หมกั ฟกั ดง (Mak Fak Dong) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ ICACINACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Apodytes dimidiata E. Mey. ex Arn. ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Apodytes cambodiana Pierre, A. yunnanensis Hu, A. benthamiana Wight, A. beddomei Mast., A. javanica K. &V., A. tonkinensis Gagnep. ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : จา้ อ่อน (ล�ำ ปาง); ฟักดง (หนองคาย) ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดกลางไมผ่ ลดั ใบ เปลอื กหนาเรยี บ สเี ทาอมน้ำ�ตาล เปลอื กในสี นำ้�ตาลออ่ น ใบเดี่ยว รปู รี ปลายและโคนทู่ ขอบเปน็ คล่นื แผน่ ใบบาง ด้านบนสเี ขียวเข้มเกลีย้ ง เป็นมนั แต่มีขนส้ัน ๆ ตามเสน้ ใบ ดา้ นล่างสซี ดี กวา่ ก้านใบเรียวยาวมกั คดงอ เรียงเวียน ใบแก่ก่อน รว่ งสีเหลอื ง เม่อื แห้งสีดำ� ช่อดอกออกทซ่ี อกใบใกล้ปลายกิง่ หรือปลายก่ิง มดี อกย่อยจ�ำ นวนมาก ดอกขนาดเลก็ สขี าว มกี ลิ่นหอมอ่อน ๆ กา้ นใบสั้นมาก ผลสด รปู คลา้ ยไตแบน ๆ และหนาตามยาว สีเขยี วทง้ั เมล็ดและฐานรอง สุกเปลย่ี นเป็นสีม่วงด�ำ ส่วนฐานรองผลคล้ายมะม่วงหมิ พานต์ อวบน�ำ้ เปลีย่ นเปน็ สแี ดงสด มี ๑ เมล็ด พบตามพน้ื ทีค่ ่อนขา้ งช้นื ในป่าดบิ เขา ป่าดบิ แลง้ ป่าดบิ ก่ึงพรแุ ละ ปา่ ดบิ เขาผสมสน ประโยชน์ : –เนือ้ ไม้ใชท้ ำ�ต้แู ละเฟอร์นิเจอร์ –ผลสกุ เปน็ อาหารของค่างแว่นถ่นิ เหนือ 180 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขยี ว-น�ำ้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 181
มันหมู (Man Mu) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ ICACINACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Platea latifolia Blume ผถู้ า่ ย เวทติ พ่มุ พวง ช่ืออ่ืน (Vernacular name) : ครึ่งครก, เพ้ยี กระทิง (นครราชสีมา); ตบั ควาย (สงขลา) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมต้ น้ ไม่ผลดั ใบ ลำ�ต้นเปลาตรง แตกกิง่ สงู เปลือกนอกหนา เรยี บ สเี ทา เปลอื กใน สีน�ำ้ ตาลออ่ น ใบเดยี่ ว รปู รแี กมรูปขอบขนาน ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บหรอื เป็นคล่นื แผน่ ใบหนา เกล้ียงเปน็ มนั ทง้ั สองดา้ น ด้านบนสีเขียวเขม้ ดา้ นล่างสอี อ่ นกว่าและมีเกล็ดสเี งินกระจายห่าง ๆ ก้านใบ ยาว เรียงสลับ ช่อดอกออกทซ่ี อกใบใกลป้ ลายก่ิง มดี อกยอ่ ยจำ�นวนมาก ดอกแยกเพศขนาดเลก็ สีเขยี วอ่อน ผลแบบผลหนงั ชั้นในแขง็ รปู ทรงกระบอก ปลายบุ๋ม ผลสกุ สีเหลือง ฐานรองผลเลก็ ก้าน ผลยาว เมล็ดรปู ไข่ ผวิ แข็งสนี �้ำ ตาลมีร่องต้นื ๆ เป็นลวดลาย เป็นไม้เรอื นยอดช้ันบนในปา่ ดิบเขาและ ป่าดบิ ชน้ื ประโยชน์ : –เน้อื ไม้ใช้ก่อสร้างภายในและท�ำ เฟอรน์ เิ จอร์ –ผลสกุ เป็นอาหารของนกขนาดใหญ่ เช่น นกเงอื กคอแดง นกกก นกเงือกสนี ้ำ�ตาล และ นกแกก๊ 182 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว
ค่าหด (Kha Hot) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ JUGLANDACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Engelhardtia spicata Lechen ex Blume ชอื่ พ้อง (Synonym) : Engelhardtia colebrookeana Lindl. ex Wall., E. acerifolia (Reinw.) Blume, E. esquirolii Lev., E. integra Kurz ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : เกด็ ล้นิ (จนั ทบุรี); ข้าวหด, แงะ, มอื (เชยี งใหม)่ ; เคล่ะปอ (กะเหรย่ี ง–เชยี งใหม่); ขา่ หด, ดกู นาว, พาว (เหนอื ) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไม้ตน้ ผลัดใบชว่ งสน้ั ๆ เปลอื กนอกหนา สีน�ำ้ ตาลเทา เปลอื กในสนี ้ำ�ตาลแดง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่หรอื ค่ี เรียงเวียน ใบย่อยรูปรหี รอื รูปไข่กว้าง ปลายแหลม โคนมนหรือ เบยี้ ว ขอบเรยี บ ใบออ่ นมีขนนุ่มสีนำ้�ตาลคลมุ ทัง้ สองดา้ น เม่อื แก่เกล้ยี งหรอื มขี นเหลอื น้อย ช่อดอก ออกเปน็ ชอ่ หางกระรอก ทซ่ี อกใบใกล้ปลายกิง่ หอ้ ยลง ดอกแยกเพศขนาดเลก็ สีเขียวอมน�้ำ ตาล ผลกลม มีใบประดับหุ้มจำ�นวน ๓ ปกี ปีกตรงกลางมขี นาดใหญก่ ว่าปีกข้าง ผลมขี นเปน็ หนามสัน้ ๆ ผลอ่อนมีปีก สีน�้ำ ตาลแดง พบตามชายปา่ ดบิ เขา ปา่ สนเขา ปา่ ละเมาะเขาหรอื พน้ื ท่เี ปิดโล่งที่มโี ขดหนิ และลมพัดจัด ประโยชน์ : –เนอ้ื ไมใ้ ชก้ อ่ สรา้ งภายในและต้นใชเ้ ล้ียงครั่ง –ล�ำ ตน้ และเปลือกตน้ เป็นยาสมุนไพร ความสำ�คัญ : Engelhardtia spicata var. colebrookeana (Lindl. ex Wall.) Kuntze กระจาย มาจากเขตอบอุน่ หมายเหตุ : ในประเทศไทยพบ ๒ ความผันแปร (varieties) คอื ๑) var. colebrookeana มีใบยอ่ ย จำ�นวนน้อยและมีชอ่ ผลสน้ั และ ๒) var. spicata มีใบยอ่ ยหลายใบและมีช่อผลยาวกว่าอย่างชัดเจน ขอ้ ควรระวัง : ยางต้นมพี ิษและขนคลมุ ผลหากสมั ผัสถกู ผวิ ออ่ น ๆ จะทำ�ใหร้ ะคายเคือง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพชื 183
184 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
ช่อทบั ทมิ (Cho Thap Thim) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Callicarpa brevipetiolata Merr. ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไม้พ่มุ ขนาดเลก็ ไม่ผลัดใบ ก่งิ ออ่ นสีเ่ หลี่ยม มขี นส้ันสีน้ำ�ตาลคลมุ ใบเด่ียว รปู ใบหอก แกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนเวา้ ขอบหยักซ่ีฟันถี่ ๆ แผ่นใบบางสาก มขี นส้นั สีน้ำ�ตาลคลมุ ท้งั สอง ดา้ น ดา้ นบนสเี ขยี วเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกวา่ และมีขนหนาแนน่ ก้านใบสั้นมาก เรยี งตรงข้ามสลับต้งั ฉาก ช่อดอกออกเปน็ กระจุกที่ซอกใบ ดอกขนาดเล็ก สขี าวหรอื เขยี วอมเหลอื ง ผล รูปทรงกลม ขนาดเล็ก อุ้มน�้ำ สกุ สมี ว่ งมีเนอ้ื เมล็ดแบนบาง เกลีย้ ง รปู คร่ึงวงกลม สีนำ้�ตาลมี ๔ เมลด็ เปน็ ไมพ้ นื้ ลา่ งในปา่ ดบิ เขาและ ปา่ สนเขา ประโยชน์ : –ผลสุกเปน็ อาหารของนกปรอดโอง่ เมืองเหนือ ปรอดหัวโขน ปรอดหวั สเี ขมา่ และปรอด เหลืองหัวจกุ –ดอกและรูปทรงตน้ สวย เหมาะปลูกเปน็ ไม้ประดบั ในรม่ ข้อควรจ�ำ : คลา้ ยกบั ตอกใบใหญ่ (Callicarpa longifolia) แต่ตอกใบใหญม่ โี คนใบเรียวแหลมกว่า กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธุพ์ ชื 185
ชา้ แปน้ (Cha Paen) พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Callicarpa arborea Roxb. ช่อื พ้อง (Synonym) : Callicarpa magna Schauer, C. tomentosa auct. non (L.) Murr, C. villosa Roxb. ช่อื อื่น (Vernacular name) : กะตอกช้าง, ตาโมงปะสี (ยะลา); ดอื ดาดาปู (มาเลเซีย–นราธิวาส); หคู วายขาว (สุราษฎรธ์ าน)ี ; หคู วายใหญ่ (ชุมพร); ผ้าลาย (ใต้); เส้ยี ม (จันทบรุ ี); ทับแปง้ (สระบรุ ี); พา่ (กลาง); เตน (เลย); เปอควุย, และทุ่ง (กะเหรยี่ ง–แม่ฮอ่ งสอน); ผ้า (เชยี งใหม,่ กลาง); ขลุ่ย (กะเหรย่ี ง–เชยี งใหม)่ ; สักข้ีไก่ (ล�ำ ปาง); หคู วาย (เหนอื , ตรงั ); ฝา้ , ฝา้ ขาว, พ่าขาว (เหนอื ) ลักษณะทั่วไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเล็กผลัดใบช่วงส้นั ๆ กง่ิ ออ่ นเป็นส่เี หลีย่ มมีขนนมุ่ สั้นสนี �้ำ ตาลหม่นคลมุ หนาแนน่ ใบอ่อนมีขนรูปดาวสีขาวคลมุ หนาแน่น เปลือกนอกบาง เรียบหรือแตกเปน็ สะเก็ดขนาดเล็ก สเี ทา เปลือกในสีเหลอื ง ใบเด่ียว รปู รี รูปไขห่ รอื รูปรแี กมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรยี บหรอื หยัก แผน่ ใบหนาหยาบ มตี อ่ มสีเหลอื งกระจาย ดา้ นบนเกลยี้ งสเี ขยี ว ด้านล่างมีขนสน้ั สีขาวนวลคลุมหนาแนน่ เรยี งตรงขา้ มสลบั ตัง้ ฉาก ใบแก่ก่อนร่วงสเี หลอื ง ช่อดอกออกเปน็ กระจุกท่ี ซอกใบใกล้ปลายกิง่ ดอกขนาดเลก็ สชี มพหู รือมว่ ง มจี ำ�นวนมาก ผลสด รูปทรงกลม ขนาดเล็ก ฉำ่�น�้ำ เมือ่ สกุ สีม่วงมี ๔ เมล็ด พบตามชายปา่ ดิบเขา ป่าสนเขาหรอื พื้นที่เปดิ โล่งระดับสูงตงั้ แต่ ๘๐๐ เมตร จาก ระดบั น�้ำ ทะเลขึน้ ไป ประโยชน์ : –เปลอื กตน้ และแกน่ เปน็ ยาสมุนไพร –ใบใชเ้ ล้ยี งสตั ว์ยามขาดแคลนหญ้า –ผลสุกเปน็ อาหารของนกกนิ ผลไมห้ ลายชนิด 186 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภูเขียว-น้ำ�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 187
188 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
ตอกใบม่วง (Tok Bai Muang) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Callicarpa bodinieri H. Lév. ลักษณะท่วั ไป : เป็นไมพ้ ุ่มก่งึ เลือ้ ย กิง่ อ่อนกลมเกลยี้ ง สีนำ้�ตาลอ่อนถงึ สมี ว่ งออ่ น ใบเดยี่ ว รูปรีหรอื รปู ไข่กลับ ปลายเรยี วแหลม โคนสอบรูปล่ิม ขอบจกั ฟันเล่ือย แผ่นใบบาง ดา้ นบนเกลย้ี งสเี ขยี วเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกวา่ มขี นคลมุ ประปรายตามเสน้ ใบ ก้านใบสัน้ มาก เรียงตรงข้าม เส้นใบนูนออกด้านลา่ ง ชอ่ ดอกออกเป็นกระจกุ ขนาดเลก็ ทซี่ อกใบ ผลกลมเกลี้ยง ขนาดเลก็ สกุ สมี ่วงด�ำ เป็นไม้พื้นล่างใน ป่าดิบเขาท่ีคอ่ นข้างโปรง่ และปา่ สนเขาผสมกอ่ และป่าผลดั ใบ ประโยชน์ : ผลสุกเป็นอาหารของนกกินผลไม้หลายชนิด ข้อควรจำ� : ใบแก่ก่อนร่วงสีเขียวคลำ้�หรอื สมี ่วงอมแดง กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์ุพืช 189
ป้งิ ขาว (Ping Khao) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Clerodendrum glandulosum Lindl. ช่ือพอ้ ง (Synonym) : Clerodendrum glandulosum Colebr. ex Wall. ชื่ออืน่ (Vernacular name) : นมสวรรคเ์ ขา (นครศรีธรรมราช); ขข้ี ม (ใต)้ ; พวงพขี าว (เลย); เข็มป่า (แพร)่ ; เขาะคอโด่ะ, แบบิส,ี่ พอกวา (กะเหรยี่ ง–แมฮ่ อ่ งสอน) ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมพ้ ุ่มผลัดใบ ยอดอ่อนและก่งิ อ่อนเกลีย้ ง ก่งิ ออ่ นเป็นรปู ส่ีเหลี่ยม มีสันทู่ ๆ ใบเดี่ยว รูปหัวใจ ปลายแหลม โคนมนหรอื เวา้ ขอบเรยี บหรือหยักซฟี่ ันถี่ ๆ แผน่ ใบบาง มขี นสากคลมุ หา่ ง ๆ ทัง้ สองดา้ น ด้านบนสีเขม้ กวา่ ด้านล่าง เสน้ ใบนูนออกดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาวเกล้ียง เรียงตรงขา้ ม สลับตง้ั ฉาก ช่อดอกออกเปน็ กระจกุ ใกลป้ ลายกิ่งหรอื ทซ่ี อกใบใกล้ปลายกิง่ ดอกรปู ดอกเข็ม สีขาว อมชมพู ผลรปู ทรงกลม ขนาดเลก็ สุกสีด�ำ พบตามพื้นท่รี กรา้ งหรือเปดิ โลง่ ในป่าดิบเขา ป่าดบิ ทุกประเภทและป่าเบญจพรรณชนื้ ประโยชน์ : –ดอกและทรงพมุ่ สวยเหมาะปลกู เปน็ ไมป้ ระดบั –ยอดและใบออ่ นรสขม ใช้ประกอบอาหาร –นำ้�หวานจากดอกเป็นอาหารของนกกินนำ�้ ต้อยหลายชนิด 190 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 191
ผถู้ ่าย กติ ติ กรีติยุตานนท์ นมสวรรค์ (Nom Sa Wan) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Clerodendrum paniculatum L. ชือ่ อ่นื (Vernacular name) : ฉัตรฟา้ , สาวสวรรค์ (นครราชสมี า); พวงพเี หลือง (เลย); หวั ลงิ (สระบุร)ี ชือ่ สามัญ (Common name) : Pagoda Flower ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นไมพ้ มุ่ ผลัดใบ กง่ิ ออ่ นเปน็ รูปสเ่ี หลี่ยมเกล้ยี ง ใบเดย่ี ว รูปไข่หรือรปู หวั ใจ ปลาย แหลม โคนเวา้ ขอบหยกั ซฟี่ นั ห่าง ๆ หรือเปน็ แฉกจำ�นวน ๓–๗ แฉก แผ่นใบมขี นคลมุ บาง ๆ ท้งั สอง ด้าน ดา้ นบนสเี ขม้ ด้านลา่ งมีตอ่ มกระจายท่วั แผ่น กา้ นใบสัน้ ถงึ ยาวมาก เรยี งตรงข้ามสลบั ตั้งฉาก เสน้ ใบนูนออกด้านลา่ ง ช่อดอกออกทย่ี อด รูปฉตั ร มีดอกย่อยจ�ำ นวนมาก ดอกสแี ดงสีสม้ หรือสเี หลอื งเกอื บขาว กา้ นดอกสแี ดง ผลรปู ไขก่ ลับ ขนาดเลก็ สีด�ำ พบตามท่ีรกรา้ งหรือท่ีเปิดโล่งใน ปา่ ดบิ เขา ป่าดบิ ทกุ ประเภท และป่าเบญจพรรณทช่ี ุม่ ชืน้ สูง ประโยชน์ : –ดอกสวยเหมาะปลูกเปน็ ไม้ประดับ –ใบ ดอกและต้น เปน็ ยาสมุนไพร –นำ้�หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกินนำ้�ตอ้ ยหลายชนดิ ขอ้ ควรจำ� : ก่งิ ก้านออ่ นมักเป็นสเ่ี หล่ียมทู่ ๆ 192 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
ตรชี ะวา (Tri Cha Wa) ผถู้ ่าย ส่งศรี อ่นุ จิต พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb. ชื่ออนื่ (Vernacular name) : พรายสะเลยี ง, สะเม่าใหญ่ (นครราชสมี า); หลวั สามเกียน (เชียงใหม)่ ; อัคคีทวาร (เชยี งใหม่, กลาง); ต่ังต่อ, ปอสามเกี๋ยน, สามส่มุ (เหนอื ); อัคคี (สุราษฎร์ธาน)ี ลักษณะทั่วไป : เป็นไมพ้ ่มุ ผลัดใบ กิง่ ออ่ นรปู ทรงสีเ่ หลยี่ มเกล้ยี ง ใบเด่ียว รูปรแี กมรปู ขอบขนาน ปลาย แหลม โคนสอบ ขอบหยักหา่ ง ๆ ต้งั แตก่ ลางถงึ ปลายใบ แผน่ ใบหนาหยาบ เกลย้ี งเป็นมนั ท้งั สองด้าน ดา้ นบนสีเขยี วเข้ม ด้านลา่ งสอี ่อนกวา่ กา้ นใบสั้นมาก เรียงตรงขา้ มสลับต้งั ฉาก เสน้ ใบนนู ออกด้านลา่ ง ช่อดอกออกเป็นชอ่ ขนาดใหญ่ รูปฉัตรตง้ั ข้นึ บริเวณปลายกิ่ง ดอกสชี มพูอมมว่ ง มจี �ำ นวนมาก ผลสด รูปทรงกลม ขนาดเล็ก เกลย้ี งเปน็ มัน อยบู่ นฐานรองผล พบตามชายป่าดบิ เขา ปา่ สนเขาหรอื ป่าเตง็ รัง ระดับสูง ประโยชน์ : –ทง้ั ตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร –ช่อดอกลวกหรอื ตม้ กินเปน็ ผักจิ้ม –ดอกสวยเหมาะปลกู เป็นไมป้ ระดับ –น�ำ้ หวานจากดอกเปน็ อาหารของนกกินนำ้�ต้อยหลายชนดิ –ใบและรากเปน็ อาหารช้างปา่ กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธพ์ุ ชื 193
นางแย้มปา่ (Nang Yaem Pa) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Clerodendrum infortunatum L. ชอื่ อน่ื (Vernacular name) : ข้ีขม (ใต)้ ; กมุ๋ คอื , ซมซี (สุโขทัย); ขมั พี (พิษณุโลก); ปง้ิ เหบ็ (เชยี งใหม่); ตา่ งไกแ่ ดง (ขอนแกน่ ); ฮอนหอ้ แดง (เลย); โพะคว่อง (กะเหร่ียง–กาญจนบุร)ี ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไมพ้ มุ่ ผลัดใบ ยอดอ่อนและกง่ิ อ่อนมีขนสั้นสีน�้ำ ตาลคลมุ หนาแน่น กง่ิ อ่อนเปน็ รปู ส่ีเหล่ยี ม ใบเด่ียว รูปไข่หรอื รปู รี ปลายแหลม โคนมนหรือเวา้ เล็กน้อย ขอบเรยี บหรือหยกั ซีฟ่ นั ห่าง ๆ แผน่ ใบหนา มีขนนุ่มคลุมทงั้ สองดา้ น ดา้ นบนสเี ขม้ กวา่ ดา้ นลา่ ง เสน้ ใบนูนออกด้านล่าง ก้านใบยาว มี ขนนุ่มคลุม เรยี งตรงขา้ มสลับตั้งฉาก ชอ่ ดอกออกปลายกิ่งหรอื ท่ซี อกใบใกลป้ ลายกิง่ ดอกสีขาวอมชมพู มแี ตม้ สนี ำ้�ตาลแดงกลางดอก ผลกลม ขนาดเล็ก สุกสีดำ� มีกลบี รองผลสแี ดงสด พบตามพื้นที่รกรา้ ง หรือเปดิ โลง่ ในป่าดิบเขา ปา่ ดิบทุกประเภทและปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ดอกมกี ลิน่ หอมและกลีบรองผลมีสีสวย เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับ –ใบและยอดออ่ นรสขม กินสดเปน็ ผกั จมิ้ ลาบ น้ำ�ตกและน�ำ้ พรกิ –ใบเป็นอาหารของกระทงิ –รากเป็นยาสมุนไพร 194 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขียว-นำ้�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 195
ว่านนกคุม่ (Wan Nok Khum) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ผถู้ ่าย วฒุ ินันท์ พวงสาย ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Gomphostemma strobilinum Wall. ex Benth. var. acaule (Kurz ex Hook. f.) Prain ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Gomphostemma strobilinum var. variegatum Craib ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ล้มลกุ ขนาดเล็กอายหุ ลายปี ล�ำ ต้นตง้ั ตรงแตกกง่ิ จำ�นวนนอ้ ย กิ่งอ่อนเป็น ส่ีเหลยี่ มและมีขนสีขาวคลุม ใบเดีย่ ว รปู รหี รือรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนมนหรือสอบแคบ ขอบหยกั ซฟี่ นั หรือหยกั มน แผน่ ใบมีขนส้ันสีน�ำ้ ตาลอ่อนคลมุ บาง ๆ ทง้ั สองดา้ น ดา้ นบนสี เขียวเข้มหรือบางตน้ อาจจะมสี ีขาวหรอื สีเงินขยายกวา้ งตามเส้นใบ ดา้ นลา่ งสีอ่อน เส้นกลางใบ นนู ออกดา้ นล่าง ก้านใบค่อนข้างยาวมีขนสีน�้ำ ตาลคลุม เรียงตรงข้ามสลับตงั้ ฉากถี่ ๆ ช่อดอก ออกปลายยอดหรอื ทีซ่ อกใบ ในช่อประกอบด้วยดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกรปู ปากเปิด สีส้มหรอื สีเหลอื ง มใี บประดบั สนี �ำ้ ตาลแดง ผลรปู ทรงกลมหรอื รูปไข่ มีเน้อื ฉ�่ำ น�ำ้ สเี หลอื ง พบตามพ้นื ป่าดิบเขาทค่ี ่อนขา้ งโปรง่ หรือรอยเชอ่ื มต่อกับปา่ สนเขาและปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ดอกและตน้ มคี วามสวยงามเหมาะปลูกเป็นไม้ประดับ –ทั้งต้นเป็นยาสมุนไพร 196 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขียว-นำ้�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 197
หญา้ หนวดแมว (Ya Nuat Maeo) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Orthosiphon aristatus (Blume) Miq. ชื่อพ้อง (Synonym) : Orthosiphon grandiflorus Bold. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ)์ ; อตี ่ดู ง (เพชรบรู ณ)์ ; พยบั เมฆ (กรุงเทพฯ) ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ พืชล้มลุก ล�ำ ตน้ รูปทรงสีเ่ หลย่ี ม สนี ้ำ�ตาลแดง กิ่งก้านอ่อนมีขนสัน้ คลมุ ประปราย ใบเดีย่ ว รูปไขแ่ กมรูปใบหอกหรอื รูปสี่เหลยี มขนมเปยี กปนู ปลายเรยี วแหลม โคนแหลมหรอื สอบและ เปน็ ครีบ ขอบหยักแบบฟันเล่ือยห่าง ๆ แผ่นใบบาง มีต่อมขนาดเลก็ กระจายท่วั กา้ นใบส้ันมาก เรียง ตรงขา้ มสลับตง้ั ฉาก เส้นใบนูนออกดา้ นลา่ งมขี นคลุมทั้งสองดา้ น ช่อดอกรปู ฉตั ร ออกปลายยอด ดอก สขี าวหรอื ม่วงอมแดงออ่ น ๆ ปลายแยกออกเป็น ๒ กลีบ ผลแบนยาว รูปขอบขนาน ผวิ ย่น พบตาม พ้ืนป่าดบิ เขาและปา่ ดิบช้ืนทีค่ อ่ นข้างโปรง่ แดดส่องถงึ ประโยชน์ : –ทง้ั ต้นเป็นยาสมุนไพร –ช่อดอกสวยเหมาะปลกู เป็นไมป้ ระดบั ขอ้ ควรจำ� : แผ่นใบมตี อ่ มใส ๆ กระจายท่วั ไป 198 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-นำ�้ หนาว
ตะพุนเฒ่า (Ta Phun Thao) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Vitex quinata (Lour.) F. N. Williams ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Vitex heterophylla Roxb. ชือ่ อ่ืน (Vernacular name) : ผา่ เสี้ยนดอย (เชยี งใหม)่ ลักษณะทว่ั ไป : เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบชว่ งสน้ั ๆ กิ่งอ่อนรปู ทรงส่ีเหลีย่ ม เกลยี้ งสีน้ำ�ตาล เปลอื ก นอกบางสีเทา เรยี บหรอื แตกเป็นรอ่ งเลก็ ๆ น่มุ มือ ใบประกอบรูปนว้ิ มือ เรียงตรงข้ามสลบั ตง้ั ฉาก ใบยอ่ ยมี ๓–๕ ใบ รูปรีแกมรปู ขอบขนานหรอื รูปใบหอกกลบั ปลายแหลม โคนสอบรปู ลม่ิ ขอบเรียบหรอื เปน็ คล่ืน แผน่ ใบบาง เกลี้ยงเปน็ มันท้งั สองด้านมกั หอ่ เข้าดา้ นบน ด้านบนสีเขยี วเข้ม ดา้ นล่างสีอ่อน กว่า กา้ นใบตรงกลางยาวกวา่ ทกุ ใบ ยอดออ่ นสีแดงอมชมพู มีขนคลุมประปราย ดอกสีครมี หรอื สีม่วง อ่อน มีแตม้ สมี ว่ งเขม้ ออกเปน็ ช่อปลายกงิ่ หรือทีซ่ อกใบใกล้ปลายก่งิ ผลรปู ไขก่ ลบั ขนาดเล็ก สกุ สดี ำ� มเี มล็ดเดยี ว เปน็ ไม้เรือนยอดชนั้ ลา่ งถึงชน้ั กลางในป่าดบิ เขาและชายป่าดิบเขาติดตอ่ กับปา่ สนเขาผสม ก่อและปา่ ดบิ แล้ง ประโยชน์ : ผลสุกเป็นอาหารของนกหลายชนิด ความสำ�คัญ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์พุ ชื 199
ตีนนกเขา (Tin Nok Khao) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ LABIATAE (LAMIACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Vitex vestita Wall. ex Walp. ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : คดงู, ผะไห้นอ้ ย (เพชรบูรณ)์ ลักษณะทวั่ ไป : เป็นไม้พุ่มหรอื ไมต้ น้ ขนาดเล็กผลดั ใบ แตกก่ิงต�่ำ กง่ิ อ่อนรปู ทรงสเี่ หลยี่ มเป็นสันทู่ ๆ มีขนสัน้ สีน�้ำ ตาลอ่อนคลุมหนาแนน่ ใบประกอบรปู นว้ิ มือ มใี บยอ่ ย ๓–๕ ใบ เรียงตรงขา้ มสลับต้ังฉาก ใบย่อยรูปรีหรอื รูปใบหอกกลบั ปลายแหลม โคนมนหรอื รปู ลม่ิ ขอบเรียบหรอื หยกั ห่าง ๆ ใกลป้ ลายใบ แผน่ ใบน่มุ มีขนสนี ำ้�ตาลออ่ นคลมุ หนาแนน่ ท้ังสองด้าน ดา้ นบนสีเข้ม ดา้ นลา่ งมตี ่อมสีเหลืองกระจาย ก้านใบยอ่ ยส้ัน แตกออกจากจดุ เดียวกัน ใบค่ลู า่ งมขี นาดเล็ก ชอ่ ดอกออกเป็นชอ่ กระจุกส้นั ๆ ท่ีซอกใบ ท้ังสองขา้ งตามก่งิ และใกล้ปลายก่งิ ดอกสขี าว ผลกลม ขนาดเลก็ สุกสีเหลอื ง เมอื่ แก่สดี ำ� พบตาม ชายป่าดิบเขาและปา่ สนเขาผสมกอ่ ประโยชน์ : –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกินผลไมห้ ลายชนิด –ใบและยอดออ่ นเปน็ อาหารกวางปา่ ความสำ�คัญ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก 200 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว
ขม้ินตน้ (Kha Min Ton) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ LAURACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alseodaphne birmanica Kosterm. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Alseodaphne nigrescens Gamble ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไม้ต้นไม่ผลดั ใบ กง่ิ ก้าน ชชู อ่ ดอก ชอ่ ผลสีแดง มขี นสนี �ำ้ ตาลสนั้ คลมุ หนาแนน่ เปลือกนอกสีเทาดำ� มีชอ่ งอากาศขนาดใหญ่จนดคู ลา้ ยเป็นปุ่มปม เปลอื กในสชี มพู ใบเดยี่ ว รปู รีหรือรูปไข่แกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลมหรือทู่ โคนสอบแคบหรือทู่ ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา ด้านบนเกลีย้ ง สีเขยี วเขม้ ดา้ นล่างมขี นส้ันสีน�ำ้ ตาลหนาแนน่ เม่อื แกเ่ หลอื นอ้ ย ก้านใบสน้ั เรียงเวยี นเป็นกระจกุ ที่ปลายกิ่ง ใบอ่อนมขี นสั้นคลุมหนาแน่นทงั้ สองดา้ น ช่อดอก ออกที่ซอกใบใกลป้ ลายกิ่ง มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ผลรูปทรงกระบอก เมลด็ แขง็ มเี น้ือหมุ้ ปลายบ๋มุ ฐานรองผลบวมโตกว่ากา้ นผลเลก็ น้อยไมช่ ดั เจนนกั สุกสมี ่วงด�ำ เมล็ดแขง็ มีเมลด็ เดียว เปน็ ไมเ้ รอื น ยอดช้ันกลางถึงชั้นบนในป่าดิบเขา ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกินผลไมข้ นาดใหญ่ เชน่ นกกกและนกเงอื กคอแดง กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพันธุพ์ ืช 201
สงั วาลพระอนิ ทร์ (Sang Wan Phra In) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ LAURACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cassytha filiformis L. ช่อื อื่น (Vernacular name) : เขียงค�ำ , เขยี วค�ำ (อุบลราชธาน)ี ; เขืองคำ�โคก (เลย); ผักไหม (ชยั ภมู ิ); เซาะเบียง (เขมร); รังกะสา, รงั นกกะสา (จันทบรุ )ี ; ผกั ปลัว (ประจวบครี ีขันธ)์ ; ชอ้ งนางคล่ี (คาบสมทุ ร) ชื่อสามญั (Common name) : Love Vine ลกั ษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมเ้ ถาล้มลกุ เกาะเบยี นอาศยั อยบู่ นตน้ ไม้อืน่ ล�ำ ต้นเรียวเป็นเส้น อวบน้ำ� สีน�้ำ ตาลอมเขียว เม่อื แก่เปล่ยี นเปน็ สเี หลืองสด เล้อื ยพันหรอื ปกคลุมพชื ชนิดอน่ื ลำ�ต้นแหง้ เปล่ียนเป็นสีนำ้�ตาล ใบเดย่ี วคลา้ ยเกลด็ ขนาดเลก็ มาก สเี ขยี วออ่ น ดอกสมบรู ณ์เพศขนาดเล็ก มาก ออกเดีย่ ว ๆ หรือออกเป็นกระจุกขนาดเล็กที่ซอกใบ ผลรปู ไข่ แขง็ มาก เม่อื แกแ่ หง้ แตก พบข้ึนคลมุ ตามเรือนยอดไมพ้ ่มุ ตามชอ่ งวา่ งหรือชายขอบป่าดิบเขา ปา่ สนเขา ป่าเขาหินปนู หรอื ป่าผลัดใบประเภทอื่น ประโยชน์ : ท้งั ตน้ เปน็ ยาสมุนไพรและกินเปน็ ผักสดหรือประกอบอาหารอนื่ ๆ ได้ ขอ้ ควรจำ� : คล้ายฝอยทองหรอื เครือเขาค�ำ ในสกลุ Cuscuta ในวงศ์ CONVOLVULACEAE แตส่ กลุ Cuscuta จะมดี อกขนาดใหญก่ ว่าอย่างชดั เจน 202 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว
หนว่ ยนกงุม (Nuai Nok Ngum) ผ้ถู า่ ย นยั นา เทศนา พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LAURACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Beilschmidea gammieana King ex Hook. f. ชื่ออ่นื (Vernacular name) : หมากนกมูม (ราชบรุ ี, อทุ ยั ธาน)ี ลกั ษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมต้ ้น ผลัดใบช่วงสน้ั ๆ ก่งิ กา้ นออ่ นเกลย้ี ง เปลอื กเรียบหรือแตกเป็นสะเกด็ ขนาด เลก็ สนี ้�ำ ตาล เปลอื กในสเี หลอื งหรือน้ำ�ตาล ใบเดีย่ ว รปู รหี รือรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนา เกล้ียงเป็นมันทัง้ สองด้าน ด้านบนสเี ขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสีอ่อนกว่า กา้ นใบกลม เรียงตรงข้ามหรอื เรยี งเวียนเปน็ กระจุกที่ปลายกิง่ ผลสดรปู ไข่หรือกลม ปลายบุ๋มมีเนอ้ื หุ้ม ผิวเกล้ียง เป็นมัน มจี ดุ ประสคี รมี สุกสีม่วงด�ำ และมกั มคี ราบสขี าวคลุม ฐานรองผลหลุดรว่ งกอ่ นผลแก่ เมล็ด แข็งกลมเกลีย้ ง หัวทา้ ยเปน็ ติง่ แหลมลอ่ นหลดุ จากเน้ือผลได้งา่ ย มีเมลด็ เดยี ว พบในป่าดิบเขาและ ป่าดบิ เขาผสมสน ประโยชน์ : –เน้ือไม้ใชใ้ นอตุ สาหกรรมธูปหอม –ผลสกุ เป็นอาหารของชะนีมือขาว คา่ งแวน่ ถน่ิ เหนอื นกเงือกคอแดง นกกก นกเงือก กรามช้าง นกเงือกสนี �ำ้ ตาล นกแก๊กและนกมูม ขอ้ ควรจำ� : เปลอื กในลูบสากมอื คลา้ ยเมด็ ทราย ทกุ สว่ นท่ีมชี ีวิตมีมกี ลิน่ หอม กาบหุ้มใบเปน็ เกล็ดอัด กันแนน่ หลายช้ัน กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพันธพุ์ ชื 203
เชยี ด (Chiat) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ LAURACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cinnamomum iners Reinw. ex Blume ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : กระแจะโมง, กะเชยี ด, กะทงั้ นั้น (ยะลา); เขยี ด, เคียด, เฉียด, ชะนุต้น (ใต)้ ; กระดังงา (กาญจนบรุ ี); กะพังหัน, โกเล,่ เนอม้า (กะเหรยี่ ง–กาญจนบรุ )ี ; มหาปราบตัวผู้, อบเชย, อบเชยตน้ (กลาง); พญาปราบ (นครราชสมี า); สะวง (ปราจีนบรุ )ี ; ด๊ิกซีส่ อ (กะเหรีย่ ง–เชยี งใหม่); บอกคอก (ล�ำ ปาง); ฝักดาบ (พษิ ณุโลก) ชอื่ สามัญ (Common Name) : Cinnamon ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นไม้ต้นขนาดกลางไมผ่ ลดั ใบ เรือนยอดทบึ มักเปน็ พุ่มกลมหรือรูปกรวยคว่ำ� ตำ่� ๆ เปลือกนอกเรียบ สีเทาอมน�ำ้ ตาล เปลอื กในสชี มพหู รือสีน้ำ�ตาล ใบเดยี่ ว รปู ขอบขนานหรอื รูปรี ปลายและโคนทู่ ขอบเรยี บ แผ่นใบแข็งหนาและกรอบ เกลยี้ งทั้งสองดา้ น ด้านบนสเี ขียวเขม้ ด้านล่างสอี ่อนกวา่ หรือมคี ราบสขี าว เส้นใบจ�ำ นวน ๓ เส้นออกจากโคนใบ ก้านใบสนั้ เรียงเยื้อง หรือตรงข้าม ใบอ่อนสชี มพู ใบแกก่ อ่ นรว่ งสีเหลอื ง ชอ่ ดอกขนาดใหญ่ ออกท่ซี อกใบและปลายกิ่ง ดอกสมบรู ณเ์ พศขนาดเลก็ สเี หลอื งอมเขยี ว ผลสดรปู ไข่กลับ ขนาดเล็ก มกั มจี ุดประสีขาวตาม เปลอื กผล กลบี เลีย้ งรปู กรวย ปลายแยกเป็นแฉกหมุ้ ผล สกุ สมี ่วงดำ� มเี มลด็ เดยี ว เป็นไม้เรือน ยอดช้ันล่างถึงกลางในปา่ ดิบเขา ป่าดิบประเภทอน่ื และริมห้วยในป่าเบญจพรรณ ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของกระรอกและนกกนิ ผลไม้หลายชนดิ –ราก ใบและเปลือกตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร –เนื้อไมใ้ ชแ้ กะสลกั และทำ�เฟอรน์ ิเจอรป์ อ้ งกันแมลงได้ ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก/ของป่าหวงหา้ ม (เปลือก) ขอ้ ควรจ�ำ : ทุกส่วนมีกล่ินหอมเยน็ คล้ายกลน่ิ การะบรู ลักษณะทวั่ ไปและกลิ่นคลา้ ยอบเชย (Cinnamomum bejolghota) แต่อบเชยมแี ผน่ ใบบางกว่าขยำ�ไม่กรอบ 204 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
หอมดง (Hom Dong) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ LAURACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cryptocarya amygdalina Nees ช่อื อน่ื (Vernacular name) : หมากขี้อ้าย (เหนือ) ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไม้ต้นไม่ผลดั ใบหรือผลัดใบชว่ งส้ัน ๆ เปลอื กแข็ง เรียบหรอื แตกเป็นสะเก็ด สนี ำ�้ ตาล เปลอื กในสนี ำ้�ตาลอ่อน ใบเดี่ยว รปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนแหลมหรือทู่ ขอบเรียบหรอื เป็นคลน่ื แผ่นใบหนา เกลยี้ งหรอื มีขนเล็กนอ้ ย ด้านบนสเี ขยี วเขม้ ด้านล่างสีเขียวนวล ก้านใบสนั้ เรยี งสลบั หรอื เยือ้ ง ยอดอ่อนมขี นสีน�ำ้ ตาลคลุม ใบแก่ก่อนร่วงสเี หลอื ง ชอ่ ดอกเป็นชอ่ สั้น ๆ ออกท่ี ซอกใบใกล้ปลายกงิ่ หรอื ปลายกง่ิ ดอกสมบูรณเ์ พศขนาดเลก็ สีเหลืองอมเขียว ผลสด รูปไขห่ รอื มนรี เนื้อบาง สกุ สมี ว่ งด�ำ ถกู หุ้มดว้ ยกลบี เล้ยี งทัง้ หมด มีช่องเป็นรูขนาดเลก็ เฉพาะปลายผลเทา่ นน้ั เมลด็ แขง็ หลุดล่อนงา่ ย มีเมล็ดเดยี ว เปน็ ไม้เรอื นยอดชน้ั ลา่ งถงึ ชน้ั กลางในปา่ ดิบเขา ประโยชน์ : ผลสุกเปน็ อาหารของสัตว์ป่าหลายชนิด ข้อควรจำ� : ทุกส่วนมีกล่นิ หอมเยน็ ผลออ่ นมักถูกแมลงเจาะกิน ทำ�ให้เหน็ เปน็ รูปรา่ งแปลก ๆ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธุพ์ ืช 205
206 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
หมโี ปง้ (Mi Pong) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ LAURACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Litsea monopetala (Roxb.) Pers. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Litsea polyantha Juss., Tetranthera monopetala Roxb. ชอ่ื อนื่ (Vernacular name) : พอครา (นครศรีธรรมราช); โพหน่วย, มุหมู (กะเหรย่ี ง–กาญจนบรุ )ี ; สะหม่ี (ชยั ภูม)ิ ; เมาะโม (กะเหร่ยี ง–แม่ฮ่องสอน); ย้กุ เยา (แพร่); หมี (เชยี งใหม)่ ; อีเหม็น (เหนือ) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ ้นผลัดใบช่วงส้นั ๆ กิ่งก้านอ่อนมขี นสเี หลอื งออ่ นนุม่ คลุม เปลือกนอกเรียบ หรือแตกเปน็ สะเกด็ สีเทา ใบเดย่ี ว รูปรีหรือรูปไขก่ ลับ ปลายมนหรือแหลม โคนแหลมมนหรอื เวา้ ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนา มีขนคลุมบาง ๆ ท้งั สองด้าน ด้านบนสีเขยี วเขม้ ด้านลา่ งสอี ่อนกว่าและมี ขนนมุ่ สเี หลืองออ่ น ก้านใบยาว เรยี งเวียน ใบออ่ นก้านใบสีนำ้�ตาลแดง เส้นใบนนู ออกด้านล่าง ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนงส้ัน ๆ ออกเปน็ กระจุกทีซ่ อกใบ ดอกแยกเพศสเี หลืองอ่อน ผลสดรูปไขห่ รอื รปู รี มฐี านรองผลรูปถว้ ย ขอบปากเรียบ สกุ สมี ว่ งดำ� เมลด็ แข็งมี ๑ เมล็ด เป็นไม้เรอื นยอดชัน้ ลา่ งถึง ช้นั กลางในปา่ ดบิ ท่ัวไปและรมิ ห้วยในปา่ เบญจพรรณและปา่ เต็งรงั ประโยชน์ : –เนือ้ ไมใ้ ช้ก่อสรา้ งท่ัวไป –เมลด็ ให้น�้ำ มันใชใ้ ส่ผม –ใบเป็นอาหารกระทงิ ความสำ�คัญ : ไมห้ วงหา้ มประเภท ก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธ์ุพืช 207
เมยี ดต้น (Miat Ton) ผถู้ ่าย วุฒินันท์ พวงสาย พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ LAURACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Litsea martabarnica (Kurz) Hook. f. ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Litsea garrettii Gamble ชือ่ อน่ื (Vernacular name) : ขี้นก, คำ�ป้าง, เจ้าหา้ พระองค,์ ตองแข็ง, ตะไครต้ ้น, นมแมว, บางซอน (เชยี งใหม)่ ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเลก็ ไมผ่ ลดั ใบ ก่งิ ออ่ นสนี ำ้�ตาลแดง เปลอื กนอกแขง็ เรียบหรอื แตกเปน็ สะเก็ดขนาดเล็ก ใบเดย่ี ว รปู รีหรือรปู ใบหอกกลบั ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง เกล้ียงทั้ง สองดา้ น ดา้ นบนสีเขียวเข้มเปน็ มนั ดา้ นล่างสีเขยี วนวล กา้ นใบยาว เรียงสลบั ยอดออ่ นมีขนคลมุ บาง ๆ ใบแกก่ ่อนร่วงสเี หลอื งถงึ สนี ้ำ�ตาลแดง ช่อดอกออกเปน็ ชอ่ กลมเดี่ยว ๆ หรอื หลายชอ่ ท่ีซอกใบใกล้ ปลายก่ิง ดอกแยกเพศ สีขาวอมเหลือง ผลสดรูปทรงกระบอก ปลายมน มีจุดประสีขาว กลบี รองผล รูปถว้ ย ขอบปากเรยี บ สุกสมี ่วงด�ำ เมล็ดแข็ง ผิวเกลี้ยง หลุดล่อนจากเนื้อผลง่าย มเี มล็ดเดยี ว เปน็ ไม้ชัน้ ล่างถึงชั้นกลางในป่าดบิ เขาและป่าดบิ เขาผสมสน ประโยชน์ : ผลสุก เปน็ อาหารของนกปรอดโอ่งเมืองเหนือและกระรอกหลากสี หมายเหตุ : ทกุ สว่ นมีกล่นิ หอมเย็นคลา้ ยกลนิ่ การะบรู 208 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-น�้ำ หนาว
เอยี น (Ian) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ LAURACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Neolitsea cassiifolia Merr. ช่ืออืน่ (Vernacular name) : กะชดิ ผู้ (นราธิวาส); แตยอยาแต (มาเลเซีย–นราธิวาส) ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ตน้ ขนาดเลก็ ไมผ่ ลัดใบ แตกก่ิงต่ำ� เปลอื กนอกบาง เรียบ สีน�้ำ ตาล เปลอื กใน สเี หลือง เปน็ เม็ดทราย มีกลน่ิ หอม ใบเดยี่ ว รูปรี รปู ไข่ถึงรูปใบหอก ปลายเรียวแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรยี บ แผน่ ใบบาง เกลย้ี งทง้ั สองด้าน ด้านบนสเี ขยี วเข้ม ดา้ นลา่ งสอี อ่ นกวา่ กา้ นใบส้ัน เรียงสลับ หรือเรยี งเวยี น เส้นกลางใบชัดเจน เสน้ ใบยอ่ ยนูนออกดา้ นล่าง ชอ่ ดอกออกเปน็ กระจุกตามกงิ่ หรือท่ี ซอกใบใกลป้ ลายก่งิ ดอกสีเหลืองนวล ผลสด รูปทรงกลม ขนาดเล็ก ออกเดยี่ ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ ๆ ละ ๑–๓ ผล สุกสีมว่ งดำ� เมลด็ แขง็ เกล้ยี ง มเี มล็ดเดียว กลีบเล้ยี งรูปถ้วย ขอบปากค่อนข้างเรยี บ เป็นไมช้ นั้ ลา่ งถึงชั้นกลางในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ ประเภทอ่ืน ประโยชน์ : –เป็นพชื สมุนไพร –ผลสกุ เปน็ อาหารของนกกนิ ผลไม้หลายชนดิ ความสำ�คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก ข้อควรจ�ำ : ๑) ทุกส่วนมกี ลน่ิ หอมคล้ายเครื่องเทศ ๒) เสน้ ใบจ�ำ นวน ๓ เสน้ แยกออกใกลโ้ คนใบ ๓) ยอดอ่อนสนี �ำ้ ตาลอมแดงจนถึงสที อง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์ุพืช 209
ผู้ถา่ ย เวทติ พุ่มพวง ทังใบช่อ (Thang Bai Cho) ผถู้ ่าย เวทิต พุ่มพวง พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ LAURACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Nothaphoebe umbelliflora (Blume) Blume ช่อื อืน่ (Vernacular name) : หมากข้ีอา้ ย (ทว่ั ไป); หมากนกเงือก (ชัยภมู ิ) ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงส้นั ๆ เปลือกนอกสเี ทา แตกเป็นสะเก็ดขนาดใหญ่ หรอื แตกเป็นร่องลกึ เปลอื กในสีชมพูหรือนำ้�ตาลแดง มีน�ำ้ เมือกสีแดงหรือสชี มพลู นื่ ๆ เคลอื บกระพ้ี ใบเด่ยี ว รปู รีหรือรูปไข่ขนาดใหญ่ ปลายกวา้ งทู่ โคนสอบแคบ ขอบเรยี บหรอื เป็นคลืน่ แผ่นใบหนา เกลีย้ งหรือมีขนคลุมประปรายท้ังสองดา้ น ด้านบนสเี ขม้ กว่าดา้ นล่าง กา้ นใบยาว เรียงเวียนเป็น กระจุกทีป่ ลายกิง่ เสน้ ใบนนู เดน่ ออกดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอกออกปลายกิ่งหรือที่ซอกใบใกล้ปลายกิง่ ดอกสมบูรณ์เพศ ขนาดเล็กมาก ผลรูปกลมรี หรือรูปขอบขนานแกมรปู ไข่ ขนาดหวั แมม่ อื ผใู้ หญ่ สกุ สมี ว่ งด�ำ กา้ นผลพองบวม เมลด็ รูปมนรี ปลายมตี ง่ิ แหลมแขง็ สนี �้ำ ตาลอ่อน ผวิ เกล้ียง มเี มลด็ เดียว ก้านช่อดอกและช่อผลสีชมพูอมแดง เปน็ ไม้เรือนยอดชน้ั บนในป่าดบิ เขา ประโยชน์ : ผลสุกเป็นอาหารของนกกนิ ผลไมข้ นาดใหญ่ เช่น นกเงอื กคอแดง นกกก นกเงือก กรามชา้ ง นกแก๊กและนกเงือกสีน�ำ้ ตาล ขอ้ ควรจ�ำ : กล้าไม้มใี บขนาดใหญก่ ว่าตน้ เตม็ วยั มากและทุกสว่ นมกี ลิ่นหอมเยน็ ออ่ น ๆ 210 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
แหลบุก (Lae Buk) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LAURACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Phoebe lanceolata (Nees) Nees ชื่อพ้อง (Synonym) : Phoebe ligustrina Nees ชอ่ื อืน่ (Vernacular name) : ไก่หัด, ตกสืบ, ตองหอม, ปีตอง (เชยี งใหม)่ ; ครดู (สโุ ขทยั ); ตั่งนี (ลำ�ปาง, แพร่); ก้นบึ้ง, ตูดบ้งึ (หนองคาย); ทบิ แสก (นครราชสีมา); ท้อป, สไิ หรคางคก (ปตั ตาน)ี ; สิแกซาเต๊าะ (มาเลเซยี –นราธวิ าส) ลักษณะทัว่ ไป : เปน็ ไม้ต้น ผลดั ใบชว่ งส้นั ๆ กง่ิ ออ่ นหรอื ยอดอ่อนมีขนสนั้ ๆ คลมุ เปลือกนอกหนา แตกสะเก็ด สนี ้ำ�ตาลอมเทา เปลือกในสชี มพูออ่ น ใบเดีย่ ว รูปใบหอกหรอื รูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบรูปล่มิ ขอบเรยี บ แผ่นใบบางมีขนสนั้ สีน�ำ้ ตาลคลมุ ประปรายท้ังสองด้าน ด้านบนสเี ขม้ ดา้ นลา่ งสเี ขียวนวล กา้ นใบสั้น เรียงเวียนเป็นกระจุกท่ีปลายกงิ่ ยอดออ่ นสีชมพู ชอ่ ดอกออกทีซ่ อกใบ หรอื ปลายก่งิ มีดอกยอ่ ยขนาดเล็กจำ�นวนมาก ดอกสีเหลืองแกมเขียว ผลสดกลมหรือรี ขนาดเลก็ ผวิ เกลยี้ งเป็นมัน ฐานรองผลปลายแยกเป็นแฉก สุกสมี ่วงด�ำ มีเมล็ดเดียว พบในป่าดบิ เขาท่ีคอ่ นข้าง โปร่ง ป่าดบิ เขาผสมสน ป่าดบิ ชนื้ และปา่ เบญจพรรณชืน้ ประโยชน์ : –ผลสกุ เป็นอาหารของนกและกระรอกหลายชนิด 211 –ใบเปน็ อาหารปศุสตั ว์ ความสำ�คญั : ไม้หวงห้ามประเภท ก ข้อควรจ�ำ : ทุกส่วนมีกลิ่นหอมเยน็ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธ์ุพชื
กะตังใบ (Ka Tang Bai) พชื ใบเลยี้ งคู่ วงศ์ LEEACEAE (VITACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Leea indica (Burm. f.) Merr. ชือ่ พ้อง (Synonym) : Leea exspansa Craib, L. gigantia Griff., L. javanica King, L. sam- bucina Willd., L. sumatrana Miq., Staphylea indica Burm. f. ชอื่ อนื่ (Vernacular name) : คะนางใบ (ตราด); ชา้ งเขงิ (ฉาน); ตองจว้ ม, ตองตอ้ ม (เหนอื ); บัง บายตน้ (ตรงั ); ดังหวาย (ใต)้ ลกั ษณะทั่วไป : เปน็ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมย้ นื ตน้ ขนาดเล็ก ลำ�ต้นเกลย้ี งหรอื มขี นเล็กนอ้ ย ล�ำ ต้นและก่ิง ก้านเป็นเหล่ียมสนั ทู่ ๆ ใบประกอบแบบขนนก ๒–๓ ช้นั ขนาดใหญ่ เรยี งสลบั หูใบ รูปไข่กลบั ใบยอ่ ยรูปรี รูปไขห่ รือรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนแหลมหรอื มน ขอบหยกั ซฟ่ี นั แหลม แผ่นใบ หนา เกลย้ี งหรือมขี นเล็กน้อย ด้านบนสีเข้มเป็นมัน ด้านล่างสอี อ่ นกวา่ กา้ นใบยอ่ ยสั้น เรยี งตรงขา้ ม ชอ่ ดอกโปร่งขนาดใหญ่ ออกทซี่ อกใบหรอื ปลายก่งิ มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกขนาดเลก็ สีขาวอม เขียวหรอื อมเหลือง ผลกลมหรอื แป้นมี ๕–๖ พู สุกสแี ดงคล�ำ้ ถงึ ดำ� เมลด็ รปู ไขม่ ี ๕–๖ เมลด็ เปน็ ไมพ้ นื้ ลา่ งในป่าดิบทุกประเภททคี่ อ่ นขา้ งโปรง่ และรมิ ห้วยหรอื ปา่ เบญจพรรณชื้น ประโยชน์ : –ทงั้ ตน้ เปน็ ยาสมุนไพร –ใบเปน็ อาหารของกระทงิ –ยอดและผลอ่อนทำ�ให้สกุ กินเปน็ ผัก –ปลกู เปน็ ไม้ประดับ 212 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
กะตังใบแดง (Ka Tang Bai Daeng) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ LEEACEAE (VITACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Leea rubra Blume ex Spreng. ชื่ออน่ื (Vernacular name) : เขอื ง (กลาง); บงั ใบ (ใต)้ ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ไมล้ ม้ ลกุ ล�ำ ตน้ และกิ่งกา้ นเปน็ เหล่ยี มสันทู่ ๆ ใบประกอบแบบขนนก ๒–๓ ชน้ั โคนก้านใบเป็นครบี หรือกาบหุ้มกง่ิ เรียงสลบั หูใบคล้ายรูปปกี นก ใบย่อยรปู ไขห่ รอื รปู ขอบขนาน ปลายและโคนแหลม ขอบหยักต้นื ๆ ใกลป้ ลายใบ แผ่นใบหนา เกลีย้ งเปน็ มัน ทั้งสองด้าน ดา้ นบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสอี ่อนกวา่ ก้านใบยอ่ ยสัน้ สแี ดงหรือสนี �ำ้ ตาลแดง เรียงตรงข้าม ช่อดอกยาวสีแดงสด ออกปลายกง่ิ ดอกขนาดเล็ก สเี หลอื ง กลบี รองดอก สแี ดงสด ผลขนาดเล็ก กลมแปน้ มี ๖ พู เป็นไม้พนื้ ล่างในป่าดิบท่ีคอ่ นขา้ งโปรง่ และพบได้ บ้างในป่าเต็งรงั ระดบั สูง ปา่ เตง็ รังผสมสนและปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ยอดออ่ นลวกให้สุกกินเปน็ ผกั –ทั้งต้นเปน็ ยาสมุนไพร –ดอกสวยนา่ จะพฒั นาน�ำ มาปลูกเปน็ ไม้ประดับ ขอ้ ควรจำ� : กา้ นช่อดอก ก้านใบอ่อน และหใู บสชี มพูถึงแดง กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุ์พืช 213
จ�ำ ปาปา่ (Cham Pa Pa) พชื ใบเลี้ยงคูว่ งศ์ MAGNOLIACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Magnolia baillonii Pierre ชือ่ พอ้ ง(Synonyms) : Michelia kerrii auct non Craib, Aromadendron spongocarpum Craib, A. baillonii (Pierre) Craib, Paramichelia baillonii (Pierre) Hu ช่ืออืน่ (Vernacular name) : จุมปี (เชยี งใหม่); จ�ำ ปา (จนั ทบรุ ี, นครศรีธรรมราช) ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ผลดั ใบช่วงสั้น ๆ ล�ำ ตน้ เปลาตรง เปลอื กนอกหนา สีน�้ำ ตาลอมเทา แตกเป็นสะเกด็ เลก็ ๆ เปลอื กในสเี หลืองออ่ นและเปลีย่ นเปน็ สเี ขม้ มกี ลิ่นหอม เนื้อไมม้ ยี างสีเหลืองใสเหนียว ใบเดีย่ ว รูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนทู่ ขอบเรยี บ หรือเป็นคลน่ื แผน่ ใบหนาน่มุ มีขนประปราย ด้านบนสีเขยี วเขม้ ดา้ นลา่ งสีออ่ นกว่า ใบอ่อนมี ขนนุ่มสเี งินคลุม บรเิ วณโคนกา้ นใบมรี อยแผลของหใู บยาวประมาณ ๑/๓ ของกา้ น เรยี งสลับ มีเส้นขอบใบชัดเจน ดอกออกเดยี่ ว ๆ ทซี่ อกใบใกลป้ ลายกิ่ง กา้ นดอกสัน้ สีขาวหรือเหลืองอ่อน มกี ลิ่นหอม ดอกตมู รูปกรวย ผลรวมอัดแน่นรปู ทรงรีหอ้ ยลง ผลสกุ สนี ้ำ�ตาลออ่ น ผิวขรขุ ระ มจี ุดสคี รมี กระจายท่ัวเปลอื ก เนือ้ ห้มุ เมล็ดสีเหลืองอมแดง เปน็ ไมช้ ั้นบนในปา่ ดิบเขา ปา่ ดบิ ประเภทอื่นและปา่ เบญจพรรณชืน้ สูง ประโยชน์ : –เนอ้ื ไมใ้ ช้ก่อสรา้ งและทำ�เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ –ผลสุกเปน็ อาหารของนกแก๊ก นกกก นกโพระดก ปรอดดำ� นกหัวขวานและกระรอก หลากสี ความส�ำ คัญ : ไมห้ วงห้ามประเภท ก ขอ้ ควรจำ� : พืชในวงศ์นี้ บริเวณโคนก้านใบมรี อยต�ำ หนชิ ัดเจน ทีเ่ กิดจากหใู บหลดุ รว่ งออกไป 214 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 215
(จCำ�hปaศี mรีเมPือi งSไiทMยueang Thai) พืชใบเลย้ี งควู่ งศ์ MAGNOLIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Magnolia thailandica Noot. & Chalermglin ช่ืออื่น (Vernacular name) : จำ�ปดี ง (ชัยภูม,ิ เพชรบูรณ์); จ�ำ ปปี ่า (ทวั่ ไป) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไมต้ น้ ไมผ่ ลัดใบขนาดใหญ่ แตกกงิ่ สงู มรี หู ายใจสขี าวกระจายตามกิ่ง เรือนยอด ขนาดเลก็ เปลือกนอกเรยี บ สนี �้ำ ตาลอมเทา คอ่ นขา้ งบาง เปลือกในสีเหลืองอมแดง หากถากท้งิ ไวจ้ ะ เปลีย่ นเปน็ สีเข้มขึน้ เนือ้ ไม้มีนำ้�ยาง ใบเด่ียว รปู รีแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนรปู ลิม่ ขอบเรียบ แผ่นใบบาง เรยี บเหนยี วคลา้ ยแผน่ หนัง เกลีย้ งเป็นมันทั้งสองด้าน ด้านบนสีเข้มกว่าดา้ นล่าง บริเวณ โคนก้านใบมีรอยแผลของหใู บยาวเกอื บตลอดกา้ น เรียงเวียนสลับ ใบอ่อนสนี �้ำ ตาลอมม่วง เกลี้ยงเป็น มนั ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ออกเด่ยี ว ๆ ทีป่ ลายกง่ิ สขี าว มกี ลิน่ หอม ดอกตูม รูปไขป่ ลายแหลม มีกาบ หมุ้ สเี ขียวคลา้ ยใบขนาดเล็ก และจะหลุดเม่ือดอกบาน ก้านดอกเรยี วยาว ผลกลมุ่ รปู ทรงกลม มผี ล ย่อย ๗–๑๐ ผล ผลยอ่ ยแตล่ ะผลรูปรหี รือรูปไข่ ผิวขรขุ ระ มีจุดสคี รมี กระจายทั่ว เปลือกผลแข็งเชื่อม ตดิ กนั สุกสีน�้ำ ตาลออ่ น เม่ือแก่แตกออกเปน็ พตู ามแนวตัง้ เน้ือหมุ้ เมลด็ สแี ดง เป็นไม้ชนั้ รองหรือ ชั้นบนในป่าดิบเขา และพบประปรายในปา่ ดบิ เขาผสมสนและป่าดบิ แล้ง ประโยชน์ : –ดอกสวยและมกี ลน่ิ หอม –เนื้อไม้ใชก้ อ่ สรา้ งและทำ�เฟอรน์ เิ จอร์ –ผลสกุ (เมลด็ สีแดง) เปน็ อาหารของนกแกก๊ ความสำ�คญั : ไมห้ วงห้ามประเภท ก/พชื ถ่ินเดยี วและหายากในระดบั โลก 216 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขยี ว-นำ�้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 217
ปอหู (Po Hu) พืชใบเลีย้ งคู่ วงศ์ MALVACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Hibiscus macrophyllus Roxb. ex Hornem. ชอื่ อ่ืน (Vernacular name) : ปอเปิด (ชลบรุ )ี ; ขี้เถ้า (ชยั ภมู )ิ ; จ๊อง, ไอจอ๊ ง (มาเลเซีย–ปัตตานี); ปอมุก (ชมุ พร); อจู ง (ตรัง); ช้เู มยี (เพชรบุร)ี ; ปอจง, ปอสามเตา๊ , เปดิ (เชยี งใหม)่ ; ตองเต๊า, ทอ้ งโต, ปอหมืน่ , แอบขา้ ว (เหนือ) ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ก่งิ กา้ นอ่อนและใบออ่ นมีขนยาวสที องคลมุ หนาแน่น เปลือกนอกบาง สีเทา ลอกเป็นแผน่ ตามยาวไดง้ า่ ย ใบเดย่ี ว รปู หัวใจเกือบกลม ปลายเปน็ หางเรยี ว แหลม โคนรูปหวั ใจ ขอบเรยี บหรอื เป็นคลน่ื แผน่ ใบออ่ นนมุ่ มขี นสีน�้ำ ตาลคลุมหนาแนน่ ท้งั สองด้าน ด้านบนสเี ขียวเขม้ ด้านลา่ งสอี ่อนกวา่ ก้านใบยาวมาก เรยี งเวยี นเปน็ กระจุกที่ปลายกิง่ ยอดอ่อนมกี าบ หุ้มใบรปู งาชา้ งขนาดใหญ่ เมอ่ื แกห่ ลดุ รว่ งได้งา่ ย เสน้ ใบแยกออกจากโคนใบ ๗–๙ เส้น ปลายเสน้ ใบ โคง้ จรดกนั ก่อนถึงขอบ ใบแหง้ สนี ้ำ�ตาล ชอ่ ดอกออกปลายกงิ่ ดอกสีเหลอื งสดมแี ตม้ สีเลือดหมตู รงกลาง และเปลย่ี นเป็นสีแดงคล้ำ�เม่อื แกใ่ กล้ร่วง ผลรูปไข่หรอื กลม มขี นแขง็ ยาวสีทองคลมุ หนาแนน่ มี กลีบเลีย้ งตดิ อยู่ เมอ่ื แก่แตกออกเปน็ ๕ เสี่ยง เมล็ดจ�ำ นวนมาก รปู ไต มขี นคลมุ พบตามพ้ืนทเ่ี ปิดโล่ง ที่มคี วามช้นื สูงในป่าดบิ เขา ป่าดิบประเภทอ่ืนและป่าเบญจพรรณชื้น ประโยชน์ : –เปลอื กลอกท�ำ เชือก และเปน็ อาหารของชา้ งปา่ –เนอ้ื ไมอ้ ่อนใชเ้ ปน็ วัตถดุ ิบในอตุ สาหกรรมกระดาษ 218 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 219
จุกนารี (Chuk Na Ri) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ MELASTOMATACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Melastoma malabathricum L. subsp. normale (D. Don) K. Meyer ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Melastoma normale D. Don, M. normale D. Don var. normale, M. normale D. Don var. divergens Craib ช่ืออนื่ (Vernacular name) : เอนอ้า (ชยั ภูม)ิ ; ขันก๋าง (เพชรบรู ณ)์ ; กะชา้ งลิ, ปอฮแี้ ท้ (กะเหรี่ยง– แมฮ่ อ่ งสอน); ซอลาเปล (กะเหร่ียง–เชยี งใหม่); อ้า, อา้ หลวง (เหนือ); อีส้ ี่ (มเู ซอ–เชยี งใหม่) ลักษณะทว่ั ไป : เป็นไม้พมุ่ ขนาดเล็กผลัดใบ ใบเดย่ี ว รูปรีหรือรูปไข่ ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรยี บ มขี นส้ันสีน�ำ้ ตาลคลมุ แผ่นใบท้งั สองด้าน ดา้ นบนสเี ข้มกวา่ ด้านล่าง กา้ นใบสนั้ เรยี งตรงข้าม เส้นใบ มี ๕ เส้น แยกออกจากโคนใบและโคง้ จรดกันท่ีปลายใบ ดอกออกเปน็ ช่อกระจุกท่ีซอกใบใกลป้ ลายกิ่ง กลบี ดอกสีชมพู มี ๕ กลบี ผลค่อนขา้ งกลม มีขนแข็งสนี ำ้�ตาลคลมุ บาง ๆ ปลายผลมปี ่มุ นูน เมอื่ แก่ แตกกลางผลในแนวตดั ขวาง เมลด็ ขนาดเล็ก มจี �ำ นวนมาก เปน็ ไม้พื้นปา่ ในพื้นทีเ่ ปิดโลง่ หรือปา่ ดิบเขา ทค่ี ่อนข้างโปรง่ ป่าสนเขา ปา่ ทุ่ง ทุ่งหญ้าทม่ี ีความชน้ื สูงและอยรู่ มิ ห้วยหรือริมบึงบนพน้ื ท่ีสงู ประโยชน์ : –ดอกสสี วยปลูกเป็นไม้ประดบั –เปน็ อาหารของนกปรอดหัวโขนเคราแดงและนกปรอดเหลืองหัวจุก –ผลดิบกินเมลด็ ได้ –ปลูกทดแทนได้ดใี นพืน้ ท่เี ปดิ โล่งบนภเู ขาสงู ขอ้ ควรจำ� : ตามลำ�ตน้ ก่ิงกา้ น ใบและก้านใบ มขี นยาวสีน�้ำ ตาลแดงคลมุ หนาแน่น 220 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 221
ประสงค์ (Pra Song) ผูถ้ า่ ย เวทติ พุ่มพวง พชื ใบเลี้ยงคู่ วงศ์ MELIACEAE ชอื่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aglaia chittagonga Miq. ผูถ้ า่ ย เวทิต พุ่มพวง ช่อื อ่นื (Vernacular name) : ตาเสือ (ท่ัวไป) ลักษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ น้ ไมผ่ ลดั ใบ เรือนยอดโปร่ง กิ่งกา้ นออ่ นมเี กลด็ สีน้ำ�ตาลและขนรูปดาว สั้น ๆ คลมุ เปลอื กนอกเรียบหรือแตกเป็นสะเกด็ เปลอื กในสชี มพู ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรียงเวียนเป็นกระจุกทปี่ ลายกิ่ง ใบย่อยรปู รีหรือรปู ขอบขนาน ปลายเปน็ ตงิ่ แหลม โคนเบย้ี ว ขอบเรยี บหรือเปน็ คล่ืน แผ่นใบหนาน่มุ มีขนรูปดาวสีครีมคลุมทั้งสองดา้ น ดา้ นบนสเี ข้ม ด้านลา่ ง มขี นคลุมหนาแน่นกวา่ ก้านใบสั้น เรียงตรงขา้ ม เสน้ ใบนูนเดน่ ดา้ นลา่ ง ใบแก่กอ่ นรว่ งสีเหลอื ง ช่อดอกออกทซี่ อกใบใกลป้ ลายกิ่ง มีดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกเปน็ หลอดยาว ผลรปู กลมแปน้ มีขนสนั้ สนี ำ้�ตาลคลุมบาง ๆ สกุ สีเหลือง แตกเปน็ ๓ เสย่ี ง เนอ้ื หุ้มเมล็ดสแี ดงสด เมล็ดสดี ำ�มี ๓ เมล็ด เปน็ ไมเ้ รอื นยอดช้นั กลางในป่าดิบท่วั ไป ประโยชน์ : ผลสุกโดยเฉพาะเน้อื หุ้มเมลด็ เป็นอาหารของกระรอก นกเงือกสนี ำ�้ ตาลและนกแกก๊ ความส�ำ คัญ : หายาก/มีแนวโน้มใกล้สญู พนั ธุ์ ข้อควรจำ� : หากสบั เปลอื กจะมีน้�ำ ยางสีชมพูคอ่ ย ๆ ไหลซมึ ออกมา มกี ลิ่นหอมออ่ น ๆ 222 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 223
จนั ทน์ชะมด (Chan Cha Mot) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ MELIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Aglaia silvestris (M. Roem.) Merr. ช่ือพอ้ ง (Synonym) : Aglaia pyramidata Hance, A. cochinchinensis Pierre ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ น้ ผลัดใบช่วงส้ัน ๆ เรือนพ่มุ รูปกรวยคว�่ำ กิ่งมักแตกต้งั ฉากกับลำ�ตน้ เปลือกหนา เรียบหรอื แตกเปน็ รอ่ งยาวตน้ื ๆ สนี ำ้�ตาลอมเทา เปลือกในอดั แน่นเปน็ ช้นั ๆ สชี มพูถงึ ส้มแดง มรี ้วิ สีขาวแทรกตามยาว มนี �ำ้ ยางเหนยี วขน้ สีขาวอมชมพู มกี ลนิ่ หอม กระพี้สขี าวอมเหลอื ง ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรยี งเวยี นเปน็ กระจกุ ท่ีปลายก่งิ ใบย่อยรปู ใบหอก ปลายแหลม โคนเบ้ียว ขอบเรยี บ แผ่นใบหนา เกลี้ยงเป็นมันท้งั สองดา้ น ดา้ นบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขยี วนวล ก้านใบส้นั มาก เรยี งตรงข้าม ยอดออ่ นมีเกลด็ สนี �ำ้ ตาลคลุม ชอ่ ดอกขนาดใหญ่ออกทซี่ อกใบใกล้ ปลายกิง่ ดอกขนาดเลก็ สเี หลืองอ่อน มีกลน่ิ หอมแรง ผลรูปกลมรี สกุ สเี ขียวอมเหลือง พบในป่าดิบ ทกุ ประเภทและพบประปรายในปา่ เบญจพรรณช้นื ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารของสตั ว์ป่าหลายชนดิ ความส�ำ คญั : ไม้หวงห้ามประเภท ข ข้อควรจำ� : หากสับเปลือกจะไดก้ ล่นิ หอมอ่อน ๆ และมีน้ำ�ยางสขี าวอมชมพูเหนียว ๆ ซึมออกมา 224 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขยี ว-น้ำ�หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช 225
ยมมะกอก (Yom Ma Kok) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ MELIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Chisocheton cumingianus (C. DC.) Harms subsp. balansae (C. DC.) Mabb. ชอื่ พ้อง (Synonym) : Chisocheton siamensis Craib, C. paniculata Hiern ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : ตาเสอื (ทัว่ ไป) ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไมต้ ้นไมผ่ ลดั ใบขนาดใหญ่ เปลอื กนอกสีน�้ำ ตาลอมเทา แตกเป็นสะเกด็ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรยี งเวยี นเปน็ กระจกุ ทปี่ ลายกิ่ง ใบย่อยรูปใบหอกแกมรูปขอบ ขนาน ปลายแหลม โคนเบีย้ ว ขอบเรยี บหรือเป็นคล่ืน แผ่นใบมขี นสีนำ้�ตาลสั้นคลุมท้งั สอง ดา้ น โดยเฉพาะเส้นใบมีมากเป็นพเิ ศษ ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ด้านลา่ งสีออ่ นกว่า ก้านใบยอ่ ยสนั้ เรยี งตรงขา้ มหรือเย้อื งกัน ยอดออ่ นมีขนสัน้ สนี �้ำ ตาลคลมุ หนาแนน่ ชอ่ ดอกโปร่งยาวมาก ออกทซี่ อกใบใกล้ปลายกิ่งหอ้ ยลง ใบแก่ก่อนรว่ งสเี หลือง ดอกเปน็ หลอดขนาดเล็กสขี าวหรอื เหลือง ผลสดขนาดใหญค่ ่อนขา้ งกลม สุกสแี ดง เมอื่ แกแ่ ตกออกเป็น ๒–๔ เสยี่ ง ก้านชอ่ ผลยาว มาก เมล็ดสดี ำ� มเี ยอื่ สแี ดงสม้ หุ้มบางส่วน เปน็ ไมเ้ รือนยอดชั้นบนในปา่ ดิบเขาและปา่ ดิบชนื้ ระดับสูง ประโยชน์ : –เนือ้ ไมใ้ ช้ก่อสร้างโครงสร้างภายใน –ผลสุกเป็นอาหารของนกเงอื กบางชนดิ 226 พรรณไม้ป่าดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว
ค้างคาวอลี ดิ (Khang Khao I Rit) พชื ใบเล้ียงคู่ วงศ์ MELIACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dysoxylum cyrtobotryum Miq. ช่อื อืน่ (Vernacular name) : ตาเสือเหลอื ง, ตาเสอื (ทัว่ ไป) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดเลก็ ไมผ่ ลดั ใบ เรอื นยอดคอ่ นข้างโปร่ง ลำ�ตน้ แตกกิ่งต�ำ่ เปลอื ก นอกเรียบ บาง สเี ทาถงึ น�ำ้ ตาล กง่ิ ก้านและยอดออ่ นมีคราบหรือเกล็ดสีนำ้�ตาลเคลอื บ ใบประกอบ แบบขนนกปลายค่ี เรียงเวยี น ใบย่อยรปู รีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนเบ้ียว ขอบเรยี บหรือ เปน็ คลนื่ แผ่นใบบาง เกล้ียงท้งั สองดา้ น ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ด้านลา่ งสอี ่อนกว่า กา้ นใบส้นั เรียง ตรงข้ามหรอื เยื้องกัน ชอ่ ดอกออกท่ซี อกใบใกล้ปลายก่ิง ผลรปู รีกลมหรือไข่กลับ สอบเรียวเข้าหา ข้ัวผล เปลือกผลมรี อยย่นเป็นสันตน้ื ๆ ตามความยาวของผลคล้ายผลเหยี่ ว มีสีเหลอื งทองต้ังแต่ ผลอ่อนถงึ ผลแก่ เมอ่ื แกแ่ ตกเปน็ ๒ เสีย่ ง มเี นื้อหุ้มเมล็ดสแี ดงคล�ำ้ ถึงดำ� ก้านผลอ้วนป้อม เมล็ด กลมหรือรี สีดำ�เป็นมนั เป็นไมเ้ รอื นยอดชัน้ กลางในปา่ ดิบเขาและปา่ ดิบแลง้ ประโยชน์ : –ผลสกุ (เมลด็ ) เป็นอาหารของกระรอกและนกแกก๊ –เนอ้ื ไม้แข็งใชก้ ่อสรา้ งท่วั ไป ข้อควรจำ� : ผลอ่อนจนถงึ ผลแกม่ สี ีเหลืองทอง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์พุ ชื 227
เล่ยี นลูกใหญ่ (Lian Luk Yai) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ MELIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Melia azedarach L. ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Melia dubia Cav. ชื่ออน่ื (Vernacular name) : เคีย่ น, เลย่ี นใบใหญ่ (กลาง); เกรียน, เค่ยี น, เฮยี่ น (เหนือ) ช่อื สามญั (Common name) : White Cedar ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ ้นผลดั ใบ เรอื นยอดโปรง่ เปลือกนอกบาง เรียบหรือแตกเป็นร่องตน้ื ๆ สีนำ้�ตาล มชี อ่ งอากาศสีขาวกระจายทวั่ เปลือก ใบประกอบแบบขนนก ๒ ช้ัน เรียงเวยี นเป็นกระจุก ทป่ี ลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่กลับแกมรปู ขอบขนานหรือรปู สี่เหลีย่ มขนมเปยี กปูน ปลายเรียวแหลม โคนสอบแคบหรอื เบีย้ ว ขอบหยักไม่สม�ำ่ เสมอ แผน่ ใบบาง เกล้ยี งเป็นมันท้ังสองด้าน ด้านบนสีเขยี ว เข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า ใบแกก่ ่อนร่วงสีเหลอื ง ช่อดอกออกท่ซี อกใบใกลป้ ลายก่ิง มีดอกจ�ำ นวนมาก ดอกสมี ว่ งหรือสีขาวหรือขาวอมม่วง ผลแบบเมล็ดแข็ง ทรงกลม ผิวเกลยี้ ง ขนาดผลอง่นุ เมื่อแก่สี เหลอื ง เมลด็ แข็งมเี มล็ดเดยี ว เป็นไม้เบกิ นำ�ตามพ้ืนทโ่ี ลง่ ๆ ในป่าดิบเขา ป่าสนเขาหรือพ้นื ท่ีเปิดโลง่ ในระดับสูง ประโยชน์ : –เปลอื กและผลเป็นยาฆา่ แมลง ท้งั ตน้ เปน็ ยาสมุนไพรและปลกู เปน็ ไมป้ ระดบั –ดอก ยอดออ่ นรสขมท�ำ ให้สุกกนิ ได้ –เนือ้ ไมใ้ ชก้ ่อสร้างภายในและทำ�เฟอรน์ ิเจอร์ –ผลเป็นอาหารของค่างแวน่ ถ่ินเหนอื ใบเป็นอาหารของช้างปา่ ความสำ�คัญ : ไม้หวงห้ามประเภท ก หมายเหตุ : บางตำ�ราแยกออกเป็น ๓ ชนิด โดยชนดิ น้มี ีผลขนาดใหญ่ทสี่ ุด 228 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขียว-น้ำ�หนาว
กระท้อนปา่ (Kra Thon Pa) พชื ใบเลย้ี งคู่ วงศ์ MELIACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Sandoricum koetjape (Burm. f.) Merr. ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Sandolicum indicum Cav., S. nervosum Blume, Melia koetjape Burm. f. ชือ่ อ่ืน (Vernacular name) : สตียา, สะตู (มาเลเซยี –นราธิวาส); สะโต (มาเลเซีย–ปัตตาน)ี ; เตยี น, ล่อน, สะทอ้ น (ใต้); มะตอ้ ง (เหนอื , อดุ รธาน)ี ; มะติ๋น (เหนือ) ชอ่ื สามัญ (Common name) : Sentul, Santol, Red Sentol, Yellow Sentol ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลดั ใบช่วงส้ัน ๆ เปลอื กนอกหนา เรยี บหรือแตกเปน็ สะเกด็ เปลอื กในสีชมพู มีน�ำ้ ยางสขี าวข้นซมึ ใบประกอบมใี บยอ่ ย ๓ ใบ กา้ นใบยาว เรียงสลบั ใบย่อย รูปไข่แกมรูปรี ปลายแหลม โคนป้าน ขอบเรียบหรอื เปน็ คลน่ื แผน่ ใบหยาบเกลยี้ งหรือมีขนคลมุ บาง ๆ ดา้ นบนสีเข้มกวา่ ด้านล่าง ใบแกก่ อ่ นรว่ งสีแดงสม้ ช่อดอกออกท่ซี อกใบใกลป้ ลายก่งิ มี ดอกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกสมบรู ณเ์ พศ สีเหลอื งหมน่ ผลสดขนาดกำ�ปน้ั รูปกลมหรือแปน้ ฉำ่�นำ�้ เปลือกมขี นสน้ั เกรยี นสนี �้ำ ตาลคลมุ เนอื้ หนานุ่มมีหลายเมล็ด เปน็ ไม้เรอื นยอดช้ันกลางถึงช้ันบน ในป่าดิบทุกประเภทและพบประปรายในปา่ เบญจพรรณชื้น ประโยชน์ : –ผลสกุ รสหวานอมเปรย้ี วกินได้ เป็นอาหารของชะนีมอื ขาว พญากระรอกดำ� กระรอก หลากสีและกระซู่ –ราก เปลือก ผลและใบ เป็นยาสมุนไพร –เนอื้ ไม้ใช้กอ่ สร้างอาคารบา้ นเรือนและใช้เป็นต้นตอของพันธ์ุกระท้อนบา้ น ความสำ�คญั : ไมห้ วงห้ามประเภท ก กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 229
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401