สะทอ้ นรอก (Sa Thon Rok) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ELAEOCARPACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Elaeocarpus tectorius (Lour.) Poir. ช่ือพ้อง (Synonym) : Elaeocarpus leptostachyus Wall. ex C. Müll. ชื่ออ่นื (Vernacular name) : ท้อนรอก, ทะลอก (ตราด); ลกู กระรอกบา้ นด่าน (ชลบรุ )ี ; โปะบ้า (อุบลราชธานี); มะมนุ่ (ตะวันตกเฉียงใต้); สมอหนิ (สรุ าษฎรธ์ าน)ี ; รอก (ใต)้ ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไมต้ น้ ไมผ่ ลัดใบหรือผลัดใบชว่ งส้นั ๆ เปลอื กนอกสนี �้ำ ตาลอมเทา เรยี บหรือแตก เป็นสะเก็ดต้นื ๆ เปลอื กในสีนำ้�ตาลอ่อนอมชมพู ใบเดย่ี ว รูปไขห่ รือรปู รีแกมรปู ขอบขนาน ปลายเรยี ว แหลม โคนสอบหรอื มน ขอบหยกั ซ่ฟี ันห่าง ๆ ดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ เกล้ยี ง ดา้ นลา่ งสากสอี อ่ นกว่า มขี นสนั้ สเี ทาหรือน�ำ้ ตาลคลมุ ก้านใบยาว เรียงสลบั ใบแกก่ ่อนรว่ งสแี ดงสม้ ยอดและใบอ่อนมขี นสีเทาคลมุ ชอ่ ดอกออกทีซ่ อกใบใกลป้ ลายกิ่ง มีดอกย่อยจำ�นวนมากดอกสขี าวนวลถงึ เหลืองออ่ น ปลายหยกั เปน็ ฝอย ผลรูปกลมรี เนื้อแขง็ มขี นสนี �ำ้ ตาลคลมุ บาง ๆ เมลด็ รูปมนรี แขง็ ขรุขระ มีเมลด็ เดียว เป็นไม้เรอื น ยอดชน้ั กลางถงึ ชน้ั บนในป่าดิบทุกประเภท ประโยชน์ : –เนือ้ ไมใ้ ชก้ อ่ สรา้ งภายใน –ผลเปน็ อาหารของสตั ว์ป่าบางชนิด –ผลกนิ ได้ แต่มีน�ำ้ มนั มาก ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก 130 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
มะมุ่นดอย (Ma Mun Doi) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ ELAEOCARPACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Elaeocarpus floribundus Blume ชอื่ พ้อง (Synonym) : Elaeocarpus ganitrus Roxb. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : กาลน (นนทบุร)ี ; เบียดใหญ,่ หมากดูกหนิ (กลาง); กุนเถื่อน (นครศรีธรรมราช); ลน (สุราษฎร์ธาน)ี ; ดงี ู (พังงา); ทวย, ทยุ , แหร (ตรัง); มนั สม้ (เพชรบรู ณ)์ ; คอ่ ม (ราชบุร)ี ; เมียดดอยหมาย, เหมือดดอย (เหนอื ) ช่อื สามญั : Bead Tree ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ ้น ผลดั ใบช่วงสน้ั ๆ เปลือกนอกเรียบหรือแตกเปน็ สะเก็ด สีนำ้�ตาลแดง ใบเดย่ี ว รปู ไข่หรือรูปรี ปลายแหลม โคนแหลมหรอื มน ขอบหยักต้นื ห่าง ๆ แผน่ ใบหนา เกลีย้ งท้งั สองดา้ น ด้านบนสเี ข้มกว่าด้านล่าง ก้านใบสั้น เรยี งเวยี น โคนกา้ นใบเป็นปม ใบแกก่ อ่ นร่วงสสี ม้ แดง ชอ่ ดอกออกตามตากิง่ ใกล้ปลายกง่ิ หลังจากทใ่ี บรว่ งแล้ว มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกสมบูรณเ์ พศ สขี าวอมเหลือง ปลายหยกั เป็นฝอย ผลรปู ทรงกลมรี มีเน้อื ปลายเปน็ ติ่งแหลมก้านช่อ ผลยาว เมลด็ แขง็ ขรขุ ระ มีเมลด็ เดียว เป็นไม้เรอื นยอดชนั้ กลางถึงชน้ั บนในปา่ ดบิ เขาระดับต�ำ่ ปา่ ดบิ แล้ง ปา่ เบญจพรรณช้นื และปา่ ทงุ่ ประโยชน์ : –เนอ้ื ไม้ ใช้กอ่ สร้างภายใน –ผล เปน็ อาหารของสตั ว์ฟันแทะในกลุ่มกระรอก สถานภาพ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์ุพืช 131
กหุ ลาบแดง (Ku Lap Daeng) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ ERICACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Rhododendron simsii Planch. ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ ไมผ่ ลัดใบ แตกกิง่ ต�่ำ เปน็ พุ่มใหญ่ ลำ�ต้นและกง่ิ มีขนสนั้ สนี �ำ้ ตาลแดงคลุม หนาแน่น ใบเดย่ี ว รูปรหี รือรปู ไข่ ปลายและโคนแหลม ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา มขี นสนี �ำ้ ตาลอ่อน เป็นมันคลมุ ทงั้ สองด้าน ดา้ นบนสีเขียว ดา้ นลา่ งมีขนคลุมสีเหลอื บเงิน มเี สน้ ขอบใบชัดเจน ก้านใบสนั้ เรียงเวียนไมเ่ ป็นระเบียบ ช่อดอกสั้น ออกท่ซี อกใบใกล้ปลายกงิ่ ชอ่ ละ ๒–๗ ดอก ตาดอกมีเกลด็ หุ้ม กลีบดอกสแี ดงลา้ ยรูปกรวย มจี ุดประสีแดงเข้มแตม้ เปน็ ทางตัง้ แตป่ ากหลอดจนถึงโคน กลน่ิ หอม ออ่ น ๆ ผลรูปไข่ มีขนสีนำ้�ตาลอมแดงคลมุ เมื่อแกแ่ ตกเป็น ๕ เส่ียง เมล็ดจ�ำ นวนมาก รปู แบน มีปกี บางใสรอบ พบขึ้นเปน็ กลุ่มตามทโี่ ลง่ แจง้ รมิ หว้ ยหินทรายในปา่ ดิบเขาและป่าละเมาะเขา ประโยชน์ : ดอกและทรงพมุ่ สวย เหมาะปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ สถานภาพ : กระจายมาจากเขตอบอนุ่ /หายาก/ถกู คุกคาม หมายเหตุ : พชื สกุลนี้ในประเทศไทยมี ๑๑ ชนดิ จัดเป็นพืชหายากทัง้ หมด 132 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-น้ำ�หนาว
เม่าสร้อย (Mao Soi) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Antidesma acidum Retz. ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Antidesma diandrum Roth ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : เมา่ ตาควาย (เชยี งราย); มกั เมา่ (ล�ำ ปาง); เมา่ (เหนอื , ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้พุม่ ผลดั ใบช่วงสนั้ ๆ เปลอื กนอกบาง เรียบ สเี ทาอมน้ำ�ตาล ใบเดีย่ ว รปู รี หรอื รูปใบหอกกลบั ปลายและโคนแหลม ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา เหนียว เกล้ยี งเปน็ มนั ทงั้ สองด้าน ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสเี ขยี วออ่ น ก้านใบสัน้ เรยี งสลบั เส้นใบนนู ออกด้านหลัง ใบแกก่ ่อนร่วง สเี หลืองหรือสสี ้มแดง ชอ่ ดอกแบบหางกระรอกหอ้ ยลง ออกทซี่ อกใบและปลายกิง่ ดอกขนาดเล็ก แยกเพศอยู่ตา่ งต้น มีจ�ำ นวนมาก สีเขียวอมเหลอื ง ผลแบบเมลด็ แขง็ รปู ทรงกลม ปลายบุ๋ม สุกสแี ดงสด หรือสแี ดงคล�้ำ ติดกันเป็นช่อยาว เป็นไม้ชัน้ ลา่ งกระจายห่าง ๆ ในปา่ ดิบเขาท่คี ่อนขา้ งโปร่ง ป่าดบิ ประเภทอืน่ แตส่ ่วนใหญพ่ บในปา่ เบญจพรรณ และปา่ เต็งรงั ประโยชน์ : –ผลสกุ รสเปรยี้ วอมหวานกินได้ เป็นอาหารของสตั ว์ป่าหลายชนิดและใชท้ �ำ ไวน์ –ใบอ่อนและยอดรสเปรย้ี ว กนิ สดหรือใส่ต้มแกง –ท้ังต้น เปน็ ยาสมุนไพร กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธ์ุพืช 133
มะเมา่ ดง (Ma Mao Dong) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Antidesma bunius (L.) Spreng. ชือ่ พ้อง (Synonym) : Antidesma colettii Craib ชื่ออน่ื (Vernacular name) : บ่าเมา่ ฤๅษี (เชยี งใหม่); เม่าชา้ ง แมงเมา่ ควาย (จนั ทบรุ )ี ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไม้ตน้ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ เปลอื กนอกบาง เรียบหรือแตกเปน็ สะเกด็ สนี �้ำ ตาลอม เทา เปลอื กในสนี ำ้�ตาลอ่อน ใบเด่ยี ว รปู รถี งึ รปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบ หนา เกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเข้มกวา่ ด้านล่าง ก้านใบส้ัน เรยี งสลับ ใบแกก่ อ่ นรว่ งสเี หลือง ชอ่ ดอกออกท่ซี อกใบหรอื ปลายก่งิ เปน็ ช่อห้อยลง มดี อกยอ่ ยจำ�นวนมาก ดอกขนาดเล็ก สเี ขียวอม เหลือง ผลรูปทรงกลม เกลีย้ ง ปลายบุ๋ม สุกสแี ดงสดหรือแดงคล�ำ้ ถงึ ดำ� พบในปา่ ดิบเขา ปา่ ดิบ ประเภทอน่ื หรอื พบประปรายในป่าเบญจพรรณชนื้ ประโยชน์ : –ผลสกุ รสเปรย้ี วอมหวาน ใบอ่อนและยอดรสเปรี้ยว กินสดหรือใสต่ ้มแกง –ผลสกุ เปน็ อาหารของชะนมี อื ขาวคา่ งแวน่ ถนิ่ เหนอื พญากระรอกด�ำ กระรอกทอ้ งแดง นกโพระดกคอสฟี ้า นกเขียวกา้ นตองปกี สีฟา้ นกเขียวคราม นกระวงั ไพรปากเหลอื ง นกตงั้ ล้อ นกหัวขวานใหญ่หงอนเหลอื ง และนกปรอดอีกหลายชนดิ –เนื้อไม้ใชก้ อ่ สร้างในร่ม –เปลอื กและใบเปน็ ยาสมุนไพร –ใบและผลเป็นอาหารของกระทิงและชา้ ง หมายเหตุ: เป็นพชื ในสกลุ มะเม่า (Antidesma) ทมี่ ผี ลขนาดใหญท่ ่ีสดุ ในประเทศไทย 134 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น้�ำ หนาว
มะไฟ (Ma Fai) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Baccaurea ramiflora Lour. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Baccaurea sapida (Roxb.) M.-A., B. cauliflora Lour., B. wrayi King ex Hook.f., B. flaccida Mcll. Arg., B. propimqua Mull. Arg., B. oxycarpa Gagnep, Pierardia sapida Roxb., Gatnaia annamica Gagnep. ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : แซเครอื , แซขห้ี มี (กะเหร่ยี ง–แม่ฮ่องสอน); ผะย้วิ (เขมร–สุรนิ ทร์); สม้ ไฟ, มะไฟกา (ใต)้ ; หมั กงั (เพชรบรู ณ)์ ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไมต้ ้น ผลดั ใบชว่ งส้ัน ๆ ก่ิงอ่อนและยอดอ่อนมีขนคลุม เปลอื กนอกแข็ง บาง เรียบ สีเทาอมเหลอื ง ใบเดยี่ ว รปู ไข่กลบั ปลายเรียวแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรียบหรอื หยักตื้น ๆ แผน่ ใบหนาเหนยี ว เกลีย้ งเป็นมนั ท้งั สองด้าน ด้านบนสเี ขม้ กว่าดา้ นลา่ ง ก้านใบยาว เรียงเวียนเป็น กระจกุ ทปี่ ลายกง่ิ ช่อดอกออกที่ซอกใบตามล�ำ ต้นหรอื กง่ิ หอ้ ยลง มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกแยก เพศอยตู่ า่ งตน้ สเี หลอื ง ผลสดรปู ทรงกลมหรอื ทรงรี มี ๑–๓ เมล็ด มีเนอื้ ฉ�่ำ น�ำ้ ผลสกุ มเี ปลอื กและ เนือ้ ห้มุ เมลด็ หลายสี ที่พบบ่อย เชน่ สีเหลือง สีแดง และสมี ่วงอ่อน พบขน้ึ ตามปา่ ดบิ ทว่ั ไป หรือบาง ครัง้ พบตามรมิ ห้วยในปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ใบออ่ น ยอดออ่ น และผลออ่ นกนิ เปน็ ผกั สดหรอื ใสต่ ม้ แกงทต่ี อ้ งการรสเปรย้ี ว –ผลสกุ รสเปรี้ยวอมหวานกนิ ไดแ้ ละเป็นอาหารลงิ กัง ลิงไอ้เงย้ี ะ ชะนมี ือขาว พญา กระรอกดำ� และสัตวก์ ินผลไมอ้ นื่ ๆ –ราก ต้นและผล เป็นยาสมุนไพร –เนื้อไม้ใช้ก่อสร้างภายใน –ปลกู เปน็ ผลไมท้ างเศรษฐกิจ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์ุพืช 135
เตมิ (Toem) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Bischofia javanica Blume ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Bischofia trifoliata Hook. f. ช่อื อน่ื (Vernacular name) : กรองประหยัน, กตุ ิ, กตุ ีกรองหยนั , ขมฝาด, จนั ตะเบอื , ย่าตหุ งนั , ยา่ ยตุหงนั (ยะลา); ประดู่นำ้�, ประดสู่ ม้ (ชุมพร); จันบอื (พังงา); ยายหงัน (ปัตตาน)ี ; ส้มกบ, สม้ กบใหญ่ (ตรงั ); กระดังงาดง (สุโขทยั ); ชะปา่ เดอร์ (กะเหรยี่ ง–กำ�แพงเพชร); ประสม้ ใบเปร้ยี ว (อบุ ลราชธานี); ยายตุหงนั (เลย); ดู่ส้ม (กาญจนบรุ ี, นครราชสมี า); ซะเทา, โป (กะเหรี่ยง–แม่ฮ่องสอน) ชอ่ื สามัญ (Common name) : Java Cedar ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไม้ต้น ผลดั ใบช่วงสนั้ ๆ เปลือกนอกสนี ำ้�ตาลแตกเปน็ สะเก็ดนุ่ม ๆ เปลอื กใน สีชมพู ใบประกอบรูปนวิ้ มือ ก้านใบยาว เรียงสลบั มีใบยอ่ ย ๓ ใบ ใบย่อยรูปไขห่ รอื รปู รี ปลายเรียว แหลม โคนมนหรือเบีย้ ว ขอบจักฟนั เล่อื ย แผ่นใบหนา เกลี้ยงเป็นมนั ท้ังสองดา้ น ดา้ นบนสเี ข้มกว่า ด้านลา่ ง กา้ นใบตรงกลางยาวกว่าใบคลู่ ่าง ยอดและใบออ่ นสนี ้ำ�ตาลแดง ใบแกก่ ่อนร่วงสเี หลือง ช่อดอกแบบกลุ่มย่อยขนาดเลก็ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิง่ มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศ สีเขียวออ่ นอมเหลอื ง ผลสดกลม สุกสเี หลอื งหรอื น�ำ้ ตาล เนือ้ ฉ่ำ�น้ำ�มี ๓–๔ เมลด็ พบในป่าดิบ ทกุ ประเภทและริมหว้ ยในป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ยอดอ่อนรสเปรยี้ วหรอื ฝาดเป็นผักสดหรือประกอบอาหารที่ต้องการรสเปรีย้ ว –เนอ้ื ไม้ใชก้ อ่ สรา้ ง ตน้ ออ่ นและเปลอื กต้นเปน็ ยาสมนุ ไพร –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกโพระดกคอสฟี า้ นกปรอดเหลอื งหวั จกุ และนกปรอดเลก็ ตาขาว –ใบและกล้าไมเ้ ปน็ อาหารของกระซู่ ความส�ำ คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก ข้อควรจำ� : หากสับเปลือกจะมนี �้ำ ยางสชี มพูอมแดงไหลซมึ ออกมา 136 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขยี ว-น้ำ�หนาว
ขนหนอน (Khon Non) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Bridelia tomentosa Blume ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Bridelia monoica (Lour.) Merr., B. glabrifolia Merr., B. lancifolia Roxb. ชื่ออื่น (Vernacular name) : กระบอื , สฟี ันกระบอื (พษิ ณโุ ลก); กอื นงุ (มาเลเซยี –นราธวิ าส); ไอ (นครศรธี รรมราช); มะแก (ชลบรุ )ี ; โล่โก๊ะ (สว่ ย–สุรินทร)์ ; สะเหลา่ (นครราชสีมา); สามพันตา (ราชบุร)ี ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไมพ้ ุ่มหรือไม้ยนื ตน้ ขนาดเล็ก ผลัดใบชว่ งส้นั ๆ เปลือกนอกบาง เรียบ สเี ทา ออ่ น ใบเด่ียว รูปรีหรือรปู ไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนหรือเบ้ยี ว ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง ดา้ นบนสเี ขม้ เกลยี้ ง ดา้ นลา่ งสขี าวนวล มีขนคลุมบาง ๆ กา้ นใบสนั้ มาก เรยี งสลับ ใบและยอดออ่ น สนี ้ำ�ตาลอมชมพู ใบแก่กอ่ นรว่ งสีเหลอื ง ดอกแยกเพศรว่ มตน้ ขนาดเลก็ มีกลนิ่ หอม ออกเปน็ กระจกุ ท่ซี อกใบ ผลกลมขนาดเล็ก ปลายบมุ๋ สกุ สมี ว่ งด�ำ มี ๒ เมล็ด พบขึ้นในที่โลง่ หรือชายขอบป่าดิบเขา หรอื บางคร้ังพบตามป่าผลดั ใบหรือพน้ื ทีร่ กรา้ งที่มีความชนื้ คอ่ นข้างสงู ประโยชน์ : –ผลสกุ เป็นอาหารของกระเล็นขนปลายหูสนั้ กระรอกหลากสี นกปรอดเหลอื งหัวจุก นกปรอดทอง นกปรอดหวั สเี ขม่าและนกปรอดหวั โขน –ราก ตน้ และใบ เปน็ ยาสมุนไพร หมายเหตุ : ใบออ่ นมักถกู หนอนผีเสอื้ กินท้งั ตน้ ข้อควรระวัง : ทั้งตน้ เปน็ พษิ การน�ำ ไปใช้ทางยาจะตอ้ งอย่ใู นความดูแลของผูเ้ ชี่ยวชาญ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์พุ ืช 137
ขางน�้ำ ผ้ึง (Khang Nam Phueng) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Claoxylon indicum (Reinw. ex Blume) Hassk. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Claoxylon polot (Burm. f.) Merr. ชื่ออ่นื (Vernacular name) : ผกั หวานใบใหญ่ (จันทบุร)ี ; ฉบั แปง้ (อตุ รดิตถ์); ง้นุ ผงึ้ ขาว (เหนอื ); หูควาย (นครศรีธรรมราช); ขากะอ้าย (ใต)้ ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบช่วงสัน้ ๆ กง่ิ อ่อนมขี นสั้นสีครมี คลุมหนาแนน่ มชี ่อง อากาศสีขาวกระจายท่วั เปลอื กนอกบาง เรยี บ สเี ทาออ่ น ใบเดี่ยว รูปรหี รอื รปู ไข่ ปลายแหลม โคนมน ขอบหยกั ตื้นห่าง ๆ แผ่นใบหนานุ่มมีขนส้นั สีครมี คลมุ หนาแน่นทง้ั สองด้าน ด้านบนสีเข้ม ดา้ นล่างสีอ่อนกว่า กา้ นใบยาวมาก เรียงเวียนเปน็ กระจุกท่ีปลายกิ่ง เสน้ ใบนูนออกดา้ นล่าง ใบแก่ ก่อนร่วงสเี หลอื ง ดอกแยกเพศอยตู่ ่างต้น ขนาดเลก็ สีขาวอมเขียว ออกเปน็ ชอ่ ทซี่ อกใบหรอื ตาใบ ผลค่อนข้างกลม ขนาดเล็ก ปลายบุ๋ม มี ๔ พู มขี นสั้นน่มุ สีครมี คลมุ หนาแนน่ เมอื่ แกแ่ ห้งแตกออก ตามตะเข็บ พบข้ึนในพ้นื ทโี่ ล่งหรือชายขอบป่าดบิ เขา ในป่าดิบชื้น หรือป่าสนเขา ประโยชน์ : ล�ำ ตน้ เป็นยาสมุนไพร หมายเหตุ : หลังจากใบหลุดรว่ งมักเหน็ รอยแผลใบเป็นรปู สามเหลย่ี มคว�ำ่ ทีก่ ิง่ 138 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น�้ำ หนาว
ดหี มี (Di Mi) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ผถู้ ่าย วนทั –เวทติ พุ่มพวง ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cleidion javanicum Blume ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : กาดาวกระจาย (ประจวบครี ีขันธ)์ ; กาไล, กำ�ไล (สุราษฎรธ์ าน)ี ; คัด ไล (ระนอง); จ๊ามะไฟ, มะดหี มี (เหนือ); เซยกะซู้ (กะเหรี่ยง–แม่ฮ่องสอน); ดินหมี (ล�ำ ปาง) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กไมผ่ ลดั ใบ เปลอื กนอกบาง เรียบเกลยี้ ง สีเทาอมเขียว ใบเดย่ี ว รปู รแี กมรูปขอบขนานหรือรปู ใบหอก ปลายแหลม โคนทู่ ขอบหยกั หา่ ง ๆ แผน่ ใบบางเป็นคลื่น เกลย้ี งเป็นมันทั้งสองด้าน ด้านบนสเี ข้ม ด้านลา่ งสีออ่ นกวา่ และมีตอ่ มใส ๆ กระจายทว่ั ใบ กา้ นใบเรยี ว ยาว เรยี งเวยี น มีขนเป็นกระจกุ เล็ก ๆ อยรู่ ะหวา่ งเสน้ แขนงใบกับเส้นกลางใบ ดอกแยกเพศอยตู่ ่าง ตน้ สีเขียวอมเหลอื งออกท่ซี อกใบ โดยดอกเพศผอู้ อกเปน็ ชอ่ ยาว ส่วนดอกเพศเมียออกเด่ียว ๆ ปลาย แยกเปน็ แฉกยาว ๒–๓ แฉก ผลแห้งคอ่ นขา้ งกลมแปน้ มี ๑–๓ พู ปลายผลเป็นต่ิงแหลม ก้านผลยาว มาก เมื่อแก่แตกตามตะเข็บ เมลด็ กลม เกลี้ยง สขี าว เปน็ ไมช้ ั้นลา่ งถงึ ชน้ั กลางในปา่ ดิบเขาและปา่ ดิบ ประเภทอ่ืน หรอื พบข้นึ ใกลแ้ หลง่ น้ำ�หรือลำ�หว้ ยในปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –เปลอื กและเมล็ดเป็นยาสมุนไพร –ใบเปน็ อาหารของชา้ งปา่ ขอ้ ควรระวัง : ทกุ สว่ นของพืชมีพิษ การน�ำ มาใชต้ ้องระมดั ระวังเป็นพิเศษ ข้อควรจำ� : ใบและเปลือกมีรสขมจัด และเปลอื กมกี ล่นิ เหมน็ เขียว กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพันธ์ุพชื 139
เปล้านำ�้ โขง (Plao Nam Khong) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Croton kongensis Gagnep. ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Croton tonkinensis Gagnep. ชอื่ อ่ืน (Vernacular name) : เปลา้ เงิน, เปลา้ น้อย, เปล้า (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ); เสปอตุ (กะเหรี่ยง–เชยี งใหม่); เปลา้ น�ำ้ เงนิ (ตะวันออก) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไมพ้ ุม่ ผลัดใบชว่ งสัน้ ๆ ก่ิงอ่อนมเี กล็ดสีน�ำ้ ตาลคลมุ หนาแนน่ เปลอื กนอก บาง เรียบ สนี �ำ้ ตาล ใบเดี่ยว รปู ใบหอกหรือรูปรี ปลายแหลม โคนมน ขอบเรยี บหรอื เปน็ คล่ืน แผน่ ใบหนา เกล้ยี งทั้งสองดา้ น ดา้ นบนสเี ขม้ ด้านลา่ งสีอ่อนกว่าและมเี กลด็ สีเงินหรือสนี �ำ้ ตาล คลุมหนาแน่น ก้านใบยาว เรยี งเวยี นมีตอ่ ม ๑ ค่ทู ี่โคนใบ เสน้ ใบนนู เดน่ ชัดดา้ นลา่ ง ใบแกก่ ่อน ร่วงสีส้ม ชอ่ ดอกยาวออกปลายกงิ่ ดอกขนาดเล็ก สีเหลอื งอมเขียว ผลค่อนข้างกลมขนาดเล็กมี ๓ พู ปลายผลมตี ง่ิ แหลม เป็นไม้ชั้นล่างในป่าดิบเขาท่คี อ่ นข้างแล้งและมดี ินตื้น รอยต่อป่าสนเขา กับป่าดิบเขา แตส่ ่วนมากมกั พบในปา่ ดิบแล้งมากกว่าปา่ ประเภทอ่ืน ประโยชน์ : ใบแก่กอ่ นรว่ งสสี ้มสวยงามและติดบนต้นนานเหมาะปลกู เปน็ ไม้ประดบั ข้อควรจำ� : กา้ นใบและกงิ่ ออ่ นมีน�้ำ ยางสีน้�ำ นมหรือค่อนข้างขนุ่ 140 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
ไข่ห�ำ หมา (Khai Ham Ma) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PUTRANJIVACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Drypetes subsessilis (Kurz) Pax & K. Hoffm. ชอื่ อ่ืน (Vernacular name) : หมกั ก้านใบส้นั เรยี งเวยี น (เชยี งใหม่) ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดกลางไมผ่ ลัดใบ มพี ูพอนเล็กน้อย เรอื นยอดโปรง่ เปลือกนอกเรียบ แขง็ สีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดยี วปลายคี่ เรียงเวียนเปน็ กระจกุ ทีป่ ลายกิ่ง ใบยอ่ ยรูปรีหรอื รูปใบหอก ปลายแหลม โคนเบยี้ ว ขอบจกั ฟนั เลือ่ ยถ่ี แผน่ ใบบางเปน็ คลน่ื ผิวเกลีย้ งท้งั สองด้าน ดา้ นบนสีเข้ม ดา้ นลา่ งสีอ่อนกว่า กา้ นใบสนั้ เรียงสลบั หรอื เย้ืองกัน ใบแกก่ อ่ นร่วงสีเหลอื ง ดอกออก ท่ซี อกใบใกลป้ ลายก่ิง ผลขนาดกลางมี ๒ พู (คล้ายลูกอัณฑะสุนขั ) ปลายเว้า มีจุกรปู กลม ผิวมีขน สัน้ น่มุ สคี รีมหรอื น�ำ้ ตาลออ่ นคลมุ ทวั่ กา้ นผลสน้ั มาก ผลสกุ สีเขยี วคล้ำ�ถงึ ดำ� มเี นือ้ เละ เปน็ ไมเ้ รือน ยอด ช้ันล่างถงึ ช้นั กลาง พบเฉพาะในป่าดบิ เขาที่ระดับความสูง ๘๐๐–๑,๓๐๐ ม. ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารของชะมด อีเห็น สถานภาพ : หายาก/ถูกคกุ คาม กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธพุ์ ชื 141
ผักขี้มด (Phak Khi Mot) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Glochidion zeylanicum (Gaertn.) A. Juss var. tomen- tosum (Dalzell) Trimen ช่อื พอ้ ง(Synonyms) : Glochidion dasyphyllum K. Koch, G. arnottianum Müll. Arg., Bradleia hirsuta Roxb., Phyllanthus arnottianus (Müll. Arg.) Müll. Arg., P. hirsutus (Roxb.) Müll. Arg. ชื่ออนื่ (Vernacular name) : ไคร้ปา่ ปิน้ (พิษณุโลก); ชมุ เส็ด (ตราด); ตานเขา้ (เลย) ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้พุม่ หรือไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบช่วงส้นั ๆ ก่งิ กา้ นอ่อนและใบอ่อนมขี นส้ันนุ่ม สีครมี คลุมหนาแน่น เปลือกนอกเรียบถึงแตกเปน็ รอ่ งตนื้ ๆ สนี ้ำ�ตาลอมเทา ใบเดย่ี ว รูปรหี รือรปู ไข่ แกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนทู่ ขอบเรียบ แผ่นใบหนา มขี นสั้นนุ่มคลุมหา่ ง ๆ ทัง้ สองด้าน ด้านบนสเี ขียวเขม้ ดา้ นลา่ งสซี ีด ก้านใบสนั้ มาก เรียงสลับในแนวระนาบ ใบอ่อนสีน้ำ�ตาลอมชมพู ใบแก่ก่อนร่วงสเี หลือง เสน้ ใบนูนออกด้านลา่ ง ช่อดอกออกเป็นชอ่ กระจกุ ทซ่ี อกใบ มีดอกยอ่ ย จ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเลก็ สีเหลอื งอมเขียว ผลกลมแปน้ แขง็ คล้ายเม็ดกระดมุ ปลายบมุ๋ มหี ลายพู มขี นสั้น คลมุ ประปราย เมื่อแก่แห้งแตก เมล็ดมเี ย่ือหมุ้ สแี ดง มหี ลายเมล็ด พบขนึ้ ในพ้นื ท่ี ค่อนขา้ งช้นื และโล่งในป่าดบิ เขา ปา่ ดิบทุกประเภท ป่าสนเขาและริมหว้ ยหรือหนองบึง ประโยชน์ : –ใบและยอดอ่อนรสฝาดและมัน กนิ เป็นผักสด และเป็นอาหารของชา้ ง กระทงิ และกวาง –เปลือกตน้ เป็นยาสมนุ ไพร 142 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-น�ำ้ หนาว
ตองแตบ (Tong Taep) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Macaranga denticulata (Blume) Müll. Arg. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Macaranga henricorum Hemsl. ช่อื อ่นื (Vernacular name) : กะลอ, กะลอเกลย้ี ง, สะลอเกล้ยี ง, หลอ (ใต้); กะหลำ�ป้าง, สลาป้าง (ตราด); ตองเต้า (เหนอื ); เตา้ แมว้ , ปอขี้แฮด (เชยี งใหม่); ปอหมนั (แพร่); ตองมอ่ ม (ฉาน–แม่ฮอ่ งสอน); ปะดะ, แหล่ท่ะ (กะเหรยี่ ง–แม่ฮอ่ งสอน) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไม้พ่มุ หรอื ไม้ตน้ ขนาดเล็กไม่ผลดั ใบ เปลอื กบาง เรยี บ สีเทา ยอดออ่ น ก่งิ ออ่ นและก้านใบมขี นสนี ำ้�ตาลคลมุ ใบเด่ียว รูปกลม รูปไข่กวา้ งหรอื รปู สามเหล่ียมดา้ นเทา่ ปลายแหลม โคนมนหรือเว้า ขอบเรียบหรอื หยักต้นื ๆ ด้านบนสเี ขียวเข้มกวา่ ด้านลา่ ง ก้านใบ ยาวติดหลังแผ่นใบเหนอื โคนใบ เรยี งเวียน เสน้ ใบนนู เดน่ ชัดดา้ นลา่ ง ดอกแยกเพศอย่ตู า่ งตน้ ขนาดเล็กสเี ขยี ว ดอกเพศผ้แู ตกกิง่ ก้านสาขา รูปกรวยคว�่ำ ดอกเพศเมียขน้ึ เป็นกลุ่มที่ซอกใบ ใกลป้ ลายกงิ่ ผลรปู ทรงกลม ขนาดเลก็ มี ๒ พู มกั ออกเปน็ คู่ ๆ สเี ขียวมีคราบสเี หลอื งเหนียว ๆ เคลือบ สกุ สีด�ำ เม่ือแกแ่ ตกเป็น ๒ เสีย่ ง เมล็ดกลมสดี ำ� พบทว่ั ไปตามพน้ื ทป่ี า่ ดบิ ท่เี ปดิ โล่ง ไร่ร้างและปา่ กำ�ลังทดแทนทม่ี ีความช้ืนคอ่ นข้างสูง ประโยชน์ : –เปลือกลอกใช้แทนเชือกได้ –ต้นเป็นยาสมนุ ไพร –ปลูกคลุมพ้ืนท่รี กรา้ งทม่ี คี วามชนื้ สูง ๆ ไดด้ ี กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุพ์ ืช 143
เต้าหลวง (Tao Luang) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Macaranga gigantea (Rchb. f. & Zoll.) Müll. Arg. ช่ือพอ้ ง (Synonym) : Macaranga incisa Gage, M. megalophylla (Muell. Arg.) Muell. Arg. ชอื่ อื่น (Vernacular name) : ทะ (กะเหรย่ี ง–กาญจนบรุ )ี ; มะหัง (ปตั ตานี); หชู า้ ง (จันทบรุ ี) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมต้ ้น ผลัดใบช่วงสน้ั ๆ เปลือกนอกเรียบ บาง สเี ทา ใบเด่ียว รูปกลมหรอื รปู ไข่ปอ้ ม ขนาดใหญม่ ากมี ๓–๕ เหล่ยี ม โคนมนหรือกลม ขอบเรยี บหรอื หยกั ต้นื ห่าง ๆ แผน่ ใบ หนา ดา้ นบนสีเข้ม มขี นรูปดาวคลุมห่าง ๆ ดา้ นลา่ งสอี ่อนกวา่ และมขี นคลุมหนาแน่น ยอดอ่อน และใบออ่ นมขี นสนั้ สนี �้ำ ตาลคลุมหนาแน่น หใู บขนาดใหญ่ ก้านใบยาวติดกลางแผ่นเหนือโคนใบ ด้านทอ้ ง เรยี งเวยี น เส้นใบนูนเด่นชัดด้านล่าง ดอกแยกเพศอยตู่ ่างตน้ เปน็ ชอ่ ยาว ออกทีซ่ อกใบ ใกลป้ ลายก่ิง ผลคอ่ นข้างกลมมี ๒ พู เมือ่ แก่แตกเป็น ๒ เสยี่ ง เมล็ดมตี ่อมท่ัวผวิ พบทวั่ ไปในป่าดบิ ทกุ ประเภท ตามพื้นที่เปิดโลง่ หรอื ไรร่ ้างหรอื ป่ากำ�ลงั ทดแทน โดยเฉพาะพืน้ ทีท่ ่ีมคี วามชื้นสูง ประโยชน์ : –เปลือกใช้ทำ�เชอื ก –ผล เป็นอาหารของนกหกเลก็ ปากแดง และนกปรอดอีกหลายชนดิ –รากเปน็ ยาสมุนไพร ขอ้ ควรจำ� : แผลที่เกิดจากการหลดุ ร่วงของกา้ นใบรปู เกอื บกลม ก่ิงกา้ นออ่ น มีน�้ำ ยางสีขาวหรอื ใส 144 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขียว-น้ำ�หนาว
ปอแตบ๊ (Po Taep) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Macaranga kurzii (Kuntze) Pax & K. Hoffm. ชอื่ พ้อง (Synonym) : Macaranga andersonii Craib, M. membranaceai Kurz ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : สะตนี ้อย, สตปี า่ (เลย) ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ หรอื ไม้ยืนตน้ ขนาดเล็ก ผลดั ใบช่วงส้ัน ๆ เปลือกนอกเรียบเกล้ยี ง สีเทาออ่ น มชี อ่ งอากาศสขี าวกระจาย เปลอื กในมนี �ำ้ ยางสแี ดงขน้ ใบเดี่ยว รูปไข่หรอื รูปสามเหลีย่ มฐานกว้าง ปลายแหลมเปน็ หางยาว โคนมนหรอื ปา้ น ขอบเรยี บหรือหยกั เป็นพูแหลมตื้น ๆ และจักฟนั เลอ่ื ยถี่ แผน่ ใบบางเกลี้ยงหรอื มขี นประปราย ดา้ นบนสีเขยี ว ด้านล่างสีออ่ นกวา่ โคนใบมีตอ่ มสีน�้ำ ตาลแดง ๑ คู่ ก้านใบยาวสีแดงอมชมพู เรยี งเวยี น เส้นใบแยกจากฐาน ๓ เส้น นูนเด่นชดั ดา้ นล่างและมีตอ่ ม สแี ดงบรเิ วณซอกเส้นใบ ใบแกก่ อ่ นร่วงสีส้มแดง ดอกแยกเพศ โดยดอกเพศผู้เป็นชอ่ ยาวสีเหลือง ดอกเพศเมียเป็นกลุ่มกลม ผลขนาดเลก็ เปน็ พู มีหนามข้ึนกระจายหา่ ง ๆ เป็นไมพ้ นื้ ป่าทว่ั ไปตาม สนั เขาที่คอ่ นข้างแล้งในป่าดบิ เขาและปา่ สนเขา ประโยชน์ : เปลือกใชท้ �ำ เชอื กและทัง้ ตน้ เป็นอาหารช้างป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์พุ ชื 145
ตองเต๊า (Tong Tao) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Mallotus barbatus Müll. Arg. ชอื่ อืน่ (Vernacular name) : กระรอกขน (ชุมพร); บาเละอางิง (มาเลเซีย–นราธวิ าส); ปอหนุ (ประจวบครี ีขันธ)์ ; กะลอขน, กะลอยายทาย (ใต)้ ; สละปา้ ง, สละป้างใบใหญ่ (จันทบรุ ี); หญา้ ข้ที ดู (สกลนคร); หชู า้ ง (เพชรบรู ณ์); ขเ้ี ถ้า, เต๊าขน, ปอเตา๊ (เหนือ) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไมพ้ มุ่ หรือไม้ต้นขนาดเลก็ ผลัดใบชว่ งส้นั ๆ กา้ น กิง่ อ่อนและยอดอ่อนมีขนสขี าว นมุ่ คลุมหนาแน่น เปลอื กนอกเรยี บ สเี ทา ลอกเป็นแผน่ ได้ ใบเดี่ยว รูปไขก่ ว้าง รูปกลมปอ้ มหรอื มแี ฉก ตน้ื ๆ ๓ แฉก ปลายใบและปลายแฉกเรียวแหลม โคนมนหรอื กลม ขอบหยกั เป็นซ่ีหา่ ง มีขนรูปดาวสีขาว ละเอียดคลมุ ทว่ั แผน่ ใบท้ังสองดา้ น หลุดรว่ งเม่อื แก่ กา้ นใบยาว เรียงเวยี น ตดิ ด้านหลังเหนือโคนใบ ยอดออ่ นสชี มพู ใบแก่ก่อนร่วงสีเหลือง เส้นใบนูนเด่นดา้ นบน ดอกแยกเพศรว่ มต้นขนาดเลก็ สแี ดง อมเหลอื งออกปลายก่งิ และท่ซี อกใบใกลป้ ลายกิ่งเปน็ ชอ่ ยาวหอ้ ยลง ผลแปน้ หรือกลม มขี นรูปดาว ยาวสนี �้ำ ตาลออ่ นคลมุ หนาแน่น ปลายผลเป็นต่งิ แหลม เมื่อแกแ่ ตกตามตะเข็บเปน็ ๔–๖ เส่ยี ง เมล็ดสี ด�ำ เป็นมนั มีหลายเมลด็ พบท่วั ไปตามพื้นทเี่ ปิดโล่งและปา่ กำ�ลงั ทดแทนในปา่ ทุกประเภท ประโยชน์ : –เปลอื กใช้แทนเชือกได้ –เนื้อไม้ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ –เปลอื ก ใบ และรากเป็นยาสมนุ ไพร –ใบและเปลอื กเปน็ อาหารชา้ งปา่ 146 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 147
148 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
สอยดาว (Soi Dao) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Mallotus paniculatus (Lam.) Müll. Arg. ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Mallotus cochinchinensis Lour., Croton paniculatum Lam., C. appendiculatus Elmer ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : สตตี น้ (เลย); สลัดปา้ ง (จันทบรุ ี, ตราด); แสด (ใต้) ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดเลก็ ผลัดใบชว่ งส้นั ๆ กง่ิ อ่อนและยอดอ่อนมเี กล็ดสขี าวหรือสนี ้ำ�ตาล ออ่ นคลุมหนาแนน่ เปลอื กนอกบาง เรียบ สีนำ้�ตาลลอกงา่ ย ใบเด่ยี ว รปู ไข่ รปู สามเหลย่ี มหรือเป็น แฉก ๓ แฉก ปลายใบและปลายแฉกเรียวแหลมเป็นหาง โคนกลมมนหรือสอบกวา้ ง ขอบเรียบหรอื หยักต้นื ๆ มตี อ่ ม ๑ คู่ บริเวณโคนใบ แผ่นใบบาง ด้านบนสีเขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งมขี นรูปดาวสีขาวละเอียด คลมุ หนาแน่น ก้านใบยาวสนี �้ำ ตาล เรยี งเวียน ใบแกก่ ่อนร่วงสเี หลอื ง ชอ่ ดอกออกปลายกิง่ และ ทีซ่ อกใบมขี นสนี ้ำ�ตาลคลุม มีดอกจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศร่วมตน้ ขนาดเลก็ สีขาวอมเหลือง ผลค่อนขา้ งกลมมี ๓ พู เปลือกผลเป็นหนามอ่อนโคง้ งอ เมลด็ รปู ไข่หรอื กลมสดี �ำ พบท่ัวไปตามพ้ืนท่ี เปดิ โลง่ ในป่าดิบและป่าเบญจพรรณชื้นสูง ประโยชน์ : –เปลือกใชแ้ ทนเชอื กได้ 149 –ตน้ เปลอื กและรากเป็นยาสมุนไพร –เนอื้ ไม้ใชใ้ นอตุ สาหกรรมกระดาษ –ใบเปน็ อาหารของกระซู่ หมายเหตุ : เป็นไม้เบิกน�ำ ในพ้ืนที่ที่มีความชุ่มชืน้ สูง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธุ์พืช
ระงบั พษิ (Ra Ngap Pit) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE (PHYLLANTHACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Breynia glauca Craib ชอ่ื อื่น (Vernacular name) : จ้าสเี สียด (ล�ำ พนู ); ดับพษิ , ผกั หวานด่าง (แมฮ่ อ่ งสอน); ปรกิ (ประจวบครี ขี ันธ)์ ; ยมหลงั ขาว (ชัยภมู ิ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ หรือเลอื้ ยพัน ผลดั ใบช่วงสน้ั ๆ กงิ่ ก้านออ่ นเกล้ียงสีเขยี วหรือนำ�้ ตาลออ่ น ใบเด่ยี ว รูปไข่ ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เหนียว เกลี้ยงท้งั สองด้าน ดา้ นบนเกลี้ยง เป็นมนั เงาสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสเี ทาหรือสีนวล กา้ นใบสนั้ เรียงสลับในแนวระนาบ เส้นใบขอบปิดนนู เด่นชดั ด้านบน ยอดออ่ นสนี ำ้�ตาล ใบแกก่ ่อนร่วงสีเหลอื ง ดอกแยกเพศรว่ มตน้ ขนาดเลก็ ออกเปน็ ช่อกระจุกท่ซี อกใบ ดอกเพศเมยี อยู่ดา้ นบนกงิ่ สว่ นดอกเพศผู้อยดู่ า้ นลา่ งกงิ่ ผลกลมแป้น ขนาดเล็ก ปลายมีติ่งแหลม ผวิ เกลี้ยงเป็นมนั มฐี านรองรูปถ้วย ออกเดีย่ ว ๆ หรือเป็นกลุ่ม สกุ สีเหลืองถึงแดง ผลแก่ปริแตกออก เมล็ดสีแดงมสี ามมมุ เปน็ ไมช้ น้ั ล่างในปา่ ดิบเขา ปา่ สนเขาผสมก่อ ปา่ ดบิ แล้ง ป่าพรุ ปา่ ผลัดใบ และปา่ ชายหาด พบได้ถึงระดบั ความสงู ๑,๓๐๐ ม. ประโยชน์ : –ใบเป็นอาหารกวางและเป็นพืชสมุนไพร –ผลสกุ เป็นอาหารของนกกนิ ผลไม้หลายชนดิ หมายเหตุ : บางตำ�ราจดั เป็นชนิด Sauropus quadrangularis (Willd.) Müll. Arg. var. quadrangularis ข้อควรจ�ำ : ดา้ นบนแก่มีสเี ทาหรือสขี าวหมน่ 150 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 151
152 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
ตาต่มุ ตรี (Ta Tum Tri) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ EUPHORBIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Triadica cochinchinensis Lour. ชื่อพ้อง (Synonym) : Sapium discolor (Champ. & Bth.) Muell. Arg. ชือ่ อนื่ (Vernacular name) : โพนก, หญา้ จง, เหยื่อจง (ตรงั ); สอ้ ม (นราธิวาส); ตะเคยี นเฒ่า (ท่วั ไป) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กถงึ กลาง ผลดั ใบช่วงสั้น ๆ เรือนยอดโปรง่ เปลอื กเรียบ เกลี้ยง สีเทาขาว เปลอื กในสเี หลืองอ่อน ใบเดี่ยว รปู ไข่หรือรูปรแี กมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง เกล้ียงทง้ั สองด้าน ด้านบนสเี ข้มกว่าด้านล่าง มีต่อม ๑ คบู่ รเิ วณกา้ นใบต่อกบั แผน่ ใบ ก้านใบยาวเรียว สีแดง เรยี งเวยี น มนี ำ้�ยางสขี าว ยอดอ่อนและใบออ่ นสีชมพู ใบแก่กอ่ นรว่ งสีแดงส้ม ช่อดอกเปน็ ช่อเดย่ี ว ๆ ออกปลายกง่ิ ต้งั ข้นึ ดอกแยกเพศขนาดเล็ก ผลค่อนขา้ งกลม สุกสีม่วงด�ำ มี ๓ พู ปลายผลมตี งิ่ แหลม เมอ่ื แกส่ เี ทาแตกออกเปน็ เส่ียงมี ๓ เมลด็ พบในปา่ ดิบเขาทค่ี ่อนข้างโปรง่ ป่าสนเขา หรือในพืน้ ท่รี กร้างระดับสูงทม่ี ีความชื้นคอ่ นข้างสงู ประโยชน์ : –ผลสุกเปน็ อาหารของนกปรอดเหลอื งหวั จกุ และนกปรอดหวั โขน –ใบมสี ารแทนนินใชย้ ้อมผา้ ใหส้ ดี �ำ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุพ์ ืช 153
กอ่ หยุม (Ko Yum) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ FAGACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Castanopsis argyrophylla King ex Hook. f. ช่ือพ้อง (Synonym) : Castanopsis tribuloides var. ferox Kurz, Castanea tribuloides var. ferox Kurz, C. ferox Roxb. ชือ่ อนื่ (Vernacular name) : กอ่ หนาม (ชยั ภมู ิ, ทั่วไป) ชือ่ สามัญ (Common name) : Chestnut ลักษณะท่ัวไป : เป็นไม้ตน้ ผลัดใบช่วงส้ัน ๆ กง่ิ อ่อนมีขนสนี ้ำ�ตาลคลมุ เปลอื กหนา เรียบหรอื แตก เป็นสะเกด็ สีขาวหรอื เทา เปลือกในสีชมพู มรี วิ้ สขี าวแทรกตามความยาวของต้น ใบเดย่ี ว รปู รี รปู ขอบขนานหรือรูปใบหอกกลบั ปลายแหลมหรือทู่ โคนสอบ ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา เกลยี้ งทง้ั สองด้าน ด้านบนสีเขียว ด้านลา่ งมเี กล็ดสีเงนิ คลมุ ก้านใบสั้น เรยี งสลับ หใู บขนาดเล็ก ช่อดอกออก ปลายกง่ิ ตงั้ ข้ึน ดอกแยกเพศ สีขาวหมน่ ขนาดเลก็ ผล (nut) ขนาดใหญอ่ อกเดยี่ ว ๆ หรอื ตดิ กนั เปน็ ชอ่ ฐานหุ้มผล (cupule) เปน็ หนามแหลมแขง็ มที ง้ั สนั้ และยาวขน้ึ ถี่ ๆ ห้มุ จนมดิ ผลแก่ฐาน หุ้มปริออกตรงปลายและเมล็ดลอ่ นออก พบในป่าดิบเขาท่ีคอ่ นข้างโปรง่ และพบกระจายห่าง ๆ ใน ป่าสนเขาผสมก่อ ป่าดบิ เขาผสมสนและป่าเต็งรงั ในระดบั สงู ประโยชน์ : –ผลกนิ เป็นอาหารได้ แต่ต้องคว่ั ใหส้ กุ เสียกอ่ น –ผลแก่เป็นอาหารของหมคี วายและหมหี มา ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก/ของปา่ หวงห้าม (เฉพาะเปลือก) ข้อควรจำ� : เนอ้ื ไม้ในวงศ์ไม้กอ่ (Fagaceae) ทกุ ชนิดแตกเป็นรว้ิ ตามความยาวของล�ำ ต้น 154 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
กอ่ เดือย (Ko Dueai) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ FAGACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Castanopsis acuminatissima (Blume) A. DC. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Castanopsis junghuhnii Wils., Castanea acuminatissima Blume, Pasania acuminatissima (Blume) Oerst. Quercus junghuhnii Miq. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : ก่อสร้อย (เชยี งใหม)่ ; กอ่ หมัด, ก่อหัด (เพชรบรู ณ,์ เลย) ช่ือสามญั (Common name) : Chestnut ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไม้ตน้ ไม่ผลัดใบ เปลือกหนา สนี �้ำ ตาลหรอื เทา คอ่ นขา้ งเรยี บหรือแตกเป็น รอ่ งต้นื ๆ ตามล�ำ ต้นและกิ่งมีช่องอากาศจ�ำ นวนมาก ใบเด่ียว รปู ใบหอก ปลายเรยี วยาว โคนเบีย้ ว ขอบเรยี บหรอื หยกั ซ่ฟี นั ตอนปลาย แผน่ ใบหนา เหนยี ว ดา้ นบนสีเข้ม เกล้ยี ง ด้านลา่ งสนี ้ำ�ตาล อ่อนเปน็ มัน กา้ นใบสัน้ เรียงสลับ ใบแหง้ สีนำ้�ตาลแขง็ กรอบ หใู บเปน็ เขยี้ วรูปหอก หลดุ รว่ ง เม่อื แก่ ช่อดอกออกปลายก่ิงต้ังข้นึ มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดยี วกนั ขนาดเล็ก สขี าวหมน่ ผลเปน็ ช่อยาวขนาดเล็ก มีเปลอื กห้มุ หรอื ฐานรองผลเป็นหนาม ทแู่ ข็ง เรยี งเปน็ ชน้ั ห่าง ๆ ห้มุ ผลมดิ เม่ือแกป่ ลายหมุ้ ผลปริออกและเมล็ดหลดุ รว่ งง่าย เป็นไมเ้ รอื นยอดชน้ั กลาง ถึงชนั้ บนในป่าดบิ เขาและพบกระจายหา่ ง ๆ ในปา่ สนเขาผสมก่อและปา่ ดิบเขาผสมสน ประโยชน์ : –ผลกนิ เปน็ อาหารได้ แต่ต้องค่วั ให้สุกเสยี กอ่ นและเปน็ อาหารสัตว์ปา่ หลายชนิด –เนอ้ื ไมใ้ ช้ก่อสร้างในรม่ ทไี่ มต่ ้องการความแข็งแรงมากนกั ความสำ�คัญ : เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก /ของป่าหวงหา้ ม (เฉพาะเปลอื ก) ข้อควรจำ� : รากของกล้าไม้มสี ารสมี ่วงติดอย่/ู คลา้ ยก่อใบเลื่อม (Castanopsis tribuloides) จดุ ต่าง คอื ก่อใบเลื่อมไม่มีหูใบ ดา้ นลา่ งมเี กลด็ สีน้ำ�ตาลเข้มเมอ่ื แก่ซดี มผี ลขนาดใหญ่กว่าและหนามยาวกวา่ เดน่ ชดั กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุ์พืช 155
ก่อลิ้ม (Ko Lim) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ FAGACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Castanopsis indica (Roxb. ex Lindl.) A. DC. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Castanea indica Roxb. ชอื่ อนื่ (Vernacular name) : กอ่ ตี (เพชรบรู ณ์); กอ่ หลวง (น่าน); มะก่อหมู (เชียงใหม่); ก่อหยมุ (เหนอื ); กอ่ เก็ด (ลาว) ชอื่ สามญั (Common name) : Chestnut ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไมต้ น้ ผลัดใบชว่ งส้นั ๆ มกั แตกก่งิ ต�่ำ เปลอื กสนี ำ้�ตาลหรือเทา คอ่ นข้างเรยี บ หรอื แตกเป็นร่องลกึ เปลอื กในสเี หลืองหรอื สม้ ใบเดย่ี ว รูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนเบีย้ วถึงแหลม ขอบหยักซฟ่ี ันห่าง ๆ แผน่ ใบหนา ด้านบนสีเขยี วเขม้ เกลี้ยงเปน็ มนั และมีขนส้ันสี นำ�้ ตาล คลมุ ตามเส้นใบ ด้านล่างมขี นสั้นสีน�้ำ ตาลคลุมหนาแน่น ก้านใบสั้น เรียงสลับ ยอดออ่ นสีชมพู อมแดง มีขนคลุมหนาแน่น ช่อดอกออกปลายกงิ่ มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศ ผลเป็นชอ่ ยาว รปู ทรงกลมสีน้�ำ ตาลอมเหลือง มขี นนุม่ สนี �ำ้ ตาลคลุม ฐานรองผลเป็นหนามแหลมยาวและแข็งขึ้น อดั กันแนน่ หุ้มผลมิด เม่ือแกป่ ลายห้มุ ผลปริออกและเมล็ดหลุดลอ่ นง่าย พบในป่าดิบเขาท่ีคอ่ นขา้ ง โปร่งและพบกระจายหา่ ง ๆ ในปา่ สนเขาผสมก่อหรอื ป่าดบิ เขาผสมสน ประโยชน์ : –ผลกนิ ได้ แตต่ ้องค่ัวให้สกุ เสยี ก่อนและเป็นอาหารสตั ว์ป่าหลายชนดิ –เนอ้ื ไม้แข็ง ทนแมลง ใช้ก่อสรา้ งท่ัวไป เผาถ่านและทำ�เฟอรน์ เิ จอร์ –ใบเป็นอาหารสตั วแ์ ละรากเปน็ ยาสมนุ ไพร ความสำ�คญั : ไมห้ วงห้ามประเภท ก/ของป่าหวงห้าม (เฉพาะเปลอื ก) 156 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขยี ว-น้ำ�หนาว
ก่อใบเล่ือม (Ko Bai Lueam) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ FAGACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Castanopsis tribuloides (Sm.) A. DC. ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : ก่อหลงั่ , กอ่ ขา้ ว, กอ่ เดือย, กอ่ แหลม (เหนือ); ก่อหนาม, กอ่ ดูก, กอ่ หนวดแมว, กอ่ แห้ง (ทว่ั ไป) ช่ือสามญั (Common name) : Chestnut ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ต้นไม่ผลัดใบ เปลอื กค่อนข้างเรยี บหรอื แตกตามยาวเป็นสะเกด็ สเี ทาอม นำ้�ตาล เปลือกในสีแดงเรอ่ื ๆ กระพี้สีขาว ใบเดยี่ ว รูปใบหอกหรอื รปู ขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนสอบแหลมหรือเบีย้ ว ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา เหนียวคลา้ ยแผน่ หนงั เกลี้ยงทง้ั สองดา้ น ด้านบน สเี ขียวเข้มเปน็ เงาด้านลา่ งสีนำ้�ตาล กา้ นใบสั้น เรยี งสลับ ใบออ่ นและยอดออ่ นมขี นคลุม ใบแหง้ สคี ล�้ำ ชอ่ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมช่อหรอื ต่างช่อ แบบหางกระรอกตงั้ ขึ้น ออกทีป่ ลายก่ิงหรอื ทซี่ อกใบ ใกลป้ ลายกง่ิ ดอกขนาดเล็ก สีครมี หรอื น�้ำ ตาลออ่ น ผลขนาดเลก็ รปู ไข่หรือหยดนำ้� ตดิ กระจายบน ชอ่ ยาว ปลายแหลม โคนมนผวิ สนี �้ำ ตาล เปลือกห้มุ ผลเปน็ หนามแข็งสัน้ ปลายโคง้ งอไมแ่ ตกแขนง เรียงตัวคล้ายเกลยี ว เม่ือผลแกป่ ลายจะปรอิ อกเมล็ดหลุดล่อนงา่ ย เมล็ดแขง็ มนั เกลยี้ ง สนี ้ำ�ตาลมี เมล็ดเดียว เป็นไม้เรอื นยอดชั้นล่างถึงชนั้ บนในปา่ ดิบเขาและพบกระจายหา่ ง ๆ ในปา่ สนเขาผสมก่อ ป่าดิบเขาผสมสน ป่าเต็งรังผสมสน ป่าละเมาะเขาและป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : ผลกินได้ แตต่ อ้ งควั่ ใหส้ กุ เสียกอ่ น และเป็นอาหารของสตั วป์ า่ หลายชนิด เช่น หมี 157 สถานภาพ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก/ของปา่ หวงห้าม (เฉพาะเปลือก) หมายเหตุ : เนอ้ื ไม้ในวงศ์ไมก้ ่อ (FAGACEAE) ทุกชนิดแตกเป็นร้วิ ตามความยาวของล�ำ ตน้ กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุพ์ ชื
กอ่ ก้างด้าง (Ko Kang Dang) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ FAGACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Lithocarpus garrettianus (Craib) A. Camus ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : ก่อเลือด (เชียงใหม)่ ; ก่อซไี ลถ่ ะ (กะเหร่ียง–เชยี งใหม)่ ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไม้ตน้ ไมผ่ ลดั ใบ กง่ิ ออ่ นมีขนยาวสนี ำ้�ตาลคลุมหนาแน่น เปลือกสนี �ำ้ ตาลเทา แตก เป็นสะเกด็ ต้ืน ๆ เปลือกในสแี ดงถงึ แดงเขม้ ใบเดย่ี ว รูปรถี งึ รูปขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม โคนรูปลม่ิ สอบแคบ ขอบเรียบหรือเปน็ คล่ืน แผน่ ใบหนา ดา้ นบนเกลี้ยงหรือมีขนบาง ๆ สีเขม้ ด้านลา่ งมีขนนุ่ม สนี ้�ำ ตาลคลุมหนาแนน่ โดยเฉพาะตามเสน้ ใบ กา้ นใบสัน้ เรียงสลบั ชอ่ ดอกออกที่ซอกใบหรอื ปลายกิง่ ตัง้ ขึ้น มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเล็ก สขี าวหมน่ หรือสีเหลอื งอ่อน ผลแห้งไมแ่ ตกออก เด่ียว ๆ หรือตดิ กัน ฐานรองผลมีหนามงองุ้มขึ้นหุ้มเกอื บมิดผล อดั กันแน่นคล้ายก่อในสกุล Castanopsis เมอ่ื แกป่ ลายฐานรองปรแิ ตกออก พบตามชายปา่ ดิบเขาและกระจายหา่ ง ๆ ในป่าสนเขา ผสมก่อหรือป่าดิบเขาผสมสน ประโยชน์ : ผลแก่เป็นอาหารของหมี ความสำ�คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก/ของป่าหวงหา้ ม (เฉพาะเปลือก) ขอ้ ควรจำ� : ผลกินไมไ่ ด้ มีกาบหุม้ ผลคลา้ ยก่อในสกุล Castanopsis มาก แตห่ นามงอและออ่ น 158 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขียว-นำ้�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 159
ก่อผวั ะ (Ko Phua) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ FAGACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Lithocarpus dealbatus (Hook. f. & Thomson ex Miq.) Rehder ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : ก่อกอแล, กอ่ ขี้หมู; กอ่ ตาหมู (เชียงใหม)่ ; กอ่ ผั๊วะ (ทวั่ ไป) ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นไม้ตน้ ไม่ผลัดใบ กงิ่ อ่อนและล�ำ ตน้ มชี อ่ งอากาศกระจาย เปลือกนอก เรยี บ สเี ทา เปลือกในสีชมพูอมแดง ใบเด่ยี ว รูปรี ปลายแหลม โคนรปู ลม่ิ หรอื แคบ ขอบเรยี บหรือเปน็ คลื่น แผ่นใบ หนาคล้ายแผ่นหนัง ดา้ นบนสีเขียวเทาเกลีย้ ง ด้านล่างสขี าวหมน่ มีขนนุ่มสีเทาขาวคลุมประปรายถงึ เกล้ยี งหรือมสี เี งนิ กา้ นใบสัน้ เรียงสลบั ชอ่ ดอกแบบหางกระรอก ออกที่ซอกใบหรือปลายกง่ิ ดอกแยก เพศแยกชอ่ หรือรว่ มช่อ อยูบ่ นตน้ เดยี วกัน ขนาดเล็ก สีขาวหมน่ หรือเหลอื งอ่อน ผลแบบผลแห้ง รูปไข่ หรือมน ออกเด่ียว ๆ หรอื ติดกันเป็นช่อยาว เม่อื แก่หลดุ ออกจากฐานรอง ฐานรองผลรปู ถ้วยหุม้ ๑/๒ ของผล ผิวถ้วยเป็นเกล็ดขนาดเล็ก พบบรเิ วณปา่ ดิบเขาทค่ี ่อนขา้ งโปรง่ และในป่าสนเขาผสมก่อหรอื ป่าเตง็ รังผสมสน ประโยชน์ : ผลเป็นอาหารของหมี ความสำ�คัญ : ไม้หวงห้ามประเภท ก/ของป่าหวงหา้ ม (เฉพาะเปลือก) หมายเหตุ : เนอ้ื ไมใ้ นวงศไ์ ม้กอ่ (FAGACEAE) ทุกชนิดแตกเปน็ ริว้ ตามความยาวของลำ�ตน้ 160 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขียว-น้ำ�หนาว
กอ่ ขีก้ วาง (Ko Khi Kwang) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ FAGACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Quercus acutissima Carruth. ช่อื พ้อง (Synonym) : Quercus acutissima Carruth. ssp. roxburghii A. Camus ชอ่ื อื่น (Vernacular name) : กอ่ อบุ ข้าว (เลย); กอ่ แดง (เพชรบรู ณ)์ ชอ่ื สามัญ (Common name) : Oak ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ต้น ผลดั ใบชว่ งสัน้ ๆ เปลอื กนอกหนา สีน�้ำ ตาลเข้ม แตกเป็นสะเกด็ รูปสี่เหลีย่ ม เปลือกในสีแดง ใบเด่ียว รปู ใบหอกหรอื รปู ขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนมนหรือ เบ้ียว ขอบจกั ฟันเล่อื ย แผน่ ใบบาง เกลย้ี งเปน็ มันทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขยี วเข้ม ด้านลา่ งสอี อ่ น กว่า กา้ นใบยาวเรยี วเลก็ เรียงสลับ ใบแกก่ อ่ นรว่ งสีเหลืองหรอื น�้ำ ตาล ช่อดอกออกปลายกิ่ง มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศ ผลออกเด่ยี ว ๆ หรอื ติดกนั เปน็ ช่อ มฐี านรองผลคล้ายหนามแหลม โค้งงอออกดา้ นนอกหนาแนน่ หุม้ เกอื บมิดผล เม่อื แก่ผลหลุดล่อนออก พบขน้ึ เปน็ กลุม่ ขนาดใหญ่ ในปา่ ดบิ เขาท่ีคอ่ นข้างโปรง่ ปา่ สนเขาผสมก่อและพบกระจายหา่ ง ๆ ในป่าดบิ เขาผสมสน หรือข้ึน เป็นกลมุ่ ๆ เฉพาะชนดิ น้ี ประโยชน์ : ผลเป็นอาหารสตั ว์ป่าหลายชนดิ สถานภาพ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก/ของป่าหวงหา้ ม (เฉพาะเปลือก)/กระจายมาจากเขตอบอุน่ ข้อควรสังเกต : รปู รา่ งผลคลา้ ยกอ่ ในสกลุ Castanopsis จุดต่างคือ ฐานรองผลมลี กั ษณะคล้าย หนามแบนอ่อน ๆ และขอบใบหยกั ลึกและแหลม มีปลายเส้นกลางใบโผล่ออกมาชดั เจน ข้อควรจ�ำ : ใบของต้นขนาดเลก็ หรอื กลา้ ไม้รปู ชอ้ นมีขนนุม่ ท้งั ๒ ดา้ น ก้านใบส้นั มาก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธพ์ุ ชื 161
ก่อแดง (Ko Daeng) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ FAGACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Quercus kingiana Craib ชื่ออื่น (Vernacular name) : กอ่ ถอก, ก่อแมงนนู , กอ่ หวั วอก (เชยี งใหม่); ก่อตี (เหนือ); กอ่ แงะ, กอ่ ตาหม,ู ก่อด�ำ , กอ่ แอบ, ก่อขห้ี ม,ู ก่อหยวก (ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ) ช่อื สามัญ (Common name) : Oak ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้ต้นผลัดใบ กงิ่ ออ่ นและใบอ่อนมขี นสั้นสนี �ำ้ ตาลคลุม เปลอื กนอกแตกเปน็ เหลยี่ มและร่องลึก เปลือกในสีแดงคล้ำ� ใบเด่ยี ว รปู รีหรือรปู ใบหอกกลบั ปลายแหลม โคนมนหรอื เวา้ ขอบโปร่งแสง หยกั ซี่ฟนั ห่าง ๆ ตงั้ แตก่ ลางถึงปลายใบ แผน่ ใบหนา เหนยี ว ดา้ นบนเกลีย้ ง เปน็ มัน ดา้ นล่างสีอ่อนกว่าเกล้ยี งหรือมีขนประปรายตามเสน้ ใบ กา้ นใบยาว เรยี งสลบั ยอดอ่อน สีแดงมีขนคลมุ หนาแนน่ ดอกแยกเพศออกเป็นชอ่ ปลายก่ิงขนาดเล็กอยูต่ า่ งชอ่ ดอกเพศผหู้ ้อยลง ดอกเพศเมยี ตง้ั ขนึ้ ผลเรียวแขง็ รูปทรงกระบอก ฐานรองผลหมุ้ ถงึ กลางผล ผลแกม่ กั หลุดออก จากฐาน พบตามชายปา่ ดิบเขาหรอื ตามป่ากอ่ ทีส่ งู หรอื ปา่ สนผสมกอ่ หรอื ปา่ เตง็ รงั ประโยชน์ : –เปลือกในใช้กนิ กับหมากแทนเปลือกสีเสยี ด –เน้ือไมม้ ีลวดลายสวยงามใชก้ ่อสรา้ งภายในและท�ำ ไมฟ้ นื สถานภาพ : หายาก/ไมห้ วงห้ามประเภท ก/ของปา่ หวงห้าม (เฉพาะเปลือก) หมายเหตุ : เนอื้ ไม้ในวงศ์ไม้กอ่ (Fagaceae) ทกุ ชนดิ แตกเปน็ ริ้วตามความยาวของล�ำ ต้น 162 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
ก่อผา (Ko Pha) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ FAGACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Quercus franchetii Skan ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Quercus lanuginose (non D. Dom) Franch. ชือ่ อ่นื (Vernacular name) : กอ่ แคระ (เหนือ); ก่อ (ทวั่ ไป) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ต้น ผลดั ใบช่วงส้ัน ๆ โคนตน้ ใหญม่ ักมีพูพอน แตกกงิ่ ตำ่� เปลอื กหนาแขง็ แตกเป็นรอ่ งตื้น ๆ หรอื เปน็ สะเกด็ ขนาดเล็กสีด�ำ เปลอื กในสีนำ้�ตาล เน้อื ไมส้ ีขาว ใบเดยี่ ว รูปไข่ แกมรปู ใบหอก ปลายแหลม โคนเว้า ขอบจักฟันเลื่อย ใบอ่อนมขี นสนั้ สีน�ำ้ ตาลคลมุ ประปรายทั้ง สองดา้ น เมือ่ แก่เกล้ียง ดา้ นบนสเี ข้มกว่าด้านลา่ ง หากขึ้นในพน้ื ที่ท่ีมีลมพัดจดั และแลง้ ใบจะหนา และมีขนคลมุ หนาแน่นทง้ั สองดา้ น กา้ นใบส้ันมาก เรียงสลบั เปน็ กระจกุ ใกลป้ ลายกง่ิ ยอดอ่อน สีชมพหู รอื น�ำ้ ตาลแดง ใบแหง้ สนี ้ำ�ตาล ชอ่ ดอกออกปลายก่งิ ดอกแยกเพศ ผลขนาดเลก็ ออก เดย่ี ว ๆ หรือเป็นชอ่ ฐานรองผลห้มุ ประมาณ ๑/๓ ของผล เม่ือแก่หลุดลอ่ นไดง้ า่ ย พบตามรมิ ห้วย หรอื พนื้ ที่ลุม่ ในปา่ ดิบเขากึ่งพรุ ปา่ ดิบเขา ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ สนเขาผสมกอ่ และตามหนา้ ผาของภูเขา หินทรายในปา่ ละเมาะเขาหรือป่าสนเขา ประโยชน์ : –ผลแก่ เปน็ อาหารของหมีและคา่ งแวน่ ถนิ่ เหนอื –เนอ้ื ไม้ใชก้ อ่ สรา้ งภายใน สถานภาพ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก/ของปา่ หวงห้าม (เฉพาะเปลอื ก)/กระจายมาจากเขตอบอนุ่ หมายเหตุ : เป็นไม้ก่อทมี่ ใี บขนาดเลก็ ทส่ี ุดในประเทศไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธพุ์ ืช 163
กอ่ เรยี บ (Ko Riap) ผถู้ า่ ย ดร. สุธรี ์ ดวงใจ พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ FAGACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Quercus myrsinifolia Blume ช่ือพ้อง (Synonym) : Quercus glabricupula Barrett., Q. bambusifolia Mast., Cyclobalanopsis myrsinaefolia (Blume) Oerst., C. mysinaefolia (Blume) Schott. ช่ืออน่ื (Vernacular name) : ก่อด่าง, เต้าปูนนก, แส (คาบสมุทร); กอ่ (ทั่วไป) ช่อื สามัญ (Common name) : Oak ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ไมผ่ ลัดใบ กิ่งก้านออ่ นเกลย้ี ง เปลือกนอกเรียบหรือแตกเปน็ สะเกด็ ตนื้ ๆ สนี �้ำ ตาลเทา เปลอื กในสีแดงเรื่อ ๆ ใบเด่ยี ว รปู รีถึงรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายเรยี วแหลม โคนสอบ รปู ล่ิมขอบหยกั ตนื้ หา่ ง ๆ ใกลป้ ลายใบหรือเป็นคลื่น แผ่นใบบางเหนียว เกลีย้ งทั้งสองดา้ น ด้านบนสีเขียวเขม้ ดา้ นลา่ งสีอ่อนกวา่ กา้ นใบสนั้ เรียงสลบั ชอ่ ดอกออกทซี่ อกใบหรอื ปลายกง่ิ มี ดอกจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเลก็ สขี าวหมน่ หรือเหลืองอ่อน ผลรปู เตา้ นมหรือกรวยควำ่� ออกเด่ียว ๆ หรือติดกนั เป็นกลุ่ม ฐานรองผลรปู กรวยหงาย มีเกลด็ ขนาดเล็กเรียงเปน็ ช้ัน ๆ หมุ้ ๑/๒ ของผล เมอ่ื แกเ่ มลด็ หลดุ ออก พบตามริมหว้ ยหรือทชี่ มุ่ ช้ืนสูงในปา่ ดิบเขาและป่าดบิ แล้งผสม ดิบเขา ประโยชน์ : –ผลแกเ่ ปน็ อาหารของหมแี ละคา่ งแวน่ ถิน่ เหนือ –เนือ้ ไมใ้ ช้ก่อสรา้ งภายใน สถานภาพ : ไม้หวงห้ามประเภท ก/ของป่าหวงหา้ ม (เฉพาะเปลือก) หมายเหตุ : เนือ้ ไมใ้ นวงศไ์ ม้กอ่ (FAGACEAE) ทกุ ชนดิ แตกเปน็ ร้วิ ตามความยาวของล�ำ ต้น 164 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
กอ่ ตลบั (Ko Ta Lap) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ FAGACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Quercus ramsbottomii A. Camus ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Cyclobalanopsis ramsbottomii (A. Camus) Hjelmq. ช่อื อนื่ (Vernacular name) : กอ่ แดง, กอ่ รัง, ก่อหมวก (เพชรบูรณ)์ ; เซตี (กะเหร่ยี ง–เชียงใหม)่ ; กอ่ เสยี ก, ตองแขง็ (เลย); กอ่ แอบ, ก่ออุ้ม, กอ่ ขห้ี มู (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ชื่อสามัญ (Common name) : Oak ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ น้ ผลัดใบชว่ งสั้น ๆ โคนต้นมักมพี พู อนขนาดเลก็ เปลือกนอกเรยี บหรอื ขรขุ ระ แตกเป็นร่องตืน้ ๆ สเี ทาถึงน้ำ�ตาล มชี อ่ งอากาศประปราย เปลือกในสนี ำ้�ตาลออ่ น ใบเดี่ยว รปู หอก กลบั ปลายแหลม โคนทู่ ขอบใบบรเิ วณตอนปลายหยักซีฟ่ ันตน้ื ๆ แผน่ ใบหนา ด้านบนสเี ขม้ เกลี้ยง หรือมีขนบาง ๆ ด้านล่างสีอ่อนกวา่ มีขนสคี รมี คลุมหนาแน่น กา้ นใบยาว เรียงเวยี นเปน็ กระจกุ ที่ ปลายกงิ่ ยอดและก่ิงออ่ นสชี มพู มขี นน่มุ คลมุ หนาแนน่ ใบแห้งสนี �ำ้ ตาลแดง ชอ่ ดอกออกท่ีซอกใบใกล้ ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศ ผลรูปไข่หรือรปู ไข่กลับ เปลือกแขง็ สีน�้ำ ตาลแดงมขี นนมุ่ สเี ทา ฐานผลเว้า มี ๓–๕ ผล/ช่อ ฐานรองผลรปู ถว้ ยหมุ้ ๒/๓ ของความสงู ผล ผนังด้านนอกของฐานรองผลมสี นั นนู เรียงเปน็ ชนั้ ๔–๖ ช้ัน ผลแก่มกั หลดุ ออกจากฐานรอง พบเป็นไมช้ ัน้ เรอื นยอดในปา่ ดิบเขาและพบ ประปรายในปา่ ดิบเขาผสมสน ประโยชน์ : –ผลออ่ นเปน็ อาหารของคา่ งแวน่ ถิน่ เหนือ –เน้อื ไมใ้ ชก้ อ่ สรา้ งภายใน สถานภาพ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก/ของป่าหวงห้าม (เฉพาะเปลอื ก) ข้อควรสังเกต : คล้ายกอ่ หมวก (Quercus auricoma) ใบทีป่ ลายก่งิ ไมเ่ รยี งเป็นกระจุก คล้ายก่อ หิน (Quercus fleuryi) ผลรูปยาวรีมากกวา่ หมายเหตุ : เนอื้ ไม้ในวงศไ์ มก้ อ่ (FAGACEAE) ทกุ ชนิดแตกเปน็ ริว้ ตามความยาวของล�ำ ตน้ กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุพ์ ชื 165
สเี สอื้ (Si Suea) พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ FLACOURTIACEAE (SALICACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Casearia grewiifolia Vent. ผถู้ ่าย นพดล บัวโรย ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Casearia calva Craib ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : ตวยใหญ่ ,ตานเส้ียน (พษิ ณโุ ลก); กว้ ย, ผเี สื้อหลวง, สเี ส้ือหลวง (เหนือ); ขนุ เหยิง, บุนเหยิง, (สกลนคร); คอแลน (นครราชสีมา); ผา่ สาม (นครพนม, อดุ รธาน)ี ; จะร่วย (เขมร–สรุ ินทร)์ ; ตวย (เพชรบูรณ)์ ; กรวยปา่ (กลาง) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไมต้ น้ ไม่ผลัดใบ เปลือกนอกเรยี บ สเี ทาอมน�ำ้ ตาล ใบเด่ยี ว รูปขอบขนาน ปลายทู่ โคนมนหรอื เบย้ี ว ขอบเรยี บหรือหยักมนตื้น ๆ แผ่นใบเกลยี้ งเป็นมนั ท้งั สองดา้ น ดา้ นบนเปน็ มนั เงา สีเข้มกวา่ ด้านลา่ ง ก้านใบส้ัน เรยี งสลับ ยอดออ่ นและใบแกก่ ่อนร่วงสแี ดง ชอ่ ดอกออกท่ีซอกใบใกล้ ปลายก่งิ ผลรปู รีหรอื กลมเกลีย้ งเปน็ มัน สกุ สเี หลือง เมือ่ แกแ่ ตกตามตะเข็บเป็น ๒ เสีย่ ง เน้ือหุม้ เมล็ดสีแดงสด เปน็ ไมเ้ รอื นยอดชั้นกลางในป่าดิบเขา ป่าดบิ แลง้ และพบประปรายในป่าดิบเขาผสมสน ประโยชน์ : ข้อมูลไมเ่ พียงพอ สถานภาพ : ไม้หวงห้ามประเภท ก ข้อควรจำ� : คล้ายกรวยป่า (Casearia grewiifolia var. grewiifolia) โดยกรวยป่าใบออ่ นมีขนนุ่ม คลุมหนาแนน่ ทัง้ สองด้าน เมื่อแก่ขนเหลือน้อยและมกั เจรญิ ไดด้ ใี นป่าผลดั ใบหรือปา่ ทีแ่ หง้ แลง้ กวา่ 166 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น้�ำ หนาว
โกงกางเขา (Kong Kang Khao) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ GENTIANACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Fagraea ceilanica Thunb. ชื่อพ้อง (Synonym) : Fagraea obovata Wall., F. lanceolata Blame ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : โพดา (ปตั ตานี); นางสวรรค์, นว้ิ นางสวรรค์ (ใต)้ ; ตงั ติดนก (หนองคาย); ฝา่ มอื ผี (ฉาน–แมฮ่ ่องสอน); เทยี นฤๅษี (เหนอื ) ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กหรอื ไม้พมุ่ องิ อาศยั ตามตน้ ไมอ้ ่ืนหรอื โขดหนิ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ บางตน้ มรี ากอากาศคล้ายพืชในสกุลไทร (Ficus) ก่งิ ก้านเกล้ยี งเปราะหกั งา่ ย มีข้อถ่ี ๆ เปลอื กนอก เรยี บ สีนำ้�ตาลออ่ นอมเทา เปลือกในสีขาว ใบเดี่ยวมคี วามผันแปรสงู ปกติเปน็ รูปใบหอกกลบั รปู ไข่แกมรปู ขอบขนานหรือรูปรี ปลายเปน็ ตง่ิ แหลม โคนสอบแคบหรือมนเวา้ ขอบเรียบ มีเยอื่ บาง ๆ โปร่งแสง แผ่นใบอวบหนา เกลี้ยงเปน็ มันทั้งสองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสีอ่อน กวา่ กา้ นใบยาว เรียงตรงข้ามถ่ี ๆ ท่ปี ลายกิง่ เสน้ กลางใบยุบลงและพองออกด้านลา่ งเส้นเดียว ใบแห้งสีน้ำ�ตาลแกมสเี ขียวมะกอก ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงสัน้ ๆ ออกทป่ี ลายก่ิง ดอกสมบรู ณ์เพศ ดอกตูมสนี ้ำ�ตาลอมแดง มีขนสีน้ำ�ตาลคลมุ ดอกบานเปน็ หลอดรปู กรวยหรอื ปากแตร สีขาวนวลถึง เหลอื ง ผลสด รูปกลมรหี รอื รปู ไข่ ผิวมันเกลี้ยง สีฟา้ อมเขยี ว ปลายแหลมเป็นตง่ิ เล็ก ๆ ออกเดี่ยว ๆ หรอื เปน็ ชอ่ สุกสมี ่วงด�ำ เนื้อนม่ิ ฉ�่ำ น้ำ� เมลด็ ขนาดเล็ก มีจำ�นวนมาก พบในปา่ ละเมาะเขา หนา้ ผา หรอื โขดหินท่เี ปน็ ดนิ ปนทรายและมลี มพัดจัด หรือชายปา่ ดบิ เขาที่มีความลาดชนั ค่อนขา้ งสูงและ มีลมพัดจดั ตน้ ไมแ้ คระแกรนและพบบา้ งในหุบเขาหนิ ปูนและชายขอบปา่ พรุ ประโยชน์ : รปู ร่างตน้ และดอกขนาดใหญ่สวยงาม เหมาะปลกู เป็นไมป้ ระดับ หมายเหตุ : บางต�ำ ราจัดไวใ้ นวงศ์ LOGANIACEAE กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธพุ์ ชื 167
168 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
กันเกรา (Kan Krao) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ GENTIANACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Fagraea fragrans Roxb. ช่ือพ้อง (Synonym) : Fagraea cochinchinensis Chevd., Cyrtophyllum peregrinum Reinw., C. giganteum Ridl. ชือ่ อน่ื (Vernacular name) : ตะมะ, ต�ำ มซู ู (มาเลเซยี –ใต)้ ; ตำ�เสา, ทำ�เสา (ใต้); ตราเตา (เขมร–ตะวนั ออก); มันปลา (เหนอื , ตะวันออกเฉยี งเหนือ) ช่ือสามัญ (Common name) : Common Anan ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กถงึ กลาง มักแตกกงิ่ ต�่ำ เปลือกนอกสนี ้ำ�ตาลเข้ม แตกเปน็ รอ่ งยาว ใบเดีย่ ว รูปรหี รอื รูปรีแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลมยาว โคนสอบแคบ ขอบเรยี บ แผ่นใบเกลยี้ งเป็น มันทั้งสองดา้ น ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสีอ่อนกวา่ ก้านใบยาว เรียงตรงข้ามสลับตงั้ ฉาก เปน็ กระจุกทีป่ ลายกิง่ มหี ูใบระหว่างกา้ นใบ ช่อดอกออกทซี่ อกใบใกลป้ ลายกง่ิ มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกสมบูรณเ์ พศขนาดเล็ก รูปดอกเข็ม แรกบานสีครีม ใกล้โรยจะเปล่ยี นเป็นสเี หลอื งอมสม้ กล่ินหอมเยน็ ผลกลมมีเน้ือ ปลายผลมตี ่งิ สน้ั ๆ ผลห่ามสสี ้มอมเหลอื งแลว้ เปลี่ยนเป็นสีแดงเม่อื สกุ เมลด็ เป็นเหลี่ยม ขนาดเลก็ มีจำ�นวนมาก เปน็ ไม้ช้ันล่างถงึ ชัน้ กลางในปา่ ดิบทุกประเภท ประโยชน์ : –ดอกมกี ลิน่ หอมแรง เหมาะปลูกเป็นไมป้ ระดบั 169 –เนือ้ ไมใ้ ช้กอ่ สรา้ งได้ดี โดยเฉพาะทำ�เสาอาคารบ้านเรอื น –เน้อื ไม้ ใบและเปลอื กตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร –ใบเป็นอาหารของกระซู่ ความส�ำ คญั : –ไมห้ วงหา้ มประเภท ก/ต้นไมป้ ระจ�ำ จงั หวดั นครพนม หมายเหตุ : บางต�ำ ราจดั ไว้ในวงศ์ LOGANIACEAE กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธพุ์ ชื
เออ้ื งหงอนไก่ (Ueang Ngon Kai) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ GESNERIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aeschynanthus fulgens Wall. ex R. Br. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Aeshynanthus macranthus (Merr.) Pellegr. ช่ืออนื่ (Vernacular name) : ว่านไก่แดง (ทวั่ ไป) ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ พืชลม้ ลกุ องิ อาศัยเกดิ เป็นตน้ เดย่ี ว ๆ หรือเป็นกอ ลำ�ตน้ คดงอและเปราะ ใบเดย่ี ว รปู ขอบขนานแกมรปู ใบหอก ปลายและโคนแหลม ขอบเรียบ แผน่ ใบอวบหนา ด้านบนสเี ขียว เข้มเกลย้ี งเปน็ มันเงา ด้านล่างสซี ดี กวา่ มขี นบาง ๆ ก้านใบส้นั เรยี งตรงขา้ มหรือเยอื้ งกนั เล็กน้อย ช่อดอกออกปลายกิ่ง ดอกสมบรู ณเ์ พศ กลีบดอกเปน็ หลอดยาวโค้งคลา้ ยตะขอ สแี ดงหรอื สแี สด รปู ปากแตร ปลายกลีบดอกหยกั ลกึ ผลเปน็ ฝักเรียวยาวคล้ายปน่ิ ปักผม ออกเปน็ คู่ เม่อื แก่แตกออก ตามตะเข็บ เมล็ดขนาดเลก็ มจี �ำ นวนมาก ปลายเมลด็ ข้างหน่ึงมขี นสีขาวเปน็ พตู่ ดิ อยู่ บ่งบอกว่า กระจายพนั ธ์ดุ ้วยลม พบเกาะองิ อาศัยตามเปลือกต้นหรือคาคบไม้ในป่าดิบเขาหรอื บางครง้ั อาจจะพบ ตามพ้ืนปา่ เน่อื งจากถูกลมพัดตกหรือก่ิงไม้ผหุ กั ลงและสามารถดำ�รงชพี ไดด้ ี ประโยชน์ : –ดอกมีความสวยงาม เหมาะท่จี ะพฒั นาเป็นไมป้ ระดบั –น้ำ�หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกินน้�ำ ต้อย สถานภาพ : หายาก หมายเหตุ : เปน็ ชนดิ ท่ีมีดอกขนาดใหญท่ ส่ี ุดในสกุลนี้ บางตำ�ราแยกออกเปน็ ๒ ชนดิ ตามช่ือพอ้ ง 170 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 171
ย่านกระดูกไก่ (Yan Kra Duk Kai) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ GESNERIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aeschynanthus acuminatus Wall. ex A. DC. ช่อื อ่นื (Vernacular name) : ย่านดง (ชยั ภมู ิ) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ พืชเลอื้ ยเกาะองิ อาศยั กบั เปลอื กต้นไม้และคาคบ ใบเดย่ี ว รูปรหี รอื รปู แถบแบน ปลายแหลม โคนแหลมหรอื ทู่ ขอบเรียบ แผ่นใบอวบหนา ด้านบนสีเข้มกวา่ ด้านล่าง กา้ นใบสนั้ เรยี ง ตรงข้าม เสน้ ใบไมช่ ดั เจน ชอ่ ดอกออกทซ่ี อกใบใกล้ปลายก่ิงหรือใกลป้ ลายกงิ่ ดอกสแี ดงสม้ ออกเปน็ คู่ ผลเป็นฝักเรียวยาวขนาดเลก็ ออกเป็นคู่ เมื่อแกส่ ีน�้ำ ตาลและแตกตามตะเขบ็ ออกเป็น ๒ เสย่ี ง เมลด็ ขนาดเลก็ มจี �ำ นวนมาก ที่ปลายด้านหนึง่ ของเมลด็ มขี นปยุ สีขาวติดอยู่ บง่ บอกถงึ การกระจายพนั ธ์ุ ดว้ ยแรงลม พบเกาะเลอื้ ยตามพื้นป่า เปลอื กต้นไม้หรือคาคบไมใ้ นปา่ ดิบเขาหรอื ปา่ ดิบช้นื ระดบั สูง หรือในป่าดิบกึ่งพรุ ประโยชน์ : –ดอกมีความสวยงาม เหมาะทีจ่ ะพัฒนาเป็นไม้ประดบั –นำ้�หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกินนำ้�ต้อยหลายชนดิ 172 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
พะอง (Pha Ong) ผู้ถ่าย ผศ.ดร.สราวุธ สังข์แกว้ พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CALOPHYLLACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Calophyllum polyanthum Wall. ex Planch. & Triana ชอื่ พ้อง (Synonym) : Calophyllum smilesianum Craib, C. s. var. lutea Craib, C. williamsianum Craib ชอื่ อื่น (Vernacular name) : ตังหน (นครศรีธรรมราช); มะแหนดอย (เชียงใหม่); คอไหมด้ อ้ (กะเหรีย่ ง–กำ�แพงเพชร); ซา้ จมุ้ มนุ่ (กะเหร่ียง–แม่ฮอ่ งสอน) ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ไมผ่ ลดั ใบ ลำ�ตน้ เปลาตรง ไม่มีพูพอน เปลอื กนอกหนา แตก เปน็ ร่องลกึ สีเหลอื งหรือสีเหลอื งหม่น เปลอื กในสีเหลอื งหรือชมพู ใบเดยี่ ว รปู รี รูปไข่แกมรูปรหี รอื รปู ขอบขนานแกมรูปรีถึงรูปใบหอก ปลายแหลม โคนสอบเรียว ขอบเรียบหรือเปน็ คลืน่ เลก็ น้อย แผน่ ใบหนา เหนียว มขี นบาง ๆ ถึงเกลี้ยง ด้านบนสเี ขยี วเขม้ ด้านลา่ งสีออ่ นกว่า ก้านใบโค้ง เรียง ตรงข้าม ใบออ่ นสนี ้ำ�ตาลแดง ใบแกก่ อ่ นร่วงสเี หลือง ใบแห้งสนี �้ำ ตาลถงึ สนี �้ำ ตาลอมเขียว เสน้ ใบเรยี ง ขนานกนั ถี่ชดั เจน ชอ่ ดอกออกทซ่ี อกใบใกลป้ ลายกิง่ ดอกสมบรู ณ์เพศ สนี �้ำ ตาลอมเทา ผลสด รปู กลมรี ปลายแหลมเปลือกบาง สุกสีดำ�หม่น ๆ มเี มลด็ เดียว เปน็ ไมเ้ รอื นยอดชั้นบนในปา่ ดิบเขาและป่าดิบช้ืน ประโยชน์ : เนอ้ื ไมใ้ ชไ้ ด้เอนกประสงค์ สถานภาพ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก หมายเหตุ : หากสับเปลอื กท้งิ ไวจ้ ะมีน้�ำ ยางสีเหลืองขน้ ไหลซมึ ออกมา กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์พุ ชื 173
ส้มควาย (Som Khwai) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Garcinia pedunculata Roxb. ex Buch. - Ham ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : สม้ ชา้ ง (ชยั ภูมิ) ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไม้ต้นไมผ่ ลัดใบ เรือนยอดรูปกรวยคว่ำ� กิ่งออ่ นรปู สี่เหล่ยี มมสี นั ทู่ ๆ สีเขียวเข้ม แตกตงั้ ฉากกับล�ำ ต้น เปลอื กนอกเรียบหรือแตกเปน็ สะเกด็ สีด�ำ หรือน้ำ�ตาลดำ� ใบเดยี่ ว รปู รี รปู ไข่หรอื รูปใบหอกกลับ ปลายแหลมหรอื ทู่ โคนกลมทู่ ขอบเรียบหรือเปน็ คลน่ื แผน่ ใบหนา เกล้ียงเปน็ มันทงั้ สองด้าน ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ด้านล่างสีซดี กว่า กา้ นใบสนั้ เรยี งตรงขา้ ม เสน้ ใบขนานกันนนู ออกดา้ นล่าง มีเสน้ ขอบใบชดั ดอกแยกเพศอยตู่ ่างตน้ เปน็ หลอดสีเขียว ออกปลายกิ่ง ผลสดกลม ขนาดใหญ่ ผวิ เรยี บ หรอื เปน็ รอ่ งตื้น ๆ ตามยาว สกุ สีเหลอื งส้มและเนอ้ื หมุ้ เมล็ดสเี หลอื ง เมลด็ รูปไตมี ๘–๑๐ เมล็ด เปน็ ไม้ ชั้นกลางในป่าดิบเขา ปา่ ดิบช้ืนระดับสงู ป่าดบิ แล้งและปา่ เบญจพรรณชื้น ประโยชน์ : –ผลสกุ และยอดออ่ นรสเปรย้ี วจดั ใชป้ ระกอบอาหารจ�ำ พวกตม้ แกงหรอื กนิ สด ๆ และเปน็ อาหารของสตั วป์ า่ อกี หลายชนดิ –ผลเปน็ ยาสมุนไพร กนิ เปน็ ยาถา่ ยและแกป้ วดท้อง ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก ข้อควรจ�ำ : เปลอื กตน้ และก่งิ ท่ีมชี ีวติ มีนำ้�ยางสีเหลอื งข้น 174 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว
ผถู้ า่ ย พพิ ฒั น์ เกตุดี ชะมวง (Cha Muang) ผู้ถ่าย ดร.สธุ ี ดวงใจ พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Garcinia cowa Roxb. ex Choisy ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Garcinia lobulosa Wallich ex T. Anderson, G. roxburghii Wight, G. umbellifera Roxb., G. kydia Roxb. ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : มวงสม้ (นครศรีธรรมราช); กานิ (มลาย–ู นราธิวาส); กะมวง (ใต้); หมากโมง (อดุ รธานี); มะดะ (เหนอื ) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดเล็ก ผลัดใบช่วงสั้น ๆ กิ่งมักแตกตัง้ ฉากกับลำ�ตน้ ก่งิ ออ่ นสเี ขียว เกล้ียง เปน็ มนั เปลือกนอกเรยี บหรือแตกเปน็ ร่องลึก สีคอ่ นขา้ งด�ำ เปลอื กในสีแดง ใบเดี่ยว รปู รแี กมรูปขอบ ขนานหรือรูปใบหอก ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนา แขง็ กรอบ เกลย้ี งเป็นมนั ท้ังสองด้าน ด้านบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสีออ่ นกว่า ก้านใบสนั้ สเี ขยี วหรือมว่ งแดง เรยี งตรงข้าม ยอดออ่ นสีนำ้�ตาล ใบแกก่ ่อนรว่ งสีเหลือง ดอกแยกเพศอย่ตู ่างตน้ ขนาดเลก็ สเี หลอื งหรอื ชมพอู มแดง ออกทซี่ อกใบหรอื ตามกิ่ง ดอกเพศผู้อย่รู วมกนั เป็นชอ่ ดอกเพศเมยี ออกเดย่ี ว ๆ หรอื เป็นชอ่ ผลสด รปู กลมหรือเบย้ี ว ผิวเกลี้ยงหรือมีสนั ตามยาว กลบี เลยี้ งขนาดใหญ่ติดขวั้ ผล เรียงเวยี น ก้านผลสั้น สุกสเี หลืองหรอื ส้ม เมลด็ ขนาดใหญ่เป็นเหลย่ี มมี ๓ เมล็ด พบตามป่าดิบทกุ ประเภท ปา่ สนเขา และปา่ เต็งรังระดับสงู แตกหน่อออกตามรากได้ดี มกั ขน้ึ เปน็ กลุม่ ขนาดใหญ่ ประโยชน์ : –ยอดออ่ นรสเปรยี้ ว กนิ เป็นผักสดหรือประกอบอาหารประเภทต้มแกง ผลสุกรสเปรีย้ ว อมหวานกินได้ หั่นเปน็ แวน่ ๆ ใส่ไหปลาร้าเพิม่ รสชาดและเป็นอาหารสตั ว์ปา่ เชน่ ลิงกงั –เน้อื ไมใ้ ชก้ อ่ สร้าง ใบ ผลและราก เปน็ ยาสมุนไพร ความสำ�คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก ขอ้ ควรจำ� : ทุกส่วนที่มีชีวิตมนี ้ำ�ยางสีเหลอื ง หมายเหตุ : เปน็ ชนดิ ที่ทนแล้งได้ดีที่สดุ ในสกลุ Garcinia กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุ์พืช 175
พะวา (Pha Wa) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Garcinia speciosa Wall. ชื่ออน่ื (Vernacular name) : กะวา (สุราษฎร์ธานี); วานำ้� (ตรัง); กวกั ไหม, หมากกวกั , สม้ โมงปา่ (หนองคาย); ชะมว่ ง (พิจติ ร); ขวาด (เชยี งราย); มะดะขน้ี ก (เชยี งใหม่); มะปอ่ ง (เหนือ); สารภปี ่า (กลาง, เชยี งใหม)่ ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดเล็ก ผลัดใบช่วงสน้ั ๆ เรือนยอดรปู กรวยคว่ำ� ก่ิงแตกตัง้ ฉากกับลำ�ตน้ กิง่ ออ่ นเปน็ ส่เี หลี่ยมมีสนั มนเล็ก ๆ เปลอื กนอกเรยี บ สีดำ�หรอื น�ำ้ ตาลด�ำ เปลอื กในมนี �ำ้ ยางสเี หลือง ใบเดีย่ ว รปู ขอบขนานหรือรูปรี ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บ แผ่นใบหยาบเหนียว เกลยี้ ง เปน็ มนั ทั้งสองด้าน ด้านบนสีเข้มกว่าดา้ นล่าง เสน้ ใบเรียงขนานถี่ มเี สน้ ขอบใบปิด เสน้ กลางใบนูนเดน่ ออก ด้านลา่ ง กา้ นใบสัน้ สเี ขยี ว เรยี งตรงขา้ ม ยอดอ่อนสนี ำ้�ตาลแดง ดอกแยกเพศอยู่ตา่ งต้น ออกเปน็ ช่อ กระจกุ ท่ีซอกใบ สีเหลืองอ่อน ผลกลมหรอื รปู ไข่ มตี ง่ิ ทป่ี ลายผล ฐานมีกลบี เลยี้ งติดอยู่ สุกสีแดงหรือ เหลือง เนื้อหมุ้ เมล็ดสีเหลอื ง มหี ลายเมล็ด เป็นไมช้ ั้นล่างถึงช้นั กลาง ในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดบิ ประเภทอน่ื ป่าสนเขาและป่าเบญจพรรณชนื้ ประโยชน์ : –ผลสุกรสหวานอมเปร้ียวกินไดแ้ ละเป็นอาหารของลิงกงั ชะนีมือขาวและคา่ งแวน่ ถิ่น เหนอื –เน้ือไมแ้ ข็งและหนักใชใ้ นงานกอ่ สร้างได้ดี ความสำ�คญั : ไม้หวงห้ามประเภท ก ข้อควรจำ� : ยอดอ่อนมีรสขมมาก พืชในสกลุ นีห้ ากล�ำ ตน้ หรอื ก่งิ ก้านเกดิ บาดแผล จะมนี ำ้�ยาง สีเหลอื งขน้ ซมึ ออกมาเปน็ เม็ด ๆ 176 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว
มะดะขี้หนอน (Ma Da Khi Non) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Garcinia thorelii Pierre ชือ่ อื่น (Vernacular name) : กอ๊ ก (พษิ ณุโลก); คากขมน้ิ (ล�ำ ปาง, เชยี งราย); มะปอ่ งต้น (เหนือ) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไม้ตน้ ไมผ่ ลัดใบ กิ่งแตกตั้งฉากกับล�ำ ต้น ก่งิ ก้านอ่อนเป็นสีเ่ หล่ียมมสี นั มนเล็ก ๆ เกลย้ี ง เปลือกนอกหนา เรียบหรอื แตกเป็นสะเกด็ เลก็ ๆ สดี �ำ หรือสีนำ้�ตาลเข้ม เปลอื กในมนี �ำ้ ยาง สีเหลือง ใบเด่ยี ว รูปขอบขนานแกมรปู หอก ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บหรอื เปน็ คลน่ื แผน่ ใบหนา หยาบเหนยี ว เกล้ียงเป็นมันทงั้ สองด้าน ด้านบนสเี ขม้ กว่าด้านลา่ ง เส้นกลางใบนูนออกดา้ นลา่ ง ก้านใบสน้ั สเี ขยี ว เรียงตรงขา้ มหรือเยอื้ ง ยอดอ่อนสีน�ำ้ ตาลแดง ดอกแยกเพศอยู่ต่างตน้ สีเหลือง กลิ่นหอม ออกเปน็ ชอ่ กระจุกท่ีซอกใบ ผลกลมหรือรปู ไข่ มจี ุกที่ปลายผล ผวิ เกล้ยี งเป็นมนั สุกสีแดง หรอื สสี ม้ เนื้อหมุ้ เมล็ดสเี หลือง เปน็ ไมช้ นั้ ล่างถึงชั้นกลางในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดิบประเภทอืน่ และ ปา่ เบญจพรรณชน้ื ประโยชน์ : –ผลสุกรสเฝ่ือนเปน็ อาหารของชะนธี รรมดา คา่ งแวน่ ถน่ิ เหนอื ลิงหลายชนิด และนกอกี หลายชนิด –เนอื้ ไม้ใช้ก่อสร้าง ยางใช้ย้อมผา้ ความสำ�คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก ขอ้ ควรจ�ำ : ไมใ้ นสกุลน้ีหากล�ำ ตน้ หรือก่ิงก้านเกดิ บาดแผล จะมีน้ำ�ยางสีเหลอื งข้นซมึ ออกมาเป็นเมด็ ๆ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 177
มะดะหลวง (Ma Da Luang) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Garcinia xanthochymus Hook. f. ex T. Anderson ชือ่ พ้อง (Synonym) : Xanthochymus pictorius Roxb. ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : จะคา้ ส่า (กะเหร่ียง–แมฮ่ อ่ งสอน); มะดะ (เหนอื ); หมากโมง (อุดรธานี) ชื่อสามัญ (Common name) : Egg Tree ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ ไมต้ ้นไมผ่ ลดั ใบ เรอื นยอดรูปกรวยคว�ำ่ กง่ิ อ่อนสีเขยี วเข้มเปน็ เหล่ยี มมสี นั ทู่ มัก แตกตง้ั ฉากกับล�ำ ต้น เปลอื กนอกเรียบ สีด�ำ หรอื นำ้�ตาลดำ� เปลอื กในสเี หลอื ง ใบเด่ยี ว รูปขอบขนาน ขนาดใหญ่ ปลายมน โคนกลมป้าน ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา เหนียว เกลีย้ งเปน็ มันทั้งสองด้าน ดา้ นบน สีเขียวเข้ม ด้านล่างสอี ่อนกวา่ กา้ นใบสั้น เรียงตรงขา้ ม เสน้ ใบเรยี งขนานถี่ มเี สน้ ขอบใบชดั เจน ใบแก่ ก่อนรว่ งสเี หลือง ดอกแยกเพศอยูต่ า่ งต้น สขี าว ออกเด่ยี ว ๆ หรอื เปน็ ช่อกระจุกทีซ่ อกใบ ผลสด รปู กลม เกลีย้ ง ขนาดค่อนขา้ งใหญ่ สกุ สีเหลอื ง เมลด็ ขนาดใหญ่มี ๓–๕ เมลด็ เนื้อหุ้มเมล็ดสเี หลอื ง เปน็ ไม้ ชั้นกลางในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ประเภทอ่นื ในหุบเขาหนิ ปนู และรมิ หว้ ยในป่าเบญจพรรณชนื้ หรือปา่ รมิ แม่น้�ำ ใหญ่ ประโยชน์ : –เปลอื กใหส้ นี �ำ้ มนั มะกอกใช้ย้อมเสอ้ื ผ้า –ยอดอ่อนและผลสกุ กนิ ไดร้ สเปรี้ยวและเป็นอาหารของสัตวป์ า่ หลายชนดิ ความส�ำ คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก ข้อควรจำ� : ทุกสว่ นท่มี ชี วี ิตมนี �ำ้ ยางสีเหลืองขน้ 178 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว
ปรก (Prok) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ HAMAMELIDACEAE (ALTINGIACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Altingia excelsa Noronha ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Altingia siamensis Craib ชื่ออน่ื (Vernacular name) : กระตุก (นครราชสมี า); ตำ�ยาน, ยาน (ชยั ภมู ิ); สบ, หอม (เหนอื ); สะตือ (ตะวนั ออก) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงส้ัน ๆ ล�ำ ต้นเปลาตรง แตกกิง่ สูง มพี พู อนตำ่� ๆ เปลือกนอกหนา แตกเป็นสะเกด็ ขนาดใหญ่สีเทาหรือขาวหมน่ ใบเด่ียว รปู รหี รือรูปไข่ ปลายเรยี ว แหลม โคนมนหรือสอบแคบ ขอบหยกั มน แผน่ ใบเกลี้ยงทั้งสองดา้ น ด้านบนสเี ข้มกวา่ ด้านลา่ ง ก้านใบ เรียวยาว เรียงเวยี นเป็นกระจกุ ยอดอ่อนและใบอ่อนสีนำ้�ตาลแดง มีกล่ินหอม รปู ขอบขนานหรือรปู ใบหอกกลับ ขอบหยกั ซ่ีฟนั แหลม ก้านใบสนั้ ดอกแยกเพศสแี ดงออ่ น ๆ ออกเปน็ ช่อกระจุกแน่นท่ีซอกใบ ใกลป้ ลายก่งิ ผลขนาดเลก็ แข็งอัดแนน่ เปน็ ชอ่ กลม ปลายผลมีตงิ่ แหลม เม่อื แกแ่ ตกออก มีเมลด็ จำ�นวน มาก เมล็ดมีปกี บาง ๆ เป็นไม้ช้ันบนในป่าดิบเขา ป่าดบิ ช้ืนระดับสูงและป่าดิบเขาก่งึ พรุ ในบางพ้นื ทีท่ ี่ เปน็ ป่าคอ่ นขา้ งราบจะเหน็ ขน้ึ เป็นกลุ่มขนาดใหญ่มาก ประโยชน์ : –เนอ้ื ไม้มกี ลิ่นหอม นิยมใชท้ �ำ เครือ่ งเรอื น โลงศพ และโครงสร้างภายในอาคาร –ยอดอ่อนมีกลน่ิ หอม รสเผด็ กินเปน็ ผักสด –ตามล�ำ ต้นขนาดใหญ่มักเกดิ รโู พรงเป็นท่ีอยอู่ าศัยของสตั ว์ปา่ หลายชนดิ ความสำ�คญั : ไม้หวงหา้ มประเภท ก/กระจายมาจากเขตอบอ่นุ /หายาก/ถูกคุกคามในสภาพธรรมชาติ หมายเหตุ : พืชสกุลนี้ ในประเทศไทยมีชนิดเดียว กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพันธุพ์ ืช 179
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401