Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Description: Montane_Plants_Phukhieo_Namnao (1)

Search

Read the Text Version

เฟนิ 30 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 31

กดู ดอยซเิ ลียน (Kud Doi Si Lian) เฟนิ วงศ์ BLECHNACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Blechnum orientale L. ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : กูดขา้ งฟาน (แม่ฮ่องสอน); มหาสะดำ� (ตะวันออกเฉียงใต)้ ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นกูดดิน (กดู ต้น) ลำ�ตน้ เกอื บจะติดพน้ื อาจสงู ได้มากกวา่ ๕๐ ซม. ตามล�ำ ต้นมี เกล็ดเป็นแถบสีน�ำ้ ตาลแคบ ๆ ปลายเกลด็ เรยี วยาวเปน็ หาง ก้านใบยาว ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบยอ่ ยจ�ำ นวนมากรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนเบี้ยวขอบเรยี บ ไมม่ ีกา้ นใบ แผ่นใบเหนียวและเรยี บ เสน้ ใบแยกเปน็ คใู่ กล้เส้นกลางใบเหน็ ไดช้ ดั เจน เรยี งสลบั บนก้านใบ ก้านใบประกอบยาวประมาณ ๑–๒ ม. มีรอ่ งตามยาว ยอดอ่อนขนาดใหญส่ นี ้ำ�ตาลแดงอวบน�้ำ ม้วนงอตามกา้ นใบ มใี บที่ลดขนาดลงรปู ร่าง คล้ายต่ิงหู กา้ นและใบอ่อนสนี ้ำ�ตาลออ่ นหรอื น�ำ้ ตาลแดง กลุม่ อับสปอรเ์ ปน็ แถบแคบ ๆ ขน้ึ ตามเส้น กลางใบย่อย เป็นไมพ้ ้ืนล่างในป่าดิบเขาหรอื ตามรมิ หว้ ยของปา่ ดิบทพี่ ้ืนล่าง ค่อนขา้ งโปร่งตงั้ แตร่ ะดบั ตำ�่ จนถงึ ๑,๖๐๐ ม. ประโยชน์ : –ยอดอ่อนลวกใหส้ ุกกินเปน็ ผัก –ปลกู เปน็ ไมป้ ระดับ ความสำ�คัญ : คอ่ นขา้ งหายากในธรรมชาติ 32 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว

ละอองไฟฟา้ (La Ong Fi Fa) เฟนิ วงศ์ DICKSONIACEAE (CIBOTIACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cibotium barometz (L.) J. Sm. ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : กูดเสือ, โพสี (ปตั ตาน)ี ; แตดลิง (สงขลา); นลิ โพสี (สงขลา, ยะลา); วา่ นไก่น้อย (ท่ัวไป); กดู ผปี า่ , กดู พาน (เหนอื ); ขนไกน่ อ้ ย (เลย); หัสแดง (นครราชสีมา) ลกั ษณะท่ัวไป : เป็นกูดต้นทโ่ี บราณ สว่ นของเหง้าและใบอ่อนปกคลุมด้วยขนยาวสีเหลืองทองเปน็ มนั ล�ำ ตน้ ทอดนอนไปตามพน้ื ดิน มขี นยาวสีทองปกคลมุ หนาแน่น ใบต้งั ขน้ึ รวมกนั ทป่ี ลายยอด ก้านใบ ยาวไม่เชอ่ื มรวมกบั เหงา้ ใบประกอบแบบขนนก ๒ ชั้น ขนาดใหญ่มาก ใบย่อยไมม่ กี ้านใบ ขอบหยัก ซ่ฟี ันถี่ ๆ ด้านบนมขี นสที องคลมุ ด้านลา่ งสีออ่ นกวา่ กล่มุ อัปสปอร์แตกออกตามโคนของแฉก กา้ นใบ รวมยาวทัง้ หมดประมาณ ๑–๒ ม. ยอดออ่ นม้วนงอขนาดใหญอ่ วบน�้ำ มีขนยาวสที องคลุมหนาแนน่ เปน็ ไม้พ้นื ลา่ งในป่าดบิ ชนื้ ระดบั สงู หรอื ตามหบุ หว้ ยหรอื หบุ เขาในปา่ ดิบเขา ประโยชน์ : –ยอดอ่อนลวกใหส้ ุกกินเป็นผัก –ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ –เหง้าและขนจากเหง้า เป็นยาสมุนไพร –ยอดออ่ นเป็นอาหารของกวาง, เก้ง และกระทงิ ความสำ�คญั : คอ่ นข้างหายากในธรรมชาติ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพันธุพ์ ืช 33

34 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กดู ปี้ด (Kud Pid) เฟิน วงศ์ GLEICHENIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dicranopteris linearis (Burm. f.) Underw. var. linearis ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Gleichenia linearis (Burm. f.) C. B. Clarke, Polypodium linearis Burm. f. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : กูดหมึก (เชยี งใหม่); ก๊กิ ุกะเจย้ (กะเหร่ียง–แมฮ่ ่องสอน); กือแก, รือแซ (มาเลเซีย–นราธิวาส); กูดแตม้ (นราธิวาส); โจนเหลก็ (ชมุ พร); โชน (ยะลา, ระนอง) ลักษณะทั่วไป : เปน็ กดู เหง้าทอดยาวมขี นสแี ดงคลุม ใบประกอบแบบขนนก แกนกลางใบประกอบ แยกออกเปน็ คู่ ๒–๓ ครงั้ สาขาของแกนกลางใบประกอบที่ ๑ และ ๒ จะหยุดเติบโตเมื่อมคี วามยาว หนงึ่ ปล้อง สาขาท่ี ๓ แยกเป็นคูข่ นาดใกลเ้ คยี งกนั แตม่ ีขนาดตา่ งกันโดยขนาดจะค่อย ๆ เล็กลงเมอ่ื เข้าใกล้ปลายแกน ใบเวา้ เป็นแฉกลกึ รปู ซีห่ วี ในแต่ละแฉกเป็นรูปแถบแบน ปลายมน ขอบหยักซฟี่ นั ตน้ื ๆ แผน่ ใบหนาแข็ง ด้านบนสเี ข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขนคลุม กลมุ่ อัปสปอรร์ ูปกลม เรียง ขนาบขา้ งเส้นกลางแถบใบ ยอดออ่ นม้วนงอ ใบแห้งสนี �้ำ ตาลแดง พบในพื้นทเี่ ปดิ โล่งทีม่ คี วามชุ่มชนื้ สูงในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ชืน้ ระดบั สงู ป่าดิบประเภทอ่ืน และป่าสน ประโยชน์ : –ปลกู เป็นไมป้ ระดบั –ปลกู คลุมดนิ ปอ้ งกนั การพงั ทลายไดด้ ี ความสำ�คญั : ถูกคุกคามในธรรมชาติ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์ุพืช 35

ช้องนางคลี่ (Chong Nang Khli) ผถู้ ่าย กติ ติ กรตี ิยุตานนท์ เฟนิ วงศ์ LYCOPODIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Huperzia phlegmaria (L.) Rothm. ช่ืออน่ื (Vernacular name) : เกล็ดนาคราช (เลย); พูร่ ะโหง (จันทบุรี); ระย้า (นครศรีธรรมราช); ยมโดย (กลาง) ลักษณะทว่ั ไป : เป็นเฟินรปู อาศัย ล�ำ ตน้ และกิง่ อวบน�้ำ แตกก่ิงก้านสาขารูปตัววาย (Y) ห้อยลง ใบเปน็ เกลด็ รปู ใบหอกหรือสามเหลยี่ ม ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ สีเขยี วแกมเหลือง ไมม่ กี า้ น เรยี งตรงขา้ มสลบั ตั้งฉาก สืบพนั ธ์ุโดยใชส้ ปอร์ (spore) อบั สปอร์เกดิ ในกลุม่ ใบเกลด็ ขนาดเลก็ ปลายกงิ่ เรียงเกยซ้อนกนั เป็นเส้นยาวคล้ายแส้ และแยกแขนงท่ปี ลายกง่ิ พบขน้ึ เป็นกอตามคาคบ ไมใ้ หญ่หรือบนโขดหินท่ีมีใบไม้ทบั ถมในป่าดบิ เขา ปา่ ดบิ ทีม่ ีความชุ่มช้นื สูง ปา่ ละเมาะเขา ปา่ สนเขา และในหุบเขาหนิ ปูน ประโยชน์ : –ปลูกเปน็ ไม้ประดับ –ซือ้ ขายราคาแพง ความส�ำ คัญ : ควรอนรุ กั ษ์เพ่ือศึกษาดา้ นการววิ ฒั นาการ และในปัจจบุ นั ถกู คุกคามในธรรมชาติ 36 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 37

ยมโดย (Yom Doi) เฟิน วงศ์ LYCOPODIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Huperzia squarrosa (G. Forst) Trevis ช่อื อ่นื (Vernacular name) : ช้องนางคลี่ (เชียงใหม่); หางสงิ ห์ (นครราชสีมา); หางค่าง (นครศรธี รรมราช) ลักษณะทวั่ ไป : เป็นเฟนิ องิ อาศยั ตามคาคบไมแ้ ละพน้ื ดิน ลำ�ตน้ อวบนำ้�ห้อยลงแตกก่งิ ก้านรปู ตัววาย (Y) ใบเดยี่ วรูปยาวเรียวจนถงึ เป็นเสน้ ค่อนข้างแข็ง ไมม่ กี า้ นใบ เรยี งเป็นระเบยี บบนก้านใบอวบน�ำ้ สืบพันธโุ์ ดยใช้สปอร์ พบข้นึ เปน็ กอตามคาคบไม้และพบประปรายบ้างตามงา่ มตน้ ไม้ขนาดเลก็ ใกล้ พนื้ ดนิ หรอื ซากใบไม้ผใุ นปา่ ดบิ เขา ปา่ เต็งรงั ระดบั สงู และในหุบเขาหินปูน ประโยชน์ : –ปลกู เป็นไมป้ ระดบั –ซ้อื ขายราคาแพง ความส�ำ คัญ : เป็นเฟนิ ทีค่ วรคา่ แกก่ ารศกึ ษาทางวิวฒั นาการและการอนรุ ักษ์เน่อื งจากถูกคกุ คามใน ธรรมชาติมาก 38 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขยี ว-น้ำ�หนาว

