Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Description: Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Search

Read the Text Version

ตอ่ ไส้ (To Sai) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Allophylus cobbe (L.) Raeusch. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Allophylus betongensis Craib, A. eustachys Radlk., A. montanus F. N. Williams, A. sootepensis Craib, A. villosus (Roxb.) Blume, A. pallidus Radlk., Rhus cobbe L. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : จา๊ ตอง (ล�ำ พนู ); เพี้ยฟาน (เชยี งใหม่); ตานขโมย (กาญจนบุร)ี ; ตาลอลี น้ิ (สระบรุ ี) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมพ้ มุ่ ถงึ ไม้ต้นขนาดเลก็ ผลัดใบชว่ งสัน้ ๆ กิง่ กา้ นออ่ นมีขนนุ่มคลมุ หนาแนน่ เปลือก นอกเรยี บ สีนำ้�ตาลอมเทา มชี อ่ งอากาศเป็นป่มุ นูน ใบประกอบมใี บย่อย ๓ ใบ ใบกลางมีขนาดใหญ่ และยาวกวา่ ใบคลู่ ่าง กา้ นใบยาว เรยี งสลบั หรือเรยี งเวียนหา่ ง ๆ ใบยอ่ ยรูปรีหรือรูปไข่ ปลายทูห่ รอื เรียวแหลม โคนเบยี้ วหรือแหลม ขอบเรียบหรอื หยักตง้ั แต่กลางใบขน้ึ ไป แผ่นใบบาง ด้านบนเกลี้ยง สเี ข้ม ดา้ นลา่ งสีอ่อนกวา่ และมขี นส้นั คลมุ ประปราย กา้ นใบย่อยแยกออกจากจดุ เดียวกัน เส้นใบ นูนออกดา้ นลา่ งเด่นชัด ใบแก่ก่อนรว่ งสีเหลอื ง ชอ่ ดอกเปน็ ชอ่ หางกระรอกยาวออกท่ีซอกใบ ดอกแยกเพศ ขนาดเล็ก สขี าว ผลรปู ไข่กลับสีสม้ หรือสแี ดง เปน็ ไม้ช้ันล่างในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดิบประเภทอืน่ ป่าเบญจพรรณชืน้ และปา่ สนเขา ประโยชน์ : –ใบ เปลอื ก และรากเป็นยาสมุนไพร –ผลสกุ กนิ ได้มีรสเปรย้ี ว –เนอ้ื ไม้ใช้ทำ�ด้ามอปุ กรณต์ ่าง ๆ 330 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว

ส้มลิงแกนเกลยี้ ง (Som Ling Kaen Kliang) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Guioa diplopetala (Hassk.) Radlk. ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเลก็ ผลดั ใบชว่ งส้ัน ๆ เปลอื กนอกแข็งบาง เรยี บ สนี ้ำ�ตาลอมเทา เปลือกในสีน�้ำ ตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวยี น ใบย่อยรปู รหี รือรูปใบหอก ปลาย และโคนแหลม ขอบเรยี บหรือเป็นคล่นื แผน่ ใบบาง เกลย้ี งทง้ั สองดา้ น กา้ นใบสั้น เรยี งตรงข้าม ยอดและใบอ่อนสชี มพูถึงแดง ใบแก่ก่อนร่วงสเี หลือง ช่อดอกออกท่ีซอกใบใกล้ปลายก่ิง ดอก แยกเพศขนาดเลก็ ผลค่อนข้างกลมมี ๓ พู ปลายเป็นต่ิงแหลม สกุ สแี ดง เม่ือแก่เปลือกแตกเปน็ ๓ พู เน้อื หมุ้ เมลด็ สมี ว่ งถงึ แดงคล้ำ� ก้านผลสีแดง เป็นไม้เรือนยอดชนั้ กลางในป่าดบิ เขาและพบได้ ประปรายในปา่ ดิบแลง้ ประโยชน์ : –ผลสกุ เป็นอาหารของนกปรอดโอง่ เมืองเหนอื นกปรอดเหลอื งหัวจุก นกปรอดหัวโขน และนกปรอดหวั สเี ขมา่ –เนื้อไมแ้ ขง็ ท�ำ ด้ามเครอื่ งมือทางการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธุ์พชื 331

หอมไกลดง (Hom Klai Dong) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Harpullia arborea (Blanco) Radlk. ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Harpullia condorensis Piere, H. imbricata Thw., H. pedicellaris Radlk., H. tomentosa Ridley, Ptelea arborea Blanco ชื่ออนื่ (Vernacular name) : กระโปกลงิ (สระบุรี); หมังขะอุย, ฮางแกน (สโุ ขทยั ) ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้ตน้ ไม่ผลดั ใบ มักมีพูพอนขนาดเล็ก กง่ิ กา้ นออ่ นมักมีขนรูปดาวคลุม เปลอื ก นอกเรียบเกล้ียงหรือเป็นปมุ่ ปม สีน้ำ�ตาลหรอื เทา เปลือกในสีน�ำ้ ตาลออ่ น ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ กา้ นใบยาว เรยี งเวยี น ใบย่อยรูปไขห่ รือรูปรี ปลายแหลมถึงเรยี วแหลม โคนมนหรอื เบีย้ ว ขอบเรียบ แผ่นใบบาง เกลย้ี งหรอื มีขนคลมุ บาง ๆ ตามเส้นใบ ด้านบนสีเข้มกวา่ ดา้ นล่าง กา้ นใบย่อยสนั้ มาก เรียงเย้ืองกนั ยอดอ่อนมขี นสีน้ำ�ตาลคลมุ หนาแน่น ช่อดอกออกท่ีซอกใบใกล้ปลายกง่ิ หอ้ ยลง มีดอกจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเล็ก สขี าวอมเหลอื ง ผลรปู ไขก่ ว้างคลา้ ยลกู อณั ฑะสนุ ัข ปลาย เป็นต่ิงสนั้ ผวิ บางเกลย้ี งมี ๒ พู ผลสุกสเี หลืองสม้ เมื่อแก่แตกตามตะเข็บออกเปน็ ๒ เสยี่ ง ก้านผล เรียวยาว เมล็ดสีดำ�หรือน้ำ�ตาลเป็นมนั มีเยอื่ สีส้มบาง ๆ หุม้ ทโี่ คนเมล็ด เปน็ ไมช้ น้ั ลา่ งถงึ ช้ันกลางใน ปา่ ดบิ เขา ป่าดิบประเภทอน่ื และริมห้วยในป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –เมลด็ ของผลสุกเป็นอาหารของนกหลายชนดิ –ใบเปน็ อาหารของชา้ งป่า –ราก เปลือก เมล็ดและแก่น เป็นยาสมุนไพร 332 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว

หงอนไก่ดง (Ngon Kai Dong) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Harpullia cupanioides Roxb. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Harpullia cochinchinensis Pierre, H. confusa Blume ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : ขางขาว, พริกปา่ (ชลบรุ )ี ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ ้นไมผ่ ลดั ใบ ลำ�ต้นมีพูพอนขนาดเล็ก เปลอื กนอกบาง เรยี บหรือแตกเป็น สะเก็ดขนาดเลก็ สเี ทาอมน�ำ้ ตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรียงเวียน ใบย่อยรูปรี ปลาย แหลม โคนเบ้ียว ขอบเรียบ แผ่นใบบาง เกลีย้ ง ดา้ นบนสีเขม้ ด้านลา่ งสอี อ่ นมีขนคลุมบาง ๆ ก้านใบสั้น เรียงตรงขา้ มหรือเย้ืองกนั ยอดออ่ นมีขนสน้ั สนี ำ้�ตาลคลุมหนาแนน่ ชอ่ ดอกออกที่ซอกใบ ใกลป้ ลายกงิ่ ห้อยลง มีดอกย่อยจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเลก็ ผลมี ๒ พู รูปกลมคล้ายนำ้�เตา้ มกี ลีบเล้ียงรองรบั ผลออ่ นมขี นสีเหลืองออ่ นคลมุ หนา สกุ สเี หลอื งอมเขียว เมือ่ แกแ่ ตกตาม ตะเขบ็ ออกเป็น ๒ เส่ยี ง มีเนอื้ สีเหลืองหรือแดงส้มหุ้มเมล็ด เมล็ดแขง็ สดี �ำ เป็นมนั พบในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ประเภทอนื่ และริมห้วยในป่าเบญจพรรณชืน้ ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของนกหลายชนดิ –เนื้อไมใ้ ช้กอ่ สรา้ งภายใน หมายเหตุ : ลักษณะของใบและตน้ คล้ายคลงึ กับหอมไกลดงมาก ถา้ หากไม่เห็นผลจะจำ�แนกยาก มาก โดยชนิดนีม้ ีแผน่ ใบหนากวา่ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธุพ์ ืช 333

พะบา้ ง (Pha Bang) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Mischocarpus pentapetalus (Roxb.) Radlk. ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Mischocarpus grandis Radlk. ชอ่ื อื่น (Vernacular name) : ส้มสรอ้ ยใหญ่ (เลย) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไมต้ ้น ผลัดใบชว่ งสัน้ ๆ เปลอื กนอกบาง เรียบ สีนำ้�ตาลอมเทา เปลอื กในสี น�้ำ ตาลหรอื ชมพู ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน ใบย่อยรูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนหรือเบยี้ ว ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา เหนยี วคล้ายแผ่นหนงั เกล้ยี งทงั้ สองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ด้านล่างสคี รมี และมีต่อมหดู ในซอกเสน้ แขนงตอ่ กับเสน้ กลางใบ กา้ นใบสัน้ เรียง เย้อื งกนั ใบแก่ก่อนรว่ งสีเหลือง ชอ่ ดอกขนาดใหญอ่ อกปลายก่งิ ดอกแยกเพศสีขาวอมเขยี ว ผล ค่อนข้างกลม ผิวเกล้ียงเป็นมัน ปลายมตี งิ่ แหลมขนาดเลก็ สกุ สเี ขยี วเข้ม เม่อื แกป่ ลายผลปริแตก ออกเป็น ๒–๓ พู เนื้อหมุ้ เมลด็ สชี มพูหรอื สมี ่วงมี ๒–๓ เมล็ด พบในปา่ ดบิ เขาท่ีคอ่ นข้างโปรง่ ปา่ ดบิ ประเภทอ่ืนและป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของพญากระรอกดำ� กระเล็นขนปลายหูส้นั กระรอกหลากสี นก โพระดกคอสีฟา้ เคราด�ำ นกโพระดกหูเขียว นกปรอดเหลอื งหัวจุก นกปรอดเล็กตาขาวและนกปรอดสี ขี้เถา้ –เนอ้ื ไม้ใชท้ ำ�ดา้ มเครอื่ งมอื ทางการเกษตร 334 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว

ลำ�ไยปา่ (Lam Yai Pa) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ SAPINDACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dimocarpus longan Lour. var. longan ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : เจ๊ะเลอ (กะเหรีย่ ง–แมฮ่ ่องสอน); ลำ�ไย (ท่วั ไป) ช่ือสามัญ : Longan ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมต้ น้ ผลัดใบช่วงสนั้ ๆ โคนตน้ มักมีพูพอน เปลอื กนอกหนาแตกเปน็ สะเก็ด แบบคอร์กหรือร่องลึกสนี �ำ้ ตาล เปลอื กในสีน�้ำ ตาลแดง กระพสี้ ีขาว ใบประกอบแบบขนนกปลาย คู่หรอื ค่ี เรยี งเวยี น ใบย่อยรปู รแี กมรปู ขอบขนานหรอื รูปใบหอกกลับ ปลายแหลม โคนมนหรอื เบีย้ ว ขอบเรยี บหรอื เปน็ คลืน่ แผ่นใบหนา ดา้ นบนเกล้ียงสีเขียวเข้ม ดา้ นล่างมีคราบสขี าวนวล ก้านใบสัน้ เรยี งตรงขา้ มหรือเยอื้ งกนั ใบแก่ก่อนรว่ งสีเหลอื ง ช่อดอกขนาดใหญอ่ อกปลายก่ิง ดอกแยกเพศ สเี หลืองหรอื สีน้ำ�ตาล ผลแบบเมล็ดแขง็ คอ่ นขา้ งกลม ผิวเปน็ ปมุ่ ปมเลก็ ๆ และ หยาบ ผลสุกสีเขียวอมเหลือง เมลด็ แข็งสดี �ำ เป็นมัน มเี นื้อหุม้ เมลด็ สีขาวบางมาก รสจืด ลอ่ น ง่าย มีเมล็ดเดยี วพบในป่าดบิ เขาทค่ี ่อนข้างโปรง่ ปา่ ดบิ ประเภทอืน่ และป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ผลสุกกนิ ได้และเป็นอาหารของชะนมี ือขาว ค่างแวน่ ถิ่นเหนือ พญากระรอกด�ำ นกโพระดกคอสฟี ้า นกโพระดกหูเขยี ว นกปรอดเหลอื งหวั จกุ และนกปรอดเลก็ ตาขาว –ใบเป็นอาหารของช้างป่า –ใช้เปน็ ตน้ ตอการต่อกงิ่ ล�ำ ไยบา้ น กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธพุ์ ชื 335

ผถู้ ่าย วุฒินนั ท์ พวงสาย (Mon ThมiaณnเฑSียaรสYaยmาม) พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ SCROPHULARIACEAE (LINDERNIACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Torenia siamensis T. Yamaz. ลักษณะท่วั ไป : เปน็ พืชล้มลกุ อายปุ ีเดียว ล�ำ ตน้ ตงั้ ตรงสงู ได้ ๒๐–๖๐ ซม. กง่ิ ก้านแตกหา่ ง ๆ ใบเด่ยี ว รปู ใบหอกหรือรปู ใบหอกแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนหรือทู่ ขอบหยักซฟี่ นั หา่ ง ๆ แผ่นใบ บาง เกล้ียงทัง้ สองดา้ น มีขนคลมุ บาง ๆ เฉพาะตามเส้นใบ ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ดา้ นล่างสอี ่อนกวา่ กา้ นใบสน้ั มากหรือไมม่ ี เรียงตรงขา้ มสลบั ตงั้ ฉาก ดอกสีม่วง ตรงกลางดอกมีสีเขม้ ออกเป็นช่อ กระจุกปลายก่ิง ผลรูปทรงกระบอกแบบแห้งแตก เมล็ดขนาดเลก็ รปู รี พบตามพื้นปา่ โปรง่ ใน ปา่ ดบิ เขาและป่าสนเขา นอกจากน้ยี งั พบตามบริเวณทุง่ หญ้าและป่าทงุ่ ในระดบั สูง ประโยชน์ : ดอกมีความสวยงามนา่ จะน�ำ มาพฒั นาปลกู เปน็ ไม้ประดบั ในรม่ ความสำ�คญั : หายาก/ถน่ิ เดียว 336 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น้ำ�หนาว

