สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรต์ อนปลำย (ยุคโลหะหรอื ยุคสงั คมเกษตรกรรมตอน ปลำย) เน่ืองจำกได้พบลูกปัดหนิ ประเภทหนิ คำร์เนเลยี น หนิ โอนิกซ์ และหนิ อำเกต และลูกปัดแก้วสีต่ำงๆ ซ่ึงมีแหล่งผลิตอยู่ในประเทศอินเดียแต่มำ แพร่กระจำยอยู่ในแหล่งโบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำยในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ ถงึ แมว้ ่ำนกั โบรำณคดสี ว่ นใหญ่จะไมค่ อ่ ยใหค้ วำมสำคญั กบั หลกั ฐำนดำ้ นลูกปัด เพรำะเป็นโบรำณวตั ถุขนำดเลก็ ท่เี คล่อื นยำ้ ยไดง้ ำ่ ยทงั้ ยงั มสี ภำพคงทนและมีอำยุกำรใช้งำนท่ียำวนำน แต่กำรค้นพบลูกปัดหินบำง ประเภท เช่น ลูกปัดหนิ คำรเ์ นเลยี น อำเกต และโอนิกซ์ ทงั้ แบบเรยี บและแบบ ท่ีตกแต่งด้วยกำรสกดั ผิวแล้วฝังสี (etched bead) ท่ีนิยมเรียกว่ำลูกปัดลำย จำกชนั้ วฒั นธรรมของชุมชนสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำย (ส่วนใหญ่พบ จำกหลุมฝังศพ) ท่ีมกี ำรกำหนดอำยุโดยเทคนิคทำงวิทยำศำสตร์ ย่อมเป็น หลกั ฐำนทเ่ี ช่อื ถอื ไดใ้ นระดบั หน่ึง ภำพท่ี ๕ ลกู ปัดหนิ คำรเ์ นเลยี น พบทแ่ี หล่งโบรำณคดเี ขำสำมแกว้ อำเภอเมอื ง จงั หวดั ชุมพร [๑๕๑]
กำรค้นพบสินค้ำจำกอินเดียประเภทลูกปัดหิน (หินโอนิกซ์ หิน คำรเ์ นเลยี น และหินอำเกต) ทงั้ แบบเรยี บและแบบท่ีตกแต่งโดยกำรสกดั ผิว แล้วฝังสี (ลูกปัดลำย) ในแหล่งโบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ตอนปลำย (ยคุ โลหะ) ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซง่ึ สว่ นใหญ่มอี ำยุอยใู่ นชว่ ง ๓๐๐ – ๕๐ ปีก่อน ค.ศ. (พุทธศตวรรษท่ี ๓ – ๕) หรอื บำงแหง่ อำจถงึ ค.ศ. ๑๐๐ นนั้ เป็น หลกั ฐำนยนื ยนั ได้ว่ำมีกำรติดต่อค้ำขำยระหว่ำงชำวอินเดยี และประชำกรใน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ในช่วงน้ี ซ่ึงตรงกบั ช่วงสมยั ยุคเหลก็ ตอนปลำยของ อนิ เดยี คอื สมยั ท่รี ำชวงศ์โมรยิ ะปกครองอนิ เดยี ภำคเหนือ(พุทธศตวรรษท่ี ๓ – ๔) และมกี ำรเสรมิ สรำ้ งเศรษฐกจิ ของประเทศโดยสนับสนุนใหม้ กี ำรตดิ ต่อ คำ้ ขำยกบั ต่ำงชำติ โดยตงั้ เมอื งตกั ษลิ ำ (ภำคตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดยี บรเิ วณชำยแดนอนิ เดยี – ปำกสี ถำน) เป็นเมอื งอุปรำชและเป็นศูนยก์ ลำงกำร ติดต่อค้ำขำยกบั กลุ่มประเทศค้ำขำยกบั กลุ่มประเทศทงั้ ทำงตะวนั ตกและ ตะวนั ออก นอกจำกเมอื งตกั ษลิ ำก็มเี มอื งศูรปำรกะและภรกุ จั ฉะ (บำรกิ ำชำ) ส่วนด้ำนตะวนั ออกของอำณำจกั รไดต้ งั้ เมอื งตำมรลิปติ (ตมั ลุก) บรเิ วณปำก แม่น้ำคงคำให้เป็นเมอื งท่ำสำคญั เพ่ือติดต่อค้ำขำยกบั ประชำกรในดินแดน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ สนิ คำ้ ท่ีส่งออกไปขำยในช่วงนัน้ คงมีหลำยอย่ำงดงั ไดก้ ล่ำวมำแล้ว ซ่งึ คงจะสลำยตวั ไปตำมกำลเวลำ จงึ เหลอื แต่หลกั ฐำนดำ้ นลูกปัดทก่ี ระจำยตวั อยู่ตำมแหล่งโบรำณคดีท่ีเคยติดต่อค้ำขำยกับอินเดียในช่วงนัน้ นัน่ คือ แหล่งโบรำณคดีตวงถำแมน ในประเทศพม่ำ ในประเทศไทยพบทัง้ ใน ภำคกลำง (รมิ แควน้อยบำ้ นเก่ำ ถ้ำองบะ ดอนตำเพชร ศูนยก์ ำรทหำรปืนใหญ่ ท่ำแค โคกระกำ) ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (บ้ำนเชียง บ้ำนนำดี บ้ำน โนนเมือง บ้ำนธำรปรำสำท บ้ำนโตนด) และภำคใต้ (เขำสำ มแก้ว ควนลูกปัด) ในประเทศลำว (บ้ำนอ่ำง บ้ำนโชด บ้ำนเสอื ) ในประเทศกมั พูชำ (สำโรงเสน) ในประเทศเวียดนำม (แหล่งโบรำณคดีไดลำญในวฒั นธรรม ซำหวน่ิ ) ในประเทศมำเลเซยี (ถ้ำนีอำห)์ ในประเทศอนิ โดนีเซยี (เกำะสุมำตรำ [๑๕๒]
ชวำ บำหลี และบอร์เนียว) ในประเทศฟิ ลิปปินส์ (กลุ่มถ้ำตำบอนบนเกำะ ปำลำวนั ) ภำพท่ี ๖ ลกู ปัดหนิ คำรเ์ นเลยี นสกดั ผวิ ฝังสี จำกแหล่งโบรำณคดคี วนลกู ปัด อำเภอคลองท่อม จงั หวดั กระบ่ี (ทม่ี ำ: รอ้ ยเอกบณุ ยฤทธิ ์ฉำยสุวรรณ) อย่ำงไรก็ตำม สินค้ำจำกอินเดียได้ปรำกฏหนำแน่นข้ึนในแหล่ง โบรำณคดีในดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ท่ีมีอำยุอยู่ในช่วงสมัยก่อน ประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำย ตอ่ สมยั แรกเรมิ่ ประวตั ศิ ำสตร์ ซ่งึ ตรงกบั สมยั หลงั ยุค เหลก็ หรอื สมยั อนิ โด-โรมนั ของอนิ เดยี (๕๐ ปีก่อน ค.ศ. – ค.ศ. ๓๐๐ หรอื รำว พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙) อนั เป็ นช่วงท่ีอินเดียเหนืออยู่ใต้กำรปกครองของ กษตั รยิ ร์ ำชวงศ์กุษำณะ (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๘) และภำคตะวนั ตกอยู่ใต้กำร ปกครองของรำชวงศ์ศำตวำหนะ (พุทธศตวรรษท่ี ๔ – ๘) และเป็ นช่วงท่ี อนิ เดยี มกี ำรตดิ ตอ่ คำ้ ขำยกบั อำณำจกั รโรมนั อยำ่ งเป็นล่ำเป็นสนั มกี ำรตงั้ นิคม [๑๕๓]
กำรค้ำและมีกำรตงั้ ถิ่นฐำนของชำวโรมนั ตำมเมืองท่ำสำคญั ๆ ของอินเดีย ทงั้ ดำ้ นฝัง่ ตะวนั ตกและฝัง่ ตะวนั ออก (ดงั ไดก้ ล่ำวมำแลว้ ) ดงั นัน้ สนิ ค้ำจำกเมืองท่ำของอินเดียท่ีส่งมำขำยยงั ดินแดนเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงน้ีจึงมีทัง้ สินค้ำของอินเดียเอง เช่น ลูกปั ดหิน คำร์เนเลียน อำเกต ทงั้ แบบเรยี บ แบบลำย ภำชนะสำรดิ หวีงำช้ำง ลูกเต๋ำ (สลกั จำกงำช้ำงหรอื กระดูก) สนิ ค้ำจำกโลกตะวนั ตกเช่น ลูกปัดแก้วมแี ถบสี (striped bead) ลูกปัดแก้วแบบลูกปัดมีตำ (eye bead) ท่ีมีถ่ินกำเนิดแถบ เมดิเตอร์เรเนียนและเปอร์เซีย และสินค้ำของโรมัน เช่น ตะเกียงโรมัน (bronze Roman lamp) หวั แหวนสลกั จำกหนิ มีค่ำ (intaglios) ภำชนะดนิ เผำ ประเภทท่ีมีผิวสีแดงมันวำวตกแต่งด้วยลำยประทับ (arretine ware) และ ประเภทท่ตี กแต่งดว้ ยกำรกดดว้ ยซฟ่ี ันเฟือง (roulette wear) ซ่งึ พบตำมแหล่ง โบรำณคดใี นบรเิ วณเมอื งท่ำโบรำณในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ตงั้ แต่ประเทศ พมำ่ (เมอื งไบกถ์ โน) ถงึ ประเทศเวยี ดนำม (ออกแก้ว) และพบหนำแน่นมำกใน ประเทศไทยทงั้ ในภำคกลำง (พงตกึ อู่ทอง จนั เสน เนินมะกอก) และภำคใต้ ตงั้ แต่จงั หวดั ชุมพร (เขำสำมแก้ว) สุรำษฎร์ธำนี (แหลมโพธ)ิ ์ ไปถึงจงั หวดั พงั งำ (เกำะคอเขำ) และจงั หวดั กระบ่ี (คลองท่อม) ลงไปถึงคำบสมุทรมำเลย์ ทก่ี วั ลำเซลนิ ซงิ และบูกติ เตงกู เลมบู (มำเลเซยี ) ในประเทศอนิ โดนีเซยี กพ็ บ ท่ีเมืองโบรำณตำรุมำในภำคตะวนั ตกเฉียงเหนือของเกำะชวำ และบนเกำะ บำหลตี อนเหนือ นอกจากการติดต่อค้าขายแล้ว ชาวอินเดียยงั ได้นาระบบสงั คม แบบอินเดียท่ีมีพฒั นาการมากจากการผสมผสานกนั ระหว่างวฒั นธรรม อินเดียกบั วฒั นธรรมต่างชาติ อาทิ กรีก โรมนั และเปอร์เซีย เข้ามา เผยแพรด่ ้วย ชำวอินเดียได้นำระบบเหรียญกษำปณ์แบบท่ีชำวกรกี ชำวโรมนั และชำวเปอร์เซียใช้เป็นส่ือกลำงในกำรซ้ือขำยแลกเปล่ียนสนิ ค้ำมำใช้เป็น ส่ือกลำงกำรค้ำขำยในประเทศอินเดียเอง และในกลุ่มประเทศทำงเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซ่งึ ต่อมำกษตั รยิ พ์ ้นื เมอื งไดผ้ ลิตเหรยี ญกษำปณ์ขน้ึ ใช้เอง [๑๕๔]
(ตงั้ แต่พุทธศตวรรษ ๑๒ – ๑๖) โดยยงั คงใช้สญั ลกั ษณ์อนั เป็นมงคลตำมคติ ควำมเช่อื ของชำวอนิ เดยี ชำวอนิ เดยี ไดน้ ำระบบส่อื สำรท่มี กี ำรใช้ตรำประทบั เป็นส่อื กลำงกำร ตดิ ต่อส่อื สำรระหว่ำงสถำบนั กษตั รยิ ์ สถำบนั ศำสนำ เอกชนหรอื หมู่คณะเพ่อื ผลทำงกำรเมอื ง กำรคำ้ ขำยและกำรศำสนำ แบบทช่ี ำวกรกี ชำวโรมนั และชำว เปอรเ์ ซียนิยมใช้ มำใช้กบั กลุ่มประเทศทำงเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซ่งึ ต่อมำ ผู้น ำชุ ม ช น พ้ืน เมือ งได้ผ ลิต ต รำป ระทับ ข้ึน ใช้ เอ งแ ล ะใช้สัญ ลัก ษ ณ์ ท่ีส่ือ ควำมหมำยในกลุ่มชำวพน้ื เมอื ง ภำพท่ี ๗ ตรำดนิ เผำรปู สงั ข์ พบทเ่ี มอื งโบรำณอ่ทู อง จงั หวดั สุพรรณบุรี ชำวอนิ เดยี ไดน้ ำเทคนิคกำรใช้อฐิ และหนิ ในกำรก่อสรำ้ งศำสนสถำน ศำสนวตั ถุ ทช่ี นชำตกิ รกี โรมนั และเปอรเ์ ซยี นิยมใชใ้ นกำรสรำ้ งงำนศลิ ปกรรม ในประเทศของตนเองตงั้ แต่ช่วงยุคเหล็กตอนปลำย (พุทธศตวรรษท่ี ๓ – ๕) เป็นตน้ มำ และนำมำเผยแพรใ่ หป้ ระชำกรในลุ่มแม่น้ำเจำ้ พระยำและในภมู ภิ ำค อ่นื ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ [๑๕๕]
ชำวอนิ เดยี ไดน้ ำรปู แบบเคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ เคร่อื งประดบั ตลอดจน อุปกรณ์กำรกีฬำบำงประเภทเข้ำมำใช้ตำมสถำนีกำรค้ำและในพ้ืนท่ีท่ีชำว อินเดียเข้ำมำตัง้ ถิ่นฐำนอยู่ ซ่ึงบำงแบบได้มีกำรผลิตเลียนแบบโดยชำว พ้นื เมอื งและใช้สบื ทอดกนั มำอีกหลำยศตวรรษ แต่บำงแบบก็ไม่ได้รบั ควำม นิยมสบื ต่อมำอกี เลย ภำพท่ี ๘ ลกู เต๋ำ พบทเ่ี มอื งโบรำณอ่ทู อง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ชำวอนิ เดยี ไดน้ ำระบบกำรปกครอง (ซ่ึงส่วนหน่ึงได้รบั อิทธพิ ลมำ จำกเปอรเ์ ซียในสมยั รำชวงศ์อำคเี มนิด (Achaemenid) ท่ีเขำ้ มำมอี ทิ ธพิ ลต่อ ระบบกำรปกครองของชำวอินเดียในสมยั รำชวงศ์โมริยะ) โดยเฉพำะระบบ กษัตริย์และกำรจดั ตัง้ รฐั แบบอินเดียเข้ำมำเผยแพร่ให้ประชำกรในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ [๑๕๖]
ท่ีสาคัญที่สุดคือ ชาวอินเดียท่ีนับถือศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาพทุ ธได้นาศาสนาของตนเข้ามาเผยแผ่ให้ชาวพืน้ เมืองด้วย และ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙ ซ่ึงตรงกบั ช่วงสมยั อินโด-โรมนั ของอินเดียอนั เป็ นช่วงท่ีอินเดียมีกำรติดต่อค้ำขำยกับชำวโรมันละกับดินแดนเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้อย่ำงเป็นล่ำเป็นสนั โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ พ่อคำ้ ชำวพุทธจำก ศนู ยก์ ลำงพุทธศำสนำในบรเิ วณล่มุ แมน่ ้ำกฤษณำ-โคทำวรี ภำยใต้กำรอุปถมั ภ์ ของรำชวงศ์ศำตวำหนะ (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๘) และสืบต่อโดยรำชวงศ์ อกิ ษวำกุ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๘ – ๑๐) ไดม้ บี ทบำทสำคญั ทงั้ ดำ้ นกำรคำ้ และกำร เผยแผพ่ ทุ ธศำสนำในดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ นอกจำกน้ีชำวอนิ เดยี ไดน้ ำรปู แบบตวั อกั ษรแบบท่นี ิยมใชใ้ นอนิ เดยี ภำคใตใ้ นช่วงสมยั ของรำชวงศป์ ัลลวะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๒) เขำ้ มำใชใ้ น ดนิ แดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ดงั ได้พบจำรกึ โบรำณรุ่นแรกท่ีใช้ตวั อกั ษร ดงั กล่ำวในบริเวณเมืองโบรำณแรกรบั วฒั นธรรมอินเดียในดินแดนเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ นอกจำกน้ีภำษำสนั สกฤตซง่ึ นิยมใช้เป็นภำษำทำงรำชกำร และเป็นภำษำท่ีใช้ในคมั ภีร์ของศำสนำพรำหมณ์ และศำสนำพุทธ (นิกำย มหำยำน) ได้กลำยเป็ นภำษำทำงรำชกำรในรฐั โบรำณท่ีได้รับอิทธิพล วฒั นธรรมอินเดยี ส่วนภำษำบำลซี ่ึงเป็นภำษำท่ใี ช้ในพระไตรปิฎกของพุทธ ศำสนำนิกำยเถรวำท ไดเ้ ขำ้ มำปรำกฏในจำรกึ หลกั ธรรมคำสอนในพุทธศำสนำ ทเ่ี จรญิ รงุ่ เรอื งอยใู่ นรฐั จำ่ งๆ โดยเฉพำะในรฐั ทวำรวดี รฐั โบราณแรกรบั วฒั นธรรมอินเดีย รฐั โบรำณทเ่ี ป็นทร่ี จู้ กั กนั ดมี รี ฐั ฟูนนั เจนละ ทวำรวดี และศรวี ชิ ยั ฟนู ัน เร่อื งรำวเก่ียวกบั รฐั ฟูนันได้จำกบนั ทึกของทูตจนี ๒ คน คอื คงั ไถ และจูยิง (สมยั สำมก๊ก) ซ่ึงเดนิ ทำงไปฟูนันในช่วงกลำงคริสต์ศตวรรษท่ี ๓ (ปลำยพุทธศตวรรษท่ี ๘) แต่ต้นฉบับหำยไปแล้วเหลือแต่กำรอ้ำงอิงของ นกั ประวตั ศิ ำสตรร์ ุ่นหลงั จนี เรยี กฟูนนั วำ่ บุยหนำ ซง่ึ เพย้ี นมำจำกคำวำ่ บนัม [๑๕๗]
(บนัมเป็ นภำษำเขมรโบรำณแปลว่ำภูเขำ) และชำวฟูนันเรียกประมุขว่ำ กุรงุ นมั แปลวำ่ กษตั รยิ แ์ หง่ ภเู ขำ (ตรงกบั ภำษำสนั สกฤตวำ่ ไศลรำช) ปฐมกษตั รยิ ข์ องฟูนนั คอื พรำหมณ์โกณฑญั ญะจำกอนิ เดยี มำสมรส กบั ชำวพน้ื เทอื งซ่งึ เป็นธดิ ำพญำนำคช่อื ว่ำนำงนำคโสมำ (นำงนำค ๙ เศยี ร) และให้กำเนิดทำยำทหลำยองค์ เช่น ฟันจนั ฟันขุน ฟันซิมนั ผู้ปกครองฟูนัน สบื ต่อมำ (นิยำยเก่ยี วกบั ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งกษตั รยิ ์และนำงนำคกลำยเป็น พธิ ศี กั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องกษตั รยิ เ์ ขมรสมยั เมอื งพระนคร) อำณ ำเขตของฟู นันกว้ำงขวำงมำกครอบคลุมพ้ืนท่ีบริเวณ ปำกแมน่ ้ำโขง (เวยี ดนำมใต)้ และแมน่ ้ำโขงตอนใต้ (กมั พชู ำ) มเี มอื งออกแก้ว (ตะวนั ออกเฉียงใต้ของเวยี ดนำม) เป็นเมอื งท่ำและมเี มอื งหลวงอยทู่ ่เี มอื งเถมู (เมืองวยำธปุระใกล้เขำบำพนมในกัมพูชำ) อย่ำงไรก็ตำมทำยำทของ โกณฑญั ญะได้ขยำยอำณำเขตของฟูนันออกไปโดยเฉพำะพระเจ้ำฟันซิมนั ซง่ึ ปกครองในช่วงครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๓ สำมำรถปรำบปรำมรฐั ต่ำงๆ ถงึ ๑๐ รฐั ท่ีสำคญั คือเตียนซุน (ตุนซุน) ซ่ึงสนั นิษฐำนว่ำอยู่ในแหลมมลำยู ส่วนรฐั จนิ หลนิ รฐั สดุ ทำ้ ยท่พี ระองคป์ รำบไดน้ นั้ นกั วชิ ำกำรสนั นิษฐำนว่ำอยทู่ อ่ี ย่ทู อง ด้วยข้อสันนิษฐำนดังกล่ำวทำให้เช่ือกันว่ำอำณำเขตของฟูนันครอบคลุม ลุ่มแมน่ ้ำเจำ้ พระยำและแหลมมลำย๓ู กษัตริย์ฟูนันมีกำรติดต่อกับต่ำงประเทศ ทัง้ กับอินเดียบริเวณ ลุ่มแม่น้ำคงคำและจีนตงั้ แต่ครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๓ และในครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๕ ได้ส่งพ่อค้ำไปค้ำขำยยงั ประเทศจนี ท่ีเมืองกวำงตุ้ง กษตั รยิ ์องค์สุดท้ำยคือ รทุ รวรมนั ถูกปฐมกษตั รยิ ์แห่งเจนละ คอื ภววรมนั โค่นอำนำจโดยยกทพั มำตี วยำธปรุ ะแตกในรำว ค.ศ. ๕๕๐ ดำ้ นคตศิ ำสนำในรฐั ฟูนันนัน้ ชนชนั้ ปกครองนับถือศำสนำพรำหมณ์ (ไศวนิกำย) ส่วนชำวพน้ื เมอื งมที งั้ ท่นี ับถอื ศำสนำพรำหมณ์ (ไวษณพนิกำย) และศำสนำพุทธนิกำยหนิ ยำนทใ่ี ช้คมั ภรี ภ์ ำษำสนั สกฤต (นิกำยสรรวำสตวิ ำท) ๓ ขอ้ สนั นษิ ฐำนน้ยี งั หำขอ้ ยตุ ไิ มไ่ ด้ คงตอ้ งศกึ ษำกนั ต่อไป [๑๕๘]
สำหรบั งำนศิลปกรรมเน่ืองในศำสนำท่ีเหลอื อยู่คอื ฐำนอำคำรสมยั ก่อนเมอื ง พระนคร รวมทงั้ เทวรูปพระนำรำยณ์ พระหรหิ ระและพระพุทธรูปสมยั ก่อน เมอื งพระนครทเ่ี หลอื อยใู่ นกมั พชู ำ ภำพท่ี ๙ เทวรปู พระวษิ ณุ ๘ กร จำกพนมดำ ประเทศกมั พชู ำ ศลิ ปะเขมรสมยั กอ่ นเมอื งพระนคร (ฟูนนั ) [๑๕๙]
จำกบนั ทึกของจีนทำให้ทรำบว่ำชำวเมืองผิวดำ ผมหยกิ นุ่งโสร่ง สวมตุ้มหูท่ที ำดว้ ยดบี ุกสวมกำไลและแหวนทองคำ ชำวเมอื งมคี วำมสำมำรถ ดำ้ นโลหกรรม สำมำรถหล่อแหวน กำไลด้วยทองคำ และผลิตตุ้มหูท่ที ำด้วย ดบี ุก ใช้ช้ำงเป็นพำหนะทำงบก และใช้เรอื ขนำดยำวรำว ๘๐ – ๙๐ ฟุตเป็น พำหนะทำงน้ำ ส่วนกำรละเล่นของชำวเมืองนิยมเล่นกีฬำชนไก่ ชนหมู สว่ นพธิ ปี ลงศพของชำวฟูนนั นนั้ เหมอื นกบั พธิ ปี ลงศพของชำวอนิ เดยี เจนละ ประวตั ิศำสตร์รำชวงศ์สุย (ค.ศ. ๕๘๙ – ๖๑๘) ของจีนกล่ำวว่ำ อำณำจกั รเจนละตงั้ อยูท่ ำงตะวนั ตกของอำณำจกั รหลนิ ย่ี (จำมปำ) ซ่งึ แต่เดมิ เป็นเมืองข้นึ ของอำณำจกั รฟูนัน ต่อมำในรำว ค.ศ. ๕๕๐ พระเจ้ำภววรมนั ปฐมกษตั รยิ ์ของเจนละยดึ วยำธปุระจำกรุทรวรมนั (กษตั รยิ ์องคส์ ุดท้ำยของ ฟูนัน) ต่อมำพระอนุชำของภววรมนั คือจิตรเสน (เม่อื ครองรำชย์ได้นำมว่ำ มเหนทรวรมนั ) ไดเ้ ขำ้ ยดึ ฟูนนั และปรำบได้ นอกจำกนนั้ ยงั ไดข้ ยำยอำณำเขต ของเจนละออกไปอย่ำงกว้ำงขวำง ตีได้ลุ่มแม่น้ำมูลตอนใต้และแม่น้ำโขง (ไดจ้ ำรกึ ไวต้ ำมรมิ ฝัง่ แมน่ ้ำโขง) รำชธำนีของเจนละเดมิ ช่อื เศรษฐปรุ ะ ตงั้ อยู่บรเิ วณเมอื งจำปำศกั ดิ ์ (ประเทศลำว) ใกลร้ ำชธำนีของเจนละมภี ูเขำลูกหน่ึง บนภูเขำมวี ิหำรทส่ี รำ้ งไว้ เพ่ือุทิศถวำยภทั เรศวร (ช่ือภทั รเรศวรน้ีตรงกบั ช่ือศิวลึงค์ท่ีกษัตรยิ ์จำมปำ สร้ำงไว้ท่ีมิเซิน เม่ือคริสต์ศตวรรษท่ี ๔) ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ ลงควำมเห็นว่ำภูเขำลูกน้ีคอื ภูเขำวดั ภู ในบรเิ วณเมืองจำปำศกั ดิ ์ เพรำะบน ยอดของภูเขำลูกน้ีมศี วิ ลึงคข์ นำดใหญ่ประดษิ ฐำนอยู่ ซง่ึ จนี เรยี กภูเขำลูกน้ีว่ำ ลิง-เคีย-โป-โป (ลิงคปำรวตะ) นักวิชำกำรสันนิษฐำนว่ำเม่ือสร้ำงเมือง เศรษฐปรุ ะขน้ึ นนั้ ทเ่ี ชงิ เขำวดั ภูคงจะมลี ทั ธทิ น่ี บั ถอื ภทั เรศวรอยแู่ ลว้ อศี ำนวรมนั (ค.ศ. ๖๑๑ – ๖๒๙) โอรสของจติ รเสน ยำ้ ยเมอื งหลวง ไปอยู่ท่อี ีศำนปุระ (อยู่ทำงตะวนั ตกเฉียงเหนือของเมอื งกำปงธมห่ำงออกไป รำว ๓๐ กโิ ลเมตร) ซง่ึ น่ำจะตงั้ อยใู่ นบรเิ วณกลุ่มโบรำณสถำนสมโบรไ์ พรกุก [๑๖๐]
ภำพท่ี ๑๐ โบรำณสถำนทว่ี ดั ภู แขวงจำปำศกั ดิ์ทำงตอนใตข้ องประเทศลำว ภำพท่ี ๑๑ โบรำณสถำนทส่ี มโบรไ์ พรกกุ ประเทศกมั พชู ำ [๑๖๑]
ค.ศ. ๗๐๖ เจนละ แบ่งออกเป็ น เจนละบก (Land Chenla) หรือ เจนละบน และเจนละน้ำ (Water Chenla) หรอื เจนละล่ำง (คอื ฟูนนั เก่ำ) ต่อมำ เจนละล่ำงถูกชวำตีแตก (สมัยพระเจ้ำสญั ชัย) ในรำวคริสต์ศตวรรษท่ี ๘ พระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๒ เสดจ็ มำจำกชวำและประกำศอสิ รภำพของกมั พูชำจำก ชวำและสรำ้ งอำณำจกั รกมั พชู ำสมยั เมอื งพระนครขน้ึ สำหรบั อำรยธรรมชำวเจนละนนั้ อำจกล่ำวไดว้ ำ่ เจนละเป็นทำยำท ของฟูนนั ในดำ้ นอำรยธรรมซง่ึ รบั มำจำกอนิ เดยี กาเนิดและพฒั นาการทางสงั คมและวฒั นธรรมในสมยั ทวารวดี จำกกำรศึกษำหลักฐำนทำงโบรำณคดีได้ผลสรุปว่ำ พ้ืนท่ีด้ำน ตะวนั ตกของภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทยในบรเิ วณลมุ่ แมน่ ้ำแควน้อย – แควใหญ่ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง – ท่ำจีน ซ่ึงครอบคลุมพ้นื ท่ีจงั หวดั กำญจนบุรี รำชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และพ้ืนท่ีด้ำนตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ ำ บำงปะกงมีร่องรอยกำรตงั้ ถ่ินฐำนของชุมชนโบรำณในสงั คมเกษตรกรรม มำตงั้ แต่ช่วง ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ ต่อมำในสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำยหรอื ในยุคโลหะ (๓,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ ) ไดม้ กี ำรขยำยตวั ของประชำกรไปยงั พน้ื ทต่ี ่ำงๆ ในบรเิ วณ ภำคกลำงตอนล่ำงมำกข้นึ เน่ืองจำกพ้ืนท่ีบรเิ วณน้ีเป็นพ้ืนท่ีรำบลุ่มแม่น้ำท่ี กว้ำงใหญ่ ครอบคลุมบรเิ วณตงั้ แต่จงั หวดั นครสวรรค์ลงไปจดอ่ำวไทยเป็น พน้ื ท่ดี นิ ตะกอนจำกแม่น้ำเจำ้ พระยำ แม่น้ำแม่กลอง – ท่ำจนี แม่น้ำลพบุรี – ป่ ำสกั และแม่น้ำบำงปะกง ซ่ึงจดั เป็นพ้นื ท่ที ่ีเหมำะสมสำหรบั กำรเพำะปลูก โดยเฉพำะกำรทำนำขำ้ วทต่ี อ้ งอำศยั น้ำท่วมถงึ นอกจำกน้ีพน้ื ท่ีบรเิ วณอำเภอ โคกสำโรงและอำเภอเมอื ง จงั หวดั ลพบุรี ยงั มแี หล่งแร่ทองแดงและเหล็กใน ปรมิ ำณมำกพอทจ่ี ะนำมำใชท้ ำเคร่อื งมอื เคร่อื งใชแ้ ละเครอ่ื งประดบั ได้ ด้วยควำมอุดมสมบูรณ์ทำงทรพั ยำกรทงั้ ด้ำนกำรเกษตรและด้ำน โลหกรรม พ้ืนท่ีภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทยจงึ มีประชำกรเช้ือสำย มองโกลอยด์หลำยกลุ่มทยอยกันเข้ำมำตัง้ ถ่ินฐำนกันอย่ำงหนำแน่นโดย [๑๖๒]
กระจำยตัวอยู่ทงั้ ทำงด้ำนตะวนั ตกและด้ำนตะวนั ออกของแม่น้ำเจ้ำพระยำ กลุ่มชนด้ำนตะวันตกจะตัง้ ถ่ินฐำนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแม่กลอง – ท่ำจีน สว่ นกลมุ่ ชนดำ้ นตะวนั ออกของแม่น้ำเจำ้ พระยำจะรวมกลุ่มกนั อยู่ ๒ กลุ่มใหญ่ คอื กลุ่มชนบรเิ วณลุ่มแม่น้ำลพบุรี – ป่ ำสกั และกลุ่มชุมชนบรเิ วณลุ่มแม่น้ำ บำงปะกง อำชีพหลกั ของชุมชนดงั กล่ำวคอื กำรเกษตรโดยเฉพำะกำรทำนำ ขำ้ วท่ตี ้องอำศยั น้ำท่วมถงึ นอกจำกกำรเกษตรแล้วกลุ่มชนลุ่มแม่น้ำลพบุรี – ป่ ำสกั ยงั มีควำมสำมำรถดำ้ นกำรถลุงโลหะ (ทองแดงและเหล็ก) และส่งเป็น สินค้ำออกในรูปของสินแร่อีกด้วย ส่วนกลุ่มชุมชนลุ่มแม่น้ำบำงปะกงนัน้ นอกจำกจะมคี วำมสำมำรถดำ้ นกำรประมงแล้ว ยงั สำมำรถนำทรพั ยำกรท่ไี ด้ จำกทะเลเช่นเปลือกหอย มำทำเป็นเคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ เคร่อื งประดบั และส่ง เป็นสนิ คำ้ ออกดว้ ย กำรติดต่อแลกเปลย่ี นสนิ ค้ำกนั ระหวำ่ งกลุ่มชนทงั้ สำมกลุ่ม โดยใช้ เสน้ ทำงทงั้ ทำงบกและทำงน้ำ ซ่งึ รวมทงั้ กำรล่องไปตำมลำน้ำและกำรแล่นเรอื เลยี บชำยฝัง่ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้นนั้ ปรำกฏเด่นชดั มำตงั้ แต่ช่วง ๓,๐๐๐ ปีมำแลว้ และในชว่ ง ๕๐๐ ปีก่อน ค.ศ. (หรอื รำว ๒,๐๐๐ ปีมำแลว้ ) กลุ่มชนใน ภูมภิ ำคน้ีไดม้ กี ำรตดิ ต่อแลกเปล่ยี นสนิ คำ้ กบั กลุ่มชนร่วมสมยั ในเวยี ดนำมและ จนี ตอนใต้ ในขณะเดยี วกนั ไดเ้ รม่ิ ติดต่อคำ้ ขำยกบั กลุ่มประเทศทำงตะวนั ตก โดยเฉพำะกับประเทศอินเดียและกลุ่มประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนและ เปอร์เซีย ซ่ึงปรำกฏหลักฐำนเด่นชัดในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๓ (รำว ๓๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) ศูนย์กลำงกำรค้ำสำคญั ในช่วงน้ีอยู่ในบรเิ วณลุ่มแม่น้ำแควน้อย ซ่ึงครอบคลุมพ้ืนท่ีในเขตอำเภอไทรโยค (แหล่งโบรำณคดีริมแควน้อย แหล่งโบรำณคดบี ้ำนเก่ำ) และในเขตอำเภอพนมทวน (แหล่งโบรำณคดบี ้ำน ดอนตำเพชร) และยงั พบหลกั ฐำนท่เี ด่นชดั อกี ในเขตอำเภอเมอื ง จงั หวดั ลพบุรี ทแ่ี หล่งโบรำณคดศี ูนยก์ ำรทหำรปืนใหญ่ กล่ำวไดว้ ำ่ แหล่งโบรำณคดบี ้ำนดอน ตำเพชรและแหล่งโบรำณคดที ่ศี ูนยก์ ำรทหำรปืนใหญ่คงเป็นศูนยก์ ลำงกำรค้ำ ของพ่อคำ้ อนิ เดยี ในช่วงน้ี ซง่ึ ตรงกบั สมยั ยุคเหลก็ ตอนปลำยหรอื สมยั รำชวงศ์ โมรยิ ะ – ศุงคะของอนิ เดยี พทุ ธศตวรรษท่ี ๓ – ๔) [๑๖๓]
ไดม้ กี ำรเพมิ่ ปรมิ ำณกำรค้ำระหว่ำงประชำกรในภำคกลำงตอนล่ำง ของไทยกบั พ่อค้ำจำกโลกตะวนั ตก (อินเดยี และกลุ่มประเทศแถบเมดเิ ตอร์ เรเนียนรวมทงั้ เปอรเ์ ซยี ) ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๕ – ๙ ซง่ึ ตรงกบั สมยั อนิ โด – โรมนั ของอนิ เดียนัน้ สนิ ค้ำจำกโลกตะวันตกซ่ึงส่วนใหญ่เป็นสินค้ำจำอินเดีย โรมนั สนิ คำ้ เลียนแบบสนิ คำ้ โรมนั ไดห้ ลงั ่ ไหลเขำ้ มำยงั ศูนย์กลำงกำรค้ำใหญ่ และศูนย์กลำงกำรค้ำย่อย ซ่ึงกระจำยอยู่ในพ้ืนท่ีภำคกลำงตอนล่ำงของ ประเทศไทยทงั้ ในบรเิ วณลุ่มแม่น้ำแม่กลอง – ท่ำจนี (แหล่งโบรำณคดพี งตกึ เมอื งโบรำณอู่ทอง เมืองนครปฐมโบรำณ) ในบรเิ วณลุ่มแมน่ ้ำลพบุรี – ป่ ำสกั (เมอื งโบรำณจนั เสน แหล่งโบรำณคดเี นินมะกอก แหล่งโบรำณคดที ่ำแค) และ ในบรเิ วณลุ่มแมน่ ้ำบำงปะกง (แหล่งโบรำณคดโี คกระกำเมอื งศรมี โหสถ) ในบรเิ วณศูนยก์ ลำงกำรคำ้ ดงั กล่ำวเหล่ำน้ี ไดม้ ชี ำวอนิ เดยี ทงั้ ท่เี ป็น พ่อค้ำ และนักบวชทงั้ ในศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธติดตำมเข้ำมำตงั้ ถนิ่ ฐำน ชำวอนิ เดยี น้ีไดน้ ำเอำศำสนำควำมเช่อื ขนบธรรมเนียมประเพณีทเ่ี คย ถือปฏิบัติในประเทศตนเข้ำมำเผยแพร่จนเป็ นท่ีศรทั ธำของชำวพ้ืนเมือง โดยเฉพำะวฒั นธรรมของชำวพุทธมสี ่วนช่วยเสรมิ สร้ำงวฒั นธรรมทวำรวดี ซ่งึ มศี ูนยก์ ลำงอยู่ในบรเิ วณลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำในสมยั แรกเรมิ่ ประวตั ศิ ำสตร์ ของประเทศไทย รปู แบบการตงั้ ถ่ินฐาน ตงั้ แต่พุทธศตวรรษท่ี ๙ – ๑๐ เป็นต้นมำ ประชำกรบรเิ วณแมน่ ้ำเจำ้ พระยำเรม่ิ คนุ้ เคยกบั วฒั นธรรมอนิ เดยี เรม่ิ มกี ำรจดั ระเบียบสงั คมแบบสงั คมอินเดยี สำหรบั ชุมชนขนำดใหญ่ท่ีตงั้ ถิ่นฐำนอยู่ใกล้ แมน่ ้ำลำใหญ่ เช่น ลมุ่ แม่น้ำแมก่ ลอง – ท่ำจนี ลุ่มแมน่ ้ำลพบุรี – ป่ำสกั และลุ่ม แมน่ ้ำบำงปะกง ไดม้ กี ำรสรำ้ งคนู ้ำคนั ดนิ ล้อมรอบเมอื งเพอ่ื ป้องกนั น้ำท่วมและ เพ่อื ป้องกนั ขำ้ ศกึ รวมทงั้ เพ่อื ผลประโยชน์ในกำรเกษตร กำรคมนำคมทำงน้ำ ซ่งึ คล้ำยคลงึ กับรูปแบบกำรตงั้ ถ่ินฐำนของชำวอินเดยี ท่ีตงั้ ถนิ่ ฐำนอยู่บรเิ วณ แม่น้ ำคงคำ – ยมุนำ และลุ่มแม่น้ ำกฤษณำ – โคทำวรี ตัง้ แต่สมัยก่อน ประวตั ิศำสตร์ตอนปลำยหรือในช่วงยุคเหล็กตอนต้นเป็นต้นมำจนถึงสมัย ประวตั ิศำสตร์ จงึ มีควำมเป็นไปได้ว่ำชำวพ้นื เมอื งไดน้ ำแนวคดิ และรูปแบบ [๑๖๔]
กำรตัง้ ถิ่นฐำนของชำวอินเดียมำปรับใช้เน่ืองจำกมีสภำพภูมิประเทศท่ี คล้ำยคลงึ กนั และยงั ได้พบว่ำเมืองสำคญั ๆ เช่นเมืองอู่ทองมีกำรสร้ำงป้อม ปรำกำร (ดว้ ยศลิ ำแลง) อยบู่ นคนั ดนิ อกี ดว้ ย ภำพท่ี ๑๒ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณเมอื งโบรำณอ่ทู อง (ถ่ำยเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๖) [๑๖๕]
นอกจำกรปู แบบกำรตงั้ ถิ่นฐำนแล้ว ชำวอนิ เดยี ยงั ไดน้ ำระบบสงั คม แบบอนิ เดยี ท่มี พี ฒั นำกำรมำจำกกำรผสมผสำนกนั ระหว่ำงวฒั นธรรมอนิ เดยี กบั วฒั นธรรมต่ำงชำติ อำทิ กรกี โรมนั และเปอรเ์ ซยี เขำ้ มำเผยแพรด่ ว้ ย ระบบเหรียญกษาปณ์ ชำวอนิ เดยี ไดน้ ำระบบเหรยี ญกษำปณ์แบบ ทช่ี ำวกรกี ชำวโรมนั และชำวเปอร์เซยี เคยใชใ้ นประเทศอนิ เดยี และในดนิ แดน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ดงั ไดพ้ บเหรยี ญโบรำณของอนิ เดยี ตำมเมอื งท่ำต่ำงๆ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เช่นท่ีออกแก้ว (เวียดนำมใต้) และท่ีคลองท่อม (จงั หวดั กระบใ่ี นภำคใต้ของไทย) ต่อมำไดม้ กี ำรผลติ เหรยี ญขน้ึ ใช้เองโดยผนู้ ำ ชำวทอ้ งถน่ิ ภำพท่ี ๑๓ เหรยี ญตรำมสี ญั ลกั ษณ์มงคล (สงั ขแ์ ละศรวี ตั สะ) พบจำกกำรขดุ ศกึ ษำโบรำณสถำนทค่ี อกชำ้ งดนิ เมอื งโบรำณอ่ทู อง สำหรบั เหรยี ญท่มี จี ำรกึ เท่ำทพ่ี บในขณะน้ีเป็นเหรยี ญของกษตั รยิ ์ใน รฐั ยะไข่และกษตั รยิ ์ในรฐั ทวำรวดีเท่ำนัน้ ส่วนเหรยี ญท่ีไม่มจี ำรกึ โดยเฉพำะ เหรยี ญทม่ี สี ญั ลกั ษณ์รูปสงั ข/์ ศรวี ตั สะและรูปพระอำทติ ย/์ ศรวี ตั สะทก่ี ระจำยอยู่ ตำมเมอื งโบรำณสมยั แรกเรมิ่ ประวตั ศิ ำสตรใ์ นเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซง่ึ เป็น กลุ่มเมอื งท่ไี ดร้ บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมอนิ เดยี เช่น เมอื งออกแก้ว (เวยี ดนำมใต้) [๑๖๖]
เมอื งโบรำณสมยั ทวำรวดี เมอื งโบรำณในรฐั มอญ (พม่ำตอนใต้) เมอื งโบรำณ ในรฐั ปยู (พมำ่ ตอนกลำง) นนั้ ไดพ้ บหลกั ฐำนเดน่ ชดั (ไดพ้ บแมพ่ มิ พเ์ หรยี ญทงั้ สองแบบ) ว่ำเป็นเหรยี ญท่ผี ลติ ขน้ึ โดยกษตั รยิ ท์ วำรวดี ซ่งึ มุ่งเน้นจะหำรำยได้ จำกกำรค้ำขำยกบั ชุมชนภำยนอก จงึ ต้องควบคุมโดยกำรผลิตเหรยี ญโลหะ มำตรฐำนเพ่อื ใชเ้ ป็นส่อื กลำงในกำรซอ้ื ขำยแลกเปลย่ี นสนิ คำ้ กบั รฐั ท่ใี กล้เคยี ง โดยไดข้ อยมื สญั ลกั ษณ์ของระบบกษตั รยิ ข์ องอนิ เดยี มำใช้ สญั ลกั ษณ์อนั เป็น มงคลท่ีส่อื ควำมหมำยถึงพระรำชอำนำจของกษตั รยิ ์ ควำมอุดมสมบูรณ์และ ควำมรุ่งเรอื งของรฐั หรืออำณำจกั รท่ีปกครองโดยพระมหำกษตั ริย์ผู้สงั ่ ผลิต เหรยี ญดงั กลำ่ ว ภำพท่ี ๑๔ เหรยี ญเงนิ มจี ำรกึ “ศฺรที ฺวารวตศี ฺวรปณุ ฺย” พบจำกกำรขดุ ศกึ ษำโบรำณสถำนทค่ี อกชำ้ งดนิ เมอื งโบรำณอ่ทู อง การใช้ตราประทับ เป็ นส่ือกลำงในกำรติดต่อส่ือสำรในระดับ สถำบนั ต่ำงๆ (สถำบนั กำรปกครอง สถำบนั ศำสนำ องคก์ รกำรคำ้ เอกชนหรอื หมู่คณะ) ในสมยั ทวำรวดกี เ็ ช่นเดียวกบั กำรใช้ระบบเหรยี ญกษำปณ์ คอื ชำว อินเดียได้นำตรำประทบั ของอินเดยี มำใช้เป็นส่อื กลำงกำรติดต่อ ส่อื สำรกับ ประชำกรในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตก้ ่อน ดงั ไดพ้ บตรำประทบั ของอนิ เดยี และ ของโรมนั ในบรเิ วณเมอื งท่ำโบรำณ เชน่ คลองท่อม จงั หวดั กระบ่ี (ภำคใตข้ อง ไทย) เมืองออกแก้ว (เวียดนำมตอนใต้) และในบริเวณเมืองโบรำณสมัย [๑๖๗]
ทวำรวดีหลำยแห่งโดยจะพบมำกบรเิ วณเมอื งนครปฐมโบรำณ เมอื งอู่ทอง (จงั หวดั สพุ รรณบุร)ี เมอื งพรหมทนิ (จงั หวดั ลพบุร)ี และเมอื งจนั เสน (จังหวดั นครสวรรค)์ ต่อมำผนู้ ำชุมชนชำวพน้ื เมอื งไดผ้ ลติ ตรำประทบั ขน้ึ ใชเ้ อง และใช้ สญั ลกั ษณ์ทส่ี ่อื ควำมหมำยในกลุ่มชำวพน้ื เมอื ง ภำพท่ี ๑๕ ตรำดนิ เผำรปู เรอื สำเภำ พบทเ่ี มอื งโบรำณนครปฐม จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร รปู แบบเคร่ืองมือเคร่ืองใช้และเครื่องประดบั เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ และเคร่อื งประดบั ของประชำกรชำวทวำรวดีส่วนใหญ่จะสืบต่อรูปแบบจำก รปู แบบนิยมของชุมชนก่อนประวตั ศิ ำสตรต์ อนปลำย (ยคุ เหลก็ ) อย่ำงไรกต็ ำม ไดพ้ บว่ำชำวอนิ เดยี ได้นำขำ้ วของเคร่อื งใช้แบบท่เี คยใช้ในบ้ำนเกดิ เมอื งนอน ของตนเองเข้ำมำใช้ในบริเวณท่ีพวกตนเข้ำมำตัง้ ถ่ินฐำนอยู่ ตัง้ แต่ช่วง สมัยอินโด – โรมัน (พุทธศตวรรษท่ี ๕ – ๙) สืบต่อมำจนถึงสมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษท่ี ๙ – ๑๑) และบำงแบบได้มีกำรผลิตเลียนแบบข้ึนใช้โดย ชำวพ้นื เมอื งสบื ต่อมำ เท่ำท่ีพบจำกกำรขุดค้นชนั้ วฒั นธรรมของชุมชนสมยั [๑๖๘]
ทวำรวดนี นั้ มเี บย้ี ดนิ เผำ ซง่ึ น่ำจะใชเ้ ป็นอปุ กรณ์กฬี ำ แผ่นดนิ เผำสำหรบั ขดั ผวิ (ใชแ้ ทนสบู่) และแท่งหนิ บดและหนิ บดทใ่ี ชบ้ ดเมลด็ พชื ภำพท่ี ๑๖ แท่นหนิ บด สมยั ทวำรวดี จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ สมเดจ็ พระนำรำยณ์ จงั หวดั ลพบุรี ภาชนะดิ นเผา สมัยทวำรวดีนั้นเป็ นภำชนะดินเผำประเภท เน้ือเคร่ืองดิน (earthenware) ภำชนะหลำยแบบได้สืบตอรูปแบบภำชนะ โบรำณท่ีเคยปรำกฏมำตงั้ แต่สมัยก่อนประวตั ิศำสตร์ เช่น จำนหรือชำมมี เชงิ สงู หมอ้ มสี นั หมอ้ ก้นกลม ไหขนำดต่ำงๆ ชำมและอ่ำงขนำดต่ำงๆ แต่กม็ ี หลำยรูปแบบท่ีรบั อิทธิพลมำจำกภำยนอก (อินเดียและโรมนั ) ท่ีเด่นชดั มี หม้อน้ำมพี วย (กุณฑ)ี หมอ้ น้ำปำกขวด (หม้อพรมน้ำ) ถ้วยมพี วย (ตะเกยี ง) และตะคนั [๑๖๙]
ภำพท่ี ๑๗ ชน้ิ สว่ นหมอ้ มพี วย (กุณฑ)ี พบจำกกำรขดุ คน้ ทเ่ี มอื งนครปฐมโบรำณ ส่วนเทคนิคกำรตกแต่งภำชนะดินเผำสมัยทวำรวดีนัน้ มีหลำย เทคนิค บำงเทคนิคสบื ต่อเทคนิคพน้ื เมอื ง เชน่ เทคนิคกำรขูดขดี เป็นลำยคล่ืน เทคนิคกำรตกแต่งด้วยลำยทำบเป็นลำยเชอื กหรอื เคร่อื งจกั สำน เทคนิคกำร กดด้วยหอยแครงหรือหอยโข่ง เป็นต้น บำงเทคนิครบั อิทธิพลจำกต่ำงชำติ (อินโด – โรมนั ) เช่น เทคนิคกำรตกแต่งภำชนะด้วยลำยประทับในกรอบ สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ เป็นรปู บุคคล รปู สตั ว์ และรปู ดอกไม้ ภำพท่ี ๑๘ เศษภำชนะดนิ เผำมลี ำยประทบั ในกรอบสเ่ี หลย่ี ม พบทเ่ี มอื งโบรำณจนั เสน จงั หวดั นครสวรรค์ [๑๗๐]
คติศาสนาและความเชื่อ กล่ำวได้ว่ำประชำกรชำวทวำรวดเี ป็น พุทธมำมกะท่ีเคร่งครดั มำก ดังปรำกฏหลักฐำนด้ำนศิลปกรรมเน่ืองใน พุทธศำสนำท่ีกระจำยตัวอยู่หนำแน่น ทัง้ ในพ้ืนท่ีท่ีเป็ นศูนย์กลำงของ รฐั ทวำรวดี (บรเิ วณภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทย) และพ้นื ท่ีท่วี ฒั นธรรม ทวำรวดแี ผ่ไปถึงโดยประชำกรชำวทวำรวดไี ดร้ บั วฒั นธรรมทำงพุทธศำสนำ (ทั้งนิกำยเถรวำทและนิกำยมหำยำน) จำกศูนย์กลำงพุทธศำสนำท่ี เจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในภูมภิ ำคต่ำงๆ ของประเทศอนิ เดยี เข้ำมำผสมผสำนกบั คติ ควำมเช่อื ของชำวพน้ื เมอื งและหล่อหลอมกนั จนเป็นรปู แบบเฉพำะของชุมชน อย่ำงไรกต็ ำมได้พบหลกั ฐำนว่ำประชำกรในรฐั ทวำรวดสี ่วนหน่ึงได้ นับถอื ศำสนำพรำหมณ์ (ทงั้ ไศวนิกำยและไวษณพนิกำย) ดว้ ย ซ่งึ ส่วนใหญ่ คงเป็นชุมชนพรำหมณ์ท่มี ที งั้ พอ่ คำ้ และนกั บวช ท่เี ดนิ ทำงเขำ้ มำคำ้ ขำยและตงั้ ถ่ินฐำนในบรเิ วณภำคใต้ (ในเขตจงั หวดั สุรำษฎร์ธำนีและนครศรธี รรมรำช) และในบริเวณภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทย เป็นต้นว่ำท่ีเมอื งโบรำณ อู่ทอง จงั หวดั สุพรรณบุรี ดงั ได้พบทงั้ ประติมำกรรมรูปพระวษิ ณุ (ไวษณพ นิกำย) และประตมิ ำกรรมรปู ศวิ ลงึ ค์ (ไศวนิกำย) เป็นจำนวนมำก สำหรบั คำถำมท่ีว่ำพุทธศำสนำไดเ้ รม่ิ เขำ้ มำประดษิ ฐำนในบรเิ วณ ภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทยตั้งแต่เม่ือไหร่ ถ้ำดูจำกหลักฐำน ประติมำกรรมจะพบว่ำหลกั ฐำนเก่ำแก่ท่ีสุดท่ีแสดงว่ำพุทธศำสนำได้เป็ น ทย่ี อมรบั นบั ถอื ของประชำกรชำวทวำรวดนี นั้ เรมิ่ ปรำกฏในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ หรอื ก่อนหน้ำนัน้ นัน่ คอื หลกั ฐำนดำ้ นประติมำกรรมดนิ เผำและปูนปั้นท่ใี ช้ ประดับศำสนสถำนประเภทสถูปและวิหำรในเมืองอู่ทอง ซ่ึงมีหลำยช้ินท่ี สบื ทอดรปู แบบมำจำกศลิ ปะอมรำวดตี อนปลำย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๘ – ๑๐) [๑๗๑]
ภำพท่ี ๑๙ เทวรปู พระวษิ ณุ (พระนำรำยณ์) ทศ่ี ำลเจำ้ พ่อพระยำจกั ร เมอื งโบรำณอ่ทู อง ภำพท่ี ๒๐ ภำพดนิ เผำรปู พระภกิ ษุอมุ้ บำตร พบทเ่ี มอื งโบรำณอ่ทู อง รปู แบบคลำ้ ยกบั ศลิ ปะอนิ เดยี ภำคใตแ้ บบอมรำวดี [๑๗๒]
สว่ นในบรเิ วณเมอื งท่ำโบรำณรว่ มสมยั แหง่ อ่นื ๆ ในเอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ เช่นท่ีออกแก้วในเวียดนำมตอนใต้ แม้ว่ำจะมีร่องรอยกำรติดต่อ คำ้ ขำยกบั อนิ เดยี อย่ำงเดน่ ชดั โดยเฉพำะในสมยั อนิ โด – โรมนั (พทุ ธศตวรรษ ท่ี ๕ – ๙) แต่พุทธศำสนำไม่ได้เจรญิ รุ่งเรอื งท่ีเมืองท่ำแห่งน้ี หำกแต่ศำสนำ พรำหมณ์ (ไวษณพนิกำย) ไดร้ บั ควำมนิยมมำกกวำ่ แมแ้ ต่ในประเทศพม่ำซ่งึ ไดอ้ ้ำงไวใ้ นศำสนวงศ์และพงศำวดำรเมอื ง สะเทิมว่ำสุวรรณ ภูมิท่ีพระเจ้ำอโศกมหำรำชส่งสมณ ทูตมำเผยแพร่ พระพุทธศำสนำในช่วงศตวรรษท่ี ๓ นัน้ คือเมอื งสะเทิม (Thaton) หรอื เมอื ง สุธมั มวดี (Sudhammavati) เมอื งหลวงและเมอื งหน้ำด่ำนของมอญ ซ่งึ ตงั้ อยู่ ทำงฝัง่ ตะวนั ออกของแม่น้ำอิรวดีตอนล่ำง แต่ในบรเิ วณเมอื งสะเทิมหรอื ใน พ้ืนท่ีส่วนอ่ืนๆ ในประเทศพม่ำยงั ไม่เคยพบหลกั ฐำนทำงด้ำนศิลปกรรม เน่ืองในพทุ ธศำสนำทม่ี อี ำยุอยู่ร่วมสมยั กบั ช่วงสมยั ท่พี ระเจำ้ อโศกมหำรำชส่ง สมณทตู มำเผยแผพ่ ทุ ธศำสนำยงั ดนิ แดงสวุ รรณภมู เิ ลย สว่ นท่เี มอื งไบกถ์ โน (เมอื งโบรำณของชำวปยูในพม่ำตอนกลำง) นนั้ แม้จะได้พบหลกั ฐำนว่ำอิทธิพลพุทธศำสนำจำกศูนย์กลำงพุทธศำสนำไป บรเิ วณลุ่มแม่น้ำกฤษณำ (พุทธศตวรรษท่ี ๘ – ๑๐) ไดแ้ ผ่เขำ้ มำยงั เมอื งน้ีดว้ ย แต่ดูเหมือนว่ำศำสนำพรำหมณ์ (ไวษณพนิกำย) จะมีอิทธิพลมำกกว่ำ ดงั ปรำกฏหลกั ฐำนเด่นชดั ในกำรตงั้ ช่ือเมือง เพรำะคำว่ำ “ไบก์ถโน” แปลว่ำ “เมืองพระวิษณุ ” แสดงว่ำเมืองไบก์ถโนได้กลำยเป็ นศูนย์กลำงศำสนำ พรำหมณ์ตงั้ แต่ชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ เป็นตน้ ไป สำหรบั เมืองอู่ทองนัน้ พุทธศำสนำได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมำและ กลำยเป็ นศูนย์กลำงพุทธศำสนำรุ่นแรกของรัฐทวำรวดี ซ่ึงรบั อิทธิพล พุทธศำสนำจำกศูนยก์ ลำงพุทธศำสนำท่ีเจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในบรเิ วณลุ่มแม่น้ำ กฤษณำ – โคทำวรี (ภำคตะวนั ออกเฉียงใต้ของอินเดีย) อย่ำงไรก็ตำมได้ พบว่ำพุทธศำสนำในลุ่มแม่น้ำกฤษณำ – โคทำวรี นัน้ มีกำรผสมผสำนกัน ระหว่ำงคติควำมเช่ือของนิกำยต่ำงๆ ท่ีแตกแยกออกมำจำกนิกำยเดิม (เถรวำท) และท่ีแตกแยกออกมำจำกนิกำยมหำสงั ฆกิ ะ (ต่อมำพฒั นำเป็ น [๑๗๓]
นิกำยมหำยำน) ซ่งึ ปรำกฏใหเ้ หน็ ควำมหลำกหลำยของรปู แบบสถูปวหิ ำร และ คตกิ ำรสรำ้ งพุทธสถำนท่ีเมอื งอมรำวดแี ละเมอื งนำคำรชุนโกณฑะ บำงนิกำย นิยมสร้ำงมหำเจดีย์ บำงนิกำยนิยมสร้ำงแต่เจติยสถำน บำงนิกำยไม่นิยม แม้แต่เจตยิ สถำน บำงนิกำยเรมิ่ สรำ้ งพระพุทธรูปแบบอนิ เดยี ภำคเหนือ จงึ มี ทงั้ กำรสรำ้ งสญั ลกั ษณ์แทนภำพเหตุกำรณ์สำคญั ในพทุ ธประวตั ไิ ปพรอ้ มๆ กบั กำรสรำ้ งพระพุทธรปู และในช่วงปลำยครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒ (พุทธศตวรรษท่ี ๘) นิกำยต่ำงๆ ท่เี รม่ิ ต้นด้วยกำรต่อต้ำนกำรสรำ้ งพระพุทธรูปก็ต้องยอมตำมกนั ไปหมด จึงมีกำรสร้ำงพระพุทธรูปข้ึนในเมืองอมรำวดีและเมืองนำคำรชุน โกณฑะ และตงั้ แต่ช่วงปลำยพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ เป็นตน้ ไปจนถงึ พุทธศตวรรษ ท่ี ๑๒ เมอื งอมรำวดแี ละเมอื งนำคำรชุนโกณฑะไดก้ ลำยเป็นศูนยก์ ลำงสำคญั และเป็ นศูนย์รวมของพระสงฆ์จำกต่ำงแดนท่ีมำจำกภูมิภำคต่ำงๆ ทัง้ ใน ประเทศอนิ เดยี เองและจำกลงั กำ ดังนั้นเม่ือพุทธศำสนำจำกศูนย์กลำงพุทธศำสนำในลุ่มแม่น้ ำ กฤษณำ – โคทำวรแี ผ่เข้ำมำยงั ดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ในช่วงสมยั อนิ โด – โรมนั ของอินเดยี นัน้ พุทธศำสนำนิกำยต่ำงๆ ทงั้ นิกำยเถรวำทจำก ลงั กำ นิกำยมหศิ ำสกะซ่ึงแยกออกมำจำกนิกำยเถรวำท และนิกำยต่ำงๆ ท่ี แยกออกมำจำกนิกำยมหำสงั ฆกิ ะ เช่น นิกำยไจตยกะ นิกำยพหุศรตู ิยะ และ นิกำยอประมหำวนิ ะ – เสลยี ะ จงึ ได้นำแนวคดิ และคติควำมเช่อื ในนิกำยของ ตนเข้ำมำปลูกฝังให้ชำวพ้ืนเมืองในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ดังได้พบว่ำ ประชำกรชำวทวำรวดีนิยมสร้ำงทัง้ สัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้ำคือ ธรรมจกั รขนำดใหญ่อยู่บนยอดเสำท่ีพบท่เี มอื งอู่ทอง ในขณะเดยี วกนั ก็นิยม สร้ำงพระพุทธรูปไว้บูชำ รวมทงั้ คติกำรสร้ำงมหำเจดีย์และกำรบูชำเจดยี ์ว่ำ เป็นบอ่ เกดิ แหง่ บญุ กุศล นอกจำกน้ียงั ไดพ้ บหลกั ฐำนว่ำอทิ ธพิ ลพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน ในภำคเหนือและภำคตะวนั ตกของอนิ เดยี ทเ่ี จรญิ รงุ่ เรอื งอยภู่ ำยใต้กำรอุปถมั ภ์ ของกษตั รยิ ์รำชวงศ์คุปตะ (พุทธศตวรรษท่ี ๙ – ๑๑) และหลงั คุปตะ (พุทธ ศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๕) ในสมยั รำชวงศ์กษตั รปะและรำชวงศไ์ มตรกะไดเ้ ขำ้ มำมี [๑๗๔]
อิทธิพลต่อคติควำมเช่ือและรูปแบบกำรสร้ำงงำนศิลปกรรมเน่ืองในพุทธ ศำสนำของประชำชนทวำรวดี เน่ืองจำกชำวพทุ ธในอนิ เดยี ในช่วงเวลำดงั กล่ำว จะนิยมสรำ้ งพระธำตุเจดยี เ์ พ่อื บรรจุพระบรมสำรรี กิ ธำตแุ ละอุทเทสกิ เจดยี ห์ รอื สถูปจำลอง ซ่งึ เป็นสถูปขนำดเลก็ ทน่ี ิยมสรำ้ งโดยนกั จำริกแสวงบุญท่เี ดนิ ทำง ไปนมัสกำรสถำนท่ีสถำนท่ีศักดิส์ ิทธิห์ รือสถำนท่ีสำคญั ทำงพุทธศำสนำ โดยนิยมสรำ้ งด้วยหนิ ดนิ เผำ หรอื โลหะ ไวใ้ นสถำนท่นี ัน้ ๆ เพ่อื เป็นกำรอุทิศ ใหพ้ ทุ ธศำสนำ ภำพท่ี ๒๑ ธรรมจกั ร แทน่ รองรบั และเสำ พบจำกกำรขดุ แต่งเจดยี ห์ มำยเลข 11 เมอื งโบรำณอ่ทู อง จงั หวดั สพุ รรณบุรี จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั สถำนแหง่ ชำติ อ่ทู อง [๑๗๕]
สว่ นคนจนจะนิยมทำเป็นแผน่ ดนิ เผำจำรกึ ดว้ ยคำถำเย ธมมำ ซง่ึ จดั วำ่ เป็นหวั ใจของพทุ ธศำสนำ หลวงจนี อจ้ี งิ ไดบ้ รรยำยไวว้ ่ำชำวพทุ ธในอนิ เดยี มี ควำมเช่ือว่ำหลักธรรมคำสอนในปฏิจจสมุปบำท หรือคำถำ เย ธมมำ ไว้ ภำยในพระพุทธรูปหรอื สถูปนัน้ ๆ ซ่ึงแสดงว่ำกำรบันทึกหลกั ธรรมคำสอน ในปฏิจจสมุปบำทสูตร หรอื คำถำเย ธมมำนัน้ จดั ว่ำมคี วำมสำคญั เทียบเท่ำ พระอฐั ธิ ำตุของพระพทุ ธเจำ้ ภำพท่ี ๒๒ พระพมิ พพ์ ุทธประวตั ติ อนมหำปำฏหิ ำรยิ ์ มจี ำรกึ คำถำเย ธมมำ พบทจ่ี งั หวดั นครปฐม จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร [๑๗๖]
ค ติ ค ว ำ ม เช่ือ ข อ ง ช ำ ว พุ ท ธ ใน อิน เดีย ใน ช่ ว งเว ล ำ ด ัง ก ล่ ำ ว ไ ด้ให้ อทิ ธพิ ลต่อชำวพุทธในลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำตอนล่ำงในช่วงสมยั ทวำรวดอี ย่ำง เด่นชดั ดงั ปรำกฏให้เห็นในหลกั ฐำนดำ้ นจำรกึ ซ่ึงจะพบในบรเิ วณภำคกลำง ตอนล่ำงของประเทศไทยในช่วงสมยั วฒั นธรรมทวำรวดเี จรญิ รงุ่ เรอื งอยู่ (เป็น จำรกึ ท่ีใช้รูปอกั ษรปัลลวะและใช้ภำษำบำลี) โดยจำรกึ ไว้บนพระธรรมจกั ร (บนฐำนรองรบั เสำ) บนเสำรองรบั ธรรมจกั ร และบนสว่ นต่ำงๆ ของธรรมจกั ร บนฐำนพระพุทธรูป บนพระพมิ พ์ บนสถูปจำลอง บนแท่งหนิ บนแผ่นอฐิ และ บนผนังถ้ำ จำรึกดังกล่ำวจะพบหนำแน่ นมำกในเขตจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี และลพบุรี ข้อควำมในจำรึกส่วนใหญ่ท่ีพบจะเป็ นคำถำเย ธมมำ (หวั ใจของพระพุทธศำสนำ) และข้อควำมเก่ียวกบั หลกั ธรรมคำสอน ท่ีคัดออกมำจำกพระไตรปิ ฎกฉบับภ ำษำบำลี ทัง้ ในพระสุตตันตปิ ฎก (ปฏจิ จสมปุ บำทสตู รและพระธรรมบท) และในวนิ ยั ปิฎก (มหำวรรค) ได้พบหลักฐำนว่ำสถูปหรือเจดีย์สมัยทวำรวดีหลำยแบบสืบต่อ รปู แบบและคตกิ ำรสร้ำงมำจำกสถูปเจดยี ส์ มยั คุปตะและหลงั คุปตะ ซ่ึงยงั คง สภำพให้เห็นในภูมิภำคต่ำงๆ ของอินเดียเป็ นต้นว่ำมหำสถูปบรรจุพระ สำรรี กิ ธำตุท่เี มอื งเดฟนิโมรใิ นแควน้ คชุ รำต (ภำคตะวนั ตก) ท่ีสรำ้ งข้นึ ภำยใต้ กำรอุปถัมภ์ของกษัตริย์รำชวงศ์กษัตรปะ (ชำวศกะ) สืบต่อโดยรำชวงศ์ ไมตรกะแห่งอำณำจกั รวลั ภีซ่ึงเป็นศูนย์กลำงพุทธศำสนำนิกำยสำมมิตียะ (แตกออกมำจำกนิกำยเถรวำท) ทเ่ี จรญิ รงุ่ เรอื งอยู่ทำงภำคตะวนั ตกของอนิ เดยี ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ – ๑๓ มหำสถูปท่เี มอื งเดฟนิรนิ ้ีน่ำจะเป็นต้นแบบของสถูปบำงแบบ (สถูป ทรงกลมบนฐำนส่ีเหล่ียมจตั ุรสั ) ท่ีปรำกฏอยู่ในเมืองโบรำณสมยั ทวำรวดี สว่ นควำมนิยมในกำรสรำ้ งสถูปบนฐำนสเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั ๒ ชนั้ ลดหลนั ่ กนั หรอื ชนั้ เดยี ว โดยมบี นั ไดดำ้ นหน่ึงด้ำนใด (สว่ นใหญ่จะเป็นด้ำนตะวนั ออก) ท่ปี รำกฏ ในภูมภิ ำคต่ำงๆ ของอนิ เดยี ในช่วงสมยั คปุ ตะถงึ หลงั คุปตะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๙ – ๑๓) ไดส้ ่งอทิ ธพิ ลมำยงั รฐั ทวำรวดดี ว้ ย และภำยในช่องหรอื ซุ้มดงั กล่ำว ประดบั ดว้ ยแผน่ ดนิ เผำเป็นภำพนูนต่ำรปู พระพทุ ธประทบั นงั ่ ปำงสมำธิ (แบบ [๑๗๗]
ทพ่ี บท่มี หำสถูปเดฟนิโมร)ิ นนั้ ตอ่ มำไดถ้ ูกแทนทโ่ี ดยภำพเล่ำเร่อื งตำ่ งๆ มที งั้ ภำพบุคคลในอิรยิ ำบถต่ำงๆ เช่น เทพ อมนุษยห์ รอื ก่งึ เทพ สตั วต์ ่ำงๆ มนุษย์ หรอื สตั วใ์ นจนิ ตนำกำร หรอื ในเทพนิยำย รปู ดอกไมใ้ บไมต้ ่ำงๆ ตวั อย่ำงแผ่น ภำพดนิ เผำท่ใี ช้ประดบั ฐำนสถูปหรอื พุทธสถำนท่ยี งั คงสภำพใหเ้ หน็ คอื แผ่น ภำพดนิ เผำท่ใี ช้ประดบั พุทธสถำนปหรรปุระท่เี มอื งไมนำมติ ในแควน้ เบงกอล (ปัจจุบนั อยใู่ นประเทศบงั คลำเทศซง่ึ แต่เดมิ คอื ปำกสี ถำนตะวนั ออก) ซ่งึ มอี ำยุ อยใู่ นช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ นอกจำกน้ีนำยดูปองตย์ งั ไดเ้ คยตงั้ ขอ้ สงั เกตุไว้ แล้วว่ำ แผนผงั วดั พระเมรุทว่ี ดั นครปฐมนนั้ อำจเปรยี บเทยี บไดก้ บั พุทธสถำน ปหรรปรุ ะ ภำพท่ี ๒๓ ภำพถ่ำยเก่ำภำพเลำ่ เรอ่ื งชำดกทฐ่ี ำนเจดยี จ์ ุลประโทน เมอื งนครปฐม (ทม่ี ำ: พพิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระปฐมเจดยี )์ [๑๗๘]
นอกจำกรปู แบบงำนประตมิ ำกรรมเน่ืองในพทุ ธศำสนำตำมคตคิ วำม เช่อื ของนิกำยเถรวำทแล้วรปู แบบประติมำกรรมควำมเช่อื ของนิกำยมหำยำน ได้เข้ำมำปรำกฏในงำนศิลปกรรมเน่ืองในพุทธศำสนำของประชำกำรชำว ทวำรวดี จำกหลกั ฐำนด้ำนประติมำกรรมท่ีเห็นเด่นชดั คอื ควำมนิยมในกำร สร้ำงพระพุทธรูปขนำดใหญ่ในอิริยำบถประทับนัง่ ห้อยพระบำทท่ีเมือง นครปฐมโบรำณและเมอื งรำชบุรี ซ่งึ จดั เป็นรปู แบบนิยมของชำวพทุ ธท่นี ับถอื นิกำยมหำยำนในอนิ เดียภำคเหนือ (ดงั ปรำกฏอยู่ท่เี มอื งสำรนำถ) และภำค ตะวนั ตก (ดงั ปรำกฏในถ้ำอชนั ตำและถ้ำเอลูลรำ่ เป็นตน้ ) ภำพท่ี ๒๔ พระพุทธรปู ประทบั นงั่ หอ้ ยพระบำท จำกวดั พระเมรุ เมอื งนครปฐม จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร [๑๗๙]
นอกจำกน้ียงั ได้พบพระพิมพ์ดินเผำท่ีแสดงภำพพุทธประวตั ิตอน มหำปำฏิหำรยิ แ์ ละตอนเทศนำพระสทั ธรรมปุณฑรกิ สูตรบนภูเขำคชิ กูฏตำม คตคิ วำมเช่อื ของนิกำยมหำยำน แพรก่ ระจำยอยตู่ ำมเมอื งโบรำณสมยั ทวำรวดี เกือบทุกเมืองโดยพบมำกท่ีเมืองนครปฐมโบรำณ เมืองอู่ทอง เมืองคูบัว จดั เป็นรปู แบบท่ไี ด้รบั ต้นแบบมำจำกอินเดยี สมยั หลงั คุปตะ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓ ซง่ึ ยงั ปรำกฏหลกั ฐำนอยใู่ นถ้ำกำรล์ แี ละถ้ำกนั เหร)ิ ภำพท่ี ๒๕ พระพมิ พพ์ ทุ ธประวตั ติ อนมหำปำฏหิ ำรยิ ์ มจี ำรกึ คำถำเย ธมมำ ภำษำบำลี พบทเ่ี มอื งโบรำณอ่ทู อง จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ อ่ทู อง พุทธศำสนิกชนชำวทวำรวดีไม่เพียงแต่จะสร้ำงประติมำกรรม เลยี นแบบงำนประตมิ ำกรรมเน่ืองในพุทธศำสนำของชำวอนิ เดยี เท่ำนนั้ แต่ยงั ไดค้ ดิ สรำ้ งรปู แบบใหมใ่ หส้ ่อื ควำมหมำยตำมควำมเขำ้ ใจของชมุ ชนชำวพทุ ธใน รัฐทวำรวดีเอง ซ่ึงได้รับอิทธิพลพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนตันตระท่ี เจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในอินเดยี ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภำยใต้กำรอุปถมั ภ์ของ [๑๘๐]
รำชวงศ์ปำละ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๔ – ๑๗) ดงั ปรำกฏงำนประติมำกรรมท่ี แสดงภำพพระพุทธเจ้ำประทับยืนเหนือพนัสบดี พระหตั ถ์ทัง้ สองทำปำง วติ รรกะ (แสดงธรรม) ทงั้ แบบประทบั อยอู่ งคเ์ ดยี ว หรอื มบี รวิ ำรเคยี งขำ้ ง ภำพท่ี ๒๖ พระพทุ ธรปู ประทบั เหนอื พนสั บดี ศลิ ปะทวำรวดี จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร แมว้ ำ่ อทิ ธพิ ลพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนจำกศูนยก์ ลำงพทุ ธศำสนำ ในอินเดียภำคเหนือและภำคตะวนั ตก ตลอดจนอิทธิพลพุทธศำสนำนิกำย มหำยำนตนั ตระจำกศูนยก์ ลำงพุทธศำสนำในอนิ เดยี ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จะไดแ้ ผ่เขำ้ มำในบรเิ วณภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทย และมอี ทิ ธพิ ลต่อ งำนศลิ ปกรรมเน่ืองในพทุ ธศำสนำในรฐั ทวำรวดี แต่ดูเหมอื นวำ่ ประชำกำรชำว ทวำรวดจี ะไม่คอ่ ยศรทั ธำในหลกั คำสอนของ ๒ นิกำยดงั กล่ำว หำกแต่ยงั ยดึ มนั ่ อยใู่ นหลกั ธรรมดงั้ เดมิ ของนิกำยเถรวำท ดงั ปรำกฏใหเ้ หน็ ในหลกั ฐำนดำ้ น จำรึก (เท่ำท่ีพบในขณะน้ี) ซ่ึงพบว่ำจะจำรกึ แต่หลักธรรมคำสอนในพุทธ ศำสนำทเ่ี ป็นภำษำบำลที ค่ี ดั ออกมำจำกพระไตรปิฎกฉบบั ภำษำบำลขี องนิกำย เถรวำททงั้ สน้ิ ระบบกษตั ริย์และรฐั จำกหลกั ฐำนด้ำนโบรำณวตั ถุท่หี ลงเหลอื อยู่ รวมทงั้ หลกั ฐำนดำ้ นโบรำณคดที ไ่ี ดจ้ ำกกำรสำรวจและขุดคน้ แหล่งโบรำณคดี และเมอื งโบรำณสมยั ทวำรวดใี นบรเิ วณภำคกลำงตอนล่ำงของประเทศไทย [๑๘๑]
นำไปสู่ขอ้ สรุปไดว้ ำ่ ชำวทวำรวดไี ดน้ ำแนวคดิ เกย่ี วกบั ระบบกษตั รยิ แ์ ละรฐั ของ ชำวอนิ เดยี มำเป็นแบบอยำ่ งในกำรจดั ตงั้ รฐั ทวำรวดี หลักฐำนท่ีแสดงว่ำมีกษัตริย์ปกครองรฐั ทวำรวดี คือกำรค้นพบ เหรยี ญเงนิ ทม่ี จี ำรกึ ว่ำ “ศรที วารวตศิ วรปุณยะ” ซง่ึ แปลวำ่ “พระเจำ้ ศรที วำรวดี ผมู้ บี ุญอนั ประเสรฐิ ” หรอื แปลว่ำ “กำรบุณยข์ องพระเจำ้ ศรที วำรวดี” กระจำย อยู่ตำมเมอื งโบรำณสมยั ทวำรวดใี นบรเิ วณภำคกลำงตอนลำ่ งของประเทศไทย นอกจำกน้ียงั พบวำ่ มกี ำรนำระบบเหรยี ญกษำปณ์มำใช้เป็นสอ่ื กลำงกำรคำ้ ขำย ดงั ได้พบเหรียญเงินไม่มีจำรึก (เป็ นเหรียญเงินท่ีทำด้วยเงินไม่บริสุทธิม์ ี ทองแดงผสม) ทม่ี สี ญั ลกั ษณ์เป็นรปู พระอำทติ ย์/ศรวี ตั สะและรูปสงั ข/์ ศรวี ตั สะ แพร่กระจำยอยู่ในเมอื งโบรำณรฐั ทวำรวดี และในเมอื งโบรำณร่วมสมยั ในรฐั อ่นื ๆในดนิ แดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้เช่น รฐั ปยู รฐั มอญ รฐั ฟูนัน เหรยี ญ ดงั กล่ำวเป็นเหรยี ญท่ผี ลติ ขน้ึ โดยกษตั รยิ แ์ ห่งรฐั ทวำรวดี โดยมจี ุดมุ่งหมำยท่ี จะควบคุมคำ่ เงนิ ในกำรคำ้ ขำยกบั ชุมชนภำยนอก โดยไดข้ อยมื สญั ลกั ษณ์ของ ระบบกษัตริย์ของอินเดียมำใช้ เน่ืองจำกสญั ลกั ษณ์ท่ีปรำกฏอยู่บนเหรียญ ดงั กล่ำวนนั้ เป็นสญั ลกั ษณ์อนั เป็นมลคลท่สี ่อื ควำมหมำยถงึ พระรำชอำนำจของ กษตั รยิ ์ ควำมอุดมสมบูรณ์และควำมรงุ่ เรอื งของรฐั หรอื อำณำจกั รท่ปี กครอง โดยพระมหำกษตั รยิ ผ์ สู้ งั ่ ใหผ้ ลติ เหรยี ญดงั กล่ำว นอกจำกกำรควบคุมรำยได้ท่มี ำจำกกำรค้ำแล้ว หน้ำท่ีของกษตั รยิ ์ ตำมคตขิ องชำวอนิ เดยี คอื มหี น้ำท่คี วบคุมระบบชลประทำน ผลผลติ ท่ไี ด้จำก กำรเพำะปลูกคือกำรจดั ระบบชลประทำนให้สอดคล้องกับรูปแบบกำรตัง้ ถิ่นฐำนโบรำณท่ีต้องอยู่ริมน้ำ เน่ืองจำกน้ำเป็ นปัจจยั สำคัญทัง้ ทำงด้ำน เกษตรกรรมและกำรคมนำคม แต่เน่ืองจำกต้องประสบปัญหำน้ำท่วมในหน้ำ น้ำหลำก ดังนัน้ ในกำรวำงผังเมืองจึงต้องสร้ำงคันดินและคูน้ำรอบเมือง เพ่อื ป้องกนั น้ำท่วมในหน้ำน้ำและเพ่อื ควำมสะดวกในกำรใช้น้ำจำกคเู มอื งเพ่อื กำรเกษตร ในขณะเดียวกนั ก็ใช้เป็นเส้นทำงคมนำคมและเป็นกำรป้องกัน ขำ้ ศกึ ไปในตวั ดว้ ย จงึ ไดพ้ บว่ำเมอื งใหญ่ๆ ทอ่ี ยู่ตำมลุ่มแมน่ ้ำแมก่ ลอง - ทำ่ จนี และแมน่ ้ำบำงปะกงนนั้ ต้องมกี ำรสรำ้ งคนู ้ำคนั ดนิ มำลอ้ มรอบเมอื งกนั ทุกเมอื ง [๑๘๒]
และตอ้ งมกี ำรขดุ คลองเพ่อื เช่อื มต่อคูเมอื งต่ำงๆ กบั แมน่ ้ำสำยรองทไ่ี ปบรรจบ แมน่ ้ำลำยใหญ่และออกไปทะเลไดท้ ุกเมอื ง ส่วนปรชั ญำกำรจดั ตัง้ รฐั ของกษัตริย์ทวำรวดีนั้นได้วำงอยู่บน รำกฐำนของปรชั ญำกำรจดั ตงั้ รฐั ของชำวอินเดียในระบบจกั รวรรดิ คือกำร ขยำยอำนำจไปครอบครองรัฐอ่ืนๆมำไว้ในรำชอำณำจกั รหรือจกั รวรรดิ ซง่ึ กษตั รยิ จ์ ะไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นจกั รพรรดแิ ต่เป็นจกั รพรรดติ ำมคตพิ ทุ ธศำสนำ คือพระพุทธเจ้ำจะปรำกฏพระองค์ในกัลป์ ต่ำงๆ ในจักรวำล เพ่ือช่วยนำ ส ัต ว์โ ล ก สู่ นิ พ พ ำ น เช่ น เดีย ว กับ จ ัก ร พ ร ร ดิผู้ ป ก ค ร อ ง จ ัก ร ว ำ ล ก็ ส ำ ม ำ ร ถ ปรำบปรำมและมชี ยั ต่อรฐั ทงั้ ปวงและปกครองอยำ่ งยตุ ธิ รรม หำกแต่กำรขยำยอำนำจกำรปกครองตำมคติจักรพรรดิในพุทธ ศำสนำนัน้ ไม่ใชก้ ำรปรำบปรำมดว้ ยกำลงั ทหำร ไม่ใช้ชยั ชนะจำกกำรสงครำม แตเ่ ป็น “ธรรมวชิ ยั ” คอื ชยั ชนะดว้ ยธรรม (อนั เป็นนโยบำยของพระเจำ้ อโศกใน กำรขยำยอำนำจกำรปกครอง) และขยำยอำณำจกั รของพระองคอ์ อกไปอยำ่ ง กว้ำงขวำง ครอบคลุมพ้นื ท่ีลุ่มแม่น้ำแม่กลอง - ท่ำจนี แม่น้ำลพบุรี - ป่ ำสกั และลุ่มแม่น้ำบำงปะกง โดยกำรนำหลกั ธรรมคำสงั ่ สอนในพุทธศำสนำไป ปลูกฝังให้ชำวเมืองดงั กล่ำวเหล่ำนัน้ เกิดควำมเล่ือมใสศรทั ธำ ดงั ปรำกฏ หลกั ฐำนดำ้ นศลิ ปกรรมเน่ืองในพทุ ธศำสนำทแ่ี พรก่ ระจำยอยตู่ ำมเมอื งโบรำณ ดงั กล่ำวเหล่ำนนั้ เป็นต้นว่ำ ธรรมจกั รและกวำงหมอบ พระพุทธรปู ท่สี ลกั จำก หนิ และหล่อจำกสำรดิ สถูป วหิ ำรต่ำงๆ ตลอดจนหลกั ธรรมคำสงั ่ สอนในพทุ ธ ศำสนำซง่ึ ปรำกฏเป็นจำรกึ อยบู่ นเสำหรอื บนวงล้อพระธรรมจกั ร นับว่ำกษตั รยิ ์ ทวำรวดปี ระสบควำมสำเรจ็ ในกำรใช้นโยบำย “ธรรมวชิ ยั ” ในกำรขยำยอำนำจ กำรปกครองและขยำยอำณำจกั รของพระองคอ์ อกไปไดอ้ ยำ่ งกวำ้ งขวำง นอกจำกจะป ลูกฝั งคติควำม เช่ือในพุท ธศำสนำให้ป ระชำชนในรฐั ของพระองค์แล้ว ยังประสบควำมสำเร็จในกำรเผยแผ่ศำสนำไปยงั ชุมชน ใกล้เคียงทงั้ ส่ที ิศ คือจำกศูนย์กลำงซ่ึงอยู่ทำงตะวนั ตกของแม่น้ำเจ้ำพระยำ (ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง - ท่ำจีน) ได้ขยำยออกไปทำงด้ำนตะวนั ออกของแม่น้ำ เจ้ำพระยำ (ลุ่มแม่น้ำลพบุรี - ป่ ำสกั ) จนถึงลุ่มแม่น้ำบำงปะกงและไปทำง [๑๘๓]
ตะวนั ออกเฉียงเหนือถงึ ลุ่มแมน่ ้ำมูล - ชี ส่วนทำงตอนเหนือขน้ึ ไปถงึ บรเิ วณท่ี รำบลุ่มแม่น้ำปิง (รฐั หรภิ ุญไชย) และทำงใต้ไปถึงเมืองยะรงั จงั หวดั ปัตตำนี นับวำ่ กษตั รยิ ท์ วำรวดไี ดป้ ฏบิ ตั ติ ำมคตจิ กั รพรรดใิ นคตพิ ทุ ธศำสนำผสมผสำน กบั คตจิ กั รพรรดใิ นศำสนำพรำหมณ์ทต่ี อ้ งมชี ยั ชนะทงั้ ๔ ทศิ (ทคิ วชิ ยนิ ) ภำพท่ี ๒๗ แผนทแ่ี สดงตำแหน่งชุมชนและเมอื งโบรำณในวฒั นธรรมสมยั ทวำรวดี [๑๘๔]
สำหรบั ฐำนะของกษตั รยิ ท์ วำรวดนี นั้ ไดพ้ บหลกั ฐำนโบรำณวตั ถุบำง ประเภทท่ีส่อื ควำมหมำยถึงพิธีกรรมต่ำงๆ ท่ีกษตั รยิ ์ต้องประกอบ เพ่ือยก ฐำนะของกษตั รยิ ใ์ ห้เทียบเท่ำเทพเจำ้ นัน่ คอื พิธรี ำชสูยะ (พธิ รี ำชำภิเษกของ กษตั รยิ ์อนิ เดยี ในสมยั โบรำณ) ดงั ไดพ้ บแผ่นหนิ รูปส่เี หลย่ี มผนื ผำ้ ทม่ี หี ลุมต้นื อยู่ตรงกลำงล้อมรอบดว้ ยกลบี บวั ๒ ชนั้ ตอนบนสลกั เป็นรูปกำรอภเิ ษกของ ศรหี รอื คชลกั ษมี ถดั ลงมำมรี ูปแส้ (จำมร) วชั ระ ขอสบั ช้ำง (องั ศุกะ) พดั โบก (วำลวชิ นี) ฉัตร ปลำและสงั ขอ์ ยำ่ งละคู่ มหี มอ้ น้ำ (ปูรณกลศ) อยูต่ อนล่ำงตรง มมุ ทงั้ ๔ ทำเป็นรปู ดอกบวั เสย้ี วเดยี ว แผน่ หนิ ดงั กล่ำวน้ีไดพ้ บทพ่ี ระปฐมเจดยี ์ จงั หวดั นครปฐม ซ่ึงอยู่ในสภำพท่ีสมบูรณ์ ส่วนท่ีพบท่ีเมืองดงคอน จงั หวดั ชยั นำท เป็นช้นิ ท่แี ตกหกั แผ่นหนิ ดงั กล่ำวทงั้ สองช้นิ น้ีน่ำจะเป็นแผ่นหนิ ท่ใี ช้ รองรบั หม้อน้ำ (ปูรณกลศ) เพ่อื ใช้สรงน้ำเทพและเทพี (อภิเษจนียะ) ในพิธี รำชสูยะหรือพิธรี ำชำภิเษกของกษัตรยิ ์ทวำรวดี และแผ่นหินท่ีคล้ำยกนั น้ี ได้เคยพบในรฐั ยะไข่ท่ีเมืองเวศำลี ซ่ึงได้พบทัง้ แผ่นหินและหม้อน้ำสำริด (ปูรณกลศ) ท่ีอยู่ในสภำพท่ีสมบูรณ์ นอกจำกน้ีกำรค้นพบลูกเต๋ำกระดูกรูป สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ ทแ่ี หล่งโบรำณคดเี นินมะกอก จงั หวดั ลพบุรี อำจส่อื ควำมหมำย วำ่ เป็นลกู เต๋ำทใ่ี ชใ้ นพธิ รี ำชสยู ะไดอ้ กี ดว้ ย ภำพท่ี ๒๘ แผน่ ดนิ เผำรปู คช-ลกั ษมแี ละสญั ลกั ษณ์มงคล พบทเ่ี มอื งโบรำณนครปฐม จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ พระนคร [๑๘๕]
สำหรบั กำรแบ่งส่วนกำรปกครองในรฐั ทวำรวดนี ัน้ อำจกล่ำวไดว้ ่ำ หลักฐำนท่ีเป็ นรูปธรรมท่ีให้ข้อมูลด้ำนน้ีคือข้อควำมจำกจำรึกบนฐำน พระพุทธรูปแบบทวำรวดที ่พี บท่วี ดั มหำธำตุ เมอื งลพบุรี ท่กี ล่ำวถึงกำรสรำ้ ง พระพุทธรปู โดยเจำ้ เมอื งซ่ึงเป็นโอรสของกษตั รยิ ์ ย่อมส่อื ควำมหมำยไดว้ ่ำมี กำรแบ่งส่วนกำรปกครองออกเป็ นหลำยเขต แต่ละเขตยังคงข้ึนตรงต่อ ส่วนกลำงโดยกษตั ริย์จะส่งตวั แทนมำปกครอง ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นเจ้ำชำย รชั ทำยำท โดยตำแหน่งเหล่ำน้ีมกั มชี ่อื ตำแหน่งท่ีต่อทำ้ ยดว้ ยคำว่ำ ปติ (pati) ซ่งึ แปลว่ำผูเ้ ป็นใหญ่ คอื หวั หน้ำหรอื เจำ้ เมอื งผูม้ อี ำนำจสงู สุดในกำรปกครอง ระดบั เมอื งท่มี กี ำรแบ่งส่วนรำชกำรเป็นส่วนต่ำงๆ ทค่ี ล้ำยคลงึ กบั รูปแบบกำร ปกครองของชำวอินเดีย แต่อำจจะมีช่ือเรียกท่ีแตกต่ำงกันไปตำมควำม เหมำะสม และเมืองลพบุรคี งมฐี ำนะเป็นเมอื งลูกหลวง ในขณะท่ีเมอื งอู่ทอง เป็นเมอื งหลวงรุ่นแรก (พุทธศตวรรษท่ี ๙ - ๑๒) และเมืองนครปฐมโบรำณ เป็นเมอื งหลวงรุ่นหลงั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๖) โดยวเิ ครำะห์ตำมหลกั ฐำน ทำงโบรำณคดี ด้ำนจำรึก ด้ำนเหรยี ญกษำปณ์ และด้ำนศิลปกรรมท่ีพบใน เมอื งทงั้ สอง (ดงั ไดก้ ลำ่ วไวแ้ ลว้ ) กาเนิดและพฒั นาการทางสงั คมและวฒั นธรรมในสมยั ศรีวิชยั คำวำ่ “ศรวี ชิ ยั ” ไดเ้ รม่ิ ปรำกฏขน้ึ ในประวตั ศิ ำสตรแ์ ละโบรำณคดขี อง ไทยเป็ นครงั้ แรกเม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๑ โดยศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ เป็ นผู้ บัญญัติข้ึน เน่ืองจำกท่ำนได้อ่ำนศิลำจำรกึ จำกวดั เสมำเมือง อำเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมรำช (ต่อมำให้หมำยเลขเป็ นศิลำจำรกึ หลกั ท่ี ๒๓ ใน หนังสือ “ประชุมศิลำจำรึกภำคท่ี ๒ : จำรึกทวำรวดี ศรีวิชัย ละโว้” ของ ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ ซ่ึงไดต้ ีพมิ พ์ใน พ.ศ. ๒๔๗๒ แต่มขี อ้ ขดั แย้งว่ำ ศลิ ำจำรกึ หลกั น้ีเดมิ อยู่ทว่ี ดั เวยี ง อำเภอไชยำ จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี) และท่ำน ได้ตีพิมพ์บทควำมเก่ียวกับศิลำจำรึกหลักน้ีใน พ.ศ. ๒๔๖๑ โดยให้ช่ือ บทควำมวำ่ “Le royaume de Çrivijaya” ตพี มิ พใ์ นวำรสำร BEFEO (Bullettin de L’Ecole Française d’Extrême Orient) เลม่ ท่ี ๑๘ [๑๘๖]
ต่อจำกนั้นคำว่ำ “ศรีวิชัย” ก็เป็ นท่ีรู้จกั กันโดยทัว่ ไป ทัง้ ในทำง ประวตั ศิ ำสตรใ์ นช่อื ของ “อำณำจกั รศรวี ชิ ยั ” และในทำงประวตั ศิ ำสตร์ศลิ ปะ ในช่อื ของ “ศลิ ปะแบบศรวี ชิ ยั ” ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ มีความเห็นว่าศูนย์กลางของ อาณาจกั รศรีวิชยั ซึ่งเจริญขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๘ นัน้ อยู่ท่ี เมืองปาเล็มบงั เกาะสุมาตรา ประเทศอิ นโดนี เซีย โดยอาณาจกั รนี้ จีนมกั จะเรยี กว่า ชิลิโฟชิ (Shih-li-fo-shih) หรือโฟชิ (Fo-shih) อำร์ ซี มำจุมดำร์ นักประวตั ิศำสตร์และโบรำณคดีชำวอินเดียมี ควำมเห็นว่ำระยะแรกศูนย์กลำงของอำณำจกั รศรวี ิชยั อยู่บนเกำะชวำ แล้ว ตอ่ มำยำ้ ยไปยงั เมอื งโบรำณนครศรธี รรมรำช ประเทศไทย ควอริทช์ เวลส์ นักประวตั ิศำสตร์ชำวองั กฤษผู้มีควำมสนใจทำง ประวตั ศิ ำสตรแ์ ละโบรำณคดขี องภูมภิ ำคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ไดเ้ ดนิ ทำง ไปสำรวจแหล่งโบรำณคดที ่สี ำคญั ๆ ในภูมภิ ำคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้แล้วมี ควำมเหน็ วำ่ ศูนยก์ ลำงของอำณำจกั รศรวี ชิ ยั ควรจะตงั้ อยู่ท่เี มอื งโบรำณไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฏรธ์ ำนี ประเทศไทย หม่อมเจำ้ จนั ทรจ์ ริ ำยุ รชั นี ผูซ้ ่ึงได้ศึกษำเร่อื งทิศทำงลมมรสุมและ สภำพภูมศิ ำสตรโ์ ดยนำไปเปรยี บเทยี บกบั กำรเดนิ ทำงไปสบื ศำสนำพทุ ธตำม บนั ทกึ กำรเดนิ ทำงของหลวงจนี อ้จี งิ และไดส้ รุปว่ำ ศูนยก์ ลำงของอำณำจกั ร ศรวี ิชยั ควรอยู่ท่ีเมืองโบรำณไชยำ จงั หวดั สุรำษฎร์ธำนี ประเทศไทย ส่วน ซกึ โมโน นักโบรำณคดชี ำวอนิ โดนีเซยี มคี วำมเหน็ วำ่ ศูนยก์ ลำงของอำณำจกั ร ศรวี ชิ ยั อยทู่ เ่ี มอื งจมั บี (ชมั พ)ิ ในเกำะสมุ ำตรำ ประเทศอนิ โดนีเซยี อย่างไรกต็ ามในปัจจุบนั นักประวตั ิศาสตรแ์ ละนักโบราณคดี ส่วนใหญ่มีความเหน็ ว่าอาณาจกั รศรีวิชยั มีลกั ษณะเป็ นสหพนั ธรฐั ซ่ึงมี หลายศนู ยก์ ลาง ศูนยก์ ลางสาคญั น่าจะเคยตงั้ อยู่ในบริเวณภาคใต้ของ ประเทศไทย โดยเพาะบริเวณเมืองไชยา - นครศรีธรรมราชและในบาง ช่วงน่าจะตงั้ อย่บู นเกาะสมุ าตราท่ีบริเวณเมืองปาเลม็ บงั และเมืองจมั บี [๑๘๗]
ภำพท่ี ๒๙ แผนทแ่ี สดงตำแหน่งของชุมชนและเมอื งโบรำณในคำบสมทุ รมลำยู และเกำะสมุ ำตรำในประเทศอนิ โดนีเซยี เมืองโบราณในภาคใต้ของประเทศไทยและคาบสมทุ รมลายู ภำคใต้ของประเทศไทยเป็ นภูมิภำคหน่ึงท่ีปรำกฏหลกั ฐำนทำง โบรำณคดที ่ีสมั พนั ธก์ บั อำณำจกั รศรวี ิชยั ทงั้ โบรำณสถำน โบรำณวตั ถุ และ ศลิ ำจำรกึ โดยเฉพำะในระยะหลงั น้ีไดม้ กี ำรสำรวจและขุดค้นทำงโบรำณคดใี น ภำคใต้มำกยงิ่ ขน้ึ จงึ ไดพ้ บหลกั ฐำนทำงโบรำณคดที ส่ี ำคญั เก่ยี วกบั อำณำจกั ร ศรวี ชิ ยั มำกยง่ิ ขน้ึ ในบรเิ วณแหล่งโบรำณคดใี นภำคใต้ของประเทศไทยตงั้ แต่จงั หวดั ชุมพร (แหล่งโบรำณคดเี ขำสำวแก้ว) ลงไปจนถงึ จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี (แหล่ง โบรำณคดวี ดั อมั พำวำส อำเภอท่ำชนะ แหล่งโบรำณคดีแหลมโพธิ ์ อำเภอ ไชยำ) ซ่งึ ตงั้ อยทู่ ำงฝัง่ ทะเลดำ้ นตะวนั ออก ส่วนทำงฝัง่ ตะวนั ตกปรำกฏในเขต จงั หวดั พงั งำ (แหล่งโบรำณคดีบ้ำนทุ่งตกึ ) ลงไปถึงคำบสมุทรมลำยู (แหล่ง [๑๘๘]
โบรำณคดที ่เี ปงกำลนั บูจงั ในรฐั เคดำห์ ท่กี วั ลำเซลิงชงิ และบูกิต เตงกูเลมบู) ไดพ้ บโบรำณวตั ถุซ่งึ เป็นสนิ คำ้ ของอนิ เดยี เช่น ลูกปัดคำรเ์ นเลยี น หนิ อำเกต แบบเรยี บและแบบฝังสี รวมทงั้ เหรียญโบรำณของอินเดีย (punched mark coins) และสนิ คำ้ ท่ีมำจำกกำรติดต่อค้ำขำยกบั อำณำจกั รโรมนั รวมทงั้ สนิ ค้ำ เลียนแบบสินค้ำโรมนั แสดงว่ำเมืองท่ำบริเวณน้ีได้มีกำรติดต่อค้ำขำยกับ อนิ เดยี ในสมยั อนิ โด - โรมนั (ดงั ไดก้ ล่ำวมำแลว้ ) อย่ำงไรก็ตำมบรเิ วณเมอื งท่ำดงั กล่ำวเหล่ำน้ีเคยเป็นศูนยก์ ลำงกำร ตดิ ต่อคำ้ ขำยกนั ภำยในระหว่ำงประชำกรในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้อยู่ก่อน แลว้ ดงั ไดพ้ บกลองมโหระทกึ ในวฒั นธรรมดองซอนแพรก่ ระจำยอยตู่ ำมแหล่ง โบรำณคดีตัง้ แต่จงั หวดั ชุมพรลงไปตลอดคำบสมุทรมำเลย์ (ดงั ได้กล่ำว มำแลว้ ) นิคมกำรค้ำของชำวอินเดยี ท่ีตงั้ อยู่ในภำคใต้ของไทยตงั้ แต่จังหวดั ชุมพรลงไปตลอดคำบสมทุ รมลำยูนัน้ หลำยแห่งไดเ้ จรญิ รุ่งเรอื งขน้ึ และมชี ำว อนิ เดยี เขำ้ มำตงั้ ถ่ินฐำนและนำเอำวฒั นธรรมอนิ เดยี ทงั้ ศำสนำพรำหมณ์และ ศำสนำพุทธเข้ำมำเผยแพร่ ดังปรำกฏในหลกั ฐำนเอกสำรโบรำณของจีน วรรณกรรมในพุทธศำสนำและบันทึกของชำวอำหรบั ว่ำมีรฐั โบรำณท่ีรบั อิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียจำนวนหลำยรฐั ตัง้ อยู่ในบริเวณดังกล่ำวและ นักปรำชญ์ต่ำงๆ ก็เห็นพ้องต้องกันว่ำตำแหน่งท่ีตงั้ หรือศูนย์กลำงของรฐั เหลำ่ น้ีน่ำจะอยบู่ รเิ วณแหลมมลำยแู ละในคำบสมทุ รภำคใตข้ องไทย ๑. หลกั ฐานด้านเอกสาร บนั ทึกของจีน วรรณกรรมในพุทธศำสนำ บนั ทึกของชำวอำหรบั โดยเฉพำะบนั ทึกของจนี กล่ำวถึงรฐั และเมืองต่ำงๆ มำกกว่ำ ๑๐ แห่งใน แหลมมลำยู เป็นต้นว่ำ เตียนซุนหรือตุนซุน ลงั ยำเสยี ว พนั พนั ฉีตู ดนั ดนั ตำมพรลงิ ค์ และตกั โกละ [๑๘๙]
๑.๑ เตียนซนุ หรือตนุ ซนุ ในบรรดำรฐั โบรำณท่กี ล่ำวถงึ ในบนั ทกึ ของจนี นับว่ำรฐั เตยี นซุน มคี วำมเก่ำแกท่ ส่ี ดุ เป็นเมอื งโบรำณทเ่ี จรญิ ร่งุ เรอื งขน้ึ ในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๘ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๓) เร่อื งรำวเก่ยี วกบั รฐั เตียนซุนปรำกฏในจดหมำยเหตุ จนี สมยั รำชวงศ์เหลียง (พ.ศ. ๑๐๔๕ - ๑๐๙๙) ซ่ึงอ้ำงอิงมำจำกบนั ทึกของ รำชทูตจีนสมัยสำมก๊ก ๒ ท่ำน คือ คังไถ และจูยิง๔ (พ.ศ. ๗๙๐ - ๗๙๕) ซ่งึ บนั ทกึ เร่อื งรำวเก่ยี วกบั รฐั เตยี นซุนว่ำตงั้ อยู่ในคำบสมุทรมลำยู เป็นรฐั ท่ีมี ขนำดใหญ่และมอี ำนำจทำงกำรเมอื งมำกกว่ำรฐั อ่นื ๆ โดยมอี ำณำเขตทะเลทงั้ สองฟำก จงึ สำมำรถควบคุมเสน้ ทำงคำ้ ขำยขำ้ มคำบสมุทร (มหำสมุทรอนิ เดยี และมหำสมุทรแปซิฟิก) จดั เป็นศูนยก์ ลำงกำรค้ำท่ีใหญ่มำก คลงั สนิ ค้ำของ เตยี นซุนมสี นิ คำ้ ทุกประเภท เร่อื งรำวเก่ียวกบั รฐั เตียนซุนนอกจำกจะปรำกฏอยู่ในจดหมำย เหตุจนี สมยั รำชวงศ์เหลียงแลว้ ยงั ปรำกฏอยู่ในตุงเตยี น (พงศำวดำรจนี สมยั รำชวงศ์ถังซ่ึงเขียนข้ึนในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔) และใน ไท-ปิ ง-ยู-ลัน (พงศำวดำรจีนสมัยรำชวงศ์ซุ่ง ซ่ึงเขียนข้ึนในช่วงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ โดยอำ้ งองิ จำกพงศำวดำรจนี รำชวงศถ์ งั ) ดงั มรี ำยละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ๔ คงั ไถและจยู งิ เป็นทตู จำกรำชสำนักจนี ทเ่ี ดนิ ทำงไปเจรญิ ทำงสมั พนั ธไมตรกี บั อำณำจกั รฟูนันเป็นกำรตอบแทนท่ีฟูนันเคยส่งทูตไปจนี หลำยครงั้ แล้วท่รี ำชสำนักของ อำณำจกั รฟูนันทูตจีนทงั้ สองได้พบกับทูตชำวอนิ เดีย ซ่ึงเป็นทูตของรำชวงศ์มุรุณฑะท่ี ปกครองลุ่มแม่น้ำคงคำในขณะนัน้ ทูตจีนทงั้ สองได้สอบถำมเก่ียวกับขนบธรรมเนียม ประเพณีของชำวอนิ เดยี และในชว่ งเดนิ ทำงกลบั ประเทศจนี นนั้ ทตู ทงั้ สองได้บนั ทกึ เร่อื งรำว เกย่ี วกบั เมอื งหรอื รฐั โบรำณในแถบทะเลใต้ (รวมคำบสมุทรมำเลย์) ทท่ี ำ่ นทงั้ สองไดแ้ วะพกั หรอื ได้ยนิ ได้ฟังมำจำกนกั เดนิ ทำงอ่นื ๆ แมว้ ำ่ ตน้ ฉบบั เดมิ ของทตู ทงั้ สองจะสญู หำยไป แต่มี กำรอำ้ งองิ ไวใ้ นจดหมำยเหตแุ ละพงศำวดำรรนุ่ หลงั ๆ [๑๙๐]
“ในรฐั เตียนซุนมคี รอบครวั ชำวอินเดยี หรอื พวกฮู (จนี เรยี กพวก พ่อค้ำอนิ เดยี ว่ำพวกฮู) ถึง ๕๐๐ ครอบครวั และมพี วกพรำหมณ์มำก ๑,๐๐๐ คนอำศยั อยู่ ประชำชนนับถอื ศำสนำพรำหมณ์และใหล้ ูกสำวของตนไปแตง่ งำน กบั พรำหมณ์ พรำหมณ์พวกน้ีจะอ่ำนคมั ภีร์ อำบน้ำผสมน้ำหอมและทำบุญ สำหรบั ประเพณีกำรปลงศพ จะนิยมบรจิ ำคศพใหเ้ ป็นอำหำรของนก ศพจะถูก เค ล่ือ น ย้ำย ไป ใน ข บ ว น แ ห่ ท่ี มีก ำ รป ระ โค ม ด น ต รีแ ล ะก ำ รร้อ ง ร ำท ำเ พ ล ง เม่อื ออกไปนอกเมอื งแลว้ นำศพไปทง้ิ ใหเ้ ป็นอำหำรนก ส่วนกระดูกท่เี หลอื จะ นำกลับมำเผำแล้วนำข้ีเถ้ำไปท้ิงแม่น้ำหรอื ทะเล หรอื บำงทีก็นำมำใส่ผอบ และประกอบพิธที ำงศำสนำไปเร่อื ยๆ ไม่มีส้นิ สุด ท่ีน่ำสนใจคอื ประชำชนใน รฐั เตยี นซนุ นิยมหมกั เหลำ้ ไวน์จำกน้ำผลไมท้ ป่ี ลูกไดเ้ องอกี ดว้ ย” เมื่อ น าห ลัก ฐาน ด้ าน เอ กสารม าประก อบ ห ลัก ฐาน ด้านโบราณคดีและประวตั ิศาสตร์ศิลปะอาจนาไปสู่ข้อสันนิ ษฐานว่า รฐั เตียนซุนหรือตุนซุนนี้คงตัง้ อยู่บริเวณเมืองไชยาเก่า ซึ่งจดั ว่าเป็ น เมืองท่ีมีความสาคญั ท่ีสุด (ในยุคแรกเร่ิมประวตั ิศาสตร์) ในบริเวณ อ่าวบ้านดอน มอี ำณำเขตกว้ำงขวำงตดิ ทะเลทงั้ สองดำ้ น ดำ้ นฝัง่ ตะวนั ออก จดทะเลจนี ใตบ้ รเิ วณอ่ำวบ้ำนดอนครอบคลุมเมอื งต่ำงๆ ในอ่ำวทงั้ หมดจนถึง ฝัง่ ตะวนั ตก (รวมทงั้ ตกั โกละ) จดั เป็นบรเิ วณท่อี ยู่ในเส้นทำงเดนิ เรอื ระหว่ำง อนิ เดยี อำหรบั และจนี ซ่งึ กำรใชเ้ สน้ ทำงในอดีตนนั้ นอกจำกจะผำ่ นช่องแคบ มะละกำและช่องแคบซุนดำแล้ว ก็ยงั ใช้เส้นทำงข้ำมคำบสมุทรซ่ึงมีหลำย เสน้ ทำงท่ขี ำ้ มมำออกอำ่ วบ้ำนดอน เป็นตน้ วำ่ เสน้ ทำงตะกวั ่ ป่ำ - อ่ำวบ้ำนดอน และเส้นทำงคลองท่อม - อ่ำวบ้ำนดอน ดงั ได้พบแหล่งโบรำณคดที ่ีเคยเป็น เมืองท่ำค้ำขำยทงั้ ด้ำนฝัง่ ตะวนั ตก เช่น แหล่งโบรำณคดีบ้ำนทุ่งตึก (เกำะ คอเขำ) อำเภอคุระบุรี จงั หวัดพังงำ แหล่งโบรำณคดีควนลูกปัด อำเภอ คลองท่อม จงั หวดั กระบ่ี และด้ำนฝัง่ ตะวันออก เช่น แหล่งโบรำณคดีวดั อมั พำวำส อำเภอท่ำชนะ จงั หวดั สงขลำ แหล่งโบรำณคดแี หลมโพธิ ์ อำเภอ ไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี [๑๙๑]
รอ่ งรอยกำรนับถอื ศำสนำพรำหมณ์ของชุมชนโบรำณในบรเิ วณ น้ี ก็ได้ปรำกฏให้เห็นโดยกำรค้นพบกลุ่มประติมำกรรมรูปพระวิษณุศิลำท่ี เก่ำแก่ท่ีสุด (รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ - ๑๑) ในบริเวณคำบสมุทรน้ีในเขต จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนีทว่ี ดั ศำลำทงึ อำเภอไชยำ และทถ่ี ้ำสงิ ขร อำเภอครี รี ฐั นิคม ในเขตจงั หวดั นครศรธี รรมรำชไดพ้ บประตมิ ำกรรมรูปพระวษิ ณุศลิ ำท่จี ดั อยูใ่ น กลุ่มเดยี วกนั น้ีอีก ๒ องค์ ซ่ึงผู้เช่ยี วชำญด้ำนประวตั ิศำสตร์ศิลปะได้ระบุว่ำ เป็ นกลุ่มประติมำกรรมรูปพระวษิ ณุท่ีได้รบั อิทธิพลศิลปะอินเดียจำกกลุ่ม ประตมิ ำกรรมรูปพระวษิ ณุ ท่พี บท่ลี ุ่มแม่น้ำกฤษณำ ภำยใต้กำรปกครองของ รำชวงศอ์ กิ ษวำกแุ หง่ เมอื งนำคำรชุณโกณฑะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๘ - ๙) ภำพท่ี ๓๐ พระวษิ ณุ (พระนำรำยณ์) สงู ๖๗ เซนตเิ มตร พบทอ่ี ำเภอไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี อำยรุ ำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๙ – ๑๐ จดั แสดงอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ พระนคร (ทม่ี ำ: พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์, รำกเหงำ้ แหง่ ศลิ ปะไทย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒ (กรุงเทพฯ: รเิ วอรบ์ ุ๊คส,์ ๒๕๕๕), ๑๐๐.) [๑๙๒]
นอ ก จำกน้ี อิท ธิพ ล พุท ธศ ำส น ำจำกบ ริเวณ ลุ่ ม แม่น้ ำกฤ ษ ณ ำ ภำยใต้กำรปกครองของรำชวงศ์อิกษวำกุแห่งเมืองนำคำรชุณโกณฑะ ก็ได้ ปรำกฏในบรเิ วณน้ีดว้ ย ดงั ไดพ้ บพระพทุ ธรูปทงั้ ทส่ี ลกั จำกศลิ ำและท่หี ล่อจำก สำริดจำนวนหน่ึงคอื พระพุทธรูปพบท่ีอำเภอพุนพิน จงั หวดั สุรำษฎรธ์ ำนี อกี องคห์ น่ึงพบทอ่ี ำเภอสุไหงโก-ลก จงั หวดั นรำธวิ ำส และพระพุทธรปู สำรดิ ท่ี อำเภอสชิ ล จงั หวดั นครศรธี รรมรำช (รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑) ๑.๒ ฉีตหู รือเชียะโท้ว นอกจำกเตยี นซุนแลว้ รฐั โบรำณทส่ี ำคญั มำกอกี รฐั หน่ึงทป่ี รำกฏ ในบนั ทึกของจนี ด้วยเช่นกนั คอื ฉีตูหรอื เชียะโท้ว (แปลตำมรูปศพั ท์แปลว่ำ เมอื งทม่ี ดี นิ สแี ดง) จดหมำยเหตุจนี สมยั รำชวงศ์สยุ (พ.ศ. ๑๑๓๑ - ๑๑๖๐) ได้ บนั ทกึ ไว้วำ่ กษตั รยิ ์จนี ได้ส่งรำชทูตไปเจรญิ ทำงสมั พนั ธไมตรกี บั รฐั เชยี ะโท้ว ในปี พ.ศ.๑๑๕๐ โดยคณะทูตไดล้ งเรอื สำเภำท่ที ่ำเรอื น่ำไฮ้ (ปัจจุบนั คอื เมอื ง กวำงตุ้ง) ใชเ้ วลำเดนิ ทำงกวำ่ ๑๐๐ วนั เม่อื ถงึ เขตแดนของรฐั แลว้ เรอื ของทูต ต้องถูกลำกจูงไปตำมลำน้ำเป็นเวลำกว่ำหน่ึงเดอื นจงึ จะเข้ำไปถึงนครหลวง ของรฐั เชียะโท้ว รฐั น้ีมอี ำณำเขตกวำ้ งขวำงหลำยพนั ล้ี ( ๑ ล้ี = ๕๗๖ เมตร) ทศิ เหนือจดทะเลใหญ่ ทศิ ใตจ้ ดรฐั โฮโลตนั (รฐั กลนั ตนั ) รำยละเอียดเก่ียวกบั รฐั เชยี ะโท้วนอกจำกจะปรำกฏอยู่ในสุยชู (จดหมำยเหตุจนี สมยั รำชวงศ์สุย) แล้ว ยงั ปรำกฏอยู่ในตุงเตยี น (พงศำวดำร จนี สมยั รำชวงศ์ถงั ) และไท-ปิง-ยู-ลนั (พงศำวดำรจนี สมยั รำชวงศ์ซุ่ง) และ เวน-เฮยี น-ตุง-เกำ ของม้ำตวนหลนิ ซ่งึ เขยี นขน้ึ ในช่วงปลำยรำชวงศซ์ ุ่ง - ต้น รำชวงศห์ ยวน โดยอำ้ งมำจำกตุงเตยี น ดงั มรี ำยละเอยี ดตอ่ ไปน้ี “พระเจ้ำกรุงเชียะโท้ว ประทับอยู่ในนครเส็งชี (สิงหปุระ) พระรำชวังมีประตูถึง ๓ ชัน้ แต่ละชัน้ อยู่ห่ำงกันร้อยก้ำว แต่ละประตูมี ภำพเขียนเป็นภำพเทวดำเหำะ ภำพพระโพธิสตั ว์ และเทพยดำอ่ืนๆ ตำม ประตูแขวนดอกไม้ทองและระฆงั เลก็ ๆ มพี นักงำนหญิงหลำยสบิ คนทำหน้ำท่ี ประโคมดนตรหี รอื ถอื ดอกไมท้ องคำและเครอ่ื งประดบั ต่ำงๆ มผี ชู้ ำยสค่ี น (แต่ง [๑๙๓]
กำยเหมอื นเซ่ียวกำงท่ียนื เฝ้ำอยู่สด่ี ้ำนของพระเจดยี ์ในพุทธศำสนำ) ยืนเฝ้ำ ประตูวงั พวกทย่ี นื เฝ้ำอยนู่ อกประตูวงั ถอื อำวธุ หลำยชนิด อำคำรต่ำงๆ ภำยใน พระรำชวงั ประกอบด้วยพระท่นี ัง่ จำนวนหลำยหลงั ตดิ ต่อกนั ทุกหลงั มปี ระตู ทำงเข้ำอยู่ทำงทิศเหนือ พระเจ้ำแผ่นดินประทบั อยู่บนพระแท่นท่ีมี ๓ ชนั้ แต่งพระองค์ด้วยผ้ำสกี ุหลำบ มีรดั เกล้ำเป็นดอกไม้ทองคำ มีสร้อยพระศอ ประดบั เพชร มพี นักงำนหญิงเฝ้ำทงั้ ซ้ำยและขวำดำ้ นละ ๔ คน มที หำรรกั ษำ พระองคก์ วำ่ รอ้ ยคน ดำ้ นหลงั แท่นท่ปี ระทบั มแี ท่นบูชำทำดว้ ยไมบ้ ุทองคำและ เงนิ (ไมท้ ใ่ี ชเ้ ป็นไมห้ อมชนิดต่ำงๆ ๕ ชนิด) ดำ้ นหลงั แท่นบูชำมโี คมไฟทองคำ แขวนอยู่ ดำ้ นขำ้ งพระแท่นท่ปี ระทบั มกี ระจกเงำแท่นละ ๑ บำน หน้ำกระจก เงำมหี ม้อน้ำโลหะซ่งึ มกี ระถำงธูป (ทำด้วยทองคำ) วำงอยู่ด้วย หน้ำกระถำง ธูปมวี วั ทองคำหมอบอยู่ มผี ำ้ ปักดว้ ยเพชรพลอยและมพี ดั โบกวำงอยู่สองขำ้ ง มีพรำหมณ์นับร้อยนัง่ เรยี งกันเป็นสองแถว หนั หน้ำเข้ำหำกนั ทงั้ ทำงด้ำน ตะวนั ออกและดำ้ นตะวนั ตก มขี ำ้ รำชกำรชนั้ ผใู้ หญ่หลำยระดบั ตงั้ แต่ระดบั สูง ท่ีปกครองดูแลเมืองหลวง ส่วนระดบั หัวเมืองจะมีนำยก ๑ ท่ำน และบดี ๑๐ ท่ำน ประชำชนนับถือพุทธศำสนำแต่มีควำมเคำรพพวกพรำหมณ์ มำก ประชำชนทงั้ ชำยหญิงจะเจำะหู ผู้ชำยตดั ผม ส่วนผู้หญิงจะเกล้ำผมไว้ เพยี งตน้ คอ ทงั้ หญิงชำยทอผำ้ นุ่งหม่ เอง สว่ นใหญ่เป็นสกี หุ ลำบและสพี น้ื นิยม ทำตวั ดว้ ยน้ำมนั หอม แมว้ ่ำชนชนั้ สูงจะมอี ำนำจมำก แต่กต็ ้องขออนุญำตจำก กษตั รยิ ก์ ่อนทจ่ี ะทำจท้ี องคำใช้ สำหรบั ประเพณีกำรแต่งงำน ต้องหำวนั มงคล วนั หน่ึงและก่อนวนั มงคล ๕ วนั ผู้ใหญ่ฝ่ ำยเจ้ำสำวเป็นผู้จดั งำนและเล้ียงดู ญำติมิตร และบิดำของเจ้ำสำวจะจบั มือเจ้ำสำวและยกให้ผู้เป็นลูกเขย และ วนั ท่ี ๗ พธิ กี รรมต่ำงๆ จงึ สน้ิ สุดลงนับวำ่ คู่บ่ำวสำวไดเ้ ป็นสำมี-ภรรยำกนั แล้ว มกี ำรแบ่งทรพั ย์สมบตั ิให้ครอบครวั ใหม่ และมกี ำรสรำ้ งใหม่ให้คู่สำมี-ภรรยำ แยกออกไปอยู่ต่ำงหำก ยกเว้นบุตรชำยคนสุดท้องจะต้องอยู่กบั บิดำ-มำรดำ ส่วนประเพณีกำรปลงศพนั้น หำกบิดำมำรดำหรือญำติพ่ีน้องเสียชีวิต ลูกหลำนผชู้ ำยจะโกนหวั และจะนำไมไ้ ผม่ ำสรำ้ งเป็นแครแ่ ละยกขน้ึ สูงเหนือน้ำ [๑๙๔]
นำศพไปวำงบนแคร่ เอำฟืนมำกองรอบศพ ประดบั ตกแต่งบรเิ วณงำนดว้ ยธง จดุ ธูป เป่ำสงั ข์ ตกี ลอง แลว้ จดุ ไฟท่กี องนนั้ เพอ่ื เผำศพซ่งึ เม่อื ไหมแ้ ล้วกร็ ว่ งลง แม่น้ำไป ทงั้ ชนชนั้ สูงและคนธรรมดำจะเผำศพด้วยวิธนี ้ี แต่สำหรบั พระเจ้ำ แผ่นดนิ จะมกี ำรเกบ็ อฐั ทิ ่เี หลอื จำกกองไฟและนำไปเกบ็ รกั ษำไวใ้ นโกศทองคำ แลว้ บรรจไุ วใ้ นวดั แหง่ หน่ึง” รฐั เชียะโท้วได้ส่งคณะทูตไปยงั เมอื งจนี เป็นกำรตอบแทนในปี พ.ศ. ๑๑๕๑ - ๑๑๕๒ และ ๑๑๕๓ พรอ้ มกบั ส่งผลผลติ จำกป่ ำกบั มงกุฎทอง ลำยดอกชบำและกำรบูรไปเป็ นเคร่ืองบรรณำกำรด้วย นักวิชาการลง ความเหน็ ว่ารฐั เชียะโท้วนัน้ น่าจะอยู่บริเวณพืน้ ที่จงั หวดั สงขลา-ปัตตานี- นราธิวาส บางท่านว่าอย่บู ริเวณไทรบรุ ี (เคดาห)์ ในประเทศมาเลเซีย ๑.๓ ดนั ดนั หรือตนั ตนั ตอนใต้ของเมืองฉีตูคือเมืองดันดันซ่ึงจดหมำยเหตุจีนสมัย รำชวงศเ์ หลยี ง (พ.ศ. ๑๐๔๕-๑๐๙๙) ไดร้ ะบุวำ่ ในปี พ.ศ. ๑๐๗๓ เมอื งดนั ดนั ไดส้ ง่ คณะทูตไปเมอื งจนี พรอ้ มเคร่อื งบรรณำกำรอนั ประกอบดว้ ย พระพทุ ธรปู แกะดว้ ยงำช้ำง ๒ องค์ สถูป ๒ องค์ ไข่มุกอย่ำงดี ผ้ำฝ้ำยและน้ำหอมต่ำงๆ รวมทงั้ ยำดว้ ย คณะทูตชุดท่ี ๒ ไปถงึ เมอื งจนี ในปี พ.ศ. ๑๐๗๘ และต่อมำในปี พ.ศ. ๑๑๖๙ จดหมำยเหตจุ นี สมยั รำชวงศ์เหลยี งไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ำ่ ไดต้ อ้ นรบั คณะ ทูตชุดสุดท้ำยจำกเมืองดนั ดัน จำกนัน้ ก็ไม่ปรำกฏช่ือเมืองน้ีอีกในบันทึก ประวตั ศิ ำสตรข์ องจนี ๑.๔ พนั พนั (พานพาน) จดหมำยเหตุจนี สมยั รำชวงศเ์ หลยี ง (พ.ศ. ๑๐๔๕-๑๐๙๙) และ พงศำวดำรจนี สมยั รำชวงศ์ถงั (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ำ่ “พนั พนั ตงั้ อยู่บนชำยฝัง่ ทะเลบรเิ วณท่ีเป็นอ่ำวโดยอยู่ทำงทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ของ ประเทศหลนิ ย่ี (จำมปำ) เรอื สำเภำจำกเมอื งเกยี วเจำอำจแล่นไปถงึ ไดภ้ ำยใน [๑๙๕]
๔๐ วนั พนั พนั อยเู่ หนือลงั ยำเสยี ว และมอี ำณำเขตตดิ ต่อกนั ประชำชนศกึ ษำ หนงั สอื ของพวกพรำหมณ์แตม่ ศี รทั ธำในพทุ ธศำสนำ ใน พ.ศ. ๑๑๗๘ ไดจ้ ดั สง่ สงิ่ ของพน้ื เมอื งเป็นเคร่อื งบรรณำกำรไปถวำยพระเจำ้ จกั รพรรดจิ นี (ในรชั สมยั ของพระเจำ้ ถงั ไทจง)” นักวิชาการลงความเห็นว่าเมืองพนั พนั นี้น่าจะอยู่บริเวณ อ่าวบา้ นดอนหรือบริเวณใกล้เคียง ๑.๕ ต้าหมาหลิง (ดนั มาลิง) ต้าหมาหลิงเป็ นช่ือที่จีนใช้เรียกเมืองตามพรลิงค์ ซ่ึงตงั้ อยู่ ในเขตของจงั หวดั นครศรีธรรมราช ในบนั ทกึ ของจำวจูกวั ๕ (พ.ศ. ๑๗๖๘) ได้บรรยำยว่ำ เมืองน้ีมีกำแพงไม้ (กว้ำง ๖-๗ ฟุต และสูงกว่ำ ๒๐ ฟุต) ลอ้ มรอบ ตอนบนของกำแพงอำจใช้เป็นลำนต่อสู้ไดด้ ว้ ย บ้ำนของขำ้ รำชกำร สรำ้ งดว้ ยไมก้ ระดำน ในขณะท่บี ้ำนของสำมญั ชนสรำ้ งด้วยไม้ไผ่ มใี บไม้เป็น ฝำกนั้ หอ้ ง และมดั ดว้ ยหวำย ประชำชนนิยมขมวดผมไวด้ ำ้ นหลงั (เกล้ำมวย) และเดินเท้ำเปล่ำหรือใช้ควำยเป็นพำหนะ ผลิตผลพ้นื เมืองมีข้ผี ้งึ ไม้จนั ทร์ ไม้มะเกลือ กำรบูร งำชำ้ ง และนอแรด กำรคำ้ ตกอยูใ่ นมอื ของพ่อค้ำต่ำงชำติ ซ่งึ หำสนิ คำ้ นำนำชนิดมำให้ประชำชน นับตงั้ แต่สนิ ค้ำท่เี ป็นของใช้จำเป็นใน ชวี ติ ประจำวนั เช่น เกลอื น้ำตำล ข้ำว และเคร่อื งปั้นดนิ เผำ ไปจนถึงสนิ ค้ำ ฟุ่มเฟือย เช่น ผำ้ ไหม เครอ่ื งเคลอื บ ภำชนะทท่ี ำดว้ ยเงนิ และทอง เป็นตน้ จำกต้ำหมำหลิงใช้เวลำเดินทำงโดยเรือ ๖ วัน ๖ คืน ก็ถึง ลงั ยำเสยี ว ซง่ึ อำจไปถงึ ไดโ้ ดยทำงบกดว้ ย (ไมไ่ ดร้ ะบรุ ะยะเวลำไว)้ ในสมยั ศรวี ิชยั ต้ำหมำหลิง (ตำมพรลิงค์) ตกเป็นเมอื งข้นึ ของ ศรวี ชิ ยั ตำมหลกั ฐำนท่ปี รำกฏในจำรกึ เมอื งตนั ชอร์ซ่ึงเป็นจำรกึ ของกษตั รยิ ์ อนิ เดยี ใต้รำชวงศ์โจฬะคอื พระเจำ้ รำเชนทรโจฬะท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๕๖๘) ซ่งึ ไดย้ ก ทพั ไปตอี ำณำจกั รศรวี ชิ ยั รวมทงั้ ประเทศรำชทงั้ หลำยของศรวี ชิ ยั ซ่งึ ตงั้ อยู่ใน ๕ จำวจูกวั เป็นจเรกำรค้ำต่ำงประเทศของรำชอำณำจกั รจนี สมยั รำชวงศซ์ ุ่ง โดยประจำอยู่ทเ่ี มอื งทำ่ ใหญ่ของแควน้ ฮกเกย้ี น [๑๙๖]
แหลมมลำยู เกำะสุมำตรำ ซุนดำ และลังกำ สำหรบั เมืองประเทศรำชของ ศรวี ชิ ยั ในแหลมมลำยมู หี ลำยเมอื งรวมทงั้ ตำมพรลงิ คด์ ว้ ย (ดงั ไดก้ ลำ่ วมำแลว้ ) ๑.๖ ลงั ยาเสียว (ลงั กาสกุ ะ) รฐั น้ีมีช่ือเป็ นภำษำจีนว่ำ ลงั ยำเสียว หรือ ลงั เจียซูหรอื ลังยำ ซูเจยี แต่ในจดหมำยเหตุมลำยูและชวำเรยี ก “ลงั กำสุกะ” จดหมำยเหตุจนี สมยั รำชวงศ์เหลียง (พ.ศ. ๑๐๔๕ - ๑๐๙๙) กล่ำวว่ำรฐั ลงั ยำเสียวตงั้ มำแล้วกว่ำ ๔๐๐ ปี มอี ำณำเขตจดทะเลทงั้ สองฝัง่ ของแหลมมลำยู โดยตงั้ อยู่ใตร้ ฐั พนั พนั คอื ทำงตะวนั ออกจดอ่ำวไทยบรเิ วณจงั หวดั ปัตตำนี และทำงตะวนั ตกจดอ่ำว เบงกอลเหนือแคว้นไทรบุรี ด้วยเหตุน้ีจึงควบคุมเส้นทำงทำงบกข้ำมแหลม มลำยสู ำยหน่ึง เอกสำรจีนระบุว่ำ พระเจ้ำแผ่นดนิ ทรงนุ่งโสร่ง ทำด้วยผ้ำฝ้ำย กนั มนั แต่ไมส่ วมรองเทำ้ ประชำชนซอยผมสนั้ และนุ่งโสร่งดว้ ยเช่นกนั สนิ คำ้ พ้ืนเมอื ง มีงำช้ำง นอแรด ไม้จนั ทน์ ไม้มะเกลือ กำรบูร พ่อค้ำต่ำงชำตินำ สินค้ำประเภทเคร่อื งเคลือบ (porcelain) ข้ำว และผ้ำแพรมำแลกเปล่ียนกับ สนิ คำ้ พ้นื เมอื ง ในสมยั ศรวี ชิ ยั รฐั ลงั ยำเสยี วไดต้ กเป็นประเทศรำชของศรวี ชิ ยั ดว้ ยเชน่ กนั จากการศึกษาของนักประวตั ิ ศาสตร์และนักโบราณคดี ลงความเหน็ ว่าลงั ยาเสียวหรือลงั กาสุกะ น่าจะตงั้ อยู่บริเวณเมืองยะรงั จงั หวดั ปัตตานี ๑.๗ ตกั โกละ ตกั โกละเป็นช่อื รฐั โบรำณทส่ี ำคญั อกี รฐั หน่ึงท่ปี รำกฏในหนังสอื ภูมิศำสตร์ของปโตเลมี (Ptolemy) และวรรณกรรมทำงพุทธศำสนำ เช่น มหำนิเทศ มลิ นิ ทปัญหำซง่ึ ระบุไวว้ ำ่ พ่อคำ้ ท่รี ่ำรวยจะต้องเดนิ ทำงมำคำ้ ขำยท่ี ตกั โกละ จีนและสุวรรณภูมิ มักจะกล่ำวถึงตักโกละว่ำเป็ นหน่ึงในเมืองท่ำ โบรำณทพ่ี อ่ คำ้ จำกซกี โลกตะวนั ตกนิยมมำแวะพกั [๑๙๗]
อยำ่ งไรกต็ ำมในช่วงสมยั ศรวี ชิ ยั ตกั โกละไดต้ กเป็นเมอื งขน้ึ ของ ศรีวิชัยด้วย เน่ืองจำกเป็ นประเทศรำชของอำณำจกั รศรีวิชัย ดังปรำกฏ หลกั ฐำนในศลิ ำจำรกึ ของพระเจ้ำรำเชนทรโจฬะ (พ.ศ. ๑๕๖๘) ท่ยี กทพั มำตี ศรวี ชิ ยั นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ตกั โกละ คือดินแดน แห่งกระวาน และน่าจะตงั้ อยู่บริเวณชายฝัง่ ทะเลด้านตะวนั ตกเฉียงใต้ ของคาบสมุทรมลายู บริเวณปากแม่น้าตะกวั ่ ป่ าและอาจอยู่บริเวณ จงั หวดั ตรงั หรือพงั งา ๒. หลกั ฐานด้านโบราณคดี จำกสภำพภูมิศำสตร์ท่ีมีทิวเขำเป็นแกนกลำง (เขำภูเก็ตและเขำ นครศรธี รรมรำช) แบง่ พน้ื ทภ่ี ำคใตอ้ อกเป็น ๒ โซน หรอื ๒ ฝัง่ คอื ฝัง่ ตะวนั ตก และฝัง่ ตะวนั ออก ๒.๑ ฝัง่ ตะวนั ตก จะมกี ำรยุบตวั เพรำะถูกกดั เซำะ เน่ืองจำกมี คล่นื ลมแรง และมพี ้นื ท่ภี ูเขำเป็นส่วนใหญ่ ขยำยตวั ยำกเน่ืองจำกพน้ื ท่จี ำกดั จงึ เป็นทต่ี งั้ ของชุมชนขนำดเลก็ บรเิ วณท่เี ป็นท่รี ำบพอทจ่ี ะตงั้ ชุมชนได้ ไดแ้ ก่ บรเิ วณจงั หวดั พงั งำ กระบ่ี ตรงั และสตลู แหลง่ โบรำณคดที ส่ี ำคญั มดี งั น้ี ๒.๑.๑ ตะกวั ่ ป่ า จงั หวดั พงั งำ สนั นิษฐำนวำ่ เคยเป็นเมอื ง ท่ำท่ีเรยี กกนั ว่ำ “ตกั โกละ” ซ่งึ เป็นศูนยก์ ลำงคมนำคมทงั้ ทำงบกและทำงน้ำ เน่ืองจำกอำเภอตะกวั ่ ป่ำไดพ้ บเทวรูปพระวษิ ณุ (นำรำยณ์) และชน้ิ สว่ นสำเภำ โบรำณจำกตะกวั ่ ป่ำสำมำรถขำ้ มไปยงั ฝัง่ ตะวนั ออกได้ [๑๙๘]
ภำพท่ี ๓๑ เทวรปู พระวษิ ณุ พบทเ่ี ขำพระเหนอ อำเภอตะกวั่ ป่ำ จงั หวดั พงั งำ จดั แสดงอยทู่ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ พระนคร ๒.๑.๒ บ้านทุ่งตึก (เหมืองทอง) ตำบลเกำะคอเขำ อำเภอคุระบุรี จงั หวดั พงั งำ พบโบรำณวตั ถุแบบโรมนั เช่น ลูกปัดแก้วมีตำ ลูกปัดแกว้ มแี ถบสี [๑๙๙]
ภำพท่ี ๓๒ ลกู ปัดแกว้ แบบต่ำงๆ พบทแ่ี หลง่ โบรำณคดที ุ่งตกึ จงั หวดั พงั งำ (ทม่ี ำ: รอ้ ยเอกบณุ ยฤทธิ ์ฉำยสวุ รรณ) ๒.๑.๓ คลองท่ อม จังหวัดกระบ่ี บริเวณควรลูกปั ด ซง่ึ เป็นเนินดนิ ใกลท้ ่รี ำบรมิ ภูเขำ มคี ลองท่อมไหลผ่ำน ไดพ้ บรอ่ งรอยกำรผลติ ลูกปัดแกว้ เน่ืองจำกพบเศษแกว้ ทเ่ี หลอื จำกกำรผลติ ลูกปัด และพบลูกปัดแก้ว จำนวนมำก แมว้ ่ำจะไม่พบเบำ้ หลอมแก้วหรอื เตำ (คงถูกทำลำยไปหมดแลว้ ) นอกจำกนนั้ ยงั พบโบรำณวตั ถุต่ำงชำตจิ ำนวนมำก ทงั้ ท่เี ป็นสนิ คำ้ ของอนิ เดยี สนิ คำ้ โรมนั และสนิ คำ้ แบบอนิ โด - โรมนั ซง่ึ แสดงรอ่ งรอยกำรตดิ ตอ่ คำ้ ขำยกบั อนิ เดยี ในสมยั อนิ โด - โรมนั (พทุ ธศตวรรษท่ี ๕ - ๙) [๒๐๐]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360