วดั ป่าแก้วเปลีย่ นชือ่ ทวพบหตทจกดั�ำ่อรรีร่ลรรนุงธงือมะมังศสรกเวอโาจกรร่งนาไุบ้าทมีอดศทาก๑ูตยาเ้จวลกิตร๐ธุมีปึงีวิดาตทยางรมคสิรทรศาูปเาณมไงลูข์ปปชสเมึ้นขะ็นดสฟง่ ีพอสใหพจ็ิงนืน้ พงรหพวัรลฟฆะรหะะรงัอน์คูะสนะกกบุสณิกเมา้าษจงาาเณะฆลา้ดัตยสอีเทจ์ินรสถงยิยาูตทยฆรกูห่ล์ไาาะ์ ทวัังมงกไยวปางศ์ เป็น“วดั เจา้ พญาไท” และ“วัดใหญช่ ยั มงคล” พ.ศ. ๒๑๗๓ : ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ พระเจา้ ปราสาททอง เมื่อสมเดจ็ พระนเรศวร ทรงสถาปนาวัดไชยวัฒนา มหาราชทรงทำ�ยุทธหัตถี ราม ณ ริมแมน่ ้าํ เจ้าพระยา ชนะพระมหาอุปราชแห่ง ทางด้านตะวันตกของเมือง พม่า และทรงสรา้ งพระ พระนครศรีอยุธยา เจดียใ์ หญข่ ึน้ ทีว่ ดั นีเ้ ปน็ ๓. อนุสรณ์แหง่ ชยั ชนะ ๔. พ.ศ. ๒๐๙๓ พ.ศ. ๒๑๔๓ พ.ศ. ๒๑๙๓ พ.ศ. ๒๒๔๓ พ.ศ. ๒๒๙๓ พ.ศ. ๒๓๔๓ การอุปถัมภ์บำ�รุงพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ของพระมหากษัตริย์ อยุธยามีผลให้พระพุทธศาสนาได้รับการยกสถานะเป็นสถาบันทางสังคมท่ีจะ เขา้ ไปมบี ทบาทอยา่ งเดน่ ชดั ในระบบการเมอื งการปกครองของอาณาจกั รอยธุ ยา พทุ ธศาสนแ์ ละพทุ ธจักร: พระพุทธศาสนาเถรวาท กับสังคมอยธุ ยา ราชธานศี รอี ยธุ ยาคอื ศนู ยก์ ลางอ�ำ นาจรฐั ของคนไทยในลมุ่ แมน่ า้ํ เจา้ พระยา ตอนล่างซ่ึงแรกสถาปนาข้ึนโดยสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทอง เม่ือ พ.ศ. ๑๘๙๓ จากการรวมตวั ของสามนครรัฐ อนั ไดแ้ ก่ ละโว้ อโยธยา และสุพรรณภูมิ ซ่งึ เป็น ประชาคมของคนไทยทรี่ งุ่ เรอื งขนึ้ ตง้ั แตใ่ นราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ บนรากฐานของ บา้ นเมอื งเดมิ ทเี่ คยมวี ฒั นธรรมมอญทวารวดแี ละวฒั นธรรมเขมรเจรญิ รงุ่ เรอื งอยู่ นครรัฐไทยทั้งสามได้บูรณาการเอาความเจริญทางวัฒนธรรมทั้งสองเข้าเป็น วฒั นธรรมเฉพาะของประชาคมไทยในลมุ่ แมน่ า้ํ เจา้ พระยาตอนลา่ ง ซง่ึ จะกลายเปน็ กระแสวฒั นธรรมหลกั ของราชธานศี รอี ยธุ ยาตง้ั แตย่ คุ แรกสถาปนา พนื้ ฐานส�ำ คญั ของวัฒนธรรมที่คนไทยในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาตอนล่างบูรณาการขึ้นมาคือ พระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทซึ่งมีรากฐานที่ม่ันคงมาในดินแดน แถบนตี้ ง้ั แตย่ คุ ทวารวดี และศาสนาพราหมณซ์ ง่ึ มรี ากฐานอนั มน่ั คงมาในอาณาจกั ร กมั พชู าโบราณ ศาสนาหลกั ทง้ั สองศาสนาตา่ งมบี ทบาทในการกอ่ ตวั ของระบบรฐั ทม่ี ี พระมหากษตั รยิ ป์ กครอง รวมทงั้ ก�ำ หนดสถานะและบทบาทของพระมหากษตั รยิ ์ แหง่ อยธุ ยาใหท้ รงด�ำ รงอยใู่ นสถานะอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ งั้ ในฐานะเทวราชาคอื ภาคหนงึ่ ของพระเปน็ เจา้ ในมนษุ ยโลกตามคตขิ องศาสนาพราหมณ์ ฐานะของพระโพธสิ ตั ว์ 97
พระมหากษตั ริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 98
ผู้บำ�เพ็ญและส่ังสมบารมีเพ่ือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้า ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ตามคตใิ นพระพทุ ธศาสนามหายาน และฐานะของพระเจา้ จกั รพรรดริ าช พระเจา้ มหาสมมติราช และพระธรรมราชาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ซ่ึงตลอดระยะ เวลากว่า ๓ ศตวรรษที่ราชธานีศรีอยุธยาดำ�รงความเป็นศูนย์กลางอำ�นาจใน ราชอาณาจักรของคนไทยนั้น พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ต่างแสดงออกถึง พระราชสถานะท่ีได้รับการกำ�หนดโดยคติความเช่ือทางศาสนาทั้งพราหมณ์ และพุทธในการปกครองบา้ นเมือง รวมทง้ั สร้างบารมแี ละความชอบธรรมในการ ดำ�รงพระราชสถานะเป็นประมขุ สงู สดุ ในแผ่นดิน ภาพหน้าซ้าย : ในสมัยอยุธยาน้ัน แม้พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์จะได้รับ เศียรพระพุทธรูป ความศรทั ธาจนกลายเปน็ ศาสนาหลกั ของรฐั แตพ่ ระมหากษตั รยิ ไ์ ทยสมยั อยธุ ยา สมัยอยุธยาตอนต้น ทรงสรา้ งความเจรญิ และมนั่ คงใหพ้ ระพทุ ธศาสนานกิ ายนด้ี ว้ ยอบุ ายวธิ ที แ่ี ตกตา่ ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปจากพระมหากษตั รยิ ส์ ุโขทัย ในขณะทพ่ี ระมหากษัตรยิ ์สโุ ขทยั ทรงเน้นบทบาท ของพระองคใ์ นฐานะ “ปราชญร์ ธู้ รรม” และ “พระธรรมราชา” ผมู้ คี วามรแู้ ตกฉาน พระนคร ในพระไตรปิฎกธรรมและมีความมุ่งม่ันในการสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนา ลังกาวงศ์ในประชาคมชาวแคว้นสุโขทัย ตลอดจนทรงมุ่งม่ันในการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาลงั กาวงศ์ไปยังดินแดนขา้ งเคยี งเช่นล้านนาประเทศ นครรัฐแพร่ และนครรฐั นา่ น แตพ่ ระมหากษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาจะทรงใชพ้ ระพทุ ธศาสนา ลงั กาวงศเ์ ปน็ สอื่ กลางในการสรา้ งความยง่ิ ใหญท่ างอารยธรรมใหแ้ กร่ าชอาณาจกั ร เรม่ิ ตน้ แตก่ ารเสรมิ สรา้ งพระราชสถานะและบญุ บารมขี ององคพ์ ระมหากษตั รยิ เ์ อง ใหพ้ ระองคเ์ ปน็ ผดู้ �ำ รงไวซ้ ง่ึ สทิ ธธิ รรมในการปกครองบา้ นเมอื ง และมพี ระราชอ�ำ นาจ เหนือบคุ คลทุกผูท้ กุ นามในราชอาณาจกั ร นอกจากนั้นพระมหากษัตริย์อยุธยายังทรงสร้างสรรค์ความเจริญด้าน ศาสนวัตถุ คืองานพุทธศิลป์ประเภทต่างๆ อย่างยิ่งใหญ่ เพ่ือสำ�แดงความมั่งค่ัง และวัฒนาสถาวรของบ้านเมืองและราชสำ�นัก ซึ่งสะท้อนกลับไปเป็นคำ�ตอบให้ กบั การทรงไวซ้ งึ่ บญุ บารมใี นการปกครองบา้ นเมอื งของพระมหากษตั รยิ ์ พระบรม ราโชบายดังกล่าวของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาน้ันแม้จะมีความแตกต่างจาก พระบรมราโชบายของพระมหากษัตรยิ ส์ โุ ขทยั โดยเฉพาะท่เี หน็ ไดช้ ัดเจนคอื การ ไมเ่ นน้ ความส�ำ คญั ของการเผยแผศ่ าสนธรรม หรอื แมแ้ ตก่ ารอปุ ถมั ภค์ ณะสงฆใ์ ห้ ดำ�รงม่ันในพระธรรมวินัยและศีลาจารวัตร แต่มุ่งสร้างความเจริญทางวัตถุธรรม ให้บ้านเมืองมีความอลังการด้วยงานพุทธศิลป์และวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา จนไมม่ ผี ใู้ ดจะปฏเิ สธไดว้ า่ พระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยาทรงมงุ่ มนั่ ทจ่ี ะสรา้ งความเจรญิ 99
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 100
ทางอารยธรรมให้กับราชอาณาจักรบนพ้ืนฐานของศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า เถรวาทแบบลังกาวงศ์ อย่างไรก็ตาม ความเจริญทางอารยธรรมด้านวัตถุท่ี พระมหากษัตริย์อยุธยาแต่ละพระองค์ทรงสร้างสรรค์ข้ึนนั้น ก็สามารถบรรลุ ผลสัมฤทธ์ิในการทำ�ให้พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ย่ิงหยั่งรากลึกและทวีความ รุ่งโรจน์ขึ้นในประชาคมของคนไทยในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาตอนล่างระหว่าง พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ ภาพหน้าซ้าย : พระพุทธรูป ปรากฏการณท์ เ่ี หนอื ยง่ิ ไปกวา่ การสรา้ งอารยธรรมบนพนื้ ฐานของศรทั ธา ทรงเครื่องปางห้ามสมุทร ในพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ก็คือ การท่ีพระมหากษัตริย์แห่งกรุง สมัยอยุธยาตอนกลาง ศรีอยุธยาทรงทำ�ให้พระพุทธศาสนามีสถานะความเป็นสถาบันหลักในสังคม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ท่ีเขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วข้องในกระบวนการดา้ นการเมอื งการปกครอง หรือทีเ่ รียกว่า พระนคร “พุทธจักร” นัยสำ�คัญของการทำ�ให้พระพุทธศาสนาเถรวาทในราชอาณาจักร มีบทบาทเข้าไปเก่ียวข้องกับกระบวนการการเมืองการปกครองนั้น มาจากการ ที่หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นมีการแสดงหลักปรัชญาและอุดมคติ ทางการเมอื งอนั ลว้ นเป็นทม่ี าของพระราชอ�ำ นาจของพระมหากษัตรยิ ์ ตลอดจน เก้ือกูลความชอบธรรมของระบบการเมืองการปกครอง ทำ�ให้ฝ่ายการเมือง การปกครองหรือท่ีเรียกวา่ “อาณาจักร” อนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธาน ของระบบและฝา่ ยคณะสงฆค์ อื พทุ ธจกั รจ�ำ ตอ้ งมคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งหลกี เลย่ี ง ไม่ได้ คณะสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนของพุทธจักรจึงมีบทบาทและความสัมพันธ์ที่ ใกล้ชิดกับฝ่ายอาณาจักร ตั้งต้นแต่การเป็นบ่อเกิดของความชอบธรรมของ พระมหากษัตริย์ การเป็นบุคลากรสำ�คัญในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระเถรานุเถระสามารถทักท้วงพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ได้ นอกจากน้ียังจะเห็นได้ว่าฝ่ายพุทธจักรยังมีบทบาทสำ�คัญในกระบวนการ ด้านตุลาการของบ้านเมือง โดยคณะสงฆ์สามารถเข้าไปมีฐานะเป็นพยาน ในกระบวนการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี กฎหมายของฝ่ายอาณาจักรรับรอง ฐานะการเปน็ พยานท่ีเช่อื ถือได้ของพระสงฆเ์ รยี กว่า “ทิพพญาน” นอกจากหลกั ธรรมทางศาสนาจะเปน็ ทม่ี าของความชอบธรรมทางการเมอื ง แลว้ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเชน่ เรือ่ งชาดกต่างๆ ยงั ไดใ้ ช้เป็นส่ือส�ำ หรับ พระสงฆ์ใช้ถวายโอวาทแก่องค์พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และเหล่าขุนนาง ข้าราชการให้ประพฤติอยใู่ นกรอบของศีลธรรมจรรยา 101
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 102
ฝ่ายอาณาจักรเองยินยอมให้ฝ่ายพุทธจักรมีอำ�นาจสิทธิ์ขาดในการ ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ปกครองตนเองตามหลักพระธรรมวินัย ท้ังฝ่ายอาณาจักรยังถือเป็นภาระหน้าท่ี ในการอุปถัมภ์คณะสงฆซ์ ึ่งเป็นบคุ ลากรของฝ่ายพุทธจักร ดังเชน่ การท่ีพระมหา- กษัตริย์ทรงจัดระเบียบสังฆมณฑล การพระราชทานสมณศักดิ์ให้พระสงฆ์ มีความเป็นระเบียบในการบังคับบัญชาเพ่ือสร้างความเป็นเอกภาพในคณะสงฆ์ การกัลปนาอทุ ิศถวายทรพั ยากรต่างๆ ในแผน่ ดินแกค่ ณะสงฆ์ เชน่ ทด่ี นิ ข้ารบั ใช้ สำ�หรับวัดและพระสงฆ์ ปศุสัตว์ และเสบียงอาหาร นอกจากนั้นฝ่ายอาณาจักร ยังยอมรับให้พระสงฆ์เป็นชนช้ันพิเศษในสังคม พระสงฆ์ได้รับการยกเว้นการ เรยี กเกณฑแ์ รงงานในระบบไพร่ ไดร้ บั การยกเวน้ ภาษอี ากรทงั้ จากทรพั ยส์ นิ ของวดั รายได้ และผลประโยชนข์ องวัดด้วย ภาพหน้าซ้าย : ตู้พระ อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์ในเชิงการเมืองระหว่างฝ่ายพุทธจักรและ ไตรปิฎก ลายรดนํ้า อาณาจักรในสมัยอยุธยาซึ่งเอื้อประโยชน์แก่กันน้ัน เป็นความสัมพันธ์แบบ แฝงเร้น ไม่ปรากฏชัดเจน ดังเช่นการที่วัดและคณะสงฆ์มีบทบาทเป็นที่คุ้มภัย สมัยอยุธยาตอนปลาย ส�ำ หรบั บคุ คลตา่ งๆ ทห่ี นรี าชภยั ไปบวช กจ็ ะสามารถด�ำ รงชวี ติ ตอ่ ไปไดเ้ ปน็ ปรกตสิ ขุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราศจากการคกุ คามของฝา่ ยอาณาจกั ร หรอื ในขณะเดยี วกนั ก็ปรากฏหลักฐาน ว่าวัดกลายเป็นฐานปฏิบัติการทางการเมืองของพระราชวงศ์และขุนนางท่ีคิด พระนคร การท�ำ รฐั ประหารโคน่ อ�ำ นาจฝา่ ยอาณาจกั ร โดยคณะสงฆใ์ นวดั นน้ั ใหก้ ารสนบั สนนุ เป็นการแสดงนัยทจ่ี ะ “เลอื กข้าง” ทางการเมอื ง หรอื ยงิ่ ไปกว่านนั้ ยังปรากฏ เหตุการณ์ที่พระสงฆ์ผู้ดำ�รงสมณศักดิ์ชั้นสูงท่ีมีศิษย์โยมศรัทธามากจะก่อการ รฐั ประหารแลว้ ขนึ้ เปน็ พระมหากษตั รยิ เ์ อง ดงั ในกรณขี องสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๔ - พ.ศ. ๒๑๗๑) พระมหากษัตริย์พระองค์ท่ี ๒๑ ซ่ึงเดิมเป็น พระราชวงศ์ในพระนาม พระศรีศิลป์ ผู้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดระฆัง จนมีความรอบรู้ทางด้านพระไตรปิฎกมาก จนไดร้ บั พระราชทานเล่ือนสมณศกั ดิ์ เป็น พระพิมลธรรมอนันตปรีชา ปรากฏมีผู้ท่ีนิยมมาฝากตัวเป็นศิษย์โยมมาก นับเป็นพระเถระท่ีมีบุญบารมีและอิทธิพลมากในสังคมอยุธยา ในแผ่นดินของ สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ บรรดาศิษย์โยมของพระพิมลธรรมได้ซ่องสุมกันที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แล้วจึงบุกเข้าไปยังพระราชวังหลวงและจับสมเด็จ พระศรีเสาวภาคย์นำ�ไปสำ�เร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ แล้วเชิญพระพิมลธรรม อนันตปรีชาให้ลาสิกขาบท ขึ้นเสวยราชสมบัติแห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๑๕๔ 103
เทวราชผู้เปน็ พุทธกษัตรยิ ์ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงมีสภาวะแห่งความเป็นเทวราชา ผมู้ พี ระราชอ�ำ นาจและพระราชาภสิ ทิ ธล์ิ น้ พน้ เหนอื ชวี ติ ของอาณาประชาราษฎร์ และเหนอื กระบวนการกำ�หนดนโยบายและการตดั สนิ ใจทางการเมือง ตามอย่าง เทวราชาในวฒั นธรรมเขมร แตพ่ ระราชอ�ำ นาจและพระราชาภสิ ทิ ธนิ์ น้ั จ�ำ ตอ้ งไดร้ บั การถ่วงดุลด้วยธรรมะและอุดมคติบางประการในพระพุทธศาสนา หาไม่แล้ว อาจนำ�ไปสู่การท่ีพระมหากษัตริย์จะปกครองบ้านเมืองโดยลุแก่พระราชอำ�นาจ ตามอำ�เภอพระราชหฤทัย โดยไม่คำ�นึงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมจรรยา ซึ่งจะ เป็นเหตุนำ�พารัฐและบ้านเมืองไปสู่ความเส่ือมได้ ธรรมะและอุดมคติทาง พระพุทธศาสนาเป็นตัวแปรสำ�คัญที่ช่วยกำ�หนดพระราชสถานะอีกด้านหน่ึง และจ�ำ กัดพระราชอ�ำ นาจอนั ล้นพน้ ของพระมหากษตั รยิ ส์ มยั อยธุ ยา พระราชสถานะทพี่ ระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยาทรงไดร้ บั การยกยอ่ งดว้ ยอดุ มคติ ในพระพุทธศาสนานั้นมีแตกต่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์ รัชสมัยต่างๆ จะแสดงพระราชสถานะในอุดมคติในลักษณะใด พระราชสถานะ ในอุดมคตทิ ส่ี ำ�คญั คอื ๑. พระมหากษัตริย์ทรงบารมีเสมอด้วยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดุ มคตดิ งั กลา่ วนแ้ี มม้ ไิ ดป้ รากฏอยใู่ นพระพทุ ธวจนะวา่ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงยกย่องพระมหากษัตริย์ว่ามีบารมีเสมอเป็นพระพุทธเจ้า จึงพิจารณาได้ว่า น่าจะมีท่ีมาจากคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท ซึ่งเช่ือกันว่าพระพุทธเจ้ามิได้มีเพียงพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนี แตม่ จี ำ�นวนมากมายมหาศาล ท้ังทที่ รงตรัสรูใ้ นมนุษยโลกทั้งในอดีตและอนาคต ท่ีทรงตรัสรู้ในเทวโลกท่ีเรียกว่าพระเทวพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว ปลกี พระองคไ์ ปประทบั อยลู่ �ำ พงั โดยมไิ ดท้ รงสง่ั สอนเวไนยสตั วท์ เ่ี รยี กวา่ พระปจั เจก พทุ ธเจา้ ดว้ ยคตคิ วามเชอื่ ดงั กลา่ วนนี้ า่ จะเปน็ บอ่ เกดิ ของอดุ มคตทิ เ่ี หน็ วา่ การเปน็ ประมุขสูงสุดในหมมู่ นุษยโลกน้นั คือการมีบารมีอันยากยง่ิ ทบ่ี คุ คลธรรมดาสามญั จะพงึ มี เสมอื นพระพทุ ธเจา้ ทรงไวซ้ ง่ึ บารมใี นการตรสั รไู้ ดโ้ ดยพระองคเ์ อง ทงั้ ทรง ดำ�รงไว้ซึง่ ความเป็น “ธรรมราชา” ในหมู่พระสงฆ์ท้ังปวง พระมหากษัตริย์แห่ง อาณาจักรกัมพูชาพระองค์หนึ่งคือพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - พ.ศ. ๑๗๖๒) ผทู้ รงศรทั ธามน่ั ในพระพทุ ธศาสนามหายานนกิ ายวชั รยานกเ็ คยทรงแสดง พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยกบั พระพุทธศาสนา 104
พระราชสถานะของพระองค์ในฐานะเป็นพระพทุ ธเจ้าพระองค์หน่ึงในมนษุ ยโลก ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า โดยเฉพาะการสร้างรูปฉลองพระองค์ของพระองค์เองในพระอิริยาบถประทับ สมาธิราบเหมอื นพระพทุ ธเจ้า เรียกว่า “พระชยั พุทธมหานาถ” จำ�นวนมากกวา่ ร้อยองค์ เพ่ือพระราชทานไปประดิษฐานไว้ในศาสนสถานของเมืองต่างๆ ใน พระราชอาณาเขต พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาตงั้ แตแ่ รกสถาปนาราชธานี ย่อมทรงคุ้นเคยกับอุดมคติการมีสถานะเสมอด้วยพระพุทธเจ้าท่ีปรากฏอยู่ใน วฒั นธรรมเขมรสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ ซง่ึ เจรญิ อยไู่ มน่ านกอ่ นหนา้ การเกดิ ขน้ึ ของนครรฐั ของคนไทยในลมุ่ แมน่ าํ้ เจา้ พระยา ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากพระบรมนามาภไิ ธย ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - พ.ศ. ๒๐๓๑) พระมหากษตั รยิ ์ ลำ�ดบั ท่ี ๘ แหง่ กรุงศรีอยธุ ยากษตั รยิ ์ ซง่ึ ค�ำ ว่า “บรมไตรโลกนาถ” น้นั หมายถงึ “พระผู้เป็นที่พ่ึงของสามโลก” อันเป็นคำ�ท่ีพระโบราณาจารย์ใช้เรียกสมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยาอกี จ�ำ นวนหนง่ึ ทรงใชค้ �ำ วา่ “สมเดจ็ พระสรรเพชญ”์ ประกอบเป็นพระบรมนามาภิไธย ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาน้ันมี พระมหากษตั รยิ ท์ ่ที รงได้รับการออกพระนามเปน็ สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ ดงั น้ี สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๑ คอื สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช พระมหา กษัตรยิ พ์ ระองค์ที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๑๑๒ - พ.ศ. ๒๑๓๓) สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๒ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหา กษัตรยิ พ์ ระองคท์ ่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๑๓๓ - พ.ศ. ๒๑๔๘) สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๓ คือ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ พระมหากษตั ริย์ พระองค์ท่ี ๑๙ (พ.ศ. ๒๑๔๘ - พ.ศ. ๒๑๕๓) สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๔ คอื สมเดจ็ พระศรเี สาวภาคย์ พระมหากษตั รยิ ์ พระองค์ท่ี ๒๐ (พ.ศ. ๒๑๕๓ - พ.ศ. ๒๑๕๔) สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๕ คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระมหา กษัตรยิ พ์ ระองค์ที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๑๗๒ - พ.ศ. ๒๑๙๙) สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๖ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พระมหากษัตริย์ พระองค์ท่ี ๒๕ (พ.ศ. ๒๑๙๙ เพียง ๒ วัน) สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๗ คอื สมเดจ็ พระศรสี ธุ รรมราชา พระมหากษตั รยิ ์ พระองค์ที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๑๙๙ เพียง ๓ เดอื น) สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๘ คือ สมเด็จพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๒๔๖ - พ.ศ. ๒๒๕๑) 105
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 106
สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๙ คือ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวท้ายสระ พระมหา ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า กษตั รยิ ์พระองคท์ ่ี ๓๐ (พ.ศ. ๒๒๕๑ - พ.ศ. ๒๒๗๕) อนั คำ� “สมเดจ็ พระศรสี รรเพชญ” นี้ เป็นคำ�ท่ีพระอรรถกถาจารย์ผู้แต่ง คัมภีร์พระพุทธศาสนาต้ังแต่โบราณกาลใช้เรียกสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนั้นในสมัยอยุธยายังเร่ิมมีการกำ�หนดธรรมเนียมให้ข้าทูลละอองธุลี พระบาทในราชสำ�นักและราษฎรท้งั หลายเรยี กองคพ์ ระมหากษัตริย์วา่ “สมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัว” และเรียกพระราชโอรสอันประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี วา่ “สมเดจ็ หน่อพระพุทธเจา้ ” หรือ “สมเดจ็ หนอ่ พทุ ธางกรู ” ภาพหน้าซ้าย : รูปสลักไม้ ๒. พระมหากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอุบัติมาเพ่ือทรงส่ังสมบารมี บนบานประตขู อง เพื่อการได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า อุดมคตินี้ น่าจะมีที่มาจากพระพุทธวจนะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาโดย วดั พระศรีสรรเพชญ์ ยกเร่ืองชาดกต่างๆ ขึ้นสาธกหัวข้อธรรมต่างๆ ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในพระสูตร ต่างๆ ในพระไตรปิฎก มีเร่ืองชาดกหลายพระชาติท่ีพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เปน็ กษตั รยิ ์ ผไู้ ด้บำ�เพ็ญบารมตี ่างๆ อันล้วนเปน็ บารมขี นั้ สูง เพอื่ สั่งสมใหไ้ ด้เสวย พระชาติที่สูงย่ิงขึ้นไป พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ แห่งอาณาจักรกัมพูชาโบราณน้ัน นอกจากทรงแสดงพระองคเ์ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ในมนษุ ยโลกแลว้ พระราชจรยิ านวุ ตั ร ทไี่ ดร้ บั การบนั ทกึ ไวใ้ นจารกึ ยงั แสดงถงึ ลกั ษณะของ “โพธสิ ตั วจ์ รยิ า” คอื กษตั รยิ ์ ผทู้ รงบ�ำ เพญ็ เมตตาและทานบารมอี ยา่ งอกุ ฤษฎ์ โดยเฉพาะการโปรดใหส้ รา้ งทพี่ กั สำ�หรับคนเดินทางท่ีเรียกว่า “ธรรมศาลา” ตามถนนหนทางท่ีเชื่อมเมืองต่างๆ ในราชอาณาจกั รทง้ั ยงั โปรดใหส้ รา้ ง“อโรคยาศาล”หรอื สถานพยาบาลอกี หลายแหง่ คู่กนั กบั ธรรมศาลา พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาท่ีทรงแสดงพระราชสถานะความเป็น พระโพธสิ ตั วอ์ ยา่ งชัดเจนคือสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - พ.ศ. ๒๐๓๑) นอกจากพระบรมนามาภิไธยจะสะทอ้ นถงึ พระราชสถานะอนั ทรงบารมี เปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ พระองคย์ งั ทรงใหค้ วามส�ำ คญั กบั “โพธสิ ตั วจ์ รรยา” อยา่ งยงิ่ โปรดเกล้าฯ ให้หล่อรปู พระโพธิสตั วห์ ้าร้อยพระชาติ ประดษิ ฐานไว้ในวัดพระศรี สรรเพชญ์ ทงั้ ยงั ทรงยกเรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก อนั เปน็ “มหาชาต”ิ คอื พระชาติ สุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะเสด็จอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าข้ึนให้ปราชญ์ ราชบัณฑิตในราชสำ�นักร่วมกันแต่งเป็นเร่ือง “มหาชาติคำ�หลวง” สำ�หรับให้ 107
ราชบัณฑิตสวดในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นสัญลักษณ์ของการบำ�เพ็ญบารมีดุจ พระโพธิสตั ว์ของพระมหากษัตรยิ ์อยธุ ยา ๓. พระมหากษตั รยิ ค์ อื พระเจา้ จกั รพรรดริ าชอดุ มคตนิ มี้ าจากจกั กวตั ตสิ ตู ร อนั เปน็ พระสตู รท่ี ๓ แหง่ ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค ในพระสตุ ตนั ตปฎิ ก ทพ่ี ระพทุ ธเจ้า ตรัสสอนภิกษุท้ังหลายใหพ้ งึ่ ตน คอื พ่งึ ธรรม ด้วยการเจรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ ซง่ึ จะ ท�ำ ใหไ้ ดช้ อื่ วา่ เปน็ ผดู้ �ำ เนนิ อยใู่ นแดนของตนเองทส่ี บื มาแตบ่ ดิ า จะมแี ตค่ วามดงี าม เจรญิ ขนึ้ ไม่เปดิ ช่องให้แกม่ าร เชน่ เดยี วกบั พระเจ้าจกั รพรรดิทีท่ รงประพฤติตาม หลักจักรวรรดิวัตร อันสืบกันมาแต่บรรพชนของพระองค์ ย่อมทำ�ให้จักรรัตนะ บังเกิดขึ้นมาเองเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ ทง้ั หลาย พระพทุ ธศาสนาเถรวาทมคี ตวิ า่ พระเจา้ จกั รพรรดริ าชมสี ถานะความเปน็ “พระมหาสมมตริ าช” คอื หาไดม้ าจากการอวตารของเทพเจา้ มาเกดิ ในพนื้ พภิ พไม่ แต่มาจากหลักการ “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” คือการได้รับการยอมรับจาก มหาชนให้ขึน้ เปน็ กษัตรยิ ด์ ้วยเหน็ ว่าเป็นผมู้ บี ญุ บารมี พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 108
ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ภาพหน้าซ้าย : อดุ มคตกิ ารเปน็ พระจกั รพรรดริ าชในทางพระพทุ ธศาสนาเถรวาทนน้ั ยงั เปน็ วัดราชบูรณะ สร้างในสมัย เร่ืองเฉพาะตัวบุคคลที่บำ�เพ็ญบารมีในด้านคุณธรรมที่ยังความเป็นธรรมให้แก่ อยุธยาตอนต้น มีพระวิหาร มวลมนุษย์ จึงไม่ใช่เป็นเร่ืองที่บุคคลอ่ืนใดไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายหรือลูกหลานจะ หลวงอยู่ทางด้านหน้าของ สืบทอดได้ง่ายๆ ถ้าหากไม่บำ�เพ็ญบารมีมาแล้วอย่างเพียงพอจนเป็นท่ีตระหนัก และยอมรับของคนท้ังหลาย ลักษณะเช่นนี้ทำ�ให้คติการสืบสันตติวงศ์ในสังคม ปรางค์ประธาน พทุ ธเถรวาทกลายเปน็ สงิ่ ไมเ่ ปน็ จรงิ โดยเฉพาะในสมยั อยธุ ยานนั้ แมว้ า่ พระมหา- เป็นวัดที่ขุดพบของมีค่า กษัตริย์บางพระองค์จะสืบเช้ือสายมาจากพระราชบิดาท่ีได้รับการยกย่องว่าเป็น ในราชสำ�นักจำ�นวนมาก พระเจา้ จกั รพรรดริ าชกต็ าม กอ็ าจจะเสยี ราชบลั ลงั กไ์ ปใหแ้ กบ่ คุ คลทไ่ี มใ่ ชเ่ ชอ้ื สาย ตั้งแต่เครื่องราชกกุธภัณฑ์ หากบุคคลน้ันเป็นผู้ทรงคุณธรรมเป็นที่ยอมรับของมหาชนว่าเป็นผู้มีบุญบารมี และคณุ ธรรมอันเยี่ยมยอด เครื่องราชูปโภค พระมงกุฎ พระแสงดาบ ๔. พระมหากษัตริย์คือพระธรรมราชา พระราชสถานะธรรมราชานั้น โดยแท้จริงคือการสำ�แดงนัยว่าพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบารมีจักต้องทรงเป็น รวมทั้งพระพุทธรูป ผู้ประพฤติธรรม และมีพระราชภาระในการปกป้องคุ้มครองมาตรฐานทาง และพระพิมพ์ ฯลฯ ศีลธรรมจรรยาของบ้านเมือง จึงจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยานั้น ทรงมีกรอบสำ�หรับควบคุมการปฏิบัติพระองค์คือราชธรรมอันมาจากพระพุทธ ภาพหน้าขวา : วจนะในพระสูตรต่างๆ เช่น ทศพิธราชธรรม ๑๐ จักรวรรดิวัตร ๑๒ และ พระพุทธรูปทรงเครื่อง ใหญ่ในพระอุโบสถวัดหน้า 109 พระเมรุ พุทธลักษณะสมัย อยุธยาตอนปลาย
ราชสังคหวัตถุ ๔ กับท้ังทรงต้องดำ�รงพระองค์อยู่ในหิริโอตัปปะ คือความ ละอายชั่วกลวั บาป ความเปน็ พทุ ธกษตั รยิ ข์ องพระเจา้ แผน่ ดนิ อยธุ ยานนั้ ไมไ่ ดม้ คี วามหมายแต่ เพยี งการเปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ ที่ รงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาและประพฤตพิ ระองค์ ตามราชธรรมในพระพุทธศาสนา หรือแสดงพระราชสถานะตามลักษณะของ พระมหากษัตริย์ในอุดมคติของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึง การรับพระราชภาระต่างๆ ในการอุปถมั ภ์พระพทุ ธศาสนา การสรา้ งความเจริญ เปน็ ปกึ แผน่ ม่ันคงใหแ้ กอ่ งคป์ ระกอบต่างๆ ของพระพุทธศาสนา คอื ศาสนธรรม ศาสนบคุ คล ศาสนวตั ถุ และศาสนพธิ ใี นราชอาณาจกั ร ในการท�ำ ใหพ้ ระราชภาระนี้ บรรลผุ ล พระมหากษตั รยิ ส์ มยั อยธุ ยาแตล่ ะรชั กาลทรงมบี ทบาททแ่ี ตกตา่ งกนั ไป มที ง้ั ทเี่ หมอื นและแตกต่างไปจากบทบาทของพระมหากษตั รยิ ส์ โุ ขทยั และล้านนา เทวราชผูเ้ ป็นปราชญร์ ู้ธรรม ภาพหน้าขวาบน : วดั มหาธาตุ เปน็ หนึ่งในวัด ในเขตอทุ ยานประวตั ิศาสตร์ การทพ่ี ระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยามพี ระราชภาระในการสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรม พระนครศรีอยุธยา เปน็ วัด ที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ พระพุทธศาสนาแบบเน้นความเจริญของศาสนวัตถุมากกว่าความเจริญของ ใจกลางพระนคร และเปน็ ศาสนธรรมในราชอาณาจักรน้ัน ทำ�ให้บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะ ที่พ�ำ นกั ของสมเดจ็ ปราชญร์ ธู้ รรมดงั เชน่ ในรฐั สโุ ขทยั ลดนอ้ ยถอยลง ในประวตั ศิ าสตรส์ มยั อยธุ ยานน้ั พระสงั ฆราช ฝ่ายคามวาสี มพี ระมหากษตั รยิ เ์ พยี งสองพระองคเ์ ทา่ นนั้ ทท่ี รงมบี ทบาทของ “ปราชญร์ ธู้ รรม” วดั แหง่ นี้ไดร้ ับการบรู ณะ ผ้มู ีความร้แู ตกฉานในพระไตรปฎิ กธรรม ถงึ ขน้ั ทรงเป็นครผู ู้สอนพระปริยตั ิธรรม และดูแลตลอดเวลา หรือสามารถนำ�ความรู้อันแตกฉานในพระสูตรต่างๆ น้ันไปทรงพระราชนิพนธ์ จวบจนถูกท�ำ ลายลง วรรณคดีทางพระพุทธศาสนาได้ คือสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - หลงั เสียกรุงคร้ังที่ ๒ พ.ศ. ๒๐๓๑) และสมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๔ - พ.ศ. ๒๑๗๑) ภาพหน้าขวาลา่ ง : ภาพเขียนสีในพระต�ำ หนกั สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงพระราชนิพนธ์มหาชาติคำ�หลวงร่วมกับ ในวัดพุทไธศวรรย์ เป็นภาพ นกั ปราชญร์ าชบัณฑติ ณ เมอื งพระพษิ ณุโลก เมอ่ื พ.ศ. ๒๐๒๕ เร่ืองมหาชาติ หมูเ่ ทวดา นกั พรต นมสั การ คำ�หลวงคือเรื่องมหาเวสสันดรชาดกแต่ละกัณฑ์ กวีจะแต่งด้วยฉันทลักษณ์ท่ี พระพุทธบาท และเรือสำ�เภา ต่างกัน เช่น รา่ ยโบราณ ฉนั ท์ โคลง เป็นตน้ และการแตง่ เรียกวา่ แปลยกศพั ท์ ตอนพระพุทธโฆษาจารย์ กลา่ วคอื ขน้ึ ตน้ วรรคดว้ ยภาษาบาลแี ลว้ แปลเปน็ ภาษาไทยสลบั กนั ไปทกุ วรรค เมอ่ื ไปลงั กา แต่งเสร็จแล้วก็โปรดให้นำ�มาอ่านตรวจทานแก้ไขและคิดทำ�นองสวดอย่างวิจิตร พสิ ดาร มหาชาตคิ �ำ หลวงนไี้ มใ่ ชส่ �ำ หรบั พระเทศน์ แตใ่ หร้ าชบณั ฑติ กรมธรรมการ พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพุทธศาสนา 110
111 ร า ช ธ า นี ศ รี อ ยุ ธ ย า
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 112
คือ ขนุ ทนิ บรรณาการและขุนธารกำ�นลั พรอ้ มกับผชู้ ่วยอกี ๒ นายใชส้ วดถวาย ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ให้พระมหากษัตริย์ทรงสดับทุกวันพระในระหว่างเข้าพรรษา ในวิหารหลวงวัด พระศรีสรรเพชญ ์ สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมเปน็ ผมู้ คี วามแตกฉานในพระไตรปฎิ กตง้ั แตย่ งั ทรง อยใู่ นสมณเพศ พระราชพงศาวดารกล่าววา่ ภายหลังปราบดาภเิ ษกพระองค์กย็ งั เสดจ็ ลงพระทน่ี งั่ จอมทอง ในบรเิ วณวดั พระศรสี รรเพชญเพอ่ื บอกบาลแี กพ่ ระสงฆ์ สามเณรทกุ วนั มพี ระเณรในวดั ตา่ งๆ ผลดั กนั เขา้ มาเรยี นเปน็ ประจ�ำ นอกจากนนั้ ยังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระราชนิพนธ์ กาพยม์ หาชาตคิ �ำ หลวง เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๗๐ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา ด�ำ รงราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ กาพยม์ หาชาตทิ ต่ี กทอดมาถงึ ปจั จบุ นั แต่ตน้ ฉบับทีเ่ หลอื ตกทอดมาไม่ครบทกุ กัณฑ์ ภาพหน้าซ้าย : พระมงคล เทวราชผู้อปุ ถัมภ์สงั ฆมณฑล บพิตร เป็นพระพุทธรูป ขนาดใหญ่หล่อด้วย ทองสัมฤทธิ์องค์เดียวใน การท่ีพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอยุธยาทรงดำ�รงพระราชสถานะ ประเทศไทย ลงรักปิดทอง อันสูงส่งดุจเทวราชาตามอย่างวัฒนธรรมเขมรท่ีรับมาใช้ต้ังแต่แรกสถาปนา มีแกนเป็นอิฐ ส่วนผิวนอก ราชอาณาจักรน้ัน พระมหากษตั รยิ ท์ รงสร้างความชอบธรรมของพระราชสถานะ บุด้วยสำ�ริด ทำ�เป็นท่อนๆ อันยิ่งใหญ่และทรงไว้ซึ่งพระราชอำ�นาจเป็นที่ล้นพ้นน้ีด้วยบทบาทของการ มาเชื่อมกัน สูง ๑๒.๕๔ เมตร เป็นพุทธศาสนูปถัมภก เทวราชาผู้ทรงเคารพในพระศรีรัตนตรัยและประพฤติ พระองค์อยู่ในราชธรรมจะพึงได้รับการยอมรับพระราชสถานะอันสูงส่งทาง หน้าตักกว้าง ๔ วาเศษ การปกครองน้ันจากสถาบันพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะจากพระสงฆ์ซ่ึงเป็น ประดิษฐานอยู่ในวิหาร “ศาสนบุคคล” ในพระพุทธศาสนา เป็นความจำ�เป็นอย่างย่ิงท่ีพระมหากษัตริย์ ต้องทรงได้รับการยอมรับและความร่วมมือในการบริหารจัดการบ้านเมืองจาก พระมงคลบพิตร คณะสงฆ์ เพราะคณะสงฆเ์ ปน็ กลุม่ บคุ คลท่ีเปน็ ศนู ย์รวมความเคารพและศรทั ธา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของอาณาประชาราษฎร์ในราชอาณาจักร หากคณะสงฆ์น้ันยอมรับในองค์ พระมหากษตั รยิ ก์ จ็ ะสง่ ผลตามไปสกู่ ารทพี่ ระมหากษตั รยิ จ์ ะทรงไดร้ บั ความเคารพ จากราษฎรด้วย พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาจึงถือเป็นพระราชภาระสำ�คัญ ในการพระราชทานพระบรมราชูปถมั ภแ์ ก่คณะสงฆ์ในราชอาณาจักร สถาบันสงฆ์มีความสำ�คัญต่อสังคมไทย มีหน้าท่ีอบรมศิลปวิทยาการแก่ คนในสงั คม ตง้ั แตเ่ จา้ นาย ขนุ นาง ไพร่ และทาส มหี นา้ ทเี่ ปน็ คนกลางเชอื่ มระหวา่ ง 113
วดั ใหญ่ชัยมงคล เดิมชือ่ วดั ปา่ แก้ว สร้างโดย พระเจา้ อ่ทู อง 114 พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยกับพระพุทธศาสนา
พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ไพร่ และทาส สถาบันสงฆ์เป็นที่รวมของ ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ชนชน้ั ต่างๆ จดั เป็นศูนยก์ ลางของสงั คม พระสงฆม์ ีฐานะเป็นผ้นู �ำ สงั คมทางออ้ ม ในพระไอยการศกั ดนิ าพลเรอื น ก�ำ หนดศกั ดนิ าของพระสงฆต์ งั้ แต่ ๑๐๐ - ๒,๔๐๐ โดยพระมหากษตั รยิ ท์ รงมอี �ำ นาจในการแตง่ ตง้ั สมณศกั ดหิ์ รอื ถอดถอนได้ พระสงฆ์ ไมต่ อ้ งถกู เกณฑแ์ รงงาน พระสงฆย์ งั ไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากไพรท่ เี่ ปน็ เดก็ วดั ทาส เชลย นักโทษ ซึ่งพระมหากษตั รยิ ์ เจา้ นาย ขนุ นาง อทุ ศิ ถวายเพอ่ื ใหช้ ว่ ยทำ�งาน รับใช้กิจการของวัดและปรนนบิ ตั พิ ระสงฆ์ การท่ีราชอาณาจักรขยายตัวไปมากกว่าในสมัยสุโขทัยย่อมหมายถึง การเพิ่มจำ�นวนประชากรและความหลากหลายของชุมชนในรัฐตามไปด้วย ขณะเดียวกันจำ�นวนวัดและพระสงฆ์ในราชอาณาจักรก็เพ่ิมข้ึนตามการขยายตัว ของรัฐและชุมชน พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาจึงต้องทรงวางนโยบาย ที่รัดกุมในการพระราชทานอุปถัมภ์คณะสงฆ์ เริ่มต้นแต่การจัดระเบียบบริหาร สงั ฆมณฑลในราชอาณาจกั รทขี่ ยายอาณาเขตขน้ึ นน้ั เพอื่ ใหค้ ณะสงฆม์ บี รรทดั ฐาน ของวัตรปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วพระราชอาณาเขต เป็นท่ีเจริญศรัทธา แก่ราษฎรท้ังหลาย พระมหากษัตริย์ทรงจัดระเบียบบริหารคณะสงฆ์โดยมี พระบรมราชวนิ ิจฉยั เลือกสรรพระเถระผู้มอี าวโุ ส กอปรด้วยศลี าจารวตั รอนั งาม เป็นที่ทรงพระราชศรัทธา ให้ขึ้นดำ�รงสมณศักด์ิและรับภารธุระบริหารจัดการ คณะสงฆ์ในเขตพื้นที่ต่างๆ ท่ัวพระราชอาณาเขต สังฆมณฑลจึงมีความเป็น เอกภาพในฐานะฝา่ ย “พทุ ธจกั ร” ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการจรรโลงพระพทุ ธศาสนา และร่วมมือกับฝ่ายอาณาจักรอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประธานในการปกครอง บ้านเมืองและจรรโลงสงั คมได้ การพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์คณะสงฆ์ด้วยการจัดระเบียบ สังฆมณฑลในสมัยอยุธยานั้นมีพัฒนาการซับซ้อนมากกว่าสมัยสุโขทัย ด้วย เหตุท่ีพระราชอาณาเขตกว้างใหญ่มากข้ึน จำ�นวนวัดและพระสงฆ์เพ่ิมมากขึ้น กบั ทง้ั มพี ระสงฆเ์ ดนิ ทางออกไปยงั ลงั กาทวปี เพอ่ื ตดิ ตามศกึ ษาความกา้ วหนา้ ของ คณะสงฆข์ า้ งโนน้ และน�ำ พฒั นาการทเี่ กดิ ขน้ึ นน้ั กลบั มาปรบั ปรงุ ระบบระเบยี บใน หมสู่ งฆใ์ นราชอาณาจกั รอยธุ ยา ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ ในสมยั อยธุ ยามคี ณะสงฆล์ งั กาวงศ์ คณะใหม่เกิดขึ้นอีกคณะคือ “คณะป่าแก้ว” สืบเน่ืองจากเม่ือ พ.ศ. ๑๙๖๕ พระเถระชาวลา้ นนา ๗ รปู พระเถระชาวอยุธยา ๒ รปู และพระเถระชาวเขมร ๑ รูป เดินทางไปยังลังกาทวีปและได้อุปสมบทแปลงเป็นสงฆ์ในนิกายสีหลภิกขุ 115
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 116
ในอุทกสีมาแม่น้ํากัลยาณี ในสำ�นักพระวันรัตนมหาเถระ หลังการอุปสมบท ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ใหมแ่ ลว้ คณะสงฆช์ ดุ นก้ี อ็ ยศู่ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั และปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ในลงั กาทวปี นานหลายปีจึงเดินทางกลับ ขากลับได้นิมนต์พระเถระชาวลังกามาด้วย ๒ รูป เม่ือถึงพระนครศรีอยุธยาแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังดินแดนของตนเพื่อ เผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายสีหลภิกขุท่ีศึกษามาใหม่น้ัน สำ�หรับพระสงฆ์ ชาวอยุธยาได้ต้ังนิกายขึ้นมาใหม่เรียกว่า “คณะป่าแก้ว” อันน่าจะมาจากนาม “วนรัตน” ของพระเถระลังกาผู้เป็นอุปัชฌาย์ ท่ีแปลตามตัวศัพท์ว่า “ป่าแก้ว” คณะป่าแก้วยังได้รับการจัดต้ังท่ีเมืองนครศรีธรรมราชและพัทลุงทางภาคใต้ด้วย คณะสงฆป์ า่ แกว้ มวี ตั รปฏบิ ตั เิ ครง่ ครดั เปน็ ทเี่ จรญิ ศรทั ธาทงั้ จากพระมหากษตั รยิ ์ อยธุ ยาและอาณาประชาราษฎรอ์ ยา่ งมาก คณะปา่ แกว้ จงึ เปน็ คณะสงฆห์ ลกั ทพี่ ระ มหากษัตริยอ์ ยธุ ยาตัง้ แต่รัชกาลสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๒ (เจา้ สามพระยา พ.ศ. ๑๙๖๗ - พ.ศ. ๑๙๙๑) ทรงยดึ ถอื ในการจดั ระเบยี บสงั ฆมณฑลในราชอาณาจกั ร หน้าซ้ายภาพบน : พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา (พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๕๕) เปน็ วัดพระราม มีพระปรางค์ หลักฐานสำ�คัญท่ีแสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอยุธยาอาจทรงมี ขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรม บทบาทในการทำ�ให้เกิดคณะสงฆ์กลุ่มใหม่ข้ึนในราชอาณาจักรได้ หากพระองค์ สมัยอยุธยาตอนต้นที่ได้รับ มีพระราชศรัทธาในพระเถระรูปหนึ่งรูปใดเป็นพิเศษ พระราชพงศาวดารกล่าว อิทธิพลของขอมเมืองละโว้ ถึงเหตกุ ารณก์ ารแบ่งแยกคณะสงฆ์ในราชอาณาจักรอยุธยาออกเป็น ๒ คณะวา่ เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ราว พ.ศ. ๒๑๒๗ พระองค์มี (ลพบุรี) พระราชศรทั ธาในพระมหาเถรคันฉอ่ ง พระเถระชาวมอญซึ่งพระนเรศราชโอรส หน้าซ้ายภาพล่าง : ของพระองค์ (ในกาลต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า) ทรง วัดกุฏีดาว มีพระวิหาร ศรัทธาอาราธนามาแต่กรุงหงสาวดี จึงทรงสถาปนาพระมหาเถรคันฉ่องเป็น ขนาดใหญ่ ช่องหน้าต่างและ สมเด็จพระสังฆราชในราชทินนาม “สมเด็จพระอริยวงศญาณ” สถิต ณ วัด ประตูประดับลายปูนปั้นรูป พระมหาธาตุ ในคร้ังนั้นคณะสงฆ์จึงแยกเป็น ๒ คณะ คือ คณะเหนือให้ขึ้นต่อ มณฑปยอดปรางค์ สมเด็จพระอรยิ วงศญาณ วัดพระมหาธาตุ และคณะใต้ขน้ึ ตอ่ สมเด็จพระพนรัตน์ เป็นลักษณะเด่นในสมัย หรอื สมเดจ็ พระสงั ฆราชต�ำ แหนง่ เดมิ แหง่ คณะปา่ แกว้ อยา่ งไรกต็ าม มขี อ้ ถกเถยี ง อยุธยาตอนปลาย ในหมนู่ กั วชิ าการประวตั ศิ าสตรว์ า่ พระมหาเถรคนั ฉอ่ งเปน็ พระมอญ แมจ้ ะปรากฏ ว่ามศี ีลาจารวัตรและทรงคุณอนั เปน็ ท่ที รงเคารพของพระมหากษตั ริยม์ าก แต่ใน ทางปฏิบัติแล้วอาจได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชาเพียงใน ตำ�แหน่งกิตติมศักด์ิ และอาจปกครองเฉพาะคณะสงฆ์มอญเท่านั้น มิได้มีฐานะ ในการปกครองคณะสงฆไ์ ทย 117
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 118
การบริหารจัดการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ต้ังแต่ช่วงกลางสมัย ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า อยธุ ยา ตง้ั แตร่ ชั กาลสมเดจ็ พระมหาธรรมราชานนั้ สนั นษิ ฐานวา่ พระมหากษตั รยิ ์ ภาพหนา้ ซา้ ย : ทรงแบง่ คณะสงฆ์ในราชธานอี อกเปน็ ๓ คณะ คอื เจดียภ์ ูเขาทอง สันนิษฐานวา่ เดิมเป็นวดั ทีส่ ร้างขึ้นกลาง ๑. คณะคามวาสฝี า่ ยขวา มสี มเดจ็ พระพนรตั วดั ปา่ แกว้ เปน็ เจา้ คณะใหญ่ ทงุ่ นาในรัชสมัยสมเด็จ มพี ระฐานานกุ รม ๑๑ รปู มพี ระราชาคณะเจา้ อาวาสพระอารามหลวงในราชธานี พระราเมศวร เมื่อปี เป็นเจ้าคณะรอง ๑๗ รูป มีอำ�นาจควบคุมดูแลคณะสงฆ์ในหัวเมืองปักษ์ใต้ พ.ศ. ๑๙๓๐ และเมือ่ ปี ซึ่งกำ�หนดให้มีตำ�แหน่งพระครูหัวเมือง ๕๖ รูป สำ�หรับเมืองราชบุรี เพชรบุรี พ.ศ. ๒๑๑๒ หลงั จาก นครศรีธรรมราช และจนั ทบรุ ี ใหม้ ีพระสงั ฆราชาปกครองคณะสงฆ์ พระเจ้าบุเรงนองแห่งเมือง หงสาวดีไดย้ กทพั เขา้ มาตี ๒. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี วัดพระ กรงุ ศรีอยธุ ยาไดส้ ำ�เร็จ จึงได้ มหาธาตเุ ป็นเจา้ คณะใหญ่ มีพระฐานานุกรม ๑๐ รูป มพี ระราชาคณะเจา้ อาวาส สร้างพระเจดียใ์ หญแ่ บบมอญ พระอารามหลวงในราชธานีเป็นเจ้าคณะรอง ๑๗ รูป มีตำ�แหน่งพระครูข้ึนไป ขึน้ ไวเ้ ปน็ อนุสรณท์ ีข่ า้ งวัดนี้ จัดการคณะสงฆ์ในหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื ๒๔ รูป ในจ�ำ นวนน้ี เมืองลพบรุ ี พิษณโุ ลก ในรชั สมัยพระเจ้าอยูห่ ัว สโุ ขทัย สวางคบุรี และนครราชสีมามพี ระสงั ฆราชาปกครองคณะสงฆ์ บรมโกศ ไดท้ �ำ การปฏิสงั ขรณ์ องคเ์ จดีย์ใหม่ เปลีย่ นรปู จาก เจดีย์มอญเปน็ รูปเจดียย์ ่อมุม ๓. คณะอรญั วาสี มพี ระพุทธาจารย์ วัดโบสถ์ราชเดชะเป็นเจ้าคณะใหญ่ มีภารธุระในการปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา ท้ังในราชธานีและหัวเมือง ไมส้ ิบสองทีก่ ำ�ลังนิยม มพี ระราชาคณะเจา้ อาวาสวัดฝา่ ยอรญั วาสเี ป็นเจ้าคณะรอง ๗ รูป ให้มตี �ำ แหน่ง อย่ใู นขณะน้ัน ส่วนฐาน พระครูฝ่ายวิปัสสนา พระครูเจ้าคณะสามัญ และพระครูเจ้าคณะลาวขึ้นอยู่ใน ปกครองดว้ ย ยงั เป็นศิลปะมอญอยู่ นอกจากการจดั แบง่ คณะพระสงฆแ์ ลว้ ยงั ทรงก�ำ หนดระบบการพระราชทาน ต้ังสมณศักด์ิพระสงฆ์ในราชอาณาจักรด้วย ระบบสมณศักดิ์ในสมัยอยุธยามี ๓ ระดับ คือระดับพระครูและสังฆราชานั้น ยังคงใช้ตามแบบสุโขทัย แต่ทรง เพ่ิมตำ�แหน่งสมเด็จพระสังฆราช ดำ�รงตำ�แหน่งประมุขสงฆ์ท่ัวราชอาณาจักร และกำ�หนดใหม้ ีต�ำ แหน่งพระสงั ฆราชา ส�ำ หรับวา่ การคณะสงฆ์ในหวั เมอื งใหญๆ่ ท่ัวพระราชอาณาเขต ส่วนตำ�แหน่งพระครูน้ันว่าการคณะสงฆ์ในหัวเมืองเล็ก หรือเป็นเจ้าอาวาสครองพระอารามหลวงในราชธานี ต่อมาจึงมีการยกตำ�แหน่ง พระครใู หส้ ูงเสมอกับพระสังฆราชาในหัวเมืองใหญ่ ทเี่ รยี กว่า “พระราชาคณะ” สืบมาจนทุกวนั นี้ 119
นอกจากพระมหากษัตริย์จะทรงจัดระเบียบการปกครองสังฆมณฑล ในราชอาณาจักรและระบบการพระราชทานตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์แล้ว ยังพบ ว่าพระมหากษัตริย์อยุธยาบางรัชกาลมีพระบรมราโชบายในการ “คัดกรอง” กุลบุตรท่ีจะขอเข้าบวชเป็นพระภิกษุสามเณร โดยเฉพาะกลุ่มคนท่ีขอบวชโดย มิได้มีความต้ังใจจริง แต่ต้องการอาศัยการอยู่ในสมณเพศเพ่ือหลบเล่ียงภาระ ในการเข้ารับราชการตามระบบไพร่ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - พ.ศ. ๒๒๓๑) มีผู้หลบเล่ยี งการเข้ารับราชการไปบวชเรยี นกนั มาก พระมหากษัตริย์จึงทรงออกมาตรการให้มีการสอบความรู้พระภิกษุสามเณร ท่ีมาบวช มีพระสงฆ์สามเณรที่บวชโดยไม่มีความรู้พ้ืนฐานในพระพุทธศาสนา ถูกบังคับให้ลาสิกขาเป็นอันมาก ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ - พ.ศ. ๒๓๐๑) ทรงกำ�หนดเป็นประเพณีว่า บุคคลทเี่ ขา้ รบั ราชการ เปน็ ขนุ นางนน้ั การจะทรงตง้ั ใหผ้ นู้ นั้ มบี รรดาศกั ดิ์ ตอ้ งเปน็ ผทู้ ไี่ ดบ้ วชเรยี นมาแลว้ จึงจะทรงแต่งตั้ง พระบรมราชูปถัมภ์ที่พระมหากษัตริย์อยุธยาพระราชทานแก่ คณะสงฆน์ น้ั มไิ ด้เกิดขึน้ แต่เพียงกบั คณะสงฆ์ไทยเทา่ นนั้ ในบางรัชกาลยังปรากฏหลักฐานว่าทรงรับพระราชภาระในการฟื้นฟู คณะสงฆ์ในต่างแดนด้วย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทางลังกาทวีป เกิดสญู ส้นิ พุทธศาสนวงศ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๒๙๓ พระเจ้ากติ ตริ าชสงิ หะ กษัตริยล์ งั กา ในขณะนน้ั ทรงสง่ ทตู มาทลู ขอพระสงฆจ์ ากกรงุ ศรอี ยธุ ยาไปฟน้ื ฟคู ณะสงฆท์ ล่ี งั กา ทวีป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงส่งพระสมณทูตไทยจำ�นวน ๑๐ รูป มีพระอบุ าลีเถระ วดั ธรรมารามเป็นหวั หนา้ เดนิ ทางไปยังลังกาทวีปเพื่อบรรพชา อปุ สมบทกลุ บตุ รชาวลงั กาถงึ สามพนั คน ณ เมอื งแคนดี สามเณรสรณงั กรซง่ึ ไดร้ บั การอปุ สมบทในครง้ั น้ี ไดร้ บั การสถาปนาจากกษตั รยิ ล์ งั กาใหเ้ ปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช จงึ ได้เกดิ คณะสงฆ์นกิ ายสยามวงศ์ หรอื อุบาลีวงศ์ขึ้นในลงั กา เทวราชาผู้บันดาลความรุง่ เรืองของงานพุทธศลิ ป์ ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปีท่ีราชธานีศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของ สยามประเทศ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นเทวราชามีพระราชภาระสำ�คัญในการ สร้างงานพุทธศิลป์ขึ้นเป็นศาสนวัตถุในพระพุทธศาสนา การสร้างถาวรวัตถุน้ัน นอกจากจะสะท้อนพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชประสงค์ จะทรงบูชาพระศรีรัตนตรัยด้วยการสร้างความอลังการให้ราชธานีของพระองค์ เต็มไปด้วยวัดวาอารามใหญ่น้อยแล้ว ยังเป็นการอุปถัมภ์บำ�รุงคณะสงฆ์ผู้เป็น ก�ำ ลงั ในการสบื ทอดและจรรโลงพระพทุ ธศาสนา ใหพ้ ระสงฆป์ ลอดจากความกงั วล 120 พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพุทธศาสนา
ทั้งปวงในเร่ืองท่ีจำ�พรรษาและปัจจัยส่ีในการดำ�รงชีพ ซ่ึงจะทำ�ให้พระสงฆ์มี ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า เวลาให้กับการศึกษาพระธรรมวินัยและการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มกำ�ลัง นอกจากน้ันการสรา้ งวัดวาอาราม เจดยี ์วิหาร และพระพุทธปฏิมาทีเ่ กดิ ขน้ึ อยา่ ง เอิกเกริกตลอดสมัยอยุธยายังเป็นการสำ�แดงบุญบารมีและสิทธิธรรมในการ ปกครองบา้ นเมอื งของพระมหากษัตรยิ ด์ ว้ ย สมเดจ็ พระรามาธบิ ดอี ทู่ องผทู้ รงสถาปนาพระนครศรอี ยธุ ยา ทรงสถาปนา วัดส�ำ คัญในราชธานี ๒ วัดคือ วัดพุทไธศวรรย์ ซงึ่ ทรงอุทศิ พ้นื ที่ในบรเิ วณตำ�บล เวียงเหล็ก อันเป็นที่ตั้งพลับพลาก่อนสร้างพระนคร ถาวรวัตถุที่สำ�คัญในวัดคือ พระปรางค์องค์ใหญ่ซ่ึงสร้างตามแบบงานสถาปัตยกรรมปรางค์เขมร พระวิหาร ใหญ่น้อยประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักจากศิลา วัดพุทไธศวรรย์เป็นปฐม อารามในสมยั อยธุ ยา นอกจากนน้ั พระองคย์ งั ทรงสรา้ งวดั เจา้ พญาไทขน้ึ ในบรเิ วณ เมืองอโยธยาเดิม ซ่งึ ในกาลตอ่ มาเปน็ ศูนยก์ ลางของคณะป่าแกว้ คตินิยมในการสถาปนาพระมหาธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางของบ้านเมือง อันเป็นคติในพระพุทธศาสนาเถรวาทได้เข้ามาสู่ราชธานีศรีอยุธยาต้ังแต่ยุคแรก สถาปนาด้วย ดงั ปรากฏการสถาปนาพระปรางค์มหาธาตอุ งค์ใหญ่ตามอทิ ธิพล สถาปัตยกรรมเขมรโบราณ ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ (ขนุ หลวง พะงั่ว พ.ศ. ๑๙๑๓ - พ.ศ. ๑๙๓๑) ดังทกี่ ล่าวถึงในพระราชพงศาวดารว่า “ศักราช ๗๓๖ ขาลศก (พ.ศ. ๑๙๑๗) สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชเจ้า และ พระมหาเถรธรรมากลั ญาณ แรกสถาปนาพระศรรี ตั นมหาธาตุ ฝา่ ยบรุ พทศิ หน้า พระบรรพช์ น้ั สงิ ห์สงู เส้น ๓ วา” การก่อสร้างองค์พระศรีรัตนมหาธาตุข้ึนมาในรัชกาลสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ ๑ ยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ในแผ่นดินน้ัน ในรัชกาลต่อมาพระราช พงศาวดารกลา่ วถงึ เหตกุ ารณท์ ส่ี มเดจ็ พระราเมศวรทอดพระเนตรเหน็ “พระบรม สารรี กิ ธาตุเสดจ็ ปาฏิหารยิ ”์ ในราตรหี น่งึ เวลา ๑๐ ทมุ่ จงึ ทรงสร้างพระปรางค์ มหาธาตุและเสนาสนะต่างๆ เพ่ิมเติมจนสำ�เร็จบริบูรณ์เป็นพระอาราม แล้ว ขนานนามวา่ “วัดมหาธาต”ุ ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถนน้ั อทิ ธพิ ลของพทุ ธศลิ ปส์ โุ ขทยั เรมิ่ เขา้ มาแทนทอี่ ทิ ธพิ ลพทุ ธศลิ ปเ์ ขมร จากเหตผุ ลทพี่ ระองคม์ พี ระราชมารดาเปน็ เจ้าหญิงฝ่ายสุโขทัย และได้ประทับอยู่ท่ีเมืองพระพิษณุโลกมาตั้งแต่ยังทรง 121
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 122
พระเยาว์ ทรงคุ้นเคยกับงานพุทธศิลป์แบบสุโขทัยมาก จึงทำ�ให้พระองค์ได้รับ ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า เอางานพุทธศิลป์แบบสุโขทัยเข้ามาสร้างผลงานพุทธศิลป์ประเภทต่างๆ ใน ภาพหน้าซา้ ย : พระนครศรอี ยธุ ยา งานพทุ ธศลิ ปท์ ส่ี �ำ คญั ทส่ี ดุ ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ วัดพระศรีสรรเพชญ คือ การทรงอุทิศพระราชวังเดิมซ่ึงสร้างมาแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทอง สรา้ งบนพื้นทีอ่ ันเป็น ให้เป็นเขตพุทธาวาสของพระราชวังหลวง แล้วขยายพระราชวังไปสร้างติดอยู่ พระราชวงั เดิมแตค่ รัง้ ทางริมแมน่ ํา้ ลพบรุ ี พุทธาวาสท่ีทรงสร้างขนึ้ ใหมน่ ้ันเป็นวัดในเขตกำ�แพงวงั ไมม่ ี สมเด็จพระรามาธิบดีอูท่ อง พระสงฆ์จำ�พรรษา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถยังทรงหล่อรูปพระโพธิสัตว์ เมือ่ มีการขยายพระราชวงั ๕๐๐ ชาติ ประดิษฐานไวใ้ นพุทธาวาสแหง่ นดี้ ้วย ขึน้ ไปทางเหนือ ติดริมแมน่ ํ้า ลพบรุ ี สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถทรงอุทิศพื้นที่นี้ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ พระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ใหเ้ ปน็ เขตพทุ ธาวาสของ ได้ทรงสร้างพระสถูปทรงลังกาสูงเส้นเศษ ๒ องค์ ตามอิทธิพลสถาปัตยกรรม พระราชวงั หลวง เพือ่ เปน็ ที่ สถูปเจดีย์ของสุโขทัย ไว้ตรงศูนย์กลางของเขตพุทธาวาสนี้ อุทิศถวายสมเด็จ สำ�หรบั ประกอบพิธีสำ�คญั พระบรมชนกนาถและพระเชษฐา ทั้งยังได้ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูงถึง ๘ วา ตา่ งๆ วัดพระศรีสรรเพชญ ดว้ ยโลหะหนกั สหี่ มน่ื กวา่ ชง่ั แลว้ หมุ้ องคพ์ ระดว้ ยทองค�ำ ใชเ้ วลาหลอ่ และตกแตง่ จึงไมม่ ีพระสงฆ์จำ�พรรษา องคพ์ ระพทุ ธปฏมิ าถงึ ๓ ปี แลว้ ถวายพระนามวา่ พระศรีสรรเพชญ ประดิษฐาน เป็นพระประธานในพระวิหารหลวงซึ่งสร้างข้ึนใหม่ เขตพุทธาวาสท่ีสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างไว้ในพระราชวังหลวงจึงได้นามว่า วัดพระศรี สรรเพชญ คติเรื่องการบูชารอยพระพุทธบาทในพุทธศาสนาลังกาวงศ์มีอิทธิพลต่อ การสร้างงานพุทธศิลป์และการกำ�หนดศาสนประเพณีพิธีกรรมอันย่ิงใหญ่ของ พระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยา กลา่ วคอื ในรชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมมพี ระสงฆไ์ ทย คณะหนง่ึ ทกี่ ลบั จากจารกิ แสวงบญุ ไปยงั ลงั กาทวปี ถวายพระพรวา่ พระสงฆล์ งั กา ยืนยันว่ามรี อยพระพุทธบาทอยูใ่ นสยามประเทศ ตามคตทิ ่วี ่าพระพทุ ธเจ้าได้ทรง ประดษิ ฐานรอยพระบาทไว้ ณ สถานที่ ๕ แหง่ คือ ๑. เขาสุวรรณมาลกิ ๒. เขาสวุ รรณบรรพต ๓. เขาสุมนกูฏ ๔. โยนกปรุ ะ ๕. รมิ หาดแม่นํา้ นมั มทา พระสงฆ์ลังกามีคติที่เชื่อกันมาว่า เขาสุวรรณบรรพตนั้นอยู่ในสยาม ประเทศ เมอื่ ทรงทราบความดงั นน้ั พระองคจ์ งึ มรี บั สง่ั ใหก้ รมการเมอื งในหวั เมอื ง 123
พระพุทธบาท สระบุรี 124 พระมหากษตั รยิ ์ไทยกับพระพทุ ธศาสนา
ทัง้ หลายสบื หาเขาสุวรรณบรรพตว่าอยู่ ณ สถานท่แี ห่งใด กรมการเมอื งสระบุรี ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า มใี บบอกเขา้ มากราบบงั คมทลู วา่ พรานบญุ ชาวเมอื งสระบรุ อี อกไปลา่ เนอ้ื ยงิ เนอ้ื ตวั หน่งึ บาดเจบ็ เนอ้ื นัน้ วิ่งไปในซอกหนิ แหง่ หนึง่ คร้ันกลับออกมาบาดแผลหาย เปน็ อศั จรรย์ พรานบญุ จงึ ตามเขา้ ไปดู เหน็ เปน็ รอยเทา้ มนษุ ยบ์ นแผน่ หนิ ในรอยเทา้ มีนํ้าขังอยู่ พรานบุญจึงวักนํ้าในรอยเท้าน้ันมาลูบตามผิวหนังของตนซ่ึงเป็น กลากเกลื้อน ปรากฏว่าโรคทางผิวหนังได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง และนำ�เร่ืองราว มาแจง้ ให้เจ้าเมืองสระบรุ ีทราบ สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรมเสด็จพระราชด�ำ เนนิ ไป ทอดพระเนตร ทรงตรวจสอบรายละเอยี ดบนรอยฝา่ เทา้ น้ัน เห็นตอ้ งตามคัมภรี ์ มหาปุริสลักษณะ จึงทรงพระราชศรัทธาอุทิศที่ดินโดยรอบเนินเขานั้นเป็น พุทธบูชา แล้วทรงสถาปนามณฑปครอบรอยพระพุทธบาทนั้น แล้วทรงกำ�หนด เปน็ ราชประเพณที พ่ี ระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยาจะเสดจ็ โดยพยหุ ยาตราขนึ้ ไปนมสั การ พระพทุ ธบาทขนึ้ ในกลางเดือน ๓ เป็นประจำ�ทุกปมี าจนตลอดสมยั อยธุ ยา ความยิ่งใหญ่ของราชประเพณีการเสด็จพระราชดำ�เนินขึ้นไปนมัสการ พระพุทธบาทที่เมืองสระบุรีนั้นปรากฏในพระราชพงศาวดารซึ่งสะท้อนให้เห็น พลังแห่งพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์ ท้ังการเสด็จพระราชดำ�เนินไป ประกอบศาสนพิธีน้ียังเป็นเคร่ืองสำ�แดงพระบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ อยุธยาอกี ด้วย “ในศักราช ๑๐๖๗ ปีระกา สัปตศก. คร้ังถึงมาฆาศศุกลปักษ์ดิถี, จึ่ง พระบาทบรมบพติ รพระพุทธเจา้ อยู่หัว, กม็ พี ระราชดำ�รสั สั่งสมหุ นายก, ให้ตรวจ เตรยี มพลพยหุ ยาตราโดยขบวนชลมารค, สถลมารคทง้ั ปวงใหพ้ รอ้ มเสรจ็ , จะเสดจ็ พระราชดำ�เนินขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท, โดยพระราชประเพณีมาแต่ก่อน. ครน้ั ถงึ ศภุ วารมหาพชิ ยั ฤกษ์ จงึ่ สมเดจ็ พระบาทบรมนารถบรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยู่หัว, ก็ทรงเครื่องสิริราชวิภูษนาลังกาภรณ์ปวรรัตนมาลีมณีมาศ มกุฏสอด ทรงวิสุทธิสังวาลกาญจนอลงกตรจนา. ทรงวิชัยมหาราชาวุธสำ�หรับราชรณยุทธ สรรพเสร็จ, ก็เสด็จทรงเรือพระที่นั่งไกรสรมุขพิมานอลังการด้วยเศวตมยุรฉัตร, ขนัดพระอภิรุมชุมสายพรายพรรณบังรวีวรรณบังแซกสลอนสลับ, สรรพกันชิง กลงิ้ กลดจา่ มรมาศดาษดา, ดมู โหฬราดเิ รกพนั ลกึ อธกึ ดว้ ยกระบธ่ี ชุ ทวนเทยี วธวชั เป็นทิวแถวดูแพรวพราย, ปลายระยาบระยับจับพ้ืนทิฆัมพรวโรภาส, เดียนดาษ ดว้ ยเรอื พระทนี่ ง่ั , เรอื ทา้ วพระยาสามนตราชตระกลู ขนุ หลวงตน้ เชอื กปลายเชอื ก ทงั้ หลายรายเรยี ง. จบั ฉลากเปน็ คๆู่ ดเู ปน็ ขนดั โดยเปน็ ขบวนพยหุ บาตราหนา้ หลงั คบั คั่ง, เนอื งนองกกึ ก้องกาหลด้วยศพั ท์สำ�เนยี งเสียงพลอุโฆษ, แตรสังข์ดรุ ิยางค์ 125
วดั ไชยวฒั นาราม ผสมผสานสถาปตั ยกรรมแบบขอมกับสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาเข้าดว้ ยกนั เป็นลกั ษณะเด่นเฉพาะอยา่ งหนึง่ ของศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย
127 ร า ช ธ า นี ศ รี อ ยุ ธ ย า
ดนตรีปี่กลองชนะประโคมครื้นเพียงพ้ืนพสุธานฤนาท. ให้ขยายพยุหยาตราคลา เคลื่อนเลื่อนไปโดยชลมารค, แล้วหยุดประทับร้อน ณ พระราชนิเวศพระนคร หลวง, เสวยพระกระยาหารส�ำ ราญพระอารมณ,์ เสด็จเขา้ ทบ่ี รรทมในทน่ี ั้น. ครั้น ชายแลว้ สามนาฬกิ า, จงึ่ ให้ออกเรอื พระทีน่ ง่ั ไปโดยล�ำ ดบั , ตราบเท่าถึงท่ีประทับ พระต�ำ หนกั ทา่ เจา้ สนกุ . แลว้ เสดจ็ ทรงชา้ งพระทน่ี งั่ พงั สกลเกษร, พระทน่ี งั่ พงั บวร ประทุม, ชุมนุมราชพิริยโยธาพลากรพฤนท์พร้อมพรั่ง. ตั้งตามขบวนพยุหบาตร สถลมารคสรรพเสรจ็ . กเ็ สดจ็ ยกพยหุ เแสนยากรทวยหาญ, ไปโดยล�ำ ดบั สถลมารค วถิ ,ี ถงึ เขาสวุ รรณบรรพต. จง่ึ หยุดพระคชาธารทรงรำ�พระแสงขอเหนือตระพอง ชา้ งตน้ สนิ้ วารสามนัด. บูชาพระพุทธบาทตามอย่างพระราชประเพณีเสร็จ. แล้ว ก็ทรงบ่ายพระคชาธารไปเข้าที่ประทบั , ณ พระราชนเิ วศธารเกษม. แล้วเสด็จมา นมสั การพระพทุ ธบาททกุ เพลาเชา้ เยน็ , ใหเ้ ลน่ การมหรสพถวายพทุ ธสมโภชค�ำ รบ สามวัน. ครน้ั ค่ําให้จุดดอกไมเ้ พลงิ ต่างๆ, ระทาใหญ่แปดระทาบชู าพระพทุ ธบาท เป็นมโหฬารยง่ิ นกั .” วัดท่ีพระมหากษัตริย์สร้างในกรุงศรีอยุธยามีมาก แต่ละรัชกาลก็มีการ สรา้ งกนั เปน็ ประเพณี มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง ขนึ้ อยกู่ บั พระราชศรทั ธาและสถานการณ์ ทางเศรษฐกจิ การเมอื งในราชอาณาจกั ร มกี ารสรา้ งวดั ทงั้ ในราชธานแี ละหวั เมอื ง รวมทง้ั ตามทอ้ งถน่ิ ทวั่ ไป แตว่ ดั หนง่ึ ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ความหมายส�ำ คญั ทแ่ี ตกตา่ ง ไปจากวดั สำ�คญั อื่นๆ คือ วดั ไชยวฒั นาราม ทตี่ ้ังอยรู่ ิมแม่นา้ํ เจ้าพระยาทางด้าน ตะวันตกของเมืองพระนครศรีอยุธยา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่แม่นํ้า สมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง พระมหากษัตริย์พระองค์ท่ี ๒๖ ของกรุงศรีอยุธยา ทรงสถาปนาวดั น้ี ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “ในศักราช ๙๙๒ (พ.ศ. ๒๑๗๓) ปมี ะเมยี ศก...และทีบ่ ้านสมเดจ็ พระพนั ปีหลวงนนั้ พระเจา้ อยู่หวั ใหส้ ถาปนาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ มีระเบียงรอบและ มมุ พระระเบียงน้นั กระทำ�เป็นทรงเมรุทิศเมรุรายอันรจนา...” วดั ไชยวฒั นารามมคี วามยง่ิ ใหญอ่ ลงั การของงานศลิ ปกรรม คอื การรอ้ื ฟนื้ เอาประเพณีการสร้างปรางค์เป็นองค์ประธานที่เคยนิยมในสมัยอยุธยาตอนต้น กลบั มาสรา้ งอกี แตม่ กี ารวางผงั ทตี่ า่ งจากเดมิ ซงึ่ ไดน้ �ำ เอาคตกิ ารสรา้ งเขาพระสเุ มรุ ท่ีเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามวัฒนธรรมของอาณาจักรกัมพูชาโบราณท่ีสร้าง ปราสาทในสมยั พระนครมาผสมผสาน ทง้ั นเี้ นอื่ งจากในรชั กาลนอี้ าณาจกั รอยธุ ยา ไดข้ ยายแสนยานภุ าพทางการเมอื งเขา้ ไปในกรงุ กมั พชู า สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง 128 พระมหากษตั ริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา
จึงโปรดให้นำ�แผนผังและรูปแบบสถาปัตยกรรมขอมโบราณมาสร้างเป็นวัด ร า ช ธ า ีน ศ ีร อ ุย ธ ย า ไชยวัฒนาราม เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบขอมกับ สถาปตั ยกรรมแบบอยุธยา ส่งผลใหเ้ กดิ เปน็ รูปแบบทีเ่ หมาะเจาะลงตวั ขนึ้ ดงั จะ เห็นได้จากผังของวัดที่มีพระปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง มีปรางค์บริวารประจำ� มุมท้ังส่ี ล้อมด้วยระเบียงคดที่มีซุ้มประตูเป็นอาคารทรงปราสาทประจำ�อยู่ทั้ง แปดทิศ เรียกว่า “เมรุ” อันเป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมท่ีสร้างสรรค์ขึ้นใน รัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง นับเป็นลักษณะเด่นเฉพาะอย่างหน่ึง ของศลิ ปกรรมอยุธยาตอนปลาย รชั สมยั ของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศเปน็ ยคุ รงุ่ เรอื งยคุ สดุ ทา้ ยของการ สรา้ งงานพทุ ธศลิ ปใ์ นสมยั อยธุ ยา พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ มี้ พี ระราชศรทั ธาใน การบรู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั วาอารามทง้ั ในกรงุ ศรอี ยธุ ยาและหวั เมอื งตา่ งๆ เปน็ จ�ำ นวนมาก ที่สำ�คัญได้แก่ การโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมเศียรพระมงคลบพิตรที่ชำ�รุดมาต้ังแต่ รัชกาลสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวท้ายสระ รวมทงั้ แปลงเครือ่ งบนอาคารท่ปี ระดษิ ฐาน พระพทุ ธปฏมิ าองคน์ นั้ จากยอดมณฑปเปน็ หลงั คาทรงวหิ าร ทรงบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ ถาวรวัตถุตา่ งๆ ในวดั พระศรสี รรเพชญเป็นครงั้ ใหญ่ รวมไปถงึ พระอารามหลวง แหง่ ส�ำ คญั ในเขตราชธานศี รอี ยธุ ยา เชน่ วดั พระราม วดั พระมหาธาตุ วดั ราชบรู ณะ วัดมเหยงคณ์ วัดกุฎีดาว วัดหันตรา และวัดพระเจดีย์ภูเขาทอง รวมท้ังการ ปฏิสังขรณ์และเสริมแต่งพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่คือพระพุทธไสยาสน์ วัดปา่ โมก แขวงเมอื งอ่างทอง และพระนอนจกั รสหี ์ ในแขวงเมืองสิงห์บรุ ดี ้วย แม้ราชธานีศรีอยุธยาจะถึงกาลล่มสลายลงด้วยภัยสงครามใน พ.ศ. ๒๓๑๐ แต่ความยิ่งใหญ่ของงานพุทธศิลป์สมัยอยุธยายังคงโชติช่วง อยใู่ นส�ำ นกึ ของคนไทยสยามในลมุ่ แมน่ า้ํ เจา้ พระยา รปู แบบของงานพทุ ธศลิ ป์ อนั พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาทรงสรา้ งสรรคส์ งั่ สมมาตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปีไดก้ ลายเปน็ ต้นแบบใหก้ ับการสร้างสรรค์งานพทุ ธศลิ ป์ของพระมหา- กษตั รยิ ไ์ ทยในยคุ สมยั ตอ่ มา และคงเปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการอปุ ถมั ภบ์ �ำ รงุ พระพทุ ธศาสนาของพระมหากษตั ริยไ์ ทยสบื มาทุกยุคสมัย 129
สขุ สงบด่ิงเปน็ สมาธิ : เฉลมิ ชยั โฆษิตพพิ ฒั น์ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
๕บทท่ี สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี กบั การฟ้นื ฟพู ระพทุ ธศาสนาในสยามประเทศ
“ อีกประการหนึ่งควรพระเจา้ ขณั ฑสมิ าปลงราชหฤไทยเทย่ี งลงในจตปุ าริสุทธศีล บังคบั บัญชากิจการราชการแผน่ ดินตามบุรพประเพณีกระษตั ริยส์ บื มา อย่าอาสจั อาธรรม์อกี ประการหนงึ่ ควรบ�ำ รุงคนั ถธรุ ะพระไตรปิฎกขน้ึ ไว้ ใหส้ มณพราหมณาจารย์กลุ บตุ รเล่าเรียน จะได้เปนบญุ แห่งอตมสบื ไป อกี ประการหนึง่ ควรตรวจตราดพู ระพทุ ธรปู พระสถูป พระเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ พระวิหารการเปรยี ญวัดวาอารามแห่งใดช�ำ รุดปรักหักพงั เศรา้ หมองอยู่นัน้ ควรซ่อมแปลงทำ�นกุ บ�ำ รงุ ปฏสิ ังขรณ์ข้นึ ใหร้ ุ่งเรอื ง ก็จะเปนบญุ แห่งอาตมภาพสบื ไป ว่ามาท้ังนีเ้ ปนปลายควรปลงราชหฤไทยลงอยู่ในจตปุ าริสทุ ธศีลเปนอาทิ ให้กอบดว้ ยศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ เปนปลายมาดหมายอภิญญาอยใู่ นไตรสรณาคมน์ กอ็ าจจะกำ�จดั เสยี ได้ ซงึ่ ไภยอุปัทวท้งั ปวง ” (ส�ำ เนากฎเรอ่ื งต้งั พระเจา้ นครศรีธรรมราชคร้งั กรุงธนบุรหี น้า ๒๒ - ๒๓)
๑. พเเกทโมปปรรรื่อน็รงุงะดวธปพมนันเรรหกทาบะาลบรี่รุก๒้าาดี ษฯหช๘าตัรวภใือธรหังิเหิยันษพส้ แ์ลวกรรหาว้าะเคปงงร่งพกมา็นชรรพวุงะศงัร.ศเารด.ชีอิม๒วยขงั๓ธุ ึน้ ย๑า๐ ปจนฏแิสลังขว้ เรสณรว์จ็ ัดในบาพง.ยศี่เ.ร๒ือน๓อ๑ก๙วัดท้ายตลาด และวัดหงสอ์ าวาส โปรดเกลา้ ฯ ใหฟ้ ื้นฟู ขโปึ้นรเดมเือ่ กปลี ้าพฯ.ศใ.ห๒ส้ ๓ร้า๑ง๙“สมุดภาพไตรภูมิฉบบั หลวง” และจดั ระเบียบสงั ฆมณฑล ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ พ.ศ. ๒๓๒๑ อัญเชิญ พระแก้วมรกตมายังกรุงธนบุรี ประดิษฐานไว้ ณ พระอโุ บสถ วดั อรณุ ราชวราราม พ.ศ. ๒๓๑๐ พ.ศ. ๒๓๑๕ พ.ศ. ๒๓๒๐ พ.ศ. ๒๓๒๕ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสดจ็ น�ำ ทพั ไป ปราบชุมนุมเจา้ - นครศรีธรรมราช ตราพระราชกำ�หนดวา่ ดว้ ยศีลสิกขา เมือ่ ปีมะเสง็ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ เบญจศก จุลศกั ราช ๑๑๓๕ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๑๖ และทรงอยใู่ นศึก สงครามตลอด ๗ ปี แรกของการ ครองราชย์ การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ น้ัน นอกจากศูนย์กลางของโครงสร้างทางการปกครองราชอาณาจักรจะถูกทำ�ลาย ลงแลว้ พระพทุ ธศาสนาและคณะสงฆก์ ไ็ ดร้ บั ผลกระทบอยา่ งหนกั จากภยั สงคราม คร้ังนี้ พระราชพงศาวดารและเอกสารจดหมายเหตุร่วมสมัยได้บรรยายสภาพ อันน่าสลดของสถานการณ์ความเดือดร้อนในฝ่ายศาสนจักรในขณะนั้นว่า พระภกิ ษสุ งฆไ์ ดร้ บั ความยากล�ำ บากอยา่ งหนกั ทง้ั ในดา้ นความเปน็ อยู่ การแสวงหา ภัตตาหารเพื่อดำ�รงชีพ เพราะอาณาประชาราษฎร์ถูกพม่าจับไปเป็นเชลย ไม่ก็ แตกฉานซ่านเซ็นไปหลบซ่อนในท่ีต่างๆ และต่างอยู่ในสภาพส้ินเน้ือประดาตัว ไมอ่ าจดแู ลอปุ ฏั ฐากพระภกิ ษสุ งฆไ์ ด้ พระสงฆร์ ปู ใดไมอ่ าจทนอยไู่ ดก้ ต็ อ้ งลาสกิ ขา ไปหาเล้ียงชีพ ในบางพ้ืนท่ีที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามมากนักก็ปรากฏ มีพระสงฆ์ที่ประพฤตินอกพระธรรมวินัย ไม่รักษาสมณสารูป มีการตั้งตนเป็น หัวหน้ากลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่นต่างๆ อย่างเปิดเผย นอกจากน้ันวัดวาอาราม และปูชนียวัตถุไม่มีผู้ดูแลรักษา ก็ทรุดโทรมและถูกปล้นทำ�ลายเพื่อค้นหาสมบัติ มีค่า แม้แต่คัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมก็สูญหายกระจัดกระจาย นับเป็นช่วงเวลา ที่พระพุทธศาสนาเส่ือมทรุดเศร้าหมองลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสยาม ประเทศ พระมหากษัตรยิ ์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 134
ก ุร ง ธ น ุบ ีร จอมกษตั รยิ ส์ มมตวิ งศ์ ภายหลังการเสยี กรงุ ศรีอยธุ ยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี สามารถทรงดำ�เนินยุทธศาสตร์กอบกู้พระนครศรีอยุธยาคืนมาได้ภายในเวลา ไมถ่ งึ ๑๐ เดอื น แลว้ เสดจ็ ปราบดาภเิ ษกขนึ้ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ พระราชสถานะ ของพระมหากษัตริย์ไทยตามคตินิยมโบราณในสมัยอยุธยาท่ีเคยเช่ือกันว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงทิพยภาวะโดยพระชาติกำ�เนิด คือเป็นอวตารปางหน่ึง ของพระผู้เป็นเจ้าในลัทธิพราหมณ์ (ได้แก่พระอิศวรหรือพระนารายณ์) เป็น มหาเทพอย่างสมเด็จพระอมรินทราธิราช เป็นพระโพธิสัตว์มาเสวยพระชาติ หรือแมแ้ ตเ่ ป็นพระพุทธเจา้ ไดแ้ ปรเปลยี่ นไปจากเดิมอยา่ งชดั เจน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นเสด็จปราบดาภิเษกข้ึนมาจากสามัญชน ผู้รับราชการเป็นขุนนางในปลายสมัยอยธุ ยา มิไดท้ รงสืบสนั ตติวงศจ์ ากพระมหา กษัตริย์หรือราชสกุลวงศ์ใดๆ ในพระนครศรีอยุธยาหรือหัวเมืองอื่น พระองค์จึง ไม่ทรงอ้างพระราชสถานะหรือสิทธิธรรมใดๆ ตามอย่างพระมหากษัตริย์ในสมัย อยุธยา สิทธิธรรมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่ท่ีความเป็น “จอมกษัตริย์ สมมตวิ งศ”์ ซึง่ ทรงไดร้ บั อญั เชิญจากปวงข้าราชการ สมณพราหมณ์ และอาณา ประชาราษฎรข์ น้ึ เปน็ พระมหากษตั รยิ ป์ กครองสยามประเทศ และพระราชสถานะ ที่อาจทดแทน “เทวภาวะ” อนั มมี าโดยพระชาติก�ำ เนดิ เฉกเชน่ พระมหากษัตรยิ ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือความเป็นผู้ปกครองในอุดมคติทางพระพุทธศาสนา ตามทป่ี รากฏหลกั การส�ำ หรบั การเปน็ ผนู้ �ำ คอื การปกครองโดยธรรม ดงั ทปี่ รากฏ อยู่ในอัคคัญสูตร ในพระสุตตันตปิฎก ซึ่งกล่าวถึงท่ีมาของผู้นำ�ท่ีขึ้นสู่อำ�นาจ โดยมหาชนสมมติ คอื ประชาชนพร้อมใจกนั ยกขึน้ เปน็ ผ้นู ำ� 135
“กรงุ ศรีอยุธยาเปนอันตราย แต่เหตุทอ่ี ธิบดีเมือง และราษฎรมิเปนธรรม” นอกจากพระราชสถานะของสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ จี ะไดร้ บั การก�ำ หนด โดยมหาชนสมมติแล้ว หลักแห่งการดำ�รงอยู่ได้ของราชอาณาจักรในรัชสมัย ของพระองค์ยังดำ�เนินไปบนพื้นฐานของหลักการในพระพุทธศาสนาด้วย พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ไี ดช้ มี้ ลู เหตแุ หง่ ความเสอ่ื มไปของราชธานศี รอี ยธุ ยา ตามบรรทัดฐานทางศีลธรรมในพระพทุ ธศาสนาว่า “กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปนอนั ตราย แตเ่ หตทุ อ่ี ธบิ ดเี มอื งและราษฎรมเิ ปนธรรม” ดังนั้นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงได้รับการสมมติข้ึนเป็นผู้นำ�ของสังคม โดยมหาชนจะต้องเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมในการปกครองบ้านเมือง การทรงไว้ซ่ึง สถานะความเป็นผู้นำ�ของสังคมตามอุดมคติทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นความ ชอบธรรมทางการปกครองซึ่งเป็นพื้นฐานประการสำ�คัญของบรรทัดฐานทาง สงั คมในสมยั ธนบรุ ี พระเจา้ มหาสมมตริ าชผู้เป็น “ปราชญร์ ้ธู รรม” ดังได้กล่าวแล้วว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน้ันมิได้ทรงเน้นความสำ�คัญ ของพระราชสถานะพระมหากษัตริย์ตามอุดมคติอันศักดิ์สิทธิ์สูงส่งในลัทธิ พราหมณ์ หรือแม้แต่พระราชสถานะของพระเจ้าจักรพรรดิราชตามคติทาง พระพุทธศาสนา แตท่ รงแสดงพระองคเ์ ปน็ กษัตรยิ ์ผู้เป็นสามัญมนุษย์ท่ไี ด้พสิ จู น์ ความสามารถของพระองค์เองในการเป็นผู้นำ�ทางการทหารที่นำ�บ้านเมืองไทย ผ่านพ้นวิกฤตสังคมจากภัยสงครามมาได้ ทั้งยังทรงเป็นผู้นำ�คนไทยท่ีมีนโยบาย และการปฏิบัติที่ชัดเจนในการรวบรวมประชาคมคนไทยเข้าด้วยกันอีกคร้ังหน่ึง และทรงจัดตั้งศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักรคือกรุงธนบุรี จึงทรงได้รับ การสมมติขึ้นจากมหาชนให้ทรงรับราชสมบัติปกครองสยามประเทศต่อจาก พระมหากษตั รยิ ใ์ นสมยั กรงุ ศรีอยุธยา พระคุณลักษณะสำ�คัญประการหนึ่งของพระเจ้ามหาสมมติราชพระองค์ น้ีน้ัน อาจเห็นได้จากพระราชประวัติของพระองค์ว่าทรงเป็นผู้มีพระราชหฤทัย ตั้งมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการศึกษาพระธรรมคำ�สอนของ พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 136
พระพทุ ธเจา้ อยา่ งถอ่ งแท้ ทงั้ ทรงวางมาตรฐานความชอบธรรมของพระราชอ�ำ นาจ ก ุร ง ธ น ุบ ีร พระมหากษัตริย์ให้อยู่ท่ี “การประพฤติธรรม” ดังจะเห็นได้จากพระราชดำ�รัส และพระบรมราโชวาทของพระองคท์ ไ่ี ดร้ บั การบนั ทกึ ไวใ้ นพระราชพงศาวดาร วา่ พระองคท์ รงเนน้ คณุ สมบตั ขิ องพระมหากษตั รยิ แ์ ละชนชน้ั ปกครองทก่ี ารประพฤติ ธรรม อนั ตรงกนั ข้ามกบั การประพฤติ “อาสจั อาธรรม”์ พระราชพงศาวดารระบถุ งึ หลกั การประพฤตธิ รรมทพี่ ระราชทานพระบรม ราโชวาทแก่พระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่อย่างสม่ําเสมอคือ การ “ให้ต้ังอยู่ในยุติธรรม” และ “ประพฤติกุศลสุจริต” อันมีองค์ประกอบคือ การถึงพระไตรสรณคมน์และการม่ันคงในจตุปาริสุทธศีล ดังพระบรมราโชวาท ที่พระราชทานพระยาอนุราฐว่าให้ “โอบอ้อมอารี อย่ามีน้ําใจอิจฉา จงมีมุทิตาปราโมทย์ จงบำ�รุงบวรพุทธ ศาสนาอาณาประชาราษฎร์ให้ทำ�มาหากินโดยภูมิลำ�เนา อย่าให้มีโจรแลผู้ร้าย เบยี ดเบยี นแกก่ ันได้” “การประพฤติธรรม” ในปรัชญาธรรมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีความหมายกว้างครอบคลุมความประพฤติโดยเฉพาะในการปกครอง บริหารกิจการบ้านเมือง ตามบทบาทหน้าท่ีของพระมหากษัตริย์และผู้นำ� ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมทางการเมืองหรือหลักธรรมทางการปกครองอย่าง ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมสำ�หรับผู้ปกครอง จึงจะเห็นได้ว่าพระองค์มิได้ ทรงเน้นความสำ�คัญของทศพิธราชธรรมให้เฉพาะเจาะจงลงไปแต่อย่างใด เพราะการประพฤติธรรมที่ทรงสั่งสอนบรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทน้ัน รวมเอาคณุ ลักษณะส�ำ คญั ของธรรมสำ�หรบั ผูป้ กครองอยูโ่ ดยพร้อมสรรพแลว้ นอกจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงให้ความสำ�คัญกับ “การ ประพฤติธรรม” ของชนช้นั ปกครองแล้ว ยังได้พระราชทานพระบรมราโชวาท ให้ “ประชาราษฎร์ท้ังหลายให้ตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม” ดังที่ปรากฏในจดหมายตอบ สมณสาส์นกรุงศรีสัตนาคนหุตที่กล่าวถึงการทรงสั่งสอนให้ราษฎรตั้งม่ันอยู่ใน ศีลธรรมด้วย จึงกล่าวได้ว่าในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน้ัน หลักการ ประพฤติธรรมของผู้นำ�และการต้ังอยู่ในธรรมสำ�หรับราษฎรเป็นปรัชญาธรรม ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ในการปกครองบ้านเมือง ซ่ึงเป็นปัจจัยสำ�คัญท่ีนำ�ให้ สังคมเกิดความสงบสุข พระมหากษัตริย์ผู้เป็นมหาสมมติราชเช่นสมเด็จพระเจ้า 137
กรุงธนบุรีจึงไม่จำ�เป็นต้องทรงให้ความสำ�คัญกับความบริสุทธ์ิหรือสูงส่งของ พระชาติกำ�เนิดหรือสิทธิธรรมท่ีมาจากการเป็นองค์อวตารของเทพเจ้า เพราะ สทิ ธิธรรมของพระองค์เน้นอยทู่ ่กี ารเป็น “ปราชญร์ ู้ธรรม” ที่สามารถรู้และเขา้ ใจ พระสทั ธรรมในพระพทุ ธศาสนาและสงั่ สอนขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทและราษฎร ให้ตั้งมัน่ ในการประพฤติธรรมได้ พระคุณลักษณะของความเป็นปราชญ์รู้ธรรมของสมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรีอีกประการหนึ่งคือ การที่ทรงขวนขวายค้นคว้าศึกษาพระธรรม ของพระพุทธศาสนาและทรงปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาอย่าง เคร่งครัด เม่ือทรงว่างจากการพระราชสงครามจะโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนา สมเด็จพระสังฆราชหรือพระราชาคณะที่ทรงภูมิรู้เข้าไปในพระราชฐาน เพื่อ ทรงมีพระธรรมสากัจฉาด้วย โดยในบางครั้งจะพระราชทานพระราชปุจฉาให้ พระเถรานุเถระถวายวิสัชนาให้ทรงทราบเป็นเร่ืองๆ ไป ดังเช่นคร้ังหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๓๒๐ มพี ระราชปจุ ฉากบั สมเดจ็ พระสงั ฆราชถงึ เรอื่ งผลของการบ�ำ เพญ็ ทาน และอีกคราวหนึ่งในปีเดียวกัน ได้มีพระราชปุจฉากับพระราชาคณะเกี่ยวกับ พุทธลกั ษณะเพ่ือจะทรงสรา้ งพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ความเปน็ ปราชญร์ ธู้ รรมของสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ นี น้ั มไิ ดป้ รากฏเดน่ ชดั แต่เพยี งความรู้พระธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจา้ และทรงน�ำ ไปสอนบุคคลตา่ งๆ เทา่ นน้ั พระองคย์ งั ใฝพ่ ระราชหฤทยั ในการปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานเปน็ อยา่ งยง่ิ เมื่อทรงว่างจากพระราชกิจด้านอ่ืน พระองค์จะประทับนั่งเจริญภาวนา ปฏิบัติ กรรมฐานอยู่เป็นเนืองนิตย์ พระราชพงศาวดารกล่าวว่าในเขตพระราชฐานนั้น สถานทซ่ี ง่ึ ทรงเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐานเปน็ ประจ�ำ คอื พระต�ำ หนกั แพ หนา้ วดั แจง้ หรือท่ีพระอุโบสถของวัดแห่งน้ันซึ่งเป็นพระอารามในเขตพระราชฐาน ซึ่ง ณ ท่ีน้ันปรากฏหลักฐานสำ�คัญเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งการปฏิบัติธรรม ของพระองค์คือ พระแท่นสำ�หรับทรงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพระแท่น ทำ�ด้วยไมก้ ระดานแผ่นเดียว นอกจากทว่ี ดั แจง้ ในเขตพระราชฐานแลว้ พระองคย์ งั ทรงพระราชอตุ สาหะ เสด็จไปเจริญพระวิปัสสนากรรมฐานท่ีวัดบางย่ีเรือนอกหรือวัดอินทารามใน ปจั จบุ นั อยบู่ อ่ ยครงั้ ปรากฏในพระราชพงศาวดารวา่ ครงั้ หนง่ึ เคยเสดจ็ ไปประทบั เจริญพระวิปัสสนากรรมฐานติดต่อกันถึง ๕ วันเพ่ืออุทิศพระราชกุศลถวายแด่ พระราชชนนี ปัจจุบันพระแท่นท่ีบรรทมและเจริญพระกรรมฐานยังคงอยู่เป็น พระบรมราชานสุ รณ์ในวหิ ารเล็กขา้ งพระอโุ บสถ 138 พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพุทธศาสนา
ฟนื้ ฟสู งั ฆมณฑล พฒั นาองคบ์ ุคคลในพระศาสนา ก ุร ง ธ น ุบ ีร การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาไปในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ น้ัน ยังผลให้ สงั ฆมณฑลในสยามประเทศสลายตวั ลงไปดว้ ย หลงั จากทสี่ มเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ทรงกอบกู้บ้านเมืองและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ ฟ้ืนฟแู ละจัดระเบียบสงั ฆมณฑลทนั ที ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ เร่ิมจากมีพระบรมราชโองการให้ออกสืบเสาะหา พระสงฆท์ ท่ี รงคณุ ธรรมทกี่ ระจดั กระจายหนภี ยั สงครามไปอยตู่ ามทอ้ งถน่ิ ตา่ งๆ ให้ อาราธนามาประชมุ พร้อมกัน ณ วดั บางวา้ ใหญ่ (บางแหง่ เรียกวดั บางหว้าใหญ่ ปัจจุบันคือวัดระฆังโฆสิตาราม) แล้วให้พระสงฆ์เลือกพระเถระที่ทรงคุณธรรม และสูงด้วยอายุพรรษาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เพ่ือเป็นผู้ใหญ่ดูแลการ พระศาสนาในสงั ฆมณฑลตอ่ ไป ตอ่ จากนน้ั กโ็ ปรดใหแ้ ตง่ ตงั้ บรรดาพระเถรานเุ ถระ เป็นพระราชาคณะฐานานุกรมใหญ่น้อยตามสมณฐานันดรศักด์ิเหมือนดังที่เคยมี มาแต่กาลก่อน แล้วโปรดให้นิมนต์ไปประจำ�อยู่ตามอารามต่างๆ ในกรุงธนบุรี ทำ�หน้าที่บังคับบัญชาสั่งสอนว่ากล่าวท้ังในฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระแก่ พระภิกษุสามเณรท้ังปวง เพื่อให้เป็นท่ีเล่ือมใสศรัทธาแก่มหาชนและเพ่ือให้ พระพทุ ธศาสนาไดก้ ลบั บรสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ งคนื กลบั เขา้ สสู่ ภาพเดมิ ตอ่ ไป ปรากฏวา่ ใน ครงั้ นนั้ คณะสงฆไ์ ดพ้ รอ้ มใจกนั เลอื กพระอาจารยด์ ี วดั ประดู่ จากกรงุ ศรอี ยธุ ยา เปน็ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกในสมัยกรุงธนบุรี สังฆมณฑลในสมัยกรุงธนบุรี จงึ ไดพ้ น้ จากความระสา่ํ ระสายกลบั มาเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยนบั ตง้ั แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มา นอกจากการฟื้นฟูและจัดระเบียบสังฆมณฑลแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรียังเอาพระราชหฤทัยใส่ในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ซ่ึงเป็น “ศาสนบุคคล” สำ�คัญในพระพุทธศาสนา ท่ีจะมีบทบาทสืบทอดและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต่อไปด้วย ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำ�หนดว่าด้วยศีลสิกขา เม่ือปีมะเส็ง เบญจศก จลุ ศกั ราช ๑๑๓๕ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๑๖ หลังจากปราบดาภิเษกและ สถาปนากรุงธนบุรีมาได้ ๖ ปี ในเวลานั้นสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สู้จะเป็น ปกติดี บรรดาเมืองประเทศราชต่างๆ รวมทั้งเชียงใหม่และหัวเมืองภาคเหนือ ท้ังหลายยังไม่ได้กลับมารวมอยู่ในพระราชอาณาจักร ทั้งในปีนั้นพม่าได้ยกทัพ ลงมาจากเมืองเชียงใหม่มาตีเมืองพิชัย ในขณะนั้นแม้พระองค์จะได้ทรงฟื้นฟู คณะสงฆแ์ ละสงั ฆมณฑลขน้ึ แลว้ แตย่ งั ไมม่ น่ั คงเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ยงั ปรากฏมี 139
พระสงฆจ์ �ำ นวนมากประพฤตยิ อ่ หยอ่ นจากพระธรรมวนิ ยั ท�ำ ใหเ้ ปน็ ทเี่ สอ่ื มศรทั ธา ของพทุ ธศาสนกิ ชน หากปลอ่ ยทง้ิ ไวจ้ ะมผี ลเสยี หายตอ่ ความมน่ั คงของราชอาณาจกั ร และพระพุทธศาสนา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำ�หนดว่าด้วยศีลสิกขาขึ้น มาบงั คบั ใชใ้ หพ้ ระสงฆป์ ฏบิ ตั ติ นใหอ้ ยใู่ นพระธรรมวนิ ยั เพอ่ื ดงึ ศรทั ธาของสาธชุ น กลบั คืนมา และเพื่อให้พระพทุ ธศาสนายนื ยงคงอยกู่ ับสังคมไทยสืบไป อาจกลา่ วไดว้ า่ พระราชก�ำ หนดเกย่ี วกบั ศลี สกิ ขาฉบบั นเ้ี ปน็ กฎหมายเกย่ี วกบั พระสงฆ์ฉบับแรกของไทย พระราชกำ�หนดว่าด้วยศีลสิกขาจุลศักราช ๑๑๓๕ ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสะท้อนถึงความเอาพระราชหฤทัยใส่ในวัตรปฏิบัติ ของพระสงฆ์ซึง่ เป็นบุคลากรหลักทางพระพุทธศาสนาในบา้ นเมือง รวบรวมพระไตรปฎิ กธรรม อปุ ถมั ภก์ ารศกึ ษาสงฆ์ สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบุรีมีพระราชดำ�ริว่า พระพทุ ธศาสนาจะดำ�รงอยไู่ ด้ ก็เพราะพระภกิ ษสุ ามเณรเอาใจใสศ่ กึ ษาเล่าเรยี นพระไตรปฎิ ก จงึ ทรงพระกรณุ า โปรดเกล้าฯ ให้สังฆการีธรรมการทำ�สารบัญชีสำ�รวจดูว่า พระสงฆ์รูปใดบ้างท่ี ทรงภมู ริ เู้ รยี นไตรปฎิ กไดม้ าก กท็ รงพระราชศรทั ธาถวายไตรฝา้ ยเทศเนอ้ื ละเอยี ด ให้เป็นพิเศษ ทั้งพระราชทานจตุปัจจัยแก่พระภิกษุสามเณรตามความรู้ที่ได้ เลา่ เรยี นมา การเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ทำ�ใหค้ มั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กธรรม สูญหายกระจัดกระจายไป สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ ให้สืบเสาะหาต้นฉบับพระไตรปิฎกตามบรรดาหัวเมืองต่างๆ ที่ยังหลงเหลือ รอดพน้ จากการท�ำ ลายของขา้ ศกึ แลว้ น�ำ มาคดั ลอกจ�ำ ลองไวเ้ พอื่ สรา้ งเปน็ พระไตร ปฎิ กฉบบั หลวง ดงั เชน่ เมอื่ คราวทเ่ี สดจ็ น�ำ ทพั ไปปราบชมุ นมุ เจา้ นครศรธี รรมราช ในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ เมอื่ เสดจ็ กลับกโ็ ปรดใหย้ มื คัมภรี พ์ ระไตรปฎิ กจากเมอื งมาดว้ ย เม่ือเสดจ็ ยกทัพขึ้นไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางเม่อื ปี พ.ศ. ๒๓๑๓ ก็โปรดเกล้าฯ ให้เชิญคัมภีร์พระไตรปิฎกจากเมืองอุตรดิตถ์ลงมาเพ่ือใช้สอบทานกับฉบับที่ได้ มาจากเมืองนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ดี พระราชดำ�ริในการสร้างพระไตรปิฎก ฉบับหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังไม่ทันจะสำ�เร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ก็มี เหตุท่ีทำ�ใหส้ น้ิ รัชกาลเสยี กอ่ น พระมหากษตั ริย์ไทยกับพระพทุ ธศาสนา 140
ก ุร ง ธ น ุบ ีร ภาพบน : อาคารท้องพระโรงภายในพระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี 141 ภายในพระราชวงั เดิมนั้นเมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ีกย็ งั มีเจ้านาย อีกหลายพระองค์ประทับต่อมาอีกหลายสมยั ภาพลา่ ง : พระต�ำ หนกั เก๋งคู่ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ี
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 142
ปฏสิ ังขรณ์วดั ส�ำ คัญ รังสรรคง์ านพทุ ธศิลป์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้รวมเอาวัดแจ้ง (วัดอรุณ ก ุร ง ธ น ุบ ีร ราชวรารามในปัจจุบัน) ซ่ึงเป็นวัดประจำ�ชุมชนบางกอกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ภาพหน้าซ้าย : เข้าเป็นเขตพุทธาวาสในเขตพระราชฐานตามราชประเพณีท่ีสืบมาจากสมัย วัดบางยี่เรือนอก หรือ อยธุ ยา ส�ำ หรบั เปน็ ทท่ี รงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลและประกอบการพระราชพธิ ตี า่ งๆ วดั อินทาราม อารามหลวง ภายหลังเมื่อทรงได้พระแก้วมรกตมาจากนครเวียงจันทน์ก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็น ทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธปฏมิ ากรองค์น้นั ด้วย ชน้ั ตรี ชนิดวรวิหาร ประดิษฐานพระบรมรปู สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ทรงบรู ณปฏสิ งั ขรณ์วัดต่างๆ ในเขตกรุงธนบรุ หี ลายพระอาราม ท่สี �ำ คัญ และมีพระแท่นสำ�หรบั คือ วัดบางยี่เรือเหนือ (วัดราชคฤห์) วัดบางว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) ทรงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน วัดหงสอ์ าวาสวหิ าร (วัดหงส์รตั นาราม) และวัดทา้ ยตลาด (วดั โมลโี ลกยาราม) อยู่ดว้ ย วัดสำ�คัญท่ีสุดที่ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการบูรณปฏิสังขรณ์คือ วัด บางยี่เรือนอก หรือวัดอินทารามในปัจจุบัน เป็นวัดเก่าแก่สร้างต้ังแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยา วัดนี้โปรดให้ยกฐานะข้ึนเป็นพระอารามหลวงชั้นพิเศษฝ่ายสมถะ วิปัสสนา เมื่อกรมพระเทพามาตย์พระราชชนนีเสด็จสวรรคต ก็โปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระเพลิงพระบรมศพที่วัดน้ี เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๘ การบูรณปฏิสังขรณ์ วัดบางย่ีเรือนอกในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน้ันทำ�อย่างขนานใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างกุฏิกรรมฐานถึง ๑๒๐ หลัง พร้อมท้ังบูรณะพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ พระอโุ บสถ พระวหิ าร ตลอดท่ัวท้ังพระอาราม แล้วโปรดเกลา้ ฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระเข้าไปประจำ�อยู่ตามกุฏิซ่ึงทรงสร้างขึ้น ถวายนัน้ ทัง้ ไดเ้ สดจ็ ไปทรงเจริญพระวปิ ัสสนากรรมฐานอยู่เปน็ ประจ�ำ วดั ทา้ ยตลาดและวดั หงสอ์ าวาสเปน็ วดั ใกลพ้ ระราชวงั กรงุ ธนบรุ ี โปรดเกลา้ ฯ ให้ปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่พร้อมกับการปฏิสังขรณ์วัดบางย่ีเรือนอกจนแล้วเสร็จ ใน พ.ศ. ๒๓๑๙ ทรงยกฐานะเป็นพระอารามหลวงฝ่ายการศึกษาเล่าเรียน พระปรยิ ตั ธิ รรม รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน้ัน แม้พระองค์จะต้องทุ่มเทเวลา ส่วนใหญ่ให้กับกระบวนการกอบกู้สร้างบ้านแปงเมืองข้ึนมาใหม่ และยังมีการ พระราชสงครามอยู่จนตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี แต่ก็ยังปรากฏว่า มีผลงาน 143
พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 144
จิตรกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีงดงามประณีตเกิดข้ึนหลายชิ้นด้วยกัน งาน ก ุร ง ธ น ุบ ีร พทุ ธจิตรกรรมท่ีส�ำ คญั ย่งิ คอื “สมดุ ภาพไตรภมู ิฉบับหลวง” ซ่ึงโปรดเกลา้ ฯ ให้ สร้างข้ึนเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๑๙ ปรากฏในบานแพนกของสมุดภาพนี้ว่ามีรับสั่งให้ พระยาศรีธรรมธิราช จัดพระสมุดเน้ือดี ส่งให้ช่างเขียนไปเขียนสมุดภาพไตรภูมิ บรุ าณ ฉบับหลวง ท่วี ดั บางวา้ ใหญ่ เพ่ือให้สมเด็จพระสงั ฆราช (ศรี) ทรงกำ�กบั ดูแลการเขยี น บอกเรื่อง และคัดข้อความภาษาบาลปี ระกอบไวใ้ หช้ ดั เจน แฉลตบะอภอเบบั จทุ านรพกคา้พยทเรชอรนสาจงั้พุงาพนดชสาธชยเรก็จรานิตหสาะมปสบน็ิทภทขมกรคุรนธายั ้าะ็สุดนี พตัิมงพใพงัภพนตถหิตเาุทาวยสน้ ะสทนพธชามเอ้งั้าสแปไเธณทตุทซตด๔ิรอรว้ยาเะจ็่ทพภทสยคาวไรปุภนมูตัูตศือง:ิิ ในการเขียนสมุดภาพไตรภูมิเล่มนี้ ใช้ช่าง ๔ คนช่วยกันเขียน และ นับเป็นสมุดภาพไตรภูมิขนาดใหญ่เล่มหน่ึงของไทย ถ้าคล่ีออกจะมีความยาวถึง ๓๔.๗๒ เมตร เขียนภาพจิตรกรรมสีลงในสมุดทั้งสองด้าน มีภาพหลายสิบภาพ ทง่ี ดงามนา่ ดูมาก นับเปน็ จิตรกรรมที่สำ�คญั ชิ้นหนึง่ ของไทย พระราชประสงคใ์ นการจดั สรา้ งสมดุ ภาพไตรภมู บิ รุ าณน้ี กเ็ พอ่ื ใหป้ ระชาชน ทั้งหลายมีความเข้าใจเรื่องนรก - สวรรค์ได้ถูกต้องตามพระบาลี และเพื่อเป็น เครื่องเตือนใจให้ประกอบแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว ให้ถูกต้องตามคำ�ส่ังสอน ของพระพทุ ธองค์สืบต่อไปในภายหน้า และเพอื่ แสดงทต่ี ัง้ สัณฐานของกรงุ ธนบุรี วา่ อยู่ในตำ�แหนง่ ใดในจกั รวาล นอกจากการสรา้ งงานพทุ ธจติ รกรรมอยา่ งสมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั หลวงแลว้ ยังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระพุทธ- ปฏิมากรขน้ึ ในรัชกาลของพระองคด์ ว้ ย โดยได้โปรดเกล้าฯ ใหห้ ลวงวิจิตรนฤมล ปน้ั พระพทุ ธรปู ใหต้ อ้ งตามพทุ ธลกั ษณะทโี่ ปรดใหส้ อบสวน แลว้ หลอ่ พระพทุ ธรปู สมั ฤทธ์ิยืนองคห์ นึง่ และพระพทุ ธรูปปางสมาธิอกี องค์หนึง่ 145
จติ หลดุ พ้นสู่พุทธภมู ิ : เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแหง่ ชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308