ราชดดั (Rat Cha Dat) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ SIMAROUBACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Brucea javanica (L.) Merr. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Brucea amarissima Desv. ชอื่ อนื่ (Vernacular name) : กาจับหลกั , เท้ายายม่อมนอ้ ย, มะขี้เหา, มะดคี วาย, ยาแก้ฮากขม (เชยี งใหม)่ ; ดีคน (กลาง); พญาดาบหัก (ตราด); เพยี ะฟาน (นครราชสีมา); มะลาคา (ปัตตานี); กะดัด, ฉะดดั (ใต)้ ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้พุ่มขนาดเลก็ ผลดั ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรยี งเวยี นเป็นกระจกุ ที่ ปลายกง่ิ ใบยอ่ ยรูปรหี รือรูปไข่ ปลายแหลม โคนสอบหรอื เบย้ี ว ขอบหยกั ซีฟ่ ัน แผ่นใบมขี นคลุมบาง ๆ หรอื เกล้ยี งทัง้ สองดา้ น ดา้ นบนสีเข้มกว่าดา้ นล่าง กา้ นใบยอ่ ยสน้ั เรยี งตรงข้าม ใบสุดท้ายมีขนาดใหญ่ ที่สดุ ใบแก่ก่อนร่วงสีเหลอื ง ช่อดอกขนาดใหญ่โปร่ง ออกท่ซี อกใบและปลายก่ิง มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ผลแบบเมลด็ แขง็ รูปทรงกลมหรอื ทรงรี มเี นื้อฉ่ำ�น�ำ้ กา้ นช่อผลยาว สกุ สมี ว่ งดำ� เปน็ ไม้พ้นื ล่างใน ปา่ ดิบทุกประเภทและพบประปรายในปา่ ผลัดใบ ประโยชน์ : –ทงั้ ต้นเปน็ ยาสมุนไพร –รปู ทรงตน้ สวยเหมาะปลกู เปน็ ไมป้ ระดบั ขอ้ ควรจ�ำ : พืชในวงศ์นีท้ ุกชนดิ มรี สขม กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 337

กอมขม (Kom Khom) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ SIMAROUBACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Picrasma javanica Blume ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Picrasma andamanica Kurz. ex A. W. Benn., P. nepalensis A. W. Benn. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : กะล�ำ เพาะตน้ , หมาชล (ชลบุรี); หงนี ำ้�, หยนี ้ำ�ใบเลก็ (ตรัง); ดำ� (นครศรีธรรมราช); ดีงูต้น (พิษณุโลก); ตะพ้านกน้ (เชยี งใหม่); เนยี ปะโจะ (กะเหร่ยี ง–แมฮ่ ่องสอน); มะปอจอ (กะเหรี่ยง–เหนือ); หมกั กอม (ฉาน–เชยี งใหม่) ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ตน้ ขนาดกลางไม่ผลัดใบ ลำ�ต้นมักบดิ เป็นหลบื รอ่ งขนาดเล็ก เปลอื กนอก บาง เรยี บ สเี ทา ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรยี งสลับ ใบย่อยรูปขอบขนานหรอื รปู รี ปลาย เรียวแหลม โคนแหลมหรอื มน ขอบเรยี บหรอื เป็นคล่นื แผน่ ใบบาง เกลยี้ งเปน็ มันท้งั สองดา้ น ด้านบนสเี ขียวเข้มกว่าดา้ นลา่ ง ก้านใบยอ่ ยสน้ั มาก เรียงตรงข้าม ยอดอ่อนสนี �ำ้ ตาลแดง มหี ูใบ ขนาดใหญ่ ช่อดอกออกที่ซอกใบใกลป้ ลายก่ิง ดอกแยกเพศ สีเขยี วอมเหลอื ง ผลกลม สีเขียวเทา หรอื สีฟา้ มเี นื้ออมุ้ น�ำ้ บาง ๆ กลบี เลีย้ งสเี ขยี ว เปลี่ยนเป็นสีมว่ งและเปล่ียนเปน็ สีดำ�เมือ่ แก่ ผลแก่ผวิ แห้งยน่ มีลวดลายเป็นร่างแห ผลออกเปน็ กลมุ่ ๆ ละ ๒–๔ ผล เมลด็ แข็งมีเมลด็ เดียว พบใกลร้ ิมหว้ ยในป่าดบิ เขา ปา่ ดิบทุกประเภทและพบประปรายในปา่ เบญจพรรณชื้น ประโยชน์ : เปลือกตน้ และใบเป็นยาสมนุ ไพรและยาฆา่ แมลง ข้อควรจำ� : พืชในวงศน์ ี้ทุกชนิดมรี สขม หมายเหตุ : เปลอื กมีสาร quassiin ให้รสขมมาก 338 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น้ำ�หนาว

ดบั ยาง (Dap Yang) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ SOLANACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Solanum erianthum D. Don ช่ืออื่น (Vernacular name) : ขากะอ้าย, ขาตาย, หคู วาย (ใต)้ ; มง่ั พะไป, ล้มิ เม่อเจอ้ (กะเหรย่ี ง–แม่ฮ่องสอน); ฝา่ แป้ง (เหนอื ); ฉับแปง้ (สโุ ขทัย); สะแปง้ (สิงห์บรุ )ี ; มะเขอื ดง (ขอนแกน่ ); ส่างโมง (เลย) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ กึ่งไม้ตน้ ขนาดเล็ก ผลัดใบ กิง่ อ่อนและใบออ่ นมขี นน่มุ รูปดาวสีขาวคลุม หนาแน่น ใบเดี่ยว รปู ไข่กลับ ปลายแหลม โคนทู่หรอื แหลม ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา มขี นน่มุ รปู ดาว สขี าวคลุมหนาแนน่ ท้งั สองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี ว ด้านลา่ งสขี าวนวลเหมอื นมฝี ุน่ แป้งคลุม กา้ นใบยาว เรยี งเวียน เสน้ ใบนนู ออกดา้ นล่าง ใบแกก่ ่อนร่วงสเี หลือง ชอ่ ดอกออกปลายกงิ่ ดอกสีขาว ผลกลม มเี นอ้ื หลายเมล็ด มีฐานรองผล ผวิ ผลมีขนนมุ่ สนี ำ้�ตาลคลุม เม่ือแกเ่ กลี้ยง สุกสเี หลือง พบตามพืน้ ที่ รกร้างหรือเปดิ โล่งในป่าดิบเขา ป่าดบิ แล้งและปา่ ผลัดใบที่คอ่ นขา้ งชื้น ประโยชน์ : –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกินผลไมห้ ลายชนดิ –ใบและผลเป็นอาหารของช้างป่า หมายเหตุ : ลกั ษณะดอกและผลคล้ายมะเขอื พวง (Solanum torvum Sw.) มาก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 339

มะกอกพราน (Ma Kok Phran) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ STAPHYLEACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Turpinia pomifera (Roxb.) DC. ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : ขาเป่ีย (น่าน); โคนาเค่ (กะเหร่ยี ง–เชยี งใหม่); ชอเส่ (กะเหรยี่ ง–แม่ฮอ่ งสอน); มะกว้ ย, มะกอกฟาน (เหนอื ); ลกู อา้ (ภูเก็ต); รวก (ตรงั ) ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไม้ตน้ ขนาดเล็กไมผ่ ลัดใบ เรือนยอดโปร่ง เปลอื กนอกเรยี บหรือแตกเปน็ สะเก็ด สเี ทาอมน�้ำ ตาล เปลอื กในสนี ำ้�ตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงตรงข้ามสลับต้ังฉาก ใบย่อย รปู รีหรือรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนทูห่ รือสอบแคบ ขอบจกั ฟนั เลื่อยไมส่ ม�ำ่ เสมอ แผ่นใบหนา เกลยี้ งเปน็ มันทั้งสองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ ดา้ นล่างสอี ่อนกว่า กา้ นใบสัน้ เรยี งตรงข้าม ยอดและ ใบออ่ นสีมว่ ง ชอ่ ดอกออกที่ซอกใบหรือปลายก่งิ มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกขนาดเลก็ สเี หลอื งออ่ น หรือสีครีม ผลสดกลมหรือบิดเบย้ี ว ผิวเรียบเกลย้ี ง เปลือกหนา สุกสีเหลอื งอมเขยี ว กา้ นผลยาว เป็นไมช้ ั้นลา่ งถึงชน้ั กลางในปา่ ดบิ เขา ป่าสนเขา ป่าดิบประเภทอ่นื และพบประปรายในป่าเบญจพรรณชน้ื ประโยชน์ : –ยอดอ่อนและใบอ่อนท�ำ ใหส้ ุกกนิ เปน็ ผกั –ผลสกุ เป็นอาหารของเก้งและกวาง –ผลใชย้ อ้ มสตี อกขา้ วใหม้ ีสีดำ� ข้อควรจำ� : คลา้ ยม่วงกอ้ ม (Turpinia cochinchinensis (Lour.) Merr.) แตม่ ่วงกอ้ มมขี อบใบ หยกั สม�ำ่ เสมอและมเี นอื้ ผลบางกว่า 340 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 341

ทุเรยี นเถา (Thu Rian Thao) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ STERCULIACEAE (MALVACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Byttneria aspera Collebr. ex Wall. ช่ือพ้อง (Synonym) : Byttneria grandifolia A. DC., B. integrifolia Lace, B. siamensis Craib ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : สาเดอ่ื (เหนือ); ทเุ รยี นจุ๊บ (ตะวันออกเฉียงใต้) ลักษณะท่วั ไป : เป็นไมเ้ ถา ผลดั ใบ เปลอื กนอกมหี นามสน้ั ๆ ขนาดเลก็ สากคาย ใบเด่ยี ว รปู ไขถ่ งึ รูปขอบขนานหรอื รปู หวั ใจ ปลายแหลม โคนเว้า ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนาสาก ด้านบนสีเขยี วเขม้ เกลี้ยง หรอื มีขนบาง ๆ ด้านลา่ งสเี ขยี วนวล กา้ นยาวมาก เรยี งสลับ เส้นใบนนู ออกด้านลา่ ง ดอกแยกเพศ ออกเปน็ ช่อซร่ี ่ม ทีป่ ลายกง่ิ หรอื ท่ซี อกใบใกล้ปลายก่งิ ผลรปู ทรงกลมแบบแหง้ ผวิ เกลี้ยง มหี นามรูป กรวยแข็งท่ัวเปลอื ก เมอ่ื แก่สดี �ำ และแตกออกเปน็ ๕ เสี่ยง กา้ นผลยาวมาก เมลด็ มปี ีกมี ๕ เมล็ด พบ ขึ้นคลมุ ตามทโ่ี ล่งแจ้งในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ แลง้ ประโยชน์ : เปลอื กเหนียวลอกทำ�เชอื กและเปน็ อาหารช้างปา่ หมายเหตุ : ในประเทศไทย พืชในสกุลน้มี ี ๔ ชนดิ 342 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว

ผูถ้ ่าย พิพฒั น์ เกตดุ ี สะเตา้ (Sa Tao) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ STERCULIACEAE (MALVACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Pterospermum grandiflorum Craib ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : ตองเตา่ ขน (เหนือ) ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงส้ัน ๆ เรือนยอดโปรง่ ลำ�ตน้ เปลาตรง มีพูพอน เปลอื ก นอกหนา สขี าวอมเทาลอกเปน็ แผ่นได้ ใบเดย่ี วรปู รา่ งไม่แนน่ อนแต่มักจะเปน็ รูปรหี รือรปู ไข่ ปลายใบ ขยายกว้างเวา้ เป็นหลายพู (อยา่ งนอ้ ยมี ๓ พ)ู โคนมนหรือเว้าเลก็ นอ้ ย ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา ดา้ นบน สเี ขียวเขม้ เกล้ียงหรอื มีขนบาง ๆ ด้านล่างสเี ขยี วนวล มขี นสีน้ำ�ตาลคลุม โดยเฉพาะตามเสน้ ใบมีมากเปน็ พเิ ศษ ก้านใบสนั้ เรยี งสลบั ดอกขนาดใหญ่ออกเดีย่ ว ๆ ท่ซี อกใบใกลป้ ลายกิง่ กลบี ดอกแคบสขี าว ผล รปู ไขห่ รอื รปู มนรีขนาดใหญ่ ปลายปา้ นหรือแหลมมี ๕ สัน แต่ละพมู ีเมล็ด ๓–๕ เมล็ด เมื่อแกส่ ีด�ำ ปลายผลปรแิ ตกออกตามตะเขบ็ เมล็ดรปู ไต มปี กี ดา้ นเดียว พบข้ึนตามที่โล่งแจ้งในปา่ ดิบทัว่ ไป ประโยชน์ : –เปลอื กมเี ส้นใยเหนยี วลอกท�ำ เชือก –เนือ้ ไมใ้ ชก้ อ่ สร้างภายในและท�ำ ไมแ้ บบ ความส�ำ คญั : หายาก/ถน่ิ เดยี ว/ไมห้ วงหา้ มประเภท ก/ถกู คุกคามในธรรมชาติ ขอ้ ควรจ�ำ : กลา้ ไม้ใบมกั มขี นาดใหญ่มากรปู คอ่ นขา้ งกลม ก้านใบติดเกอื บกลางแผ่นใบ กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพันธุพ์ ืช 343

ปอขนนุ (Po Kha Nun) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ STERCULIACEAE (MALVACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Sterculia balanghas L. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Sterculia angustifolia Roxb., S. rubiginosa Vent., S. ensifolia Mast. ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : พวงกำ�มะหยี่ (เลย); มกั ลน้ิ อาง (เชยี งใหม,่ เลย); ปอแดงดง (เหนือ); ขมิ้นแดง (ภูเก็ต); ส�ำ รองซลั (โซง้ –จันทบุรี); ส�ำ โรง (จันทบรุ )ี ; ช้าสามแกว้ , ปอคำ�, ปอฟาน (ใต)้ ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นไม้พมุ่ กงึ่ ไมต้ ้นขนาดเลก็ ผลดั ใบ เปลือกนอกบางสีนำ้�ตาลหรอื สคี รีมลอก เป็นแผ่นได้ มีช่องอากาศสีน้ำ�ตาลขนาดใหญ่ ใบเดี่ยว รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคน มนหรอื เว้า ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา มขี นส้นั สนี �ำ้ ตาลคลุมประปรายท้ังสองด้าน ด้านบนสีเขม้ กว่าดา้ นล่าง รอยต่อระหวา่ งก้านใบกับโคนใบเป็นปม กา้ นใบยาวท�ำ มุมกับแผ่นใบ เรียงเวยี น เป็นกระจกุ ที่ปลายกิ่ง เสน้ ใบนนู ออกด้านลา่ ง ใบออ่ นมขี นสั้นสีทองถงึ น�ำ้ ตาลคลมุ หนาแนน่ ช่อดอก ออกทซี่ อกใบใกล้ปลายกง่ิ ห้อยลง มดี อกยอ่ ยจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศอยตู่ า่ งต้น สชี มพูหรอื สแี ดง ปลายกลีบงุม้ ผลแห้งเปน็ ฝัก ปลายแหลม มีขนสน้ั ละเอยี ดคล้ายก�ำ มะหย่ีสีเหลอื งคลุม ออกบนก้านช่อรว่ ม เม่ือแกเ่ ปลี่ยนเป็นสีแดงสด แตกออกตามตะเขบ็ ดา้ นเดียว ก้านผลร่วมยาว เมล็ดกลมแข็งสดี �ำ เป็นมันมี ๑–๓ เมลด็ เป็นไม้ช้นั ลา่ งในปา่ ดบิ เขาทค่ี ่อนข้างโปรง่ และป่าดบิ ประเภทอนื่ ประโยชน์ : –ดอกและผลสสี วยงามและเปน็ ต้นไม้ขนาดเล็กรูปทรงสวยงามเหมาะปลูกเป็นไมป้ ระดบั –เปลอื กมเี ส้นใยเหนียวลอกท�ำ เปน็ เชือกได้ ข้อควรจำ� : คลา้ ยปอแดง (Sterculia guttata Roxb.) โดยปอแดงเป็นไมต้ ้นและช่อดอกจะตง้ั ข้ึน 344 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-น้�ำ หนาว

