Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Description: หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Search

Read the Text Version

ภำพท่ี ๓๓ ลกู ปัดแกว้ และหวั แหวนสลกั แบบโรมนั พบทแ่ี หลง่ โบรำณคดคี วนลกู ปัด อำเภอคลองทอ่ ม จงั หวดั กระบ่ี ๒.๒ ฝัง่ ตะวนั ออก พ้ืนท่ีฝัง่ ตะวนั ออกเป็ นท่ีรำบลดระดบั และมี แผ่นดนิ งอก เน่ืองจำกมสี นั เขำเป็นตน้ ทำงของแม่น้ำสำยสนั้ ๆ และมลี มมรสุม ตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ละตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ตุลำคม - มกรำคม) ทำใหม้ ฝี นตก มำกเกิดเป็นแม่น้ำสำยสัน้ ๆ ไหลลงแม่น้ำใหญ่ทำให้เกิดสนั ทรำย ซ่ึงเป็นท่ี เหมำะสมต่อกำรตงั้ ถน่ิ ฐำนและกำรเพำะปลูก (บนทร่ี ำบบนสนั ทรำย) จงึ มกี ำร ตงั้ ชุมชนอย่บู รเิ วณเชงิ เขำ (ห่ำงทะเลประมำณ ๒๐-๓๐ กโิ ลเมตร) และบรเิ วณ ทร่ี ำบรมิ ฝัง่ ทะเล แหลง่ โบรำณเมอื งโบรำณสำคญั มดี งั น้ี ๒.๒.๑ เขาสามแก้ว ตำบลนำชะองั อำเภอเมอื ง จงั หวดั ชมุ พร พบโบรำณวัตถุแบบโรมันแบบอินโด - โรมัน เช่น ลูกปั ดแก้วมีตำ และ โบรำณวตั ถุและโบรำณวตั ถุจำกอินเดยี เช่น ลูกปัดหนิ คำรเ์ นเลียนและอำเกต แบบเรยี บและแบบฝังสแี ละดำ้ มทพั พสี ำรดิ รปู นกยงู [๒๐๑]

ภำพท่ี ๓๔ ลกู ปัดหนิ กง่ึ มคี ่ำและลกู ปัดแกว้ สเี ดยี ว พบทแ่ี หล่งโบรำณคดเี ขำสำมแกว้ จงั หวดั ชมุ พร (ทม่ี ำ: อำจำรยป์ ระอร ศลิ ำพนั ธ)ุ์ ๒.๒.๒ เขาศรีวิชยั อำเภอพุนพิน จงั หวดั สุรำษฎร์ธำนี พบ เทวรูปพระวิษณุ (อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒) และศำสนสถำน ๘ แห่ง ซง่ึ แสดงถงึ ควำมรงุ่ เรอื งของศำสนำพรำหมณ์ในจงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี ๒.๒.๓ วัดอัมพาวาส อำเภอท่ำชนะ จังหวัดสุรำษฎร์ธำนี พบโบรำณวตั ถุจำกอนิ เดยี ประเภทลกู ปัดหนิ คำรเ์ นเลยี นและอำเกต ๒.๒.๔ แหลมโพธ์ิ ตำบลพมุ เรยี ง อำเภอไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฎร์ ธำนี เกิดจำกแผ่นดนิ ใหญ่ท่ีมีคลองพุมเรียงไหลผ่ำน พบโบรำณวตั ถุท่ีเป็น สินค้ำต่ำงชำติจำกอินเดีย จนี และอำหรบั จำกกำรขุดตรวจทำงโบรำณคดี [๒๐๒]

(รำว พ.ศ. ๒๕๒๒ - ๒๕๒๔) โดยกรมศิลปำกร (โครงกำรโบรำณคดภี ำคใต้) ไดพ้ บเคร่อื งถว้ ยจนี สมยั รำชวงศ์ถงั (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๕) ภำพท่ี ๓๕ ชน้ิ ส่วนชำมจำกเตำฉำงซำสมยั รำชวงศถ์ งั พบทแ่ี หลมโพธิ์อำเภอไชยำ จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี มอี กั ษรเป็นพระนำมของ “อลั ลอฮฺ” (ทม่ี ำ: อมรำ ศรสี ชุ ำต,ิ ศรวี ชิ ยั ในสวุ รรณทวปี (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, 2557), 284.) ๒.๒.๕ ไชยา จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี เป็นท่ตี งั้ ของชุมชนโบรำณ พบเทวรูปพระวษิ ณุท่ีเก่ำท่ีสุดในคำบสมุทรด้วย มีกำรขุดค้นทำงโบรำณคดี (รำว พ.ศ. ๒๕๒๒ - ๒๕๒๔) โดยกรมศลิ ปำกร (โครงกำรโบรำณคดภี ำคใต้) บรเิ วณสนั ทรำยพบว่ำมีวฒั นธรรมเดียว (ชนั้ ดินลกึ เพียง ๑๐๐ เซนติเมตร) มีอำยุไม่เก่ำไปกว่ำพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ นอกจำกนัน้ ยงั ได้ขุดตรวจบรเิ วณ วดั หลง และได้พบเคร่อื งถ้วยจนี สมยั รำชวงศ์หมงิ (พุทธศตวรรษท่ี ๒๐-๒๒) [๒๐๓]

สว่ นหลกั ฐำนดำ้ นศลิ ปกรรมเน่ืองในศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพทุ ธนนั้ ไดพ้ บ เป็นจำนวนมำก ภำพท่ี ๓๖ ประตมิ ำกรรมสำรดิ รปู พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร (?) จำกอำเภอไชยำ จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี จดั แสดงอย่พู พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร ๒.๒.๖ นครศรีธรรมราช บริเวณสนั ทรำยมรี ่องรอยกำรตงั้ ถนิ่ ฐำนของชมุ ชนโบรำณหลำยแหง่ เช่น เมอื งพระเวยี ง ชุมชนโบรำณท่ำศำลำ สชิ ล ชุมชนโบรำณท่ำเรอื มคี ลองท่ำเรอื ไหลผ่ำน (คลองกวำ้ งประมำณ ๓๐- ๕๐ เมตร) สำเภำเข้ำถึงได้ สันนิษฐำนว่ำตำมพรลิงค์เป็ นช่ือเดิมของ นครศรธี รรมรำช (ช่อื ภำษำสนั สกฤต) ซง่ึ จนี เรยี กว่ำ ดนั มำลงิ ชำวเมอื งนบั ถอื [๒๐๔]

ศำสนำพรำหมณ์ ดังได้พบร่องรอยโบรำณสถำนในศำสนำพรำหมณ์ (ไศวนิกำย) บนเขำคำ อำเภอสชิ ล ซง่ึ มอี ำยอุ ยใู่ นชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๖ ภำพท่ี ๓๗ โบรำณสถำนเขำคำ อำเภอสชิ ล จงั หวดั นครศรธี รรมรำช ๒.๒.๗ สทิ งพระ จงั หวัดสงขลำ มีร่องรอยชุมชนโบรำณ บริเวณสทิงพระ มีกำรขุดค้นในบรเิ วณตัวเมืองโบรำณ โดยขุดค้นบรเิ วณ โรงเรยี นในเมอื ง พบเตำเผำภำชนะ (เตำปะโอ) เคร่อื งถ้วยสมยั ศรวี ชิ ยั สขี ำว นวล ปะปนกบั เคร่อื งถว้ ยจนี สมยั รำชวงศ์ซุ่งตอนปลำยต่อสมยั รำชวงศ์หยวน (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘) ๒.๒.๘ ยะรงั จงั หวดั ปัตตำนี เมอื งโบรำณยะรงั เป็นท่ีตงั้ ของ ชุมชนเก่ำแก่ขนำดใหญ่ ตำมท่ีจีนเอ่ยถึงลงั ยำเสียว (อำหรบั เรยี กว่ำ ลงั กำ สุกะ) ว่ำมคี วำมสำคญั ตงั้ แต่ช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ เป็นตน้ ไป กรมศลิ ปำกร ไดท้ ำกำรขดุ คน้ และขดุ แต่งโบรำณสถำนในบริเวณบ้ำนจำเละ บำ้ นวดั และบำ้ น [๒๐๕]

ปะแว ไดพ้ บร่องรอยวฒั นธรรมศรวี ชิ ยั อยำ่ งเดน่ ชดั เชน่ พระพมิ พด์ นิ ดบิ และ สถปู จำลองดนิ เผำจำนวนมำก ภำพท่ี ๓๘ โบรำณสถำนจำเละ หมำยเลข 3 เมอื งยะรงั จงั หวดั ปัตตำนี ๓. หลกั ฐานด้านจารึก จำรึกท่ีพบในภำคใต้ส่วนใหญ่เป็นภำษำสนั สกฤต แต่ท่ีเป็นภำษำ ทมฬิ ภำษำเขมรกพ็ บบ้ำง และยงั ไดพ้ บจำรกึ ภำษำมอญดว้ ย แต่ท่นี ่ำสงั เกต คือไม่พบจำรกึ ภำษำบำลีเลย สำหรบั จำรึกท่ีเก่ียวข้องอำณำจกั รศรวี ชิ ยั ก็มี จำรกึ หลกั ท่ี ๒๓ (ซ่ึงได้มีกำรอ่ำนและแปลไว้แล้วและตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ ประชุมศลิ ำจำรกึ สยำม ภำคท่ี ๒) หลกั ท่ี ๒๓ พบท่วี ดั เวยี ง อำเภอไชยำ จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี (หรอื ท่ี วดั เสมำเมอื ง นครศรธี รรมรำช) เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤต ตวั อกั ษรหลงั ปัลลวะ [๒๐๖]

จำรกึ ไวใ้ นปี ค.ศ. ๗๗๕ (พ.ศ. ๑๓๑๘) มี ๒ หน้ำ หน้ำ ๑ มี ๒๙ บรรทดั มคี ำ ว่ำ ศรีวชิ เยนทรำชำ และศรีวิชเยศวรภูปติ ซ่ึงศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ แปลว่ำ “พระเจ้ำกรุงศรีวิชัย” ส่วนศำสตรำจำรย์แสง มนวิทูร แปลว่ำ “ศรวี ชิ เยนทรรำชำ” และกล่ำวถึงกำรสร้ำงปรำสำทอิฐ ๓ หลงั เพ่อื บูชำพระ โพธสิ ตั วป์ ัทมปำณี พระพทุ ธเจำ้ และพระโพธสิ ตั วว์ ชั รปำณี ส่วนหน้ำ ๒ จำรกึ ไว้ไม่จบ มี ๔ บรรทดั เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตตวั อกั ษรหลงั ปัลลวะเช่นกนั เป็นเรอ่ื งกษตั รยิ ว์ งศไ์ ศเลนทร์ ๔. หลกั ฐานด้านศิลปกรรม หลกั ฐำนด้ำนศิลปกรรมสมยั ศรวี ิชัยในภำคใต้มีทัง้ หลักฐำนด้ำน สถำปัตยกรรมและประตมิ ำกรรม ๔.๑ สถาปัตยกรรม แบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ ชว่ ง ๑. ช่วงแรก เป็ นสถำปัตยกรรมแบบศรีวิชัย มีอำยุอยู่ ระหว่ำงพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๕ สร้ำงข้ึนในคติพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน เท่ำท่ยี งั ปรำกฏอยู่ในปัจจุบนั อยู่ในเขตอำเภอไชยำ จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี คือ พระบรมธำตุไชยำ เจดยี ว์ ดั แกว้ และฐำนเจดยี ว์ ดั หลง สถำปัตยกรรมสมยั ศรวี ชิ ยั มรี ปู แบบเป็นทรงมณฑปหรอื ทรงปรำสำท (คล้ำยจันทิในชวำภำคกลำง และคล้ำยคลึงกับปรำสำทจำมท่ีฮัวไลและ ปรำสำทเขมรในสมยั กุเลน รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ เน่ืองจำกรบั อทิ ธพิ ลอนิ เดยี มำเช่นกนั ) ท่ียงั คงรูปทรงให้ศึกษำได้คอื พระบรมธำตุไชยำ ซ่ึงมีผงั เป็นรูป สเ่ี หล่ยี มจตั ุรสั มมี ุขย่นื ๔ ด้ำน เป็นแปลนรูปกำกบำท มีเจดยี ์ประธำนท่ีเป็ น เรอื นธำตุมสี ว่ นหน้ำมุขย่นื ออกมำทงั้ ๔ ดำ้ น ส่วนยอดลดหลนั ่ เป็นชนั้ ๓ ชนั้ ประดิษฐำนเจดยี ์จำลองชนั้ ละ ๘ องค์ (คล้ำยคลงึ กบั สถำปัตยกรรมแบบรถะ ของอินเดียใต้ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓) ส่วนวดั แก้วนัน้ มีโครงสร้ำง เดยี วกบั พระบรมธำตุไชยำ แต่มวี วิ ฒั นำกำรมำกกวำ่ และมรี ูปแบบคลำ้ ยแบบ สถำปัตยกรรมของจำมหรอื เขมรแบบกุเลนในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ [๒๐๗]

ภำพท่ี ๓๙ โบรำณสถำนวดั แกว้ อำเภอไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี ๒. ช่วงสอง เป็ นสถำปัตยกรรมแบบผสมผสำนแบบ ศรวี ชิ ยั และแบบลงั กำเขำ้ ดว้ ยกนั มอี ำยุอยู่ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ โดย นิยมสร้ำงเจดยี ์ทรงกลมบนฐำนกำกบำท เช่น เจดยี ์ใหญ่ท่วี ดั สทงิ พระสงขลำ หรอื เจดยี ท์ รงกลมบนฐำนจตั ุรสั เช่น เจดยี ท์ ว่ี ดั พะโคะ สทงิ พระ เป็นตน้ ๔.๒ ประติมากรรม ประติมำกรรมแบบศรวี ชิ ยั ท่ีโดดเด่นคือ ประติมำกรรมรูปพระโพธิสตั ว์ในคติมหำยำน ท่ีนิยมมำกคือพระโพธิสตั ว์ อวโลกิเตศวร พระโพธสิ ตั ว์ศยำมตำรำ และพระโพธสิ ตั ว์ชมั ภล มีทงั้ ท่ีเป็น ประติมำกรรมสำรดิ ลอยตวั และท่เี ป็นพระพิมพ์ดนิ ดบิ ซ่งึ พบเป็นจำนวนมำก ตงั้ แต่จงั หวดั จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี นครศรธี รรมรำช สงขลำ ปัตตำนี ยะลำ ถงึ นรำธิวำส ซ่ึงสร้ำงตำมคตินิยมของพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนตันตระท่ี เจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในอนิ เดยี ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภำยใต้กำรอุปถมั ภ์ของ กษตั รยิ ์อนิ เดยี รำชวงศ์ปำละ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๕) ซ่ึงมศี ูนย์กลำงอยู่ท่ี เมอื งนำลนั ทำ ปหรรปุระ และไมนำมตี และใหอ้ ิทธพิ ลต่อพุทธศำสนำนิกำย [๒๐๘]

มหำยำนตนั ตระในชวำภำคกลำงช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๔ ซง่ึ อยภู่ ำยใตก้ ำร อุปถมั ภข์ องกษตั รยิ ช์ วำรำชวงศไ์ ศเลนทร์ ภำพท่ี ๔๐ พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร (โลกนำถ) สำรดิ สงู ๒๐.๓ เซนตเิ มตร พบทบ่ี ำ้ นกระดงั งำ อำเภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลำ จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ สงขลำ นอกจำกน้ียงั ไดพ้ บวำ่ ศำสนำพรำหมณ์ไศวนิกำยไดเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง อยู่ในคำบสมุทรภำคใต้ของไทยด้วย เน่ืองจำกได้พบเทวรูปของพระศิวะ มหำเทพและพระอคัสตยะ ในบริเวณอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลำ ประติมำกรรมรูปเทพไศวนิกำย ๒ องค์น้ี สร้ำงตำมคตินิยมของศำสนำ พรำหมณ์ไศวนิกำยท่ีรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียภำคใต้ ภำยใต้กำรอุปถัมภ์ของ กษัตริย์อินเดียรำชวงศ์โจฬะ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๗) และให้อิทธิพลต่อ ศำสนำพรำหมณ์ไศวนิกำยในชวำภำคกลำงในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ ซ่งึ อยู่ ภำยใตก้ ำรอุปถมั ภข์ องกษตั รยิ ช์ วำรำชวงศม์ ะตะรำม [๒๐๙]

กำรค้นพบประติมำกรรมเทวรูป ๒ องค์ คือพระศิวะมหำเทพ และพระอคัสตยะนั้นบ่งช้ีอย่ำงเด่นชัดว่ำ อิทธิพลพรำหมณ์ไศวนิกำยท่ี เจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในอนิ เดยี ภำคใต้ ภำยใต้กำรอุปถมั ภ์ของกษตั รยิ อ์ ินเดยี สมยั รำชวงศ์โจฬะ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๗) ไดแ้ ผเ่ ขำ้ มำยงั คำบสมุทรภำคใต้ของ ไทยไปจนถึงคำบสมุทรมำเลย์และเกำะชวำ (ในสมัยรำชวงศ์มะตะรำม) กษตั รยิ ์รำชวงศ์โจฬะนัน้ นอกจำกจะอุปถมั ภ์ศำสนำพรำหมณ์ไศวนิกำยแล้ว ยงั อปุ ถมั ภพ์ ทุ ธศำสนำนิกำยหนิ ยำนดว้ ย ส ำ ห ร ับ ก ำ ร ติ ด ต่ อ กับ อิ น เดีย ภ ำ ค ต ะ ว ัน อ อ ก เฉี ย ง เห นื อ นั ้น ได้ปรำกฏในจำรกึ บนแผ่นทองแดงท่นี ำลนั ทำ เป็นจำรกึ ของพระเจำ้ เทวปำละ ซ่ึงจำรกึ ไว้ใน พ.ศ. ๑๔๐๓ กล่ำวถึงพระเจ้ำพำลบุตรกษตั รยิ ์ไศเลนทร์ของ สุมำตรำว่ำมำสรำ้ งวดั ไว้ท่นี ำลนั ทำสำหรบั พวกจำรกิ แสวงบุญจำกคำบสมุทร มลำยูและพระเจำ้ เทวปำละไดท้ รงอุทศิ รำยได้จำกหมบู่ ้ำน ๕ หมู่บ้ำน สำหรบั ดแู ลรกั ษำวดั ดงั กลำ่ ว พระเจำ้ เทวปำละเป็นกษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๓ ของรำชวงศป์ ำละ ซ่ึงมีศูนย์กลำงอำนำจอยู่ในแคว้นเบงกอล ทรงอุปถมั ภ์พุทธศำสนำนิกำย มหำยำนตนั ตระสกุลวชั รยำน ส่วนหลกั ฐำนกำรติดต่อกบั อนิ เดยี ภำคใตใ้ นช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ นนั้ ปรำกฏในจำรกึ ทพ่ี บทเ่ี มอื งตนั ชอร์ เป็นจำรกึ ของกษตั รยร์ ำงวงศโ์ จฬะ ๒ องค์ คือ พระเจ้ำรำเชนทรโจฬะ (พ.ศ. ๑๕๗๓) และพระเจ้ำรำชรำชะ (รำชเกศรวี รมนั ) ใน พ.ศ. ๑๕๘๗ - ๑๕๘๙ ได้บนั ทึกไวว้ ่ำพระเจ้ำจุฑำมณี วรมนั กษัตริย์รำชวงศ์ไศเลนทรได้อุปถมั ภ์วดั พุทธศำสนำท่ีเมืองนำคปตมั (นครปัฏฏินัม) ซง่ึ เป็นศูนยก์ ลำงพทุ ธศำสนำนิกำยหนิ ยำนภำยใตก้ ำรอุปถมั ภ์ ของกษตั รยิ ร์ ำชวงศ์โจฬะ และในจำรกึ ของพระเจำ้ กุลโลตุงคะโจฬะ ในปี พ.ศ. ๑๖๒๗ ได้ระบุไว้ว่ำพระองค์ได้อุทิศรำยได้จำกหมู่บ้ำนหน่ึงให้เป็นค่ำดูแล รกั ษำวดั ดงั กล่ำว ซง่ึ เรยี กในจำรกึ วำ่ “ไศเลนทรจฑุ ำมณวี รมนั วหิ ำร” [๒๑๐]

สรปุ หลกั ฐำนด้ำนเอกสำร (ส่วนใหญ่เป็นบนั ทึกของจนี ) หลกั ฐำนด้ำน โบรำณคดี หลกั ฐำนด้ำนจำรกึ ตลอดจนหลกั ฐำนด้ำนศิลปกรรม ได้นำไปสู่ ขอ้ สรุปว่ำ คาบสมุทรภาคใต้ของไทย (ทัง้ ฝัง่ ตะวนั ออกและฝัง่ ตะวนั ตก) ตัง้ แต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงจงั หวัดนราธิ วาส มีร่องรอยการตัง้ ถ่ินฐานของชุมชนก่อนสมยั ศรีวิชยั (ก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๓) และตงั้ แต่ พุทธศตวรรษท่ี ๘-๙ เป็นต้นไปหรอื ก่อนหน้ำนัน้ ไดม้ กี ำรตงั้ นิคมกำรค้ำของ ชำวอินเดยี ซ่งึ หลำยแห่งไดเ้ จรญิ รุ่งเรอื งข้นึ ถึงระดบั เมอื ง และมบี ทบำทเป็น เครอื ข่ำยกำรค้ำโลก (ระหว่ำงโลกตะวนั ตกและโลกตะวนั ออก) ร่วมสมยั กบั สมยั อินโด - โรมนั ของอินเดีย (พุทธศตวรรษท่ี ๕-๙) บำงแห่งได้กลำยเป็น แหล่งอุตสำหกรรมกำรผลติ ลูกปัด เช่น แหล่งโบรำณคดเี ขำสำมแกว้ (จงั หวดั ชุมพร) แหล่งโบรำณคดีบ้ำนทุ่งตึก (จงั หวัดพังงำ) และแหล่งโบรำณคดี ควนลกู ปัด (จงั หวดั กระบ)่ี จากบนั ทึกของจีนทาให้ทราบว่ามีชุมชนระดบั เมืองหรือระดบั รฐั (จีนมกั จะเรียกว่า “รฐั ”) มากกว่า ๑๐ แห่งในบริเวณคาบสมุทร ภาคใต้ของไทย และคาบสมุทรมลายู แต่ละเมอื งหรอื รฐั เหล่ำน้ีมเี จำ้ เมอื ง หรอื มีกษตั รยิ ์ของตนเอง หลำยเมอื งได้มกี ำรติดต่อทำงกำรทูตกบั จนี และมี กำรติดต่อค้ำขำยกบั ชำวอินเดียจนมีควำมคุ้นเคยกบั วฒั นธรรมอินเดยี เป็น อยำ่ งดแี ละยอมรบั นบั ถอื ศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธ เช่น เตยี นซุน ฉีตู นักประวตั ิศำสตร์ศิลปะและนักโบรำณคดีได้พบว่ำชำวอินเดียท่ีนำศำสนำ พรำหมณ์และศำสนำพุทธมำเผยแผ่ในบรเิ วณภำคใตข้ องไทย และคำบสมุทร มำเลย์นัน้ มำจำกทุกภูมิภำคของประเทศอินเดีย จำกลุ่มแม่น้ำกฤษณำ - โคทำวรี หรอื สกุลช่ำงอมรำวดีในอินเดยี ภำคใต้ (พุทธศตวรรษท่ี ๖-๙) จำก อนิ เดยี ภำคเหนือและภำคตะวนั ตกในสมยั คุปตะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๙-๑๑) และ สมยั หลงั คุปตะ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๔) ดงั ได้พบร่องรอยชุมชน ร่องรอย โบรำณวตั ถุ และโบรำณสถำนเน่ืองในศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธท่ี กระจำยอยู่ในคำบสมุทรภำคใต้ของไทยตงั้ แต่จังหวดั สุรำษฎร์ธำนีลงมำถึง [๒๑๑]

จงั หวดั นรำธวิ ำส กลุ่มโบรำณสถำนสำคญั ในช่วงน้ีคอื กลุ่มโบรำณสถำนบนเขำ ศรวี ชิ ยั อำเภอพนุ พนิ จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี ในสมยั ศรวี ิชยั (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘) คาบสมทุ รภาคใต้ของ ไทยและคาบสมุทรมลายูได้กลายเป็ นส่วนหนึ่งของอาณาจกั รศรีวิชยั ซง่ึ ครอบคลุมพ้นื ท่ภี ำคใต้ของไทย ตงั้ แต่บรเิ วณอ่ำวบำ้ นดอน (สุรำษฎรธ์ ำนี) ลงไปถงึ นรำธวิ ำส และมำเลเซยี และอนิ โดนีเซยี โดยครอบคลุมทงั้ ฝัง่ ตะวนั ตก (พงั งำ กระย่ี และไทรบุร)ี และฝัง่ ตะวนั ออก (สุรำษฎร์ธำนี นครศรธี รรมรำช สงขลำ ปัตตำนี ยะลำ นรำธวิ ำส กลนั ตนั ตรงั กำนู ปำหงั และอินโดนีเซีย) จากหลักฐานด้านจารึก (หลักท่ี ๒๓) หลักฐานด้านโบราณ สถาน (พระบรมธาตุไชยา วัดแก้ว วัดเวียง และวัดหลง) หลักฐานด้าน โบราณวตั ถุ (ประติมากรรมรูปพระโพธิสตั ว์ในคติมหายานตันตระ) นาไปสู่สมมุติ ฐานว่าไชยา (สุราษฎร์ธานี ) เคยเป็ นศูนย์กลางของ อาณาจักรศรีวิชัย หรือเป็ นศูนย์กลางตอนบนในขณะที่ปาเล็มบัง (บนเกาะสมุ าตรา) เป็นศนู ยก์ ลางตอนล่างของอาณาจกั ร อำณำจกั รศรวี ชิ ยั มคี วำมสมั พนั ธท์ ำงด้ำนวฒั นธรรมกบั อนิ เดยี ภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือในสมยั รำชวงศ์ปำละ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๕) นิกำย มหำยำนตนั ตระและยงั มคี วำมสมั พนั ธท์ ำงดำ้ นวฒั นธรรมกบั อนิ เดยี ภำคใตใ้ น สมยั รำชวงศ์โจฬะ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๗) ซง่ึ อุปถมั ภ์ศำสนำพรำหมณ์กบั อนิ เดยี ภำคใตไ้ ศวนิกำย และพทุ ธศำสนำนิกำยหนิ ยำน อย่ำงไรกต็ ำมควำมสมั พนั ธก์ บั รำชวงศโ์ จฬะไม่ยงั ่ ยนื มที งั้ เป็นมติ ร และเป็นศตั รู ดงั ได้พบหลกั ฐำนจำรกึ ว่ำกษัตรยิ ์โจฬะสมยั พระเจ้ำรำเชนทร โจฬะไดเ้ คยยกทพั มำตอี ำณำจกั รศรวี ชิ ยั ใน พ.ศ. ๑๕๖๘ และไดบ้ นั ทกึ รำยช่อื เมืองต่ำงๆ ท่ีตกเป็ นเมืองข้ึนของศรีวิชัยในขณะนั้น เช่น ตำมพรลิงค์ (นครศรธี รรมรำช) ตกั โกละ (พงั งำ) และลงั กำสกุ ะ (ยะรงั จงั หวดั ปัตตำนี) [๒๑๒]

เอกสารประกอบการเรยี บเรียง กรรณิกำร์ วมิ ลเกษม ๒๕๓๑ “จำรกึ ภำษำมอญในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ : กำรศกึ ษำ เชงิ อกั ขรวทิ ยำ.” ใน การประชุมทางวิชาการระดบั ชาติ ฝรัง่ เศส-ไทย ครัง้ ท่ี ๑. กรุงเทพฯ : มหำวิทยำลัย ศลิ ปำกร. กอ่ งแกว้ วรี ะประจกั ษ์ ๒๕๒๒ “จำรึกอักษรปัลลวะพบในประเทศไทย.” ใน จารึกใน ประเทศไทย เล่ม ๒, หน้ำ ๑๗ - ๓๒. กรุงเทพฯ : หอสมดุ แหง่ ชำต,ิ กรมศลิ ปำกร. เขมชำติ เทพไชย และคณะ ๒๕๒๘ รายงานการสารวจขุดค้นทางโบราณคดี ณ เมือง โบราณยะรงั และใกล้เคียง. โครงกำรโบรำณคดภี ำคใต้ กองโบรำณคดี กรมศลิ ปำกร. ฉววี รรณ วริ ยิ ะบศุ ย์ ๒๕๑๖ เหรียญกษาปณ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ กำรศำสนำ. ชนิ อยดู่ ี ๒๕๐๙ “ลูกปัดท่ีเมืองเก่ำอู่ทอง.” ใน โบราณวิทยาเรื่องเมือง อ่ทู อง, หน้ำ ๕๑-๖๐. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. ชอง บวสเซอรล์ เิ ยร์ ๒๕๐๙ “ทฤษฎใี หมเ่ ก่ยี วกบั สถำนทต่ี งั้ อำณำจกั รฟูนนั .” เกบ็ ควำม และเรยี บเรยี งโดย มจ.สุภทั รดศิ ดศิ กุล. ใน โบราณวิทยา เรอ่ื งเมืองอ่ทู อง, หน้ำ ๑๑-๒๖. พระนคร : กรมศลิ ปำกร. ๒๕๑๑ ความรู้ใหม่ทางโบราณคดีที่เมืองอู่ทอง. พระนคร : กรมศลิ ปำกร. [๒๑๓]

เซเดส,์ ยอรช์ ๒๔๗๒ ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ จารึกกรุงทวารวดี เมืองละโว้และเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรงุ ศรีวิชัย. พระนคร : โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒธนำกำร. ธนิต อยโู่ พธิ ์ ๒๕๑๐ พระพุทธรูปศิลาขาวสมยั ทวารวดี. พระนคร : กรม ศลิ ปำกร. ธรำพงศ์ ศรสี ชุ ำติ ๒๕๒๙ “คลองท่อม : ชุมชนโบรำณ.” ใน สารานุกรมวฒั นธรรม ภาคใต้ เล่ม ๒, หน้ำ ๔๓๓-๔๔๙. สงขลำ : สถำบัน ทกั ษณิ คดศี กึ ษำ. นนั ทนำ ชุตวิ งศ์ ๒๕๒๐ “ภำพชำดกท่เี จดยี ์จุลประโทน.” ศิลปากร ๒๑ (๔) : ๒๘- ๕๖. นิตพิ นั ธุ์ ศริ ทิ รพั ย์ ๒๕๒๔ “พระพิมพ์ดนิ เผำสมยั ทวำรวดีท่ีนครปฐม.” วทิ ยำนิพนธ์ ปริญญำศิลปศำสตรมหำบัณฑิต สำขำโบรำณคดีสมัย ประวัติศำสตร์ ภำควิชำโบรำณคดี บัณฑิตวิทยำลัย มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร, กรงุ เทพฯ. ปัญญำ บรสิ ทุ ธิ ์ (แปล) ๒๕๒๕ ชนชาติต่างๆในแหลมอินโดจีน, โดย ยอร์ช เซเดส์. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงกำรตำรำสังคมศำสตร์และ มนุษยศำสตร.์ [๒๑๔]

ผอ่ งศรี วนำสนิ และทวิ ำ ศภุ จรรยำ ๒๕๒๓ เมืองโบราณบริเวณชายฝัง่ ทะเลเดิมของท่ีราบภาค กลางประเทศไทย : การศึกษาตาแหน่ งท่ีตัง้ และ ภูมิ ศ าส ต ร์สั ม พั น ธ์ . ก รุงเท พ ฯ : จุ ฬ ำล งก รณ์ มหำวทิ ยำลยั . ผำสขุ อนิ ทรำวธุ ๒๕๒๕ รายงานการขดุ ค้นท่ีตาบลพระประโทณ อาเภอเมือง จังหวัดนครปฐม. นครปฐม : แผนกบริกำรกลำง สำนกั งำนอธกิ ำรบดี มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร. ๒๕๒๘ ก “เคร่อื งรำงสำหรบั พ่อค้ำ.” ใน ปัจจุบนั ของโบราณคดี ไท ย , หน้ ำ ๕ ๐-๕ ๗ . กรุงเท พ ฯ : คณ ะโบ รำณ คดี มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร. ๒๕๒๘ ข ดรรชนี ภาชนะดินเผาสมยั ทวารวดีท่ีจงั หวดั ลพบุรี, กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พไ์ ทย ไอ อ.ี ๒๕๔๒ ทวารวดี : การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลกั ฐานทาง โบราณคดี. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ กั ษรสมยั . ภำควชิ ำโบรำณคดี ๒๕๓๔ การขดุ ค้นและการศึกษาวฒั นธรรมของชมุ ชนโบราณ ที่บ้านคเู มืองอาเภออินทรบ์ ุรี จงั หวดั สิงหบ์ รุ ี. นครปฐม : แผนกบรกิ ำรกลำง สำนักงำนอธิกำรบดี มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ,์ มจ.สภุ ทั รดศิ ดศิ กุล (แปล) ๒๕๑๗ พทุ ธศาสนานิ ทานท่ีเจดีย์จลุ ประโทน. กรงุ เทพฯ : โรง พมิ พพ์ ระจนั ทร.์ ๒๕๒๓ ศิลปะทักษิ ณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทรก์ ำรพมิ พ.์ [๒๑๕]

ภูธร ภูมะธน ๒๕๒๔ จารึกโบราณคดีร่นุ แรกพบท่ีลพบุรีและใกล้เคียง หน้ำ ๘๒-๙๔. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. ๒๕๒๗ “เหรียญ เงินตรำสมัยทวำรวดี พบท่ีจังหวัดลพบุรี.” ศิลปากร ๒๘ (๔) : ๕๕-๖๓. ๒๕๓๐ โบราณคดีเมืองดงคอน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พร้ิน ตง้ิ กร๊พุ จำกดั . ศลิ ปำกร, กรม ๒๕๐๘ โบราณวตั ถสุ มยั ทวารวดีแห่งใหม่ และรายงานการขดุ ค้นโบราณวตั ถสุ ถาน ณ บ้านโคกไม้เดน อาเภอพยุหะ คีรี จงั หวดั นครสวรรค.์ พระนคร : ศวิ พร. ๒๕๓๔ โบราณ คดีเมืองอู่ตะเภา. เอกสำรกองโบรำณ คดี หมำยเลข ๓/๒๕๓๔. ๒๕๓๕ ประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ. หน่วย ศิลปำกรท่ี ๕ กองโบรำณคดี กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ สมำพนั ธ์ จำกดั . ๒๕๓๖ เมอื งดงละคร. กรงุ เทพฯ : กองโบรำณคด,ี กรมศลิ ปำกร. สวำ่ ง เลศิ ฤทธิ ์ ๒๕๓๑ เมืองโบราณยะรงั . กรุงเทพฯ : บริษัทอัมรินทร์พร้ิน ตง้ิ กรพุ๊ จำกดั . สภุ ทั รดศิ ดศิ กุล ๒๕๑๘ ศิลปะในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : กรงุ สยำมกำรพมิ พ.์ ๒๕๒๒ ประวัติ ศาสตร์เอเชี ยอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พส์ ำนกั เลขำธกิ ำร คณะรฐั มนตร.ี สรุ ยิ วฒุ ิ สขุ สวสั ดิ ์ ๒๕๓๒ “เขำคลังใน : ภำพปูนปั้นเคร่ืองตกแต่งศำสนสถำน.” เมอื งโบราณ ๑๕ (๑) : ๔๑-๔๗. [๒๑๖]

สมศกั ดิ ์ รตั นกุล การขุดแต่งเจดีย์จุลประโทน อาเภอเมือง จังหวัด ๒๕๑๑ นครปฐม. เอกสำรในครอบครองของกรมศลิ ปำกร. โบราณคดีเมอื งคบู วั . กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. ๒๕๓๕ รายงานการสารวจและขดุ แต่งโบราณวตั ถสุ ถานเมือง ๒๕๓๗ เก่าอ่ทู อง. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. อมรำ ศรสี ชุ ำติ “เขำสำมแก้ว.” ใน สารานุกรมวฒั นธรรมภาคใต้, เล่ม ๒๕๒๙ ๑, หน้ำ ๓๘๘-๓๙๖. สงขลำ : สถำบนั ทกั ษณิ คดศี กึ ษำ. Beal, S. Buddhist Record of the Western World by Hsuan 1884 Tsang. (trans.). London. Boeles, J.J. “The king of Sri Dvaravati and His Regalia.” Journal 1964 of the Siam Society LII(1) : 99-110. “A Note on the Ancient City Called Lavapura.” 1967 Journal of the Siam Society LV(1). Boisselier, J. “Travaux de la mission Archéologique francaise en 1972 Thailande (Juillet - November, 1966).” Arts Asiatiques XXV. Bronson, B. 1976 Excavation of Chansen and the Cultural Chronology of Protohistoric Central Thailand. Ph.D. dissertation. Michigan University Microflims International, Ann Arbor. [๒๑๗]

Coedes, G. 1948 Les E”tats Hindouise d‘Indochine d‘Indonesie. Paris. 1966 Les Peuples de la Peninsule Indochinoise : Histoire Civilization. Paris, 1962 (English : The Making of Southeast Asia, Berkley and Los Angeles, 1966). Coomaraswamy, A.K 1965 History of Indian and Indonesian Art. New York. Cornell, T. and Matthew, J. 1982 Atlas of Roman World. Oxford : Phaidon. Dupont, P. 1959 L‘Archéologie Mône de Dvãravãti. Paris : Ecole francaise d‘Extreme Orient. Krishna Murthy, K. 1977 Nagarjunakonda : A Cultural Study, Delhi. Majumdar, R.C. 1934 “The Sailendra Empire.” Journal of the Greater India Sosiety I (1). 1938 Ancient Indian Colonies in the Far East : Vol II Suvarnadvipa, Part I Political History. (Decca, 1937); Part 2, Cultural history (Calcutta). O’Cornnor, S.J. 1972 Hindu Gods of Peninsular Siam. Ascona : Artibus Asiae. [๒๑๘]

Piriya Krairiksh 1979 The Sacred Image : Sculptures from Thailand. Koln : Museum fur Ostasiatische Kunst. Mookerji, N.B. 1912 A History of Indian Shipping and Maritime Activity. London. Malleret, L. 1960 L‘Archeologie du Delta du Mekhong Paris : Ecole francaise d‘Extreme Orient. Margabandhu, C. 1985 Archaeology of the Satavahana Kshatrapa Times Delhi. Mayuree Veeraprasert 1987 “Klong Thom : An Ancient Bead Manufacturing Location and An Ancient Entrepot.” In Seminar in Prehistory of Southeast Asia, pp. 323-331. Bangkok : SEAMEO Project in Archaeology and Fine Arts. Nai Pan Hla 1991 “The Major Role of the Mons in Southeast Asia.” Journal of the Siam Society 79(1) : 13-21. Roy, T.M. 1983 The Ganges Civilization. New Delhi : The Heritage of Ancient India. Sastri, N.K.A. 1949 South Indian influences in the Far East. Bombay. [๒๑๙]

Subhadradis Diskul, M.C. 1981 Art in Thailand : A Brief History. Bangkok : Amarin Press. Takakusu, J. 1896 A Record of the Buddhist Religion as Practiced in India and the Malay Archiprlago (671-695 A.D.) by I-Tsing, Oxford. Wales, Q. H. G. 1969 Dvaravati : The Earliest Kingdom of Siam. London : Bernard Quaritch. Warmington, E. H. 1928 Commerce Between the Roman Empire and India. Cambridge. Wheatley, P. 1961 The Golden Khersonese : Studies in the Malay Peninsula Before 1500 A.D. Kuala Lumper : University of Malaya Press. Wolters, O. W. 1967 Early Indonesian Commerce : A study of Origin of Srivijaya. New York : Cornell University Press. Yamamoto, Tatsuro 1977 “East Asian Historical Sources for Dvaravati Studies.” In Proceedings Seventh IAHA Conference 22-26 August, 1977, pp. 1137-1150. Bangkok : Chulalongkorn University Press. [๒๒๐]

[๒๒๑]

การเผยแพรอ่ ารยธรรมเขมรโบราณและ หลกั ฐานโบราณคดีสมยั ลพบรุ ี โดย มยุรี วีระประเสริฐ [๒๒๒]

คาว่า “สมัยลพบุรี” ในที่นี้ เป็ นสมัยทางประวัติ ศาสตร์ใน ประเทศไทยท่ีหมายถึง ช่วงระยะเวลาที่มีการแพร่หลายอารยธรรมเขมร จากอาณาจกั รกัมพูชาโบราณเข้ามาในบ้านเมืองโบราณที่ตัง้ อยู่บน แผ่นดินไทยในปัจจุบัน เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘ และการ แพ ร่ห ล าย เข้ าม าข อ งอ ารย ธ รรม เข ม รใน เวล านั้น ได้ ก่ อ ให้ เกิ ด ก าร เปลี่ยนแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรมขึ้นในบ้านเมืองโบราณดงั กล่าว อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองการนับถือศาสนา รูปแบบ ศิลปะท่ีสร้างขึ้นเนื่องในศาสนา การสรา้ งบ้านเมือง การพฒั นาแหล่งน้า และอาชีพของประชากร ดังนั้นในกำรศึกษำเร่ืองรำวเก่ียวกับกำรแพร่หลำยเข้ำมำของ อำรยธรรมเขมรโบรำณบนดินแดนท่ีเป็ นประเทศไทยในปัจจุบัน รวมทัง้ เร่อื งรำวของหลกั ฐำนโบรำณคดสี มยั ลพบุรนี ัน้ ถ้ำจะให้เขำ้ ใจเร่อื งรำวต่ำงๆ ได้อยำ่ งถ่องแท้และกวำ้ งขวำง ควรจะต้องทำควำมรจู้ กั รำชอำณำจกั รกมั พูชำ รวมทงั้ ประวตั ศิ ำสตรข์ องอำณำจกั รกมั พูชำเป็นอย่ำงดมี ำก่อนดว้ ย แต่ในท่นี ้ี จะไม่กล่ำวถึงมำกนัก แต่จะขอให้อ่ำนจำกบทควำมเร่ือง “ประวตั ิศำสตร์ รำชอำณำจกั รกมั พูชำโดยสงั เขป” ท่ผี ู้เขียนไดเ้ รยี บเรยี งเพ่อื ควำมเขำ้ ใจขนั้ พน้ื ฐำนไวใ้ นหนังสอื เล่มน้ีดว้ ย ต่อจำกนนั้ อำจหำควำมรเู้ พม่ิ เตมิ ไดจ้ ำกหนงั สอื เกย่ี วกบั ประวตั ศิ ำสตรร์ ำชอำณำจกั รกมั พูชำทม่ี รี ำยช่ืออยใู่ นบรรณำนุกรมทำ้ ย บทควำมน้ี รำชอำณำจกั รกมั พูชำหรอื ท่ีรูจ้ กั กนั ดีว่ำประเทศเขมร คือประเทศ เพ่ือนบ้ำนใกล้เคียงท่ีตัง้ อยู่ท ำงทิศตะวันออกของประเท ศไท ย ท่ีมี ควำมสมั พนั ธเ์ ก่ยี วข้องกนั อย่ำงใกลช้ ิดในทำงประวตั ิศำสตร์มำตงั้ แต่อดตี อนั ยำวนำน ดินแดนแห่งน้ีมีประวตั ิควำมเป็ นมำท่ีน่ำสนใจท่ีสุดแห่งหน่ึงใน ภูมภิ ำคเอเชยี อำคเนย์ ร่องรอยหลกั ฐำนทำงโบรำณคดแี ละประวตั ศิ ำสตรท์ ย่ี งั เหลอื อยู่แสดงให้เหน็ ว่ำดนิ แดนอนั เป็นท่ตี งั้ ประเทศเขมรนัน้ เป็นดนิ แดนอนั เก่ำแก่ท่ีมีกำรเจริญข้ึนของบ้ำนเมืองสมยั ประวตั ิศำสตร์แรกสุดในภูมิภำค เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และต่อมำได้พฒั นำข้นึ จนกลำยเป็นอำณำจกั รท่ีมี [๒๒๓]

ควำมยิง่ ใหญ่ทำงกำรเมืองและวฒั นธรรมมำตงั้ แต่รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๘ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ร่องรอยหลกั ฐำนทำงโบรำณคดแี ละประวตั ศิ ำสตรท์ ่ยี งั เหลืออยู่ท่ีเมืองพระนคร (Angkor) อดีตรำชธำนีท่ีรุ่งโรจน์ท่ีสุดและมีอำยุ ยำวนำนท่ีสุดในประวตั ศิ ำสตรข์ องรำชอำณำจกั รกมั พูชำนัน้ แสดงใหเ้ หน็ ว่ำ อำณำจกั รกมั พูชำโบรำณในช่วงรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ – ๑๘ เป็นอำณำจกั ร ทม่ี คี วำมยง่ิ ใหญ่ทำงอำรยธรรมแหง่ หน่ึงในเอเชยี หรอื ในโลกกว็ ำ่ ได้ ในปั จจุบันท่ีเมืองพระนครอดีตรำชธำนีท่ีสร้ำงข้ึนครงั้ แรกโดย พระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ (รำว พ.ศ. ๑๔๓๒ – ๑๔๕๐) ยงั เต็มไปด้วยซำกศำสน สถำนอนั ยงิ่ ใหญ่มำกมำยทถ่ี ูกสรำ้ งขน้ึ โดยกษตั รยิ เ์ ขมรทเ่ี สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยท์ ่ี เมอื งพระนคร ศำสนสถำนท่สี รำ้ งข้นึ เหล่ำน้ีมรี ปู ลกั ษณ์ทำงสถำปัตยกรรมและ กำรประดบั ตกแต่งดว้ ยลวดลำยและภำพเล่ำเร่อื งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วำ่ ศำสนสถำน สำคญั ๆ ท่สี ร้ำงขน้ึ ท่เี มอื งพระนครนัน้ คอื สญั ลกั ษณ์แห่งเขำพระสเุ มรุท่ที ำให้ รำชธำนีแหง่ น้ีเปรยี บเสมอื นเป็นดนิ แดนสวรรคท์ ป่ี ระทบั ของเทพเจำ้ ซ่งึ มที งั้ ท่ี เป็นสมมตุ เิ ทพคอื กษตั รยิ แ์ ละเทพเจำ้ จรงิ ตำมควำมเช่อื ในศำสนำทม่ี รี ูปเคำรพ เป็นตวั แทน ศำสนสถำนท่ียงิ่ ใหญ่ท่ีสุด ซ่ึงมชี ่อื เรยี กกนั ว่ำ ปรำสำทนครวดั สร้ำงข้ึนโดยพระเจ้ำสุรยิ วรมนั ท่ี ๒ ในรำวกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ เป็ น สงิ่ ก่อสรำ้ งท่ีได้รบั กำรยกย่องว่ำเป็นหน่ึงในเจด็ ของส่ิงมหศั จรรย์ของโลกท่ี สรำ้ งขน้ึ ในยคุ กลำง นอกจำกน้ีในบริเวณเมืองพระนครยงั มีซำกเมืองพระนครหลวง รำชธำนีท่ีสร้ำงข้ึนใหม่โดยพระเจ้ำชัยวรมนั ท่ี ๗ รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ รวมอยู่ด้วย เมอื งพระนครหลวงเป็นเมอื งท่มี กี ำแพงอนั ยง่ิ ใหญ่มนั ่ คงก่อดว้ ย ศิลำแลงและเต็มไปด้วยรูปสัญ ลักษณ์ แห่งควำมศักดิส์ ิทธิท์ ำงศำสนำ สงิ่ ก่อสรำ้ งต่ำงๆ เหล่ำน้ีเป็นหลกั ฐำนสำคญั ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ควำมยงิ่ ใหญ่ของ กษตั รยิ เ์ ขมรและควำมรงุ่ เรอื งของรำชอำณำจกั รกมั พชู ำในอดตี ไดเ้ ป็นอยำ่ งดี และในขณะท่รี ำชอำณำจกั รกมั พูชำโบรำณเจรญิ รงุ่ เรอื งอยู่นั้นได้มกี ำรขยำย อิทธิพลทำงกำรเมอื งและวฒั นธรรมเข้ำมำในดินแดนท่ีเป็นประเทศไทยใน ปัจจบุ นั ดว้ ย [๒๒๔]

ภำพท่ี ๑ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณปรำสำทนครวดั (Angkor Wat) ทเ่ี มอื งพระนคร (Angkor) ประเทศกมั พชู ำ [๒๒๕]

ร่องรอยหลกั ฐำนโบรำณคดที แ่ี สดงใหเ้ หน็ วำ่ มกี ำรแพร่หลำยเข้ำมำ ของอำรยธรรมเขมรโบรำณบนแผ่นดินไทย หรือท่ีเรำเรียกว่ำ หลักฐำน โบรำณคดสี มยั ลพบุรนี นั้ ทย่ี งั คงเหลอื ใหศ้ กึ ษำไดใ้ นปัจจบุ นั มมี ำกมำย ไดแ้ ก่ ๑. จารึกโบราณ ซ่ึงมที งั้ ท่จี ำรลงบนแท่งศลิ ำซ่ึงเรยี กว่ำศลิ ำจำรกึ และจำรกึ ลงบนเคร่อื งใชส้ อยทท่ี ำจำกสำรดิ ๒. รอ่ งรอยหลกั ฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ไดแ้ ก่ บรรดำสงิ่ ก่อสรำ้ งในศำสนำทเ่ี รยี กกนั ทวั ่ ไปวำ่ ปรำสำทหนิ รวมทงั้ งำน ประตมิ ำกรรมท่สี รำ้ งข้นึ เน่ืองในศำสนสถำนและท่ที ำขน้ึ เพ่อื ประโยชน์ใช้สอย ในชวี ติ ประจำวนั ๓. ร่องรอยของชุมชนโบราณและร่องรอยของการสร้าง อ่างเก็บน้ าในวัฒนธรรมเขมรโบราณ (หรือท่ีเรียกว่ำบำรำยซ่ึงพบ หลำยแห่ง บำงแหง่ ตน้ื เขนิ กลำยเป็นนำขำ้ วไปแลว้ กม็ ี บำงแห่งมกี ำรปรบั ปรงุ ใหใ้ ชป้ ระโยชน์ไดป้ ัจจบุ นั ) จารึกโบราณท่ีพบในประเทศไทย ได้มีกำรค้นพ บจำรึกเขมรโบรำณ ในประเทศไทยจำนวน คอ่ นขำ้ งมำก ท่พี บทงั้ หมดมกี ำรอ่ำนและแปลจำกผเู้ ช่ยี วชำญแลว้ เช่น สมเดจ็ พระเทพรตั นรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี ทรงอ่ำนและแปลจำรกึ ท่ีพบท่ี ปรำสำทหินพนมรุ้ง จงั หวดั บุรรี มั ย์ รวม ๑๑ หลกั และจำรกึ บำงหลกั ท่พี บท่ี ปรำสำทหนิ พนมวนั จงั หวดั นครรำชสมี ำดว้ ย นอกนัน้ ส่วนใหญ่จะเป็นผลงำน ของนักอ่ำนจำรกึ ชำวฝรงั ่ เศสท่ีมีช่ือเสียงรู้จกั กันดี คอื ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ และผลงำนของนักอ่ำนจำรกึ ชำวไทยจำกกรมศิลปำกร และจำกคณะ โบรำณคดี มหำวิทยำลยั ศิลปำกร (ดูรำยช่ือหนังสือและบทควำมท่ีให้ไว้ ประกอบ) จำรกึ เขมรโบรำณท่พี บในประเทศไทยเป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและ ภำษำเขมร ซง่ึ อำจแบง่ ออกเป็น ๒ กลุ่ม คอื [๒๒๖]

จารึกสมยั ก่อนเมืองพระนครทีม่ ีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่ จารึกบ้านวงั ไผ่ อาเภอวิเชียรบุรี จงั หวดั เพชรบูรณ์ เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤต ท่มี พี ระนำมของพระเจำ้ ภววรมนั ปรำกฏอยู่ดว้ ย จำรกึ หลกั น้ี ไม่มศี กั รำช แต่เซเดสซ์ ง่ึ เป็นผอู้ ่ำนและแปลจำรกึ หลกั น้ีเป็นคนแรก ไดก้ ำหนด อำยุศิลำจำรกึ หลกั น้ีไว้ในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ (โดยพจิ ำรณำจำกลกั ษณะ ตวั อกั ษรท่ใี ชจ้ ำรกึ ) และเช่อื วำ่ พระเจ้ำภววรมนั ท่ปี รำกฏอยใู่ นจำรกึ หลกั น้ีคอื พระเจ้ำภววรมันท่ี ๑ กษัตริย์เขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร ท่ีเสด็จข้ึน ครองรำชยร์ ำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ จารึกพระเจ้ามเหนทรวรมนั (กษตั รยิ ์เขมรสมยั เจนละตอนต้น ซ่ึงครองรำชย์รำว พ.ศ. ๑๑๔๓ – ๑๑๕๙) พบทัง้ หมด ๙ หลัก ในภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ท่ีจงั หวดั อุบลรำชธำนี จงั หวดั บุรรี มั ย์ จงั หวดั สุรนิ ทร์ จงั หวดั ขอนแก่น และในภำคตะวนั ออกท่ีจงั หวดั สระแก้ว เน้ือควำมในจำรึก ส่วนใหญ่มีข้อควำมคล้ำยกันคือ มีเน้ือควำมท่ีกล่ำวถึงพระรำชประวัติ กำรสรำ้ งรปู เคำรพศวิ ลงึ ค์ และโคนนทเิ หนือดนิ แดนทพ่ี ระองคท์ รงมชี ยั ชนะ จารกึ พระเจ้าอิศานวรมนั ที่ ๑ พบในเขตจงั หวดั จนั ทบรุ ี เป็นจำรกึ ภำษำสันสกฤตท่ีกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำอิศำนวรมนั ท่ี ๑ (กษัตริย์ สมยั ก่อนเมอื งพระนครซง่ึ ครองรำชยท์ อ่ี ศิ ำนปุระ ระหว่ำง พ.ศ. ๑๑๕๙ – รำว ๑๑๘๐) จารึกสมยั เมืองพระนครหรือจารึกทีม่ ีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๘ ไดแ้ ก่ จารึกโนนสัง พบท่ีบ้ำนบึงแก จังหวัดยโสธร เป็ นจำรึกภำษำ สันสกฤตและภำษำเขมร ท่ีมีพระนำมของพระเจ้ำอินทรวรมันท่ี ๑ (ซ่ึง ครองรำชยท์ เ่ี มอื งหรหิ รำลยั รำว พ.ศ. ๑๔๒๐ – ๑๔๓๒) ปรำกฏอยดู่ ว้ ย จารึก ปราสาท พ น มวัน ๑ พบท่ีปรำสำทพนมวัน จังหวัด นครรำชสมี ำ จำรกึ หลกั น้ีเป็นจำรกึ ภำษำเขมรบอกศกั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๔๓๓ [๒๒๗]

และมพี ระนำมของพระเจ้ำยโศวรมนั ท่ี ๑ (ซ่ึงครองรำชย์ท่เี มอื งพระนครรำว พ.ศ. ๑๔๓๒ – ๑๔๔๓) ปรำกฏอยู่ ๒ แหง่ จารึกเพนียด พบท่เี มอื งเพนียด ตำบลคลองนำรำยณ์ อำเภอเมอื ง จงั หวดั จนั ทบุรี เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมร ท่ีกล่ำวถึงพระนำม ของพระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ อำยรุ ำวครง่ึ แรกของพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ จารึกบ้านพุทรา พบท่ตี ำบลพุทรำ จงั หวดั นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤต ท่ีกล่ำวถึงพระนำม รุทรโลก ซ่ึงเป็นพระนำมของพระเจ้ำ หรรษวรมันท่ี ๑ (ซ่ึงครองรำชย์ท่ีเมืองพระนครรำว พ.ศ. ๑๔๔๓ – หลัง ๑๔๖๕) เมอ่ื สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ภำพท่ี ๒ จำรกึ บำ้ นพทุ รำ อำเภอเมอื ง จงั หวดั นครรำชสมี ำ [๒๒๘]

จารึกบ้านตาดทอง พบท่บี ำ้ นตำดทอง อำเภอเมอื ง จงั หวดั ยโสธร เป็นจำรกึ ท่กี ล่ำวถงึ พระนำม รทุ รโลก ซง่ึ เป็นพระนำมของพระเจำ้ หรรษวรมนั ท่ี ๑ หลังจำกส้ินพระชนม์แล้ว และพระนำมของพระเจ้ำอิศำนวรมนั ท่ี ๒ (ซง่ึ ครองรำชยท์ เ่ี มอื งพระนครรำว พ.ศ. ๑๔๖๕ – ๑๔๘๕) จารึกอญั ชยั วรมนั พบท่ีจงั หวดั ลพบุรี เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤต และภำษำเขมร ท่ีกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำชัยวรมนั ท่ี ๔ (ซ่ึงเสดจ็ ข้ึน ครองรำชยท์ เ่ี มอื งเกำะแกรร์ ำว พ.ศ. ๑๔๖๔ – ๑๔๘๕) จารึกที่พบท่ีปราสาทพนมรุ้ง จงั หวดั บุรีรมั ย์ เป็ นจำรึกภำษำ สนั สกฤตและภำษำเขมร ท่ีกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำรำเช นทรวรมัน (ซง่ึ ครองรำชยท์ เ่ี มอื งพระนครรำว พ.ศ. ๑๔๘๗ – ๑๕๔๔) จารึก เมือ งเส มา พ บท่ีเมืองเสม ำ อำเภ อสูงเนิ น จังหวัด นครรำชสมี ำ และ จารึกพบท่ีปราสาทภมู ิโพน จงั หวดั สุรนิ ทร์ ทงั้ สองหลกั เป็ นจำรึกภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมรท่ีกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำ รำเชนทรวรมนั และพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ จารึกสานักนางขาว พบท่ีศำลำนำงขำว อำเภอนำดูน จงั หวดั มหำสำรคำม เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤต กลำ่ วถงึ พระนำมพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ จารึกพระเจ้าสุริยวรมนั ที่ ๑ (ซ่ึงครองรำชย์ท่ีเมอื งพระนครรำว พ.ศ. ๑๕๔๔ – ๑๕๙๓) เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตทพ่ี บทจ่ี งั หวดั ปรำจนี บุรี จารกึ วงั สวนผกั กาด ไมท่ รำบทม่ี ำแน่นอน เป็นจำรกึ ภำษำเขมรทม่ี ี ศกั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๕๕๙ และกลำ่ วถงึ พระนำมของพระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ จารึกศาลสูง พบท่ศี ำลสูง จงั หวดั ลพบุรี เป็นจำรกึ ภำษำเขมร ท่มี ี ศกั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๕๖๘ และกลำ่ วถงึ พระนำมของพระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ จารึกปราสาทหิ นพิ มาย ๒ พบท่ีปรำสำทหินพิมำย จังหวัด นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมร ท่มี ศี กั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๕๘๙ และกล่ำวถงึ พระนำมของพระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ จารึกปราสาทพนมวัน ๒ พบท่ีปรำสำทหินพนมวัน จงั หวัด นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมร ทม่ี ศี กั รำชตรงกบั พ.ศ. [๒๒๙]

๑๕๙๘ และกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำสุริยวรมนั ท่ี ๑ และพระเจ้ำอุทัย ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ (ซง่ึ ครองรำชยท์ เ่ี มอื งพระนครระหวำ่ ง พ.ศ. ๑๕๙๓ – ๑๖๐๙) จารึกสดกก๊อกธม ๒ พบท่ีปรำสำทสดกก๊อกธม (เมืองพร้ำว) อำเภออรญั ประเทศ จงั หวดั สระแก้ว เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมร ท่ีมศี กั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๕๙๕ และกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำอุทยั ทิตย วรมนั ท่ี ๒ จารึกปราสาทหินพนมวนั ๓ พบทจ่ี งั หวดั นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำเขมร ท่ีมศี กั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๖๒๕ และมกี ำรกล่ำวถึงพระนำมของ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ (ซง่ึ ครองรำชยร์ ะหวำ่ ง พ.ศ. ๑๖๒๓ – ๑๖๕๐) จารึกปราสาทหินพิมาย ๓ พบท่ีจงั หวดั นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำเขมร ท่ีมีศกั รำชตรงกบั พ.ศ. ๑๖๕๕ และมกี ำรกล่ำวถึงพระนำมของ พระเจ้ำธรณินทรวรมันท่ี ๑ (ซ่ึงครองรำชย์ท่ีเมืองพระนครระหว่ำง พ.ศ. ๑๖๕๐ – ๑๖๕๖) จารึกสร้างเทวรปู ไมท่ รำบทม่ี ำเป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำ เขมร ท่ีมีศักรำชตรงกับ พ.ศ. ๑๖๘๒ และกล่ำวถึงพระนำมของพระเจ้ำ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ (ซง่ึ ครองรำชยท์ เ่ี มอื งพระนครรำว พ.ศ. ๑๖๕๖ – หลงั ๑๖๘๘) จารึกปราสาททัพเสียม ๒ พบท่ีปรำสำททัพเสียม อำเภออรญั ประเทศ จงั หวดั สระแก้ว เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตท่ีกล่ำวถึงพระนำมของ พระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ จารึกพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ (ครองรำชย์ท่ีเมืองพระนครระหว่ำง พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๖๑) พบหลำยหลัก เช่น จำรึกกู่แก้ว จงั หวดั ขอนแก่น จำรกึ ปรำสำท จงั หวดั สุรนิ ทร์ จำรกึ ตำเมอื นโตจ็ จงั หวดั สุรนิ ทร์ จำรึกกู่บ้ำน หนองบวั จงั หวดั ชยั ภูมิ จำรกึ พิมำย พบท่ีเมอื งพิมำย จงั หวดั นครรำชสมี ำ จำรกึ ด่ำนประคำ พบท่ีจงั หวดั บุรรี มั ย์ เป็นต้น จำรกึ เหล่ำน้ีเป็นจำรึกภำษำ สนั สกฤตทก่ี ล่ำวถงึ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ โปรดใหส้ รำ้ งอโรคยศำลำเพ่อื ใหเ้ ป็น ท่รี กั ษำพยำบำลคนเจบ็ ป่ วย พร้อมกบั กำรบรจิ ำคอุปกรณ์ ยำ หมอ และผู้มี หน้ำทต่ี ่ำงๆ ใหป้ ระจำตำมสถำนทเ่ี หลำ่ น้ีดว้ ย [๒๓๐]

ภำพท่ี ๓ จำรกึ ประจำอโรคยศำลำ พบทก่ี โู่ พนระฆงั อำเภอเกษตรวสิ ยั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ จารึกพระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ ทพ่ี บอยูบ่ นฐำนเชงิ เทยี น และจำรกึ อยู่ บนขอบขนั สำรดิ พบท่จี งั หวดั ปรำจนี บุรี มขี ้อควำมว่ำ พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ พระรำชทำนแก่อโรคยศำลำ ณ สงั โวก จารึกพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ ท่ีพบอยู่บนฐำนคนั ฉ่องสำรดิ พบท่ี จังหวัดปรำจีนบุรี มีข้อควำมว่ำ พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ พระรำชทำนแก่ อโรคยศำลำ ณ ศรวี ตั สปรุ ะ (ซง่ึ มกี ำรอ่ำนและแปลใหมว่ ำ่ อวธั ยปรุ ะ) [๒๓๑]

ภำพท่ี ๔ จำรกึ กรอบคนั ฉ่องสำรดิ พบทเ่ี มอื งโบรำณศรมี โหสถ อำเภอศรมี โหสถ จงั หวดั ปรำจนี บุรี นอกจากนี้ยงั มีการค้นพบศิลาจารึกในประเทศกมั พชู าท่ีแสดง ให้เหน็ ถึงการแพร่ขยายอานาจทางการเมืองของอาณาจกั รเขมรโบราณ เข้ามาในดินแดนท่ีเป็นประเทศไทยในปัจจบุ นั ด้วย ทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่ จารึกปราสาทนครวดั พบอยู่ใต้ภำพสลกั ขบวนกองทพั ของนักรบ ต่ำงชำตทิ ต่ี ดิ ตำมขบวนทพั ของพระเจำ้ สุรยิ วรมนั ท่ี ๒ ท่รี ะเบยี งดำ้ นทศิ ใตซ้ กี ตะวนั ตก ๒ ภำพ ภำพหน่ึงจำรกึ กล่ำวว่ำเป็นกองทพั ของชำวสยำมและอีก ภำพหน่ึงเป็นกองทพั จำกเมอื งละโว้ จารึกที่ปราสาทพระขรรค์ กล่ำวถงึ เรอ่ื งรำวของพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ วำ่ พระองคไ์ ดส้ ถำปนำพระชยั พุทธมหำนำถ (ซ่งึ เช่อื กนั วำ่ เป็นพระพทุ ธรูป ฉลองพระองคข์ องพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗) ไวต้ ำมเมอื งต่ำงๆ โดยมกี ำรระบุนำม ของสถำนท่ีประดิษฐำนไว้ด้วย และในบรรดำเมืองต่ำงๆท่ีกล่ำวถงึ นัน้ มอี ยู่ หลำยเมอื งท่เี ช่อื กนั ว่ำคงจะตงั้ อยู่ในแถบภำคกลำงและภำคตะวนั ตกของไทย ได้แก่ ลโวทยปุระ สุวรรณปุระ ศมั พูกะปัฏนะ ชยั รำชปุรี ศรชี ยั สงิ หบุรี ศรชี ยั วชั รปุรี เพรำะมกี ำรค้นพบหลกั ฐำนทำงด้ำนโบรำณวตั ถุสถำนสมยั พระเจ้ำ [๒๓๒]

ชยั วรมนั ท่ี ๗ ยนื ยนั ดว้ ย โดยเช่อื กนั ว่ำ ลโวทยปุระ คอื ละโวห้ รอื เมอื งลพบุรี สุวรรณปุระคือเมืองสุพรรณบุรี ศัมพูกะปั ฏนะ (ไม่ทรำบว่ำอยู่ท่ีใดแน่ แต่สนั นิษฐำนว่ำอำจจะอยู่ท่สี ระโกสนิ ำรำยณ์ อำเภอบ้ำนโป่ ง จงั หวดั รำชบุรี ชยั รำชปุรี คือเมืองรำชบุรี ศรชี ัยสิงหบุรี คือบรเิ วณท่ีตงั้ ปรำสำทเมืองสิงห์ จงั หวดั กำญจนบุรี ศรวี ชั รบุรี คอื เมอื งเพชรบุรี ภำพท่ี ๕ ภำพกองทพั ของชำวสยำมทร่ี ะเบยี งปรำสำทนครวดั นอกจำกน้ีในจำรกึ หลกั เดยี วกนั น้ียงั กล่ำวถึงกำรสรำ้ งวหนิคฤหะ ซง่ึ แปลว่ำบำ้ นพรอ้ มไฟ ๑๗ แหง่ บนเสน้ ทำงทต่ี ดั มำจำกเมอื งพระนครซง่ึ เป็น รำชธำนีมำยงั เมอื งพมิ ำย (ในจงั หวดั นครรำชสมี ำ) ในปัจจบุ นั พบหลกั ฐำนของ บำ้ นพรอ้ มไฟจำนวน ๙ แหง่ ในเขตประเทศไทย จารึกปราสาทตาพรหม เป็นจำรกึ ท่กี ล่ำวถงึ พระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ ทรงสรำ้ งอโรคยศำลำ (โรงพยำบำล) จำนวน ๑๐๒ แห่งข้นึ ตำมเมอื งต่ำงๆ [๒๓๓]

ทวั ่ รำชอำณำจกั ร มีกำรค้นพบหลกั ฐำนทงั้ ท่ีเป็นจำรกึ ท่ีกล่ำวถึงกำรสร้ำง โรงพยำบำลหลำยหลกั และตวั ศำสนสถำนประจำโรงพยำบำลอกี รำว ๓๐ แห่ง อยใู่ นภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย ภำพท่ี ๖ ปรำสำทตำเมอื นโต๊จ (ศำสนสถำนประจำโรงพยำบำล) อำเภอพนมดงรกั จงั หวดั สุรนิ ทร์ ร่องรอยหลกั ฐานท่ีได้จากจารึกทัง้ ที่พบในประเทศไทยและ อาณาจกั รกมั พชู าดงั กล่าวข้างต้น ถ้ามองโดยภาพรวมเราอาจสรปุ ได้ว่า ในช่วงระยะเวลาราวๆ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๕ การขยายอานาจทาง การเมืองจากอาณาจกั รกมั พูชาเข้ามาในเมืองโบราณที่ตงั้ อยู่ชายแดน ทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคตะวนั ออกของไทยซึ่งอยู่ติดกบั ราชอาณาจกั รกมั พูชาโบราณ และตงั้ แต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ลงมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ มีการขยายอานาจทางการเมืองเข้ามาจนถึง [๒๓๔]

บ้านเมืองโบราณที่ตัง้ อยู่ในบริเวณภาคกลางและภาคตะวนั ตกของ ประเทศไทยด้วย แต่ถ้ำพจิ ำรณำถึงรำยละเอียดของเน้ือควำมและอำยุของจำรกึ บำง หลกั ท่พี บในประเทศไทย รวมทงั้ ศึกษำประวตั ิศำสตรข์ องอำณำจกั รกมั พูชำ ประกอบด้วยจะเห็นได้ว่ำ อานาจทางการเมืองของอาณาจกั รกมั พูชา โบราณท่ีมีเหนื อดินแดนประเทศไทยบางส่วนนัน้ มิได้มนั ่ คงยืนยาว โดยตลอด แต่จะขยายเข้ามาในช่วงระยะเวลาที่กษตั ริย์เขมรมีอานาจ เข้มแข็งเท่านั้น คราวใดที่อานาจกษัตริย์เขมรอ่อนแอหรือมีปัญหา การเมอื งขึน้ ท่ีราชธานี อานาจทางการเมืองท่ีเคยมีอย่เู หนือดินแดนไทย นั้นจะถดถอยลง บ้านเมืองในดินแดนแถบนี้ ก็จะมีอิ สรภาพขึ้นใน บางช่วงเวลา หลักฐำนท่ีนำมำยืนยนั ข้อสนั นิษฐำนน้ี ได้แก่ ศิลำจำรึกเขมรใน ประเทศไทยอกี จำนวนหน่ึงทม่ี อี ำยุอยใู่ นรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ จำรกึ เหล่ำน้ีกล่ำวถึงพระนำมของกษตั รยิ ์หรอื เจ้ำเมอื งท้องถ่ินซ่ึงไม่เป็นท่ีรูจ้ กั ใน ประวตั ิศำสตร์กมั พูชำโบรำณเลย แสดงว่ำในบำงช่วงระยะเวลำคอื ช่วงรำว พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ ดินแดนบำงแห่งในภำคตะวนั ออกและภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือท่เี คยตกอยูภ่ ำยใต้อำนำจทำงกำรเมอื งคงมกี ำรปกครอง ตนเองเป็นอิสระปลอดจำกอำนำจทำงกำรเมอื งของอำณำจกั รกมั พูชำโบรำณ จงึ มจี ำรกึ ทก่ี ล่ำวถงึ พระนำมของกษตั รยิ ท์ อ้ งถน่ิ ปรำกฏขน้ึ หลำยแหง่ จา รึ ก ที ่ป ร าก ฏ พ ระ น าม ข อ งก ษัต ริ ย์พ้ ื น เมื อ งห รื อ ท้ อ งถิ ่น สว่ นใหญ่มอี ำยรุ ำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ ไดแ้ ก่ จารึกพบที่จงั หวดั สระแก้ว มกี ำรกล่ำวถึงอำณำจกั รเชยษฐปุระ มผี นู้ ำเป็นโอรสของพระเจำ้ ศวิ ทตั ต์ จารึกท่ีพบในภาคตะวนั อกเฉียงเหนือมีหลายหลกั ไม่มศี กั รำช แต่กำรกำหนดอำยุตวั อกั ษรท่ีใช้เขยี นมอี ำยุในช่วงรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ ภำษำท่ใี ช้เขยี นในจำรกึ เหล่ำน้ีส่วนใหญ่เป็นภำษำสนั สกฤต แต่บำงหลกั เป็นภำษำมอญ และภำษำเขมร ทำใหเ้ รำแยกจำรกึ เหล่ำน้ีออกจำกกลุ่มจำรกึ [๒๓๕]

สมยั ทวำรวดที ่ีพบในบรเิ วณภำคกลำงของประเทศไทยได้ เพรำะจำรกึ สมยั ทวำรวดที ่พี บในภำคกลำงสว่ นใหญ่ใช้ภำษำบำลี จำรกึ กลุ่มน้ีมลี กั ษณะพเิ ศษ คอื ๑. เป็นจำรกึ ทส่ี ลกั บนศลิ ำทรำยสแี ดงรปู คลำ้ ยใบเสมำ ซง่ึ บำงหลกั มี ภำพสลกั เล่ำเร่อื งในพุทธศำสนำทม่ี รี ปู แบบศลิ ปะคล้ำยกบั ศิลปะแบบทวำรวดี ทเ่ี จรญิ ขน้ึ ในภำคกลำงของประเทศไทยอกี ดว้ ย ๒. เซเดส์ ตงั้ ขอ้ สงั เกตไวว้ ำ่ จำรกึ เหล่ำน้ีใช้ตวั อกั ษรทม่ี ลี กั ษณะต่ำง ไปจำกตวั อกั ษรท่ใี ชใ้ นเขมรแต่ใกล้เคยี งกบั ตวั อกั ษรท่ีใชใ้ นจำรกึ สมยั ทวำรวดี และบำงหลกั ยงั มกี ำรกล่ำวถึงพระนำมของกษตั ริย์ท้องถิ่นอีกด้วย ท่ีสำคญั ไดแ้ ก่ จารึกหินขอน พบทอ่ี ำเภอปักธงชยั จงั หวดั นครรำชสมี ำ เป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมรท่ีมีข้อควำมกล่ำวสดุดีพระรำชำองค์หน่ึง ซง่ึ เป็นรำชภกิ ษุ มพี ระนำมว่ำ นฤเปนทรปติวรมนั ซง่ึ อำจจะเคยครองรำชยท์ ่ี สโร พรำ และยงั มกี ำรกล่ำวถงึ พระนำมของกษตั รยิ อ์ งค์อ่นื ๆ เช่น โสรยวรมนั และยงั กลำ่ วถงึ เมอื งหลวงทม่ี ชี ่อื เรยี กวำ่ มฤ และ ตรง ดว้ ย จารึกภูเขียว พบท่ีจังหวัดชัยภูมิ เป็ นจำรึกภำษำสันสกฤตท่ี กล่ำวถงึ พระนำมกษตั รยิ ช์ ยั สงิ หวรมนั แต่ไมป่ รำกฏนำมบำ้ นเมอื ง จารึกดอนเมืองเตย พบท่ีบ้ำนสงเปื อย อำเภอคำเข่ือนแก้ว จังหวัดยโสธร เป็ นจำรึกภำษำสนั สกฤตท่ีกล่ำวถึงพระนำมของกษัตริย์ ปวรเสนะ มพี ระโอรสทรงพระนำมวำ่ โกรญจพำหุ มพี ระนัดดำทรงพระนำมวำ่ ธรรมเสนะ และกล่ำวถงึ นำมของมนุ ีรำทศั มะ ผมู้ นั ่ คงดว้ ยศรทั ธำ จารึกศรีจนาศะ พบท่ีเทวสถำนชีกุน จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยำ แต่มหี ลกั ฐำนท่ที ำใหเ้ ช่อื ว่ำแหล่งกำเนิดดงั้ เดมิ ของจำรกึ หลกั น้ีอยทู่ ่เี มอื งเสมำ จงั หวดั นครรำชสีมำ จำรกึ หลักน้ีเป็นจำรึกภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมร มขี อ้ ควำมสรปุ ได้ว่ำ รำว พ.ศ. ๑๔๘๐ มอี ำณำจกั รศรจี นำศะ ซ่งึ ปกครองโดย กษตั รยิ ์หลำยองค์ คอื พระเจำ้ ภคทตั ต์ พระเจำ้ สุนทรปรำกรม พระเจำ้ สนุ ทร [๒๓๖]

วรมนั พระเจ้ำนรปติสิงหวรมนั พระเจ้ำมงคลวรมนั พระนำมของกษัตริย์ เหลำ่ น้ีไมเ่ ป็นทร่ี จู้ กั ในจำรกึ เขมรทพ่ี บในกมั พชู ำเลย ร่องรอยหลกั ฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ไดม้ กี ำรคน้ พบโบรำณสถำนโบรำณวตั ถุแบบเขมรบนดนิ แดนทเ่ี ป็น ประเทศไทยปัจจุบันมำกมำย นักวชิ ำกำรชำวฝรงั ่ เศสท่ีเข้ำมำสำรวจจดั ทำ ทะเบยี นโบรำณสถำนเขมรในประเทศไทยในระยะแรก ไดจ้ ดั กลุ่มโบรำณสถำน แบบเขมรทพ่ี บในประเทศไทยไวใ้ นกลมุ่ ศลิ ปะเขมรดว้ ย ต่อมำเม่อื สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ผไู้ ดร้ บั ยกย่องใหเ้ ป็นองคบ์ ดิ ำแห่งประวตั ศิ ำสตรไ์ ทย และศำสตรำจำรยย์ อรช์ เซเดส์ นักปรำชญ์ชำวฝรงั ่ เศสไดท้ ำกำรศึกษำโบรำณสถำนและโบรำณวตั ถุ แบบเขมรในประเทศไทย และเรยี กศลิ ปะแบบเขมรกลุ่มน้ีวำ่ ศลิ ปะสมยั ลพบุรี เพรำะเช่อื ว่ำในระยะเวลำท่ีอำณำจกั รกมั พูชำโบรำณแพร่ขยำยอิทธพิ ลทำง กำรเมอื งและวฒั นธรรมเขมรเขำ้ มำในประเทศไทยนนั้ คงจะมเี มอื งลพบุรซี ง่ึ คอื เมอื งละโว้ในอดตี เป็นศูนยก์ ลำงสำคญั และได้ทำกำรกำหนดอำยุศิลปะสมยั ลพบุรไี วใ้ นรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๘ (โดยอนุโลมตำมอำยุของศลิ ปะเขมร ในประเทศกมั พชู ำทร่ี ปู แบบศลิ ปะทค่ี ลำ้ ยคลงึ กนั ) คำว่ำ “ศิลปะสมยั ลพบุรี” ได้ปรำกฏข้ึนเป็นครงั้ แรกในหนังสือ ตำนำนพุทธเจดีย์ท่ีสมเดจ็ ฯ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพทรงนิพนธ์ข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ และเหตุท่ีไม่ทรงใช้ช่ือศิลปะเขมรสำหรับโบรำณสถำน โบรำณวตั ถุแบบเขมรท่ีพบในไทย และทรงหำช่ือใหม่มำเรียกนัน้ อำจจะ เน่ืองมำจำกปัญหำทำงกำรเมอื ง เพรำะในเวลำนัน้ เป็นยุคแห่งกำรล่ำอำณำ นิคมของชำวตะวนั ตก ประเทศฝรงั ่ เศสพยำยำมขยำยอทิ ธพิ ลเขำ้ ครอบครอง รำชอำณำจกั รกมั พูชำ ซ่ึงเดมิ นัน้ อำณำจกั รกมั พูชำเคยตกเป็นเมอื งข้นึ ของ ไทยมำก่อน กษตั รยิ เ์ ขมรตอ้ งเขำ้ มำพ่งึ พระบรมโพธสิ มภำรกษตั รยิ ไ์ ทย และ ในทส่ี ดุ อำณำจกั รกมั พชู ำกก็ ลำยเป็นเมอื งขน้ึ ของประเทศฝรงั ่ เศสและฝ่ำยไทย คงต้องพยำยำมท่ีจะหลีกเล่ียงกำรกล่ำวถึงอิทธพิ ลและวฒั นธรรมเขมรด้วย [๒๓๗]

เพรำะไทยกำลังมีปัญหำกับฝรงั ่ เศสในเร่อื งกำรแบ่งแยกดินแดนในกรณีน้ี ศำสตรำจำรย์ ดร.ม.ร.ว.สรุ ยิ วุฒิ สขุ สวสั ดอิ ์ ธบิ ำยวำ่ “อาจเกดิ จากพระวนิ ิจฉยั ที่ จะทรงดาเนินวเิ ทโศบายทางดา้ นการเมอื งระหวา่ งประเทศในช่วงเวลาดงั กล่าว ซงึ่ กาลงั อยู่ในยุคแหง่ การแสวงหาเมอื งข้นึ ของอาณานิคมของมหาอานาจชาติ ตะวนั ตก” สำหรบั กำรกำหนดอำยศุ ลิ ปะลพบุรใี นปัจจบุ นั นกั วชิ ำกำรรนุ่ หลงั ได้ ขยำยช่วงเวลำกวำ้ งออกไปจำกท่ีสมเดจ็ ฯ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพทรง กำหนดไว้ เดิมคือรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๘ ขยำยออกเป็ นรำวพุทธ ศตวรรษ ๑๒ – ๑๘ เพรำะได้มกี ำรคน้ พบร่องรอยหลกั ฐำนโบรำณวตั ถุสถำน แบบเขมรในประเทศไทยท่มี รี ปู แบบศลิ ปะและอำยเุ ก่ำลงไปถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ดว้ ย คาว่าสมยั ลพบรุ ีซึ่งเป็ นช่ือของสกลุ ช่างศิลปะนัน้ มีนักวิชาการ รนุ่ หลงั บางท่าน เช่น ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เสนอควรใช้คาว่า “ศิลปะเขมร” หรือศาสตราจารย์ ดร.ม.ร.ว.สุริยวฒุ ิ สขุ สวสั ด์ิ เสนอว่าควรเปลี่ยนเป็ น “ศิลปะร่วมแบบเขมร” แต่โดยทัว่ ไปยงั เรียกกนั ว่า ศิลปะลพบุรีหรือ ศิลปะสมยั ลพบุรี และคาว่า “ลพบรุ ี” ยงั ได้ถกู นามาใช้เป็ นช่ือในการแบ่ง ยุคสมยั สาหรบั การศึกษาโบราณคดีสมยั ประวตั ิศาสตรด์ ้วย ซ่ึงมีความ หมายถึงช่วงเวลาท่ีบ้านเมืองโบราณในประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลง ทางสงั คมและวฒั นธรรมภายใต้อิทธิพลเขมรท่ีแพร่หลายเข้ามาในราว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ ดงั ท่ไี ดก้ ล่ำวมำแล้วขำ้ งตน้ วำ่ กำรศกึ ษำโบรำณวตั ถุสถำนแบบเขมร ทพ่ี บในประเทศไทยและกำรกำหนดอำยนุ นั้ ตอ้ งเปรยี บเทยี บกบั ศลิ ปะเขมรใน ประเทศกมั พูชำและกำหนดอำยุอนุโลมตำมอำยุของศิลปะเขมรท่ีมรี ูปแบบ คล้ำยกนั ดงั นนั้ ขอพูดถงึ กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรศ์ ลิ ปะเขมรโบรำณก่อนอย่ำง สนั้ ๆ วำ่ ศลิ ปะเขมรเป็นศลิ ปะท่ไี ดร้ บั กำรศกึ ษำอยำ่ งเป็นระบบจำกนกั วชิ ำกำร ชำวฝรงั ่ เศส เพ่อื นำมำใช้ในกำรกำหนดอำยุโบรำณสถำนท่พี บในอำณำจกั ร กัมพูชำ โดยศึกษำหำวิวัฒ นำกำรของลวดลำยท่ีสลักประดับอยู่บน [๒๓๘]

องค์ประกอบทำงสถำปัตยกรรม ท่ีเรยี กว่ำ ทับหลังประดบั และเสำประดบั กรอบประตูเป็ นหลัก เน่ืองจำกทับหลังและเสำประดับกรอบประตูเป็ น องคป์ ระกอบทำงสถำปัตยกรรมท่ที ำจำกศลิ ำทรำยซง่ึ เป็นวสั ดุทม่ี คี วำมคงทน ถำวร จงึ มหี ลงเหลอื ใหศ้ กึ ษำไดต้ งั้ แต่สมยั แรกจนถงึ สมยั สดุ ทำ้ ย เม่อื ศกึ ษำได้แล้วก็นำผลท่ไี ด้มำตรวจสอบกบั ลวดลำยท่ีปรำกฏอยู่ บนหน้ำบัน เสำประดบั ผนังรวมทงั้ หลกั ฐำนอ่ืนๆ ท่ีพบท่ีโบรำณสถำนหลัง เดียวกนั เช่น แผนผงั โครงสร้ำงทำงสถำปัตยกรรม ถ้ำเข้ำกันได้ดีก็นับว่ำ ถกู ตอ้ ง หลกั จำกนนั้ ยงั นำผลท่ไี ดท้ งั้ หมดไปตรวจสอบกบั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ำกจำรกึ เพ่ือหำควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงรูปแบบศิลปะกบั เหตุกำรณ์ทำงประวตั ิศำสตร์ ผลทไ่ี ดท้ ำใหท้ รำบว่ำศลิ ปะรปู แบบใดสรำ้ งขน้ึ ก่อนหรอื หลงั และศลิ ปะรปู แบบ ใดสร้ำงข้ึนในรชั กำลใด กำรศึกษำดงั กล่ำวทำให้สำมำรถแบ่งศิลปะเขมร ออกเป็นรปู แบบตำ่ งๆ และกำหนดอำยไุ วด้ งั น้ี ศลิ ปะเขมรสมยั กอ่ นเมอื งพระนคร แบง่ เป็น ๑. ศลิ ปะแบบพนมดำ อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๑๐๐ - ๑๑๕๐ ๒. ศลิ ปะแบบสมโบรไ์ พรกกุ อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๑๕๐ - ๑๒๐๐ ๓. ศลิ ปะแบบไพรกเมง อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๑๘๐ - ๑๒๕๐ ๔. ศลิ ปะแบบกำพงพระ อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๒๕๐ - ๑๓๕๐ ศลิ ปะเขมรสมยั หวั เลย้ี วหวั ต่อ ไดแ้ ก่ ๕. ศลิ ปะแบบกเุ ลน อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๓๗๐ - ๑๔๒๐ ศลิ ปะเขมรสมยั เมอื งพระนคร ไดแ้ ก่ ๖. ศลิ ปะแบบพระโค อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๔๒๐ - ๑๔๔๐ ๗. ศลิ ปะแบบบำแคง็ อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๔๔๐ - ๑๔๗๐ ๘. ศลิ ปะแบบเกำะแกร์ อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๔๖๕ - ๑๔๙๐ ๙. ศลิ ปะแบบแปรรปู อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๔๙๐ - ๑๕๑๐ ๑๐. ศลิ ปะแบบบนั ทำยสรี อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๕๑๐ - ๑๕๕๐ ๑๑. ศลิ ปะแบบเกลยี ง อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๕๑๐ - ๑๕๖๐ ๑๒. ศลิ ปะแบบบำปวน อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๕๖๐ - ๑๗๒๐ [๒๓๙]

๑๓. ศลิ ปะแบบนครวดั อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๖๕๐ - ๑๗๒๐ ๑๔. ศลิ ปะแบบบำยน อำยรุ ำว พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๘๐ สถาปัตยกรรมแบบเขมรท่ีพบในประเทศไทย มีกำรค้นพบ โบรำณสถำนแบบเขมรท่เี รยี กกนั ว่ำ ปรำสำท เป็นจำนวนมำกในประเทศไทย กำรสำรวจและกำรจดั ทำทะเบยี นโบรำณสถำนเขมรในประเทศกมั พชู ำและใน ประเทศไทยเรม่ิ ข้นึ โดยชำวฝรงั ่ เศสตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๔ - ๒๔๔๗ พบว่ำมี โบรำณสถำนเขมรรำวรอ้ ยกวำ่ แห่งตงั้ อยบู่ นดนิ แดนทเ่ี ป็นประเทศไทยปัจจุบนั และไดม้ กี ำรสำรวจเพม่ิ เตมิ เรอ่ื ยมำตรำบจนปัจจบุ นั โบรำณสถำนเขมรท่เี รยี กว่ำ ปรำสำทหนิ คน้ พบมำกท่สี ุดในบรเิ วณ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ พบอยู่ในเขตจงั หวดั อุบลรำชธำนี จงั หวดั ยโสธร จงั หวดั ร้อยเอ็ด จังหวดั ศรีสะเกษ จงั หวดั ชัยภูมิ จังหวดั สุรินทร์ จงั หวัด บุรรี มั ย์ จงั หวดั นครรำชสีมำ จงั หวดั ขอนแก่น จงั หวดั มหำสำรคำม จงั หวดั สกลนคร และจงั หวดั นครพนม นอกนัน้ ถูกค้นพบในบรเิ วณภำคตะวนั ออก ในเขตจงั หวดั สระแก้ว จงั หวดั ปรำจีนบุรี และจงั หวดั จนั ทบุรี ในบริเวณภำคเหนือตอนล่ำง ในเขต จงั หวดั สุโขทัยและจังหวดั เพชรบูรณ์ ในบริเวณภำคกลำง ในเขตจงั หวดั สุพรรณบุรี จงั หวดั รำชบุรี ในบรเิ วณภำคตะวนั ตกในเขตจงั หวดั กำญจนบุรี และจงั หวดั เพชรบรุ ี รปู แบบและลกั ษณะของสถาปัตยกรรมของโบราณสถานเขมร ที่เรียกว่า ปราสาท ก่อนอ่ืนต้องทำควำมเข้ำใจก่อนว่ำ คำว่ำ ปราสาท ท่ีพูดถึงในท่ีน้ี ไม่ใช่ปรำสำทรำชวงั ท่ีประทับของพระมหำกษตั รยิ ์ แต่เป็นศำสนสถำนท่ีใช้ ประดษิ ฐำนรูปเคำรพและประกอบพธิ กี รรมทำงศำสนำทน่ี ับถอื กนั ในสมยั นนั้ ๆ ปรำสำทเขมรแต่ละแห่งท่ีสร้ำงแต่ละแห่งท่ีสร้ำงข้ึนคือสญั ลักษณ์แห่งเขำ พระสเุ มรุท่ถี กู จำลองขน้ึ เป็นศูนยก์ ลำงอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องบำ้ นเมอื ง เพ่อื ใชเ้ ป็นท่ี [๒๔๐]

ประดษิ ฐำนรูปเคำรพอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธปิ ์ ระจำเมอื ง กำรสรำ้ งปรำสำทขน้ึ ในชุมชน ถือเป็ นรำชประเพณีท่ีสำคัญสุดอย่ำงหน่ึงของกษัตริย์เขมรโบรำณ (ดู รำยละเอยี ดเก่ยี วกบั กำรสร้ำงปรำสำทเขมรในเอกสำรเร่อื งประวตั ศิ ำสตรข์ อง รำชอำณำจกั รกมั พชู ำโดยสงั เขป) การวางผงั ปราสาท ในระยะแรกๆ ปรำสำทเขมรมกั จะก่อเป็น ปรำสำทหลงั เดยี วตงั้ อยู่โดดๆ ในระยะต่อมำนิยมสร้ำงรวมเป็นหมู่ ตงั้ แต่ ๓ หลงั ๕ หลงั ตงั้ อยู่บนฐำนเดยี วกนั นอกจำกน้ียงั มปี รำสำทบรวิ ำรและอำคำร โดดๆ ท่ีเรยี กว่ำบรรณำลยั หรอื ห้องสมุดตงั้ รวมอยู่ด้วย สง่ิ ก่อสร้ำงทงั้ หมด ตงั้ อยู่บนพ้ืนท่ีรูปส่เี หล่ียมท่ีอำจจะมีระเบียงคด กำแพง และคูน้ำล้อมรอบ ทำงเขำ้ สปู่ รำสำทชนั้ ในมกั จะกอ่ เป็นซมุ้ ประตูเรยี กวำ่ โคปรุ ะ ปรำสำทเขมรมกั จะหนั หน้ำไปทำงทิศตะวนั ออกเสมอ แต่ก็มบี ำง แห่งท่ีหนั หน้ำไปทิศอ่ืนๆ เช่น ปรำสำทนครวดั หนั หน้ำไปทำงทิศตะวนั ตก ปรำสำทเขำพระวหิ ำรหนั หน้ำไปทำงทศิ เหนือ ปรำสำทหนิ พิมำยหนั หน้ำไป ทำงทศิ ใต้ รูปแบบของตัวปราสาท ตัวปรำสำทหรือท่ีไทยเรำเรียกว่ำ องค์ปรำงค์นัน้ เป็นส่ิงก่อสร้ำงท่ีแสดงให้เห็นถึงกำรผสมผสำนรูปแบบทำง สถำปั ตยกรรมระหว่ำงศำสนสถำน ท่ีเมืองมำวลีปุรัมในอินเดียใต้ กับ สถำปัตยกรรมพน้ื เมอื งเขมรดงั้ เดมิ ท่สี รำ้ งดว้ ยไม้เข้ำด้วยกนั วสั ดสุ ำคญั ท่ใี ช้ ในกำรก่อสรำ้ งคอื อฐิ ศลิ ำทรำยและศลิ ำแลง นอกจำกน้ียงั มกี ำรใช้ไมเ้ สรมิ ใน บำงสว่ นดว้ ย เชน่ ใชเ้ ป็นสว่ นคำนเหนือทบั หลงั ดำ้ นในและเพดำน โครงสรำ้ งท่ีสำคญั ของตวั ปรำสำทนัน้ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คอื ๑. ส่วนฐาน ซง่ึ มผี งั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั หรอื สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ ๒. ตวั ปราสาท หรอื เรยี กกนั ว่ำเรอื นธำตุ ซ่งึ ก่อเป็นห้องสเ่ี หล่ยี ม แคบๆ (หอ้ งครรภคฤหะ) มผี นงั หนำลอ้ มรอบ มปี ระตูทำงเขำ้ ดำ้ นเดยี วคอื ทำง ดำ้ นหน้ำ อกี สำมดำ้ นเป็นประตูปลอม หรอื มที ำงเขำ้ ไดท้ งั้ สด่ี ำ้ น [๒๔๑]

๓. ส่วนยอด หรอื ส่วนหลงั คำ สร้ำงเป็นชนั้ ๆ ซ้อนลดหลนั ่ กัน ข้นึ ไป แต่ละชนั้ มีกำรประดบั ด้วยอำคำรจำลองเล็กๆ หรอื กลีบขนุน บนสุด ประดบั ดว้ ยกลศหรอื ดอกบวั เทคนิคในการก่อสร้างและการประดบั ตกแต่ง ปรำสำทท่สี รำ้ งดว้ ยอฐิ ใช้อฐิ เรยี งก่อขน้ึ ไปโดยมนี ้ำยำชนิดหน่ึงเป็น ตวั เช่อื ม สนั นิษฐำนกนั วำ่ คงจะเป็นน้ำยำท่ที ำจำกวสั ดุธรรมชำติท่มี คี ุณภำพ ดีมำก เพรำะอิฐแต่ละก้อนยึดติดเกำะกันแน่นแทบจะเป็ นก้อนเดียวกัน ปรำสำทท่ีสร้ำงด้วยอิฐมิได้ใช้อิฐก่อข้ึนทัง้ หมด ส่วนท่ีเป็ นกรอบประตู เสำประดบั กรอบประตูและทบั หลงั จะใช้ศลิ ำทรำยเสมอ กำรตกแต่งลวดลำย ประดบั กอ็ ำจจะแกะลวดลำยลงบนอฐิ และใชป้ นู ปัน้ พอกทบั ลงบนลวดลำยดว้ ย ปรำสำทท่สี รำ้ งดว้ ยศลิ ำทรำยหรอื ศลิ ำแลง ช่ำงจะนำกอ้ นศลิ ำทรำย ทต่ี ดั แต่งเป็นแท่งสเ่ี หลย่ี มขนำดไล่เล่ยี กนั วำงซ้อนข้ึนไปตำมรปู ทรงท่กี ำหนด ไวใ้ นผงั โดยอำศยั น้ำหนกั ของหนิ แต่ละกอ้ นกดทบั ซง่ึ กนั และกนั และพยำยำม ใหร้ อยต่อของหนิ ใหร้ อยต่อของหนิ แต่ละกอ้ นเหล่อื มกนั กำรเรยี งหนิ ก่อขน้ึ ไป น้ีไม่ใช้เคร่อื งสอหรอื เคร่ืองยดึ หนิ เข้ำดว้ ยกันแต่อย่ำงใด นอกจำกในส่วนท่ีมี ควำมจำเป็นตอ้ งเสรมิ ควำมมนั ่ คงเป็นพเิ ศษ เช่นทข่ี อบหรอื มมุ อำคำร จงึ จะมี กำรใช้แท่งเหลก็ รูปตวั หรอื เป็นแกนยดึ โดยวำงแท่งเหลก็ ลงในร่องท่บี ำก หนิ ไว้ และใช้ตะกวั ่ หลอมละลำยรำดทบั ลงไปอกี ที กำรตกแต่งปรำสำทท่สี รำ้ ง ด้วยศิลำทรำย ช่ำงใช้วิธกี ำรสลกั ลวดลำยลงบนผวิ หน้ำของศิลำทรำยท่เี ป็น ส่วนประกอบทำงสถำปั ตยกรรมท่ีสำคัญ ได้แก่ ฐำน ทับหลัง หน้ำบัน เสำประดบั กรอบประตู เสำประดบั ผนัง ชนั้ เชงิ บำตร และองค์ประกอบต่ำงๆ ของสว่ นยอดปรำสำท ปรำสำท ท่ีก่อด้วยศิลำแลงมีเท คนิ ค ใน กำรก่ อสร้ำงแบ บเดียวกับ ศิลำทรำย แต่ไม่อำจสลกั ลวดลำยลงบนผิวศิลำแลงเหมือนท่ีแกะลงบนหิน ทรำยได้เพรำะเน้ือศิลำแลงหยำบมำก ศิลำแลงนัน้ อันท่ีจริงแล้วคือ ดินท่ีมี ส่วนผสมของแร่เหลก็ ควอร์ตซ์ ไมก้ำ และเมด็ หนิ แขง็ ศลิ ำแลงน้ีพบอย่ใู ต้ดนิ [๒๔๒]

โดยทวั ่ ไปเดมิ มสี ภำพค่อนข้ำงนุ่มคล้ำยดนิ เหนียวท่ีมเี มด็ หนิ แขง็ จำนวนมำก ผสมอยู่แต่เม่อื ขุดข้นึ มำถูกอำกำศและแสงแดดก็จะแข็งตวั เหมือนหินอย่ำง รวดเรว็ มคี วำมคงทนแขง็ แรงใชใ้ นกำรก่อสรำ้ งได้ ปราสาทเขมรที่พบในประเทศไทย ดงั ท่กี ล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ ว่ำมี กำรสำรวจพบปรำสำทแบบเขมรในประเทศไทยเป็นจำนวนมำก แต่ทร่ี จู้ กั กนั ดี ไดแ้ ก่ ปรำสำทเขำน้อย อำเภออรญั ประเทศ จงั หวดั สระแกว้ ปรำสำทภูมโิ พน อำเภอสงั ขะ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ปรำสำทตำเมอื น อำเภอกำบเชงิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ปรำสำทตำเมอื นโตจ็ อำเภอกำบเชงิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ปรำสำทตำเมอื นธม อำเภอกำบเชงิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ปรำสำทกำแพงใหญ่ อำเภออทุ มุ พรพสิ ยั จงั หวดั ศรสี ะเกษ ปรำสำทเมอื งแขก อำเภอสงู เนิน จงั หวดั นครรำชสมี ำ ปรำสำทพนมวนั อำเภอเมอื ง จงั หวดั นครรำชสมี ำ ปรำสำทหนิ พมิ ำย อำเภอพมิ ำย จงั หวดั นครรำชสมี ำ ปรำสำทเมอื งต่ำ อำเภอประโคนชยั จงั หวดั บุรรี มั ย์ ปรำสำทพนมรงุ้ อำเภอเฉลมิ พระเกยี รติ จงั หวดั บุรรี มั ย์ พระปรำงคส์ ำมยอด อำเภอเมอื ง จงั หวดั ลพบรุ ี ปรำสำทเมอื งสงิ ห์ อำเภอไทรโยค จงั หวดั กำญจนบุรี ปราสาทเขมรเป็ นหลกั ฐานสาคัญท่ีนักโบราณคดีใช้ศึกษา ค้นคว้าเรอื่ งราวเกี่ยวกบั ชุมชนโบราณในสมยั ลพบรุ ไี ด้หลายเรอื่ ง เช่น - เร่อื งกำรแพร่หลำยเขำ้ มำของวฒั นธรรมเขมรโบรำณและอำจจะ รวมไปถงึ อำนำจทำงกำรเมอื ของกษตั รยิ ์เขมรโบรำณในดนิ แดนประเทศไทย รวมทัง้ เส้นทำงกำรติดต่อระหว่ำงบ้ำนเมืองในประเทศไทยและอำณำจกั ร กมั พูชำโบรำณ เพรำะพบปรำสำทเขมรตงั้ อยู่ท่ใี ดก็แสดงว่ำมกี ำรแพร่หลำย อำรยธรรมเขมรโบรำณเขำ้ ไปถงึ ในบรเิ วณนนั้ แน่นอน [๒๔๓]

- เร่ืองกำรเจริญข้ึนของศำสนำพุทธลัทธิมหำยำนและศำสนำ พรำหมณ์ตำมแบบวฒั นธรรมเขมรในประเทศไทย เพรำะปรำสำทเขมรท่พี บ คอื ศำสนสถำนทส่ี รำ้ งขน้ึ ในศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพทุ ธลทั ธมิ หำยำน - เร่อื งควำมสำคญั และควำมรุ่งเรอื งของชุมชนโบรำณหรอื สถำนท่ี พบโบรำณสถำนเขมร ชุมชนบรเิ วณใดท่พี บโบรำณสถำนเขมร ชุมชนบรเิ วณ ใดท่ีพบปรำสำทเขมรขนำดใหญ่ ย่อมแสดงถึงควำมสำคญั และควำมรุ่งเรอื ง ทำงเศรษฐกจิ ของบรเิ วณนนั้ ๆ ในชว่ งทอ่ี ำรยธรรมเขมรแพรห่ ลำยเขำ้ มำ - เรอ่ื งอำยุสมยั ของชุมชนโบรำณ โดยอำศยั กำรกำหนดอำยรุ ูปแบบ ของปรำสำทเขมรแหง่ นนั้ ๆ - เรอ่ื งควำมเจรญิ ทำงเทคโนโลยใี นกำรก่อสรำ้ งของคนสมยั โบรำณ โดยศกึ ษำวธิ กี ำรก่อสรำ้ งปรำสำท ภำพท่ี ๗ ปรำสำทเขำน้อย อำเภออรญั ประเทศ จงั หวดั สระแกว้ [๒๔๔]

ภำพท่ี ๘ ปรำสำทสดกก๊อกธม อำเภอโคกสงู จงั หวดั สระแกว้ ภำพท่ี ๙ ปรำสำทศขี รภมู ิ อำเภอศขี รภมู ิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ [๒๔๕]

ภำพท่ี ๑๐ ปรำสำทตำเมอื น (บำ้ นมไี ฟ) อำเภอพนมดงรกั จงั หวดั สุรนิ ทร์ ภำพท่ี ๑๑ พระปรำงคส์ ำมยอด อำเภอเมอื ง จงั หวดั ลพบรุ ี [๒๔๖]

แน วท างโดยทัว่ ไปใน การศึ กษ าปราสาทเขมรของนั ก โบราณคดี ๑. นักโบรำณคดจี ะต้องศึกษำรูปแบบทำงศลิ ปะสถำปัตยกรรม และ ประติมำกรรมท่ีพบอยู่ท่ีปรำสำทเขมรแห่งนัน้ เพ่ือกำหนดอำยุตวั ปรำสำท ดงั นนั้ นกั โบรำณคดตี อ้ งมคี วำมรดู้ ำ้ นประวตั ศิ ำสตรศ์ ลิ ปะเขมรเป็นอยำ่ งดี ๒. นักโบรำณคดตี ้องศกึ ษำเร่อื งรำวของภำพสลกั เล่ำเร่อื งท่ปี ระดบั อยู่ตำมสถำปัตยกรรมรวมทงั้ ประตมิ ำกรรมรปู เคำรพท่พี บอยู่ท่โี บรำณสถำน แหง่ นนั้ เพ่อื หำเร่อื งรำวเกย่ี วกบั กำรนบั ถอื ศำสนำและคตคิ วำมเช่อื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ปรำสำทหนิ แห่งนัน้ ๆ ดงั นัน้ นักโบรำณคดตี ้องมคี วำมรูใ้ นเร่อื งประติมำณ วิทยำในศำสนำพรำหมณ์ และศำสนำพุทธท่ีเจริญข้ึนในอินเดียและใน รำชอำณำจกั รกมั พชู ำเป็นอยำ่ งดี ๓. นักโบรำณคดตี ้องตรวจสอบวำ่ มกี ำรค้นพบจำรกึ ท่โี บรำณสถำน แห่งนัน้ ๆ หรอื ไม่ ถ้ำพบต้องตรวจสอบว่ำจำรกึ หลกั นัน้ ๆ มกี ำรอ่ำนและแปล ได้ควำมว่ำอย่ำงไร เพรำะจำรกึ อำจจะให้ควำมรูเ้ ก่ียวกบั ศำสนำและประวตั ิ ควำมเป็นมำท่เี ก่ยี วกบั ปรำสำทหนิ แหง่ นัน้ ๆ รวมทงั้ บุคคลท่เี กย่ี วขอ้ งกบั กำร กอ่ สรำ้ งดว้ ย ๔. นักโบรำณคดีต้องสำรวจพ้ืนท่ีในบริเวณใกล้เคียงกับท่ีท่ีตัง้ ปรำสำทหินว่ำมีร่องรอยหลักฐำนเก่ียวกับกำรจดั กำรแหล่งน้ำและชุมชน โบรำณท่มี อี ำยุร่วมสมยั กบั ตวั ปรำสำทหนิ อยู่บรเิ วณใด และศึกษำคน้ คว้ำว่ำ รอ่ งรอยหลกั ฐำนทพ่ี บนนั้ ๆ มคี วำมสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งกบั ปรำสำทหนิ แหง่ นนั้ ๆ อยำ่ งไรบำ้ ง ประติมากรรมหรอื ศิลปะโบราณวตั ถแุ บบเขมรที่พบในประเทศ ไทย แบ่งออกเป็น - ประตมิ ำกรรมหรอื ศลิ ปะโบรำณวตั ถุเน่ืองในศำสนำ - ประตมิ ำกรรมหรอื ศลิ ปะโบรำณวตั ถุทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั [๒๔๗]

ประติมากรรมเน่ืองในศาสนา แบ่งออกเป็น ประติมากรรมภาพสลกั นูนตา่ ไดแ้ ก่ บรรดำภำพสลกั อนั สวยงำม ท่ีประดบั ตกแต่งอยู่ตำมส่วนประกอบสำคญั ของปรำสำทเขมร เช่น ทบั หลงั หน้ำบัน เสำประดับกรอบประตู เสำประดับผนัง ฯลฯ กำรประดบั ตกแต่ง ปรำสำทเขมรด้วยภำพสลกั อนั สวยงำมมไิ ด้มีวตั ถุประสงค์ท่ีจะใช้ภำพสลัก ประดบั เพอ่ื สอ่ื ควำมหมำยใหเ้ หน็ วำ่ ปรำสำทเขมรทส่ี รำ้ งขน้ึ เป็นสญั ลกั ษณ์ของ เขำพระสเุ มรุท่ปี ระทบั ของเทพเจ้ำบนสรวงสวรรคอ์ ย่ำงแท้จรงิ ภำพท่สี ลกั จงึ ประกอบดว้ ยลวดลำยตำ่ งๆ มำกมำย นอกจำกท่เี ป็นลวดลำยพนั ธุพ์ ฤกษำ ลวดลำยรูปบุคคลหรอื เทพเจำ้ สำคญั ในศำสนำ เทพธดิ ำ ฤๅษี และลำยรปู สตั วท์ ่เี ก่ยี วขอ้ งกบั คตคิ วำมเช่อื ใน ศำสนำแลว้ ยงั มภี ำพสลกั เล่ำเร่ืองตอนต่ำงๆ ทเ่ี ก่ยี วกบั เร่อื งรำวของเทพเจำ้ ผู้ ย่ิงใหญ่ในศำสนำนัน้ ๆ ด้วย นักโบรำณคดีสำมำรถใช้งำนประติมำกรรม ดงั กล่ำวน้ีเป็นหลกั ฐำนสำคญั ในกำรศึกษำค้นคว้ำเก่ยี วกบั คติควำมเช่อื ทำง ศำสนำทม่ี กี ำรนบั ถอื อยทู่ ศ่ี ำสนสถำนแหง่ นนั้ ๆ ได้ ภำพท่ี ๑๒ ทบั หลงั สลกั ภำพพระศวิ นำฏรำช ปรำสำทศขี รภมู ิ [๒๔๘]

ประติมากรรมลอยตวั ได้แก่ บรรดำประตมิ ำกรรมรูปเคำรพใน ศำสนำ มที งั้ ท่สี ลกั จำกศลิ ำและหล่อดว้ ยสำรดิ งำนทห่ี ลอ่ จำกสำรดิ งำนท่หี ล่อ จำกสำรดิ แสดงให้เหน็ ว่ำคนโบรำณยุคน้ีรู้จกั เทคโนโลยีกำรหล่อโดยปั้นหุ่น ขผ้ี ้งึ แล้ว ประตมิ ำกรรมรูปเคำรพลอยตวั ท่ีพบในประเทศไทยมอี ำยุอยู่ในรำว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ ประติมากรรมเน่ื องในศาสนาพราหมณ์ท่ีทาเป็ นรูปเคารพ ทพ่ี บมดี งั น้ี เทพที่สาคัญ ได้แก่ พระวิษณุหรือพระนำรำยณ์ พระกฤษณะ พระศิวะหรือพระอิศวร ศิวลึงค์ (สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ) พระอุมำ พระลกั ษมี อรรธนำรศี วร (พระศวิ ะผสมพระอมุ ำ) พระพรหม นำงพรหมมี เทพชนั้ รอง พระพิฆเนศวร เทพรกั ษำทิศ (พระอินทร์ พระยม ท้ำวกุเวร พระวรุณ พระพำย พระอคั นี พระอิสำน พระนฤฤติ พระอำทิตย์ พระจนั ทร์ พระเกตุ พระรำหู) นอกจำกน้ียงั มฤี ๅษีซ่ึงเป็นนักบวชในศำสนำ พรำหมณ์ นำงอปั สร และบรรดำเหล่ำคณะซง่ึ เป็นบรวิ ำรของพระอศิ วรอกี ดว้ ย ภำพท่ี ๑๓ พระพฆิ เนศวร (คเณศ) พบทป่ี รำสำทเมอื งต่ำ อำเภอประโคนชยั จงั หวดั บรุ รี มั ย์ [๒๔๙]

ประติมากรรมภาพสลกั เล่าเร่ืองของเทพเจ้าที่สาคญั ในศาสนา พราหมณ์ท่ีพบในประเทศไทย ทส่ี ำคญั มดี งั น้ี ภำพเล่ำเร่ืองท่ีเก่ียวกับเร่ืองรำวของพระศิวะท่ีสำคัญ ได้แก่ ภำพศิวะนำฏรำชหรอื พระอิศวรทรงฟ้อนรำ พระศวิ ะและพระอุมำประทบั อยู่ เหนือโคนนทิ ภำพท่ี ๑๔ หน้ำบนั สลกั ภำพพระศวิ นำฏรำช ปรำสำทนำรำยณ์เจงเวง อำเภอเมอื ง จงั หวดั สกลนคร ภำพเล่ำเร่อื งท่ีเกย่ี วกบั เร่อื งรำวของพระวษิ ณุหรอื นำรำยณ์ทส่ี ำคญั ได้แก่ ภำพเล่ำเร่อื งนำรำยณ์บรรทมสนิ ธุ์ ภำพเล่ำเร่อื งกำรอวตำรตอนต่ำงๆ ท่ีเก่ียวกบั ตอนอวตำรเป็ นเต่ำหรอื ท่ีเรียกว่ำกูรมำวตำร เช่น ภำพกำรกวน เกษียรสมุทรท่ีเก่ียวกับกฤษณำวตำร เช่น ภำพเล่ำเร่ืองพระกฤษณะ โควรรธนะ พระกฤษณะปรำบนำคกำลยิ ะ ท่เี ก่ยี วกบั วำมนำวตำรหรอื อวตำร [๒๕๐]