Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Description: Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Search

Read the Text Version

กระดงั งาป่า (Kra Dang Nga Pa) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Monoon lateriflorum Blume ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : กลว้ ยหมูสงั , กลว้ ยอเี ห็น (ยะลา); เนยี นเขา (ชุมพร); ปแี ซ, กะนางอฮูแต (มาเลเซยี –นราธิวาส); ปาหนนั แดง (นราธวิ าส); กลว้ ย (นราธวิ าส, ชัยภมู )ิ ลักษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลาง ผลดั ใบช่วงสั้น ๆ เรือนยอดรูปกรวยควำ่� ลำ�ตน้ เปลาตรง กงิ่ มกั ตัง้ ฉากกบั ลำ�ต้น เปลือกหนา เรียบหรอื แตกตนื้ ๆ สเี ทาหรือน�้ำ ตาลคล�ำ้ มีช่องอากาศ ประปราย เปลอื กในสีเหลอื งอ่อนถงึ น�ำ้ ตาลอมชมพู ใบเด่ียว รปู ขอบขนานหรอื รปู รี ปลายเรยี วแหลม โคนสอบ ขอบเรยี บ แผน่ ใบแข็งกรอบเกล้ียงหรือมขี นเล็กนอ้ ย ด้านบนสเี ขยี วเข้มเป็นมนั ดา้ นล่าง สซี ีดกว่า เสน้ ใบดา้ นล่างมขี นสีน้ำ�ตาล กา้ นใบสั้น เรียงสลับ ยอดอ่อนและกง่ิ ออ่ นมขี นสนี �้ำ ตาลคลุม ชอ่ ดอกแบบชอ่ ซ่ีร่ม ออกตามกิ่งหรอื ลำ�ต้น ดอกสเี หลืองอมเขียว โคนกลบี ในสนี �ำ้ ตาลแดง กลบี ดอก หนาและยาว ก้านดอกยาวเรยี ว ผลกลุม่ มีผลย่อยจำ�นวนมากตดิ ตามล�ำ ตน้ และกงิ่ ใหญ่ ผลย่อยรูป ทรงกระบอกหรอื ทรงรี ผวิ เกล้ยี งเป็นมนั ก้านผลยาว สุกสีแดงถงึ แดงคล�้ำ มเี มล็ดเดียว เป็นไม้เรือน ยอดช้ันล่างถงึ ชน้ั กลางในป่าดิบเขาและป่าดบิ ประเภทอ่ืน ประโยชน์ : –เนอ้ื ไมใ้ ช้ก่อสรา้ งภายใน –ผลสุกเป็นอาหารของนกแกก๊ พญากระรอกด�ำ และกระรอกชนดิ ต่าง ๆ ความสำ�คญั : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก 80 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขยี ว-น�้ำ หนาว

นมช้าง (Nom Chang) ผูถ้ า่ ย ดร.ณรงค์ คณู ขนุ ทด พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Uvaria cordata (Dunal) Alston ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Guatteria cordata Dunal ชือ่ อน่ื (Vernacular name) : กลว้ ยหมสู ัง (ตรัง, ใต)้ ; กาเลยี บ, นมแมวใหญ่ (ชมุ พร); นมควาย (นครศรธี รรมราช); นมวัว (สุราษฎรธ์ าน)ี ; ลาเกาะ (มาเลเซีย–นราธิวาส); ชูเบียง (กะเหร่ยี ง–แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ ไมเ้ ถาเน้อื แข็งขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ ก่งิ กา้ นออ่ นมีขนส้ันสนี ้ำ�ตาลคลมุ หนา แน่น ใบเดีย่ ว รปู รถี งึ รปู ขอบขนาน ปลายแหลมถงึ เรยี วแหลม โคนมนหรือเวา้ เลก็ นอ้ ย ขอบเรียบ แผน่ ใบหนาเหนยี ว หลงั ใบสีเขยี วเข้ม เกลย้ี งมขี นสนี �ำ้ ตาลสน้ั ๆ เฉพาะตามเส้นใบ ดา้ นล่างสอี ่อนกวา่ มีขนส้ันสีนำ้�ตาลคลมุ ประปราย ก้านใบส้นั เรยี งสลับ ใบแกก่ ่อนร่วงสเี หลือง ดอกสแี ดงถึงแดงคล�ำ้ ขนาดใหญม่ ีกลิ่นหอม ออกเดีย่ ว ๆ ท่ีซอกใบใกล้ปลายก่งิ ผลกลุ่มมีผลยอ่ ยจำ�นวนมาก กา้ นผลหนา แข็งและยาว ผลยอ่ ยรปู ทรงกลมหรอื รูปทรงรี มขี นคลุมบาง ๆ สุกสีเหลอื ง เมือ่ แกเ่ ปลีย่ นเปน็ สีแดงมี หลายเมลด็ มักเกีย่ วพันตน้ ไมต้ ามพ้ืนทีโ่ ลง่ หรือชายป่าดบิ เขาและปา่ ดบิ ประเภทอ่ืน ประโยชน์ : –ผลสกุ กนิ ไดแ้ ละเปน็ อาหารของสัตวป์ า่ เชน่ นกและกระรอก –ปลูกเป็นซุม้ ไม้ประดับ ขอ้ ควรจำ� : ใบมีกลิ่นฉนุ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช 81

ตีนเป็ดเขา (Tin Pet Khao) ผู้ถา่ ยภาพ Dr. Scott Suarez พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ APOCYNACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alstonia rostrata C. E. C. Fisch. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Alstonia glaucescens (K. Sch) Mona, A. undulifolia Koch. & Wong, Winchia calophylla A. DC., W. glaucescens K. Schum. ช่อื อ่นื (Vernacular name) : นมสาว (ชัยภูม)ิ , น่องขาว (แมฮ่ ่องสอน) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ ผลดั ใบช่วงสน้ั ๆ ลำ�ตน้ เปลาตรง แตกก่ิงเป็นพุ่มกลมปลายยอด กิง่ กา้ นอ่อนเกลี้ยง เปลอื กนอกหนามาก แตกเป็นร่องลกึ หรือเรยี บ สีเทาอมเหลือง ใบเดีย่ ว รปู รีถงึ รปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม โคนมนหรอื สอบ ขอบเรียบหรอื เป็นคล่นื แผ่นใบบาง เกลีย้ งทงั้ สอง ด้าน ดา้ นบนสเี ขียวเข้ม ดา้ นล่างสคี รมี ก้านใบสัน้ เวยี นรอบกง่ิ แบบนวิ้ มอื จ�ำ นวน ๓–๔ ใบ เปน็ กระจุก อย่ปู ลายกิง่ เส้นใบเรยี งขนานถ่ี ใบแก่ก่อนร่วงสีเหลอื ง ช่อดอกยาวออกปลายกง่ิ มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวน มาก ดอกรูปปากแตรสขี าว ผลเปน็ ฝกั ยาว ผวิ เกล้ยี งออกเปน็ คู่ ๆ เมื่อแก่แตกตามตะเขบ็ เมล็ดรปู ขอบขนาน แบน ผิวเกล้ียง มีจำ�นวนมาก มีปยุ คลา้ ยน่นุ ตดิ ตรงปลาย เปน็ ไม้เรอื นยอดชนั้ บนพบ เฉพาะในปา่ ดบิ เขาเท่านัน้ ประโยชน์ : –ยางใชเ้ ป็นสว่ นประกอบของยาสมนุ ไพรพืน้ บ้าน –ฝักออ่ นเป็นอาหารของคา่ งแว่นถ่ินเหนอื ความสำ�คญั : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก หมายเหตุ : ทุกสว่ นท่ีมชี วี ติ มนี ำ้�ยางสขี าวขน้ 82 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-นำ้�หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 83

สัตบรรณ (Sat Ta Ban) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ APOCYNACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alstonia scholaris (L.) R. Br. ชือ่ พ้อง (Synonym) : Alstonia glaucescens (K. Sch.) Mona ช่ืออ่นื (Vernacular name) : กะโนะ้ (กะเหรย่ี ง–แม่ฮ่องสอน); ยางขาว (ลำ�ปาง); จะบนั (เขมร–ปราจนี บุร)ี ; หสั บรรณ (กาญจนบุร)ี ; ชบา, ตีนเป็ด, พญาสัตบรรณ (กลาง); ตีนเป็ดขาว (ยะลา); บะซา, ปูลา, ปแู ล (มาเลเซยี –ยะลา, ปัตตาน)ี ชอ่ื สามญั (Common Name) : Devil Tree, White Cheesewood, Blackboard Tree, Devil’s Bark ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดรูปกรวยคว�ำ่ ลำ�ตน้ เปลาตรง โคนตน้ มักเปน็ พูพอน เปลอื กนอกหนา เรียบหรอื เป็นร่องเลก็ ๆ สนี ำ้�ตาลเทา มรี อู ากาศรปู ยาวสีขาวกระจายท่ัวไป ใบเดี่ยว เรยี งเวียน รูปนว้ิ มือเปน็ ชั้น ๆ คล้ายฉัตรรอบกิ่งวงละ ๕–๗ ใบ ใบยอ่ ยรูปรี รูปขอบขนานหรือ รูปหอก ปลายทู่หรือมตี ิ่งแหลมเลก็ ๆ โคนสอบแคบรูปล่มิ ขอบเรยี บ แผน่ ใบเกลย้ี งท้งั สองด้าน ด้าน บนสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสขี าวนวล เสน้ ใบเรยี งขนานกนั เกอื บตงั้ ฉากกบั เส้นกลางใบ ชอ่ ดอกออกเป็นก ระจุกปลายก่ิง มีดอกย่อยจำ�นวนมาก ดอกรปู ดอกเข็มสีเขียวอมเหลืองหรอื อมขาว มกี ล่นิ หอมเลย่ี น ผลเปน็ ฝกั รูปทรงกระบอกเรียวยาวออกเป็นคู่ ๆ เมือ่ แก่แตกตามตะเขบ็ ทั้งสองด้าน เมล็ดขนาดเลก็ รปู ขอบขนาน มีขนยาวอ่อนนุม่ ปุกปุยติดอยู่ท่ีปลายทง้ั สองขา้ ง พบท่วั ไปในป่าทุกประเภท ประโยชน์ : –เปน็ ไมโ้ ตเรว็ ปลกู เป็นไมป้ ระดบั หรอื ใช้จดั สวน –เนือ้ ไมใ้ ช้ในอุตสาหกรรมเย่อื กระดาษ ไมแ้ บบ และก่อสรา้ งภายใน –เปลือก ใบและยาง เปน็ ยาสมนุ ไพร ความส�ำ คญั : –ไมห้ วงหา้ มประเภท ก/เป็นต้นไมป้ ระจ�ำ จงั หวัดสมุทรสาคร/สมยั สุโขทัยใชใ้ นราชพธิ ี ในราชวงศพ์ ระรว่ ง ข้อควรจำ� : ทุกสว่ นทีม่ ชี วี ติ มีนำ�้ ยางสขี าวขน้ 84 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น้�ำ หนาว

(Khruea KhaเคoรMอื เuขaาkมวKกhขaาoว) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ APOCYNACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Parameria laevigata (Juss.) Moldenke ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Parameria barbata (Blume) K. Schum., P. barbata var. pierrei (Heim ex Spire) Kerr, P. glandulifera (Wall. ex G. Don.), P. glandulifera var. pierrei (Heim ex Spire), Aegiphila laevigata Juss., Parsonsia barbata Blume, Ecdysanthera barbata (Blume) Miq., E. glandulifera (Wall. ex G. Don) A. DC., E. glandulifera var. pierrei Heim ex Spire, Echites glandulifera Wall. ex G. Don, ชอื่ อน่ื (Vernacular name) : ตังตดิ (จันทบุรี); มวก, ส้มลม (ปราจนี บุร)ี ; วอร์กั้นจรกู้ (เขมร–ปราจนี บรุ )ี ; วันจรกู (เขมร–จนั ทบุรี); เครอื เขามวก, ต่งั ตู้เครือ (เหนือ); ส้มเย็น (สะตูล) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไม้เถาเน้อื แข็ง ผลัดใบชว่ งสน้ั ๆ กงิ่ ออ่ นและยอดออ่ นเกล้ยี งสีน�ำ้ ตาลแดง เปลอื ก เรยี บหรือแตกเป็นสะเกด็ ขนาดเลก็ สีเทาดำ� เปลอื กในสขี าว ใบเดยี่ ว รปู รี ปลายแหลม โคนมนหรอื เว้า ขอบเรียบหรอื เป็นคล่ืนเลก็ นอ้ ย แผ่นใบหนากรอบเกล้ยี ง เปน็ มนั ทง้ั สองด้าน ดา้ นบนสเี ขม้ กวา่ ด้าน ล่าง กา้ นใบสั้นมาก เรียงตรงขา้ ม ยอดออ่ นสนี �้ำ ตาลแดง ใบแก่ก่อนร่วงสีเหลอื ง ช่อดอกยาวออก ปลายกิ่งหรือท่ีซอกใบใกล้ปลายก่งิ ดอกรปู ดอกเขม็ สีขาวถึงชมพู ฝักรปู งาช้างยาวมากออกเป็นคู่ ๆ ผวิ เกลย้ี ง เมื่อแก่แตกตามตะเข็บเปน็ สองซกี เมลด็ รปู รขี นาดเล็กสชี มพู มีพูข่ น พบเลอื้ ยพนั ตามพืน้ ป่าหรือพนั ตามล�ำ ต้นไมใ้ นปา่ ดิบทั่วไปและริมห้วยในปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ยอดและใบอ่อนรสเปรีย้ วหรือมันกนิ เปน็ ผกั สด 85 –ใบเปน็ อาหารของกระทงิ และกวางป่า ขอ้ ควรจำ� : ทุกส่วนทีม่ ีชีวิตมีน้ำ�ยางสขี าวขน้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธุพ์ ืช