ผู้ถ่าย ภรู ิทรรศน์ บดุ ดา ปอผ่าสาม (Po Pha Sam) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ STERCULIACEAE (MALVACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Sterculia lanceolata Cav. var. lanceolata ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Sterculia tonkinesis A.DC. ชื่ออืน่ (Vernacular name) : กะลแู ปลบิ า (มาเลเซยี –นราธิวาส); หงอนไกห่ ลังขาว (ใต้); จะต้อนตบ (เย้า–เชียงราย); กนิ ง่วง, ตา่ งไก, ล้ินบ่อเอ้อื น (เลย); ตีนซนิ่ บ่หี่ (ชยั ภมู )ิ ลกั ษณะทั่วไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ ขนาดเล็กไม่ผลัดใบ รากแก้วมขี นาดใหญ่คล้ายเปน็ หัว เปลือกนอก บางสีนำ้�ตาลลอกออกเป็นแผ่นได้ ใบเดย่ี ว รูปรีแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนหรอื สอบ ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง เกลยี้ งท้ังสองดา้ น ด้านบนสเี ขยี วเข้มกว่าด้านล่าง รอยต่อระหวา่ งก้านใบ กับแผ่นใบบวมพองเป็นปมและหักงอท�ำ มุมกบั แผน่ ใบ เรียงเวยี นเปน็ กระจกุ ที่ปลายกิง่ เส้นใบ นนู ออกด้านลา่ ง ชอ่ ดอกออกทีซ่ อกใบใกลป้ ลายก่ิงห้อยลง มีดอกย่อยจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศ อยู่ตา่ งตน้ สีชมพูหรอื สแี ดง ผลแห้งเปน็ ฝัก มขี นสนั้ ละเอียดคลา้ ยก�ำ มะหย่คี ลุม ออกบน ช่อดอกร่วม ผลแกส่ แี ดงสด เมื่อแหง้ แตกออกตามตะเข็บด้านเดียวบานออกคลา้ ยสุ่ม กา้ นผล ยาว เมล็ดกลมแขง็ สดี �ำ เปน็ มนั มีหลายเมลด็ เปน็ ไม้ชั้นล่างในปา่ ดบิ เขาและปา่ ดบิ แลง้ ประโยชน์ : –เปน็ พชื สมุนไพรพืน้ บ้านอสี าน มีสรรพคุณเชอ่ื ว่าชว่ ยกระตุน้ กำ�หนดั ผหู้ ญงิ และแกป้ วด เม่ือยตามรา่ งกาย –เปลือกมเี ส้นใยเหนยี วลอกท�ำ เปน็ เชอื กได้ ข้อควรจ�ำ : คล้ายล้ินงว่ ง (Sterculia lanceolata Cav. var. principis (Gagnep.) Phengklai) โดยลิ้นงว่ งมีขนาดตน้ โตกวา่ ใบยาวกวา่ และโคนใบสอบแคบ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธพุ์ ืช 345

ล้ินงว่ ง (Lin Nguang) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ STERCULIACEAE (MALVACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Sterculia lanceolata Cav. var. principis (Gagnep.) Phengklai ชือ่ พ้อง (Synonym) : Sterculia principis Gagnep. ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : ตีนซิน่ บ่หี่ (ชัยภูมิ) ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ ไมพ้ ่มุ ขนาดเล็กไมผ่ ลัดใบสงู ได้ถึง ๑๐ ม. รากแกว้ มีขนาดใหญ่คล้ายหัว เปลือก นอกบาง สนี �้ำ ตาลลอกเป็นแผ่นได้ ใบเดีย่ ว รูปรีหรอื รปู ใบหอกกลับ ปลายแหลมเปน็ ต่ิงยาว โคนสอบ แคบ ขอบเรยี บ แผ่นใบบาง เกล้ียงทง้ั สองดา้ น ด้านบนสีเขม้ กวา่ ด้านลา่ ง ขอ้ ต่อระหว่างก้านใบกับ แผ่นใบบวมพองเปน็ ปมและหกั ท�ำ มมุ กับแผ่นใบ เรียงเวยี นเป็นกระจุกท่ีปลายก่ิง ช่อดอกออกทีซ่ อกใบ ใกลป้ ลายกง่ิ ห้อยลง มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศอยตู่ ่างต้น ขนาดเลก็ สชี มพหู รือสแี ดงสด ผลแหง้ เป็นฝกั มหี ลายฝักในก้านรว่ มเดยี วกนั มีขนสน้ั ๆ คล้ายก�ำ มะหยค่ี ลมุ ผลแก่สีแดงสด เม่ือแห้ง แตกออกตามตะเขบ็ ด้านหนึ่ง ก้านผลรว่ มยาว เมลด็ กลมแขง็ สดี �ำ เป็นมัน มหี ลายเมล็ด เปน็ ไมช้ ้ันลา่ ง ในปา่ ดบิ เขา ประโยชน์ : –รากแกว้ (คลา้ ยหัว) เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านอสี าน มีสรรพคุณเชอ่ื วา่ ชว่ ยกระตุ้นกำ�หนดั ผูห้ ญงิ –เปลอื กมีเสน้ ใยเหนียวลอกออกทำ�เป็นเชอื กได้ 346 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว

ตุมกาแดง (Tum Ka Daeng) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ STRYCHNACEAE (LOGANIACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Strychnos minor Dennst. ช่ือพ้อง (Synonym) : Strychnos beddomei C. B. Clarke., S. colubrina L., S. silvicola A. W. Hill ชื่ออน่ื (Vernacular name) : ตมุ กาขาว (ล�ำ ปาง); เถากวางดถู กู (สุราษฎรธ์ านี); เถาปลอง (ระนอง); พญาปลอ้ งทอง (กลาง) ลักษณะทัว่ ไป : เปน็ ไม้เถาเลอ้ื ยพันขนาดใหญไ่ มผ่ ลดั ใบ เปลอื กนอกหนา เรยี บ สีหม่น มักมีรอยควั่น นูนข้นึ รอบเถาคล้ายเป็นขอ้ บาง ๆ ใบเดยี่ ว รปู รี ปลายเรียวแหลม โคนมนหรือเวา้ ขอบเรียบหรอื เป็น คลน่ื แผน่ ใบบาง เกล้ยี งเปน็ มนั ทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขม้ กวา่ ด้านลา่ ง กา้ นใบส้ันมาก เรียงตรงข้าม ทซี่ อกใบมกั มมี อื เกาะรปู ตวั วาย (Y) เม่ือแกจ่ ะหายไป เสน้ ใบ ๓ เส้นแยกออกจากโคนใบและโคง้ จรด กันท่ีปลายใบ ใบแก่ก่อนรว่ งสีเหลอื ง ช่อดอกออกทซ่ี อกใบหรอื ปลายกงิ่ ผลรปู ทรงกลม เปลือกหนา แขง็ คลา้ ยผลมะตมู ออกเด่ยี ว ๆ หรือเปน็ คู่ มีเมล็ดจ�ำ นวนมาก พบเลื้อยพันตามพ้ืนป่าและพาดพนั ลำ�ตน้ จนถงึ เรอื นยอดในป่าดบิ ทุกประเภท ประโยชน์ : –ท้งั ตน้ เปน็ สมนุ ไพร –ใบเปน็ อาหารกวางปา่ ข้อควรระวัง : ทัง้ ตน้ มีพษิ ข้อควรจำ� : ในปา่ มักจะไม่เหน็ ใบ ส่วนใหญ่จะเห็นเฉพาะเถา โดยเถาจะมีรอยควนั่ รอบเปน็ สนั นนู ข้นึ คลา้ ยเปน็ ข้อปลอ้ ง กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธพุ์ ืช 347

กำ�ยาน (Kam Yan) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ STYRACACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Styrax apricus H. R. Fletcher ชื่ออน่ื (Vernacular name) : เขว้ (ละวา้ –เชียงใหม)่ ; เซพอบอ, เสพ้ ่อบอ (กะเหรย่ี ง–เชยี งใหม)่ ; ซาดสมงิ (นครพนม); ต�ำ ยาน, น�้ำ มนั กบ, สลอด (เลย); สะดา่ น (เขมร–สรุ นิ ทร)์ ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดเล็ก ผลดั ใบช่วงส้นั ๆ ก่งิ อ่อนและกา้ นชอ่ ดอกเปน็ เหลย่ี มมขี นสขี าว เป็นกระจกุ สน้ั ๆ คลุมประปราย เปลอื กนอกเรียบ สีเทา ใบเดย่ี ว รปู รีหรือรปู ใบหอก ปลายทหู่ รอื แหลม โคนมน ขอบเรียบหรอื เป็นคล่ืนเลก็ น้อย ก้านใบสนั้ เรียงสลบั ด้านบนเมอ่ื ออ่ นมีขนสีขาวส้ัน ๆ คลุม เม่อื แก่เกล้ยี ง ด้านลา่ งมขี นเปน็ กระจกุ สั้น ๆ สขี าวคลมุ ประปราย ชอ่ ดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลาย กิ่ง ดอกสมบูรณ์เพศขนาดเลก็ สขี าว มีกล่ินหอม ผลค่อนขา้ งกลม ปลายเปน็ ต่ิง เปลอื กแข็ง มีขน สขี าวสั้นคลุม เมอื่ แหง้ ผลปรแิ ตกตามตะเข็บออกเป็น ๓ เส่ียง มี ๑–๒ เมล็ด เมลด็ รูปกลม พบตามชาย ป่าดบิ เขา ปา่ ดบิ เขาท่คี อ่ นขา้ งโปร่ง ปา่ สนเขาและปา่ เบญจพรรณ ที่ระดบั ความสูง ๖๐๐–๑,๓๐๐ ม. ประโยชน์ : –ชันทีเ่ รยี กว่าก�ำ ยาน (gum benjamin) เกดิ จากรแู มลงเจาะหรือออกจากแผลตามตน้ หรือกงิ่ ใช้เปน็ วตั ถดุ ิบของผลติ ภัณฑ์เครื่องหอมหรือน�้ำ หอม –ยางทไ่ี ด้จากการเจาะตน้ และเปลอื กตน้ เป็นยาสมุนไพร ความส�ำ คญั : ไมห้ วงหา้ มประเภท ข (หวงหา้ มพเิ ศษ)/พืชเฉพาะถ่นิ หมายเหตุ : ตามกิ่งมกั จะมกี อ้ นท่เี กดิ จากการเจาะทำ�ลายของแมลง (gall) แตกออกเปน็ กระจุก ๆ คลา้ ยฝกั ถว่ั แปบ ข้อควรจำ� : คลา้ ยก�ำ ยานชนิด น�้ำ มนั กบ (Styrax siamensis H. R. Fletcher) โดยน้ำ�มนั กบ จะมี ขนด้านลา่ งนอ้ ยกว่า และคลา้ ยก�ำ ยานชนิด กำ�ยานใต้ (Styrax betongensis H. R. Fletcher) โดย กำ�ยานใต้ จะมีขนด้านลา่ งเป็นสีเทาคลำ้�และหนาแน่น 348 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขียว-นำ้�หนาว

เ(หMมuือeดatคนKดhำ�on Dam) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ SYMPLOCACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Symplocos longifolia H. R. Fletcher ช่อื อืน่ (Vernacular name) : เหมอื ดดง (เหนือ); ฝนแสนหา่ , เหมอื ดซ่า (ชยั ภูมิ) ลักษณะทั่วไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดเลก็ ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งต�่ำ เปลอื กนอกเรียบ บาง สีเทาหรอื ด�ำ เปลือก ในสีเหลืองอ่อน ใบเดี่ยว รูปใบหอกหรอื รูปรี ปลายและโคนแหลม ขอบหยักซี่ฟนั แผน่ ใบหนา แขง็ กรอบเกล้ยี งเป็นมนั ท้งั สองด้าน ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสอี ่อนกวา่ เรียงเวยี น ยอดออ่ นสีม่วง หรอื สนี �ำ้ ตาลคล�ำ้ ใบแกก่ อ่ นรว่ งสีเหลอื ง ชอ่ ดอกขนาดเลก็ ออกทซ่ี อกใบ ดอกสขี าว ผลรปู ทรงกลม ขนาดเล็ก ปลายมีปุ่มนูน มีเมลด็ เดยี ว ผลสกุ สีมว่ งดำ� เป็นไมช้ น้ั ลา่ งในปา่ ดบิ เขาและป่าดิบแลง้ ประโยชน์ : –ยอดและใบออ่ นเป็นอาหารกวางป่า –ผลสุกคาดวา่ น่าจะเป็นอาหารของนกกนิ ผลไม้ ขอ้ ควรจำ� : หากถากเปลอื กแลว้ แนบหูฟัง จะได้ยนิ เสียงเหมือนน้ำ�ไหลในล�ำ ต้น กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช 349

350 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

(Mueat เSหaมnือดNสuันnน) ูน พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ SYMPLOCACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Symplocos lucida (Thunb.) Siebold & Zucc. ชือ่ อ่ืน (Vernacular name) : เหมอื ดใบขน (ชัยภูม)ิ ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดเล็กไมผ่ ลัดใบ ล�ำ ต้นแตกกิง่ ต�่ำ เปลอื กนอกสนี ำ้�ตาลอมเทา ถึงเหลืองออ่ น หนานุ่มแตกเป็นร่องลึกตามยาว ใบเด่ียว รูปรแี กมรปู ขอบขนาน ปลายและ โคนแหลม ขอบจักฟนั เลือ่ ยลึก แผน่ ใบหนา มีขนสน้ั สคี รมี คลุมทั้งสองด้าน ดา้ นบนสีเข้มกวา่ ด้านลา่ ง เส้นใบและเสน้ กลางใบนูนเดน่ ดา้ นลา่ ง ก้านใบส้นั เรยี งเวียน ใบแก่กอ่ นรว่ งสเี หลอื ง ชอ่ ดอกต้งั ข้นึ ออกตามกง่ิ และทซ่ี อกใบใกล้ปลายกง่ิ มีดอกยอ่ ยจำ�นวนมาก ดอกสมบรู ณเ์ พศ สีขาวอมเหลืองขนาดเล็ก ผลสดรูปทรงรีหรอื หยดน้ำ� ปลายทู่ โคนกวา้ งมสี นั ทู่ ๆ ตามยาว หลายสัน ผลสุกสีมว่ งถงึ สีด�ำ มเี มล็ดเดยี ว เป็นไมช้ ้ันล่างในป่าดิบเขา ประโยชน์ : ผลสุก เป็นอาหารของนกกนิ ผลไมใ้ นป่าดิบเขาหลายชนดิ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธพุ์ ืช 351

พกิ ุลป่า (Phi Kun Pa) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ THEACEAE (PENTAPHYLACACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Adinandra integerrima T. Anderson ex Dyer ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Adinandra lutescens Craib, A. javanica Choisy, A. phlebophylla Hance, A. poilanei Gagnep., A. hulleti King ช่ืออืน่ (Vernacular name) : ตนี จ�ำ ดง, บง้ นาง, โปง้ นาง (เพชรบูรณ์); ตีนต่างฟ้า, เทียนแดง, ประดงขอ, เม่ยี งมัน, เหมอื ด (เลย); บำ�รำ� (สรุ าษฎรธ์ าน)ี ; หลุกตอง (ตรัง); โปรงบก (ตราด) ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ เปลอื กนอกเรยี บมีชอ่ งอากาศท่ัว เปลอื ก ใบเดย่ี ว รูปรแี กมรปู ขอบขนานหรือรปู ไข่ ปลายและโคนกลมทู่ ขอบเรียบหรือหยักตื้น ๆ และโปร่งแสงเปน็ แถบเลก็ ๆ แผ่นใบหนาและหยาบเหนียว ดา้ นบนสีเขียวเข้ม ดา้ นลา่ งสีอ่อน กว่า ก้านใบสน้ั เรียงสลบั ใบอ่อนและกง่ิ ออ่ นมีขนยาวสนี ำ้�ตาลอ่อนคลุม ใบแกก่ อ่ นร่วงสเี หลอื ง อมเขียว ดอกสมบรู ณเ์ พศ สชี มพอู อกเดยี่ ว ๆ หรือเป็นกล่มุ ขนาดเลก็ ทีซ่ อกใบใกล้ปลายก่งิ (คล้ายดอกพิกลุ ) กา้ นดอกยาวมาก ทกุ ส่วนของดอกมขี นสีน้ำ�ตาลอ่อนคลมุ ผลสดค่อนข้างกลม มีขนคลุมบาง ๆ ปลายมตี ง่ิ ยาวเป็นเส้น สกุ สีมว่ งด�ำ นุ่มถึงเละ เมล็ดขนาดเลก็ มีจำ�นวนมาก เป็นไม้ชั้นลา่ งถึงชั้นกลางในปา่ ดิบเขา และพบกระจายหา่ ง ๆ ในปา่ สนเขา ทงุ่ หญ้าและปา่ ทุง่ ประโยชน์ : –เน้ือไม้ใช้ก่อสร้างทว่ั ไป ทำ�เช้ือเพลงิ และเผาถา่ น –ผลสกุ เปน็ อาหารของชะนีมอื ขาวและนกกินผลไม้หลายชนิด 352 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว

ปลายสาน (Plai San) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ THEACEAE (PENTAPHYLACACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Eurya acuminata DC. ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : ขี้ไต้ (ปตั ตานี); โงกดา๋ ฉง, ลกู ถอ่ ง (ตรัง); ปลายกะสาน (ใต้); ข้หี นอน, รงั ไก่ (ตะวนั ออกเฉยี งใต้); ขห้ี นอนใบเลก็ , สรอ้ ยนกเขา (ตราด); ตับไส้ (เชยี งใหม)่ ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไมพ้ ุ่มกง่ึ ไมต้ น้ ขนาดเล็กไมผ่ ลดั ใบ แตกกง่ิ ต�ำ่ ก่งิ ก้านออ่ นสนี ้ำ�ตาลมขี นคลุม บาง ๆ เปลอื กนอกเรยี บมรี อยแตกเล็ก ๆ ใบเด่ยี ว รปู ขอบขนานแคบ ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบจักฟันเลอ่ื ยถ่ี แผน่ ใบบางนมุ่ มีขนสัน้ สีนำ้�ตาลออ่ นคลุมทงั้ สองดา้ น เมื่อแก่เกลย้ี ง ดา้ นบน เกล้ียง ด้านลา่ งมขี นคลุมหนาแนน่ เสน้ กลางใบยบุ เป็นรอ่ ง ก้านใบสนั้ เรียงสลับในแนวระนาบ ใบแก่กอ่ นรว่ งสเี หลือง ดอกแยกเพศอยูต่ า่ งต้น ออกเป็นกระจกุ ทซ่ี อกใบ ดอกรปู ระฆงั สีเหลอื ง อมขาว คว่ำ�ลง กา้ นดอกยาว ทุกส่วนของดอกมขี นสีนำ้�ตาลอ่อนคลมุ บาง ๆ ผลรูปทรงกลมเกล้ียง ขนาดเล็ก สุกสมี ่วงดำ� เมลด็ ขนาดเล็ก มจี ำ�นวนมาก เป็นไมช้ ้ันล่างในปา่ ดบิ เขาและป่าสนเขา บาง ครง้ั พบในพนื้ ทป่ี า่ ดบิ เขาท่ีเคยถกู แพว้ ถางหรอื ปา่ กำ�ลังฟน้ื กลับ ประโยชน์ : –ใบเป็นยาสมนุ ไพรและพชื อาหารสัตว์ –ผลสุกเป็นอาหารของนกกินผลไม้ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 353

แมงเมา่ นก (Maeng Mao Nok) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ THEACEAE (PENTAPHYLACACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Eurya nitida Korth. ชื่ออืน่ (Vernacular name) : เหมอื ด (เลย) ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้พมุ่ กึง่ ไม้ต้นขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ แตกกง่ิ ต�ำ่ ใบเดยี่ ว รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบหรือจักฟนั เลื่อยถตี่ ื้น ๆ แผ่นใบหนา เกล้ยี งท้งั สองดา้ น หรอื มีขนตามเสน้ ใบประปราย ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสีเขียวนวล เสน้ กลางใบด้านบน ยุบลงเปน็ ร่องแล้วนนู ออกดา้ นลา่ ง กา้ นใบสน้ั มาก เรียงสลับในระนาบ ดอกรูประฆงั สีขาว ขนาดเล็ก ออกเปน็ กระจุกทีซ่ อกใบหรือตาใบ มกี ลิ่นหอม ผลรปู ทรงกลม แปน้ ขนาดเลก็ ปลายเป็นตง่ิ แหลม กา้ นผลสั้นมาก สกุ สมี ว่ งด�ำ เนอ้ื เละ เมลด็ ขนาดเลก็ มีจำ�นวนมาก เป็น ไมช้ นั้ ลา่ งในปา่ ดบิ เขาและพบในบรเิ วณรอยตอ่ ระหวา่ งปา่ ดิบเขากบั ปา่ สนเขาทีค่ อ่ นขา้ งช้นื ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกนิ ผลไม้ 354 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขียว-นำ�้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 355

มังตาน (Mang Tan) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ THEACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Schima wallichii (DC.) Korth. ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Schima brevipes Craib, S. crenata Korth. ชื่ออื่น (Vernacular name) : กรรโชก (ตะวนั ออก); กาโซ้ (ยะลา, นครพนม); ต้อื ซือซะ (กะเหรีย่ ง–เชียงใหม)่ ; หมพู ี (ฉาน–เชียงใหม)่ ; คาย, ทะโล,้ สารภีป่า (เหนือ); บุนนาค (นครราชสีมา, ตราด); พงั ตาน, พันตนั (ใต้); มือแดกาต๊ะ (มาเลเซยี –ปัตตาน)ี ; คายโซ, จ�ำ ปาดง, พระราม (เลย); คายโซ่ (ชัยภูม)ิ ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมต้ ้น ผลดั ใบช่วงสัน้ ๆ เปลอื กนอกหนา สีนำ้�ตาลด�ำ แตกเปน็ สะเกด็ เปลือกในสีแดง ใบเด่ียว รูปรีถึงรูปหอกกลับ ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรยี บ เป็นคลน่ื หรอื หยกั ตน้ื ๆ แผ่นใบหนา เกลย้ี งถงึ มขี น ด้านบนสเี ขียวเขม้ ด้านล่างสเี ขยี วนวล ก้านใบส้นั เรียงเวยี นเปน็ กระจุกทปี่ ลายกง่ิ ยอดอ่อนและใบออ่ นสนี �ำ้ ตาลอมชมพมู ขี นนุ่ม ใบแก่ก่อนร่วง สีแดงหรือสีเหลือง ดอกสมบรู ณ์เพศออกเดย่ี ว ๆ หรือเป็นช่อทซ่ี อกใบใกลป้ ลายก่งิ กลีบดอก สีขาว มีกล่ินหอมออ่ น ๆ ผลกลมแป้น แขง็ เมือ่ แกแ่ ตกตามตะเข็บออกเป็น ๔–๕ เสีย่ ง เมลด็ รูป ไต มีปีกบาง ๆ มีจ�ำ นวนมาก พบทัว่ ไปในป่าทุกประเภท โดยเฉพาะป่าดิบ ประโยชน์ : –เน้ือไมใ้ ช้กอ่ สรา้ งไดด้ ี ขเ้ี ถา้ จากเปลือกให้สเี ทาใชผ้ สมอาหาร –ดอกแห้งใชช้ งนำ้�รอ้ นด่ืมแทนใบชา –เปลือกตน้ และดอกเป็นยาสมุนไพร –ใชป้ ลกู ป่าทดแทนในท่รี กร้างท่ีมคี วามชนื้ สงู ไดด้ ี ความส�ำ คัญ : ไม้หวงหา้ มประเภท ก ข้อควรระวงั : เปลือกในมีผลกึ สเี งินเปน็ เส้นขนาดเล็กแทรกอยู่ในเนื้อเปลือก ถา้ ปลวิ เข้าตาอาจท�ำ ให้ ตาบอดได้ หากสมั ผัสถูกผวิ หนังอ่อน ๆ จะท�ำ ให้เกดิ การระคายเคอื งและอกั เสบ 356 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น้�ำ หนาว

หนามแน่แดง (Nam Nae Daeng) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ THUNBERGIACEAE (ACANTHACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Thunbergia coccinea Wall. ex D. Don ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : ปังกะละ่ กวอ (กะเหรี่ยง–แมฮ่ ่องสอน); น้�ำ ปู้ (เชยี งใหม)่ ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไม้เถาล้มลกุ เลอ้ื ยพนั อายหุ ลายปี มหี ัวใตด้ ิน ใบเดยี่ ว รปู ไข่หรอื รปู หอก ปลายแหลม โคนเวา้ ขอบหยักห่าง ๆ แผ่นใบหนา เหนียว เกล้ียงทัง้ สองดา้ น ด้านบนสีเขม้ เปน็ มนั กวา่ ด้านลา่ ง กา้ นใบยาว เรียงตรงข้าม เสน้ ใบ ๓ เส้น แยกออกจากโคนใบแลว้ โคง้ จรดกัน ทปี่ ลายใบ ใบแห้งสนี ้ำ�ตาล เหนยี วฉีกขาดยาก ช่อดอกออกที่ซอกใบหรือปลายก่งิ หอ้ ยลง มี ดอกย่อยหลายดอก กา้ นดอกโคง้ งอ เรียงตรงขา้ ม ดอกรปู ปากเปิด กลีบดอกสนี ้ำ�ตาลอม เหลอื ง ดอกบานปลายกลบี พับออกด้านนอก มกี ลีบเล้ยี งสนี �้ำ ตาลแดงหุม้ ท่โี คนดอก ผลแห้ง รูปไข่กลม ปลายเปน็ จะงอยปากนกยาวแข็ง เมอื่ แกเ่ ปลี่ยนเป็นสีดำ� แตกตามตะเข็บออกเป็น ๒ เสี่ยง มีหลายเมล็ด พบข้ึนพันตามไม้พมุ่ ในปา่ ดิบเขา ประโยชน์ : –ใบและดอกสวยงามเหมาะปลกู เปน็ ไมป้ ระดบั –น�้ำ หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกินนำ�้ ต้อย –ราก เป็นยาสมุนไพร สถานภาพ : หายาก/ถกู คกุ คาม ข้อควรจำ� : คลา้ ยน�้ำ แน่ดง (Thunbergia hossei C. B. Clarke) แตน่ ำ้�แนด่ ง แผ่นใบมขี นคลุมทัง้ สองด้านและขอบใบเรยี บ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธพ์ุ ชื 357

สรอ้ ยอินทนลิ (Soi In Tha Nin) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ THUNBERGIACEAE (ACANTHACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Thunbergia grandiflora (Roxb. ex Rottler) Roxb. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : คาย (ปตั ตานี); ปากกา (ยะลา); ช่องหปู ากกา (ใต)้ ; น�้ำ ผ้งึ (ชลบุรี); ย�ำ่ แย้ (อุตรดิตถ)์ ; ชอ่ อนิ ทนิล (กรงุ เทพฯ) ช่ือสามญั (Common name) : Bengal Clock Vine ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมเ้ ถาล้มลกุ ขนาดใหญ่อายุหลายปี มหี ัวขนาดใหญ่อยู่ใต้ดนิ ใบเดย่ี ว รปู ไขห่ รือ รูปหวั ใจ ปลายแหลม โคนเวา้ รปู หวั ใจ ขอบหยักเว้า มรี ปู ร่างหลายแบบ แผ่นใบหนา ด้านบนสเี ขียว เขม้ เกล้ยี งเปน็ มันหรือมขี นสาก ๆ ด้านลา่ งสอี อ่ นกวา่ และสาก กา้ นใบยาว เรียงตรงข้าม เส้นใบออก จากโคนใบ ๕–๗ เสน้ ใบแหง้ สีน้ำ�ตาลหรือสีดำ� ดอกออกตามขอ้ ท่ซี อกใบหรอื ปลายกิง่ เป็นคู่ ๆ ห้อย เป็นสายยาว ดอกรูปปากเปดิ สีมว่ ง ดอกตมู มีใบประดับสีเขยี วออ่ นห้มุ โคนเป็นจะงอยปากนก มขี น และจุดสีนำ้�ตาลเล็ก ๆ ประปราย ผลรูปไข่หรอื รปู ทรงกลมแข็ง ส่วนปลายยน่ื ยาวเป็นจะงอยปากนกและ แตกออกตามตะเขบ็ เมอื่ แก่ มีเมลด็ จ�ำ นวนมาก พบคลมุ ตามพน้ื ทีร่ กร้างหรอื ทเี่ ปดิ โล่งในป่าดบิ เขา ป่าดบิ ประเภทอ่นื และป่าเบญจพรรณช้นื ประโยชน์ : –ใบและดอกสวยงามปลกู เป็นไม้ประดับ –น้ำ�หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกนิ นำ้�ตอ้ ย –ทัง้ ตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร ขอ้ ควรจำ� : คล้ายรางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) แตร่ างจืดมีแผ่นใบเกลย้ี งทง้ั สองด้าน ขอบเรยี บและมเี ส้นใบแยกออกจากโคนใบเพียง ๓ เส้น 358 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว

รางจืด (Rang Chuet) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ THUNBERGIACEAE (ACANTHACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Thunbergia laurifolia Lindl. ชื่ออนื่ (Vernacular name) : ก�ำ ลงั ชา้ งเผือก, ขอบชะนาง, เครือเขาเขียว, ยาเขียว (กลาง); นำ้�นอง (สระบรุ )ี ; ยำ่�แย, แอดแอ (เพชรบรู ณ)์ ; จอลอดเิ ออ, ซง้ั กะ, บัง้ กะละ่ , พอหน่อเตอ (กะเหร่ยี ง–แมฮ่ อ่ งสอน); ดเุ หวา่ (ปตั ตานี); ทิดพดุ (นครศรีธรรมราช); คาย (ยะลา) ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไม้เถาล้มลุกอายุหลายปี ใบเดี่ยว รูปหัวใจหรือรูปไข่ ปลายเปน็ ต่ิงแหลม โคนรปู หวั ใจ ขอบเว้าเลก็ นอ้ ย แผ่นใบหนา เกล้ียงเปน็ มันท้ังสองดา้ น กา้ นใบยาว เรยี งตรงขา้ ม เสน้ ใบแยก ออกจากโคนใบ ๓ เส้น ช่อดอกออกทซี่ อกใบหอ้ ยลง ดอกรูปปากแตร สีมว่ ง ผลเปน็ ฝกั โคนกลมป้อม ผวิ แข็ง ปลายแหลมรูปจะงอยปากนก (คลา้ ยผลสร้อยอินทนลิ ) เมือ่ แกเ่ ปลย่ี นเปน็ สีดำ� แตกตาม ตะเขบ็ ออกเป็น ๒ เสยี่ ง พบขึ้นคลมุ ตามพ้ืนท่รี กร้างหรอื ทเี่ ปิดโล่งในปา่ ดิบเขา ปา่ ดบิ ประเภทอื่นและ ป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ใบและดอกสวยงามปลกู เปน็ ไม้ประดบั เปน็ อาหารของกระทงิ และช้างปา่ –ล�ำ ตน้ และเหง้าใตด้ นิ เป็นยาสมุนไพร –น�ำ้ หวานจากดอกเป็นอาหารของนกกนิ น�ำ้ ตอ้ ย กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธุ์พชื 359

กฤษณา (Krit Sa Na) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ THYMELAEACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte ชื่อพ้อง (Synonym) : Aquilaria agallocha auct. non Roxb. ช่อื อื่น (Vernacular name) : ไม้หอม (ชยั ภูม,ิ ตะวนั ออก, กลาง) ชอ่ื สามญั (Common name) : Eagle Wood, Aloe Wood, Agar Wood ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ ไม้ตน้ ผลัดใบช่วงสัน้ ๆ เนอ้ื ไม้อ่อน ล�ำ ต้นเปลาตรง แตถ่ ้าต้นขนาดใหญ่จะมี พูพอนเต้ยี ๆ เปลอื กนอกบาง เรียบหรอื แตกเป็นสะเกด็ ต้ืน ๆ ใบเดีย่ ว รปู รีหรอื รูปไขก่ ลับ ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรียบหรอื เปน็ คลนื่ แผ่นใบบาง เกลย้ี ง ดา้ นบนสีเขยี วเข้มเปน็ มนั ด้านลา่ งสีอ่อน กว่า มขี นสเี งนิ คลมุ ตามเส้นใบ ก้านใบสัน้ เรยี งสลับ ชอ่ ดอกแบบช่อซ่ีร่ม ออกที่ซอกใบ ดอกรูประฆงั ขนาดเล็กสเี ขียวอมเหลือง ผลรปู ไข่มีสนั แคบตามยาว ปลายผลมตี ิ่งและมีขนนมุ่ สีน�ำ้ ตาลอมเหลอื ง คลมุ ตามผิวหนาแน่น ผลแก่แตกตามตะเขบ็ เปน็ ๒ พู เมลด็ คล้ายเมล็ดส้ม เปน็ มนั มีเมล็ดเดยี ว โคนผลมกี ลบี เลยี้ งยาวหุ้ม พบมากในปา่ ดิบเขา พบได้น้อยในป่าสนเขาและพบประปรายในปา่ ดิบ ประเภทอื่น ประโยชน์ : –เนื้อไมแ้ ละแกน่ ที่มสี ารหอมใชเ้ ปน็ วตั ถุดบิ ผลิตหวั นำ้�หอม –แกน่ ไมใ้ ช้ประกอบในยาสมนุ ไพร –เปลือกใชเ้ ปน็ เสน้ ใยทำ�เคร่อื งนงุ่ หม่ หรอื เบาะรองหลังชา้ ง –เมล็ดเป็นอาหารของกระรอก ความสำ�คัญ : –ของปา่ หวงห้าม/หายาก/ใกลส้ ญู พันธ์ุขน้ั วกิ ฤติ ข้อควรจำ� : กลิ่นเปลอื กถากใหม่ ๆ คลา้ ยกลน่ิ น้�ำ มะพรา้ วออ่ น ขอ้ ควรสงั เกต : คลา้ ยกับชนดิ Aquilaria malaccensis Lam. โดยชนิดหลังนกี้ ลีบเล้ียงจะสนั้ กวา่ อยา่ งเดน่ ชดั 360 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขยี ว-น้�ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 361

ลาย (Lai) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ TILIACEAE (MALVACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Microcos paniculata L. ช่ือพ้อง (Synonym) : Microcos mala Hamilt., Grewia microcos L., G. ulmifolia Roxb., G. glabra Jack., G. affinis Lindl., G. microcos L. var. rugosa (Lour.) Mast., Fallopia nervosa Lour. ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : กะพล้า, พลบั พลา, พลา (ใต้); ขนาน (กาญจนบุรี); มลาย (ราชบุรี); คอนส้ม (ปราจีนบรุ ี); คอม (ทวั่ ไป); หลาย (กลาง); ผ้าออ้ ม (นครราชสีมา); หมากกอม (เหนือ, ตะวันออกเฉยี งเหนือ); ตาปลา (กะเหรีย่ ง–แม่ฮ่องสอน); ไหค้ อย (เชยี งใหม่) ลกั ษณะทั่วไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง ผลัดใบช่วงสั้น ๆ เปลอื กนอกเรยี บหรอื เปน็ ร่องตื้น ๆ หรือแตกเปน็ สะเกด็ ลอกเป็นแผ่นได้ ใบเดี่ยว รูปไขก่ ลบั หรือรูปขอบขนาน ปลายแหลมเป็นติ่งสน้ั โคนป้านหรือกลม ขอบเรยี บถึงหยกั ต้นื ๆ แผ่นใบบาง ดา้ นบนเกลีย้ งสเี ขียวเข้มเปน็ มนั ด้านลา่ ง เรียบเกลีย้ งหรอื มขี นคลุมตามเสน้ ใบเล็กนอ้ ย ก้านใบส้นั เรียงสลบั เสน้ ใบแยกออกจากโคนใบ ๓ เส้น ช่อดอกออกทซ่ี อกใบใกล้ปลายกิง่ ดอกสีเหลอื งสด ผลรปู ทรงกลมหรือรูปไข่กลับ ผวิ เรยี บ ปลายบุ๋ม สุก สเี หลอื งอมเขียว เม่อื แกส่ ีดำ� พบตามพนื้ ทีร่ กรา้ งหรอื พน้ื ทีเ่ ปิดโลง่ ในป่าดบิ ทกุ ประเภท ประโยชน์ : –เปลอื กใหเ้ สน้ ใย ใบใชม้ วนบุหร่ี เป็นยาสมนุ ไพร ตน้ ใช้เลย้ี งครง่ั –ผลสกุ รสเปร้ียวอมหวานกนิ ไดแ้ ละเปน็ อาหารของนกปรอดเหลืองหัวจกุ –ใบเปน็ อาหารของช้างป่า ขอ้ ควรจ�ำ : คล้ายพลับพลา (Microcos tomentosa Sm.) แตพ่ ลบั พลาปลายใบมักหยกั สรอ้ ยและมี ขนคลมุ แผ่นใบบาง ๆ ทง้ั ๒ ดา้ น 362 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว

ผู้ถา่ ย วนทั -เวฑติ พมุ่ พวง กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพันธพ์ุ ืช 363

หนอนข้คี วาย (Non Khi Khwai) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ ULMACEAE (CANNABACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Gironniera subaequalis Planch. ชื่อพ้อง (Synonym) : Gironniera chinensis Benth. ช่ืออน่ื (Vernacular name) : ขนหนอน (ปัตตานี); เขากวาง (นครศรีธรรมราช); จาม (ตราด); จำ�ปาปา่ (ระยอง), เชน, รงแปง้ (จนั ทบุร)ี ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไม้ตน้ ผลัดใบชว่ งสน้ั ๆ แตกก่งิ ต�่ำ และกิ่งมักแตกตั้งฉากกบั ลำ�ตน้ เปลือกนอก เรยี บถงึ แตกเปน็ สะเกด็ สีเทาอมนำ้�ตาล เปลอื กในสีเหลืองอ่อน ใบเดย่ี ว รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ปลาย แหลม โคนมนหรอื สอบแคบ ขอบเรียบ แผน่ ใบหนาสาก ดา้ นบนสีเขียวเขม้ มีขนแข็งสีขาวคลุมห่าง ๆ ด้านลา่ งสอี อ่ นกวา่ มีขนนุ่ม กา้ นใบสนั้ เรยี งสลบั เสน้ ใบนนู ออกด้านล่าง ดอกแยกเพศเปน็ ชอ่ ออก ที่ซอกใบใกลป้ ลายก่งิ ผลรูปทรงกลมรี ขนาดเล็ก ปลายเปน็ ติง่ ยาวรูปตัววาย (Y) ผิวมีขนแขง็ คลมุ เม่อื สุกสเี หลอื งหรอื สสี ม้ อมแดง เป็นไมเ้ รือนยอดชัน้ บนในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ ชื้น ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของสัตวป์ า่ หลายชนดิ เช่น ชะนีมอื ขาวและนกอกี หลายชนิด –ใบและเปลอื กเปน็ อาหารของชา้ งป่า ข้อควรจำ� : กง่ิ ออ่ น ก้านใบและกา้ นช่อดอกมขี นคอ่ นข้างแขง็ สีขาวคลมุ ห่าง ๆ และบรเิ วณก้านใบติด กบั กิง่ มรี อยควน่ั รอบกิ่ง 364 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว

(Phak ผNกั oหkนCอhกaชnา้gง) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ UMBELLIFERAE (APIACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Hydrocotyle javanica Thunb. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : บวั บกเขา (นครศรีธรรมราช); ผกั หนอก (ใต้); ผกั แวน่ เขา (ตราด); กะเซดอมีเดาะ (กะเหร่ยี ง–แม่ฮ่องสอน); ผักหนอกดอย (เชียงใหม่); ผกั หนอกป่า (ฉาน–แมฮ่ ่องสอน) ลักษณะท่ัวไป : เป็นพืชลม้ ลุก ลำ�ตน้ อวบน�้ำ เลือ้ ยคืบคลานไปตามพน้ื ดินที่ค่อนข้างชื้นและโปร่งโลง่ ชูกิง่ ก้านตัง้ ข้นึ ใบเดีย่ ว รปู ไข่กวา้ ง โคนเวา้ รปู หัวใจ ขอบหยกั โค้ง ๕–๘ แฉก แผน่ ใบค่อนขา้ งแขง็ มี ขนสเี งนิ คลมุ หา่ ง ๆ หรือเกลย้ี ง เสน้ ใบแตกออกจากโคนใบแบบน้ิวมือ ก้านใบอวบน้ำ�ยาวมาก ดอก ออกเป็นชอ่ กระจกุ แบบดอกกระถนิ อดั กนั แน่นบนก้านช่อดอกรว่ มตรงข้ามกับใบ ดอกย่อยขนาดเล็ก สีขาวอมเขียวและมใี บประดับรองรบั ผลแหง้ ขนาดเลก็ อดั แน่นเปน็ กระจกุ รปู คลา้ ยโล่ ผวิ เรียบ สเี ขียวเข้มถงึ สีนำ้�ตาลแดงมี ๕ สนั เมอ่ื แกแ่ ตกออกตามตะเขบ็ พบตามพื้นท่โี ล่งหรือพ้ืนปา่ ท่ถี ูกเปดิ ออกแคบ ๆ ในปา่ ดบิ เขา ป่าดบิ แลง้ และแหล่งน�ำ้ ใตร้ ่มเงาไม้ทเี่ รือนยอดไม่เปิดมากนกั ประโยชน์ : –ใบและล�ำ ต้นอ่อนกินได้ ใชป้ ระกอบอาหารจำ�พวกตม้ ย�ำ แทนผักชี –ทง้ั ตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร บดหา้ มเลอื ดทถ่ี กู ทากกดั ข้อควรจำ� : ทง้ั ตน้ ขยด้ี มมกี ล่นิ ฉุนเฉพาะตวั กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธพ์ุ ืช 365

หานช้างฮ้อง (Han Chang Hong) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ URTICACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dendrocnide basirotunda (C. Y. Wu) Chew ชื่ออืน่ (Vernacular name) : สามแก้ว (ใต)้ ; ตำ�แยชา้ ง, กะลงั ตงั ช้าง (อทุ ัยธานี); หาน (ชยั ภูมิ) ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้พมุ่ ก่ึงไมต้ น้ ขนาดเลก็ ผลดั ใบชว่ งสน้ั ๆ เนอื้ ไม้อ่อน เปลือกนอกเรยี บบาง สนี �้ำ ตาลอมเขยี ว ใบเดยี่ ว รปู ไข่ ปลายแหลม โคนมนหรอื ป้าน ขอบเรียบหรือหยกั มนตนื้ ๆ หา่ ง ๆ แผน่ ใบหนา อวบนำ้� เกลี้ยงเป็นมันท้งั สองดา้ น ด้านบนสเี ขียวเขม้ ดา้ นล่างสเี ขยี วอ่อน เส้นใบ นูนออกดา้ นล่างเดน่ ชัด กา้ นใบยาว อวบน�ำ้ สีชมพูถึงสีมว่ ง เรียงเวยี น ใบแก่ก่อนรว่ งสเี หลอื ง ดอกเป็นชอ่ ยาว ออกท่ีซอกใบใกล้ปลายกง่ิ ก้านของช่อดอกและชอ่ ผลสีชมพูออ่ นถึงสีม่วง ผล รูปคอ่ นขา้ งกลม อวบน�้ำ มสี ันจ�ำ นวนมาก กา้ นผลสั้นมากหรือไม่มี พบเป็นไมช้ ้ันลา่ งตามรมิ หว้ ย หรอื ทรี่ าบลุม่ ในป่าดบิ เขา ป่าดบิ ประเภทอืน่ และตามหุบเขาหนิ ปนู ขอ้ ควรระวงั : หากสัมผสั ถูกแผน่ ใบจะปวดแสบปวดร้อนมากประมาณ ๑–๒ วนั จะหายเอง ขอ้ ควรจำ� : เสน้ ใบแยกออกจากโคนเส้นกลางใบข้างละ ๑ เส้น และตามแผน่ ใบมตี อ่ มมขี นพิษใส ๆ (clistosis) กระจายท่วั ไป 366 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

(กKอoมmกอ้ KลoอLดoขtอKนhon) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ URTICACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Pellionia repens (Lour.) Merr. ช่ือพอ้ ง (Synonym) : Polychroa repens Lour. ช่อื อนื่ (Vernacular name) : ก้ามป,ู สรอ้ ยห้วย, สิงห์หงส์ (กลาง); เป้ิบผา, หดู นิ (เหนือ); ปีกแมงสาบ (ชัยภูมิ) ลักษณะท่วั ไป : เป็นพชื ลม้ ลกุ ทอดคลานไปตามพน้ื ดนิ หนิ หรือขอนไม้ ลำ�ต้นอวบนำ้� ใบเด่ยี ว รปู ใบหอกหรือรูปรี ปลายแหลม โคนเบ้ียวหรอื รปู หวั ใจ ขอบหยักมนตื้น ๆ แผน่ ใบหนาอวบน�้ำ ดา้ นบน เกลย้ี งสีเขียวหรอื มีลวดลายหลายสี ดา้ นลา่ งสเี ขียวออ่ นหรอื สีนำ้�ตาลแดงมขี นคลมุ บาง ๆ กา้ นใบ สน้ั เรียงตรงข้าม โดยอีกใบหน่ึงมีขนาดเลก็ มากหลดุ รว่ งงา่ ยจึงมกั เหน็ เหลือพียงใบเดียวคลา้ ยกบั เรียงสลบั เสน้ ใบออกจากโคน ๓ เสน้ นูนเด่นชดั ดา้ นล่าง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุก มีก้านช่อดอกรวม ยาวมากชูต้ังขนึ้ ออกทซี่ อกใบ ดอกแยกเพศ สีขาวอมเขยี ว ขนาดเลก็ ผลแหง้ เมลด็ ลอ่ น เป็น ไม้พื้นลา่ งตามพนื้ ท่ีร่มชื้นในปา่ ดิบเขาและป่าดิบทุกประเภท ประโยชน์ : –ท้ังต้น เปน็ ยาสมุนไพร –ปลกู เป็นไม้ประดับในกระถาง ขอ้ ควรระวงั : พชื ในสกลุ นีใ้ นแผน่ ใบมีขนพิษทก่ี อ่ ให้เกดิ การระคายเคืองผวิ หนงั กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพันธ์พุ ืช 367

เถากวางตงุ้ (Thao Kwang Tung) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ VITACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Ampelopsis cantoniensis (Hook. & Arn.) Planch. ชอื่ อ่ืน (Vernacular name) : สะเดาเครือ, เครอื คลุมป่า (ชัยภมู ิ) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไม้เถาลม้ ลุกอายุหลายปี มกั มรี ากอากาศยอ้ ยลง ใบประกอบแบบขนนก ๒–๓ ช้นั โคนกา้ นใบแผเ่ ป็นครบี หุม้ กงิ่ เรียงสลับ ใบย่อยรปู ไขก่ ลับหรือมีความผันแปรสูง ปลาย แหลม โคนมน ใบออ่ นขอบจักฟนั เลอื่ ยห่าง ๆ ใบแกข่ อบเรยี บ แผน่ ใบหนา เกลี้ยงเป็นมันทง้ั สอง ดา้ น ดา้ นบนเป็นเงามันสเี ขม้ กวา่ ดา้ นล่าง ยอดอ่อนและใบอ่อนสีน�้ำ ตาล มมี ือเกาะแยกออกจาก ซอกใบ ปลายมือเกาะแยกเป็น ๒ แฉก (รูปตวั Y) ช่อดอกออกทซี่ อกใบใกล้ปลายกิ่ง มีดอกย่อย จำ�นวนมาก ดอกสีขาวอมเขียว ผลกลม ขนาดเลก็ สกุ สมี ่วงดำ� พบข้ึนคลุมตามพืน้ ทรี่ กร้างหรอื ทโ่ี ลง่ หรือชายปา่ ดบิ เขา ประโยชน์ : –ใบและยอดออ่ นเปน็ อาหารกวางป่า –ใบมีรสขมทำ�ให้สกุ กินเป็นผัก –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกหลายชนิด 368 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว

ดาดตะก่ัวเถา (Dat Ta Kua Thao) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ VITACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cissus discolor Blume ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Vitis discolor (Blume) Dalzell ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : หลังแดง (ใต)้ ; เอน็ เขา (สุราษฎร์ธาน)ี ; คำ�แดง (เหนือ); หนุ สามสี (ชัยภูมิ) ลักษณะทัว่ ไป : เปน็ ไม้เถาล้มลกุ ลำ�ต้นกลม ยอดและกิ่งอ่อนเปน็ เหลยี่ มหรือสนั ๕–๖ สัน ใบเด่ียว รูปไข่หรือรูปใบหอก ปลายเรียวแหลม โคนเวา้ รูปหวั ใจ ขอบใบสีน้ำ�ตาลหรอื สีชมพูหยกั ถี่ ๆ กา้ นใบ ยาว เรียงสลบั แผ่นใบสาก ด้านบนสเี ขียวเข้มมักมแี ถบสีเขยี วแกมเทาเหลอื บเปน็ แถวตามยาว ด้านลา่ งสีแดงเข้มหรอื สเี ขยี วออ่ น ๆ หใู บสชี มพอู มแดงหมุ้ ทงั้ ๒ ขา้ งของโคนกา้ นใบ เม่อื แก่หลดุ ออก ยอดอ่อนสชี มพแู ละมีมอื จบั สีชมพอู อกตรงข้ามกับใบ เพื่อเกาะเก่ยี ววตั ถอุ ่นื ในการเล้อื ยพนั ดอก สเี หลอื งออกเปน็ ช่อขนาดเลก็ ตรงข้ามใบ ผลสดกลมหรือรสี ุกสมี ว่ งด�ำ กา้ นผลสีแดง พบเลอื้ ยพนั ตามพ้ืนปา่ และต้นไม้ในป่าดบิ เขา ปา่ ดบิ อ่ืน ๆ และปา่ ผลัดใบทีม่ ีความชนื้ สูง ประโยชน์ : –ใบมีความสวยงามเหมาะปลูกเปน็ ไม้ประดับ –ใบสดเปน็ ยาสมนุ ไพร กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธพุ์ ืช 369

เถาน้�ำ แบน (Thao Nam Baen) ผู้ถา่ ย นพดล บวั โรย พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ VITACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Tetrastigma laoticum Gagnep. ช่ืออนื่ (Vernacular name) : เถานำ้�, เถาสายพาน (ชยั ภูมิ) ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้เถาลม้ ลกุ อายุหลายปี ล�ำ ตน้ หรือเถาแบนเป็นรอ่ งตามยาวและมรี อยควั่น คล้ายข้อเปน็ ชว่ ง ๆ ใบประกอบแบบน้วิ มือ ก้านใบยาว เรยี งสลบั ตรงข้ามก้านใบมมี อื เกาะเป็น เส้นยาว ปลายบิดมว้ นเปน็ เกลียว มีใบย่อยจำ�นวน ๔–๕ ใบ ใบย่อยรูปใบหอกหรือรปู รีแกมรูป ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจกั ฟันเลือ่ ยหลายชั้น แผน่ ใบหนา กรอบเกล้ียงเป็นมันทง้ั สองด้าน ดา้ นบนสีเข้มกว่าดา้ นลา่ ง กา้ นใบย่อยสน้ั แตกออกจากจดุ เดยี วกัน ดอกออกเป็นช่อตาม เถาหรือปลายกิง่ หอ้ ยลง ผลมีเนื้อหลายเมล็ด รปู กลมหรอื รปู รีเหมอื นผลองุน่ เนอ้ื หนาอวบน�้ำ ผวิ เกลย้ี งเปน็ มนั สกุ สเี หลือง พบเลือ้ ยพันตามพ้นื ป่าหรือเก่ยี วพนั ข้ึนสงู จนถึงเรือนยอด บรเิ วณที่ราบบนภูเขาสูงในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ ชนื้ ระดบั สูง รากมักถูกเบียนจากกระโถนพระฤๅษี (Sapria himalayana Griff.) ประโยชน์ : หนอ่ และผลสกุ เปน็ อาหารของชะนมี อื ขาว ความส�ำ คญั : หายากและใกลส้ ูญพนั ธ์ุ เปน็ ท่ีเกาะอาศยั ของพชื หายากและใกลส้ ญู พันธ์ุ คอื กระโถนพระฤๅษี 370 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขียว-น้�ำ หนาว

ผถู้ ่าย นพดล บัวโรย (Khruea Kเhคaรoอื เNขaาmน้ำ�) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ VITACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Tetrastigma leucostaphylum (Dennst.) Alston ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Tetrastigma lanceolarium (Roxb.) Planch. ชื่ออน่ื (Vernacular name) : เถาน้ำ� (ชยั ภมู ิ); ยา่ นสายพาน (นราธิวาส) ลกั ษณะทั่วไป : เปน็ ไม้เถาล้มลกุ ไม่มเี นอื้ ไมอ้ ายุหลายปี ล�ำ ตน้ กลมหรอื แบน เปลือกแตกเปน็ ร่อง เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดขนาดเล็ก ใบประกอบ ก้านใบยอ่ ยแตกแบบรปู ตวั วาย (Y) เรียงเวยี น ใบยอ่ ยจำ�นวน ๓–๕ ใบ/กา้ นย่อย รูปรแี กมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบแคบหรือเบีย้ ว ขอบหยกั ซฟี่ นั หา่ ง ๆ แผ่นใบหนา กรอบเกลย้ี งเป็นมันทง้ั สองดา้ น ดา้ นบนสเี ขียวเขม้ ด้านล่าง สีเขยี วนวล เสน้ ใบนูนออกดา้ นล่าง ชอ่ ดอกออกท่ซี อกใบหรือตามเถา ผลรูปทรงกลม อวบน�ำ้ แบบองุ่น ออกเปน็ กลุม่ หอ้ ยลง ก้านใบอวบน�้ำ สกุ สีเหลอื ง เมลด็ ขนาดเลก็ มีหลายเมล็ด พบ เลื้อยพันตามต้นไมแ้ ละพ้นื ป่าในป่าดิบเขาและบรเิ วณใกล้ลำ�หว้ ยหรือบนสันเขาในป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –นำ�้ จากเถารสจดื เป็นแหลง่ นำ้�ในป่าอยา่ งดี เม่อื ยามขาดแคลนน�ำ้ ดื่ม –รากเป็นท่เี กาะอาศัยของพชื เบยี นรากบางชนดิ เชน่ กระโถนพระฤๅษี –ยอดและใบออ่ น เปน็ อาหารของคา่ งแวน่ ถ่ินเหนือ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธพ์ุ ชื 371

เอกสารอา้ งองิ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพชื . ๒๕๕๐. พรรณไม้เกยี รติประวัตขิ องไทย เฉลมิ พระเกียรต ิ เนอื่ งในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐, กระทรวง ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม. ๑๙๙ น. ก่องกานดา ชยามฤต. ๒๕๔๑. คูม่ อื จำ�แนกพรรณไม.้ หอพรรณไม,้ ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม,้ ส�ำ นักวิชาการปา่ ไม้, กรมปา่ ไม้. ๒๓๕ น. ก่องกานดา ชยามฤต. ๒๕๑๘. พืชมีประโยชน์วงศเ์ ปลา้ . จดั พมิ พโ์ ดยโครงการ BRT. บริษทั ประชาชน จำ�กัด,กรงุ เทพฯ. ๒๘๒ น. กองประมงน�ำ้ จดื . ๒๕๓๘. พรรณไมน้ �ำ้ ในประเทศไทย. กรมประมง, กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ ๑๕๔ น. ขนษิ ฐา อ่ยุ ถาวร. ๒๕๔๓. การศกึ ษาเพ่ือเปรยี บเทียบการเลอื กกนิ อาหารของนกเงือกที่อยใู่ นพน้ื ท ี่ อาศัยเดียวกนั ในชว่ งฤดผู สมพันธ์ุ ในเขตรักษาพนั ธุส์ ตั วป์ ่าห้วยขาแข้ง. วทิ ยานิพนธ ์ ปริญญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. คณะเภสชั ศาสตร์. ๒๕๓๙. สมนุ ไพรพ้ืนบ้านล้านนา. ภาควิชาเภสัชศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหดิ ล, กรงุ เทพฯ. ๒๖๔ น. คณะอนกุ รรมการประสานงานวิจัยและพัฒนาทรพั ยากรป่าไม้และไม้โตเรว็ เอนกประสงค.์ ๒๕๔๐. ไม้เอนกประสงค์กินได.้ ส�ำ นักงานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาต,ิ กรุงเทพฯ. ๔๘๖ น. โครงการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพดา้ นป่าไมแ้ ละสัตว์ป่าแบบบูรณาการ. ๒๕๔๗. พชื ถน่ิ เดยี วและพชื หายากของประเทศไทย. กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื . ๑๗๙ น. ค�ำ เหลก็ ไชยดารา. ๒๕๔๑. อนุกรมวิธานและการกระจายของพรรณไม้วงศก์ อ่ ในจงั หวดั พงสาล ี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. จำ�ลอง เพ็งคล้าย และชวลิต นยิ มธรรม. ๒๕๓๔. พรรณไมป้ า่ พรุ จงั หวดั นราธวิ าส. โครงการศนู ย ์ ศกึ ษาการพฒั นาพกิ ลุ ทองอนั เนอื่ งมาจากพระราชด�ำ ริ จงั หวดั นราธวิ าส (งานปา่ ไม)้ . ๓๖๘ น. จำ�ลอง เพง็ คล้าย และชวลติ นยิ มธรรม. ไมร่ ะบุปที ่พี ิมพ์. พรรณไม้วงศไ์ ม้ยางของไทย, น. ๕-๒๐๖. ใน ไมย้ างนาและไมใ้ นวงศไ์ มย้ างเลม่ ๓ : นานาสาระเกยี่ วกบั ไมว้ งศย์ าง. กรมปา่ ไม.้ ๓๕๖ น. จ�ำ ลอง เพง็ คลา้ ย, ธวชั ชัย สันติสขุ , บศุ บรรณ ณ สงขลา และลีนา ผ้พู ัฒนพงศ์. ๒๕๒๐. พันธุไ์ ม้ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่. ห.จ.ก. นิวธรรมดาการพิมพ์, กรุงเทพฯ. ๗๔ น. จ�ำ ลอง เพ็งคลา้ ย, ธวชั ชยั สันติสุข, ธีรวฒั น์ บญุ ทวคี ุณ, พงษศ์ กั ด์ิ พลเสนา และทนงศักด์ิ จงอนรุ ักษ์. พรรณไมว้ งศ์ก่อของไทย. จัดพมิ พ์โดยโครงการ BRT, โรงพิมพก์ รงุ เทพฯ (๑๙๘๔) จ�ำ กดั , กรงุ เทพฯ. ๓๒๐ น. จำ�ลอง เพง็ คลา้ ย. ๒๕๑๘. วงศ์ไม้พญาไม้ PODOCARPACEAE, น. ๔๖-๕๑. ใน เตม็ สมิตินนั ทน์ (บรรณาธกิ าร). ไมท้ ีม่ ีคา่ ทางเศรษฐกจิ ของไทย ตอนที่ ๒. หอพรรณไม,้ กรมป่าไม.้ ๖๗ น. 372 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขยี ว-น�้ำ หนาว

จำ�ลอง เพง็ คลา้ ย. ไม่ระบปุ ที ่พี มิ พ์ ก. ความหลากหลายและการเรียนร้พู รรณพืชเมอื งไทย. ส�ำ นักวิทยาศาสตร์, ราชบณั ฑิตยสถาน. ๑๑ น. จำ�ลอง เพ็งคลา้ ย. ๒๕๑๘. วงศไ์ ม้มะเกลอื EBENACEAE, น. ๘-๑๔๙. ใน ไม้ท่มี ีค่าทางเศรษฐกจิ ของ ไทย ตอนท่ี ๓. ร.พ.ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำ กัด, กรงุ เทพฯ. ชวลติ นิยมธรรม และดวงใจ ศุขเฉลิม. ๒๕๓๘. พรรณไมท้ ี่ได้รบั การขนานนามเพอื่ เป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์ ดร.เตม็ สมติ นิ นั ทน,์ น. ๗๗-๙๒. ใน ธวชั ชยั สนั ตสิ ขุ (บรรณาธกิ าร). หนงั สอื อนสุ รณส์ ถานงานพระราชทานเพลงิ ศพ ศาสตราจารย์ ดร.เตม็ สมติ นิ นั ทน.์ บริษทั ร�ำ ไทยเพรส จำ�กัด, กรงุ เทพฯ. ๓๐๗ น. ชวลติ นยิ มธรรม. ๒๕๔๐. ไมต้ ้นในพ้ืนทพ่ี รุ จงั หวดั นราธวิ าส. ศนู ย์วจิ ัยและศึกษาธรรมชาติป่าพร ุ สิรนิ ธร ในโครงการศูนยศ์ กึ ษา การพัฒนาพิกลุ ทอง อันเน่อื งมาจากพระราชด�ำ ริ จังหวดั นราธวิ าส. บรษิ ทั อมั รนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ แอนดพ์ ลบั บลชิ ชงิ่ จ�ำ กดั (มหาชน), กรงุ เทพฯ. ๑๗๔ น. ไซมอน การด์ เนอร์, พินดา สิทธสิ นุ ทร และวไิ ลวรรณ อนสุ ารสนุ ทร. ๒๕๔๓. ต้นไมเ้ มืองเหนอื : ค่มู ือ ศึกษาพรรณไมต้ น้ ในป่าภาคเหนอื ประเทศไทย. หอพรรณไม,้ ภาควชิ าชีววิทยา, คณะวทิ ยาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, เชียงใหม่ ๕๔๕ น. ณรงค์ คูณขุนทด. ๒๕๔๔. การศึกษาทางอนุกรมวธิ านของพรรณไม้วงศน์ อ้ ยหน่าในป่าตะวันออก. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. ดุรชัย บญุ เรอื ง. ๒๕๔๒. การศกึ ษาองค์ประกอบทางเคมแี ละคุณคา่ ทางโภชนาของอาหารประเภทไม้ล้มลุก, ไมเ้ ล้ือยและไมพ้ ุ่มทีเ่ ปน็ อาหารของกวางปา่ (Cervus unicolor Kerr.) ใน ป่าดิบเขาช่วงฤดูฝนในเขตรกั ษาพันธ์สุ ตั วป์ ่าภเู ขียวจังหวัดชัยภูมิ.ปัญหาพิเศษปริญญาตร.ี ภาควชิ าสัตวศาสตร์, คณะเกษตรศาสตร,์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , จงั หวัดขอนแกน่ เต็ม สมิตนิ นั ทน.์ ๒๕๐๖. ไม้ก่อในประเทศไทย, น. ๓๑-๓๙. ใน ธวชั ชยั สันตสิ ขุ (บรรณาธกิ าร). ๒๕๓๘. หนงั สอื อนสุ รณง์ านพระราชทานเพลงิ ศพ ศาสตราจารย์ ดร.เตม็ สมติ นิ นั ทน.์ บริษัท ร�ำ ไทยเพรส จำ�กดั , กรุงเทพฯ. ๓๐๗ น. เตม็ สมิตินันทน์. ๒๕๐๙. ตน้ ไม้เขตอบอุ่นบางชนดิ ในประเทศไทย, น. ๔๐-๔๓. ใน ธวัชชัย สันตสิ ุข (บรรณาธิการ). ๒๕๓๘. หนังสืออนุสรณ์สถานงานพระราชทานเพลงิ ศพ ศาสตราจารย์ ดร.เตม็ สมติ ินันทน.์ บรษิ ัท ร�ำ ไทยเพรส จำ�กัด, กรุงเทพฯ. ๓๐๗ น. เต็ม สมิตนิ นั ทน.์ ๒๕๑๘. พนั ธไุ์ มป้ ่าเมอื งไทย. หอพรรณไม้, กรมปา่ ไม้. ๒๒๘ น. เต็ม สมิตินันทน์. ๒๕๒๒. พรรณไมป้ ่าดิบเขา, น. ๗๒-๗๔. ใน ธวชั ชยั สนั ตสิ ขุ (บรรณาธิการ). ๒๕๓๘. หนงั สอื อนสุ รณง์ านพระราชทานเพลงิ ศพ ศาสตราจารย์ ดร.เตม็ สมติ นิ นั ทน.์ บริษทั ร�ำ ไทยเพรส จำ�กดั , กรุงเทพฯ. ๓๐๗ น. เตม็ สมติ นิ นั ทน์. ๒๕๒๓. ช่ือพรรณไม้แหง่ ประเทศไทย (ช่อื พฤกษศาสตร์–ชอ่ื พืน้ เมือง). หอพรรณไม,้ กรมปา่ ไม้. ๓๗๙ น. เต็ม สมติ นิ ันทน์. ๒๕๔๔. ชอื่ พรรณไมแ้ หง่ ประเทศไทย (ฉบับแก้ไขเพมิ่ เติม พ.ศ. ๒๕๔๔). สว่ นพฤกษศาสตร์ปา่ ไม,้ ส�ำ นกั วิชาการปา่ ไม,้ กรมป่าไม.้ ๘๑๐ น. ธงชยั เปาอินทร์ และนวิ ตั ร เปาอินทร.์ ๒๕๔๔. ต้นไมย้ าน่ารู้. บริษัท ออฟเซท็ เพรส จ�ำ กัด, กรุงเทพฯ. ๓๗๖ น. ธวชั ชัย สันตสิ ขุ และชวลิต นิยมธรรม. ๒๕๑๘. วงศ์ไมป้ ระดู่ LEGUMINOSAE, น. ๑๕๐-๒๔๔. ใน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุ์พืช 373

เตม็ สมติ นิ นั ทน์ (บรรณาธกิ าร). ไมท้ มี่ คี า่ ทางเศรษฐกจิ ของไทย ตอนท่ี ๓. โรงพมิ พ์ ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำ กดั , กรุงเทพฯ. ธวัชชยั สนั ตสิ ุข. ๒๕๑๘. วงศไ์ มโ้ กงกาง RHIZOPHORACEAE, น. ๒๑-๓๐. ใน เต็ม สมิตนิ ันทน์ (บรรณาธิการ). ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกจิ ของไทย ตอนที่ ๒. กรมป่าไม.้ ๒๖๗ น. ธวชั ชยั สนั ตสิ ขุ . ๒๕๒๘. การอนุรักษ์พันธุ์ไมเ้ ขตอบอนุ่ และสังคมพชื ภเู ขากึง่ อัลไพนบ์ นดอย เชยี งดาว, น. ๒๓๘-๒๔๓. ใน ธวชั ชยั สนั ตสิ ขุ , เตม็ สมติ นิ นั ท์ และ W. Brockelman (บรรณาธกิ าร). การอนรุ กั ษธ์ รรมชาตใิ นประเทศไทยในแงก่ ารพฒั นาสงั คมและเศรษฐกจิ . สยามสมาคม, กรงุ เทพฯ. ธวชั ชัย สนั ตสิ ขุ . ๒๕๓๖. ป่าเมฆ, น. ๑๒๑-๑๓๗. ใน กฤษณา ชุติมา, ประสทิ ธิ์ ฟตู ระกลู , สมชัย บวรกติ ติ และศกั ดา ศริ พิ นั ธ์ุ (บรรณาธกิ าร). วารสารราชบณั ฑติ ยสถาน (๑) : สงิ หาคม (๒๕๓๖). ธวชั ชัย สนั ตสิ ุข. ๒๕๓๗. อุทยานแห่งชาติภกู ระดึง ป่าไม้และพรรณพฤกษชาติ. ส่วนอทุ ยานแห่งชาติ, สำ�นกั อนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาต,ิ กรมปา่ ไม.้ ๘๖ น. นริศ ภูมิภาคพนั ธ.์ ๒๕๓๑. นเิ วศวิทยาของชะนมี ือขาวและคา่ งแว่นถนิ่ เหนอื ในเขตรกั ษาพนั ธสุ์ ตั วป์ ่า ห้วยขาแขง้ . วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,์ กรุงเทพฯ. บญุ ธรรม เอ่ียมสมบรู ณ.์ ๒๕๑๗. ดงไม.้ โรงพิมพ์ รงุ่ เรืองธรรม, กรุงเทพฯ. ๓๗๓ น. ประชดิ วามานนท.์ ๒๕๔๒. การศกึ ษาพรรณไมไ้ ทยในประวัติศาสตร,์ น. ๑-๑๓. ใน แนวทางในการ ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ. โครงการจดั ต้ังศูนย์ศึกษาความหลากหลายทาง ชีวภาพ, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรุงเทพฯ ๔๐๗ น. ปยิ ะ เฉลมิ กล่นิ . ๒๕๔๔. พรรณไม้วงศ์กระดังงา. บริษทั อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลิชชิ่ง จ�ำ กัด (มหาชน), ตลง่ิ ชนั , กรงุ เทพฯ. ปิยะ เฉลิมกลิ่น. ๒๕๔๕. แมกโนเลียเมืองไทย. สำ�นกั พิมพ์บา้ นและสวน หนงั สอื ในเครืออมรินทร,์ กรุงเทพฯ. ๑๘๕ น. ปรีชา องคป์ ระเสรฐิ . ๒๕๔๑. พฤกษศาสตร์พื้นบา้ น ในปา่ ชมุ ชนดงใหญ่ ต�ำ บลสร้างถอ่ น้อย อ�ำ เภอ หวั ตะพาน จงั หวดั อ�ำ นาจเจรญิ . วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. ฝา่ ยจดั การทรัพยากรธรรมชาติ. ๒๕๔๓. ความหลากหลายของพชื ทม่ี ีทอ่ ล�ำ เลียงและสังคมพชื ใน เขตรกั ษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าภเู ขยี ว จังหวัดชัยภมู .ิ โครงการตามมาตรการเพ่มิ การใช้จา่ ยภาครัฐ เพือ่ กระต้นุ เศรษฐกจิ (MIYAZAWA PLAN). เขตรกั ษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่าภูเขยี ว, สว่ นอนุรักษ์ สัตว์ป่า, สำ�นกั อนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาต,ิ กรมปา่ ไม้. ๑๗๗ น. พรชยั วิสทุ ธาจารย์. ๒๕๔๐. ชพี ลกั ษณข์ องพรรณไม้และอุปนสิ ัยการกินอาหารของนกในป่าดิบแลง้ เขตรกั ษาพนั ธสุ์ ตั วป์ า่ เขาอา่ งฤาไน จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. ภาณมุ าศ จันทรส์ ุวรรณ, วัชระ สงวนสมบตั ิ และพรนรนิ ทร์ คุ้มทอง. ๒๕๔๙. มะเดื่อ-ไทร ในป่า ตะวนั ออก. องค์การพพิ ิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาต,ิ ปทุมธานี ๑๐๒ น. ภาวณิ ี กุมเพ็ชร. ๒๕๔๒. พชื สมุนไพร. สำ�นักวิชาการวจิ ัย, องค์การสวนพฤกษศาสตร์. ๙๐ น. มงคล คำ�สขุ และกติ ติ กรีตยิ ุตานนท.์ ๒๕๔๒ ก. ความหลากหลายของพรรณพชื ท่ีมีท่อล�ำ เลยี งใน 374 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

เขตรกั ษาพันธสุ์ ัตวป์ า่ ภเู ขียว จงั หวัดชยั ภูม.ิ ฝ่ายจดั การทรัพยากรธรรมชาติ, เขตรกั ษาพนั ธ ์ุ สตั วป์ า่ ภเู ขียว, สว่ นอนุรกั ษส์ ตั ว์ป่า, ส�ำ นักอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาต,ิ กรมป่าไม.้ ๑๒๖ น. มงคล ค�ำ สุข และกิตติ กรตี ยิ ุตานนท์. ๒๕๔๒ ข. พรรณไมบ้ ริเวณเสน้ ทางศกึ ษาธรรมชาติ (ทุ่งกะมัง) ในเขตรกั ษาพันธ์ุสตั ว์ป่าภเู ขียว จังหวดั ชยั ภูมิ. ฝ่ายจดั การทรัพยากรธรรมชาติ, เขตรกั ษาพนั ธ ุ์ สตั วป์ า่ ภเู ขยี ว, สว่ นอนรุ กั ษส์ ตั วป์ า่ , ส�ำ นกั อนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาต,ิ กรมปา่ ไม.้ ๑๑๙ น. มงคล ค�ำ สุข และกิตติ กรตี ิยุตานนท์. ๒๕๔๒ ค. สงั คมพชื ในเขตรกั ษาพนั ธุ์สตั ว์ปา่ ภเู ขยี ว จังหวดั ชัยภูม.ิ ฝา่ ยจัดการทรัพยากรธรรมชาต,ิ เขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่าภูเขยี ว, ส่วนอนุรกั ษ์สัตวป์ า่ , ส�ำ นักอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ, กรมป่าไม้. ๑๗๙ น. มงคล ค�ำ สุข. ๒๕๔๐. พืชอาหารของนกในป่าบางประเภทระหว่างฤดูฝน ในสถานีวิจัยลุ่มนำ้�แมก่ ลอง จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรุงเทพฯ. มงคล คำ�สุข, วฒุ นิ นั ท์ พวงสาย และกิตตศิ ักดิ์ สมศรี. ๒๕๕๐. รายงานฉบบั สมบรู ณ์ : โครงการการ ศกึ ษาความหลากหลายของสัตว์สะเทนิ น้ำ�สะเทนิ บกและสัตวเ์ ล้ือยคลาน ในเขตรักษาพนั ธ ์ุ สัตวป์ ่าภูเขียว จังหวดั ชัยภมู ิ สนับสนนุ โคยโครงการพัฒนาองคค์ วามรู้ และศกึ ษานโยบาย การจดั การทรพั ยากรชวี ภาพในประเทศไทย (โครงการ BRT). รองลาภ สขุ มาสรวง. ๒๕๓๖. นเิ วศวิทยาของช้างปา่ (Elephas maximus Linnaeus, ๑๗๕๘) ใน เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ หว้ ยขาแขง้ จงั หวดั อทุ ยั ธานแี ละตาก. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. ลนี า ผพู้ ัฒนพงศ.์ ๒๕๒๕. สมุนไพรไทย ตอนที่ ๓. ฝ่ายพฤกษศาสตรป์ ่าไม้, กองบำ�รงุ , กรมปา่ ไม.้ ๒๘๙ น. ลีนา ผ้พู ฒั นพงศ.์ ๒๕๓๐. สมุนไพรไทย ตอนท่ี ๕. ฝ่ายพฤกษศาสตร์ป่าไม,้ กองบำ�รงุ , กรมปา่ ไม้. วิชาญ เอยี ดทอง, สมนกึ ผอ่ งอำ�ไพ และประมุข ลขิ ิตธรรมนิตย์. ๒๕๓๗. บทปฏบิ ัตกิ ารรกุ ขวทิ ยา ภาคสนาม ๒. ภาควชิ าชวี วทิ ยาปา่ ไม,้ คณะวนศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. วชิ าญ เอียดทอง. ๒๕๓๖. การศกึ ษาทางอนกุ รมวิธานของพรรณไม้วงศก์ ่อในเขตรกั ษาพันธ์ุสตั วป์ ่า หว้ ยขาแข้ง. วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. วิชาญ เอยี ดทอง. ๒๕๔๔. ความสัมพันธ์ของนกกบั พืชทีอ่ าศัยนกในการถ่ายละอองเรณูใน ประเทศไทย. วารสารวนศาสตร์ ๙(๑), ๓๐–๔๑. วิชาญ เอยี ดทอง. พรรณพฤกษชาตใิ นสกุลคนู Cassia. Advanced Thailand Geographic ๑๑ (๘๒) : ๑๔๔-๑๗๔. วิณนี ารถ พันธุว์ ุฒิ (บรรณาธิการ). ๒๕๔๓. พืชถ่นิ เดียวและพชื หายากของประเทศไทย. ส�ำ นกั งาน เสรมิ สร้างเอกลักษณข์ องชาติ, สำ�นกั นายกรัฐมนตร.ี ๑๑๕ น. วีระชัย ณ นคร. ๒๕๓๗. สวนพฤกษศาสตร์สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ ิกติ .์ิ องค์การสวนพฤกษศาสตร,์ ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี, กรุงเทพฯ. ๑๑๒ น. วรี ะชัย ณ นคร. ๒๕๔๑. สวนพฤกษศาสตรส์ มเดจ็ พระนางเจ้าสริ กิ ิต์ิ เลม่ ๕. โอ. เอส. พร้ินติ้ง จำ�กดั , กรงุ เทพฯ. ๒๐๖ น. สถาบันการแพทย์แผนไทย. ๒๕๔๒ ก. ผักพื้นบ้านภาคเหนอื . กรมการแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข. ๒๘๐ น. กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุ์พืช 375

สถาบันการแพทย์แผนไทย. ๒๕๔๒ ข. ผกั พน้ื บา้ นภาคกลาง. กรมการแพทย,์ กระทรวงสาธารณสขุ . ๒๗๙ น. สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทยและสถาบนั วิจยั และฝกึ อบรมการเกษตรสกลนคร. ๒๕๔๑. ผักพนื้ บ้าน ภาคอสี าน. โรงพิมพ์องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ , กรุงเทพฯ. ๓๐๒ น. สมคดิ สริ ิพัฒนดิลก. ๒๕๓๕ ก. ปา่ และปจั จัยในการเกดิ ปา่ ในประเทศไทย, น. ๖๑–๗๘. ใน เอกสาร ประกอบการฝกึ อบรมการพฒั นาทรพั ยากรปา่ ไม.้ ศนู ยว์ จิ ยั ปา่ ไม.้ คณะวนศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. สมคิด สริ พิ ัฒนดลิ ก. ๒๕๓๕ ข. สังคมพชื บนท่ีสงู , น. ๑๖–๒๘. ใน เอกสารประกอบการฝึกอบรม การพฒั นาทรพั ยากรปา่ ไม.้ ศนู ยว์ จิ ยั ปา่ ไม.้ คณะวนศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. สมจิตร พงศ์พงนั และสภุ าพ ภปู่ ระเสรฐิ . ๒๕๓๔. พืชกินไดแ้ ละพชื มีพษิ ในป่าเมืองไทย. สมาคม วทิ ยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. ๑๗๖ น. สมาคมปา่ ไมแ้ หง่ ประเทศไทย. ๒๕๒๗. ไมแ้ ละของปา่ บางชนดิ ในประเทศไทย. กรมป่าไม้. ๔๙๐ น. ส่วนพฤกษศาสตร์ปา่ ไม้. ๒๕๔๒. พรรณไม้ต้นของประเทศไทย. ส�ำ นักวชิ าการปา่ ไม้, กรมป่าไม.้ ๒๑๒ น. สว่ นพฤกษศาสตรป์ ่าไม้. ๒๕๔๔ ช่ือพรรณไม้แห่งประเทศไทย เตม็ สมิตินันทน์ ฉบบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พ.ศ. ๒๕๔๔. สำ�นกั วิชาการปา่ ไม.้ กรมป่าไม้. ๘๑๐ น. สว่ นเพาะช�ำ กลา้ ไม.้ ๒๕๓๗. พนั ธไ์ุ มม้ งคลพระราชทาน. ส�ำ นกั สง่ เสรมิ การปลกู ปา่ , กรมปา่ ไม.้ ๘๔ น. ส่วนศนู ยข์ ้อมลู กลาง. ๒๕๔๑. สถิติการปา่ ไม้ของประเทศไทย ๒๕๔๑. สำ�นกั สารนเิ ทศ, กรมป่าไม.้ ๑๔๔ น. สะอาด บญุ เกดิ , จเร สดากร และทิพย์วรรณ สดากร. ๒๕๒๕. ช่ือพรรณไมใ้ นประเทศไทย. คณะ วนศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. ๖๕๗ น. สธุ าดา ศรเี พ็ญ. ๒๕๔๒. พรรณไมน้ ้ำ�ในประเทศไทย. ภาควชิ าพฤกษศาสตร,์ คณะวทิ ยาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ ๓๑๒ น. สุมน มาสุธน. ๒๕๔๒. สถานภาพของเฟินบางชนดิ ทีถ่ ูกคกุ คามในธรรมชาติ, น. ๓๘–๕๐. ใน แนวทางในการศกึ ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ. โครงการจัดตงั้ ศนู ย์ศึกษาความหลาก หลายทางชวี ภาพ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ๔๐๗ น. องคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์. ๒๕๓๘. สวนพฤกษศาสตร์สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ ิกิติ์ เลม่ ๒. ส�ำ นกั นายก รัฐมนตร.ี ๑๕๓ น. องค์การสวนพฤกษศาสตร.์ ๒๕๔๐. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกิติ์ เล่ม ๓. พิมพ์คร้งั ท่ี ๒. สำ�นักนายกรัฐมนตรี. ๑๕๕ น. องคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์. ๒๕๔๒. ไมต้ น้ ในสวน. สำ�นกั นายกรฐั มนตรี. ๒๑๒ น. อทุ ิศ กฏุ อินทร.์ ๒๕๔๒. นเิ วศวทิ ยาพน้ื ฐานเพือ่ การป่าไม.้ ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้, คณะวนศาสตร,์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ ๕๖๖ น. เอ้อื มพร วสี มหมาย และปณธิ าน แกว้ ดวงเทียน. ๒๕๔๗. ไม้ป่ายืนต้นของไทย ๑. โรงพิมพ์ เอช เอ็น กรุ๊ป จ�ำ กดั , กรุงเทพฯ. ๖๕๒ น. 376 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขยี ว-นำ้�หนาว

Banziger, H., Hansen, B. and K. Kreetiyutanont. 2000. A New Form of the Hermittžs Spittoon, Sapria himalayana Griffith f. albovinosa Banzinger & Hansen F. Nov. (Rafflesiaceae), with Notes on Itžs Ecology. Nat. Hist. Bull. Siam Soc. 48 : 213-219. Bhumpakphan, N. 1997. Ecological Characteristics and Habitat Utilization of Gaur (Bos gaurus H.Smith, 1827) in Different Climatic Sites. Doctor Thesis. Kasetsart University. Boonkerd, T. and R. Pollawatn. 2000. Pteridophytes in Thailand. Office of Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand. 312 p. Buffetaut, E. and R. Ingavat. 1982. Phytosaur Remains (Reptilia, Thecodontia) From the Upper Triassic of North–Eastern Thailand. Lyon, fevrier (1982), p. 7-17. Chantaranothai, P. and J. Parnell. 1994. A revision of Acmena, Cleistocalyx, Eugenia and Syzygium (Myrtaceae) in Thailand. Thai Forest Bull. (Botany) 21 : 1-123. de Broin, F., R. Ingavat, P. Janvier and N. Sattayaruk. 1982. Triassic Turtle Remains from Northeastern Thailand. Jour. Vertebrate Paleontology 2 (1) : 41-16, May 1982. Ingavat, R. and P. Janvier. 1981. CYCLOTOSAURUS CF. POSTHUMUS Fraas (Capitosau ridae, Stereospondyli) from the Huai Hin Lat Formation (Upper Triassic), Northeastern Thailand, with a note on Capitosaurid Biogeography. Lyon, dežcembre (1981), p. 711-725. Na Songkhla, B. 1973. Proteaceae. Thai For. Bull. (Botany) 7 : 48-66. Na Songkhla, B. and C. Khunwasi. 1993. The Study on Ten Genera of Convolvulaceae in Thailand. Thai For. Bull. (Botany) 20 : 1-92. Phengklai, C. 1973 a. Cephalotaxaceae. Thai For. Bull. (Botany) 7 : 7–8. Phengklai, C. 1973 b. Cupressaceae. Thai For. Bull. (Botany) 7 : 5-6. Phengklai, C. 1973 c. Podocarpaceae. Thai For. Bull. (Botany) 7 : 9–19. Phengklai, C. 1986. Study in Thai Flora Tiliaceae. Thai For. Bull. (Botany) 16 : 2–118. Phengklai, C. 1995. Studies in Thai Flora Sterculiaceae in Thailand. Thai For. Bull. (Botany) 23 : 62–108. Pooma, R. 1999. A Preliminary account of Burseraceae in Thailand. Thai For. Bull. (Botany) 27 : 53–82. Pooma, R., S. suddee, C. Voradol, K. Narong, P. Kanlaya, S. Sukontip and P. Manop. 2005. A Preliminary Check list of Threatened Plants in Thailand. A Survey on Rare, Endemic and Endangered Plants in Thailand, as Part of the Forest and Wildlife Biodiversity Management : Sustainable Concervation and Development Utilization Project. Forest Herbarium, National Park, Wildlife and Plant Conservation Department, Bangkok, Thailand. 193 p. Puff, C., Chayamarit, K. and V. Chamchumroon. 2005. Rubiaceae of Thailand: A pictorial กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์ุพืช 377

guide to indigenous and cultivate genera. The Forest Herbarium, National Park, Wildlife and Plant Conservation Department, Bangkok. 245 p. Sangkaew, S. 1999. Taxonomic Studies of the Genus CALOPHYLLUM L. (GUTTIFERAE) in Thailand. Master Thesis. Kasetsart University, Bangkok, Thailand. Santisuk, T. 1987. Bignoniaceae. Flora of Thailand 5, 1 : 32-66. Saralamp, P., Chuakul, W., Temsiririrkkul, R. and T. Clayton. 1996. Medicinal Plants in Thailand. Vol. 1. Department of Pharmaceutical Botany, Faculty of Pharmacy, Mahidol University. 218 p. Seidenfaden, M. E. 1920. Further Notes About the Chaubun, Etc. The Journal of the Siam Society. Vol. XII (Part 3) : 47–53. Seidenfaden, M. E. 1925. The Kha Tong Luzang. The Journal of the Siam Society. Vol. XIII (Part 3) : 49–51. Strien, N. J. Van. 1975. Dicerorhinus sumatrensis (Fischer) the Sumatran or Two– horned Asiatic Rhinoceros a Study of Literature. Mededelingen (22). van Welzen, P. C. 1998. Analytical Key to the Genera of Thai Euphorbiaceae. Thai For. Bull. (Botany) No. 26 : 1–17. van Welzen, P. C., Haegens, R. M. A. P., Slik, J. w. f., Bollendorff, S. M., Dressler, S. and H.-J. Esser. 2000. Checklist of the genera of Thai Euphorbiaceae–1. Thai For. Bull. (Bot.) 28 : 59-111 Takhtajan, A. 1997. Diversity and Classification of Flowering Plants. Columbia University Press. New York. 643 p. Whitington, C. and U. Treesucon. 1991. Selection and Treatment of Food Plants by White-handed Gibbons (Hylobates lar) in Khao Yai National Park, Thailand. NAT. HIST. BULL. Siam SOC. 39 : 111- 122. 378 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขียว-น้ำ�หนาว

เกย่ี วกบั ผู้เรียบเรียง ประวัติ : นายมงคล ค�ำ สขุ เกดิ วนั ท่ี ๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ณ บ้านเลขที่ ๑๗๖ หมู่ที่ ๒ บ.หนอง ดินด�ำ ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขยี ว จ.ชยั ภูมิ เป็นบุตรคนท่ี ๓ ของคณุ พ่อสากล – คุณแม่ทองบน ค�ำ สุข ประวัติการศึกษา : ๑. ประถมศึกษา ร.ร. บา้ นหนองดินด�ำ ต.บา้ นแก้ง อ.ภเู ขียว จ.ชยั ภูมิ ๒. มัธยมศึกษา ร.ร. ภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชยั ภมู ิ ๓. ปริญญาตรี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ สาขาวชิ าเอก การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ แขนงวิชา ชวี วทิ ยาป่าไม้ ปริญญาบตั ร วทิ ยาศาสตรบ์ ณั ฑติ (วท.บ. (วนศาสตร)์ ) รุน่ ที่ ๕๗ ๔. ปริญญาโท คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ สาขาวิชาเอก ชวี วิทยาป่าไม้ วชิ ารอง สตั ววิทยา ปริญญาบตั ร วิทยาศาสตร์มหาบัณฑติ (วท.ม. (วนศาสตร)์ ) ประวัตกิ ารปฏิบตั ิงาน : ๑. พ.ศ. ๒๕๔๑-๔๓ ผูช้ ว่ ยนักวิจยั (ลกู จา้ งช่ัวคราว) ประจ�ำ เขตรักษาพนั ธ์สุ ัตว์ป่าภเู ขยี ว จ.ชัยภูมิ ส�ำ นักอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ กรมปา่ ไม้ ๒. พ.ศ. ๒๕๔๓-๔๔ รบั ราชการทหารกองประจ�ำ การ ประจำ�จังหวดั ทหารบกราชบรุ ี จ.ราชบรุ ี ๓. ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕–๓๑ มกราคม ๒๕๔๖ รบั ราชการต�ำ แหน่งนกั วิชาการปา่ ไม้ ๓ ทำ�หนา้ ทผ่ี ู้ชว่ ยหัวหน้าวนอทุ ยานภชู ้ีฟ้า ส�ำ นักงานปา่ ไม้เขตเชียงราย กรมปา่ ไม้ ๔. ๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๖–๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๔๖ ต�ำ แหน่งนกั วชิ าการป่าไม้ ๔ ทำ�หน้าท่ผี ู้ช่วย หัวหนา้ เขตรกั ษาพันธุส์ ตั วป์ ่าดอยผาช้าง จ.พะเยา–น่าน ส�ำ นกั บริหารจัดการพ้ืนที่ป่าอนรุ ักษ์ ๑๕ (เชยี งราย) กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์พุ ชื ๕. พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๕๑ ต�ำ แหนง่ นกั วชิ าการปา่ ไม้ ๔ – ๖ ทำ�หนา้ ทผี่ ชู้ ว่ ยหวั หนา้ เขตรักษาพนั ธุ์ สัตวป์ า่ ภูเขียว สว่ นอนรุ กั ษ์สัตว์ป่า และหัวหน้าโครงการพฒั นาป่าภเู ขยี ว ส�ำ นักบริหารพน้ื ทีอ่ นรุ กั ษ์ ที่ ๗ (นครราชสีมา) กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช ๖. พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๓ ตำ�แหนง่ นกั วชิ าการป่าไม้ช�ำ นาญการ ท�ำ หนา้ ทีห่ วั หน้าสายตรวจ ปราบปรามสายท่ี ๑ (พษิ ณโุ ลก) ส่วนอนุรกั ษแ์ ละป้องกันทรัพยากร สำ�นักบริหารพ้ืนที่อนุรกั ษท์ ่ี ๑๑ (พิษณุโลก) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธุ์พชื ๗. พ.ศ. ๒๕๕๓-กนั ยายน ๒๕๕๔ ต�ำ แหน่งนกั วิชาการป่าไม้ช�ำ นาญการ ทำ�หน้าทหี่ ัวหน้า ฝ่ายจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่า ส่วนอนรุ ักษ์สัตว์ป่า สำ�นกั บริหารพ้ืนทอี่ นุรักษท์ ี่ ๑๑ (พิษณโุ ลก) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุ์พชื ๘. กนั ยายน ๒๕๕๔–มถิ ุนายน ๒๕๕๕ ต�ำ แหน่งนักวิชาการปา่ ไมช้ �ำ นาญการ ทำ�หน้าที่ หัวหนา้ เขตรกั ษาพันธสุ์ ัตวป์ ่าอุ้มผาง สว่ นอนรุ ักษส์ ัตวป์ ่า ส�ำ นกั บรหิ ารพ้นื ทอี่ นุรักษท์ ี่ ๑๔ (ตาก) กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธุ์พชื กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 379


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook