ก คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี โย นิรุตตฺ ึ น สกิ ฺเขยยฺ สกิ ฺขนฺโต ปฏ กตตฺ ยํ ปเท ปเท วิกงเฺ ขยฺย วเน อนธฺ คโช ยถา. นิรตุ ตบิ ขดี เขยี น หวงั เพียงเพียรเรยี นพระไตร ทุกทกุ บทยอมสงสยั ดุจชา งไพรไรดวงตา. https://www.google.com/search?newwindow=1&sxsrf=ALeKk00HRxrkrG_GpbGiAOCGSvXhPPHe-w:1592278409886&source โครงการจัดการองคความรเู รอื่ งการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ประจำปง บประมาณ ๒๕๖๓ โดย กลมุ หนงั สอื ตัวเขียนและจารกึ สำนักหอสมุดแหงชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ข คำนยิ ม ************** เปนท่ีทราบกันท่ัวไปวา ภาษาบาลี เปนภาษาจารึกพระพุทธวจนะ หรือพระไตรปฎกของ พระพุทธศาสนา ฝายเถรวาทมาแตเริ่มแรก โดยใชอักษรของแตละประเทศที่มีพระพุทธศาสนาฝายนี้ในการ เขียน สว นการออกเสียงอาจแตกตางกนั บา ง แตก็สามารถสอื่ เขาใจกันได ดังน้ัน ภาษาบาลี จึงเปน ความเปน ความตายของพระพุทธศาสนาฝายเถรวาท เพราะตราบใดยังมีการศึกษาภาษาบาลีกัน ตราบนั้น พระพทุ ธศาสนา ยอ มดำรงทรงตวั อยไู ด หาไมแ ลว เห็นจะลม สลายเปน แนแท และโดยที่ภาษาบาลี เปนตันติภาษา คือมีหลักไวยากรณท่ีสมบูรณแบบเปนภาษาท่ีสละสลวย ไพเราะอยา งย่ิง พระไตรปฎกภาษาบาลี ถือวาเปนสดุ ยอดของวรรณกรรมในบรรณโลกทีเดียว ดังน้ัน ผูแรก ศึกษา จึงจำเปนตองเรียนรูไวยากรณเปนเบื้องตน ใหเขาใจถี่ถวนกอน จึงคอยแปลเปนภาษาอื่น ขณะเดยี วกนั การเขียน การอา น การสาธยาย หรือ การสวด กต็ อ งฝก หัดไปดว ย เพราะการศึกษาภาษาบาลี ในปจจุบัน มุงไปท่ีการเขียน การอาน การแปล และการสาธยาย มิไดเนนการพูดเหมือนภาษาอ่ืน ๆ อนึ่ง โดยที่ภาษาบาลี เปนภาษาที่พระพุทธองคทรงเลือกและตรัสสอนพระศาสนาเปนสวนมาก จึงเปนภาษาที่ ศักดิ์สทิ ธ์ิ จะเห็นไดใ นสงั ฆกรรมตา ง ๆ มกี ารบรรพชาอุปสมบท เปน ตน ตองใชภาษาบาลีทง้ั ส้ิน และยังมีสงิ่ ล้ีลับอยูในภาษาบาลีอีกอยางหนึ่ง ท่ีนาสนใจ ก็คือ อักขระทุกตัวในภาษาบาลี เปนยาอายุวัฒนะอยางวิเศษ ทำใหสุขภาพพลานามัยแขง็ แรงอยา งนาอัศจรรย หากผูสาธยายสามารถสาธยายไดถกู ตองทุกตวั อักษร ไมว า สระ หรอื พยัญชนะ การที่ คุณวัฒนา พ่ึงชื่น (เปรียญ) นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ ไดจัดทำคูมือการอานและ แปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลมน้ีข้ึน ดวยความศรัทธา และวิริยะเปนอยางย่ิง มีสารัตถะที่สมบูรณทุก สว น ไมวาจะเปนไวยากรณ การอาน การแปลภาษาบาลี และอ่ืน ๆ จึงขอแสดงความช่ืนชม และหวังวา คูมือ การอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลม นี้ จะอำนวยประโยชนแกผ ูใครต อ การศกึ ษาภาษาบาลีอยา ง ดียิ่ง อกี เลม หนง่ึ ในโลกปจจบุ ัน พระพรหมกวี เจาอาวาสวัดกัลยาณมิตร วรมหาวหิ าร
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ค อนโุ มทนาพจน หนงั สือ “คมู ือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาล”ี ในโครงการจัดการองคค วามรเู รื่องการ อานและแปลภาษาโบราณ ภาษาบาลี ของกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแหงชาติ กรม ศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รวบรวมเรยี บเรียงข้ึนโดย อาจารยว ฒั นา พ่งึ ชืน่ นกั ภาษาโบราณชำนาญการ พิเศษ และคณะ นับวา เปนงานสรางสรรคที่ดีย่ิงและเปนสิ่งที่ทำไดยากย่ิงนัก กลาวไดวา นี่คือ ความกา วหนาของสำนักหอสมุดแหง ชาติ ทเี่ ปนขมุ ทรัพยท างปญ ญาของประเทศ ในการเอาใจใสพ ัฒนาและ สง เสรมิ สนบั สนุนงานดานการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมบาลีในประเทศไทย หนังสือ “คูมือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี” ไดแสดงรายละเอียดความรูดานการ อานภาษาบาลี ไวยากรณภาษาบาลี และการแปลภาษาบาลีครบถวนในระดับพ้ืนฐาน เนื้อหาในเลม พอเหมาะและเพียงพอตอการเร่ิมตนศึกษาภาษาบาลี หนังสือเลมน้ีเหมาะสำหรับชาวพุทธและผูสนใจ เร่มิ ตนเรียนรูภาษาบาลดี วยตัวเองทุกคน ขออนุโมทนา อาจารยวัฒนา พึ่งช่ืน พรอมคณะทำงานกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก ผูบริหาร สำนักหอสมุดแหงชาติ ผูบริหารกรมศิลปากร ตลอดจนถึงเจาหนาท่ีกระทรวงวัฒนธรรมทุกทานที่มีวิริยะ อุตสาหะรวมกันสรางสรรคหนังสือเลมน้ีขึ้น ขอใหผูที่ไดศึกษาหนังสือเลมนี้จงประสบความสำเร็จ มีความ เขาใจภาษาบาลี สามารถอานและแปลภาษาบาลีไดตามวตั ถุประสงค และขอใหผูศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมบาลี จงมคี วามกา วหนาทางปญ ญาในพุทธธรรมสืบตอ ไป จิรํ ติ ตุ สทฺธมฺโม ขอพระสัทธรรมจงดำรงอยเู พือ่ ประโยชนแ ละความสุขแกม หาชนตลอดไป. ขออนุโมทนา พระธรรมราชานวุ ตั ร (สทุ ัศน ป.ธ.๙) วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวหิ าร
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ง คำนำ ภาษาบาลีหรือที่รูจักในนามวาภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงเลือกใชในการ เผยแพรพระพุทธศาสนา นับวาเปนภาษาประจำพระพุทธศาสนา ไดรับการสืบตอมาเปนลำดับถึง ปจจุบัน ซ่ึงปรากฏในเอกสารโบราณทุกประเภท ไดแก หนังสือสมุดไทย คัมภีรใบลาน และจารึก นักภาษาโบราณจึงไดดำเนินการอานและแปลภาษาบาลีเหลานั้นใหเปนภาษาไทยปจจุบัน เพ่ือจัดพิมพ เผยแพรอนั จะเปน ประโยชนตอ สาธารณชนทัว่ ไป กรมศิลปากร เห็นวาการอานและแปลภาษาโบราณ โดยเฉพาะภาษาบาลีซ่ึงมีเน้ือหาอัน เปนหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร พุทธศาสนา และอื่นๆอีกมาก จะเปนประโยชนอยางแทจริง จึงอนุมัติใหสำนักหอสมุดแหงชาติ โดยกลุมหนังสือตัวเขียนและจารึก จัดโครงการจัดการองคความรู เร่ืองการอานและแปลภาษาโบราณ: ภาษาบาลี เพ่ือรวบรวมขอมูล ความรูภาษาบาลี ใชเปนคูมือใน การศึกษา อางอิงภาษาบาลีไดอยางถูกตองตามหลักวิชาการ และเพ่ือสืบสาน รักษามรดก ศิลปวัฒนธรรมดานภาษาซ่ึงเปนภูมิปญญาของมวลมนุษยชาติอยางย่ังยืน ทั้งนี้ไดมอบหมายให นายวฒั นา พ่ึงชนื่ นักภาษาโบราณชำนาญการพเิ ศษ เปนผรู วบรวม เรยี บเรียง ขอมูลองคความรูตางๆ ในภาษาบาลี จัดทำตน ฉบบั คูมอื การอา นและแปลภาษาบาลี กรมศิลปากร หวังวา คูมือการอานและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี เลมนี้ จะอำนวย ประโยชนแกผูสนใจศึกษาเรียนรู เพ่ือสืบสานและเผยแพรองคความรูอันมีคุณคาของบรรพชน ตามสมควร (นายประทปี เพง็ ตะโก) อธิบดกี รมศลิ ปากร
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี จ สารบัญ หนา คำนยิ ม ข อนุโมทนาพจน ค คำนำ ง สารบัญ จ บทท่ี ๑ บทนำ ๑ ๑ ๑.๑ บาลีคอื ภาษาพระพุทธศาสนา ๓ ๑.๒ พฒั นาการของภาษาบาลี ๔ ๑.๓ สาเหตุทเ่ี ปล่ยี นจากภาษามาคธี เปน ภาษาบาลี ๕ ๑.๔ บาลใี นฐานะภาษาบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๘ ๑.๕ บาลใี นฐานะภาษามนษุ ยต น กปั ๑๐ ๑.๖ สรปุ ทายบท ๑๑ บทท่ี ๒ การอา นภาษาบาลี ๑๑ ๒.๑ อกั ขระและเสยี ง ๑๕ ๒.๒ ฐาน กรณ และปยตนะ ๑๘ ๒.๓ การอา น การเขยี น และพยญั ชนะสงั โยค ๑๙ ๒.๔ การเช่ือมคำ(สนธิ) ๒๓ ๒.๕ สรุปทายบท ๒๕ บทท่ี ๓ สวนแหงคำพดู ในภาษาบาลี ๒๕ ๓.๑ นามศพั ท ๒๗ ๓.๒ ลงิ ค การนั ต วจนะ วภิ ตั ติ ๓๕ ๓.๓ วธิ แี จกนามศัพท ๔๓ ๓.๔ วิธแี จกกตปิ ยศัพท สพั พนาม และอพั ยยศพั ท ๕๙ ๓.๕ สงั ขยา(จำนวนนบั ) ๖๘ ๓.๖ สมาส ๙๐ ๓.๗ ตทั ธติ ๑๐๙ ๓.๘ อาขยาต ๑๒๒ ๓.๙ กติ ก ๑๓๘ ๓.๑๐ สรปุ ทา ยบท ๑๔๒ บทที่ ๔ การแปลภาษาบาลี ๑๔๒ ๔.๑ หลกั การแปลเบ้ืองตน ๑๕๑ ๔.๒ ประโยคเน้ือความเดยี ว
๔.๓ ประโยคเรียงความ ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ฉ ๔.๔ การแปลพระไตรปฎ กและอรรถกถา ๔.๕ สรปุ ทา ยบท ๑๖๖ บทท่ี ๕ แบบฝก ทักษะการอา นและการแปล ๑๗๕ ๕.๑ แบบฝก ทกั ษะการอาน ๑๘๓ ๑๘๕ แบบฝก การอานท่ี ๑ ๑๘๕ แบบฝก การอานที่ ๒ ๑๘๕ แบบฝก การอา นที่ ๓ ๑๘๖ ๕.๒ แบบฝกทกั ษะการแปล ๑๙๑ แบบฝก การแปลที่ ๑ ๑๙๔ แบบฝก การแปลที่ ๒ ๑๙๔ แบบฝก การแปลที่ ๓ ๒๐๑ ๕.๓ สรุปทา ยบท ๒๐๓ บรรณานกุ รม ๒๒๓ ภาคผนวก ๒๒๔ ชื่อแบบฉบบั คมั ภรี ใ บลานเพอื่ การลงทะเบยี น ๒๒๖ ๒๒๗
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑ ๑.๑ บาลีคือภาษาพระพทุ ธศาสนา บทที่ ๑ บทนำ บรรพชติ ในพระพทุ ธศาสนามีกจิ ทตี่ อ งทำสองประการ คือ ประการแรก ไดแก คนั ถธรุ ะ การศึกษา พระธรรมวินัยซึ่งพระพุทธเจาไดทรงสั่งสอนไว การศึกษาชนิดน้ีเนนภาคทฤษฎี และประการที่สอง คือ วปิ ส สนาธรุ ะ การเรียนพระกรรมฐานโดยเนน ลงไปท่ีการปฏิบตั ิทางกายวาจาและใจ สำหรับการศึกษาท่ีเรียกวา “คันถธุระ” นั้น ในสมัยท่ีพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยูนั้น พระพุทธเจาทรงส่ังสอนสาวกดวยการแสดงพระธรรมเทศนา ดวยพระโอฐตามที่พระองคจะทรงโปรด ประทานแกพุทธบริษัท ผูที่ฟงก็มีทั้งพระภิกษุสงฆและคฤหัสถ สำหรับพระภิกษุสงฆน้ัน เมื่อไดฟงแลวก็ นำมาถายทอดแกสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกตอกันไป การศึกษาคำสอนของพระพุทธเจานี้เรียกวา คันถ ธรุ ะ หรือการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ซึ่งมี ๙ ประการ เรียกวา “นวังคสัตถุศาสน” แปลวา คำสอนของพระ ศาสดามีองคเกา ไดแก สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ ิวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และเวทัลละ พระปริยัติธรรม หรือ นวังคสัตถุศาสนนี้ พระพุทธเจาทรงแสดงดวยภาษาบาลี เพราะในสมัยนั้น ประเทศอินเดียมีภาษาหลักอยู ๒ ตระกูล คอื ภาษาปรากฤต และ ภาษาสันสกฤต ตระกูลภาษาปรากฤตแบง ยอยออกเปน ๖ ภาษา คือ ๑.ภาษามาคธี ภาษาท่ีใชพ ดู กนั อยูในแควน มคธ ๒.ภาษามหาราษฏรี ภาษาทีใ่ ชพ ูดกันอยใู นแควนมหาราษฎร ๓.ภาษาอรธมาคธี ภาษาก่ึงมาคธี เรยี กอกี อยางหนง่ึ วา ภาษาอารษปรากฤต ๔.ภาษาเศารนี ภาษาทใ่ี ชพ ูดกันอยูในแควน สุรเสนะ ๕.ภาษาไปศาจี ภาษาปศาจ หรือภาษาชั้นตำ่ และ ๖.ภาษาอปภรงั ศ ภาษาปรากฤตรนุ หลงั ท่ไี วยากรณไดเปลี่ยนไปเกอื บหมดแลว ภาษามาคธี หรือ ภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงใชส่ังสอนพุทธบริษัท คร้ันตอมา พระพุทธศาสนาไดมาเจริญรงุ เรืองแพรหลายทปี่ ระเทศศรีลังกา ภาษามาคธีไดถูกนักปราชญแกไขดัดแปลง รปู แบบไวยากรณใ หก ะทัดรดั ยิ่งขนึ้ จงึ มีชอื่ ใหมวา “ปาล”ี หรือ ภาษาบาลี เปน ภาษาจารกึ พระไตรปฎกทเ่ี หน็ อยูในปจ จุบัน คำวา บาลี มาจากคำวา ปาลิ0๑ (Pali) “ปาลิ” สำเร็จรูปมาจากรากศัพทวา “ปาล” ธาตุ แปลวา “รกั ษา” ลง อิ ปจจัยในนามกติ ก เมื่อประกอบกันจึงมรี ูปเปน “ปาลิ” หรือคำไทยเรียกวา “บาลี” หมายถึง ภาษาที่รักษาพระพุทธพจนเอาไว ซ่ึงมีรูปวิเคราะหวา “พุทฺธวจนํ ปาเลตีติ ปาลิ” แปลวา “ภาษาใด ยอม รักษาไว ซ่งึ พระพุทธพจน เหตนุ ัน้ ภาษาน้ันช่ือวา บาลี” แปลโดยอรรถวา ภาษาทร่ี กั ษาไวซ ่ึงพระพุทธวจนะ คำสงั่ สอนของพระพุทธเจา ทานจารึกไวในคมั ภรี ต างๆ ดว ยภาษาบาลีซึ่งสามารถแบง ลำดับช้ันของ คมั ภรี ต างๆ ไดดังนี้ ๑.พระไตรปฎก เปนหลักฐานชน้ั หนึง่ เรยี กวา บาลี ๑ บางแหงเปน “ปาลี”สำเร็จรปู มาจาก ปาล ธาตุ ลง ณี ปจจยั ในนามกิตก ปจ จยั ทเี่ น่อื งดว ย ณ ใหลบ ณ ท้ิงเสยี เม่ือประกอบกัน จึงเปน “ปาลี”
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒ ๒.คำอธิบายพระไตรปฎ กเปน หลักฐานชนั้ สอง เรยี กวา อรรถกถา หรือ วณั ณนา ๓.คำอธิบายอรรถกถา เปน หลกั ฐานชนั้ สาม เรยี กวา ฎีกา ๔.คำอธบิ ายฎีกา เปน หลักฐานชนั้ ส่ี เรียกวา อนฎุ ีกา ๕.นอกจากนี้ ยังมีคัมภีรท่ีแตงขึ้นภายหลังอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีในคัมภีรพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ หนังสือประเภทน้ี เรียกวา “ทีปนี” หรือ “ทีปกา” หรือ “ปทีปกา” และคัมภีรท่ีอธิบายเร่ือง ปลีกยอ ยตา งๆ ทม่ี ใี นคมั ภีรท างพระพทุ ธศาสนา หนังสอื ประเภทนี้ เรยี กวา “โยชนา” จะเห็นไดวา คำสอนที่อยูในคัมภีรเหลาน้ี คำสอนที่อยูในพระไตรปฎกเปนหลักฐานสำคัญที่สุด เพราะเปนหลักฐานช้ันแรกที่เรียกวาข้ันปฐมภูมิ คำสอนท่ีอยูในพระไตรปฎกนั้นมีถึง ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขนั ธ โดยแบงเปน ๓ หมวด คอื หมวดที่หน่งึ พระวินัย วาดว ยเรอื่ ง ระเบยี บ กฎ ขอบังคบั ควบคุมกิริยา มารยาท ของภิกษสุ งฆ มี ท้งั ขอ หา มและขอ อนุญาต ท้ังน้ี เพื่อความเปน ระเบียบเรยี บรอยในหมูสงฆ มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ หมวดที่สอง พระสูตร วาดวยเร่อื งราว นิทาน ประวัติศาสตร ที่พระพุทธองคทรงสงั่ สอนและทรง สนทนากับบุคคลท้ังหลาย เกย่ี วกับชาดกตางๆท่ีทรงสอนเปรียบเทียบเปนอุปมาอุปไมยเปนตนมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ หมวดท่ีสาม พระอภิธรรมวา ดว ยธรรมข้นั สงู คอื วา ดวยเร่ืองเฉพาะคำสอนทเ่ี ปนแกน เปน ปรมตั ถ ในรูปปรัชญาลว นๆ มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ คำสอนทง้ั ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธน้ันเรียกวา “ธรรมวนิ ัย” เปนส่ิงสำคญั มากที่สดุ ของชาวพุทธ เพราะถือเปนส่ิงแทนองคพระศาสดา ดงั พทุ ธพจนที่ตรัสกับพระอานนทก อนจะเสด็จ ดบั ขนั ธปริ นพิ พานวา “โย โว อานนฺท มยา ธมโฺ ม จ วนิ โย จ เทสิโต ปฺตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา” แปลความวา “ดูกอนอานนท ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแลว และบัญญัติไวแลว แกเธอ ทัง้ หลาย ธรรมและวินัยนน้ั จักเปนศาสดาของพวกเธอเม่อื เราลวงลับไปแลว” ดังนั้น พระไตรปฎ กถือเปน คมั ภีรท่สี ำคัญมากทสี่ ดุ ของชาวพทุ ธ พระไตรปฎกแตเดิมเปนภาษาบาลีซ่ึงเปนภาษาท่ีมีในมัชฌิมประเทศท่ีเรียกวาแควนมคธ ในครั้ง พทุ ธกาล ตอมาพุทธศาสนาแพรหลายไปในนานาประเทศทใี่ ชภ าษาอน่ื ประเทศตางๆ เหลานนั้ มีทเิ บตและ จนี เปน ตน ไดแปลพระไตรปฎกจากภาษาบาลีเปน ภาษาของตน เพ่ือประสงคท ่จี ะใหเรียนรไู ดงา ย จะไดมคี น เลื่อมใสศรัทธามาก ครั้นไมมีใครเลาเรียนพระไตรปฎก ตอมาก็คอยๆ สูญสิ้นไป สิ้นหลักฐานที่จะสอบสวน พระธรรมวินยั ใหถอ งแทไ ด ลทั ธิศาสนาในประเทศฝายเหนือเหลา นัน้ กแ็ ปรผนั วปิ ลาสไป สว นประเทศฝายใตมี ลังกา พมา ไทย ลาว และ เขมร ประเทศเหลา นคี้ ดิ เห็นมาแตเ ดมิ วา ถาแปล พระไตรปฎกเปนภาษาอ่ืนโดยทิ้งของเดมิ เสยี แลว พระธรรมวินัยก็คงคลาดเคลอ่ื น จึงรกั ษาพระไตรปฎก ไวเปนภาษาบาลี การเลาเรียนคันถธุระก็ตองเรียนภาษาบาลีใหเขาใจเสียชั้นหน่ึงกอนแลวจึงเรียนพระธรรมวินัย ในพระไตรปฎกตอ ไป ดวยเหตุนี้เองประเทศฝายใตจ ึงสามารถรกั ษาลัทธศิ าสนาตามหลักธรรมวินัยย่ังยนื มา ได การศึกษาเลาเรยี นพระปรยิ ัติธรรมท้ังแผนกธรรมและบาลี นอกจากจะเปนการศกึ ษาหลกั ธรรมคำสง่ั สอน แลวยงั ไดชอ่ื วา เปนการสืบตออายุพระพุทธศาสนาไวอ ีกดว ย โดยเฉพาะการศึกษาภาษาบาลี เพราะถาไมร ู
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓ ภาษาบาลีแลว ก็จะไมมีผูใดสามารถรูและเขาใจพระพุทธวจนะในพระไตรปฎก ถาขาดความรูเรื่อง พระไตรปฎกแลว พระพทุ ธศาสนาก็จะตอ งเสือ่ มสญู ไปดว ย ภาษาบาลีไมมีตัวอักษรของตนเอง เรียกวาเปนภาษาพูด ที่ถายทอดกันมาโดยการทองจำ ใชใน ถ่นิ ใดก็ใชอกั ษรของถนิ่ นน้ั ถา ยเสียง เชน ไทยกใ็ ชอ กั ษรไทย ลาวใชอกั ษรธรรม เขมรใชอกั ษรขอม (สวนใหญ เปนขอมบรรจง) ในซีกโลกตะวันตกใชอักษรโรมัน ถา อักษรภาษาใดถายเสียง ไดไมครบเสียงก็จะเปลี่ยนไป แตในปจจบุ ันอกั ษรโรมันเปน ทีน่ ิยมใชมากทส่ี ุดในการศึกษาภาษาบาลีเชน เดียวกับภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี เปนภาษาท่ีเกาแกภาษาหน่ึง ในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปยน) ในสาขายอย อนิ เดยี -อิหราน (อินโด-อเิ รเนียน) ซง่ึ จัดเปนภาษาปรากฤตภาษาหนึง่ เปนท่ีรูจักกันดีในฐานะเปนภาษาท่ีใช บันทึกคัมภีรในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เชน พระไตรปฎก เปนตน โดยมีลักษณะทางไวยากรณ และ คำศัพทที่คลายคลึงกับภาษาสันสกฤต ไมมีอักษรชนิดใดสำหรับใชเขียนภาษาบาลีโดยเฉพาะ มีหลักฐาน จารกึ ภาษาบาลดี วยอกั ษรตาง ๆ มากมายในตระกลู อักษรอนิ เดยี เชน อกั ษรพราหมี อักษรเทวนาครี จนถึง อกั ษรลานนา อกั ษรขอม อักษรไทย อกั ษรมอญ แมกระทงั่ อักษรโรมัน (โดยมีการเพมิ่ เคร่ืองหมายเล็กนอย) ก็สามารถใชเ ขยี นภาษาบาลไี ด ภาษาบาลีมีลักษณะเฉพาะตัวคือ คำทุกคำ (ยกเวนจำพวกอัพยยศัพท) ไมวาจะเปนคำนามหรือ คำกรยิ า ลวนแตม ีรากศัพท หรือผานการประกอบรปู ศัพทท้ังสิ้น ไมใชจะสำเร็จเปนคำศัพทเลยทีเดยี ว และ เมอื่ จะนำไปใชจ ะตอ งมกี ารแจกรปู เสียกอ น เพ่อื ทำหนา ทต่ี างๆ ในประโยคเชน เปน ประธาน เปน กรรม เปน ตน ภาษาไทย แมจะเปนภาษาคนละตระกูลกับภาษาบาลีและ สันสกฤต แตก็รับเอาคำบาลีและ สันสกฤตมาใชใ นภาษาไทยไมนอ ย อาจกลา วไดว ามากกวา ภาษาอนื่ ๆ ทนี่ ำมาใชในภาษาไทยในปจจุบนั เชน ภาษาอังกฤษ แตเมอ่ื นำมาใชใ นภาษาไทยแลว กม็ ีการเปลี่ยนรปู เปล่ียนเสียง เปล่ยี นความหมาย ฯลฯ หรือ ท่เี รยี กวา การกลายรปู กลายเสียง กลายความหมาย ฯลฯ นน่ั เอง ภาษาบาลี ใชถายทอดเผยแผและบันทึกพุทธพจนเร่ือยมา จนกลายเปนภาษาท่ีใชเปนหลัก ใน พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท มพี ระไตรปฎก อรรถกถา และฎกี าเปนตน ในการเขยี นหรือบนั ทึกภาษาบาลี โดยใชอักษรน้ัน ไมมีอักษรชนิดใด สำหรับใชเขียนหรือบันทึกภาษาบาลีโดยเฉพาะ แตเปนไปตามทองถิ่น และยุคสมัย เชน ดินแดนสุวรรณภูมิเคยใชอักษรขอมเรียนบาลี ปจจุบันใชอักษรไทย ในพมาใชอักษรพมา ในศรีลังกาใชอกั ษรสิงหล ในอาณาจักรลา นนาใชอ ักษรธรรมลา นนา เปน ตน ๑.๒ พัฒนาการของภาษาบาลี1๑ สำหรับ ภาษาบาลี มีวิวัฒ นาการมายาวนาน มีการใชภาษาบาลีเพ่ือบันทึกคัมภีรใน พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเปนจำนวนมาก Wilhem Geiger นักปราชญบาลีชาวเยอรมัน ไดเขียน หนังสือในสมยั ศตวรรษที่ ๑๙ คอื Pali Literatur โดยแบงววิ ัฒนาการรูปลกั ษณะของภาษาบาลไี ว ๔ ยคุ คอื ๑ ประวัติความเปนมาและพัฒนาการของภาษาบาลี https://buddhafacts.wordpress.com/ สบื คน เม่ือ ๑๑ ก.ย. ๒๕๖๒
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔ ยุคคาถา (Gatha Language) บาลีที่ใชในยุคน้ี ไดแก ภาษาท่ีทานประพันธเปนคาถา หรือรอยกรอง คำศัพทมีลักษณะเหมือน ภาษาอนิ เดยี โบราณ เพราะการใชค ำยังเกีย่ วขอ งกบั ภาษาไวทกิ ะที่ใชบันทึกคมั ภรี พระเวท ยคุ รอ ยแกว (Prose Language) ไดแกภาษารอยแกว ที่มีในพระไตรปฎกดังที่ทราบกันแลววา พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา สวนมากเปนประเภทรอยกรองและคติพจนส้ันๆ ซึ่งเปนลักษณะของรอยกรอง นักปราชญสวนมากมี ความเห็นวา บทรอยแกวในพระไตรปฎกนั้นเติมเขามาในภายหลัง เพราะรูปแบบเปนภาษาอินโดอารยัน สมยั กลาง แตกตางจากสันสกฤตแบบพระเวทอยางสิ้นเชงิ ดว ยเหตนุ ้ี ภาษาในพระไตรปฎ กจึงเขยี นในยคุ น้ี ยุครอ ยแกว ระยะหลัง (Post-canonical Prose Language) เรยี กชอื่ อีกอยางวา “รอยแกวรนุ อรรถกถา” ไดแก บทรอ ยแกวทีแ่ ตงข้ึนทหี ลัง โดยพระอรรถกถา จารยต า งๆ นับวาเปนชวงระยะเวลาหลงั พระไตรปฎ ก ราวศตวรรษท่ี ๕ เปน ตน ไป ดงั ตัวอยางในคัมภีร เนต ตปิ กรณ มลิ นิ ทปญ หา วิมุตตมิ รรค และวสิ ุทธิมรรค เปน ตน ยคุ รอยกรองประดษิ ฐ (Artificial Poetry) ภาษาท่ีใชใ นยคุ นี้เปนการผสมผสานระหวงภาษาเกาและภาษาใหม กลาวคอื คนแตงสรางคำใหมๆ ขึ้นใชเ พอื่ ใหไ พเราะหแู ละสวยงามและเหมาะสมกับกาลเวลาในชว งน้นั ๆ ๑.๓ สาเหตุที่เปลี่ยนชอ่ื จากภาษามาคธี เปนภาษาบาลี2๑ ภาษามาคธี หรือ ภาษามคธ เปนภาษาที่พระพุทธเจาทรงใชส่ังสอนประชาชน ครั้นตอมา พระพทุ ธศาสนาไดมาเจริญแพรหลายท่ปี ระเทศศรลี ังกา ภาษามาคธไี ดถูกนักปราชญแกไขดัดแปลงรปู แบบ ไวยากรณใหกระทัดรัดย่ิงขึ้น จึงมีชื่อใหมวา “ปาลี” หรือ ภาษาบาลี เปนภาษาจารึกพระไตรปฎกดังท่ีเรา เห็นอยูในปจจุบนั เปน ธรรมดาของภาษาที่มีวิวฒั นาการไปตามกาลเวลา ทำใหภาษามกี ารเปลย่ี นแปลง ภาษาบาลีก็ เปนเชน เดยี วกนั มีการวเิ คราะหถ ึงสาเหตทุ ี่ “ภาษามาคธี” กลายชื่อเปน “ภาษาบาล”ี ไวดงั นี้ ๑.) ดวยระยะเวลาท่ีผานมานานถึง ๒,๕๐๐ ป หลักภาษาและถอยคำสำนวนของภาษามาคธีหรือ ภาษาของชาวมคธสมัยพุทธกาล ก็ไดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลากลายเปนภาษามาคธีในยุคใหม ทำให ภาษามาคธีท่ีใชในวัฒนธรรมบาลีกลายเปนภาษาโบราณไป การจะถือวาบาลีใชภาษามาคธีก็ไมถูกตองนัก จึงเรียกเสียใหมวา “ภาษาบาลี” เพ่ือตัดปญหาความเขาใจผิดท่ีจะนำภาษาบาลีไปเปรียบเทียบกับภาษา มาคธสี มยั ใหม ๒.) เน่ืองดวยพระพุทธเจาทรงใชภาษาสุทธมาคธีเปนหลักในการประกาศพระพุทธศาสนา ให เขาถึงชนทุกช้นั วรรณะ ทานไดทรงปรับปรงุ แกไ ขภาษาสุทธมาคธี ซ่ึงชน้ั เดมิ เปน ภาษาปรากฤตใหด ีขึ้น เม่ือ เปนภาษามาคธที ีด่ ีและไพเราะข้ึนดวยอานภุ าพของพระพทุ ธเจา แลว ภาษามาคธีก็มีชอื่ เรียกอีกอยางหนง่ึ วา “บาลี“ ซึ่งแปลวา “แบบแผน“ ๑ ประวตั ิความเปน มาและพัฒนาการของภาษาบาลี https://buddhafacts.wordpress.com/ สืบคน เมอ่ื ๑๑ ก.ย. ๒๕๖๒
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๕ ในปจจุบัน ภาษาบาลมี ีการศกึ ษาอยางกวางขวางในประเทศทีน่ ับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เชน ไทย พมา เปนตน แมกระทั่งในตางประเทศ เชน ประเทศอังกฤษก็มีผูสนใจในพระพุทธศาสนา โดยการ จดั ตง้ั สมาคมบาลีปกรณ (Pali Text Society) ข้นึ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เม่อื ป พ.ศ.๒๔๒๔ ในประเทศไทย ไดมีการศึกษาภาษาบาลีมาชานานแลว โดยเปดสอนตั้งแตระดับไวยากรณถึง เปรียญธรรม ๙ ประโยค มีโรงเรียนสอนภาษาบาลี ใหกับภิกษุสามเณรท่ัวประเทศไทย เปนโรงเรียนพระ ปริยัติธรรม และยังมีเปดสอนในลักษณะหลักสูตรเรงรัดที่มหาวิทยาลัยสงฆทั้งสองแหงกลาวคือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยเฉพาะที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยน้ันไดดำเนินการเรียนการสอนภาษาบาลี ใหบรรดาแมชี ซ่ึงแบงเปน ๙ ชนั้ เรียกวา บ.ศ.(บาลีศึกษา) ๑-๙ มาเปนเวลาชานาน และปจ จุบันน้ี กม็ แี มชสี ำเร็จการศึกษาเปรียญ ๙ ตาม ระบบนีเ้ พิ่มจำนวนมากข้นึ เร่อื ย ๆ ดวย ๑.๔ บาลีในฐานะภาษาบญั ญตั ิสกิ ขาบท สมัยที่พระพุทธเจาประทับจำพรรษาอยูท่ีเมืองเวรัญชา3๑ พรรษาที่ ๑๒ หลังตรัสรูแลว พระสารี บตุ รเกดิ ความปริวติ กหวงใยถึงการดำรงอยูของพระศาสนาจงึ ทูลถามพระพุทธเจาถึงเหตุที่ทำใหพ รหมจรรย 4๒ดำรงอยูนานและไมนานวา “พรหมจรรยของพระผูมีพระภาคพุทธเจาพระองคไหนดำรงอยูไมนาน ของ พระผูมพี ระภาคพุทธเจา พระองคไ หนดำรงอยูนาน พระพทุ ธเจา ขา ” พระผูมีพระภาคตรัสตอบวา “สารีบุตร พรหมจรรยของพระพุทธเจาวิปสสี พระพุทธเจาสิขี พระพุทธเจาเวสสภู ดำรงอยูไมนาน พรหมจรรยของพระพุทธเจา กกุสันธะ พระพุทธเจาโกนาคมนะ และ พระพทุ ธเจากสั สปะ ดำรงอยนู าน” พระสารีบุตร. “อะไรเปนเหตุเปนปจจัยทำใหพรหมจรรยของพระพุทธเจาวิปสสี พระพุทธเจาสิขี และพระพุทธเจาเวสสภู ดำรงอยไู มน าน พระพทุ ธเจา ขา” พระพทุ ธเจา . “สารีบุตร พระพทุ ธเจาวปิ ส สี พระพุทธเจาสขิ ี พระพทุ ธเจาเวสสภู ทรงผอ นคลายท่ี จะแสดงธรรมโดยพิสดารแกสาวก สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวตุ ตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ5๓ ของพระพุทธเจาทั้ง ๓ พระองคจึงมีนอย มิไดทรงบัญญัติสิกขาบทไวแกสาวก ไมมีการแสดง ปาตโิ มกข เมื่อหมดพระพทุ ธเจาและสาวกผตู รัสรตู ามแลว สาวกชน้ั หลงั ๆ ตา งช่อื ตา งโคตร ตา งชาติวรรณะ ไดเขามาบวชจากตางตระกูล เธอเหลานั้นพาใหพรหมจรรยสูญส้ินไปเร็วพลัน เหมือนดอกไมนานาพรรณ กองอยูบนแผนกระดาน ยังไมรอยดวยดาย ยอมถูกลมพัดกระจัดกระจายไป เพราะเหตุไร เพราะไมไดเอา ดายรอยไว ขอนี้ ฉันใด เมื่อหมดพระพุทธเจาและสาวกผูตรัสรูตามแลว สาวกช้ันหลังๆ ตางช่ือ ตางโคตร ตางชาตวิ รรณะ ไดเ ขามาบวชจากตา งตระกูล เธอเหลา น้ันพาใหพรหมจรรยส ญู สน้ิ ไปเรว็ พลนั ฉนั นั้น อน่ึง พระพุทธเจาเหลาน้ันไมทรงผอนคลายท่ีจะกำหนดจิตของสาวกดวยพระทัยแลวทรงส่ังสอน สารบี ุตร เรือ่ งเคยเกิดขน้ึ แลว พระพุทธเจาเวสสภู ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆแ ลวทรงสั่งสอนภิกษุสงฆ ๑,๐๐๐ ๑ เวรญั ชพราหมณ เวรญั ชกณั ฑ มหาวภิ ังค ภาค ๑ พระวินยั ปฎ ก (โปรแกรมพระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั เลม : ๑ หนา : ๑๑) http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=1&siri=1 สบื คน เม่ือ ๑๓ ก.ย.๒๕๖๒ ๒ “พรหมจรรย” ในทน่ี ้หี มายถึง ศาสนา (วิ.อ. ๑/๑๘/๑๘๙) ๓ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อัพภตู ธรรม เวทลั ละ รวมเรียกวา “นวงั คสัตถศุ าสน” แปลวา คำสอน ของพระศาสดามอี งค ๙ ประการ
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๖ รูป ในราวปา นาสะพึงกลัวแหงหนงึ่ วา “เธอทงั้ หลายจงพิจารณาเชนนี้ อยาพิจารณาอยางน้ัน จงตง้ั ใจอยางนี้ อยา ตั้งใจอยางน้ัน จงละส่ิงน้ี จงเขาถึงส่ิงน้ีอยูเถิด” จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ที่พระพุทธเจาเวสสภูทรงส่ัง สอน หลุดพนจากอาสวะ เพราะไมมีความถือมั่น สารีบุตร เพราะราวปานาสะพึงกลัว นาสยดสยอง จึงมี เรอื่ งดังนี้ คือ ภกิ ษผุ ูไมปราศจากราคะ เขา ไปราวปา สวนมากเกดิ ความกลัวขนลกุ ขนพอง สารบี ตุ ร นค้ี ือเหตุ ปจจัยทท่ี ำใหพรหมจรรยข องพระพทุ ธเจา วปิ ส สี พระพุทธเจาสขิ ี พระพุทธเจา เวสสภดู ำรงอยไู มนาน” พระสารีบุตร. “อะไรเปนเหตุเปนปจจัยทำใหพรหมจรรยข องพระพุทธเจากกุสนั ธะ พระพทุ ธเจาโก นาคมนะ และพระพทุ ธเจา กสั สปะดำรงอยูนาน พระพทุ ธเจาขา” พระพทุ ธเจา. “สารีบุตร พระพุทธเจากกุสนั ธะ พระพุทธเจา โกนาคมนะ และพระพุทธเจา กัสสปะ ไมทรงผอนคลายที่จะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแกสาวก สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ ิวุตต กะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระพุทธเจา ๓ พระองคจึงมีมาก ทรงบัญญัติสิกขาบทไวแกสาวก มี การแสดงปาติโมกข เมื่อหมดพระพุทธเจาและสาวกผูตรัสรูตามแลว สาวกชั้นหลังๆ ตางชื่อ ตางโคตร ตางชาติวรรณะ ไดเขามาบวชจากตางตระกูล เธอเหลาน้ันพาใหพรหมจรรยดำรงอยูนาน เหมือนดอกไม นานาพรรณกองอยบู นแผนกระดานเอาดายรอยไว ยอมไมถูกลมพัดกระจดั กระจายไป เพราะเหตุไร เพราะ เอาดายรอยไว ขอนี้ ฉันใด เมื่อหมดพระพทุ ธเจา และสาวกผตู รสั รตู ามแลว สาวกชัน้ หลังๆ ตา งชือ่ ตา งโคตร ตางชาตวิ รรณะ ไดเขา มาบวชจากตา งตระกูล เธอเหลานัน้ พาใหพรหมจรรยดำรงอยนู าน ฉันนน้ั สารีบตุ ร น้ี คือเหตุปจจัยที่ทำใหพรหมจรรยของพระพุทธเจากกุสันธะ พระพุทธเจาโกนาคมนะ และพระพุทธเจากัสส ปะ ดำรงอยนู าน” เม่ือพระสารบี ตุ รไดฟ ง ดงั น้ี ก็ยงิ่ ปริวิตกเกดิ เปน หว งพระศาสนาขน้ึ อยางจบั ใจวา ถา พระพุทธเจา ยัง ไมบัญญัตสิ กิ ขาบทพระพทุ ธศาสนาอาจเสื่อมได จงึ ไดก ราบทลู ออนวอนวา “ถึงเวลาแลวพระพทุ ธเจาขา ที่พระผมู พี ระภาคจะทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ทรงยกปาตโิ มกขข ึ้นแสดง แกพระสาวกอันจะเปนเหตุใหพรหมจรรยด ำรงอยไู ดยืนนาน” พระพุทธเจา. “จงรอไปกอนเถิดสารีบุตร ตถาคตรเู วลาในเรื่องที่จะบัญญตั สิ ิกขาบทนั้น ศาสดาจะ ยังไมบัญญัติสกิ ขาบทแกสาวก ไมยกปาติโมกขข้นึ แสดง ตลอดเวลาทยี่ ังไมเกิดอาสวัฏฐานิยธรรม6๑บางอยาง ในสงฆ เม่ือเกิดอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางในสงฆ ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท จะยกปาติโมกขข้ึนแสดง แกสาวก เพ่ือขจัดธรรมเหลาน้ัน สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ มีภิกษุบวชนาน เมื่อสงฆเปนหมูใหญเพราะมีภิกษุบวชนาน และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะบญั ญัติสกิ ขาบท จะยกปาตโิ มกขข้ึนแสดงแกส าวก เพ่อื ขจัดธรรมเหลานั้น สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ แพรหลาย เม่ือสงฆเปนหมูใหญเพราะแพรหลาย และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะ บัญญตั ิสิกขาบท จะยกปาติโมกขขึ้นแสดงแกสาวก เพือ่ ขจัดธรรมเหลานัน้ ๑ ตตฺถ อาสวา ติฐนฺติ เอเตสูติ อาสเวหิ ฐาตพฺพา น โวกฺกมิตพฺพาติ วา อาสวฐานียา แปลสรุปความวา ธรรมเปนที่ต้ังอาสวะ ความชว่ั ตางๆ เชน การกลา วใหรา ยคนอน่ื ความเดือดรอ น และการจองจำ (ว.ิ อ. ๑/๒๑/๑๙๗)
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๗ สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาที่สงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ มลี าภสักการะมาก เมื่อสงฆเปนหมใู หญเพราะมีลาภสักการะมาก และมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยา งเกิดใน สงฆ ตถาคตจะบัญญัติสิกขาบท จะยกปาติโมกขข ้ึนแสดงแกส าวก เพ่ือขจดั ธรรมเหลา นน้ั สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางยังไมเกิดในสงฆ ตราบเทาท่ีสงฆยังไมเปนหมูใหญเพราะ ความเปนพหูสูต เมื่อสงฆเปนหมูใหญเพราะความเปนพหูสูตและมีอาสวัฏฐานิยธรรมบางอยางเกิดในสงฆ ตถาคตจะบญั ญตั ิสกิ ขาบท จะยกปาติโมกขข ึ้นแสดงแกสาวก เพือ่ ขจดั ธรรมเหลาน้นั สารีบุตร ก็ภิกษุสงฆยังไมมีเสนียด ไมมีโทษ ไมมีสิ่งมัวหมอง บริสุทธ์ิผุดผอง ดำรงอยูในสารคุณ แทจริงในภิกษุ ๕๐๐ รูปน้ี ผูมีคุณธรรมอยางต่ำก็ชั้นโสดาบัน ไมมีทางตกต่ำ มีความแนนอนท่ีจะสำเร็จ สัมโพธ7ิ๑ในวนั ขา งหนา ” ในอรรถกถาเวรัญชกัณฑ8๒ไดกลาวเหตุที่พระพุทธเจาไมทรงบัญญัติสิกขาบทไวกอนลวงหนา ซึ่ง เปรยี บไดกบั แพทยผูไมฉลาด เรยี กบุรษุ บางคน ซ่ึงหวั ฝยังไมเ กิดข้นึ มาแลวบอกวา มานี่แนะ พอมหาจำเรญิ ! หวั ฝใหญจักเกิดขึ้นในสรีระประเทศตรงนี้ของทาน จักยังความเส่อื มฉิบหายใหมาถึงทาน ทานจงรีบใหหมอ เยียวยามันเสียเถิด ดังน้ี ผูอันบุรุษนั้นกลาววา ดีละ ทานอาจารย! ทานนั่นแหละจงเยียวยามันเถิด จึงผา สรีระประเทศซงึ่ หาโรคมิไดของบุรุษน้ัน คัดเลือดออกแลวทำสรีระประเทศตรงน้ันใหกลับมีผิวดี ดวยยาทา พอก และการชะลางเปนตนแลว จึงกลาวกะบุรุษน้ันวา โรคใหญของทานเราไดเยียวยาแลวทานจงให บำเหน็จแกเรา บรุ ุษน้ันพงึ คอนขอด พึงคัดคานและพงึ ติเตียนนายแพทยอยา งน้ีวา หมอโงน ่ีพูดอะไร ไดย ินวาโรค ชนิดไหนของเรา ซึ่งหมอโงน้ไี ดเยียวยาแลว หมอโงนที้ ำทุกขใหเกิดแกเรา และทำใหเราตอ งเสียเลือดไปมใิ ช หรือดังนี้และไมพึงรูคุณของหมอนั้น ขอน้ี ช่ือแมฉันใด ถาเมื่อวีติกกมโทษ9๓ยังไมเกิดขึ้น พระศาสดาพึง บัญญัติสิกขาบทแกพระสาวกไซร พระองคไมพึงพนจากอนิฏฐผล10๔ มีความคอนขอดของผูอ่ืนเปนตน และ ชนทัง้ หลายจะไมพ งึ รกู ำลงั พระปรีชาสามารถของพระองค ฉันนัน้ นั่นแล และสกิ ขาบททีท่ รงบัญญตั ิแลว จะ พงึ กำเริบ คอื ไมต งั้ อยูในสถานเดิม อรรถกถาเวรัญชกัณฑยังกลา วอกี วา วตี ิกกมโทษซ่งึ ถงึ การนับวา ธรรมเปนท่ีต้ังแหงอาสวะ ยอมมี ปรากฏในสงฆ ในกาลใด ในกาลน้ัน พระศาสดายอมทรงบัญญัติสิกขาบทแกพวกสาวก ยอมทรงแสดง ปาติโมกขเพราะเหตุไร เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษเหลานั้นน่ันแล ซึ่งถึงการนับวา ธรรมเปนที่ต้ังแหงอา สวะ พระผูมีพระภาคเจา เมื่อทรงบัญญัติอยางน้ัน ยอมเปนผูไมควรคอนขอดเปนตน และเปนผูมีอานุภาพ ปรากฏ ในสัพพัญูวิสัยของพระองค ยอ มถงึ สกั การะ และสกิ ขาบทของพระองคน ัน้ ยอมไมกำเริบ คือตง้ั อยู ในสถานเดมิ เปรยี บเหมอื นนายแพทยผฉู ลาดเยียวยาหัวฝท ่เี กดิ ขน้ึ แลว ดวยการผาตดั พอกยาพนั แผลและชะ ๑ สัมโพธิปรายณะ จะสำเร็จสัมโพธิในวันขางหนา คือ อุปริ มคฺคตฺตยํ อวสฺสํ สมฺปาปโก... ปฏิลทฺธปมมคฺคตฺตา จะบรรลุมรรค ๓ ช้ันสูงขึ้นไปแนนอน เพราะไดปฐมมรรค(คือโสดาปตติมรรค)แลว(วิ.อ. ๑/๒๑/๒๐๓); อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สมฺโพธิ สัมโพธิ คือ มรรค ๓ (สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค อรหัตตมรรค) ท่ีสูงขน้ึ ไป (สารตถฺ .ฏกี า. ๑/๒๑/๕๕๙). ๒ อรรถกถามหาวภิ ังค ปฐมภาค เวรญั ชกัณฑ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=1&p=14#เปรียบ ดวยแพทยผ ไู มฉลาดทำการผา ตัด สบื คนเมือ่ ๑๗ ก.ย. ๖๒ ๓ ผลแหงความผิด ความไมด ีงาม ทกี่ าวลวงออกมาทางกาย ๔ ผลไมเ ปนท่ปี รารถนา ไมเปนทีพ่ อใจ
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๘ ลางเปนตน ทำใหสบาย มีผิวดี เปนผูไมควรคอนขอดเปนตนเลย และเปนผูมีอานุภาพปรากฏในเพราะ กรรมแหงอาจารยข องตน ยอ มประสบสกั การะ ฉะนน้ั ๑.๕ บาลีในฐานะภาษามนุษยตนกัปป(ความอศั จรรยของภาษาบาล)ี 11๑ ศาสนาท้ังหลายในโลกนี้ ตางมีภาษาสำหรับจารึกศาสนธรรมคำสอนของพระศาสดาผูกอต้ัง ศาสนานั้นๆ ภาษาสันสกฤตผนู ับถือศาสนาพราหมณนับถือวาเปนภาษาอันศักด์ิสิทธ์ิ เพราะจารึกคำสอน ของพระเวทฉนั ใด แมภ าษาบาลกี ็เปนเชน เดียวกัน ชาวพุทธทง้ั หลายฝา ยเถรวาทก็นบั ถือวาเปนภาษาศกั ด์ิ สิทธ เพราะจารึกพระธรรมอันเปนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา เพื่อใหเกิดประโยชนแกอนุพุทธยุค หลังไดศึกษาเรยี นรูพ ระพุทธธรรมไดโดยงาย พระมหาเถระท้ังหลายผูแตงคัมภีรอรรถกถา และฎีกา เปน ตน ตางใชภาษาบาลีเปน หลักในการแตง คัมภรี เหลา นน้ั ฉะนั้นการทจ่ี ะมีความรูความเขาใจในพระพุทธศาสนาฝายเถรวาทโดยถูกตองและ สมบรู ณแบบ ที่สดุ น้ัน ขึ้นกับภูมิความความแตกฉานภาษาบาลีเปนสำคัญ เพราะพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ ปจจบุ ันเรียกกันวา “พระไตรปฎก” นนั้ ลวนอยูในรูปของภาษาบาลีทง้ั สิน้ เน่อื งจากภาษาบาลีเปน ภาษา รักษาไวซ ึ่งพระพุทธวจนะ ภาษาบาลีมีความมหศั จรรยพ อสรปุ ไดดังตอไปนี้ ๑. ภาษาบาลีเปนภาษาที่ไมเสื่อม ภาษาบาลีนับวาเปนภาษาท่ีสูงกวาภาษาท้ังหลาย เพราะ สมบูรณดวยคุณวิเศษและสภาวนิรุตติ คำวา สภาวนิรุตตินั้น หมายถึงภาษาท่ีไมมีการเปลี่ยนแปลง ความหมายและอธิบาย มีอำนาจในการแสดงอรรถและอธิบายไดแนนอน เปนภาษาที่ผูวิเศษทั้งหลายมี พระพุทธเจาเปนตนทรงใชอยู กลาวอีกนัยหน่ึง สภาวนิรุตติ หมายถึงภาษาที่ไมมีการเปลี่ยนแปลง ไม เสื่อม ต้ังอยูโดยปกติ สวนภาษาอื่นๆ เมื่อถึงกาลหน่ึงยอมเปลยี่ นแปลงและเสอ่ื มได สำหรับภาษาบาลีแลว จะไมม กี ารเปลย่ี นแปลงและเสอ่ื มเลย ไมวา จะเปนทีไ่ หนๆ ในกาลไหนๆ หากจะมกี ารเปลย่ี นแปลงหรอื เสื่อม สลายก็เปนเพราะผูศึกษา ผูแสดง ผูสอน เรียนผิด แสดงผิด และสอนผิด แมถึงกระนั้น ก็จะไมมีการ เปลี่ยนแปลงโดยตลอดกาล เพราะทานกลาวไวในสัมโมหวิโนทนีวา สถานท่ีพูดภาษาบาลีมากที่สุด คือ นรก ดิรัจฉาน เปรต โลกมนุษย สวรรค และพรหมโลก กลาวอธิบายวา เม่ือโลกแตกสลาย พรหม โลกมิไดเ ขา ขา ยการแตกสลายดว ย ฉะนนั้ พรหมโลกจงึ ต้งั อยูไ ดส ภาพเดมิ ๒. ภาษาบาลีเปนมลู ภาษา ภาษาบาลีจดั เปน ภาษาของมนุษยใ นยคุ แรกของโลก เพราะเมื่อโลก ถึงการแตกสลาย พรหมโลกมิไดแตกสลายไปดวย ฉะน้ันพรหมโลกจึงต้ังอยูในสภาพเดิม โดยไมมีการ เปล่ียนแปลง มีอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กนอยวา มนุษยในยุคแรกของโลกนั้น เปนผูจุติมาจากพรหมโลกดวย อุปาทปฏสิ นธิ มนุษยดังกลา วน้ันพดู ภาษาบาลีซ่ึงเปน ภาษาทีใ่ ชก ันในพรหมโลกเปน ตน ฉะนนั้ นักไวยากรณจึงมีความเช่ือวา ภาษาบาลี เปนมูลภาษาคอื เปนภาษาทมี่ นุษยในยคุ แรกใช พูดกัน ดงั ท่ีคมั ภีรป ทรปู สทิ ธิไดกลา ววา สา มาคธี มลู ภาสา นรา ยายาทกิ ปฺปก า พฺรหมฺ าโน จสฺสตุ าลาปา สมฺพุทฺธา จาป ภาสเร ฯ ๑ ความอศั จรรยข องภาษาบาลี https://www.cybervanaram.net/2010-05-25-08-17-50/87-2010-03-29-07-30- 43?showall=1 สบื คนเม่อื ๑๗ ก.ย. ๖๒
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๙ แปลวา นรชนผูเกิดในปฐมกัปป พรหม แมพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้งหลาย และบุคคลผูมิไดสดับ คำพูดของมนุษยเลย กลาวดวยภาษาใด ภาษานั้นคือมาคธี ภาษามคธเปนภาษาด้ังเดิม (หลวงเทพดรุณา นศุ ษิ ฎ. (ทวี ธรมธัช) บาลีไวยากรณพ เิ ศษ. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๔. หนา ๑) ภาษามาคธี เปน ภาษาด้งั เดมิ ทีใ่ ชพ ูดกนั โดยมนษุ ยตน กัปป พวกพรหม พระพุทธเจา และบคุ คล ผูทย่ี งั ไมเคยไดย ินคำพูดจากบคุ คลอน่ื ๓. ภาษาบาลีเปนสภาวนิรุตติ ทานแสดงไวในสัมโมหวิโนทนีวา ภาษาบาลีเปนสภาวนิรุตติ หมายความวา เปน ภาษา ธรรมชาติ อธิบายวา แมผทู ่ไี มเ คยไดย นิ ไดฟงภาษาอน่ื มากอ น หากมคี วามสามารถ ในการคิดและพูดไดเอง เขาคงจักพูดภาษาบาลีอันเปนภาษาท่ีเขาสนใจเทานั้น หมายความวา ในหนทาง อันยืดยาวแหงสังสารวัฏอันกำหนดนับไมไดน้ัน มีการกำหนดเม็ดพืชของภาษาบาลีอยู ผูท่ีเดินทางไกลใน สงั สารวัฏลว นเคยพดู เคยทองบนภาษาบาลมี าแลว โดยนับไมถว น นั้น เม่ือถงึ เวลาพดู จริงแมจะไมเคยพูด ภาษาบาลมี ากอ น กส็ ามารถพดู ภาษาบาลีไดเอง ทั้งนป้ี รากฏข้ึนมาเพราะพืชพันธแ หง สภาวนิรตุ ตินน่ั เอง ๔. ภาษาบาลีเปนนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ภาษาบาลี นอกจากจะไดชื่อวาสภาวนิรุตติแลว ยังช่ือ วา เปน เหตุแหง นิรตุ ติปฏสิ ัมภิทาญาณอกี ดวย ผูทไี่ ดบรรลนุ ิรุตตปิ ฏสิ มั ภทิ าญาณแลว จะสามารถรูภาษาบาลี ไดเ อง เชนเดียวกนั ความแตกฉานในภาษาบาลีก็เปน ปจจัยสวนหน่งึ แหงการไดบรรลุปฏสิ มั ภทิ าญาณ ๕. ภาษาบาลีเปนภาษารักษาพระศาสนา ภาษาบาลี มิใชจะสมบูรณดวยคุณดังกลาวมาแลว เทาน้ัน ยังไดชื่อวาเปนภาษารักษาพระพุทธศาสนาอีกดวย “การดำรงไวซึ่งวินัยกรรมท่ีรูกันวาเปนอายุ ของพระศาสนา” นนั้ จัดเปน คำพดู ทถี่ กู ทเี ดยี วเพราะในการทำสังฆกรรมมี อุโบสถ ปวารณา อุปสมบท และ สมมติสีมา เปนตน จะสำเร็จไดดวยดีและถูกตองตามแบบแผนพุทธบัญญัติ ถาไมมีวินัยกรรมเก่ียวเนื่อง ดวยการสวดกรรมวาจาแลว ถือวากรรมไมสำเร็จ แตสังฆกรรมนั้นๆ จะสำเร็จไดดวยดีก็ดวยผูสวด กรรมวาจาสามารถสวดกรรมวาจาออกเสียง สิถิล ธนิต วิมุตติ และนิคคหิต ไดถูกตองชัดเจน และผูที่ สวดไดถูกตองชัดเจน จะตองมีความรแู ตกฉานในพยัญชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการมีสิถิลและธนิตเปนตน ซึ่ง แสดงถึงวิธสี วดภาษาบาลี เมื่อมคี วามรูแ ตกฉานในพยัญชนะพุทธิ ๑๐ ประการแลว จงึ สวดกรรมวาจาได ถูกตองชัดเจน และสังฆกรรมยอมสำเร็จสมบูรณตามพุทธประสงค หากไมเรียนรูภาษาบาลีก็ไมสามารถ สวดกรรมวาจาใหสำเร็จได เม่ือเปนเชนน้ัน จึงกลาวสรุปไดวา ภาษาบาลีเปนภาษาที่มีความสำคัญอัน สงู สดุ ตอความดำรงมั่นสน้ิ กาลนานแหงพระพทุ ธศาสนา ๖. ภาษาบาลีเปนภาษาอจินไตย กลา วกันวา พระพุทธองคท รงแสดงพระธรรมจกั กัปปวตั ตนสตู ร ซึ่งเปนปฐมเทศนาดวยภาษาบาลี เม่ือเปนเชนนั้นนาจะมีปญหาวา ผูที่ฟงพระธรรมจักรเทศนาท้ังหลาย (หมายถึงพระปญจวัคคีย) หากไมรูภาษาบาลีแลวจะเขาใจพระธรรมจักรเทศนาที่พระองคทรงแสดงได อยางไร ตอบไดวา ขอที่กลาววาพระองคทรงแสดงพระธรรมจักรดวยภาษามคธนั้นเปนความจริง ทีเดียว ถึงแมวาปฏิคาหก12๑บุคคลผูรับฟงธรรมทั้งหลาย จะรูเฉพาะภาษาของตนอยางเดียวก็จริง ขอ ยกตัวอยางเชน ชนชาวทมิฬก็นึกวา (พระพุทธองค) แสดงธรรมโปรดเขาดวยภาษาทมิฬ ชนชาวอันธกะ ๑ ปฏิคาหก แปลวา ผูรับ มาคูกับคำวา “ทายก” ที่แปลวา ผูให ปฏิคาหก หมายถึง ผูรบั ทาน ผูรับของถวายจากทายก ปกติใชกับ สมณพราหมณ นักพรต นักบวช หรอื บรรพชิต เชน พระภิกษุสามเณร
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๐ ทัง้ หลายก็นึกวา (พระพุทธองค) ทรงแสดงธรรมโปรดเขาดวยภาษาอันธกะเชน เดียวกัน การท่ีผูฟงท้ังหลาย นกึ เชนนั้นเปน เพราะอานภุ าพแหง พระสัมมาสัมพทุ ธเจา ทเ่ี รียกวา “วาจาอจินไตย” อนั มีอยใู นอจินไตย ดวย เหตุดังกลาว การที่จะศึกษาพุทธธรรมใหมีความรูความเขาใจแตกฉาน อยางลุมลึกในอรรถธรรมไดดีน้ัน จำเปนอยางยิ่งที่จะตองเรียนรูเขาใจในภาษาบาลี ที่เรียกวามูลภาษาเสียกอน ดังน้ัน คัมภีรไวยากรณตางๆ นับวาเปนตำราพ้ืนฐานของ การศึกษาภาษาบาลี ท้ังน้ีเพื่อสงเสริมใหเขาใจหลักภาษากอน จากนั้นจึงคอย เขาไป ศึกษาพระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกาเปนตน สืบตอไป(เวทย บรรณกรกุล,ความอัศจรรยของภาษาบาลี http://www.medeepali.net/pali.html (๑๓/๐๒/๐๕) ) เนื่องจากภาษาบาลีเปนภาษาท่ีมีหลักไวยากรณ ดังน้ันกอนที่จะศึกษาภาษาบาลีจึงตองรูจัก ไวยากรณภาษาบาลตี ามสมควร ๑.๖ สรปุ ทา ยบท ความเปนมาและพัฒนาการของภาษาบาลีน้ัน ผานกาลเวลามายาวนานต้ังแตกอนพุทธกาล กระทั่งมีนักปราชญกลาวกันวาภาษาบาลีเปนภาษาของมนุษยตนกัปป เปนภาษาของเทพ ทำใหเห็นเปน ภาษาท่ีศักดิ์สิทธิ์ ในบทน้ีไมประสงคจะวิเคราะหตรวจสอบความเปนมาของภาษาบาลีใหประจักษชัดและ ลึกซ้ึง เพยี งตอ งการใหผ เู ร่มิ ศึกษาทราบวา ภาษามคธหรือภาษาบาลีนั้นมีประวตั ิและพฒั นาการมาตามลำดับ เกิดแรงบันดาลใจ มีความเลื่อมใสศรัทธาที่จะเรียนอยางจริงจังเพราะเห็นคุณคาและความสำคัญ รวมทั้งมี หลักไวยากรณเฉพาะเปนระเบียบแบบแผน และปจจุบันภาษาบาลีก็ยังเปนองคความรูทางภาษาใชศึกษา คน ควาสำหรับพระภิกษุสามเณรในประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท หรือแมแ ตในมหาวิทยาลัยชั้น นำก็ยงั มีวชิ าเอกวาดวยภาษาบาลีโดยเฉพาะ ดังนั้น ผูศึกษาภาษาบาลีจึงควรภาคภูมิใจวาเราไดศ กึ ษาภาษา ของพระพุทธเจา และเปนภาษาที่บันทึกหลกั ธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ทีเ่ รยี กวา พระไตรปฎก อีก ประการหนึง่ ดวย
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๑ ๒.๑ อกั ขระและเสยี ง บทท่ี ๒ การอานภาษาบาลี อักขระ วิธีการเรียกชื่ออกั ษร13๑ทีแ่ สดงเนื้อความของถอยคำท้ังปวง คนทุกชาติกำหนดรูไดด วยอักขระ เมื่อ ไมเขาใจเร่ืองอักขระ ก็ยากที่จะเขาใจเนื้อความไดถูกตอง ฉะน้ัน ความเปนผูฉลาดในอักขระจึงมีอุปการะ มาก คือมปี ระโยชนในการเรยี นภาษาไดเ ปน อยางดี เสียงท่ีเปลงออกจากปาก หรือตัวหนังสือที่ส่ือแทนเสียง ชื่อวา อักขระ หรืออักษร มาจากภาษา บาลีวา อกฺขร แปลวา ไมรูจักส้ินไปอยางหน่ึง ไมเปนของแข็งอยางหนึ่ง เพราะอักขระแมจะนำไปพูดหรือ เขยี นเปนหมื่นเปนแสนก็ไมร จู ักหมดสนิ้ ไป การศึกษาภาษาบาลี หมายถึงการศึกษาภาษาในพระไตรปฎกอันเปนคำสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจา ซ่งึ คำสัง่ สอนเหลานัน้ บรสิ ทุ ธ์ิบริบรู ณด วยอตั ถะและพยญั ชนะ อัตถะ คือ เน้ือความ มี ๓ อยาง ๑. โลกยี ตั ถะ เนือ้ ความทเ่ี ปนโลกยี ธรรม ไดแ ก โลกยี จติ ๘๑ เจตสกิ ๕๒ รปู ๒๘ ๒. โลกตุ ตรัตถะ เนอ้ื ความทีเ่ ปน โลกตุ ตรธรรม ไดแ ก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ๓. โวหารรตั ถะ เนื้อความทีเ่ ปน โวหารบัญญัติ ไดแ ก มนษุ ย ภูเขา แมน ำ้ วตั ถุ เปน ตน ผูจะเขาใจในอัตถะท้ัง ๓ นี้ไดอยางถูกตอ ง เพราะไดศึกษาหลักพยัญชนะคืออกั ษรจนเขาใจดีแลว หากไมเขาใจหลักพยัญชนะ จะเปนเหตุใหเขาใจอัตถะท้ัง ๓ นั้นผิดพลาด พระพุทธองคจึงตรัสวา “เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส สมฺโมสาย อนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติ. กตเม เทฺว. ทุนฺนิกฺขิตฺตฺจ ปทพฺยฺชนํ อตฺโถ จ ทุนฺนีโต, ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส ภิกฺขเว ปทพฺยฺชนสฺส อตฺโถป ทุนฺนโย โหต.ิ ” เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ิติยา อสมฺโมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติ. กตเม เทฺว. สุนกิ ขฺ ิตฺตฺจ ปทพฺยฺชนํ อตฺโถ จ สนุ โี ต, สนุ กิ ขฺ ติ ฺตสฺส ภกิ ฺขเว ปทพฺยฺชนสฺส อตโฺ ถป สนุ โย โหติ.” (อง.ฺ ทกุ . ๒๐/๒๐-๒๑/๕๘ มจร) \"ภิกษทุ ั้งหลาย ธรรม ๒ อยา งเหลานี้ ยอมเปนไปเพ่ือความเส่ือมสลาย เพือ่ ความอันตรธานไปแหง พระสัทธรรม ธรรม ๒ อยางอะไรบาง คือ บทพยัญชนะท่ีนำมาไมถูกตอง และเนื้อความท่ีเขาใจไมถูกตอง เมอ่ื บทพยญั ชนะนำมาไมถกู ตอง แมเ นอ้ื ความกย็ อมเขาใจไมถกู ตอ งเชน กัน ๑ พระมหาสมปอง มุทิโต วัดมหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ คณะ ๒๕ กรุงเทพมหานคร
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๒ ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อยางเหลานี้ ยอมเปนไปเพื่อความต้ังมั่น ไมเส่ือมสลาย ไมอันตรธานไป แหงพระสัทธรรม ธรรม ๒ อยางอะไรบาง คือ บทพยัญชนะที่นำมาถูกตอง และเน้ือความที่เขาใจถูกตอง เม่ือบทพยญั ชนะนำมาถกู ตอ ง แมเน้ือความก็ยอ มเขา ใจถูกตองเชนกนั \" เมื่อเปนเชนนี้ จึงควรอยางย่ิงที่ผปู รารถนารแู ละเขา ใจเนอ้ื ความอยางถูกตอ งครบถว นทง้ั อัตถะและ พยญั ชนะ ควรศกึ ษาใหเขา ใจในวธิ ขี องพยัญชนะคือหลกั ของภาษากอ น ในทนี่ ้ีหมายถึง อกั ขรวธิ ี คอื วธิ ีการ จำแนก การอา น และการเขียน ซึง่ อักษรภาษาบาลถี ูกตอง น่นั เอง เมื่อเขา ใจหลักภาษาดีแลว ยอมเขาใจ เนอ้ื ความไดดี และเม่อื มคี วามเขา ใจเนอ้ื ความถกู ตอ งดี ยอมสามารถปฏบิ ตั ิตามไดถกู ตอ งจนถงึ ความสน้ิ ทุกข ได หากแมหลักภาษาบาลียังไมเ ขาใจ จกั ทำใหส งสัยในเนือ้ ความและขอปฏบิ ตั ินั้น ๆ ยง่ิ ผูป รารถนาจะศกึ ษา คนควาพระบาลีคือพระไตรปฎกอันเปนหลักคำส่ังสอน ย่ิงมีความสงสัยแทบทุกบทไป ดังน้ัน ทานพระโมค คัลลานมหาเถระผูปรชี าชาญในหลกั ภาษาบาลี จงึ ไดก ลา วไวเ ปนคาถาวา โย นริ ุตตฺ ึ น สกิ ฺเขยฺย สกิ ขฺ นฺโต ปฏกตฺตยํ ปเท ปเท วกิ งฺเขยยฺ วเน อนธฺ คโช ยถา. (โมคฺคลลฺ านปฺจกิ าฎีกา) บคุ คลใดไมไ ดศ กึ ษานริ ุตติอนั เปน หลกั ไวยากรณภาษา บุคคลน้นั เมอ่ื ศกึ ษาคน ควา พระไตรปฎก ยอมสงสยั ไปเสียทุก ๆ บท ดุจชางไพรตาบอดเทยี่ วไปในปา ฉนั นน้ั นิรุตติบข ดี เขียน หวงั เพยี งเพียรเรียนพระไตร ทุกทกุ บทยอ มสงสัย ดุจชา งไพรไรดวงตา (แบบเรยี นบาลไี วยากรณ พระมหาสมปอง มทุ ิโต) อักขระ คืออักษรภาษาบาลี ๔๑ ตัว ทานเรียกวา \"อักขระ\" เพราะไมหมดสิ้นไป ดังมีวิเคราะห ศพั ทว า น ขรนฺตีติ อกขฺ รา. วณั ณะทไี่ มหมดสน้ิ ไป ชอื่ วา อกั ขระ ขรนตฺ ิ วนิ สสฺ นฺตตี ิ ขรา, น ขรา อกฺขรา. วัณณะทหี่ มดสิ้นไป ชอื่ วา ขระ วณั ณะทไี่ มห มดสนิ้ ไป ชอื่ วาอกั ขระ
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๓ อักษรภาษาบาลี แบงเปน สระ คอื อักษรทอ่ี อกเสยี งเองไดแ ละชวยใหพ ยญั ชนะออกเสียงได มี ๘ ตวั ไดแ ก อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ พยัญชนะ คอื อกั ษรทท่ี ำใหเนื้อความปรากฏ มี ๓๓ ตวั ไดแ ก กขคฆง จ ฉ ช ฌ ฏ ฑฒณ ตถ ทธ น ปผพภม ย ร ล ว ส ห ฬ อํ สระ ๘ ตวั แบงเปน รสั สสระ ออกเสยี งสนั้ ๓ ตวั ไดแก อ อิ อุ ทฆี สระ ออกเสียงยาว ๕ ตัว ไดแ ก อา อี อู เอ โอ พยญั ชนะ ๓๓ ตัว แบงเปน พยัญชนะวรรค จดั เขา ไวในพวกเดียวกนั ได มี ๒๕ ตัว แบงเปน ๕ วรรค วรรคละ ๕ ตวั ดังน้ี ก ข ค ฆ ง เรียกวา ก วรรค เพราะมี ก อกั ษรเปน ตวั แรก จ ฉ ช ฌ เรยี กวา จ วรรค เพราะมี จ อักษรเปน ตวั แรก ฏ ฑ ฒ ณ เรยี กวา ฏ วรรค เพราะมี ฏ อกั ษรเปน ตวั แรก ต ถ ท ธ น เรยี กวา ต วรรค เพราะมี ต อักษรเปน ตวั แรก ป ผ พ ภ ม เรียกวา ป วรรค เพราะมี ป อกั ษรเปน ตวั แรก การจัดพยัญชนะไวเปนวรรคละ ๕ ตัวเชนนี้ เพราะอักษรทุกตัวในวรรคน้ัน ๆ มีการออกเสียงโดย อาศัยฐาน กรณ และปยตนะ เปนอยา งเดยี วกนั ซงึ่ จะกลาวตอไป พยญั ชนะอวรรค มี ๘ ตวั คือ ย ร ล ว ส ห ฬ อํ (นิคหิต) จดั เขา ไวใ นพวกเดยี วกนั ไมได เพราะมี การออกเสียงโดยอาศัยฐานและกรณต างกนั เสียง สิถิละ ธนิตะ โฆสะ อโฆสะ วิมุตตะ อักษรบาลี ๔๑ ตัวน้ัน เฉพาะพยัญชนะ ๓๓ ตัว มีการออก เสยี งทแี่ ตกตา งกนั บางตวั ออกเสยี งออ น บางตวั ออกเสียงแข็ง บางตวั ออกเสยี งกอ งกังวาล บางตวั ออกเสียง ไมกองกังวาล บางตวั ออกเสียงทงั้ ออ นท้ังกงั วาล เปนตน จำแนกไดดงั น้ี
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔ จำแนกพยญั ชนะ ๓๓ ตวั โดย สถิ ลิ ะ ธนติ ะ วมิ ุตตะ ๑. สถิ ลิ ะ พยัญชนะที่ออกเสียงออน ไดแก พยญั ชนะตวั ท่ี ๑ และ ๓ ของวรรคทั้ง ๕ ไดแ ก ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ ๒. ธนติ ะ พยญั ชนะทอ่ี อกเสียงแขง็ ไดแ ก พยญั ชนะตวั ท่ี ๒ และ ๔ ของวรรคทงั้ ๕ ไดแ ก ข ฆ, ฉ ฌ, ฒ, ถ ธ, ผ ภ ๓. วิมุตตะ พยัญชนะท่ีออกเสียงพนจากความเปนสิถิละ และธนติ ะ ไดแก พยญั ชนะตัวที่ ๕ ของ วรรคทั้ง ๕ และพยญั ชนะอวรรคท้งั หมด ไดแก ง ณ น ม, ย ร ล ว ส ห ฬ อํ จำแนกพยัญชนะ ๓๓ ตวั โดย โฆสะ อโฆสะ วิมตุ ตะ ๑. โฆสะ พยัญชนะที่ออกเสียงกังวาล ไดแก พยัญชนะตัวที่ ๓, ๔ และ ๕ ของวรรคท้ัง ๕ และ พยญั ชนะอวรรค ๖ ตัว ไดแ ก ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ณ, ท ธ น, พ ภ ม, ยร ลวหฬ ๒. อโฆสะ พยัญชนะที่ออกเสียงไมก งั วาล ไดแ ก พยัญชนะตัวท่ี ๑ และ ๒ ของวรรคท้ัง ๕ และ พยญั ชนะอวรรค ๑ ตัว ไดแ ก ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, ส ๓. วิมตุ ตะ พยญั ชนะที่ออกเสยี งพนจากความเปน โฆสะและอโฆสะ ไดแ ก อํ (นิคหติ ) เสยี งของอกั ขระ มาตราการออกเสียงอกั ขระ มดี งั น้ี สระส้นั คอื อ อิ อุ ๑ มาตรา สระยาว คอื อา อี อู เอ โอ ๒ มาตรา สระท่มี พี ยญั ชนะสงั โยคซอนอยเู บื้องหลงั ๓ มาตรา พยัญชนะทง้ั ปวงทไ่ี มม ีสระผสม ครง่ึ มาตรา พยญั ชนะทีผ่ สมดว ยสระสนั้ ๑ มาตราครงึ่ พยญั ชนะทผี่ สมดว ยสระยาว ๒ มาตราครงึ่ ( ๑ มาตรา เทา กบั กระพรบิ ตา ๑ คร้ัง ) สระ ๘ ตวั แบง เปน ๒ คอื สระมเี สยี งส้ัน เรียกวา รัสสสระ สระมเี สียงยาว เรียกวา ทฆี สระ
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕ ๒.๒ ฐาน กรณ และปยตนะ อักษรภาษาบาลีทั้ง ๔๑ ตัวเหลาน้ัน จะเปลงออกเสียงได ตองอาศัย ฐาน กรณ และปยตนะ ดจุ เสียงระฆัง จะดังขึ้นไดตอ งอาศยั ฐานคอื ตวั ระฆัง กรณคอื ลูกตุมสำหรับตี และปยตนะคอื ความพยายาม ของผูต ี ฐาน คือที่ตั้งของเสียงอักษร วเิ คราะหวา \"ตินฺติ เอตฺถาติ านํ กณฺาทิ (เสียง)อักษรทั้งหลาย ยอมเกิดข้ึนในที่น้ี เพราะเหตุนั้น ท่ีนั้นชื่อวา ฐาน (า ธาตุ + ยุ ปจจัย) ท่ีตั้งของเสียงอักษร ชื่อวา ฐาน ไดแก กณั ฐะ เปน ตน\" มี ๖ อยา ง คอื ๑. กณั ฐฐาน หลอดลำคอ เปน ทต่ี ัง้ ที่เกดิ ของเสยี ง ๒. ตาลฐุ าน เพดานปาก เปนทตี่ ง้ั ทเ่ี กิดของเสยี ง ๓. มุทธฐาน ปุมเหงอื กบน เปน ทต่ี ้ังทเี่ กดิ ของเสยี ง ๔. ทนั ตฐาน ฟน เปนทตี่ ้ังที่เกิดของเสยี ง ๕. โอฏฐฐาน ริมฝป าก เปน ทตี่ ั้งท่เี กดิ ของเสียง ๖. นาสกิ าฐาน โพรงจมูก เปน ทตี่ ั้งท่เี กิดของเสียง จำแนกอักษร ๔๑ ตัว โดยฐาน ๖ อ อา ก ข ค ฆ ง ห เกดิ ทก่ี ณั ฐฐาน (หลอดลำคอ) อิ อี จ ฉ ช ฌ ย เกิดทตี่ าลฐุ าน (เพดานปาก) ฏฑฒณรฬ เกดิ ทม่ี ทุ ธฐาน (ปมุ เหงอื กบน) ตถทธนลส เกิดท่ที นั ตฐาน (ฟน ) อุ อู ป ผ พ ภ ม เกดิ ทโ่ี อฏฐฐาน (รมิ ฝป าก) เอ เกิดทก่ี ณั ฐ+ตาลฐุ าน (คอและเพดานปาก) โอ เกดิ ทก่ี ัณฐ+โอฏฐฐาน (คอและรมิ ฝป าก) ว เกิดทีท่ นั ต+โอฏฐฐาน (ฟน และริมฝป าก) อํ เกดิ ทนี่ าสกิ าฐาน (โพรงจมกู ) งณนม เกดิ ทสี่ ก+นาสิกาฐาน (ฐานเดิมและโพรงจมกู ) อกั ษรบางตวั เกดิ จากฐานเดยี ว เรียกวา เอกชะ, บางตวั เกดิ จาก ๒ ฐาน เรยี กวา ทวชิ ะ กรณ คืออวยั วะที่ไปกระทบกับฐานทำใหเ สยี งเกดิ ขน้ึ วเิ คราะหวา \"กรียนฺเต อุจฺจารยี นฺเต เอเตนา ติ กรณํ อักษรทงั้ หลายยอมถกู ออกเสยี ง คอื ถกู ทำใหมเี สียงดังขึน้ ดว ยทามกลางลน้ิ เปน ตน นี้ เพราะเหตนุ นั้ ทามกลางลิน้ เปนตนน้ี ชอ่ื วา กรณ อวัยวะท่ีทำใหสวดออกเสียงอักษรได ชอื่ วา กรณ\" มี ๔ อยา ง คอื ๑. ชิวหามัชฌกรณ กลางลนิ้ ไปกระทบกบั ตาลฐุ านทำใหเสียงเกิดขึน้
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖ ๒. ชวิ โหปค คกรณ ใกลป ลายลิ้น ไปกระทบกบั มทุ ธฐานทำใหเ สียงเกดิ ขนึ้ ๓. ชิวหคั คกรณ ปลายลนิ้ ไปกระทบกับทนั ตฐานทำใหเสยี งเกดิ ขนึ้ ๔. สกฐานกรณ ฐานของตน ไปกระทบกบั ฐานของตนทำใหเสียงเกดิ ขน้ึ จำแนกอกั ษร ๔๑ ตัว โดยกรณ ๔ ๑. กลางลิ้น ทำใหเ กดิ เสยี ง อิ อี จ ฉ ช ฌ ย ๒. ใกลปลายล้นิ ทำใหเกดิ เสียง ฏฑฒณรฬ ๓. ปลายลน้ิ ทำใหเกดิ เสยี ง ตถทธนลส ๔. ฐานของตน ทำใหเ กดิ เสียง อ อา อุ อู เอ โอ ก ข ค ฆ ง ป ผ พ ภ ม ว ห อํ นักศึกษาควรฝกออกเสียงอักษรทุกตัว โดยพยายามใหกรณไปกระทบกับฐานของอักษรตัวน้ัน ๆ ตามท่ีจำแนกไวนใ้ี หถ กู ตองหรือใกลเคยี งมากที่สุด ปยตนะ คอื ความพยายามในการเปลงเสียงออก วเิ คราะหวา \"อจุ จฺ ารณตถฺ ํ ปยตยี เต ปยตนํ ความ พยายามเพอ่ื การออกเสยี งชือ่ วา ปยตนะ\" มี ๔ อยา ง ไดแก ๑. สังวตุ ปยตนะ ความพยายามปด ฐานเปลง เสยี ง ๒. ววิ ฏปยตนะ ความพยายามเปด ฐานเปลงเสยี ง ๓. ผฏุ ฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานหนักเปลงเสยี ง ๔. อีสงั ผฏุ ฐปยตนะ ความพยายามกระทบฐานเบาเปลงเสียง จำแนกอักษร ๔๑ ตัว โดยปยตนะ ๔ ๑. ความพยายามปด ฐานเปลง เสียง ไดแ ก อ ๒. ความพยายามเปด ฐานเปลง เสียง ไดแ ก อา อิ อี อุ อู เอ โอ ส ห ๓. ความพยายามกระทบฐานหนกั เปลง เสยี งพยัญชนะวรรคทง้ั ๒๕ ตัว ไดแ ก ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ,
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗ ฏ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ปผพภม ๔. ความพยายามกระทบฐานเบาเปลง เสยี ง ไดแ ก ยรลวฬ ตารางจำแนกอกั ษรบาลี ๔๑ ตวั ๑ 14 โดยสระ พยัญชนะ ฐาน กรณ ปยตนะ โฆสะ อโฆสะ สถิ ิละ ธนติ ะ วมิ ตุ ตะ ๑ บาลเี บื้องตน สำหรับนกั ศกึ ษาใหม (พระมหาสมปอง มทุ โิ ต วดั มหาธาตุฯ)
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘ ๒.๓ การอาน การเขียน และพยัญชนะสงั โยค การอา น อกั ษรบาลี ๔๑ ตวั นัน้ สระ ๘ ตวั อา นออกเสียงเองไดเลยวา อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ, สว นพยัญชนะ ๓๓ ตวั อา นออกเสียงเองไมได ตองอาศยั สระจึงอา นออกเสียงไดว า ก กา กิ กี กุ กู เก โก เปน ตน , เฉพาะ ํ (นคิ หคิ ) นั้น อาศยั รัสสสระ อ อิ อุ ๓ ตัวเทานน้ั จงึ อานออกเสยี งไดว า อํ อึ อ,ุ ถา พยญั ชนะไมม ีสระจะมจี ุดอยขู างลา ง ใหอ า นเปน สะกด กลำ้ หรอื สะกดควบกล้ำ ตามหลกั พยัญชนะสงั โยค เชน จกฺกํ (จกั กงั ) ภกิ ขฺ ุ (ภกิ ขุ) พฺรหฺมา (พรฺ ะ-หมฺ า) ตสมฺ า (ตสั มฺ า) การเขยี น ภาษาบาลเี ปนภาษาท่ีเขา ไดก บั ทกุ ภาษา ประเทศใดรบั เอาภาษาบาลไี ปกจ็ ะใชอักษร ของตนเขียนแทน โดยใหออกเสียงเหมือนหรอื ใกลเคยี งภาษาบาลมี ากทส่ี ดุ แมประเทศไทยเรากเ็ ชน กนั เม่อื รบั เอาภาษาบาลมี า กใ็ ชอ กั ษรไทยเขียนแทนเสยี งในภาษาบาลี จงึ จำแนกการเขยี นไดด งั น้ี สระเขยี นได ๒ อยา งคอื ๑. สระลอย สระลว น ๆ ที่ยงั ไมม พี ยญั ชนะประกอบ คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๒. สระจม สระที่ใชป ระกอบกบั พยัญชนะ คือ - -า -ิ -ี -ุ -ู เ- โ- พยญั ชนะเขียนได ๒ อยา ง คอื ๑. พยัญชนะลว น ๆ ท่ียงั ไมไ ดป ระกอบกับสระ ใหเติมจดุ ( ฺ ) ขา งลา ง เขยี นดงั น้ี กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ เปน ตน ๒. พยัญชนะทป่ี ระกอบกบั สระ เขยี นดงั น้ี ก กา กิ กี กุ กู เก โก เปน ตน พยัญชนะสงั โยค เรียกอีกนยั หนงึ่ วา ตวั สะกด กล้ำ และสะกดควบกลำ้ หมายถงึ พยัญชนะ ๒ หรอื ๓ ตวั ซอ นกนั โดยไมมสี ระคน่ั ระหวา งกลาง มีวเิ คราะหว า \"สยํ ชุ ชฺ ตีติ สฺโโค พยญั ชนะทถี่ กู ประกอบเขา กนั ชอื่ วา สญั โญคะ\" เชน กกฺ กฺข จฺจ จฺฉ งฺขฺย นทฺ ฺร (จกกฺ ํ ภิกขฺ ุ ปจฺจโย มจฺฉา สงขฺ ฺยา อนิ ทฺ รฺ ิยํ) หลกั การซอ นดงั นี้ พยัญชนะตวั ท่ี ๑ ในวรรคทงั้ ๕ ซอนหนา พยัญชนะตัวที่ ๑, ๒ ในวรรคของตน (๑ ซอ น ๑ ซอ น ๒) พยญั ชนะตวั ที่ ๓ ในวรรคทงั้ ๕ ซอนหนา พยญั ชนะตัวท่ี ๓, ๔ ในวรรคของตน (๓ ซอ น ๓ ซอ น ๔) พยญั ชนะตัวที่ ๕ ในวรรคทงั้ ๕ เวน ง ซอนหนา พยัญชนะตัวที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ในวรรคของตน (๕ ซอน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ เวน ง) สวนพยัญชนะอวรรคนน้ั ซอ นตวั เองและตวั อืน่ ไดม ี ๔ ตวั คอื ย ล ว ส ทเ่ี หลอื ซอ นกับตวั อื่นได ทวั่ ไป เชน อยฺโย มลโฺ ล นพิ ฺพานํ (นวิ วฺ าน)ํ อสสฺ มยหฺ ํ กลยฺ าณํ ชวิ หฺ า อสมฺ ิ
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙ ๒.๔ การเชื่อมคำ(สนธ)ิ สนธิ คอื การตออักษรของศพั ทใ หเ น่ืองกนั เพอ่ื ยอ อกั ษรใหน อ ยลง เปน ประโยชนตอ การแตง ฉนั ท และทำคำพูดใหสละสลวย มวี ิเคราะหว า \"ทวฺ ินนฺ ํ ปทานํ อนตฺ รํ อทสเฺ สตวฺ า สมฺมา ธยี ตตี ิ สนฺธิ บทที่ทาน ทำใหไมเ หน็ ชอ งวา งระหวางบทท้งั ๒ แลว ตอ เขา กนั อยา งดี ช่อื วาสนธิ\" อกั ษรสนธิ ๓ อกั ษรของศัพทท ีน่ ำมาตอ กนั มหี ลกั ใหญอ ยู ๓ อยา ง คือ ๑. สระสนธิ การตอระหวางสระกบั สระ ๒. พยญั ชนะสนธิ การตอระหวา งพยญั ชนะกบั สระหรอื พยัญชนะ ๓. นคิ คหิตสนธิ การตอระหวางนคิ หติ กบั สระหรอื พยญั ชนะ สนธิวธิ าน ๘ โลปาเทโส จ อาคโม วิกาโร ปกตีป จ ทีโฆ รสโฺ ส สโฺ โคติ สนธฺ ิเภทา ปกาสติ า สนธวิ ิธาน คือ วิธกี ารทำสนธมิ ี ๘ คอื (โล อา อา วิ ป ที ร ส)ํ ๑. โลปะ ลบอักษร ๒. อาเทสะ อาเทศ หรอื แปลงอักษร ๓. อาคมะ ลงอาคม หรอื ลงอกั ษรใหม ๔. วกิ าระ การวกิ าร หรอื วปิ รติ หรือทำใหตา งจากอกั ษรเดิม ๕. ปกติ ปรกติอกั ษรไว ไมเปลย่ี นแปลง ๖. ทีฆะ ทำสระเสยี งส้นั ใหยาว ๗. รัสสะ ทำสระเสยี งยาวใหส ั้น ๘. สญั โญคะ ซอ นพยญั ชนะ (ตามหลกั สญั โญคะ) ๑. สระสนธิ สระสนธิ มวี ธิ กี ารตอ ๗ อยา ง คอื โลปะ อาเทสะ อาคมะ วิการะ ปกติ ทฆี ะ รสั สะ โลปะ ลบสระ มี ๒ วธิ ี คือ ๑. ลบสระหนา เชน ยสสฺ อนิ ทฺ รฺ ยิ านิ เปน ยสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ านิ มาตุ อปุ านํ เปน มาตุป านํ ปฺา อินฺทริยํ เปน ปฺินทฺ รฺ ยิ ํ ๒. ลบสระหลัง เชน อิติ อป โส เปน อิตปิ โส จกขฺ ุ อนิ ฺทรฺ ยิ ํ เปน จกฺขนุ ฺทรฺ ิยํ จตตฺ าโร อเิ ม เปน จตฺตาโรเม ภควา อติ ิ เปน ภควาติ
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๐ อาเทสะ แปลงสระ มี ๒ วธิ ี คือ ๑. อาเทศสระหนา คอื เพราะสระขางหลงั อาเทศ อิ เอ เปน ย, อุ โอ เปน ว เชน วุตตฺ ิ อสสฺ เปน วุตยฺ สฺส (อิ เปน ย) เต อสสฺ เปน ตฺยสสฺ (เอ เปน ย) พหุ อาพาโธ เปน พหวฺ าพาโธ (อุ เปน ว) อถโข อสฺส เปน อถขฺวสสฺ (โอ เปน ว) ๒. อาเทศสระหลงั คือสระหนา เปน ทีฆะ มี เอว ศัพท อยขู างหลัง ใหแ ปลง เอ แหง เอว เปน ริ แลวรสั สะสระหนา เชน ยถา เอว เปน ยถรวิ ตถา เอว เปน ตถรวิ อาคมะ ลงอักษรใหม มี ๒ อาคม คอื อ กับ โอ มหี ลกั ดงั น้ี ๑. ถา สระโอ อยหู นา พยญั ชนะอยหู ลงั ใหลบโอ แลวลง อ อาคม เชน โส-สลี วา เปน ส สลี วา (ลง อ ท่ี โส ) โส -ปฺวา เปน ส ปฺวา (ลง อ ที่ โส) ๒. ถา สระ อ อยูหนา พยญั ชนะอยหู ลัง ใหลบ อ แลว ลง โอ อาคม เชน ปร-สหสสฺ ํ เปน ปโรสหสสฺ ํ (ลง โอ ท่ี ร) สรท-สตํ เปน สรโทสตํ (ลง โอ ที่ ท) วกิ าระ แปลงสระใหผ ดิ ไปจากรูปเดมิ มหี ลักดงั น้ี (ตางจากอาเทส เพราะอาเทสแปลงสระเปน พยญั ชนะ สวนวิการแปลงสระเปน สระ) ๑. วกิ ารสระหนา ใหลบสระหลังแลว วิการสระหนา คอื อิ เปน เอ, อุ เปน โอ เชน มนุ -ิ อาลโย เปน มเุ นลโย ส-ุ อตถฺ ิ เปน โสตถฺ ิ ๒. วกิ ารสระหลงั ใหลบสระหนาแลววกิ ารสระหลงั คอื อิ เปน เอ, อุ เปน โอ เชน พทุ ธฺ สฺส-อวิ เปน พุทธฺ สฺเสว จนฺท-อุทโย เปน จนโฺ ททโย ๓. ถา มีพยัญชนะสงั โยคท่สี ระ อิ หรอื อุ ของคำหลังไมต อ งวกิ ารสระหลงั ใหนำมาเช่ือมกันไดเ ลย ตัว อ ของคำหนาจะหายไป เชน ชวี ิต-อนิ ทฺ รฺ ยิ ํ เปน ชีวติ นิ ฺทรฺ ิยํ เทว-อินฺโท เปน เทวินฺโท จติ ฺต-อปุ ฺปาโท เปน จติ ตฺ ปุ ปฺ าโท ปกติ คงรูปสระไวต ามเดิมไมเ ปล่ยี นแปลง เชน โก อมิ ํ เปน โก อมิ ํ ทีฆะ ทำสระเสยี งสน้ั ใหย าว มี ๒ วิธี คือ ๑. ทีฆะสระหนา คอื เมื่อลบสระหลงั แลว ทำทฆี ะสระหนาบาง เชน โลกสสฺ อติ ิ เปน โลกสฺสาติ สาธุ อติ ิ เปน สาธตู ิ
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๑ ๒. ทีฆะสระหลัง คอื เม่ือลบสระหนา แลว ทำทฆี ะสระหลังบาง เปน พทุ ฺธานสุ ฺสติ เชน พุทธฺ อนุสฺสติ เปน อตโี ต อติ อโิ ต รัสสะ ทำสระเสยี งยาวใหส นั้ มีหลกั ดงั นี้ ถา มีพยญั ชนะหรอื เอว ศัพทอ ยูหลงั ใหรสั สะสระหนา บา ง เชน โภวาที นาม เปน โภวาทิ นาม ยถา เอว เปน ยถรวิ ๒. พยญั ชนะสนธิ พยัญชนะสนธิ มวี ธิ กี ารตอ ๕ อยาง คอื โลปะ อาเทสะ อาคมะ ปกติ สัญโญคะ โลปะ ลบพยัญชนะ คอื เม่ือนคิ คหติ อยหู นา สระอยหู ลงั ใหล บสระหลงั ถา มพี ยญั ชนะเหมอื นกนั ซอ นกนั ๒ ตวั ใหลบ ๑ ตวั เชน เอวํ อสฺส เปน เอวํส ปปุ ผฺ ํ อสฺสา เปน ปุปผฺ ํสา อาเทสะ แปลงพยัญชนะ มี ๔ วิธี คอื ๑. เพราะสระขางหลงั อาเทศ ติ เปน จ แลว ซอ น จฺ (จจฺ ) เชน อติ ิ เอวํ เปน อิจเฺ จวํ อติ ิ อาทิ เปน อจิ จฺ าทิ แปลง อภิ เปน อพภฺ เชน อภิ อุคคฺ จฺฉติ เปน อพฺภคุ คฺ จฉฺ ติ อภิ อกขฺ านํ เปน อพฺภกขฺ านํ แปลง อธิ เปน อชฌฺ เชน อธิ อคมา เปน อชฌฺ คมา อธิ โอกาโส เปน อชโฺ ฌกาโส ๒. แปลง ธ ของ อธิ ที่อยหู ลงั จาก เอกํ เปน ท เชน เอกํ อธิ อหํ เปน เอกมิทาหํ ๓. เพราะสระหรอื พยัญชนะขางหลัง แปลงพยัญชนะไดไ มจ ำกดั เชน สาธุ ทสฺสนํ เปน สาหุ ทสสฺ นํ (ธ เปน ห) ทกุ ฺกตํ เปน ทุกกฺ ฏํ (ต เปน ฏ) ปนีตํ เปน ปณีตํ (น เปน ณ) ๔. เพราะพยัญชนะขา งหลงั แปลง อว เปน โอ เชน อว นทฺธา เปน โอนทฺธา อว กาโส เปน โอกาโส อาคมะ ลงพยญั ชนะใหม ๙ ตัว คอื คฺ ยฺ วฺ มฺ ทฺ นฺ ตฺ รฺ ฬฺ (หรอื ล)ฺ คฺ อาคม เชน ปา เอว เปน ปเคว
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๒ ยฺ อาคม เชน ยถา อิทํ เปน ยถยทิ ํ วฺ อาคม เชน ติ องฺคลุ ํ เปน ตวิ งฺคลุ ํ มฺ อาคม เชน ลหุ เอสสฺ ติ เปน ลหเุ มสสฺ ติ ทฺ อาคม เชน อุ อคโฺ ค เปน อุทคฺโค นฺ อาคม เชน อโิ ต อายติ เปน อิโตนายติ ตฺ อาคม เชน ยสฺมา อหิ เปน ยสฺมาตหิ รฺ อาคม เชน นิ อนตฺ รํ เปน นิรนตฺ รํ ฬฺ อาคม เชน ฉ อภิ ฺญา เปน ฉฬภิฺญา ปกติ ปรกติพยัญชนะไวต ามเดิมไมเ ปลี่ยนแปลง เชน สาธุ เปน สาธุ ไมเ ปลย่ี นเปน สาหุ สัญโญคะ ซอ นพยญั ชนะใหม มี ๒ วธิ ี คอื ๑. ซอ นพยัญชนะเหมือนกนั ตามหลกั พยัญชนะสังโยค (บทท่ี ๕) เชน อิธ ปโมทติ เปน อธิ ปปฺ โมทติ อ ปมาโท เปน อปปฺ มาโท วิ ปยตุ โต เปน วิปฺปยุตฺโต ๒. ซอ นพยญั ชนะตา งกันตามหลักพยญั ชนะสงั โยค (บทท่ี ๕) เชน ป ฆรติ เปน ปคฆฺ รติ ปม ฌานํ เปน ปมชฌฺ านํ ทุ ภิกฺขํ เปน ทพุ ภฺ ิกฺขํ ๓. นคิ คหิตสนธิ นิคคหิตสนธิ มวี ิธกี ารตอ ๔ อยา ง คือ โลปะ อาเทสะ อาคมะ ปกติ โลปะ ลบนคิ หติ เพราะสระหรือพยัญชนะขา งหลัง ใหล บนคิ หติ ขางหนา บา ง เชน ตาสํ อหํ เปน ตาสาหํ อริยสจฺจานํ ทสสฺ นํ เปน อรยิ สจจฺ าน ทสสฺ นํ เอตํ พทุ ฺธานํ สาสนํ เปน เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ อาเทสะ อาเทศนิคหิต มี ๕ อยา ง คอื ๑. เพราะพยัญชนะวรรคขางหลัง แปลงนคิ หติ เปน พยัญชนะทสี่ ดุ วรรคบา ง เชน เอวํ โข เปน เอวงฺโข ตํ ชาตํ เปน ตชฺ าตํ ตํ านํ เปน ตณฺานํ ตํ ตโนติ เปน ตนฺตโนติ ตํ ผลํ เปน ตมผฺ ลํ ๒. เพราะ เอ หรอื ห ขา งหลัง แปลงนคิ หติ เปน แลว ซอน ฺ เชน ตํ เอว เปน ตฺเว ตํ หิ เปน ตฺหิ
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๓ ๓. เพราะ ย ขา งหลัง แปลงนคิ หติ กบั ย เปน แลว ซอ น ฺ เชน สโํ ยโค เปน สฺโโค สโํ ยชนํ เปน สโฺ ชนํ ๔. เพราะ ล ขา งหลงั แปลงนคิ หติ เปน ลฺ เชน ปลุ งิ ฺคํ เปน ปลุ ฺลิงคฺ ํ ๕. เพราะสระขา งหลงั แปลงนิคหิตเปน มฺ และ ทฺ เชน ตํ อหํ เปน ตมหํ ยํ อนจิ ฺจํ เปน ยทนจิ ฺจํ อาคมะ ลงนิคหิตใหม เพราะสระหรอื พยัญชนะขางหลัง ลงนคิ หติ อาคมไดบ าง เชน จกขฺ ุ อทุ ปาทิ เปน จกฺขุ อทุ ปาทิ อว สิโร เปน อวสํ โิ ร ปกติ วางนิคหติ ไวต ามเดิมไมเ ปล่ยี นแปลง เชน ธมฺมํ จเร เปน ธมมฺ ํ จเร ๒.๕ สรปุ ทา ยบท คำในภาษาบาลี เมื่อนำมาเขียนเปนอักษรไทยแลว มีลักษณะควรสังเกตประกอบการอาน ดังนี้ ๑. ตัวอักษรทุกตัวที่ไมมีเคร่ืองหมายใดอยูบนหรือลาง และไมมีสระใดๆ กำกับไว ใหอานอักษร นั้นมีเสียง \"อะ\" ทุกตัว เชน อรหโต อานวา อะ-ระ-หะ-โต ภควา อานวา ภะ-คะ-วา นมามิ อานวา นะ-มา-มิ โลกวิทู อานวา โล-กะ-วิ-ทู ๒. เม่ือตัวอักษรใดมีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) อยูขางใตแสดงวาอักษรน้ันเปนตัวสะกดของอักษรท่ี อยูขางหนา ผสมกันแลวใหอานเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เชน สมฺมา (สะ+ม = สัม) อานวา สัม-มา สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อานวา สัง-โฆ สตฺตา (สะ+ต = สัต) อานวา สัต-ตา ยกเวน ในกรณีท่พี ยัญชนะตัวหนา มเี ครือ่ งหมายสระกำกับอยูแลว กใ็ หอ า นรวมกนั ตามตัวสะกดนน้ั เชน เอตฺถ อานวา เอต-ถะ พุทฺธสฺส อานวา พุท-ธัส-สะ อิตฺถี อานวา อิต-ถี โสตฺถิ อานวา โสต-ถิ ๓. เม่ืออักษรใดมีเคร่ืองหมาย ํ (นิคคหิต) อยูขางบนตัวอักษร ใหอานเหมือนอักษรน้นั มีไมหัน อากาศและสะกดดวยตัว \"ง\" เชน อรหํ อานวา อะ-ระ-หัง สงฺฆํ อานวา สัง-ฆัง
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๔ ธมฺมํ อานวา ธัม-มัง สรณํ อานวา สะ-ระ-นัง อฺํ อานวา อัญ-ญัง แตถาตัวอักษรนั้นมีท้ังเคร่ืองหมาย ํ (นิคคหิต) อยูขางบนและมีสระอื่นกำกับอยูดวย ใหอาน ออกเสียงตามสระท่ีกำกับ + ง (ตัวสะกด) เชน พาหุ อานวา พา-หุง อกาสึ อานวา อะ-กา-สิง ๔. เมื่ออักษรใดเปนตัวนำแตมีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) อยูขางใตดวย ใหอานออกเสียง \"อะ\" ของ อักษรน้ันเพียงคร่ึงเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เชน สฺวากฺขาโต อานวา สะหวาก-ขา-โต พฺยฺชนํ อานวา พะยัญ-ชะ-นัง อินฺทฺริยํ อานวา อิน-ทะริ-ยัง คำเรยี กชอ่ื ของสระทงั้ ๘ ตวั เรียกวา นิสสฺ ย เพราะเปน ทอี่ าศัยของพยัญชนะในการออกเสยี ง คำ เรียกชอ่ื ของพยญั ชนะทง้ั ๓๓ ตวั เรียกวา นิสสฺ ติ เพราะตองอาศัยสระจงึ ออกเสียงได มาตราของอักษร มดี ังนี้ สระเสยี งสน้ั มหี นงึ่ มาตรา สระเสยี งยาว มีสองมาตรา พยญั ชนะทงั้ หมด มีกึ่งมาตรา โฆสะ ไดแ ก อกั ษรท่ีมเี สยี งกอ ง มี ๒๑ ตวั คอื อกั ษรตัวท่ี สาม สี่ หา ของวรรค และ ย ร ล ว ห ฬ มบี าลีวา “วคฺคานํ ตติยจตตุ ถฺ ปจฺ มา ยรลวหฬา จาติ เอกวสี ติ โฆสา” อโฆสะ ไดแ ก อกั ษรท่ีมีเสียงไมก อง มี ๑๑ ตวั คือ อกั ษรตัวที่ หน่ึง สอง ของวรรค และ ส มีบาลี วา “วคฺคานํ ปมทตุ ยิ า สกาโร จ อโฆสา” สถิ ลิ ะ ไดแ ก อักษรท่มี ีเสยี งนมุ เสียงเบา มี ๑๐ ตวั คอื อักษรตวั ที่ หนง่ึ สาม ของวรรค มีบาลวี า “สถิ ิลํ นาม ปจฺ สุ วคเฺ คสุ ปมตตยิ ”ํ ธนติ ะ ไดแ ก อักษรทมี่ ีเสยี งแขง็ เสยี งดงั มี ๑๐ ตวั คอื อักษรตวั ท่ี สอง ส่ี ของวรรค มีบาลวี า “ธนิตํ นาม เตเสวฺ ว ทุตยิ จตุตถฺ ”ํ สงั โยคะ ไดแก พยัญชนะตง้ั แตส องตวั ขน้ึ ไปอยูตดิ กนั โดยไมมีสระมาค่ันในระหวาง เชน สตุ วฺ า ระหวา ง ตฺ กบั วฺ ไมม สี ระมาคั่นในระหวาง เรียกวา เปน สงั โยคกนั การอานทีถ่ กู ตอ งนำไปสกู ารเขียนทถ่ี ูกตองดว ยเชน กนั ดังนนั้ การออกเสียงใหถูกตามฐาน กรณ และปยตนะ จงึ เปน เรอ่ื งท่ีควรฝก ฝนใหเกดิ ความเคยชนิ จนเปลงเสียงออกมาเปน ธรรมชาตติ ามเปน จรงิ เพอ่ื เปนการรกั ษาเสียงเดมิ ของบาลีสากลไว ยอมรกั ษาพระพทุ ธศาสนาใหด ำรงอยูอยา งยง่ั ยนื
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๕ บทที่ ๓ สวนแหงคำพดู ในภาษาบาลี15๑ ๓.๑ นามศัพท นามศัพท คือบทท่ีนอมไปสูความหมาย ใชเรียกชื่อคน สัตว วัตถุ สิ่งของ สถานที่ ตนไม แมน้ำ ภเู ขา สภาวธรรม เปนตน วเิ คราะหวา\"อตถฺ ํ นมตีติ นามํ บทท่ีนอ มไปสูความหมายช่ือวานาม, อตตฺ นิ อตฺถํ นาเมตีติ วา นามํ หรือบทท่ีนอมความหมายมาไวในตนช่ือวานาม\" แบงเปน ๓ คือ สุทธนาม16๒ คุณนาม และ สพั พนาม สุทธนาม สุทธนาม คือนามลวน ๆ เปนช่ือของคน สัตว วัตถุสิ่งของ สถานที่ สภาวะตาง ๆ แบง ออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. สาธารณนาม ชื่อทว่ั ไปไมเจาะจงถึงคนใด สงิ่ ใด หรอื สถานท่ใี ด เชน มนสุ ฺโส มนษุ ย ตริ จฉฺ าโน สตั วเ ดรัจฉาน ธนํ ทรพั ย นครํ เมือง นที แมนำ้ สนฺติ ความสงบ ๒. อสาธารณนาม ชือ่ เฉพาะเจาะจงไมท ่วั ไปแกคน สิ่งของ หรอื สถานทอ่ี นื่ เชน สาริปตุ ฺโต พระสารบี ตุ ร ปเสนทโิ กสโล พระเจาประเสนทโิ กศล สาวตฺถี เมอื งชือ่ สาวตั ถี เอราวโณ ชา งชือ่ เอราวัณ ราหุโล พระราหลุ คณุ นาม คุณนาม หรือ วิเสสนาม คือคำที่แสดงลักษณะพิเศษของสุทธนาม คือแสดงลักษณะอาการของ สทุ ธนามเปนการขยายใหรูวาสุทธนามน้ันมีลักษณะเชนไร เชนวา ดี ช่ัว สูง ต่ำ ดำ ขาว ยาว ส้ัน ใหญ เล็ก โง ฉลาด เปนตน คุณนามที่ขยาย หรือแสดงลักษณะอาการของสุทธนามบทใดตองมีลิงค วจนะ และวิภัตติ เหมือนกับสุทธนามบทน้ันท่ีตนแสดงลกั ษณะอาการ ใชคำวา ผู หรือ มี หรือ อนั หรือ ที่ หรือ ตัว คำใดคำ หนึ่งใหฟง แลวกลมกลืนเหมาะสมถูกตอ งตามหลกั ภาษา นยิ มเรียงไวห นา สุทธนาม เชน ๑ ตำราบาลไี วยากรณข องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เรียกวา “วจวี ภิ าค” แปลวา การจำแนกถอยคำ โดย แบงคำพดู ออกเปน ๖ สวน คอื นาม อัพยยศัพท สมาส ตทั ธติ อาขยาต และกติ ก ๒ ตำราบาลีไวยากรณของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ใชค ำวา “นามนาม”
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๖ ปริสุทโฺ ธ นโร อ.คน ผบู ริสุทธ์ิ ปลุ ิงค ปรสิ ุทธฺ า อติ ถฺ ี อ.หญงิ ผบู รสิ ทุ ธ์ิ อิตถลี งิ ค ปรสิ ทุ ธฺ ํ กลุ ํ อ.ตระกูล อนั บรสิ ทุ ธ์ิ นปสุ กลิงค ปรสิ ทุ ฺเธ กเุ ล ในตระกูล ทบี่ ริสุทธิ์ สตั ตมวี ิภตั ติ คณุ นาม แบง ออกเปน ๓ ระดับ คอื ๑. คณุ นามปกติ คอื คุณนามระดับธรรมดาไมม คี วามพเิ ศษอะไร เชน สุนฺทโร ดี งาม อรอย ปาโป บาป ชวั่ เลว ทราม ๒. คุณนามวิเศษ คือคุณนามระดับพิเศษข้ึนกวาปกติ จะมี ตร อิย อิยิสฺสิก-ปจจัย หรือมี อต-ิ อปุ สคั เปน เครื่องหมายของคณุ นามนั้น เชน สุนฺทรตโร หรอื อตสิ ุนฺทโร ดยี ิ่ง งามยิ่ง อรอ ยยงิ่ ปาปตโร หรอื อติปาโป บาปยิ่ง ช่ัวยิ่ง เลวยง่ิ ๓. คุณนามอตวิ ิเศษ คือ คุณนามระดับพิเศษที่สุด จะมี ตม อิ -ปจจัย หรือมี อตวิ ิย-ศพั ท เปน เครอื่ งหมายของคุณนามน้นั เชน สุนทฺ รตโม หรอื อตวิ ิย สนุ ทฺ โร ดที ีส่ ุด งามทส่ี ดุ อรอ ยท่สี ดุ ปาปตโม หรอื อตวิ ยิ ปาโป บาปท่สี ดุ ชว่ั ทส่ี ดุ เลวที่สุด สพั พนาม สัพพนาม คือคำท่ีใชแทนนามที่เปนชื่อคน สัตว สิ่งของ สถานท่ี เปนตน ท่ีออกช่ือมาแลว เพ่ือ ไมใหซำ้ ซากซง่ึ ฟงไมเ พราะหู มีวิเคราะหศัพทว า \"สพฺเพสํ อิตถฺ ปิ ุมนปุส กานํ นามานิ สพพฺ นามานิ คำนามที่ ใชแทนชื่อของนามที่เปนอิตถีลงิ ค ปุงลิงค และนปุงสกลิงค ชอื่ วาสัพพนาม\" มี ๒๗ ตัว คือ สพฺพ กตร กตม อุภย อิตร อฺ อฺตร อฺตม ปุพฺพ ปร อปร ทกฺขิณ อุตฺตร อธร ย ต เอต อมิ อมุ กึ เอก อภุ ทวฺ ิ ติ จตุ ตมุ หฺ อมฺห แบง เปน ๓ คอื ปรุ สิ สพั พนาม วิเสสนสัพพนาม และ สังขยาสพั พนาม ปุริสสพั พนาม ปรุ สิ สพั พนาม คอื สัพพนามทเ่ี อยถึงบุรุษในการสนทนา มี ๓ บุรุษ คือ ๑. ปฐมบุรุษ ใช ต สพั พนามแปลวา เขา มนั เปน ตน แทนช่ือคนหรือสิ่งที่เราเอยถึง เชน โส คามํ คจฉฺ ติ เขาไปบา น ๒. มชั ฌมิ บรุ ษุ ใช ตมุ ฺห ศพั ทแปลวา ทา น เธอ คณุ เจา เปน ตน แทนชอ่ื คนทีเ่ ราพดู ดว ย เชน ตมุ ฺเห กสุ ลํ กโรถ พวกทา นจงพากันทำกุศล ๓. อตุ ตมบรุ ษุ ใช อมหฺ ศัพทแปลวา ขา พเจา ผม ดิฉนั เรา เปน ตน แทนช่อื เราเอง เชน อหํ ปฺจ สลี านิ สมาทยิ ามิ ขาพเจาสมาทานศลี ๕ วิเสสนสัพพนาม วิเสสนสัพพนาม คอื สพั พนามที่ใชแ ทนและขยายนามคลายคณุ นาม มี ๒ อยาง คอื ๑. อนิยมวเิ สสนสัพพนาม คือวเิ สสนสพั พนามทบ่ี อกความไมแ นนอน มี ๑๓ ศัพท คือ
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๗ สพพฺ ทง้ั ปวง กตร, กตม คนไหน อะไรบา ง อุภย ท้ังสอง อิตร นอกจากน้ี อฺ อนื่ อฺตร, อฺตม คนใดคนหนึง่ ปร อื่น อปร อนื่ อีก ย ใด เอก หน่งึ พวกหนง่ึ กึ ไหน ไร ๒. นยิ มวเิ สสนสัพพนาม คอื วิเสสนสพั พนามท่บี อกความแนน อน มี ๘ ศัพท คอื ปพุ พฺ ขา งหนา ทกขฺ ณิ ดา นขวา อุตตฺ ร ดานซา ย ดานเหนือ อธร ดานลา ง ภายใต ต น้ัน เอต น่นั อิม น้ี อมุ โนน สงั ขยาสพั พนาม สงั ขยาสัพพนาม คอื สัพพนามทใี่ ชนบั จำนวนสุทธนาม มี ๕ ตวั คอื เอก หน่ึง อภุ ทงั้ สอง ทฺวิ สอง ติ สาม จตุ ส่ี ขอ สังเกต สุทธนาม คุณนาม และสัพพนาม ท้ัง ๓ น้ี ตองประกอบดวย ลงิ ค วจนะ และวภิ ัตติ จึงสามารถ นำไปประกอบในประโยคตาง ๆ ได เชน มนสุ โฺ ส, สาริปตุ โฺ ต, สุนทฺ โร, โส, ตฺวํ, อห,ํ สพฺโพ, โย เปนตน สุทธนาม มีอำนาจท่ีจะบังคับคุณนามใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกับสุทธนามซ่ึงเปนเจาของ เพราะวา คุณนามจะมีไดตอ งอาศยั สทุ ธนาม ถา สทุ ธนามไมมี คณุ นามก็ไมป รากฏ คณุ นาม แสดงลกั ษณะของสุทธนามบทใด เรยี งไวหนา สุทธนามบทนัน้ เชน อุจฺโจ รุกฺโข ตน ไมสูง อุจฺเจ รกุ เฺ ข สกณุ า นกบนตน ไมสงู ถาเน่ืองดว ยกิริยา วามี วา เปน จะเรียงไวห ลังสทุ ธนามซึ่งเปน เจาของ และวางไวห นากริ ิยา วามี วา เปน เชน สคุ นฺธํ ปุปฺผํ มนุสฺสานํ มนาป โหติ ฯ ดอกไมมกี ล่ินหอมยอมเปนที่ชอบใจของมนุษย คุณนาม กับ สัพพนาม ตองอาศัยสุทธนามเปนหลัก ถาไมประกอบ ลิงค วจะ วิภัตติ จะไม สามารถรไู ดว า เปน คุณนามและสพั พนามแหง สทุ ธนามตัวไหน ไมส ามารถจะประกอบคำพูดเขา เปนประโยค ได ๓.๒ ลิงค การนั ต วจนะ วิภตั ติ ลงิ ค การันต วจนะ และวภิ ัตติ ทั้ง ๔ น้ี ประกอบรวมอยใู นสุทธนาม คณุ นาม และสพั พนาม ลิงค ลิงค คอื เพศของนาม มีวเิ คราะหวา \"ลงิ ฺคติ อติ ฺถี ปุริโสติ วิภาคํ คจฺฉติ เอเตนาติ ลิงคฺ ํ เพศท่ีใช จำแนกนามวาเปน หญิงหรือ ชาย ชือ่ วาลิงค\" มี ๓ อยาง คอื
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๘ ๑.ปุงลงิ ค เพศชาย เชน ปพพฺ โต ภเู ขา อหิ งู สิขี นกยงู เสตุ สะพาน ปารคู ผูถงึ ฝง ๒.อิตถลี ิงค เพศหญงิ เชน ถวกิ า ถงุ สตฺติ หอก ธานี เมอื ง อุรุ ทราย สรพู ตุกแก ๓.นปงุ สกลงิ ค ไมใชเ พศชายเพศหญงิ หรอื ไมม ีเพศ เชน อณิ หน้ี อจฺจิ เปลวไฟ อสฺสุ นำ้ ตา ลิงค ๒ พวก คือ ๑. ลงิ คโ ดยกำเนดิ คอื นามศัพทท ีม่ เี พศตามกำเนดิ ของตัวจรงิ เชน ปรุ โิ ส ชาย เปน ปงุ ลงิ ค อิตถฺ ี หญิง เปนอติ ถีลงิ ค จิตตฺ ํ จิต เปนนปงุ สกลงิ ค ๒. ลิงคโดยสมมติ คอื นามศพั ทท ่ีมีเพศตามสมมุตขิ ึ้น ไมตรงตามตวั จรงิ เชน ทาโร เมีย สมมติใหเปน ปุงลงิ ค ปเทโส ประเทศ สมมติใหเ ปน ปงุ ลงิ ค ปวี แผนดิน สมมตใิ หเปน อิตถลี ิงค จำแนกนาม ๓ โดยลงิ ค ๑. สุทธนาม บางศัพทเปนลิงคเดียว คือจะเปนปุงลิงค อิตถีลิงค หรือนปุงสกลิงค ก็เปนไดอยาง เดียว ปงุ ลงิ ค เชน ปรุ โิ ส ชาย อมโร เทวดา อาทิจฺโจ พระอาทติ ย อนิ ฺโท พระอนิ ทร อโี ส คนเปน ใหญ อุทธิ ทะเล เอรณฺโฑ ตน ละหงุ
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๒๙ โอโฆ หวงนำ้ กณฺโณ หู จนโฺ ท พระจันทร ตรุ ตนไม ปพฺพโต ภเู ขา ยโม พระยม อิตถลี งิ ค เชน อติ ถฺ ี หญงิ อจฉฺ รา นางอปั สร,น้ิวมอื อาภา รัศมี อิทธฺ ิ ฤทธ์ิ อีสา งอนไถ อุฬุ ดาว เอสกิ า เสาระเนยี ด โอชา โอชา กฏิ สะเอว จมู เสนา ตารา ดาว ปภา รศั มี ยาคุ ขาวตม นปงุ สกลิงค เชน จิตฺตํ จติ องฺคํ องค อารมมฺ ณํ อารมณ อณิ ํ หน้ี อีริณํ ทงุ นา อทุ กํ นำ้ เอฬาลุกํ ฟก เหลือง โอกํ นำ้ กมฺมํ กรรม จกฺขุ นยั นต า เตลํ นำ้ มนั ปณฺณํ ใบไม, หนังสอื ยานํ ยาน ๒. สุทธนาม บางศัพทเปนได ๒ ลิงค คือนามศัพทเพียงศัพทเดียว มีรูปอยางเดียว เปนไดท้ัง ๒ ลงิ ค หรอื มรี ากศัพทเ ปนอยางเดียวกัน เปลย่ี นแตสระทส่ี ุดใหตา งกันพอเปนเคร่ืองหมายใหล ิงคตางกนั บา ง
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๐ สุทธนามศัพทเ ดียว มีรปู อยา งเดียว เปน ๒ ลิงค เชน คำแปล ปุงลิงค นปงุ สกลงิ ค อกฺขโร อกฺขรํ อักษร อคาโร อคารํ เรือน อตุ ุ อตุ ุ ฤดู ทิวโส ทิวสํ วนั มโน มนํ ใจ สํวจฺฉโร สวํ จฺฉรํ ป สุทธนามมมี ูลศพั ทเ ปน อยางเดียว เปลย่ี นแตส ระท่ีสดุ เปน ๒ ลิงค ปุงลิงค อติ ถลี งิ ค คำแปล ราชา ราชินี พระราชา, พระราชนิ ี อรหา,อรหํ อรหนตฺ ี พระอรหันต อาชีวโก อาชวี กิ า นกั บวช อปุ าสโก อุปาสิกา อุบาสก,อบุ าสิกา กุมาโร กมุ ารี,กุมาริกา เด็ก โคโณ คาวี โค โจโร โจรี โจร าตโก าตกิ า ญาติ ตรโุ ณ ตรุณี ชายหนมุ ,หญิงสาว เถโร เถรี พระเถระ,พระเถรี ทารโก ทาริกา เดก็ ชาย,เดก็ หญิง เทโว เทวี พระเจาแผนดิน,พระราชเทวี นโร นารี คนผูช าย,คนผหู ญงิ ปรพิ ฺพาชโก ปริพพฺ าชิกา นกั บวชชาย,นกั บวชหญิง ภิกขฺ ุ ภิกฺขุนี ภกิ ษุ,ภิกษุณี ภวํ โภตี ผเู จรญิ มนุสโฺ ส มนุสสฺ ี มนษุ ยชาย,มนุษยห ญิง ยกฺโข ยกขฺ ินี ยกั ษ,ยักษิณี ยวุ า ยวุ ตี ชายหนมุ ,หญิงสาว สขา สขี เพ่ือนชาย,เพือ่ นหญงิ หตถฺ ี หตถฺ ินี ชา งพลาย,ชางพงั ๓. คุณนามและสัพพนาม เปนไดท งั้ ๓ ลงิ ค เพราะตองเปล่ียนลิงคไปตามสทุ ธนามท่ีตนขยายและ ใชแ ทน คณุ นาม เปน ไดท้งั ๓ ลิงค เชน กลยฺ าโณ ปรุ โิ ส ชายดี เปนปงุ ลิงค กลยฺ าณี อติ ถฺ ี หญิงดี เปนอติ ถีลงิ ค กลฺยาณํ จติ ตฺ ํ จติ ดี เปนนปงุ สกลงิ ค
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๑ ตัวอยา งคุณนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค มดี งั น้ี ปงุ ลงิ ค อิตถลี งิ ค นปุงสกลิงค คำแปล กมฺมกาโร กมมฺ การินี กมมฺ การํ ทำการงาน คุณวา คุณวตี คุณวํ มีคณุ จณโฺ ฑ จณฑฺ า จณฑฺ ํ ดุราย เชโ เช า เช ํ เจริญทสี่ ดุ ตาโณ ตาณา ตาณํ ตา นทาน ถิโร ถริ า ถิรํ มน่ั ทกฺโข ทกฺขา ทกฺขํ ขยนั ธมมฺ โิ ก ธมฺมกิ า ธมมฺ กิ ํ ต้ังในธรรม นาโถ นาถา นาถํ ทพ่ี ง่ึ ปาโป ปาปา ปาป บาป โภคี โภคินี โภคิ มโี ภคะ มตมิ า มติมตี มติมํ มีความคดิ ลาภี ลาภนิ ี ลาภิ มลี าภ สทโฺ ธ สทธฺ า สทธฺ ํ มศี รทั ธา ต ศัพทใ นปุริสสัพพนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค (ตมุ หฺ และอมฺห ศัพท เปน อลิงคนาม) เชน โส ปุริโส ชายคนนน้ั เปน ปงุ ลงิ ค สา อตถฺ ี หญงิ คนนนั้ เปนอติ ถลี งิ ค ตํ จิตตฺ ํ จติ ดวงนั้น เปนนปงุ สกลิงค วเิ สสนสัพพนาม เปน ไดทง้ั ๓ ลงิ ค เชน สพโฺ พ คาโม หมูบานทั้งปวง เปนปงุ ลงิ ค สพฺพา ตารา ดาวทง้ั ปวง เปน อติ ถลี งิ ค สพฺพํ อกฺขรํ อักษรท้ังปวง เปนนปุงสกลงิ ค สังขยาสพั พนาม(เอก ทฺวิ อภุ ติ จต)ุ เปน ไดทงั้ ๓ ลงิ ค เชน เอโก โจโร โจรคนหน่งึ เปน ปงุ ลิงค เอกา ฆรณี หญิงแมเ รอื นคนหนง่ึ เปนอติ ถีลงิ ค เอกํ จติ ฺตํ จิตดวงหนง่ึ เปนนปุงสกลงิ ค การันต การนั ต คืออักษรสุดทายของศัพทท้ังหลาย วิเคราะหวา \"การานํ อนฺตํ การนฺตํ อกั ขระตวั สุดทาย แหง อักขระทั้งหลาย(ในแตล ะศพั ท) ชอื่ วา การนั ตะ\" โดยสามญั ท่ัวไป มี ๖๑ ไดแก 17 อ อา อิ อี อุ อู ๑ ตำราบาลไี วยากรณเ ดมิ เชน กจั จายนะ มีการนั ต ๘ คือเพ่ิม โอ การนั ต เชน โค ศพั ท และนคิ คหติ การันต เชน กึ ศพั ท เขามา ศกึ ษาเพ่มิ เตมิ ไดจากตำราตา ง ๆ เชน บาลไี วยากรณเบอ้ื งตน มหาบาลีวิชชาลัย ฉบบั พิมพป ๒๕๕๖ เปนตน
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๒ ทัง้ นี้ ไมน ำสระเสยี งผสม คือ เอ และ โอ มาใชเ ปนสระทีส่ ุดแหงศัพท (ลกั ษณะพิเศษของสระทส่ี ุด แหงศัพท เชน คำวา โค(วัว) สา(หมา) เปน ตน) ตัวอยา งสระทีส่ ดุ ของนามศพั ทมีดงั น้ี ๑. อาจริย แปลวา อาจารย เรียก อ การนั ต ไมม ีรปู มชชฺ แปลวา นำ้ เมา เรียก อ การนั ต ไมม รี ปู ๒. สลิ า แปลวา หิน เรยี ก อา การนั ต มรี ปู “า” โทลา แปลวา ชิงชา เรียก อา การนั ต มีรปู “า” ๓. วหี ิ แปลวา ขา วเปลอื ก เรียก อิ การนั ต มีรูป “-ิ” คณฑฺ ิ แปลวา ระฆัง เรียก อิ การนั ต มรี ูป “-”ิ ๔. สิขี แปลวา นกยงู เรียก อี การนั ต มรี ูป “-”ี ธานี แปลวา เมือง เรยี ก อี การนั ต มรี ปู “-”ี ๕. รปิ ุ แปลวา ขาศกึ เรยี ก อุ การนั ต มีรปู “-ุ” กาสุ แปลวา หลุม เรยี ก อุ การนั ต มรี ูป “-ุ” ๖. วริ ู แปลวา เถาวัลย เรยี ก อู การนั ต มรี ปู “-ู” ปารคู แปลวา ผูถึงฝง เรียก อู การนั ต มรี ปู “-ู” จำแนกลิงค ๓ โดยการันต ๖ ๑. ปุงลิงค มกี ารนั ต ๕ คอื อ อิ อี อุ อู เชน ปรุ สิ ชาย เปน อ การนั ต อคฺคิ ไฟ เปน อิ การนั ต ทณฑฺ ี ผูมีไมเ ทา เปน อี การนั ต ภกิ ขฺ ุ ภกิ ษุ เปน อุ การนั ต อภภิ ู ผูเปนใหญ เปน อู การนั ต ๒. อติ ถลี ิงค มกี ารนั ต ๕ คอื อา อิ อี อุ อู เชน กฺา สาวนอ ย เปน อา การนั ต รตตฺ ิ กลางคนื เปน อิ การนั ต อิตถฺ ี หญิง เปน อี การนั ต ยาคุ ขาวยาคู เปน อุ การนั ต ชมพฺ ู ตน หวา เปน อู การนั ต ๓. นปุงสกลิงค มกี ารนั ต ๓ คือ อ อิ อุ เชน จติ ตฺ จติ เปน อ การนั ต อิ กระดูก เปน อิ การนั ต อายุ อายุ เปน อุ การนั ต ขอสงั เกต การนั ต ๖ ตวั ทแ่ี บงลงในลงิ คทัง้ ๓ มีการนั ตซ ้ำกนั ทง้ั ๓ ลงิ ค ดังนี้ ๑. อ การนั ต เปนได ๒ ลงิ ค คอื ปงุ ลิงค และ นปุงสกลิงค ๒. อา การนั ต เปน ไดล งิ คเดียว คือ อติ ถลี งิ ค ๓. อิ การนั ต เปนได ๓ ลงิ ค คอื ปงุ ลงิ ค อติ ถีลิงค และ นปงุ สกลิงค ๔. อี การนั ต เปน ได ๒ ลงิ ค คอื ปงุ ลงิ ค และ อติ ถลี งิ ค
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๓ ๕. อุ การนั ต เปนได ๓ ลงิ ค คือ ปุงลงิ ค อติ ถีลิงค และ นปงุ สกลิงค ๖. อู การนั ต เปน ได ๒ ลงิ ค คอื ปุงลิงค และ อติ ถลี งิ ค วจนะ วจนะหรือพจน คือคำที่แสดงจำนวนของส่ิงท่ีพูดถึงหรือนามใหรูวามีนอยหรือมากเพียงใด วเิ คราะหวา \"เอกตตฺ ํ วา พหตุ ตฺ ํ วาติ วจติ เอเตนาติ วจนํ คำทใี่ ชบ อกจำนวนวา หน่งึ หรือมากกวา หน่ึง ช่ือ วา วจนะ\" มี ๒ คอื ๑. เอกวจนะหรอื เอกพจน คำบอกหรอื แสดงใหทราบจำนวนของนามวามหี นง่ึ เชน ปุรโิ ส ชายหนงึ่ คน อิตถฺ ี หญิงหนง่ึ คน จิตตฺ ํ จิตหน่ึงดวง ๒. พหวุ จนะ หรือ พหพู จน คำบอกจำนวนของนามวามีมาก ตัง้ แตส องข้ึนไป เชน ปรุ ิสา ชายหลายคน (ชายทงั้ หลาย) อติ ถฺ โิ ย หญงิ หลายคน (หญงิ ท้งั หลาย) จติ ตฺ านิ จิตหลายดวง (จติ ท้ังหลาย) วจนะท้ัง ๒ นี้ มีประโยชนใหรจู ำนวนนอ ยหรอื มาก จะรูไ ดตอ งสงั เกตท่ีทา ยศพั ทซึ่งเปน วิภัตติ ถา ที่ทายศัพทเปนวิภัตติอะไร ก็ทราบวจนะไดทันที เพราะวิภัตติเปนเครื่องหมายใหรูวจนะ เราจะทราบวจนะ ไดตองอาศยั วภิ ัตติ มวี ภิ ตั ตเิ ปน เครอื่ งหมายใหทราบไดวาเปน เอกวจนะหรือพหุวจนะ ขอ สังเกต วจนะมีสว นเหมือนสังขยา(จำนวนนับ)ตรงที่เปนเคร่อื งหมายบอกจำนวนสุทธนาม แตมี ลักษณะตา งกนั ดังน้ี ๑. วจนะ บอกจำนวนสุทธนามไมชัดเจน เชน สกุโณ แปลวา นก สกุณา แปลวา นกหลายตัว ไม ชดั เจนไปวา เทาไรแน แมท ี่เปน เอกวจนะก็ไมระบใุ หชัดวา “หนง่ึ ตวั ” ๒.สังขยา นบั จำนวนสุทธนามชดั ลงไปทเี ดียว เชน นก ๑ ตัว มีศพั ทว า เอโก สกุโณ เน้อื (ทราย) ๒ ตวั มีศพั ทวา เทวฺ มิคา โจร ๓ คน มีศพั ทวา ตโย โจรา สุนัข ๔ ตวั มศี ัพทวา จตฺตาโร สนุ ขา ผลไม ๕ ผล มีศพั ทวา ปจฺ ผลานิ วิภตั ติ วิภัตติ แปลวา แจกแจง หรือ จำแนก หมายถึง ศัพทสำหรับประกอบทายนามศัพท อันเปนการ จำแนกนามศพั ทใหมีรปู และอรรถตางกันในนามศพั ทหน่งึ ๆ เพ่ือใหมีเนื้อความสมั พันธก ับบทอ่ืนในประโยค ได วิเคราะหวา \"กมฺมาทิวเสน เอกตฺตาทวิ เสน จ ลงิ คฺ ตถฺ ํ วิภชนฺตีติ วิภตฺติโย ศัพทท่ีจำแนกอรรถของลิงค โดยกรรมและเอกพจนเ ปนตน ช่ือวาวิภตั ติ\"
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๔ ตวั อยาง คำวา “นร” แปลวา “คน” ถานำไปใชในประโยคทม่ี ีความหมายแตกตางกันจำเปนตอง แยกแยะรปู ศัพทใหแตกตางกนั ดวย เพ่ือประโยชนตอ การสือ่ สารทำความเขาใจใหต รงกัน เชน ประโยควา ๑.คนปนตน ไม ๒.เศรษฐพี ดู กะคนจน ๓.พระภกิ ษแุ สดงธรรมแกค น ๔.พระธรรมเปน ท่พี ึง่ ของคนทัง้ หลาย คน ในประโยคที่ ๑ ตองใชคำวา “นโร” ดังน้ี นโร รุกขฺ ํ อารุยฺหต.ิ คน ในประโยคท่ี ๒ ตองใชค ำวา “นรํ” ดงั น้ี เส ี ทลทิ ทฺ ํ นรํ กเถต.ิ คน ในประโยคท่ี ๓ ตอ งใชค ำวา “นรสฺส” ดังน้ี ภิกขฺ ุ นรสสฺ ธมมฺ ํ เทเสต.ิ คน ในประโยคท่ี ๔ ตอ งใชคำวา “นราน”ํ ดงั นี้ ธมฺโม นรานํ นาโถ โหติ. ศัพทวา “นร”ท่ีแปลวา “คน” ซง่ึ ยกตัวอยางมาใหดูนั้น เปนเพยี งการแจกแจงวภิ ตั ตติ ามอรรถไมก่ี วิภัตติเทาน้ัน ยังมีอีกหลายวิภัตติซ่ึงมีอรรถท่ีแตกตางกันไป อยางนอย ๑๐ วิภัตติหรืออีก ๑๐ เน้ือความ ดังนัน้ จึงควรศึกษาหลักการจำแนกเพอ่ื กำหนดเนอื้ ความไดง ายข้ึน โดยแตล ะวิภตั ตจิ ะมคี ำเช่ือม หรือ คำตอ สำหรับเชอื่ มหรือตอ ศัพทห นึ่งไปหาศพั ทห นึ่ง เชน ภิกขฺ ุ ธมฺมํ จรติ แปลวา ภกิ ษุ ยอ มประพฤติ ซงึ่ ธรรม คามํ คโต แปลวา ไปแลว สู หมูบา น อสเฺ สน ยตุ ฺโต รโถ แปลวา รถเทียมแลว ดว ย มา อสนิ า กลโห แปลวา ความทะเลาะ เพราะ ดาบ คิลานสสฺ เภสชชฺ ํ แปลวา ยา เพื่อ คนไข อคคฺ ิมหฺ า ภยํ แปลวา ภัย แต ไฟ พนธฺ นา มตุ โฺ ต แปลวา พน แลว จาก เคร่ืองผกู ปฺาย อาภา แปลวา แสงสวาง แหง ปญ ญา รุกฺขสฺส สาขา แปลวา กิ่ง แหง ตน ไม พุทฺธสฺส สาวโก แปลวา สาวก ของ พระพุทธเจา วานรสฺส โลมา แปลวา ขนทงั้ หลาย ของ ลงิ วเน พยฺ คฺโฆ แปลวา เสือโครง ใน ปา ปพฺพตสฺมึ คาโม แปลวา หมูบาน ใกล ภเู ขา รกุ เฺ ข สกุณา แปลวา นก บน ตนไม คำวา ซึ่ง สู ดวย เพราะ เพ่ือ แต จาก แหง ของ ใน ใกล และ บน เปนคำเชื่อมหรือคำตอ เรยี กวา อายตนิบาต วิภัตตินั้น มี ๑๔ ตัว เปนเอกพจน ๗ พหูพจน ๗ ซึ่งจะมีอายตนิบาตท่ีแตกตางกันไปตามวิภัตติ และวจนะนั้นๆดว ย ซงึ่ เปน เหตุใหจ ำแนกอรรถออกเปน ๑๔ อรรถ เชนกนั ดังนี้
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๕ นามวิภตั ติ ๑๔ ตวั พรอมคำแปล วภิ ตั ติ เอก. พหุ. คำแปล(ใชคำเชอ่ื มวา ...) ปฐมา (ที่ ๑) ทุติยา (ที่ ๒) สิ โย อนั วา ตติยา (ท่ี ๓) จตุตถี (ที่ ๔) อํ โย ซงึ่ สู ยัง สนิ้ กะ ตลอด เฉพาะ ปญ จมี (ท่ี ๕) ฉฏั ฐี (ที่ ๖) นา หิ ดว ย โดย อัน ตาม เพราะ มี ดว ยทัง้ สัตตมี (ที่ ๗) อาลปนะ ส นํ แก เพอื่ ตอ สำหรบั สฺมา หิ แต จาก กวา เหตุ เพราะ ส นํ แหง ของ เมือ่ สฺมึ สุ ใน ใกล ที่ ครน้ั เมอื่ ในเพราะ เหนือ บน ณ สิ โย แนะ ดูกอน ขา แต น่ี นามวิภัตติเหลานี้จำแนกอรรถนามศัพทแตละศัพทไดถึง ๑๔ อรรถ (รวมอาลปนะดวยเปน ๑๖ อรรถ) จึงมีความสำคัญเปน อันดับหนง่ึ ควรจำใหข้นึ ใจ, ปฐมาวภิ ัตติกบั อาลปนะ ใชวิภตั ติตัวเดียวกัน, วิภัตติ ฝายพหุพจน เพม่ิ คำวา \"ทั้งหลาย\" ในคำแปลดว ย เชน คำวา “ปุคคฺ ลา”(อ การนั ต ใน ปงุ ลิงค แจกอยา ง ปุ ริส ศพั ท) เปน ปฐมาวิภตั ติ พหุวจนะ ตองแปลวา อันวา บุคคลท้งั หลาย ๓.๓ วธิ ีแจกนามศัพท18๑ วิธแี จกนามศัพทด ว ยวภิ ตั ติ ตองกำหนดรใู หไ ดกอนจงึ จะเปน การงาย คอื กำหนดตามสระท่สี ุดแหง ศัพท เรียกวา การันต ศัพทที่เปนลิงคเดียวกันมี การันตเหมือนกันแลว ก็แจกเปนแบบเดียวกัน ยกไวแต ศัพทบางเหลา ท่ีมีวิธีแจกอยางหน่ึงตางหาก เมื่อกำหนดไดดังนี้แลว ก็ใชตลอดไปได ในสุทธนามและ คณุ นาม น้นั ทา นจัดการนั ตต ามที่ใชสาธารณาทว่ั ไปมากน้ัน ดังนี้ :- ในปุงลิงคม กี ารันต ๕ คอื อ อิ อี อุ อู ในอิตถีลงิ คม กี ารนั ต ๕ คอื อา อิ อี อุ อู ในนปงุ สกลิงคม ีการันต ๓ คอื อ อิ อุ ๑ ตำราบาลีไวยากรณเ ดมิ เชน กจั จายนะ มีการแจกศพั ท ในลิงคท ัง้ ๓ ตามวภิ ตั ตทิ ั้ง ๗ และอาลปนะ หลากหลายมากกวานี้ ผูสนใจควรศกึ ษาคนควา เพมิ่ เตมิ ไดจากตำราคัมภรี ไ วยากรณตาง ๆ เชน ไวยากรณบาลเี บอื้ งตน มหาบาลีวิชชาลัย ฉบบั พมิ พป ๒๕๕๖
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๖ ปุงลิงค อ การันต ในปุงลิงค แจกอยา ง ปรุ สิ [บุรษุ ] ดงั น้ี :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ปรุ โิ ส ปรุ สิ า ทุ. ปุรสิ ํ ปรุ ิเส ต. ปุรเิ สน ปรุ เิ สหิ ปรุ ิเสภิ จ. ปรุ สิ สฺส ปุรสิ าย ปุริสตถฺ ํ ปุริสานํ ป.ฺ ปุรสิ สฺมา ปรุ สิ มฺหา ปรุ สิ า ปุริเสหิ ปรุ ิเสภิ ฉ. ปุริสสฺส ปรุ ิสานํ ส. ปุริสสมฺ ึ ปรุ ิสมหฺ ิ ปุรเิ ส ปุริเสสุ อา. ปุริส ปรุ ิสา ปุริสา ศพั ทท ่เี ปน อ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น ปุรสิ ----------------------------------------------------------------------------- อาจริย อาจารย ชน ชน กุมาร เด็ก ตุรค มา ขตตฺ ิย กษัตริย เถน ขโมย คณ หมู ทตู ทูต โจร โจร ธช ธง ฉณ มหรสพ นร คน ปาวก ไฟ รกุ ขฺ ตนไม ผลิก แกวผลกึ โลก โลก พก นกยาง วานร ลิง ภว ภพ สหาย เพอื่ น มนุสสฺ มนษุ ย หตถฺ มอื ยกขฺ ยักษ อิ การันต ในปุงลงิ ค แจกอยาง มนุ ิ [ผรู ]ู ดังน้ี :- ------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. มุนิ มนุ โย มุนี ทุ. มนุ ึ มุนโย มนุ ี ต. มนุ นิ า มนุ ีหิ มนุ ภี ิ จ. มนุ สิ สฺ มุนโิ น มุนนี ํ ปฺ. มนุ ิสฺมา มนุ มิ หฺ า มนุ ินา มนุ ีหิ มนุ ีภิ ฉ. มุนิสฺส มนุ โิ น มุนนี ํ
ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๗ ส. มนุ ิสฺมึ มนุ มิ หฺ ิ มนุ สี ุ อา. มนุ ิ มุนโย มนุ ี ศพั ททเ่ี ปน อิ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น มุน.ิ ------------------------------------------------------------------- อคฺคิ ไฟ ปติ เจา, ผัว อริ ขา ศึก มณิ แกวมณี อหิ งู วธิ ิ วิธี ถปติ ชางไม วีหิ ขา วเปลือก นิธิ ขมุ ทรัพย สมาธิ สมาธิ อี การันต ในปุงลงิ ค แจกอยาง เส ี [เศรษฐ]ี ดงั นี้:- ------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. เส ี เส ิโน เส ี ทุ. เส ึ เส ินํ เสิโน เส ี ต. เส ินา เส ีหิ เส ีภิ จ. เส ิสฺส เสิโน เส ีนํ ป.ฺ เสิสฺมา เส ิมฺหา เส นิ า เส ีหิ เส ีภิ ฉ. เส สิ สฺ เส โิ น เส นี ํ ส. เส สิ ฺมึ เส มิ หฺ ิ เส สี ุ อา. เสิ เสโิ น เส ี ศพั ทท ี่เปน อี การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น เส .ี ------------------------------------------------------------------------------ กรี ชา ง ภาณี คนชางพูด ตปสี คนมตี บะ โภคี คนมโี ภคะ ทณฺฑี คนมไี มเทา มนตฺ ี คนมคี วามคิด เมธาวี คนมปี ญญา สุขี คนมสี ขุ สิขี นกยูง หตถฺ ี ชาง อุ การันต ในปงุ ลิงค แจกอยา ง ครุ [คร]ู ดังนี้ :- ------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ครุ ครโว ครู ท.ุ ครุ ครโว ครู ต. ครนุ า ครหู ิ ครภู ิ
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๘ จ. ครุสสฺ ครโุ น ครูนํ ป.ฺ ครสุ มฺ า ครมุ หฺ า ครุนา ครหู ิ ครูภิ ฉ. ครสุ ฺส ครโุ น ครนู ํ ส. ครุสฺมึ ครมุ หฺ ิ ครูสุ อา. ครุ ครเว ครโว ศพั ทท เี่ ปน อุ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น ครุ --------------------------------------------------------------------------- เกตุ ธง ภิกขฺ ุ ภิกษุ ชนฺตุ สตั วเ กดิ รปิ ุ ขาศกึ ปสุ สตั วข องเลีย้ ง สตตฺ ุ ศตั รู พนฺธุ พวกพอง เสตุ สะพาน พพพฺ ุ เสอื ปลา, แมว เหตุ เหตุ อู การันต ในปุงลงิ ค แจกอยา ง วิ ฺู [ผรู วู เิ ศษ] ดังน้ี :- ---------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วิฺู วิฺโุ น วิ ฺู ทุ. วิ ฺุ วิ ฺ โุ น วิ ฺ ู ต. วิ ฺ นุ า วิฺ หู ิ วิ ฺ ูภิ จ. วิ ฺสุ สฺ วิ ฺโุ น วิฺนู ํ ป.ฺ วิ ฺ สุ มฺ า วิฺ ุมหฺ า วิ ฺ นุ า วิ ฺหู ิ วิ ฺ ภู ิ ฉ. วิ ฺุสสฺ วิ ฺโุ น วิ ฺ นู ํ ส. วิฺ สุ มฺ ึ วิ ฺ ุมหฺ ิ วิฺสู ุ อา. วิฺ ุ วิฺโุ น วิ ฺ ู ศพั ททเี่ ปน อู การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น วิ ฺ ู. ------------------------------------------------------------------------------ อภภิ ู พระผูเปน ยง่ิ เวทคู ผูถึงเวท กตฺ ู ผรู อู ุปการะทผี่ อู ื่นทำแลว สยมฺภู พระผูเ ปน เอง ปารคู ผูถึงฝง อิตถลี ิงค อา การันต ในอติ ถลี ิงค แจกอยา ง กฺ า [นางสาวนอ ย] ดงั น้ี :- -------------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. กฺ า กฺ าโย กฺ า ทุ. กฺ ํ กฺ าโย กฺ า
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๓๙ ต. กฺ าย กฺ าหิ กฺ าภิ จ. กฺ าย กฺ านํ ป.ฺ กฺ าย กฺ าหิ กฺ าภิ ฉ. กฺ าย กฺ านํ สฺ กฺ าย กฺ ายํ กฺ าสุ อา. กฺเ กฺ าโย กฺ า ศพั ททเี่ ปน อา การนั ต เชน นี้ แจกเหมือน กฺ า --------------------------------------------------------------------- อจฺฉรา นางอปั สร ตารา ดาว อาภา รศั มี ถวกิ า ถุง อิกขฺ ณิกา หญิงแมม ด ทาริกา เดก็ หญงิ อีสา งอนไถ โทลา ชิงชา อุกกฺ า คบเพลงิ ธารา ธารนำ้ อกู า เล็น นารา รัศมี เอสกิ า เสาระเนยี ด ปฺา ปญญา โอชา โอชา พาหา แขน กจฺฉา รักแร ภาสา ภาษา คทา ตะบอง มาลา ระเบียบ ฆฏิกา ลมิ่ ลาขา ครั่ง เจตนา เจตนา สาลา ศาลา ฉรุ กิ า กฤช สิลา ศิลา อิ การนั ต ในอติ ถลี ิงค แจกอยาง รตตฺ ิ [ราตร]ี ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. รตตฺ ิ รตตฺ โิ ย รตตฺ ี ท.ุ รตตฺ ึ รตตฺ โิ ย รตตฺ ี ต. รตตฺ ยิ า รตตฺ ีหิ รตตฺ ภี ิ จ. รตตฺ ิยา รตตฺ ีนํ ป.ฺ รตตฺ ิยา รตยฺ า รตตฺ ีหิ รตตฺ ีภิ ฉ. รตตฺ ิยา รตตฺ ีนํ ส. รตตฺ ยิ า รตตฺ ิยํ รตฺยํ รตตฺ ึ รตโฺ ต รตฺยา รตตฺ สี ุ อา. รตตฺ ิ รตตฺ ิโย รตตฺ ี ศพั ทท ีเ่ ปน อิ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น รตตฺ ิ ---------------------------------------------------------------------------- อาณิ ล่ิม กฏิ สะเอว
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๐ อิทฺธิ ฤทธิ์ ขนตฺ ิ ความอดทน อีติ จัญไร คณฑฺ ิ ระฆัง อุกฺขลิ หมอ ขา ว ฉวิ ผวิ อูมิ คล่ืน ชลลฺ ิ สะเกด็ ไม ตนตฺ ิ เสน ดา ย แบบแผน รติ ความยนิ ดี นนทฺ ิ ความเพลิดเพลนิ ลทธฺ ิ ลทั ธิ ปหฺ ิ สนเทา วติ รว้ั มติ ความรู สตฺติ หอก ยิ ไมเทา สนธฺ ิ ความตอ ปตตฺ ิ สวนบญุ ยตุ ฺติ ความสมควร พทุ ธฺ ิ ความรู กติ ตฺ ิ ชอ่ื เสยี ง มตุ ตฺ ิ ความหลดุ พน ตติ ตฺ ิ ความอ่ิม กนตฺ ิ ความชอบใจ สิทธฺ ิ ความสำเร็จ สทุ ธฺ ิ ความบริสุทธ์ิ ธิติ ความเพียร คติ การไป ภูมิ แผนดิน อี การนั ต ในอติ ถลี ิงค แจกอยา ง นารี [นาง] ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. นารี นารโิ ย นารี ท.ุ นารึ นารยิ ํ นารโิ ย นารี ต. นารยิ า นารหี ิ นารภี ิ จ. นาริยา นารนี ํ ปฺ. นาริยา นารหี ิ นารีภิ ฉ. นาริยา นารนี ํ สฺ นาริยา นาริยํ นารสี ุ อา. นาริ นารโิ ย นารี ศัพทท่ีเปน อี การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น นารี ------------------------------------------------------------------------- กุมารี เดก็ หญงิ ปวี แผนดนิ ฆรณี หญงิ แมเรือน มาตลุ านี ปา, นา ถี หญิง วชี นี พัด ธานี เมอื ง สิมพฺ ลี ไมงว้ิ มหี แผน ดนิ วาป บึง ปาฏลี ตนแคฝอย กทลี ตน กลว ย
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๑ อุ การนั ต ในอิตถีลิงค แจกอยา ง รชฺชุ [เชือก] ดงั น้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. รชชฺ ุ รชฺชโุ ย รชชฺ ู ทุ. รชชฺ ุ รชฺชโุ ย รชฺชู ต. รชชฺ ุยา รชฺชูหิ รชชฺ ูภิ จ. รชฺชยุ า รชชฺ นู ํ ป.ฺ รชฺชยุ า รชฺชูหิ รชฺชูภิ ฉ. รชชฺ ยุ า รชชฺ ูนํ ส. รชชฺ ุยา รชชฺ ุยํ รชชฺ ูสุ อา. รชชฺ ุ รชชฺ โุ ย รชชฺ ู ศพั ทท เี่ ปน อุ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น รชชฺ ุ ----------------------------------------------------------------------- อุรุ ทราย ยาคุ ขาวตม กาสุ หลุม ลาวุ นำ้ เตา เธนุ แมโ คนม วชิ ฺชุ สายฟา ธาตุ ธาตุ กณฑฺ ุ โรคเกล้อื น อู การันต ในอิตถลี งิ ค แจกอยาง วธู [หญงิ สาว] ดงั น้ี :- ------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วธู วธโุ ย วธู ท.ุ วธุ วธโุ ย วธู ต. วธุยา วธหู ิ วธูภิ จ. วธุยา วธนู ํ ป.ฺ วธุยา วธหู ิ วธภู ิ ฉ. วธุยา วธนู ํ ส. วธยุ า วธุยํ วธสู ุ อา. วธุ วธโุ ย วธู ศพั ทที่เปน อู การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น วธู ------------------------------------------------------------------------ จมู เสนา,กองทัพ วริ ู เถาวัลย ชมพฺ ู ไมหวา สรพู ตุกแก ภู แผน ดนิ , คว้ิ สินฺธู แมน ำ้ สนิ ธู
ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๒ นปงุ สกลงิ ค อ การนั ต ใน นปงุ สกลงิ ค แจกอยา ง [กลุ ตระกูล] ดังนี้ :- ----------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. กุลํ กลุ านิ กุลา ท.ุ กุลํ กลุ านิ กเุ ล ต. กุเลน กเุ ลหิ กเุ ลภิ จ. กลุ สฺส กุลาย กุลตถฺ ํ กุลานํ ปฺ. กุลสฺมา กลุ มฺหา กุลา กเุ ลหิ กเุ ลภิ ฉ. กุลสสฺ กลุ านํ ส. กุลสฺมึ กุลมฺหิ กเุ ล กุเลสุ อา. กลุ กุลานิ ศัพททีเ่ ปน อ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น กลุ ------------------------------------------------------------------------- องคฺ องค ฉตตฺ ฉัตร, รม อณิ หน้ี ชล นำ้ อุทร ทอง ตล พน้ื โอ ริมฝปาก ธน ทรพั ย ก ไม ปณฺณ ใบไม, หนงั สอื กมล ดอกบวั ผล ผลไม ฆร เรอื น พล กำลัง,พล จกกฺ จักร, ลอ ภตฺต ขา วสวย มชฺช นำ้ เมา รตน แกว ยนฺต ยนต วตถฺ ผา ร แวน แควน สกฏ เกวยี น อิ การันต ใน นปุงสกลงิ ค แจกอยาง อกขฺ ิ [นัยนต า] ดงั น้ี :- ------------------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. อกฺขิ อกขฺ นี ิ อกขฺ ี ท.ุ อกขฺ ึ อกขฺ ีนิ อกขฺ ี ต. อกขฺ นิ า อกขฺ ีหิ อกขฺ ภี ิ จ. อกขฺ ิสสฺ อกฺขโิ น อกขฺ นี ํ ป.ฺ อกฺขสิ มฺ า อกขฺ มิ หฺ า อกฺขนิ า อกขฺ ีหิ อกขฺ ภี ิ
ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๓ ฉ. อกฺขสิ สฺ อกขฺ โิ น อกฺขีนํ ส. อกขฺ สิ มฺ ึ อกขฺ มิ หฺ ิ อกฺขสี ุ อา. อกขฺ ิ อกฺขีนิ อกขฺ ี ศัพทท ่ีเปน อิ การนั ต เชน น้ี แจกเหมอื น อกฺขิ ------------------------------------------------------------------------- อจฺจิ เปลวไฟ ทธิ นมสม อ ิ กระดูก สปปฺ เนยใส สตฺถิ ขาออ น วาริ นำ้ อุ การนั ต ใน นปงุ สกลิงค แจกอยา ง วตถฺ ุ [พัสดุ ] ดงั น้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ทุ. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ต. วตถฺ นุ า วตถฺ ูหิ วตถฺ ภู ิ จ. วตถฺ ุสฺส วตถฺ ุโน วตถฺ นู ํ ปฺ. วตถฺ สุ ฺมา วตฺถมุ หฺ า วตฺถนุ า วตถฺ หู ิ วตถฺ ูภิ ฉ. วตถฺ ุสสฺ วตถฺ ุโน วตถฺ นู ํ ส. วตถฺ สุ มฺ ึ วตถฺ ุมหฺ ิ วตถฺ สู ุ อา. วตถฺ ุ วตถฺ นู ิ วตถฺ ู ศัพทท ีเ่ ปน อุ การนั ต เชน นี้ แจกเหมอื น วตถฺ ุ --------------------------------------------------------------------------- อมพฺ ุ นำ้ ชตุ ยาง อสฺสุ น้ำตา ธนุ ธนู อายุ อายุ มธุ น้ำผึ้ง จกขฺ ุ นัยนต า มสฺสุ หนวด วปุ กาย สชฌฺ ุ เงนิ ๓.๔ วธิ แี จกกติปยศัพท สพั พนาม และอพั ยยศพั ท กตปิ ยศพั ท หมายถึงศพั ทเลก็ ๆนอยๆ ศัพทเ รีย่ ราด ศัพทเ บ็ดเตลด็ หรือเรยี กวา ปกณิ ณกศัพท ซง่ึ มีลกั ษณะการแจกเฉพาะตางจากนามศัพทท้งั ๑๓ แบบทกี่ ลา วมาแลว ในทีน่ จ้ี ำแนกไว ๑๒ คัพท คือ อตตฺ , พรฺ หฺม, ราช, ภควนตฺ ุ, อรหนฺต, ภวนฺต, สตถฺ ,ุ ปต ,ุ มาตุ, มน, กมมฺ , โค. อตฺต [ตน] เปน ปงุ ลงิ ค แจกอยางน้ี :- ------------------------------------------------------------------------ เอกวจนํ ไมม พี หวุ จนะ ป. อตตฺ า
ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๔๔ ทุ. อตฺตานํ ต. อตฺตนา จ. อตตฺ โน ป.ฺ อตฺตนา ฉ. อตฺตโน ส. อตตฺ นิ อา. อตตฺ พรฺ หฺม [หรหม] เปน ปงุ ลงิ ค แจกอยา งน้ี :- --------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. พฺรหมฺ า พรฺ หมฺ าโน ท.ุ พฺรหมฺ านํ พรฺ หมฺ าโน ต. พรฺ หมฺ ุนา พรฺ หเฺ มหิ พรฺ หฺเมภิ จ. พรฺ หมฺ โุ น พรฺ หฺมานํ ป.ฺ พรฺ หฺมนุ า พรฺ หเฺ มหิ พฺรหเฺ มภิ ฉ. พฺรหมฺ ุโน พฺรหฺมานํ ส. พฺรหมฺ นิ พฺรหเฺ มสุ อ. พรฺ หเฺ ม พฺรหมฺ าโน -------------------------------------------------------------------- ราช [พระราช] เปน ทวฺ ิลิงค ใน ปงุ ลงิ ค แจกอยางน้ี :- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. ราชา ราชาโน ท.ุ ราชานํ ราชาโน ต. รฺา ราชหู ิ ราชภู ิ จ. รโฺ ราชโิ น รฺํ ราชนู ํ ปฺ. รฺ า ราชหู ิ ราชภู ิ ฉ. รโฺ ราชโิ น รฺ ํ ราชนู ํ ส. รเฺ ราชินิ ราชูสุ อา. ราช ราชาโน ศพั ทสมาส มี ราช ศพั ท เปน ทีส่ ดุ เหมือน มหาราช แจกอยางนก้ี ไ็ ด. ------------------------------------------------------------------------------- เอกวจนํ พหวุ จนํ ป. มหาราชา มหาราชาโน ท.ุ มหาราชํ มหาราเช ต. มหาราเชน มหาราเชหิ มหาราเชภิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258