ด้ว ย รูป ลัก ษ ณ ะท ำงส ถ ำปั ต ยก รรม ท่ีต่ ำงไป จำก ป รำส ำท เข ม ร โดยทัว่ ไปทำให้นักโบรำณคดีชำวฝรงั ่ เศสบำงท่ำนเช่ือว่ำ ปรำสำทแม่บุญ ตะวนั ตกน้ี นอกจำกจะใช้เป็นศำสนถำนประดษิ ฐำนรูปเคำรพของเทพเจ้ำท่ี แสดงย้ำว่ำบำรำยตะวนั ตกคอื มหำสมทุ รอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธอิ ์ ยำ่ งแท้จรงิ แล้ว อำจจะ ใช้เป็นสถำนท่ีวดั ระดบั น้ำในบำรำยด้วย เพรำะมีกำรค้นพบว่ำรูปศิวลึงค์ท่ี ประดิษฐำนอยู่กลำงสระนัน้ นอกจำกจะมีรูปลักษณะต่ำงไปจำกรูปศิวลึงค์ โดยทวั ่ ไปแลว้ ยงั ถกู ประดษิ ฐำนไวใ้ นลกั ษณะทต่ี ่ำงกนั อกี ดว้ ย คอื เป็นศวิ ลงึ คท์ ่ี ภำยในกลวงและประดษิ ฐำนอยใู่ นลกั ษณะท่คี ว่ำลง ส่วนท่ีเป็นแปดเหล่ยี มอยู่ ดำ้ นบนส่วนปลำยท่เี ป็นทรงกลมอยูด่ ำ้ นล่ำง และมสี ่วนปลำยของทรงกลมนัน้ ยงั เช่อื มต่อกบั ท่อสำรดิ ซ่งึ ทอดยำวลอดใต้สระออกไปยงั บำรำย เม่อื ระดบั น้ำ ในบำรำยค่อยๆ สงู ขน้ึ น้ำกจ็ ะค่อยๆ ไหลผำ่ นท่อสำรดิ เขำ้ สู่องคศ์ วิ ลงึ คจ์ นเตม็ ดงั นัน้ ศิวลึงคอ์ งคน์ ้ีนอกจำกจะทำให้น้ำในบำรำยศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ล้วคงจะทำหน้ำท่ี เป็นตวั บอกถึงขีดควำมสำมำรถของบำรำยในกำรเก็บกกั น้ำและกำรจ่ำยน้ำ คลำ้ ยๆ กบั nilometres ซง่ึ เป็นเครอ่ื งวดั ระดบั น้ำของอยี ปิ ตโ์ บรำณ สำหรบั สง่ิ ก่อสรำ้ งท่สี ำคญั ในรชั กำลน้ี นอกจำกปรำสำทบำปวนซ่งึ สรำ้ งขน้ึ เพ่อื ใช้เป็นศำสนบรรพตประจำรำชธำนีและปรำสำทแม่บุญตะวนั ตก ทส่ี รำ้ งขน้ึ กลำงบำรำยตะวนั ตกแลว้ ยงั มสี ถำนทส่ี ำคญั อกี ๒ แห่งคอื ทบ่ี รเิ วณ เพิงหนิ รมิ ฝัง่ แม่น้ำและแผ่นหนิ ท้องแม่น้ำบนเขำพนมกุเลนและพนมกบำล สเปียน ซ่งึ เป็นแหล่งต้นน้ำสำคญั ของแม่น้ำท่ีไหลผ่ำนลงมำหล่อเล้ยี งท่รี ำบ บรเิ วณเมอื งพระนคร บรเิ วณดงั กล่ำวน้ีมีภำพสลกั รูปเคำรพของเทพเจ้ำอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ได้แก่ พระนำรำยณ์บรรทมสทิ ธุ์ กำเนิดพระพรหม พระอิศวรและ พระอุมำประทบั เหนือโคนนทิ และศิวลงึ คจ์ ำนวนมำกมำยท่เี รยี กกนั วำ่ ศวิ ลึงค์ พนั องค์ จำรกึ ท่พี บในแหล่งทำใหท้ รำบวำ่ ภำพสลกั ดงั กล่ำวสรำ้ งข้ึนในรชั กำล ของพระเจำ้ อุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ กำรสลกั ภำพดงั กล่ำวขน้ึ คงมวี ตั ถุประสงค์ท่ี ทำให้บรเิ วณท่เี ป็นแหล่งต้นน้ำท่เี ก่ยี วข้องกับระบบกำรชลประทำนของเมอื ง พระนครเป็นสถำนท่ศี กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ น้ำท่ไี หลผำ่ นลงมำเป็นน้ำศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ่นี ำควำม มนั ่ คงั ่ อุดมสมบูรณ์มำสู่รำชธำนีและชำวเมืองนัน่ เอง เม่ือพระเจ้ำอุทยั ทิตย [๓๐๑]
วรมนั ท่ี ๒ สน้ิ พระชนมล์ ง ผู้ครองรำชย์สบื ต่อมำคอื พระอนุชำของพระองค์ ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ หรรษวรมนั ท่ี ๓ ภำพท่ี ๒๕ ปรำสำทบำปวน ศำสนบรรพตสมยั พระเจำ้ อุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ ภำพท่ี ๒๖ ภำพสลกั เทพเจำ้ ในศำสนำฮนิ ดทู พ่ี นมกบำลสเปียน [๓๐๒]
พระเจ้าหรรษวรมนั ที่ ๓ (พ.ศ. ๑๖๐๙ - ๑๖๒๓) ในรชั กำลน้ีดู เหมอื นว่ำบ้ำนเมอื งวุน่ วำยมำกเพรำะต้องทำสงครำมกบั อำณำจกั รจมั ปำ และ ต้องเสียดินแดนแคว้นรอบนอกทำงทิศตะวนั ออกไป และในท่ีสุดพระองค์ก็ สน้ิ พระชนมล์ งเพรำะควำมไมส่ งบของบำ้ นเมอื ง พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๖ (พ.ศ. ๑๖๒๓ - ๑๖๕๐) หลกั ฐำนจำกจำรกึ ทำใหท้ รำบวำ่ กษตั รยิ เ์ ขมรองคน์ ้ีสบื เชอ้ื สำยมำจำกรำชวงศแ์ ห่งเมอื งมหธิ รปรุ ะ ซง่ึ เช่อื กนั ว่ำอำจจะตงั้ อยใู่ นบรเิ วณท่รี ำบลุ่มแม่น้ำมลู ในเขตอสี ำนใต้ของไทย เพรำะได้พบจำรกึ และสง่ิ ก่อสรำ้ งร่วมสมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ รวมทงั้ จำรกึ และสง่ิ ก่อสรำ้ งของเช้อื พระวงศ์แห่งรำชวงศแ์ ห่งมหิธรปุระในบรเิ วณดงั กล่ำว หลำยแห่ง เช่นท่ี ปรำสำทหนิ พมิ ำย ปรำสำทหนิ พนมวนั จงั หวดั นครรำชสมี ำ และท่ีปรำสำทหินพนมรุ้ง จังหวดั บุรีรัมย์ ส่วนร่องรอยหลักฐำนในเมือง พระนครท่ีเก่ียวข้องกบั พระองค์แทบจะไม่มีเลย พระองค์ครองรำชย์อยู่รำว ๒๗ ปีก็ส้นิ พระชนม์ ผู้ท่เี สดจ็ ข้นึ ครองรำชยส์ บื มำคอื พระเจ้ำธรณินทรวรมนั ท่ี ๑ พระเจ้าธรณิ นทรวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๕๐ - ๑๖๕๖) ทรงเป็ น พระเชษฐำของพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ ในจำรกึ กล่ำววำ่ พระองคไ์ มท่ รงปรำรถนำ ในรำชสมบตั เิ ลย พระองคท์ รงครองรำชยเ์ พยี ง ๕ ปี กถ็ ูกแยง่ รำชสมบตั ไิ ปโดย พระรำชนดั ดำของพระองค์เอง ซ่งึ เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชยส์ บื ต่อมำ ทรงพระนำม วำ่ พระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ พระเจ้าสุริยวรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖ - ๑๖๙๓) กษตั รยิ พ์ ระองค์น้ี ท รงน ำค ว ำม ยิ่งให ญ่ แ ล ะค ว ำม เจริญ รุ่งเรือ งม ำสู่รำ ช อ ำ ณ ำจัก รกัม พู ช ำ พระองค์ทรงส่งรำชทูตไปยงั ประเทศจีน ทำงจกั รพรรดิจนี ทรงยอมรบั และ พระรำชทำนพระเกยี รตอิ นั สูงส่งแก่พระองคด์ ้วย พระเจ้ำสุรยิ วรมนั ท่ี ๒ ทรง ขยำยอำณำเขตของรำชอำณำจกั รกมั พูชำออกไปดว้ ยกำรทำสงครำมและทรง ไดช้ ยั ชนะมำโดยตลอด ทรงทำสงครำมกบั อำณำจกั รจมั ปำและยดึ เมอื งหลวง ของพวกจำมไวไ้ ด้ พระองค์ทรงได้รบั กำรยกย่องว่ำทรงเป็นกษตั รยิ ์นักรบผู้ [๓๐๓]
ยง่ิ ใหญ่ และทรงเป็นผูส้ รำ้ งควำมยงิ่ ใหญ่ทำงอำรยธรรมให้แก่รำชอำณำจกั ร กมั พชู ำดว้ ย สง่ิ ก่อสร้ำงสำคญั ท่ีพระองค์สร้ำงข้ึนท่ีเมืองพระนคร คือปรำสำท นครวดั ศำสนสถำนแหง่ น้ีเป็นศำสนบรรบตประจำรำชธำนีทเ่ี ป็นรูปสญั ลกั ษณ์ แห่งเขำพระสเุ มรอุ ย่ำงแท้จรงิ และยงั เป็นปรำสำทท่มี ขี นำดใหญ่และสวยงำม ทส่ี ดุ ในศลิ ปะเขมรดว้ ย พระองคท์ รงเป็นกษตั รยิ เ์ ขมรทน่ี ับถอื ศำสนำฮนิ ดลู ทั ธิ ไวษณพนิกำยต่ำงไปจำกกษัตรยิ ์เขมรองค์ก่อนๆ ท่ีนับถือศำสนำฮินดูลทั ธิ ไศวะนิกำย จึงเช่ือกันว่ำรูปเคำรพท่ีประดิษฐำนอยู่ท่ีปรำสำทประธำนเป็ น เทวรูปของพระวษิ ณุ ปรำสำทนครวดั เป็นปรำสำทท่มี คี วำมยิ่งใหญ่สวยงำม มำกจนได้รบั กำรยกย่องให้เป็ นหน่ึงในบรรดำสถำปัตยกรรมท่ีถือว่ำเป็ น สงิ่ มหศั จรรยข์ องโลก ภำพท่ี ๒๗ ปรำสำทนครวดั (ถ่ำยภำพจำกทศิ ตะวนั ตก) [๓๐๔]
พระเจำ้ สุรยิ วรมนั ท่ี ๒ ทรงทำสงครำมขยำยรำชอำณำจกั รจนวำระ สดุ ทำ้ ยแห่งพระชนม์ชพี เช่อื กนั ว่ำรชั กำลของพระองคค์ งจะสน้ิ สดุ ลงหลงั จำก ทท่ี รงปรำชยั ในกำรยกทพั เข้ำโจมตแี ควน้ ตงั เกยี๋ พระรำชำองคใ์ หมท่ เ่ี สด็จข้นึ ครองรำชยส์ บื ต่อมำทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ ธรณนิ ทรวรมนั ท่ี ๒ ภำพท่ี ๒๘ ภำพสลกั กองทพั ของพระเจำ้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ ทป่ี รำสำทนครวดั พระเจ้าธรณิ นทรวรมันท่ี ๒ (ราว พ.ศ. ๑๖๙๓ - ๑๗๐๓) พระรำชำองคน์ ้ีทรงเป็นพระญำติ (ลูกพ่ลี ูกน้อง) ของพระเจ้ำสุริยวรมนั ท่ี ๒ เสดจ็ ขน้ึ ครองรำชย์ไม่นำนกเ็ ปล่ยี นแผ่นดนิ ใหม่ ผทู้ เ่ี สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยต์ ่อมำ คอื พระเจำ้ ยโศวรมนั ท่ี ๒ พระเจ้ายโศวรมนั ท่ี ๒ (ราว พ.ศ. ๑๗๐๓ - ๑๗๐๘) ในรชั กำลน้ี รำชอำนำจของพระองค์ไม่สู้จะมนั ่ คงและในท่ีสุดก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดย ขนุ นำงทค่ี ดิ กบฏ และขุนนำงผนู้ ้ีขน้ึ ครองรำชยส์ บื มำ ทรงพระนำมว่ำ พระเจำ้ ตรภี วู นำทติ ยวรมนั [๓๐๕]
พระเจ้าตรีภวู นาทิตยวรมนั (ราว พ.ศ. ๑๗๐๘ - ๑๗๒๐) ทรง ครองรำชย์อยู่รำว ๑๒ ปี กองทพั จำมบุกโจมตีเมอื งพระนคร และพระองค์ก็ สน้ิ พระชนมล์ งในกำรโจมตีของกองทพั จำมครงั้ นัน้ เอง กองทพั จำมยดึ เมอื ง พระนครได้ สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ่เี มอื งพระนครถูกทำลำย พระรำชอำณำจกั รกมั พชู ำ ตอ้ งตกอยภู่ ำยใตอ้ ำนำจของพวกจำมถงึ ๔ ปี จงึ ไดร้ บั อสิ รภำพกลบั คนื มำโดย กำรนำของเจ้ำชำยชัยวรมนั ซ่ึงเป็นโอรสของพระเจ้ำธรณินทรวรมนั ท่ี ๒ ห ลังจ ำก ท่ีเจ้ำช ำ ย ชัย ว ร ม ัน ท รง ท ำส ง ค รำ ม ขับ ไล่ พ ว ก จ ำม อ อ ก ไป จ ำ ก แผ่นดินกมั พูชำแล้ว พระองค์ก็เสด็จข้นึ ครองรำชย์ทรงพระนำมว่ำ พระเจ้ำ ชยั วรมนั ท่ี ๗ พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ราว ๑๗๖๓) ในรชั กำลน้ีถอื เป็นยุคแห่งควำมรุ่งโรจน์อกี ครงั้ ในประวตั ิศำสตรข์ องรำชอำณำจกั รกมั พูชำ อำณำเขตของบ้ำนเมอื งขยำยกวำ้ งไกลออกไปมำก หลงั จำกขบั ไล่พวกจำม ออกไปจำกเมอื งพระนครไดแ้ ลว้ กท็ รงยกทพั ไปตอี ำณำจกั รจมั ปำได้ หลงั จำก นนั้ ทรงขยำยพระรำชอำนำจของพระองคข์ น้ึ ไปทำงตอนเหนือถงึ เมอื งซำยฟอง ใกล้ๆ เวยี งจนั ทน์ในประเทศลำว ทำงตะวนั ตกเขำ้ ไปถงึ ดนิ แดนแถบลุ่มแมน่ ้ำ เจำ้ พระยำในภำคกลำงของประเทศไทย สำหรบั ท่ีเมืองพระนครนัน้ เน่ืองจำกสญั ลกั ษณ์แห่งส่ิงศักดิส์ ิทธิ ์ ท่ีคุ้มครองเมืองถูกทำลำยลง พระองค์จึงทรงฟ้ื นฟูข้ึนใหม่ด้วยกำรสร้ำง ศำสนสถำนขนำดใหญ่ข้นึ หลำยแห่งในเมืองพระนคร เช่อื กนั ว่ำศำสนสถำน หลงั แรกท่ีพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ สร้ำงขน้ึ คือปรำสำทบนั ทำยกเดย็ (บนั ทาย กุฎี) ต่อจำกนั้นโปรดให้สร้ำงปรำสำทเพ่ืออุทิศถวำยแด่พระรำชมำรดำ (ปราสาทตาพรหม) สรำ้ งปรำสำทเพ่อื อุทศิ ถวำยแดพ่ ระรำชบิดำขน้ึ ในบรเิ วณ ท่ีพระเจ้ำชยั วรมนั ทรงทำสงครำมกับพวกจำมและทรงได้รบั ชัยชนะ (คือ ปราสาทพระขรรค์) สร้ำงปรำสำทข้นึ กลำงบำรำยชยั ตฏำกะ (คือปราสาท นาคพนั ) และสงิ่ สำคญั ยงิ่ คอื ทรงสรำ้ งเมอื งพระนครหลวงข้นึ เป็นรำชธำนีแห่ง ใหม่ในบรเิ วณเมอื งพระนครด้วย ท่ีกลำงเมอื งหลวงแห่งใหม่น้ีโปรดให้สรำ้ ง ศำสนบรรพตประจำรำชธำนี (คอื ปรำสำทบำยน) ขน้ึ ดว้ ย [๓๐๖]
ภำพท่ี ๒๙ ปรำสำทตำพรหม สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ภำพท่ี ๓๐ ปรำสำทพระขรรค์ สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ [๓๐๗]
ภำพท่ี ๓๑ ปรำสำทนำคพนั สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ภำพท่ี ๓๒ ปรำสำทบำยน ศนู ยก์ ลำงรำชธำนีในสมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ [๓๐๘]
ส่วนท่ีบรเิ วณรอบนอกเมืองพระนครรวมทงั้ ในแว่นแคว้นต่ำงๆ ท่ี พระรำชอำนำจของพระองคแ์ ผ่ไปถึงกโ็ ปรดให้มกี ำรก่อสร้ำงศำสนสถำนข้นึ อีกหลำยแห่ง ท่สี ำคญั ได้แก่ ปรำสำทพระขรรคก์ ำพงสวำย ปรำสำทวดั นคร ปรำสำทตำพรหมบำตี ปรำสำทบนั ทำยฉมำร์ ฯลฯ นอกจำกน้ียงั มกี ำรสรำ้ งถนนท่ตี ดั ตรงจำกเมอื งพระนครหลวงไปยงั แว่นแควน้ รอบนอกหลำยสำยตำมเสน้ ทำงสำยต่ำงๆ เหล่ำนนั้ ไดโ้ ปรดให้สรำ้ ง “บ้ำนมไี ฟ” ข้นึ ๑๒๑ แห่ง และดว้ ยเหตุท่พี ระองค์ทรงเอำพระทยั ใส่ต่อควำม เจ็บป่ วยของประชำชน จึงโปรดให้สร้ำงโรงพยำบำลอีก ๑๐๒ แห่งข้ึนใน รำชธำนีและตำมแว่นแควน้ ต่ำงๆ ท่ตี กอยู่ในพระรำชอำนำจของพระองค์ดว้ ย สำหรบั ในประเทศไทยมกี ำรคน้ พบร่องรอยหลกั ฐำนสง่ิ ก่อสร้ำงต่ำงๆ ในสมยั ของพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นจำนวนมำก ภำพท่ี ๓๓ ปรำสำทบนั ทำยฉมำร์ สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ตงั้ อย่ทู ำงตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของประเทศกมั พชู ำ [๓๐๙]
สำหรบั ร่องรอยหลกั ฐำนเก่ยี วกบั ระบบชลประทำนทส่ี รำ้ งขน้ึ ในสมยั น้ีแสดงให้เห็นว่ำมีกำรปรบั ปรุงระบบกำรจดั กำรเร่อื งน้ำรวมทงั้ กำรจดั สร้ำง ระบบชลประทำนต่ำงไปจำกสมยั ก่อน ท่ีเมืองพระนครมกี ำรขุดลอกสระน้ำ ใหญ่ท่ีเรียกกันว่ำ สระสรง มีกำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำข้ึนใหม่ มีช่ือเรียกเป็ น ทำงกำรว่ำ ชยั ตฏำกะ สร้ำงคูคลองขนำดใหญ่ข้นึ ล้อมรอบศำสนสถำนและ ล้อมรอบรำชธำนี โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ คูเมอื งท่ลี อ้ มรอบรำชธำนีนัน้ กเ็ ป็นส่วน หน่ึงของระบบกำรชลประทำนท่ีสร้ำงข้ึนในสมยั น้ีด้วย ส่วนในบริเวณแว่น แควน้ รอบนอกทม่ี แี มน่ ้ำใหญ่ไหลผำ่ นกม็ กี ำรสรำ้ งสะพำนขำ้ มแมน่ ้ำขน้ึ หลำย แห่ง สะพำนเหล่ำน้ีก่อสร้ำงข้นึ อย่ำงแข็งแรงด้วยศิลำเพรำะนอกจำกจะทำ หน้ำท่เี ป็นสะพำนขำ้ มแม่น้ำแลว้ คงจะทำหน้ำท่เี ป็นเข่อื นกนั้ น้ำด้วย มกี ำรขุด คลองส่งน้ำหลำยสำยตดั จำกแม่น้ำตรงไปยงั ท่ีทำกำรเพำะปลูก ร่องรอยของ ระบบชลประทำนทส่ี รำ้ งขน้ึ เหลำ่ น้ีจะมองเหน็ ไดอ้ ยำ่ งชดั เจนจำกภำพถ่ำยทำง อำกำศหรอื ภำพถำ่ ยทำงดำวเทยี ม ภำพท่ี ๓๔ คเู มอื งนครธม (Angkor Thom) สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ [๓๑๐]
ภำพท่ี ๓๕ สะพำน Spean Praptos สมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ทรงได้รบั กำรยกย่องให้เป็ นวีรบุรุษองค์ สุดท้ำยแห่งรำชอำณำจกั รกมั พูชำยุคเมอื งพระนคร พระองคท์ รงเป็นกษตั รยิ ์ เขมรท่ีทรงหนั มำนับถือศำสนำพุทธลทั ธิมหำยำน ดงั นัน้ สิ่งก่อสร้ำงในสมยั พระองค์จึงเป็ นพุทธสถำนทัง้ ส้ิน แต่หลังจำกส้ินรชั สมยั ของพระองค์แล้ว เรำไม่ทรำบแน่ชดั ว่ำเกิดอะไรข้นึ บ้ำง แต่ดูเหมอื นว่ำอำนำจทำงกำรเมอื งอนั ยง่ิ ใหญ่ของรำชอำณำจกั รกมั พูชำท่เี คยแผ่ขยำยออกไปแว่นแควน้ รอบนอก กเ็ สอ่ื มลงทนั ที [๓๑๑]
ภำพท่ี ๓๖ ประตมิ ำกรรมรปู เหมอื นพระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ (?) พบทเ่ี มอื งพระนคร ปัจจุบนั จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑก์ เี มต์ กรุงปำรสี ประเทศฝรงั่ เศส อย่ำงไรก็ดีท่ีเมืองพระนครอนั เป็ นรำชธำนี หลงั จำกรชั กำลของ พระองค์แล้วยังคงเจริญรุ่งเรืองอยู่ มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมำอีกหลำย พระองค์ คอื พระเจ้าอินทรวรมนั ที่ ๒ (ราวหลงั พ.ศ. ๑๗๖๓ - ๑๗๘๖) ทรง เป็นโอรสของพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ หลกั ฐำนท่ีเก่ียวกบั พระองคพ์ บน้อยมำก เรำจงึ ไมท่ รำบถงึ เหตุกำรณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในรชั สมยั ของพระองคเ์ ลย [๓๑๒]
พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๘ (พ.ศ. ๑๗๘๖ - ๑๘๓๘) พระรำชำองคน์ ้ีทรง นับถือศำสนำพรำหมณ์ และโปรดให้มีกำรก่อสร้ำงศำสนสถำนข้ึนท่ีเมือง พระนครหน่ึงแห่ง คือปรำสำทมงั คลำรถ เช่ือกันว่ำในรชั กำลน้ีคงจะมีกำร ทำลำยรูปเคำรพในศำสนำพทุ ธท่ปี ระดบั ตกแต่งอยู่ตำมศำสนสถำนท่สี รำ้ งข้นึ ในสมัยพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ด้วย เพรำะเรำจะพบว่ำบรรดำภำพสลัก รูปพระพุทธรูปท่ีปรำกฏอยู่ตำมหน้ำบัน ทับหลัง เสำนำงเรียง ท่ีอยู่ตำ ม ศำสนสถำนท่สี รำ้ งข้นึ ในสมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ จะถูกกะเทำะทำลำยออก จนหมด ใน ข ณ ะเดีย ว กัน ก็ดูเห มือ น ว่ำศ ำส น ำพุ ท ธ ล ัท ธิล ัง ก ำว ง ศ์ ได้เริ่ม แพร่หลำยเข้ำมำในรำชอำณำจกั รกมั พูชำแล้วด้วย เน่ืองจำกพระโอรสของ พระเจ้ำชัยวรมนั ท่ี ๗ พระองค์หน่ึงเคยเสด็จไปประทับอยู่ลังกำ พระเจ้ำ ชยั วรมนั ท่ี ๘ ครองรำชย์อยู่นำนรำว ๕๐ กว่ำปี กส็ ละรำชสมบตั ิให้รำชบุตร เขยเสดจ็ ขน้ึ ครองรำชยส์ บื ตอ่ มำ ทรงพระนำมวำ่ พระเจำ้ ศรนี ทรวรมนั พระเจ้าศรีนทรวรมัน (พ.ศ. ๑๘๓๘ - ๑๘๕๐) ในรัชกำลน้ีดู เหมือนว่ำเมอื งพระนครยงั คงเจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ ทำงจนี ส่งคณะทูตเดินทำงมำ ทวงเคร่อื งรำชบรรณำกำรจำกรำชอำณำจกั รกมั พูชำดว้ ย และหน่ึงในคณะทูต คนหน่ึงท่ีเดินทำงมำพระรำชอำณำจักรกัมพูชำครัง้ น้ีช่ือ “จิวตำกวน” ซ่ึงหลงั จำกท่ีเดินทำงกลบั ไปประเทศจนี ท่ำนได้บนั ทึกควำมทรงจำท่ีท่ำน ได้ยิน ได้พบ ได้เห็นในระหว่ำงท่ีพำนักอยู่ในรำชอำณำจกั รกมั พูชำไว้ และ บนั ทึกน้ีกลำยเป็นหลกั ฐำนสำคญั ท่สี ดุ ช้นิ หน่ึงในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรข์ อง รำชอำณำจกั รกัมพูชำ เพรำะมีเร่ืองเล่ำมำกมำยท่ีเก่ียวกับเมืองพระนคร พระรำชวงั หลวงศำสนสถำนทส่ี ำคญั พระรำชพธิ แี ละพระรำชประเพณีท่สี ำคญั รวมทัง้ สภำพสังคมและชีวิตควำมเป็ นอยู่ของผู้คนในรำชสำนักและของ ชำวเมืองทัว่ ไปด้วยเร่อื งรำวท่ีท่ำนบนั ทึกไว้ถึงแม้จะมีบ้ำงท่ีมีรำยละเอียด เกินเลยควำมจรงิ แต่กม็ เี ร่อื งรำวอกี มำกมำยท่สี ำมำรถตรวจสอบไดจ้ ำกภำพ ส ลัก เล่ ำ เร่ือ ง ต ำ ม ศ ำ ส น ส ถ ำ น แ ล ะ จ ำ ก ข้ อ ค ว ำ ม ใ น ศิ ล ำ จ ำ รึก ท่ี พ ล ใ น รำชอำณำจกั รกมั พูชำ พระเจ้ำศรนี ทรวรมนั ทรงครองรำชยอ์ ยู่ ๑๒ ปี กท็ รง [๓๑๓]
สละรำชสมบัติให้แก่พระญำติของพระองค์ ซ่ึงเม่ือเสด็จข้ึนครองรำชย์ทรง พระนำมวำ่ พระเจำ้ ศรนี ทรชยั วรมนั พระเจ้าศรีนทรชยั วรมนั (พ.ศ. ๑๘๕๐ - ๑๘๗๐) หลกั ฐำนท่ี เก่ยี วกบั พระองค์พบน้อยมำก ในสมยั น้ีดูเหมือนว่ำศำสนำพุทธลทั ธเิ ถรวำท เรม่ิ เข้ำไปมบี ทบำทมำกข้นึ ในรำชอำณำจกั รกมั พูชำด้วย เพรำะมกี ำรสร้ำง จำรกึ ในศำสนำพทุ ธลทั ธเิ ถรวำทขน้ึ ในปี พ.ศ. ๑๘๕๒ ซง่ึ ถอื วำ่ เป็นจำรกึ ภำษำ บำลหี ลกั แรกทพ่ี บในรำชอำณำจกั รกมั พูชำ จำรกึ ทม่ี อี ำยุก่อนหน้ำน้ีเป็นจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและภำษำเขมรโบรำณทงั้ หมด พระองคท์ รงครองรำชยอ์ ยู่รำว ๒๐ ปีกเ็ ปลย่ี นแผน่ ดนิ ใหม่ ผคู้ รองรำชยส์ บื มำคอื พระเจำ้ ชยั วรรมำทปิ รเมศวร พระเจ้าชัยวรรมาทิ ปรเมศวร (พ.ศ. ๑๘๗๐ - ?) ร่องรอย หลกั ฐำนเก่ียวกบั พระองค์มีน้อยมำกเช่นกนั ร่องรอยหลกั ฐำนท่มี อี ยู่บ่งช้วี ่ำ ระยะน้ีศำสนำพรำหมณ์ลทั ธไิ ศวะนิกำยยงั เป็นศำสนำประจำรำชสำนักสบื มำ หลงั จำกสน้ิ รำชกำรของพระเจำ้ ชยั วรรมำทปิ รเมศวร ประวตั ศิ ำสตร์ ของรำชอำณำจกั รกมั พูชำทไ่ี ดจ้ ำกจำรกึ ภำษำสนั สกฤตกส็ น้ิ สดุ ลง ยงั ไมม่ กี ำร คน้ พบจำกจำรกึ ภำษำสนั สกฤตและหลกั ฐำนสำคญั ทม่ี อี ำยุหลงั จำกน้ีเลยจงึ ไม่ ทรำบว่ำเกิดอะไรขน้ึ ทเ่ี มอื งพระนครบ้ำง เมืองพระนครถูกละท้งิ ไปเม่อื ใดและ ดว้ ยเหตุใดแน่ แตถ่ ้ำเช่อื ตำมพระรำชพงศำวดำรเขมรท่มี อี ยนู่ ัน้ อำจกลำ่ วไดว้ ่ำ รำว พ.ศ. ๑๘๘๕ ยงั มกี ษตั รยิ ป์ ระทบั อยู่ท่เี มอื งพระนครสบื ต่อมำทรงพระนำม ว่ำ พระเจ้ำนิรวำณบท แต่ไม่ทรำบว่ำพระองค์ทรงเก่ียวดองกับพระเจ้ำ ชยั วรรมำทิปรเมศวรอย่ำงไร ในพระรำชพงศำวดำรเขมรกล่ำวว่ำหลงั จำก รชั กำลของพระเจ้ำนิรวำณบท ยงั มกี ษตั รยิ ์ปกครองอยู่ท่เี มอื งพระนครสบื มำ จนถงึ รำวๆ ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ เมอื งพระนครจงึ ถูกละทง้ิ ไป ยคุ หลงั เมอื งพระนคร (รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ลงมำ) หลกั ฐำนท่ีปรำกฏอยู่ในพระรำชพงศำวดำรเขมรทำให้ทรำบว่ำ พระรำชำเขมรทเ่ี สดจ็ ขน้ึ ปกครองบำ้ นเมอื งในสมยั น้ีมคี วำมพยำยำมทจ่ี ะฟ้ืนฟู รำชอำณำจกั รกมั พชู ำขน้ึ ใหม่อกี แตไ่ ม่ยงิ่ ใหญ่เหมอื นในอดตี และรำชธำนีของ กมั พูชำกม็ ไิ ด้หวนกลบั มำท่เี มอื งพระนครอกี เลย หำกแต่ยำ้ ยลงไปทำงใต้อีก [๓๑๔]
หลำยแห่ง เช่นท่ีเมืองศรีสนั ธอร์ เมืองอุดงคมีชัย และในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ รำชธำนียำ้ ยมำอยู่ท่กี รุงพนมเปญซ่ึงตงั้ อยู่ในบรเิ วณท่เี ป็นจุดรวมของแม่น้ำ โขงและทะเลสำบใหญ่ กรุงพนมเปญยงั เป็นเมืองหลวงตรำบมำจนปัจจุบัน ในช่วงระยะหลงั ๆ ต่อมำบ้ำนเมืองมกี ำรเปล่ยี นแปลงไปอย่ำงมำกมำย ผูน้ ำ กมั พชู ำเปลย่ี นไปนบั ถอื ศำสนำพทุ ธลทั ธเิ ถรวำท และศำสนำพุทธลทั ธเิ ถรวำท เป็นศำสนำประจำชำตสิ บื มำจนทุกวนั น้ี [๓๑๕]
[๓๑๖]
การตงั้ ถ่ินฐานของชนชาติไท (ไต) ย โดย พฒุ วีระประเสริฐ [๓๑๗]
ไทย (Thai), ไท หรอื ไต (Tai, Dai) ? ชื่อไหนถงึ จะถกู เป็นเร่อื งแปลกแต่จรงิ ท่ีปัญหำขนั้ พ้ืนฐำนประกำรแรกๆ ประกำร หน่ึงของกำรศกึ ษำถงึ ประวตั คิ วำมเป็นมำของ “คนไทย” หรอื “ชนชาติไทย” นนั้ สบื เน่ืองมำจำกช่ือเรยี กทเ่ี รำจะคนุ้ เคยกบั คำวำ่ “ไทย (Thai)” แต่ในบำงครงั้ บำงครำวกจ็ ะพบคำว่ำ ไท หรือ ไต (Tai or Dai) ซ่งึ มกั จะก่อให้เกดิ ควำม สบั สนข้ึนกับบุคคลทัว่ ไปท่ีมิได้ศึกษำมำโดยตรงทำงด้ำนประวตั ิศำสตร์ ภำษำศำสตร์ ชำตพิ นั ธวุ์ ทิ ยำหรอื มำนุษยวทิ ยำอยพู่ อสมควร ดงั นนั้ ก่อนท่จี ะกล่ำวถึงเร่อื งรำวเก่ยี วกบั กำรตงั้ ถน่ิ ฐำนของชนชำติ ไทย ก็ควรท่ีจะแจกแจงถึงควำมแตกต่ำงและควำมสมั พนั ธ์เก่ียวเน่ืองของ คำทงั้ สำมคำน้ีให้กระจ่ำงชดั เพ่อื ให้เกิดควำมเขำ้ ใจเบ้ืองต้นร่วมกนั เสียก่อน มฉิ ะนัน้ ก็อำจจะต้องเสยี เวลำโต้เถียงกนั ว่ำ คนไทย (เดมิ ) อยู่ท่ีน่ี หรอื ไม่ได้ อยทู่ น่ี ่ี มูลเหตุแห่งควำมสบั สนในกำรใช้คำเรยี กทัง้ สำมคำน้ี เป็ นผลสืบ เน่ื อ ง ม ำ จ ำ ก ค ว ำ ม ค ลุ ม เค รือ แ ล ะ เห ล่ือ ม ล้ ำ กั น ข อ ง ค ำ นิ ย ำ ม ข อ ง แ น ว คิด (concepts) ท่ีเก่ียวข้องจำนวนหน่ึง อันได้แก่ แนวคิดเก่ียวกับชนชาติ (nationality) ชาติหรือประชาชาติ (nation) เชื้อชาติ (race) และชาติพนั ธ์ุ (ethnic) เพ่อื ให้เกิดควำมเข้ำใจท่ีชดั เจน เรำลองมำดูตวั อย่ำงคำนิยำมของ แนวคดิ ขำ้ งตน้ ทพ่ี จนำนุกรมทเ่ี ป็นทำงกำรใหไ้ วก้ นั สกั ๒ - ๓ ตวั อยำ่ ง พ จ น ำ นุ ก ร ม ศั พ ท์ สั ง ค ม วิ ท ย ำ อั ง ก ฤ ษ - ไ ท ย ฉ บั บ รำชบณั ฑติ ยสถำน (๒๕๓๒) ไดน้ ิยำมวำ่ nationality หมำยถงึ “(๑) ชนชาติ กลุ่มมนุษยท์ ผี่ ูกพนั กนั โดยพนั ธะแห่งการมวี ฒั นธรรม เป็นแบบเดียวกนั ชนชาตเิ ดยี วกนั ทีแ่ ท้จรงิ นัน้ จะมคี วามรู้สกึ อยู่เสมอว่าเป็น พวกเดยี วกนั และมีจารตี ประเพณีละมา้ ยคล้ายคลึงกนั ในขนั้ มูลฐาน ทงั้ น้ีไม่ จาเป็นต้องมีความเป็นเอกรูปอย่างสมบูรณ์ในลักษณาการวฒั นธรรมไป เสยี หมด เพราะเป็นไปไดย้ าก แต่จะตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งกนั หรอื อย่างน้อยก็ ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ และมีความร่วมมือกนั ในเรอื่ งทีเ่ กีย่ วกับสถาบัน ในขนั้ มูลฐานบางอย่าง เช่น ภาษา ศาสนา การแต่งกายและเครอื่ งตบแต่ง [๓๑๘]
การสาราญใจ ประมวลศีลธรรม ระบบการเมืองแบบอย่างครอบครวั และ ความคดิ ทางจรยิ ศาสตร์ สารตั ถะของการเป็นชนชาติหนึง่ กค็ อื ความรูส้ กึ เป็น พวกเรา สมาชกิ ของชนชาตหิ นึง่ มคี วามผกู พนั กนั ดว้ ย ความเหน็ อกเหน็ ใจกนั และกนั ซงึ่ ต่างกบั ความรู้สกึ ทมี่ ตี ่อสมาชิกของชนชาติอนื่ สมาชกิ ในชนชาติ เดยี วกนั มคี วามต้องการทีจ่ ะใช้ชีวติ ร่วมกนั ในสงั คมเดียวกนั ความต้องการน้ี อาจจะไม่สมปรารถนาหรอื เป็นจรงิ ข้นึ มา แต่ตราบเท่าทมี่ คี วามตอ้ งการน้ีอยู่ก็ เท่ากบั ทาใหช้ นชาตเิ ป็นความจรงิ ข้นึ มา หน่วยทเี่ ป็นองคป์ ระกอบของชนชาติ หนึง่ นัน้ อาจจะกระจดั กระจายอยู่ในหน่วยการเมืองต่างๆ ดงั เช่นชนชาติยวิ และในทางตรงกนั ขา้ ม หน่วยการเมอื งหนึง่ กอ็ าจมหี ลายชนชาตริ วมอยดู่ ว้ ยกนั เช่นในประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ เป็นต้น ดงั นัน้ จงึ อาจกล่าวได้ว่า การรวมกนั ทางการเมอื งน้ีมใิ ช่เป็นองคป์ ระกอบสาคญั แหง่ ชนชาติ คาวา่ ชนชาติ น้ีอาจจะ ใช้หมายถึงกลุ่มชนนัน้ เอง หรอื หมายถงึ วฒั นธรรมทผี่ ูกพนั ชนกลุ่มนัน้ เขา้ ไว้ ดว้ ยกนั (๒) สญั ชาติ ในทางกฎหมาย หมายถงึ ภาวะทางกฎหมายทผี่ ูกพนั บคุ คลอยกู่ บั รฐั (หน้า ๒๓๗ - ๒๓๘)” ตำมคำนิยำมน้ีสง่ิ ทก่ี ำหนดควำมเป็นชนชำตคิ อื (๑) กำรมลี กั ษณะทำงวฒั นธรรมบำงอย่ำง เช่น ภำษำ ศำสนำ กำร แต่งกำยและเคร่อื งตบแต่ง กำรสำรำญใจ ประมวลศีลธรรม ระบบกำรเมือง แบบอย่ำงครอบครวั และควำมคิดทำงจรยิ ศำสตร์ เป็นแบบเดียวกนั แต่ไม่ จำเป็นตอ้ งมวี ฒั นธรรมเหมอื นกนั ไปทงั้ หมด (๒) กำรมคี วำมรูส้ กึ อยู่เสมอวำ่ เป็นพวกเดยี วกนั มคี วำมผูกพนั กนั ดว้ ยควำมเหน็ อกเหน็ ใจซ่งึ กนั และกนั ต้องกำรใช้ชวี ติ รว่ มกนั ในสงั คมเดยี วกนั และ (๓) ควำมเป็นเอกภำพทำงกำรเมอื งมไิ ดเ้ ป็นองคป์ ระกอบสำคญั แห่ง ชนชำติ หรอื อำจจะพดู ไดอ้ ีกอยำ่ งหน่ึงว่ำ ควำมเป็ นชนชำตอิ ยู่เหนือขอบข่ำย ของอำนำจทำงกำรเมอื ง [๓๑๙]
เม่อื พจิ ำรณำต่อไปถงึ นิยำมของคำวำ่ nation ซ่งึ แปลว่ำ ชาติ หรอื ป ร ะช าช าติ พ จน ำนุ ก รม ศัพ ท์ สังค ม วิท ย ำ อังก ฤ ษ - ไท ย ฉ บับ รำชบณั ฑติ ยสถำนอธบิ ำยว่ำหมำยถงึ “ชนชาตทิ ไี่ ดส้ มั ฤทธถ์ิ งึ ขนั้ สุดทา้ ยของ การรวมกนั เป็นอนั หนึง่ อนั เดยี ว แสดงออกด้วยการมโี ครงสรา้ งการเมอื ง และ ตงั้ หลักแหล่งในดินแดนทีเ่ ป็นของตนเอง ชนชาติหนึ่งอาจดารงอยู่ได้โดย ปราศจากเอกลักษณ์ ทางการเมืองหรือการปกครองตนเอง (ไม่มีอานาจ อธปิ ไตยหรอื เอกราชของตนเอง) ในกรณีเช่นน้ีจงึ ยงั เรยี กไม่ไดว้ า่ เป็นชาตอิ าจ รวมเอาคนหลายชนชาตเิ ขา้ ไว้ดว้ ยกนั หรอื ไมจ่ าเป็นต้องรวมชนชาตเิ ดยี วกนั ทงั้ หมดไวใ้ นประเทศเดยี วกนั (หน้า ๒๓๗)” ตำมคำนิยำมข้ำงต้นน้ีสรุปได้ว่ำสง่ิ ท่ีกำหนดควำมเป็น ชาติ หรือ ประชาชาติ (nation) นัน้ คือโครงสร้ำงทำงกำรเมืองและอำนำจอธิปไตย เหนือดนิ แดนทเ่ี ป็นของตนเอง ชำติ หรอื ประชำชำตหิ น่ึงๆ อำจจะประกอบขน้ึ ดว้ ยคนหลำยชนชำตไิ ด้ กำรจำแนกแยกแยะควำมแตกต่ำงของคำวำ่ ชนชาติ และ ชาติหรือ ประชาชาติ ท่ีอ้ำงถึงข้ำงต้นน้ี ถ้ำพจิ ำรณำอย่ำงผิวเผนิ ก็อำจจะเห็นชดั เจน ดีพอควร แต่ถ้ำลองนำตัวอย่ำงในโลกแห่งควำมเป็ นจริงมำประกอบ กำร พจิ ำรณำดว้ ยแลว้ กจ็ ะพบไดว้ ่ำ กำรยดึ ถอื คำนิยำมน้ีโดยเครง่ ครดั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหำข้ึนจำนวนหน่ึง ลองยกตัวอย่ำงท่ีใกล้ตัวมำประกอบกำรพิจำรณำ สกั หน่ึงตวั อยำ่ ง ขอยกตวั อยำ่ ง คำวำ่ “ไทย” เป็นกรณีศกึ ษำ คำว่ำ “ไทย” หมำยถึง ชาติหรือประชาชาติ (nation) กไ็ ด้ ถ้ำใช้ กบั คำว่ำ “ประเทศไทย” เพรำะประเทศไทยมีโครงสร้ำงทำงกำรเมืองและ อำนำจอธปิ ไตยเหนือดนิ แดนของตนเอง และหมำยถงึ ชนชำติ (nation) กไ็ ด้ ถ้ำใช้กบั คำว่ำ “ชนชำติไทย” หรอื “ชาวไทย” แต่ถ้ำลองนำนิยำมของคำว่ำ ชนชำตทิ อ่ี ้ำงถงึ ขำ้ งตน้ มำประกอบกำรพจิ ำรณำดว้ ย กจ็ ะพบว่ำ ดนิ แดนทเ่ี ป็น ประเทศไทยนนั้ ดูเหมอื นจะมคี นหลำยชนชำตอิ ำศยั อยู่ เพรำะกลุ่มคนท่อี ำศยั อยู่ในประเทศ หรอื ชาติหรือประชาชาติไทย น้ี มลี กั ษณะทำงวฒั นธรรมท่ี ค่อนข้ำงหลำกหลำย ไม่ว่ำจะในด้ำนภำษำ ศำสนำ กำรแต่งกำย ฯลฯ [๓๒๐]
ตวั อยำ่ งเช่นท่พี ระประแดง จงั หวดั สมุทรปรำกำร เรำมชี นชำตมิ อญอยจู่ ำนวน มำกพอควร ท่ีบ้ำนหม่ี จงั หวดั ลพบุรี บ้ำนม่วงขำว จงั หวดั ปรำจีนบุรี ก็มี ชนชำติพวนอำศยั อยูม่ ำกมำย ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือหรอื ภำคอสี ำนกม็ ี ชนชำตลิ ำวอยู่มำกมำย และในพน้ื ท่อี สี ำนใต้ยงั มชี นชำตเิ ขมรอกี เป็นจำนวน ไมน่ ้อยดว้ ย และหลำยจงั หวดั ในภำคใตก้ ม็ ชี นชำตมิ ำเลยเ์ ตม็ ไปหมด ยงั ไมไ่ ด้ รวมถงึ ชนชำตจิ นี และชนชำตญิ วน และชนชำตอิ ่นื ๆ ทม่ี อี กี เป็นจำนวนมำก ด้วยเหตุท่ีจะเกิดควำมยุ่งเหยิงและสบั สนอลหม่ำนกนั ขนำดใหญ่ และอำจจะพำลพำใหเ้ กิดปัญหำเกย่ี วกบั ควำมเป็นเอกภำพของชำตติ ำมมำได้ หำกจะยงั คงใช้คำว่ำชนชำตติ ำมนิยำมท่อี ้ำงถงึ ขำ้ งต้น ในปัจจุบนั เรำจงึ เรียก กลุ่มประชำกรท่ีมีลกั ษณะทำงวฒั นธรรมท่ีแตกต่ำงหลำกหลำยออกไปจำก ประชำกรส่วนใหญ่ในประชำชำติไทย หรอื อำจจะเรยี กว่ำกลุ่มวฒั นธรรมย่อย (subculture) เหล่ำน้ี ด้วยกำรเติมคำว่ำไทยเข้ำไปข้ำงหน้ำ เช่น ชำวไทย เช้ือมอญ ชำวไทยเช้ือสำยจนี ชำวไทยพวน ชำวไทยอีสำน ชำวไทยมุสลิม ชำวไทยเช้ือสำยมำเลย์ และถ้ำเติมคำว่ำชำวไทยเข้ำไปข้ำงหน้ำเม่ือใด กลุ่มคนเหล่ำน้ีก็จะมีฐำนะเป็นสมำชิกหรอื ประชำกรของประชำชำติไทยไป ทนั ที เพรำะเป็น “คนไทย” โดยถูกต้องตำมกฎหมำยเช่นเดยี วกนั ไม่ไดเ้ ป็น คนมอญ พวน ลำว เขมร จนี หรอื มำเลยแ์ ตอ่ ยำ่ งใด พจนำนุกรมมำตรฐำนท่นี ิยำมคำว่ำ nationality โดยเน้นท่กี ำรเป็น สมำชิกของ ชาติ หรือประชาชาติ (nation) ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน ตั ว อ ย่ ำ ง เช่ น ใ น The American Heritage Dictionary of the English Language นิยำมคำวำ่ nationality (noun) plural nationalities วำ่ หมำยถงึ ๑. The status of belonging to a particular nation by origin, birth, or nationalization. ซ่ึงควำมหมำยน้ีใกล้เคยี งกบั นิยำม ของคำว่ำ สญั ชำติ ในพจนำนุกรมศพั ท์สงั คมวทิ ยำ องั กฤษ - ไทย ฉบบั รำชบณั ฑติ ยสถำน [๓๒๑]
๒. A people having common origins or traditions and often constituting a nation. ควำมหมำยน้ีเน้นถึงกำรมีจุดกำเนิด หรอื วฒั นธรรมรว่ มกนั ๓. Existence as a politically autonomous entity; national independence. ๔. National character ๕. Nationalism จำกคำนิยำมข้ำงต้น จะเห็นได้ว่ำมีเพียงควำมหมำยท่ี ๑ และ ๒ เท่ำนนั้ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ควำมหมำยของคำว่ำ ชนชาติ ท่เี รำกำลงั พดู ถงึ ลองดู อีก สัก ตัวอ ย่ ำงจำก Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English ซง่ึ นิยำมคำวำ่ nationality (n) วำ่ หมำยถงึ ๑. Membership of a particular nation. ๒. Ethnic group forming part of a political nation. ในนิยำมทย่ี กตวั อย่ำงมำจำกพจนำนุกรมภำษำองั กฤษทงั้ สองเล่ม จะเห็นได้ว่ำควำมหมำยของคำว่ำ nationality นัน้ ยำกท่ีจะแยกออกโดย เด็ดขำด จำกควำมหมำยของคำว่ำ nation ซ่ึงแปลเป็ นไทยว่ำ ชาติ หรือ ประชาชาติ เพรำะไม่ว่ำจะใช้คำว่ำ nationality ในควำมหมำยของ ชนชาติ หรือ สัญชาติ ก็ไม่อำจปฏิเสธถึงสถำนะของกำรเป็ นสมำชิก หรือเป็ น องค์ประกอบของ ชาติ หรือ ประชาชาติ ท่ีมีโครงสร้ำงทำงกำรเมืองและ อำนำจอธปิ ไตยเหนือดนิ แดนทเ่ี ป็นของตนเองได้ ประชำชำตหิ น่ึงอำจจะประกอบขน้ึ ดว้ ยคนหลำยชนชำติ แต่ยำกท่ี จะพบชนชำติใดชนชำติหน่ึงท่ีมิไดม้ ีฐำนะเป็ นสมำชิกหรอื องค์ประกอบของ ประชำชนชำตใิ ดๆ เพรำะมนุษย์นัน้ เป็นสตั วก์ ำรเมอื ง ซ่งึ หมำยควำมว่ำเรำมี ธรรมชำตทิ ่จี ะอยูร่ วมกนั เป็นกลุ่ม จงึ จำเป็นตอ้ งมกี ำรจดั ระเบยี บควำมสมั พนั ธ์ เชงิ อำนำจ หรอื โครงสรำ้ งทำงกำรเมอื งกำรปกครองในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง เพ่อื ใหส้ ำมำรถอยู่รวมกนั ได้อย่ำงเป็นปกตสิ ุข โดยเฉพำะเม่อื โครงสรำ้ งทำง กำรเมอื งกำรปกครองได้พฒั นำเขำ้ สู่รูปแบบของกำรเป็นรฐั (state) ดว้ ยแล้ว [๓๒๒]
ก็เป็ นกำรยำกยิ่งท่ีพบชนชำติใดท่ีดำรงตนอยู่เหนือขอบข่ำยแห่งอำนำจ อธปิ ไตยของรฐั หน่ึงรฐั ใด ด้วยเหตุท่ีคำว่ำ ชน ชาติ และ ชาติ หรือ ประชาชาติ มี ควำมหมำยทเ่ี หล่อื มล้ำกนั อยนู่ ้ีเอง เรำจงึ ควรใชค้ ำวำ่ กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ (ethnic group) แทนคำว่ำ ชนชาติ (nationality) เม่ือต้องกำรกล่ำวถึงกลุ่มคนท่ีมี ลกั ษณะทำงวฒั นธรรมบำงอยำ่ งรว่ มกนั เพ่อื ไมใ่ หเ้ กดิ ควำมสบั สน และไมต่ ้อง เข้ำไปยุ่งเก่ียวกับนัยในแง่ของอำนำจทำงกำรเมือ งท่ีผูกพันมำกับคำว่ำ ชนชาติ อกี ดว้ ย พ จ น ำ นุ ก ร ม ศั พ ท์ สัง ค ม วิท ย ำ อั ง ก ฤ ษ - ไท ย ฉ บั บ รำชบัณฑิตยสถำน ได้ให้นิยำมของคำว่ำ ethnic เก่ียวกบั ชาติพนั ธ์ุ ไว้ว่ำ หมำยถงึ “ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ชาติพนั ธุ์ คอื มลี กั ษณะของเช้อื ชาติ และประชาชาติ รวมกนั อยู่ (หน้า ๑๓๕)” ซง่ึ อ่ำนแลว้ กย็ งั เขำ้ ใจยำก อำจเป็นเพรำะมคี ำใหมค่ อื คำว่ำ เชื้อชาติ เขำ้ มำเก่ยี วขอ้ งดว้ ย ลองดูนิยำมคำว่ำ race เช้ือชำติ กนั อีก สกั คำ พจนำนุกรมดงั กล่ำวน้ีนิยำมว่ำหมำยถึง “ชนกลุ่มใหญ่ทีค่ นในกลุ่มมี ความสมั พนั ธก์ นั ทางสายโลหติ ชนกลมุ่ น้ีจะมลี กั ษณะรา่ งกายและลกั ษณะทาง ชวี วทิ ยาอนื่ ๆ ทเี่ ดน่ ชดั อนั เป็นผลเนือ่ งมาจากมอี งคป์ ระกอบทางยนี ทแี่ ตกต่าง ไปจากกลุ่มอนื่ ๆ (หน้า ๒๙๐)” คำนิยำมน้ีเน้นถงึ ลกั ษณะรว่ มทำงพนั ธกุ รรมวำ่ เป็นปัจจยั กำหนดทส่ี ำคญั ในกำรจดั จำแนกเชอ้ื ชำติ เพ่ือให้ได้ควำมเข้ำใจท่ีชัดเจน เรำคงต้องลองเปรียบเทียบกับ นิยำมท่ีกำหนดโดยพจนำนุกรมมำตรฐำนเล่มอ่ืนๆ ด้วย The American Heritage Dictionary of English Language ให้นิยำมคำว่ำ ethnic (adjective) วำ่ หมำยถงึ 1. a. Of or relating to sizable group of people sharing a common and distinctive racial, national, religious, linguistic, or cultural heritage. b. Being a member of a particular ethnic group. [๓๒๓]
c. Of, relating to, distinctive of members of such group: ethnic restaurants; ethnic art. 2. Relating to a people not Christian or Jewish; heathen. (Noun) A member of particular ethnic group, especially one who maintains the language or custom of the group. ส่ ว น Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English ไดน้ ิยำม ethnic (adj.) วำ่ หมำยถงึ 1. Of a national, racial, or tribal group that has a common culture tradition: ethnic minorities, groups, communities etc. 2. (typical) Of a particular cultural group: ethnic clothes, food, music o an ethnic restaurant สรุปควำมได้ว่ำ กลุ่มชาติพนั ธ์ุ (ethnic group) หมำยถึง กลุ่ม ชนท่มี ลี กั ษณะทำงเช้อื ชำติ (racial) ประชำชำติ (national) ศำสนำ (religious) ภำษำศำสตร์ (linguistic) หรอื ประเพณีหรือมรดกทำงวฒั นธรรม (cultural tradition or heritage) ร่วมกนั ซ่ึงเม่อื พิจำรณำกนั โดยละเอียดแล้ว จะพบได้ ว่ำปัจจยั ท่ีเป็ นเคร่ืองบ่งบอกถึงควำมเป็ นกลุ่มชำติพันธุ์ส่วนใหญ่นัน้ คือ วัฒ น ธรรม ไม่ว่ำจะเป็ นในแง่ของลักษณ ะทำงประชำชำติ ศำสนำ ภำษำศำสตร์ หรอื ธรรมเนียมประเพณี จะมีท่ีต่ำงออกไปก็คือลกั ษณะทำง เช้ือชำติเท่ำนัน้ แต่ก็มีคำถำมตำมมำว่ำคนท่ีเป็นสมำชิกของกลุ่มชำติพนั ธุ์ เดียวกนั จำเป็นท่ีจะต้องเป็นสมำชิกของกลุ่มเช้ือชำติและกลุ่มเช้ือชำติและ ประชำชำตเิ ดยี วกนั ดว้ ยหรอื ไม่ ? คำตอบคือ ไม่จำเป็น เพรำะใน ชาติหรือประชาชาติ (nation) หน่ึงนัน้ อำจจะประกอบข้ึนด้วยด้วยหลำยคน เชื้อชาติ (race) และ กลุ่ม ชาติพนั ธ์ุ (ethnic group) ท่ีนับถือศำสนำแตกต่ำงกนั ออกไปหลำยศำสนำ พูดภำษำเฉพำะของกลุ่มแตกต่ำงกันออกไปหลำยภำษำ มีพลเมืองท่ี มี [๓๒๔]
เชื้อชาติ (race) แตกต่ำงกนั ออกไปหลำยเชอ้ื ชำติ เพรำะท่รี ปู ร่ำงหน้ำตำเป็น ฝรงั ่ กม็ ี เป็นแขกกม็ ี เป็นจนี กม็ ี ฯลฯ เพ่อื ให้สำมำรถแยกแยะแนวคดิ ต่ำงๆ เหล่ำออกจำกกนั ไดอ้ ย่ำง ชดั เจน เพ่อื ประโยชน์ทำงกำรศกึ ษำ เรำอำจจะยดึ ถอื ว่ำสง่ิ ทก่ี ำหนดควำมเป็น ชาติ หรอื ประชาชาติ (nation) คอื โครงสรำ้ งทำงกำรเมอื งกำรปกครอง และ อำนำจอธปิ ไตยเหนือดนิ แดน สง่ิ ท่กี ำหนด ชนชาติ (nationality) คอื กำรเป็น สมำชกิ หรอื พลเมืองภำยใต้โครงสร้ำงทำงกำรเมอื งกำรปกครอง และอำนำจ อธิปไตยของรฐั ชำติหรอื ประชำชำติ ส่ิงท่ีกำหนดคือ เชื้อชาติ (race) คือ ลกั ษณะทำงพนั ธกุ รรมท่กี ำหนดโดยยนี และสง่ิ ท่กี ำหนดควำมเป็น กล่มุ ชาติ พนั ธ์ุ (ethnic group) คอื ลกั ษณะร่วมทำงวฒั นธรรมบำงอย่ำง เช่น ภำษำพูด หรอื ประเพณีวฒั นธรรมทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์เฉพำะกลุม่ เม่ือจำแนกแยกแยะกนั ให้ชดั เจนดงั น้ีแล้ว กำรอธิบำยถึงควำม แตกต่ำงของคำว่ำ “ไทย” และ “ไท หรือ ไต” กไ็ ม่เป็นเร่อื งท่ยี ุ่งยำกสบั สน อกี ต่อไปเพรำะคำวำ่ “ไทย (Thai)” จะหมำยถงึ ชาติ หรอื ประชาชาติไทย และคำว่ำ “ชนชาติ ไทย” ก็จะหมำยถึงผู้ท่ีเป็ นสมำชิกของชำติ หรือ ประชำชำตไิ ทย นนั้ เอง ส่วนคำว่ำ “ไท ห รือ ไต (Thai, Dai)” นั้น หมำยถึง ก ลุ่ม ชาติพนั ธ์ุ (ethnic group) ท่มี ภี ำษำพดู ทจ่ี ดั อยใู่ นตระกูลเดยี วกนั และอำจจะ มลี กั ษณะทำงวฒั นธรรมอ่ืนๆ บำงอย่ำงร่วมกนั คำว่ำ “คนไท, คนไต” นัน้ หมำยถึงกลุ่มชนท่ีพูด ภาษาตระกูลไทหรือไต (Tai speaking people) ซ่งึ จดั จำแนกออกเป็นกลมุ่ ชำตพิ นั ธยุ์ ่อยๆ ไดอ้ กี หลำยสบิ กลุ่ม และแต่ละกลุ่ม ล้วนมีช่ือเรียกเฉพำะกลุ่มแตกต่ำงกันออกไป เรำคงคุ้นเคยพอควรกบั ช่ือ ไท(ไต)ใหญ่ ไท(ไต)น้ อย ไท(ไต)อาหม ไท(ไต)ดา ไท(ไต)ขาว ฯลฯ ซง่ึ ลกั ษณะรว่ มทำงวฒั นธรรมท่เี ด่นชดั ท่สี ุดในกลุ่มชนเหล่ำน้ี คอื กำรมภี ำษำ พดู ทจ่ี ดั อยใู่ นตระกูลเดยี วกนั [๓๒๕]
การตงั้ ถิ่นฐานของชนชาติไทย ในบรรดำกลุ่มชำตพิ นั ธทุ์ ่พี ูดภำษำตระกูลไท (ไต) ทต่ี งั้ ถน่ิ ฐำนอยู่ ในภูมภิ ำคเอเชยี ในปัจจุบนั ดูเหมอื นว่ำชำวไทยท่ีรวมตวั กนั เป็นประชำชำติ และมอี ำนำจอธปิ ไตยเหนือดนิ แดนท่เี ป็นประเทศไทยน้ี จะเป็นกลุ่มทป่ี ระสบ ควำมสำเรจ็ มำกท่สี ดุ เพรำะมพี ฒั นำกำรทำงประวตั ศิ ำสตรท์ ต่ี ่อเน่ืองยำวนำน บนดนิ แดนแห่งน้ีมำกกว่ำ ๗๐๐ ปีแล้ว และปัจจุบนั กย็ งั สำมำรถดำรงตนเป็น ประเทศเอกรำชท่มี พี ลเมอื งอยู่มำกกวำ่ ๖๐ ลำ้ นคน ซง่ึ กล่ำวไดอ้ ยำ่ งเตม็ ปำก เตม็ คำวำ่ เป็นกลุม่ ชนทพ่ี ดู ภำษำตระกลู ไท (ไต) กลุ่มใหญ่ท่สี ดุ ของภูมภิ ำค อย่ำงไรกด็ ี นอกเหนือไปจำกชำวไทยแล้ว ยงั มกี ล่มุ ชนท่พี ูดภำษำ ตระกูลไท (ไต) กลุ่มอ่นื ๆ อกี มำกมำยหลำยกลุ่ม ซ่งึ ตงั้ ถน่ิ ฐำนกระจดั กระจำย อยู่ในพน้ื ทน่ี บั ตงั้ แต่บรเิ วณตอนใตข้ องประเทศจนี เชน่ ชำวไท(ไต)ลอ้ื ไท(ไต) เหนือ หรอื ไท(ไต)เมำ ในยนู นำน ชำวปูยหี รอื ปู้อีในกุ้ยโจว ชำวจ้วงในกวำงสี ชำวหล่ใี นเกำะไหหลำ ชำวไท(ไต)นุง หรอื ไท(ไต)นง ไท(ไต)ขำว ไท(ไต)ดำ ไท(ไต)แดงในเวยี ดนำม ชำวไท(ไต)อำหมในแคว้นอสั สมั ของประเทศอนิ เดยี ชำวไท(ไต)พ่ำเก ชำวไท(ไต)คำต่ี ชำวไท(ไต)ใหญ่ในเมียนมำร์ ชำวลำวใน ประเทศลำว เป็นตน้ ภำพท่ี ๑ ชำวจว้ งในมณฑลกวำงสขี องประเทศจนี (ทม่ี ำ: http://www.chinatoday.com/people/china_ethnic_zhuang_family.htm) [๓๒๖]
ควำมคล้ำยคลึงกันของภำษำพูดของกลุ่มชำติพนั ธุ์ท่ีพูดภำษำ ตระกูลไท(ไต)น้ี เป็ นส่ิงท่ีนักวิชำกำรในอดีตได้สังเกตเห็น ตลอดจนได้ พยำยำมศกึ ษำค้นควำ้ หำบรเิ วณทน่ี ่ำจะเป็นถน่ิ กำเนิดของกลุ่มชำตพิ นั ธทุ์ พ่ี ูด ภำษำตระกูลไท(ไต)กนั มำช้ำนำนแล้ว ดงั ปรำกฏเป็นทฤษฎีต่ำงๆ ขน้ึ หลำย ทฤษฎี แตอ่ ำจสรปุ เป็นแนวทฤษฎหี ลกั ๆได้ ๕ ทฤษฎคี อื ๑. เช่ือว่ำถ่ินกำเนิดของคนไท(ไต) อยู่บริเวณมณฑลเสฉวน ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกยี ง แล้วอพยพลงสู่ยูนนำน และแหลมอนิ โดจนี นักวชิ ำกำร คนสำคญั คอื ศำสตรำจำรยแ์ ตเรยี น เดอ ลำ คเู ปอรี (Terrien de Lacouperie) ๒. เช่ือว่ำถ่ินกำเนิดของคนไท(ไต)อยู่บริเวณเทือกเขำอัลไต ซ่ึงปัจจุบันอยู่ในประเทศมองโกเลีย เป็ นเช้ือสำยของชนเช้ือชำติมองโกล ท่ีอพยพหนีกำรรุกรำนของชำวจีนลงมำทำงใต้ นักวิชำกำรสำคัญ คือ ดร.วลิ เลยี ม คลฟิ ตนั ดอดด์ (William Clifton Dodd) ๓. เช่ือว่ำถิ่นกำเนิดของคนไท(ไต)กระจดั กระจำยอยู่ทวั ่ ไปใน บรเิ วณตอนใตข้ องจนี ตอนเหนือของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ตลอดจนบรเิ วณ รฐั อสั สมั ของอนิ เดยี นกั วชิ ำกำรคนสำคญั คอื โวลแฟรม อเี บอรฮ์ ำด (Wolfram Eberhard) เฟรเดอริก โมต (Federick M. Mote) วิลเลียม เก็ดนีย์ (William J. Gedney) และเจมส์ แชมเบอรเ์ ลน (James R. A. Chamberlain) ๔. เช่ือว่ำถิ่นกำเนิดของคนไท(ไต)อยู่ในบรเิ วณท่ีเป็นท่ีตงั้ ของ ประเทศไทยในปัจจุบนั นักวชิ ำกำรคนสำคญั ไดแ้ ก่ นำยแพทย์สดุ แสงวเิ ชยี ร ศำสตรำจำรยช์ นิ อยดู่ ี และพอล เบเนดกิ ต์ (Paul Benedict) ๕. เช่อื ว่ำถิน่ กำเนิดของคนไท(ไต)อำจจะอยู่ในคำบสมุทรมลำยู หรอื ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แล้วค่อยๆ แพร่กระจำยไปทวั ่ ภูมิภำคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของจีน นักวิชำกำรคนสำคญั ไดแ้ ก่ นำยแพทยส์ มศกั ดิ ์ พนั ธสุ์ มบรู ณ์ ศำสตรำจำรยน์ ำยแพทยป์ ระเวศ วะสี แต่ทฤษฎีท่ีเป็ นท่ีเช่ือถือกันค่อนข้ำงกว้ำงขวำงในปัจจุบนั คือ ทฤษฎที ก่ี ล่ำววำ่ ถนิ่ กำเนิดของคนไท(ไต)นนั้ น่ำจะอยใู่ นบรเิ วณตอนใต้ของจนี [๓๒๗]
ต่อเน่ืองลงมำจนถงึ ตอนเหนือของประเทศเวยี ดนำม ทเ่ี สนอโดยศำสตรำจำรย์ วลิ เลยี ม เกด็ นีย์ หำกพจิ ำรณำกนั ตำมควำมหมำยของคำวำ่ ชาติหรือประชาชาติ และชนชาติ ทไ่ี ดเ้ สนอไวข้ ำ้ งตน้ กำรศกึ ษำถงึ เร่อื งรำวเกย่ี วกบั กำรตงั้ ถนิ่ ฐำน ของ ชนชาติไทย กน็ ่ำจะหมำยถงึ กำรพยำยำมท่จี ะหำคำตอบว่ำ คนไทยได้ เขำ้ มำตงั้ ถน่ิ ฐำนสรำ้ งบ้ำนแปงเมอื ง และพฒั นำขน้ึ เป็นชนชำตหิ รอื ประชำชำติ ในดนิ แดนทเ่ี ป็นประเทศไทยในปัจจุบนั อย่ำงไรและตงั้ แต่เม่อื ใด กำรศกึ ษำถงึ เร่อื งรำวดงั กล่ำวน้ีจงึ มปี ระเดน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ บำงประกำรทพ่ี งึ จะต้องคำนึงถงึ เพ่อื มใิ หเ้ กดิ ควำมสบั สนหลงทศิ ทำง กล่ำวคอื ๑. กำรศึกษำถึงเร่ืองเก่ียวกับกำรตัง้ ถ่ินฐำนของชำวไทยบน ดินแดนแห่งน้ี เป็ นกำรศึกษำเชิงประวัติศำสตร์จึงมีมิติของเวลำเข้ำมำ เก่ยี วข้องโดยตรง หลกั ฐำนทำงประวตั ิศำสตร์ เช่น ศิลำจำรึกหลกั ท่ี ๑ หรือ ศลิ ำจำรกึ พอ่ ขนุ รำมคำแหงมหำรำชเป็นประจกั ษ์พยำนทย่ี นื ยนั วำ่ ไดม้ กี ลุม่ ชน ทพ่ี ูดภำษำตระกูลไทจำนวนหน่ึงประสบควำมสำเรจ็ ในกำรสรำ้ งบ้ำนแปงเมอื ง และพฒั นำขน้ึ เป็นรฐั ท่มี อี ธปิ ไตยเหนือดนิ แดนในครอบครองของตนหลำยรฐั ดว้ ยกนั บนดนิ แดนแหง่ น้ี เม่อื กว่ำ ๗๐๐ ปีมำแล้ว ซ่งึ ในขณะนนั้ ยงั ไม่มรี ฐั ชำติ หรอื ประชำชำตทิ ่ีเรยี กว่ำประเทศไทยแต่อย่ำงใด เพรำะเช่อื ว่ำประเทศไทย (Thailand) เพง่ิ จะปรำกฏขน้ึ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๘๒ น้ีเอง กอ่ นหน้ำนนั้ มเี อกสำรทำง ประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นจำนวนมำกทงั้ ทเ่ี ขยี นขน้ึ โดยชำวไทยและชำวตำ่ งประเทศท่ี ระบุอยำ่ งชดั เจนวำ่ รฐั ชำตขิ องคนไทยบนดนิ แดนแหง่ น้ีเป็นทร่ี จู้ กั กนั ภำยใตช้ ่อื วำ่ “สยำม” หรอื “ประเทศสยำม” (ตวั อยำ่ งดู จดหมายเหตลุ าลแู บร)์ อย่ำงไรก็ดี มหี ลกั ฐำนท่ีบ่งช้วี ่ำ คงจะมกี ำรใช้คำว่ำ “คนไทย” ใน กำรเรยี กขำนถงึ ผคู้ นทเ่ี ป็นพลเมอื งของดนิ แดนหรอื รฐั ทเ่ี รยี กว่ำ “สยำม” น้ีมำ อย่ำงน้อยกน็ ับตงั้ แต่สมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ (ตวั อย่ำงดู พระราชหตั ถเลขา ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ) และแม้แต่ในเน้ือรอ้ งของเพลง ชำตสิ ำนวนแรกท่แี ต่งโดยขุนวจิ ติ รมำตรำ (สง่ำ กำญจนำคพนั ธ)ุ์ ซ่งึ ใช้กนั อยู่ ระหวำ่ งปี พ.ศ. ๒๔๗๔ - ๒๔๘๒ นนั้ กข็ น้ึ ตน้ วำ่ [๓๒๘]
“แผน่ ดินสยามนามประเทอื งวา่ เมอื งทอง ไทยเขา้ ครองตงั้ ประเทศเขตแดนสงา่ สบื เผา่ ไทยดกึ ดาบรรพโ์ บราณลงมา รว่ มรกั ษาสามคั คที วไี ทย ฯลฯ” เพลงชำตสิ ำนวนน้ีเลิกใช้กนั เม่อื มกี ำรเปล่ยี นช่อื เรยี กประเทศจำก “สยำม” มำเป็น “ไทย” ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ส่วนกำรใช้คำว่ำ “คนไทย” ในกำร เรยี กขำนพลเมอื งของสยำมประเทศจะมมี ำตงั้ แตเ่ ม่อื ใดนนั้ เป็นประเดน็ ทต่ี ้อง สอบคน้ หำคำตอบกนั ต่อไป ๒. ถำ้ จะยอมรบั ขอ้ เสนอว่ำ “ไทยสยำม” หรอื ชำวไทยในดนิ แดน ทเ่ี ป็นประเทศไทยในปัจจบุ นั นนั้ เป็นกลมุ่ ยอ่ ยกลุ่มหน่ึงของกลุม่ ชำตพิ นั ธทุ์ พ่ี ูด ภำษำตระกูลไท (ไต) ทม่ี อี ยู่มำกมำยหลำยกลุ่มในภูมภิ ำคเอเชยี อำคเนย์และ จนี ตอนใต้ ก็น่ำจะหมำยรวมไปถงึ กำรท่ีน่ำจะยอมรบั ได้วำ่ ควำมเป็น “ไทย” นนั้ นอกจำกจะกำหนดดว้ ยโครงสรำ้ งทำงกำรเมอื งกำรปกครองแลว้ ยงั อำจจะ กำหนดดว้ ยลกั ษณะทำงวฒั นธรรมไดเ้ ชน่ กนั หำกพจิ ำรณำกนั ในอกี แงม่ ุมหน่ึง และควำมเป็ น “ไทย” ในมิติทำงวฒั นธรรมน้ีเป็ นเร่ืองของสำนึกเก่ียวกับ เอกลกั ษณ์ทางชาติพนั ธ์ุ (ethnic identity) ซ่งึ อยู่เหนือขดี จำกดั ของคำว่ำ “เชื้อชาติ (race)” และยงั อำจพจิ ำรณำได้ว่ำเป็นกลุ่มชำติพนั ธุ์กลุ่มหน่ึงใน หลำยกลุ่มท่ปี ระกอบกนั เข้ำเป็นชำตหิ รอื ประชำชำตไิ ทย เพ่อื ไมใ่ หเ้ กิดควำม สบั สนเรำก็อำจจะกล่ำวถึงคนไทยในควำมหมำยน้ีด้วยคำว่ำ “ไทยสยำม” ซ่ึงหมำยถึงกลุ่มคนท่ีถือตนว่ำเป็ นสมำชิกของกลุ่มชำติพนั ธุ์กลุ่มเดียวกัน เพรำะมลี กั ษณะทำงวฒั นธรรมบำงอย่ำงรว่ มกนั และมคี วำมรสู้ กึ ว่ำเป็นพวก เดยี วกัน ไม่ว่ำจะลกั ษณะทำงกำยภำพหรอื ลักษณะทำงพันธุกรรมต่ำงกัน หรอื ไม่ ตวั อย่ำงเช่นลูกหลำนของชำวองั กฤษหรอื อนิ เดยี ชวั ่ คนท่สี ำมหรอื ส่ี ท่ีเกิดในเมืองไทย โตในเมืองไทย อำจจะมีควำมรู้สกึ ว่ำตนเป็นคนไทยโดย สมบูรณ์ ไม่คิดว่ำตวั เองเป็ นคนองั กฤษหรือคนอินเดียแต่อย่ำงใด แม้ว่ำมี รปู รำ่ งหน้ำตำจะไมเ่ หมอื นคนไทยสว่ นใหญ่กต็ ำมที [๓๒๙]
ถ้ำมีควำมเข้ำใจร่วมกันในแนวทำงน้ีได้ ก็น่ำจะยอมรับได้ว่ำ บรรพบุรุษของคนไทยนัน้ น่ำจะมีทงั้ ท่ีเป็นกลุ่มคนพ้นื ถ่ินท่ีสบื ทอดเช้ือสำย อำศยั อยูใ่ นดนิ แดนแหง่ น้ีมำนำนหลำยพนั ปีแล้ว และมที งั้ ท่เี ป็นกลุ่มชนท่พี ูด ภำษำตระกูลไท (ไต) ท่อี พยพเขำ้ มำจำกดนิ แดนอ่นื ซง่ึ อำจจะเป็นบรเิ วณตอน ใต้ของจีนหรือตอนเหนือของเวียดนำมในภำยหลัง และได้สมรสข้ำมกลุ่ม ผสมผสำนชำตพิ นั ธจุ์ นกลำยมำเป็นคนกลุ่มเดยี วและมลี กั ษณะทำงวฒั นธรรม ร่วมกนั ไปในท่สี ุด โดยกลุ่มท่พี ูดภำษำตระกูลไท (ไต) นัน้ มอี ทิ ธพิ ลเหนือคน พน้ื ถนิ่ ทงั้ กำรเมอื งและทำงวฒั นธรรม เรำถงึ ได้พดู ภำษำไทย กนิ น้ำพรกิ ผกั จม้ิ และถอื วำ่ ตนเป็นคนไทยกนั อยใู่ นทกุ วนั น้ี [๓๓๐]
[๓๓๑]
ประวตั ิศาสตรส์ ุโขทยั โดย สินชยั กระบวนแสง [๓๓๒]
อำณำจกั รสุโขทัยเป็ นอำณำจักรท่ีอยู่ในภำคกลำงตอนบนของ ประเทศไทย มีศูนย์กลำงกำรปกครองท่ีเมืองสุโขทัย ขณะน้ียังไม่สำมำรถ ศึกษำเร่อื งรำวของอำณำจกั รแห่งน้ีได้ชดั เจนเท่ำท่คี วร ทงั้ น้ีเพรำะเอกสำรท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั เร่อื งของอำณำจกั รดงั กล่ำวมจี ำกดั ศลิ ำจำรกึ หลำยหลกั ท่ที ำข้นึ ในสมยั นนั้ กล่ำวถงึ กำรรวบรวมอำณำจกั รสุโขทยั ขน้ึ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ พ่อขุน ผำเมือง (เจ้ำเมืองรำด) และพ่อขุนบำงกลำงหำว (เจ้ำเมอื งบำงยำง) ซ่ึงเป็น พระสหำยสนิทกนั ทงั้ สองพระองค์ทรงช่วยกนั ขบั ไล่ขอมสบำดโขลญลำพง ออกจำกเมอื งสโุ ขทยั และไดส้ ถำปนำเมอื งสโุ ขทยั เป็นรำชธำนีต่อมำ หลงั จำกกำรสถำปนำเมอื งสุโขทยั เป็นรำชธำนีแล้ว เร่อื งรำวทำง ประวตั ศิ ำสตรส์ ุโขทยั ช่วงน้ีเก่ยี วข้องกบั กำรรบเพ่อื รวบรวมดนิ แดนตลอดมำ ในศิลำจำรกึ ท่ีกล่ำวถึงเหตุกำรณ์ระยะน้ี กล่ำวถึงพระนำมเจ้ำนำยท่ีสำคญั หลำยพระองค์ เช่น พอ่ ขุนศรนี ำวนำถม เป็นตน้ แมว้ ำ่ รำยละเอยี ดท่บี นั ทกึ ไว้ ในศิลำจำรกึ จะมไี ม่มำกนัก แต่กอ็ ำจกล่ำวได้ว่ำ พระองค์อำจเคยครองรำชย์ เป็ นกษัตริย์สุโขทัยมำก่อนในระยะท่ีร่วมสมัยกับพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ซ่ึงครองรำชย์ท่ีอำณำจักรกัมพูชำระหว่ำง พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๖๓ (เวลำ โดยประมำณ) แตย่ งั ไมอ่ ำจทรำบรำยละเอยี ดเกย่ี วกบั พระองคไ์ ด้ ขณะท่พี ระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ทรงปกครองอำณำจกั รกมั พูชำอยู่นัน้ พระองค์ไดท้ รงทำสงครำมกบั อำณำจกั รจมั ปำหลำยครงั้ ดงั นัน้ เพ่อื เป็นกำร สรำ้ งไมตรกี บั อำณำจกั รใกล้เคียงไม่ให้เกิดกระทบกระทงั ่ กนั อนั จะทำให้เกิด สงครำมหลำยด้ำน ในบำงครงั้ พระองค์จงึ ได้พระรำชทำนพระธดิ ำให้อภิเษก สมรสกบั กษตั รยิ ห์ รอื รชั ทำยำทของประเทศข้ำงเคยี งให้มคี วำมเก่ยี วพนั ทำง เครอื ญำตขิ น้ึ ดงั มขี อ้ ควำมในศลิ ำจำรกึ ทป่ี รำสำทพระขรรคใ์ นกมั พชู ำบำงตอน “สาหรบั ผทู้ พี่ ระองคพ์ ระราชทานความมงั ่ คงั ่ บรบิ ูรณ์แลว้ กไ็ ดพ้ ระราชทานพระธดิ าดว้ ย...” ในจำนวนผูท้ ่ไี ดร้ บั พระรำชทำนพระธดิ ำน้ี พ่อขุนผำเมอื งโอรสของ พอ่ ขุนศรนี ำวนำถมไดร้ บั พระรำชทำนพระธดิ ำช่อื นำงสขิ รมหำเทวี ทัง้ ไดร้ บั [๓๓๓]
พ ร ะ ร ำ ช ท ำ น พ ร ะ แ ส ง ข ร ร ค์ ชัย ศ รี กับ พ ร ะ น ำ ม ศ รีอิน ท ร บ ดิ น ท ร ำ ทิ ต ย์ จำกกษตั รยิ ก์ มั พชู ำดว้ ย เป็นท่นี ่ำสงั เกตวำ่ กำรทก่ี ษตั รยิ ก์ มั พูชำพระรำชทำนพระธดิ ำใหก้ บั พ่อขุนผำเมืองขณะเป็นเจำ้ เมืองรำดนัน้ คงจะทรงเห็นว่ำเป็นเมืองท่ีมีฐำนะ หรือกำลงั ทัดเทียมกนั เพ่ือมิให้เส่ือมเสียพระเกียรติยศของพระองค์ แม้ว่ำ หลกั ฐำนทำงประวตั ิศำสตร์ในช่วงเวลำน้ีจะไม่สำมำรถยนื ยนั ได้ว่ำ พ่อขุน ศรนี ำวนำถมหรือพ่อขุนผำเมืองได้มอี ำนำจปกครองอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่ำน และแม่น้ำป่ ำสกั ก็ตำม แต่จำกกำรท่ีพระองค์เป็นท่ียอมรบั จำก กษตั รยิ ก์ มั พชู ำ ทำใหอ้ ำจกล่ำวไดว้ ำ่ พระองคน์ ่ำจะมอี ำนำจปกครองในบรเิ วณ ดงั กลำ่ วได้ พ่อขุนผำเมอื งมพี ระสหำยองคห์ น่ึงคอื พ่อขุนบำงกลำงหำว ต่อมำมี เหตุกำรณ์บำงอย่ำงทำให้ขอมสบำดโขลญลำพงยึดเมืองสุโขทัยไว้ พ่อขุน ผำเมืองและพ่อขุนบำงกลำงหำวจึงวำงแผนท่ีจะปรำบปรำมกำรกบฏครงั้ น้ี โดยพ่อขุนบำงกลำงหำวนำกองทัพมำตัง้ ท่ีเมืองศรีสชั นำลัย ส่วนพ่อขุน ผำเมอื งยกกองทพั มำตงั้ ทเ่ี มอื งบำงขลง (หรอื บำงขลงั ) ซ่งึ อยไู่ มไ่ กลจำกเมอื ง ศรสี ชั นำลยั มำกนัก แสดงใหเ้ หน็ อย่ำงชดั เจนว่ำตอ้ งกำรนำกองทพั เขำ้ ตเี มอื ง สโุ ขทยั ขณะเดยี วกนั ก็ให้อพยพครอบครวั ชำวเมอื งบำงขลงไปไว้ท่เี มอื งรำด และเมอื งสำกอได (ขณะน้ียงั ไม่อำจทรำบไดว้ ำ่ เมอื งทงั้ สองน้ีอยู่ท่ใี ด) จำกนัน้ พอ่ ขนุ ผำเมอื งนำกองทพั ถอยมำรวมกบั พอ่ ขนุ บำงกลำงหำวทเ่ี มอื งศรสี ชั นำลยั อยรู่ ะยะหน่ึง กอ่ นถอยกำลงั กลบั ออกไปเมอื งรำด ขอมสบำดโขลญลำพงยกทัพจำกเมืองสุโขทยั เพ่ือเข้ำโจมตีเมือง ศรสี ชั นำลยั ทนั ที เม่อื ไดท้ รำบวำ่ พอ่ ขนุ ผำเมอื งนำกองทพั กลบั ไปแลว้ โดยหวงั วำ่ น่ำจะทำลำยกองทพั พอ่ ขนุ บำงกลำงหำวไดโ้ ดยงำ่ ย ทำใหก้ ำลงั ทใ่ี ชป้ ้องกนั เมืองสุโขทยั น้อยลง พ่อขุนผำเมืองจึงยกกองทัพจำกเมอื งรำดตรงไปเมือง สุโขทยั ทนั ทจี นสำมำรถยดึ เมอื งสโุ ขทยั ไดโ้ ดยมกี ำรต่อสเู้ พยี งเลก็ น้อยเท่ำนัน้ กำรเสยี เมืองสุโขทยั ทำให้กองทพั ของขอมสบำดโขลญลำพงไม่อำจกลบั เข้ำ เมอื งสโุ ขทยั ไดอ้ กี ตอ้ งตกอยใู่ นทล่ี อ้ มและพำ่ ยแพไ้ ปในทส่ี ดุ [๓๓๔]
พอ่ ขุนผำเมอื งยดึ เมอื งสุโขทยั ไวไ้ ม่นำนนักกม็ อบเมอื งสุโขทยั ใหก้ บั พ่อขุนบำงกลำงหำว รวมทงั้ ถวำยพระนำมท่กี ษตั รยิ ก์ มั พูชำพระรำชทำนมำ ให้ดว้ ย แม้วำ่ จะไม่มหี ลกั ฐำนทำงเอกสำรแสดงว่ำ ขอมสบำดโขลญลำพงอำจ หลบหนีไปได้ในกำรรบครงั้ น้ีกต็ ำม แต่เป็นท่นี ่ำสงสยั และมคี วำมเป็นไปไดส้ ูง วำ่ ขอมสบำดโขลญลำพงและกำลงั ส่วนหน่ึงคงพ่ำยแพ้กำรรบท่เี มอื งบำงขลง แลว้ หนีออกไปทำงช่องเขำขำดไปยงั เมอื งเถนิ และอำจเป็นไปไดว้ ำ่ ตอ่ มำไดน้ ำ กำลงั ของตนรวมกบั กำลงั ของขนุ สำมชนเจำ้ เมอื งฉอด (เมอื งแม่สอดปัจจุบนั ) ยกกองทพั มำรกุ รำนสโุ ขทยั อกี ครงั้ หน่ึง การสถาปนาราชวงศศ์ รอี ินทราทิตย์ หรือราชวงศพ์ ระร่วง โดยทวั ่ ไปนักประวตั ศิ ำสตรถ์ อื วำ่ กำรทพ่ี อ่ ขนุ บำงกลำงหำวได้ครอง เมอื งสโุ ขทยั และรบั เอำพระนำมศรอี นิ ทรำทติ ยม์ ำจำกพอ่ ขนุ ผำเมอื ง เป็นกำร สถำปนำรำชวงศ์ศรอี นิ ทรำทิตย์หรอื รำชวงศ์พระร่วงขน้ึ ทงั้ เป็นกำรสถำปนำ ให้เมอื งสุโขทยั เป็นศูนย์กลำงกำรปกครองด้วย ส่วนเร่อื งก่อนรชั กำลพ่อขุน ศรีอินทรำทิตย์เป็นเร่อื งท่ีจะต้องศึกษำกันต่อไป สิ่งท่ีสำมำรถยืนยนั ได้ใน ขณะน้ีคอื มผี คู้ รองเมอื งสุโขทยั ก่อนหน้ำพ่อขุนศรอี นิ ทรำทติ ยแ์ ล้ว คอื พ่อขุน ศรนี ำวนำถม โดยมีโอรสคือพ่อขุนผำเมือง (ศรอี ินทรบดินทรำทิตย์) ครอง เมืองรำด ต่อมำเม่อื พ่อขุนศรนี ำวนำถมส้นิ พระชนม์ ขอมสบำดโขลญลำพง จงึ เป็นกบฏยดึ เมอื งสโุ ขทยั เหตุกำรณ์ท่พี ่อขุนผำเมอื งยกเมอื งสุโขทยั รวมทงั้ พระนำมท่ไี ด้รบั พระรำชทำนมำให้แก่พ่อขุนบำงกลำงหำวเป็นเร่อื งท่ีน่ำศึกษำ ทงั้ น้ีเพรำะ เน้ือหำท่ีบนั ทึกไวใ้ นศิลำจำรกึ ยนื ยนั วำ่ พ่อขุนผำเมอื งนำกองทพั เขำ้ ยดึ เมอื ง สุโขทยั ไว้ได้และน่ำจะมีสิทธิโดยชอบธรรมในกำรครองเมืองสุโขทัยต่อไป เน่ืองจำกเป็นโอรสของกษตั รยิ อ์ งคเ์ ดมิ กำรท่ตี ้องยกเมอื งใหก้ บั พระสหำยจงึ ตอ้ งมเี หตุผลทอ่ี ำจถูกกดดนั โดยกำลงั ของพ่อขนุ บำงกลำงหำว หรอื ไม่เช่นนนั้ กอ็ ำจมพี ระประสงคท์ จ่ี ะกลบั ไปครองเมอื งรำดตำมเดมิ [๓๓๕]
พระบำทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลำ้ เจำ้ อยู่หวั ทรงวนิ ิจฉัยวำ่ กำรยกเมอื ง สุโขทยั ใหไ้ ดโ้ ดยง่ำยนนั้ อำจเป็นเพรำะพระมเหสขี องพ่อขุนบำงกลำงหำวคอื นำงเสอื งทไ่ี ดก้ ล่ำวถงึ ในศลิ ำจำรกึ เป็นพระขนิษฐำของพอ่ ขุนผำเมอื งกไ็ ด้ และ ถ้ำเป็นตำมทท่ี รงวนิ ิจฉยั ทงั้ สองพระองคน์ อกจำกจะเป็นพระสหำยกนั แลว้ ยงั เป็นพระญำตกิ นั ดว้ ย จงึ มเี หตุผลพอทจ่ี ะยกเมอื งสุโขทยั ใหแ้ ก่กนั ได้ ถำ้ นำเอำ พระรำชวนิ ิจฉัยของพระบำทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หวั กบั ข้อควำมใน ศลิ ำจำรกึ หลกั ท่ี ๒ มำประกอบกนั แลว้ จะสรำ้ งแผนผงั ทำงเครอื ญำตไิ ดด้ งั น้ี พอ่ ขนุ ศรนี ำวนำถม พอ่ ขนุ ผำเมอื ง (ศรอี นิ ทรบดนิ ทรำทติ ย)์ นำงเสอื ง + พอ่ ขนุ บำงกลำงหำว พระยำคำแหงพระรำม พอ่ ขนุ บำงเมอื ง พ่อขนุ รำมคำแหง พระมหำเถรศรศี รทั ธำรำชจฬุ ำมณฯี พระยำเลอไท อยำ่ งไรกต็ ำม กำรท่พี ่อขนุ บำงกลำงหำว (ศรอี นิ ทรำทติ ย)์ ไดค้ รอง เมอื งสุโขทยั ก็มีทำงพจิ ำรณำได้ว่ำ พ่อขุนผำเมืองอำจถูกกองทพั ของพ่อขุน บำงกลำงหำวซง่ึ มกี ำลงั มำกกวำ่ ลอ้ มเมอื งสุโขทยั ไว้ จนพ่อขุนผำเมอื งต้องใช้ วธิ ปี ระนีประนอมยกเมอื งสโุ ขทยั ให้ ถ้ำเป็นเช่นน้ีกน็ ับว่ำพ่อขุนบำงกลำงหำว ได้ตงั้ รำชวงศ์ขน้ึ มำใหม่ ไม่มคี วำมเป็นเครอื ญำตกิ นั ดงั พระรำชวนิ ิจฉัย และ เท่ำกบั เป็นกำรกำจดั อำนำจของเจำ้ นำยรำชวงศเ์ ดมิ ลงไป แมว้ ำ่ จะไม่ไดใ้ ช้วธิ ี รุนแรงถึงขนั้ ทำให้เสยี ชวี ิต แต่จำกคำจำรกึ ในศิลำจำรกึ หลกั ท่ี ๒ เห็นได้ว่ำ เจำ้ นำยทม่ี คี วำมสำคญั ในรำชวงศเ์ ดมิ ต้องออกผนวชและเดนิ ทำงไปศกึ ษำถึง [๓๓๖]
ประเทศลงั กำโดยอำจถูกกดดนั จำกกษตั รยิ ท์ ค่ี รองรำชยอ์ ยู่ในขณะนนั้ ถำ้ เป็น เชน่ น้ีลกั ษณะของแผนผงั ควำมสมั พนั ธน์ ่ำจะเป็นดงั น้ี ราชวงศเ์ ดิม ราชวงศใ์ หม่ พ่อขนุ ศรนี ำวนำถม พ่อขนุ ผำเมอื ง (ศรอี นิ ทรบดนิ ทรำทติ ย)์ พ่อขนุ บำงกลำงหำว (ศรอี นิ ทรำทติ ย)์ พระยำคำแหงพระรำม พ่อขนุ บำนเมอื ง พอ่ ขนุ รำมคำแหง พระมหำเถรศรศี รทั ธำรำชจุฬำมณีฯ พระยำเลอไท พระยำลไิ ท พ่อขนุ ศรอี ินทราทิตย์ พ่อขุนบำงกลำงหำวข้ึนครองรำชย์สมบัติท่ีเมืองสุโขทัย เฉลิม พระนำมเป็นพ่อขุนศรอี ินทรำทิตย์ ในขณะท่เี หตุกำรณ์ทวั ่ ไปยงั ไม่เรยี บรอ้ ย เพรำะนอกจำกจะเพ่ิงขบั ไล่กองทัพของขอมสบำดโขลญลำพงออกไปแล้ว กต็ ำม แต่กย็ งั มคี วำมเป็นไปไดท้ ก่ี องทพั ดงั กล่ำวนนั้ อำจรวมกนั ขน้ึ มำใหมแ่ ล้ว ยกมำแก้แค้นได้ ขณะเดยี วกนั ยงั ต้องกงั วลกบั อำนำจของรำชวงศ์เดมิ ท่อี ำจ หวนกลบั มำมีอำนำจอกี ทำให้ฐำนะทำงกำรเมอื งกำรปกครองในช่วงแรกไม่ มนั ่ คงมำกนักรำว พ.ศ.๑๘๐๐ - ๑๘๐๒ หลังจำกท่ีพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ ครองรำชย์ไม่นำนกเ็ กดิ กำรสูร้ บกบั กองทพั ของเมอื งฉอด โดยเจ้ำเมอื งฉอด คุมกองทัพเข้ำมำรุกรำนกองทพั น้ีน่ำจะมีกำลงั สมทบจำกขอมสบำดโขลญ ลำพงดว้ ย กองทพั เมอื งฉอดยกเข้ำมำตเี มอื งตำก และถำ้ ยดึ เมอื งตำกไดก้ ็จะ เป็นอนั ตรำยต่อเมอื งสโุ ขทยั มำก [๓๓๗]
พ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ยกกองทัพจำกเมืองสุโขทัย เพ่ือต่อต้ำน กองทพั เมอื งฉอด โดยมพี ระรำมโอรสองคเ์ ล็ก ซ่ึงขณะนัน้ มพี ระชนมำยุ ๑๙ พรรษำร่วมไปในกองทพั ด้วย กำรรบครงั้ น้ีมีกำรทำยุทธหตั ถีระหว่ำงแม่ทพั ทัง้ สองฝ่ ำย ในท่ีสุดพระรำมได้ช่วยแก้ไขพระบิดำในกำรยุทธหัตถีจนได้ ชัยชนะ ควำมกล้ำหำญของพระองค์ทำให้ได้รบั กำรเฉลิมพระนำมเป็ น รำมคำแหง นอกจำกสงครำมกบั เมอื งฉอดแล้ว สโุ ขทยั อำจขยำยอำณำเขตดว้ ย กำรทำสงครำมกบั เมืองต่ำงๆ บ้ำง ซ่ึงอำจเกิดข้นึ เพรำะเมืองเหล่ำนัน้ ยงั คง นบั ถอื เจำ้ นำยรำชวงศ์เดมิ อำจมกี ำรแขง็ เมอื งขน้ึ ดงั นัน้ สงครำมครงั้ ต่อๆ มำ จงึ น่ำจะเป็นกำรปรำบปรำมเมอื งท่ไี ม่ยอมอ่อนน้อมเป็นส่วนใหญ่ จนในท่สี ุด กส็ ำมำรถขยำยอำณำเขตให้กว้ำงขวำงออกไปได้ ทำใหเ้ สถียรภำพทำงกำร เมืองของสุโขทัยมัน่ คงข้ึน สำหรับรำชวงศ์เดิมนั้น ยังคงมีเจ้ำนำยท่ีมี ควำมสำคญั คอื โอรสของพอ่ ขนุ ผำเมอื งทำรำชกำรอยดู่ ว้ ย พอ่ ขนุ บานเมอื ง แม้ว่ำจะไม่มีหลกั ฐำนว่ำพ่อขุนศรอี ินทรำทิตย์ส้นิ พระชนม์เม่ือไร แต่อำจกล่ำวได้ว่ำพระองค์น่ำจะครองรำชย์เป็นเวลำนำน สร้ำงควำมเป็ น ปึ กแผ่นให้กับอำณำจักรสุโขทัยเป็ นอย่ำงมำก ภำยหลังจำกท่ีพระองค์ ส้ินพระชนม์แล้วมีหลักฐำนว่ำพ่อขุนบำนเมืองโอรสของพระองค์ได้ข้ึน ครองรำชยส์ บื ตอ่ มำ ก่อนหน้ำทจ่ี ะขน้ึ ครองรำชยพ์ ระองคน์ ่ำจะไดอ้ ยู่ในฐำนะท่ี เป็นรชั ทำยำทมำก่อน เพรำะไมพ่ บวำ่ เม่อื สโุ ขทยั ตอ้ งสรู้ บกบั กองทพั เมอื งฉอด พระองค์ได้ออกรบด้วย ทงั้ น้ีอำจเป็นเพรำะได้รับมอบหมำยให้ดูแลป้องกัน บ้ำนเมอื งในระหว่ำงทเ่ี กิดสงครำมนนั้ อย่ำงไรกต็ ำมหลกั ฐำนท่มี อี ยู่ในขณะน้ี ไม่อำจทรำบถงึ กรณียกิจของพระองคใ์ นระหวำ่ งครองรำชยไ์ ด้ พระองคน์ ่ำจะ สน้ิ พระชนม์รำว พ.ศ. ๑๘๒๒ พ่อขุนรำมคำแหง พระอนุชำไดข้ น้ึ ครองรำชย์ สบื ตอ่ มำ [๓๓๘]
พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช เม่อื พ่อขนุ รำมคำแหงขน้ึ ครองรำชยส์ มบตั ินนั้ เป็นเวลำท่อี ำณำจกั ร สุโขทยั มคี วำมสงบแล้ว หลกั ฐำนทำงเอกสำรกล่ำวว่ำ พระองค์มพี ระสหำย ๒ พระองค์ท่ีมีควำมสนิทสนมกนั มำกคือ พระยำมงั รำยเจ้ำเมอื งเชียงรำยและ พระยำงำเมืองเจ้ำเมืองพะเยำ พระองค์เคยเสดจ็ ไปช่วยพระยำมงั รำยสรำ้ ง เมอื งเชยี งใหม่ เม่อื ปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ทงั้ ยงั ไดท้ รงอุดหนุนมะกะโทใหเ้ ป็นกษตั รยิ ์ ครองอำณำจกั รมอญท่เี มอื งเมำะตะมะ อนั เป็นเมอื งหลวงของมอญในขณะนัน้ รวมทงั้ พระรำชทำนพระนำม พระเจำ้ ฟ้ำรวั ่ (Wareru) แกม่ ะกะโทดว้ ย กำรมสี มั พนั ธไมตรอี ย่ำงแน่นแฟ้นกับเมืองเชียงรำย เมืองพะเยำ และอำณำจักรมอญ ทำให้เสถียรภำพของอำณำจักรสุโขทัยมัน่ คงข้ึน อำจกล่ำวไดว้ ่ำในช่วงรชั กำลพ่อขุนรำมคำแหงอำณำจกั รสุโขทยั มคี วำมสงบ ทรงวำงระเบียบกำรปกครองบ้ำนเมอื ง ทรงประดษิ ฐต์ วั อกั ษรไทย เม่อื พ.ศ. ๑๘๒๖ ทรงปรบั ปรุงงำนด้ำนเศรษฐกิจ เช่น กำรจดั กำรชลประทำน สร้ำง แหล่งน้ำ และทำนุบำรงุ กำรคำ้ จนเกดิ ควำมรงุ่ เรอื งในรชั สมยั ของพระองค์ พอ่ ขนุ รำมคำแหงมโี อรสองคห์ น่ึงคอื พระยำเลอไทย (พระองคอ์ ำจมี พระโอรส/ธิดำอ่ืนๆ อีกแต่ไม่มีหลักฐำนบันทึกไว้) โอรสองค์น้ีอำจได้รบั ตำแหน่งรชั ทำยำทครองเมอื งศรสี ชั นำลยั เม่อื พอ่ ขนุ รำมคำแหงสน้ิ พระชนมล์ ง มหี ลกั ฐำนว่ำเมอื งต่ำงๆ ท่ีเคยอยู่ภำยใต้กำรปกครองของอำณำจกั รสุโขทยั พำกนั แยกตวั เป็นอสิ ระ ทำใหเ้ สถยี รภำพของอำณำจกั รไมม่ นั ่ คง ช่วงสบั สนในประวตั ิศาสตร์ มหี ลกั ฐำนทำงศลิ ำจำรกึ บ่งให้ทรำบวำ่ หลงั จำกท่พี ่อขุนรำมคำแหง สน้ิ พระชนม์ มเี จ้ำนำยองค์อ่นื ท่ีไม่ใช่โอรสของพระองค์ครองรำชยส์ ืบต่อมำ เจำ้ นำยองค์น้ีคอื พระยำไสยสงครำม จำกเหตุกำรณ์ท่ีเมืองต่ำงๆ พยำยำม แยกตวั เป็นอสิ ระ หลงั จำกพอ่ ขุนรำมคำแหงสน้ิ พระชนม์ แมก้ ระทงั ่ เมอื งท่อี ยู่ ใกลก้ บั เมอื งหลวง (ศลิ ำจำรกึ หลกั ท่ี ๓) แสดงใหเ้ หน็ วำ่ ถำ้ ไม่เกดิ ควำมขดั แยง้ ในรำชวงศเ์ น่ืองจำกกำรแย่งชงิ รำชสมบตั แิ ล้ว กน็ ่ำจะมสี ำเหตุจำกระบบกลไก [๓๓๙]
กำรปกครองขณะนัน้ เน่ืองจำกแต่ละเมอื งมเี จ้ำเมอื งปกครองเป็นอสิ ระเขำ้ มำ รวมกนั ไดเ้ พรำะศรทั ธำในกษตั รยิ อ์ งคเ์ ดยี วกนั เทำ่ นนั้ ขณะน้ียังไม่มีหลักฐำนเพียงพอท่ีจะกล่ำวได้ว่ำ ช่วงเวลำกำร ปกครองของพระยำไสสงครำมนำนเท่ำไหร่ มีกรณียกิจมำกน้อยและให้ ประโยชน์แก่อำณำจกั รอยำ่ งไรบำ้ งกต็ ำม แต่กอ็ ำจคำดไดว้ ำ่ คงอยู่ในฐำนะเป็น ผปู้ กครองนำนพอสมควร เม่อื สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ พระยำเลอไทยโอรสของพ่อขุน รำมคำแหงจงึ ไดค้ รองรำชยต์ ่อมำ และทรงไดข้ น้ึ ครองรำชยร์ ำวปี พ.ศ. ๑๘๖๖ พระองค์น่ำจะเป็นผู้เรม่ิ รวบรวมอำณำจกั รสุโขทยั ให้เป็นปึกแผ่นข้นึ อีกครงั้ เป็นท่ีน่ำเสยี ดำยว่ำไม่มหี ลกั ฐำนใดๆ เก่ียวกบั พระองค์ทงั้ ทำงด้ำนพระรำช กรณียกจิ และพระประวตั ิ แม้ว่ำพระองค์จะทรงครองรำชย์อยู่นำนถึง ๑๘ ปี กต็ ำม พระยำงวั ่ นำถม เป็นผสู้ บื รำชสมบตั ติ ่อจำกพระยำเลอไทย ในช่วงน้ี ไม่มีหลักฐำนบ่งช้ีว่ำ เพรำะเหตุใดพระยำลิไทยโอรสของพระยำเลอไทย จงึ ไมไ่ ดข้ ้นึ ครองรำชยส์ บื ต่อจำกพระบดิ ำ อำจตคี วำมว่ำขณะนนั้ พระยำลไิ ทย มพี ระชนมำยไุ ม่มำกนกั แต่กอ็ ำจไดด้ ำรงตำแหน่งรชั ทำยำทหรอื เป็นท่รี กู้ นั ว่ำ เป็นรชั ทำยำทมหี ลกั ฐำนท่สี ำมำรถกล่ำวถงึ ไดเ้ พยี งอย่ำงเดยี วคือ เสถยี รภำพ ทำงกำรเมอื งของสุโขทยั ตกต่ำลง เน่ืองจำกเมอื งหลำยเมอื งพยำยำมแยกตวั เป็นอิสระ จนในท่ีสุดเม่ือพระยำงัว่ นำถมส้นิ พระชนม์ลง จงึ เกิดปัญหำกำร สบื รำชสมบตั ขิ น้ึ พระยาลิไทย (พระมหำธรรมรำชำท่ี ๑ / พระยำศรสี ุริยวงศ์รำมมหำธรรม รำชำธริ ำช) กำรสบื รำชสมบตั ขิ องพระยำลไิ ทยโดยวธิ ปี รำบดำภเิ ษก ทำใหก้ ลำ่ ว ไดว้ ำ่ เม่อื ใดมกี ำรเปล่ยี นรชั กำลโอกำสทจ่ี ะมกี ำรแยง่ ชงิ รำชสมบตั กิ ม็ สี ูง ทงั้ น้ี อำจเป็นเพรำะขนั้ ตอนภำยในรำชสำนักกเ็ ป็นได้ พระยำลไิ ทยเสดจ็ พรอ้ มดว้ ย กองทพั จำกเมอื งศรสี ชั นำลยั เพ่อื ทวงสทิ ธใิ นกำรสบื รำชสมบตั ิ ในทส่ี ดุ พระองค์ สำมำรถปรำบดำภิเษกเป็นกษตั รยิ ส์ ุโขทยั เม่อื พ.ศ. ๑๘๙๐ เฉลมิ พระนำมว่ำ [๓๔๐]
พระยำศรสี รุ ยิ พงศ์รำมมหำธรรมรำชำธริ ำช (ในศลิ ำจำรกึ หลกั ท่ี ๔ ใชพ้ ระนำม วำ่ พระบำทกมรเตงอญั ศรสี รุ ยิ พงศร์ ำมมหำธรรมรำชำธริ ำช) ควำมพยำยำมของพระองค์ภำยหลังจำกท่ีครองรำชย์สมบัติ คือกำรพยำยำมรวบรวมอำณำจกั รสุโขทัยให้มีเสถียรภำพ มีควำมมนั ่ คง ทำงกำรเมอื งเช่นเดยี วกบั รชั กำลก่อนๆ โดยเฉพำะในรชั กำลพอ่ ขนุ รำมคำแหง ขณะเดยี วกนั กำรท่เี กดิ อำณำจกั รขนำดใหญ่โดยรอบอำณำจกั รสุโขทยั ไดแ้ ก่ อำณำจักรล้ำนนำ อำณำจักรล้ำนช้ำง อำณำจักรอยุธยำ และอำณำจกั ร หงสำวดี ทำใหส้ โุ ขทยั เปรยี บเสมอื นเป็นรฐั กนั กระทบ กำรดำเนินนโยบำยใดๆ ท่ีจะหลีกเล่ียงกำรกระทบกระทัง่ กันเป็ นไปได้โดยยำก พระยำลิไทยได้ พยำยำมดำรงสภำพของสุโขทยั ให้มคี วำมมนั ่ คง และได้รบั ควำมเช่ือถือโดย กำรทำให้เมืองสุโขทยั เป็นศูนย์กลำงกำรศกึ ษำทำงพุทธศำสนำ ซ่ึงเป็นทำง เดยี วทจ่ี ะทำใหอ้ ำณำจกั รคงดำรงอยู่ ตลอดรชั กำลพระยำลิไทย กำรพยำยำมรักษำเสถียรภำพของ อำณำจกั รโดยวธิ กี ำรท่ไี ดก้ ล่ำวมำแลว้ นนั้ พระองคน์ ่ำจะไดว้ ำงนโยบำยไวแ้ ล้ว ก่อนท่ีจะข้นึ ครองรำชย์สมบตั ิ เช่น ได้ทรงพระรำชนิพนธ์เร่อื ง เตรภูมิกถำ หรอื ไตรภูมพิ ระร่วง เม่อื พ.ศ. ๑๘๘๘ ในขณะท่ียงั เป็นรชั ทำยำทครองเมอื ง ศรสี ชั นำลยั กบั โปรดใหส้ รำ้ งวดั ป่ำมะม่วงเป็นศูนยก์ ลำงกำรศกึ ษำพทุ ธศำสนำ และได้ทรงผนวชท่ีวดั แห่งน้ีเม่ือ พ.ศ. ๑๙๐๔ ทรงสร้ำงพระพุทธชินรำช พระพุทธชินสีห์ และพระศำสดำ เม่ือประมำณ พ.ศ. ๑๙๐๕ สร้ำงรอย พระพุทธบำทท่ีไปลอกแบบมำจำกลงั กำมำประดษิ ฐำนไวห้ ลำยแห่งในเมอื ง สุโขทัย ศรีสัชนำลัย พิษณุโลก และกำแพงเพชร รวมทัง้ ทรงอนุญำตให้ พระสมุ นเถระ พระสงั ฆรำชสุโขทยั ไปปรบั ปรุงคณะสงฆข์ องอำณำจกั รล้ำนนำ เม่อื พ.ศ. ๑๙๑๓ พระยำกอื นำ กษตั รยิ ล์ ้ำนนำทรงขอมำดว้ ย ทำใหอ้ ำณำจกั ร ทงั้ สองมคี วำมสมั พนั ธท์ ด่ี ตี ่อกนั พระยำลิไทยพยำยำมสร้ำงสมั พนั ธไมตรีกบั อำณำจกั รข้ำงเคียง เสมอมำ แต่ไม่มีหลกั ฐำนว่ำเคยสร้ำงไมตรที ่ีดีต่อกันกับอำณำจกั รอยุธยำ นอกจำกกำรสงครำมท่ที ำงฝ่ ำยอยุธยำในรชั กำลขุนหลวงพะงวั ่ มกั จะยกทพั [๓๔๑]
มำตีเมืองชำยแดนของสุโขทยั อยู่เสมอ จนกระทงั ่ สำมำรถยดึ เมอื งบำงเมอื ง ไวไ้ ด้ ทำใหใ้ นปลำยรชั กำลพระยำลิไทยต้องยำ้ ยเมอื งหลวงของอำณำจกั รไป อย่ทู ่เี มอื งพษิ ณุโลก ตงั้ แต่รำวปลำยปี พ.ศ. ๑๙๐๖ เป็นตน้ มำ ควำมสมั พนั ธท์ ่ี พระองค์ทรงมีต่อเมืองแพร่ เห็นได้จำกกำรท่ีพระองค์เสดจ็ ไปเมืองแพร่ถึง ๗ เดอื น เมอ่ื พ.ศ. ๑๙๐๒ ควำมสมั พนั ธเ์ ป็นพเิ ศษกบั รำชวงศ์เมอื งน่ำนของพระเจ้ำลไิ ทยพบ ได้จำกคำสำบำนในศิลำจำรกึ และกำรท่ีกองทพั เมืองน่ำนยกมำช่วยสุโขทยั สู้รบกับกองทัพอยุธยำเม่ือปี พ.ศ. ๑๙๑๙ ทำให้อำจกล่ำวได้ว่ำน่ำจะมี ควำมสมั พนั ธท์ ำงเครอื ญำตทิ ม่ี ำจำกกำรอภเิ ษกสมรสกบั เจำ้ หญิงของรำชวงศ์ เมอื งน่ำน ข้อควำมจำกศิลำจำรกึ หลำยหลกั พบว่ำ พระยำลิไทยทรงมีโอรส หลำยพระองค์ และประสูติต่ำงมำรดำกนั ดว้ ย พระโอรสท่พี บพระนำมในศิลำ จำรกึ ได้แก่ พ่อเลอไทย พระธรรมรำชำ และพระอโศก องคส์ ุดท้ำยต่อมำได้ ทรงผนวช จำกข้อควำมดงั กล่ำวอำจแสดงแผนผงั โดยใช้พระนำมจำกศิลำ จำรกึ ไดด้ งั น้ี พระมหำเทวี + พระยำลไิ ทย + พระศรจี ุฬำลกั ษณ์ พอ่ เลอไทย พระธรรมรำชำท่ี ๒ พระอโศก ในขณะท่ีพระยำลิไทยครองรำชย์อยู่นัน้ พ่อเลอไทยโอรสองค์หน่ึง ของพระองค์อำจได้อภิเษกสมรสกับเจ้ำหญิงรำชวงศ์น่ำนเป็ นกำรสร้ำง เครอื ญำตทิ ำงกำรแต่งงำนของสองรำชวงศใ์ หแ้ น่นแฟ้นขน้ึ [๓๔๒]
ราชวงศส์ โุ ขทยั ราชวงศน์ ่าน พระยำลไิ ทย (มหำธรรมรำชำท่ี ๑) พระยำคำตนั พอ่ เลอไทย พระธดิ ำ พระยำไสลอื ไทย พระยำลิไทยคงสวรรคตปีใดปีหน่ึงระหว่ำง พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๑๙๑๗ อนั เป็นช่วงทพ่ี ระองคป์ ระทบั อยเู่ มอื งพษิ ณุโลก กษตั รยิ ์ขน้ึ ครองรำชยส์ บื ต่อมำ จำกพระองคใ์ ชเ้ มอื งพษิ ณุโลกเป็นทป่ี ระทบั และเป็นเมอื งหลวงตอ่ มำ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ แม้ว่ำพระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ จะข้ึนครองรำชย์เม่ืออำณำจักร สุโขทัยมีเสถียรภำพท่ีดีข้นึ กว่ำเดมิ รวมทงั้ มสี มั พนั ธไมตรีอย่ำงใกล้ชิดกบั อำณำจกั รล้ำนนำก็ตำม แต่กำรท่ีต้องอยู่ท่ำมกลำงอำณำจกั รใหญ่ และโดย สภำพแลว้ อยใู่ นฐำนะรฐั กนั ชน ทำใหก้ ำรดำเนินนโยบำยของอำณำจกั รเป็นไป อยำ่ งไมร่ ำบร่นื ไม่มีหลักฐำนใดๆ ในช่วงผลัดเปล่ียนรัชกำลว่ำเกิดกำรแย่ง รำชสมบตั ิหรอื กำรจลำจลอย่ำงท่เี คยเป็นหรอื ไม่ รวมทงั้ บทบำทท่สี ำคญั ของ พระมหำธรรมรำชำก่อนกำรครองรำชย์ หรือหลังจำกกำรครองรำชย์แล้ว จงึ เป็นรชั กำลทม่ี หี ลกั ฐำนน้อยทส่ี ดุ ช่วงหน่ึง กำรท่สี โุ ขทยั มคี วำมใกล้ชดิ กบั อำณำจกั รล้ำนนำและเมอื งน่ำนมำก เป็นเหตุใหท้ ำงอำณำจกั รอยธุ ยำเกรงว่ำสุโขทยั อำจถูกอำณำจกั รลำ้ นนำผนวก เข้ำเป็นอำณำจกั รเดียวกนั ซ่ึงจะทำให้อยุธยำตกอยู่ในภำวะท่ีเป็นอนั ตรำย เพรำะหำกอำณำจกั รลำ้ นนำประสงคจ์ ะขยำยอำณำเขตมำทำงใตอ้ กี กส็ ำมำรถ ทำไดง้ ำ่ ย มที ำงเดนิ ทพั หลำยทำงทงั้ ทำงบกและทำงน้ำ เมอื งทอ่ี ยูต่ ่อลงมำคอื [๓๔๓]
เมอื งพษิ ณุโลกก็เป็นเมืองท่ีไม่อยู่ในฐำนะท่ีจะต้ำนทำนกองทพั ท่ีมกี ำลงั พล มำกได้ อยุธยำจึงต้องหำทำงสกัดอิทธิพลของอำณำจกั รล้ำนนำเสียก่อน แต่กำรท่จี ะส่งกองทพั ไปรุกรำนโดยตรงไม่น่ำจะทำได้ เพรำะอำจเป็นเหตุให้ อำณำจกั รลำ้ นนำสง่ กองทพั มำชว่ ยเหลอื เน่ืองจำกเป็นมติ รทด่ี ตี ่อกนั ได้ ดังนั้นขุนหลวงพระงวั ่ กษัตริย์อยุธยำในขณะนัน้ จึงใช้วิธีรุกรำน หวั เมอื งชำยแดนของสุโขทยั เพ่อื หยงั ่ กำลงั ของสุโขทยั และดูท่ำทีของลำ้ นนำ บำงครงั้ ถึงกบั เข้ำโจมตีเมืองสำคญั ของสุโขทัยด้วย พงศำวดำรฉบับหลวง ประเสรฐิ อกั ษรนิติ ์ กลำ่ ววำ่ - พ.ศ. ๑๙๑๔ สมเดจ็ พระบรมราชา (ขุนหลวงพระงวั ่ ) มชี ยั ชนะต่อ เมอื งเหนือทงั้ ปวง - พ.ศ. ๑๙๑๕ กองทัพอยุธยายกไปตีเมืองนครพังคา และเมือง แสงเชราไดเ้ มอื ง - พ.ศ. ๑๙๑๖ กองทัพอยุธยายกทัพไปตีเมืองชากังราว พระยา ไสแกว้ กบั พระยาคาแหงสรู้ บป้องกนั เมอื ง พระยาไสแกว้ เสยี ชวี ติ ในทรี่ บ - พ.ศ. ๑๙๑๙ กองทพั อยุธยายกทพั ไปตีเมอื งชากงั ราว ทพั พระยา ผากองเจ้าเมืองน่านยกมาช่วย แต่ไม่สามารถต้านทานกองทัพอยุธยาได้ พระยาผากองต้องถอยทัพกลับไป กองทัพอยุธยาจับทหารชาวน่านได้ จานวนมาก เม่อื พระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ ยอมแพ้ต่อสมเดจ็ พระบรมรำชำธริ ำช แห่งกรุงศรอี ยุธยำแล้ว สโุ ขทยั ถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน และหมดควำมสำคญั ลงทนั ที พระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ ส้นิ พระชนม์ในปี พ.ศ. ๑๙๔๓ โดยมพี ระยำ ไสลอื ไทยผเู้ ป็นหลำนอำขน้ึ ครองรำชสมบตั สิ บื ตอ่ มำ พระยาไสลือไทย (พระมหำธรรมรำชำท่ี ๓) พระยำไสลอื ไทย หรอื พระมหำธรรมรำชำท่ี ๓ ครองรำชย์สบื ต่อมำ คงมพี ระประสงคท์ ่จี ะสรำ้ งควำมรงุ่ เรอื งใหก้ บั อำณำจกั รสโุ ขทยั อกี ครงั้ ส่ิงท่ไี ม่ อำจทรำบไดเ้ น่ืองจำกขำดหลกั ฐำนอนั สมบูรณ์ในกำรแปลควำมคอื ในชว่ งกำร [๓๔๔]
ครองรำชย์ของพระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ สุโขทยั กลบั มำเป็นอิสระอีกหรอื ไม่ ทงั้ น้ีเน่ืองจำกตำนำนพน้ื เมอื งของเชยี งใหมไ่ ดก้ ล่ำววำ่ ปี พ.ศ. ๑๙๓๓ กษตั รยิ ์ สุโขทัยขอมำเป็ นไมตรีกับเชียงใหม่ ขอกองทัพเชียงใหม่ไปป้องกันเมือง อ้ำงวำ่ ผดิ ใจกบั กษตั รยิ ์อยุธยำ แต่เม่อื กองทพั เชยี งใหม่ยกไปช่วยทำงสุโขทยั กลบั เปล่ยี นใจนำกำลงั เขำ้ โจมตีกองทพั เชยี งใหม่จนพ่ำยแพ้ ถ้ำเหตุกำรณ์น้ี เกิ ด ข้ึ น จ ริง ก็ เส มื อ น ว่ ำ สุ โ ข ทั ย ร่ ว ม มื อ กั บ อ ยุ ธ ย ำ ห ล อ ก ล ว ง ก อ ง ทั พ เมืองเชียงใหม่มำทำลำย กำรท่ีเชียงใหม่ยอมช่วยเหลือก็คงเป็ นเพรำะมี สมั พนั ธไมตรที ด่ี ตี ่อสโุ ขทยั นนั ่ เอง พระยำไสลือไทยยกกองทพั ไปตีเมืองในอำณำจกั รล้ำนนำ เม่ือปี พ.ศ. ๑๙๕๔ โดยท้ำวย่ีกุมกำม เจ้ำเมืองเชียงรำย ซ่ึงผิดหวังในกำร สบื รำชสมบัติอำณำจกั รล้ำนนำ หนีมำพ่ึงอำณำจกั รสุโขทยั แล้วนำกองทพั สโุ ขทยั ไปตเี มอื งพะเยำ แต่ไม่สำเรจ็ กองทพั ยกตอ่ ไปเมอื งเชยี งรำย เมอื งฝำง ไมป่ รำกฏหลกั ฐำนว่ำมกี ำรสรู้ บกบั สองเมอื ง อำจไมม่ กี ำรสรู้ บกนั เลยกไ็ ด้ ทงั้ น้ี เพรำะทำ้ วยก่ี มุ กำมเคยเป็นเจำ้ เมอื งเชยี งรำยมำกอ่ น จำกนนั้ จงึ ยกทพั เขำ้ ลอ้ ม เมอื งเชียงใหม่ แต่ไม่อำจตีเมอื งได้ต้องถอยทพั พร้อมกบั นำครอบครวั ชำว เชยี งรำยไปไวท้ ส่ี โุ ขทยั ดว้ ย ทำงอำณำจกั รอยธุ ยำ เมอ่ื สมเดจ็ พระอนิ ทรำชำจำกสุพรรณบรุ เี สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยไ์ ดท้ รงยกกองทพั มำปรำบสุโขทัย จนกระทงั ่ พระยำไสลอื ไทย ตอ้ งยำ้ ยทป่ี ระทบั ไปอยเู่ มอื งพษิ ณุโลก จนสน้ิ พระชนมใ์ นปี พ.ศ. ๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชาท่ี ๔ (พระสรุ ยิ วงศบ์ รมปำลมหำธรรมรำชำธริ ำช) พระยำไสลอื ไทยสน้ิ พระชนมก์ อ่ ใหเ้ กดิ จลำจลแยง่ รำชสมบตั ริ ะหวำ่ ง โอรสทงั้ ๒ พระองค์ คือ พระยำบำลและพระยำรำม สำเหตุน้ีทำให้สมเด็จ พระอินทรำชำต้องทรงยกกองทัพข้ึนมำจดั กำรกำรปกครองจนเรยี บร้อย โดยแบง่ อำณำจกั รสโุ ขทยั ซง่ึ เหลอื พน้ื ทน่ี ้อยอยูแ่ ลว้ เป็น ๔ สว่ นคอื [๓๔๕]
พระยำบำล เป็ นพระมหำธรรมรำชำท่ี ๔ เฉลิมพระนำมเป็ น พระสรุ ยิ วงศบ์ รมปำลมหำธรรมรำชำธริ ำช ครองเมอื งพษิ ณุโลก พระยำรำม ครองเมอื งสโุ ขทยั พระยำเชลยี ง ครองเมอื งเชลยี ง (หรอื ศรสี ชั นำลยั ) แสนสอยดำว ครองเมอื งกำแพงเพชร อำณำจกั รสุโขทยั หมดควำมสำคญั และหมดอำนำจลงในรชั กำลน้ี แมว้ ำ่ ทำงอยุธยำจะมกี ำรเปล่ยี นแปลงรชั กำลจำกสมเดจ็ พระอนิ ทรำชำมำเป็น สมเด็จพระบรมรำชำท่ี ๒ (เจ้ำสำมพระยำ) เม่ือปี พ.ศ. ๑๙๖๗ ก็ไม่ทำให้ สถำนภำพของสุโขทยั ดขี ้นึ จนกระทงั ่ พระมหำธรรมรำชำท่ี ๔ ส้นิ พระชนม์ เม่อื ปี พ.ศ. ๑๙๘๑ นักประวตั ิศำสตร์ท่ีสนใจเร่อื งของสุโขทยั บำงท่ำนเห็นว่ำ ปี พ.ศ. ๑๙๘๑ อนั เป็นปีท่ีพระมหำธรรมรำชำท่ี ๔ ส้นิ พระชนม์น่ำจะเป็นกำรสน้ิ สุด ประวตั ศิ ำสตรส์ ุโขทยั บำงท่ำนเหน็ ว่ำยงั ไม่ควรคดิ เช่นนัน้ เพรำะยงั มเี จำ้ นำย ทำงสโุ ขทยั ครองอำนำจอยู่ ผู้ท่ีครองเมืองพิษณุโลกต่อมำคือ พระยำยุทธิษเฐียร โอรสของ พระมหำธรรมรำชำท่ี ๔ เจ้ำนำยพระองค์น้ีทรงเป็นลูกพ่ีลูกน้องกบั สมเด็จ พระบรมไตรโลกนำถ เม่อื สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนำถขน้ึ ครองรำชยท์ ่อี ยุธยำ ในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ พระยำยุทธิษเฐยี รคงหวงั ว่ำทำงอยุธยำจะคืนควำมเป็ น อำณำจกั รสุโขทยั ให้ โดยไม่แบ่งออกเป็น ๔ ส่วนเช่นท่ีเป็นอยู่ แต่กำรณ์ไม่ เป็นเช่นนัน้ พระยำยทุ ธษิ เฐยี รจงึ พำไพรพ่ ลไปสวำมภิ กั ดติ ์ ่อพระเจำ้ ตโิ ลกรำช กษตั รยิ ์เชียงใหม่ เม่อื ปี พ.ศ. ๑๙๙๔ เป็นผลให้เกิดสงครำมยดื เย้อื ระหว่ำง ลำ้ นนำกบั อยธุ ยำ หลงั จำกท่ีพระยำยุทธษิ เฐยี รไปสวำมภิ กั ดติ ์ ่อพระเจำ้ ตโิ ลกรำชแล้ว พระรำชชนนีของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนำถ ครองเมอื งพษิ ณุโลกต่อมำจน ส้ินพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๐๐๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนำถจึงเสด็จข้ึนไป ประทบั อยทู่ เ่ี มอื งพษิ ณุโลก และถอื เป็นปีสน้ิ สดุ อำณำจกั รสโุ ขทยั ดว้ ย [๓๔๖]
ศิลปะสมยั สโุ ขทยั ศลิ ปวฒั นธรรมสมยั สุโขทยั เป็นผลมำจำกกำรนับถือพุทธศำสนำ เป็นศำสนำประจำชำติ ดงั นัน้ เร่อื งรำวของศิลปวฒั นธรรมสมยั สุโขทยั จงึ เป็น เร่อื งเก่ยี วกบั ศำสนำเป็นสว่ นใหญ่ อทิ ธิพลของศลิ ปกรรมจำกประเทศทน่ี ับถือ พุทธศำสนำ ซ่งึ มคี วำมเจรญิ รงุ่ เรอื งในช่วงนนั้ ไดเ้ ขำ้ มำมอี ทิ ธพิ ลต่อกำรสรำ้ ง ศิลปกรรมของอำณำจกั รสุโขทัยเป็ นอย่ำงย่ิง ทัง้ น้ีเป็ นเพรำะกำรติดต่อ แลกเปล่ียนควำมรู้ กำรติดต่อกำรค้ำระหว่ำงกนั ทำให้มีกำรถ่ำยทอดผลงำน กนั ข้นึ ไดแ้ ก่ ศลิ ปกรรมจำกลงั กำ เป็นต้น แต่อย่ำงไรกด็ ี ผผู้ ลติ งำนทำงดำ้ น ศิลปกรรมในสมยั สุโขทยั ก็ได้นำเอำแนวควำมคดิ และรูปแบบมำปรบั ปรุงให้ กลมกลนื กบั ควำมนิยมของชนในชำตไิ ดเ้ ป็นอยำ่ งดี ภำพท่ี ๑ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งเกำ่ สโุ ขทยั และเมอื งพระพำยหลวง (ดำ้ นทศิ เหนอื ) [๓๔๗]
ภำพท่ี ๒ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งพระพำยหลวง แลเหน็ เทอื กเขำหลวงเบอ้ื งทศิ ตะวนั ตก ประติมากรรม ประตมิ ำกรรมท่สี ำคญั ไดแ้ ก่ กำรสรำ้ งพระพุทธรปู พระพุทธรูปในสมัยสุโขทัยซ่ึงเป็ นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะนั้น เป็ น พระพุทธรูปท่ีมีควำมสวยงำมมำก พระเนตรมแี ววแห่งควำมเมตตำ วงพระ พกั ตรเ์ ป็นรูปไข่ พระโอษฐอ์ ยู่ในลกั ษณะอมยม้ิ ลำพระองคก์ ลมกลงึ ไม่มกี ำร เน้นลกั ษณะทำงสรรี ะเหมอื นกบั มนุษย์ แต่เป็นกำรแสดงลกั ษณะควำมงำมของ มนุษย์ในแง่ศิลปะ พระพุทธรูปท่ีนิยมสร้ำงเป็นพระพุทธรูปในอิริยำบถนัง่ นอน ยนื เดนิ เทำ่ นนั้ พระพทุ ธรปู หลอ่ ดว้ ยโลหะทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่ [๓๔๘]
พระศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปประทบั นัง่ ปำงมำรวชิ ยั ท่ีเป็นรูป หล่อใหญ่ท่ีสุด หน้ำตักกว่ำ ๖.๕๐ เมตร สร้ำงในรชั กำลพระเจ้ำลิไท เดิม ประดิษฐำนเป็ นพระประธำนในวิหำรหลวง วัดมหำธำตุ เมืองสุโขทัยเก่ำ ปัจจุบนั ประดษิ ฐำนเป็นพระประธำนในพระวหิ ำรหลวง วดั สทุ ศั นเทพวรำรำม กรงุ เทพมหำนคร ภำพท่ี ๓ พระศรศี ำกยมนุ ี พระประธำนในพระวหิ ำรหลวงวดั สทุ ศั นเทพวรำรำม [๓๔๙]
พระพทุ ธชินราช เป็นพระพุทธรูปประทบั นัง่ ปำงมำรวชิ ยั หน้ำตกั กว้ำง ๕.๖๐ เมตร สรำ้ งในรชั กำลพระเจำ้ ลไิ ท ประดษิ ฐำนในพระวหิ ำรหลวง วดั พระศรรี ตั นมหำธำตุ จงั หวดั พษิ ณุโลก ภำพท่ี ๔ พระพุทธชนิ รำช ประดษิ ฐำนในพระวหิ ำรหลวงวดั พระศรรี ตั นมหำธำตุ พษิ ณุโลก [๓๕๐]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360