหลำยท่ำนก่อสรำ้ งศำสน สถำนข้ึนด้วย คือ ท่ำนกวีนทรำรมิ ถั นะ สร้ำงศำสนสถำนเพ่ือประดิษฐำน พระพุทธรูปและพุทธเทพในศำสนำพุทธลทั ธมิ หำยำน (คือปราสาทบาทชุม) ข้ึนในบริเวณด้ำนทิศตะวนั ออกของเมืองพระนคร พรำหมณ์ทิวำกรภัทร์ สรำ้ งศำสนสถำนในศำสนำฮินดูลทั ธไิ ศวนิกำย (คอื ปราสาทอนิ ทรโ์ กส)ี ขน้ึ ท่ี ริมฝัง่ แม่น้ำเสียมเรียบในบริเวณรอบนอกเมืองพระนครทำงตอนใต้ และ พรำหมณ์ยชั ญวรำหะมหำรำชครูประจำรำชสำนัก สรำ้ งศำสนสถำนเพ่อื อุทศิ ถวำยแด่พระอิศวร (คือปราสาทบนั ทายสร)ี ข้นึ ทำงตอนเหนือห่ำงจำกเมือง พระนครออกไปรำว ๒๕ กโิ ลเมตร แต่มำเสรจ็ สมบูรณ์ในรชั กำลตอ่ มำ [๒๙๒]

ภำพท่ี ๑๖ ปรำสำทแมบ่ ุญตะวนั ออก ตงั้ อย่กู ลำงบำรำยตะวนั ออก ภำพท่ี ๑๗ ปรำสำทแปรรปู ศำสนสถำนประจำรำชธำนสี มยั พระเจำ้ รำเชนทรวรมนั [๒๙๓]

ภำพท่ี ๑๘ ปรำสำทบนั ทำยสรี สรำ้ งใน พ.ศ. ๑๕๑๐ ภำพท่ี ๑๙ ลวดลำยสลกั อนั งดงำมทผ่ี นงั ปรำสำทบนั ทำยสรี [๒๙๔]

พระเจำ้ รำเชนทรวรมนั ทรงขยำยอำนำจทำงกำรเมอื งของพระองค์ ออกไปทำงดำ้ นทศิ ตะวนั ตกเขำ้ มำถงึ ดนิ แดนบำงส่วนในภำคตะวนั ออกเฉียง เหนือของไทย ด้วยมีกำรค้นพบจำรึกของพระองค์หลำยหลักในบริเวณ ดังกล่ำว และในตอนปลำยรัชกำลพระองค์ทรงยกกองทัพไปรุกรำน อำณำจกั รจมั ปำ (ในประเทศเวยี ดนำม) และทรงไดร้ บั ชยั ชนะ เม่อื สน้ิ พระชนม์ ลงพระโอรสของพระองค์เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชยท์ รงพระนำมว่ำ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ พระเจ้าชัยวรมนั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๑๕๑๑ - ๑๕๔๓) พระองค์เสด็จข้ึน ครองรำชย์ในขณะท่รี งพระเยำวม์ ำก จงึ ทำใหข้ นุ นำงในรำชสำนักหลำยท่ำนมี อำนำจมำก โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งพรำหมณ์ผู้มีนำมว่ำ ยชั ญวรำหะ ซ่ึงเป็ น พระอำจำรยข์ องพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ ในจำรกึ กล่ำวว่ำ “ท่านผนู้ ้ีเป็นผตู้ กลงใน กจิ กรรมทุกอย่าง” ในขณะท่กี ษตั รยิ ท์ รงพระเยำวแ์ ละเม่อื ทรงเป็นหนุ่มอำนำจ ของพรำหมณ์ผูน้ ้ีกย็ งั คงมอี ยู่มำก เพรำะ “ทรงรบั คาขอรอ้ งจากพระอาจารย์ ของพระองคแ์ ละทรงมพี ระทยั พรอ้ มทจี่ ะอานวยประโยชน์ให้” ในรชั กำลน้ีอำณำเขตของรำชอำณำจกั รกมั พูชำขยำยเข้ำมำใน บรเิ วณภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยมำกข้นึ ดว้ ย มกี ำรค้นพบจำรกึ ของ พระองคห์ ลำยหลกั ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย ทจ่ี งั หวดั อุบลรำชธำนี สรุ นิ ทร์ บุรรี มั ย์ มหำสำรคำม และนครรำชสมี ำ สำหรบั ศำสนสถำนท่พี ระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ โปรดให้สรำ้ งข้นึ ท่เี มอื ง พระนครนัน้ ไม่ทรำบแน่ชดั ว่ำเป็นหลงั ใด หลกั ฐำนท่ีปรำกฏในจำรกึ กล่ำวว่ำ พระองค์โปรดให้สร้ำงศำสนบรรพตประจำรำชธำนีข้ึนด้วย นักโบรำณคดี สนั นิษฐำนว่ำอำจจะเป็นปรำสำทตำแก้ว แต่กำรก่อสร้ำงยงั ไม่ทนั แล้วเสร็จ เพรำะส้นิ พระชนม์ลงก่อน พระรำชำท่ีครองรำชย์สบื ต่อมำทรงพระนำมว่ำ พระเจำ้ อทุ ยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๑ พระเจ้าอทุ ยั ทิตยวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๔ - ๑๕๔๕) พระรำชำองค์ น้ีทรงครองรำชย์อยู่เพยี งปีเดยี วก็สน้ิ พระชนม์โดยไม่ทรำบสำเหตุท่ีแน่นอน หลงั จำกนัน้ บ้ำนเมืองก็วุ่นวำยเน่ืองจำกเกิดสงครำมแย่งรำชสมบตั ิระหว่ำง [๒๙๕]

เจ้ำชำย ๒ พระองค์ ผู้ท่ีได้ชัยชนะในสงครำมครงั้ น้ีได้เสด็จข้ึนครองรำชย์ สบื ต่อมำทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ ชยั วรี วรมนั ภำพท่ี ๒๐ ปรำสำทตำแกว้ สนั นษิ ฐำนว่ำสรำ้ งขน้ึ ในสมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ พระเจ้าชัยวีรวรมัน (พ.ศ. ๑๕๔๕ - ๑๕๕๓) เม่ือเสด็จข้ึน ครองรำชย์คงจะโปรดให้สร้ำงข้นึ ท่ีเมอื งพระนครด้วย เช่ือกันว่ำปรำสำทท่ี พระองค์ทรงสรำ้ งขน้ึ น่ำจะเป็นปรำสำทเกลยี ง (คลงั ) หลงั เหนือ เพรำะได้พบ จำรกึ ของพระองค์ท่ีปรำสำทหลงั น้ี นอกจำกน้ีพระองค์ยงั ทรงพยำยำมท่ีจะ สบื สำนกำรก่อสรำ้ งศำสนบรรพตประจำรำชธำนีท่สี รำ้ งมำแต่รชั กำลก่อนดว้ ย (คอื ปราสาทตาแก้ว) แต่ยงั ไม่แล้วเสรจ็ สมบูรณ์อกี เช่นกนั เพรำะเกดิ สงครำม แย่งชิงรำชบัลลังก์อีกครงั้ โดยผู้ท่ีพ่ำยแพ้พระองค์ไปในกำรต่อสู้ครงั้ แรก แต่ครงั้ น้ีพระองค์กลบั เป็นฝ่ ำยพ่ำยแพ้ ผู้ชนะได้เสด็จข้ึนครองรำชย์ท่ีเมอื ง พระนครสบื ต่อมำทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ [๒๙๖]

พระเจ้าสุริยวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๕ - ๑๕๙๓) นกั โบรำณคดเี ช่อื กนั วำ่ ถงึ แมพ้ ระเจ้ำสรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ จะทรงพำ่ ยแพส้ งครำมแย่งชงิ รำชสมบตั ใิ น ครงั้ แรก แต่พระองคท์ รงคดิ ว่ำพระองคท์ รงเป็นกษตั รยิ แ์ หง่ พระรำชอำณำจกั ร กมั พูชำอกี พระองค์หน่ึงด้วย แต่มิไดค้ รองรำชย์อยู่ท่เี มอื งพระนครเช่อื กนั ว่ำ พระองค์คงจะประทบั อยู่ท่แี คว้นรอบนอก จงึ ไดพ้ บศำสนสถำนขนำดใหญ่ท่ี เก่ียวข้องกับพระองค์ ตัง้ อยู่บนเทือกเขำพนมดงเร็ก (คือปราสาทเขา พระวิหาร) กำรเรมิ่ ต้นรชั กำลของพระองค์จงึ อำจจะนับตรงกับกำรเริ่มต้น รชั กำลของพระเจ้ำชยั วรี วรมนั และต่อมำเม่อื ทำสงครำมแย่งชิงรำชสมบตั ิท่ี เมอื งพระนครอกี ครงั้ และทรงไดช้ ยั ชนะ จงึ เสดจ็ มำครองรำชยท์ ่เี มอื งพระนคร ในปี พ.ศ. ๑๕๕๓ ภำพท่ี ๒๑ ปรำสำทประธำนของปรำสำทเขำพระวหิ ำร [๒๙๗]

อำณำเขตของพระรำชอำณำจกั รกัมพูชำในรชั กำลน้ีคงจะกว้ำง ออกไปกว่ำเดิมมำก มีกำรค้นพบจำรึกของพระองค์ท่ีแคว้นจำปำศักดิใ์ น ประเทศลำวตอนใต้และภำคกลำงท่ีจงั หวดั ลพบุรี ภำคตะวนั ออกท่ีจงั หวดั ปรำจนี บุรี และในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยดว้ ย สงิ่ ก่อสรำ้ งในรชั สมยั ของพระองคท์ ่ียงั ปรำกฏหลกั ฐำนอยู่ท่เี มอื งพระนคร ไดแ้ ก่ พระรำชวงั หลวง และปรำสำทพมิ ำนอำกำศ ซ่งึ สนั นิษฐำนกนั ว่ำน่ำจะเป็นศำสนบรรพตประจำ รชั กำล นอกจำกน้ียงั มปี รำสำทเกลยี ง (คลงั ) หลงั ใตอ้ กี ๑ แหง่ ดว้ ย ภำพท่ี ๒๑ ปรำสำทพมิ ำนอำกำศในเขตพระรำชวงั หลวงของเมอื งพระนคร พระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ ทรงครองรำชยน์ ำนเกอื บ ๕๐ ปี พระองคท์ รง ทำให้พระรำชอำณำจกั รกัมพูชำรุ่งเรืองอย่ำงมำกมำย หลังจำกพระองค์ สน้ิ พระชนมล์ ง โอรสของพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยส์ บื ต่อมำ ทรงพระนำม วำ่ พระเจำ้ อุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ [๒๙๘]

พระเจ้าอทุ ยั ทิตยวรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๕๙๓ - ๑๖๐๙) เม่อื เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชย์ โปรดให้สร้ำงอ่ำงเก็บน้ำขนำดใหญ่ข้นึ เพ่อื เก็บกกั น้ำจำกแม่น้ำ O Klok ซง่ึ ไหลลงมำจำกเขำพนมกุเลน อ่ำงเกบ็ น้ำแห่งน้ี (ซงึ่ มชี อื่ เรยี กกนั ใน ปัจจุบันว่าบารายตะวนั ตก) มีขนำดใหญ่กว่ำอ่ำงเก็บน้ำเก่ำ (หรือบาราย ตะวนั ออก) คอื มขี นำดกวำ้ ง ๒,๒๐๐ เมตร ยำว ๘,๐๐๐ เมตร ภำพท่ี ๒๒ บำรำยตะวนั ตก นกั โบรำณคดเี ช่อื กนั วำ่ บำรำยตะวนั ตกคงจะเรมิ่ วำงผงั และสรำ้ งขน้ึ ตงั้ แต่ในสมยั ของพระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ เน่ืองจำกรำยตะวนั ออกเก็บกกั น้ำได้ ไมพ่ อเพยี งต่อพน้ื ทน่ี ำทม่ี อี ยรู่ อบเมอื งพระนคร แตก่ ำรก่อสรำ้ งคงมำแลว้ เสรจ็ สมบูรณ์ในรชั กำลของพระเจำ้ อุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ และทน่ี ่ำสนใจยงิ่ คอื ทก่ี ลำง บำรำยตะวนั ตกมีศำสนสถำนหลงั หน่ึง (คอื ปราสาทแม่บุญตะวนั ตก) ตงั้ อยู่ ดว้ ยศำสนสถำนแห่งน้ีมลี กั ษณะทำงสถำปัตยกรรมต่ำงไปจำกปรำสำทเขมร โดยทวั ่ ไป เพรำะตวั ศำสนสถำนทใ่ี ช้เป็นทป่ี ระดษิ ฐำนรปู เคำรพ มลี กั ษณะเป็น เพยี งเกำะท่สี ระน้ำอยูต่ รงกลำง ขอบเขตทล่ี อ้ มรอบศำสนำสถำนหลงั น้ีก่อเป็น [๒๙๙]

กำแพงทงั้ สด่ี ำ้ น มโี คปุระทำงเขำ้ อยทู่ ำงดำ้ นทศิ ตะวนั ออกเช่อื มต่อกบั ทำงเดนิ ท่ีขำ้ มไปยงั เกำะกลำงน้ำได้ มกี ำรค้นพบรูปเคำรพศิวลึงค์และพระนำรำยณ์ บรรทมสนิ ธขุ์ นำดใหญ่ทห่ี ล่อดว้ ยสำรดิ ประดษิ ฐำนอยภู่ ำยในสระน้ำดว้ ย ภำพท่ี ๒๓ ปรำสำทแมบ่ ุญตะวนั ตก ตงั้ อยกู่ ลำงบำรำยตะวนั ตก ภำพท่ี ๒๔ ประตมิ ำกรรมสำรดิ รปู พระนำรำยณ์บรรทมสนิ ธุ์ ยำว ๒.๒๒ เมตร [๓๐๐]