วา่ นกีบแรด (Wan Kip Raet) เฟนิ วงศ์ MARATTIACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Angiopteris evecta (G. Forst.) Hoffm. ชื่ออนื่ (Vernacular name) : กบี มา้ ลม (เหนอื ); กบี แรด (แพร่); ดกู ู (มาเลเซยี –คาบสมทุ ร); ว่านกบี ม้า (กลาง) ลกั ษณะทวั่ ไป : เปน็ กดู ตน้ ลำ�ต้นสนั้ จมอยู่ใตด้ ิน มักแตกกอออกด้านข้าง พอก้านแก่ตายไปจะเหลอื เฉพาะโคนกา้ นท่มี ีลักษณะคลา้ ยกบี เกง้ หรอื กวางมากกว่ากบี แรดสีน้ำ�ตาลดำ�โผล่พ้นเหนอื ดิน ก้านใบ ยาว มรี อยขดี ชอ่ งอากาศสั้น ๆ สขี าวหรอื สีครีม ใบประกอบแบบขนนก ๒ ช้ัน ก้านใบรวมยาวไดถ้ ึง ๑ ม. กา้ นใบแกนกลางมกั หกั งอทำ�มมุ สลับไปมา กา้ นใบย่อยช้ันแรกเรียงสลับ ใบยอ่ ยจำ�นวนมาก รปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม โคนมนหรอื เบี้ยว ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ยถี่ แผ่นใบเหนยี วหยาบ สากเปน็ มันทัง้ สองด้าน ดา้ นบนสีเขียวสด ดา้ นล่างสอี ่อนกว่า กา้ นใบสัน้ มากหรอื ไม่มี เรยี งสลับ เสน้ ใบนนู ออกชดั เจนดา้ นลา่ ง ยอดอ่อนอวบน�ำ้ ขนาดใหญ่มว้ นงอสเี ขียวมขี นเกลด็ สนี ำ้�ตาลคลมุ กลุ่มอับสปอร์ออกดา้ นลา่ ง พบตามริมหว้ ยหรือในหุบทช่ี ุ่มชืน้ สงู ในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ชืน้ ระดับสูงและ ตามริมหว้ ยในป่าเบญจพรรณชนื้ ประโยชน์ : –ยอดออ่ นลวกให้สุกกนิ เป็นผัก และเปน็ อาหารของชา้ ง กระทงิ และกวางป่า –ปลกู เป็นไม้ประดับในรม่ –รากและโคนกา้ นใบ (คล้ายกบี กวาง) เป็นยาสมุนไพร ความสำ�คัญ : ถกู คุกคามในธรรมชาติ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธพ์ุ ชื 39

เ(ฟFoนิ eกn้านKดan�ำ ใบDดaาmว Bi Dao) เฟิน วงศ์ PARKERIACEAE (PTERIDACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Adiantum hispidulum Sw. ช่ืออนื่ (Vernacular name) : เฟินก้านดำ� (ทวั่ ไป) ช่อื สามญั (Common name) : Five Finger Fern, Rosy Maidenhair ลกั ษณะท่วั ไป : เป็นเฟนิ ลำ�ตน้ สนั้ ปลายล�ำ ตน้ แตกออกจากปลายก้านคล้ายรัศมดี าว มีเกลด็ เปน็ แถบแคบ ๆ ใบประกอบขนนก ก้านใบสีดำ� ประกอบด้วยใบยอ่ ยจ�ำ นวนมาก เรียงสลับ โดยใบขนาด ใหญอ่ ย่ดู ้านลา่ งสดุ แล้วค่อย ๆ เล็กลงจนสดุ ปลายก้าน ใบย่อย รปู ขอบขนาน ขอบใบดา้ นบนหยกั มน ด้านล่างเรียบเป็นเส้นตรง แผ่นใบบาง เกลย้ี งทัง้ สองด้าน ใบแกส่ ีเขียวเข้มเป็นมนั และหยาบ ส่วนใบ อ่อนสีชมพูคอ่ ย ๆ เขียวขน้ึ เร่ือย ๆ เมอื่ เขา้ ใกล้โคนกา้ น ยอดอ่อนแตกออกจากปลายกา้ นคล้ายรปู ดาว กา้ นใบย่อยสั้นมาก กลมุ่ อบั สปอร์อยู่บริเวณด้านบนของขอบใบดา้ นบนทีห่ ยักมน เป็นไม้พืน้ ล่างใน ปา่ ดบิ ช้นื ระดบั สงู ป่าดบิ เขา ป่าดิบเขาผสมสน และป่าละเมาะเขา ประโยชน์ : ใบสวยงามเหมาะปลกู เปน็ ไม้ประดบั ในรม่ หมายเหตุ : บางต�ำ ราจัดไว้ในวงศ์ ADIANTACEAE 40 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขียว-น้�ำ หนาว

หวายทะนอย (Wai Ta Noi) เฟนิ วงศ์ PSILOTACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Psilotum nudum (L.) P. Beauv. ชอื่ พ้อง (Synonym) : Psilotum triquetrum Sw. ชื่ออื่น (Vernacular name) : ระฟ้าปู (ปัตตานี); สะย้า (ชุมพร) ชื่อสามญั (Common name) : Whisk Fern ลักษณะทั่วไป : เปน็ เฟินอิงอาศยั ทไี่ ม่มีรากและใบทแ่ี ทจ้ ริง ส่วนทท่ี ำ�หนา้ ทร่ี ากเรยี กว่า rhizoids ก่งิ อ่อนมว้ นงอเหมอื นกูดหรือเฟินท่วั ไป ลำ�ตน้ ไมม่ ีใบปกคลมุ ลกั ษณะคลา้ ยแส้หรือไมก้ วาด มี ๒ สว่ น คือ ลำ�ตน้ เหนือดนิ มีสีเขียวตงั้ ตรงท�ำ หนา้ ทีส่ ังเคราะห์แสง แตกกงิ่ แบบตัววาย (Y) มลี ักษณะเปน็ เหล่ยี ม สัน ๓–๕ สนั ส่วนทค่ี ล้อยไปหาปลายก่ิงมี ๓ สนั มีใบคลา้ ยเกลด็ สว่ นล�ำ ตน้ ใตด้ ินสนี ำ้�ตาลรปู ทรง กระบอกยาวทอดราบขนานอย่ใู ตผ้ ิวดิน แตกแบบเดียวกัน อับสปอรร์ ปู รา่ งกลมมี ๓ พู สีเขยี วเม่ือแก่ เปล่ยี นเปน็ สีเหลอื ง ภายในอัปสปอรม์ สี ปอร์จ�ำ นวนมาก มกั ออกเดย่ี ว ๆ บรเิ วณปลายกิ่ง สืบพันธุโ์ ดย ใช้สปอรท์ งั้ แบบอาศัยเพศและไมอ่ าศัยเพศ พบขึ้นเปน็ กอขนาดเล็กเกาะองิ อาศัยตามซอกหินคาคบ หรือซอกหลบื ของต้นไม้ใหญห่ รอื ตามพื้นดนิ ท่มี ใี บไมผ้ ทุ ับถมไมห่ นานกั และมีความช้ืนสงู ในปา่ ดิบเขา ป่าดิบแล้ง และหุบเขาหินปนู ประโยชน์ : –ปลูกเป็นไม้ประดับ และซือ้ ขายราคาแพง –ใช้ศึกษาวิจยั ดา้ นการววิ ฒั นาการของพชื ความสำ�คญั : –หายาก/เป็นพืชมีท่อล�ำ เลยี งท่โี บราณทส่ี ดุ กำ�เนดิ ขน้ึ มาเมือ่ ประมาณ ๔๐๐ ล้านปี หมายเหตุ : พืชวงศ์นีใ้ นประเทศไทยมีเพียง ๑ สกุล ๒ ชนดิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุพ์ ืช 41

42 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

พชื เมล็ดเปลอื ย กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธุ์พืช 43

พญามะขามป้อม (Pha Ya Ma Kham Pom) พืชเมลด็ เปลือย วงศ์ CEPHALOTAXACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cephalotaxus mannii Hook. f. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Cephalotaxus griffithii Hook. f., C. oliveri auct. non Masters ชอื่ อ่นื (Vernacular name) : ดอยสะเดน็ (เชียงใหม่); สะวาลา, เสว่ าลา (กะเหร่ียง–เชียงใหม่); หิง้ (เลย) ช่ือสามัญ (Common name) : Plum Yews ลกั ษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ไมผ่ ลัดใบ ลำ�ต้นเปลาตรง เรอื นยอดเปน็ พมุ่ ทึบ กง่ิ ออ่ น มีช่องระบายอากาศสขี าวกระจาย เปลอื กนอกบาง เรยี บเป็นมนั สีน�้ำ ตาลถึงแดง มักหลุดลอก เปน็ ชน้ิ หรอื เปน็ แผ่นบาง ๆ กงิ่ ออ่ นแตกแบบรูปตัววาย (Y) ล่ลู ง ใบเดีย่ ว รปู ขอบขนานหรือ เปน็ แถบแคบ ๆ ปลายแหลม โคนมน (คล้ายใบมะขามป้อม) ด้านบนสีเขียวเข้มเปน็ มนั ดา้ นลา่ ง สีขาวนวล ก้านใบส้นั มาก ติดเรียงสลบั กันเกอื บตรงขา้ มแผ่เป็นช่อแบน ๆ ในแนวระนาบ มีท่อชนั ขนาดใหญ่เรียงขนานกบั เส้นกลางใบและมตี อ่ มสีขาวตามยาวของใบ ดอกแยกเพศ โดยดอกเพศ ผู้รวมกันเป็นกอ้ นกลม ๆ เรียงซอ้ นกันที่ซอกกาบบาง ๆ ดอกเพศเมียรวมกนั อยูเ่ ป็นรปู กรวยเลก็ ๆ ทีซ่ อกกาบปลายก่ิง มีแกนรว่ มออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ผลรูปไข่ปลายบุ๋มเลก็ น้อยแล้วยื่นออกเป็น ต่ิง สกุ สนี ้ำ�เงนิ คลำ�้ เมลด็ มขี นาดใหญ่จำ�นวน ๑-๒ เมล็ด/กรวย พบเปน็ ไม้เรอื นยอดช้นั บนตาม สนั เขาและไหลเ่ ขาในปา่ ดิบเขาเท่านัน้ ประโยชน์ : –ไม้คณุ ภาพดเี ลือ่ ยผ่าตบตกแต่งงา่ ย –ผลสุกกนิ ได้รสเปรีย้ วอมหวาน ความส�ำ คัญ : –ไม้หวงห้ามประเภท ข/กระจายมาจากเขตอบอุน่ /หายาก/มแี นวโน้มใกลส้ ญู พันธ์ุ หมายเหตุ : ในประเทศไทยสกลุ นมี้ เี พยี งชนดิ เดยี ว บางตำ�ราจัดไว้ในวงศ์ TAXACEAE ขอ้ ควรจำ� : หากเปลอื กเกิดบาดแผลจะมนี �ำ้ ยางสีเหลืองออ่ นซึมออกมา 44 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว

แปกลม (Paek Lom) พืชเมลด็ เปลอื ย วงศ์ CUPRESSACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Calocedrus macrolepis Kurz ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : สนใบตอ่ , สนแผง (เลย) ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมต้ ้นไมผ่ ลดั ใบเรอื นยอดทบึ ลำ�ตน้ เปลาตรงกิ่งแบน เปลอื กบาง เรียบหรอื แตก แบบสะเกด็ เปน็ รอ่ งลกึ สนี �้ำ ตาลแดง ใบแบบเกล็ดขนาดเลก็ หรอื บางทแี คบยาวเรยี งซ้อนกนั เป็นชั้น ๆ ปลายแหลมดา้ นบนมสี ขี าวเคลอื บ เรียงตรงขา้ มสลบั ตั้งฉากหรอื เรียงในระดบั เดยี วกันรอบกิง่ ใบออ่ นมขี นาดใหญ่ ดอกแยกเพศ ผลรูปไขเ่ ปลอื กแขง็ เม่ือแกแ่ ตกเปน็ ๖ เสี่ยง เมล็ดขนาดเลก็ สนี ำ�้ ตาลออ่ นมี ๒ ปกี ยาวไมเ่ ท่ากนั พบในป่าดบิ เขาในพืน้ ทคี่ ่อนข้างโลง่ หรอื ชายปา่ ดิบเขาที่เปน็ หินทรายตอ่ กับทุ่งหญ้าและปา่ ทุง่ บริเวณภูคงิ้ และภกู ระดึง และโคกนกกะบาในภหู ลวง ประโยชน์ : เนอื้ ไม้ละเอยี ดแข็งแรงทนทานและมีนำ้�มันป้องกันปลวกได้ดี ใช้บผุ นังตกแตง่ ภายในและ ท�ำ เฟอรน์ ิเจอร์ ความสำ�คัญ : –ไม้หวงหา้ มประเภท ข/กระจายมาจากเขตอบอุ่น/หายาก/มแี นวโนม้ ใกล้สญู พนั ธุ์ ขอ้ ควรจำ� : หากเปลือกเปน็ แผล จะมนี ำ้�ยางสีเหลอื งอ่อนไหลซมึ ออกมา หมายเหตุ : บางตำ�ราจดั ไว้ในวงศ์ TAXACEAE ในประเทศไทยมีชนดิ เดยี ว พบคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยนกั พฤกษศาสตรช์ าวไทยและชาวเดนมาร์ก บนภหู ลวงและภูกระดงึ ในปัจจุบนั มีรายงานว่าพบที่ ภูหลวง ภูกระดงึ และภูเขยี ว กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธพุ์ ชื 45

(มMะขaาKมhปa้อmมดPงom Dong) ผู้ถ่าย ดร.ฉตั รชยั เงินแสงสรวย พืชเมลด็ เปลือย วงศ์ PODOCARPACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dacrycarpus imbricatus (Blume) de Laub. ชอ่ื พอ้ ง (Synonym) : Podocarpus imbricatus Blume ชื่ออื่น (Vernacular name) : พญาไม้ (จันทบุร,ี ตราด); สะรลุ (ตราด); หมากห้งิ (เลย); สาสน (นครราชสีมา) ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดใหญ่ไม่ผลดั ใบ เปลอื กเรยี บสนี ้ำ�ตาลแดง ใบเดยี่ วรปู แบนยาว ปลาย แหลมแข็งขนาดเลก็ มาก (คลา้ ยใบมะขามปอ้ ม) แผ่นใบหนาแขง็ เกลี้ยงเปน็ มนั ทัง้ สองดา้ น ดา้ นบน สเี ขียวเข้ม ด้านล่างสีเขยี วนวล เรยี งตวั เปน็ กลุ่มบนกง่ิ ขนาดเล็กคล้ายเปน็ ใบประกอบหรอื คล้ายขนนก ก้านใบสนั้ เรยี งสลับ ผลกลมเกล้ยี งอยบู่ นฐานรองรูปทรงกระบอก พบขน้ึ เป็นไมช้ ัน้ กลางถึงชัน้ บนใน ปา่ ดิบเขา ประโยชน์ : เนอื้ ไมใ้ ช้ก่อสรา้ งและทำ�เฟอร์นเิ จอร์ ความสำ�คญั : ไม้หวงหา้ มประเภท ก /กระจายมาจากเขตอบอุ่น /หายาก 46 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภูเขียว-น้�ำ หนาว

สนสามพันปี (Son Sam Phan Pi) พืชเมล็ดเปลือย วงศ์ PODOCARPACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dacrydium elatum (Roxb.) Wall. ex Hook. ชอื่ อน่ื (Vernacular name) : พญามะขามป้อม, สนสรอ้ ย (ตราด); สนหางกระรอก (กรงุ เทพฯ); พญาไม้ (เพชรบรู ณ์); จวงผา (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ); หางหมา (ชัยภูมิ, เลย) ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไมต้ ้นไม่ผลดั ใบเรือนยอดรูปกรวยคว่ำ� เปลอื กนอกเรียบหรือแตกลอ่ นเป็นสะเกด็ สีน�ำ้ ตาล เปลือกในสแี ดง ใบเด่ยี วรูปยาวเรยี วจนเป็นเส้นคอ่ นข้างแข็งไมม่ ีก้าน รูปใบมี ๒ แบบ คือ แบบรูปเข็มส้ันออกเวยี นรอบก่ิงและแบบเกลด็ เรยี งราบตามก่ิง ดอกแยกเพศ โดยดอกเพศผเู้ รียงอดั กนั แน่นมกี าบหุม้ ดอกเพศเมียออกเดย่ี ว ๆ อยู่ปลายกงิ่ ผลรูปทรงกลมหรือรี สุกสีด�ำ ติดอยู่บนฐาน รองผลสีแดงบรเิ วณปลายก่งิ เหนือใบ เมล็ดขนาดเล็กรูปไข่มีเมล็ดเดยี ว เปน็ ไมเ้ รือนยอดช้ันกลาง อยเู่ ปน็ กลุ่มขนาดใหญ่ในปา่ ดิบเขา ป่าดบิ ชืน้ ระดบั สงู ป่าดิบเขากง่ึ พรแุ ละปา่ ดบิ เขาผสมสน ประโยชน์ : ข้อมูลไมเ่ พยี งพอ ความสำ�คัญ : –กระจายมาจากเขตอบอ่นุ /ไม้หวงหา้ มประเภท ก /หายาก ข้อควรจ�ำ : เมอื่ เกดิ บาดแผลตามลำ�ตน้ จะมีนำ้�ยางสแี ดงไหลซมึ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์พุ ชื 47

ขุนไม้ (Khun Mai) ผู้ถา่ ย กิตติ กรีติยตุ านนท์ พืชเมลด็ เปลือย วงศ์ PODOCARPACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Nageia wallichiana (C. Presl) Kuntze ช่อื พ้อง (Synonym) : Nageia latifolia Gord., Decussocarpus wallichianus (C. Presl) de Laub., Podocarpus wallichianus C. Presl., P. blumei Endl. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : ขนุ , เสม็ด (ปตั ตาน)ี ; พญาไม้ (ทวั่ ไป, ตราด); เสง่ โบลิม้ , เหย่ดู (กะเหรีย่ ง–แม่ฮอ่ งสอน) ลักษณะท่ัวไป : เป็นไมต้ ้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ ใบเดี่ยว รปู รี รูปไข่กว้างหรอื รปู ใบหอกโค้ง ปลาย เรยี วแหลม โคนมนหรือสอบแคบ ขอบเรียบ แผน่ ใบหนาแข็งคลา้ ยแผ่นหนัง เกล้ยี งเป็นมนั วาว ทงั้ สองดา้ น ด้านบนสเี ขียวเขม้ ดา้ นล่างสอี ่อนกว่า เสน้ ใบไม่ชดั เจน กา้ นใบส้นั มาก เรยี งตรงข้ามหรือ เยือ้ ง ดอกแยกเพศอยู่ตา่ งต้น ออกท่ีซอกใบใกล้ปลายก่ิง ดอกเพศผู้ออกเปน็ ช่อเด่ียว ๆ ดอกเพศเมยี ออกเดย่ี ว ๆ บนฐานรองดอกที่มีเนื้อหนารปู ถ้วยหรอื ทรงกระบอก เม่ือแก่ฐานรองดอกเปลีย่ นเป็น สีแดง ผลรปู ทรงกลมเกล้ยี งสีด�ำ ตดิ อยูบ่ นฐานรองผล เมลด็ กลมแข็งมีเมล็ดเดยี ว เปน็ ไมช้ ัน้ กลางถงึ ชนั้ บนในปา่ ดิบเขา ประโยชน์ : –เนอ้ื ไม้ ใชก้ อ่ สรา้ งทัว่ ไป –ฐานรองผลทส่ี กุ กินเปน็ อาหารได้ ความสำ�คัญ : กระจายมาจากเขตอบอุ่น/หายาก/ไม้หวงหา้ มประเภท ก หมายเหตุ : บางต�ำ ราจดั ไวใ้ นสกลุ Podocarpus 48 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขยี ว-น้�ำ หนาว