ผ้ถู ่าย วฒุ นิ นั ท์ พวงสาย 86 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขียว-นำ้�หนาว

เม็ดทับทมิ (Met Thap Thim) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ AQUIFOLIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Ilex confertiflora Merr. ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไม้ต้นไมผ่ ลัดใบ เรือนยอดค่อนข้างโปรง่ เปลือกนอกแข็งบาง เรียบ สีน�้ำ ตาล อมเทา มชี อ่ งอากาศสเี ทา เปลือกในสีน้ำ�ตาลออ่ น มีนำ้�เมือกใส ๆ มีกลิน่ ฉุนอ่อน ๆ กระพสี้ ขี าว ใบเดีย่ ว รปู รีแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบหยกั มนถ่ตี ื้น ๆ แผ่นใบหนา เกล้ยี งเปน็ มันทงั้ สองด้านด้านบนสีเขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสอี ่อนกวา่ ก้านใบสัน้ มาก เรียงสลบั ใบแก่ กอ่ นรว่ งสเี หลอื ง ดอกแยกเพศอย่ตู ่างต้น ขนาดเลก็ สีเหลอื งออ่ น ออกเปน็ กระจุกที่ซอกใบ ผล สดขนาดเล็ก รปู ทรงกลม เกล้ยี ง ปลายมปี ่มุ นนู สกุ สแี ดงสดมเี นอ้ื สเี หลืองอมน�้ำ ตาล ผลแห้ง สีด�ำ ตดิ ตามก่ิง เมลด็ แบนแข็งรปู ไตมี ๔–๕ เมลด็ เรียงเบยี ดกันเป็นก้อน เปน็ ไม้ชนั้ ลา่ งถงึ ช้นั กลางในปา่ ดิบเขาเท่านั้น ประโยชน์ : –ผลสุกเปน็ อาหารของนกปรอดหวั สเี ขม่าและนกกนิ ผลไมอ้ กี หลายชนดิ –เน้อื ไม้ใชก้ ่อสรา้ งภายใน กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุพ์ ืช 87

กำ�จัดยา่ น (Kam Chat Yan) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ ARALIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aralia finlaysoniana (Wall. ex G. Don) Seem. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Aralia scandens (Merr.) Ha ชอื่ อืน่ (Vernacular name) : คันหามเสอื (นครศรธี รรมราช); ตา้ งนก (เหนือ) ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้พุ่มรอเลอื้ ยไม่แตกกิง่ ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี ๒–๓ ชน้ั กา้ นใบประกอบ ยาว โคนก้านแผ่เปน็ กาบหุ้มกงิ่ เรยี งเวยี น มีใบย่อยจ�ำ นวนมากและอยูเ่ ป็นคู่ ใบย่อยรปู รรี ูปไขห่ รอื รูปใบหอก ปลายแหลม โคนมนหรือเบย้ี ว ขอบหยกั ซ่ฟี นั แผ่นใบบาง ปลายใบและเสน้ ใบมหี นาม เลก็ ๆ ตามก่งิ กา้ นมีหนามแหลมโค้ง ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงโปร่ง แตล่ ะแขนงแยกเป็นชอ่ ซร่ี ่ม มีดอกจำ�นวนมาก ดอกขนาดเลก็ มาก สีขาวอมเขียวหรือสีเหลอื งออ่ น ผลขนาดเลก็ ทรงกลมหรอื ทรงรี สกุ สีมว่ งอมดำ�อวบน้ำ� เมลด็ รูปไต แบนบาง มหี ลายเมล็ด พบตามพ้ืนที่เปดิ โลง่ ในป่าดบิ เขา และปา่ ดิบประเภทอนื่ ประโยชน์ : ยอดอ่อนและช่อดอกท�ำ ให้สกุ กินเปน็ ผัก มรี สขมเลก็ น้อย หมายเหตุ : คลา้ ยกับพระเจ้ารอ้ ยทา่ ดอย (Aralia foliolosa (Wall.) Seem) โดยพระเจ้าร้อยทา่ ดอย มกี ้านชอ่ ดอกยอ่ ยสั้นกว่าประมาณคร่งึ หนึ่ง ขอ้ ควรจ�ำ : กง่ิ กา้ น กา้ นใบและก้านชอ่ ดอก มหี นามแหลมงองมุ้ กระจายหา่ ง ๆ 88 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภูเขียว-น�้ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 89

นว้ิ มือพระนารายณ์ (Nio Mue Phra Na Rai) ผถู้ ่าย วรรณชนก สวุ รรณกร พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ ARALIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Schefflera bengalensis Gamble ช่อื อ่นื (Vernacular name) : มือเทวดา (เชียงใหม่); มือพระฤๅษี (นครพนม); วา่ นอ้อยช้าง (เลย) ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบหรอื เกาะองิ อาศยั บนต้นไม้อนื่ แต่ส่วนใหญม่ กั พบเกาะ อิงอาศัย เปลือกเรยี บหรือเป็นต่มุ นูนเล็ก ๆ คล้ายหนาม แต่ไม่แหลม ใบประกอบแบบน้ิวมือ ก้านใบ ร่วมยาว เรยี งเวยี นเปน็ กระจกุ ท่ีปลายกิง่ ใบยอ่ ยมี ๕ ใบหรอื มากกวา่ รูปรีถงึ รูปขอบขนาน ปลายและ โคนแหลม ขอบเรียบหรอื เป็นคลนื่ แผน่ ใบหนา เกลีย้ งเปน็ มนั ท้งั สองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ น ล่างสอี อ่ นกวา่ ก้านใบยอ่ ยสนั้ แตกออกจากจดุ เดียวกัน ชอ่ ดอกออกทซ่ี อกใบหรือปลายกิ่ง มีดอกยอ่ ย จ�ำ นวนมาก ผลทรงกลมเกลยี้ งขนาดเลก็ สุกสีเหลอื ง พบเปน็ ไมต้ น้ ขนาดเล็กหรอื เกาะอิงอาศัยตาม โขดหนิ หนา้ ผาหรอื ต้นไม้ใหญใ่ นป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าสนเขา ป่าละเมาะเขา และพบประปรายใน ป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของนกหลายชนดิ เชน่ นกปรอดเหลอื งหวั จกุ นกปรอดหัวสีเขม่า นกปรอดหัวโขน และนกปรอดโอ่งเมอื งเหนอื –นิยมนำ�มาปลกู เป็นไมป้ ระดับในกระถาง 90 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขียว-นำ้�หนาว

ตา้ งหลวง (Tang Luang) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ARALIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Trevesia palmata (Roxb. ex Lindl.) Vis. ชือ่ พ้อง (Synonym) : Gastonia palmata Roxb., Gillibertia palmata DC. ชือ่ อ่ืน (Vernacular name) : ต้างป่า, ตา้ งผา (เหนอื ) ลกั ษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ต้นกง่ึ ไม้พ่มุ ขนาดเลก็ ไมผ่ ลัดใบ ลำ�ต้นสนี �ำ้ ตาลมหี นามแหลมสัน้ ๆ กระจายอยู่ หา่ ง ๆ ใบเดย่ี วมีหลายแบบ เชน่ ขอบใบหยักเว้าลกึ เปน็ พถู ึงกลางใบหรอื บางครั้งถงึ ก้านใบคล้ายใบ แบบนว้ิ มือ ระหวา่ งฐานพูหรอื ใบย่อยมีแผน่ ใบเชอื่ ม ขอบใบหยกั เปน็ ซฟี่ ันไม่สม่ำ�เสมอ ก้านใบยาว มี หนามเล็ก ๆ กระจายท่ัวกา้ น เรยี งเวยี น ชอ่ ดอกเป็นช่อกลมขนาดใหญ่ ออกบนกา้ นชูชอ่ ดอกทซี่ อกใบ ใกล้ปลายกง่ิ มีกา้ นชชู อ่ ดอกรวมยาวหอ้ ยลง ดอกสีขาวอมเหลือง ผลรูปทรงกลมหรือรูปทรงรี ปลายผลมีรอยควน่ั และมีก้านเกสรเพศเมียตดิ อยูค่ ล้ายเมลด็ บวั หลวงสเี ขียว เมลด็ แบนมจี �ำ นวน มาก พบตามป่าดิบเขา รมิ ห้วยในปา่ เบญจพรรณและหุบเขาหินปนู ประโยชน์ : –ปลกู เป็นไม้ประดับ –ใบใชเ้ ปน็ อาหารเล้ยี งปศุสัตว์ –ดอกและผลเปน็ อาหาร แต่ตอ้ งทำ�ให้สุกเสยี ก่อนโดยการลวกหรอื ต้มหรือแกง –ดอก ตน้ และผลเปน็ ยาสมนุ ไพร กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธพุ์ ชื 91

ผถู้ ่าย กิตติ กรีตยิ ุตานนท์ นมตำ�เลยี (Nom Tam Lia) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ ASCLEPIADACEAE (APOCYNACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Hoya verticillata (Vahl) G. Don ชอ่ื อื่น (Vernacular name) : ตา้ ง (ทว่ั ไป); เนือ้ มะตอ่ ม (เหนือ); ลิน้ เห้ีย (กรงุ เทพฯ); นมพจิ ติ ร, นมหนู (กลาง) ลกั ษณะทวั่ ไป:เปน็ พืชทอดคลานหรอื อิงอาศัยตามตน้ ไม้ก่ิงกา้ นเกลี้ยงใบเดย่ี วอวบหนาค่อนขา้ งแขง็ มรี ูปรา่ งผันแปรมาก ตง้ั แต่รูปรี รูปหัวใจ รูปหัวใจกวา้ ง หรอื รปู ขอบขนานแกมรูปรี แผ่นใบเกล้ียงเปน็ มนั ทัง้ สองดา้ น ด้านบนอาจจะมีลวดลายและมสี สี นั ทสี่ วยงาม เชน่ สแี ดงหรือสนี �ำ้ ตาล เส้นใบมี ๑–๕ เส้น ก้านใบสั้นมาก เรียงตรงขา้ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ ซร่ี ม่ ออกทซี่ อกใบมคี วามผันแปรสูง ตั้งแต่ มดี อกย่อยจ�ำ นวนนอ้ ยโปรง่ ๆ จนถงึ ดอกจำ�นวนมากจนแนน่ ดอกสขี าว มีจดุ สีเหลอื งแต้มกลาง โคน กลบี ดอกสชี มพถู ึงแดงเขม้ ผลเปน็ ฝกั คู่ รูปกรวยยาวขนาดเลก็ เมอื่ แก่สีดำ� เมลด็ มีจ�ำ นวนมาก ขนาด เลก็ คลา้ ยรปู ทรงกระบอกปลายแหลม ส่วนโคนมนทู่มีปยุ สขี าวเป็นพตู่ ดิ อยู่ พบเกาะอิงอาศยั ตาม ลำ�ต้น ก่งิ กา้ นและคาคบของตน้ ไม้ทัว่ ไปในปา่ ดิบและป่าผลัดใบหลายประเภท ประโยชน์ : –ใบมีรปู รา่ งแปลกตาและดอกสวยงาม ปลกู เป็นไมป้ ระดับ –ใบและยางเปน็ ยาสมนุ ไพร ข้อควรจำ� : ทุกส่วนทมี่ ชี วี ติ มนี ำ�้ ยางสีขาว 92 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขยี ว-น้ำ�หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 93

ด้าง (Dang) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ ASCLEPIADACEAE (APOCYNACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Hoya kerrii Craib ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : เครอื หนอนตาย (หนองคาย); ต้าง (อบุ ลราชธาน)ี ; เทยี นขโมย, หัวใจทศกณั ฑ์ (กลาง) ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นไม้เถาอิงอาศยั ล�ำ ต้นกลมเกลีย้ งมรี ากอากาศออกตามข้อ ใบเดย่ี ว รูปไขก่ ลับ ปลายหยักเวา้ โคนมนหรือแหลม ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนาอวบน�ำ้ เกลยี้ งเป็นมนั ทงั้ สองด้าน ด้านบน สีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า กา้ นใบอว้ นส้ัน เรยี งตรงขา้ ม เสน้ ใบไมช่ ัดเจน ชอ่ ดอกแบบช่อซร่ี ม่ ออกที่ซอกใบมีดอกจ�ำ นวนมาก ก้านชอ่ ดอกยาว ดอกขนาดเลก็ สขี าวครีมอมม่วง กลางดอกมีแตม้ สีม่วง ผลเปน็ ฝักคู่ เมือ่ แก่แตกตามตะเข็บแยกเป็น ๒ ซกี เมล็ดรูปไขข่ นาดเล็ก มีขนยาวเปน็ พทู่ ป่ี ลาย ขา้ งหนง่ึ พบเกาะเล้อื ยพันตามเปลอื กตน้ คาคบหรอื กง่ิ ก้านของต้นไม้ในปา่ ทุกประเภท ประโยชน์ : –รูปรา่ งใบและดอกสวย เหมาะปลกู เปน็ ไมป้ ระดับ –ใบตากแหง้ ใช้จุดแทนเทียนไข ข้อควรจำ� : ทุกสว่ นทีม่ ชี วี ิตมนี ำ�้ ยางสีขาว 94 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขียว-น้�ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 95

กากหมากตาฤๅษี (Kak Mak Ta Rue Si) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ BALANOPHORACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Balanophora fungosa J. R. Forst. & G. Forst. subsp. indica (Arn.) B. Hansen ชือ่ อืน่ (Vernacular name) : กกหมากพาสี (เชียงใหม)่ ; ขนนุ ดนิ (กลาง) ลักษณะท่วั ไป : เป็นพชื เบยี นลม้ ลุกเกาะแย่งอาหารจากรากพืชชนดิ อนื่ ล�ำ ตน้ อยู่รวมกนั เป็น ก้อนขรุขระขนาดใหญ่อยใู่ ตด้ ิน หากมบี าดแผลจะมีน้ำ�ยางสขี าวข่นุ ไหลซึม ใบเดยี่ วขนาดเลก็ เรียงเวยี นดอกแยกเพศแต่ขึน้ อย่ไู มห่ า่ งกันมากนัก ออกเป็นชอ่ ชอ่ ดอกอ่อนอย่เู หนือผิวดนิ เล็ก นอ้ ย ส่วนช่อดอกแกจ่ ะส่งกา้ นชเู หนือผวิ ดินเปน็ กลุ่ม ๆ แตล่ ะกล่มุ มีมากกวา่ ๑๐ ดอก ดอกเพศผู้ รูปไข่แกมรูปรีแตกแยกเปน็ ชน้ั ๆ สเี หลอื งอมเขยี วอ่อน ๆ ดอกเพศเมีย รปู รา่ งกลมรี มีดอกขนาด เล็กละเอียดอัดกนั แน่นสีแดงอมนำ�้ ตาล เมล็ดขนาดเลก็ มาก พบเกาะเบยี นตามรากพชื ในสกุล Millettia, Pithecellobium, Cissus และ Tetrastigma ตามปา่ ดิบเขา ป่าดบิ แล้ง และป่าออ้ ทีร่ ะดับความสงู ๒๐๐–๒,๐๐๐ ม. จากระดับน�ำ้ ทะเล มักพบเห็นชว่ งปลายฤดฝู นต่อตน้ ฤดูหนาว ความส�ำ คญั :แปลกและมีความสวยงาม ข้อควรจำ� : คลา้ ยกากหมาก (Balanophora latisepala) จุดต่างคอื ลกั ษณะของอชอ่ ดอกและสสี ัน โดยกากหมาก มีรปู ร่างชอ่ ดอกทง้ั ๒ เพศ เรยี วกวา่ และมีสเี หลอื ง หมายเหตุ : พืชในสกลุ น้ีในประเทศไทยพบในปัจจุบนั ๔ ชนดิ 96 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 97

98 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กากหมาก (Kak Mak) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ BALANOPHORACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Balanophora latisepala (Tiegh.) Lecomte ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Balanophora truncata Ridl., Balaniella latisepala Tiegh. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : ดอกดินขาว (กลาง) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นพืชเบยี นล้มลุกเกาะแยง่ อาหารจากรากพืชชนิดอ่นื ล�ำ ตน้ อยู่รวมกนั เปน็ กอ้ น ขรขุ ระขนาดไมแ่ นน่ อนอยใู่ ตด้ ิน สว่ นท่เี ช่ือมติดกบั รากของพืชที่ให้อาศยั เป็นก้อนปุ่มปมมีลักษณะ ไมแ่ นน่ อน ใบเด่ียวขนาดเลก็ ลดรูปไปเป็นกาบหมุ้ เรียงเวยี น สีเหลืองออ่ น ดอกแยกเพศอยู่ตา่ งต้น ออกเปน็ ชอ่ ตามปลายยอด ดอกเพศผูย้ าวคล้ายกระบองรปู ไข่แกมรูปรี แยกออกเป็นชั้น ๆ ดอกเพศเมีย รูปรา่ งกลมรหี รอื รปู ไขย่ าว มีดอกขนาดเลก็ ละเอยี ดอดั กันแน่นคล้ายขนุนดนิ แตส่ อี อ่ นและขนาดเล็กกวา่ ผลขนาดเลก็ มาก พบตามปา่ ดบิ เขา ปา่ ดิบชนื้ ระดับสูงและดิบแล้งทีร่ ะดับความสูง ๒๐๐–๑,๖๐๐ ม. จากระดบั น�ำ้ ทะเล เกาะเบยี นรากพืชหลายชนดิ เช่น พชื วงศ์ถัว่ (Leguminosae) วงศ์องนุ่ (Vitaceae) และพชื ในสกลุ ไทร (Ficus) บางชนดิ มกั พบเหน็ ในชว่ งปลายฤดฝู นตอ่ กบั ตน้ ฤดหู นาว ความสำ�คญั : แปลกและมคี วามสวยงาม หมายเหตุ : พชื ในสกลุ น้ีในประเทศไทยพบทัง้ หมด ๔ ชนดิ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธพุ์ ชื 99

กอ่ สร้อย (Ko Soi) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ BETULACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Carpinus viminea Wall. ex Lindl. ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Carpinus londoniana Wink. ชื่ออืน่ (Vernacular name) : สนสรอ้ ย (เลย); กอ่ หดั (เพชรบรู ณ์); ก�ำ ลังเสอื โคร่ง (น่าน); เสป่ อบบล๊ะ (กะเหร่ียง–เชียงใหม่) ช่ือสามญั (Common name) : Hornbeam ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไม้ตน้ ไมผ่ ลดั ใบ เปลือกนอกหนาแตกเปน็ ร่องยาวและบดิ ตามความยาวของล�ำ ต้น ตามกิง่ อ่อนมีชอ่ งอากาศเปน็ ตุ่ม ๆ จ�ำ นวนมาก ใบเด่ียว รปู ใบหอก ปลายเรียวแหลมเปน็ หางยาว โคนมน ขอบจกั ฟนั เลื่อยซอ้ นกนั ๒–๓ ช้ัน แผ่นใบสาก ด้านบนเกลี้ยง ดา้ นล่างมขี นเลก็ น้อยตามเส้น กลางใบ กา้ นใบส้ัน เรยี งสลับ ยอดอ่อนสีน้ำ�ตาลแดง ช่อดอกแยกเพศ โดยดอกเพศผูอ้ อกท่ีซอกใบ เปน็ ชอ่ ยาวห้อยลง ใบประดบั รูปไข่ ดอกเพศเมยี ออกท่ียอดต้ังตรงยาว ใบประดับรปู แถบยาว ผลรปู ไข่ ปลายแหลม เปลือกแข็ง มใี บประดับคลา้ ยปกี รูปไขห่ รอื รปู ใบหอกสองขา้ งขนาดไม่เทา่ กัน เป็นไม้ เรือนยอดช้ันกลางถงึ ช้นั บนในปา่ ดบิ เขาหรือปา่ ดบิ ชนื้ ระดบั สูง ประโยชน์ : เปลือกต้นเปน็ ยาสมุนไพร ความสำ�คญั : กระจายมาจากเขตอบอุน่ /หายาก 100 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขยี ว-น�ำ้ หนาว

ระฆังทอง (Ra Kang Thong) ผู้ถ่าย แฟ้มภาพเขตรักษาพันธสุ์ ัตว์ปา่ ภเู ขยี ว พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ BIGNONIACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Pauldopia ghorta (Buch.-Ham. ex G. Don) Steenis ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมพ้ ุม่ หรอื ไมต้ น้ ขนาดเลก็ ไมผ่ ลัดใบ ใบประกอบแบบขนนก ๓–๔ ชน้ั เรียง ตรงขา้ มสลับตง้ั ฉาก มใี บย่อยจำ�นวนมาก ใบย่อยรปู รหี รือรูปไข่ ปลายแหลมยาว โคนเบ้ียวหรอื มน ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา ด้านบนสีเข้ม เกล้ยี ง ดา้ นลา่ งสอี อ่ นกว่ามขี นคลุม ช่อดอกออกทีซ่ อกใบ ใกล้ปลายกง่ิ ห้อยลง ดอกสีเหลืองส้ม รปู ปากแตร ปลายหลอดบานออกเล็กนอ้ ย สแี ดงอมน�ำ้ ตาล มี กลบี รองกลีบดอกสเี ขียว รูประฆงั คว�ำ่ ผลเปน็ ฝัก คล้ายถว่ั ฝักยาว เม่ือแก่แตกตามตะเขบ็ ออกเป็น ๒ ซีก เมลด็ แข็งแบนรูปสเ่ี หลย่ี มหนา พบตามริมหว้ ยบริเวณพนื้ ท่เี ปิดโล่งในปา่ ดบิ เขาและริมหว้ ยทมี่ ี ทรายมากในป่าดบิ แลง้ ประโยชน์ : ดอกสวยงาม เหมาะปลกู เป็นไม้ประดบั สถานภาพ : หายาก/ถกู คกุ คาม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธพุ์ ืช 101

