เจรญิ ดี พลงั งานชวี ะของพชื มแี ค“่ กา� หนดร”ู้ เรยี กวา่ “สญั ญา” แลว้พืชเองมันก็สังขารชีวิตของมันไปเท่าน้ัน และมีตาย ตายไปก็ไม่มีจองเวร-จองกรรม “สัญญา”และ“สังขาร”ของ“พีชนิยาม”จึงไม่มีพลังงานท่ีหวือหวานอกกรอบที่ตนมีตนเป็น ไม่ต่�าไม่สูงจนเป็นผลเสียผลดีอะไรเกนิ ทเ่ี คยมี พลงั งานทา� งานไปสมา่� เสมออยตู่ ลอดกาลนาน จงึไม่เปน็ ภยั แกโ่ ลก เพราะมแี ค“่ รูป-สญั ญา-สังขาร” ส่วน“โลกชีวะที่ถึงข้ันวิญญาณ”ท่ีมีรูป,เวทนา,สัญญา,สงั ขารและวญิ ญาณ ทบ่ี าลวี า่ “จติ นยิ าม”นน้ั กม็ คี รบทง้ั “รปู และนาม”ครบ“ขนั ธ์ ๕” ซงึ่ ม“ี เวทนา”และม“ี วญิ ญาณ”นเ่ี องทเ่ี ปน็ ตวั เลวทรี่ า้ ยไดส้ ดุ ๆ และเป็นตวั ดีทม่ี คี ุณคา่ ประโยชน์ได้สงู สุดวิเศษยิ่งจริงๆนะ เพราะม“ี เวทนา”และ“วญิ ญาณ”นแ้ี หละตวั การใหญ่ ทท่ี า� ให้“จิตนิยาม”ถึงข้ันได้ชื่อว่า “ผู้สร้างโลก-สร้างจักรวาล” หรือ“ผู้ท�าลายโลก-ทา� ลายจกั รวาล” (จบฉบบั ที่ ๒๙๘) เราก�าลังพูดถึงประเด็นที่ส�าคัญมีนัยะลึก มันละเอียดซบั ซอ้ นอยา่ งยงิ่ นน่ั คอื ประเดน็ ทว่ี า่ “ฌาน ๔”ท“ี่ ไดโ้ ดยความยาก”(กิจฉะ)“ได้โดยความล�าบาก”(กสิระ) กับ“ฌาน ๔”อีกชนิดหนึ่งท่ีเป็น“ฌาน ๔”ของพระพุทธเจ้าที่ทรงยืนยันว่า “ได้โดยไม่ยาก”(อกิจฉลาภี) “ได้โดยไมล่ า� บาก”(อกสริ ลาภี)250 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
และได้อธิบายสาธยายไปถึงความเป็น“โลก” ซึ่งหมายถึงสภาวะหนึ่งๆท่ีมีมวลธาตุรวมกันขึ้นมา และองค์รวมน้ันพากันเคลอ่ื นไปเป็นอาการอย่ใู นเอกภพ เกิดวงโคจรเองบา้ ง อาศยั ไปกับหมู่อ่ืนท่โี คจรอยบู่ า้ ง และแตล่ ะความเปน็ “โลก” มมี หาภตู ๔ ประกอบกนั ยดึ กนั อยู่เปน็ องคร์ วม ซง่ึ จบั ตวั กนั ขนึ้ เปน็ รปู รา่ ง ดว้ ยพลงั งานทไ่ี มเ่ ปน็ “ชวี ะ”(อชวี ติ นิ ทรยี )์ เรยี กวา่ “สรรี ะ” กเ็ ปน็ รปู รา่ งของขนั ธ(์ รปู ขนั ธ)์ -ของธาตุ(รปู ธาต)ุ ท่ยี ังไมเ่ รยี กว่า“กาย” เพราะเปน็ มวลทเี่ ป็นแค่วตั ถุ ถ้าเปน็ มวลประกอบขึ้นเปน็ องคาพยพของมนษุ ยพ์ ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ มถี งึ ๓๒ อาการ[ทวตั ตงิ สาการ] รวมกันอยู่ ตง้ั แตภ่ ายนอก“ผม-ขน-เลบ็ -ฟนั -ผิวหนัง” ท่ยี งั ไม่นบั วา่ เป็น“กาย” “ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-ผิวหนัง”คือส่วนที่ไม่นับว่าเป็น“กาย” เพราะสว่ นนน้ั “พน้ ”ออกมาจากวง“โคจร”ของ“รปู และนาม” แม้แต“่ ประสาท”ของ“ผม-ขน-เลบ็ -ฟนั -ผวิ หนัง”สว่ นน้นั กไ็ มม่ ี“จติ -มโน-วิญญาณ”เข้าไปท�าหนา้ ทด่ี ้วยแลว้ แตเ่ พราะ“ผม-ขน-เลบ็ -ฟนั -ผวิ หนงั ”นี้ เชอ่ื มตดิ อยเู่ ปน็ รา่ ง(คอื สรีระ แต่ไมใ่ ช่กาย)ในองคาพยพของความเปน็ มนษุ ย์ ยงั ติดอยกู่ ับส่วนทีย่ ังม“ี ปสาทรูป” และยังมี“โคจรรปู ” ถ้า ๒ รปู นี้ ไม“่ สัมผัส”กันจนเกดิ “อายตนะ”ให้“วญิ ญาณ”เกดิ ขนึ้ ร่วมครบ“สัมผัส ๓”เปน็ “องค์รวม” ก็ไมม่ ี“กาย”เกิด พลังงานทางฟิสิกส์ที่ท�าหน้าที่อยู่ในอาการ ๓๒ น้ีเป็นพลงั งาน“อตุ นุ ยิ าม” มอี ยปู่ ระจา� ตงั้ แตย่ งั ไมเ่ ปน็ “ชวี ะ” และกระทง่ั251 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
เปน็ “ชวี ะ” แตห่ ากยงั ไมถ่ งึ ขดี แหง่ ความเปน็ “จติ นยิ าม”กน็ บั วา่ เปน็“ชีวะ”ข้ัน“พีชนยิ าม” พระพุทธเจ้าทรงนิยามหรือจ�ากัดความความเป็น“ชีวะ”ในองคาพยพไว้ ๒ ประเภท ประเภทหนงึ่ ขัน้ หน่งึ คอื “พชี นยิ าม” อกี ประเภทหน่ึงคอื “จิตนยิ าม” พลังงานท่ีประกอบกันอยู่ยังไม่ครบถ้วนพอ เรียกว่า“เวไนยสัตว์หรอื มนษุ ยห์ รอื เทวดา” เพราะยังไมม่ ี“ภาวะถงึ ขนั้ สรู ”(สรุ ภาโวหรอื สรุ กาย) ประชมุ กนั เตม็ พรอ้ มถงึ ขน้ั “ตาวตงิ สาการ”(อาการ ๓๓)ซง่ึ ทา่ นนบั เอาตงั้ แต“่ ผม-ขน-เลบ็ -ฟนั -ผวิ หนงั ...ไปจนถงึ เนอ้ื -เอน็ -กระดูก...กระท่ังถึงน้�ามูก-ไขข้อ-มูตร-มันสมอง”พร้อมท้ัง“สัญญาและใจ” ทเี่ ปน็ องคาพยพของความเปน็ “ชวี ะ” พลงั งานนนั้ กย็ งั ไมใ่ ช่พลงั งานระดับ“จติ นยิ าม” พลังงานแห่ง“ชีวะ”น้ันก็คือ พลังงานระดับ“พีชนิยาม”เทา่ นนั้ พลังงาน“พีชนิยาม”นั้นมีหน้าท่ี“ก�าหนดรู้”(สัญญา)ว่าอะไรเปน็ อะไรตามรหสั “ความจา� ” (สญั ญา)ของอาการแตล่ ะอาการ “ชวี ะ”ของ“พีชนิยาม”กค็ อื ท�าหน้าท่ีใหม้ “ี ชีวะ”ตามรหสั แห่งภาวะแตล่ ะอาการน้ันๆ จัดการสร้างปรุงแต่ง(สังขาร)ให้“เกิด”ด้วยอาหาร ให้“เปน็ ”ภาวะตามที่ตนมีรหสั เทา่ นน้ั ได้อาหารมาก็เอา ไม่ได้ก็ไม่หงุดหงิด-ไม่ร�าคาญหรือไม่อดึ อัดกงั วลใดๆเลย พลงั งาน“พชี นยิ าม”นยี้ งั ไมม่ “ี อารมณช์ อบหรอื อารมณช์ งั ”252 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
ยังไมถ่ ึงข้ัน“ยดึ เปน็ ตนหรอื ทา� รา้ ยส่งิ ท่ีไมใ่ ช่ตน” ขณะนี้เราก�าลังถอดรหัสพันธุกรรมของจิตวิญญาณ หรือก�าลังถอดรหัส DNA ของจิตวิญญาณให้ละเอียดย่ิงข้ึนเข้าไปถึง“จโี นม” (genome) ใหเ้ หน็ ความเป็นพลงั งานทีล่ กึ ย่งิ ซบั ซ้อนย่ิงของจิตวิญญาณว่า มันมอี ีกมากกวา่ มาก ใน DNA ของจติ วิญญาณท้งัหลาย ตามความตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า “พีชนิยาม”มีพลังงานลักษณะแม่เหล็กคือ มีพลังดูดดึงหรือพลังงานลักษณะไฟฟ้าคือ ย่อยสลายและสร้างสรรภาวะแห่งเผา่ พันธุ์ทสี่ บื ต่อมาตามรหสั ทีต่ นมีเทา่ นั้น ไม่ไประรานสงิ่ อนื่ ส่วนอน่ื นอกตน นอกจากย่อยสลายเอาส่งิ ทีไ่ ดม้ าแล้วใชส้ รา้ งชวี ะให้ตนเองก่อตวั ใหเ้ กดิ ให้เปน็ อยู่เท่านน้ั “พชี นยิ าม”มี DNA ทช่ี อื่ วา่ “สงั ขาร”แตย่ งั ไมเ่ ขา้ ขน้ั “จติ ”ยงั ไม่เขา้ ขน้ั “วญิ ญาณ” จงึ เปน็ “สงั ขารทไี่ ม่มวี ิญญาณครอง” มนุษย์มี“อาการ ๓๒”(ทวัตติงสาการ)เป็นองคาพยพ บาง“อาการ”เคยเป็น“ชีวะ”ขั้น“พีชนิยาม”มาแล้ว แต่ใน DNA ยังไม่ม“ี ยนี ”ท่เี ขา้ ขนั้ “เวทนาธาตุ” จึงยงั ไม่ชื่อว่า “จิตนิยาม” เพราะยงั ไมม่ พี ลงั งานทม่ี “ี อาการ”ของ“เวทนา” ยงั ไมม่ ีอารมณส์ ขุ หรืออารมณท์ ุกข์นั่นเอง ก็ยังไมเ่ ข้าขนั้ เปน็ วญิ ญาณหรอื จติ “พีชนิยาม”จึงยังไม่มีรักมีชัง ยังไม่มีภัยต่อชีวะใด ยังไม่พยาบาท หรอื ยงั ไมผ่ กู พนั เกนิ รหสั ทต่ี นมี จงึ ยงั ไมเ่ ขา้ ขน้ั “จติ นยิ าม” “อาการ ๓๒”ในคนสว่ นใดทีพ่ ลังงานข้นั “วิญญาณ”เข้าไปทา� งานรว่ มดว้ ยไมไ่ ด้ กไ็ มช่ อื่ วา่ “กาย” สว่ นนนั้ มี DNA แคข่ น้ั “พชื ”253 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
“สังขาร”ที่ยังไม่มี“เวทนา”จึงเป็นแค่ส่ิงที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็น“ชวี ะ”ระดบั หนง่ึ แต่ยงั “ไมม่ ีวิญญาณครอง”(อนปุ าทินนกสงั ขาร) พลงั งานชวี ะระดบั นี้ จึงยังไมม่ “ี วิบากกรรม” ยงั ไมน่ บั วา่“ทา� กรรม”แลว้ มผี ลเปน็ วบิ ากของตน พลงั งานชวี ะระดบั นท้ี า� กรรมแค่ตามรหัสท่ีตนมีเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปกว่ารหัสที่มี ไม่ต้องเปน็ “ทายาทของกรรม” จึงยังไมม่ ี“ผลของกรรม”(วบิ าก)ท่จี ะสบื ตอ่ผูกพนั ไปถึงชวี ิตของมนั ในชาติตอ่ ๆไป เพราะพลงั งานระดบั “พชี นยิ าม”นจ้ี ะไมเ่ อา“ธาต”ุ อนื่ (ปร)ท่ีนอกรหสั มาเปน็ อาหารใสต่ น เนอื่ งจากพลงั งาน“พชี นยิ าม”ยงั ไมม่ ีคุณสมบัตหิ รือยงั ไมม่ ีสมรรถภาพท่พี ิเศษกว่า เกง่ กลา้ กว่าพลังงานที่สูงกวา่ ตน “พลังงานพีชนิยาม”จึงไม่สามารถจะบังอาจเบียดเบียนรกุ ราน“พลงั งานขน้ั จติ นยิ าม”ได้ หรอื จะมองไปในแงว่ า่ “พชี นยิ าม”สภุ าพดี ไม่ไปละลาบละลว้ ง“จิตนยิ าม” กไ็ ด้ ซึ่งแตกต่างจาก“ชีวะ”ท่ีเป็น“จิตนิยาม”ส�าคัญมากในประเดน็ นี้ คอื พลงั งานทเี่ ปน็ “ชวี ะ”ขน้ั “จติ นยิ าม”นน้ั ถา้ มนั มคี วามผยองหรือมันถือดีคะนองถึงขีด มันเบียดเบียนหรือรุกรานชีวะอื่นแมจ้ ะเปน็ “ชวี ะ”ทมี่ ฐี านะสงู สง่ กวา่ ตวั มนั มนั กไ็ มไ่ วห้ นา้ ถา้ มนั เปน็“จิตนิยาม”ท่ีชั่วท่ีเลว เว้นแต่“จิตนิยาม”ที่ดีจึงจะไม่ท�า-ไม่เบยี ดเบยี นรกุ รานผ้อู ื่น “จิตนิยาม”ที่ประเสริฐสูงสุด(อรหันต์)น้ันไม่เบียดเบียนรุกรานผู้ใดเลย และ“พลังงานพีชนิยาม”มันก็ไม่ท�า เด็ดขาด มันยังไม่มี254 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?
“รหัส”น้ีในตัวมัน เพราะมันยังไม่มี“ตัวตน”หรือมันยังไม่ถือตัวถือตนว่าตนใหญ่ตนผยองพองขนจนรนุ แรงถงึ ขดี “สังขาร”ท่เี ป็นชีวะขัน้ “พีชนยิ าม”นีจ้ ึงไมม่ “ี พลังงาน”ทท่ี �าอะไรแปลกแยกออกไปเปน็ “อน่ื อกี ”(อปร) จงึ ยงั ไมม่ “ี อปรโคยาน” ยงัไมเ่ ปน็ พลงั งานทท่ี า� เกนิ หนา้ ท่ี หรอื เกนิ รหสั จากกรอบแหง่ พลงั งานตามรหัสทจ่ี า� กดั ความเป็น“ชีวะ”ขน้ั นม้ี กี รอบขอบเขตอยูแ่ คน่ ้ี จึงเป็นพลังงานที่ใช้พลังงานอยู่ในกรอบของ“สัญญา”และ“สงั ขาร”เท่าน้นั “สัญญา”ของ“พีชนิยาม”นี้คือ ขอบเขต ความสามารถท่ี“ก�าหนดร”ู้ ด้วยสมรรถนะเทา่ นี้ ยังไมม่ คี วามสามารถยิ่งกวา่ น้ีที่จะกา� หนดรู้ภาวะทีส่ งู ส่งกว่าน-้ี ยากกวา่ น้ีได้ ยงั ไมม่ พี ลงั งานกา� หนดรรู้ หสั “อนื่ ”(ปร)-พลงั งานทจ่ี ะทา� งาน“อ่ืน”(ปร)เกินกว่าน้ี และไมม่ พี ลงั งาน“รนุ แรง-รา้ ยกาจ”ทจ่ี ะทา� การรกุ รานหรอืทา� รา้ ยทา� แรง แมแ้ ตเ่ บยี ดเบยี นแกพ่ ลงั งานทง้ั ทส่ี งู กวา่ -ทง้ั ทต่ี า่� กวา่ตวั เอง มันจะยงั ไม่มีพลงั งานอย่างน้ี ซึ่งแตกต่างจาก“จิตนิยาม”ที่มี“สัญญา” แตกต่างจาก“สญั ญา”ของ“พชี นยิ าม”อยา่ งมนี ยั สา� คญั คอื จติ นยิ ามจะมพี ลงั งาน“ละเอียดลึกซ้ึงรอบรู้ชาญฉลาด”ที่จะรู้และจะท�าการเบียดเบียนทา� การรกุ รานหรอื ทา� รา้ ยทา� แรงแก“่ พลงั งานทส่ี งู กวา่ ”ตวั เองกต็ ามทตี่ า่� กวา่ ตวั เองก็ตาม ได้ ถ้าพลงั งานนน้ั ชว่ั หรอื เลว และ“จติ นยิ าม”นนั้ ม“ี สญั ญา”ทแ่ี ตกตา่ งจาก“สญั ญา”ของ“พชี นยิ าม”อยา่ งมนี ยั สา� คญั ประเสรฐิ ยง่ิ กค็ อื จติ นยิ ามจะมพี ลงั งาน255 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
“ละเอียดลกึ ซึ้งรอบรู้ชาญฉลาด”ที่จะท�าการชว่ ยเหลอื สงเคราะห์เกอื้ กลู เสยี สละแก“่ พลงั งานทสี่ งู กวา่ ”ตวั เองกต็ าม ทต่ี า่� กวา่ ตวั เองก็ตาม ได้ ถ้าพลังงานนนั้ ดี เปน็ กศุ ลจิต ดังนั้น “พีชนิยาม”จึงเป็นเผ่าพันธุ์ความเป็น“พลังงาน”อยู่ตามรหัสเดิม ยังไม่มีรหัส“อ่ืน”(ปร)นอกจากรหัสท่ีตนมีอยู่และท�ากรรมกิริยาได้เท่าท่ีตนมีรหัส เหมือนหุ่นยนต์แต่ละตัวที่มีประสทิ ธภิ าพเทา่ ทตี่ นมรี หสั ยงั ไมม่ “ี อปรโคยาน” เพราะมนั ไมม่ รี หสัใดเลยท่จี ะเป็นพาหะพาให้“พีชนิยาม”หรอื ชีวะขัน้ น้ี ใช้พลังงานท�าอะไรออกไปเกินกรอบแห่ง“ชีวะ”ทีต่ นมรี หัสเท่าทตี่ นมี จึงเป็นได้แค่“สังขารท่ีไม่มีกรรมครอง-ไม่มีวิบากครอง” (อนุปาทินนกสงั ขาร) จนกวา่ พลงั งานแหง่ “พชี นยิ าม”นน้ั จะพฒั นากา้ วหนา้ ถงึ ขดีเขา้ ขา่ ย“จิตนยิ าม” “พชี นยิ าม”จงึ ไมส่ ามารถจะมพี ลงั งานเกนิ รหสั ทตี่ นมี อะไรทเี่ กนิ กวา่ “สญั ญา”คอื ความจา� ในรหสั ทช่ี วี ะนม้ี ี มนั ทา� ไมเ่ ปน็ มนั ไมท่ า�จงึ เปน็ “พลงั งาน”ทม่ี อี ตั โนมตั เิ ฉพาะความเปน็ ชวี ะระดบั “พชี นยิ าม”นี้แค่นั้น ยังไม่มีพลังงานดูด(อารมณ์ชอบ,อิฏฐารมณ์)-พลังงานผลัก(อารมณช์ งั ,อนฏิ ฐารมณ)์ ทเี่ กนิ กวา่ รหสั ตนมี มแี ตพ่ ฒั นาตนอยใู่ นตนเทา่ นนั้ แม้จะพบหรือสัมผัสอะไร“อ่ืน”(ปร)เกินกว่ารหัสที่ตนมีแล้วต้องอยากได้(ตัณหา)เพิ่มขึ้นมาปรุงแต่ง(สังขาร)ใส่ความเป็น“ตน”ให้ย่งิ ใหญจ่ ากรหสั ทต่ี นมเี ข้าไปอีก “พชี นิยาม”นยี้ งั ไม่มกี ารยดึ เกินกวา่ ท่กี า� หนดไว(้ สญั ญา)นนั้ หรอื “พชี นยิ าม”มกี ารยดึ วา่ นค่ี อื “เรา” ตามรหสั ถา้ สงิ่ ใดท่ี256 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
ไมใ่ ชเ่ ราเขา้ มาแตะ-เขา้ มาสมั ผสั กจ็ ะไมช่ อบใจ แลว้ กม็ เี จตนาถงึ ขนั้ตอ้ งทา� ลายหรอื ทา� รา้ ยสงิ่ นนั้ อนั เกนิ กวา่ รหสั ทต่ี นมี “พชี นยิ าม”นี้กไ็ มท่ �า “พีชนิยาม”จงึ ปอ้ งกันตัวเองได้นอ้ ยมาก แม้แต่การได้เหตุปัจจัยมาใส่ตนให้เป็น“ชีวะ”อยู่ของ“พชี นยิ าม”นน้ั มนั ก“็ ร”ู้ แคต่ ามรหสั ทกี่ า� หนดแลว้ กท็ า� ในตนเทา่ นน้ั จะมคี วามรสู้ กึ วา่ “หากไดเ้ หตปุ จั จยั มากอ่ เกดิ ความเปน็ ชวี ะตามรหัสท่ีม”ี แลว้ มนั ก็ม“ี ความร้สู ึก”ชอบใจดใี จ เปน็ สขุ กย็ ังไมม่ ี แมแ้ ต“่ ไมไ่ ดม้ าตามรหสั ทมี่ อี ย”ู่ แลว้ เสยี ใจ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ อยา่ งนกี้ ็ไม่มี “พีชนยิ าม”น้ีจงึ ไม่มีท้ังอารมณ์สขุ -ไมม่ ที ั้งอารมณ์ทกุ ข์ ยงัไมม่ ี“เวทนา”ฉะนีแ้ ล ธาตุสังขารข้ัน“พีชนิยาม”น้ีจึงยังไม่ถึงขั้น“วิญญาณ”เพราะพลังงานระดับน้ียังไม่มีความเป็น“เวทนา” ไม่รู้สึกหรือไม่มีอารมณ์ “พีชนิยาม”น้ีจึงไม่มีท้ังความอยากได้มา เกินกว่ารหัส ก็ไมม่ ี“กิเลส” ไมม่ “ี บาป” “พชี นิยาม”จงึ ไม่จ�าเป็นตอ้ งใช้“บญุ ”มากา� จดั “บาป”ใดๆ “พีชนิยาม”จึงเป็นภาวะที่ไม่มี“ทุกข์”(เวทนา)ไม่มี“สุข”(เวทนา) ไม่ม“ี บาป”ไม่มี“บุญ” พลงั งานขน้ั นม้ี นั มแี ค“่ พชี นยิ าม”เพราะประสทิ ธภิ าพยงั ไมม่ ี“องค์ประกอบของรปู และนาม”(กาย)ถงึ ข้นั พลังงาน“จติ นิยาม” “จิตนยิ าม”ต้องมีรปู -มีนาม ครบ“รปู นามขันธ์ ๕”คอื มีทัง้257 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
รูป ๑ และมีท้ังนาม ๔ คอื เวทนา-สัญญา-สังขาร-วญิ ญาณ แต“่ พชี นยิ าม”นนั้ มแี ค“่ รปู ๑ กบั นาม ๒”(แคร่ ปู -สญั ญา-สงั ขาร ไมม่ เี วทนา-วิญญาณ) “พชี นิยาม”จึงยังไม่มีความเปน็ “กาย” จนกว่าพลงั งานนนั้ จะม“ี อาการ”ท่เี รียกวา่ “เวทนา” “องค์ประชุม”ของพลังงานกลุ่มน้ีจึงจะเรียก“อาการแห่งชีวะ”นั้นว่า“วญิ ญาณหรอื จิต” จึงจะมคี ุณสมบัติถึงข้ัน“กาย” วญิ ญาณหรอื จติ นัน้ ตอ้ งมี“เจตสิก ๓” คอื เวทนา-สญั ญา-สังขารและต้องม“ี สมั ผสั ”อยู่กับ“รปู ภายนอก”อยเู่ สมอด้วย จงึ จะช่อื ว่า “กาย” หากไม่มี“สัมผสั ”กไ็ ม่ชอื่ ว่า“กาย” ดงั นนั้ “กาย”จงึ ตอ้ งม“ี องคป์ ระกอบ”ครบคณุ ภาพดงั กลา่ วแลว้ จงึ จะชือ่ วา่ “กาย” หากไม่มี“ประสาท”เข้าไปเช่ือมและมี“จิตหรือวิญญาณ”เข้าไปรว่ มทา� หน้าท่ีเปน็ “องค์รวม” กย็ งั ไม่เปน็ “จติ นิยาม” และในคนมอี าการที่ ๓๓ [ตาวติงสาการหรือโลกดาวดงึ ส์ ท่ีคนผู้อวิชชาหลงยึด“นามธรรม”(อาการท่ี ๓๓)น้ีกัน] อย่างมั่นใจอย่างสนิทใจจรงิ ๆ ว่า “อาการ ๓๓”น้เี ปน็ ความจรงิ -เปน็ ของจรงิ ทส่ี ุขทท่ี ุกข์กนัจริงๆ ไม่เชื่อว่า ไม่จริง เข้าใจไมไ่ ด้ วา่ มันไม่มจี รงิ ไดอ้ ยา่ งไร ก็ในเมอื่ เรายงั “มสี ขุ -มที กุ ข”์ นอี้ ยู่ เพราะคราใดมเี หตปุ จั จยั ประชมุ สมั ผสักนั ขน้ึ เมือ่ ใด สุขก็มขี ึ้นมาใหต้ นมอี ยู่ ทกุ ข์กม็ ีขน้ึ มาให้ตนมีอยู่ ไม่ได้หายไปจากความ“มใี นจิตใจ”เราอยา่ งถาวรยง่ั ยืนเลย เพราะยงั ไมส่ ามารถเรยี นรแู้ ละฝกึ ฝนจนกระทงั่ หยงั่ เขา้ ไปถงึ ความจรงิ วา่ “อาการสขุ -อาการทกุ ข”์ ในใจตนทเี่ คยมอี ยนู่ น้ั มนั ไม่258 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
เทยี่ ง มนั เปน็ ตวั เหตทุ เ่ี ราหลงวา่ มนั มอี ยเู่ กดิ อยใู่ นตวั เราอยู่ ตา่ งหาก ทั้งๆท่ีมันไม่ได้“สุข”อยู่อย่างน้ันตลอดเวลาเลย มันมีเป็นคราวๆ มนั เปลย่ี นไปเป็นอ่ืนอยเู่ สมอ แต่เราอวิชชาอยู่ คราใดท่ีมีเหตุปัจจัยมาประชุมกันครบตามอุปาทานเท่านั้นต่างหากท่ีมันหลงวา่ เปน็ “สุข” ถ้าภาวะใดที่ยังไม่เคยยินดีจนอุปาทานไว้ มันก็ไม่มีภาวะ“สุข”น้ันเกิดท่ีเราหรอก แม้มี“สุข”นั้นขณะใด มันก็ไม่ได้“มีสุข”นั้น อยู่อย่างน้ันตลอดไปท่ีไหน เด๋ียวมนั กม็ ี แล้วเดีย๋ วมันก็ลดลง หรอื มากขน้ึ และสดุ ท้ายกห็ ายไป ผู้ที่ได้ศึกษา และสามารถอ่าน“ความจริง”ที่ว่าน้ีได้จากการปฏิบัติ จนเห็นจริงชัดเจน ว่าเมื่อเราปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจริงๆก็“เห็น”ว่า มันจางลงคลายลง มันลดลงอย่างเห็นได้ “สัมผัสอยู่โตง้ ๆ”หลดั ๆขณะน้ันจึงชือ่ ว่า ร้ดู ้วยปญั ญา-ความรูข้ องตนแท้ๆ และทส่ี ดุ ในจติ ใจของเรากจ็ ะรไู้ ดด้ ว้ ยตนเลยวา่ แมจ้ ะสมั ผสักับเหตุภายนอกท่ีเคยสุขเคยทกุ ข์น้ัน ก็“ไม่มอี าการสขุ -ไม่มีอาการทกุ ข”์ (อทุ กขมสขุ ทเ่ี ปน็ เนกขมั มสติ อเุ บกขา)นนั้ ในจติ ใจเราอกี แลว้ กระทง่ัพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีเกิดอาการ(หรืออารมณ์)สุขอย่างที่เคยสุขหรือทุกข์อย่างทเ่ี คยทกุ ขน์ ัน้ ในองคป์ ระชุมของรูปนาม(กาย)ขณะน้นั “ความไม่มีสุขไม่มีทุกข์”(อุเบกขา)ขณะน้ัน อันคือ“องค์ประชมุ ของรูปนาม”จึงช่ือว่า“กาย” มันมี“กายของสัตว์โอปปาติกะ”ในจิตของเราตายไปจาก259 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
“ความรู้สกึ ”(เวทนา)สว่ นหนึง่ ถา้ ผใู้ ดทา� “เนกขมั มสติ อเุ บกขาเวทนา”ใหเ้ กดิ ในจติ ไดส้ า� เรจ็จรงิ นแ้ี ลคือ อาการ“ความเป็นนิพพาน”ปรากฏในใจดว้ ยสามารถ อาการทเ่ี ปน็ “สขุ ”นน้ั จะเกดิ เปน็ “จรงิ ” เปน็ “แท”้ กต็ อ่ เมอื่ มี“อาการ ๓๒”ท�างานสมั พนั ธก์ ันและเกดิ “ความรูส้ กึ ”ในใจว่า เป็น“สุข” “ความรู้”ท่รี ู้ขณะนั้นคือ“ปญั ญา”(ไม่ใช่แค่“สญั ญา”ท่มี เี ฉพาะการเกดิ ขณะทม่ี แี ตอ่ งคป์ ระชมุ ของภายใน) เปน็ ความรทู้ รี่ คู้ รบครนั ทง้ั ภายนอกภายใน เรียกว่ามี“กายสักขี” คือ มี“องค์ประชุมของรูปและนามส�าเร็จอิริยาบถอยู่”โทนโท่ หลัดๆ เป็นสักขีพยาน จึงช่ือว่ารู้ด้วย“ปัญญาท่ีสมั ผสั วโิ มกข์ ๘ ด้วยกาย” เพราะถ้าเรียกว่า “กาย” ในความเป็น“กาย”นั้นจะต้องมีพลังงานของ“นามธรรม”เกี่ยวข้องร่วมด้วยอยู่เสมอ พร้อมทั้งสมั ผัสอยู่กบั “รูปธรรม”นั้นด้วย จงึ จะเป็น“กาย” หากขาดจาก“รปู ธรรม”สมั ผัสอยู่ดว้ ย ไมช่ ื่อวา่ “กาย” ไม่เปน็ “กาย” ความรู้ของปุถุชนคนสามัญท่ัวไปท่ียังอวิชชาอยู่เท่านั้นทเ่ี ขา้ ใจวา่ “กาย”คอื อาการทมี่ แี ค“่ รปู ธรรม”ภายนอกสว่ นเดยี วเทา่ นน้ั แต่...ฟังดีๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆอีกว่า ถ้าคนใดยังมี“อวิชชา”อยู่ ไม่ว่าจะเป็น“บณั ฑิต”หรือเปน็ “คนโง่”(พาล)ก็ตาม แม้เขาจะตายคอื “รา่ งกายแตก”(กายสั สะ เภทา)ไปแลว้ เขากย็ งั “มคี วามเป็นกายหรือเข้าถึงกาย”(กายูปโค โหติ)อยู่ ยังไม่หมดสิ้นความเป็น“กาย”ไปได(้ พระไตรปิฎก เลม่ ๑๖ ข้อ ๕๙) เมอื่ ยงั มกี ายหรอื ยงั เขา้ ถงึ กายอยู่ กย็ งั ไมพ่ น้ จากชาติ ชรา260 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
มรณะ โสก ปริเทวะ อปุ ายาส เพราะผ้นู น้ั ยังม“ี อปุ าทาน” ยงั ไม่พ้นอวิชชา เมอ่ื มี ชาติ ชรา มรณะ โสก ปรเิ ทวะ อปุ ายาส ก็คือ ยังมี“ทกุ ข์” ไม่ว่าเป็นหรือตาย ชดั เจนม้ัย..ผู้ยงั มที ุกข์คือผูย้ งั มี“กาย” นัยส�าคัญคือ“กาย”นี้แลถ้าไม่มีพลังงานของ“นามธรรม”เกยี่ วขอ้ งรว่ มดว้ ย ภาวะนน้ั กไ็ มใ่ ช่ “กาย” เมอื่ ไมม่ “ี กาย”กไ็ มม่ ที กุ ข์ ประเด็นน้ี เป็นประเด็นหลักที่ส�าคัญมาก ถ้าหากผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธเข้าใจความเป็น“กาย”นี้ ไม่สัมมาทิฏฐิ โดยไปหลงผิดเข้าใจว่า “กาย”คือ รูปร่างภายนอก หรือส่วนของวัตถุธรรมเท่าน้นั ไม่เกี่ยวกับนามธรรมเลย ไม่เก่ยี วกบั จติ กบั วิญญาณเลย ผ้นู ้นั ย่อม“มิจฉาทฏิ ฐิ”แนน่ อน เมือ่ มิจฉาทิฏฐกิ ็ไม่สามารถจะรู้จกั รแู้ จง้ รู้จริงความเปน็ “สักกาย”อันเป็น“สังโยชน์ข้อท่ี ๑” เมื่อผู้ใดมิจฉาทิฏฐิแล้วอย่างน้ี ผู้น้ันจึงไม่สามารถปฏิบัติเรยี นร“ู้ กายในกาย”ได้อยา่ งเปน็ สัมมาทิฏฐิ และไม่สามารถปฏิบัติเรยี นรู“้ กายคตาสติ”ให้เปน็ สมั มาทฏิ ฐิได้แน่ คนผู้นี้ย่อมไมม่ มี รรคผลเดด็ ขาด ดังน้ัน ผู้มิจฉาทิฏฐิดังกล่าวนี้ เม่ือมาพบพระวจนะของพระพทุ ธเจ้าท่ตี รัสไวว้ ่า “ปุถชุ นผมู้ ิได้สดับ จะพงึ เบือ่ หนา่ ยบ้าง คลายก�าหนัดบา้ งหลุดพ้นบา้ ง ในรา่ งกายอนั เป็นทีป่ ระชมุ แหง่ มหาภูต ๔ น้ี ข้อน้นัเพราะเหตุไร เพราะเหตุวา่ ความเจริญกด็ ี ความเส่อื มก็ดี การเกดิก็ดี การตายกด็ ี ของรา่ งกายอันเป็นที่ประชมุ แหง่ มหาภตู ๔ นยี้ ่อม261 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
ปรากฏ ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั จงึ เบอื่ หนา่ ยบา้ ง คลายกา� หนดั บา้ ง หลดุ พน้บา้ ง ในรา่ งกายนน้ั แตต่ ถาคตเรยี กรา่ งกาย(กายสั ส)อนั เปน็ ทป่ี ระชมุแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นีว้ า่ จติ บา้ ง มโนบ้าง วญิ ญาณบา้ ง ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั ไมอ่ าจเบอ่ื หนา่ ย คลายกา� หนดั หลดุ พน้ ในจิต เปน็ ต้นน้ันได้เลย ข้อน้นั เพราะเหตไุ ร เพราะว่าจติ เป็นตน้ น้ี อันปถุ ชุ นมไิ ดส้ ดบั รวบรดั ถอื ไวด้ ว้ ยตณั หา ยดึ ถอื ดว้ ยทฏิ ฐิ วา่ นน่ั ของเรา นนั่ เปน็ เรา นนั่ เปน็ ตวั ตนของเรา ดงั น้ี ตลอดกาลชา้ นานฉะนนั้ ปถุ ชุ นผู้มไิ ดส้ ดบั จงึ ไม่อาจเบือ่ หนา่ ย คลายกา� หนดัหลดุ พน้ ในจติ เป็นต้นนั้นได้เลย (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๖ ขอ้ ๒๓๐) จากพระวจนะท่ีว่า “ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นท่ีประชมุ แหง่ มหาภตู ทง้ั ๔ นว้ี า่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ ง”นน้ั ยอ่ มเหน็ ชดั แลว้ วา่ กาย(กายสั สะ)นนั้ จะเรยี กวา่ จติ วา่ มโนวา่ วญิ ญาณ หรอื แมจ้ ติ กด็ ี มโนกด็ ี วญิ ญาณกด็ นี น้ั จะเรยี กวา่“กาย” ก็ตอ้ งมีท้งั “รูปและนาม” มไิ ดแ้ ยกจากกัน เพราะ“กาย”ท่ีเป็น“ทุกขอาริยสัจ”นั้น ไม่ใช่หมายเอา“รา่ งกาย”ภายนอกทบี่ าลวี า่ “สรรี ะ”เทา่ นนั้ แตห่ มายเอาสว่ นทเ่ี ปน็“กาย”ภายในส่วนที่เป็น“นาม”ต่างหากท่ีมันเป็นแดนเกิดอาการ“ทุกขอาริยสัจ” ดงั นน้ั การพจิ ารณา“กายคตาสต”ิ จงึ ตอ้ งพจิ ารณาองค์ประกอบของ“นามธรรม” แทๆ้ จงึ จะสามารถ“รทู้ กุ ข-์ สมทุ ยั ”ขาดไม่ได้ เพราะเหตนุ เี้ อง พระพุทธเจ้าจึงตรัสวา่ “กาย”นนั้ ตถาคตเรยี กวา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ ง เพราะ“ทกุ ขอรยิ สจั ”อยทู่ นี่ ่ี262 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๖๐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า“ธรรมท้ังสองเหล่านี้รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมั มา ทวฺ เยน เวทานย เอกสโมสรณา ภวนั ติ) “องค์ประกอบ”ของภาวะ ๒ หรอื ของธรรมะทง้ั ๒ นน้ั มี“นามธรรม”ประกอบอยดู่ ว้ ย คือมี“เวทนา” ซง่ึ เปน็ ภาวะของชวี ะขนั้ “จติ นยิ าม”แทๆ้ มิใช“่ พีชนยิ าม”แน่นอน “พีชนิยาม”คือพลังงานและสสารท่ีมี“การปรุงแต่งกัน”(สังขาร)ถึงขั้น“พีช”คือ บรรดา“พืช”ท้ังหลาย ท่ีมี“รูป-สัญญา-สงั ขาร”แคน่ น้ั ไมม่ “ี เวทนา”คอื อารมณห์ รอื ความรสู้ กึ ไมท่ กุ ข์ ไมส่ ขุไม่รัก ไม่โกรธ ไม่จองเวรใคร หรือจองเวรอะไร แม้ในปัจจุบันนี้กไ็ มม่ ี ดงั นน้ั ยง่ิ ขา้ มชาตไิ ปกย็ ง่ิ ไมม่ อี ะไรจะจองเวร พชื จงึ ไมม่ บี าป-ไมม่ บี ญุ ไมม่ กี ศุ ล-ไมม่ ีอกศุ ล ผูม้ ี“ธาตรุ ้”ู ขน้ั สามารถ“รู”้ ในปรมัตถธรรมจรงิ ๆ จงึ จะร้วู า่พืชมี“รูป”(สง่ิ ท่ถี ูกร้ไู ด้ด้วยสมั ผัส) รู้วา่ ท่เี ป็น“พชื ”น้ัน เพราะรอู้ ะไร ในตวั พชื เอง มนั กจ็ ะม“ี พลงั งานชวี ะ”ท“่ี ร”ู้ วา่ นค่ี อื สงิ่ ทพ่ี ชืตอ้ งเอามาท�าชวี ติ ของตนใหย้ ังอยไู่ ด้ต่อไปเจรญิ ดี คง“รปู ”ของมนัตามรหัสแหง่ สรรี พันธุ์เดมิ (DNA)ของ“พลงั งานชีวะ”ท่ีเปน็ พืช หรอืของ“พชี นยิ าม” เรากา� ลังเรยี นรลู้ กึ เจาะลงไปในความเป็นสรีรพนั ธุ์ว่า มันมรี ายละเอียดในองค์รวมอยู่อย่างไร? แคไ่ หน? เรากไ็ ดร้ จู้ กั ขอ้ มลู แหง่ องคป์ ระชมุ ของธรรมชาตชิ นดิ นี้ วา่จะจัดมันอยใู่ นนยิ ามของ“ชวี ะ”ระดบั “พชื ” ซึ่งเราจะรู้ความจริงในข้อมูล ว่า “รหัสแห่งสรีรพันธ์ุ263 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?
ของมัน”(DNA)น้ีมันมีแค่“รูป-สัญญา-สังขาร” ที่เป็น“ยีน”(gene)ท�างานอยใู่ นชวี ะของพืช แม้จะมี“จโี นม”(genome)คอื พลงั งานยอ่ ย“อื่น”(ปร) เกิดในตนก็ยังไม่ถึงข้ันมีคุณภาพพอท่ีจะก้าวพ้นออกไปเปน็ DNA ใหม่ได้ มีแค่“ก�าหนดรู”้ เรยี กวา่ “สญั ญา” แลว้ พืชเองมันกท็ า� “สงั ขาร” ชวี ติ ของมนั กอ็ ยใู่ น“รปู ”ของมนั ไปเทา่ นน้ั และมเี กดิมตี าย และตายไป ก็ไม่มีจองเวร-จองกรรมอะไรใคร DNA(deoxyribonucleic acid) คอื สารทมี่ กี ารด�ารงอยู่ ตามกรอบของ“รหสั สรรี พนั ธใ์ุ นสงิ่ มชี วี ติ ”(gene) อยใู่ นฐานะของ potentialenergy ท่ีศัพทภ์ าษาไทยวา่ “พลังงานศกั ยะ” กแ็ คช่ วี ะระดบั “พชื ” Gene คือ รหัสสรีรพันธ์ุในส่ิงมีชีวิต ซึ่งอยู่ในฐานะของkinetic energy ทีศ่ ัพทภ์ าษาไทยว่า “พลงั งานจลนะ” กแ็ ค่ “พชื ” “Genome”(จโี นม) คอื ขอ้ มลู ทางสรีรพนั ธ์ุทั้งหมดท่ีจา� เปน็ใชใ้ นการสร้างและจ�าเปน็ ต่อการด�ารงชวี ิตอย่างปกติของสงิ่ มชี ีวติชนิดใดชนดิ หน่งึ จะบอกชัน้ แห่งนยิ ามได้ “จโี นม”(genome) อยบู่ นดเี อน็ เอ(DNA) ซงึ่ ในสงิ่ มชี วี ติ ชนั้ สงู“จโี นม”กค็ ือ ชดุ ของ“ดีเอ็นเอ”ทั้งหมดทีบ่ รรจุอยู่ในนวิ เคลยี สของทกุ ๆเซลล์นั่นเอง [nucleus = สว่ นทเี่ ป็นใจกลางของเซลล,์ มวลทมี่ ปี ระจบุ วก ภายในอะตอม ประกอบด้วยนิวตรอนและโปรตอน] “จโี นม”(genome)ของสงิ่ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกนั จะแตกตา่ งกนัและส่งิ มีชีวติ แตล่ ะชนิดมขี นาดของ“จีโนม”แตกตา่ งกนั “จีโนม”(genome) เทียบได้กับ“แบบพิมพ์เขียว”(blueprint)ของส่ิงมีชีวิต ใน“จโี นม”(genome)ของ มนษุ ย์ พืช และสัตว์นั้น นอกจาก264 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
“ดีเอ็นเอ”(DNA)ในส่วนซ่ึงเรียกกันว่า “ยีน”(gene)แล้ว ยังมีส่วนของ“ดีเอ็นเอ”ท่ีไม่ใช่“ยีน”อยู่อีก และยังไม่ทราบหน้าที่ที่แน่ชัดท้ังหมด แต่ในการศึกษา“จีโนม”นั้นต้องศึกษาท้ังหมดทั้งส่วนท่ีเป็น“ยีน” และไมใ่ ช่“ยีน” ในคนปกตจิ ะมี“จโี นม” ๒ ชดุ โดยมาจากทางพ่อ ๑ ชุดจากทางแม่ ๑ ชุด ใน“ชวี ะ”ปกตทิ ง้ั ของ“พชี นยิ าม”และทง้ั ของ“จติ นยิ าม”จงึ มี“จโี นม”(genome) ๒ ชดุ ซง่ึ มาจากทาง“ปรุ สิ นิ ทรยี ”์ (จากทางพอ่ ) ๑ ชดุจากทาง“อิตถินทรีย”์ (จากทางแม่) ๑ ชดุ เพราะนี่คือภาวะท่ีมันจะมากขึ้นหรือจะน้อยลงจนถึงขั้นมีฤทธิ์เป็น“ตัวแปร”ส�าคัญของสภาวธรรมทั้งหลายจนกลายเป็นDNA ใหม่ หรือมีรหัสสรรี พนั ธ(์ุ gene)ใหมเ่ กิดขึ้น เปลี่ยน“ยีน”หรือเปล่ียน DNA น่ันเองซึ่งวิทยาศาสตร์ทางโลกสามารถแยก“ยนี ”ทเ่ี ปน็ “รหสั เพศแม”่ แตกตา่ งจาก“ยนี ”ท่ีเป็น“รหัสเพศพ่อ”ในความเปน็ สัตว์กแ็ ยกได้ แม้ในความเป็นพชื ก็แยกได้สา� เรจ็ แต่วิทยาศาสตร์ทางโลกยอมรับแล้วว่าไม่สามารถทราบหนา้ ทที่ แี่ นช่ ดั ทง้ั หมดของ“จโี นม”ได้ วทิ ยาศาสตรท์ างโลกจงึ มคี วามรู้“จีโนม”ยังไม่ตลอด ซ่ึง“ความรู้”ของพุทธเป็น“วิชชา”ท่ีสามารถทราบหนา้ ทท่ี ง้ั หมดของ“จโี นม”ไดแ้ นช่ ดั จาก“องคป์ ระกอบของรปูและนาม”ซงึ่ กค็ อื “กาย”นนั่ เอง ดว้ ย“อาการ-เพศ(ลงิ ค)์ -นมิ ติ -อเุ ทศ” (พตปฎ. เลม่ ๑๐ ขอ้ ๖๐) และ“วิชชา”ของพุทธสามารถจัดการ(อภิสังขาร)กับ“จีโนม”265 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?
จนเกดิ เปน็ “ตวั แปร” สา� คญั ให“้ ยนี ”ให“้ ดเี อน็ เอ”เปลยี่ นเผา่ พนั ธไ์ุ ด้ ซง่ึ ตอ้ ง“พน้ อวชิ ชา” จงึ จะรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “จโี นม”ดว้ ย“อาการ-เพศ(ลงิ ค)์ -นมิ ติ -อเุ ทศ” และรหู้ นา้ ทอ่ี ยา่ งแนช่ ดั เชน่ หนา้ ที่ของ“รูป” อยา่ งไร? แคไ่ หน? หนา้ ทีข่ อง“นาม” อย่างไร? แค่ไหน? และ“องค์รวมหรือองค์ประกอบ”ซึ่งก็คือความเป็น“กาย”นัน่ เอง ท้ังของ“รูป”(รปู กาย) และของ“นาม”(นามกาย) เป็นอยา่ งไร?แคไ่ หน? จงึ สามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “จโี นม”ทเี่ ปน็ “เพศแม”่หรือ“เพศพ่อ”ได้จาก“ภาวรูป ๒” เพราะสามารถอ่าน“อาการ”ของ“เพศ”(ลิงคะ)จาก“นิมติ ”จาก“อุเทศ”ต่างๆได้ จึงสามารถแยก“ยีน”ท่ีบรรจุอยู่ใน“นิวเคลียส”(กาย)ของ“ดีเอ็นเอ”(DNA)ทย่ี ังเป็น“ชีวิตรปู ”(DNA=potential energy ท่ีจดัอยใู่ นสภาพ static) และทยี่ ังเปน็ “ชีวิตนาม”(Gene =kinetic energy ทจี่ ัดอยใู่ นสภาพ dynamic)ซง่ึ กค็ อื “ชวี ติ นิ ทรยี ”์ (พลงั งานหรอื อาการของความเปน็ชีวะ=cell)นั่นเอง ได้อย่างรจู้ กั (สมั ผัส) รแู้ จ้ง(ชดั เจน) รจู้ ริง(รู้ชนดิ ท่ีเป็น “ปรมตั ถสัจจะ” เปน็ “ความจริงขน้ั สูงสุด”ทเี ดยี ว) “กาย”น่ีคือ“นวิ เคลียส”(รูปกับนาม) “กาย”หรอื ในทน่ี ห้ี มายถงึ “นวิ เคลยี ส”นี้ คอื “ปรมตั ถสจั จะ”(ความจรงิ ขน้ั สงู สดุ แลว้ ) ทเ่ี ปน็ “สจั จะแหง่ ความเปน็ ชวี ะ”ขน้ั “นวิ ตรอนคือรูปหรือสูญ”(เพศพ่อ=ไม่มี,น โหติ)และ“โปรตอนคือนามหรือหน่ึง” (เพศแม่=ม,ี โหต)ิ “นาม”คือ ความรู้สึก คือ เวทนา ซึ่ง“พุทธวิชชา”นั้น รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“อาการ”ของเวทนา ว่า อาการอยา่ งไร? แค่ไหน? คือ ชวี ะ อย่างไร? เป็น266 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
“โปรตอนในเซลล์อยู่ และแค่ไหน? คือ หมดสิ้นชีวะหรือไม่มีชีวะแล้ว สญู แลว้ หรอื เป็น“นวิ ตรอน”ในเซลลแ์ ลว้ นิวตรอน ก็เป็น“กลาง” หรือ“สูญ”โปรตอน ก็คือ“ยังมี”หรอื “หนงึ่ ” หรอื อยา่ งไร? แคไ่ หน? คอื เพศแม่ (อติ ถลี งิ ค)์ ทเ่ี ปน็ “ตวั โยน”ิ (ตัวยงั มที เ่ี กดิ ) อย่างไร? แคไ่ หน? คอื เพศพ่อ(ปุงลงิ ค์) ทเ่ี ป็นผกู้ า� หนดการเกดิ หรอื ผู้กระทา� ใหเ้ กิด ซ่ึงสูงสุดสามารถเป็นผู้ไม่กระท�าการเกิดแก่ตนแก่ใครๆไดเ้ ดด็ ขาดเป็นทส่ี ุด จงึ สามารถทา� ความเปน็ “นปงุ สกลงิ ค์” คือ “สิน้ ความไม่มีเพศ”(ไมว่ า่ เพศแมห่ รอื เพศพอ่ )ในตนไดจ้ รงิ และจะทา� ความเปน็ สญู หรอืเปน็ หนงึ่ ตามประสงค์ของตนหรอื ไม่ ก็ท�าไดอ้ กี นน่ั คอื สามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ๆไปถงึ ทสี่ ดุ วา่ ตนสามารถทา�“มโน”ของตนเองให้เป็น“สูญ”หรือเป็น“กลาง”(นิวตรอน)ก็ได้ จะให้เปน็ “หนึ่ง”(โปรตอน)ก็ได้ เมื่อใด? ขณะไหน“อมตชีวะ”นั้นจะอาศัยความเป็น“อาการ”ของ“เพศพ่อ”(ปุงลิงค์) ขณะไหน“อมตชีวะ”น้ันจะอาศัยความเป็น“อาการ”ของ“เพศแม่”(อิตถีลิงค์) หรือขณะไหนจะอาศัยความเป็น“อาการ”ของ“ความไมม่ เี พศ”(นปงุ สกลิงค์) ก็เลือกได้ตามประสงค์ เป็นผ้เู ลือกเพศอาศยั ได้เองทั้ง“ไตรลิงค์”(เพศทั้ง ๓) จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“รหัสแห่งกาย”เท่าน้ียังเปน็ “พชี นยิ าม” ตอ้ งม“ี จโี นม”ทา� หนา้ ทถี่ งึ ขน้ั นจี้ งึ จะเปน็ “จติ นยิ าม” ผู้มี“วิชชา”(พ้นอวิชชา)อย่างนี้จึงจะรู้แจ้งรู้จริง“ข้อมูลทาง267 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
สรีรพันธุ์”(จีโนม)ทั้งหมดรู้แจ้งรู้จริง“เส้นแบ่ง”ความเป็นเผ่าพันธุ์ของ“ชีวะ”ออกจากกนั ได้ ดว้ ย“จีโนม”นีเ่ อง ผู้ยังไม่รู้(อวิชชา) หรือยังมิจฉาทิฏฐิใน“อาการ-เพศ(ลิงค์)-นิมิต-อุเทศ”ของ“รูปธรรม”กับ“นามธรรม” โดยเฉพาะยังไม่รู้จักรูแ้ จง้ รู้จรงิ ใน“อาการ”ของความเป็น“กาย” ทม่ี ีท้ังความเป็น“รูป”และเปน็ “นาม” โดยเฉพาะ“รูป”และเปน็ “นาม”ของ“เวทนา” และ“เวทนาในเวทนา”ทง้ั หลาย จงึ ไมส่ ามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “จโี นม”(genome)หรอืนามธรรมข้ันชวี ะนที้ ี่ทา� หน้าท่ีแนช่ ัด คอื หนา้ ท่ีเปน็ “เพศแม่”(มาตา)และหน้าท่ีเป็น“เพศพ่อ”(ปิตา)ในการแยก“ความเป็นสัตว์โอปปาติกะ”(จิตนิยาม) กับ“ความเป็นพืช”(พีชนิยาม) ซ่ึงรู้ได้จากความเป็น“จีโนม”อันมหี นา้ ท่ีชัดเจนน้แี ล DNA กด็ ี “ยนี ”กด็ ี “จโี นม”กด็ ี ทเี่ ปน็ “จโี นม”ระดบั “พชี นยิ าม”หรือระดับ“จิตนิยาม”ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ย่ิงเห็นจริงจึงเป็นความตรัสรขู้ องพระองคท์ ท่ี ราบหนา้ ทแ่ี นช่ ัดท้ังหมด ถงึ ขนั้ ทรงยืนยันทฤษฎียง่ิ ใหญไ่ ดว้ ่า “มโนปุพพังคมา ธมั มา มโนเสฏฐา มโนมยา” (ฉ.๒๙๙) ตอนนธ้ี รรมะทเี่ รากา� ลงั อธบิ ายกนั อยใู่ นขณะน้ี มนั เปน็“พุทธชีวะ”ที่เอา“ฟิสิกส์และเคมี”มาผนวกกันเพ่ือไขความลับของ“อุตุนิยาม”ที่จะกลายเป็น(ภวันติ)“พีชนิยาม” และกลายเป็น268 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
“จิตนิยาม” ผู้รู้ก็จะรู้ได้จาก“ปฏิกิริยา”ของ“กรรมนิยามกับธรรมนิยาม” จงึ สามารถรจู้ ักรูแ้ จง้ รูจ้ ริงว่านยิ าม ๕ ไดแ้ ก่ “ความเปน็ ไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ ๕ นิยาม”นน้ั คอื ไฉน ผู้มี“วิชชา”(พ้นอวิชชา)แบบพุทธจึงจะรู้แจ้งรู้จริง“ข้อมูลในพันธุกรรม”(จีโนม)ทั้งหมดรู้แจ้งรู้จริง“เส้นแบ่ง”ความเป็นเผ่าพันธุ์ของ“ชวี ะ”ออกจากกนั ได้ จาก“จีโนม”นี่เอง “จีโนม”เป็น“ธรรม ๒”ที่ผู้“อวิชชา”ก็จะไม่รู้ว่า มันคือ“นิวตรอน”ท่ีเป็น potential energy อยู่โดยแท้ แต่ส�าหรับผู้มี“วชิ ชา”ก็จะสามารถรูจ้ ักรแู้ จง้ ความเปน็ “ธรรม ๒”นี้ ถงึ “อาการ”ทีเ่ ปน็ kinetic energy ได้ ผยู้ งั ไมร่ (ู้ อวชิ ชา) หรอื ยงั มจิ ฉาทฏิ ฐใิ น“อาการ-เพศ(ลงิ ค=์ ความต่าง)-นิมิต-อุเทศ”ของ“รูปธรรม”กับ“นามธรรม” โดยเฉพาะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“อาการ”ของความเป็น“กาย” ท่ีมีทั้งความเป็น“รปู ”และเป็น“นาม” โดยเฉพาะ“รูป”และเป็น“นาม”ของ“เวทนา” และ“เวทนาในเวทนา”ทั้งหลาย จงึ ไมส่ ามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “จโี นม”(genome)หรือนามธรรมข้ันชีวะน้ีที่ท�าหน้าท่ีแน่ชัด คือหน้าที่เป็น“เพศแม่”(มาตา) และหน้าท่ีเป็น“เพศพ่อ”(ปิตา)ในการแยก“ความเปน็ สตั วโ์ อปปาตกิ ะ”(จติ นยิ าม) กบั “ความเปน็ พชื ”(พชี นยิ าม)ซึง่ รู้ไดจ้ ากความเป็น“จโี นม”อนั มหี นา้ ท่ชี ดั เจนนีแ้ ล DNA ก็ดี “ยีน”ก็ดี “จีโนม”ก็ดี ที่เป็น“จีโนม”ระดับ269 คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?
“พชี นยิ าม” หรอื ระดบั “จติ นยิ าม”ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงรยู้ งิ่ เหน็ จรงิ จงึเปน็ ความตรสั รขู้ องพระองคท์ ที่ ราบหนา้ ทแ่ี นช่ ดั ทง้ั หมด ถงึ ขนั้ ทรงยนื ยนั ทฤษฎยี งิ่ ใหญไ่ ดว้ า่ “มโนปพุ พงั คมา ธมั มา มโนเสฏฐา มโนมยา” การปฏิบัติธรรมของพุทธจึงสามารถเรียนรู้ไปถึงความเป็น“อิตถีเพศ”หรือพลังงาน electron และต้องสามารถถึงข้ันมี“การทา� ใจในใจ”(มนสกิ าร)ของตน จนกระทง่ั จดั การ(อภสิ งั ขาร)ใหค้ วามเปน็ อติ ถเี พศ“กลายเปน็ ”(ภวนั ต)ิ ปรุ สิ เพศหรอื เอกบรุ ษุ อยา่ ง“ถกู ตอ้ งถอ่ งแท”้ (โยนิโส)สา� เร็จ(พหทุ ธา ปิ หตุ วา เอโก โหต)ิ นนั่ คอื ตอ้ งม“ี สมั มาทฏิ ฐ”ิ ในขอ้ ท่ี ๗ ไดแ้ ก่ ความเปน็ เพศแม่(มาตา) และข้อที่ ๘ ได้แก่ ความเป็นเพศพ่อ(ปิตา) ในความเป็น“รปู ”และ“นาม”กนั จรงิ ๆ จงึ จะปฏบิ ตั ธิ รรม โดยเฉพาะปฏบิ ตั “ิ มรรคอันมีองค์ ๘”ไดผ้ ลจริง(พระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๔ ข้อ ๒๕๒ เป็นต้นไป) ความเป็น“เพศแม่”(มาตา) “เพศพ่อ”(ปิตา)ในข้ันนี้เป็นเรอ่ื ง“อภธิ รรมหรอื ปรมตั ถธรรม”กนั แลว้ ผทู้ ย่ี งั เขา้ ใจไมส่ มั มาทฏิ ฐิกย็ ากที่จะปฏบิ ัติธรรมของพุทธบรรลุผลจรงิ ได้ กระทั่งจัดการท�าความเป็น“อิตถีลิงค์” (เพศแม่)ให้“กลายเป็น”(ภวนั ต)ิ “ปุงลงิ ค์”(เพศพ่อ) ได้ส�าเรจ็ ไปตามล�าดบั กระทัง่ ที่สดุจัดการท�าความเปน็ “ปุงลิงค์” ให้“กลายเปน็ ”(ภวนั ติ)“นปงุ สกลงิ ค์”(ไม่มีเพศ คือพ่อข้ันพระเจ้า) ก็ถือว่า เป็น“อุตตมโปริส”(อุตตมบุรุษ) ซึ่ง“สงู ถงึ ยอดสุด,ความเปน็ ของสูงสดุ ”(อุตตมตา) ยังมีความสามารถที่มีนัยส�าคัญย่ิงไปกว่านั้น คือ ผู้เป็นโพธิสัตว์จะสามารถอนุโลมปฏิโลมเข้าอาศัย“เพศแม่(อิตถีลิงค์)-เพศพ่อ(ปงุ ลงิ ค์)-ไม่มีเพศ(นปุงสกลิงค)์ ” ซง่ึ คือ สภาวะ ๓ เพศ(ไตรลงิ ค)์270 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
ได้เท่าที่โพธิสัตว์แต่ละท่านจะสามารถท�าได้ตามบารมี ก็มีอีกเป็นความพิเศษย่ิงๆข้ึนไปที่เป็นประโยชน์แก่โลก-แก่“คนอื่น”ยิ่งๆข้ึนซ่ึง“พน้ ความเป็นประโยชน์‘ตน’ไปแลว้ ”(ไมม่ อี ัตตา=พลงั งานอนัตตา) ซ่ึงผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องศึกษาเรียนรู้“ภาวะรูป ๒”(ปรุ สิ นิ ทรยี แ์ ละอติ ถนิ ทรยี )์ อนั ม“ี ความแตกตา่ งกนั หรอื มเี พศ”(ลงิ คะ)หรือยงั มีความเปน็ ๒ ดว้ ยนัยส�าคญั คอื ธรรมะ ๒ (เทวฺ ธัมมา)น้ีกันจนสามารถสัมผัสรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ภาวรูป ๒”ด้วยปัญญาอยา่ งมี“ของจริงหรือความจริง” จึงจะช่ือว่า ผมู้ มี รรคผล เชน่ เราตอ้ งเรยี นใหร้ จู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “สญั ญา”และ“สงั ขาร”(นคี้ อื ธรรม ๒) โดยเฉพาะ“เวทนา” ซึ่งเป็นภาวะท่ีจะต้องมีให้ผู้ปฏิบัติธรรมเรียนรู้อย่างยิ่ง จึงจะบรรลุธรรมได้ หากไม่มี“เวทนา”หรือไม่มี“ความร้สู ึก,อารมณ์”ให้ศึกษาเรยี นรู้ กห็ มดสิทธจ์ิ ะรู้แจ้งความเป็น“นิโรธ”หรอื ไม่ใช่นิโรธ เพราะ“สมั มานโิ รธ”ของพทุ ธนน้ั ไมใ่ ช“่ นโิ รธ”ทเ่ี กดิ ในภวงั ค์หลบั ตาสะกดจติ จนดบั ดา� มดื (กณิ หะ) แลว้ กลายเปน็ พรหมลกู ฟกั กลงิ้โคโ่ ล่ ไม่ม“ี ธาตรุ ู้”ท�างานอยูใ่ นขณะน้นั เลย อย่าไปหลงเอาแต่นั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์ แล้วก็ไป“ดับเวทนา” กระทง่ั เปน็ คนไมม่ คี วามรสู้ กึ เปน็ คนไมส่ ามารถรบั รอู้ ะไรเลยแล้วหลงผิดว่านี่คอื ภาวะความเป็น“นิโรธ”ของพทุ ธ ทุกวนั นก้ี ็ยังยดึ ผดิ ๆ น้ีอยู่ อยา่ งน้ันมัน“มิจฉาทฏิ ฐิ” ขอยืนยนั “นิโรธ”ที่สัมมาทิฏฐิของพุทธนั้น มันมี“เวทนา”ที่เป็น271 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
“ธรรมะ ๒”(เทวฺ ธมั มา) และสามารถทา� ใหเ้ ปน็ “หนง่ึ ”(เอกคั คตา)อยา่ งเหน็ ๆ ไม่ใช่“ความดับอย่างไม่รู้ไม่เห็น” แต่เป็น“ความดับท่ีรู้ๆเห็นๆ”อยา่ ง“แจง้ ๆ”(สัจฉ)ิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุรุษมี“ตัณหา”เป็นเพื่อนสอง(ตัณหาทุติโย ปุริโส) ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยืดยาวนาน(พตปฎ. เล่ม ๒๑ ข้อ ๙) มีปรกติอยู่ด้วยเพ่ือนสอง(สทุติยวิหารี)เพราะผนู้ ้ันยังมตี ณั หาเป็นเพื่อนสอง(ตณั หา หสิ ส ทุติยา) ผสู้ ามารถ“ดบั ตณั หา”ใหเ้ ปน็ ผ“ู้ มปี รกตอิ ยผู่ เู้ ดยี ว”(เอกวหิ าร)ี“ไมม่ เี พอื่ นสอง” เพราะจติ สนิ้ ตณั หาใน“ธรรมะ ๒”นน้ั แหละ(ทวฺ เยนเวทนาย เอกสโมสรณา ภวนั ต)ิ ไดส้ า� เรจ็ จริง ใน“เวทนา”นน้ี เี่ อง(พตปฎ.เลม่ ๑๐ขอ้ ๖๐) อนั เปน็ แดนทส่ี ามารถท�าให้“หลีกออกจากเพื่อนสองหรือหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว”(เอโก วูปกัฏโฐ) ซงึ่ ก็คอื สามารถอยู่ดว้ ยความเปน็ หนึง่ (เอโก)หรืออยู่แตผ่ เู้ ดยี ว(พตปฎ. เลม่ ๑๘ ขอ้ ๖๖-๗๐) กป็ ฏบิ ตั กิ นั ในความเปน็ “เวทนา”รวมลงอยู่ในเวทนา นี่เอง ซึ่ง“เวทนา”นีแ้ หละทีม่ ีความเป็นเวทนา ต่างๆอันตอ้ งรู้จกัรู้แจ้งรู้จริงว่า อยา่ งนี้คอื เวทนา ๒ อย่างน้ีๆคือเวทนา ๓ อย่างนๆี้เวทนา ๕ อย่างนๆ้ี เวทนา ๖ อย่างนๆ้ี เวทนา ๑๘ อย่างนีๆ้ เวทนาๆ๓๖ ถงึ ทส่ี ดุ อยา่ งนๆ้ี เวทนา ๑๐๘ วา่ มนั คอื อะไร? อยา่ งไร? ในจติ เราและสามารถท�ากับมัน-จัดการกบั มันได้ (อภสิ ังขารหรือมนสิกโรติ) คอืให้มนั ลดละ จางคลายลง(วริ าคะ)กระทง่ั ที่สุดมัน“ดบั ”(นโิ รธ) นนั่ คอื “จติ นยิ าม” อนั เปน็ พลงั งานทางจติ วญิ ญาณของคน ผู้ท่ีสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงถึงข้ันที่เรียกว่า“กรรมนิยาม”272 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
และ“ธรรมนิยาม” เท่าท่ีมีปัญญาบารมีจริงพอ จึงจะสามารถจัดการกับ“เวทนาในเวทนา”ได้ ชดั มยั้ วา่ “เวทนา”นแ้ี ลทีส่ �าคัญสุด ซึ่งเป็น“ตัวการแท้ๆ”ที่จะต้องเข้าไปจัดการ ใหม้ ี“การท�าใจในใจจนถ่องแท้”(โยนโิ สมนสกิ าร)พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ เพราะ“อาศยั เวทนาจงึ เกดิ ตณั หา”(เวทนงั ปฏจิ จ ตณั หา ; พตปฎ. เล่ม ๑๖ ขอ้ ๕๙) “พีชนิยาม”มีแต่“สัญญา”และ“สังขาร”จึงไม่มีพลังงานที่เป็น“ตัวการ”(คือเวทนา)ส�าคัญในตัวมันที่มันเป็นอยู่ จึงไม่มีฤทธ์ิร้ายใดออกไปทา� รา้ ยทา� ลายชีวะอ่นื คณุ สมบตั ิของ“พีชนยิ าม”ไม่มี“ตัวตน”ถึงข้ันท่ีจะเห็นแก่ตัวมาบ�าเรอ“เวทนา”ของตน DNAของ“พชี นยิ าม”จงึ ไมม่ “ี นสิ ยั เสยี ”ทเ่ี ปน็ ผลรา้ ยตอ่ ชวี ะอน่ื เกนิ ทมี่ นั มีตามประสาชีวะของมนั แต่กระนัน้ กด็ ี พลังงานของ“พีชนยิ าม” ท่ีทา� งานไปก็ไมใ่ ช่ว่าจะคงที่อยู่เท่าน้ันตลอดกาลทีเดียว ในจ�านวน“จีโนม”(genome)ของมันก็ยังมีมากมีน้อยไปตามจริง แต่ยังไม่มีพลังงานสะสมที่มีความเขม้ ข้นของดีเอ็นเอ(DNA)ในนิวเคลยี สของมันจนเป็นพษิ ภัยออกไปรบกวนนอกดเี อ็นเอของมนั “จโี นมในโครโมโซม”หนงึ่ “ยนี ”หนง่ึ และ“ดเี อน็ เอ”อกี หนงึ่ทง้ั ๓ สภาพนปี้ ระกอบกบั เปน็ “อะตอม”ของ“พชี นยิ าม”จงึ มฤี ทธแิ์ รงมาก มีไดเ้ ตม็ ทเ่ี หมือนอะตอมท้ังหลายแตเ่ ป็นฤทธิ์แรงทสี่ ภุ าพ ไม่ระรานชวี ะอ่ืนใด “พีชนยิ าม”จึงยงั ไมเ่ ป็นภัยแกช่ ีวะอนื่ เพราะมแี ค“่ รปู -สัญญา-สงั ขาร”เทา่ นน้ั273 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
จงึ เป็น“ชีวะ”ในโลกที่ถอื ว่า ยงั ไมม่ ีโทษ แตม่ ีคุณต่อโลกตอ่ สตั ว์ ตอ่ ชีวะอืน่ พชี นิยามคือ ชวี ะทหี่ มนุ วนเป็น“โลก”อยใู่ น“วัฏฏะ”ทย่ี งั ไม่ถงึ ขนั้ วญิ ญาณ มแี คร่ ปู -สญั ญา-สงั ขาร(ไมม่ เี วทนา) เปน็ “อนปุ าทนิ นกสงั ขาร” คือ สังขารท่ีไม่ม“ี กรรม”ครอง หรือสังขารที่ไมม่ ีวิญญาณ(ใจ)ทรงไว(้ ธรณ)ในนัน้ ส่วน“โลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ” ท่ีมีรูป,เวทนา,สัญญา,สงั ขารและวญิ ญาณ ทบ่ี าลวี า่ “จติ นยิ าม”นน้ั กม็ คี รบทงั้ “รปู และนาม”ครบ“ขันธ์ ๕” ซ่งึ ม“ี เวทนา”และมี“วญิ ญาณ” นี่เองทเี่ ปน็ ตวั เลวที่รา้ ยไดส้ ดุ ๆ และเปน็ ตวั ดที มี่ คี ณุ คา่ ประโยชนไ์ ดส้ งู สดุ วเิ ศษยง่ิ จรงิ ๆ เพราะมี“เวทนา”และ“วิญญาณ”นี้แหละ“ตัวการใหญ่”(ตวั การแหง่ เหตุท่ีสร้างนทิ านสมทุ ัยและปจั จัยอยใู่ นโลก) ทท่ี �าให“้ จติ นยิ าม”ถึงขั้นได้ช่ือว่า “ผู้สร้างโลก-สร้างจักรวาล” หรือ“ผู้ท�าลายโลก-ทา� ลายจกั รวาล” มนษุ ยใ์ นโลกนน้ั ตกเปน็ ทาส“เวทนา” อยา่ งมาก เวทนาทว่ี า่ น้ีคือ“อาการ”ของจติ ท่ีเรียกวา่ “สุข” ซึง่ เป็น“สขุ ”ที่ปรงุ แตง่ ข้นึ มาครอบง�ากันและกัน มันเป็น“สุขเท็จ”แท้ๆ(สุขัลลิกะ)ท่ีหลงเสพ อยู่เสมอตลอดเวลา ผู้“อวิชชา”หลงสนทิ ว่าเปน็ “ความจรงิ ” ซง่ึ เปน็ “อาการตา่ งๆ ทางจติ ” เชน่ อาการอรอ่ ย อาการสนกุอาการเพลิดเพลิน อาการชอบใจ อาการต่ืนเต้น อาการพอใจสารพัด อาการทห่ี ลงยดึ วา่ อยา่ งน้ีๆแหละทจี่ ะตอ้ งได้ ตอ้ งเปน็ต้องมี ต้องสมั ผัส เป็นของชอบ ฯลฯ ถ้าได้สัมผัสกระทบเสยี ดสี274 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
(ปฏิฆสัมผัสโส) ตามรสนิยมด่ังท่ีตนยึดไว้น้ันเต็มท่ีก็เรียกว่าจดุ สดุ ยอดแหง่ อาการทสี่ มใจ(climax) มนษุ ยจ์ งึ เตม็ ไปดว้ ยอาการอะไรบา้ ๆบอๆต่างๆทีย่ ดึ ถอื กันวา่ นา่ ได้ นา่ มี นา่ เปน็ เตม็ อนสุ ัย ซงึ่ เปน็ ของ“สมมตุ ”ิ ขน้ึ มาแลว้ หลงวา่ เปน็ “สจั จะ”(ความจรงิ )จึงเรยี กวา่ สมมตุ ิสจั จะ ผู้ศึกษาสัจจะที่เป็น“ปรมัตถ์”รู้จัก“อาการ”ของ“เวทนา”ตามทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ จงึ สามารถกา� จดั ชา� ระลา้ ง“สมมตุ ”ิ ตา่ งๆนนั้ ออกจากจติ ใจไดส้ า� เรจ็ กร็ แู้ จง้ จรงิ ดว้ ยตนวา่“อาการ”ความปราศจากความรู้สึก(เวทนา)“สุขหรือทุกข์”นั้นมนั “มีอยจู่ รงิ ”(เนกขัมมสติ อเุ บกขา) เพราะได้ก�าจัดมันออกไปจาก“อาการของเวทนา”หมดสิน้ แลว้ มันกไ็ มม่ ี“อาการ”นนั้ อยู่ในจิตเรา อยูใ่ น“เวทนา”ทเ่ี หลืออยขู่ องเรากันอีก ผนู้ ้กี ไ็ มม่ ีภาวะทเี่ ปน็ “สขุ -ทุกข์”นัน้ นค้ี อื ภาวะของนพิ พานหรอื อนตั ตา หรอื หลดุ พน้ จากภาวะที่มนษุ ย์ปถุ ชุ นเขามีกนั เรยี กวา่ “วิมุต”ิ (เนกขมั มสติ อเุ บกขา) ทุกวันทุกเวลาทุกนาที คนที่ยังไม่ส้ิน“อวิชชา”ต่างก็“สังขาร”(ปรุงแต่ง)หรือ create สารพัดภาวะข้ึนมามอมเมามนุษย์ให้ติดยึดมาเรื่อย เพ่ือให้คนหลงติด“อยากได้”มาเป็นมามี”ในตนปัจจบุ ันนสี้ ิ่งปรุงแตง่ ทคี่ รอบง�ามนษุ ยจ์ งึ มมี ากมายจนสุดจะกลา่ ว แล้วประดาคนท่ีอวิชชาก็ได้แต่หลงส่ิงปรุงแต่งท่ีต่างก็สรรสร้างกันขึ้นมาไม่หยุดหย่อนน้ันกัน แล้วก็ยึดติด(อุปาทาน)ใส่ในอนุสัยเปน็ “เวทนา”ทีจ่ ะนา่ ได้ น่าเปน็ นา่ มี “เวทนา”และ“วิญญาณ”จึงเป็น“จีโนม”(genomes)ที่เป็น275 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
พลังงานใน“ดีเอ็นเอ” ซ่ึงบรรจุอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์[นิวเคลียส คอื สว่ นทีเ่ ปน็ ใจกลางของเซลล์, มวลท่มี ปี ระจบุ วกภายในอะตอม ประกอบด้วย นิวตรอนและโปรตอน] พลังงานหรือชีวิตินทรีย์ของ genome มี ๒ แตกต่างกัน(เพศ=ลงิ ค)์ เปน็ ๒ เสมอ ทเ่ี ปน็ “ธรรม ๒” ซง่ึ ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมพระพทุ ธเจา้จะสามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ได้ ดว้ ย“อาการ-ลงิ คะ-นมิ ติ -อเุ ทศ” โดยเฉพาะความเป็น“อาการ”นี่เองท่ีจะตอ้ ง“รู้จกั รแู้ จ้งรจู้ รงิ ”ให้ได้ และสามารถจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร) ความแตกต่างกันตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รไู้ ดถ้ งึ สภาวะของพลงั งานทางจติ ในตน และทา� ทส่ี ดุ จดั การปรบั แตง่ (อภสิ งั ขาร)ชวี ติ นิ ทรยี ข์ อง“เพศ”(ลงิ ค)์ จนหมดสน้ิ ความเป็น“เพศ” คือ“ไมม่ เี พศหรือเปน็ กลาง(neutron)”ได้จริง หมายความชดั ๆคอื จดั การหยดุ หรอื ดบั ความเปน็ “พลงั งาน”เราหลงติดยึด แต่มันเป็นอาการหรือพลังงานที่เลวร้าย อัน“แตกตา่ งจากพลงั งานทดี่ ”ี นนั่ เอง นนั่ คอื ธรรม ๒ หรอื ภาวะ ๒ ทม่ี ภี าวะแตกตา่ งกนั ใหช้ ดั เจนถอ่ งแท้(โยนโิ ส) วา่ มนั เปน็ ธรรมดาทม่ี ภี าวะ ๒หรือธรรม ๒ ยอ่ มเปน็ ธรรมดาท่ีมนั จะต้องแตกตา่ งกัน อยา่ ใหเ้ กิดอารมณ์เกินกว่าเห็นความจรงิ ว่า ความแตกตา่ งกนั มันก็ธรรมดา ตอ้ งจบในใจวา่ มนั กต็ อ้ งเปน็ เชน่ นน้ั เอง(ตถตา) ถา้ ม“ี ธรรม ๒”กต็ อ้ ง“มีเพศ”(ตา่ งกนั ) นน่ั คอื จดั การปรบั แตง่ ไดถ้ งึ พลงั งาน neutron ใน nucleusส�าเร็จ เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่เป็น“ธรรม ๒”ซึ่งเป็น“พลังงานเวทนา ๒”ใน genome อันเป็นรหัสพันธุกรรมตัวละเอียดใน Chromosomes276 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
และเปน็ ผสู้ ามารถจดั การกบั ปรมิ าณ(มตั ตญั ญ)ู พลงั งานของ“ธรรม ๒”คอื nuclear fiission (พลงั งานทีก่ ระจายออกไปเปน็ ธาตุเบา)และพลังงานของ nuclear fusion (พลังงานที่หลอมละลายกันเป็นธาตุหนัก) ซึ่งแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ออกไปเป็นพลงั งาน nuclear fi ii ssion กบั nuclear fusion เมอื่ ไดร้ บั การกระทบสมั ผสั (ปฏฆิ สมั ผสั โส)ใหอ้ ยใู่ นสดั สว่ นทเี่ ปน็ “ประโยชนส์ งู -ประหยดั สดุ ”ได้ ด้วยความสามารถอย่างแท้จริง ก็จบ ซ่ึงถ้าร่วมกันอยู่ หรือถ้าสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ แล้วจะเกิด“รส”จากการกระทบสัมผสั เสยี ดสกี นั (ปฏฆิ สมั ผัสโส)นนั้ “รส”ทว่ี า่ นน้ัมนั คอื ความเยน็ -รอ้ น-ออ่ น-แขง็ อนั เปน็ ธรรมดาทตี่ อ้ งเกดิ ในความรู้สึกตามลักษณะแห่งสิ่งท่ีมีท่ีเป็นนั้นเท่านั้น เย็น-ร้อน-อ่อน-แข็งเปน็ ตน้ น้เี ท่านั้น ทเ่ี ปน็ ภาวะจริงของ physics “อารมณส์ ขุ -อารมณท์ กุ ข”์ มนั ไมม่ จี ากไหนๆหรอก แตค่ นไปสรา้ ง“สขุ -ทกุ ข”์ ขนึ้ มาใสจ่ ติ ตนใหเ้ ปน็ “ความรสู้ กึ หรอื อารมณเ์ ทจ็ ” ถา้ ไป“สมมตุ ”ิ วา่ เย็นอย่างนนั้ ชอบใจ เมือ่ ได้ เมอ่ื มี เม่ือเปน็ แล้วสุข นแ่ี หละเท็จ ความอยากได้ อยากมี อยากเปน็ กเ็ กดิ ในตนอยู่ ยงั ไมห่ มดไปจากอนุสยั เยน็ อยา่ งนไี้ มช่ อบใจ ถา้ ได้ ถา้ มี ถา้ เปน็ แลว้ ทกุ ข์ “เวทนา”นี้แหละ“เทจ็ ”(อลิกะ) ความไม่อยากได้ ไมอ่ ยากมี ไมอ่ ยากเป็น กเ็ กดิ ในตนอยู่ยงั ไมห่ มดไปจากอนุสยั หรือรอ้ นอย่างนี้...277 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
หรอื อ่อนอยา่ งน้ี.... หรอื แขง็ อยา่ งน้ี ชอบใจ ถา้ ได้ ถา้ มี ถ้าเป็น แลว้ สขุ ไมช่ อบใจ ถา้ ได้ ถ้ามี ถ้าเป็นแล้วทุกข์ ความอยากได้ อยากมี อยากเปน็ หรอื ไมอ่ ยากได้ ไมอ่ ยากมีไม่อยากเปน็ ก็ต้องเกิด ตอ้ งมีอยู่ในอนุสยั ตนเท่านนั้ เอง ผรู้ แู้ จง้ จรงิ และทา� ไดจ้ รงิ จนกระทง่ั ไมม่ “ี อาการสขุ -อาการทกุ ข”์ (เวทนา)เกดิ ขนึ้ ในจติ อกี เลยตลอดไป กย็ อ่ มไมม่ “ี อยากได-้ อยากม-ี อยากเปน็ ” หรอื ไมม่ “ี ไมอ่ ยากได-้ ไมอ่ ยากม-ี ไมอ่ ยากเปน็ ”กนั อกี น้ีคือ “อาการหนึ่งเดียว”ท่ีเป็นอาการรู้แจ้งในภาวะท่ีเราสมั ผสั อยนู่ น้ั เทา่ นนั้ วา่ คอื อะไรตามทมี่ นั มอี ยจู่ รงิ “เวทนา”(ความรสู้ กึ )ท่ีเหลอื ของเราก็รู้แค่“อาการแท”้ ของภาวะนนั้ หรือแม้เป็น“อาการ ๒”ขององค์ประชุมรูปกับนาม(กาย)ก็ไมม่ สี ขุ และไมม่ ที กุ ขแ์ ลว้ อยา่ งสนทิ แหง่ อาการ(อเุ บกขาเวทนา) นน่ั เอง ผู้สามารถท�า“ธรรม ๒”(เทฺว ธัมมา)ให้รวมพลังกันกลายเป็น“รวมตัวเป็นธรรมหน่ึงเดียว”(เอกสโมสรณา) และท่ีสุดกลายเปน็ พลังงาน“อุเบกขาเวทนา”ทีม่ ีประสิทธภิ าพยงิ่ (เอกคั คตา) ถึง ๕ประเภทคือ “ปริสุทธา(ความสะอาด)-ปริโยทาตา(สะอาดอยู่ได้แม้จะถูกกระทบกระแทก)-มุทุ(จิตหัวอ่อน)-กัมมัญญา(การงานที่ท�าได้อย่างดีวิเศษ)-ปภัสรา(สะอาดผอ่ งใสอยู่เสมอ)ไดส้ า� เรจ็ จริง หรือท�าให้“สูญ”สิ้นไปเป็นอ่ืนหมดเลยไม่เหลือ“ตัวตนของภาวะเกา่ ”นน้ั อกี นิรนั ดร์ ผู้สามารถควบคมุ nuclear ได้ จงึ เปน็ nuclear reactor(อารยิ บุคคล) ทีแ่ ท้จริง ผสู้ ามารถใชง้ าน“อเุ บกขาธาตุ”ท่ีมคี ุณสมบัติ278 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
อันวเิ ศษ(อุตตริมนสุ สธรรม) ๕ ประการดังกล่าวนน้ั ท�างานอยู่อย่างมีคุณคา่ อันวิเศษ(อตุ ตริมนสุ สธรรม) ไม่มีโทษ มีแตค่ ุณ อยใู่ นสังคม เพราะม“ี ปญั ญา”ทรี่ จู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ในความเปน็ “คณุ ”(คณุ ะ)ความเป็น“โทษ”(อาทีนวะ)ของภาวะนัน้ ๆจริง และมี“สต”ิ ที่ทรงพลงัอ�านาจยิ่ง(อธิปไตย) จึงรู้ทันภาวะนั้นๆ และมี“ปัญญา”ท่ีทรงพลังเหนือภาวะนั้นๆ(อุตตระ)” อย่างมีประสิทธิภาพ“อยู่เหนือ”ได้จริงจึงกลายเป็น(ภวันติ)พลังงานทั้งปัญญาท้ังเจโต สามารถควบคุมพลังงานนั้นไดส้ �าเร็จจริง ผู้จัดการกับ“เวทนา”ได้ส�าเร็จจริง จึงสามารถจัดการพลงั งานใน isotope ได้ส�าเรจ็ ผู้ปฏิบัติมีมรรคผล จึงส่ังสมพลังงานเป็น“อินทรีย์ ๕”(ศรทั ธนิ ทรยี ์-วริ ยิ นิ ทรีย์-สตินทรีย์-สมาธนิ ทรีย์-ปญั ญินทรยี )์ และท่สี ุดสา� เร็จเปน็ “ผลธรรม”ถงึ ขนั้ ม“ี พละ ๕”(ศรทั ธาพละ-วริ ยิ พละ-สตพิ ละ-สมาธพิ ละ-ปญั ญาพละ) อันเป็นโลกุตรภูมิ เพราะ“ขันธ์ ๕”ท่ีเป็น“รูปูปาทานักขันธ-เวทนูปาทานักขันโธ-สัญญูปาทานักขันโธ-สังขารูปาทานักขันโธ-วิญญาณูปาทานักขันโธ”ถูกช�าระล้าง“อุปาทาน”ออกไปส�าเร็จจริงจนกระทั่ง“อปุ าทาน”หมดส้นิ เกลี้ยงจากจิต “รปู -เวทนา-สญั ญา-สงั ขาร-วญิ ญาณ” ทเี่ ปน็ “ขนั ธ์ ๕”ของผูช้ ่อื วา่ อรหันต์ จงึ เป็น“ปรมตั ถธรรม”ที่เรยี นรกู้ นั อย่างส�าคัญมาจนจบ ซึ่งละเอียดลกึ ซงึ้ (นิปุณา)ซับซ้อนยิง่ หากใครยังไมส่ มั มาทิฏฐิ หรือแม้จะสมั มาทิฏฐิแต่ปฏบิ ัตยิ งัไมส่ ามารถบรรลผุ ลบา้ งแลว้ อยา่ งเพยี งพอ จงึ ยากมากทจ่ี ะพดู กนั รู้279 คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?
เรื่อง แมร้ กู้ ็เพียงตรรกะ(รู้เหตุผล)เทา่ นัน้ ในยุคพระพุทธเจ้าซ่ึงเป็นยุคปลายของ ภัทรกัปป์ของศาสนาพุทธแล้ว มนุษย์ท่ีมีพอจะบรรลุพุทธธรรมข้ันโลกุตระน้ันเหลือน้อยเต็มที จนพระองค์ปริวิตกว่าถ้าทรงประกาศศาสนาขึ้นแล้ว จะมิ“เสียของ”หรือ...!? พระพทุ ธองคท์ รงมีพระปริวติ กปานน้ัน แต่ด้วยพระมหาเมตตา-กุรณาอย่างสูงยิ่ง(ดังที่พูดกันด้วยบคุ คลาธษิ ฐานวา่ มสี หมั บดพี รหมมาอาราธนาใหท้ รงประกาศศาสนานน่ั เอง) จงึ ได้ทรงตดั สินพระทยั ประกาศความเปน็ ศาสนาพทุ ธ และพระองค์ต้ังพระทัยสอนคนแค่ให้บรรลุ“อรหัตตภูมิ”เทา่ นน้ั คอื ทรงสอนแค“่ ใบไมก้ า� มอื เดยี ว” ไมท่ รงสอนพสิ ดารอยา่ งกวา้ งขวางลึกล�า้ มากมายเป็น“ใบไมท้ ง้ั ปา่ ” หมายความวา่ พระองคท์ รงสอนเพอื่ สรา้ งศาสนาใหม้ “ี พระอรหนั ต”์ เทา่ นนั้ ไมเ่ จตนาสอนอยา่ งกวา้ งไกลลกึ ลา�้ พสิ ดารมากมายหลากหลายเต็ม“พทุ ธภมู ิ”สัมบรู ณ์ ชดั ๆก็คอื ทรงสอนใหค้ นบรรลุกันแค่“อรหันต์”เป็นหลัก ไม่ได้ต้ังพระทัยท่ีจะทรงสอน“ภูมิรู้ที่เป็นพุทธข้นั โพธสิ ตั ว์” อยา่ งชดั เจนละเอียดไปจนกระทั่งครบ“โพธสิ ัตวภูมิ”ท้ังหลายใหร้ แู้ จ้งกนั สมั บรู ณ์ท้ัง ๙ ภูมิ พระองค์จึงไม่ทรงเสียเวลาพยากรณ์หลายส่ิงหลายอย่างกอ่ น ใหเ้ นนิ่ ชา้ เชน่ พยากรณเ์ รอ่ื งอตั ตา เรอ่ื งโลก เรอ่ื งชวี ะ ฯลฯ กอ่ นทรงสอนใหเ้ รม่ิ ตน้ รขู้ นั้ ตน้ ของการปฏบิ ตั ิ และขนั้ กลาง ขนั้ ปลาย ทจ่ี ะบรรลุ“อรหันต์” แล้วพาปฏิบัติให้“ดับอัตตา-ดับโลก” รู้จักรู้แจ้งรู้280 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?
จรงิ ความเปน็ “ชวี ะ”ให้ได้บรรลุอรหนั ต์กันเร็วๆ ใหเ้ พียงพอที่จะนา�พาพระพุทธศาสนาไปได้ตามเหมาะสมกับยุคปลายสุดท้ายของภทั รกัปป์นีเ้ ทา่ นั้น ซึ่งก็ปฏิบัติเพื่อ“ดับอัตตาในตน” เพ่ือ“เปล่ียนโลกในตน”เพ่อื “ก�าจดั อนิ ทรยี แ์ หง่ ชวี ะในตน”น่ันแหละ พระองคจ์ งึ มุง่ สอนให้“สมั มาทฏิ ฐ”ิ เปน็ เบอื้ งตน้ แลว้ ใหเ้ รม่ิ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื กา� จดั “อตั ตา”ในตนกนั เลย ดับ“โลกท่ีเป็นโลกียะ”ในตนกันเลย จัดการกบั “ชวี ิตินทรีย์(พลงั งานของความมชี วี ติ )ของอกศุ ลจติ ”ของตนกนั เลย กระทงั่ สามารถบรรลุธรรมมีสภาวะรองรับเพียงพอ เมื่อมีพ้ืนฐานพอนั้นแหละพระองคจ์ งึ จะพยากรณค์ วามเปน็ “อตั ตา”กด็ ี ความเปน็ “โลก”กต็ ามความเปน็ “ชวี ะ”กต็ าม อยา่ งพิสดารสู่ฟงั ตามสมควร ไปตามลา� ดับ พระพุทธสมณโคดมจึงตรัสว่า พระองค์ทรงสอนแค่“ใบไมก้ า� มอื เดยี ว” ไมก่ วา้ งลกึ พสิ ดารเปน็ “ใบไมท้ งั้ ปา่ ” ความรใู้ น“ภมู โิ พธสิ ตั ว”์ จงึ ไมค่ อ่ ยบรบิ รู ณเ์ หมอื นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในยคุ ตน้ -ยคุ กลางของภทั รกปั ป์ พระพทุ ธสมณโคดมจงึ มงุ่ ใหเ้ รง่ เรม่ิ ตน้ “ปฏบิ ตั ”ิ กนั เปน็ หลกัไม่เน่ินชา้ แม้เพราะเพอื่ เรียนร้ปู รยิ ัตหิ ลากหลายก่อน พทุ ธศาสนานนั้ ตอ้ งปฏบิ ตั ไิ ปตามลา� ดบั ขน้ั ตน้ -ขนั้ กลาง-ขนั้ปลาย จงึ จะบรรลธุ รรม ซง่ึ เปน็ ลา� ดบั ทล่ี าดลมุ่ ลกึ เหมอื นมหาสมทุ รไมโ่ ขลกเขลก อย่างน่ามหัศจรรย์ย่ิง น่กี ็ส�าคัญมาก ท่ีทกุ คนจะต้อง“ปฏิบัติ”ให้เป็น“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ข้ันปลาย”กันจริงๆ ตามที่พระวจนะในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ขอ้ ๑๐๙ จงึ จะสามารถ“เหน็ ”(ปสั สต)ิ ดว้ ยการรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ในความ281 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
เปน็ “โลก” และความเปน็ “อตั ตา”อยา่ ง“สมั มาทฏิ ฐ”ิ แทจ้ รงิ แลว้ จะสามารถเกิด“สติ”เป็น“อธิปไตย”(อ�านาจที่เป็น“ใหญ่”กว่าโลก-กว่าอัตตาเป็นคุณลักษณะของอ�านาจโดยธรรม) และเกิด“ปัญญา”เป็น“อุตตระ”(ความรทู้ พี่ เิ ศษ“ยง่ิ ”ทส่ี งู กวา่ -พเิ ศษกวา่ ความรปู้ ถุ ชุ นสามญั )ไดจ้ รงิ ตามลา� ดบัตามที่พระพุทธเจ้าตรัส“มูลสูตร ๑๐”(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๕๘)ไวเ้ ป็นหลกั “อธิปไตย”หรืออ�านาจท่ีเป็น“ใหญ่”กว่าโลก-กว่าอัตตาเป็นคุณลักษณะของ“อ�านาจโดยธรรมคืออ�านาจท่ีเป็นธรรม”(ธรรมาธปิ ไตย)ที่ผู้สมั มาทิฏฐจิ รงิ จะได้จรงิ และ“อตุ ตระ”หรือความรู้ทพี่ เิ ศษ“ยง่ิ ”ทสี่ งู กวา่ -พเิ ศษกวา่ ความรปู้ ถุ ชุ นสามญั นี้ ผสู้ มั มาทฏิ ฐิจริงจะได้จริง จึงจะเป็น“ธรรมาธิปไตย”(อ�านาจที่เป็นคุณธรรมพิเศษซง่ึ เปน็ คณุ เปน็ ประโยชนต์ อ่ มวลมนษุ ยชาตอิ ยา่ งแทจ้ รงิ )จากการปฏบิ ตั ธิ รรมแบบพทุ ธซง่ึ เปน็ “คณุ วเิ ศษ”(อตุ ตรมิ นสุ สธรรม)ทเี่ ปน็ “คณุ สมบตั ”ิ เหนอืสามญั ในความเปน็ “มนษุ ยช์ มพทู วปี ”ขน้ั สงู สดุ ถงึ ขน้ั อรหนั ต์ ซง่ึ มไี ด้เป็นได้ในบุคคลท่ีมี“สูร”(ภาวะหรือกาย) “สติมันโต”(มีสติต่ืนเต็มทั้งภายนอกภายใน) “โลกนี”้ ทนี่ ี่เทา่ น้ัน ทีจ่ ะบรรลุพรหมจรรยส์ ู่“ปรโลก”(โลกอ่ืน โลกอีกแบบหนึ่งท่ีต่างจากโลกปุถุชน ท่ีพ้นไปจากโลกปุถุชน)อย่างสัมมาทิฏฐไิ ด(้ อธิ พรหมจริยวาโส) “โลกน้ี”ที่น่ีเท่าน้ัน ท่ีจะปฏิบัติให้บรรลุพรหมจรรย์สู่“ปรโลก”ได้(อิธ พรหมจริยวาโส) ที่อ่ืนทวีปอ่ืนท่ีมนุษย์จะปฏิบัติให้เป็น“มนษุ ย์อุตตรกรุ ทุ วีป”สูงสดุ ไมม่ ี และ“สมั มาทฏิ ฐ”ิ แทท้ อ่ี าตมาวา่ มานน้ั กค็ อื “สมั มาทฏิ ฐิ ๑๐”อนั เปน็ ประธานของการปฏบิ ตั ิ ซงึ่ ประกอบดว้ ย“มรรค ๗ องค”์ จงึ จะ282 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
เกดิ “สมั มาสมาธ”ิ ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ น“มหาจตั ตารสี กสตู ร” (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑) “โลก ๒”ที่มีมากหลากหลายแบบ ดังที่ยกอ้างมาให้ดูกันแลว้ โลก ๓ -โลก ๖ ต่างๆท่กี ล่าวถึงมาทง้ั หลาย และอธิบายเพ่อืเขา้ ใจ ไปปฏิบตั ิได้ มาพอสมควร “โลก” คอื “โลกธรรม ๘” นน้ั แหละทีเ่ ป็นเหตุเปน็ ปจั จัยในโลกท่ีผ้ยู งั อวชิ ชาหลงตดิ ยึด และวนเวยี นเป็น“โลก” ไมห่ ยุดวนเพราะไม่มี“ธรรมะท่ีเป็นหนึ่ง”(เอกกัคคตา) จึงยังมีภาวะ ๒ ที่จะมี“สังขาร”เป็น“อารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์” หากจะมี“อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์”(อทุกขมสุข)ก็เป็นแบบ“พักยก”เท่าน้ัน ยังไม่พ้นอวิชชาคอื “เคหสติ อเุ บกขาเวทนา” ซง่ึ ยงั ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั อิ ยา่ ง“สมั มาทฏิ ฐ”ิ จนกระทงั่ เปน็ “อารมณ์ไมท่ กุ ข-์ อารมณไ์ มส่ ขุ ”ท“่ี ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ขค์ อื อเุ บกขา”แบบสน้ิ เหตแุ หง่ทกุ ขแ์ ห่งสุข(เนกขัมมสิตอเุ บกขาเวทนา)สัมบรู ณ์แท้จริง ชนดิ ทเ่ี ท่ยี งแท้(นจิ จงั )ยง่ั ยนื (ธวุ งั )ตลอดไป(สสั สตงั ) ไมเ่ ปลยี่ นแปลงอกี (อวปิ รณิ ามธมั มงั )ไม่มีอะไรหกั ลา้ งได(้ อสังหิรงั ) ไม่กลับก�าเรบิ (อสงั กปุ ปัง) ตามทอ่ี าตมาเคยพดู เป็นค�าบาลี ๖ คา� น้ีมาบอ่ ยๆ ซ้า� ซากจนนา่ เบ่อื ดงั นนั้ ผยู้ งั ไมร่ จู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ความเปน็ “โลก” ไมม่ “ี โลกวทิ ”ู(ความรแู้ จง้ ในความเปน็ โลก) ตามทฤษฎอี นั วเิ ศษพระพทุ ธเจา้ กย็ งั ไมห่ มด“โลก”ในตน ยงั ไม่สิ้นความเป็น“โลก”กระท่งั เป็นผปู้ ระเสรฐิ สุดสิ้นทกุ ข์ สนิ้ ภัยในโลก อยู่เป็นผูม้ “ี โลกนิโรธ”ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิ ไม่ตกเป็นทาส“โลก”หรือ“โลกีย์”ท่ีมี“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขโลกีย์”เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้“หลง”(โมหะ)ผู้“ติดอยู่”(อุปาทาน)283 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
เขาย่อมเสพ ย่อมแสวงหา ยอ่ มหวงแหน ยอ่ มแย่งชิง ย่อมตอ่ สู้มาใหต้ น จนร้ายจนแรง สว่ น“อตั ตา”หรือ“ตัวตน”นัน้ กค็ อื ภาวะของ“จิตใจ”นั่นแหละเป็น“ตัวตนจริงๆ” ซ่ึงจะต้องเรียนรู้“จิต-เจตสิก-รปู -นพิ พาน”ใหไ้ ดจ้ นสา� เรจ็ จาก“รปู -เวทนา-สญั ญา-สงั ขาร-วญิ ญาณ” อนั เปน็ อยอู่ ยา่ งมเี หตมุ สี มทุ ยั เปน็ ปจั จยั ตอ่ กนั และกันทเี่ กิด“ปฏิจจสมุปบาท”ทงั้ สาย อนโุ ลม-ปฏิโลมกันอยู่ มันก็เหมอื นสายของ chromosomes อนั เปน็ “ธรรม ๒”ของ“ชวี ะ”ทเ่ี รยี กวา่ เพศชาย กบั เพศหญงิ หรอื ใน chromosomesกส็ ามารถแยกเปน็ ๒ คอื autosome(โครโมโซมในรา่ งกาย) กบั sexchromosome(โครโมโซมเพศ) โดยโครโมโซมจะเปน็ การจบั คกู่ นัของโครโมโซม ๒ ตวั ทมี่ ลี กั ษณะตา่ งกนั คอื โครโมโซม x เปน็ตวั กา� หนดเพศหญงิ และโครโมโซม y เปน็ ตวั กา� หนดเพศชายซึ่งมขี นาดเลก็ กว่าโครโมโซม x น่คี ือ “ธรรม ๒”(เทวฺ ธมั มา)ซงึ่ มสี ่วนทแ่ี ตกตา่ งกัน และเปน็“นามธรรม”ข้ันปรมัตถธรรม พระพุทธเจ้าทรงแยกเป็น“รูป”กับ“นาม” “รูป”หมายถึง “ภาวะท่ีถูกรู้”(เป็น object) ส่วน“นาม”หมายถงึ “ธาตรุ หู้ รอื ภาวะทเี่ ขา้ ไปร”ู้ (เปน็ subject) นนั่ คอื จะตอ้ งรจู้ กั“นามรปู ”(ภาวะนามธรรมของเราเองท“่ี ถกู ร”ู้ ซงึ่ จะรไู้ ดด้ ว้ ยสญั ญาหรอื ปญั ญา ของตนเองน่นั เอง) และจะสามารถเรียนได้จาก“นาม ๕”คือ เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ กับ“รูป ๒๘”คือ มหาภูตรูป ๔ กับอุปาทายรูป ๒๔ (พระไตรปฎิ ก เล่ม ๑๖ ข้อ ๑๔) ในตัวเราของเราน่ีเอง284 คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?
อันเปน็ “ธรรม ๒”หรือเรยี กวา่ “กาย”(องคป์ ระกอบของ“รูป”กับ“นาม”) เราจงึ จะสามารถไดร้ จู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ในความเปน็ “เซลลเ์ พศหรอื กายของชวี ะ”ทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ มาแตล่ ะ“อตั ตา”จะมโี ครโมโซมเพศคอื โครโมโซมทต่ี า่ งกัน(ลงิ ค์)เพียงชดุ เดียว โดยที่เซลลเ์ ผา่ พนั ธข์ุ องเพศชาย(สเปริ ์มหรือ kinetic energy)จะม“ี เซลลเ์ ผา่ พนั ธ”์ุ ซง่ึ ชวี ติ ของคนเขาคน้ พบวา่ มโี ครโมโซม ๒ ชนดิคอื ๒๒ + x หรือ ๒๒ + y ส่วนชีวติ ของสตั ว์นนั้ สัตว์แตล่ ะชนดิ จะแตกตา่ งกนั ไปทง้ั ในความเปน็ “รปู ธรรม”และ“นามธรรม” กข็ อผา่ นเรามาพูดเฉพาะเรือ่ งของมนษุ ย์ มนุษย์น้ันเซลล์เผ่าพันธุ์ของเพศหญิง(ไข่หรือนิวเคลียสของเซลล์)จะมีโครโมโซมได้เพยี งชนิดเดยี ว คือ ๒๒ + x ดงั นนั้ โอกาสในการเกดิ “ชวี ติ นิ ทรยี ”์ ของเพศหญงิ (โครโมโซม๔๔ + xx)ก็ดี “ชวี ิตินทรยี ”์ ของเพศชาย(โครโมโซม ๔๔ + xy)กด็ ี จงึ เท่ากันในสว่ นทเ่ี ป็น xx ทง้ั ๒๒ คู่ คู่ท่ี ๒๓ เท่านั้นท่ีต่างกันของเพศชาย เพศหญิง คือเพศชายก็ xy เพศหญงิ ก็ xx ในแบบ“เทวนยิ ม”ไม่ว่าทางโลกหรอื ทางธรรม ไมส่ ามารถเปลี่ยนแปลง“เวทนาในเวทนา”ได้ หรือผู้ยังไม่รู้(อวิชชา)ความเป็น“โลกุตรธรรม” แม้แต่ชาวพุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็ไม่สามารถจัดการกับ“เวทนา”ให้เป็น“เนกขัมมสิตเวทนา”ได้(ยังไม่สัมมาทิฏฐิใน“เวทนา ๑๐๘”) ไม่สามารถท�า“กายในกาย”ให้เป็น“ธรรมกาย”ได้[การสะกดจิตเข้าไปในจิต มีแต่รูปจิต-อรูปจิต] ไม่สามารถท�า“จิต”เป็นโลกุตรธรรมได้ แม้แค่ท�า“เนกขมั มสติ เวทนา”ก็ไม่ได้285 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
ผู้ไม่มี“ธรรมกาย”จึงอย่าอวดโอ่พล่อยๆ ตราบใดทใ่ี ครยงั ไมม่ พี ลงั หรอื อา� นาจทเ่ี หนอื ชนั้ สามญั(พลงั งานทเี่ ปน็ โลกตุ รธรรม) คนผนู้ นั้ กไ็ มส่ ามารถทา� พลงั งานทเี่ ปน็“นิวเคลียสของชีวะ”ในตนท่ีมีการสัมผัสกระทบกระแทก(ปฏิฆสัมผัสโส)ให้ภาวะโลกียะนั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นภาวะ“โลกุตระ”ได้ กไ็ ม่เปน็ ธรรมกาย เพราะฉะนั้น จงึ ขึ้นอยู่กบั kinetic energy ทเ่ี ป็นพลงั งานเข้าท�าปฏิกิริยากับนิวเคลียสของชีวะว่า จะเป็นพลังงานอันมีคุณวิเศษทเ่ี ปน็ พลงั งานขั้น“สตั บรุ ุษ”หรอื ไม่ ต้องเป็นพลังงานของ“สัตบุรุษ”จริงจึงจะเข้าไปท�าการกระทบสมั ผสั (ปฏฆิ สมั ผสั โส) นวิ เคลยี สนนั้ จนมพี ลงั เปลย่ี น genomes(จโี นมส)์ ใน chromosomes ไปจนถงึ ใน gene ใน DNA ทา� อติ ถนิ ทรยี ์กลายเปน็ ปุรสิ นิ ทรยี ์ได้ จาก“ธรรม ๒”กลายเป็น(ภวนั ติ)“เวทนาทรี่ วมลงเปน็ หนึ่ง”[เทวฺ ธมั มา ทวฺ เยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนั ติ] นน่ั คอื จากเคหสติ เวทนา(โลกยี ธรรม) สขุ เวทนา-ทกุ ขเวทนากลายเป็น“เนกขัมมสิตเวทนา”(โลกุตรธรรม) ถึงข้ันเนกขัมมสิตอเุ บกขาเวทนา หรืออารมณ์ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ชนดิ ท่ีเปน็ พลังงานของ“คุณวิเศษอาริยบคุ คล”แท้ๆ ไม่ใชแ่ ค“่ เคหสติ อเุ บกขาเวทนา”แนๆ่ และการเปลย่ี น“เพศ”(ลงิ คะ)นย้ี อ่ มไมใ่ ชก่ ารกระทา� ของหมอที่แปลงเพศใหก้ ะเทย (จบฉบับท่ี ๓๐๐)286 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
เราได้อธิบายไปแล้วในฉบับท่ีแล้วว่า ผู้จะท�าประโยชน์ให้ประชาชน หรือรับใช้ประชาชนกันอย่างเป็นจริงน้ัน ต้องเป็นคนที่มีพลังงานของ“สัตบุรุษ”จริงจึงจะเข้าไปท�าการกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส) นิวเคลียสน้ัน จนมีพลังเปล่ียน genomes(จีโนมส์)ใน chromosomes ไปจนถงึ ใน gene ใน DNA ทา� อติ ถนิ ทรยี ก์ ลายเปน็ ปุรสิ นิ ทรยี ์ได้ จาก“ธรรม ๒”กลายเป็น(ภวนั ต)ิ “เวทนาท่รี วมลงเปน็ หนึง่ ”[เทฺว ธมั มา ทวฺ เยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันต]ิ นน่ั คอื จากเคหสติ เวทนา(โลกยี ธรรม) สขุ เวทนา-ทกุ ขเวทนากลายเปน็ “เนกขัมมสติ เวทนา”(โลกตุ รธรรม) ถงึ ข้ันเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา หรืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ ชนิดที่เป็นพลังงานของ“คณุ วิเศษอารยิ บคุ คล”แท้ๆ ไม่ใช่แค่“เคหสติ อเุ บกขาเวทนา”แนๆ่ และการเปล่ียน“เพศ”(ลิงคะ)น้ีย่อมไม่ใช่การกระท�าของหมอที่แปลงเพศให้กะเทย ซึ่งเป็นการผิดศีลของพุทธ(ที่พระพุทธเจ้าทรงตราเป็น“ศลี ”ในมหาศลี ข้อ ๗ พระไตรปฎิ ก เล่ม ๙ ข้อ ๑๒๐)น้นั เด็ดขาดท่แี ปลงกะเทยนัน่ เดรัจฉานวชิ าแปลง“ร่างกาย”ตามใจกิเลส แต่นี่เปลยี่ น แปลง“จติ ใจ”ดว้ ยคุณธรรมอนั สงู สง่ วเิ ศษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเพศของ“นามธรรม” ขั้นชีวะทีเดียวและเปน็ ชีวะข้นั “จติ นยิ าม”ดว้ ย ไม่ใช่แค่ขั้น“พชี นิยาม”เทา่ นั้น ขอเนน้ นะวา่ ทอ่ี าตมากา� ลงั โยงใยเอาภาษาทางวทิ ยาศาสตร์มาอธิบายประกอบน้ี เพอื่ จะเปิดเผยความจรงิ อนั ยงิ่ ใหญใ่ หร้ กู้ ันวา่ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ(relativity)ของโลกนน้ั ความตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้นแ้ี หละทเี่ ปน็ “ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ”ทจี่ ะตอบสมั พทั ธภาพหรอื “ความ287 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
สืบต่อ”(สันตติ=continuum, relative) ระหว่าง“พลังงาน”(Energy)ที่นักวทิ ยาศาสตร์ทั้งหลายค้นพบไดอ้ ยา่ งครบถ้วน ซ่งึ เปน็ “ความสบื ตอ่ ”ของสรรพสิ่งในดา้ น physics แม้แต่ด้าน biology หรือดา้ น psychology กศ็ ึกษากนั มาสดุ แล้ว แต“่ ความสบื ตอ่ ”ของพลงั งาน หรอื “ความสบื ตอ่ ”ของภาวะทมี่ คี วามเคลอ่ื นในตนเอง และเคลอื่ นเลอ่ื นสถานะจาก “อตุ นุ ยิ าม”กลายไปเป็น“พีชนิยาม” และเคล่ือนเล่ือนสถานะจาก“พีชนิยาม”กลายไปเป็น“จิตนิยาม”ได้อย่างไร? ตรงไหน? ในภาวะอะไร?อย่างละเอียดลึกสุด โดยเฉพาะของพลังงานขั้น“จิตนิยาม”ในความเป็น“กรรม” และเป็น“ธรรม” ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่าคัมภีรา(ลึกซึ้งย่ิง)-ทุททสา(เห็นตามได้ยากย่ิง)-ทุรนุโพธา(รู้ตามได้ยากย่ิง)-สันตา(สงบพิเศษยิ่ง)-ปณีตา(สุขุมประณีตย่ิง)-อตักกาวจรา(รู้ไม่ได้ด้วยตรรกศาสตร์)-นิปณุ า(ละเอียดย่ิง)-ปัณฑิตเวทนียา(รไู้ ด้เฉพาะบณั ฑิตจริง) ความสืบต่อ หรือความต่อเน่ือง น้ี คือ ค�าว่า “สันตติ” ซึ่งไอน์สไตน(์ Albert Einstein) ก็ค้นพบความสบื ตอ่ หรอื ความตอ่ เนือ่ งไดถ้ งึข้ันspace and time of continuum ซ่ึงเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ(relativity)ของโลกอันยิ่งใหญ่ทคี่ นยุคนีค้ ้นพบ และประกาศเปดิ เผยแล้วซงึ่ นา� มาพสิ จู นใ์ ชง้ านกนั เปน็ “ความจรงิ ”ทชี่ ดั เจนแลว้ โลกรกู้ นั กวา้ งขวาง สว่ นของพระพทุ ธเจา้ นน้ั กเ็ ปน็ ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ(relativity)ของโลกนัยะไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่มีความละเอียดสูงไปถึงข้ันนามธรรม ลึกซึ้งถึงระดับจิตวิญญาณท่ีเป็น“ปรมัตถธรรม”และเป็นโลกตุ รธรรมเข้าขนั้ อารยิ ะท่ีแท้จริงได้จรงิ พิสจู น์ไดต้ ามท่ีพระพุทธเจ้าตรสั ไว้ดีแล้วทกุ ประการ คือ ตาม“สวากขาตธรรม”288 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
และพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ“ทฤษฎีสัมพัทธภาพ”(relativity)น้ีกอ่ นไอน์สไตน์มานานนับพันๆปี ซึ่ง“ความสืบตอ่ ”หรือสนั ตติของพระพุทธเจา้ นน้ั เปน็ “ปฏสิ ัมพัทธ์”ถงึ ข้นั “กรรม กบั กาล” คือ karmaand time of continuum ทย่ี ง่ิ ใหญเ่ ยยี่ งเดยี วกนั แตเ่ ปน็ ขน้ั “นามธรรม” ความรขู้ องวทิ ยาศาสตรท์ างโลกนนั้ คน้ พบไดแ้ ค่ spaceand time of continuum เปน็ แค่“วตั ถธุ รรม” ซ่งึ ไมส่ ามารถไขความลึกที่เป็นความลับขั้น“นามธรรม”ที่เป็น karmaand time of continuum ใหโ้ ลกร้จู ักรู้แจ้ง“ความจรงิ ”ได้ แต่พระพุทธเจ้าสามารถไขความลึกในความลับให้รู้จักรู้แจ้ง“ความจริง”จุดน้ีให้โลกรู้ได้อย่างสัมบูรณ์ และสามารถพสิ จู นไ์ ดด้ ว้ ยอยา่ งเปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก(ผใู้ ดปฏบิ ตั ิ ผใู้ ดบรรลุ ผนู้ น้ั ยอ่ มเหน็ประจักษ์ดว้ ยตนเอง ไม่ตอ้ งเชอ่ื ตามคา� ของผู้อื่น) อกาลิโก(เมอ่ื ใดกบ็ รรลไุ ด้ถา้ ปฏิบตั ิดปี ฏิบตั ิสัมมาทิฏฐจิ ริง ไม่จา� กัดกาล) เอหปิ สั สิโก(ท้าทายตอ่ การพิสูจน์ตรวจสอบ,ใครๆก็มาดูได้มาเห็นได้) โอปนยิโก(เป็นของสูงที่ควรโน้มนอ้ มเอามาใหไ้ ด)้ ปจั จตั ตงั เวทติ พั โพวญิ ญหู (ิ ตอ้ งทา� เองจงึ จะไดเ้ สวยผลเฉพาะตน ท�าให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้) น้ีคือ สวากขาตธรรมอันหมายความว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ซ่ึงเป็น“ความจรงิ ”ที่เชิญพิสูจน์ได้ น่ันก็คือ พลังงาน หรือความเคล่ือนของทุกภาวะ มีวิวัฒนาการอย่างไร? ตัดขาด สันตติ(continuum, relative)กนั ตรงไหน? หรอื จะต่อสนั ตต(ิ continuum, relative)ตรงไหน? ก็สามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ “ตรงนน้ั ”(หทยั รปู ) โดย“สมั ผสั ”ภาวะนนั้ ๆชนิดที่รู้ได้ด้วย“อาการ”ของ“องค์ประกอบรูปกับนาม”เรียกว่า289 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?
“กาย” “กาย”เป็น“องค์รวมหรือองค์ประชุม”ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะตอ้ งมคี วามรอู้ ยา่ ง“สมั มาทฏิ ฐ”ิ และตอ้ ง“รจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ”วา่“กาย”น้นั หมายความว่าอย่างไร? คืออะไรกันแท?้ หากยงั “มจิ ฉาทฏิ ฐ”ิ ในความเปน็ “กาย”อยู่ กไ็ มส่ ามารถจะ“รู้จัก”ความเป็น“กาย”ได้แน่นอน ก็ปฏิบัติธรรมไม่สามารถบรรลุธรรมของพทุ ธได้แนๆ่ เด็ดขาด ท่ีอาตมายืนยันหนักแน่นกันปานฉะนี้ก็เพราะว่า ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้อง“พ้นสังโยชน์”ข้อท่ี ๑ ซ่ึงมีว่า จะต้อง“พน้ สกั กายทฏิ ฐ”ิ จงึ จะสามารถปฏบิ ตั เิ ขา้ ส“ู่ มรรค”ขนั้ แรก แลว้ จงึจะเรียนรู้ปฏบิ ตั ิในข้ันตอ่ ไป หากข้อแรกน้ี ไม่“พ้นมิจฉาทิฏฐิ” คือ เข้าใจไม่ถูกต้องถ่องแท้ ในคา� ว่า“กาย” ซ่งึ ต้องเรียนรู้ใหค้ วามเขา้ ใจความหมายในคา� วา่ “กาย”ใหเ้ ปน็ “สมั มาทิฏฐิ”ก่อนอ่นื แล้วจึงจะปฏิบัติด้วยการศึกษาหลักใหญ่ท่ีสุดของศาสนาพุทธ คอื “ไตรสกิ ขา” ซงึ่ มกี ารปฏบิ ตั ไิ ปตามลา� ดบั คอื เรม่ิ ตงั้ แตส่ มาทาน“ศลี ๕”แลว้ จงึ จะเพมิ่ “อธศิ ลี ”เป็น“ศลี ๘” แลว้ ก“็ ศีล ๑๐” และสงูขึน้ ไปอีกตามข้อศลี ใน“จุลศลี ๒๖” และ“มชั ฌมิ ศลี ๑๐”เพม่ิข้นึ ๆไปตามล�าดบั จนครบ การเจริญ“อธิศีล-อธิจิต(ฌานและสมาธิ)-อธิปัญญา”ไปเป็นล�าดับๆ เปน็ ความวิเศษ ชนิดที่พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ ไมเ่ คยมีมาก่อนในโลก (พระไตรปิฎก เลม่ ๒๓ ข้อ ๑๐๙) พระองค์ทรงยนื ยนั วา่ เปน็ ความมหัศจรรย์กนั ทีเดียว290 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
ซึ่งผู้ปฏิบัติบรรลุแล้วจริงจะรู้ยิ่งได้เองว่า มหัศจรรย์จริงและมหัศจรรย์เพราะอะไร อย่างไร กจ็ ะได้ร้ดู ้วยตนในตนของตน อาตมาขอแวะแทรกยา้� เรอ่ื ง“ศลี -สมาธ-ิ ปญั ญา”เขา้ มาตรงน้ีหน่อย เพื่อเติมประกอบให้เห็นจริงใน“การศึกษาปฏิบัติธรรม”ว่าแม้จะได้พูดได้อธิบายกันลึกซึ้งสูงส่งเข้าไปถึงปรมัตถธรรมสุดยอดปานใด หรอื จะใชภ้ าษาและทฤษฎขี องวทิ ยาศาสตรม์ ายนื ยนั เทยี บเคยี งอยา่ งลึกซงึ้ สูงสง่ ปานใดก็ต้องอย่ใู นกรอบของ“ไตรสกิ ขา”ทง้ั สน้ิ ตรวจดูตนเอง ตาม“จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”ดูดีๆเถิดที่ส�าคัญต้องเข้าใจความหมายของ“ศีล”แต่ละข้อแต่ละประเด็นให้ถ่องแท้ แลว้ จะสอบทานตนเองดไู ด้ ว่าเราเจรญิ ข้นึ ถึงขั้นไหนแล้ว“อธิศีล”แต่ละข้อแต่ละข้ันจะเป็นเคร่ืองชี้บ่งให้เรารู้“ความจริง”ไดเ้ ป็นล�าดับ อย่างมหัศจรรย์จรงิ ๆ ดังน้ัน ผู้ปฏิบัติที่“มิจฉาทิฏฐิ” จะไม่สามารถเข้าใจ หรือเห็นจริงตามทอ่ี าตมาพดู นไี้ ด้ เพราะปฏิบตั ไิ ม่มลี �าดับ และไม่อย่ใู นกฎเกณฑ์ที่เป็น“อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา” ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝ่ังทะเล ซง่ึ “ความลาดลมุ่ เหมอื นฝง่ั ทะเล หรอื เหมอื นฝง่ั มหาสมทุ ร”นี้ มันมี“สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน”ของ“อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธปิ ญั ญาสิกขา”ทเ่ี ป็นนยั สา� คญั ย่งิ นน่ั คอื หมนุ วนไปมา ซา้ ย-ขวา หรอื สงู -ตา�่ ไดด้ ว้ ย ไมใ่ ชว่ า่หมุนวนอยู่ในระดับเดิม หรอื ระนาบเดยี ว มติ เิ ดียวเท่านนั้ การหมนุ วนนนั้ ในความจรงิ มหี มนุ วนขนึ้ สงู หรอื หมนุ วนลงตา�่นอ้ ยหรือมาก ดหี รอื เลว กไ็ ด้ หรอื หมนุ วนเปน็ แนวระนาบเดยี วมติ ิ291 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
เดยี ว หมนุ ไปวนมาไมข่ นึ้ -ไมล่ ง, ไมม่ าก-ไมน่ อ้ ย, ไมส่ งู -ไมต่ า่� , ไมด่ -ี ไมเ่ ลวอยใู่ นระนาบเดียว-มติ ิเดยี ว ตลอดกาล เชน่ เขา้ ใจคา� วา่ “อ” แปลวา่ “ไม”่ แลว้ กใ็ ชค้ วามหมายของ “ไม”่ นี้วนไปวนมาอยู่ในระนาบเดยี วระนาบเดิม มิติเดยี ว เป็นตน้ ว่า บาป-บญุ ก็มีมิติเดียว ถ้าไม่เปน็ บาป กเ็ ปน็ บุญ กันเลย จะข้นั เดยี ว อยา่ งเดยี ว ระดบั เดียว บาปนอ้ ยลง ๑ นอ้ ยลง ๒ น้อยลง ๓ ...ฯลฯ ไม่ได้มาก ข้ึน ๑ มากข้ึน ๒ มากขน้ึ ๓ ...ฯลฯ ไม่ได้เลย หรือบาปคือ กเิ ลส บุญคือการช�าระกิเลส เช่น กิเลสมาก ผู้ท�า“บุญ”ก็คือ ผู้ท�าการ ชา� ระกเิ ลสมากนนั้ ให้นอ้ ยลงๆๆ เป็นลา� ดับ ก็ได้ ท่สี ุดช�าระกเิ ลสจน หมดส้ินได้ ก็ไม่ตอ้ งมี“บุญ” คือ ไมต่ ้องมีการช�าระกเิ ลสนั้นอีกแล้ว กเิ ลสมนั หมดแลว้ มนั เกลย้ี งแลว้ มนั ไมม่ ใี หช้ า� ระอกี แลว้ กไ็ มต่ อ้ งมี “บญุ ” “บญุ ”คอื “การชา� ระกิเลส” หรือเครอ่ื งชา� ระกเิ ลส กไ็ ม่ตอ้ ง ใชเ้ คร่ืองช�าระอีกแล้ว ไมม่ กี ารชา� ระกเิ ลสน้นั อกี แล้ว จบ กผ็ ู้“สนิ้ บุญสิน้ บาป”(ปญุ ญปาปปริกขีโณ) ค�าวา่ “อปุญญ” ใน“อปุญญาภิสังขาร” เปน็ ตน้ ทหี่ มาย ความวา่ “อภิสงั ขาร” คือ ได้ปรับแต่ง หรือจัดการกา� จัดกิเลสออก ไปจากจิตใจได้หมดสิ้นแล้ว ก็เป็นอัน“จบบุญ” หรือเสร็จสิ้น“การ ท�าบญุ ” ไม่ตอ้ งม“ี การท�าบุญ”(อปญุ ญ)กันตอ่ ไปอกี แลว้ “อปุญญาภิสังขาร”ค�าน้ี จึงหมายถึงว่า ได้จัดการช�าระ กเิ ลสหมดสนิ้ ไมต่ อ้ ง“ทา� บญุ ” หรอื ไมม่ “ี การทา� บญุ ”กนั อกี สา� หรบั ผู้ “จบกจิ ”ผนู้ ี้ เพราะหมดบาปแลว้ บญุ กไ็ มต่ อ้ งมแี ลว้ ดว้ ยประการฉะนี้ ผู้ท่ียังเข้าใจค�าว่า“บุญ”หรือ“ปุญญ”ยังไม่สัมมาทิฏฐิ292 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?
หลงไปเข้าใจว่า เป็นส่ิงที่จะได้จะมี เหมือนวัตถุ เหมือนสมบัติเหมือนทรัพย์สินเหมือนข้าวเหมือนของ เหมือนคุณงามความดีแบบโลกยี ์ เหมอื น“กศุ ล” นั่น..ผิด ยังมิจฉาทิฏฐิในความหมายแท้ของค�าว่า“บุญ”เพราะค�าว่า“บุญ”นี้เป็น“โลกตุ รธรรม” ไม่ใช่“โลกียธรรม” ซึง่ หลงผิดกนั มานานแสนนานแลว้ “บญุ ”หรอื “ปญุ ญ”นี้ คอื เครอ่ื งมอื ใชก้ า� จดั กเิ ลส ชา� ระกเิ ลสเทา่ นน้ั ไมไ่ ดเ้ ปน็ สงิ่ ทจ่ี ะเปน็ ประโยชนอ์ น่ื หรอื เปน็ เครอื่ งอาศยั ชนดิใดอ่ืนเปน็ อนั ขาด “บญุ ”คอื เคร่ืองช�าระกเิ ลสจากจิตให้สะอาดหมดจดเท่านั้น กิเลสหมดไปจากจิต เม่ือใด เม่ือน้ันก็ไม่ต้องใช้บุญไม่ตอ้ งมีบุญ หมดบญุ สนิ้ บญุ ทง้ิ บญุ ไดเ้ ลย โดยไมถ่ อื วา่ อกตญั ญตู อ่บุญเลย เพราะ“บญุ ”หมดหนา้ ทแ่ี ล้ว หมดกิจทจ่ี ะท�าแลว้ จบกิจและ“บญุ ”กไ็ มใ่ ช“่ จติ ด-ี จติ ชวั่ ”ใดๆ เปน็ แคเ่ ครอ่ื งมอื หรอื แคต่ วั การช�าระกเิ ลส ไม่ใชเ่ ครอื่ งอาศัยเป็นสุขเป็นทุกข์แตอ่ ยา่ งใด ทจี่ ะต้อง“ม”ี ต้อง“ได”้ แต่ตอ้ ง“ทา� เปน็ ” แตถ่ ้าถามว่า “บุญ”เปน็ ภาวะทด่ี ไี หม? “บญุ ”น่ีแหละ“ดีทส่ี ุด”ทีค่ นทกุ คนควร“ทา� เปน็ ” เป็นคนส่งิท่ีดที ่ีสุดท่ีควรท�า ไม่มอี ะไร“ดี”เท่าเลย แต่ไม่ใช“่ ด”ี อย่างวัตถหุ รอืแม้แต“่ มีนามธรรม-มอี ารมณ์” เพียงแต่ว่า “บญุ ”ไม่ใชส่ งิ่ ทจี่ ะ“ได้” จะ“มี”แบบเป็น“สง่ิ ท่ีจะพอกพูน”มากข้ึน เหมอื นกุศล เหมอื น“บาป” เหมอื นข้าวของ293 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
ผยู้ งิ่ “ไดบ้ ญุ ”ยงิ่ “มบี ญุ ”เปน็ ผล “บญุ ”ในตนกล็ ดลงๆๆเหมือน“บาป”ของตนที่เราท�าให้ลดลงๆๆได้ ท�าให้“บาป”ในตนหมดสนิ้ จนไม่ต้อง“กา� จัดบาป”กนั อีกเปน็ ที่สุด “บญุ ”กเ็ ปน็ อนั หมดหนา้ ท่ี ไมต่ อ้ งใช“้ บญุ ” ไมต่ อ้ งม“ี บญุ ”ใดสา� หรับตนกันอกี เป็นผู้“ส้ินบญุ สิน้ บาป”(ปญุ ญปาปปริกขีโณ) ผู้“ท�าบุญ”ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ท�า“บุญ”ได้ผล เป็นผู้สามารถท�าให้กิเลสออกจากตนหรือตนออกจากกิเลส(เนกขัมมะ)ถ้าทา� บุญไม่เป็น ทา� บุญไม่ถกู ตอ้ ง ก็ไม่มกี เิ ลสออก-กิเลสลด กเิ ลสกไ็ มอ่ อก “บุญ”ไม่ใช่ของควรได้เลย แต่เป็นเครื่องมือท่ีต้องใช้เป็นใช้มีผลย่ิงใหญ่ของคน “บุญ”จึงเป็น“ภาวะที่คนต้องท�าให้ได้” แต่ไม่ใชส่ ่งิ ที่ควรได้ ใชเ้ สรจ็ แลว้ กท็ ้งิ เลย “บญุ ”เปน็ ของไมน่ า่ มเี ลย เพราะถา้ ใครจะตอ้ ง“มบี ญุ ” กค็ อืผูจ้ ะตอ้ ง“มีบาป” คนต้องใช้“บุญ”ก�าจดั “บาป”ของตน ผ้ยู ังตอ้ งมี“บญุ ” ตอ้ งใช“้ บญุ ” กค็ อื คนยังม“ี กิเลส” คือ ยงั เปน็ คนที่ไม่ใช“่ อรหันต์” คนท่ีเป็นอรหันต์ คือ คนไม่ต้องมีบุญคนผู้ใดถ้าไม่มีกิเลสเกดิ ในตนอกี แล้ว ก็ไมต่ อ้ งม“ี บุญ” มกี แ็ ต“่ กศุ ล”เปน็ เครอ่ื งอาศยั คนผู้รู้“บุญ”ถูกต้อง“สัมมาทิฏฐิ”ก็ไม่อยาก“ได้บุญ”เพราะถา้ “ได้บญุ ”กค็ อื ยังม“ี บาป” ยงั มีกิเลส จึงต้องมเี ครื่องมอื ชา� ระกเิ ลส “ไดบ้ ุญ”กค็ ือ “ได้ช�าระกเิ ลส” ชา� ระกเิ ลสไดก้ เ็ ปน็ “สว่ นบญุ ”(ปญุ ญภาค) หรอื “สว่ นแหง่ บญุ ”(ปญุ ญภาคยิ า) หมายความวา่ ชา� ระกเิ ลสไปไดเ้ ปน็ สว่ นๆ คอื สว่ นบญุ294 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
หรอื สว่ นทก่ี ิเลสถูกชา� ระออกไปได้ เป็นสว่ นๆ ซ่ึงไม่ใช่“ได้อะไรเขา้มาสะสมในตนยิง่ ขนึ้ ๆ” แต่ที่แทถ้ ูก“เอาออกไปๆๆ”ต่างหาก “บญุ ”ใครทา� ได้ กก็ า� จดั กเิ ลสตนได้ กเิ ลสกอ็ อกไปๆจากใจเราไม่ใช่ได้อะไรเข้ามา บุญไม่ใช่“ได้” บุญมีแต่การ“เอาออก” มีแต่“ความไม่มี”เข้ามาให้ตน “ไดบ้ ุญ”จึงคอื การเอาออก ทส่ี ดุ “ไม่ม”ี “บญุ ”จงึ ไมใ่ ชส่ งิ่ ทจ่ี ะแบง่ แจกกนั ได้ บญุ ไมม่ อี ะไรจะแบง่ แจกมีแต่การเอาออก หรือเอาบาปออก ท�าให้บาปลดลง หรือทา� ให้“บาป”ไม่มใี นจติ ไมม่ “ี บาป”เกิดในจิตอกี ใครไม่ม“ี บาป”แลว้ ก็ไม่ต้องมี“บญุ ” ผ้รู ้คู วามจริงถกู ต้องจงึ ไมอ่ ยาก“มบี ญุ ” ใครเอา“บญุ ”มาหลอกวา่ เปน็ “วมิ านสวรรค”์ เปน็ อะไรทจี่ ะได้ในภายภาคหน้า จงึ เปน็ การโกหก ไม่มี“บญุ ”อย่ใู นภายภาคหน้าอยูใ่ นภพข้างหน้า อยใู่ นโลกหน้า “บุญ”มแี ต่ในขณะปัจจุบนั คือ การก�าจดั กิเลสที่ก�าลงั เกิดในปจั จบุ นั “นอกปจั จุบนั ”ไมม่ ี“บุญ” “นอกปจั จบุ นั ” ม“ี บุญ”ไมไ่ ด้ “บญุ ”มใี นโลกนเ้ี ทา่ นนั้ ทา� ใหเ้ กดิ “บญุ ”ไดใ้ นโลกนเี้ ทา่ นนั้โลกหน้าโลกไหนที่ยังไม่ใช่ปัจจุบันไม่มี“บุญ” ไม่มี“วิมานบุญ”ท�าในโลกปัจจุบันนี้เท่านั้นท่ีจะท�า“บุญ”ได้ ที่จะประพฤติก�าจัดกิเลสได้ เลยปัจจุบันไปไม่มีโลกไหนละกิเลสได้ มีได้ก็“โลกน้ี”295 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
เท่าน้นั [อิธ พรหมจริยวาส] โลกอน่ื ใด ไม่มี โลกหน้าไหนๆก็ไมม่ “ี บญุ ”เปน็ วมิ าน “บุญมาก-บุญใหญ่”ในโลกหน้า คือ ความหลอกลวงแท้ๆสดๆ เหลวไหลทง้ั ส้ิน “บญุ ”ไมม่ ใี นความเป็น“ภพ”เปน็ “ชาติ” ผูท้ เ่ี อา“บุญ”มาขาย ให้“เอาเงิน-เอาทรพั ยส์ ิน”มาบรจิ าคมาทา� ทาน แลว้ จะได“้ บญุ ” มาหลอกวา่ เปน็ “วมิ านบญุ ”มใี นโลกหนา้คือ คนข้ีหลอก หรอื คนโง่ คนไมร่ ้ทู ง้ั สน้ิ ไมใ่ ช่คนมีปัญญา ถา้ รู้กจ็ ะไม่โกหก ผโู้ กหกกอ็ ยา่ คบ อย่าหลงลมปาก ...เท็จแทๆ้ “บุญ”มีค�าอธิบายเป็นภาษาบาลีส้ันๆว่า “สันตานังปุนาติวิโสเธติ” ซงึ่ หมายความวา่ “การช�าระกิเลสออกจากจิตสนั ดานใหส้ ะอาดหมดจด” (พจนานกุ รมบาลไี ทยองั กฤษ ฉบบั ภมู พิ โลภกิ ขุเล่ม ๕ หน้า ๒๔๑๖) “บุญ”มีแตห่ น้าท่ี “บญุ ”ไมเ่ หมอื นคา� วา่ “กศุ ล” เพราะ“กศุ ล”หมายถงึ คณุ งามความดที งั้ หลายทง้ั ปวง ทคี่ นตอ้ งมี ตอ้ งได้ แมแ้ ตอ่ รหนั ตแ์ ลว้ กต็ อ้ งอาศัย“กุศล”ในการมีชีวิต เพราะเป็น“ความมี”คือ พระเจ้า คือความดีไม่มีด่างพร้อย จึงต้อง“มี”ให้ได้เสมอตลอดกาล คนต้องมี“พระเจ้า” คนไมม่ “ี พระเจ้า”คอื คนไม่ดี “ม”ี พระเจ้า คอื ในจิตใจ“ไม่มีมาร-ผี” คนทกุ คน ควรเป็นคนมพี ระเจ้า ท“ี่ ไมค่ วรม”ี คอื “มาร”คอื ซาตานคอื ผีคอื ความชวั่ คอื กเิ ลสคือ ความไมด่ ี จึงต้องเพียรเรียนรู้“ตัวมาร”ในตน ตัวผี-ตัวความช่ัว-ตัว296 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?
กิเลส-ตัวความไมด่ ี ในใจตน ตอ้ งเพยี รเรียนรู“้ ความไม่ดี”ของตน นั่นก็คือ “บาป”น่ันเองท่ีจะต้องรู้จักมันในตนเองให้ได้ ไม่เชน่ น้ัน ก็เอาตวั มันออกไมถ่ กู ตัวของมัน “บาป”ตวั แท้คือ “กิเลส” ดงั นน้ั “บาป”ตวั จรงิ จะเกดิ ในขณะมกี ารกระทบสมั ผสั แลว้มนั เกดิ ขนึ้ ในใจเราจรงิ ๆ มี“อาการ”ใหเ้ ราอา่ นร้ไู ดจ้ รงิ ๆ แลว้ กา� จดั มนั ใหห้ มด“อาการ”ชนดิ ทไ่ี มม่ “ี อาการ”นน้ั เกดิ อกีถาวรยง่ั ยนื ตลอดกาล ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไมม่ อี ะไรหกั ลา้ งได้ ไมก่ า� เรบิ ดงั น้ัน ถา้ ใครไมอ่ ยากเรยี นร“ู้ อาการ”ของกิเลสในตน มนักอ็ ยูก่ บั เราแพรพ่ ันธ์ุ ขยายพันธ์กุ ิเลสมากมายใหญ่โตต่อไปทบั ทวีในตวั เรา ไม่รูจ้ กั จบสนิ้ ไม่มีทส่ี น้ิ สดุ ดว้ ย แตถ่ า้ หากผใู้ ดเรม่ิ ตน้ และตง้ั ใจเรยี นร“ู้ อาการ”ของ“กเิ ลส”ในตนได้ “อาการ”ของ“กเิ ลส”นแี้ หละคือ“อกศุ ลจิต” ที่เราจะตอ้ งก�าจัดออกไปตามล�าดับ ก็มหี วังหมดไดจ้ ริง บรรลุนิพพานแน่ การเรียนรู้พระพุทธเจ้าทรงสอนเราให้ปฏิบัติธรรมขณะมี“สัมผัส”เป็นปัจจัย จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เหตุ”(สมุทัย)อันคือ“กิเลส-ตัณหา”ให้เราก�าจัดได้จริง จึงจะเกิด“สัมมาสมาธิ” (พตปฎ. เล่ม ๒๔ ขอ้ ๕๘ “มลู สูตร”) ปุถุชนคือ คน“ไม่รู้”(อวิชชา)ก็คือ ไม่รู้เร่ืองน้ีเอง คือ ไม่รู้การก�าจดั กิเลสออกจากจิตใจตนอย่างสัมมาทิฏฐิ แมใ้ ครคนใดจะมี“ความฉลาด”อ่ืนๆนอกจากเรื่องน้ี มากมายเป็นอัจฉริยะปานไหนกต็ ามแตถ่ า้ “ไมร่ จู้ กั กเิ ลส”อยา่ ง“สมั ผสั ”มนั จรงิ และกา� จดั มนั ไดจ้ รงิชนิดท่เี รา“เห็น”(ปสั สต)ิ จรงิ ๆ แจ้งๆ โตง้ ๆ หลัดๆ(สจั ฉ)ิ ดว้ ย“ความรู้ย่ิงเหน็ จริง”ทภ่ี าษาของพทุ ธเรยี กวา่ “วปิ สั สนาญาณ”297 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?
“วิปสั สนาญาณ”เปน็ “วชิ ชา”ขอ้ ที่ ๑ ใน“วชิ ชา ๘” ซงึ่ เปน็“ความรู้”ที“่ รู้ย่ิงเห็นจรงิ ”ใน“จิต-เจตสกิ -รูป-นิพพาน” จติ -เจตสกิ เปน็ “นามธาตหุ รอื นามธรรม” นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมจะรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ใน“นามรปู ”กต็ อ้ งเรยี นรจู้ าก“นาม ๕” และ“รปู ๒๘” (พระไตรปิฎก เลม่ ๑๖ ขอ้ ๑๔) “นาม ๕”ไดแ้ ก่ เวทนา-สญั ญา-เจตนา-ผสั สะ-มนสกิ าร และยงั จะมลี ะเอียดแยกยอ่ ยออกไปอีก เป็น“จติ ๘๙ หรือ ๑๒๑ อยา่ งพสิ ดาร -เจตสิก ๕๒” และ“รปู ๒๘”ไดแ้ ก่ มหาภตู รปู ๔ -ปสาทรปู ๕ -โคจรรปู ๕ -ภาวรปู ๒ -หทยั รปู ๑ -ชีวิตรปู ๑ -อาหารรปู ๑- ปรจิ จเฉทรปู ๑ -วญิ ญตั ริ ปู ๒ -วิการรปู ๕ -ลกั ษณรปู ๔ (พระไตรปิฎก เลม่ ๓๔ ข้อ ๕๐๔) “จติ ” กค็ อื พลงั งานในความเปน็ ชวี ติ ระดบั “จติ นยิ าม”หรอืพลังงานที่มี“แรงเคล่ือนเป็นอัตโนมัติของตนในความเป็นชีวะ”ยนื ยนั ความเปน็ “ชวี ติ ”ของความเปน็ สตั ว์ ซงึ่ ทา่ นแยกไวใ้ หศ้ กึ ษาวา่มี“๘๙ หรอื ๑๒๑ ลักษณะอยา่ งพสิ ดาร” เป็นต้น นนั่ เอง “เจตสกิ ” คอื อาการของจติ อกี ทหี นงึ่ ทแี่ จก“อาการ”ละเอยี ดแยกยอ่ ยออกไปของจิต เป็น“เจตสิก ๕๒ ลักษณะ” ดังกลา่ วมา “จิต”หรือ“เจตสิก”เป็นภาวะ“ธาตุรู้”ที่มี“อาการ”ของ“ความรู้”ในตนเองของตนเอง เช่น เป็น“ความรู้สึกหรืออารมณ์”เรียกว่า “เวทนา” เป็น“การจ�าไว้หรือการก�าหนดรู้ได้”เรียกว่า“สญั ญา” เปน็ “การปรงุ แตง่ ของรปู ของนามหรอื การจดั การของรปูของนาม”เรียกว่า“สังขาร”เป็น“ธาตุรู้องค์รวมท่ีมีสังขารหรือนามรูปเปน็ ปัจจยั ”จึงกอ่ ใหเ้ กดิ “วิญญาณ” ตามหลกั “ปฏจิ จสมุปบาท”298 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?
ดงั น้นั การจะสามารถรจู้ ักรู้แจ้งรู้จริง“วิญญาณ”จึงตอ้ งมี“สมั ผสั ”เปน็ ปจั จยั หรอื เปน็ “เหตเุ กดิ ”(สมทุ ยั )ตามหลกั “มลู สตู ร ๑๐” (พระไตรปิฎก เลม่ ๒๔ ข้อ ๕๘) ผู้ใด“เห็น”(ปัสสติ)“วิญญาณ”จากการสัมผัสกันของรูปกับนาม(พระไตรปิฎก เลม่ ๑๖ ขอ้ ๑๖๑) อา่ น“อาการ”ของจิตตนเองออกวา่“กาย”(องค์ประชุมของรูปกับนาม)มีภาวะอย่างน้ีๆ “กาย”นี้ก็คือ“วญิ ญาณ”(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๓๐) เช่น จักษุวญิ ญาณ(เกิดจากการสัมผัสกนั ของตากับรูป) -โสตวิญญาณ(เกดิ จากการสัมผสั กนั ของหูกับเสยี ง)-ฆานวญิ ญาณ(เกดิ จากการสมั ผสั กนั ของจมกู กบั กลน่ิ )-ชวิ หาวญิ ญาณ(เกดิ จากการสมั ผสั กนั ของลน้ิ กบั รส)-กายวญิ ญาณ(เกดิ จากการสมั ผสั กนั ของสว่ นภายนอกกับโผฏฐพั พะ)-มโนวิญญาณ(เกดิ จากการสัมผัสกนั ของจิตภายในกับธรรม)” ซงึ่ จะสามารถแยกไดว้ า่ นค้ี อื “รปู กาย” นคี้ อื “นามกาย” ก็ตอ้ งอา่ นจาก“อาการ-ลงิ คะ-นมิ ติ -อเุ ทศ” (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๐ ขอ้ ๖๐) ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ท้ังความเป็น“รูปกาย”ทง้ั ความเปน็ “นามกาย” วา่ มคี วามแตกตา่ งกนั (ลงิ คะ)อยา่ งไร แมแ้ ต่ใน“รูปกาย”เองก็ยังมี“รูปกาย”ต่างๆ หรือใน“นามกาย”เองก็ยังมี“นามกาย”ตา่ งๆ(ลิงคะ)ทีม่ ี“อาการ” ม“ี นิมิต”ทีแ่ ตกตา่ งกนั ๑) จาก“อาการ” ซึ่งหมายถึง กิรยิ าหรือความไหวเคล่ือนของรปู นั้นนามน้ัน ๒) จาก“ลงิ คะ”(เพศ) กห็ มายถงึ ความแตกตา่ งกนั ไมว่ า่ ของรปูหรือของนาม ๓) จาก“นิมิต” หมายถึง เครื่องหมายที่ผู้ปฏิบัติสามารถก�าหนดร้รู ูปนัน้ นามน้ัน299 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322