พญาไม้ (Pha Ya Mai) ผถู้ ่าย ดร.ฉัตรชยั เงินแสงสรวย พชื เมลด็ เปลือย วงศ์ PODOCARPACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Podocarpus neriifolius D. Don ชอื่ พอ้ ง (Synonyms) : Podocarpus annamiensis N. Gray, Nageia bracteata Kurz ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : ขุนไม้, พญาไต้ราก (นครราชสีมา); ดอกโต (เลย); ไผล่ �ำ ตน้ (อุดรธานี); ซางค�ำ , ซางจงิ , ซางหอม, (เชยี งใหม่); ทูดุกล,ี เสว่ าลา (กะเหร่ยี ง–แมฮ่ ่องสอน); บัวละแวง (เชยี งราย); มหาจาง (เชียงใหม,่ เชยี งราย); สมุลแวง้ (กลาง); ฮั้งไก่ (จีน) ชอ่ื สามญั (Common name) : Thitmin ลักษณะทั่วไป : เปน็ ไมต้ ้นไม่ผลดั ใบ ล�ำ ต้นมักเปลาตรงหายากท่แี ตกเป็นไม้สองนาง แตกกง่ิ ตัง้ ฉาก กับลำ�ต้น เปลอื กนอกหนา สีน้ำ�ตาลเทา แตกล่อนเป็นแผ่นบาง ๆ ตามยาวขาดง่าย เปลอื กในสีชมพูอม น�้ำ ตาล มนี ้ำ�ยางสเี หลอื งออ่ น กระพี้สเี หลืองอมน้ำ�ตาล ใบเด่ียว รปู ขอบขนานแบนยาว ปลายแหลม โคนสอบแคบขอบเรียบแผ่นใบแขง็ หนาดา้ นบนสีเขียวเขม้ ด้านลา่ งสีออ่ นกวา่ เส้นกลางใบนนู เด่นทาง ด้านลา่ ง กา้ นใบสน้ั มาก เรยี งเวยี นเป็นกระจกุ ทปี่ ลายก่งิ ดอกแยกเพศอยู่ตา่ งต้นออกทซ่ี อกใบ โดย ดอกเพศผู้มโี คน (cone) เป็นชอ่ หางกระรอกสเี หลืองและมักออกเดีย่ ว ๆ หรือบางครงั้ พบข้ึนเป็น กระจุก ดอกเพศเมียออกเดย่ี ว ๆ บนฐานที่มเี นอื้ หนารูปถว้ ยทซ่ี อกใบ ผลรูปไขเ่ กอื บกลม เมอ่ื สกุ ฐาน รองผลสีมว่ งด�ำ มเี น้อื สีขาว กา้ นผลยาว เมลด็ แขง็ พบข้ึนเป็นไม้ชน้ั ลา่ งถงึ ชนั้ บนในปา่ ดบิ เขาและ ป่าดบิ ประเภทอืน่ ประโยชน์ : –เปลือกต้นและใบเป็นยาสมุนไพร –ผลสุกกนิ ได้ และเปน็ อาหารของชะนมี ือขาว –เน้ือไม้ใชท้ �ำ อปุ กรณต์ กแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ ความสำ�คญั : ไม้หวงหา้ มประเภท ก/หายาก/กระจายมาจากเขตอบอนุ่ หมายเหตุ : บางต�ำ ราจดั ไว้ในสกลุ Nageia กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์ุพืช 49

พชื ใบเล้ยี งเด่ีย 50 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-นำ�้ หนาว

ยว กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 51

กระดาด (Kra Dat) พืชใบเล้ยี งเด่ยี ว วงศ์ ARACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alocasia macrorrhizos (L.) G. Don ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Alocacia indica (Lour.) Schott, Arum macrorrhizos L. ช่ืออน่ื (Vernacular name) : บอนกาวี, เอาะลาย (ยะลา); กลาดีบเู กา๊ ะ (มลายู–ยะลา); โหรา (สงขลา, ยะลา); เผอื กกะลา, มนั โทป้าด (แม่ฮอ่ งสอน); คือ, โทป๊ะ (กะเหรยี่ ง–แม่ฮ่องสอน); เผือกโทปา้ ด (ฉาน–แม่ฮ่องสอน); บึมบอื้ , ปมึ ป้ือ (เชียงใหม)่ ; กระดาดดำ� (กาญจนบรุ )ี ; กระดาดแดง (กรงุ เทพฯ) ชื่อสามญั (Common name) : Giant Alocasia, Giant Taro, Elephant Ear ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ พชื ล้มลุกอายหุ ลายปี มเี หง้าเลอื้ ยทอดไปตามพื้นดนิ ล�ำ ตน้ ต้ังตรงสูงได้มากกวา่ ๒ ม. ใบเดีย่ วรปู เง่ียงลูกศรหรอื รูปหวั ใจ ปลายแหลม โคนเว้าลกึ ขอบเรียบหรอื เปน็ คลื่น ก้านใบขนาด ใหญ่อวบนำ้�เกล้ียง ตดิ ใกลโ้ คนแผน่ ใบ ด้านในมชี ่องอากาศมากคลา้ ยฟองน�้ำ โคนกาบแผอ่ อกเปน็ ครบี หุ้มรอบต้น เรียงเวียน ช่อดอกเปน็ กา้ นยาวรปู ใบหอกแกมรูปขอบขนานคล้ายดอกบอนท่ัวไป มกี าบหมุ้ สเี หลอื งอมเขยี ว ดอกแยกเพศโดยดอกเพศผู้อย่ดู ้านบนสว่ นดอกเพศเมยี อยโู่ คนชอ่ มีกล่ินหอมอ่อน ๆ ผลแบบเมล็ดแขง็ เน้อื นุม่ ผวิ เรียบเกลีย้ งเปน็ มันสกุ สีสม้ แดง เมล็ดกลม มีเมลด็ เดียว พบขน้ึ ตาม พ้ืนท่ีชมุ่ ชืน้ หรอื มีน�้ำ ขังหรอื ริมห้วยค่อนข้างโล่งในปา่ ดิบ ทรี่ กร้าง ลำ�หว้ ยในป่าเบญจพรรณและชาย ขอบหนองบงึ ในป่า ประโยชน์ : –เหงา้ ตม้ ให้สกุ กนิ เป็นอาหารไดแ้ ละเปน็ อาหารของเม่นและหมปู ่า –ปลูกเป็นไม้ประดับรมิ น้�ำ ทง้ั ตน้ เป็นยาสมนุ ไพร –ลำ�ต้นและใบเปน็ อาหารของช้างป่า ขอ้ ควรระวัง : น�ำ้ ยางจากทุกสว่ นของตน้ มสี ารกลมุ่ เรซินและ protoanemonine ซ่งึ เปน็ พษิ และมี แคลเซยี มออ๊ กซาเลตสงู มาก มฤี ทธ์ิท�ำ ให้ผิวหนงั บวมแดง 52 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 53

ผักหนาม (Phak Nam) พืชใบเลี้ยงเดีย่ ว วงศ์ ARACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Lasia spinosa (L.) Thwaites ชอื่ อืน่ (Vernacular name) : กะลี (มาเลเซยี –นราธิวาส) ลักษณะทั่วไป : เปน็ พชื ลม้ ลุกอายุหลายปี มีเหงา้ เลอ้ื ยทอดไปใตผ้ ิวดินและตั้งขึ้น ใบเดีย่ วรูปรา่ งไม่ แน่นอน แต่สว่ นใหญ่คลา้ ยหัวลกู ศร ขอบหยกั เวา้ ลึกเป็นแฉกคลา้ ยใบประกอบ มีหนามตามกา้ นใบ กา้ นดอกและบริเวณด้านหลงั เสน้ ใบ ก้านใบยาว เรียงเวียนอัดแนน่ ที่ยอด ช่อดอกยาวอดั กันแน่น กาบหุ้ม ชอ่ ดอกสนี �ำ้ ตาลแดงม้วนบิดเป็นเกลียว ดอกสีขาวถึงเหลืองนวล ผลติดกันเป็นชอ่ เมลด็ กลม สเี ขียวคล้ายฝกั ขา้ วโพด พบตามพ้ืนท่ีชุม่ ช้นื หรอื มีนำ้�ขังหรอื ริมหว้ ยในปา่ ดบิ ท่ัวไป ล�ำ หว้ ยใน ป่าเบญจพรรณและชายขอบหนองบงึ ในปา่ บกทกุ ประเภท ประโยชน์ : –ยอดและดอกออ่ น ลวกใหส้ กุ หรือดองเกลอื กินเปน็ ผัก –ใบมีรูปร่างแปลกตา ปลกู เป็นไมป้ ระดับ –หัว ราก ต้นและใบ เปน็ ยาสมนุ ไพร ขอ้ ควรระวัง : ทกุ สว่ นท่ีมชี ีวติ มสี ารพษิ ช่ือ Cyanogenetic glycoside ก่อนรบั ประทานควรต้มหรือ ดองเพ่อื ท�ำ ลายสารพิษก่อน 54 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 55

ตะเขบ็ (Ta Khep) พชื ใบเล้ยี งเด่ียว วงศ์ ARACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Pothos scandens L. ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Pothos seemanii Schott, P. angustifolius C. Presl ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : คอก่วิ (สุราษฎร์ธานี, ยะลา); นะแมะกะติง (มาเลเซีย–ปัตตานี); จะเข็บ (กลาง); หวายสะลอย (หนองคาย); หวายตะมอย (อตุ รดิตถ์); หวายหนู (เชียงราย) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นบอนเลือ้ ยลม้ ลกุ อายหุ ลายปี เลื้อยเกาะตามเปลือกตน้ ไม้หรือโขดหนิ โดยใช้ รากอากาศเกาะยึดจบั ตามเปลือก ใบเด่ียว รปู ใบหอกกลับหรอื ไขก่ ลบั ปลายแหลม โคนมนหรือ สอบรปู ลมิ่ ขอบเรยี บ แผ่นใบเกล้ยี งเปน็ มันทัง้ สองด้าน ด้านบนสเี ขียวเขม้ ด้านล่างสซี ดี กวา่ กา้ นใบแผ่เป็นครบี เรยี งสลับ ช่อดอกแบบดอกบอนรปู กลมมีใบประดบั รองรับ ออกตามซอกใบหรอื ท่ี ปลายเถา มีดอกยอ่ ยจำ�นวนมาก ดอกสมบรู ณเ์ พศ สเี หลืองออ่ น ผลสดรปู รี ทยอยสุกจากปลายไปหา โคนช่อ สุกสแี ดงสด เกาะเล้อื ยตามลำ�ตน้ ไม้และโขดหินในป่าดบิ ทุกชนดิ รมิ หว้ ยหรอื แมน่ �้ำ ขนาดใหญ่ ทไี่ หลผ่านปา่ เบญจพรรณ ประโยชน์ : –ทั้งตน้ เปน็ ยาสมนุ ไพร –ใบมีความสวยงามเหมาะปลูกเป็นไม้ประดับในรม่ 56 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว

ผักปลาบช้าง (Phak Plap Chang) พืชใบเลยี้ งเด่ยี ว วงศ์ COMMELINACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Floscopa scandens Lour. ชอื่ อื่น (Vernacular name) : ผักปลาบ (กลาง); ผักปลาบดง, หญ้าปล้องขน (นครราชสมี า); ผักปลาบดอย, ผกั ปลาบน�ำ้ (เชยี งใหม)่ ; ผักเบยี๋ ว (เชยี งราย); รปู กุ าเตม๊ แู ร (มาเลเซยี –ปัตตานี) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นพืชล้มลุกทอดเลอ้ื ยคลานบนพื้นดนิ หรอื ในนำ้� ล�ำ ตน้ เป็นข้อปลอ้ ง มีรากอากาศ งอกตามข้อ ใบเด่ียว รูปรี ปลายและโคนแหลม ขอบเรยี บ แผน่ ใบมีขนนุ่มคลุมท้งั สองดา้ น ดา้ นบน สีเขม้ กวา่ ดา้ นล่าง โคนก้านใบแผ่ออกเปน็ กาบหุ้มล�ำ ตน้ เรียงเวียน ช่อดอกออกทีป่ ลายยอด ดอก ขนาดเล็ก สมี ว่ งหรือสีชมพู กลีบดอกมีขนคลมุ พบตามที่ลุ่มช้นื แฉะหรือมีน�ำ้ ขงั หรือรมิ หว้ ยในป่าดบิ ทวั่ ไปและชายขอบหนองบงึ ในปา่ ทค่ี ่อนข้างราบ ประโยชน์ : –ดอกมีความสวยงามเหมาะปลกู เปน็ ไม้ประดบั ในร่ม และริมน�้ำ –ยอดออ่ นกินเป็นผกั –ท้งั ต้นเป็นยาสมุนไพร กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ืช 57

58 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

เอื้องหมายนา (Ueang Mai Na) พชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว วงศ์ COSTACEAE ผ้ถู า่ ย แฟม้ ภาพเขตรกั ษาพันธ์ุสัตว์ป่าภเู ขยี ว ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cheilocostus speciosus (J. Koenig) C. D. Specht ชือ่ อ่ืน (Vernacular name) : เอื้องช้าง (นครศรีธรรมราช); เอื้องตน้ (ยะลา); เออื้ งใหญ,่ บนั ไดสวรรค์ (ใต้); เออ้ื งเพด็ ม้า (กลาง); ช้ไู ลบ้อง, ซเู ลโบ (กะเหร่ียง–แม่ฮ่องสอน) ชอื่ สามัญ (Common name) : Crape Ginger, Malay Ginger, Spiral Flag ลักษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลุกอายุข้ามฤดู มเี หง้าใต้ดินขนึ้ เป็นกอใหญ่ ลำ�ต้นอวบน้�ำ เปน็ ข้อ ๆ มักบิด เวียนบางครั้งแตกกง่ิ มกี าบหมุ้ พอต้นแก่กาบจะหลุดร่วง ใบเด่ียวเรียงเวยี นตอ่ เน่อื งหรอื เวียนขาด ชว่ งคลา้ ยบนั ไดเวยี น รปู ใบหอก ปลายและโคนแหลม มีขนสนั้ ๆ คลุม โคนแผเ่ ป็นกาบสีเขียวหรอื สนี �้ำ ตาลแดงหุ้มล�ำ ต้น ดา้ นลา่ งมขี นละเอียดนมุ่ สขี าวคลา้ ยกำ�มะหย่ีคลุม ช่อดอกต้ังตรงอัดกนั แน่นอยู่ ปลายยอดเปน็ กอ้ นกลมหรอื ไข่ ดอกตูมมีกาบสแี ดงคล�้ำ ห้มุ ดอกย่อยรูปกรวยหรือรปู ปากแตรสขี าว มี ๓ กลีบ กลบี หนึ่งขนาดใหญก่ วา้ งเปน็ จะงอย ใจกลางดอกสีเหลือง ดอกจะทยอยบานคร้ังละ ๑–๒ ดอก ผลรูปขอบขนานสแี ดงสด เมลด็ สดี ำ� พบตามทช่ี ื้นแฉะในป่าทกุ ประเภท ประโยชน์ : –ราก เหง้าและต้นเปน็ ยาสมนุ ไพร หนอ่ อ่อนทำ�ให้สุกกินเป็นผัก –เปน็ พชื ท่มี ีดอกสวย ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ –ใบเปน็ อาหารของกระทงิ ลำ�ตน้ เปน็ อาหารของชา้ ง ข้อควรระวัง : เหงา้ และรากสดมพี ิษมาก ถา้ กนิ ปริมาณมากจะท�ำ ให้อาเจยี นและทอ้ งรว่ งอยา่ งรุนแรง หมายเหตุ : บางต�ำ ราจัดไวใ้ นวงศ์ขงิ ขา่ (ZINGIBERACEAE) และแยกออกเป็น ๒ ความผันแปร (variation) กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พุ ชื 59

ตา๋ ว (Tao) พชื ใบเลีย้ งเดยี่ ว วงศ์ PALMAE (ARECACEAE) ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Arenga westerhoutii Griff. ชื่อพอ้ ง (Synonym) : Seguerus westerhoutii (Griff.) H. Wendl. & Drude ชื่ออนื่ (Vernacular name) : ลากะ๊ (มาเลเซยี –ปตั ตาน)ี ; หลงั กบั (ยะลา, ปตั ตานี); รงั กบั , รังคา่ ย (คาบสมทุ ร); รังไก,่ ลกู ชดิ (กลาง) ชอ่ื สามญั (Common name) : Sugar Palm ลกั ษณะทว่ั ไป : เปน็ ปาลม์ ล�ำ ตน้ เดย่ี วสงู ไดถ้ งึ ๒๐ ม. มรี อยวงแหวนรอบตน้ และคลมุ ดว้ ยเสน้ ใย ของกาบใบแหง้ จนถงึ พน้ื ล�ำ ตน้ สน้ั โคนคอ่ นขา้ งกวา้ ง มรี ากค�ำ้ ยนั จ�ำ นวนมาก ใบเรยี งกนั หลวม ๆ ท่ี ปลายยอด ใบประกอบแบบขนนกชน้ั เดยี วคลา้ ยใบมะพรา้ ว กา้ นเรยี บเกลย้ี ง สเี ทาด�ำ ยาวไดถ้ งึ ๗ ม. ใบยอ่ ยรปู ขอบขนานยาวคลา้ ยใบมะพรา้ ว โคนเบย้ี วเปน็ รปู ตง่ิ หู ขอบเรยี บ ดา้ นบนเรยี บเกลย้ี งเปน็ มนั สเี ขยี ว ดา้ นลา่ งมเี กลด็ สขี าวคลมุ หนาแนน่ กา้ นใบสน้ั มาก เรยี งสม�ำ่ เสมอในแนวระนาบ ปลายใบคู่ สดุ ทา้ ยมกั ตดิ กนั และกวา้ งกวา่ คอู่ น่ื ชอ่ ดอกยาวออกจากโคนกาบใบจากปลายมาหาล�ำ ตน้ มดี อกยอ่ ย จ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศสเี หลอื ง ผลสดกลมสเี ขยี วอมเหลอื ง เมลด็ เดยี วขน้ึ เปน็ กลมุ่ ๆ ตามรอ่ งเขา หรอื หบุ หว้ ยในปา่ ดบิ เขา ปา่ ดบิ ชน้ื ระดบั สงู และหบุ เขาหนิ ปนู ประโยชน์ : –ผลสุกเป็นอาหารของชะมดอเี ห็น –ปลกู เป็นไม้ประดับ –ยอดอ่อน (หวั ตาว) ทำ�ให้สกุ ใชป้ ระกอบอาหาร –เนื้อในของผลเชอ่ื มทำ�ลกู ชิด ขอ้ ควรสังเกต : กิ่งก้านแหง้ เก่า ๆ มกั ติดค้างอยบู่ นตน้ ขา้ มปี ขอ้ ควรระวัง : ยางจากผลดบิ จะท�ำ ให้เกิดการระคายเคืองกับผวิ หนงั อ่อน ๆ 60 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 61

เตา่ ร้างยักษ์ (Tao Rang Yak) พชื ใบเล้ียงเดย่ี ว วงศ์ PALMAE (ARECACEAE) ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Caryota obtusa Griff. ชื่อพ้อง (Synonym) : Caryota gigus Hahn ex Hodel ชื่ออ่ืน (Vernacular name) : เต่าร้างน่านเจา้ , เต่าร้างภคู า (เหนือ) ชื่อสามัญ (Common name) : Giant Mountain Fishtail Palm ลกั ษณะทว่ั ไป : เป็นปาลม์ ลำ�ต้นเด่ียวสูงไดถ้ งึ ๒๐ ม. ลำ�ตน้ เปลาตรงขนาดใหญ่ กลางตน้ โปง่ ออก เดน่ ชดั คลา้ ยปาลม์ ขวด เปลือกนอกแข็งเรียบเกลย้ี ง มีรอยกาบใบรอบล�ำ ต้นหลงเหลือให้เห็น ใบเปน็ กลมุ่ แนน่ เรยี งเวยี นที่ปลายยอด ใบประกอบสองชนั้ เปน็ แฉกแบบหางปลา กาบใบยาวมีเส้นใย สดี ำ�ตามขอบกาบ ใบยอ่ ยรปู สีเ่ หล่ยี มขนมเปยี กปูนขอบเป็นเหลย่ี มแหลม ก้านใบส้ัน เรียง สลบั ดอกเป็นช่อยาวห้อยลง ผลกลมหรือแบน สุกสีแดง มี ๒ เมล็ด พบขึน้ กระจายเปน็ กลุ่ม ๆ ตาม รอ่ งเขาท่ีมคี วามชื้นสงู ในป่าดิบเขาและป่าดบิ ช้ืนระดบั สงู ประโยชน์ : –ปลูกเป็นไม้ประดับ –ผลสุกเปน็ อาหารของชะมดอีเหน็ –ยอดออ่ น (หวั หมาก) ท�ำ ให้สกุ ใช้ประกอบอาหารเหมอื นยอดมะพร้าว (หัวมะพรา้ ว) ความส�ำ คญั : หายากและใกลส้ ญู พนั ธ์ุ 62 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว

คอ้ (Kho) พชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว วงศ์ PALMAE (ARECACEAE) ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Livistona speciosa Kurz ช่ืออน่ื (Vernacular name) : ก๊อแล่ (เชยี งใหม)่ ; ทอ, โลล้ ะ่ , หลูห่ ลา่ (กะเหร่ยี ง–แมฮ่ ่องสอน); ตองกอ้ , ตองเคาะ (กะเหร่ียง–ตาก); นางกลางแจ๊ะ, มะกอ๊ ซว่ ม, มะก๊อแดง (เหนือ); สิเหรง (ปัตตานี) ลักษณะทัว่ ไป : เป็นหมากลำ�ต้นเดย่ี วสูงได้ถึง ๓๐ ม. ไมแ่ ตกกอ ใบเรียงเป็นกลุ่มแน่นใกลย้ อด ลำ�ตน้ เรียวเลก็ โคนคอ่ นข้างกวา้ ง ใบกลมคล้าย พัด ดา้ นล่างสเี ทาเปน็ สันรอ่ งประมาณ ๑๐๐ ร่อง แต่ละส่วน มีปลายแขง็ แยกเปน็ ๒ แฉก โคนมักจะซ้อนกัน กา้ นใบยาวสเี หลอื งมหี นามใหญโ่ ค้งสสี ้มอมน�ำ้ ตาล กาบใบสนั้ ๆ ท่ขี อบมกั จะแตกเป็นเสน้ ใยหยาบและมตี ิ่งหู ชอ่ ดอกแบบแยกแขนง ยาวออกท่ีซอกใบ มกี าบห้มุ ชอ่ เป็นทอ่ ยาว ดอกสมบรู ณเ์ พศ ผลทรงกลมรีขนาดไข่ไกผ่ วิ เรยี บเป็นมัน สีเขียวเขม้ ถึงมว่ ง ด�ำ ขึ้นกระจายเป็นกลมุ่ ๆ ตามสนั เขาหรอื ร่องเขาหรือรอ่ งหน้าผาในปา่ ดบิ เขาและดิบแล้ง ประโยชน์ : –ผลสกุ เป็นอาหารของลิงกัง, นกกก และนกเงือกอกี หลายชนดิ –ใบแหง้ ใช้ท�ำ ฝากระตอ๊ บได้ช่วั คราวและดา้ นลา่ งมักเปน็ ท่เี กาะพักอาศยั ของคา้ งคาว –เน้อื ไมใ้ ชก้ ่อสรา้ งและทำ�เฟอรน์ ิเจอร์เช่นเดยี วกับไมต้ าล –ปลกู เปน็ ไม้ประดับ –ผลแก่ดองน�ำ้ เกลือใชก้ ินเป็นอาหาร หรอื ตม้ ไฟพออุน่ จม้ิ น้ำ�ตาลทรายเป็นของหวาน เรียก ออ่ มค้อ –ยอดอ่อน (หวั คอ้ ) ใช้ประกอบอาหารเหมอื นยอดมะพร้าว (หัวมะพร้าว) กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์พุ ชื 63

กากุก๊ (Ka Kuk) พืชใบเลย้ี งเดี่ยว วงศ์ ZINGIBERACEAE ช่อื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alpinia roxburghii Sweet ช่ือพอ้ ง (Synonym) : Alpinia bracteata Roxb. ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : ขา่ ป่า (ทัว่ ไป) ลกั ษณะท่วั ไป : เปน็ พืชล้มลกุ มเี หงา้ อยูใ่ ต้ดนิ สงู ถงึ ๒ ม. หรอื มากกวา่ ใบรูปขอบขนานกว้าง ปลาย เป็นติ่งแหลม โคนสอบแคบเขา้ หากา้ นใบเปน็ กาบห้มุ ลำ�ตน้ แผ่นใบมีขนนุ่ม ขอบเรียบเปน็ คล่ืน ด้านบนเกลีย้ งสีเขียวเขม้ ดา้ นล่างสีอ่อนหรือขาวหม่น มีขนนุม่ คลุม ช่อดอกออกปลายยอดมีขนสัน้ ๆ คลมุ หนาแนน่ ชอ่ ดอกอ่อนยงั ไมบ่ านมีกาบรูปปลกี ลว้ ย หรืองาชา้ งหมุ้ อยู่ ๒ กาบ กลบี ห้มุ กลบี ดอกสแี ดง ดอกสีขาว ลิน้ เหลืองมแี ถบลวดลายสเี ลอื ดหมู เรยี งกันเปน็ ชน้ั ๆ รอบแกนช่อ ผลกลมปลายมจี ุกมน ผวิ มขี นส้ันนุม่ ๆ คลุมบาง ๆ เริ่มแกจ่ ากโคนไปหาปลายชอ่ สกุ สีแดงสด พบขึ้น เป็นกอขนาดใหญ่ตามพ้นื ท่ชี มุ่ ชน้ื สูงหรอื มนี ำ้�ขังหรือรมิ ห้วยในปา่ ดิบทว่ั ไป ประโยชน์ : –เหงา้ อ่อน หน่ออ่อน ดอกอ่อน ลวกใหส้ กุ กนิ เป็นผกั –ดอกสวยปลกู เปน็ ไมป้ ระดับในรม่ –เหง้าเป็นยาสมุนไพร –กาบและใบเป็นอาหารของช้าง 64 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขยี ว-นำ้�หนาว

ตาเหินไหว (Ta Hoen Wai) พืชใบเลี้ยงเดย่ี ว วงศ์ ZINGIBERACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Hedychium ellipticum Buch. - Ham. ex Sm. ชือ่ อืน่ (Vernacular name) : สะเหนิ , สะเหินตัวผู้ (เลย) ลกั ษณะทัว่ ไป : เปน็ พืชลม้ ลุกมีล�ำ ตน้ เปน็ เหง้าสีเหลืองอย่ใู ตด้ ินหรือตามคาคบไม้หรือซอกหนิ ที่พอ มีดนิ อยู่บ้าง เจรญิ เติบโตตามแนวราบ สว่ นท่โี ผล่พ้นดินขน้ึ มาท่เี หน็ เปน็ ต้นคอื กาบใบและใบ ใบรูป ขอบขนานหรือรปู ใบหอกหรอื รปู ไข่ยาว ปลายแหลม โคนสอบ เรยี งสลับกนั เป็น ๒ แถว ดอกเกดิ ปลายยอดเปน็ ชอ่ ตั้งขน้ึ มาเรียงเวยี น กาบรองดอกสีเขยี วรูปขอบขนาน ส่วนกลีบดอกจรงิ สีขาว เปน็ หลอด ผลกลมมเี มล็ดขนาดเลก็ เปน็ ไม้พ้ืนลา่ งพบบริเวณชายขอบปา่ ดิบเขาที่ตดิ กบั ปา่ ทงุ่ หรือ ทงุ่ หญา้ บางครงั้ พบขนึ้ ตามคาคบไม้เตีย้ ๆ ในพืน้ ท่ปี า่ ดิบเขาหรอื ปา่ ละเมาะเขาท่มี ลี มพดั จดั และตาม ซอกเขาหนิ ปนู ประโยชน์ : –ดอกสวยงามปลกู เป็นไม้ประดับ –หน่อออ่ นและชอ่ ดอกอ่อนลวกกนิ เป็นผักจม้ิ ความสำ�คญั : หายาก ขอ้ ควรจำ� : โคนกาบใบสนี ้ำ�ตาลแดง กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 65

พืชใบเลี้ยงคู่ 66 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 67

หวา้ ชะอ�ำ (Wa Cha Am) พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ACANTHACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Peristrophe lanceolaria (Roxb.) Nees ชอื่ อนื่ (Vernacular name) : จา๊ ฮอ่ ม (เชยี งใหม)่ ; กระดองเต่าหกั , กระดองเต่าร้าง (หนองคาย) ลกั ษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลกุ ตามลำ�ตน้ และกา้ นใบมีขนสน้ั ๆ คลมุ ใบเด่ยี ว รปู รี ปลายแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรียบ แผ่นใบเรยี บหรอื มขี นคลุมเล็กน้อย ด้านบนสเี ข้มกวา่ ด้านลา่ ง เส้นใบนนู ออกเด่นชัดด้านลา่ ง ก้านใบค่อนขา้ งยาว เรียงตรงขา้ มสลบั ต้งั ฉาก ชอ่ ดอกออกทซ่ี อกใบหรอื ทยี่ อด ดอกสีชมพูหรอื ชมพูอมมว่ งปลายแยกเป็นสองแฉก กลีบรองดอกสีเขยี วมีหลายชั้น ผลเปน็ ฝกั รปู รี เม่ือแก่แตกตามตะเข็บ เมลด็ เปน็ ตะขอมี ๔ เมล็ด พบทว่ั ไปตามพื้นป่าดิบเขา ป่าดิบทุกประเภททีค่ ่อน ข้างโปร่ง และป่าเบญจพรรณทคี่ ่อนข้างช้ืน ประโยชน์ : –ใบและรากเป็นยาสมุนไพร –ปลกู เป็นไมป้ ระดับในรม่ 68 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว

ก่วม (Kuam) พชื ใบเลีย้ งคู่ วงศ์ ACERACEAE (SAPINDACEAE) ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Acer oblongum Wall. ex DC. ช่อื อ่ืน (Vernacular name) : ก�ำ เบอ้ (เชียงราย) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไมต้ น้ ขนาดกลางผลัดใบช่วงสัน้ ๆ โคนตน้ มักเปน็ พูพอน เปลือกนอกบาง เรยี บ หรอื แตกเป็นสะเกด็ สเี ทาหรือสนี ำ้�ตาล เปลือกในสีชมพู มนี �้ำ เล้ยี งใส ใบเด่ยี ว รปู ไข่แกมรปู ใบหอก ปลายแหลมเปน็ ติ่ง โคนมน ขอบเรยี บหรือเป็นคลืน่ แผ่นใบบาง ดา้ นบนสเี ขียวเขม้ เป็นมนั ด้านลา่ ง มคี ราบสีขาวหรอื สเี งนิ กา้ นใบยาว เรียงตรงขา้ มสลับต้ังฉาก ใบออ่ นและกิ่งอ่อนมขี นคลุมประปราย เสน้ ใบคูล่ า่ งสุดแตกออกจากโคนใบ ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงสั้น ๆ ออกปลายก่ิง ดอกสมบรู ณเ์ พศ ขนาดเลก็ สีขาวอมเขียว ผลออกเป็นช่อจำ�นวนมาก แต่ละผลตดิ กันเปน็ คู่ ผลรปู ไข่เป็นเหลย่ี มมีปีก บาง ๆ สชี มพู ผลแหง้ สนี ำ้�ตาล เป็นไม้ชั้นล่างถงึ ชนั้ กลางในป่าดิบเขาและป่าดบิ แล้ง ความสำ�คญั : กระจายมาจากเขตอบอ่นุ / ถูกคุกคาม ขอ้ ควรสังเกต : คล้ายก่วมขาว (Acer laurinum) จดุ ต่างคอื กว่ มขาวมีช่อดอกออกท่ีซอกใบใกล้ ปลายกิง่ พรอ้ มกบั ใบและตัวผลเป็นเหลี่ยม หมายเหตุ : เป็นชนดิ เดียวของพืชในสกลุ นที้ กี่ ระจายถึงเขตรอ้ น กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธุ์พืช 69

70 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว

ส้านเหบ็ (San Hep) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ ACTINIDIACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Saurauia roxburghii Wall. ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Saurauia thorelii auct. non Fin. & Gagnep. ชือ่ อื่น (Vernacular name) : เก๋ีองพาป่า (ล�ำ ปาง); กลุ าทปี อ, คลา้ ทปี่ อ (กะเหรี่ยง–เชยี งใหม่); ตำ�แยตัวผู้ (จันทบุร)ี ลักษณะท่วั ไป : เปน็ ไมพ้ ุ่มหรอื ไม้ต้นขนาดเล็กผลดั ใบชว่ งสน้ั ๆ กงิ่ ก้านมักกลวง เปลอื กนอก บาง เรยี บหรือล่อนเป็นแผ่นสีนำ้�ตาลอมเทา ใบเด่ียว รูปใบหอกกลบั หรอื รแี กมรปู ขอบขนาน ปลายแหลมหรอื มน โคนสอบ ขอบหยักซี่ฟนั ถ่ี ด้านบนเกลย้ี งและมีสีเขม้ สว่ นด้านล่างสซี ดี กว่า และมีเกล็ดสนี ำ�้ ตาลคลมุ หนาแน่น กา้ นใบสน้ั อวบนำ้�มเี กล็ดสีน�ำ้ ตาลคลุม เรยี งเวียนเป็นกระจกุ ที่ปลายกง่ิ เสน้ ใบเรียงขนานกนั ชัดเจนและปลายเสน้ โค้งจรดกันกอ่ นถึงขอบใบ ดอกรูประฆัง ออกเป็นกลุม่ ๆ ตามกง่ิ หรือทีซ่ อกใบหรือลำ�ตน้ สีชมพหู รอื ขาว ผลกลมหรือรี มตี ิง่ แหลมท่ี ปลาย เมือ่ แก่แตกมีเมล็ดจำ�นวนมาก เป็นไมช้ ้นั ลา่ งในป่าดิบเขาและพบได้ตามรมิ ห้วยหรือพ้ืนท่ี ทคี่ ่อนข้างช้นื บริเวณชายปา่ ดิบเขา ป่าดบิ แลง้ และป่าดิบก่งึ พรุ ประโยชน์ : –ปลูกเป็นไม้ประดบั –ผลกินได้ หมายเหตุ : บางต�ำ ราจดั ไวใ้ นวงศ์ SAURAUIACEAE กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธพุ์ ืช 71

มะเหลีย่ มหนิ (Ma Liam Hin) พืชใบเลยี้ งคู่ วงศ์ ANACARDIACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Rhus javanica L. var. chinensis (Mill.) T. Yamaz. ชอื่ พ้อง (Synonym) : Rhus chinensis Muell., R. javanica Thunb., R. rhetzoides Craib, R. semialata Merr., R. succedanea L. ช่ืออนื่ (Vernacular name) : ส้มพอดี (ชัยภูม)ิ ; ซงุ (เชยี งใหม)่ ; ตะซาย (ละว้า–เชยี งใหม)่ ; มะผด, ส้มผด (เชียงใหม,่ เชยี งราย); สะค้ำ� (เหนอื ) ลกั ษณะทวั่ ไป : เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลดั ใบชว่ งสั้น ๆ กงิ่ ออ่ นมีขนนุม่ ละเอยี ดหนาแน่นและมีชอ่ ง อากาศสีขาว ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรยี งเวยี น กา้ นใบมีครบี ส้ัน ๆ แผอ่ อกตามความยาวกา้ น ใบย่อยรปู ใบหอกหรือรปู ไข่ ปลายแหลม โคนมน ขอบจักมน ดา้ นบนสเี ข้ม ดา้ นล่างมขี นนุ่มละเอยี ด สนี �้ำ ตาลแดง ยอดอ่อนสีน�ำ้ ตาลแดง ใบแกก่ อ่ นร่วงสแี ดงสม้ ชอ่ ดอกขนาดใหญ่ออกปลายกง่ิ มดี อกยอ่ ยจ�ำ นวนมาก ดอกแยกเพศสีขาวแกมเหลอื ง ผลรูปทรงกลมหรอื รี ขนาดเล็ก มีเมล็ด เดยี ว ผลออ่ นสนี ้ำ�ตาลแดงหรือชมพู ผลดบิ สีเขียวมนี วลขาว เนอื้ ผลรสเปรยี้ วแตผ่ วิ คราบรสเค็ม ผลแกส่ ีน�ำ้ ตาลหรือด�ำ พบตามชายขอบป่าดิบเขา ปา่ สนเขา ปา่ เตง็ รงั ระดบั สงู และป่าละเมาะเขา ประโยชน์ : –ผลรสเคม็ และเปร้ียว ใช้ประกอบอาหาร –ผลสกุ เป็นอาหารของนกตง้ั ล้อและนกปรอดเหลืองหวั จุก –ใบและราก เปน็ ยาสมุนไพร –รากและเปลอื กต้นเป็นอาหารของช้างปา่ 72 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว

นางเลว (Nang Leo) ผถู้ ่าย วนทั -เวทติ พุ่มพวง พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชอ่ื พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Cyathocalyx harmandii (Finet & Gagnep.) R. J. Wang & R. M. K. Saunders ชอ่ื อน่ื (Vernacular name) : เตง็ หิน (ชุมพร); กล้วย (ชัยภมู ิ); สะบันงาดง (เหนือ); สาแหรก (ล�ำ ปาง, นครสวรรค)์ ; แสลง (พษิ ณุโลก) ลักษณะท่ัวไป : เปน็ ไมต้ ้นไม่ผลัดใบ ล�ำ ต้นเปลาตรงกง่ิ มักตั้งฉากกับล�ำ ตน้ กงิ่ ออ่ นมขี นนุ่มส้นั คลมุ หนาแน่น เปลือกนอกหนา เรียบ สนี �ำ้ ตาล กง่ิ กา้ นมักแตกต้ังฉากกับล�ำ ตน้ ใบเดย่ี ว รูปรีหรอื รูปขอบขนานค่อนข้างใหญ่ ปลายมนหรือเรียวแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ แผน่ ใบ หนา เกล้ยี งเป็นมนั ท้งั สองดา้ น ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ ด้านล่างสซี ดี กว่า ก้านใบสัน้ เรยี งสลบั ดอกออกเปน็ กระจุกตรงข้ามใบ ๒–๔ ดอก สีเหลอื งอมเขยี ว ผลรปู ทรงกลมรหี รอื ทรงกระบอก ขนาดใหญ่ สุกสเี หลืองอมเขียวถึงมว่ งแดง เปลือกหนาแขง็ เกลีย้ งและเรยี บ ก้านอว้ นสน้ั เนอื้ หุ้มเมล็ดสเี หลืองทอง เมลด็ รปู กลมแบนมี ๑๐–๑๑ เมลด็ /ผล เปน็ ไม้เรอื นยอดชั้นล่างถงึ ชนั้ บนในป่าดบิ เขา ปา่ ดบิ ชืน้ ระดับสูง และปา่ ดิบแลง้ ประโยชน์ : ผลสกุ เปน็ อาหารของสตั ว์ฟนั แทะ สถานภาพ : ไม้หวงห้ามประเภท ก/หายาก/ถกู คกุ คาม ขอ้ ควรจ�ำ : เปลือกและใบมีกลิน่ ฉนุ ซงึ่ เป็นลกั ษณะเด่นของพชื ในวงศน์ ้ี กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธพุ์ ชื 73

บหุ รงยนู นาน (Bu Rong Yunnan) พชื ใบเล้ยี งคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Dasymaschalon obtusipetalum Jing Wang, Chalermglin & R. M. K. Saunders ช่อื พอ้ ง (Synonym) : Phaeanthus yunnanense Hu ชอ่ื อ่ืน (Vernacular name) : สา่ เหล้า (ท่ัวไป) บหุ รงดอย (เหนอื ) ลกั ษณะท่ัวไป : ไมพ้ มุ่ หรอื ไม้ต้นขนาดเลก็ ไมผ่ ลดั ใบ เปลือกนอกเรียบ สเี ทาอมดำ�มกี ลนิ่ ฉุน ใบเดีย่ ว รปู รี รปู ใบหอกหรอื รปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม โคนมนหรอื เว้า ขอบเปน็ คลน่ื แผ่นใบบาง เกลย้ี ง ด้านบนสเี ขยี วเขม้ เปน็ มัน ดา้ นล่างสขี าวนวลหรอื สฟี า้ ออ่ น กา้ นใบสั้น เรียงสลบั ดอกออกเดี่ยว ๆ ทซี่ อกใบหรอื ปลายก่งิ กลบี ดอกหนายาวอวบน�ำ้ บิดเวียนเล็กนอ้ ย สเี ขียวอมเหลอื งมกี ลน่ิ หอมเย็น ผลกลุม่ มผี ลย่อยหลายผล ผลยอ่ ยรปู ทรงยาวเหมอื นไส้กรอก ปลายเป็นตง่ิ แหลม ผิวเรียบและ คอดก่ิวตามการปรากฏของเมล็ด สกุ สีแดง เมลด็ รูปทรงกระบอกสีน�้ำ ตาลอ่อน ผิวเกลี้ยงเปน็ มันมี ๒–๖ เมลด็ เปน็ ไมช้ นั้ ลา่ งในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ แล้ง ประโยชน์ : –ดอกมีกลิ่นหอมปลูกเป็นซ้มุ ไม้ประดบั –ผลสุกเปน็ อาหารของนกกินผลไม้ ความสำ�คัญ : หายาก/มแี นวโนม้ ใกล้สูญพันธ์ุ ข้อควรจำ� : ใบขยี้ดมมกี ลิน่ หอมหรือฉนุ 74 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขยี ว-น�ำ้ หนาว

สายหยดุ (Sai Yut) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Desmos chinensis Lour. ชือ่ พอ้ ง (Synonym) : Unona amherstiana A. DC., U. biglandulosa Blume, U. chinensis (Lour.) A. DC., U. discolor Vahl, U. lessertiana Dunal, U. undulata Wall. ชอ่ื อ่นื (Vernacular name) : กล้วยเครอื (สระบุร)ี ; เครอื เขาแกลบ (เลย); สาวหยุด (กลาง, ใต)้ ; เสลาเพชร (สรุ าษฎรธ์ านี) ลักษณะทวั่ ไป : เปน็ ไมเ้ ถาเน้อื แข็ง ผลดั ใบช่วงสั้น ๆ กิ่งออ่ นมขี นสั้นนมุ่ คลุมหนาแนน่ กิ่งแกม่ ีชอ่ ง อากาศสีขาวกระจาย ใบเดี่ยว รูปรแี กมรปู ขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนมนหรอื เวา้ ขอบเรยี บหรือ เปน็ คล่ืน แผ่นใบบาง เกลย้ี งหรือมขี นส้นั คลมุ ประปราย ด้านบนเกลย้ี งสีเขยี วเข้ม ดา้ นล่างสขี าวนวล มขี นส้ันนุ่มบาง ๆ ก้านใบส้นั เรยี งสลับ ดอกสเี ขียวออกเด่ยี ว ๆ ทีซ่ อกใบ เมอ่ื แก่ใกลร้ ่วงเปล่ยี นเปน็ สีเหลือง มีกลิ่นหอมเยน็ ผลกล่มุ มีกา้ นชอ่ ผลยาว ผลยอ่ ยรปู สรอ้ ยลกู ปดั คอดระหวา่ งเมลด็ ปลายมีติง่ แหลม เปลอื กเรียบหรือมีขนคลมุ หา่ ง ๆ กา้ นผลย่อยส้นั สุกสีมว่ งดำ� เมล็ดรูปทรงกลม สีน�้ำ ตาลอมแดง ปลายเปน็ ตงิ่ แหลมผวิ เกล้ยี งมหี ลายเมลด็ พบเลอื้ ยพนั ในปา่ ดบิ เขาและป่าดบิ ประเภทอนื่ ประโยชน์ : ดอกสวยและมีกล่นิ หอมแรงนยิ มปลูกเปน็ ซุ้มไมป้ ระดับ ขอ้ ควรจำ� : ขยี้ใบดมมีกล่ินฉุน ซง่ึ เป็นลกั ษณะเดน่ ของพืชในวงศ์นี้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพนั ธพ์ุ ืช 75

ขา้ วหลามดง (Khao Lam Dong) พืชใบเล้ยี งคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Goniothalamus laoticus (Finet & Gagnep.) Bân ชอ่ื พ้อง (Synonym) : Mitrephora laotica Finet & Gagnep. ชื่ออน่ื (Vernacular name) : ปอขี้แฮด (เชียงใหม)่ ; นมงัว (เหนอื ) ลกั ษณะทัว่ ไป : เป็นไมต้ ้นขนาดเล็ก ผลดั ใบชว่ งสั้น ๆ เปลือกนอกเรยี บหนา สเี ทาด�ำ กง่ิ อ่อนมชี ่อง อากาศสีขาว ใบเดย่ี ว รปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา ดา้ นบนสีเขียวเขม้ เกลย้ี งเปน็ มนั ดา้ นล่างสีอ่อนกวา่ ก้านใบสนั้ เรียงสลบั ใบแกก่ อ่ นรว่ งสีเหลอื ง ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรือ เป็นกระจุกตามกง่ิ ซอกใบและล�ำ ตน้ กลีบดอกยาวค่อนขา้ งแขง็ สเี ขียวอมเหลือง กล่นิ หอมอ่อน ๆ ผลกลุ่ม มีผลย่อยจำ�นวนมาก ผลยอ่ ยรูปกลมรีหรือทรงกระบอก เนื้อผลแขง็ ผวิ เรยี บหรอื ขรุขระ ผลสุกสีเขียวอมเหลืองมี ๒ เมลด็ กา้ นใบสนั้ มากหรือไม่มี เปน็ ไมช้ ้ันลา่ งในป่าดบิ เขา ป่าดบิ เขาทค่ี อ่ น ขา้ งโปรง่ ป่าสนเขา ปา่ เบญจพรรณและปา่ เตง็ รงั ท่รี ะดับความสงู ตงั้ แต่ ๘๐๐–๑,๒๐๐ ม. ประโยชน์ : –ผลสุกเปน็ อาหารของสัตว์ฟันแทะ –ดอกสีสวยและมกี ล่นิ หอม ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ สถานภาพ : หายาก/ถูกคกุ คาม ขอ้ ควรจำ� : ตามก่งิ มีลักษณะเป็นปุ่มหูด (gall) รปู รา่ งกลมหรอื รีคลา้ ยผลแตผ่ ิวเกลีย้ งเปน็ มนั เปลือกและใบมีกลิ่นฉุน 76 พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขียว-น�้ำ หนาว

ตำ�หยาวเขา (Tam Yao Khao) ผู้ถ่าย วนทั –เวฑติ พุ่มพวง-๕ พืชใบเลี้ยงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชือ่ พฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Alphonsea ventricosa (Roxb.) Hook. f. & Thomson ชือ่ อน่ื (Vernacular name) : ไซเดน (ชยั ภูม)ิ ; กล้วยลกู ใหญ่ (กลาง) ลักษณะทั่วไป : เป็นไมต้ น้ ไม่ผลดั ใบ โคนตน้ มกั เปน็ พพู อน ก่ิงก้านออ่ นมขี นสั้นละเอียดสนี ำ้�ตาล คลมุ เปลือกนอกแตกเป็นรอ่ งตามยาวตื้น ๆ สีนำ้�ตาลเขม้ เกอื บด�ำ กง่ิ ต้งั ฉากกบั ล�ำ ต้น ใบเดย่ี ว รปู ไข่หรอื รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนาเรียบเกล้ียงเป็น มนั ทง้ั สองดา้ นหรอื มขี นประปรายตามเสน้ ใบ ด้านบนสเี ขยี วเขม้ กวา่ ด้านล่าง ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรือเปน็ กระจกุ ๑–๗ ดอก/กระจกุ เรยี งเยือ้ งหรอื ตรงข้ามกบั ใบ กลบี ดอกหนามี ๒ ชัน้ สีเขยี ว อ่อน เมื่อแก่เปล่ียนเป็นสีเหลืองอมขาวและงอพบั กลับ ผลกลุม่ มกี า้ นช่อรว่ มใหญแ่ ละแข็ง มี ๔–๕ ผล/ช่อ กา้ นผลยอ่ ยใหญ่ส้ัน ผลรูปทรงกระบอกโค้ง เปลือกหนาผิวมขี นนุ่ม สกุ สีเหลืองมี ๔ เมล็ด พบกระจายห่าง ๆ ในป่าดบิ เขาระดบั ต�ำ่ และป่าดบิ แล้ง ประโยชน์ : –ผลสุกกนิ ได้ และเปน็ อาหารของค่างแว่นถนิ่ เหนอื และสัตวป์ า่ ชนดิ อืน่ ๆ –ไมใ้ ช้ในงานกอ่ สร้างทว่ั ไป กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ืช 77

นมแมว (Nom Maeo) พืชใบเล้ียงคู่ วงศ์ ANNONACEAE ช่ือพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Uvaria siamensis (Scheff.) L. L. Zhou, Y. C. F. Su & R. M. K. Saunders ชอื่ พอ้ ง (Synonym) : Rauwenhoffia siamensis Scheff. ลกั ษณะท่ัวไป : เปน็ ไม้พมุ่ หรือรอเล้ือย กิ่งกา้ นอ่อนมีขนส้นั สนี ำ้�ตาลคลุมหนาแน่น ใบเดย่ี ว รปู ขอบ ขนานแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมนหรือมน ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนา เหนยี ว ด้านบนเกลีย้ งสี เข้ม ดา้ นลา่ งสเี ขียวนวล มขี นสนี ้ำ�ตาลสนั้ คลมุ ประปราย ใบออ่ นเกล้ยี งสนี ำ้�ตาลแดง กา้ นใบสัน้ มาก เรียงสลบั ช่อดอกออกเดีย่ ว ๆ ตรงขา้ มใบ ดอกสเี หลืองกลบี ดอกสั้นหนา ผลกลมุ่ มผี ลยอ่ ยจ�ำ นวน น้อย ผลยอ่ ยรปู ทรงกลมหรือทรงกระบอกหยกั คอดก่วิ ตามต�ำ แหนง่ ของเมลด็ ผวิ ผลมีขนสน้ั นุ่มคลุม หนาแน่น ผลสุกสเี หลือง เมล็ดสีน�ำ้ ตาลมี ๕–๗ เมล็ด เป็นไมพ้ น้ื ล่างในปา่ ดบิ ทว่ั ไป ประโยชน์ : –ผลสุกกินไดแ้ ละเปน็ อาหารของสัตว์ป่าบางชนิด –ปลกู เป็นไมป้ ระดบั ความสำ�คญั : พบครง้ั แรกในประเทศไทย เมือ่ พ.ศ. ๒๔๒๘ 78 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว

มะป่วน (Ma Puan) พืชใบเลย้ี งคู่ วงศ์ ANNONACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Mitrephora tomentosa Hook. f. & Thomson ชือ่ พ้อง (Synonym) : Mitrephora maingayi Hook. f. & Thoms. var. kurzii King, M. tomen- tosa Hook. f. & Thomson, M. thorelii Pierre, M. collinsae Craib, M. edwardsii Pierre ชอื่ อืน่ (Vernacular name) : กระโปกกระจอ้ น (จันทบรุ )ี ; ล�ำ ดวนดง (ขอนแก่น); กล้วยขีเ้ ห็น, ขี้เห็น (อดุ รธานี); กลว้ ยเห็น (สกลนคร); แดงดง (เลย); นางนวล (ล�ำ ปาง); ปอแฮด, แฮด (เชยี งใหม่); มะดกั (สระบรุ )ี ; นมหนู (กรงุ เทพฯ) ลกั ษณะทั่วไป : เปน็ ไม้ตน้ ผลดั ใบช่วงสั้น ๆ ก่งิ ออ่ นและยอดอ่อนมีขนส้ันสนี �ำ้ ตาลคลุมหนาแน่น เปลอื กนอกเรียบหนาสีน�้ำ ตาล เปลือกในสีน้ำ�ตาล ใบเด่ียว รปู รีหรอื รูปขอบขนาน ปลายแหลม หรือมน โคนมนหรอื เวา้ ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา มีขนสนี �้ำ ตาลคลุมทัง้ สองด้าน ด้านบนสีเขียว ดา้ นล่างมีขนสนั้ สีนำ้�ตาลคลมุ หนาแน่น กา้ นใบส้นั มาก เรียงสลบั ใบแกก่ ่อนรว่ งสเี หลอื งพอแหง้ สีน�้ำ ตาล ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรือเปน็ ช่อกระจุกตามก่งิ และซอกใบ สีขาวอมเหลือง ผลกลุ่มมผี ลย่อย จ�ำ นวนมาก ผลยอ่ ยรูปทรงกลมรี มขี นสน้ั สนี ้ำ�ตาลคลมุ ก้านผลยาว สกุ สีเหลอื ง เมลด็ รูปแบนมี หลายเมล็ด เป็นไม้ชั้นกลางในป่าดิบเขา ป่าดบิ แลง้ ป่าเบญจพรรณและในหบุ เขาหนิ ปูน ประโยชน์ : –ผลแกก่ ินได้และเปน็ อาหารของสัตวป์ า่ กลุ่มชะมดอีเหน็ และนกอกี หลายชนิด –ดอกสวยงามและมีรปู รา่ งแปลก ปลกู เปน็ ไมป้ ระดับ ความสำ�คญั : หายาก/ถกู คกุ คาม ข้อควรจ�ำ : เปลอื กและใบมกี ลนิ่ ฉนุ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพันธพุ์ ชื 79


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook