Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา

✍️ พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา

Description: ✍️ พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

รั ต น โ ก สิ น ท ร์

๖บทที่ พระมหากษัตรยิ ใ์ นพระบรมราชจักรวี งศ์ กบั การอปุ ถมั ภ์พระพุทธศาสนา (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปจั จุบนั )

“ ตงั้ ใจจะอุปถมั ภก ยอยกพระพทุ ธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสมี า รักษาประชาชนและมนตรี ” (พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช)

ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชยเ์ ป็น พอภญัา.ศยเ.ใชน๒ิญพ๓พร๓ระ๐ะรพาชุทวธงั สบิหวิงรคสม์ถาาปนรมะงดคิษลฐาน พระมหากษตั ริย์แห่งราชวงศจ์ กั รี โปรดเกล้าฯ ใหส้ งั คายนาพระไตรปิฎก พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่วัดมหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฎิ์ พ.ศ. ๒๓๓๑ พ.ศ. ๒๓๒๕ พ.ศ. ๒๓๓๐ พ.ศ. ๒๓๓๕ พ.ศ. ๒๓๔๐ พ.ศ. ๒๓๔๕ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก โพมเมปารือ่รปะดรรพเาะก.ชดศลทิษ.า้ า๒ฐฯนา๓ในนห๒า้อณ๗มัญพพเรชระิญะออาพโุรบราะสมพถวุทใ่านธวพมดั รหพะารรมะาณศชรวีรีรงัตั ตัในหนปมศฏ่ าิมสาดการราม พระบรมราชจกั รวี งศ์ : พระราชวงศผ์ เู้ คารพยดึ มน่ั ในพระรัตนตรยั “ติรเั ต์นสกรฏั เ์ ฐจ สมั พํเสจมมายนํ สกราโชชจุ ติ ์ตัญ์จ สกรัฏฐ์ าภิวัฑฒ์ นํ ความนับถอื รกั ใคร่ในพระศรีรัตนตรยั ในรฐั ของคน และในวงศต์ ระกูลของตน มจี ติ ซื่อตรงในพระราชาของตน ยอ่ มเปน็ เครอ่ื งทำ�ใหร้ ัฐของตนเจรญิ ย่ิง” (คาถาภาษติ ประจ�ำ เครอ่ื งขตั ตยิ ราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มเี กยี รตคิ ณุ รงุ่ เรอื งยง่ิ มหาจักรีบรมราชวงศ)์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงรับอัญเชิญ ข้ึนปราบดาภเิ ษกเป็นพระมหากษตั รยิ ์ เมื่อวนั ท่ี ๖ เมษายน พุทธศกั ราช ๒๓๒๕ ขณะพระชนมพรรษาได้ ๔๖ พรรษาเศษ ได้ทรงสถาปนาพระราชวงศ์ข้ึนใหม่ คือ “พระบรมราชจักรีวงศ์” เป็นวงศ์กษัตริย์ลำ�ดับที่ ๘ ในประวัติศาสตร์ของ สยามประเทศ ตั้งแตส่ มัยกรุงสุโขทยั กรุงศรอี ยุธยา และกรงุ ธนบรุ ี พระมหากษตั รยิ ์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 150

เริม่ ก่อสรา้ ง วัดสทุ ัศนเทพวราราม ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร พ.ศ. ๒๓๕๐ พ.ศ. ๒๓๔๕ ทรงสถาปนา พระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเดจ็ พระสังฆราชองค์แรกของกรุงรตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๕๒ พ.ศ. ๒๓๕๐ อันท่ีมาของนามพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น สันนิษฐานว่าอาจมาจาก ราชทินนาม “จักรี” ท่ีมีอยู่ในสมัยอยุธยา สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เคยทรงรับ ราชทินนามนี้ในสมัยท่ีทรงรับราชการอยู่ในชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ภายหลัง จากเสียพระนครศรีอยุธยา เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราชในสมัยที่ทรงรับราชการในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้เคย ทรงรับพระราชทานบรรดาศักด์ิเจ้าพระยาจักรี ดังน้ันเม่ือทรงนำ�ราชทินนาม “จักร”ี มาใชเ้ ป็นนามพระราชวงศ์แลว้ กไ็ มป่ รากฏว่าได้พระราชทานราชทนิ นาม “จกั ร”ี นแ้ี ก่ขุนนางผ้ใู ดอกี เลย เครอ่ื งขตั ตยิ ราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มเี กยี รตคิ ณุ รงุ่ เรอื งยง่ิ มหาจกั รบี รมราชวงศ์ อันเป็นเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ตระกูลสูงสุดของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างและตรา พระราชบัญญัติขึ้นสำ�หรับพระราชทานพระราชวงศ์ผู้ทรงสืบเช้ือสายตรงจาก พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระปฐมบรมราชจกั รวี งศ์นนั้ มีคาถาภาษิตกำ�กับเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ซึ่งองค์ผู้ทรงสถาปนาเคร่ืองขัตติยราช อิสรยิ าภรณต์ ระกูลนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้กำ�หนดขน้ึ คาถาภาษิตบทน้ี สะทอ้ นพระคณุ ลกั ษณะส�ำ คญั ของพระมหากษตั รยิ แ์ ละพระราชวงศผ์ เู้ ปน็ สมาชกิ ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ และพระคุณลักษณะสำ�คัญประการแรกน้ัน คือความ เคารพยดึ มั่นในพระศรีรตั นตรยั หรือความเปน็ ผู้มีพระรตั นตรยั เปน็ ที่พงึ่ อันเปน็ คุณลักษณะส�ำ คัญประการแรกของ “พุทธศาสนิกชน” พระคุณลักษณะสำ�คัญของพระบรมราชวงศ์ข้อน้ีเป็นเคร่ืองยืนยันอย่าง ชดั แจง้ วา่ ราชวงศพ์ ระมหากษตั รยิ ไ์ ทยราชวงศน์ ม้ี ศี รทั ธามนั่ คงในพระพทุ ธศาสนา 151

ป้อมพระสุเมรุ ค ล อ ง บ า ง ลํ า ภู ค ล อง บ า งก อ ก น้ อ ย ปอ้ มอิสินธร ชมุ ชนมลายู ป้อมยคุ ุนธร ป้อมพระอาทิตย์ คลองโ วัดอมรินทราราม รงไ ปอ้ มมหาปราบ วังหลัง หม บ้ า น เ รื อ น ข้ า ร า ช ก า ร แ ล ะ ร า ษ ฏ ร ป้อมพระจันทร์ วงั หน้า คลองหลอด ปอ้ มมหากาฬ แ ม่ นํ้ า เ จ้ า พ ร ะ ย า วดั มหาธาตุ ศาลหลักเมือง ค ล อ ง ร อ บ ก ุร ง ทงุ่ พระเมรุ ป้อมหมูทลวง วดั ระฆงั ฯ ค ล อ ง คู เ มื อ ง เ ดิ ม วังหลวง บ้ า น เ รื อ น ข้ า ร า ช ก า ร แ ล ะ ร า ษ ฏ ร คลองมอญ ป้อมมหายกั ษ์ ชมุ ชนมอญ ปอ้ มเสือทยาน คลองนครบาล ป้อมมหาไชย วดั แจ้ง หอกลอง ชุมชนญวน พระราชวังเดิม ชมุ ชนจีน วดั โพธิ์ บ้ า น เ รื อ น ข้ า ร า ช ก า รค ล อ ง โ ่อ ง ่อ า ง และราษฏร ปอ้ มมหาฤกษ์ ป้อมวิชยั ประสิทธิ์ ป้อมผีเสื้อ วดั โมลีฯ ค ล อ ง บ า ง ก อ ก ใ ห ่ญ ป้อมจกั รเพชร แ ผ น ที่ ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ เ มื่ อ แ ร ก ส ร้ า ง พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยกบั พระพุทธศาสนา 152

และถือว่าความศรัทธาอันม่ันคงในพระพุทธศาสนามีความสำ�คัญเท่าเทียมกับ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ความยดึ มนั่ ในรฐั และวงศต์ ระกลู ตง้ั ใจมน่ั ทจี่ ะกระท�ำ ความจ�ำ เรญิ วฒั นาใหเ้ กดิ แก่ รฐั และวงศต์ ระกลู ของตน ความศรทั ธาและยดึ มนั่ อนั เทา่ เทยี มกนั ทง้ั สองประการ ในพระบรมราชวงศ์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความ สำ�คัญย่ิงถึงขนาดทรงนำ�มาใช้เป็นภาษิตเตือนมวลสมาชิกในพระบรมราชวงศ์ ให้ตระหนักในพระคุณลักษณะสำ�คัญอันเท่าเทียมกันทั้งสองประการ ให้ปรากฏ แมใ้ นดวงตราอนั เปน็ เครอ่ื งประดบั พระเกยี รตยิ ศของสมาชกิ ในพระบรมราชวงศ์ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานล่วงมาถึงสองศตวรรษน้ี พระมหากษัตริย์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงแสดงให้เห็นประจักษ์มาโดยตลอดว่า “ความนับถือ รกั ใครใ่ นพระศรรี ตั นตรยั ” ของทกุ พระองคเ์ ปน็ ความจรงิ เชงิ ประจกั ษท์ มี่ หี ลกั ฐาน เปน็ รปู ธรรม สามารถพสิ จู นไ์ ดต้ ลอดระยะเวลาอนั ยาวนานตงั้ แตร่ ชั สมยั พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในราชอาณาจักร ที่ทรงถูกบังคับโดยเงื่อนไขของกฎหมายคือกฎมนเทียรบาล ให้ต้องทรงดำ�รง พระราชสถานภาพเป็น “พุทธมามกะ” และจะไม่สามารถทรงดำ�รงสถานะ ความเป็นกษัตริย์อยู่ได้หากไม่สามารถทรงรับพระราชภาระในการอุปถัมภ์บำ�รุง พระพทุ ธศาสนาในราชอาณาจกั รได้ มปมแเโีคภอ้ หจดมเชลูแมา้าปาพย้จณัยพอ้ลปพรน็งะร๒ภฝมะาหรรา่มรคะเปชมู๓งา่ัรมะยนวาพีพุง้ฝตกอ้อิเย๒ชลีปา้นโหุทพ่งัืน้สะาบมปาซธาร๕าํ้ตมธว่วรทรนทปาระ้าทดะันนปยะาี่ลนพดยตัน้้ังรี่อว้วะนอฝออ้มุ่หีจเาูปรันยาส:กครอง่ัดงกกะามรจตพาตอกพลรกฟกบาะวดถมกไืะ้นบัน้าทุรขจ่ากา้า๑ดกูามวฯเ๑ทพพแอทจธำร๖ง้รรนั�เากตี่เ๔ศุงุฬงซรรสา่ใีถยดออหธแปะะำย่กกัามางส�ิมยปอนมนนแย้ะรกเ็รโรเรปู่บนกอ้ลดพพบน่ะคค้าาาว้านน็้นนัมกตยย็จชุรรรา่ํา้งงงั ีีู้ ความเคารพยึดมั่นในพระรัตนตรัยของพระมหากษัตริย์ในพระบรม ราชจักรีวงศ์น้ันไม่ใช่การปฏิบัติสืบกันไปตามราชประเพณี พระมหากษัตริย์ใน ราชวงศ์น้ีทุกพระองค์ล้วนทรงเคารพยึดมั่นในพระรัตนตรัยด้วยพระสติอันรู้ พระองค์ และด้วยพระปัญญาที่ทรงรู้และเข้าพระราชหฤทัยพระสัทธรรมของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นวิถีปฏิบัติของพุทธมามกะผู้มีธรรมใน พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องกำ�กับวิถีการดำ�รงชีพ พระมหากษัตริย์ในพระบรม ราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์จึงทรงมีบทบาทในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ด้วยพระชนม์ชีพและด้วยพระเกียรติยศของความเป็นกษัตริย์ ดังจะเห็นได้จาก พระราชปณธิ านขององคพ์ ระปฐมบรมราชจกั รวี งศใ์ นการจดั การปกครองบา้ นเมอื ง มีพระราชดำ�ริว่าการปกครองบ้านเมืองน้ันต้องประกอบด้วยเสาหลักท้ังสอง คือ พุทธจักรและอาณาจกั ร เป็นหลกั ใหแ้ กก่ ัน พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มีบทบาทสำ�คัญในการปกครองและ บริหารบา้ นเมอื งในสยามประเทศมาตั้งแต่ยคุ โบราณ แมพ้ ระสงฆ์จะไมม่ บี ทบาท 153

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 154

ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร และหน้าท่ีอันใดในกิจการบ้านเมือง แต่ความเป็นสถาบันและองค์บุคคลซึ่งช้ีนำ� สังคมทางจิตวิญญาณนั้นเองที่ทำ�ให้พระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์สามารถ เขา้ ไปมบี ทบาทในฝา่ ยอาณาจกั ร คอื การบรหิ ารราชการแผน่ ดินได้ น่ันหมายถึง บทบาทในการจรรโลงให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความบริสุทธ์ิเที่ยงธรรม ดังนั้นการสร้างความบริสุทธ์ิเท่ียงธรรมให้กับพระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์ จึงเป็นความจำ�เป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการวางรากฐานระเบียบบริหารราชการ แผ่นดิน เพราะหากบุคคลซึ่งเป็นกลจักรสำ�คัญของการบริหารราชการแผ่นดิน ขาดเสยี ซงึ่ คณุ ธรรม ระบบการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ จะวเิ ศษมน่ั คงปานใดกไ็ รค้ า่ ภาพหน้าซ้าย : มติ ิทงั้ ส่ีของบทบาท “พุทธศาสนูปถัมภก” วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม (วดั โพธิ)์ เดิมชือ่ “วดั โพธาราม” พระราชกรณยี กจิ ทส่ี �ำ คญั ยงิ่ ในการสรา้ งความมน่ั คงใหก้ บั พระพทุ ธศาสนา เปน็ วดั เกา่ สมัยอยุธยา และ ไดร้ ับการยกฐานะเป็น ของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ต้ังแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระอารามหลวงในสมัย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชถึงรัชกาลปัจจุบันปรากฏอยู่อย่างมากมาย กรุงธนบุรี ต่อมาพระบาท มหาศาล หากจะเพียงนำ�มาพรรณนาต่อกันตามลำ�ดับรัชกาลในท่ีนี้ ดังเช่นท่ีมี สมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ ผู้ค้นคว้าและเขียนไว้ในที่ต่างๆ มากมายต่างยุคต่างสมัย ก็จักไม่เกิดประโยชน์ จุฬาโลกฯ โปรดใหส้ ถาปนา และคุณค่าอันใดให้ผู้อ่านหนังสือเล่มน้ีได้เข้าใจในบทบาทของพระมหากษัตริย์ วดั ใหมใ่ น พ.ศ. ๒๓๓๑ ในพระบรมราชจักรีวงศ์กับการอุปถัมภ์บำ�รุงพระพุทธศาสนาอย่างมีมิติทาง ภาพบน : ทพ่ี ระระเบยี ง ประวัติศาสตร์ ที่บทบาทและการกระทำ�ของผู้นำ�ในสังคมหนึ่งๆ น้ันต้อง รอบพระอโุ บสถทง้ั ชน้ั นอก มีการนำ�เสนอไว้อย่างเป็นเหตุและผลแก่กัน ดังนั้นจึงจะวิเคราะห์บทบาท และชั้นใน ประดษิ ฐาน “พทุ ธศาสนปู ถมั ภก” ของพระมหากษตั รยิ ใ์ นพระบรมราชจกั รวี งศใ์ นลกั ษณะ พระพทุ ธรปู ทร่ี ชั กาลท่ี ๑ ต่างมติ ิ แตม่ ีความเปน็ เหตุเปน็ ผลแกก่ นั โปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ ญั เชญิ มาจากหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื การพิจารณาบทบาทความเป็นพุทธศาสนูปถัมภกของพระมหากษัตริย์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์นั้นไม่พึงกระทำ�โดยการอธิบายเป็นภาพรวม คือการนำ� 155

ข้อมูลมาบรรยายและพรรณนาต่อกันไปให้มากท่ีสุด เพราะการบรรยายเช่นน้ี ภาพหนา้ ขวา : ท�ำ ใหผ้ รู้ บั สารไมส่ ามารถประจกั ษใ์ นบทบาทและการกระท�ำ ทค่ี ดั สรรมาบรรยาย พระพทุ ธมหามณี ได้อย่างเป็นเหตุและผลแก่กัน ในทางตรงข้ามจะได้แยกบทบาทของความเป็น รตั นปฏิมากร พุทธศาสนปู ถัมภกนอี้ อกเปน็ ๔ มติ ิ ซึ่งมคี วามสอดคลอ้ งกบั องค์ประกอบความ (พระแก้วมรกต) เป็นพุทธศาสนา อนั ไดแ้ ก่ ศาสนธรรม ศาสนบคุ คล ศาสนวตั ถุ และศาสนพธิ ี พระพุทธรปู ปางสมาธิ หากขาดเสียซ่ึงองค์ประกอบข้อใดข้อหน่ึงไปแล้วพระพุทธศาสนาก็ไม่อาจตั้งม่ัน ทำ�ดว้ ยมณีสีเขียว และจำ�เริญรงุ่ เรอื งอยไู่ ด้ เนื้อเดียวกนั ทัง้ องค์ ประดิษฐานในบษุ บก ทองคำ�ภายในพระอุโบสถ การแยกบทบาทของพุทธศาสนูปถัมภกของพระมหากษัตริย์ในพระบรม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ราชจกั รวี งศ์ออกเปน็ มติ ิของการกระทำ�ในการ “บำ�รงุ ศาสนธรรม อุปถมั ภ์ศาสน บุคคล บันดาลดลศาสนวตั ถุ ท�ำ นศุ าสนพธิ ี” น้ันจะท�ำ ใหผ้ อู้ ่านประจักษ์ชัดในมติ ิ พระบาทสมเด็จ ท่ีเป็นเหตุเป็นผลแก่กันของบทบาทและการกระทำ�ของ “พุทธศาสนูปถัมภก” พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก และช่วยใหข้ อ้ มลู เกีย่ วกบั พระราชกรณียกจิ ในการอุปถัมภบ์ ำ�รุงพระพุทธศาสนา มหาราช มีพระราชศรทั ธา ของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีมีความเป็นระบบและได้รับการอธิบาย สร้างเครื่องทรงสำ�หรบั อยา่ งสอดคลอ้ งเปน็ เหตเุ ป็นผลแกก่ ัน ฤดูร้อนและฤดฝู นถวาย เปน็ พุทธบูชา สำ�หรับ มิติที่ ๑ บำ�รงุ ศาสนธรรม เครื่องทรงฤดูหนาว พระบาทสมเด็จพระนัง่ ศาสนธรรมอันเป็นส่วนปรัชญาและคำ�สอนเป็นองค์ประกอบส่วนสำ�คัญ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสร้าง ท่ีสุดของศาสนาทั้งหลาย หากศาสนธรรมในศาสนาใดๆ สูญส้ินหรือวิปลาส ถวายในภายหลงั คลาดเคลื่อนไปแล้ว ความเป็นศาสนาน้ันก็ไม่อาจดำ�รงอยู่ได้ องค์อุปถัมภก ของศาสนาท้ังหลายในประวัติศาสตร์โลกจึงต้องให้ความสำ�คัญแก่การ “บำ�รุง ศาสนธรรม” อนั หมายถงึ การท�ำ ใหศ้ าสนธรรมในศาสนานนั้ ด�ำ รงคงความบรสิ ทุ ธ์ิ เท่ียงธรรมดังในกาลสมัยของศาสดาแห่งศาสนาน้ันยังดำ�รงพระชนม์อยู่ สำ�หรับ พระพุทธศาสนานั้น จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรต่างๆ ใน ทวีปเอเชียท่ีรับเอาพระพุทธศาสนา ไม่ว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานหรือ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไปเป็นความเชื่อหลักของบ้านเมืองมาต้ังแต่สมัย โบราณนั้น ล้วนมกี ลวิธใี นการบ�ำ รุงศาสนธรรมอยดู่ ้วยกนั ทั้งส้ิน การบำ�รุงศาสนธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณมานั้น พระมหากษัตริย์ยังต้องทรงแยกบทบาทน้ีออกเป็นอีก ๒ มิติย่อย คือ มิติของ ความเป็นปราชญ์รู้ธรรมและประพฤติธรรม และมิติของความเป็นผู้บำ�รุงและ 156 พระมหากษตั ริย์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา

157 รั ต น โ ก สิ น ท ร์

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 158

เผยแผ่ธรรม และมิติย่อยของการบำ�รุงศาสนธรรมน้ีต้องดำ�เนินคู่กันไปเสมอ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร จะขาดเสียจากกันมิได้ การท่ีพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขสูงสุดของแผ่นดิน จะสามารถน้อมนำ�จิตใจของผู้คนในแผ่นดินให้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา เกิดความเคารพในพระศรีรัตนตรัย จนถึงน้อมนำ�เอาพระพุทธวจนะและพุทธ ศาสนธรรมมาเป็นหลักกำ�กับจิตใจนั้น พระองค์เองต้องทรงมีความเคารพใน พระรัตนตรัยก่อนเป็นเบ้ืองต้น ท้ังต้องทรงพร้อมด้วยการศึกษาพระพุทธวจนะ และพระสัทธรรม ถึงข้ันท่ีทรงเข้าพระราชหฤทัยและทรงน้อมนำ�มาประพฤติ พระองค์เป็นแบบอย่างแก่พระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และอาณา ประชาราษฎรไ์ ดด้ งั ทเ่ี ปน็ ค�ำ เรยี กขานกนั มาตง้ั แตส่ มยั สโุ ขทยั วา่ “ปราชญร์ ธู้ รรม” ความเป็นผู้รู้ธรรมของพระมหากษัตริย์จักเป็นหนทางเดียวที่พระองค์สามารถ จะทรงทราบว่าศาสนธรรมในราชอาณาจักรของพระองค์ยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ หรือเกิดความวิปลาสคลาดเคลอ่ื นอย่างไร รวมถงึ จะทรงทราบแนวทางการบ�ำ รงุ และเผยแผศ่ าสนธรรมแกม่ หาชนไดอ้ ย่างเหมาะสมดว้ ย ภาพหน้าซ้าย : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมด้วยสมเด็จ ภาพจิตรกรรม พระอนชุ าธิราช กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาท มพี ระราชศรทั ธาปรารถนา งานบุญกระจาดใหญ่ จะทำ�นบุ �ำ รงุ พระพทุ ธศาสนาให้เจริญมัน่ คงสืบไป ได้ทรงทราบจากพระสงฆอ์ นั มี บูชากัณฑ์เทศน์มหาชาติ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเปน็ ประธานวา่ เวลานน้ั พระไตรปฎิ กอนั เปน็ คมั ภรี ท์ รี่ วบรวม วาดตามกวีนิพนธ์พรรณนา พระพุทธวจนะและศาสนธรรมในพระพุทธศาสนามีข้อวิปลาสคลาดเคล่ือน เหตุการณ์ในพระราช มาก แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทำ�นุบำ�รุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกำ�ลังพอ พงศาวดารสมัยรัชกาลที่ ๑ จะทำ�ได้ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วย พระสงฆ์ทั้งปวงให้รับภาระในการประชุมกันทำ�สังคายนาพระไตรปิฎกธรรม ดงั มีพระราชด�ำ รัสว่า “ครงั้ นขี้ ออาราธนาพระผเู้ ปน็ เจา้ ทง้ั ปวงจงมอี ตุ สาหะในฝา่ ยพระพทุ ธจกั ร ใหพ้ ระไตรปิฎกบรบิ ูรณ์ขน้ึ ใหจ้ งได้ ฝา่ ยข้างอาณาจกั รทจ่ี ะเป็นศาสนูปถัมภกน้นั เป็นพนกั งานโยม โยมจะสู้เสียสละชวี ิตบชู าพระรตั นตรัย สดุ แต่จะให้พระปรยิ ตั ิ บริบูรณ์เปน็ ขอ้ มลู ท่ีจะตงั้ พระพุทธศาสนาจงได”้ (พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รัชกาลที่ ๑) การปฏบิ ัตภิ ารกจิ คร้ังส�ำ คญั น้ีมพี ระสงฆ์ ๒๑๘ รปู กับราชบณั ฑติ าจารย์ อุบาสก ๓๒ คน ช่วยกันชำ�ระพระไตรปิฎก สังคายนาพระธรรมวินัย พร้อมทั้ง คัมภีร์สัททาวิเสส (คัมภีร์ไวยากรณ์บาลี) แล้วจารึกลงในใบลานด้วยอักษรขอม 159

พพพตรวทปอาดัิศง้ัรรรรรกแองาะะะรดฐงตเปอสรจคาำณุย่งนุร�า้นเ์คะงัทแนรลกดธ์ไตราินูกดส็าำช�ท่กย้เในริ้นรวนำางาด�ริ่มรไพกรเชัว้าดธสปารยรกอ้เถรฏะพาฝานายมิสเลียีพปจี้ไศงั ขงดร(้านขเขวอะฟ้ทปารดัดุหงรน็พา้ณแพดตังกสรจิน์ปรถระมง้ะวั้นม์พเ)อาดหหทุ งงจ็ุ่นลคธว์ ง เพมมวมัดีากรือมดะางเ้วรหนจยสาดคง่ธ๖ียรสาศสมตหรถณุ นวีธา่อัดทรนรสูตเมเรทุไมปียรัศือ่ ากลนเชงัวด์ กแ่า๒ินลา“ทเะหโพาวพนงือ่ดั ธก่อไสิลลปทรงัับนะี่เกไหมเาดกลัส”้มศือกนีกอาทำา�รีกไี่กรปพรน๓ปรงุ ำ�ะเลหหททูกนนพนั ท่อ่อฯตี่กพปธลลราันะูกตตศไแุ ันวรลท้ีมะ๑ี่หาหโนพอ่ ธิ ฟืน้ ฟพู ระราชพิธีวิสาขบชู า ที่เคยมีแตค่ รั้งสุโขทยั ขึ้นใหม่ และถือเป็นประเพณีสืบมาจนทุกวนั นี้ พ.ศ. ๒๓๕๒ พ.ศ. ๒๓๕๗ พ.ศ. ๒๓๖๒ พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วเสร็จใน ๕ เดือน โดยใช้วัดนิพพานารามหรือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ ในปัจจุบันเป็นสถานท่ีกระทำ�สังคายนา พระราชศรัทธาในการทำ�สังคายนา พระไตรปฎิ กของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชนนั้ ยง่ิ ใหญน่ กั ทรงสละพระราชทรัพย์จ้างช่างจารจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน และให้แปล ฉบับอักษรลาว อักษรมอญ เป็นอักษรขอม สร้างใส่ตู้ไว้ในหอมณเฑียรธรรม และสรา้ งพระไตรปิฎกถวายพระสงฆไ์ วท้ กุ พระอารามหลวง นอกจากน้ัน ยงั ทรง ใหช้ า่ งปดิ ทองแทง่ ทบั ทง้ั ใบปกหนา้ หลงั และกรอบทง้ั สน้ิ เรยี กวา่ ฉบบั ทอง หอ่ ดว้ ย ผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมแพรเบญจพรรณ มีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึก และฉลากทอเปน็ ตวั อกั ษรบอก ชอ่ื พระคมั ภรี ท์ กุ คมั ภรี ์ สถานทส่ี �ำ หรบั ประดษิ ฐาน พระไตรปิฎกท่ีทรงสังคายนาใหม่นั้นก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พระมหามณฑปในวัดพระศรีรัตนศาสดารามข้ึนด้วยผลงานทางสถาปัตยกรรม และประณีตศิลป์อย่างเยี่ยมยอด พร้อมทั้งตู้พระไตรปิฎกทรงมณฑปประดับมุก อยา่ งงามวจิ ติ ร ทง้ั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ดั ลอกพระไตรปฎิ กทสี่ งั คายนา แล้วสร้างเป็นพระไตรปฎิ กฉบบั หลวง ๓ ฉบบั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสบื ตอ่ พระราชปณธิ านในการ บำ�รุงพุทธศาสนธรรมต่อจากสมเด็จพระอัยกาธิราช โดยพระราชอัธยาศัยแล้ว โดยสว่ นพระองค์แล้ว ทรงมีความเปน็ “ปราชญ์รู้ธรรม” ในพระพุทธศาสนามา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระราชศรัทธาแก่กล้าในบวรพุทธศาสนามาต้ังแต่ยังมิได้ ทรงรับราชสมบัติน้ัน เป็นเหตุให้ทรงมีโอกาสสร้างสมบารมีทั้งทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย และธัมมัสวนมัย ได้จนตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระราชจริยวัตร ท่ีทรงปฏิบัติเป็นประจำ�ทุกวันคือการบำ�เพ็ญ “บุญกิริยา” ในพระพุทธศาสนา อนั ไดแ้ กก่ ารทรงบาตรและเลยี้ งพระ ถงึ คราวเทศกาลงานบญุ ส�ำ คญั กท็ รงบ�ำ เพญ็ พระราชกุศลตามโอกาสน้นั ๆ ไม่ขาด โดยเฉพาะการถวายผา้ พระกฐิน ทรงสรา้ ง พระมหากษัตรยิ ์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 160

ว(จภอมัดิตำา�าเพยรภรกใรผอนระจลมรยญับมณืนแฝกพฑลา่อทุ ปผนจธพนตบังงัรหราพะัสวทพรรัดยะทุู)้อุคพธตุ ลทุบรธตาดปทำิต�บรถะล์ วทัตุง่ ิ ยง้ั ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร สมพระปญั ญาบารมโี ดยการสดบั พระธรรมเทศนาและปฏบิ ตั ธิ รรมอยเู่ ปน็ เนอื งนจิ ส่วนการบำ�เพ็ญทานบารมีนั้น พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ เมตตาใหท้ านแกย่ าจกและวณพิ กอยเู่ สมอ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งเกง๋ โรงทานส�ำ หรบั แจกทานแกบ่ ุคคลทัว่ ไป แมใ้ นฤดสู �ำ เภาออก กพ็ ระราชทานขา้ วกลอ้ งไปกับเรอื สำ�เภาลำ�ละ ๕๐ ถงั บ้าง เกวยี นหน่งึ บา้ ง ใหอ้ อกไปให้ทานคนยากจนทเี่ มอื งจนี การเผยแผศ่ าสนธรรมนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้ส่งสมณทูตไปลังกาและกรุงกัมพูชา เพ่ือนำ�เอาพระไตรปิฎกฉบับลังกา และพระไตรปิฎกในกรุงกัมพูชามาเปรียบเทียบกับฉบับของไทย ทำ�ให้เกิดมีการ ปรับปรุงข้อความในพระไตรปิฎกให้สมบูรณ์มากข้ึน หลังจากน้ันจึงโปรดเกล้าฯ ใหแ้ ปลพระไตรปฎิ กภาษาบาลเี ปน็ ภาษาไทย โดยเฉพาะพระสตู รเพอ่ื ใหพ้ ระสงฆ์ ไดใ้ ชเ้ ทศนส์ งั่ สอนประชาชน พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กเปน็ ภาษาไทย ปรากฏในพระราชพงศาวดารวา่ ทรงสรา้ ง คมั ภรี พ์ ระไตรปิฏกไว้ถงึ ๗ ฉบับ คอื ฉบบั รดน้ําเอก ฉบับรดนํา้ โท ฉบับทองนอ้ ย ฉบับซุบย่อ ฉบับอักษรรามัญ ฉบับเทพชุมนุม และฉบับลายกำ�มะลอ ท้ังทรง ส่งเสริมการศึกษาพระธรรมด้วยขยายการบอกพระปริยัติธรรมให้มีในทุก พระอารามหลวง มิติของความเป็นปราชญ์รู้ธรรมและการบำ�รุงศาสนธรรมให้ไพบูลย์ของ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์น้ันไม่อาจเว้นที่จะกล่าวถึงพระมหา กษตั รยิ ์ในพระบรมราชวงศ์นี้อกี พระองค์หนงึ่ คือ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ผมู้ พี ระราชอธั ยาศยั “ท�ำ ถกู ท�ำ จรงิ ” ดงั จะเหน็ วา่ เมอ่ื ทรงพระราชด�ำ ริ หรือทรงศึกษาเร่ืองใด ก็ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติจนกว่าจะสำ�เร็จ เม่ือคร้ัง ยังทรงพระผนวชในพระนามวชิรญาณเถระ ได้ทรงเริ่มศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ อันนับเป็นศาสนธรรมขั้นสงู ก็เอาพระราชหฤทยั ใสศ่ ึกษาอย่างจรงิ จัง ทรงศึกษา 161

๑. พขเเจแววพ“ดจดดััวสอึงรรษิมพัดปนดงะะชฎกรพเรี้ตรงจือ่าาถะาะงั้ทุ ้าชบรรวจแึงธลโากัดอดำตอ�เกูชรอ่จิทลินค่ รทยัชอสิศธทรสากามริพัง้หร”เนา้าดท์ธลลพลงนวำออ้าศ�วดัครารนงิดัลงกมะนือภปแพทบรวี้เาวปบะรมรัดาลัดแงะ็นบทหนยัรปยบตใสมีว้ าหฏศบัวา่มื่นชมเิสอจเโปด่ังยอีน็นขจ็่ารรงสณ์ ๒. พ.ศ. ๒๓๘๗ พ.ศ. ๒๓๖๗ พ.ศ. ๒๓๗๒ พ.ศ. ๒๓๗๗ พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ ัว แนวทางการท�ำ วปิ สั สนาของส�ำ นกั เรยี นแทบทกุ ส�ำ นกั ขณะเดยี วกนั เมอ่ื ทรงศกึ ษา ภาพบน : ดา้ นคันถธุระไดเ้ พยี ง ๓ ปี ทรงแตกฉานในพระไตรปฎิ กธรรมและคมั ภีร์ทัง้ หลาย ๑. พระบรมรปู หล่อ ทรงพระปรชี าสามารถแปลพระปรยิ ตั ธิ รรม (บาล)ี ถวายพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้า เจ้าอยหู่ ัว ไดร้ บั พระราชทานเปรียญ ๕ ประโยค เจ้าอยหู่ วั ที่ลานเจษฎา บดินทร์ ผลจากการที่พระวชิรญาณเถระทรงศึกษาพระปริยัติธรรมจนทรงรอบรู้ ๒. ภายในอโุ บสถ แตกฉานในพระไตรปฎิ ก จงึ ทรงพบขอ้ บกพรอ่ งในวัตรปฏบิ ตั ขิ องพระสงฆ์ท่วั ไป วัดราชโอรส ในยุคน้ัน ในส่วนพระองค์นั้นพระวชิรญาณเถระทรงศรัทธาเล่ือมใสในจริยวัตร ๓. ลานเจษฎาบดินทร์ ของพระสเุ มธาจารย์ (ซาย พทุ ฺธวโํ ส) พระราชาคณะฝา่ ยรามัญนกิ าย จึงไดท้ รง และวดั ราชนดั ดา อุปสมบทใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ และทรงตั้งคณะธรรมยุตข้ึนในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ แล้วเสด็จย้ายจากวัดสมอรายมาประทับท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร และทรงต้ังวัดนั้น เป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุต เป็นเหตุให้ทรงพระราชดำ�ริแก้ไขปรับปรุงวัตร ปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตรงตามพระบาลีที่มีมาในพระไตรปิฎก ทรงเร่ิม เปลย่ี นแปลงแกไ้ ขขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ ว่ นพระองคเ์ องขน้ึ กอ่ น ตอ่ มาจงึ มพี ระภกิ ษุ สามเณรอนื่ ๆ นิยมตาม และมีผู้ปฏิบัตติ ามอยา่ งมากขึ้น จนกลายเป็นคณะสงฆ์ หมใู่ หญ่ท่ีได้ชอื่ ตอ่ มาในภายหลังวา่ “พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย”           จากผลดงั กลา่ วแลว้ มวี ดั ตา่ งๆ ทง้ั ในกรงุ เทพมหานครและในหวั เมอื งไดเ้ รมิ่ ปฏบิ ตั ติ ามรปู แบบทพ่ี ระวชริ ญาณเถระไดป้ ฏบิ ตั แิ ละตง้ั ไว้ โดยไดน้ �ำ พระสงฆใ์ นวดั ไปญัตติใหม่เป็นพระสงฆ์ในสังกัดคณะธรรมยุต หากวัดใดมีพระสงฆ์ไม่เห็นด้วย กับการญัตติดังกล่าว หากมีจำ�นวนน้อยกว่า ก็จะย้ายไปสังกัดอยู่ในวัดใกล้เคียง หากมจี �ำ นวนมากกวา่ พระสงฆร์ ปู ทต่ี อ้ งการไปสงั กดั วดั ธรรมยตุ กจ็ ะยา้ ยไปญตั ติ ใหม่ในวัดทม่ี ีพระสงฆ์ในสังกัดวดั ธรรมยตุ อย่แู ล้ว การเปลย่ี นแปลงวดั ต่างๆ เป็น วดั ฝ่ายธรรมยุตและฝ่ายมหานิกาย จงึ เร่มิ ขึ้นแต่ในสมัยน้ี พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพุทธศาสนา 162

จขมดอาว้ีกรยงาึกปมรตบรีพะำูรร�ชรณะาารปวชาิชฏนชาิสทดชงััว่ำีพ�ขไรปตริจณา่ะงใ์วหๆดั ว้ ลพัดงรนใะนี้เเปแชน็ ผตสน่พุ ถศนาิลฯนาทคตีใ่ริดนงั้ รใกาหายญรรศอ่ แึกบลษบะารโหปิเวารณคดววใาหัดม้ รู้ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร วดั ทีท่ รงสรา้ งในรชั กาลมี ๓ วัด คือ วัดเฉลิมพระเกียรติ วดั เทพธิดาราม วัดราชนัดดาราม นับเป็นรัชกาลที่มี การสรา้ งและปฏิสงั ขรณ์วัดมากกว่ารัชกาลใดๆ ๓. รวมถึง ๕๓ วัด พ.ศ. ๒๓๘๗ พ.ศ. ๒๓๙๒ อยา่ งไรกต็ ามมขี อ้ พงึ สงั เกตวา่ การเปลยี่ นแปลงคณะสงฆอ์ อกเปน็ ๒ ฝา่ ย คอื ฝา่ ยมหานกิ าย กบั ฝ่ายธรรมยตุ กิ นิกายนนั้ พระสงฆท์ ้ัง ๒ ฝา่ ยหาแยกจาก กันไม่ ต่างก็ปฏิบัติธรรมเพ่ือความสำ�เร็จในเป้าหมายเดียวกัน และตามคำ�สอน ของพระพทุ ธเจา้ ในแบบของ “เถรวาท” แบบเดยี วกนั จงึ จะเหน็ ได้ในปัจจบุ นั ว่าพระสงฆ์ท้ังสองฝ่ายไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะต่างเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายเถรวาท จะมีข้อแตกต่างท่ีเห็นได้ก็เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติบางประการ เท่านั้น ไม่พึงเป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนมีอคติไปแบ่งแยกว่าจะศรัทธาเฉพาะ วัดฝ่ายธรรมยุตหรือฝ่ายมหานกิ ายเทา่ น้ัน เพราะสงฆใ์ นประเทศไทยทง้ั สองฝา่ ย ตา่ งยดึ พระพุทธวจนะเปน็ ส�ำ คัญทั้งสิน้ การทต่ี อ้ งกลา่ วถงึ การตง้ั ธรรมยตุ กิ นกิ ายของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไวใ้ นมติ ขิ องการบำ�รงุ ศาสนธรรมนน้ั กด็ ว้ ยเหตทุ วี่ า่ การเกดิ ขนึ้ ของคณะ สงฆ์ฝ่ายธรรมยุตมีผลดีแก่การบำ�รุงศาสนธรรม เพราะในคณะสงฆ์ธรรมยุตเกิด กระบวนการตรวจสอบพระคมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาททม่ี อี ยใู่ นสยามประเทศ ให้ตรงกับพระคัมภีร์เดิมด้วยวิธีสอบทานกับต้นฉบับ และกระบวนการสอบทาน ตน้ ฉบบั นน้ั พระสงฆจ์ �ำ เปน็ ตอ้ งศกึ ษาภาษาบาลอี นั เปน็ ภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ พระพทุ ธ วจนะของฝา่ ยเถรวาทใหถ้ อ่ งแทด้ ว้ ย จงึ ไดเ้ กดิ การสอนภาษาบาลเี พอ่ื วตั ถปุ ระสงค์ หลักในการบำ�รุงและสืบทอดศาสนธรรมขน้ึ ที่วัดบวรนเิ วศวิหารอยา่ งจริงจงั การบำ�รุงศาสนธรรมของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น พระมหากษตั รยิ ท์ กุ พระองคท์ รงถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ พระราชภาระส�ำ คญั มาไมข่ าดสาย ในยุคที่สยามประเทศต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการขยายอิทธิพลของ มหาอำ�นาจจักรวรรดินิยมนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระไตรปิฎกในรูปคัมภีร์ใบลานเป็นฉบับหลวงจบหน่ึงเรียกว่า “ฉบับ 163

ทคือรงธตรง้ั รคมณยะุตสิกงนฆิก์นาิกยายใหม่ อ๕กโปงว๑รค่าดวเใ์ จหัดเกดมทลียค่ ี่ส้าท์ รฯำง้ัอ�คหใบญัหลอ้ปางคยฏคือใิสพ์ นงัวรปขดัะรรเพะจณเรดท์วะียศดัปอ์ ไตฐงทมาคยมเเ์ จดหดิมัวียเมน์ มือับีกงเปมาร็นาอกเจอมดกาียแย์ทบรี่สบวงูพมใทรหะง้ัญเสจ่ ิน้ ดีย์ ๑. ๒. วดั ประจำ�รัชกาล คือ วดั ราชประดิษฐ์ เปน็ วัดที่ ทรงสร้างถวายแก่พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย พ.ศ. ๒๓๙๔ โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ล่อพระพุทธสิหิงคป์ ฏิมากร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ซึง่ จำ�ลองจากพระพทุ ธสิหิงคเ์ ก่าแกจ่ ากลังกา เลียนแบบเทา่ องค์จริง ประดิษฐานเป็นพระประธาน ในพระอโุ บสถ พ.ศ. ๒๓๙๙ พ.ศ. ๒๔๐๔ พ.ศ. ๒๔๐๙ พ.ศ. ๒๔๑๔ ทองทึบ” เพราะปิดทองทึบเหมือนกับฉบับทองใหญ่ของรัชกาลที่ ๑ และ ฉบับทองนอ้ ยของรัชกาลท่ี ๓ พระไตรปิฎกฉบับทองทึบน้ีทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานของพระธรรม ๑. พระบรมรปู พระบาท ค�ำ สอนสบื ไป ตอ่ มาเมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๑ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหช้ �ำ ระพระไตรปฎิ ก สมเด็จพระจอมเกล้า ใหถ้ กู ตอ้ งสมบรู ณ์ โดยมพี ระราชด�ำ รวิ า่ รฐั เพอ่ื นบา้ นของสยามในเวลานนั้ ตกเปน็ เจา้ อยู่หัว อาณานคิ มของชาตมิ หาอ�ำ นาจตะวนั ตกหมดแลว้ และสยามประเทศจะตอ้ งไดร้ บั ๒. ภายในอโุ บสถ ภยั คกุ คามจากการขยายอทิ ธพิ ลของมหาอ�ำ นาจเจา้ อาณานคิ มเหลา่ นนั้ ไมท่ างใด วดั ราชประดิษฐ์ กท็ างหนง่ึ และภยั คกุ คามนย้ี อ่ มกระทบมาถงึ ความมน่ั คงของพระพทุ ธศาสนาดว้ ย ๓. จิตรกรรมฝาผนัง วดั ราชประดิษฐ์ ๔. วดั ปทุมวนาราม พระองคจ์ งึ ทรงอาราธนาพระเถรานเุ ถระ เสนาบดี และขา้ ราชการทกุ ฝา่ ย มาประชุมกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อระดมความคิดเห็น ในการจะช่วยกันปกปักรักษาเอกราชของสยามประเทศและพิทักษ์พระบวร พุทธศาสนาไว้ในท่ามกลางการขยายอิทธิพลของมหาอำ�นาจจักรวรรดินิยม เกิดเป็นแนวคิดในการสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกข้ึนอีกชุดหนึ่ง เพ่ือเผยแพร่ พุทธธรรมแก่ชาวโลก เป็นการประกาศให้นานาชาติประจักษ์ว่าประเทศสยาม นับถือพระพุทธศาสนา มีสถานะเป็นรัฐประชาชาติอันมีความชอบธรรมใน ประชาคมโลกในฐานะรัฐท่ีสืบทอดปกป้องพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นมรดก อารยธรรมทางจติ วญิ ญาณทีส่ �ำ คญั ของโลก จึงจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงให้ ความสำ�คัญกับการสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกไม่น้อยกว่าในรัชกาลก่อนๆ แต่ท่ี ส�ำ คญั ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ ทรงเนน้ ใหพ้ ระไตรปฎิ กทส่ี รา้ งขน้ึ ในรชั สมยั ของพระองคเ์ ปน็ ประโยชน์แก่การศึกษาและเผยแผ่ศาสนธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และในวงกว้างเกินขอบเขตของสยามประเทศด้วย มิได้เป็นการสร้างคัมภีร์ 164 พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพุทธศาสนา

วดั ที่ทรงสรา้ งในกรงุ เทพฯ มี ๕ วดั คือ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร วดั มกฏุ กษตั ริยาราม (วดั พระนามบัญญัติ) วดั โสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม วดั บรมนิวาส และวดั ราชประดิษฐ์ ๓. ๔. พระไตรปฎิ กมาเพอ่ื ประดษิ ฐานไวเ้ ปน็ “ธรรมเจดยี ”์ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนสกั การบชู า แตเ่ พยี งเทา่ น้ัน ด้วยเหตุดงั กล่าวน้นั ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ จงึ โปรดเกล้าฯ ใหช้ ำ�ระ และจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี อักษรสยาม และเทียบเสียงเปน็ อักษร โรมันเป็นชุดแรกของโลก แทนพระไตรปิฎกของเดิมที่เขียนด้วยอักษรขอม บนใบลาน เพ่ือเฉลิมฉลองในโอกาสท่ีพระองค์เสด็จดำ�รงสิริราชสมบัติมาได้ ๒๕ ปี พระราชทานช่ือวา่ “พระไตรปิฎกฉบบั จุลจอมเกลา้ บรมธรรมิกมหาราช พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๖” ในการนไี้ ดพ้ ระราชทานพระราชทรพั ยจ์ �ำ นวน ๑,๐๐๐ ชงั่ จัดพิมพพ์ ระไตรปฎิ กนี้เป็นหนังสือ ๑,๐๐๐ จบ จบละ ๓๙ เล่ม พระราชทานไป ตามวดั ตา่ งๆ ๕๐๐ วดั ทวั่ ราชอาณาจกั ร ตลอดจนสถานศกึ ษาในตา่ งประเทศกวา่ ๒๖๐ แหง่ ทั่วโลก และต่อมาโปรดเกลา้ ฯ ให้จำ�หนา่ ยแกป่ ระชาชนในราคาจบละ ๒ ช่งั เปน็ ผลใหพ้ ทุ ธธรรมในพระไตรปิฎกไดร้ บั การเผยแผ่ไปมากขน้ึ ทั้งในสยาม ประเทศและทว่ั โลก การบำ�รุงศาสนธรรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกประการหนึ่งคือ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง หอพุทธศาสนสังคหะ ข้ึนที่วัด เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม ส�ำ หรบั เป็นทีเ่ กบ็ รวบรวมพระไตรปิฎกและหนังสอื อื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ก่อให้เกิดประโยชน์แก่การศึกษาพระปริยัติธรรมของ พระภกิ ษสุ ามเณรและฆราวาสผสู้ นใจ ทงั้ พระราชทานพระบรมราชปู ถมั ภใ์ หแ้ ตง่ หนงั สอื เกย่ี วกับพระพทุ ธศาสนาในหลายลกั ษณะดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ หนังสอื เบญจศีล และเบญจธรรม หนงั สือเทศนา หนงั สือสวดมนต์ หนงั สือธรรมจักษุ และหนังสอื ชาดกต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และเข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ตามระดับฐานานุรูปของตน เพื่อให้สามารถนำ�พุทธธรรมไปเป็นหลักปฏิบัติ ในการดำ�เนินชีวิต ส่วนพระสงฆ์และสามเณรก็มีคู่มือสำ�หรับใช้เทศนาและ บทสวดมนต์ใหเ้ ป็นแบบฉบบั เดยี วกนั 165

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 166

ในยุค “สยามใหม่” ท่ีประเทศสยามยึดแนวทางสากลในการพัฒนา ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร บ้านเมือง พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ก็มิได้ทรงละท้ิงศาสนธรรม ในพระพุทธศาสนา ย่ิงไปกว่านั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นผู้นำ�ท่ีแสดงให้ ประจักษ์แก่สาธารณชนว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นคงคุณค่าเสมอ แม้ ในยามท่ีบ้านเมืองกำ�ลังพัฒนาไปตามวิถีทางของโลกตะวันตก หากชาวไทยยังมี หลักธรรมในพระพทุ ธศาสนาเปน็ เคร่อื งก�ำ กบั จติ ใจของตนแล้วไซร้ ชาตไิ ทยจะมี ความวฒั นาสถาพรไมน่ อ้ ยกวา่ ชาตอิ ารยะอนื่ ใดในโลก พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานอรรถาธบิ ายถงึ ความส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนาไว้ ในพระราชนิพนธ์ “เทศนาเสือป่า” มีความตอนหนึ่งที่สมควรจะอัญเชิญมาอ้าง ไวใ้ นหนังสอื นีว้ า่ ภาพหน้าซ้าย : “พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาสำ�หรับชาตเิ รา เราจำ�เปน็ ตอ้ งถอื ด้วยความ จิตรกรรมฝาผนัง กตัญญูต่อบิดามารดาและต้นโคตรวงศ์ของเรา จำ�เป็นต้องถือไม่มีปัญหาอะไร… ภายในอุโบสถวัด เม่ือข้าพเจ้ารู้สึกได้แน่นอน จึงได้กล้าลุกขึ้นยืนแสดงเทศนาทางพระพุทธศาสนา ราชประดิษฐ์ วัดประจำ� แกท่ า่ นทง้ั หลาย โดยหวงั แนว่ า่ บรรดาทา่ นทง้ั ปวงซงึ่ เปน็ คนไทย เมอ่ื รสู้ กึ แนว่ แน่ รัชกาลพระบาทสมเด็จ แล้วว่า ศาสนาในสมัยนี้เป็นของที่แยกจากชาติไม่ได้…พุทธศาสนาเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรามาชวนกันนับถือพระพุทธศาสนาเถิด…ผู้ท่ีแปลงศาสนา คนเขาดูถูกยิ่ง เสียกว่าผู้ท่ีแปลงชาติ เพราะเขาย่อมเห็นว่า ส่ิงที่นับถือเล่ือมใสกันมาตลอดครั้ง รัชกาลที่ ๔ ปู่ย่าตายาย ต้ังแต่เด็กมาแล้วเป็นของสำ�คัญอันหนึ่ง ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า คนน้ัน มคี วามสตั ย์ มคี วามมนั่ คงในใจหรอื ไม่ เมอ่ื มาแปลงชาตศิ าสนาไดแ้ ลว้ เปน็ แลเหน็ ไดท้ นั ทวี า่ เปน็ คนไมม่ นั่ คง อยา่ วา่ แตอ่ ะไรเลย ศาสนาทใี่ ครทง้ั โลกเขานบั ถอื วา่ เปน็ ของสำ�คัญท่ีสุด เขายังแปลงได้ตามความพอใจ หรือเพื่อสะดวกแก่ตัวของเขา… เหตุฉะน้ี ผู้แปลงศาสนาถึงแม้จะไม่เป็นผู้ถึงเกลียดชังแห่งคนท่ัวไป ก็ย่อมเป็น ผู้ท่ีเขาสามารถจะเช่ือได้น้อย เพราะเหตุฉะน้ัน เป็นความจำ�เป็นท่ีเราท้ังหลาย ผเู้ ปน็ ไทยจะตอ้ งมน่ั อยใู่ นพระพทุ ธศาสนาซงึ่ เปน็ ศาสนาสำ�หรบั ชาตเิ รา ตอ้ งเขา้ ใจ พุทธศาสนาในเวลาน้ี ไม่มีแห่งใดในโลกท่ีจะถือจริงรู้จริงเท่าในเมืองไทยเรา เมืองไทยเราเปรียบเหมือนป้อมอันใหญ่ ซึ่งเป็นแนวท่ีสุดของพระพุทธศาสนา แนวที่ ๑ แนวท่ี ๒ รอ่ ยหรอเต็มทแี ลว้ ยงั แต่แนวที่ ๓ และแนวทีส่ ดุ คอื เมือง ไทย… เราทงั้ หลายเปน็ ผรู้ กั ษาแนวน้ี ถา้ เราไมต่ งั้ ใจรกั ษาจรงิ ๆ แลว้ ถา้ มอี นั ตราย อย่างใดมาถึงพระพุทธศาสนา เราทั้งหลายจะเป็นผู้ท่ีได้รับความอับอายด้วยกัน เป็นอันมาก…เหตุฉะนี้ เป็นหน้าที่ของเราท่ีจะต้องตั้งใจที่จะรักษาความมั่นคง ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย อยา่ ใหม้ ีอันตรายมาถงึ ได…้ ผทู้ คี่ นอนื่ เขาส่ง เข้ามาปลอมแปลงเพือ่ ทำ�ลายพระพทุ ธศาสนา เราทงั้ หลายตอ้ งคอยระวังร้เู ท่าไว้ 167

จงึ จะควร…จงึ เปน็ หนา้ ทข่ี องเราทง้ั หลายทเ่ี ปน็ เชอ้ื ชาตนิ กั รบตอ้ งรกั ษาพระศาสนา อนั นใ้ี ห้คงอยูใ่ นเมอื งไทยอีกต่อไป ต้องรักษาไวเ้ พือ่ ใหเ้ ป็นมรดกแกล่ ูกหลานของ เราท้ังหลายให้เขารักษากันต่อไปยั่งยืน เป็นเกียรติแก่ชาติของเราช่ัวกัลปาวสาน เวลานที้ ง้ั โลกเขาพดู เขานยิ มวา่ ชาตไิ ทยเปน็ ชาตทิ ถ่ี อื พระพทุ ธศาสนา ทพ่ี ระพทุ ธ- ศาสนายง่ั ยนื อยไู่ ด้ เพราะมเี มอื งไทยเปน็ เหมอื นปอ้ มใหญใ่ นแนวรบ เราเคราะหด์ ี ที่สุดท่ีนานมาแล้ว เราได้ตกไปอยู่ในพระพุทธศาสนา จึงได้เป็นมนุษย์ชั้นสูงสุด จะเป็นได้ในทางธรรม เหตุฉะน้ี ขอท่านทั้งหลายท่ีนั่งฟังอยู่ ผู้ท่ีตะเกียกตะกาย อยากเปน็ ฝรง่ั อยา่ ทำ�เหมอื นฝร่ังในทางธรรมเลย ถา้ จะเอาอย่างฝรัง่ จงเอาอยา่ ง ในทางทีฝ่ รัง่ เขาทำ�ดี คือในทางวิชาการบางอยา่ ง ซ่งึ เขาทำ�ดเี ราควรเอาอย่าง แต่ การรักษาศีล รักษาธรรม เรามีตัวอย่างดีกว่าฝรั่งเป็นอันมาก ถือพระพุทธเจ้า เปน็ ตวั อยา่ งของเราแลว้ เรามตี ัวอยา่ งหาท่ีเปรียบเสมอเหมอื นมไิ ด้ พระพุทธศาสนาก็ดี หรือศาสนาใดก็ดี ท่ีตั้งมั่นอยู่ได้ก็ด้วยความมั่นคง ของผู้เล่ือมใส ต้ังใจท่ีจะรักษา และข้าพเจ้าพูดท้ังน้ี ก็เพื่อชักชวนท่านท้ังหลาย อย่างเปน็ เพอื่ นไทยและเพ่ือนพทุ ธศาสนิกชนดว้ ยกนั ท้ังนน้ั เพ่ือความม่นั คงแห่ง พระพทุ ธศาสนา ขา้ พเจา้ รสู้ กึ วา่ ไดท้ ำ�หนา้ ทสี่ มควรแกก่ ารอปุ ถมั ภพ์ ระพทุ ธศาสนา เราตั้งใจจะรักษาศาสนาของเราด้วยชีวิต ข้าพเจ้าและท่านตั้งใจอยู่ในข้อนี้ และ ถา้ ทา่ นตงั้ ใจจะชว่ ยขา้ พเจา้ ในกจิ อนั ใหญน่ แี้ ลว้ กจ็ ะเปน็ ทพ่ี อใจขา้ พเจา้ เปน็ อนั มาก เมืองเราเกือบจะเป็นเมืองเดียวแล้วในโลกได้มีบุคคลถือพระพุทธศาสนา มาก และเปน็ เหล่าเดียวกนั เพราะฉะนั้นเปน็ หนา้ ท่ีของเราท้ังหลายที่จะชว่ ยกัน บำ�รุงรักษาพระพุทธศาสนาอย่าให้เส่ือมสูญไป การที่จะบำ�รุงพระพุทธศาสนา เราตอ้ งร้สู ึกก่อนวา่ หลักของพระพุทธศาสนาคอื อะไร เราทั้งหลายทีย่ งั ไม่แน่ ตง้ั แตว่ นั นจ้ี ะได้พรอ้ มกนั ตงั้ ใจว่าในส่วนตัวเราเอง จะริษยากันก็ตาม จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะทำ�การเช่นนี้ต่อเม่ือเวลาว่างไม่มีภัย เมื่อมีเหตุสำ�คัญจำ�เป็นท่ีเราจะต้องต่อสู้ชาติอื่น แม้การส่วนตัวของเราอย่างไร จะทำ�ให้เสียประโยชน์แก่ชาติเราแล้ว ส่ิงนั้นเราจะท้ิงเสีย เราจะรวมกัน ไม่ว่า ในเวลานี้ชอบกันหรือชังกัน เราจะถือว่าเราเป็นไทยด้วยกันหมด เราจะต้อง รักษาความเป็นไทยของเราให้ย่ังยืน เราจะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ถาวร วัฒนาการ อย่างทเ่ี ปน็ มาแลว้ หลายช่วั โคตรของเราทัง้ หลาย” พระมหากษัตริย์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 168

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงรับราชสมบัติต่อมา ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ทรงตระหนักถึงความสำ�คัญของเด็กและเยาวชนในฐานะพลังสำ�คัญในการจะ พัฒนาประเทศสยามยคุ ใหมใ่ หเ้ จรญิ รุ่งเรอื ง ทรงพระราชดำ�ริว่าเด็กและเยาวชน จะไม่เป็นกำ�ลังสำ�คัญของชาติบ้านเมืองได้เลยหากไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องกำ�กับ จิตใจ ในฐานะพระประมุขของรัฐพระองค์จึงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการปลูกฝัง เยาวชนของชาติให้มีคุณธรรมดงี าม โดยยึดหลักค�ำ สอนในพระพุทธศาสนา ดังที่ มีพระราชดำ�รัสว่า “ศาสนาจะเปน็ ยาบำ�รงุ กำ�ลัง บำ�รุงนาํ้ ใจ ใหท้ นความลำ�บากได้ ใหม้ ีแรง ทจ่ี ะทำ�การงานของตนให้เปน็ ผลสำ�เร็จได้ และยงั เป็นยาทจ่ี ะสมานหวั ใจ ให้หาย เจ็บปวดในยามทุกข์ได้ด้วย…พวกเราทุกๆ คน ควรพยายามให้เด็กๆ ลูกหลาน ของเรามี “ยา” สำ�คญั คอื คำ�สงั่ สอนของพระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตดิ ตวั ไว้เป็นกำ�ลัง เพราะ “ยา” อยา่ งนเ้ี ปน็ ทัง้ “ยาบำ�รงุ กำ�ลัง” และ “ยาสมานหรอื ระงับความเจ็บปวด” ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระสงฆ์ ราชบณั ฑติ และผมู้ คี วามรใู้ นพระพทุ ธศาสนา ชว่ ยกนั แตง่ หนงั สอื สอนพระพทุ ธศาสนาสำ�หรบั เดก็ และเยาวชน ซงึ่ นบั วา่ พระองค์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงสร้างหนังสือสอนพระพุทธศาสนา ส�ำ หรบั เดก็ สว่ นการสรา้ งคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กอนั เปน็ การบ�ำ รงุ รกั ษาศาสนธรรมนน้ั โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหนังสือพระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์ เรียกว่าฉบับสยามรัฐ ชุดหนึ่ง จำ�นวน ๔๒ เล่ม ซ่ึงได้ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาศาสนธรรมของทั้ง พระภิกษสุ งฆแ์ ละฆราวาสสบื มาจนทกุ วันน้ี   169

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 170

ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร มติ ทิ ี่ ๒ อปุ ถัมภ์ศาสนบคุ คล กฎให้ไว้แก่สังฆการีธรรมการ..... สมเด็จบรมนาถบพิตร..... รับพระราช โองการฯ ส่ังว่า พระศาสนาจะวัฒนาการตั้งไปได้ อาศัยพระราชอาณาจักร... สงเคราะห์พระศาสนา ฝ่ายพระวินัยบัญญัติเล่า พระพุทธองค์ตรัสสอนอนุญาต ไว้วา่ ถ้ากลุ บตุ รบวชเป็นภกิ ษสุ งฆ์ในพระศาสนาแลว้ ให้อยใู่ นสำ�นกั หมู่คณะสงฆ์ ในพระศาสนาแล้ว ให้อยู่ในสำ�นักหมู่คณะสงฆ์แลอุปัชฌาย์อาจารย์ก่อน จะได้ รู้กิจวัตรปฏิบัติ ถึงมาทว่าจะประพฤติผิดทำ�ทุจริตอันมิควร ก็จะมีความละอาย กลวั เพ่ือนพรหมจรรย์ แลครูอปุ ชั ฌาย์จะวา่ กล่าวติเตยี น ความชั่วทุจรติ ท่ีทำ�นน้ั จะสงบลง ศลี น้นั จะบริสุทธิ์ เปน็ ทีต่ ั้งแกส่ มาธิปัญญา วปิ สั สนามรรคญาณ สำ�เร็จ มรรคผลในหมู่คณะสงฆ์...แม้นมาทจะมีปรารถนาจะหาที่อยู่อันสบายสมควรแก่ พระกัมมัฏฐานก็ดี ก็ย่อมจักชวนเพื่อนพรหมจรรย์ร่วมศรัทธาด้วยกัน...จะได้ทำ� สงั ฆกรรมแลอโุ บสถกรรมดว้ ยกนั เพอื่ จะไดศ้ ลี บรสิ ทุ ธเิ์ ปน็ ทตี่ งั้ แกพ่ ระกมั มฏั ฐาน (กฎพระสงฆ์ ในประมวลกฎหมายรชั กาลท่ี ๑) ศาสนบคุ คลเปน็ องคป์ ระกอบส�ำ คญั ของศาสนาทง้ั หลาย ส�ำ หรบั พระพทุ ธ ศาสนาแล้ว พระสงฆ์คือศาสนบุคคลที่มีความสำ�คัญในฐานะผู้สืบทอดพระธรรม คำ�สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นผู้สั่งสอนเผยแผ่ธรรมนั้นแก่มหาชน นอกจากน้นั พระสงฆ์ยังมคี วามส�ำ คญั ในฐานะ “เนื้อนาบญุ ” ของพุทธศาสนิกชน ด้วยในทางพระพุทธศาสนามีคติว่าการอุปถัมภ์บำ�รุงพระสงฆ์และคณะสงฆ์คือ บญุ กริ ยิ าประการหนง่ึ เปน็ หนา้ ทอ่ี นั ส�ำ คญั ของพทุ ธศาสนกิ ชนทจ่ี ะตอ้ งอปุ ถมั ภบ์ �ำ รงุ พระสงฆ์ตามควรแก่สถานะของตน เพ่ือให้พระสงฆ์สามารถดำ�รงชีพและปฏิบัติ ศาสนกิจในการสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปได้ โดยปราศจากภารกิจทางโลก ในการแสวงหาปัจจัยต่างๆ ในการดำ�รงชีพด้วยตนเอง คติทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าวน้ีคนไทยได้ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่แรกรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็น 171

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 172

ศาสนาหลกั ของประชาคมไทยแลว้ โดยเฉพาะพระมหากษตั รยิ ซ์ งึ่ เปน็ ผนู้ �ำ สูงสุด ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ในสงั คมไทยนน้ั ทรงถอื การอปุ ถมั ภบ์ �ำ รงุ พระสงฆแ์ ละคณะสงฆเ์ ปน็ พระราชภาระ หลักประการหน่ึง ดังมีหลักฐานปรากฏมาตั้งแต่ในแคว้นสุโขทัย แคว้นล้านนา อาณาจักรอยุธยา และกรุงธนบุรี พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น ทรงปฏบิ ตั พิ ระราชภาระประการนอ้ี ยา่ งยงิ่ ใหญไ่ มน่ อ้ ยไปกวา่ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ในยคุ สมยั ก่อนๆ กกพพพกสอ่อเารรเรจ่อถรยปเะะะ้จาใสแปาบปุสธลปนเอดปลรฏจยมารี่ยวรรย้าีย้วนสจท้าาิาสเัดนัาชงู่หดพน์ไงอุมฬาสังงสมกจใววใค็ัจวใายขรเคนมานะ้บัดาาาหดโ์อมพะรู่โห์มรเแลสกปสสนม็จลรงดณวรภัชัวากทำแมรรคายพ่กท่า�็จะเสาเ์ดวะบีช่ัยพป์อใมพรัส้งรพพ๔บมัดเหเทบรพ็จด็ะนรกหรวกุทรัหยรญัชาเจะโเ้าัดแภรศะาลมธดรพพดนนกรงอะรลนสู่เ้ยาียบิมยใา้แาเรรนขาอมาะรัฯ่งนดอบชซรทะะลมตาชาาะสเเิสมรดบบทรกก้าแใทีม่ี่รเกกทเรพหปมก้ชอฟยาาาาลลลีว่าา้รา๓้็มททนนืมั่ตศยยอ้้้่ะรราาาางง:ี สถาบันสงฆ์ในสยามประเทศเส่ือมทรุดเศร้าหมองลงเพราะการเสีย กรุงศรีอยุธยา ทำ�ให้พระสงฆ์จำ�นวนไม่น้อยประพฤติผิดไปจากพระธรรมวินัย ในการฟื้นฟูความม่ันคงของคณะสงฆ์ภายหลังจากความระส่ําระสายของ ราชอาณาจกั รนนั้ ทงั้ สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ แี ละพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชมพี ระราชด�ำ ริเป็นแนวทางเดยี วกัน คือทรงเลง็ เหน็ ความสำ�คญั ของการที่พระสงฆ์ซึ่งเป็นศาสนบุคคลหลักของบ้านเมืองจะต้องมีศีลาจารวัตร และปฏิปทาตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัย ให้เป็นที่เจริญศรัทธาและเคารพนบไหว้ ของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้โดยสนิทใจ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราชทรงสานต่อพระราชภาระของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในการ เสริมสร้างศาสนบุคคลท่ีพึงประสงค์ให้แก่พระพุทธศาสนา ประการแรกท่ีเห็น ได้ชัดเจนคือ ทรงแก้ไขความวิปริตผิดเพ้ียนในสังฆมณฑลหลายประการ เช่น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระราชาคณะท่ีพ้องกับพระนาม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนามอื่น ทั้งทรงต้ังพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณ ความรู้ในศาสนธรรม มีศีลาจารวัตรงดงามบริสุทธิ์ให้ดำ�รงตำ�แหน่งสมเด็จ พระสงั ฆราช พระราชาคณะ และพระครตู �ำ แหนง่ ตา่ งๆ ลดหลน่ั กนั ไปตามสมควร และยังทรงตั้งพระราชาคณะฝ่ายรามัญตามโบราณราชประเพณีจากสมัยอยุธยา ด้วย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ที่เรียกว่า “กฎ พระสงฆ”์ ขนึ้ ในระหวา่ ง ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๔๔ รวม ๑๐ ฉบบั ดงั ทป่ี รากฏ เปน็ ส่วนหน่งึ ของกฎหมายตราสามดวง แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ นับเปน็ กฎหมาย คณะสงฆ์ชุดแรกท่ปี รากฏหลกั ฐานอยู่ถึงปัจจุบนั ในการตรากฎหมายคณะสงฆ์โดยส่วนรวม มีพระราชประสงค์ท่ีสำ�คัญ คือ เพ่ือให้พระภิกษุสงฆ์และสามเณรประพฤติปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรม วินยั ให้พระราชาคณะ เจา้ อธกิ าร และเจา้ หนา้ ทสี่ ังฆการี ท�ำ การกำ�กับดูแลและ 173

เถลิงถวัลยราชสมบตั ิ ๑ ตุลาคม โปรดเกล้าฯ ใหต้ ั้งโรงเรียน พ.ศ. ๒๔๑๑ พระชนมายุ ๑๕ ชนั ษา สำ�หรบั ราษฎรทวั่ ไป เริ่ม เจา้ พระยาศรีสรุ ิยวงศเ์ ปน็ ผู้สำ�เรจ็ ราชการแทน แห่งแรกทีว่ ัดมหรรณพาราม พ.ศ. ๒๔๒๖ เริม่ เปิด โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งวัด ราชบพิธสถิตมหาสีมารามขึ้น บริการไปรษณีย์ เปน็ วัดประจำ�รัชกาล คร้ังแรกในพระนคร พระชนมายุ ๒๐ ชนั ษา ทรงพระผนวช มีพระราชพิธี บรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๑๑ พ.ศ. ๒๔๑๖ พ.ศ. ๒๔๒๑ พ.ศ. ๒๔๒๖ พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั โแปผร่นดดเินกลหา้ รฯือใรหัฐ้ตมัง้ นสตภราีสทภี่ปารแึกลษะาอรงาคชมกนาตรรีสภา ลงโทษผ้ทู ่ปี ระพฤตผิ ดิ พระธรรมวนิ ัยตามสมควรแกโ่ ทษหนกั เบา ที่พระพุทธเจา้ ได้ทรงบญั ญตั ิไว้ รวมท้งั ทีท่ รงตราไว้ในกฎพระสงฆ์นีด้ ้วย นอกจากน้นั ในแต่ละ ฉบบั จะทรงปรารภเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ เฉพาะกรณๆี ไป อนั เปน็ สาเหตใุ หต้ อ้ งตรา กฎพระสงฆฉ์ บับนน้ั ๆ ขน้ึ มา กฎพระสงฆ์ที่ทรงตราข้ึนมามีอยู่ ๑๐ ฉบับ เน้ือหาสาระของแต่ละฉบับ จะประกอบด้วยข้อความที่ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนแต่ละเรื่อง ว่า ผิดพระธรรมวินัยข้อใด ทำ�ให้พระศาสนาเส่ือมเสียอย่างไร แล้วมีพระบรม ราชโองการห้ามมิให้ทำ�เช่นนั้นอีกต่อไป พร้อมทั้งกำ�หนดโทษทางบ้านเมือง เพมิ่ จากโทษทางพระธรรมวินัยอีกส่วนหนงึ่ การท่ีมีกฎพระสงฆ์ขึน้ มานี้ สะทอ้ น ให้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดยเริ่มจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งท่ีสอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนพลเมืองเกิดความ ระสํ่าระสายไปท่ัว ภิกษุสามเณรเป็นจำ�นวนมากประพฤติปฏิบัติย่อหย่อน ในพระธรรมวินัย บรรดาพระราชาคณะ พระอุปัชฌายาจารย์ และเจ้าอาวาส ปล่อยปละละเลย ไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าท่ี การคณะสงฆ์จึงตกอยู่ในสภาพ เส่ือมโทรม ไม่เป็นท่ีตั้งแห่งศรัทธาของประชาชนเช่นที่เคยเป็นมาในสมัยก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ในฐานะท่ีเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก จึงทรงเร่งรัดฟ้ืนฟูสถานภาพของพระพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กันกับท่ีทรงเร่งรีบ ฟน้ื ฟสู ภาพของบา้ นเมอื งใหพ้ น้ จากจดุ วกิ ฤตโิ ดยเรว็ ทส่ี ดุ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหพ้ ระพทุ ธศาสนา มีเอกภาพม่ันคง สามารถเป็นหลักให้แก่ฝ่ายอาณาจักรคือระบบการปกครอง และบรหิ ารราชการแผ่นดินได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังโปรดเกล้าฯ ให้ จัดการศึกษาสำ�หรับสงฆ์ด้วยการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 174

ศขตฝขนึน้ึ่้ังากยาทษมนมี่วาหหนดัพาามารจมนะหุฬปวิกาา่าารธลยิยา“งตตัมก(ุเิธหรเมรพณาื่อรธื่อรแมาเารขปตชกอ็นวุ วตงิทสิทพ้งั ยถยรทาาาะลนรลสัยงยั ง”ฆ)์ เริ่มสรา้ งวดั เบญจมบพิตร สมเดจ็ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ต้งั มหามกุฏราชวิทยาลัย ขึ้นในวัด พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา บวรนิเวศวิหาร เพือ่ เปน็ สถานศึกษา นริศรานุวัดติวงศท์ รงเป็นผู้ออกแบบ ของพระสงฆฝ์ ่ายธรรมยุติกนิกาย ควบคมุ การก่อสร้าง รวมทั้งเปน็ สถานศึกษาเล่าเรียนของ บตุ รหลานของประชาชนด้วย พ.ศ. ๒๔๓๑ พ.ศ. ๒๔๓๖ พ.ศ. ๒๔๔๑ พ.ศ. ๒๔๔๖ พ.ศ. ๒๔๕๑ ตัง้ โรงไฟฟา้ เริ่มกิจการรถราง เริ่มมีโคมไฟฟ้าบนถนน ตลอดจนวังเจ้านายและข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ และทรงสืบต่อประเพณีพระราช- ปจุ ฉาคณะสงฆซ์ งึ่ เปน็ การเปดิ โอกาสใหฝ้ า่ ยพทุ ธจกั รมโี อกาสใหค้ ำ�แนะน�ำ แกฝ่ า่ ย อาณาจกั รในกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินด้วย แต่เดิมมาการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์แบ่งออกเป็นเปรียญตรี เปรียญโท และเปรียญเอกแตเ่ พยี งสามระดบั ได้เกิดมกี ารแกไ้ ขจดั ระดบั เปรยี ญ ของพระสงฆ์เสียใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดย โปรดเกลา้ ฯ ใหแ้ กไ้ ขเปน็ ระดบั ประโยค ๑ ถงึ ประโยค ๙ ซงึ่ ไดใ้ ชส้ บื มาจนปจั จบุ นั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ของพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง แม้พระมหาปราสาทก็ทรงอุทิศให้เป็นสถานท่ีสำ�หรับ การศึกษาของสงฆ์ได้ กล่าวคอื ไดพ้ ระราชทานพระบรมราชานุญาตใหใ้ ชพ้ ้นื ท่มี ขุ ท้ังสี่ของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานท่ีบอกพระปริยัติธรรม พระองค์ เอาพระราชหฤทัยใส่การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์อย่างย่ิง ดังที่มี พระราชด�ำ รสั แกพ่ ระราชาคณะผใู้ หญท่ งั้ ปวงใหก้ วดขนั การศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม ของพระสงฆส์ ามเณรในส�ำ นัก “เจา้ ประคณุ พระราชาคณะทงั้ ปวงจะไมร่ อ้ นรนพระทยั แสวงหาพระสงฆ์ สามเณรที่รู้พระไตรปิฎกน้ันไม่ชอบ ด้วยพระพุทธศาสนาเป็นแก้วอันหาได้ยาก ในโลก พระสงฆ์ที่รู้พระไตรปิฎก ก็เป็นแก้วอันหาได้ยากในโลกเหมือนกัน ให้ เจ้าประคุณพระราชาคณะท้ังปวงคิดถึงพระพุทธศาสนาให้จงหนัก เป็นห่วง พระพุทธศาสนาให้จงมาก” กระบวนการอปุ ถมั ภศ์ าสนบคุ คลในพระพทุ ธศาสนาของพระมหากษตั รยิ ์ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์มีพัฒนาการยิ่งขึ้นไปอีกในรัชกาลพระบาทสมเด็จ 175

ใพใทหนรรข้ดงะณยีขอกึ้นาะรเเนลหา้ันิกมตปุหหครนลวะรวึง่ เเงพแปมลณลีอะีย่ยีกอนมู่าีกปราเสกรหะรเตกเ้าหุพงินวนณกัดึ่งวีสคปา่ รือรจา้ ะะงทจรวรำักัด�งรษเเัชปหากน็็นใาหสวล้ดา่รดีไสา้ ดว้งถยโ้ าเรมหนงีพ็นเศรครึกียะวษนรราขาทเชึน้ปีจ่ ดแ็นะำทบ�สรนรูิ่งิวณจา่ ำ�ะเปน็ เปลี่ยนแปลงการนบั ปีจาก พ.ศ. ๒๔๖๒ โปรดเกล้าฯ ใหจ้ ัดพิมพอ์ รรถกถา ร.ศ. มาเปน็ พ.ศ. (คำ�อธิบาย) พระไตรปิฎก อทุ ิศพระราชกุศล ถวายแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ๑. พระพันปีหลวง ซึง่ เสดจ็ สวรรคตในปีนัน้ พ.ศ. ๒๔๕๓ พ.ศ. ๒๔๕๘ พ.ศ. ๒๔๖๓ พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เพก.ิดศส. ง๒ค๔ร๕า๗มโล-กพค.รศ้งั.ท๒ี่ ๑๔๖๑ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิ ภาพบน : ลกั ษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ข้ึน เพื่อให้การปกครองภายในสงั ฆมณฑล ๑. ประติมากรรมตน้ แบบ เป็นไปตามระเบียบอันดี กำ�หนดให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขของสงฆ์ พระบรมรูปหล่อพระบาท ใหม้ ี “มหาเถรสมาคม” เปน็ องคก์ รบรหิ ารปกครองสงฆ์ท่วั ราชอาณาจักร ทั้งจัด สมเดจ็ พระมงกุฎเกล้า รูปการปกครองคณะสงฆ์ใน ๔ ภูมิภาค ให้สอดคล้องกับการปกครองบ้านเมือง เจา้ อย่หู วั การตราพระราชบญั ญตั ฉิ บบั นม้ี ผี ลโดยตรงทท่ี �ำ ใหค้ ณะสงฆซ์ ง่ึ เปน็ สถาบนั อนั เปน็ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ศูนย์รวมของ “ศาสนบุคคล” ในพระพุทธศาสนาของสยามประเทศมีความเป็น พุทธศตวรรษที่ ๒๖ ระเบยี บเรียบรอ้ ยสบื มาจนถงึ ปัจจบุ นั ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศรี ผู้ออกแบบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระราชดำ�ริว่าใน สยามประเทศมิได้มีเพียงพระสงฆ์ไทยซ่ึงเป็นพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเท่าน้ัน แต่ยัง มีพระสงฆ์ฝ่ายมหายานคือพระสงฆ์จีนและญวนอพยพเข้ามาตั้งวัดและปฏิบัติ ศาสนกิจในชุมชนของชาวจีนและญวนในประเทศสยามด้วย พระสงฆ์ฝ่าย มหายานเหล่านี้อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร มีศีลาจารวัตรอันงามเสมอด้วย พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทของไทย ท้ังยังมีคุณูปการในการเผยแผ่พุทธธรรมเป็นที่ เจริญศรัทธาของมหาชนท้ังหลายด้วย มีพระราชดำ�ริว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ต้ังพระสงฆ์มอญให้มีสมณศักดิ์เหมือนอย่าง พระสงฆ์ไทย จึงเป็นการสมควรท่ีจะทรงตั้งพระสงฆ์จีนและญวนให้มีสมณศักด์ิ และจดั ระเบียบคณะสงฆฝ์ ่ายมหายานในสยามประเทศข้ึนบ้าง แตพ่ ระสงฆ์ญวน คือฝ่ายมหายานจะเข้าทำ�กิจพิธีร่วมกับพระสงฆ์ไทยไม่ได้เหมือนอย่างพระสงฆ์ มอญ จงึ โปรดใหจ้ ดั ท�ำ ท�ำ เนยี บสมณศกั ดสิ์ �ำ หรบั พระสงฆจ์ นี และญวนขนึ้ ตา่ งหาก ทง้ั ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานสญั ญาบตั ร ราชทนิ นาม และพดั ยศ ประกอบสมณศักดซ์ิ ่งึ อนุโลมตามแบบพดั ยศของคณะสงฆ์ไทย พระมหากษตั ริย์ไทยกบั พระพทุ ธศาสนา 176

ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ขมึ้นหเปเาขมน็จเอื่อจสุฬสวงา้ม่าถพคาอเลาณ“ด.ยศบงมจ็ู่หะก.ันหพสวั๒รกาไรงณ๔ดธาะฆรา๓ท้รจ์ ศตซาลุร๒ึชกุวึง่งจภพสิทวษมอาิทถยราีชมพยะาชาือ่ เบบปลกาั้นเดนลัายนลสทิมัย”า้าูง: การอุปถัมภ์คณะสงฆ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่ีมี ต่อจมฬุเปาาเลมลมี่ยีพงื่อนกรวนระนั ณบาทมรรี่ มใ๑าพหร๓ชม.าวศช่วกิท.า่โันย๒อย“าง๔มลาก๓ยัยหา๙น”รา ความสำ�คัญไม่น้อยไปกว่าการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ คือการ พฒั นาการศกึ ษาของสงฆ์ พระองคโ์ ปรดใหจ้ ดั ตงั้ โรงเรยี นสอนพระปรยิ ตั ธิ รรมขนึ้ ตามวดั ตา่ งๆ ทว่ั ราชอาณาจักร เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาเลา่ เรยี นของพระภิกษุและ สามเณร รวมท้ังได้ทรงกำ�หนดเวลาการสอบพระปริยัติธรรมให้เป็นมาตรฐาน เดยี วกนั เปน็ ประจ�ำ ทกุ ปดี ว้ ย ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ตงั้ สถาบนั การศกึ ษา ช้ันสงู ของสงฆ์ขน้ึ ๒ สถาบัน ได้แก่ “มหาธาตุวิทยาลยั ” ซึง่ ตอ่ มาเปลย่ี นชื่อเปน็ “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” สถาปนาขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๒ ณ วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ พระราชทานให้เป็นสถานศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนา “มหามกฏุ ราชวิทยาลยั ” ณ วัด บวรนิเวศวิหาร เพ่ือเป็นสถานที่ศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต การสถาปนา สถาบนั การศกึ ษาชนั้ สงู ส�ำ หรบั พระสงฆท์ งั้ สองสถาบนั สง่ ผลใหร้ ปู แบบการศกึ ษา ของสงฆ์ในสยามมีความก้าวหนา้ ไปอย่างยิ่ง 177

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 178

ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร มติ ทิ ี่ ๓ บันดาลดลศาสนวตั ถุ ภาพหน้าซ้าย : ในองค์ประกอบหลักท้ัง ๔ ประการของศาสนาท้ังหลายน้ัน ศาสนวัตถุ พระพุทธสิหิงค์ พุทธศิลปะ มีความสำ�คัญในฐานะเครื่องมือที่จะช่วยให้ศาสนาดำ�รงอยู่ได้ กล่าวคือเป็นวัตถุ ท่ีช่วยเสริมให้ศาสนธรรมและศาสนบุคคลสามารถดำ�รงอยู่และปฏิบัติหน้าท่ีของ สุโขทัย ประดิษฐาน ตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางพระพุทธศาสนาน้ัน ศาสนวัตถุหมายถึงวัตถุ ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สง่ิ ของใดๆ กต็ ามทไี่ ดร้ บั การสรา้ งขน้ึ เพอื่ การประกอบศาสนกจิ หรอื เพอื่ เปน็ การ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุปถัมภ์บำ�รุงให้พระพุทธศาสนาและพุทธธรรมดำ�รงอยู่และเจริญรุ่งเรืองสืบไป อันได้แก่ วัดวาอาราม สถูปเจดีย์ กุฎีวิหาร พระพุทธปฏิมาและรูปเคารพอ่ืนๆ พระนคร ตามคตทิ างพระพทุ ธศาสนา รวมไปถงึ ขา้ วของเครอ่ื งใชต้ า่ งๆ ส�ำ หรบั สมณบรโิ ภค และการประกอบพิธีกรรมตามคติธรรมเนียมในพระพุทธศาสนา ตลอดจนวัตถุ ใดๆ อันเป็นสือ่ ส�ำ หรบั การเผยแผพ่ ุทธธรรมดว้ ย พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงสืบทอดคติธรรมเนียมของ กษัตริย์ไทยจากยุคสมัยก่อนหน้าในการสร้างศาสนวัตถุประเภทต่างๆ ถวายไว้ ในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนวัตถุท่ีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์น้ีทรงสร้างขึ้น ด้วยพระราชศรัทธานั้นมีจำ�นวนมากมายมหาศาลกว่าศาสนวัตถุท่ีสร้างข้ึนในยุค สมยั ใดๆ ในประวตั ศิ าสตร์ไทย ลว้ นมคี วามวจิ ติ รงดงามดว้ ยฝีมือชา่ งไม่ยงิ่ หยอ่ น ไปกวา่ ศาสนวตั ถใุ นยคุ สมยั ใดๆ กอ่ นหนา้ นน้ั เลย การทพี่ ทุ ธศาสนวตั ถทุ พี่ ระมหา กษตั ริย์ไทยสมัยต่างๆ ทรงสร้างขึ้นนน้ั ลว้ นทรงคณุ ค่าทางศิลปะ ไมว่ ่าจะเปน็ ใน ทางสถาปตั ยกรรม จติ รกรรม ประตมิ ากรรม และประณตี ศลิ ป์ จงึ สามารถเรยี ก ศาสนวัตถเุ หล่านน้ั ไดด้ ว้ ยคำ�วา่ “งานพทุ ธศลิ ป์” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างและ ปฏิสังขรณ์วัดเป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาหลายแห่ง ท่ีสำ�คัญได้แก่ วัด 179

พระศรีรัตนศาสดาราม วัดสระเกศฯ และวัดพระเชตุพนฯ เป็นต้น เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการก็พากันสร้างวัดโดยเสด็จพระราชกุศลกันมากเช่น สมเด็จ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท ทรงสร้างวัดสลักขึ้นใหม่จากวัดรา้ งใกล้ๆ กับ พระราชวงั หน้า พระราชทานนามว่า วดั นพิ พานาราม ทีต่ ่อมาไดร้ บั พระราชทาน นามเปน็ ทางการวา่ วัดมหาธาตุ การทำ�นุบำ�รุงถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาท่ีสำ�คัญย่ิงของพระบาท ภาพหนา้ ขวา : สมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชคอื การท่ที รงพระราชด�ำ ริวา่ พระพทุ ธ วดั ราชบพิตรสถิตมหาสีมา ปฏมิ าทง้ั ใหญน่ อ้ ยจากหวั เมอื งตา่ งๆ ในพระราชอาณาเขต ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ หวั เมอื ง รามราชวรวิหาร เป็นพระ ฝ่ายเหนือ โดยเฉพาะบ้านเมืองท่ีกลายสภาพเป็นเมืองร้างไปแล้ว แต่ยังปรากฏ อารามหลวงชัน้ เอก ชนิด ซากวดั รา้ งอยเู่ ปน็ จ�ำ นวนมาก แตล่ ะวดั ยงั มพี ระพทุ ธปฏมิ าจ�ำ นวนมหาศาลตง้ั ทงิ้ ราชวรวิหาร พระบาทสมเดจ็ ไว้กรำ�แดดฝนมาชั่วนาตาปี ยังอยู่ในสภาพดีบ้าง ชำ�รุดหักพังไปบ้าง เป็นที่สลด พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั สังเวชใจแก่ราษฎรที่ได้พบเห็น จึงมีพระราชศรัทธาให้รวบรวมพระพุทธรูป โปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งขึ้นเปน็ ใหญน่ อ้ ยเหลา่ นนั้ ไดถ้ งึ กวา่ พนั องค์ อญั เชญิ ลงมายงั กรงุ เทพมหานคร โปรดเกลา้ ฯ วัดประจำ�รชั กาล โดยนาม ใหซ้ ่อมแซมตกแตง่ พระพทุ ธปฏมิ าเหลา่ น้นั ใหบ้ ริบรู ณง์ ดงามดงั เดิม แลว้ อญั เชญิ ของวัดมีความหมายถึงวัดที่ เข้าประดษิ ฐานไวต้ ามพระอารามที่ได้ทรงบูรณปฏสิ งั ขรณข์ ึ้นใหม่ เป็นถาวรวตั ถุ พระมหากษัตริยท์ รงสร้าง สบื อายพุ ระพุทธศาสนาต่อไป นบั เป็นพระอารามหลวง สดุ ทา้ ยทีพ่ ระมหากษตั ริย์ ทรงสรา้ งเป็นวดั ประจำ� ในบรรดาพระพุทธปฏิมาซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลตามโบราณ มหาราชทรงอญั เชิญมาจากหวั เมอื งนน้ั พระศรสี รรเพชญ พระพุทธรูปยนื ขนาด ราชประเพณี ใหญ่อันเคยประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ ในพระนครศรีอยุธยา ถูกข้าศึกเอาไฟสุมเพ่ือหลอมเอาทองคำ�ที่หุ้มองค์พระไป ในสงครามคราวเสยี พระนครศรอี ยธุ ยา เหลอื แตเ่ พยี งแกนในองคพ์ ระทเ่ี ปน็ ส�ำ รดิ ซง่ึ พ้นสภาพทจ่ี ะพึงบูรณะขนึ้ ใหม่ได้ จงึ โปรดเกล้าฯ ให้น�ำ ไปประดษิ ฐานไว้ท่วี ัด พระเชตพุ นฯ แลว้ ใหก้ อ่ พระมหาเจดยี อ์ งคใ์ หญส่ วมทบั แกนในองคพ์ ระศรสี รรเพชญ ไว้ พระราชทานนามว่า “พระมหาเจดียศ์ รีสรรเพชญดาญาณ” ในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังทรง พระราชด�ำ รวิ า่ พระพทุ ธปฏมิ าหลอ่ ดว้ ยส�ำ รดิ ปางมารวชิ ยั องคใ์ หญอ่ นั เปน็ พระประธาน อยู่ในวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุที่กรุงสุโขทัย ซ่ึงปรากฏหลักฐานในภายหลัง ว่าสร้างข้ึนในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทนั้น สมควรท่ีจะได้อัญเชิญ ลงมายงั กรุงเทพมหานคร ไม่พงึ ทิ้งให้ “ตากแดดกร�ำ ฝน ต้องไฟป่า” อยู่ต่อไปจะ ช�ำ รดุ หกั พงั ลงในทสี่ ดุ ทงั้ ไดท้ รงพระราชปรารภใหส้ รา้ งพระวหิ ารขนาดใหญต่ รง 180 พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยกับพระพุทธศาสนา

181 รั ต น โ ก สิ น ท ร์

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 182

พืน้ ที่ที่เป็นจดุ ศนู ยก์ ลางของราชธานีกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ให้เปน็ “มหาสทุ ธาวาส” ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ที่ประดิษฐานพระพทุ ธปฏิมาพระองคใ์ หญน่ ั้น ดุจเดียวกบั วิหารพระมงคลบพติ ร เปรอน็ชั พัญพกวรารเะดัชละวปมิญพทัดรหสีุ่ทมะ๑าุทธธาพธรภจัศโาารหปปูนานาตะลรกปพใเศุ ดนท่อกวาหรเพิหดพงรีศกนมุง้วารวาล้าสยราะรกซา้ หรุโวาโยฯขล้าวิหรลมทยิชหาใาวหนุมยัยัะรง:ี้ ในพระนครศรอี ยธุ ยา มพี ระราชด�ำ รจิ ะใหส้ รา้ งวหิ ารนนั้ ใหส้ งู ใหญเ่ สมอวหิ ารหลวง วัดพนัญเชิงในกรุงศรีอยุธยา การอัญเชิญพระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่น้ีลงมายัง กรุงเทพมหานครเป็นการดำ�เนินการครั้งใหญ่ท่ีพระราชวงศ์และข้าราชการทั้ง ในราชธานีและหัวเมืองต่างช่วยกันฉลองพระราชศรัทธากระทำ�การให้สำ�เร็จ ได้อัญเชญิ องค์พระพุทธปฏิมาลอ่ งแพลงมาถงึ กรงุ เทพมหานครในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ เมื่อมาถึงโปรดให้ทอดทุ่นอยู่กลางแม่นํ้าเจ้าพระยาก่อน ตรงหน้าตำ�หนักแพ บริเวณท่าช้างปัจจุบัน พร้อมท้ังโปรดให้มีพิธีสงฆ์และงานสมโภชทั้งกลางวัน และกลางคนื เปน็ เวลา ๗ วนั จากนน้ั จงึ อญั เชญิ ขนึ้ บก แตด่ ว้ ยองคพ์ ระพทุ ธปฏมิ า มสี ณั ฐานใหญม่ ากไมส่ ามารถผา่ นประตพู ระนครได้ ถงึ กบั ตอ้ งรอื้ ประตแู ละก�ำ แพง พระนครช่วงนั้นลง จากบริเวณริมแม่น้ําได้โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังกระบวนอัญเชิญ องค์พระพุทธปฏมิ าอยา่ งย่ิงใหญ่ ประกาศให้ราษฎรสองขา้ งทางผ่านแตง่ โตะ๊ หมู่ บชู าถวายสักการะเป็นพทุ ธบชู า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวี พระเจ้าน้องนางเธอใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเล่าไว้ในจดหมายเหตุ ความทรงจำ�ของพระองค์ว่าเวลาน้ันองค์พระปฐมบรมราชจักรีวงศ์มีพระชนมายุ ล่วงมาถึง ๗๒ พรรษา และกำ�ลังทรงพระประชวรมาก แต่พระราชศรัทธา และความเคารพในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์น้ันแรงกล้านัก ทรงพระดำ�เนินด้วยพระบาทเปล่าตามกระบวนแห่พระมาด้วย เพื่อจะนำ�ไป ประดษิ ฐานยงั พนื้ ทที่ มี่ พี ระราชปรารภจะสรา้ งพระวหิ ารใหญท่ กี่ ลางพระนครนน้ั เมื่อกระบวนแห่พระถึงจุดหมาย ได้ทอดพระเนตรเห็นการเชิญองค์พระพุทธ ปฏิมาขึ้นประดิษฐานทันพระราชประสงค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า “สิ้นธุระแล้ว” จากน้ันไม่นานก็เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ นับเป็นพระราชภาระสุดท้าย ในการ “ยอยกพระพุทธศาสนา” ในพระชนม์ชีพขององค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ พระพุทธปฏิมาองค์น้ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถวายพระนาม วา่ “พระศรศี ากยมุนี” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้มีเหตุการณ์ทาง พระพุทธศาสนาที่ส่งเสริมการบำ�รุงศาสนวัตถุของพระมหากษัตริย์เกิดขึ้น เริ่ม ตั้งแต่การที่พระสงฆ์ชาวลังการูปหน่ึง ชื่อพระสาสนวงศ์ ได้อัญเชิญพระบรม สารีริกธาตุกับหน่อต้นโพธ์ิซ่ึงพระสังฆราชาแห่งลังกาฝากเข้ามาถวายพระบาท 183

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 184

สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั มพี ระราชด�ำ รวิ า่ พระสงฆใ์ นลงั กากเ็ ปน็ สมณวงศ์ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร แบบเดียวกับพระสงฆ์ไทย เคยมีสัมพันธไมตรีติดต่อกันมาช้านาน ประกอบ กับพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปเส่ือมทรุดเศร้าหมองลง เพราะลังกาตกเป็น อาณานิคมของอังกฤษ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งสมณทูตคณะหน่ึง ประกอบด้วย พระสงฆ์จำ�นวน ๙ รูป มีพระอาจารย์ดีและพระอาจารย์เทพเป็นหัวหน้าคณะ ออกไปเยยี่ มเยยี นคณะสงฆใ์ นลงั กาในปี พ.ศ. ๒๓๕๗ พระสมณทตู คณะนีไ้ ดน้ ำ� หนอ่ พระศรมี หาโพธจิ์ ากเมอื งอนรุ าธปรุ ะกลบั มายงั ประเทศสยามจ�ำ นวน ๖ หนอ่ ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั พระราชทานไปปลกู ไวเ้ ปน็ พทุ ธเจดยี ์ ส�ำ คัญทีร่ ัฐกลนั ตัน ๑ ตน้ ทีเ่ มอื งนครศรีธรรมราช ๒ ตน้ และในกรุงเทพมหานคร ๓ ตน้ โดยปลกู ทวี่ ดั สทุ ศั นเทพวราราม วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ และวดั สระเกศ ภาพหน้าซ้าย : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชศรัทธาปฏิสังขรณ์ วัดอรณุ ราชวราราม วัดแจ้ง อันเคยเป็นวัดในเขตพระราชฐานในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เปน็ พระอารามชน้ั เอก เพราะในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ชนิดราชวรมหาวิหาร ให้พระองค์ประทับที่พระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น วัดแจ้งจึง ตั้งอย่ทู างทิศตะวันตก เป็นวัดท่ีติดกับพระราชฐานที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ของแมน่ า้ํ เจา้ พระยา ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งเป็นการใหญ่ดุจสร้างวัดขึ้นใหม่ท้ังหมด ทรงสถาปนา เหนือพระราชวังเดิม พระอุโบสถและพระวิหาร ทีส่ ำ�คญั ยงิ่ คอื ทรงใชท้ กั ษะและพระปรชี าสามารถใน การช่างของพระองค์เองสร้างงานพุทธศิลป์ช้ินสำ�คัญในวัดแห่งน้ี คือทรงป้ันหุ่น เปน็ วดั โบราณ พระพกั ตรพ์ ระพทุ ธปฏมิ าประธานในพระอโุ บสถ ซงึ่ ตอ่ มาไดร้ บั การถวายพระนาม สร้างแต่คร้ังกรุงศรีอยธุ ยา ว่า “พระพุทธธรรมมศิ รราชโลกธาตดุ ลิ ก” เดิมเรียกวดั มะกอก การปฏิสังขรณ์วัดแจ้งแล้วเสร็จลงในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โปรดเกล้าฯ ต่อมาเรียกวดั มะกอกนอก และ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” (ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปลย่ี นชอื่ เปน็ “วดั อรณุ ราชวราราม”) นอกจากวดั เปลี่ยนชื่อเป็นวดั แจง้ อรุณราชวรารามแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังทรงสานต่อ ในสมัยกรุงธนบรุ ี นบั เปน็ งานสร้างพระวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระโตในบริเวณศูนย์กลางราชธานี ซึ่ง พระอารามในเขตพระราชฐาน การค้างมาต้ังแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสถานทีท่ ีส่ มเด็จ ไดด้ �ำ เนนิ การจนยกเครอ่ื งบนแลว้ เสรจ็ และส�ำ เรจ็ บรบิ รู ณเ์ ปน็ วดั สทุ ศั นเทพวราราม พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีเสด็จมา ได้ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่หัว ทรงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อยู่บ่อยครง้ั ครนั้ ถึงรชั กาลที่ ๑ แหง่ กรุง รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครัง้ ยังดำ�รงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้ทรงสรา้ งพระอโุ บสถใหม่ สำ�เรจ็ ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ เมือ่ เสด็จขึน้ ครองราชยแ์ ล้ว โปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน นามวัดว่า วดั อรณุ ราชธาราม ภายหลังเปลีย่ นชื่อเป็น วัดอรุณราชวราราม พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชศรัทธาย่ิงในการสร้าง งานพุทธศิลป์ ก่อให้เกิดงานพุทธศิลป์แขนงต่างๆ อย่างมหาศาล ทั้งงานด้าน 185

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 186

สถาปัตยกรรม จติ รกรรม ประติมากรรม และประณีตศลิ ป์ การสร้างศาสนวัตถุ ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ในพระพทุ ธศาสนาในรชั กาลนน้ี น้ั มพี ระราชนยิ มการสรา้ งวดั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลขององค์ ประกอบทางสถาปตั ยกรรมแบบจนี และตะวนั ตกประสมกนั จนเกดิ ลกั ษณะทเ่ี รยี ก กนั วา่ “วดั นอกอยา่ ง” เปน็ สถาปตั ยกรรมอนั โดดเดน่ เปน็ พระราชนยิ มในรชั กาลนี้ ทรงสร้างวัดขึ้นใหม่ ๓ วัด ได้แก่ วัดเฉลิมพระเกียรติ ที่เมืองนนทบุรี ทรงพระราชอุทิศพระราชทานพระชนกและพระชนนีของสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยท่านท้ังสองมีเคหสถานอยู่ตรงบริเวณท่ีสร้าง ขนึ้ เป็นวดั นั้น วัดทีส่ องคอื วดั เทพธดิ าราม สร้างเป็นพระเกียรตยิ ศพระราชทาน พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดา พระองค์โปรด และวัดทส่ี ามที่สร้างข้ึนค่กู บั วดั ท่ีสองคอื วดั ราชนัดดาราม สรา้ ง พระราชทานเป็นพระเกยี รติยศพระเจา้ หลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนสั วฒั นาวดี สวขสทใสัดมบอใทไคาหจเ๒ัพจนดมงรลมทเพกมใดือรอมดอคโ๓ไหาพส้ชาซกูื่อรางนอินรขดสม่ทช็จมรถกกทม้กยั๖สงรมึ่งยเะคงภทลก้ทมทาโพปั้งทหึสงหรรัยชา๓ัพถอคา่ารอนารมลพรเวอมม็นรรอยรนยมรเาางั้์ดพล์รงทับดัธกเไรงะา้(หหชัทปวรงดุกพะาจ็บสมยัใปตมอะวจนงาใดัากหยมมีท่พนเเพพารพูรือ่หกอ่รอแา่าญปอขม่ังเาถมืืนน่่รรกา้อณัการทรกกรตมรมาเรภ้ามน็หลางวจึงกว่เเรชตมะะแรงุะรีด่่ามป่่แาปจจาทยวมทพลดัา่นมเลเพกาารทละแคา่ลาพรจดัทษษกฏวอวรจี่รมมบหา้าบาะกทุนร๒ือาะา้ัดทงาพหทฎฎงะอิสเชเรตทมรุงวก่เพถธลมจชเรรีม่ทมดพังันาาทมอพพีนฝนำำืน่ฏเวูก้าือ่ใวาาร�พ�ขบบีมลิมทัพธ้าหราพไน่ังรรทื่อาเอชชระวยยรปรนดดาจซิาศิษธชะะอายคิธวงัพเ่ายโโณากะพพกสจษนบบิินนนน้หาื่อออจฐงิหไเีเรเู่หเเทปบมอ่กยขดิช.ธบททฎาาาา์ววคารรรลงั้จาศัวพัททึน็้นนนน่มมิกกดััดัดีืยอยอัสสุรรรรรา้าา้ ):.ีีี์์้์ นอกจากวัดท่ีทรงสร้างใหม่ท้ังสามวัดแล้ว พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจา้ อยู่หัวมีพระราชศรัทธาบูรณปฏิสงั ขรณว์ ดั อีกถงึ ๓๓ วัด ในหลายวดั เป็นการ ปฏิสังขรณ์ใหญ่เหมือนสร้างขึ้นใหม่ วัดที่ทรงบูรณะเป็นวัดแรกคือวัดจอมทอง อันเป็นวัดโบราณอยู่ริมคลองด่านบางขุนเทียน พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์วัดน้ี ตง้ั แตย่ งั เปน็ พระเจา้ ลกู ยาเธอในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และไดร้ บั พระราชทานนามวดั จากสมเดจ็ พระบรมชนกนาถวา่ วดั ราชโอรสาราม ถอื เปน็ วดั แรกทที่ รงน�ำ สถาปตั ยกรรมและการตกแตง่ อาคารตามกระบวนแบบจนี มาใช ้ ในระหวา่ งการกอ่ สรา้ งไดเ้ สดจ็ ไปทรงคมุ งานดว้ ยพระองคเ์ องโดยสมาํ่ เสมอ ท�ำ ใหก้ ารกอ่ สรา้ งเปน็ ไปโดยฝมี อื ชา่ งอนั ประณตี ถงึ ขนาดทนี่ ายจอหน์ ครอฟอรด์ ราชทูตอังกฤษท่ีเข้ามาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกล่าว ชมฝมี อื การกอ่ สรา้ งวา่ งามนกั และทสี่ �ำ คญั งานสถาปตั ยกรรมของวดั ราชโอรสาราม ยงั เปน็ ตน้ แบบใหพ้ ระราชวงศ์ ขา้ ราชการชน้ั ผใู้ หญ่ และคหบดอี น่ื ๆ น�ำ ไปดดั แปลง สร้างวดั อ่ืนๆ โดยเสดจ็ พระราชกศุ ลอีกหลายวัด วัดพระศรีรัตนศาสดารามในเขตพระราชฐานท่ีสร้างมาแต่รัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชนั้น ถึงรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเสนาสนะต่างๆ ในพระอารามก็เริ่มทรุดโทรมหม่นหมอง โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะสร้างเสริมส่ิงต่างๆ ทั่วท้ังพระอาราม ที่สำ�คัญคือท่ี พระอโุ บสถซง่ึ เปน็ อาคารทใ่ี ชง้ านมากทส่ี ดุ ภายในเขตพทุ ธาวาสแหง่ นน้ั โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลยี่ นตวั ไมโ้ ครงหลงั คาใหมใ่ หม้ น่ั คงขน้ึ แกะสลกั เครอ่ื งบนใหมท่ งั้ ชดุ รวมทงั้ 187

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 188

เปล่ียนกระเบื้องมุงหลังคา ทรงแก้ไขเปล่ียนแปลงลวดลายผนังพระอุโบสถด้าน ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร นอกจากลายเขียนทองบนพ้ืนแดงเป็นประดับกระเบ้ืองดินเผาลายนูนแล้วลงรัก ปิดทองประดับกระจก เกิดเป็นลวดลายที่งดงามวิจิตรยิ่งนัก ส่วนผนังภายใน พระอุโบสถก็โปรดให้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังใหม่ทั้งหมดเป็นเร่ืองพระปฐม สมโพธิ คงรักษาไว้แต่ภาพไตรภูมิบนผนังด้านหลังบุษบกพระพุทธมหามณีรัตน ปฏมิ ากรเท่านนั้ เพราะฝมี อื ชา่ งเขียนเดมิ งดงามประณีตยิ่ง ภาพหน้าซ้าย : วัดคู่กรุงรัตนโกสินทร์อีกวัดหน่ึงที่พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว วิหารพระพทุ ธไสยาสน์ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซ่ึงได้รับการปฏิสังขรณ์ ครง้ั ใหญเ่ มอื่ แรกสรา้ งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ แตเ่ มอ่ื เวลาลว่ งมาถงึ รชั สมยั ของพระองค์ วัดพระเชตพุ นวิมล ถาวรวัตถุต่างๆ ก็เร่ิมปรากฏความทรุดโทรมเศร้าหมองเป็นท่ีทรงสลดพระราช มังคลาราม สรา้ งในรชั สมัย หฤทัย จึงมีพระราชศรัทธาให้บูรณปฏิสังขรณ์ข้ึนใหม่อย่างเกือบจะเป็นการ พระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้า สร้างใหม่ท้ังวัด ทรงขยายเขตพระอาราม สร้างพระอุโบสถใหม่ให้สูงใหญ่ เจา้ อยหู่ ัว เพื่อประดิษฐาน กว่าเดิม สร้างพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างพระมณฑปสำ�หรับประดิษฐาน พระไตรปิฎกธรรม สร้างศาลาการเปรียญใหม่จากเคร่ืองไม้เป็นอิฐปูน สร้าง องคพ์ ระพุทธไสยาสน์ พระมหาเจดีย์สององค์ทรงพระราชอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ทีท่ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ นภาลัยและเป็นพระราชกุศลในส่วนพระองค์ ตลอดจนสร้างกุฏิสงฆ์และหอไตร ใหส้ ร้างขึ้นกอ่ น แลว้ จึงสร้าง ในเขตสงั ฆาวาสขน้ึ ใหม่ทง้ั หมด ทรงใช้เวลาในการบูรณปฏสิ งั ขรณ์วดั พระเชตพุ น วมิ ลมังคลารามถึง ๑๖ ปี พระวิหารภายหลงั วัดพระโตหน้าเสาชิงช้าที่กลางพระนคร ซึ่งการก่อสร้างเริ่มข้ึนตั้งแต่ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จ พระพุทธไสยาสน์ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงกอ่ สรา้ งพระวหิ ารหลวงจนแลว้ เสรจ็ แตก่ ารกค็ า้ งอยู่ เปน็ พระพุทธรูปกอ่ อิฐถือปูน เพยี งนน้ั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอย่หู วั มีรับส่งั ว่า “ต้องทำ�ใหส้ ำ�เร็จเปน็ ลงรักปิดทอง ด้านพระพักตร์ วัดขึ้นให้ได้” จึงมีพระราชศรัทธาสร้างพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏ มากอ่ นในประวตั กิ ารกอ่ สรา้ งอโุ บสถวหิ ารในสยามประเทศ สรา้ งศาลาการเปรยี ญ สงู ๑๕ เมตร ทอดพระองค์ กุฎีวิหาร และหอไตร ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อการแล้วเสร็จเป็นวัดขึ้นได้ดังท่ี ยาว ๔๖ เมตร ที่พระบาท เคยรับสั่งตั้งปฏิญาณไว้ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาพระราชาคณะและสงฆ์ สูง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร จ�ำ นวนหนึง่ เขา้ อยูจ่ ำ�พรรษา แล้วพระราชทานนามวา่ “วดั สทุ ัศนเทพวราราม” พระบาทประดับมกุ ภาพ มงคล ๑๐๘ การกอ่ สรา้ ง “พทุ ธเจดยี ”์ เปน็ การสรา้ งพทุ ธศาสนวตั ถทุ ส่ี �ำ คญั อกี สง่ิ หนง่ึ นอกเหนอื ไปจากการสรา้ งอโุ บสถวหิ ารของพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระองคเ์ ปน็ “ปราชญร์ ธู้ รรม”ผเู้ ขา้ พระราชหฤทยั ในหวั ขอ้ ธรรมตา่ งๆอยา่ งถอ่ งแท้ 189

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 190

จนสามารถท่ีจะทรงนำ�ธรรมหมวดต่างๆ ในพระพุทธศาสนามาถ่ายทอดเป็น ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร โครงสร้างของพุทธเจดีย์ต่างๆ ที่จำ�นวนหน่ึงมิได้มีรูปทรงเป็นสถูปเจดีย์ตามคติ ท่ีเคยปรากฏมาในยุคสมัยก่อนๆ ดังเช่น โลหะปราสาท ซึ่งทรงสร้างขึ้นท่ีวัด ราชนดั ดาราม เพอ่ื ใหเ้ ป็นโลหะปราสาทหลังทส่ี ามในโลก ต่อจากทส่ี ร้างขึ้นแลว้ ในชมพทู วปี และลงั กาทวปี เปน็ พระพทุ ธเจดยี ท์ ส่ี รา้ งขนึ้ เปน็ ทรงปราสาท ซงึ่ ทรง กำ�หนดใหเ้ ปน็ ปราสาทสามชั้น มจี ำ�นวนยอดปราสาท ๓๗ ยอด ซงึ่ ทรงก�ำ หนด ให้แทน “พระโพธปิ ักขยิ ธรรม ๓๗ ประการ” พระเจดีย์ที่มีฐานทำ�เป็นรูปเรือสำ�เภาจีนท่ีทรงสร้างขึ้นที่วัดยานนาวา นน้ั เลา่ กม็ ไิ ดส้ รา้ งขน้ึ เพราะเหตหุ ลกั ทมี่ พี ระราชประสงคจ์ ะรกั ษาแบบโครงสรา้ ง ของเรือสำ�เภาจีนซ่ึงเคยใช้เป็นยานพาหนะในการค้าทางทะเลของสยามประเทศ มาหลายศตวรรษใหม้ หาชนรุ่นหลังได้เหน็ แตเ่ ป็นเหตจุ ากพระราชประสงคท์ ่จี ะ ใหเ้ ปน็ สญั ลกั ษณข์ อง “โลกตุ รนาวา” อนั สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเปรยี บ พระองค์เองกับเรือใหญ่ที่จะขนสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งวัฏสงสาร คือการเวยี นวา่ ยตายเกดิ ภาพหน้าซ้าย : โลหะปราสาท ยังอีกสัตตมหาสถานเจดีย์ที่ทรงสร้างขึ้นท่ีวัดสุทัศนเทพวราราม ก็มิได้ วัดราชนัดดาราม พระบาท มรี ปู แบบของสถปู เจดยี แ์ ตอ่ ยา่ งใด เปน็ เพยี งแตท่ รงท�ำ ทปี่ ลกู ตน้ ไมย้ นื ตน้ เจด็ ชนดิ อนั ปรากฏในพระพทุ ธประวตั วิ า่ ภายใตร้ ม่ เงาแหง่ ไมย้ นื ตน้ ทง้ั เจด็ อนั มตี น้ พระศรี สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว มหาโพธเ์ิ ปน็ ปฐมนนั้ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดป้ ระทบั ตรสั รพู้ ระอนตุ รสมั มา โปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งขึ้นใน สัมโพธิญาณและเสวยวิมุตติสุขอยู่ด้วยกันถึง ๗ วาระ สัตตมหาสถานเจดีย์ของ พ.ศ. ๒๓๘๙ แทนการสรา้ ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเป็นสัญลักษณ์เตือนให้พุทธศาสนิกชน มีจติ น้อมน�ำ ยดึ ม่ันในสมเด็จพระบรมศาสดา พระเจดียเ์ ชน่ พระอารามอื่น นบั เปน็ โลหะปราสาท การก่อสร้างพระพุทธเจดียสถานอันปรากฏเป็นพระเกียรติยศอย่างที่สุด ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั คอื การสถาปนาพระพทุ ธปรางค์ องค์ที่ ๓ ของโลก นับจาก วัดอรุณราชวราราม พระพุทธปรางค์องค์นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า อินเดียและศรีลังกา นภาลัยมีพระราชปรารภจะให้สร้างขึ้นในวัดอรุณราชวรารามซึ่งทรงบูรณ- ปฏิสังขรณ์ใหม่ ซ่ึงแต่เดิมมีพระปรางค์สูงประมาณ ๑๖ เมตรอยู่มาก่อนน้ัน มีลักษณะทางศิลปกรรม แต่มีพระราชประสงค์จะสร้างเสริมให้สูงข้ึนอีก เพื่อเป็นศรีสง่าแก่พระมหานคร และสถาปัตยกรรมเป็น แตเ่ ม่อื ทรงวางแผนผงั และโครงร่างพระปรางคอ์ งคใ์ หม่ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ รวมทั้ง แบบไทย โดยปราสาท ๓ ชน้ั ได้ร้ือพระปรางค์องค์เดิมลง และขุดดินวางรากฐานพระพุทธปรางค์องค์ใหม่ มี ๓๗ ยอด สือ่ ความหมายถึง ไปบ้างแล้ว ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโพธิปกั ขิยธรรม 191 ๓๗ ประการ

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 192

จึงโปรดเกลา้ ฯ ให้ด�ำ เนินการสรา้ งพระปรางค์ตอ่ ได้เสด็จพระราชดำ�เนนิ มาทรง ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร ก่อพระฤกษ์เมื่อวันท่ี ๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๘๕ หลังจากนนั้ การกอ่ สร้างก็รุดหน้า ไปดังพระราชประสงค์ สำ�เร็จจนถึงยกยอดนภศูล ท้ังได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อ พระมหามงกุฎสวมไว้บนยอดนภศูลอีกชั้นหนึ่ง แต่ไม่ทันจัดงานฉลองสมโภช กส็ น้ิ รชั กาลของพระองค์เสยี กอ่ น พระพุทธปรางค์วัดอรุณราชวรารามตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่นํ้า เจ้าพระยา ลักษณะรูปทรงสัณฐานของพระพุทธปรางค์องค์นี้สร้างได้สัดส่วน งดงาม เป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของสถาปัตยกรรมพุทธปรางค์ของไทย มีความสูง ๘๑.๘๕ เมตร วัดรอบฐานได้ ๒๓๔ เมตร มีการก่อสร้างถาวรวัตถุ ประกอบอยู่โดยรอบพระพุทธปรางค์ประธาน ได้แก่ พระปรางค์ทิศอยู่ตรงมุม ท้ัง ๔ ทิศ พ้ืนท่ีระหว่างพระปรางค์ทิศทั้งสี่สร้างพระมณฑปทิศ ๔ องค์ ภายในพระมณฑปแต่ละองค์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางปฐมเทศนา และปางปรินพิ พาน ตามลำ�ดับ ภาพหน้าซ้าย : พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชศรัทธาในการสร้าง พระพทุ ธไตรรตั นนายก พระพุทธปฏิมาเป็นอย่างยิ่ง ความเป็นปราชญ์รู้ธรรมของพระองค์ทำ�ให้ทรงมี พระประธานในพระวิหาร ความรแู้ ละเขา้ พระราชหฤทยั พระพทุ ธประวตั แิ ละพระพทุ ธจรยิ วตั รอยา่ งถอ่ งแท้ หลวงวัดกลั ยาณมิตร เป็น ทรงทูลขอสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ให้ทรงช่วยคิด พระพุทธรูปปางมารวิชัย แบบพระพุทธรูปปางต่างๆ จากอากัปกิริยาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ ทีป่ รากฏในพระสตู รตา่ งๆ ทีบ่ นั ทึกถึงพระพทุ ธจรยิ วตั ร จนเกดิ เป็นพระพทุ ธรปู ปางต่างๆ ได้ถึง ๓๔ ปาง การสร้างพระพุทธปฏิมากรขนาดใหญ่ซึ่งแสดงถึง เจ้าอยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ บุญบารมีของผู้สร้างนั้น พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้ึน ให้สรา้ งและพระราชทานนาม หลายองค์สำ�หรับเป็นพระประธานในวัดที่ทรงสร้างหรือปฏิสังขรณ์ ที่สำ�คัญคือ วา่ “พระพุทธไตรรตั นนายก” พระประธานในพระอโุ บสถวดั ราชโอรสาราม วดั สทุ ศั นเทพวราราม วดั ราชนดั ดาราม วัดนางนอง และวัดเฉลิมพระเกียรติ รวมทั้งพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ใน หากประชาชนทัว่ ไปมกั วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม และพระโตซึ่งเป็นพระประธานในพระวหิ ารหลวง เรียกขานในนามหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร กล่าวกันว่าพระพุทธปฏิมาประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศน เทพวรารามน้ันเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ หน้าตัก หรือหลวงพ่อซำ�ปอกง กวา้ งถึง ๑๐ ศอก ๘ นิว้ ในราชส�ำ นกั นน้ั พระพทุ ธรปู ส�ำ คญั ทท่ี รงสรา้ งเปน็ พระพทุ ธรปู ยนื ทรงเครอ่ื ง พระเจ้าจักรพรรดิราชขนาดใหญ่ ทรงเครื่องงดงามอันประมาณค่ามิได้คือ 193

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 194

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานไว้ใน ัร ต น โ ก ิส น ท ์ร พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เหตุท่ีทรงสร้างพระพุทธรูปสององค์นี้ ก็โดยทรงพระราชดำ�ริท่ีจะถวายพระนามแผ่นดินแด่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช แผ่นดินท่ี ๑ และสมเด็จพระบรมชนกนาถ แผน่ ดินที่ ๒ ความเป็น “ปราชญ์รู้ธรรม” ของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำ�ให้ทรงทราบเรื่องราวจากคัมภีร์และพระสูตรต่างๆ เก่ียวกับพระพุทธประวัติ และชาดกต่างๆ ประวัติของพระอรหันตสาวกและพระภิกษุณีสาวกองค์สำ�คัญ ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะคือเป็นเลิศในด้านการปฏิบัติศาสนกิจ ต่างๆ รวมไปถึงประวัติของอุบาสกอุบาสิกาคนสำ�คัญในประวัติศาสตร์ของ พระพทุ ธศาสนา รวมทงั้ เรอ่ื งราวของการประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาในดินแดน ตา่ งๆ มพี ระราชศรทั ธาใหช้ า่ งเขยี นน�ำ เรอื่ งราวในพระพทุ ธศาสนาเหลา่ นมี้ าเขยี น ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวิหารของพระอารามต่างๆ ท่ีทรงสร้างและ บูรณปฏิสังขรณ์ ที่สำ�คัญคือ จิตรกรรมภาพพระพุทธประวัติในพระอุโบสถ วดั พระศรีรตั นศาสดาราม จิตรกรรมภาพประวตั พิ ระอดีตพทุ ธเจา้ ๒๘ พระองค์ ในวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม จิตรกรรมภาพประวัติพระปัจเจกพุทธเจ้า ในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม จิตรกรรมภาพประวัติพระอรหันตสาวก ท่ีพระพุทธองค์ทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน จิตรกรรมภาพประวัติพระภิกษุณีสาวกที่เป็นเอตทัคคะด้านต่างๆ และประวัติ อุบาสกอุบาสิกาคนสำ�คัญในพระพุทธศาสนาในพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพน และจิตรกรรมภาพนิบาตชาดก หรือเรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติ ในพระอุโบสถวดั เครอื วัลย์วรวิหาร ภาพหน้าซ้าย : ในการเขียนภาพจติ รกรรมฝาผนังเหลา่ น้ี เกอื บทกุ แห่งไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้ จิตรกรรมพระพุทธประวัติ ท�ำ ศลิ าจารกึ เล่าเรอื่ งก�ำ กับไวแ้ ตล่ ะภาพ ขอ้ ความในจารึกเหลา่ นน้ั เปน็ ภาษาไทย ผลงานของนายชีพ ดิสโร ทม่ี ถี อ้ ยค�ำ สละสลวย อา่ นเขา้ ใจงา่ ย จงึ เปน็ สง่ิ ทสี่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้โปรดเกล้าฯ ให้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่าน้ีขึ้น สำ�นักช่างสิบหมู่ ศิลปะ เพ่ือประดับตกแต่งโบสถ์วิหารเป็นหลัก แต่เขียนขึ้นเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มี รัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โอกาสศกึ ษาเรอ่ื งราวตา่ งๆ ทางพระพทุ ธศาสนาทไี่ ดร้ บั การแสดงออกมาเปน็ ภาพ เลา่ เรอ่ื งตามแนวทางอยา่ งไทย อนั เปน็ อบุ ายวธิ สี �ำ คญั ทจ่ี ะท�ำ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไทย สามารถรแู้ ละเขา้ ใจเรอื่ งราวตา่ งๆ ทป่ี รากฏในคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาทไี่ มอ่ าจ เกดิ ขึน้ ไดจ้ ากการอ่านพระคัมภรี ์เหลา่ นั้น ซง่ึ ได้รับการบนั ทกึ เปน็ ภาษาบาลหี รือ ภาษาไทยระดับสงู ได ้ 195

พระมหากษัตริยไ์ ทยกับพระพทุ ธศาสนา 196