Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

Description: คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

Search

Read the Text Version

ก คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี โย นิรุตตฺ ึ น สกิ ฺเขยยฺ สกิ ฺขนฺโต ปฏ กตตฺ ยํ ปเท ปเท วิกงเฺ ขยฺย วเน อนธฺ คโช ยถา. นิรตุ ตบิ ขดี เขยี น หวงั เพียงเพียรเรยี นพระไตร ทุกทกุ บทยอมสงสยั ดุจชา งไพรไรดวงตา. https://www.google.com/search?newwindow=1&sxsrf=ALeKk00HRxrkrG_GpbGiAOCGSvXhPPHe-w:1592278409886&source โครงการจัดการองคความรเู รอื่ งการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ประจำปง บประมาณ ๒๕๖๓ โดย กลมุ หนงั สอื ตัวเขียนและจารกึ สำนักหอสมุดแหงชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ข คำนยิ ม ************** เปนท่ีทราบกันท่ัวไปวา ภาษาบาลี เปนภาษาจารึกพระพุทธวจนะ หรือพระไตรปฎกของ พระพุทธศาสนา ฝายเถรวาทมาแตเริ่มแรก โดยใชอักษรของแตละประเทศที่มีพระพุทธศาสนาฝายนี้ในการ เขียน สว นการออกเสียงอาจแตกตางกนั บา ง แตก็สามารถสอื่ เขาใจกันได ดังน้ัน ภาษาบาลี จึงเปน ความเปน ความตายของพระพุทธศาสนาฝายเถรวาท เพราะตราบใดยังมีการศึกษาภาษาบาลีกัน ตราบนั้น พระพทุ ธศาสนา ยอ มดำรงทรงตวั อยไู ด หาไมแ ลว เห็นจะลม สลายเปน แนแท และโดยที่ภาษาบาลี เปนตันติภาษา คือมีหลักไวยากรณท่ีสมบูรณแบบเปนภาษาท่ีสละสลวย ไพเราะอยา งย่ิง พระไตรปฎกภาษาบาลี ถือวาเปนสดุ ยอดของวรรณกรรมในบรรณโลกทีเดียว ดังน้ัน ผูแรก ศึกษา จึงจำเปนตองเรียนรูไวยากรณเปนเบื้องตน ใหเขาใจถี่ถวนกอน จึงคอยแปลเปนภาษาอื่น ขณะเดยี วกนั การเขียน การอา น การสาธยาย หรือ การสวด กต็ อ งฝก หัดไปดว ย เพราะการศึกษาภาษาบาลี ในปจจุบัน มุงไปท่ีการเขียน การอาน การแปล และการสาธยาย มิไดเนนการพูดเหมือนภาษาอ่ืน ๆ อนึ่ง โดยที่ภาษาบาลี เปนภาษาที่พระพุทธองคทรงเลือกและตรัสสอนพระศาสนาเปนสวนมาก จึงเปนภาษาที่ ศักดิ์สทิ ธ์ิ จะเห็นไดใ นสงั ฆกรรมตา ง ๆ มกี ารบรรพชาอุปสมบท เปน ตน ตองใชภาษาบาลีทง้ั ส้ิน และยังมีสงิ่ ล้ีลับอยูในภาษาบาลีอีกอยางหนึ่ง ท่ีนาสนใจ ก็คือ อักขระทุกตัวในภาษาบาลี เปนยาอายุวัฒนะอยางวิเศษ ทำใหสุขภาพพลานามัยแขง็ แรงอยา งนาอัศจรรย หากผูสาธยายสามารถสาธยายไดถกู ตองทุกตวั อักษร ไมว า สระ หรอื พยัญชนะ การที่ คุณวัฒนา พ่ึงชื่น (เปรียญ) นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ ไดจัดทำคูมือการอานและ แปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลมน้ีข้ึน ดวยความศรัทธา และวิริยะเปนอยางย่ิง มีสารัตถะที่สมบูรณทุก สว น ไมวาจะเปนไวยากรณ การอาน การแปลภาษาบาลี และอ่ืน ๆ จึงขอแสดงความช่ืนชม และหวังวา คูมือ การอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลม นี้ จะอำนวยประโยชนแกผ ูใครต อ การศกึ ษาภาษาบาลีอยา ง ดียิ่ง อกี เลม หนง่ึ ในโลกปจจบุ ัน พระพรหมกวี เจาอาวาสวัดกัลยาณมิตร วรมหาวหิ าร

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ค อนโุ มทนาพจน หนงั สือ “คมู ือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาล”ี ในโครงการจัดการองคค วามรเู รื่องการ อานและแปลภาษาโบราณ ภาษาบาลี ของกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแหงชาติ กรม ศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รวบรวมเรยี บเรียงข้ึนโดย อาจารยว ฒั นา พ่งึ ชืน่ นกั ภาษาโบราณชำนาญการ พิเศษ และคณะ นับวา เปนงานสรางสรรคที่ดีย่ิงและเปนสิ่งที่ทำไดยากย่ิงนัก กลาวไดวา นี่คือ ความกา วหนาของสำนักหอสมุดแหง ชาติ ทเี่ ปนขมุ ทรัพยท างปญ ญาของประเทศ ในการเอาใจใสพ ัฒนาและ สง เสรมิ สนบั สนุนงานดานการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมบาลีในประเทศไทย หนังสือ “คูมือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี” ไดแสดงรายละเอียดความรูดานการ อานภาษาบาลี ไวยากรณภาษาบาลี และการแปลภาษาบาลีครบถวนในระดับพ้ืนฐาน เนื้อหาในเลม พอเหมาะและเพียงพอตอการเร่ิมตนศึกษาภาษาบาลี หนังสือเลมน้ีเหมาะสำหรับชาวพุทธและผูสนใจ เร่มิ ตนเรียนรูภาษาบาลดี วยตัวเองทุกคน ขออนุโมทนา อาจารยวัฒนา พึ่งช่ืน พรอมคณะทำงานกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก ผูบริหาร สำนักหอสมุดแหงชาติ ผูบริหารกรมศิลปากร ตลอดจนถึงเจาหนาท่ีกระทรวงวัฒนธรรมทุกทานที่มีวิริยะ อุตสาหะรวมกันสรางสรรคหนังสือเลมน้ีขึ้น ขอใหผูที่ไดศึกษาหนังสือเลมนี้จงประสบความสำเร็จ มีความ เขาใจภาษาบาลี สามารถอานและแปลภาษาบาลีไดตามวตั ถุประสงค และขอใหผูศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมบาลี จงมคี วามกา วหนาทางปญ ญาในพุทธธรรมสืบตอ ไป จิรํ ติ  ตุ สทฺธมฺโม ขอพระสัทธรรมจงดำรงอยเู พือ่ ประโยชนแ ละความสุขแกม หาชนตลอดไป. ขออนุโมทนา พระธรรมราชานวุ ตั ร (สทุ ัศน ป.ธ.๙) วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวหิ าร

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ง คำนำ ภาษาบาลีหรือที่รูจักในนามวาภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงเลือกใชในการ เผยแพรพระพุทธศาสนา นับวาเปนภาษาประจำพระพุทธศาสนา ไดรับการสืบตอมาเปนลำดับถึง ปจจุบัน ซ่ึงปรากฏในเอกสารโบราณทุกประเภท ไดแก หนังสือสมุดไทย คัมภีรใบลาน และจารึก นักภาษาโบราณจึงไดดำเนินการอานและแปลภาษาบาลีเหลานั้นใหเปนภาษาไทยปจจุบัน เพ่ือจัดพิมพ เผยแพรอนั จะเปน ประโยชนตอ สาธารณชนทัว่ ไป กรมศิลปากร เห็นวาการอานและแปลภาษาโบราณ โดยเฉพาะภาษาบาลีซ่ึงมีเน้ือหาอัน เปนหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร พุทธศาสนา และอื่นๆอีกมาก จะเปนประโยชนอยางแทจริง จึงอนุมัติใหสำนักหอสมุดแหงชาติ โดยกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก จัดโครงการจัดการองคความรู เร่ืองการอานและแปลภาษาโบราณ: ภาษาบาลี เพ่ือรวบรวมขอมูล ความรูภาษาบาลี ใชเปนคูมือใน การศึกษา อางอิงภาษาบาลีไดอยางถูกตองตามหลักวิชาการ และเพ่ือสืบสาน รักษามรดก ศิลปวัฒนธรรมดานภาษาซ่ึงเปนภูมิปญญาของมวลมนุษยชาติอยางย่ังยืน ทั้งนี้ไดมอบหมายให นายวฒั นา พ่ึงชนื่ นักภาษาโบราณชำนาญการพเิ ศษ เปนผรู วบรวม เรยี บเรียง ขอมูลองคความรูตางๆ ในภาษาบาลี จัดทำตน ฉบบั คูมอื การอา นและแปลภาษาบาลี กรมศิลปากร หวังวา คูมือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลมนี้ จะอำนวย ประโยชนแกผูสนใจศึกษาเรียนรู เพ่ือสืบสานและเผยแพรองคความรูอันมีคุณคาของบรรพชน ตามสมควร (นายประทปี เพง็ ตะโก) อธิบดกี รมศลิ ปากร

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี จ สารบัญ หนา คำนยิ ม ข อนุโมทนาพจน ค คำนำ ง สารบัญ จ บทท่ี ๑ บทนำ ๑ ๑ ๑.๑ บาลีคอื ภาษาพระพุทธศาสนา ๓ ๑.๒ พฒั นาการของภาษาบาลี ๔ ๑.๓ สาเหตุทเ่ี ปล่ยี นจากภาษามาคธี เปน ภาษาบาลี ๕ ๑.๔ บาลใี นฐานะภาษาบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๘ ๑.๕ บาลใี นฐานะภาษามนษุ ยต น กปั ๑๐ ๑.๖ สรปุ ทายบท ๑๑ บทท่ี ๒ การอา นภาษาบาลี ๑๑ ๒.๑ อกั ขระและเสยี ง ๑๕ ๒.๒ ฐาน กรณ และปยตนะ ๑๘ ๒.๓ การอา น การเขยี น และพยญั ชนะสงั โยค ๑๙ ๒.๔ การเช่ือมคำ(สนธิ) ๒๓ ๒.๕ สรุปทายบท ๒๕ บทท่ี ๓ สวนแหงคำพดู ในภาษาบาลี ๒๕ ๓.๑ นามศพั ท ๒๗ ๓.๒ ลงิ ค การนั ต วจนะ วภิ ตั ติ ๓๕ ๓.๓ วธิ แี จกนามศัพท ๔๓ ๓.๔ วิธแี จกกตปิ ยศัพท สพั พนาม และอพั ยยศพั ท ๕๙ ๓.๕ สงั ขยา(จำนวนนบั ) ๖๘ ๓.๖ สมาส ๙๐ ๓.๗ ตทั ธติ ๑๐๙ ๓.๘ อาขยาต ๑๒๒ ๓.๙ กติ ก ๑๓๘ ๓.๑๐ สรปุ ทา ยบท ๑๔๒ บทที่ ๔ การแปลภาษาบาลี ๑๔๒ ๔.๑ หลกั การแปลเบ้ืองตน ๑๕๑ ๔.๒ ประโยคเน้ือความเดยี ว

๔.๓ ประโยคเรียงความ ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ฉ ๔.๔ การแปลพระไตรปฎ กและอรรถกถา ๔.๕ สรปุ ทา ยบท ๑๖๖ บทท่ี ๕ แบบฝก ทักษะการอา นและการแปล ๑๗๕ ๕.๑ แบบฝก ทกั ษะการอาน ๑๘๓ ๑๘๕ แบบฝก การอานท่ี ๑ ๑๘๕ แบบฝก การอานที่ ๒ ๑๘๕ แบบฝก การอา นที่ ๓ ๑๘๖ ๕.๒ แบบฝกทกั ษะการแปล ๑๙๑ แบบฝก การแปลที่ ๑ ๑๙๔ แบบฝก การแปลที่ ๒ ๑๙๔ แบบฝก การแปลที่ ๓ ๒๐๑ ๕.๓ สรุปทา ยบท ๒๐๓ บรรณานกุ รม ๒๒๓ ภาคผนวก ๒๒๔ ชื่อแบบฉบบั คมั ภรี ใ บลานเพอื่ การลงทะเบยี น ๒๒๖ ๒๒๗

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑ ๑.๑ บาลีคือภาษาพระพทุ ธศาสนา บทที่ ๑ บทนำ บรรพชติ ในพระพทุ ธศาสนามีกจิ ทตี่ อ งทำสองประการ คือ ประการแรก ไดแก คนั ถธรุ ะ การศึกษา พระธรรมวินัยซึ่งพระพุทธเจาไดทรงสั่งสอนไว การศึกษาชนิดน้ีเนนภาคทฤษฎี และประการที่สอง คือ วปิ ส สนาธรุ ะ การเรียนพระกรรมฐานโดยเนน ลงไปท่ีการปฏิบตั ิทางกายวาจาและใจ สำหรับการศึกษาท่ีเรียกวา “คันถธุระ” นั้น ในสมัยท่ีพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยูนั้น พระพุทธเจาทรงส่ังสอนสาวกดวยการแสดงพระธรรมเทศนา ดวยพระโอฐตามที่พระองคจะทรงโปรด ประทานแกพุทธบริษัท ผูที่ฟงก็มีทั้งพระภิกษุสงฆและคฤหัสถ สำหรับพระภิกษุสงฆน้ัน เมื่อไดฟงแลวก็ นำมาถายทอดแกสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกตอกันไป การศึกษาคำสอนของพระพุทธเจานี้เรียกวา คันถ ธรุ ะ หรือการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ซึ่งมี ๙ ประการ เรียกวา “นวังคสัตถุศาสน” แปลวา คำสอนของพระ ศาสดามีองคเกา ไดแก สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ ิวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และเวทัลละ พระปริยัติธรรม หรือ นวังคสัตถุศาสนนี้ พระพุทธเจาทรงแสดงดวยภาษาบาลี เพราะในสมัยนั้น ประเทศอินเดียมีภาษาหลักอยู ๒ ตระกูล คอื ภาษาปรากฤต และ ภาษาสันสกฤต ตระกูลภาษาปรากฤตแบง ยอยออกเปน ๖ ภาษา คือ ๑.ภาษามาคธี ภาษาท่ีใชพ ดู กนั อยูในแควน มคธ ๒.ภาษามหาราษฏรี ภาษาทีใ่ ชพ ูดกันอยใู นแควนมหาราษฎร ๓.ภาษาอรธมาคธี ภาษาก่ึงมาคธี เรยี กอกี อยางหนง่ึ วา ภาษาอารษปรากฤต ๔.ภาษาเศารนี ภาษาทใ่ี ชพ ูดกันอยูในแควน สุรเสนะ ๕.ภาษาไปศาจี ภาษาปศาจ หรือภาษาชั้นตำ่ และ ๖.ภาษาอปภรงั ศ ภาษาปรากฤตรนุ หลงั ท่ไี วยากรณไดเปลี่ยนไปเกอื บหมดแลว ภาษามาคธี หรือ ภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงใชส่ังสอนพุทธบริษัท คร้ันตอมา พระพุทธศาสนาไดมาเจริญรงุ เรืองแพรหลายทปี่ ระเทศศรีลังกา ภาษามาคธีไดถูกนักปราชญแกไขดัดแปลง รปู แบบไวยากรณใ หก ะทัดรดั ยิ่งขนึ้ จงึ มีชอื่ ใหมวา “ปาล”ี หรือ ภาษาบาลี เปน ภาษาจารกึ พระไตรปฎกทเ่ี หน็ อยูในปจ จุบัน คำวา บาลี มาจากคำวา ปาลิ0๑ (Pali) “ปาลิ” สำเร็จรูปมาจากรากศัพทวา “ปาล” ธาตุ แปลวา “รกั ษา” ลง อิ ปจจัยในนามกติ ก เมื่อประกอบกันจึงมรี ูปเปน “ปาลิ” หรือคำไทยเรียกวา “บาลี” หมายถึง ภาษาที่รักษาพระพุทธพจนเอาไว ซ่ึงมีรูปวิเคราะหวา “พุทฺธวจนํ ปาเลตีติ ปาลิ” แปลวา “ภาษาใด ยอม รักษาไว ซ่งึ พระพุทธพจน เหตนุ ัน้ ภาษาน้ันช่ือวา บาลี” แปลโดยอรรถวา ภาษาทร่ี กั ษาไวซ ่ึงพระพุทธวจนะ คำสงั่ สอนของพระพุทธเจา ทานจารึกไวในคมั ภรี ต างๆ ดว ยภาษาบาลีซึ่งสามารถแบง ลำดับช้ันของ คมั ภรี ต างๆ ไดดังนี้ ๑.พระไตรปฎก เปนหลักฐานชน้ั หนึง่ เรยี กวา บาลี ๑ บางแหงเปน “ปาลี”สำเร็จรปู มาจาก ปาล ธาตุ ลง ณี ปจจยั ในนามกิตก ปจ จยั ทเี่ น่อื งดว ย ณ ใหลบ ณ ท้ิงเสยี เม่ือประกอบกัน จึงเปน “ปาลี”

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒ ๒.คำอธิบายพระไตรปฎ กเปน หลักฐานชนั้ สอง เรยี กวา อรรถกถา หรือ วณั ณนา ๓.คำอธิบายอรรถกถา เปน หลกั ฐานชนั้ สาม เรยี กวา ฎีกา ๔.คำอธบิ ายฎีกา เปน หลักฐานชนั้ ส่ี เรียกวา อนฎุ ีกา ๕.นอกจากนี้ ยังมีคัมภีรท่ีแตงขึ้นภายหลังอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีในคัมภีรพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ หนังสือประเภทน้ี เรียกวา “ทีปนี” หรือ “ทีปกา” หรือ “ปทีปกา” และคัมภีรท่ีอธิบายเร่ือง ปลีกยอ ยตา งๆ ทม่ี ใี นคมั ภีรท างพระพทุ ธศาสนา หนังสอื ประเภทนี้ เรยี กวา “โยชนา” จะเห็นไดวา คำสอนที่อยูในคัมภีรเหลาน้ี คำสอนที่อยูในพระไตรปฎกเปนหลักฐานสำคัญที่สุด เพราะเปนหลักฐานช้ันแรกที่เรียกวาข้ันปฐมภูมิ คำสอนท่ีอยูในพระไตรปฎกนั้นมีถึง ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขนั ธ โดยแบงเปน ๓ หมวด คอื หมวดที่หน่งึ พระวินัย วาดว ยเรอื่ ง ระเบยี บ กฎ ขอบังคบั ควบคุมกิริยา มารยาท ของภิกษสุ งฆ มี ท้งั ขอ หา มและขอ อนุญาต ท้ังน้ี เพื่อความเปน ระเบียบเรยี บรอยในหมูสงฆ มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ หมวดที่สอง พระสูตร วาดวยเร่อื งราว นิทาน ประวัติศาสตร ที่พระพุทธองคทรงสงั่ สอนและทรง สนทนากับบุคคลท้ังหลาย เกย่ี วกับชาดกตางๆท่ีทรงสอนเปรียบเทียบเปนอุปมาอุปไมยเปนตนมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ หมวดท่ีสาม พระอภิธรรมวา ดว ยธรรมข้นั สงู คอื วา ดวยเร่ืองเฉพาะคำสอนทเ่ี ปนแกน เปน ปรมตั ถ ในรูปปรัชญาลว นๆ มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ คำสอนทง้ั ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธน้ันเรียกวา “ธรรมวนิ ัย” เปนส่ิงสำคญั มากที่สดุ ของชาวพุทธ เพราะถือเปนส่ิงแทนองคพระศาสดา ดงั พทุ ธพจนที่ตรัสกับพระอานนทก อนจะเสด็จ ดบั ขนั ธปริ นพิ พานวา “โย โว อานนฺท มยา ธมโฺ ม จ วนิ โย จ เทสิโต ปฺตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา” แปลความวา “ดูกอนอานนท ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแลว และบัญญัติไวแลว แกเธอ ทัง้ หลาย ธรรมและวินัยนน้ั จักเปนศาสดาของพวกเธอเม่อื เราลวงลับไปแลว” ดังนั้น พระไตรปฎ กถือเปน คมั ภีรท่สี ำคัญมากทสี่ ดุ ของชาวพทุ ธ พระไตรปฎกแตเดิมเปนภาษาบาลีซ่ึงเปนภาษาท่ีมีในมัชฌิมประเทศท่ีเรียกวาแควนมคธ ในครั้ง พทุ ธกาล ตอมาพุทธศาสนาแพรหลายไปในนานาประเทศทใี่ ชภ าษาอน่ื ประเทศตางๆ เหลานนั้ มีทเิ บตและ จนี เปน ตน ไดแปลพระไตรปฎกจากภาษาบาลีเปน ภาษาของตน เพ่ือประสงคท ่จี ะใหเรียนรไู ดงา ย จะไดมคี น เลื่อมใสศรัทธามาก ครั้นไมมีใครเลาเรียนพระไตรปฎก ตอมาก็คอยๆ สูญสิ้นไป สิ้นหลักฐานที่จะสอบสวน พระธรรมวินยั ใหถอ งแทไ ด ลทั ธิศาสนาในประเทศฝายเหนือเหลา นัน้ กแ็ ปรผนั วปิ ลาสไป สว นประเทศฝายใตมี ลังกา พมา ไทย ลาว และ เขมร ประเทศเหลา นคี้ ดิ เห็นมาแตเ ดมิ วา ถาแปล พระไตรปฎกเปนภาษาอ่ืนโดยทิ้งของเดมิ เสยี แลว พระธรรมวินัยก็คงคลาดเคลอ่ื น จึงรกั ษาพระไตรปฎก ไวเปนภาษาบาลี การเลาเรียนคันถธุระก็ตองเรียนภาษาบาลีใหเขาใจเสียชั้นหน่ึงกอนแลวจึงเรียนพระธรรมวินัย ในพระไตรปฎกตอ ไป ดวยเหตุนี้เองประเทศฝายใตจ ึงสามารถรกั ษาลัทธศิ าสนาตามหลักธรรมวินัยย่ังยนื มา ได การศึกษาเลาเรยี นพระปรยิ ัติธรรมท้ังแผนกธรรมและบาลี นอกจากจะเปนการศกึ ษาหลกั ธรรมคำสง่ั สอน แลวยงั ไดชอ่ื วา เปนการสืบตออายุพระพุทธศาสนาไวอ ีกดว ย โดยเฉพาะการศึกษาภาษาบาลี เพราะถาไมร ู

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓ ภาษาบาลีแลว ก็จะไมมีผูใดสามารถรูและเขาใจพระพุทธวจนะในพระไตรปฎก ถาขาดความรูเรื่อง พระไตรปฎกแลว พระพทุ ธศาสนาก็จะตอ งเสือ่ มสญู ไปดว ย ภาษาบาลีไมมีตัวอักษรของตนเอง เรียกวาเปนภาษาพูด ที่ถายทอดกันมาโดยการทองจำ ใชใน ถ่นิ ใดก็ใชอกั ษรของถนิ่ นน้ั ถา ยเสียง เชน ไทยกใ็ ชอ กั ษรไทย ลาวใชอกั ษรธรรม เขมรใชอกั ษรขอม (สวนใหญ เปนขอมบรรจง) ในซีกโลกตะวันตกใชอักษรโรมัน ถา อักษรภาษาใดถายเสียง ไดไมครบเสียงก็จะเปลี่ยนไป แตในปจจบุ ันอกั ษรโรมันเปน ทีน่ ิยมใชมากทส่ี ุดในการศึกษาภาษาบาลีเชน เดียวกับภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี เปนภาษาท่ีเกาแกภาษาหน่ึง ในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปยน) ในสาขายอย อนิ เดยี -อิหราน (อินโด-อเิ รเนียน) ซง่ึ จัดเปนภาษาปรากฤตภาษาหนึง่ เปนท่ีรูจักกันดีในฐานะเปนภาษาท่ีใช บันทึกคัมภีรในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เชน พระไตรปฎก เปนตน โดยมีลักษณะทางไวยากรณ และ คำศัพทที่คลายคลึงกับภาษาสันสกฤต ไมมีอักษรชนิดใดสำหรับใชเขียนภาษาบาลีโดยเฉพาะ มีหลักฐาน จารกึ ภาษาบาลดี วยอกั ษรตาง ๆ มากมายในตระกลู อักษรอนิ เดยี เชน อกั ษรพราหมี อักษรเทวนาครี จนถึง อกั ษรลานนา อกั ษรขอม อักษรไทย อกั ษรมอญ แมกระทงั่ อักษรโรมัน (โดยมีการเพมิ่ เคร่ืองหมายเล็กนอย) ก็สามารถใชเ ขยี นภาษาบาลไี ด ภาษาบาลีมีลักษณะเฉพาะตัวคือ คำทุกคำ (ยกเวนจำพวกอัพยยศัพท) ไมวาจะเปนคำนามหรือ คำกรยิ า ลวนแตม ีรากศัพท หรือผานการประกอบรปู ศัพทท้ังสิ้น ไมใชจะสำเร็จเปนคำศัพทเลยทีเดยี ว และ เมอื่ จะนำไปใชจ ะตอ งมกี ารแจกรปู เสียกอ น เพ่อื ทำหนา ทต่ี างๆ ในประโยคเชน เปน ประธาน เปน กรรม เปน ตน ภาษาไทย แมจะเปนภาษาคนละตระกูลกับภาษาบาลีและ สันสกฤต แตก็รับเอาคำบาลีและ สันสกฤตมาใชใ นภาษาไทยไมนอ ย อาจกลา วไดว ามากกวา ภาษาอนื่ ๆ ทนี่ ำมาใชในภาษาไทยในปจจุบนั เชน ภาษาอังกฤษ แตเมอ่ื นำมาใชใ นภาษาไทยแลว กม็ ีการเปลี่ยนรปู เปล่ียนเสียง เปล่ยี นความหมาย ฯลฯ หรือ ท่เี รยี กวา การกลายรปู กลายเสียง กลายความหมาย ฯลฯ นน่ั เอง ภาษาบาลี ใชถายทอดเผยแผและบันทึกพุทธพจนเร่ือยมา จนกลายเปนภาษาท่ีใชเปนหลัก ใน พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท มพี ระไตรปฎก อรรถกถา และฎกี าเปนตน ในการเขยี นหรือบนั ทึกภาษาบาลี โดยใชอักษรน้ัน ไมมีอักษรชนิดใด สำหรับใชเขียนหรือบันทึกภาษาบาลีโดยเฉพาะ แตเปนไปตามทองถิ่น และยุคสมัย เชน ดินแดนสุวรรณภูมิเคยใชอักษรขอมเรียนบาลี ปจจุบันใชอักษรไทย ในพมาใชอักษรพมา ในศรีลังกาใชอกั ษรสิงหล ในอาณาจักรลา นนาใชอ ักษรธรรมลา นนา เปน ตน ๑.๒ พัฒนาการของภาษาบาลี1๑ สำหรับ ภาษาบาลี มีวิวัฒ นาการมายาวนาน มีการใชภาษาบาลีเพ่ือบันทึกคัมภีรใน พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเปนจำนวนมาก Wilhem Geiger นักปราชญบาลีชาวเยอรมัน ไดเขียน หนังสือในสมยั ศตวรรษที่ ๑๙ คอื Pali Literatur โดยแบงววิ ัฒนาการรูปลกั ษณะของภาษาบาลไี ว ๔ ยคุ คอื ๑ ประวัติความเปนมาและพัฒนาการของภาษาบาลี https://buddhafacts.wordpress.com/ สบื คน เม่ือ ๑๑ ก.ย. ๒๕๖๒

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔ ยุคคาถา (Gatha Language) บาลีที่ใชในยุคน้ี ไดแก ภาษาท่ีทานประพันธเปนคาถา หรือรอยกรอง คำศัพทมีลักษณะเหมือน ภาษาอนิ เดยี โบราณ เพราะการใชค ำยังเกีย่ วขอ งกบั ภาษาไวทกิ ะที่ใชบันทึกคมั ภรี พระเวท ยคุ รอ ยแกว (Prose Language) ไดแกภาษารอยแกว ที่มีในพระไตรปฎกดังที่ทราบกันแลววา พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา สวนมากเปนประเภทรอยกรองและคติพจนส้ันๆ ซึ่งเปนลักษณะของรอยกรอง นักปราชญสวนมากมี ความเห็นวา บทรอยแกวในพระไตรปฎกนั้นเติมเขามาในภายหลัง เพราะรูปแบบเปนภาษาอินโดอารยัน สมยั กลาง แตกตางจากสันสกฤตแบบพระเวทอยางสิ้นเชงิ ดว ยเหตนุ ้ี ภาษาในพระไตรปฎ กจึงเขยี นในยคุ น้ี ยุครอ ยแกว ระยะหลัง (Post-canonical Prose Language) เรยี กชอื่ อีกอยางวา “รอยแกวรนุ อรรถกถา” ไดแก บทรอ ยแกวทีแ่ ตงข้ึนทหี ลัง โดยพระอรรถกถา จารยต า งๆ นับวาเปนชวงระยะเวลาหลงั พระไตรปฎ ก ราวศตวรรษท่ี ๕ เปน ตน ไป ดงั ตัวอยางในคัมภีร เนต ตปิ กรณ มลิ นิ ทปญ หา วิมุตตมิ รรค และวสิ ุทธิมรรค เปน ตน ยคุ รอยกรองประดษิ ฐ (Artificial Poetry) ภาษาท่ีใชใ นยคุ นี้เปนการผสมผสานระหวงภาษาเกาและภาษาใหม กลาวคอื คนแตงสรางคำใหมๆ ขึ้นใชเ พอื่ ใหไ พเราะหแู ละสวยงามและเหมาะสมกับกาลเวลาในชว งน้นั ๆ ๑.๓ สาเหตุที่เปลี่ยนชอ่ื จากภาษามาคธี เปนภาษาบาลี2๑ ภาษามาคธี หรือ ภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงใชส่ังสอนประชาชน ครั้นตอมา พระพทุ ธศาสนาไดมาเจริญแพรหลายท่ปี ระเทศศรลี ังกา ภาษามาคธไี ดถูกนักปราชญแกไขดัดแปลงรปู แบบ ไวยากรณใหกระทัดรัดย่ิงขึ้น จึงมีชื่อใหมวา “ปาลี” หรือ ภาษาบาลี เปนภาษาจารึกพระไตรปฎกดังท่ีเรา เห็นอยูในปจจุบนั เปน ธรรมดาของภาษาที่มีวิวฒั นาการไปตามกาลเวลา ทำใหภาษามกี ารเปลย่ี นแปลง ภาษาบาลีก็ เปนเชน เดยี วกนั มีการวเิ คราะหถ ึงสาเหตทุ ี่ “ภาษามาคธี” กลายชื่อเปน “ภาษาบาล”ี ไวดงั นี้ ๑.) ดวยระยะเวลาท่ีผานมานานถึง ๒,๕๐๐ ป หลักภาษาและถอยคำสำนวนของภาษามาคธีหรือ ภาษาของชาวมคธสมัยพุทธกาล ก็ไดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลากลายเปนภาษามาคธีในยุคใหม ทำให ภาษามาคธีท่ีใชในวัฒนธรรมบาลีกลายเปนภาษาโบราณไป การจะถือวาบาลีใชภาษามาคธีก็ไมถูกตองนัก จึงเรียกเสียใหมวา “ภาษาบาลี” เพ่ือตัดปญหาความเขาใจผิดท่ีจะนำภาษาบาลีไปเปรียบเทียบกับภาษา มาคธสี มยั ใหม ๒.) เน่ืองดวยพระพุทธเจาทรงใชภาษาสุทธมาคธีเปนหลักในการประกาศพระพุทธศาสนา ให เขาถึงชนทุกช้นั วรรณะ ทานไดทรงปรับปรงุ แกไ ขภาษาสุทธมาคธี ซ่ึงชน้ั เดมิ เปน ภาษาปรากฤตใหด ีขึ้น เม่ือ เปนภาษามาคธที ีด่ ีและไพเราะข้ึนดวยอานภุ าพของพระพทุ ธเจา แลว ภาษามาคธีก็มีชอื่ เรียกอีกอยางหนง่ึ วา “บาลี“ ซึ่งแปลวา “แบบแผน“ ๑ ประวตั ิความเปน มาและพัฒนาการของภาษาบาลี https://buddhafacts.wordpress.com/ สืบคน เมอ่ื ๑๑ ก.ย. ๒๕๖๒

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๕ ในปจจุบัน ภาษาบาลมี ีการศกึ ษาอยางกวางขวางในประเทศทีน่ ับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เชน ไทย พมา เปนตน แมกระทั่งในตางประเทศ เชน ประเทศอังกฤษก็มีผูสนใจในพระพุทธศาสนา โดยการ จดั ตง้ั สมาคมบาลีปกรณ (Pali Text Society) ข้นึ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เม่อื ป พ.ศ.๒๔๒๔ ในประเทศไทย ไดมีการศึกษาภาษาบาลีมาชานานแลว โดยเปดสอนตั้งแตระดับไวยากรณถึง เปรียญธรรม ๙ ประโยค มีโรงเรียนสอนภาษาบาลี ใหกับภิกษุสามเณรท่ัวประเทศไทย เปนโรงเรียนพระ ปริยัติธรรม และยังมีเปดสอนในลักษณะหลักสูตรเรงรัดที่มหาวิทยาลัยสงฆทั้งสองแหงกลาวคือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยเฉพาะที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยน้ันไดดำเนินการเรียนการสอนภาษาบาลี ใหบรรดาแมชี ซ่ึงแบงเปน ๙ ชนั้ เรียกวา บ.ศ.(บาลีศึกษา) ๑-๙ มาเปนเวลาชานาน และปจ จุบันน้ี กม็ แี มชสี ำเร็จการศึกษาเปรียญ ๙ ตาม ระบบนีเ้ พิ่มจำนวนมากข้นึ เร่อื ย ๆ ดวย ๑.๔ บาลีในฐานะภาษาบญั ญตั ิสกิ ขาบท สมัยที่พระพุทธเจาประทับจำพรรษาอยูท่ีเมืองเวรัญชา3๑ พรรษาที่ ๑๒ หลังตรัสรูแลว พระสารี บตุ รเกดิ ความปริวติ กหวงใยถึงการดำรงอยูของพระศาสนาจงึ ทูลถามพระพุทธเจาถึงเหตุที่ทำใหพ รหมจรรย 4๒ดำรงอยูนานและไมนานวา “พรหมจรรยของพระผูมีพระภาคพุทธเจาพระองคไหนดำรงอยูไมนาน ของ พระผูมพี ระภาคพุทธเจา พระองคไ หนดำรงอยูนาน พระพทุ ธเจา ขา ” พระผูมีพระภาคตรัสตอบวา “สารีบุตร พรหมจรรยของพระพุทธเจาวิปสสี พระพุทธเจาสิขี พระพุทธเจาเวสสภู ดำรงอยูไมนาน พรหมจรรยของพระพุทธเจา กกุสันธะ พระพุทธเจาโกนาคมนะ และ พระพทุ ธเจากสั สปะ ดำรงอยนู าน” พระสารีบุตร. “อะไรเปนเหตุเปนปจจัยทำใหพรหมจรรยของพระพุทธเจาวิปสสี พระพุทธเจาสิขี และพระพุทธเจาเวสสภู ดำรงอยไู มน าน พระพทุ ธเจา ขา” พระพทุ ธเจา . “สารีบุตร พระพทุ ธเจาวปิ ส สี พระพุทธเจาสขิ ี พระพทุ ธเจาเวสสภู ทรงผอ นคลายท่ี จะแสดงธรรมโดยพิสดารแกสาวก สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวตุ ตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ5๓ ของพระพุทธเจาทั้ง ๓ พระองคจึงมีนอย มิไดทรงบัญญัติสิกขาบทไวแกสาวก ไมมีการแสดง ปาตโิ มกข เมื่อหมดพระพทุ ธเจาและสาวกผตู รัสรตู ามแลว สาวกชน้ั หลงั ๆ ตา งช่อื ตา งโคตร ตา งชาติวรรณะ ไดเขามาบวชจากตางตระกูล เธอเหลานั้นพาใหพรหมจรรยสูญส้ินไปเร็วพลัน เหมือนดอกไมนานาพรรณ กองอยูบนแผนกระดาน ยังไมรอยดวยดาย ยอมถูกลมพัดกระจัดกระจายไป เพราะเหตุไร เพราะไมไดเอา ดายรอยไว ขอนี้ ฉันใด เมื่อหมดพระพุทธเจาและสาวกผูตรัสรูตามแลว สาวกช้ันหลังๆ ตางช่ือ ตางโคตร ตางชาตวิ รรณะ ไดเ ขามาบวชจากตา งตระกูล เธอเหลา น้ันพาใหพรหมจรรยส ญู สน้ิ ไปเรว็ พลนั ฉนั นั้น อน่ึง พระพุทธเจาเหลาน้ันไมทรงผอนคลายท่ีจะกำหนดจิตของสาวกดวยพระทัยแลวทรงส่ังสอน สารบี ุตร เรือ่ งเคยเกิดขน้ึ แลว พระพุทธเจาเวสสภู ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆแ ลวทรงสั่งสอนภิกษุสงฆ ๑,๐๐๐ ๑ เวรญั ชพราหมณ เวรญั ชกณั ฑ มหาวภิ ังค ภาค ๑ พระวินยั ปฎ ก (โปรแกรมพระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั เลม : ๑ หนา : ๑๑) http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=1&siri=1 สบื คน เม่ือ ๑๓ ก.ย.๒๕๖๒ ๒ “พรหมจรรย” ในทน่ี ้หี มายถึง ศาสนา (วิ.อ. ๑/๑๘/๑๘๙) ๓ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อัพภตู ธรรม เวทลั ละ รวมเรียกวา “นวงั คสัตถศุ าสน” แปลวา คำสอน ของพระศาสดามอี งค ๙ ประการ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๖ รูป ในราวปา นาสะพึงกลัวแหงหนงึ่ วา “เธอทงั้ หลายจงพิจารณาเชนนี้ อยาพิจารณาอยางน้ัน จงตง้ั ใจอยางนี้ อยา ตั้งใจอยางน้ัน จงละส่ิงน้ี จงเขาถึงส่ิงน้ีอยูเถิด” จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ที่พระพุทธเจาเวสสภูทรงส่ัง สอน หลุดพนจากอาสวะ เพราะไมมีความถือมั่น สารีบุตร เพราะราวปานาสะพึงกลัว นาสยดสยอง จึงมี เรอื่ งดังนี้ คือ ภกิ ษผุ ูไมปราศจากราคะ เขา ไปราวปา สวนมากเกดิ ความกลัวขนลกุ ขนพอง สารบี ตุ ร นค้ี ือเหตุ ปจจัยทท่ี ำใหพรหมจรรยข องพระพทุ ธเจา วปิ ส สี พระพุทธเจาสขิ ี พระพุทธเจา เวสสภดู ำรงอยไู มนาน” พระสารีบุตร. “อะไรเปนเหตุเปนปจจัยทำใหพรหมจรรยข องพระพุทธเจากกุสนั ธะ พระพทุ ธเจาโก นาคมนะ และพระพทุ ธเจา กสั สปะดำรงอยูนาน พระพทุ ธเจาขา” พระพทุ ธเจา. “สารีบุตร พระพุทธเจากกุสนั ธะ พระพุทธเจา โกนาคมนะ และพระพุทธเจา กัสสปะ ไมทรงผอนคลายที่จะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแกสาวก สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ ิวุตต กะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระพุทธเจา ๓ พระองคจึงมีมาก ทรงบัญญัติสิกขาบทไวแกสาวก มี การแสดงปาติโมกข เมื่อหมดพระพุทธเจาและสาวกผูตรัสรูตามแลว สาวกชั้นหลังๆ ตางชื่อ ตางโคตร ตางชาติวรรณะ ไดเขามาบวชจากตางตระกูล เธอเหลาน้ันพาใหพรหมจรรยดำรงอยูนาน เหมือนดอกไม นานาพรรณกองอยบู นแผนกระดานเอาดายรอยไว ยอมไมถูกลมพัดกระจดั กระจายไป เพราะเหตุไร เพราะ เอาดายรอยไว ขอนี้ ฉันใด เมื่อหมดพระพทุ ธเจา และสาวกผตู รสั รตู ามแลว สาวกชัน้ หลังๆ ตา งชือ่ ตา งโคตร ตางชาตวิ รรณะ ไดเขา มาบวชจากตา งตระกูล เธอเหลานัน้ พาใหพรหมจรรยดำรงอยนู าน ฉันนน้ั สารีบตุ ร น้ี คือเหตุปจจัยที่ทำใหพรหมจรรยของพระพุทธเจากกุสันธะ พระพุทธเจาโกนาคมนะ และพระพุทธเจากัสส ปะ ดำรงอยนู าน” เม่ือพระสารบี ตุ รไดฟ ง ดงั น้ี ก็ยงิ่ ปริวิตกเกดิ เปน หว งพระศาสนาขน้ึ อยางจบั ใจวา ถา พระพุทธเจา ยัง ไมบัญญัตสิ กิ ขาบทพระพทุ ธศาสนาอาจเสื่อมได จงึ ไดก ราบทลู ออนวอนวา “ถึงเวลาแลวพระพทุ ธเจาขา ที่พระผมู พี ระภาคจะทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ทรงยกปาตโิ มกขข ึ้นแสดง แกพระสาวกอันจะเปนเหตุใหพรหมจรรยด ำรงอยไู ดยืนนาน” พระพุทธเจา. “จงรอไปกอนเถิดสารีบุตร ตถาคตรเู วลาในเรื่องที่จะบัญญตั สิ ิกขาบทนั้น ศาสดาจะ ยังไมบัญญัติสกิ ขาบทแกสาวก ไมยกปาติโมกขข้นึ แสดง ตลอดเวลาทยี่ ังไมเกิดอาสวัฏฐานิยธรรม6๑บางอยาง ในสงฆ เม่ือเกิดอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางในสงฆ ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท จะยกปาติโมกขข้ึนแสดง แกสาวก เพ่ือขจัดธรรมเหลาน้ัน สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ มีภิกษุบวชนาน เมื่อสงฆเปนหมูใหญเพราะมีภิกษุบวชนาน และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะบญั ญัติสกิ ขาบท จะยกปาตโิ มกขข้ึนแสดงแกส าวก เพ่อื ขจัดธรรมเหลานั้น สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ แพรหลาย เม่ือสงฆเปนหมูใหญเพราะแพรหลาย และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะ บัญญตั ิสิกขาบท จะยกปาติโมกขขึ้นแสดงแกสาวก เพือ่ ขจัดธรรมเหลานัน้ ๑ ตตฺถ อาสวา ติฐนฺติ เอเตสูติ อาสเวหิ ฐาตพฺพา น โวกฺกมิตพฺพาติ วา อาสวฐานียา แปลสรุปความวา ธรรมเปนที่ต้ังอาสวะ ความชว่ั ตางๆ เชน การกลา วใหรา ยคนอน่ื ความเดือดรอ น และการจองจำ (ว.ิ อ. ๑/๒๑/๑๙๗)

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๗ สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาที่สงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ มลี าภสักการะมาก เมื่อสงฆเปนหมใู หญเพราะมีลาภสักการะมาก และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยา งเกิดใน สงฆ ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท จะยกปาติโมกขข ้ึนแสดงแกส าวก เพ่ือขจดั ธรรมเหลา นน้ั สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ ความเปนพหูสูต เมื่อสงฆเปนหมูใหญเพราะความเปนพหูสูตและมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะบญั ญตั ิสกิ ขาบท จะยกปาติโมกขข ึ้นแสดงแกสาวก เพือ่ ขจดั ธรรมเหลาน้นั สารีบุตร ก็ภิกษุสงฆยังไมมีเสนียด ไมมีโทษ ไมมีสิ่งมัวหมอง บริสุทธ์ิผุดผอง ดำรงอยูในสารคุณ แทจริงในภิกษุ ๕๐๐ รูปน้ี ผูมีคุณธรรมอยางต่ำก็ชั้นโสดาบัน ไมมีทางตกต่ำ มีความแนนอนท่ีจะสำเร็จ สัมโพธ7ิ๑ในวนั ขา งหนา ” ในอรรถกถาเวรัญชกัณฑ8๒ไดกลาวเหตุที่พระพุทธเจาไมทรงบัญญัติสิกขาบทไวกอนลวงหนา ซึ่ง เปรยี บไดกบั แพทยผูไมฉลาด เรยี กบุรษุ บางคน ซ่ึงหวั ฝยังไมเ กิดข้นึ มาแลวบอกวา มานี่แนะ พอมหาจำเรญิ ! หวั ฝใหญจักเกิดขึ้นในสรีระประเทศตรงนี้ของทาน จักยังความเส่อื มฉิบหายใหมาถึงทาน ทานจงรีบใหหมอ เยียวยามันเสียเถิด ดังน้ี ผูอันบุรุษนั้นกลาววา ดีละ ทานอาจารย! ทานนั่นแหละจงเยียวยามันเถิด จึงผา สรีระประเทศซงึ่ หาโรคมิไดของบุรุษน้ัน คัดเลือดออกแลวทำสรีระประเทศตรงน้ันใหกลับมีผิวดี ดวยยาทา พอก และการชะลางเปนตนแลว จึงกลาวกะบุรุษน้ันวา โรคใหญของทานเราไดเยียวยาแลวทานจงให บำเหน็จแกเรา บรุ ุษน้ันพงึ คอนขอด พึงคัดคานและพงึ ติเตียนนายแพทยอยา งน้ีวา หมอโงน ่ีพูดอะไร ไดย ินวาโรค ชนิดไหนของเรา ซึ่งหมอโงน้ไี ดเยียวยาแลว หมอโงนที้ ำทุกขใหเกิดแกเรา และทำใหเราตอ งเสียเลือดไปมใิ ช หรือดังนี้และไมพึงรูคุณของหมอนั้น ขอน้ี ช่ือแมฉันใด ถาเมื่อวีติกกมโทษ9๓ยังไมเกิดขึ้น พระศาสดาพึง บัญญัติสิกขาบทแกพระสาวกไซร พระองคไมพึงพนจากอนิฏฐผล10๔ มีความคอนขอดของผูอ่ืนเปนตน และ ชนทัง้ หลายจะไมพ งึ รกู ำลงั พระปรีชาสามารถของพระองค ฉันนัน้ นั่นแล และสกิ ขาบททีท่ รงบัญญตั ิแลว จะ พงึ กำเริบ คอื ไมต งั้ อยูในสถานเดิม อรรถกถาเวรัญชกัณฑยังกลา วอกี วา วตี ิกกมโทษซ่งึ ถงึ การนับวา ธรรมเปนท่ีต้ังแหงอาสวะ ยอมมี ปรากฏในสงฆ ในกาลใด ในกาลน้ัน พระศาสดายอมทรงบัญญัติสิกขาบทแกพวกสาวก ยอมทรงแสดง ปาติโมกขเพราะเหตุไร เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษเหลานั้นน่ันแล ซึ่งถึงการนับวา ธรรมเปนที่ต้ังแหงอา สวะ พระผูมีพระภาคเจา เมื่อทรงบัญญัติอยางน้ัน ยอมเปนผูไมควรคอนขอดเปนตน และเปนผูมีอานุภาพ ปรากฏ ในสัพพัญูวิสัยของพระองค ยอ มถงึ สกั การะ และสกิ ขาบทของพระองคน ัน้ ยอมไมกำเริบ คือตง้ั อยู ในสถานเดมิ เปรยี บเหมอื นนายแพทยผฉู ลาดเยียวยาหัวฝท ่เี กดิ ขน้ึ แลว ดวยการผาตดั พอกยาพนั แผลและชะ ๑ สัมโพธิปรายณะ จะสำเร็จสัมโพธิในวันขางหนา คือ อุปริ มคฺคตฺตยํ อวสฺสํ สมฺปาปโก... ปฏิลทฺธปมมคฺคตฺตา จะบรรลุมรรค ๓ ช้ันสูงขึ้นไปแนนอน เพราะไดปฐมมรรค(คือโสดาปตติมรรค)แลว(วิ.อ. ๑/๒๑/๒๐๓); อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สมฺโพธิ สัมโพธิ คือ มรรค ๓ (สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค อรหัตตมรรค) ท่ีสูงขน้ึ ไป (สารตถฺ .ฏกี า. ๑/๒๑/๕๕๙). ๒ อรรถกถามหาวภิ ังค ปฐมภาค เวรญั ชกัณฑ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=1&p=14#เปรียบ ดวยแพทยผ ไู มฉลาดทำการผา ตัด สบื คนเมือ่ ๑๗ ก.ย. ๖๒ ๓ ผลแหงความผิด ความไมด ีงาม ทกี่ าวลวงออกมาทางกาย ๔ ผลไมเ ปนท่ปี รารถนา ไมเปนทีพ่ อใจ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๘ ลางเปนตน ทำใหสบาย มีผิวดี เปนผูไมควรคอนขอดเปนตนเลย และเปนผูมีอานุภาพปรากฏในเพราะ กรรมแหงอาจารยข องตน ยอ มประสบสกั การะ ฉะนน้ั ๑.๕ บาลีในฐานะภาษามนุษยตนกัปป(ความอศั จรรยของภาษาบาล)ี 11๑ ศาสนาท้ังหลายในโลกนี้ ตางมีภาษาสำหรับจารึกศาสนธรรมคำสอนของพระศาสดาผูกอต้ัง ศาสนานั้นๆ ภาษาสันสกฤตผนู ับถือศาสนาพราหมณนับถือวาเปนภาษาอันศักด์ิสิทธ์ิ เพราะจารึกคำสอน ของพระเวทฉนั ใด แมภ าษาบาลกี ็เปนเชน เดียวกัน ชาวพุทธทง้ั หลายฝา ยเถรวาทก็นบั ถือวาเปนภาษาศกั ด์ิ สิทธ เพราะจารึกพระธรรมอันเปนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา เพื่อใหเกิดประโยชนแกอนุพุทธยุค หลังไดศึกษาเรยี นรูพ ระพุทธธรรมไดโดยงาย พระมหาเถระท้ังหลายผูแตงคัมภีรอรรถกถา และฎีกา เปน ตน ตางใชภาษาบาลีเปน หลักในการแตง คัมภรี เหลา นน้ั ฉะนั้นการทจ่ี ะมีความรูความเขาใจในพระพุทธศาสนาฝายเถรวาทโดยถูกตองและ สมบรู ณแบบ ที่สดุ น้ัน ขึ้นกับภูมิความความแตกฉานภาษาบาลีเปนสำคัญ เพราะพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ ปจจบุ ันเรียกกันวา “พระไตรปฎก” นนั้ ลวนอยูในรูปของภาษาบาลีทง้ั สิน้ เน่อื งจากภาษาบาลีเปน ภาษา รักษาไวซ ึ่งพระพุทธวจนะ ภาษาบาลีมีความมหศั จรรยพ อสรปุ ไดดังตอไปนี้ ๑. ภาษาบาลีเปนภาษาที่ไมเสื่อม ภาษาบาลีนับวาเปนภาษาท่ีสูงกวาภาษาท้ังหลาย เพราะ สมบูรณดวยคุณวิเศษและสภาวนิรุตติ คำวา สภาวนิรุตตินั้น หมายถึงภาษาท่ีไมมีการเปลี่ยนแปลง ความหมายและอธิบาย มีอำนาจในการแสดงอรรถและอธิบายไดแนนอน เปนภาษาที่ผูวิเศษทั้งหลายมี พระพุทธเจาเปนตนทรงใชอยู กลาวอีกนัยหน่ึง สภาวนิรุตติ หมายถึงภาษาที่ไมมีการเปลี่ยนแปลง ไม เสื่อม ต้ังอยูโดยปกติ สวนภาษาอื่นๆ เมื่อถึงกาลหน่ึงยอมเปลยี่ นแปลงและเสอ่ื มได สำหรับภาษาบาลีแลว จะไมม กี ารเปลย่ี นแปลงและเสอ่ื มเลย ไมวา จะเปนทีไ่ หนๆ ในกาลไหนๆ หากจะมกี ารเปลย่ี นแปลงหรอื เสื่อม สลายก็เปนเพราะผูศึกษา ผูแสดง ผูสอน เรียนผิด แสดงผิด และสอนผิด แมถึงกระนั้น ก็จะไมมีการ เปลี่ยนแปลงโดยตลอดกาล เพราะทานกลาวไวในสัมโมหวิโนทนีวา สถานท่ีพูดภาษาบาลีมากที่สุด คือ นรก ดิรัจฉาน เปรต โลกมนุษย สวรรค และพรหมโลก กลาวอธิบายวา เม่ือโลกแตกสลาย พรหม โลกมิไดเ ขา ขา ยการแตกสลายดว ย ฉะนนั้ พรหมโลกจงึ ต้งั อยูไ ดส ภาพเดมิ ๒. ภาษาบาลีเปนมลู ภาษา ภาษาบาลีจดั เปน ภาษาของมนุษยใ นยคุ แรกของโลก เพราะเมื่อโลก ถึงการแตกสลาย พรหมโลกมิไดแตกสลายไปดวย ฉะน้ันพรหมโลกจึงต้ังอยูในสภาพเดิม โดยไมมีการ เปล่ียนแปลง มีอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กนอยวา มนุษยในยุคแรกของโลกนั้น เปนผูจุติมาจากพรหมโลกดวย อุปาทปฏสิ นธิ มนุษยดังกลา วน้ันพดู ภาษาบาลีซ่ึงเปน ภาษาทีใ่ ชก ันในพรหมโลกเปน ตน ฉะนนั้ นักไวยากรณจึงมีความเช่ือวา ภาษาบาลี เปนมูลภาษาคอื เปนภาษาทมี่ นุษยในยคุ แรกใช พูดกัน ดงั ท่ีคมั ภีรป ทรปู สทิ ธิไดกลา ววา สา มาคธี มลู ภาสา นรา ยายาทกิ ปฺปก า พฺรหมฺ าโน จสฺสตุ าลาปา สมฺพุทฺธา จาป ภาสเร ฯ ๑ ความอศั จรรยข องภาษาบาลี https://www.cybervanaram.net/2010-05-25-08-17-50/87-2010-03-29-07-30- 43?showall=1 สบื คนเม่อื ๑๗ ก.ย. ๖๒

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๙ แปลวา นรชนผูเกิดในปฐมกัปป พรหม แมพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้งหลาย และบุคคลผูมิไดสดับ คำพูดของมนุษยเลย กลาวดวยภาษาใด ภาษานั้นคือมาคธี ภาษามคธเปนภาษาด้ังเดิม (หลวงเทพดรุณา นศุ ษิ ฎ. (ทวี ธรมธัช) บาลีไวยากรณพ เิ ศษ. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๔. หนา ๑) ภาษามาคธี เปน ภาษาด้งั เดมิ ทีใ่ ชพ ูดกนั โดยมนษุ ยตน กัปป พวกพรหม พระพุทธเจา และบคุ คล ผูทย่ี งั ไมเคยไดย ินคำพูดจากบคุ คลอน่ื ๓. ภาษาบาลีเปนสภาวนิรุตติ ทานแสดงไวในสัมโมหวิโนทนีวา ภาษาบาลีเปนสภาวนิรุตติ หมายความวา เปน ภาษา ธรรมชาติ อธิบายวา แมผทู ่ไี มเ คยไดย นิ ไดฟงภาษาอน่ื มากอ น หากมคี วามสามารถ ในการคิดและพูดไดเอง เขาคงจักพูดภาษาบาลีอันเปนภาษาท่ีเขาสนใจเทานั้น หมายความวา ในหนทาง อันยืดยาวแหงสังสารวัฏอันกำหนดนับไมไดน้ัน มีการกำหนดเม็ดพืชของภาษาบาลีอยู ผูท่ีเดินทางไกลใน สงั สารวัฏลว นเคยพดู เคยทองบนภาษาบาลมี าแลว โดยนับไมถว น นั้น เม่ือถงึ เวลาพดู จริงแมจะไมเคยพูด ภาษาบาลมี ากอ น กส็ ามารถพดู ภาษาบาลีไดเอง ทั้งนป้ี รากฏข้ึนมาเพราะพืชพันธแ หง สภาวนิรตุ ตินน่ั เอง ๔. ภาษาบาลีเปนนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ภาษาบาลี นอกจากจะไดชื่อวาสภาวนิรุตติแลว ยังช่ือ วา เปน เหตุแหง นิรตุ ติปฏสิ ัมภิทาญาณอกี ดวย ผูทไี่ ดบรรลนุ ิรุตตปิ ฏสิ มั ภทิ าญาณแลว จะสามารถรูภาษาบาลี ไดเ อง เชนเดียวกนั ความแตกฉานในภาษาบาลีก็เปน ปจจัยสวนหน่งึ แหงการไดบรรลุปฏสิ มั ภทิ าญาณ ๕. ภาษาบาลีเปนภาษารักษาพระศาสนา ภาษาบาลี มิใชจะสมบูรณดวยคุณดังกลาวมาแลว เทาน้ัน ยังไดชื่อวาเปนภาษารักษาพระพุทธศาสนาอีกดวย “การดำรงไวซึ่งวินัยกรรมท่ีรูกันวาเปนอายุ ของพระศาสนา” นนั้ จัดเปน คำพดู ทถี่ กู ทเี ดยี วเพราะในการทำสังฆกรรมมี อุโบสถ ปวารณา อุปสมบท และ สมมติสีมา เปนตน จะสำเร็จไดดวยดีและถูกตองตามแบบแผนพุทธบัญญัติ ถาไมมีวินัยกรรมเก่ียวเนื่อง ดวยการสวดกรรมวาจาแลว ถือวากรรมไมสำเร็จ แตสังฆกรรมนั้นๆ จะสำเร็จไดดวยดีก็ดวยผูสวด กรรมวาจาสามารถสวดกรรมวาจาออกเสียง สิถิล ธนิต วิมุตติ และนิคคหิต ไดถูกตองชัดเจน และผูที่ สวดไดถูกตองชัดเจน จะตองมีความรแู ตกฉานในพยัญชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการมีสิถิลและธนิตเปนตน ซึ่ง แสดงถึงวิธสี วดภาษาบาลี เมื่อมคี วามรูแ ตกฉานในพยัญชนะพุทธิ ๑๐ ประการแลว จงึ สวดกรรมวาจาได ถูกตองชัดเจน และสังฆกรรมยอมสำเร็จสมบูรณตามพุทธประสงค หากไมเรียนรูภาษาบาลีก็ไมสามารถ สวดกรรมวาจาใหสำเร็จได เม่ือเปนเชนน้ัน จึงกลาวสรุปไดวา ภาษาบาลีเปนภาษาที่มีความสำคัญอัน สงู สดุ ตอความดำรงมั่นสน้ิ กาลนานแหงพระพทุ ธศาสนา ๖. ภาษาบาลีเปนภาษาอจินไตย กลา วกันวา พระพุทธองคท รงแสดงพระธรรมจกั กัปปวตั ตนสตู ร ซึ่งเปนปฐมเทศนาดวยภาษาบาลี เม่ือเปนเชนนั้นนาจะมีปญหาวา ผูที่ฟงพระธรรมจักรเทศนาท้ังหลาย (หมายถึงพระปญจวัคคีย) หากไมรูภาษาบาลีแลวจะเขาใจพระธรรมจักรเทศนาที่พระองคทรงแสดงได อยางไร ตอบไดวา ขอที่กลาววาพระองคทรงแสดงพระธรรมจักรดวยภาษามคธนั้นเปนความจริง ทีเดียว ถึงแมวาปฏิคาหก12๑บุคคลผูรับฟงธรรมทั้งหลาย จะรูเฉพาะภาษาของตนอยางเดียวก็จริง ขอ ยกตัวอยางเชน ชนชาวทมิฬก็นึกวา (พระพุทธองค) แสดงธรรมโปรดเขาดวยภาษาทมิฬ ชนชาวอันธกะ ๑ ปฏิคาหก แปลวา ผูรับ มาคูกับคำวา “ทายก” ที่แปลวา ผูให ปฏิคาหก หมายถึง ผูรบั ทาน ผูรับของถวายจากทายก ปกติใชกับ สมณพราหมณ นักพรต นักบวช หรอื บรรพชิต เชน พระภิกษุสามเณร

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๐ ทัง้ หลายก็นึกวา (พระพุทธองค) ทรงแสดงธรรมโปรดเขาดวยภาษาอันธกะเชน เดียวกัน การท่ีผูฟงท้ังหลาย นกึ เชนนั้นเปน เพราะอานภุ าพแหง พระสัมมาสัมพทุ ธเจา ทเ่ี รียกวา “วาจาอจินไตย” อนั มีอยใู นอจินไตย ดวย เหตุดังกลาว การที่จะศึกษาพุทธธรรมใหมีความรูความเขาใจแตกฉาน อยางลุมลึกในอรรถธรรมไดดีน้ัน จำเปนอยางยิ่งที่จะตองเรียนรูเขาใจในภาษาบาลี ที่เรียกวามูลภาษาเสียกอน ดังน้ัน คัมภีรไวยากรณตางๆ นับวาเปนตำราพ้ืนฐานของ การศึกษาภาษาบาลี ท้ังน้ีเพื่อสงเสริมใหเขาใจหลักภาษากอน จากนั้นจึงคอย เขาไป ศึกษาพระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกาเปนตน สืบตอไป(เวทย บรรณกรกุล,ความอัศจรรยของภาษาบาลี http://www.medeepali.net/pali.html (๑๓/๐๒/๐๕) ) เนื่องจากภาษาบาลีเปนภาษาท่ีมีหลักไวยากรณ ดังน้ันกอนที่จะศึกษาภาษาบาลีจึงตองรูจัก ไวยากรณภาษาบาลตี ามสมควร ๑.๖ สรปุ ทา ยบท ความเปนมาและพัฒนาการของภาษาบาลีน้ัน ผานกาลเวลามายาวนานต้ังแตกอนพุทธกาล กระทั่งมีนักปราชญกลาวกันวาภาษาบาลีเปนภาษาของมนุษยตนกัปป เปนภาษาของเทพ ทำใหเห็นเปน ภาษาท่ีศักดิ์สิทธิ์ ในบทน้ีไมประสงคจะวิเคราะหตรวจสอบความเปนมาของภาษาบาลีใหประจักษชัดและ ลึกซ้ึง เพยี งตอ งการใหผ เู ร่มิ ศึกษาทราบวา ภาษามคธหรือภาษาบาลีนั้นมีประวตั ิและพฒั นาการมาตามลำดับ เกิดแรงบันดาลใจ มีความเลื่อมใสศรัทธาที่จะเรียนอยางจริงจังเพราะเห็นคุณคาและความสำคัญ รวมทั้งมี หลักไวยากรณเฉพาะเปนระเบียบแบบแผน และปจจุบันภาษาบาลีก็ยังเปนองคความรูทางภาษาใชศึกษา คน ควาสำหรับพระภิกษุสามเณรในประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท หรือแมแ ตในมหาวิทยาลัยชั้น นำก็ยงั มีวชิ าเอกวาดวยภาษาบาลีโดยเฉพาะ ดังนั้น ผูศึกษาภาษาบาลีจึงควรภาคภูมิใจวาเราไดศ กึ ษาภาษา ของพระพุทธเจา และเปนภาษาที่บันทึกหลกั ธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ทีเ่ รยี กวา พระไตรปฎก อีก ประการหนึง่ ดวย

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๑ ๒.๑ อกั ขระและเสยี ง บทท่ี ๒ การอานภาษาบาลี อักขระ วิธีการเรียกชื่ออกั ษร13๑ทีแ่ สดงเนื้อความของถอยคำท้ังปวง คนทุกชาติกำหนดรูไดด วยอักขระ เมื่อ ไมเขาใจเร่ืองอักขระ ก็ยากที่จะเขาใจเนื้อความไดถูกตอง ฉะน้ัน ความเปนผูฉลาดในอักขระจึงมีอุปการะ มาก คือมปี ระโยชนในการเรยี นภาษาไดเ ปน อยางดี เสียงท่ีเปลงออกจากปาก หรือตัวหนังสือที่ส่ือแทนเสียง ชื่อวา อักขระ หรืออักษร มาจากภาษา บาลีวา อกฺขร แปลวา ไมรูจักส้ินไปอยางหน่ึง ไมเปนของแข็งอยางหนึ่ง เพราะอักขระแมจะนำไปพูดหรือ เขยี นเปนหมื่นเปนแสนก็ไมร จู ักหมดสนิ้ ไป การศึกษาภาษาบาลี หมายถึงการศึกษาภาษาในพระไตรปฎกอันเปนคำสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจา ซ่งึ คำสัง่ สอนเหลานัน้ บรสิ ทุ ธ์ิบริบรู ณด วยอตั ถะและพยญั ชนะ อัตถะ คือ เน้ือความ มี ๓ อยาง ๑. โลกยี ตั ถะ เนือ้ ความทเ่ี ปนโลกยี ธรรม ไดแ ก โลกยี จติ ๘๑ เจตสกิ ๕๒ รปู ๒๘ ๒. โลกตุ ตรัตถะ เนอ้ื ความทีเ่ ปน โลกตุ ตรธรรม ไดแ ก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ๓. โวหารรตั ถะ เนื้อความทีเ่ ปน โวหารบัญญัติ ไดแ ก มนษุ ย ภูเขา แมน ำ้ วตั ถุ เปน ตน ผูจะเขาใจในอัตถะท้ัง ๓ นี้ไดอยางถูกตอ ง เพราะไดศึกษาหลักพยัญชนะคืออกั ษรจนเขาใจดีแลว หากไมเขาใจหลักพยัญชนะ จะเปนเหตุใหเขาใจอัตถะท้ัง ๓ นั้นผิดพลาด พระพุทธองคจึงตรัสวา “เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส สมฺโมสาย อนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติ. กตเม เทฺว. ทุนฺนิกฺขิตฺตฺจ ปทพฺยฺชนํ อตฺโถ จ ทุนฺนีโต, ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส ภิกฺขเว ปทพฺยฺชนสฺส อตฺโถป ทุนฺนโย โหต.ิ ” เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ิติยา อสมฺโมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติ. กตเม เทฺว. สุนกิ ขฺ ิตฺตฺจ ปทพฺยฺชนํ อตฺโถ จ สนุ โี ต, สนุ กิ ขฺ ติ ฺตสฺส ภกิ ฺขเว ปทพฺยฺชนสฺส อตโฺ ถป สนุ โย โหติ.” (อง.ฺ ทกุ . ๒๐/๒๐-๒๑/๕๘ มจร) \"ภิกษทุ ั้งหลาย ธรรม ๒ อยา งเหลานี้ ยอมเปนไปเพ่ือความเส่ือมสลาย เพือ่ ความอันตรธานไปแหง พระสัทธรรม ธรรม ๒ อยางอะไรบาง คือ บทพยัญชนะท่ีนำมาไมถูกตอง และเนื้อความท่ีเขาใจไมถูกตอง เมอ่ื บทพยญั ชนะนำมาไมถกู ตอง แมเ นอ้ื ความกย็ อมเขาใจไมถกู ตอ งเชน กัน ๑ พระมหาสมปอง มุทิโต วัดมหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ คณะ ๒๕ กรุงเทพมหานคร

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๒ ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อยางเหลานี้ ยอมเปนไปเพื่อความต้ังมั่น ไมเส่ือมสลาย ไมอันตรธานไป แหงพระสัทธรรม ธรรม ๒ อยางอะไรบาง คือ บทพยัญชนะที่นำมาถูกตอง และเน้ือความที่เขาใจถูกตอง เม่ือบทพยญั ชนะนำมาถกู ตอ ง แมเน้ือความก็ยอ มเขา ใจถูกตองเชนกนั \" เมื่อเปนเชนนี้ จึงควรอยางย่ิงที่ผปู รารถนารแู ละเขา ใจเนอ้ื ความอยางถูกตอ งครบถว นทง้ั อัตถะและ พยญั ชนะ ควรศกึ ษาใหเขา ใจในวธิ ขี องพยัญชนะคือหลกั ของภาษากอ น ในทนี่ ้ีหมายถึง อกั ขรวธิ ี คอื วธิ ีการ จำแนก การอา น และการเขียน ซึง่ อักษรภาษาบาลถี ูกตอง น่นั เอง เมื่อเขา ใจหลักภาษาดีแลว ยอมเขาใจ เนอ้ื ความไดดี และเม่อื มคี วามเขา ใจเนอ้ื ความถกู ตอ งดี ยอมสามารถปฏบิ ตั ิตามไดถกู ตอ งจนถงึ ความสน้ิ ทุกข ได หากแมหลักภาษาบาลียังไมเ ขาใจ จกั ทำใหส งสัยในเนือ้ ความและขอปฏบิ ตั ินั้น ๆ ยง่ิ ผูป รารถนาจะศกึ ษา คนควาพระบาลีคือพระไตรปฎกอันเปนหลักคำส่ังสอน ย่ิงมีความสงสัยแทบทุกบทไป ดังน้ัน ทานพระโมค คัลลานมหาเถระผูปรชี าชาญในหลกั ภาษาบาลี จงึ ไดก ลา วไวเ ปนคาถาวา โย นริ ุตตฺ ึ น สกิ ฺเขยฺย สกิ ขฺ นฺโต ปฏกตฺตยํ ปเท ปเท วกิ งฺเขยยฺ วเน อนธฺ คโช ยถา. (โมคฺคลลฺ านปฺจกิ าฎีกา) บคุ คลใดไมไ ดศ กึ ษานริ ุตติอนั เปน หลกั ไวยากรณภาษา บุคคลน้นั เมอ่ื ศกึ ษาคน ควา พระไตรปฎก ยอมสงสยั ไปเสียทุก ๆ บท ดุจชางไพรตาบอดเทยี่ วไปในปา ฉนั นน้ั นิรุตติบข ดี เขียน หวงั เพยี งเพียรเรียนพระไตร ทุกทกุ บทยอ มสงสัย ดุจชา งไพรไรดวงตา (แบบเรยี นบาลไี วยากรณ พระมหาสมปอง มทุ ิโต) อักขระ คืออักษรภาษาบาลี ๔๑ ตัว ทานเรียกวา \"อักขระ\" เพราะไมหมดสิ้นไป ดังมีวิเคราะห ศพั ทว า น ขรนฺตีติ อกขฺ รา. วณั ณะทไี่ มหมดสน้ิ ไป ชอื่ วา อกั ขระ ขรนตฺ ิ วนิ สสฺ นฺตตี ิ ขรา, น ขรา อกฺขรา. วัณณะทหี่ มดสิ้นไป ชอื่ วา ขระ วณั ณะทไี่ มห มดสนิ้ ไป ชอื่ วาอกั ขระ

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๓ อักษรภาษาบาลี แบงเปน สระ คอื อักษรทอ่ี อกเสยี งเองไดแ ละชวยใหพ ยญั ชนะออกเสียงได มี ๘ ตวั ไดแ ก อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ พยัญชนะ คอื อกั ษรทท่ี ำใหเนื้อความปรากฏ มี ๓๓ ตวั ไดแ ก กขคฆง จ ฉ ช ฌ ฏ  ฑฒณ ตถ ทธ น ปผพภม ย ร ล ว ส ห ฬ อํ สระ ๘ ตวั แบงเปน รสั สสระ ออกเสยี งสนั้ ๓ ตวั ไดแก อ อิ อุ ทฆี สระ ออกเสียงยาว ๕ ตัว ไดแ ก อา อี อู เอ โอ พยญั ชนะ ๓๓ ตัว แบงเปน พยัญชนะวรรค จดั เขา ไวในพวกเดียวกนั ได มี ๒๕ ตัว แบงเปน ๕ วรรค วรรคละ ๕ ตวั ดังน้ี ก ข ค ฆ ง เรียกวา ก วรรค เพราะมี ก อกั ษรเปน ตวั แรก จ ฉ ช ฌ  เรยี กวา จ วรรค เพราะมี จ อักษรเปน ตวั แรก ฏ  ฑ ฒ ณ เรยี กวา ฏ วรรค เพราะมี ฏ อกั ษรเปน ตวั แรก ต ถ ท ธ น เรยี กวา ต วรรค เพราะมี ต อักษรเปน ตวั แรก ป ผ พ ภ ม เรียกวา ป วรรค เพราะมี ป อกั ษรเปน ตวั แรก การจัดพยัญชนะไวเปนวรรคละ ๕ ตัวเชนนี้ เพราะอักษรทุกตัวในวรรคน้ัน ๆ มีการออกเสียงโดย อาศัยฐาน กรณ และปยตนะ เปนอยา งเดยี วกนั ซงึ่ จะกลาวตอไป พยญั ชนะอวรรค มี ๘ ตวั คือ ย ร ล ว ส ห ฬ อํ (นิคหิต) จดั เขา ไวใ นพวกเดยี วกนั ไมได เพราะมี การออกเสียงโดยอาศัยฐานและกรณต างกนั เสียง สิถิละ ธนิตะ โฆสะ อโฆสะ วิมุตตะ อักษรบาลี ๔๑ ตัวน้ัน เฉพาะพยัญชนะ ๓๓ ตัว มีการออก เสยี งทแี่ ตกตา งกนั บางตวั ออกเสยี งออ น บางตวั ออกเสียงแข็ง บางตวั ออกเสยี งกอ งกังวาล บางตวั ออกเสียง ไมกองกังวาล บางตวั ออกเสียงทงั้ ออ นท้ังกงั วาล เปนตน จำแนกไดดงั น้ี

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔ จำแนกพยญั ชนะ ๓๓ ตวั โดย สถิ ลิ ะ ธนติ ะ วมิ ุตตะ ๑. สถิ ลิ ะ พยัญชนะที่ออกเสียงออน ไดแก พยญั ชนะตวั ท่ี ๑ และ ๓ ของวรรคทั้ง ๕ ไดแ ก ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ ๒. ธนติ ะ พยญั ชนะทอ่ี อกเสียงแขง็ ไดแ ก พยญั ชนะตวั ท่ี ๒ และ ๔ ของวรรคทงั้ ๕ ไดแ ก ข ฆ, ฉ ฌ,  ฒ, ถ ธ, ผ ภ ๓. วิมุตตะ พยัญชนะท่ีออกเสียงพนจากความเปนสิถิละ และธนติ ะ ไดแก พยญั ชนะตัวที่ ๕ ของ วรรคทั้ง ๕ และพยญั ชนะอวรรคท้งั หมด ไดแก ง  ณ น ม, ย ร ล ว ส ห ฬ อํ จำแนกพยัญชนะ ๓๓ ตวั โดย โฆสะ อโฆสะ วิมตุ ตะ ๑. โฆสะ พยัญชนะที่ออกเสียงกังวาล ไดแก พยัญชนะตัวที่ ๓, ๔ และ ๕ ของวรรคท้ัง ๕ และ พยญั ชนะอวรรค ๖ ตัว ไดแ ก ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ณ, ท ธ น, พ ภ ม, ยร ลวหฬ ๒. อโฆสะ พยัญชนะที่ออกเสียงไมก งั วาล ไดแ ก พยัญชนะตัวท่ี ๑ และ ๒ ของวรรคท้ัง ๕ และ พยญั ชนะอวรรค ๑ ตัว ไดแ ก ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, ส ๓. วิมตุ ตะ พยญั ชนะที่ออกเสยี งพนจากความเปน โฆสะและอโฆสะ ไดแ ก อํ (นิคหติ ) เสยี งของอกั ขระ มาตราการออกเสียงอกั ขระ มดี งั น้ี สระส้นั คอื อ อิ อุ ๑ มาตรา สระยาว คอื อา อี อู เอ โอ ๒ มาตรา สระท่มี พี ยญั ชนะสงั โยคซอนอยเู บื้องหลงั ๓ มาตรา พยัญชนะทง้ั ปวงทไ่ี มม ีสระผสม ครง่ึ มาตรา พยญั ชนะทีผ่ สมดว ยสระสนั้ ๑ มาตราครงึ่ พยญั ชนะทผี่ สมดว ยสระยาว ๒ มาตราครงึ่ ( ๑ มาตรา เทา กบั กระพรบิ ตา ๑ คร้ัง ) สระ ๘ ตวั แบง เปน ๒ คอื สระมเี สยี งส้ัน เรียกวา รัสสสระ สระมเี สียงยาว เรียกวา ทฆี สระ

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕ ๒.๒ ฐาน กรณ และปยตนะ อักษรภาษาบาลีทั้ง ๔๑ ตัวเหลาน้ัน จะเปลงออกเสียงได ตองอาศัย ฐาน กรณ และปยตนะ ดจุ เสียงระฆัง จะดังขึ้นไดตอ งอาศยั ฐานคอื ตวั ระฆัง กรณคอื ลูกตุมสำหรับตี และปยตนะคอื ความพยายาม ของผูต ี ฐาน คือที่ตั้งของเสียงอักษร วเิ คราะหวา \"ตินฺติ เอตฺถาติ านํ กณฺาทิ (เสียง)อักษรทั้งหลาย ยอมเกิดข้ึนในที่น้ี เพราะเหตุนั้น ท่ีนั้นชื่อวา ฐาน (า ธาตุ + ยุ ปจจัย) ท่ีตั้งของเสียงอักษร ชื่อวา ฐาน ไดแก กณั ฐะ เปน ตน\" มี ๖ อยา ง คอื ๑. กณั ฐฐาน หลอดลำคอ เปน ทต่ี ัง้ ที่เกดิ ของเสยี ง ๒. ตาลฐุ าน เพดานปาก เปนทตี่ ง้ั ทเ่ี กิดของเสยี ง ๓. มุทธฐาน ปุมเหงอื กบน เปน ทต่ี ้ังทเี่ กดิ ของเสยี ง ๔. ทนั ตฐาน ฟน เปนทตี่ ้ังที่เกิดของเสยี ง ๕. โอฏฐฐาน ริมฝป าก เปน ทตี่ ั้งท่เี กดิ ของเสียง ๖. นาสกิ าฐาน โพรงจมูก เปน ทตี่ ั้งท่เี กิดของเสียง จำแนกอักษร ๔๑ ตัว โดยฐาน ๖ อ อา ก ข ค ฆ ง ห เกดิ ทก่ี ณั ฐฐาน (หลอดลำคอ) อิ อี จ ฉ ช ฌ  ย เกิดทตี่ าลฐุ าน (เพดานปาก) ฏฑฒณรฬ เกดิ ทม่ี ทุ ธฐาน (ปมุ เหงอื กบน) ตถทธนลส เกิดท่ที นั ตฐาน (ฟน ) อุ อู ป ผ พ ภ ม เกดิ ทโ่ี อฏฐฐาน (รมิ ฝป าก) เอ เกิดทก่ี ณั ฐ+ตาลฐุ าน (คอและเพดานปาก) โอ เกดิ ทก่ี ัณฐ+โอฏฐฐาน (คอและรมิ ฝป าก) ว เกิดทีท่ นั ต+โอฏฐฐาน (ฟน และริมฝป าก) อํ เกดิ ทนี่ าสกิ าฐาน (โพรงจมกู ) งณนม เกดิ ทสี่ ก+นาสิกาฐาน (ฐานเดิมและโพรงจมกู ) อกั ษรบางตวั เกดิ จากฐานเดยี ว เรียกวา เอกชะ, บางตวั เกดิ จาก ๒ ฐาน เรยี กวา ทวชิ ะ กรณ คืออวยั วะที่ไปกระทบกับฐานทำใหเ สยี งเกดิ ขน้ึ วเิ คราะหวา \"กรียนฺเต อุจฺจารยี นฺเต เอเตนา ติ กรณํ อักษรทงั้ หลายยอมถกู ออกเสยี ง คอื ถกู ทำใหมเี สียงดังขึน้ ดว ยทามกลางลน้ิ เปน ตน นี้ เพราะเหตนุ นั้ ทามกลางลิน้ เปนตนน้ี ชอ่ื วา กรณ อวัยวะท่ีทำใหสวดออกเสียงอักษรได ชอื่ วา กรณ\" มี ๔ อยา ง คอื ๑. ชิวหามัชฌกรณ กลางลนิ้ ไปกระทบกบั ตาลฐุ านทำใหเสียงเกิดขึน้

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖ ๒. ชวิ โหปค คกรณ ใกลป ลายลิ้น ไปกระทบกบั มทุ ธฐานทำใหเ สียงเกดิ ขนึ้ ๓. ชิวหคั คกรณ ปลายลนิ้ ไปกระทบกับทนั ตฐานทำใหเสยี งเกดิ ขนึ้ ๔. สกฐานกรณ ฐานของตน ไปกระทบกบั ฐานของตนทำใหเสียงเกดิ ขน้ึ จำแนกอกั ษร ๔๑ ตัว โดยกรณ ๔ ๑. กลางลิ้น ทำใหเ กดิ เสยี ง อิ อี จ ฉ ช ฌ  ย ๒. ใกลปลายล้นิ ทำใหเกดิ เสียง ฏฑฒณรฬ ๓. ปลายลน้ิ ทำใหเกดิ เสยี ง ตถทธนลส ๔. ฐานของตน ทำใหเ กดิ เสียง อ อา อุ อู เอ โอ ก ข ค ฆ ง ป ผ พ ภ ม ว ห อํ นักศึกษาควรฝกออกเสียงอักษรทุกตัว โดยพยายามใหกรณไปกระทบกับฐานของอักษรตัวน้ัน ๆ ตามท่ีจำแนกไวนใ้ี หถ กู ตองหรือใกลเคยี งมากที่สุด ปยตนะ คอื ความพยายามในการเปลงเสียงออก วเิ คราะหวา \"อจุ จฺ ารณตถฺ ํ ปยตยี เต ปยตนํ ความ พยายามเพอ่ื การออกเสยี งชือ่ วา ปยตนะ\" มี ๔ อยา ง ไดแก ๑. สังวตุ ปยตนะ ความพยายามปด ฐานเปลง เสยี ง ๒. ววิ ฏปยตนะ ความพยายามเปด ฐานเปลงเสยี ง ๓. ผฏุ ฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานหนักเปลงเสยี ง ๔. อีสงั ผฏุ ฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานเบาเปลงเสียง จำแนกอักษร ๔๑ ตัว โดยปยตนะ ๔ ๑. ความพยายามปด ฐานเปลง เสียง ไดแ ก อ ๒. ความพยายามเปด ฐานเปลง เสียง ไดแ ก อา อิ อี อุ อู เอ โอ ส ห ๓. ความพยายามกระทบฐานหนกั เปลง เสยี งพยัญชนะวรรคทง้ั ๒๕ ตัว ไดแ ก ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ,

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗ ฏ  ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ปผพภม ๔. ความพยายามกระทบฐานเบาเปลง เสยี ง ไดแ ก ยรลวฬ ตารางจำแนกอกั ษรบาลี ๔๑ ตวั ๑ 14 โดยสระ พยัญชนะ ฐาน กรณ ปยตนะ โฆสะ อโฆสะ สถิ ิละ ธนติ ะ วมิ ตุ ตะ ๑ บาลเี บื้องตน สำหรับนกั ศกึ ษาใหม (พระมหาสมปอง มทุ โิ ต วดั มหาธาตุฯ)

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘ ๒.๓ การอาน การเขียน และพยัญชนะสงั โยค การอา น อกั ษรบาลี ๔๑ ตวั นัน้ สระ ๘ ตวั อา นออกเสียงเองไดเลยวา อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ, สว นพยัญชนะ ๓๓ ตวั อา นออกเสียงเองไมได ตองอาศยั สระจึงอา นออกเสียงไดว า ก กา กิ กี กุ กู เก โก เปน ตน , เฉพาะ ํ (นคิ หคิ ) นั้น อาศยั รัสสสระ อ อิ อุ ๓ ตัวเทานน้ั จงึ อานออกเสยี งไดว า อํ อึ อ,ุ ถา พยญั ชนะไมม ีสระจะมจี ุดอยขู างลา ง ใหอ า นเปน สะกด กลำ้ หรอื สะกดควบกล้ำ ตามหลกั พยัญชนะสงั โยค เชน จกฺกํ (จกั กงั ) ภกิ ขฺ ุ (ภกิ ขุ) พฺรหฺมา (พรฺ ะ-หมฺ า) ตสมฺ า (ตสั มฺ า) การเขยี น ภาษาบาลเี ปนภาษาท่ีเขา ไดก บั ทกุ ภาษา ประเทศใดรบั เอาภาษาบาลไี ปกจ็ ะใชอักษร ของตนเขียนแทน โดยใหออกเสียงเหมือนหรอื ใกลเคยี งภาษาบาลมี ากทส่ี ดุ แมประเทศไทยเรากเ็ ชน กนั เม่อื รบั เอาภาษาบาลมี า กใ็ ชอ กั ษรไทยเขียนแทนเสยี งในภาษาบาลี จงึ จำแนกการเขยี นไดด งั น้ี สระเขยี นได ๒ อยา งคอื ๑. สระลอย สระลว น ๆ ที่ยงั ไมม พี ยญั ชนะประกอบ คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๒. สระจม สระที่ใชป ระกอบกบั พยัญชนะ คือ - -า -ิ -ี -ุ -ู เ- โ- พยญั ชนะเขียนได ๒ อยา ง คอื ๑. พยัญชนะลว น ๆ ท่ียงั ไมไ ดป ระกอบกับสระ ใหเติมจดุ ( ฺ ) ขา งลา ง เขยี นดงั น้ี กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ เปน ตน ๒. พยัญชนะทป่ี ระกอบกบั สระ เขยี นดงั น้ี ก กา กิ กี กุ กู เก โก เปน ตน พยัญชนะสงั โยค เรียกอีกนยั หนงึ่ วา ตวั สะกด กล้ำ และสะกดควบกลำ้ หมายถงึ พยัญชนะ ๒ หรอื ๓ ตวั ซอ นกนั โดยไมมสี ระคน่ั ระหวา งกลาง มีวเิ คราะหว า \"สยํ ชุ ชฺ ตีติ สฺโโค พยญั ชนะทถี่ กู ประกอบเขา กนั ชอื่ วา สญั โญคะ\" เชน กกฺ กฺข จฺจ จฺฉ งฺขฺย นทฺ ฺร (จกกฺ ํ ภิกขฺ ุ ปจฺจโย มจฺฉา สงขฺ ฺยา อนิ ทฺ รฺ ิยํ) หลกั การซอ นดงั นี้ พยัญชนะตวั ท่ี ๑ ในวรรคทงั้ ๕ ซอนหนา พยัญชนะตัวที่ ๑, ๒ ในวรรคของตน (๑ ซอ น ๑ ซอ น ๒) พยญั ชนะตวั ที่ ๓ ในวรรคทงั้ ๕ ซอนหนา พยญั ชนะตัวท่ี ๓, ๔ ในวรรคของตน (๓ ซอ น ๓ ซอ น ๔) พยญั ชนะตัวที่ ๕ ในวรรคทงั้ ๕ เวน ง ซอนหนา พยัญชนะตัวที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ในวรรคของตน (๕ ซอน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ เวน ง) สวนพยัญชนะอวรรคนน้ั ซอ นตวั เองและตวั อืน่ ไดม ี ๔ ตวั คอื ย ล ว ส ทเ่ี หลอื ซอ นกับตวั อื่นได ทวั่ ไป เชน อยฺโย มลโฺ ล นพิ ฺพานํ (นวิ วฺ าน)ํ อสสฺ มยหฺ ํ กลยฺ าณํ ชวิ หฺ า อสมฺ ิ

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙ ๒.๔ การเชื่อมคำ(สนธ)ิ สนธิ คอื การตออักษรของศพั ทใ หเ น่ืองกนั เพอ่ื ยอ อกั ษรใหน อ ยลง เปน ประโยชนตอ การแตง ฉนั ท และทำคำพูดใหสละสลวย มวี ิเคราะหว า \"ทวฺ ินนฺ ํ ปทานํ อนตฺ รํ อทสเฺ สตวฺ า สมฺมา ธยี ตตี ิ สนฺธิ บทที่ทาน ทำใหไมเ หน็ ชอ งวา งระหวางบทท้งั ๒ แลว ตอ เขา กนั อยา งดี ช่อื วาสนธิ\" อกั ษรสนธิ ๓ อกั ษรของศัพทท ีน่ ำมาตอ กนั มหี ลกั ใหญอ ยู ๓ อยา ง คือ ๑. สระสนธิ การตอระหวางสระกบั สระ ๒. พยญั ชนะสนธิ การตอระหวา งพยญั ชนะกบั สระหรอื พยัญชนะ ๓. นคิ คหิตสนธิ การตอระหวางนคิ หติ กบั สระหรอื พยญั ชนะ สนธิวธิ าน ๘ โลปาเทโส จ อาคโม วิกาโร ปกตีป จ ทีโฆ รสโฺ ส สโฺ โคติ สนธฺ ิเภทา ปกาสติ า สนธวิ ิธาน คือ วิธกี ารทำสนธมิ ี ๘ คอื (โล อา อา วิ ป ที ร ส)ํ ๑. โลปะ ลบอักษร ๒. อาเทสะ อาเทศ หรอื แปลงอักษร ๓. อาคมะ ลงอาคม หรอื ลงอกั ษรใหม ๔. วกิ าระ การวกิ าร หรอื วปิ รติ หรือทำใหตา งจากอกั ษรเดิม ๕. ปกติ ปรกติอกั ษรไว ไมเปลย่ี นแปลง ๖. ทีฆะ ทำสระเสยี งส้นั ใหยาว ๗. รัสสะ ทำสระเสยี งยาวใหส ั้น ๘. สญั โญคะ ซอ นพยญั ชนะ (ตามหลกั สญั โญคะ) ๑. สระสนธิ สระสนธิ มวี ธิ กี ารตอ ๗ อยา ง คอื โลปะ อาเทสะ อาคมะ วิการะ ปกติ ทฆี ะ รสั สะ โลปะ ลบสระ มี ๒ วธิ ี คือ ๑. ลบสระหนา เชน ยสสฺ อนิ ทฺ รฺ ยิ านิ เปน ยสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ านิ มาตุ อปุ านํ เปน มาตุป านํ ปฺา อินฺทริยํ เปน ปฺินทฺ รฺ ยิ ํ ๒. ลบสระหลัง เชน อิติ อป โส เปน อิตปิ  โส จกขฺ ุ อนิ ฺทรฺ ยิ ํ เปน จกฺขนุ ฺทรฺ ิยํ จตตฺ าโร อเิ ม เปน จตฺตาโรเม ภควา อติ ิ เปน ภควาติ

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๐ อาเทสะ แปลงสระ มี ๒ วธิ ี คือ ๑. อาเทศสระหนา คอื เพราะสระขางหลงั อาเทศ อิ เอ เปน ย, อุ โอ เปน ว เชน วุตตฺ ิ อสสฺ เปน วุตยฺ สฺส (อิ เปน ย) เต อสสฺ เปน ตฺยสสฺ (เอ เปน ย) พหุ อาพาโธ เปน พหวฺ าพาโธ (อุ เปน ว) อถโข อสฺส เปน อถขฺวสสฺ (โอ เปน ว) ๒. อาเทศสระหลงั คือสระหนา เปน ทีฆะ มี เอว ศัพท อยขู างหลัง ใหแ ปลง เอ แหง เอว เปน ริ แลวรสั สะสระหนา เชน ยถา เอว เปน ยถรวิ ตถา เอว เปน ตถรวิ อาคมะ ลงอักษรใหม มี ๒ อาคม คอื อ กับ โอ มหี ลกั ดงั น้ี ๑. ถา สระโอ อยหู นา พยญั ชนะอยหู ลงั ใหลบโอ แลวลง อ อาคม เชน โส-สลี วา เปน ส สลี วา (ลง อ ท่ี โส ) โส -ปฺวา เปน ส ปฺวา (ลง อ ที่ โส) ๒. ถา สระ อ อยูหนา พยญั ชนะอยหู ลัง ใหลบ อ แลว ลง โอ อาคม เชน ปร-สหสสฺ ํ เปน ปโรสหสสฺ ํ (ลง โอ ท่ี ร) สรท-สตํ เปน สรโทสตํ (ลง โอ ที่ ท) วกิ าระ แปลงสระใหผ ดิ ไปจากรูปเดมิ มหี ลักดงั น้ี (ตางจากอาเทส เพราะอาเทสแปลงสระเปน พยญั ชนะ สวนวิการแปลงสระเปน สระ) ๑. วกิ ารสระหนา ใหลบสระหลังแลว วิการสระหนา คอื อิ เปน เอ, อุ เปน โอ เชน มนุ -ิ อาลโย เปน มเุ นลโย ส-ุ อตถฺ ิ เปน โสตถฺ ิ ๒. วกิ ารสระหลงั ใหลบสระหนาแลววกิ ารสระหลงั คอื อิ เปน เอ, อุ เปน โอ เชน พทุ ธฺ สฺส-อวิ เปน พุทธฺ สฺเสว จนฺท-อุทโย เปน จนโฺ ททโย ๓. ถา มีพยัญชนะสงั โยคท่สี ระ อิ หรอื อุ ของคำหลังไมต อ งวกิ ารสระหลงั ใหนำมาเช่ือมกันไดเ ลย ตัว อ ของคำหนาจะหายไป เชน ชวี ิต-อนิ ทฺ รฺ ยิ ํ เปน ชีวติ นิ ฺทรฺ ิยํ เทว-อินฺโท เปน เทวินฺโท จติ ฺต-อปุ ฺปาโท เปน จติ ตฺ ปุ ปฺ าโท ปกติ คงรูปสระไวต ามเดิมไมเ ปล่ยี นแปลง เชน โก อมิ ํ เปน โก อมิ ํ ทีฆะ ทำสระเสยี งสน้ั ใหย าว มี ๒ วิธี คือ ๑. ทีฆะสระหนา คอื เมื่อลบสระหลงั แลว ทำทฆี ะสระหนาบาง เชน โลกสสฺ อติ ิ เปน โลกสฺสาติ สาธุ อติ ิ เปน สาธตู ิ

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๑ ๒. ทีฆะสระหลัง คอื เม่ือลบสระหนา แลว ทำทฆี ะสระหลังบาง เปน พทุ ฺธานสุ ฺสติ เชน พุทธฺ อนุสฺสติ เปน อตโี ต อติ อโิ ต รัสสะ ทำสระเสยี งยาวใหส นั้ มีหลกั ดงั นี้ ถา มีพยญั ชนะหรอื เอว ศัพทอ ยูหลงั ใหรสั สะสระหนา บา ง เชน โภวาที นาม เปน โภวาทิ นาม ยถา เอว เปน ยถรวิ ๒. พยญั ชนะสนธิ พยัญชนะสนธิ มวี ธิ กี ารตอ ๕ อยาง คอื โลปะ อาเทสะ อาคมะ ปกติ สัญโญคะ โลปะ ลบพยัญชนะ คอื เม่ือนคิ คหติ อยหู นา สระอยหู ลงั ใหล บสระหลงั ถา มพี ยญั ชนะเหมอื นกนั ซอ นกนั ๒ ตวั ใหลบ ๑ ตวั เชน เอวํ อสฺส เปน เอวํส ปปุ ผฺ ํ อสฺสา เปน ปุปผฺ ํสา อาเทสะ แปลงพยัญชนะ มี ๔ วิธี คอื ๑. เพราะสระขางหลงั อาเทศ ติ เปน จ แลว ซอ น จฺ (จจฺ ) เชน อติ ิ เอวํ เปน อิจเฺ จวํ อติ ิ อาทิ เปน อจิ จฺ าทิ แปลง อภิ เปน อพภฺ เชน อภิ อุคคฺ จฺฉติ เปน อพฺภคุ คฺ จฉฺ ติ อภิ อกขฺ านํ เปน อพฺภกขฺ านํ แปลง อธิ เปน อชฌฺ เชน อธิ อคมา เปน อชฌฺ คมา อธิ โอกาโส เปน อชโฺ ฌกาโส ๒. แปลง ธ ของ อธิ ที่อยหู ลงั จาก เอกํ เปน ท เชน เอกํ อธิ อหํ เปน เอกมิทาหํ ๓. เพราะสระหรอื พยัญชนะขางหลัง แปลงพยัญชนะไดไ มจ ำกดั เชน สาธุ ทสฺสนํ เปน สาหุ ทสสฺ นํ (ธ เปน ห) ทกุ ฺกตํ เปน ทุกกฺ ฏํ (ต เปน ฏ) ปนีตํ เปน ปณีตํ (น เปน ณ) ๔. เพราะพยัญชนะขา งหลงั แปลง อว เปน โอ เชน อว นทฺธา เปน โอนทฺธา อว กาโส เปน โอกาโส อาคมะ ลงพยญั ชนะใหม ๙ ตัว คอื คฺ ยฺ วฺ มฺ ทฺ นฺ ตฺ รฺ ฬฺ (หรอื ล)ฺ คฺ อาคม เชน ปา เอว เปน ปเคว

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๒ ยฺ อาคม เชน ยถา อิทํ เปน ยถยทิ ํ วฺ อาคม เชน ติ องฺคลุ ํ เปน ตวิ งฺคลุ ํ มฺ อาคม เชน ลหุ เอสสฺ ติ เปน ลหเุ มสสฺ ติ ทฺ อาคม เชน อุ อคโฺ ค เปน อุทคฺโค นฺ อาคม เชน อโิ ต อายติ เปน อิโตนายติ ตฺ อาคม เชน ยสฺมา อหิ เปน ยสฺมาตหิ รฺ อาคม เชน นิ อนตฺ รํ เปน นิรนตฺ รํ ฬฺ อาคม เชน ฉ อภิ ฺญา เปน ฉฬภิฺญา ปกติ ปรกติพยัญชนะไวต ามเดิมไมเ ปลี่ยนแปลง เชน สาธุ เปน สาธุ ไมเ ปลย่ี นเปน สาหุ สัญโญคะ ซอ นพยญั ชนะใหม มี ๒ วธิ ี คอื ๑. ซอ นพยัญชนะเหมือนกนั ตามหลกั พยัญชนะสังโยค (บทท่ี ๕) เชน อิธ ปโมทติ เปน อธิ ปปฺ โมทติ อ ปมาโท เปน อปปฺ มาโท วิ ปยตุ โต เปน วิปฺปยุตฺโต ๒. ซอ นพยญั ชนะตา งกันตามหลักพยญั ชนะสงั โยค (บทท่ี ๕) เชน ป ฆรติ เปน ปคฆฺ รติ ปม ฌานํ เปน ปมชฌฺ านํ ทุ ภิกฺขํ เปน ทพุ ภฺ ิกฺขํ ๓. นคิ คหิตสนธิ นิคคหิตสนธิ มวี ิธกี ารตอ ๔ อยา ง คือ โลปะ อาเทสะ อาคมะ ปกติ โลปะ ลบนคิ หติ เพราะสระหรือพยัญชนะขา งหลัง ใหล บนคิ หติ ขางหนา บา ง เชน ตาสํ อหํ เปน ตาสาหํ อริยสจฺจานํ ทสสฺ นํ เปน อรยิ สจจฺ าน ทสสฺ นํ เอตํ พทุ ฺธานํ สาสนํ เปน เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ อาเทสะ อาเทศนิคหิต มี ๕ อยา ง คอื ๑. เพราะพยัญชนะวรรคขางหลัง แปลงนคิ หติ เปน พยัญชนะทสี่ ดุ วรรคบา ง เชน เอวํ โข เปน เอวงฺโข ตํ ชาตํ เปน ตชฺ าตํ ตํ านํ เปน ตณฺานํ ตํ ตโนติ เปน ตนฺตโนติ ตํ ผลํ เปน ตมผฺ ลํ ๒. เพราะ เอ หรอื ห ขา งหลัง แปลงนคิ หติ เปน  แลว ซอน ฺ เชน ตํ เอว เปน ตฺเว ตํ หิ เปน ตฺหิ

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๓ ๓. เพราะ ย ขา งหลัง แปลงนคิ หติ กบั ย เปน  แลว ซอ น ฺ เชน สโํ ยโค เปน สฺโโค สโํ ยชนํ เปน สโฺ ชนํ ๔. เพราะ ล ขา งหลงั แปลงนคิ หติ เปน ลฺ เชน ปลุ งิ ฺคํ เปน ปลุ ฺลิงคฺ ํ ๕. เพราะสระขา งหลงั แปลงนิคหิตเปน มฺ และ ทฺ เชน ตํ อหํ เปน ตมหํ ยํ อนจิ ฺจํ เปน ยทนจิ ฺจํ อาคมะ ลงนิคหิตใหม เพราะสระหรอื พยัญชนะขางหลัง ลงนคิ หติ อาคมไดบ าง เชน จกขฺ ุ อทุ ปาทิ เปน จกฺขุ อทุ ปาทิ อว สิโร เปน อวสํ โิ ร ปกติ วางนิคหติ ไวต ามเดิมไมเ ปล่ยี นแปลง เชน ธมฺมํ จเร เปน ธมมฺ ํ จเร ๒.๕ สรปุ ทา ยบท คำในภาษาบาลี เมื่อนำมาเขียนเปนอักษรไทยแลว มีลักษณะควรสังเกตประกอบการอาน ดังนี้ ๑. ตัวอักษรทุกตัวที่ไมมีเคร่ืองหมายใดอยูบนหรือลาง และไมมีสระใดๆ กำกับไว ใหอานอักษร นั้นมีเสียง \"อะ\" ทุกตัว เชน อรหโต อานวา อะ-ระ-หะ-โต ภควา อานวา ภะ-คะ-วา นมามิ อานวา นะ-มา-มิ โลกวิทู อานวา โล-กะ-วิ-ทู ๒. เม่ือตัวอักษรใดมีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) อยูขางใตแสดงวาอักษรน้ันเปนตัวสะกดของอักษรท่ี อยูขางหนา ผสมกันแลวใหอานเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เชน สมฺมา (สะ+ม = สัม) อานวา สัม-มา สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อานวา สัง-โฆ สตฺตา (สะ+ต = สัต) อานวา สัต-ตา ยกเวน ในกรณีท่พี ยัญชนะตัวหนา มเี ครือ่ งหมายสระกำกับอยูแลว กใ็ หอ า นรวมกนั ตามตัวสะกดนน้ั เชน เอตฺถ อานวา เอต-ถะ พุทฺธสฺส อานวา พุท-ธัส-สะ อิตฺถี อานวา อิต-ถี โสตฺถิ อานวา โสต-ถิ ๓. เม่ืออักษรใดมีเคร่ืองหมาย ํ (นิคคหิต) อยูขางบนตัวอักษร ใหอานเหมือนอักษรน้นั มีไมหัน อากาศและสะกดดวยตัว \"ง\" เชน อรหํ อานวา อะ-ระ-หัง สงฺฆํ อานวา สัง-ฆัง

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๔ ธมฺมํ อานวา ธัม-มัง สรณํ อานวา สะ-ระ-นัง อฺํ อานวา อัญ-ญัง แตถาตัวอักษรนั้นมีท้ังเคร่ืองหมาย ํ (นิคคหิต) อยูขางบนและมีสระอื่นกำกับอยูดวย ใหอาน ออกเสียงตามสระท่ีกำกับ + ง (ตัวสะกด) เชน พาหุ อานวา พา-หุง อกาสึ อานวา อะ-กา-สิง ๔. เมื่ออักษรใดเปนตัวนำแตมีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) อยูขางใตดวย ใหอานออกเสียง \"อะ\" ของ อักษรน้ันเพียงคร่ึงเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เชน สฺวากฺขาโต อานวา สะหวาก-ขา-โต พฺยฺชนํ อานวา พะยัญ-ชะ-นัง อินฺทฺริยํ อานวา อิน-ทะริ-ยัง คำเรยี กชอ่ื ของสระทงั้ ๘ ตวั เรียกวา นิสสฺ ย เพราะเปน ทอี่ าศัยของพยัญชนะในการออกเสยี ง คำ เรียกชอ่ื ของพยญั ชนะทง้ั ๓๓ ตวั เรียกวา นิสสฺ ติ เพราะตองอาศัยสระจงึ ออกเสียงได มาตราของอักษร มดี ังนี้ สระเสยี งสน้ั มหี นงึ่ มาตรา สระเสยี งยาว มีสองมาตรา พยญั ชนะทงั้ หมด มีกึ่งมาตรา โฆสะ ไดแ ก อกั ษรท่ีมเี สยี งกอ ง มี ๒๑ ตวั คอื อกั ษรตัวท่ี สาม สี่ หา ของวรรค และ ย ร ล ว ห ฬ มบี าลีวา “วคฺคานํ ตติยจตตุ ถฺ ปจฺ มา ยรลวหฬา จาติ เอกวสี ติ โฆสา” อโฆสะ ไดแ ก อกั ษรท่ีมีเสียงไมก อง มี ๑๑ ตวั คือ อกั ษรตัวที่ หน่ึง สอง ของวรรค และ ส มีบาลี วา “วคฺคานํ ปมทตุ ยิ า สกาโร จ อโฆสา” สถิ ลิ ะ ไดแ ก อักษรท่มี ีเสยี งนมุ เสียงเบา มี ๑๐ ตวั คอื อักษรตวั ที่ หนง่ึ สาม ของวรรค มีบาลวี า “สถิ ิลํ นาม ปจฺ สุ วคเฺ คสุ ปมตตยิ ”ํ ธนติ ะ ไดแ ก อักษรทมี่ ีเสยี งแขง็ เสยี งดงั มี ๑๐ ตวั คอื อักษรตวั ท่ี สอง ส่ี ของวรรค มีบาลวี า “ธนิตํ นาม เตเสวฺ ว ทุตยิ จตุตถฺ ”ํ สงั โยคะ ไดแก พยัญชนะตง้ั แตส องตวั ขน้ึ ไปอยูตดิ กนั โดยไมมีสระมาค่ันในระหวาง เชน สตุ วฺ า ระหวา ง ตฺ กบั วฺ ไมม สี ระมาคั่นในระหวาง เรียกวา เปน สงั โยคกนั การอานทีถ่ กู ตอ งนำไปสกู ารเขียนทถ่ี ูกตองดว ยเชน กนั ดังนนั้ การออกเสียงใหถูกตามฐาน กรณ และปยตนะ จงึ เปน เรอ่ื งท่ีควรฝก ฝนใหเกดิ ความเคยชนิ จนเปลงเสียงออกมาเปน ธรรมชาตติ ามเปน จรงิ เพอ่ื เปนการรกั ษาเสียงเดมิ ของบาลีสากลไว ยอมรกั ษาพระพทุ ธศาสนาใหด ำรงอยูอยา งยง่ั ยนื

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๕ บทที่ ๓ สวนแหงคำพดู ในภาษาบาลี15๑ ๓.๑ นามศัพท นามศัพท คือบทท่ีนอมไปสูความหมาย ใชเรียกชื่อคน สัตว วัตถุ สิ่งของ สถานที่ ตนไม แมน้ำ ภเู ขา สภาวธรรม เปนตน วเิ คราะหวา\"อตถฺ ํ นมตีติ นามํ บทท่ีนอ มไปสูความหมายช่ือวานาม, อตตฺ นิ อตฺถํ นาเมตีติ วา นามํ หรือบทท่ีนอมความหมายมาไวในตนช่ือวานาม\" แบงเปน ๓ คือ สุทธนาม16๒ คุณนาม และ สพั พนาม สุทธนาม สุทธนาม คือนามลวน ๆ เปนช่ือของคน สัตว วัตถุสิ่งของ สถานที่ สภาวะตาง ๆ แบง ออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. สาธารณนาม ชื่อทว่ั ไปไมเจาะจงถึงคนใด สงิ่ ใด หรอื สถานท่ใี ด เชน มนสุ ฺโส มนษุ ย ตริ จฉฺ าโน สตั วเ ดรัจฉาน ธนํ ทรพั ย นครํ เมือง นที แมนำ้ สนฺติ ความสงบ ๒. อสาธารณนาม ชือ่ เฉพาะเจาะจงไมท ่วั ไปแกคน สิ่งของ หรอื สถานทอ่ี นื่ เชน สาริปตุ ฺโต พระสารบี ตุ ร ปเสนทโิ กสโล พระเจาประเสนทโิ กศล สาวตฺถี เมอื งชือ่ สาวตั ถี เอราวโณ ชา งชือ่ เอราวัณ ราหุโล พระราหลุ คณุ นาม คุณนาม หรือ วิเสสนาม คือคำที่แสดงลักษณะพิเศษของสุทธนาม คือแสดงลักษณะอาการของ สทุ ธนามเปนการขยายใหรูวาสุทธนามน้ันมีลักษณะเชนไร เชนวา ดี ช่ัว สูง ต่ำ ดำ ขาว ยาว ส้ัน ใหญ เล็ก โง ฉลาด เปนตน คุณนามที่ขยาย หรือแสดงลักษณะอาการของสุทธนามบทใดตองมีลิงค วจนะ และวิภัตติ เหมือนกับสุทธนามบทน้ันท่ีตนแสดงลกั ษณะอาการ ใชคำวา ผู หรือ มี หรือ อนั หรือ ที่ หรือ ตัว คำใดคำ หนึ่งใหฟง แลวกลมกลืนเหมาะสมถูกตอ งตามหลกั ภาษา นยิ มเรียงไวห นา สุทธนาม เชน ๑ ตำราบาลไี วยากรณข องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เรียกวา “วจวี ภิ าค” แปลวา การจำแนกถอยคำ โดย แบงคำพดู ออกเปน ๖ สวน คอื นาม อัพยยศัพท สมาส ตทั ธติ อาขยาต และกติ ก ๒ ตำราบาลีไวยากรณของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ใชค ำวา “นามนาม”

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๖ ปริสุทโฺ ธ นโร อ.คน ผบู ริสุทธ์ิ ปลุ ิงค ปรสิ ุทธฺ า อติ ถฺ ี อ.หญงิ ผบู รสิ ทุ ธ์ิ อิตถลี งิ ค ปรสิ ทุ ธฺ ํ กลุ ํ อ.ตระกูล อนั บรสิ ทุ ธ์ิ นปสุ กลิงค ปรสิ ทุ ฺเธ กเุ ล ในตระกูล ทบี่ ริสุทธิ์ สตั ตมวี ิภตั ติ คณุ นาม แบง ออกเปน ๓ ระดับ คอื ๑. คณุ นามปกติ คอื คุณนามระดับธรรมดาไมม คี วามพเิ ศษอะไร เชน สุนฺทโร ดี งาม อรอย ปาโป บาป ชวั่ เลว ทราม ๒. คุณนามวิเศษ คือคุณนามระดับพิเศษข้ึนกวาปกติ จะมี ตร อิย อิยิสฺสิก-ปจจัย หรือมี อต-ิ อปุ สคั เปน เครื่องหมายของคณุ นามนั้น เชน สุนฺทรตโร หรอื อตสิ ุนฺทโร ดยี ิ่ง งามยิ่ง อรอ ยยงิ่ ปาปตโร หรอื อติปาโป บาปยิ่ง ช่ัวยิ่ง เลวยง่ิ ๓. คุณนามอตวิ ิเศษ คือ คุณนามระดับพิเศษที่สุด จะมี ตม อิ -ปจจัย หรือมี อตวิ ิย-ศพั ท เปน เครอื่ งหมายของคุณนามน้นั เชน สุนทฺ รตโม หรอื อตวิ ิย สนุ ทฺ โร ดที ีส่ ุด งามทส่ี ดุ อรอ ยท่สี ดุ ปาปตโม หรอื อตวิ ยิ ปาโป บาปท่สี ดุ ชว่ั ทส่ี ดุ เลวที่สุด สพั พนาม สัพพนาม คือคำท่ีใชแทนนามที่เปนชื่อคน สัตว สิ่งของ สถานท่ี เปนตน ท่ีออกช่ือมาแลว เพ่ือ ไมใหซำ้ ซากซง่ึ ฟงไมเ พราะหู มีวิเคราะหศัพทว า \"สพฺเพสํ อิตถฺ ปิ ุมนปุส กานํ นามานิ สพพฺ นามานิ คำนามที่ ใชแทนชื่อของนามที่เปนอิตถีลงิ ค ปุงลิงค และนปุงสกลิงค ชอื่ วาสัพพนาม\" มี ๒๗ ตัว คือ สพฺพ กตร กตม อุภย อิตร อฺ อฺตร อฺตม ปุพฺพ ปร อปร ทกฺขิณ อุตฺตร อธร ย ต เอต อมิ อมุ กึ เอก อภุ ทวฺ ิ ติ จตุ ตมุ หฺ อมฺห แบง เปน ๓ คอื ปรุ สิ สพั พนาม วิเสสนสัพพนาม และ สังขยาสพั พนาม ปุริสสพั พนาม ปรุ สิ สพั พนาม คอื สัพพนามทเ่ี อยถึงบุรุษในการสนทนา มี ๓ บุรุษ คือ ๑. ปฐมบุรุษ ใช ต สพั พนามแปลวา เขา มนั เปน ตน แทนช่ือคนหรือสิ่งที่เราเอยถึง เชน โส คามํ คจฉฺ ติ เขาไปบา น ๒. มชั ฌมิ บรุ ษุ ใช ตมุ ฺห ศพั ทแปลวา ทา น เธอ คณุ เจา เปน ตน แทนชอ่ื คนทีเ่ ราพดู ดว ย เชน ตมุ ฺเห กสุ ลํ กโรถ พวกทา นจงพากันทำกุศล ๓. อตุ ตมบรุ ษุ ใช อมหฺ ศัพทแปลวา ขา พเจา ผม ดิฉนั เรา เปน ตน แทนช่อื เราเอง เชน อหํ ปฺจ สลี านิ สมาทยิ ามิ ขาพเจาสมาทานศลี ๕ วิเสสนสัพพนาม วิเสสนสัพพนาม คอื สพั พนามที่ใชแ ทนและขยายนามคลายคณุ นาม มี ๒ อยาง คอื ๑. อนิยมวเิ สสนสัพพนาม คือวเิ สสนสพั พนามทบ่ี อกความไมแ นนอน มี ๑๓ ศัพท คือ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๗ สพพฺ ทง้ั ปวง กตร, กตม คนไหน อะไรบา ง อุภย ท้ังสอง อิตร นอกจากน้ี อฺ อนื่ อฺตร, อฺตม คนใดคนหนึง่ ปร อื่น อปร อนื่ อีก ย ใด เอก หน่งึ พวกหนง่ึ กึ ไหน ไร ๒. นยิ มวเิ สสนสัพพนาม คอื วิเสสนสพั พนามท่บี อกความแนน อน มี ๘ ศัพท คอื ปพุ พฺ ขา งหนา ทกขฺ ณิ ดา นขวา อุตตฺ ร ดานซา ย ดานเหนือ อธร ดานลา ง ภายใต ต น้ัน เอต น่นั อิม น้ี อมุ โนน สงั ขยาสพั พนาม สงั ขยาสัพพนาม คอื สัพพนามทใี่ ชนบั จำนวนสุทธนาม มี ๕ ตวั คอื เอก หน่ึง อภุ ทงั้ สอง ทฺวิ สอง ติ สาม จตุ ส่ี ขอ สังเกต สุทธนาม คุณนาม และสัพพนาม ท้ัง ๓ น้ี ตองประกอบดวย ลงิ ค วจนะ และวภิ ัตติ จึงสามารถ นำไปประกอบในประโยคตาง ๆ ได เชน มนสุ โฺ ส, สาริปตุ โฺ ต, สุนทฺ โร, โส, ตฺวํ, อห,ํ สพฺโพ, โย เปนตน สุทธนาม มีอำนาจท่ีจะบังคับคุณนามใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกับสุทธนามซ่ึงเปนเจาของ เพราะวา คุณนามจะมีไดตอ งอาศยั สทุ ธนาม ถา สทุ ธนามไมมี คณุ นามก็ไมป รากฏ คณุ นาม แสดงลกั ษณะของสุทธนามบทใด เรยี งไวหนา สุทธนามบทนัน้ เชน อุจฺโจ รุกฺโข ตน ไมสูง อุจฺเจ รกุ เฺ ข สกณุ า นกบนตน ไมสงู ถาเน่ืองดว ยกิริยา วามี วา เปน จะเรียงไวห ลังสทุ ธนามซึ่งเปน เจาของ และวางไวห นากริ ิยา วามี วา เปน เชน สคุ นฺธํ ปุปฺผํ มนุสฺสานํ มนาป โหติ ฯ ดอกไมมกี ล่ินหอมยอมเปนที่ชอบใจของมนุษย คุณนาม กับ สัพพนาม ตองอาศัยสุทธนามเปนหลัก ถาไมประกอบ ลิงค วจะ วิภัตติ จะไม สามารถรไู ดว า เปน คุณนามและสพั พนามแหง สทุ ธนามตัวไหน ไมส ามารถจะประกอบคำพูดเขา เปนประโยค ได ๓.๒ ลิงค การนั ต วจนะ วิภตั ติ ลงิ ค การันต วจนะ และวภิ ัตติ ทั้ง ๔ น้ี ประกอบรวมอยใู นสุทธนาม คณุ นาม และสพั พนาม ลิงค ลิงค คอื เพศของนาม มีวเิ คราะหวา \"ลงิ ฺคติ อติ ฺถี ปุริโสติ วิภาคํ คจฺฉติ เอเตนาติ ลิงคฺ ํ เพศท่ีใช จำแนกนามวาเปน หญิงหรือ ชาย ชือ่ วาลิงค\" มี ๓ อยาง คอื

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๘ ๑.ปุงลงิ ค เพศชาย เชน ปพพฺ โต ภเู ขา อหิ งู สิขี นกยงู เสตุ สะพาน ปารคู ผูถงึ ฝง ๒.อิตถลี ิงค เพศหญงิ เชน ถวกิ า ถงุ สตฺติ หอก ธานี เมอื ง อุรุ ทราย สรพู ตุกแก ๓.นปงุ สกลงิ ค ไมใชเ พศชายเพศหญงิ หรอื ไมม ีเพศ เชน อณิ หน้ี อจฺจิ เปลวไฟ อสฺสุ นำ้ ตา ลิงค ๒ พวก คือ ๑. ลงิ คโ ดยกำเนดิ คอื นามศัพทท ีม่ เี พศตามกำเนดิ ของตัวจรงิ เชน ปรุ โิ ส ชาย เปน ปงุ ลงิ ค อิตถฺ ี หญิง เปนอติ ถีลงิ ค จิตตฺ ํ จิต เปนนปงุ สกลงิ ค ๒. ลิงคโดยสมมติ คอื นามศพั ทท ่ีมีเพศตามสมมุตขิ ึ้น ไมตรงตามตวั จรงิ เชน ทาโร เมีย สมมติใหเปน ปุงลงิ ค ปเทโส ประเทศ สมมติใหเ ปน ปงุ ลงิ ค ปวี แผนดิน สมมตใิ หเปน อิตถลี ิงค จำแนกนาม ๓ โดยลงิ ค ๑. สุทธนาม บางศัพทเปนลิงคเดียว คือจะเปนปุงลิงค อิตถีลิงค หรือนปุงสกลิงค ก็เปนไดอยาง เดียว ปงุ ลงิ ค เชน ปรุ โิ ส ชาย อมโร เทวดา อาทิจฺโจ พระอาทติ ย อนิ ฺโท พระอนิ ทร อโี ส คนเปน ใหญ อุทธิ ทะเล เอรณฺโฑ ตน ละหงุ

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๙ โอโฆ หวงนำ้ กณฺโณ หู จนโฺ ท พระจันทร ตรุ ตนไม ปพฺพโต ภเู ขา ยโม พระยม อิตถลี งิ ค เชน อติ ถฺ ี หญงิ อจฉฺ รา นางอปั สร,น้ิวมอื อาภา รัศมี อิทธฺ ิ ฤทธ์ิ อีสา งอนไถ อุฬุ ดาว เอสกิ า เสาระเนยี ด โอชา โอชา กฏิ สะเอว จมู เสนา ตารา ดาว ปภา รศั มี ยาคุ ขาวตม นปงุ สกลิงค เชน จิตฺตํ จติ องฺคํ องค อารมมฺ ณํ อารมณ อณิ ํ หน้ี อีริณํ ทงุ นา อทุ กํ นำ้ เอฬาลุกํ ฟก เหลือง โอกํ นำ้ กมฺมํ กรรม จกฺขุ นยั นต า เตลํ นำ้ มนั ปณฺณํ ใบไม, หนังสอื ยานํ ยาน ๒. สุทธนาม บางศัพทเปนได ๒ ลิงค คือนามศัพทเพียงศัพทเดียว มีรูปอยางเดียว เปนไดท้ัง ๒ ลงิ ค หรอื มรี ากศัพทเ ปนอยางเดียวกัน เปลย่ี นแตสระทส่ี ุดใหตา งกันพอเปนเคร่ืองหมายใหล ิงคตางกนั บา ง

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๐ สุทธนามศัพทเ ดียว มีรปู อยา งเดียว เปน ๒ ลิงค เชน คำแปล ปุงลิงค นปงุ สกลงิ ค อกฺขโร อกฺขรํ อักษร อคาโร อคารํ เรือน อตุ ุ อตุ ุ ฤดู ทิวโส ทิวสํ วนั มโน มนํ ใจ สํวจฺฉโร สวํ จฺฉรํ ป สุทธนามมมี ูลศพั ทเ ปน อยางเดียว เปลย่ี นแตส ระท่ีสดุ เปน ๒ ลิงค ปุงลิงค อติ ถลี งิ ค คำแปล ราชา ราชินี พระราชา, พระราชนิ ี อรหา,อรหํ อรหนตฺ ี พระอรหันต อาชีวโก อาชวี กิ า นกั บวช อปุ าสโก อุปาสิกา อุบาสก,อบุ าสิกา กุมาโร กมุ ารี,กุมาริกา เด็ก โคโณ คาวี โค โจโร โจรี โจร าตโก าตกิ า ญาติ ตรโุ ณ ตรุณี ชายหนมุ ,หญิงสาว เถโร เถรี พระเถระ,พระเถรี ทารโก ทาริกา เดก็ ชาย,เดก็ หญิง เทโว เทวี พระเจาแผนดิน,พระราชเทวี นโร นารี คนผูช าย,คนผหู ญงิ ปรพิ ฺพาชโก ปริพพฺ าชิกา นกั บวชชาย,นกั บวชหญิง ภิกขฺ ุ ภิกฺขุนี ภกิ ษุ,ภิกษุณี ภวํ โภตี ผเู จรญิ มนุสโฺ ส มนุสสฺ ี มนษุ ยชาย,มนุษยห ญิง ยกฺโข ยกขฺ ินี ยกั ษ,ยักษิณี ยวุ า ยวุ ตี ชายหนมุ ,หญิงสาว สขา สขี เพ่ือนชาย,เพือ่ นหญงิ หตถฺ ี หตถฺ ินี ชา งพลาย,ชางพงั ๓. คุณนามและสัพพนาม เปนไดท งั้ ๓ ลงิ ค เพราะตองเปล่ียนลิงคไปตามสทุ ธนามท่ีตนขยายและ ใชแ ทน คณุ นาม เปน ไดท้งั ๓ ลิงค เชน กลยฺ าโณ ปรุ โิ ส ชายดี เปนปงุ ลิงค กลยฺ าณี อติ ถฺ ี หญิงดี เปนอติ ถีลงิ ค กลฺยาณํ จติ ตฺ ํ จติ ดี เปนนปงุ สกลงิ ค

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๑ ตัวอยา งคุณนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค มดี งั น้ี ปงุ ลงิ ค อิตถลี งิ ค นปุงสกลิงค คำแปล กมฺมกาโร กมมฺ การินี กมมฺ การํ ทำการงาน คุณวา คุณวตี คุณวํ มีคณุ จณโฺ ฑ จณฑฺ า จณฑฺ ํ ดุราย เชโ เช า เช ํ เจริญทสี่ ดุ ตาโณ ตาณา ตาณํ ตา นทาน ถิโร ถริ า ถิรํ มน่ั ทกฺโข ทกฺขา ทกฺขํ ขยนั ธมมฺ โิ ก ธมฺมกิ า ธมมฺ กิ ํ ต้ังในธรรม นาโถ นาถา นาถํ ทพ่ี ง่ึ ปาโป ปาปา ปาป บาป โภคี โภคินี โภคิ มโี ภคะ มตมิ า มติมตี มติมํ มีความคดิ ลาภี ลาภนิ ี ลาภิ มลี าภ สทโฺ ธ สทธฺ า สทธฺ ํ มศี รทั ธา ต ศัพทใ นปุริสสัพพนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค (ตมุ หฺ และอมฺห ศัพท เปน อลิงคนาม) เชน โส ปุริโส ชายคนนน้ั เปน ปงุ ลงิ ค สา อตถฺ ี หญงิ คนนนั้ เปนอติ ถลี งิ ค ตํ จิตตฺ ํ จติ ดวงนั้น เปนนปงุ สกลิงค วเิ สสนสัพพนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค เชน สพโฺ พ คาโม หมูบานทั้งปวง เปนปงุ ลงิ ค สพฺพา ตารา ดาวทง้ั ปวง เปน อติ ถลี งิ ค สพฺพํ อกฺขรํ อักษรท้ังปวง เปนนปุงสกลงิ ค สังขยาสพั พนาม(เอก ทฺวิ อภุ ติ จต)ุ เปน ไดทงั้ ๓ ลงิ ค เชน เอโก โจโร โจรคนหน่งึ เปน ปงุ ลิงค เอกา ฆรณี หญิงแมเ รอื นคนหนง่ึ เปนอติ ถีลงิ ค เอกํ จติ ฺตํ จิตดวงหนง่ึ เปนนปุงสกลงิ ค การันต การนั ต คืออักษรสุดทายของศัพทท้ังหลาย วิเคราะหวา \"การานํ อนฺตํ การนฺตํ อกั ขระตวั สุดทาย แหง อักขระทั้งหลาย(ในแตล ะศพั ท) ชอื่ วา การนั ตะ\" โดยสามญั ท่ัวไป มี ๖๑ ไดแก 17 อ อา อิ อี อุ อู ๑ ตำราบาลไี วยากรณเ ดมิ เชน กจั จายนะ มีการนั ต ๘ คือเพ่ิม โอ การนั ต เชน โค ศพั ท และนคิ คหติ การันต เชน กึ ศพั ท เขามา ศกึ ษาเพ่มิ เตมิ ไดจากตำราตา ง ๆ เชน บาลไี วยากรณเบอ้ื งตน มหาบาลีวิชชาลัย ฉบบั พิมพป ๒๕๕๖ เปนตน

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๒ ทัง้ นี้ ไมน ำสระเสยี งผสม คือ เอ และ โอ มาใชเ ปนสระทีส่ ุดแหงศัพท (ลกั ษณะพิเศษของสระทส่ี ุด แหงศัพท เชน คำวา โค(วัว) สา(หมา) เปน ตน) ตัวอยา งสระทีส่ ดุ ของนามศพั ทมีดงั น้ี ๑. อาจริย แปลวา อาจารย เรียก อ การนั ต ไมม ีรปู มชชฺ แปลวา นำ้ เมา เรียก อ การนั ต ไมม รี ปู ๒. สลิ า แปลวา หิน เรยี ก อา การนั ต มรี ปู “า” โทลา แปลวา ชิงชา เรียก อา การนั ต มีรปู “า” ๓. วหี ิ แปลวา ขา วเปลอื ก เรียก อิ การนั ต มีรูป “-ิ” คณฑฺ ิ แปลวา ระฆัง เรียก อิ การนั ต มรี ูป “-”ิ ๔. สิขี แปลวา นกยงู เรียก อี การนั ต มรี ูป “-”ี ธานี แปลวา เมือง เรยี ก อี การนั ต มรี ปู “-”ี ๕. รปิ ุ แปลวา ขาศกึ เรยี ก อุ การนั ต มีรปู “-ุ” กาสุ แปลวา หลุม เรยี ก อุ การนั ต มรี ูป “-ุ” ๖. วริ ู แปลวา เถาวัลย เรยี ก อู การนั ต มรี ปู “-ู” ปารคู แปลวา ผูถึงฝง เรียก อู การนั ต มรี ปู “-ู” จำแนกลิงค ๓ โดยการันต ๖ ๑. ปุงลิงค มกี ารนั ต ๕ คอื อ อิ อี อุ อู เชน ปรุ สิ ชาย เปน อ การนั ต อคฺคิ ไฟ เปน อิ การนั ต ทณฑฺ ี ผูมีไมเ ทา เปน อี การนั ต ภกิ ขฺ ุ ภกิ ษุ เปน อุ การนั ต อภภิ ู ผูเปนใหญ เปน อู การนั ต ๒. อติ ถลี ิงค มกี ารนั ต ๕ คอื อา อิ อี อุ อู เชน กฺา สาวนอ ย เปน อา การนั ต รตตฺ ิ กลางคนื เปน อิ การนั ต อิตถฺ ี หญิง เปน อี การนั ต ยาคุ ขาวยาคู เปน อุ การนั ต ชมพฺ ู ตน หวา เปน อู การนั ต ๓. นปุงสกลิงค มกี ารนั ต ๓ คือ อ อิ อุ เชน จติ ตฺ จติ เปน อ การนั ต อิ กระดูก เปน อิ การนั ต อายุ อายุ เปน อุ การนั ต ขอสงั เกต การนั ต ๖ ตวั ทแ่ี บงลงในลงิ คทัง้ ๓ มีการนั ตซ ้ำกนั ทง้ั ๓ ลงิ ค ดังนี้ ๑. อ การนั ต เปนได ๒ ลงิ ค คอื ปงุ ลิงค และ นปุงสกลิงค ๒. อา การนั ต เปน ไดล งิ คเดียว คือ อติ ถลี งิ ค ๓. อิ การนั ต เปนได ๓ ลงิ ค คอื ปงุ ลงิ ค อติ ถีลิงค และ นปงุ สกลิงค ๔. อี การนั ต เปน ได ๒ ลงิ ค คอื ปงุ ลงิ ค และ อติ ถลี งิ ค

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๓ ๕. อุ การนั ต เปนได ๓ ลงิ ค คือ ปุงลงิ ค อติ ถีลิงค และ นปงุ สกลิงค ๖. อู การนั ต เปน ได ๒ ลงิ ค คอื ปุงลิงค และ อติ ถลี งิ ค วจนะ วจนะหรือพจน คือคำที่แสดงจำนวนของส่ิงท่ีพูดถึงหรือนามใหรูวามีนอยหรือมากเพียงใด วเิ คราะหวา \"เอกตตฺ ํ วา พหตุ ตฺ ํ วาติ วจติ เอเตนาติ วจนํ คำทใี่ ชบ อกจำนวนวา หน่งึ หรือมากกวา หน่ึง ช่ือ วา วจนะ\" มี ๒ คอื ๑. เอกวจนะหรอื เอกพจน คำบอกหรอื แสดงใหทราบจำนวนของนามวามหี นง่ึ เชน ปุรโิ ส ชายหนงึ่ คน อิตถฺ ี หญิงหนง่ึ คน จิตตฺ ํ จิตหน่ึงดวง ๒. พหวุ จนะ หรือ พหพู จน คำบอกจำนวนของนามวามีมาก ตัง้ แตส องข้ึนไป เชน ปรุ ิสา ชายหลายคน (ชายทงั้ หลาย) อติ ถฺ โิ ย หญงิ หลายคน (หญงิ ท้งั หลาย) จติ ตฺ านิ จิตหลายดวง (จติ ท้ังหลาย) วจนะท้ัง ๒ นี้ มีประโยชนใหรจู ำนวนนอ ยหรอื มาก จะรูไ ดตอ งสงั เกตท่ีทา ยศพั ทซึ่งเปน วิภัตติ ถา ที่ทายศัพทเปนวิภัตติอะไร ก็ทราบวจนะไดทันที เพราะวิภัตติเปนเครื่องหมายใหรูวจนะ เราจะทราบวจนะ ไดตองอาศยั วภิ ัตติ มวี ภิ ตั ตเิ ปน เครอื่ งหมายใหทราบไดวาเปน เอกวจนะหรือพหุวจนะ ขอ สังเกต วจนะมีสว นเหมือนสังขยา(จำนวนนับ)ตรงที่เปนเคร่อื งหมายบอกจำนวนสุทธนาม แตมี ลักษณะตา งกนั ดังน้ี ๑. วจนะ บอกจำนวนสุทธนามไมชัดเจน เชน สกุโณ แปลวา นก สกุณา แปลวา นกหลายตัว ไม ชดั เจนไปวา เทาไรแน แมท ี่เปน เอกวจนะก็ไมระบใุ หชัดวา “หนง่ึ ตวั ” ๒.สังขยา นบั จำนวนสุทธนามชดั ลงไปทเี ดียว เชน นก ๑ ตัว มีศพั ทว า เอโก สกุโณ เน้อื (ทราย) ๒ ตวั มีศพั ทวา เทวฺ มิคา โจร ๓ คน มีศพั ทวา ตโย โจรา สุนัข ๔ ตวั มศี ัพทวา จตฺตาโร สนุ ขา ผลไม ๕ ผล มีศพั ทวา ปจฺ ผลานิ วิภตั ติ วิภัตติ แปลวา แจกแจง หรือ จำแนก หมายถึง ศัพทสำหรับประกอบทายนามศัพท อันเปนการ จำแนกนามศพั ทใหมีรปู และอรรถตางกันในนามศพั ทหน่งึ ๆ เพ่ือใหมีเนื้อความสมั พันธก ับบทอ่ืนในประโยค ได วิเคราะหวา \"กมฺมาทิวเสน เอกตฺตาทวิ เสน จ ลงิ คฺ ตถฺ ํ วิภชนฺตีติ วิภตฺติโย ศัพทท่ีจำแนกอรรถของลิงค โดยกรรมและเอกพจนเ ปนตน ช่ือวาวิภตั ติ\"

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๔ ตวั อยาง คำวา “นร” แปลวา “คน” ถานำไปใชในประโยคทม่ี ีความหมายแตกตางกันจำเปนตอง แยกแยะรปู ศัพทใหแตกตางกนั ดวย เพ่ือประโยชนตอ การสือ่ สารทำความเขาใจใหต รงกัน เชน ประโยควา ๑.คนปนตน ไม ๒.เศรษฐพี ดู กะคนจน ๓.พระภกิ ษแุ สดงธรรมแกค น ๔.พระธรรมเปน ท่พี ึง่ ของคนทัง้ หลาย คน ในประโยคที่ ๑ ตองใชคำวา “นโร” ดังน้ี นโร รุกขฺ ํ อารุยฺหต.ิ คน ในประโยคท่ี ๒ ตองใชค ำวา “นรํ” ดงั น้ี เส ี ทลทิ ทฺ ํ นรํ กเถต.ิ คน ในประโยคท่ี ๓ ตอ งใชค ำวา “นรสฺส” ดังน้ี ภิกขฺ ุ นรสสฺ ธมมฺ ํ เทเสต.ิ คน ในประโยคท่ี ๔ ตอ งใชคำวา “นราน”ํ ดงั นี้ ธมฺโม นรานํ นาโถ โหติ. ศัพทวา “นร”ท่ีแปลวา “คน” ซง่ึ ยกตัวอยางมาใหดูนั้น เปนเพยี งการแจกแจงวภิ ตั ตติ ามอรรถไมก่ี วิภัตติเทาน้ัน ยังมีอีกหลายวิภัตติซ่ึงมีอรรถท่ีแตกตางกันไป อยางนอย ๑๐ วิภัตติหรืออีก ๑๐ เน้ือความ ดังนัน้ จึงควรศึกษาหลักการจำแนกเพอ่ื กำหนดเนอื้ ความไดง ายข้ึน โดยแตล ะวิภตั ตจิ ะมคี ำเช่ือม หรือ คำตอ สำหรับเชอื่ มหรือตอ ศัพทห นึ่งไปหาศพั ทห นึ่ง เชน ภิกขฺ ุ ธมฺมํ จรติ แปลวา ภกิ ษุ ยอ มประพฤติ ซงึ่ ธรรม คามํ คโต แปลวา ไปแลว สู หมูบา น อสเฺ สน ยตุ ฺโต รโถ แปลวา รถเทียมแลว ดว ย มา อสนิ า กลโห แปลวา ความทะเลาะ เพราะ ดาบ คิลานสสฺ เภสชชฺ ํ แปลวา ยา เพื่อ คนไข อคคฺ ิมหฺ า ภยํ แปลวา ภัย แต ไฟ พนธฺ นา มตุ โฺ ต แปลวา พน แลว จาก เคร่ืองผกู ปฺาย อาภา แปลวา แสงสวาง แหง ปญ ญา รุกฺขสฺส สาขา แปลวา กิ่ง แหง ตน ไม พุทฺธสฺส สาวโก แปลวา สาวก ของ พระพุทธเจา วานรสฺส โลมา แปลวา ขนทงั้ หลาย ของ ลงิ วเน พยฺ คฺโฆ แปลวา เสือโครง ใน ปา ปพฺพตสฺมึ คาโม แปลวา หมูบาน ใกล ภเู ขา รกุ เฺ ข สกุณา แปลวา นก บน ตนไม คำวา ซึ่ง สู ดวย เพราะ เพ่ือ แต จาก แหง ของ ใน ใกล และ บน เปนคำเชื่อมหรือคำตอ เรยี กวา อายตนิบาต วิภัตตินั้น มี ๑๔ ตัว เปนเอกพจน ๗ พหูพจน ๗ ซึ่งจะมีอายตนิบาตท่ีแตกตางกันไปตามวิภัตติ และวจนะนั้นๆดว ย ซงึ่ เปน เหตุใหจ ำแนกอรรถออกเปน ๑๔ อรรถ เชนกนั ดังนี้

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๕ นามวิภตั ติ ๑๔ ตวั พรอมคำแปล วภิ ตั ติ เอก. พหุ. คำแปล(ใชคำเชอ่ื มวา ...) ปฐมา (ที่ ๑) ทุติยา (ที่ ๒) สิ โย อนั วา ตติยา (ท่ี ๓) จตุตถี (ที่ ๔) อํ โย ซงึ่ สู ยัง สนิ้ กะ ตลอด เฉพาะ ปญ จมี (ท่ี ๕) ฉฏั ฐี (ที่ ๖) นา หิ ดว ย โดย อัน ตาม เพราะ มี ดว ยทัง้ สัตตมี (ที่ ๗) อาลปนะ ส นํ แก เพอื่ ตอ สำหรบั สฺมา หิ แต จาก กวา เหตุ เพราะ ส นํ แหง ของ เมือ่ สฺมึ สุ ใน ใกล ที่ ครน้ั เมอื่ ในเพราะ เหนือ บน ณ สิ โย แนะ ดูกอน ขา แต น่ี นามวิภัตติเหลานี้จำแนกอรรถนามศัพทแตละศัพทไดถึง ๑๔ อรรถ (รวมอาลปนะดวยเปน ๑๖ อรรถ) จึงมีความสำคัญเปน อันดับหนง่ึ ควรจำใหข้นึ ใจ, ปฐมาวภิ ัตติกบั อาลปนะ ใชวิภตั ติตัวเดียวกัน, วิภัตติ ฝายพหุพจน เพม่ิ คำวา \"ทั้งหลาย\" ในคำแปลดว ย เชน คำวา “ปุคคฺ ลา”(อ การนั ต ใน ปงุ ลิงค แจกอยา ง ปุ ริส ศพั ท) เปน ปฐมาวิภตั ติ พหุวจนะ ตองแปลวา อันวา บุคคลท้งั หลาย ๓.๓ วธิ ีแจกนามศัพท18๑ วิธแี จกนามศัพทด ว ยวภิ ตั ติ ตองกำหนดรใู หไ ดกอนจงึ จะเปน การงาย คอื กำหนดตามสระท่สี ุดแหง ศัพท เรียกวา การันต ศัพทที่เปนลิงคเดียวกันมี การันตเหมือนกันแลว ก็แจกเปนแบบเดียวกัน ยกไวแต ศัพทบางเหลา ท่ีมีวิธีแจกอยางหน่ึงตางหาก เมื่อกำหนดไดดังนี้แลว ก็ใชตลอดไปได ในสุทธนามและ คณุ นาม น้นั ทา นจัดการนั ตต ามที่ใชสาธารณาทว่ั ไปมากน้ัน ดังนี้ :- ในปุงลิงคม กี ารันต ๕ คอื อ อิ อี อุ อู ในอิตถีลงิ คม กี ารนั ต ๕ คอื อา อิ อี อุ อู ในนปงุ สกลิงคม ีการันต ๓ คอื อ อิ อุ ๑ ตำราบาลีไวยากรณเ ดมิ เชน กจั จายนะ มีการแจกศพั ท ในลิงคท ัง้ ๓ ตามวภิ ตั ตทิ ั้ง ๗ และอาลปนะ หลากหลายมากกวานี้ ผูสนใจควรศกึ ษาคนควา เพมิ่ เตมิ ไดจากตำราคัมภรี ไ วยากรณตาง ๆ เชน ไวยากรณบาลเี บอื้ งตน มหาบาลีวิชชาลัย ฉบบั พมิ พป ๒๕๕๖

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๖ ปุงลิงค อ การันต ในปุงลิงค แจกอยา ง ปรุ สิ [บุรษุ ] ดงั น้ี :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ปรุ โิ ส ปรุ สิ า ทุ. ปุรสิ ํ ปรุ ิเส ต. ปุรเิ สน ปรุ เิ สหิ ปรุ ิเสภิ จ. ปรุ สิ สฺส ปุรสิ าย ปุริสตถฺ ํ ปุริสานํ ป.ฺ ปุรสิ สฺมา ปรุ สิ มฺหา ปรุ สิ า ปุริเสหิ ปรุ ิเสภิ ฉ. ปุริสสฺส ปรุ ิสานํ ส. ปุริสสมฺ ึ ปรุ ิสมหฺ ิ ปุรเิ ส ปุริเสสุ อา. ปุริส ปรุ ิสา ปุริสา ศพั ทท ่เี ปน อ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น ปุรสิ ----------------------------------------------------------------------------- อาจริย อาจารย ชน ชน กุมาร เด็ก ตุรค มา ขตตฺ ิย กษัตริย เถน ขโมย คณ หมู ทตู ทูต โจร โจร ธช ธง ฉณ มหรสพ นร คน ปาวก ไฟ รกุ ขฺ ตนไม ผลิก แกวผลกึ โลก โลก พก นกยาง วานร ลิง ภว ภพ สหาย เพอื่ น มนุสสฺ มนษุ ย หตถฺ มอื ยกขฺ ยักษ อิ การันต ในปุงลงิ ค แจกอยาง มนุ ิ [ผรู ]ู ดังน้ี :- ------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. มุนิ มนุ โย มุนี ทุ. มนุ ึ มุนโย มนุ ี ต. มนุ นิ า มนุ ีหิ มนุ ภี ิ จ. มนุ สิ สฺ มุนโิ น มุนนี ํ ปฺ. มนุ ิสฺมา มนุ มิ หฺ า มนุ ินา มนุ ีหิ มนุ ีภิ ฉ. มุนิสฺส มนุ โิ น มุนนี ํ

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๗ ส. มนุ ิสฺมึ มนุ มิ หฺ ิ มนุ สี ุ อา. มนุ ิ มุนโย มนุ ี ศพั ททเ่ี ปน อิ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น มุน.ิ ------------------------------------------------------------------- อคฺคิ ไฟ ปติ เจา, ผัว อริ ขา ศึก มณิ แกวมณี อหิ งู วธิ ิ วิธี ถปติ ชางไม วีหิ ขา วเปลือก นิธิ ขมุ ทรัพย สมาธิ สมาธิ อี การันต ในปุงลงิ ค แจกอยาง เส ี [เศรษฐ]ี ดงั นี้:- ------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. เส ี เส ิโน เส ี ทุ. เส ึ เส ินํ เสิโน เส ี ต. เส ินา เส ีหิ เส ีภิ จ. เส ิสฺส เสิโน เส ีนํ ป.ฺ เสิสฺมา เส ิมฺหา เส นิ า เส ีหิ เส ีภิ ฉ. เส สิ สฺ เส โิ น เส นี ํ ส. เส สิ ฺมึ เส มิ หฺ ิ เส สี ุ อา. เสิ เสโิ น เส ี ศพั ทท ี่เปน อี การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น เส .ี ------------------------------------------------------------------------------ กรี ชา ง ภาณี คนชางพูด ตปสี คนมตี บะ โภคี คนมโี ภคะ ทณฺฑี คนมไี มเทา มนตฺ ี คนมคี วามคิด เมธาวี คนมปี ญญา สุขี คนมสี ขุ สิขี นกยูง หตถฺ ี ชาง อุ การันต ในปงุ ลิงค แจกอยา ง ครุ [คร]ู ดังนี้ :- ------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ครุ ครโว ครู ท.ุ ครุ ครโว ครู ต. ครนุ า ครหู ิ ครภู ิ

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๘ จ. ครุสสฺ ครโุ น ครูนํ ป.ฺ ครสุ มฺ า ครมุ หฺ า ครุนา ครหู ิ ครูภิ ฉ. ครสุ ฺส ครโุ น ครนู ํ ส. ครุสฺมึ ครมุ หฺ ิ ครูสุ อา. ครุ ครเว ครโว ศพั ทท เี่ ปน อุ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น ครุ --------------------------------------------------------------------------- เกตุ ธง ภิกขฺ ุ ภิกษุ ชนฺตุ สตั วเ กดิ รปิ ุ ขาศกึ ปสุ สตั วข องเลีย้ ง สตตฺ ุ ศตั รู พนฺธุ พวกพอง เสตุ สะพาน พพพฺ ุ เสอื ปลา, แมว เหตุ เหตุ อู การันต ในปุงลงิ ค แจกอยา ง วิ ฺู [ผรู วู เิ ศษ] ดังน้ี :- ---------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วิฺู วิฺโุ น วิ ฺู ทุ. วิ ฺุ วิ ฺ โุ น วิ ฺ ู ต. วิ ฺ นุ า วิฺ หู ิ วิ ฺ ูภิ จ. วิ ฺสุ สฺ วิ ฺโุ น วิฺนู ํ ป.ฺ วิ ฺ สุ มฺ า วิฺ ุมหฺ า วิ ฺ นุ า วิ ฺหู ิ วิ ฺ ภู ิ ฉ. วิ ฺุสสฺ วิ ฺโุ น วิ ฺ นู ํ ส. วิฺ สุ มฺ ึ วิ ฺ ุมหฺ ิ วิฺสู ุ อา. วิฺ ุ วิฺโุ น วิ ฺ ู ศพั ททเี่ ปน อู การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น วิ ฺ ู. ------------------------------------------------------------------------------ อภภิ ู พระผูเปน ยง่ิ เวทคู ผูถึงเวท กตฺ ู ผรู อู ุปการะทผี่ อู ื่นทำแลว สยมฺภู พระผูเ ปน เอง ปารคู ผูถึงฝง อิตถลี ิงค อา การันต ในอติ ถลี ิงค แจกอยา ง กฺ า [นางสาวนอ ย] ดงั น้ี :- -------------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. กฺ า กฺ าโย กฺ า ทุ. กฺ ํ กฺ าโย กฺ า

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๙ ต. กฺ าย กฺ าหิ กฺ าภิ จ. กฺ าย กฺ านํ ป.ฺ กฺ าย กฺ าหิ กฺ าภิ ฉ. กฺ าย กฺ านํ สฺ กฺ าย กฺ ายํ กฺ าสุ อา. กฺเ กฺ าโย กฺ า ศพั ททเี่ ปน อา การนั ต เชน นี้ แจกเหมือน กฺ า --------------------------------------------------------------------- อจฺฉรา นางอปั สร ตารา ดาว อาภา รศั มี ถวกิ า ถุง อิกขฺ ณิกา หญิงแมม ด ทาริกา เดก็ หญงิ อีสา งอนไถ โทลา ชิงชา อุกกฺ า คบเพลงิ ธารา ธารนำ้ อกู า เล็น นารา รัศมี เอสกิ า เสาระเนยี ด ปฺา ปญญา โอชา โอชา พาหา แขน กจฺฉา รักแร ภาสา ภาษา คทา ตะบอง มาลา ระเบียบ ฆฏิกา ลมิ่ ลาขา ครั่ง เจตนา เจตนา สาลา ศาลา ฉรุ กิ า กฤช สิลา ศิลา อิ การนั ต ในอติ ถลี ิงค แจกอยาง รตตฺ ิ [ราตร]ี ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. รตตฺ ิ รตตฺ โิ ย รตตฺ ี ท.ุ รตตฺ ึ รตตฺ โิ ย รตตฺ ี ต. รตตฺ ยิ า รตตฺ ีหิ รตตฺ ภี ิ จ. รตตฺ ิยา รตตฺ ีนํ ป.ฺ รตตฺ ิยา รตยฺ า รตตฺ ีหิ รตตฺ ีภิ ฉ. รตตฺ ิยา รตตฺ ีนํ ส. รตตฺ ยิ า รตตฺ ิยํ รตฺยํ รตตฺ ึ รตโฺ ต รตฺยา รตตฺ สี ุ อา. รตตฺ ิ รตตฺ ิโย รตตฺ ี ศพั ทท ีเ่ ปน อิ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น รตตฺ ิ ---------------------------------------------------------------------------- อาณิ ล่ิม กฏิ สะเอว

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๐ อิทฺธิ ฤทธิ์ ขนตฺ ิ ความอดทน อีติ จัญไร คณฑฺ ิ ระฆัง อุกฺขลิ หมอ ขา ว ฉวิ ผวิ อูมิ คล่ืน ชลลฺ ิ สะเกด็ ไม ตนตฺ ิ เสน ดา ย แบบแผน รติ ความยนิ ดี นนทฺ ิ ความเพลิดเพลนิ ลทธฺ ิ ลทั ธิ ปหฺ ิ สนเทา วติ รว้ั มติ ความรู สตฺติ หอก ยิ ไมเทา สนธฺ ิ ความตอ ปตตฺ ิ สวนบญุ ยตุ ฺติ ความสมควร พทุ ธฺ ิ ความรู กติ ตฺ ิ ชอ่ื เสยี ง มตุ ตฺ ิ ความหลดุ พน ตติ ตฺ ิ ความอ่ิม กนตฺ ิ ความชอบใจ สิทธฺ ิ ความสำเร็จ สทุ ธฺ ิ ความบริสุทธ์ิ ธิติ ความเพียร คติ การไป ภูมิ แผนดิน อี การนั ต ในอติ ถลี ิงค แจกอยา ง นารี [นาง] ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. นารี นารโิ ย นารี ท.ุ นารึ นารยิ ํ นารโิ ย นารี ต. นารยิ า นารหี ิ นารภี ิ จ. นาริยา นารนี ํ ปฺ. นาริยา นารหี ิ นารีภิ ฉ. นาริยา นารนี ํ สฺ นาริยา นาริยํ นารสี ุ อา. นาริ นารโิ ย นารี ศัพทท่ีเปน อี การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น นารี ------------------------------------------------------------------------- กุมารี เดก็ หญงิ ปวี แผนดนิ ฆรณี หญงิ แมเรือน มาตลุ านี ปา, นา ถี หญิง วชี นี พัด ธานี เมอื ง สิมพฺ ลี ไมงว้ิ มหี แผน ดนิ วาป บึง ปาฏลี ตนแคฝอย กทลี ตน กลว ย

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๑ อุ การนั ต ในอิตถีลิงค แจกอยา ง รชฺชุ [เชือก] ดงั น้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. รชชฺ ุ รชฺชโุ ย รชชฺ ู ทุ. รชชฺ ุ รชฺชโุ ย รชฺชู ต. รชชฺ ุยา รชฺชูหิ รชชฺ ูภิ จ. รชฺชยุ า รชชฺ นู ํ ป.ฺ รชฺชยุ า รชฺชูหิ รชฺชูภิ ฉ. รชชฺ ยุ า รชชฺ ูนํ ส. รชชฺ ุยา รชชฺ ุยํ รชชฺ ูสุ อา. รชชฺ ุ รชชฺ โุ ย รชชฺ ู ศพั ทท เี่ ปน อุ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น รชชฺ ุ ----------------------------------------------------------------------- อุรุ ทราย ยาคุ ขาวตม กาสุ หลุม ลาวุ นำ้ เตา เธนุ แมโ คนม วชิ ฺชุ สายฟา ธาตุ ธาตุ กณฑฺ ุ โรคเกล้อื น อู การันต ในอิตถลี งิ ค แจกอยาง วธู [หญงิ สาว] ดงั น้ี :- ------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วธู วธโุ ย วธู ท.ุ วธุ วธโุ ย วธู ต. วธุยา วธหู ิ วธูภิ จ. วธุยา วธนู ํ ป.ฺ วธุยา วธหู ิ วธภู ิ ฉ. วธุยา วธนู ํ ส. วธยุ า วธุยํ วธสู ุ อา. วธุ วธโุ ย วธู ศพั ทที่เปน อู การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น วธู ------------------------------------------------------------------------ จมู เสนา,กองทัพ วริ ู เถาวัลย ชมพฺ ู ไมหวา สรพู ตุกแก ภู แผน ดนิ , คว้ิ สินฺธู แมน ำ้ สนิ ธู

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๒ นปงุ สกลงิ ค อ การนั ต ใน นปงุ สกลงิ ค แจกอยา ง [กลุ ตระกูล] ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. กุลํ กลุ านิ กุลา ท.ุ กุลํ กลุ านิ กเุ ล ต. กุเลน กเุ ลหิ กเุ ลภิ จ. กลุ สฺส กุลาย กุลตถฺ ํ กุลานํ ปฺ. กุลสฺมา กลุ มฺหา กุลา กเุ ลหิ กเุ ลภิ ฉ. กุลสสฺ กลุ านํ ส. กุลสฺมึ กุลมฺหิ กเุ ล กุเลสุ อา. กลุ กุลานิ ศัพททีเ่ ปน อ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น กลุ ------------------------------------------------------------------------- องคฺ องค ฉตตฺ ฉัตร, รม อณิ หน้ี ชล นำ้ อุทร ทอง ตล พน้ื โอ ริมฝปาก ธน ทรพั ย ก ไม ปณฺณ ใบไม, หนงั สอื กมล ดอกบวั ผล ผลไม ฆร เรอื น พล กำลัง,พล จกกฺ จักร, ลอ ภตฺต ขา วสวย มชฺช นำ้ เมา รตน แกว ยนฺต ยนต วตถฺ ผา ร แวน แควน สกฏ เกวยี น อิ การันต ใน นปุงสกลงิ ค แจกอยาง อกขฺ ิ [นัยนต า] ดงั น้ี :- ------------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. อกฺขิ อกขฺ นี ิ อกขฺ ี ท.ุ อกขฺ ึ อกขฺ ีนิ อกขฺ ี ต. อกขฺ นิ า อกขฺ ีหิ อกขฺ ภี ิ จ. อกขฺ ิสสฺ อกฺขโิ น อกขฺ นี ํ ป.ฺ อกฺขสิ มฺ า อกขฺ มิ หฺ า อกฺขนิ า อกขฺ ีหิ อกขฺ ภี ิ

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๓ ฉ. อกฺขสิ สฺ อกขฺ โิ น อกฺขีนํ ส. อกขฺ สิ มฺ ึ อกขฺ มิ หฺ ิ อกฺขสี ุ อา. อกขฺ ิ อกฺขีนิ อกขฺ ี ศัพทท ่ีเปน อิ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น อกฺขิ ------------------------------------------------------------------------- อจฺจิ เปลวไฟ ทธิ นมสม อ ิ กระดูก สปปฺ  เนยใส สตฺถิ ขาออ น วาริ นำ้ อุ การนั ต ใน นปงุ สกลิงค แจกอยา ง วตถฺ ุ [พัสดุ ] ดงั น้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ทุ. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ต. วตถฺ นุ า วตถฺ ูหิ วตถฺ ภู ิ จ. วตถฺ ุสฺส วตถฺ ุโน วตถฺ นู ํ ปฺ. วตถฺ สุ ฺมา วตฺถมุ หฺ า วตฺถนุ า วตถฺ หู ิ วตถฺ ูภิ ฉ. วตถฺ ุสสฺ วตถฺ ุโน วตถฺ นู ํ ส. วตถฺ สุ มฺ ึ วตถฺ ุมหฺ ิ วตถฺ สู ุ อา. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ศัพทท ีเ่ ปน อุ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น วตถฺ ุ --------------------------------------------------------------------------- อมพฺ ุ นำ้ ชตุ ยาง อสฺสุ น้ำตา ธนุ ธนู อายุ อายุ มธุ น้ำผึ้ง จกขฺ ุ นัยนต า มสฺสุ หนวด วปุ กาย สชฌฺ ุ เงนิ ๓.๔ วธิ แี จกกติปยศัพท สพั พนาม และอพั ยยศพั ท กตปิ ยศพั ท หมายถึงศพั ทเลก็ ๆนอยๆ ศัพทเ รีย่ ราด ศัพทเ บ็ดเตลด็ หรือเรยี กวา ปกณิ ณกศัพท ซง่ึ มีลกั ษณะการแจกเฉพาะตางจากนามศัพทท้งั ๑๓ แบบทกี่ ลา วมาแลว ในทีน่ จ้ี ำแนกไว ๑๒ คัพท คือ อตตฺ , พรฺ หฺม, ราช, ภควนตฺ ุ, อรหนฺต, ภวนฺต, สตถฺ ,ุ ปต ,ุ มาตุ, มน, กมมฺ , โค. อตฺต [ตน] เปน ปงุ ลงิ ค แจกอยางน้ี :- ------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ ไมม พี หวุ จนะ ป. อตตฺ า

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๔ ทุ. อตฺตานํ ต. อตฺตนา จ. อตตฺ โน ป.ฺ อตฺตนา ฉ. อตฺตโน ส. อตตฺ นิ อา. อตตฺ พรฺ หฺม [หรหม] เปน ปงุ ลงิ ค แจกอยา งน้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. พฺรหมฺ า พรฺ หมฺ าโน ท.ุ พฺรหมฺ านํ พรฺ หมฺ าโน ต. พรฺ หมฺ ุนา พรฺ หเฺ มหิ พรฺ หฺเมภิ จ. พรฺ หมฺ โุ น พรฺ หฺมานํ ป.ฺ พรฺ หฺมนุ า พรฺ หเฺ มหิ พฺรหเฺ มภิ ฉ. พฺรหมฺ ุโน พฺรหฺมานํ ส. พฺรหมฺ นิ พฺรหเฺ มสุ อ. พรฺ หเฺ ม พฺรหมฺ าโน -------------------------------------------------------------------- ราช [พระราช] เปน ทวฺ ิลิงค ใน ปงุ ลงิ ค แจกอยางน้ี :- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ราชา ราชาโน ท.ุ ราชานํ ราชาโน ต. รฺา ราชหู ิ ราชภู ิ จ. รโฺ  ราชโิ น รฺํ ราชนู ํ ปฺ. รฺ า ราชหู ิ ราชภู ิ ฉ. รโฺ  ราชโิ น รฺ ํ ราชนู ํ ส. รเฺ  ราชินิ ราชูสุ อา. ราช ราชาโน ศพั ทสมาส มี ราช ศพั ท เปน ทีส่ ดุ เหมือน มหาราช แจกอยางนก้ี ไ็ ด. ------------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. มหาราชา มหาราชาโน ท.ุ มหาราชํ มหาราเช ต. มหาราเชน มหาราเชหิ มหาราเชภิ