มาง (Mang) ผถู้ า่ ย วนัท – เวฑิต พมุ่ พวง พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ BURSERACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Canarium euphyllum Kurz ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : มะเกิม้ (ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ) ลักษณะท่วั ไป : เป็นไม้ตน้ ขนาดใหญ่ ผลดั ใบช่วงส้นั ๆ ล�ำ ตน้ เปลาตรงมีพูพอนตำ่� เปลือกนอกหนา สนี �้ำ ตาลอมเทา ใกลโ้ คนต้นมกั แตกเป็นสะเก็ดใหญ่ ๆ เปลอื กในหนามาก สนี ำ้�ตาลอมชมพู มนี ำ�้ ยางสี น�ำ้ ตาลอมด�ำ ซึมออกเป็นเมด็ ๆ นำ้�ยางมีกล่นิ ฉุนเฉพาะตัว กระพีส้ เี หลอื งถึงน�้ำ ตาล ใบประกอบแบบ ขนนกปลายค่ี เรยี งตรงข้ามหรอื เวียน ใบย่อยรปู ไข่ถงึ รูปรี ปลายเรยี วแหลม โคนมนหรือเบยี้ ว ขอบจัก ฟนั เล่อื ยต้นื ๆ ถึงเรียบ แผ่นใบหยาบหนาเกลย้ี งท้ังสองดา้ น ด้านบนสีเขยี วคล้ำ� ด้านล่างสีออ่ นกว่า เสน้ ขอบใบปลายปดิ ก้านใบสน้ั มาก เรยี งตรงข้ามเป็นคู่ ๆ ดอกแยกเพศ ออกเป็นชอ่ แยกแขนงทซ่ี อกใบ ปลายกงิ่ มดี อกย่อยจำ�นวนมาก ดอกขนาดเล็ก สขี าว ผลสดรปู ไข่กลับ ผิวเกลี้ยงแข็ง ขนาดหัวแมม่ ือ ก้านผลมนี ำ้�ยางเหนยี วใส สุกสีมว่ งหรือนำ้�เงนิ อมด�ำ เมล็ดรูปรี เกล้ียงเปน็ เหลย่ี มมี ๓ มมุ มเี มล็ดเดยี ว เป็นไมเ้ รือนยอดช้นั บนในป่าดบิ เขาหรือป่าดิบช้ืนระดบั สงู ประโยชน์ : –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกกและนกเงอื กกรามช้าง –เน้ือไมอ้ ่อนใชใ้ นอตุ สาหกรรมเฟอรน์ ิเจอร์ –ชนั ใชป้ ระโยชน์ได้และใบเลยี้ งในผลแก่กินได้ สถานภาพ : หายาก/ถูกคกุ คาม/ไมห้ วงห้ามประเภท ก ข้อควรจำ� : ต้นอ่อนหรอื กล้าไม้จะคล้ายกบั มะกอกเกลื้อน (Canarium subulatum Guillaumin) และมะโมง (Canarium strictum Roxb.) จุดต่างคอื มะกอกเกลือ้ นมักพบในป่าผลัดใบที่ความสูง ตำ่�กว่า ๙๐๐ เมตร ส่วนมะโมงจะพบในสภาพป่าแบบเดยี วกนั แต่มีจุดตา่ งคอื ปลายเส้นใบจะเปิดโผล่ พ้นขอบใบชดั เจน หมายเหตุ : หากเปลือกมีบาดแผลจะมชี ันสนี �ำ้ ตาลถึงดำ�ไหลซึมออกมา 102 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว

มะแฟน (Ma Faen) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ BURSERACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Protium serratum Engl. ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : กะตบี , กะโปกหมา (ประจวบครี ีขันธุ)์ ; คอ้ ลิง (ชัยภมู )ิ ; แฟนส้ม (เลย); ส้มแป้น (นครราชสีมา); ปี (เหนอื ); ผ,ี พแี ซ, ฟีแซ (กะเหร่ยี ง–เชียงใหม)่ ; มะตรี, สพั ตรี (เขมร–จันทบุร)ี ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ เปลอื กนอกหนา แตกเปน็ สะเกด็ หรอื รอ่ งตนื้ ๆ สนี �ำ้ ตาล เปลือกในสีชมพู ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงตรงขา้ มหรอื เวียน ใบยอ่ ยรปู ไข่ ถึงรูปรี ปลายเรยี วแหลม โคนมนหรอื เบีย้ ว ขอบจกั ฟนั เลื่อยต้นื ๆ หรือเรียบ แผน่ ใบบาง เป็นคลน่ื เกลยี้ งเปน็ มันทั้งสองดา้ น ด้านบนสเี ข้มกว่าด้านล่าง ใบสดุ ท้ายมขี นาดใหญ่กวา่ ทุก ใบ กา้ นใบส้ันมาก เรียงตรงขา้ ม ช่อดอกออกท่ีซอกใบใกลป้ ลายกิ่ง มีดอกย่อยจำ�นวนมาก ดอกขนาดเลก็ สเี ขียวออ่ น ผลแบบเมล็ดแข็ง รูปค่อนข้างกลมหรอื มสี ันตน้ื ๆ ผิวเกลย้ี ง สุก สีแดงมีเนื้อฉ�ำ่ น�ำ้ เมล็ดติดเนื้อมี ๑–๓ เมลด็ เปน็ ไม้เรือนยอดชนั้ บนในป่าดบิ ทกุ ประเภทและ ป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ผลสกุ กนิ ได้รสเปรีย้ วและเป็นอาหารของชะนีมอื ขาว ค่างแวน่ ถ่ินเหนือ ลงิ อีกหลาย 103 ชนิด พญากระรอกด�ำ และกระรอกอีกหลายชนดิ –เน้ือไม้อ่อนใชก้ อ่ สรา้ งทวั่ ไปและตน้ ใชเ้ ลย้ี งคร่ัง เปลือกและรากเปน็ ยาสมนุ ไพร ความสำ�คญั : ไมห้ วงห้ามประเภท ก ขอ้ ควรจำ� : เปลอื กในมีน�้ำ ยางสีน�้ำ ตาลและมีกลน่ิ หอมเฉพาะตัว กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุพ์ ชื

สะเดาชา้ ง (Sa Dao Chang) ผู้ถ่าย Dr. Scott Suarez พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Acrocarpus fraxinifo- lius Wight ex Arn. ช่อื อื่น (Vernacular name) : ไก่ (กำ�แพงเพชร); กว้ ยก่ี (กะเหรีย่ ง–แมฮ่ อ่ งสอน); กางขม้ี อด, ยมหนิ (เชยี งใหม่); ขางช้าง, ขางแดง (ล�ำ ปาง); แดงนำ้�, พระเจา้ หา้ พระองค์ (ล�ำ ปาง, แพร)่ ; แสงตะลอ่ น, หอนนาค (เลย); แดงน้�ำ (นครราชสมี า) ชอ่ื สามญั (Common name) : Shingle Tree, Pink Cedar, ผถู้ ่าย เวทติ พมุ่ พวง Red Cedar ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ ้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ ยอดและกิ่งออ่ นมีขนสนั้ สที องคลมุ หนาแน่น โคนตน้ มพี พู อนขนาดใหญ่มาก เปลอื กนอกหนา เรยี บหรือแตกเป็นสะเก็ด สขี าวอมเทา เปลอื กในสนี �ำ้ ตาล ใบประกอบแบบขนนก ๒ ชน้ั เรียงสลบั ใบยอ่ ยรปู ไขห่ รือรปู รีแกมรปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลมเปน็ ตง่ิ โคนเบีย้ ว ขอบเรยี บ แผน่ ใบบางมีขนนมุ่ สนั้ คลมุ ประปราย เมอ่ื แกเ่ กล้ยี งด้านบนสเี ขม้ กว่าดา้ นลา่ ง กา้ นใบย่อยสนั้ มากหรือไมม่ ี เรียงตรงข้าม ช่อดอกยาวรปู ฉตั ร ออกปลายกง่ิ ดอกสแี ดงทยอยบานจาก โคนไปหาปลายช่อ ออกดอกขณะผลัดใบ ฝกั แบบแห้งแบนยาวและกวา้ ง คลา้ ยฝักกระถิน เมลด็ แบน สนี ้�ำ ตาลอ่อนมจี �ำ นวนมาก เปน็ ไมเ้ รือนยอดช้นั กลางถึงชน้ั บนในปา่ ดิบเขา ปา่ ดิบแล้ง หุบหว้ ยในป่า เบญจพรรณและรมิ แมน่ �ำ้ ประโยชน์ : –เน้อื ไมใ้ ชก้ อ่ สร้างภายใน ท�ำ ไมอ้ ดั และกระเบอ้ื งมุงหลังคา –ชอ่ ดอกเป็นอาหารค่างแว่นถ่นิ เหนือ ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก ข้อควรจำ� : เปลือกมกี ลิน่ เหมน็ เขียวมาก และออกดอกพรอ้ มกบั ผลัดใบหมดทั้งต้น 104 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 105

106 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

ผถู้ า่ ย กติ ติ กรตี ิยุตานนท์ เส้ยี วเครอื ยอดแดง (Siao Khruea Yot Daeng) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Phanera glauca Benth. subsp. tenuiflora (C. B. Clarke) A. Schmitz ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Bauhinia polysperma Pierre ex Gagnep., B. tenuiflora Watt ex C. B. Clarke, B. caterviflora Chen, Phanera tenuiflora (Watt ex C. B. Clarke) de Wit ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : คางโค (จันทบุรี); ชงโค (ตะวนั ออก); พาซวิ (กระเหร่ยี ง–ล�ำ ปาง); เส้ยี วตน้ (นา่ น); เสี้ยวปา่ (เชยี งใหม่); เสี้ยวเครือ (เชยี งใหม,่ ล�ำ ปาง); แสลงบัน (เหนอื ); เส้ยี วยอดแดง (ชัยภมู ิ) ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไม้เถาเน้ือแข็ง ผลดั ใบชว่ งสนั้ ๆ กงิ่ กา้ นอ่อนสนี �้ำ ตาลหรือแดง อาจจะมมี ือ เกาะหรอื ไมม่ ี ใบเดี่ยว รปู รรี ปู ไขห่ รือรปู โล่ ปลายใบหยกั ลกึ โคนเว้ารูปหัวใจ ขอบเรียบคล้ายรูป ผีเส้อื แผน่ ใบเกลย้ี งทัง้ สองด้าน ด้านบนสเี ข้มกวา่ ดา้ นล่าง ก้านยาว เรียงสลบั เส้นใบนนู ออก เดน่ ชัดด้านบนยอดออ่ นสีน�้ำ ตาลแดงถงึ แดง ใบแกก่ อ่ นร่วงสเี หลอื ง ใบแห้งสีน้ำ�ตาล ชอ่ ดอก ออกทซ่ี อกใบใกลป้ ลายก่งิ มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกสมบูรณ์เพศ สขี าว มีแตม้ สีนำ้�ตาลแดงกลาง ดอก ฝักรูปขอบขนานแบน ปลายแหลมเป็นตงิ่ เบ้ียวและโคนสอบแหลม เม่อื แก่แตกตาม ตะเข็บเป็น ๒ เสยี่ ง เมล็ดรูปกลมหรือแบน มหี ลายเมล็ด พบตามพ้นื ทเี่ ปดิ โล่งหรือ ชายปา่ ดิบทัว่ ไป ประโยชน์ : –เปลอื กมีเส้นใยลอกทำ�เชอื กได้ –ใบและเปลือกต้นเปน็ อาหารชา้ งปา่ –ปลกู เปน็ ซุ้มไมป้ ระดับ ขอ้ ควรจ�ำ : ต่างจากชนิดย่อย Bauhinia glauca ssp. glauca (ชงโค) โดย ssp. glauca มีฐานรอง ดอกส้ันกวา่ และมีถ่ินกระจายพนั ธอุ์ ยูภ่ าคใต้ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพชื 107

เสีย้ วปา่ (Siao Pa) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Bauhinia saccocalyx Pierre ชือ่ อน่ื (Vernacular name) : คงิ โค (นครราชสีมา); ชงโค (จนั ทบุรี, นครราชสีมา, สุพรรณบรุ ี, อุทัยธานี); ส้มเส้ียว (นครสวรรค,์ อดุ รธาน)ี ; สม้ เส้ยี วโพะ, เสีย้ วดอกขาว (เลย); เสย้ี วเครือ (เหนอื ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ หรอื เป็นไม้พุม่ รอเล้ือย เน้ือแข็ง ผลดั ใบ กิ่งกา้ นออ่ น สนี �ำ้ ตาล เปลือกนอกหนาแตกเป็นสะเกด็ สีเทาดำ� ใบเดย่ี ว รปู รีรูปไขห่ รือรปู โล่ ปลายใบหยักลึก โคนเวา้ รปู หวั ใจ ขอบเรียบคลา้ ยรปู ผีเส้อื แผ่นใบเกล้ยี งทง้ั สองด้าน ด้านบนสเี ข้มกวา่ ดา้ นล่าง เส้นใบ นนู ออกดา้ นลา่ ง ก้านใบยาว เรียงสลับ ชอ่ ดอกออกท่ีซอกใบใกล้ปลายกิง่ มดี อกจ�ำ นวนมาก ดอกสมบูรณเ์ พศ สีขาวถงึ ชมพู ฝักรปู ขอบขนานแบน เปลือกแข็งหนา ปลายและโคนแหลม หอ้ ยลง เม่อื แก่แตก เริม่ แตกปลายฝักกอ่ นแล้วไลม่ าตามตะเข็บเป็น ๒ เส่ยี ง เมล็ดแบนมี ๓–๕ เมล็ด พบตามพ้นื ท่ีเปดิ โล่งหรอื ชายป่าทกุ ประเภท ประโยชน์ : –เปลอื กมเี ส้นใยลอกทำ�เชอื กได้ –ใบและเปลือกตน้ เป็นอาหารของชา้ งปา่ –ปลูกเปน็ ซมุ้ ไม้ประดบั 108 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว

กำ�จาย (Kam Chai) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Caesalpinia digyna Rottler ชื่ออื่น (Vernacular name) : ขแ้ี รด (กลาง); หนามแดง (ตราด); หนามหัน (จนั ทบรุ ี); กระจาย, ขค้ี าก (แพร)่ ; มะหนามจาย (ตาก); ตาล่แู ม, สื่อกพี อ (กะเหรยี่ ง-แมฮ่ ่องสอน); มะเบน๋ (ฉาน-เหนือ); งาย (ปตั ตาน,ี นครศรีธรรมราช); จงิ จา่ ย, ฮายปนู (นครศรธี รรมราช); ฮาย (สงขลา) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมพ้ ่มุ หรือไม้เลื้อยเนอื้ แข็ง ผลดั ใบ ล�ำ ตน้ และก้านมีหนามแหลมงอง้มุ รปู กรวยคว�ำ่ ฐานกว้าง ใบประกอบแบบขนนก ๒ ชนั้ ปลายคู่ เรยี งสลบั ใบยอ่ ยขนาดเล็กรูป ขอบขนาน ปลายมนหรอื หยักเว้า โคนเบ้ยี ว ขอบเรียบ แผ่นใบเกล้ยี งทงั้ สองด้าน กา้ นใบยอ่ ยสน้ั มาก เรยี งตรงข้าม ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงห้อยลง ออกทซ่ี อกใบและปลายกงิ่ มดี อกจ�ำ นวน มาก ดอกสีเหลืองขนาดเลก็ ฝกั รูปขอบขนานคอ่ นข้างปอ้ ม มกี ลบี เลยี้ งรปู คล้ายจาน กลางฝัก พองออกตามรูปรา่ งเมลด็ ปลายฝกั อ่อนมีตง่ิ แหลม เม่ือแก่หลุดรว่ ง กา้ นเรยี วยาว ฝักแก่ไม่แตก เมล็ดแขง็ รปู คอ่ นข้างกลม พบตามพนื้ ท่เี ปดิ โล่งตามชายป่าดิบเขา ชายป่าดบิ ประเภทอื่น และ ปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ดอกสสี วยงามปลูกเป็นไมป้ ระดับ –รากและฝักเป็นยาสมุนไพร –ฝักให้น�ำ้ ฝาด ใชย้ อ้ มผา้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธุพ์ ืช 109

ร(RาaชtพCฤhกaษPป์ hา่ ruek Pa) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cassia javanica L. subsp. nodosa (Buch.-Ham. ex Roxb.) K. Larsen & S. S. Larsen ชื่ออื่น (Vernacular name) : เปลือกขม, ราชพฤกษ์ (จนั ทบรุ )ี ชือ่ สามัญ (Common name) : Wishing Tree, Pink Shower ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไม้ต้น ผลัดใบ เปลอื กนอกบาง เรียบ สเี ทา ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรยี งสลบั หูใบขนาดเล็ก ใบย่อยรูปไข่หรอื รูปรีแกมรปู ขอบขนาน ปลายและโคนมน ขอบเรียบ แผน่ ใบบาง เกลี้ยงหรอื มีขนคลุมประปรายทั้งสองด้าน ดา้ นบนสเี ขม้ กว่าดา้ นลา่ ง ก้านใบส้นั เรียง ตรงข้าม ชอ่ ดอกออกตามก่ิงหรอื ที่ซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ ออกดอกขณะผลดั ใบหรอื ผลใิ บออ่ นใน ฤดูหนาว ดอกสีชมพเู ข้ม แล้วเปลยี่ นเปน็ สชี มพูอมขาวเมอ่ื ใกลร้ ว่ ง ฝกั รูปทรงกระบอกยาว คอดต้นื ๆ ตามความยาวของเมลด็ เปลอื กเรียบเกลย้ี ง เมลด็ คอ่ นข้างกลม มีจ�ำ นวนมาก เป็นไมเ้ รอื นยอดช้ัน กลางถึงช้นั บนในปา่ ดบิ เขา ป่าดบิ แล้งและภเู ขาหินปูน ประโยชน์ : –ดอกสีสวยงามปลกู เปน็ ไม้ประดบั –เนอ้ื ไม้ ใชท้ ำ�เสาหลกั เมืองและใชส้ รา้ งประตเู มือง หมายเหตุ : ชนิดยอ่ ยนีเ้ ป็นพนั ธุป์ ่าแท้ ๆ ของประเทศไทย ข้อควรจำ� : คล้ายกบั ชนดิ ย่อย Cassia javanica ssp. agnes มาก จุดต่าง คอื ชนิดยอ่ ยน้อี อกดอก ขณะยงั มใี บอยูแ่ ละมีหใู บใหญ่เดน่ ชัด 110 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว

แกว้ ตาไว (Kaeo Ta Wai) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Pterolobium macropterum Kurz ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Pterolobium indicum A. Rich. var. macropterum (Kurz) Bak. ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : กะแทวแดง, หนามกะแทว (ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ); แกว้ มือไว (กลาง); เกลอู (กะเหรยี่ ง–กาญจนบุรี); เครือจา๋ ยแดง, หนามจับ, หนามจาย, หนามจายแดง (เหนอื ); เกลแซ, ตาโฉ่แม, สีก่ ีพอคะ (กะเหรี่ยง–แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมพ้ ่มุ รอเล้ือย เน้อื แขง็ ผลดั ใบ ลำ�ต้นและก้านใบมหี นามแหลมงองมุ้ ใบ ประกอบแบบขนนก ๒ ชน้ั เรยี งสลับ ใบย่อยขนาดเล็กรูปขอบขนาน ปลายมนหรอื หยกั เวา้ โคนเบี้ยว ขอบเรยี บ แผ่นใบเกล้ียงทั้งสองดา้ น กา้ นใบยอ่ ยส้นั มาก เรียงตรงขา้ ม ช่อดอก แบบช่อแยกแขนงต้งั ขึน้ ออกท่ซี อกใบและปลายก่งิ มดี อกจ�ำ นวนมาก ดอกสีขาวอมชมพู ขนาดเล็ก ฝกั ออ่ นสีชมพูถึงแดงเข้ม เม่อื แกส่ ีนำ้�ตาล มีปกี ทป่ี ลาย ฝกั รูปขอบขนานถงึ เบย้ี ว สว่ นทีห่ มุ้ เมล็ดรปู รี เมล็ดแข็ง รูปรี มเี มล็ดเดียว พบตามพน้ื ท่เี ปดิ โลง่ ตามชายป่าดบิ เขา และชายปา่ ดิบประเภทอ่นื ประโยชน์ : ฝักออ่ นมสี ีสวยเหมาะปลกู เปน็ ซมุ้ ไมป้ ระดบั ข้อควรจำ� : คล้ายกบั แกว้ มือไว (Pterolobium integrum) โดยปีกผลของแกว้ มือไวมีอตั ราสว่ นแคบ แต่ยาวเท่ากับความยาวเมล็ด ขนาดใบกว้างและมีต่อม กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุพ์ ืช 111

ขเ้ี หลก็ เลอื ด (Khi Lek Lueat) ผู้ถา่ ย วนทั พมุ่ พวง ผถู้ ่าย วนัท พุ่มพวง พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ CAESALPINIACEAE (FABACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Senna timoriensis (DC.) H. S. Irwin & Barneby ช่อื พ้อง (Synonym) : Cassia timoriensis DC., C. exaltata Reinw. ex Blume, C. arayatensis Llanos, C. montana Naves ชื่ออน่ื (Vernacular name) : กะแลงเงน็ (นราธวิ าส): ชา้ ขเี้ หลก็ , กะแลงแอน (ใต)้ ; มะเกลอื เลือด (ราชบุรี); ขี้เหล็กแดง, ข้ีเหล็กคันชงั่ (เหนอื ); จี้ลีหลอย (ฉาน–แมฮ่ ่องสอน); ปต้ี ะกะ (ละว้า–เชยี งใหม่); แมะขเี้ หละ, แมะแคะแหล่ะ (กะเหรีย่ ง–แมฮ่ ่องสอน); ข้ีเหล็กน้ำ� (ตะวนั ออกเฉยี งใต)้ ; ขเ้ี หลก็ ดง (ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดเลก็ ผลัดใบ ลำ�ต้นแตกก่งิ ต�่ำ เปลือกนอกบาง เรียบ สีน�ำ้ ตาล หรือเทา ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลบั ใบย่อยขนาดเลก็ รูปขอบขนาน ปลายมนหรอื หยกั เว้า โคนเบีย้ ว ขอบเรยี บ แผ่นใบมขี นสีนำ้�ตาลนมุ่ คลมุ ท้งั สองดา้ น กา้ นใบยอ่ ยสั้นมาก เรยี ง ตรงข้าม ยอดอ่อนสีนำ้�ตาลแดง ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงตัง้ ขนึ้ ออกทซี่ อกใบและปลายกิง่ มี ดอกจ�ำ นวนมาก ดอกสีเหลืองสด ฝักรูปขอบขนานยาว เมื่อแกส่ ีด�ำ แห้งแตกออกตามตะเขบ็ มัก แหง้ ตดิ ตน้ เป็นเวลานาน เมลด็ แขง็ รปู รี มีหลายเมล็ด มกั ขึน้ เป็นกลมุ่ ขนาดใหญ่ในพ้นื ทเี่ ปดิ โล่ง ตามชายปา่ ดบิ เขา ชายปา่ ดิบประเภทอน่ื ปา่ ผลัดใบ พ้ืนทร่ี กรา้ งและภูเขาหินปนู ประโยชน์ : เปน็ ไม้โตเรว็ เหมาะส�ำ หรับปลูกคลมุ พื้นที่รกร้างว่างเปลา่ 112 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

ข้าวสารคา่ ง (Khao San Khang) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ CARDIOPTERIDACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cardiopteris quinqueloba (Hassk.) Hassk. ชื่อพ้อง (Synonym) : Cardiopteris javanica Blume, C. lobata Wall. ex Benn., Peripteri- gium quinquelobum Hassk. ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : ขะล้านขา่ ง (ชมุ พร); ผักแตน๋ แต้ (ลพบรุ ี); หวี่หว่ี (สระบุรี); ตกุ๊ ตู่ (ชลบุร)ี ; วิว,่ี อีหวี่ (ปราจนี บรุ )ี ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมเ้ ถาล้มลกุ เล้ือยพัน เถาคอ่ นข้างแบน ใบเดยี่ ว รปู หวั ใจ ปลายแหลม โคนเวา้ ขอบเป็นเหลี่ยมหรือเว้าเปน็ แฉกต้ืน ๆ แฉกตรงกลางปลายแหลม แฉกด้านข้างมนทู่ แผ่น ใบบาง เกลี้ยงท้งั สองด้าน ดา้ นบนสเี ข้มกวา่ ดา้ นลา่ ง ก้านใบ ยาวเรยี งสลับ ชอ่ ดอกออกที่ซอกใบมกั มว้ นงอ ดอกสขี าวขนาดเล็กเรียงอยดู่ า้ นเดียวของกา้ นช่อ ผลสดรปู ขอบขนานหรือไข่ ปลายมี ติง่ แหลม ขอบผลแผเ่ ปน็ ครบี ตามยาวปลายหยักเว้า พบทวั่ ไปตามพ้นื ทีเ่ ปิดโล่งในป่าดบิ และ ป่าผลดั ใบทค่ี อ่ นขา้ งชน้ื ทกุ ประเภท ประโยชน์ : ใบเปน็ ยาสมนุ ไพร ขอ้ ควรจ�ำ : ทกุ สว่ นทม่ี ชี ีวติ มนี ำ้�ยางสีขาว กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธพ์ุ ืช 113

ขมนั (Kha Man) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ CECROPIACEAE (URTICACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Poikilospermum suaveolens (Blume) Merr. ชื่อพ้อง (Synonym) : Polychroa repens Lour. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : กุระเป๊ียะ (สงขลา); ชะไร, ยาวี (สะตลู ); เถากะมนั , ย่านมูรู (พทั ลงุ ); มะรุ (ปตั ตานี); มอื กอ (มาเลเซีย–นราธิวาส); โร (พังงา); เครือเต่าไห้ (ลำ�ปาง); อา้ ยไร (กรงุ เทพฯ) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไมเ้ ถาไม่มีเน้ือไม้ มีช่องอากาศสคี รมี ตามผิวเปลอื ก มหี ูใบสนี �ำ้ ตาลอมเขียว ใบเดยี่ ว รูปไข่หรอื รูปรี ปลายทู่ โคนมนหรอื หยกั เว้า ขอบเรยี บหรอื เป็นคลื่น แผ่นใบหนา เกลยี้ ง ทัง้ สองดา้ น ดา้ นบนสีเขยี วเข้ม ดา้ นล่างสอี ่อนกว่า ก้านใบยาว มีเกล็ดประปราย เรยี งสลับ หรอื เรียงเวียนเป็นกระจกุ ที่ปลายกงิ่ เสน้ ใบนูนออกดา้ นลา่ ง ยอดออ่ นสนี �ำ้ ตาล ชอ่ ดอกแบบ ชอ่ กระจุกกลม มีก้านช่อดอกรวมอ้วนปอ้ ม ดอกแยกเพศ สมี ่วง ขนาดเล็กอัดกันแนน่ ผลขนาด เลก็ พบเลอ้ื ยพันตามตน้ ไมท้ ร่ี ม่ ช้นื ในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดิบทุกประเภทและรมิ หว้ ยหรอื แม่น�้ำ ประโยชน์ : –ดอกสวยเหมาะปลูกเปน็ ซมุ้ ไมป้ ระดับ –ยอดออ่ นเป็นอาหารค่างแวน่ ถน่ิ เหนอื ข้อควรจำ� : กงิ่ กา้ นสดมนี �ำ้ ยางเหนยี วใส เส้นใบนูนออกจากโคนใบ ๓ เสน้ และมหี ใู บขนาดใหญ่ สนี �้ำ ตาลหรือสีม่วง 114 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว

กระทงลาย (Kra Thong Lai) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ CELASTRACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Celastrus paniculatus Willd. ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : กระทุงลาย, โชด (กลาง); นางแตก (นครราชสมี า); มะแตก, มะแตก เครือ, มกั แตก (เหนอื , ตะวันออกเฉยี งเหนอื ) ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ ไมเ้ ถาเน้ือแข็งขนาดใหญ่ ผลดั ใบ ตามกงิ่ มชี ่องอากาศกระจายอยทู่ ่วั ไป ใบเดยี่ ว รูปรีหรอื รูปไข่แกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบจกั ฟนั เลื่อย แผน่ ใบหนา ดา้ นบน สีเขม้ เกลยี้ งเป็นมัน ด้านล่างสซี ดี กวา่ มีขนประปราย กา้ นใบสนั้ เรียงเวยี น ใบแกก่ อ่ นร่วง สเี หลือง ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนง ออกปลายกงิ่ ห้อยลง ดอกแยกเพศขนาดเลก็ สขี าวอมเหลืองมี จำ�นวนมาก ผลคอ่ นขา้ งกลมมี ๓ พู สุกสีเหลอื งอมส้ม แตกตามตะเข็บออกเป็น ๓ เสย่ี ง เมล็ดรูปรี มี ๓–๖ เมล็ด เน้อื หมุ้ เมล็ดสีแดง พบเลอื้ ยพนั ตามล�ำ ต้นและเรอื นยอดของปา่ ทุกประเภท สามารถ กระจายพนั ธ์ุไดด้ ใี นพื้นทีร่ กร้าง เน่อื งจากการนำ�พาของนกกนิ ผลไม้ ประโยชน์ : –ผลสุกเปน็ อาหารของกระรอกปลายหางดำ� นกแกก๊ นกขมน้ิ หัวด�ำ ใหญ่ นกตง้ั ล้อ นกหวั ขวานเขยี วหัวด�ำ นกหกเล็กปากแดง นกโพระดกคอสฟี ้าเคราด�ำ นกโพระดกคอสฟี า้ นกโพระดกหน้า ผากด�ำ นกโพระดกธรรมดา นกโพระดกหเู ขยี ว นกขุนทองและนกปรอดเหลืองหวั จกุ –ยอดอ่อนและใบออ่ น ท�ำ ให้สุกเปน็ ผักจ้ิม –ท้ังตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์พุ ชื 115

(กKำ�aแmพงPเจh็ดaชenน้ั g Chet Chan) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ CELASTRACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Salacia chinensis L. ชื่อพ้อง (Synonym) : Salacia prinoides DC., S. socia Craib, S. atifolia Wall. ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : ตะลุ่มนก (ราชบรุ )ี ; ตาไก้ (พษิ ณโุ ลก); น้ำ�นอง, มะตอ่ มไก่ (เหนือ); หลมุ นก (ใต้) ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมพ้ ่มุ หรือไมเ้ ลือ้ ยเนอ้ื แข็ง ผลดั ใบ ก่ิงก้านมักเปน็ ข้อเป็นปมเลก็ ๆ ใบเด่ยี ว รูปรี รปู ไข่หรือรปู ไข่กลับ ปลายแหลมหรือมน โคนสอบแคบ ขอบหยกั มน แผ่นใบหนา เกล้ยี งเป็นมนั ทงั้ สองด้าน ดา้ นบนสเี ขียวเขม้ ด้านล่างสเี ขียวนวล กา้ นใบสนั้ เรยี งตรงขา้ ม ใบแกก่ ่อนรว่ งสีเหลือง ดอกออกเปน็ กลุ่มหรือชอ่ สัน้ ๆ ทีซ่ อกใบ ดอกขนาดเลก็ สีเขียวอมเหลอื ง ผลค่อนขา้ งกลมหรือรี สุก สีแดงหรอื แดงอมส้ม เมลด็ ค่อนขา้ งกลม มีหลายเมล็ด พบตามปา่ ดบิ ทุกประเภทและตามลำ�หว้ ย ในป่าเบญจพรรณหรือป่าเต็งรัง ประโยชน์ : –ผลสุกกินได้รสหวานและเปน็ อาหารของสัตว์กลุ่มชะมดอีเห็น –รากเป็นยาสมุนไพร –ใชล้ ำ�ตน้ ดองเหล้าเชื่อว่าเป็นยาบ�ำ รงุ กำ�ลัง 116 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว

กระดกู ไก่ (Kra Duk Kai) ผู้ถ่าย เสถยี ร ค�ำ พิกลุ พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ CHLORANTHACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Chloranthus elatior Link ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Cryphaea erecta Brecta Buch. - Ham., Chloranthus officinalis Blume, C. elatior R. Br. ex Sims ชื่ออนื่ (Vernacular name) : หอมไก, หอมไก๋ (เหนือ); ชะพลปู ่า (ตราด) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ ขนาดเล็กไม่ผลัดใบ ลำ�ต้นและกิง่ ก้านเกลีย้ งสีเขยี วคล�้ำ ถึงม่วงดำ� ขอ้ โป่ง พอง ใบเด่ียว รปู รแี กมรูปขอบขนาน ปลายและโคนแหลม ขอบหยกั ซฟี่ ันตน้ื ๆ แผ่นใบหนา เกล้ยี ง เปน็ มนั ด้านบนสีเขยี วเขม้ ด้านล่างสีอ่อนกว่า ก้านใบสน้ั เรยี งตรงขา้ มสลบั ตงั้ ฉาก เส้นใบนูนออก ด้านล่าง ช่อดอกออกปลายกิ่ง ดอกเป็นกอ้ นสขี าวไม่มีกลบี ดอก มีกล่นิ หอม ผลสด รปู ทรงกลม ปลายเป็นจุกแหลม ฉ�่ำ น�้ำ สขี าวครีม มว่ งหรอื ชมพู ปลายผลสมี ่วง เมลด็ คอ่ นข้างกลม สเี หลอื งอม ขาวและแขง็ มีเมลด็ เดียว เปน็ ไม้พืน้ ลา่ งในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ประเภทอืน่ และปา่ เบญจพรรณชน้ื ประโยชน์ : –ทงั้ ต้นเปน็ ยาสมนุ ไพร –ยอดอ่อนและใบอ่อน มีกลน่ิ หอมหรอื ฉนุ กนิ เปน็ ผกั สดได้ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื 117

หงอนไก่ (Ngon Kai) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ CONNARACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cnestis palala (Lour.) Merr. ช่อื อ่นื (Vernacular name) : กระพากราก (ตราด); มะตายทากลาก, หมาตายไมต่ ้องลาก (ชลบุร)ี ; กะลงิ ปริงป่า (ราชบุรี); หงอนไกป่ ่า (กลาง); มะตายวาย, มะสกั หลาด (ล�ำ ปาง); หงอนไกห่ นว่ ย, หมาแดง (ใต้) ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไมเ้ ถาเนอ้ื แข็ง ผลดั ใบ กงิ่ ก้านและใบอ่อนมขี นหนานมุ่ ปกคลมุ ใบประกอบแบบ ขนนกปลายค่ี เรยี งเวยี น ใบยอ่ ยท่ปี ลายใบรูปรี ส่วนใบย่อยอื่นรปู ขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลาย แหลมเบ้ยี ว โคนมน ดา้ นบนเกลย้ี งหรอื มขี นหา่ ง ๆ สเี ข้ม ดา้ นลา่ งมขี นตามเส้นใบหนาแน่น ชอ่ ดอก ออกเปน็ กระจกุ ตามกงิ่ แก่ ดอกสีเหลอื งอ่อน ผลเป็นฝกั รปู ขอบขนานหรือรูปรี ปลายเป็นจะงอย กา้ นใบสั้นมาก ผวิ มีขนส้ันน่มุ คลา้ ยกำ�มะหยี่ สกุ สีแดงสด เมื่อแหง้ แตกตามตะเข็บดา้ นเดยี ว มหี ลายเมล็ด พบเลอื้ ยพนั ตามป่าดิบทุกประเภทและป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –เนอื้ ผลสกุ กนิ ได้ (ระวังอยา่ กินเมล็ด) –ยอดและผลอ่อนกินเปน็ ผัก แตต่ ้องท�ำ ให้สกุ เสียกอ่ น ข้อควรระวงั : เมล็ดเปน็ ยาพิษอยา่ งแรง 118 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขียว-น�้ำ หนาว

บานดกึ (Ban Duek) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ CONVOLVULACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Ipomoea alba L. ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : ดอกพระจันทร์ (นครราชสีมา) ชอื่ สามัญ (Common name) : Moonflower ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้เถาล้มลกุ ก่ิงก้านเรยี บเกลยี้ ง ใบเดย่ี ว รปู ไข่หรือรปู หวั ใจ ปลายเปน็ ตง่ิ แหลม โคนเว้ารปู หวั ใจ ขอบเรียบหรือเกือบเรียบ หยกั เวา้ ๒-๓ หยกั แผน่ ใบหนา เกลีย้ งหรอื มขี นเล็กน้อย ด้านบนสเี ขม้ กว่าด้านล่าง ก้านใบยาว เรียงสลบั ดอกออกเด่ยี ว ๆ หรอื เปน็ ชอ่ ที่ ซอกใบ ดอกตูมสีขาวอมเขียว บิดเวียนเปน็ เกลยี ว กลบี ดอกสขี าว ขนาดใหญ่ รปู ปากแตร สว่ นปลายแผก่ วา้ ง กา้ นช่อดอกยาวมาก มกั บานเวลาพลบค�ำ่ ถึงรุ่งเชา้ มีกลนิ่ หอม ผลรูปไข่ คลา้ ยดอกบัวตูม ปลายแหลมยาวมี ๔ เมล็ด เป็นไมเ้ ลื้อยคลุมตามพ้นื ท่ีเปดิ โล่งท่มี ีความช่มุ ช้นื สงู หรอื อยู่ใกลร้ ิมห้วยในป่าดบิ เขาและปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : ดอกสวยและมีน�ำ้ กลิน่ หอมเหมาะปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ ขอ้ ควรจ�ำ : ทุกสว่ นที่มีชวี ิตมียางใสหรือสขี าว กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธพ์ุ ชื 119

ผ้ถู า่ ย วนทั พุ่มพวง มะตาด (Ma Tat) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ DILLENIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dillenia indica L. ชื่อพ้อง (Synonym) : Dillenia speciosa Thunb. ชอื่ อ่ืน (Vernacular name) : ส้มปร,ุ สา้ นกวา้ ง, ส้านท่า, สา้ นใหญ่ (สรุ าษฎรธ์ าน)ี ; แส้น (นครศรีธรรมราช, ตรงั ); ส้านป้าว (เชยี งใหม่) ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ไมผ่ ลัดใบ ลำ�ตน้ ส้นั มกั คดงอแตกก่ิงต�ำ่ กิง่ ออ่ นมขี นคลุม เปลือกนอก หนาเรียบหรือลอกล่อนเป็นแผ่นบางสีเทา ผิวใตส้ ่วนทลี่ อกสีนำ้�ตาลแดง ใบเด่ียว รูปรหี รอื รูปไข่ ปลายปา้ นหรอื เป็นต่งิ แหลม โคนสอบ ขอบหยักซี่ฟัน ดา้ นบนสีเขียวสดเป็นมนั ด้านลา่ งสอี ่อน กว่ามีขนคลมุ ประปราย เสน้ ใบขนานกันแตกเฉียงเปน็ มุมแหลมกบั เสน้ กลางใบ นูนออกด้านล่าง เด่นชัด ก้านใบเปน็ รอ่ ง ด้านบนและโคนแผแ่ บนออกเป็นกาบหุม้ กิ่ง เรยี งเวยี น ดอกออกเด่ยี ว ๆ ที่ ซอกใบใกลป้ ลายก่งิ ก้านดอกคอ่ นข้างยาว ดอกบานขนาดใหญ่ สขี าว ผลสดทรงกลมขนาดใหญ่ เทา่ ก�ำ ปนั้ ผใู้ หญ่ มกี ลีบรองดอกหนาอมุ้ นำ้�หมุ้ สกุ สเี หลอื งอมส้ม เมล็ดขนาดเลก็ มจี ำ�นวนมาก ถกู หุม้ ดว้ ยเมือกเหลว พบตามริมหว้ ยในปา่ ดบิ ทุกประเภทและป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ราก เปลือก ใบและผล เปน็ ยาสมนุ ไพร –เนือ้ ผลใช้ทำ�ยาสระผม –ผลสกุ มรี สเปรย้ี ว ใชป้ ระกอบอาหารและเปน็ อาหารของชา้ ง กวาง เกง้ และกระทงิ –เนอ้ื ไม้ใช้กอ่ สร้างภายในและทำ�ฟืน ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก ข้อควรจำ� : เป็นพชื ในสกลุ Dillenia ชนดิ เดยี วทม่ี ดี อกสีขาวและมีผลขนาดใหญ่ทสี่ ุด 120 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว

ผู้ถ่าย วุฒนิ นั ท์ พวงสาย แส้น (Saen) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ DILLENIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dillenia ovata Wall. ex Hook. f. & Thomson ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Dillenia aurea auct. non Sm., D. meliosmifolia auct. non Hook. f. & Th. ชื่ออ่นื (Vernacular name) : ไขเ่ น่าดง, ตานกกด (เลย); ส้านโดยเด (นครพนม); ปล้อ (ส่วย–สุรนิ ทร)์ ; มะโตน (ชลบุรี); สา้ นใบเลก็ (ปัตตานี); ส้านกวาง (ใต)้ ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ ไม้ต้น ผลัดใบชว่ งส้ัน ๆ ผวิ ล�ำ ต้นมกั เป็นปุม่ ปมเลก็ ๆ โคนต้นเกลีย้ งสี น�ำ้ ตาลแดง กง่ิ อ่อนมขี นคลมุ เปลือกหนาอมุ้ นำ้� สีน้ำ�ตาลลอกออกเป็นแผ่นบาง ๆ ผิวเปลอื ก ใตส้ ว่ นทล่ี อกสนี �้ำ ตาลแดง เปลือกในสีชมพู มรี ้ิวสขี าวสัน้ ๆ แทรก กระพีส้ ีขาวอมเหลอื ง ใบเด่ยี ว รูปไขห่ รอื รูปไข่กลับ ปลายมนหรอื เวา้ เล็กนอ้ ย โคนมนกว้างหรอื เบยี้ ว ขอบหยกั ซฟี่ นั ตน้ื ๆ ด้านบนสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสีออ่ นกว่า แผน่ ใบหนา มขี นนุ่มคลุมทัง้ สองด้าน ก้านใบ ยาว มีขนนมุ่ โคนก้านเป็นครบี และเป็นรอ่ งดา้ นบน เรียงเวยี น เส้นใบขนานกันแตกเฉยี งเป็น มุมแหลมกบั เส้นกลางใบ ปลายเส้นแขนงใบโผล่พน้ ขอบใบออกมาเลก็ น้อย ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรือเป็นคทู่ ป่ี ลายกง่ิ กา้ นดอกค่อนข้างส้ัน ดอกบานขนาดใหญ่ สีเหลืองสด ผลสดทรงกลม อุม้ นำ้�ขนาดไข่ไก่สกุ สีเหลืองสม้ กลบี รองผลเจริญข้ึนมาห้มุ ผลจนมดิ มขี นสนี �ำ้ ตาลคลมุ บาง ๆ เมล็ดขนาดเลก็ มีจำ�นวนมาก เปน็ ไม้เรอื นยอดชน้ั กลางถึงชั้นบน ในปา่ ดบิ ทกุ ประเภท ประโยชน์ : –ผลสุกมรี สเปรี้ยวใชป้ ระกอบอาหารและเป็นอาหารของชา้ ง –เนือ้ ไมใ้ ชใ้ นงานก่อสรา้ งภายในและเปลอื กเป็นยาสมนุ ไพร –ตดั กินน�้ำ จากลำ�ต้นต้นออ่ น แกก้ ระหายได้ –ตน้ และดอกเปน็ ยาสมุนไพร ข้อควรจ�ำ : หากสับเปลือกแล้วแนบหูฟงั จะไดย้ ินเสยี งดังซ่า ๆ เหมือนน�้ำ ไหลหรือเสยี งดูดอากาศในลำ�ต้น กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุ์พืช 121

รสสคุ นธ์ (Rot Su Khon) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ DILLENIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Tetracera loureiroi (Finet & Gagnep.) Pierre ex Craib ชื่อพ้อง (Synonym) : Tetracera fragrans Ridl. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : เถากะปดใบเล่อื ม (ปะจวบคีรขี ันธ์); บอระคน, อรคนธ์ (ตรงั ); ปดคาย, ปดเลือ่ น (สรุ าษฎรธ์ านี); ปดน้�ำ มนั (ปตั ตานี); ยา่ นปด (นครศรธี รรมราช); ปะละ, สะปลั ละ (มาเลเซยี –นราธวิ าส); มะตาดเครอื , รสสคุ นธ์ขาว, สุคนธรส, เสาวรส (กรงุ เทพฯ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมเ้ ถาเนอื้ แข็งไม่ผลัดใบ ก่ิงกา้ นออ่ นและยอดอ่อนมีขนแขง็ ส้ัน ๆ สากคายมอื เปลือกนอกสนี �ำ้ ตาลแดง ใบเดีย่ ว รูปรี รปู ไข่กลบั ถึงรูปขอบขนาน ปลายเป็นต่ิงแหลมหรือมนกลม โคนเรยี วแหลม ขอบหยกั หา่ ง ๆ แผน่ ใบหนา เรียบและสากคายท้งั สองดา้ น ดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ กว่าดา้ นลา่ ง ก้านยาว เรยี งสลับออกเป็นกระจุกในแต่ละขอ้ เส้นใบเรียงขนานกัน ใบแห้งสนี ำ้�ตาล เสน้ ใบนนู ออกดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอกออกปลายก่ิงและที่ซอกใบใกลป้ ลายก่งิ มีดอกย่อยจำ�นวนมาก ดอกสขี าวขนาดเลก็ มีกลิน่ หอมแรง เม่อื แก่เปล่ียนเป็นสแี ดง ผลรปู ไข่ ปลายมจี ุกแหลม มกี ลีบเลย้ี ง อดั แนน่ ห้มุ ผลสกุ เน้อื หมุ้ สีสม้ ถงึ แดง เมอ่ื แก่แตก เมลด็ รูปไข่สีแดงมี ๑–๒ เมลด็ พบขึน้ คลมุ ตาม พ้นื ท่ีเปดิ โล่งในป่าดบิ ทกุ ประเภท ประโยชน์ : –ดอกสวยงามและมีกลน่ิ หอมแรง นยิ มปลกู เปน็ ซุม้ ไมป้ ระดับ –ดอกเปน็ ยาสมนุ ไพร 122 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขียว-น้ำ�หนาว

กระบาก (Kra Bak) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ DIPTEROCARPACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Anisoptera costata Korth. ชอื่ พ้อง (Synonym) : Anisoptera cochinchinensis Pierre, A. oblonga Dyer, A. robusta Pierre ชอื่ อนื่ (Vernacular name) : กระบากขาว (ชลบุร,ี ชุมพร, ระนอง); กระบากโคก (ตรงั ); กระบากชอ่ , กระบากดา้ ง, กระบากด�ำ , บาก (ชุมพร); กระบากแดง (ชมุ พร, ระนอง); ประดกิ (เขมร–สรุ ินทร์); พนอง (จนั ทบรุ ี, ตราด); ชอวาตาผ่อ (กะเหรย่ี ง–กาญจนบุรี); ตะบาก (ลำ�ปาง); หมีดังว่า (กะเหร่ยี ง–ล�ำ ปาง) ลักษณะทั่วไป : เป็นไมต้ ้นขนาดใหญ่ ผลัดใบชว่ งส้นั ๆ ลำ�ตน้ เปลาตรง โคนตน้ มกั เป็นพูพอน กงิ่ กา้ นออ่ นมขี นสนั้ สนี ้ำ�ตาลคลุมหนาแน่น เปลือกสีน�้ำ ตาล แตกเป็นรอ่ งลกึ ตามยาว เปลอื กใน สเี หลอื งอ่อนเรียงซ้อนกนั เปน็ ชน้ั ๆ ใบเดี่ยว รปู รหี รอื รูปขอบขนาน ปลายมนท่หู รอื มีติ่งสนั้ ๆ โคนมนหรือเวา้ เล็กนอ้ ย ขอบเรยี บ ด้านบนสเี ขยี วเขม้ เกลี้ยง ด้านล่างสซี ีดมขี นสนี �้ำ ตาลคลมุ โดยเฉพาะตามเสน้ ใบมมี ากเป็นพเิ ศษ มเี ส้นขอบใบชัดเจน กา้ นใบยาว เรยี งสลับ ใบแกก่ อ่ น ร่วงสเี หลือง ใบแห้งสเี หลอื งอมเทา ช่อดอกออกท่ซี อกใบใกล้ปลายกง่ิ มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกสมบรู ณเ์ พศขนาดเลก็ สีขาวอมเหลือง มกี ล่ินหอม ผลกลมผิวเรยี บมปี กี ยาว ๒ ปกี และอกี ๓ ปีกสั้นคล้ายหูหนูอยทู่ ีโ่ คนปีกหุ้มผลและเชอ่ื มติดกัน เปน็ ไมเ้ รอื นยอดช้นั บนในป่าดิบเขา ป่าดบิ ประเภทอ่ืนและปา่ เบญจพรรณช้ืน ประโยชน์ : –ไมใ้ ช้ในงานก่อสรา้ งในร่มทัว่ ไป –ชัน ผสมน�้ำ มนั ทาไม้ ยาแนวเรอื ฯลฯ –ท�ำ ไม้แบบและหีบใส่ของ ความสำ�คัญ : –ไม้หวงหา้ มประเภท ก/เปน็ ตน้ ไมป้ ระจ�ำ จังหวดั ยโสธร กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธ์พุ ืช 123

ยางปาย (Yang Pai) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ DIPTEROCARPACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dipterocarpus costatus C. F. Gaertn. ช่อื อ่นื (Vernacular name) : กวู (มาเลเซีย–ปัตตาน)ี ; ยางกระเบือ้ งถว้ ย (ใต)้ ; ยางแกน, ยางบาย, ยางฮี (เหนอื ); ยางเบ้อื งถว้ ย (ปราจนี บุร)ี ; สะแฝง (เลย); ยางดง (ชัยภมู ิ); ยาง (ทั่วไป) ชอ่ื สามัญ (Common name) : Keruing ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลดั ใบชว่ งส้นั ๆ ล�ำ ต้นเปลาตรง กง่ิ กา้ นออ่ นมขี นสนั้ สีน�ำ้ ตาล อ่อนคลมุ หนาแนน่ เปลือกนอกหนา สนี �้ำ ตาลเทา แตกเปน็ สะเกด็ กลมขนาดใหญ่ เปลอื กในสเี หลอื ง ใบเด่ยี ว รปู ไข่หรือรปู ไขแ่ กมรปู รี ปลายแหลม โคนมนกวา้ ง ขอบเรยี บหรือเป็นคลื่น แผน่ ใบหนา สาก ด้านบนเกลยี้ ง ดา้ นลา่ งมีขนสนี �ำ้ ตาลอ่อนคลมุ โดยเฉพาะตามเสน้ ใบมีมาก เสน้ ใบเรยี งขนาน กันนนู เด่นชัดด้านลา่ ง ก้านใบยาว เรยี งสลับ ใบแหง้ สนี �้ำ ตาลแข็งกรอบ ช่อดอกออกปลายกิง่ หรือที่ ซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ ดอกสมบรู ณ์เพศ สชี มพูปลายแยกเป็น ๕ แฉก บดิ เวยี นคล้ายกังหันลม มี กลิน่ หอม ผลทรงกลมหรือรูปไข่มี ๕ สัน มีปีกยาว ๒ ปกี สว่ นอกี ๓ ปีกส้ันเหมอื นหหู นู พบกระจาย ห่าง ๆ หรอื ขน้ึ เป็นกลุ่มบนสนั เขา เป็นไม้ชน้ั บนในปา่ ดิบเขาและป่าเบญจพรรณบนภเู ขาสูง ประโยชน์ : –ดอกบานชุบแปง้ ทอดกินเปน็ อาหารและมีนำ้�หวานเปน็ อาหารของนกกินน�้ำ ต้อยหลายชนิด –เน้ือไมใ้ ชก้ ่อสร้างท่วั ไป น�้ำ มนั ใช้ชกั เงา ยาเรือ ผสมชันทาไม้ ท�ำ ขี้ไต้ และเป็นยาสมนุ ไพร ความส�ำ คญั : ไม้หวงหา้ มประเภท ก หมายเหตุ : เปน็ ชนดิ ทีม่ ใี บขนาดเล็กทส่ี ดุ ในสกุลไมย้ าง (Dipterocarpus) ในประเทศไทย 124 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว

หางหนู (Hang Nu) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ EBENACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Diospyros pilosiuscula G. Don ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : คนั จ้อง (ชัยภูมิ); มะเกลือหางหนู (กลาง) ลักษณะทั่วไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเลก็ ไมผ่ ลดั ใบ แตกก่ิงตำ่� กง่ิ และกา้ นออ่ นมีขนสั้นสคี รีมนุ่ม เปลอื ก นอกบาง เรียบหรือเปน็ ตุ่มนูนสีเทาดำ� ใบเดี่ยว รปู รีแกมรูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก ปลายเรยี ว แหลม โคนมน ขอบเรยี บหรอื เปน็ คลื่น แผน่ ใบบาง เกลย้ี ง ดา้ นบนสีเขียวเข้ม ดา้ นลา่ งสเี ขยี ว นวล มขี นสคี รมี นมุ่ คลุม เม่ือแก่เกล้ยี ง กา้ นใบส้นั เรยี งสลบั ชอ่ ดอกออกเด่ียว ๆ หรอื เปน็ กระจุกท่ี ซอกใบ ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ตา่ งตน้ ดอกตูมเป็นหลอด ดอกบาน ๔ กลีบยาว ร่วงเรว็ มกั เหลอื แต่ ดอกตูมติดก้าน ผลทรงกลมหรือรปู ไข่ แขง็ มขี นสีน�้ำ ตาลอ่อนคลุมบาง ๆ เม่อื แก่เกลีย้ ง ก้านผลขนาด เล็กเรยี วยาว กลีบรองผลพบั ลูข่ ึน้ เมื่อแก่จดั แหง้ สีด�ำ เปน็ ไมเ้ รือนยอดชัน้ ลา่ งถึงชั้นกลางในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดิบชื้นระดบั สูงและพบมากในปา่ ดบิ แลง้ ประโยชน์ : –เนอ้ื ไม้ใชท้ �ำ ดา้ มเคร่ืองมอื ทางการเกษตร –ผล กินไดร้ สฝาดและเป็นอาหารคา่ งแว่นถิ่นเหนือ ความสำ�คญั : ไม้หวงห้ามประเภท ก กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพืช 125

กลว้ ยฤๅษี (Kluai Rue Si) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ EBENACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Diospyros glandulosa Lace ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : จนั ป่า (เชยี งใหม่, ชัยภมู ิ); มะเขอื เถ่ือน (เลย); เหลโ่ กม่ อ (กะเหรยี่ ง–เชยี งใหม)่ ; อาล่องยมุ้ (ละว้า–เชยี งใหม)่ ลักษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ ้นขนาดกลาง กง่ิ อ่อนและใบอ่อนมีขนส้นั สนี ำ้�ตาลคลมุ เปลอื กนอกแตก เปน็ สะเก็ด สีนำ้�ตาลหรือเทาด�ำ เปลือกในสีเหลอื งออ่ น ใบเดย่ี ว รูปไข่หรือรปู รีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบหรอื มน ขอบเรียบหรอื เป็นคลื่น แผ่นใบคอ่ นขา้ งหนา มขี นสีน�้ำ ตาลสนั้ ๆ คลุม ทัง้ สองด้านดา้ นบนสีเขม้ กวา่ ดา้ นลา่ ง กา้ นใบสนั้ เรียงสลบั ชอ่ ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรือเป็นกระจกุ ขนาดเล็กทซี่ อกใบดอกแยกเพศอยตู่ า่ งตน้ รปู เหยือกน้ำ�สชี มพู ผลสดแบบมเี น้ือหลายเมล็ด ผลกลม หรือค่อนข้างแบน ปลายมีตง่ิ แหลมและมขี นสนี ้ำ�ตาลคลุม มีกลบี รองผลขนาดใหญ่ สกุ สเี หลอื ง มีกลิ่นหอม เป็นไมช้ ้ันล่างถึงชนั้ กลางในปา่ ดิบเขา ป่าเตง็ รงั ระดบั สงู และปา่ สนเขา ประโยชน์ : –ผลสุกกลน่ิ หอมกนิ ไดแ้ ละเป็นอาหารของชะนีมือขาว กระรอกหลากสี และชะมดอีเหน็ –เน้อื ไม้แข็งและมีลายสวยใช้ก่อสร้าง –กล้าไมเ้ ปน็ อาหารของกระทิง สถานภาพ : ถูกคุกคาม/ไมห้ วงห้ามประเภท ก หมายเหตุ : ถากเปลือกท้ิงไวส้ กั ครจู่ ะเหน็ น�้ำ ยางสเี หลอื งใส ๆ ไหลซึมออกมา 126 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

มะพลับเจา้ คณุ (Ma Phlap Chao Khun) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ EBENACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Diospyros winitii H. R. Fletcher ชอื่ อื่น (Vernacular name) : ห�ำ ฟาน (ลำ�ปาง) ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบชว่ งส้ัน ๆ กิ่งกา้ นอ่อนมขี นสั้นสนี �้ำ ตาลแดงคลมุ หนา แน่นใบเด่ยี ว รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม โคนสอบทู่หรอื มน ขอบเรียบ แผน่ ใบ ค่อนขา้ งหนา มีขนสัน้ นมุ่ สนี �้ำ ตาลคลมุ ท้งั สองด้าน เม่ือแกเ่ กลย้ี งหรอื มขี นเหลอื น้อย ด้านบนสีเขม้ กวา่ ด้านลา่ ง ก้านใบสน้ั เรยี งสลบั ชอ่ ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรือเป็นกระจกุ เล็ก ๆ ทซี่ อกใบ ดอกแยกเพศ อยตู่ ่างตน้ ผลทรงกลม เกล้ียง ปลายเปน็ ต่ิงแหลม มหี ลายเมลด็ กลีบรองผลพบั กลบั เม่ือแกจ่ ดั แห้งสดี �ำ เป็นไมเ้ รอื นยอดช้นั ล่างถึงชนั้ กลางในป่าดิบเขา ริมห้วยในป่าดบิ แล้งและป่าเบญจพรรณ ที่ค่อนข้างช้นื ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารสัตวป์ ่า ความสำ�คัญ : –ตง้ั ช่ือเป็นเกียรติแด่ พระยาวนิ จิ วนนั ดร (โต โกเมศ) ผู้บุกเบกิ งานด้านพฤกษศาสตร์ ของประเทศไทย –พชื เฉพาะถิน่ /หายาก/ไมห้ วงหา้ มประเภท ก กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพชื 127

มะหลอด (Ma Lot) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ ELAEAGNACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Elaeagnus latifolia L. ชอ่ื อื่น (Vernacular name) : ควยรอก (ตราด); สม้ หลอด (ใต้) ลักษณะท่วั ไป : เป็นไม้พุ่มกง่ึ ไม้เถาเนือ้ แข็งไม่ผลัดใบ ลำ�ต้นมีหนามออ่ นยาวแหลมกระจายหา่ ง ๆ กง่ิ ก้านออ่ นมีเกลด็ สเี งินคลุมหนาแน่น ใบเดีย่ ว รปู รหี รือรูปรีแกมรปู ใบหอก ปลายแหลม โคนมน ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง ดา้ นบนเกลย้ี ง สีเขยี วมจี ดุ ประสเี งนิ ด้านลา่ งสีน้ำ�ตาลอ่อน มีจุดขนาดเล็ก สีเงนิ ปนน�ำ้ ตาลกระจายหนาแนน่ ก้านใบส้นั เปน็ รอ่ งดา้ นบน เรียงสลับ มีเกล็ดสีน�้ำ ตาลคลมุ เสน้ ใบ นนู ออกดา้ นล่าง ดอกสีเหลอื งอ่อนออกเปน็ ช่อกระจุกทีซ่ อกใบ ผลสด รูปทรงกระบอก ฉ�่ำ น้ำ� ที่ ปลายมตี ่ิงแหลม ผิวผลมีจดุ สีเงนิ กระจายทั่ว สุกสีเหลอื งอมส้ม พบขนึ้ ตามชอ่ งวา่ งหรือพ้ืนที่ ค่อนขา้ งเปดิ โลง่ ในป่าดบิ เขาและปา่ เบญจพรรณชน้ื ประโยชน์ : –ผลสุกกินได้มรี สเปรย้ี วจัดและเปน็ อาหารของชะนมี ือขาวและนกเงอื กคอแดง –ดอก รากและผลเปน็ ยาสมุนไพร –ดา้ นลา่ งมีเกลด็ สเี งนิ เหลือบสะท้อนแสงสวยงาม เหมาะปลกู เป็นซ้มุ ไมป้ ระดับ หมายเหตุ : นิยมนำ�มาปลูกไวใ้ นชุมชนหรอื สวนครัว 128 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขียว-น้ำ�หนาว

ดีงเู ขยี ว (Di Ngu Khieo) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ ELAEOCARPACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Elaeocarpus prunifolius Wall. ex Müll. Berol. ชือ่ พ้อง( Synonym) : Elaeocarpus robertsonii Gamble ช่ืออื่น (Vernacular name) : มะมนุ่ (เหนอื ) ลักษณะท่วั ไป : เป็นไมต้ ้น ผลดั ใบชว่ งสน้ั ๆ กิง่ อ่อนมีเกลด็ สีเทาคลมุ เปลือกนอกบาง เรียบ สเี ทา หรอื สีน�ำ้ ตาล โคนตน้ มกั มพี ูพอนขนาดเล็ก ใบเดย่ี ว รปู รแี กมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน หรือมนขอบหยกั ตน้ื ๆ มตี อ่ ม ๑ คบู่ ริเวณโคนใบ แผ่นใบบาง เกลยี้ งทงั้ สองด้าน ด้านบนสีเขม้ กว่า ดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาวเรียวมีขนยาวคลุมห่าง ๆ เรยี งเวียนเป็นกระจุกที่ปลายกงิ่ ใบแก่ก่อนร่วงสีแดง หรอื สม้ ชอ่ ดอกออกทซ่ี อกใบใกล้ปลายกิ่ง มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกสีขาวหม่น ปลายกลบี หยกั เป็นฝอย ผลรูปมนรี มเี นื้อฉ�่ำ นำ้� สุกสเี ขียวอมฟา้ หรือสีมว่ งมจี ุดสีขาวกระจายทั่วผล กา้ นผลยาว เรียว เมล็ดแขง็ ขรขุ ระมีเมลด็ เดียว เป็นไมเ้ รือนยอดชัน้ ลา่ งถงึ ชน้ั กลางในป่าดิบเขาและป่าละเมาะเขา ประโยชน์ : ผลสกุ รสเฝอ่ื นเปน็ อาหารของลิงกงั นกแก๊ก นกเงอื กสนี ำ้�ตาล นกโพระดกคอสฟี า้ เครา ดำ� และนกโพระดกคอสีฟ้า ความสำ�คญั : ไมห้ วงห้ามประเภท ก ขอ้ ควรจำ� : ก้านดอกและก้านผลเกลย้ี ง สีเขียว กง่ิ ก้านอ่อนมนี �้ำ ยางใส กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์ุพชื 129


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook