หวังของประชาชน สรา้ งกระบวนการปฏิบตั ิงานอยา่ งเป็นระบบและมีมาตรฐาน มกี ารจดั การความเส่ยี งและมุ่งเน้น ผลการปฏิบตั งิ านเปน็ เลศิ รวมถึงมีการติดตามประเมินผลและพฒั นาปรบั ปรงุ การปฏิบตั ิงานใหด้ ีข้ึนอยา่ งต่อเนื่อง 1.3 การตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องสามารถบริการได้อย่างมี คุณภาพ สามารถดาเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด สร้างความไว้วางใจ รวมถึงตอบสนองตามความ คาดหวัง/ความต้องการของประชาชนผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความหลากหลายและมีความแตกตา่ ง กันได้อย่างเหมาะสม 2. ค่านยิ มประชาธิปไตย (Democratic Value) ประกอบด้วย 2.1 ภาระรับผิดชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้อง สามารถตอบคาถามและชี้แจงได้เม่ือมีข้อสงสัย รวมทั้งต้องมีการจัดวางระบบการรายงานความก้าวหน้าและ ผลสัมฤทธ์ิตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ต่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและการให้คุณให้โทษ ตลอดจนมี การจัดเตรยี มระบบการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาและผลกระทบใดๆ ท่อี าจจะเกิดข้นึ 2.2 เปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องปฏิบัติงานด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา รวมทั้งต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารท่ีจาเป็นและเช่ือถือได้ให้ประชาชนได้รับทราบ อยา่ งสม่าเสมอ ตลอดจนวางระบบใหก้ ารเข้าถงึ ข้อมลู ข่าวสารดงั กล่าวเป็นไปโดยงา่ ย 2.3 หลักนิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องใช้อานาจของกฎหมาย กฎระเบยี บ ข้อบงั คับในการปฏบิ ัติงานอย่างเคร่งครัด ด้วยความเปน็ ธรรม ไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ และคานึงถงึ สิทธเิ สรีภาพ หนหา้ นห้า6นา้ ของประชาชนและผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี ฝา่ ยตา่ งๆ 2.4 ความเสมอภาค (Equity) หมายถงึ ในการปฏบิ ตั ิราชการต้องใหบ้ ริการอยา่ งเท่าเทยี มกนั ไมม่ กี าร 5151 แบง่ แยกต้านชายหญิง ถ่ินกาเนดิ เชอ้ื ชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสขุ ภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทาง เศรษฐกจิ และสงั คม ความเชอ่ื ทางศาสนา การศกึ ษาอบรม และอืน่ ๆ อกี ทงั้ ยังต้องคานึงถงึ โอกาสความเทา่ เทียมกัน ของการเขา้ ถงึ บรกิ ารสาธารณะของ กลมุ่ บุคคล ผดู้ อ้ ยโอกาสในสังคมด้วย 3. ประชารฐั (Participatory State) ประกอบดว้ ย 3.1 การมสี ว่ นรว่ ม/การพยายามแสวงหาฉนั ทามติ (Participation/Consensus Oriented) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องรับฟังความต้องการของประชาชน รวมทั้งเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้ เรียนรู้ ทาความเข้าใจ ร่วมแสดงทัศนะ ร่วมเสนอปัญหา/ประเด็นที่สาคัญที่เก่ียวข้องร่วมคิดแก้ไขปัญหา ร่วมใน กระบวนการตัดสินใจและการดาเนินงานและร่วมตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน ท้ังน้ี ต้องมีความพยายามในการ แสวงหาฉันทามติหรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสยี ท่ีเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยตรงจะต้องไม่มขี ้อคดั ค้านที่หาขอ้ ยตุ ิไม่ได้ในประเดน็ ทีส่ าคัญ 3.2 การกระจายอานาจ (Decentralization) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการควรมีการมอบอานาจ และกระจายความรบั ผิดชอบในการตัดสนิ ใจและ การดาเนินการให้แก่ผปู้ ฏิบตั ิงานในระดบั ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมทง้ั มีการโอนถา่ ยบทบาทและภารกิจใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินหรอื ภาคส่วนอน่ื ๆ ในสงั คม 4. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) ประกอบด้วย คุณธรรม/ จริยธรรม (Morality/Ethics) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีจิตสานึกความรับผิดชอบในการปฏบิ ัติหน้าท่ีให้
เป็นไปอย่างมีศีลธรรม คุณธรรม และตรงตามความคาดหวังของสังคม รวมทั้งยึดมั่นในค่านิยมหลักของมาตรฐาน จริยธรรมสาหรับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน และ จรรยาบรรณวชิ าชีพตลอดจน คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงคข์ องระบบราซการไทย 8 ประการ (I AM READY) อันได้แก่ I - Integrity ซ่อื สตั ย์และกลา้ ยนื หยดั ในสงิ่ ทีถ่ ูกตอ้ ง A - Activeness ทางานเชิงรุก คดิ เชิงบวกและมจี ิตบรกิ าร M - Morality มีศลี ธรรม คุณธรรมและจริยธรรม R - Responsiveness คานึงถึงประโยชนส์ ุขของประชาชนเปน็ ทต่ี ัง้ E - Efficiency มุ่งเน้นประสทิ ธิภาพ A - Accountability ตรวจสอบได้ D - Democracy ยดึ มนั่ ในหลกั ประซาธิปไตย Y - Yield มงุ่ ผลสัมฤทธิ์ 7. แนวคดิ เกยี่ วกบั การกีฬา การกีฬานับเป็นเคร่ืองมือในการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตท่ีดีให้กับมนุษย์ ซึ่งแต่ละบุคคลมี บริบทในการใช้การกีฬาที่มีความแตกต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์ที่มีความแตกต่างกันโดยท่ี Mull et al. (2005) ไดก้ ลา่ วถงึ กีฬาเพ่ือนันทนาการ (Leisure Sport) เอาไว้ว่า ไมว่ า่ การจดั การกีฬาหรอื องคก์ รกฬี าในสาขาใด ที่มีการนาส่งเก่ียวกับด้านการกีฬาในฐานะเป็นผลิตภัณฑ์หน่ึงมักจะมีรูปแบบในการจัดการกีฬาเพื่อนันทนาการ ใน หนห้านห้า6น้า ลักษณะของวตั ถุประสงคท์ ่สี าคัญอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. เพอ่ื ความสนุกสนาน (Fun) 5252 2. เพอ่ื สมรรถภาพทางกาย (Fitness) 3. เพ่ือความเพลดิ เพลนิ (Enjoyment) 4. เพอื่ ความบนั เทิง (Diversion) โดยที่วัตถุประสงค์ของการกีฬาเพื่อนันทนาการนั้น ก็มีความเกี่ยวข้องในบริบทของการมีส่วนร่วม (Participation) ของผู้เข้าร่วม (Participants) และการเข้าชม (Spectation) ของผู้ชม (Spectators) กับประเภท ของกีฬาแต่ละระดับ อันไดแ้ ก่ 1. กีฬาเชงิ การศึกษา (Educational Sport) 2. กีฬาเชงิ นนั ทนาการ (Recreational Sport) 3. กฬี าเชิงการแข่งขัน เนน้ ความสามารถ (Athletic Sport) 4. กฬี าเชิงการอาชีพ (Professional Sport) ซึ่งกีฬาเชิงการศึกษา จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมมากท่ีสุด รองลงมาคือกีฬาเชิงนันทนาการ กีฬาเชิงการแข่งขัน และกีฬาเชิงการอาชีพ ตามลาดับ ในทางกลับกัน กีฬาเชิงการอาชีพ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เข้าชมและผู้ชม มากที่สุด รองลงมาคือกีฬาเชิงการแข่งขัน กีฬาเชิงนันทนาการ และกีฬาเชิงการศึกษา ตามลาดับ นอกจากน้ี การมีส่วนร่วมและผู้เข้าร่วม ก็จะมีความเก่ียวข้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการกีฬาเพ่ือนันทนาการ
(Leisure Sport) เพื่อความสนุกสนานและเพ่ือสมรรถภาพทางกายมากกว่าในส่วนของการเข้าชมและผู้ชม ซ่ึงจะมี ความเกีย่ วข้องกับวัตถุประสงค์ ของการจัดการกีฬาเพื่อนันทนาการ (Leisure sport) เพ่ือความเพลิดเพลินและเพ่ือความบันเทิงเสีย มากกว่าในระดับนานาชาติน้ัน กระบวนการท่ีสาคัญท่ีสุดในการส่งเสริมด้านการกีฬาให้กับมวลมนุษยชาติก็คือ กระบวนการโอลิมปีก (Olympic Movement ซ่ึงหมายถึง กระบวนการอันเกิดข้ึนจากการดาเนินงานของผู้ท่ีมี ความเห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก (Olympic Charter) และผู้ท่ีรับรองอานาจของคณะกรรมการโอลิ มปีกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) รวมไปถึง สหพันธ์กีฬาระหว่างประเทศ (International Federations หรือ IF) ของกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปีกแห่งชาติ (National Olympic Committees หรือ NOCs) คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Organizing Committees of the Olympic Games หรือ OCOGs) นักกีฬา กรรมการผู้ตัดสิน และผู้ตัดสิน สมาคม ชมรม รวมไปถงึ องคก์ รและสถาบนั ท่ีไดร้ บั การรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปกี สากล โดยมคี ณะกรรมการโอลมิ ปกี สากล (International Olympic Committee หรือ I0C) ซ่ึงเปน็ องคก์ ารท่มี ีอานาจสงู สดุ ในการปกครองของกระบวนการ โอลิมปีกคอยทาหน้าที่สร้างแรงกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกทุกกลุ่มในครอบครัวโอลิมปิก (Olympic Family) ท้ังน้ี กระบวนการโอลิมปีก (Olympic Movement) กาหนดให้แนวคิดด้านการส่งเสริมการ กีฬาเพื่อมวลชน (Sport For All) เป็นหนึ่งในแนวทางเผยแพร่ความเป็นโอลิมปีกนิยม (Olympism) ให้กับ กระบวนการโอลิมปีก (Olympic Movement) ในระดับนานาชาติ ดังปรากฎให้เห็นในส่ือการเผยแพร่กิจกรรม ด้านการกีฬาเพื่อมวลชน (Sport For All) ของกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) ความว่า หนหา้ นห้า6นา้ \"ความสาเร็จของการส่งเสริมด้านการกีฬาเพ่ือมวลชน จะสามารถนาไปสู่สุขภาพส่วนบุคคลท่ีดีขึ้น สังคมท่ีแข็งแรง 5353 ข้ึน และความยงั่ ยนื ของกระบวนการดา้ นการกีฬา\" (International Olympic Committee, 2014) กีฬาเพื่อมวลชน (Sport for All) เป็นหน่ึงในแนวคิดท่ีแสดงถึงความเป็นโอลิมปีกนิยม(Olympism) ของกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) มีวัตถุประสงค์เพื่อนากิจกรรมทางกายและการกีฬามาเป็น เคร่ืองมือในการเสริมสร้างและพัฒนาด้านสุขภาพและประโยชน์ของสังคมให้กับมวลมนุษยชาติกระบวนการ โอลิมปิก ได้ดาเนินการส่งเสริมการกีพาเพื่อมวลชนโดยการจัดให้มีคณะกรรมการกีฬาเพ่ือมวลซน (Sport for All Commission) ซึ่งอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ( International Olympic Committee) ซงึ่ มีอานาจสูงสดุ ในการบริหารกระบวนการโอลมิ ปิก (Olympic Movement) การขับเคล่ือนนโยบายด้านการกีฬาเพื่อมวลชน ท่ีดาเนินการโดยคณะกรรมการกีฬาเพื่อมวลชน (Sport for All Commission) นั้น กระทาโดยการจัดให้มีการประชุมสัมมนาใหญ่ (World Sport for All Congress) ข้นึ โดยอาศัยความร่วมมอื ระหวา่ ง The International Olympic Committee (IOC), The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization (UNESCO), The World Health Organization (WHO) และ The General Association of International Sports Federations (GAISF)
สาระสาคัญที่แสดงถึงความสาคัญของนโยบายการกีฬาเพื่อมวลชนในระดับนานาชาติ ในฐานะที่การ กีฬาเพ่ือมวลซนนบั เปน็ สิทธพิ งึ ไดร้ บั ของมนุษยชนในโลก (Sport for all commission, 2010) มดี ังตอ่ ไปน้ี 1. ความต้องการด้านโอกาสในการมีกิจกรรมทางกายท่ีมีความเหมาะสมและเท่าเทียมผ่านการเข้าถงึ สถานที่ อุปกรณ์และส่ิงอานวยความสะดวก และแหล่งต่าง ๆ เป็นสิ่งจาเป็นที่ควรจัดสรรกับชุมชนทุกแห่ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมผ่านการจัดหาของชุมชนท้ังในด้านกิจกรรมสร้างความสนุกสนาน เกมส์พ้ืนบ้าน และการเลน่ กีฬา 2. ภัยคุกคามและค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นกับสังคม มาจากการลดระดับลงของกิจกรรมทางกายโดยเฉพาะ ในวัยหนุ่มสาว และมีกจิ กรรมทางกายในทท่ี างานอย่ใู นระดับทตี่ า่ กวา่ ซ่ึงนบั เป็นปัญหาระดับโลก 3. ความต้องการอาหารและพฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ีมีคุณค่าทางโภชนาการ จะช่วยลด อบุ ัตกิ ารณ์ของโรคอ้วนและโรคเรือ้ รัง 4. ประโยชน์ทางสังคมและสุขภาพ มาจากการลดพฤติกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดการเคล่ือนไหวโดยฉพาะ กิจกรรมหนา้ จอทกุ ชนิด เช่น การเลน่ คอมพวิ เตอร์เกมส์ การเลน่ โซเชียลเน็ตเวริ ค์ การดูโทรทัศน์ เปน็ ตน้ 5. คุณค่า และการเพ่ิมประชากรของกิจกรรมทางกายที่ไม่มีรูปแบบและมีความหนักปานกลาง อย่าง กิจกรรมนันทนาการที่ไม่ใช่การแข่งขัน เช่น การว่ิงเหยาะ การเดิน การปั่นจักรยาน เป็นต้น และการเล่นเกมส์ ประยกุ ตก์ ตกิ า นัน้ กาลงั เป็นสิง่ ทผ่ี สมผสานอยู่ในชีวติ ประจาวัน 6. ความสาคัญของการกาหนดเป้าหมายและสร้างแรงจูงใจให้กับคนหนุ่มสาวเป็นการบูรณาการ ในช่วงเร่ิมต้นของกิจกรรมทางกาย รวมไปถึงกิจกรรมกีฬาและนันทนาการท่ีไม่มีรูปแบบและการพลศึกษาที่ หนห้านห้า6น้า โรงเรยี นไปสู่กจิ กรรมในชีวิตประจาวนั จะสรา้ งพฤติกรรมจนเปน็ ลักษณะนสิ ัยไปตลอดช่วงชีวติ 5454 นอกจากนี้ แผนพฒั นาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2555 - 2559) ยงั ได้ใหค้ วามหมายของคาว่า กีฬาเพ่ือมวลชน เอาไว้ว่า หมายถึง การออกกาลังกายหรือการเล่นกีฬา รวมท้ังการออกกาลังกายในการประกอบ อาชพี หรือการออกกาลังกายในชวี ิตประจาวนั ที่ประชาชนทกุ กลมุ่ รวมท้ังบุคคลกลุ่มพิเศษ และผดู้ ้อยโอกาสได้ออก กาลังกายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตน เพ่ือมีสุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิต (กระทรวงการ ท่องเท่ียวและกีฬา, 2555) 8. แนวคดิ เกยี่ วกบั การนนั ทนาการ 8.1 ความหมายและประเภทของนนั ทนาการ นนั ทนาการเปน็ ศาสตร์ที่วา่ ดว้ ยการพัฒนาคุณภาพชวี ิตของบคุ คลและสังคม โดยใช้เวลาว่างหรอื เวลา อิสระเข้าร่วมกิจกรรม ในรูปแบบท่ีหลากหลายตามความสมัครใจและความสนใจ ซ่ึงสมบัติ กาญจนกิจ (2557) ไดก้ ลา่ วถึงความหมายในลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั ของนันทนาการเอาไวใ้ นหลากหลายมุมมอง อนั ได้แก่ นันทนาการ หมายถึง การทาให้สุดช่ืนหรือการสร้างพลังขึ้นมาใหม่ (Re+Fresh, Re+Creation) เป็นความหมายเร่ิมแรกท่ีได้มีการอธิบายว่า การท่ีบุคคลได้รับประทานอาหารเข้าไปแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงาน โดย แรงขับภายใน จะทาให้เขาต้องใช้พลังงานในรูปแบบของการเคล่ือนไหวหรือทากิจกรรมต่าง ๆ แล้วก่อให้เกิดการ เหนื่อย เมอื่ ยลา้ ดังน้นั บคุ คลจึงต้องการนันทนาการเพื่อสร้างพลังข้ึนมาใหมห่ รือสรา้ งความสดช่ืนข้นึ มาอีกครั้งหน่ึง
หรือการที่บุคคลมีความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการเพ่ือสร้างความสดช่ืนและสร้างพลังงานข้ึนมาใหม่ใน รูปแบบของการเลน่ การแสดงออกในด้านกฬี าดนตรี ศิลปะ งานอดิเรก หรือไปทอ่ งปา่ เป็นตน้ นันทนาการ หมายถึง กิจกรรม (Activities) ซ่ึงมีรูปแบบกิจกรรมท่ีหลากหลาย การที่บุคคลหรือ ชุมชนไดม้ ีส่วนร่วมในกจิ กรรมตามความสนใจของตน แลว้ กอ่ ใหเ้ กิดผลการพัฒนาอารมณส์ ุข สนุกสนาน และ/หรือ สขุ สงบ กิจกรรมในท่ีน้หี มายถงึ กจิ กรรมประเภทเกม กฬี า ศิลปะ ดนตรกี ารแสดงละคร การเดนิ ทางท่องเทีย่ ว การ อยู่คา่ ยพักแรม งานอาสาสมคั ร งานอดิเรก กีฬาทา้ ทาย เปน็ ต้น นันทนาการ หมายถึง กระบวนการ (Process) กล่าวคือ นันทนาการเป็นกระบวนการในการพัฒนา ประสบการณ์ หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลหรือสังคม โดยอาศัยกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ เป็นสื่อ ในช่วง เวลาว่าง เวลาอิสระ โดยท่ีบุคคลเข้าร่วมโดยความสมัครใจ หรือมีแรงจูงใจแล้วส่งผลให้เกิดการพัฒนาอารมณ์สุข สนกุ สนาน และสงบสขุ นันทนาการ หมายถงึ สวสั ดิการสงั คม (Social Welfare) นนั ทนาการ คอื สถาบันทางสงั คมสวสั ดกิ าร ทางสังคม ซึ่งรัฐบาลและฝ่ายบริหารท้องถ่ินจะต้องมีหน้าที่จัดการให้บริการแก่ชมชนเพ่ือสร้างบรรยากาศของเมือง และของประเทศใหน้ ่าอยู่มีความอบอนุ่ ใจ เช่น จดั อุทยานแห่งชาติ วนอุทยานแห่งชาติ ศนู ยเ์ ยาวชน สวนสาธารณะ เปน็ ต้น นอกจากนี้ เทพประสิทธิ์ กุลธวัชวิชัย (2556) ยังได้กล่าวถึงนันทนาการไว้ว่า นันทนาการ (Recreation) หมายถึง กิจกรรมเวลาว่างที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ มีคุณค่าสาหรับบุคคลท่ีเข้าร่วมกิจกรรมด้วย หนห้านห้า6น้า ความสมคั รใจและส่งผลโดยตรงตอ่ ผเู้ ข้ารว่ ม ช่วยพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของบุคคล ซง่ึ เป็น เป้าหมายของนันทนาการ คือ การกระทาให้ชีวิตมีคุณภาพ หมายถึงการมีคุณภาพชีวิตท่ีดีกว่าท่ี 5555 เปน็ อยนู่ ั่นคอื มคี วามสขุ ทีส่ มบูรณป์ ระกอบด้วยสองสว่ น ไดแ้ ก่ สขุ ภาพทางกายและสุขภาพจิตใจ กล่าวโดยสรุปได้ว่า นันทนาการ หมายถึง การประกอบกิจกรรมท่ีทาให้เกิดคุณค่าทางจิตใจ และอาจ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ทางกาย ซ่ึงผู้ประกอบกิจกรรมกระทาด้วยความเต็มใจ ในเวลาที่ผู้ประกอบกิจกรรมมีความ สะดวกที่จะประกอบกิจกรรม และก่อให้เกดิ ผลในการพั ฒนาคุณภาพชวี ติ ของผูป้ ระกอบกจิ กรรมนนั ทนาการต่อไป กิจกรรมนันทนาการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นการเพ่ิมทักษะความสามารถของผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ ซ่ึง สมบัติ กาญจนกจิ (2557) ไดแ้ บ่งประเภทของกจิ กรรมนนั ทนาการออกเป็น 15 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. กจิ กรรมนนั ทนาการศิลปะหตั ถกรรม 2. กจิ กรรมนันทนาการเกมส์กฬี า 3. กจิ กรรมนันทนาการการเต้นรา 4. กจิ กรรมนันทนาการท่องเท่ียวทศั นศกึ ษา 5. กิจกรรมนันทนาการพฒั นาจติ ใจและความสงบสขุ 6. กจิ กรรมนันทนาการการละคร 7. กจิ กรรมนนั ทนาการงานอดิเรก 8. กจิ กรรมนนั ทนาการการดนตรแี ละรอ้ งเพลง
9. กิจกรรมนนั ทนาการกลางแจง้ /นอกเมือง หนหา้ นห้า6น้า 10. กิจกรรมนนั ทนาการสงั คม 5656 11. กจิ กรรมนนั ทนาการในโอกาสเทศกาลพเิ ศษ 12. กจิ กรรมนันทนาการวรรณกรรม (อ่าน พดู เขยี น) 13. กิจกรรมนนั ทนาการบรกิ ารอาสาสมคั ร 14. กิจกรรมนันทนาการพฒั นาสขุ ภาพและสมรรถภาพ 15. กจิ กรรมนนั ทนาการกลุ่มสัมพันธแ์ ละมนษุ สัมพันธ์ นอกจากน้ี เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย (2556) ยังได้จาแนกประเภทย่อยของกิจกรรมนันทนาการท่ีมี อยู่หลายลักษณะ แล้วแต่กรณีว่าจะอาศัยจุดมุ่งหมายหรือใช้ส่ิงใดเป็นตัวกาหนดประเภทของกิจกรรมนันทนาการ รายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การแบ่งตามหนว่ ยงานหรือผู้ทีร่ บั ผิดชอบ ไดแ้ ก่ 1.1 นนั ทนาการของรัฐ 1.2 นนั ทนาการเอกชน 1.3 นนั ทนาการทัง้ รัฐและเอกชน หรอื องคก์ ร สมาคม สโมสร มูลนิธิ 1.4 นันทนาการครอบครวั และบคุ คล 2. การแบ่งตามจุดหมาย ได้แก่ 2.1 นันทนาการอาสา 2.2 นันทนาการสาธารณะ 2.3 นนั ทนาการธรุ กิจ 2.4 นันทนาการชุมชน 2.5 นันทนาการอาชีพ 2.6 นนั ทนาการสาหรับผสู้ งู อายุ 2.7 นนั ทนาการทางสังคม 2.8 นันทนาการสาหรบั เยาวชน 2.9 นันทนาการประเภทอนรุ กั ษ์ 3. การแบ่งตามสถานท่ีที่จัด ได้แก่ 3.1 นนั ทนาการในบา้ น 3.2 นันทนาการในโรงเรียนหรือสถานศึกษา 3.3 นันทนาการในโรงงาน 3.4 นันทนาการในโรงพยาบาล 3.5 นันทนาการในกองทพั 3.6 นันทนาการในวัด 3.7 นนั ทนาการในชนบท
3.8 นันทนาการในเมืองหรือเขตเทศบาล หนหา้ นห้า6นา้ 3.9 นันทนาการในอุทยานหรอื วนอทุ ยาน 5757 4. การแบง่ ตามลกั ษณะของกจิ กรรมท่จี ัด ไดแ้ ก่ 4.1 นนั ทนาการเพอ่ื สุขภาพ 4.2 นนั ทนาการเพื่อบาบดั 4.3 นันทนาการทางสังคม 4.4 นันทนาการอาชีพ 4.5 นันทนาการประเภทอนรุ ักษ์ 4.6 นันทนาการประเภทศิลปะ หัตกรรม กล่าวโดยสรุปได้ว่า นันทนาการ มีความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป สามารถสร้างคุณค่าและพัฒนาสภาพจิตใจและร่างกายให้ดีข้ึนกว่าเดิมได้ ซึ่งกิจกรรมนันทนาการมีอยู่หลากหลาย ประเภาโดยผดู้ าเนนิ กจิ กรรมนันทนาการสามารถเลือกสรรแตล่ ะกจิ กรรมตามความถนัดและความสนใจ นอกจากน้ี นันทนาการยังเป็นเครื่องมือสาคัญทางสังคม ท่ีหน่วยงานภาครัฐจาเป็นต้องจัดให้มีไว้ เพ่ือให้บริการประชาชนใน สังคม ทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวติ ของประชาชนภายในประเทศ ในฐานะท่ีนันทนาการนับเป็น สวัสดิการทสี่ าคัญประเภทหนึ่งของรัฐอีกด้วย 8.2 การจดั โปรแกรมนนั ทนาการ Edginton et al. (1989) ได้กล่าวถึงรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการเอาไว้ว่ามีหลากหลายหนทางท่ี ประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้เวลาว่างให้เกิดคุณค่า จะสามารถเกิดข้ึนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ องค์ความรู้เก่ียวกับ รปู แบบของกจิ กรรมนันทนาการจะทาใหผ้ ู้ใหบ้ ริการมขี ้อมูลในการให้บริการได้อยา่ งตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึง่ โปรแกรมนนั ทนาการสามารถแบง่ ออกได้ 8 ประเภท ได้แก่ 1. การจดั การแขง่ ขัน (Competitive) 2. การมาเยี่ยมชมหรอื การเปดิ ใหเ้ ยี่ยมชม (Drop - in or Open) 3. ห้องเรียนรู้ (Class) 4. สโมสร (Club) 5. กิจกรรมพิเศษ (Special Event) 6. การประชุมเชิงปฏิบตั ิการ/การประชุม (Work Shop/Conference) 7. กลุม่ ตามความสนใจ (Interest Group) 8. กจิ กรรมนอกสถานท่ี (Outreach) นอกจากนี้ Edginton et al. (1989) ยงั ไดอ้ ธบิ ายว่า ผูใ้ ห้หรือผู้จัดบริการด้านนันทนาการจะสามารถ สร้างประสบการณ์ด้านนันทนาการให้กับผู้รับบริการหรือลูกค้าได้ โดยอาศัยความเข้าใจเก่ียวกับการพัฒนาของ มนุษย์แต่ละระดับอายุในช่วงชีวิต ซึ่งในแต่ละกลุ่มอายุก็จะมีคุณลักษณะนิสัยและพฤติกรรมท่ีมีความแตกต่างกัน ออกไป ซ่ึงสามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับพฤติกรรมของมนุษย์ ตามที่ Patterson (1987) ได้ระบุไว้ ดงั ตารางท่ี 1
กลมุ่ อายุ คณุ ลกั ษณะนิสัย เดก็ อ่ นวัยเรียน เด็กปฐมวัย (ปี) เดก็ ประถมวยั ต่ากว่า 4 พึง่ พาผู้อ่ืน ความสนใจส้ัน ตนเองเปน็ ศูนย์กลาง มีพฒั นาการ เด็กวัยแรกรุน่ เยาวชน ดา้ นการเคลื่อนไหวหลกั ต้องการรางวลั ในทันทีทนั ใด ผู้ใหญ่ช่วงต้น 5-7 กาลงั พัฒนาความสมั พนั ธท์ างสังคม กาลงั พฒั นาทักษะการ ผู้ใหญ่ เคลื่อนไหว มีจินตนาการและร่าเริง พัฒนาการควบคุมตนเอง ผู้ใหญว่ ยั มีความขยันพากเพียร กอ่ นเกษียณ ผู้ใหญ่วัยเกษียณ 8-12 พัฒนาความขยัน ความอตุ สาหะ และความสามารถ เล่นเป็นหลกั ชว่ งตน้ วัยผูใ้ หญ่ 13 -15 เติบโตทางกายภาพรวดเรว็ เร่ิมเป็นหนมุ่ สาว งุ่มงา่ ม ระมัดระวัง ช่วงหลงั ตนเอง 16-19 พัฒนาความเป็นตัวตน คน้ หาสามารถพิเศษ ชอบมากและ ไม่ชอบมาก มีสมาชิกกล่มุ ตงั้ เปา้ หมาย พยายามเพื่อความ เปน็ อิสระ 20-29 ค้นหาความสมั พันธท์ แ่ี ทจ้ รงิ มีคามัน่ สญั ญา เลือกสายอาชีพ ใชก้ จิ กรรมหลากหลายในพิธกี รรมเกย้ี วพาราสี ชอบกจิ กรรม กลางแจง้ และเสย่ี งเพ่ือทดสอบความสามารถ หนหา้ นห้า6นา้ 5858 30 -49 ช่วงหลักในการมีครอบครัว รับภาระเล้ียงดเู ด็กและภาระหนา้ ท่ี ทางสังคมอน่ื ๆ มองหานันทนาการเพ่ือให้มีกิจกรรม เพ่ือความ บนั เทิง เพื่อสถานภาพ และเพ่อื ความเป็นอสิ ระ 50 -64 ลดความต้องการลง ชอบความปลอดภัย สนกุ กบั การออกงาน สงั คม จัดหาภาวะผู้นาในสถานที่ทางศาสนาและในองคก์ ร อาสาสมัคร 65 -79 นันทนาการมักจะมาทดแทนงานเพ่อื การดารงชีวติ กระทา หรอื ถูกกระทาก็ไดข้ ึ้นอย่กู ับสุขภาพ สมรรถภาพทางกายภาพ ทั่วไปลดลง ยากทจ่ี ะกระตุ้น มากกวา่ 80 ใช้ชีวิตขึ้นอยูก่ ับสุขภาพ ชวี ิตอาจมีคุณคา่ แต่ไมด่ ิน้ รน จากงานวจิ ัยพบว่าผูท้ ่ีอยใู่ นวัยเกษยี ณและวยั ผู้ใหญ่ชว่ งหลงั สามารถปอ้ งกันความโดดเดีย่ วส้ินหวังไดโ้ ดยไมอ่ ยู่อย่างอิสระ แยกตวั คนเดียว และรอคอยความตายอยา่ งเดยี วดาย ตารางท่ี 1 แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างอายกุ บั พฤติกรรมของมนษุ ย์ (Patterson, 1987) 8.3 หนา้ ท่ีทางสงั คมของนันทนาการชมุ ชน (Social Functions of Community Recreation)
McLean et al.(2005) ได้กล่าวไว้ว่า นันทนาการเป็นสิ่งสาคัญในการสร้างประสบการณ์ของมนุษย์ และเป็นส่วนสาคัญที่ทาให้มนษุ ย์ในชมุ ชนมีวิถีชีวติ ความเป็นอยู่ที่ดี กล่าวได้ว่า ชุมชน คือ กลุ่มคนท่ีมีความสัมพนั ธ์ ร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองร่วมกัน หรือเพ่ือนบ้าน และชุมชน อาจหมายถึง การรวมกลุ่มกันของ คน เช่น พนักงานบริษัท หรือคนท่ีอาศัยและทางานอยู่ในฐานทัพทหารซ่ึงหน้าท่ีสาคัญของนันทนาการ ท่ีนามาซึ่ง วิถชี ีวติ ในชุมชน รวมทงั้ เปน็ ความต้องการและเปน็ ประโยชนข์ องชุมชนนัน้ ประกอบไปดว้ ย 10 ประการ ดังต่อไปน้ี 1. ทาให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (Enriching Quality of Life) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุณภาพชีวิตดีข้ึนใน สิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยจัดให้มีความเพลิดเพลินและช่วยพัฒนาโอกาสในการเข้าถึงการใชเ้ วลาว่างพัฒนาคุณคา่ ของชีวิตสาหรบั ผูท้ อ่ี ยอู่ าศัยทุกกลุ่มอายุ ทกุ สถานภาพ และทกุ ชนชน้ั ทางสงั คม 2. ทาให้บุคคลเกิดการพัฒนาตนเอง ( Contributing to Personal Development) โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือทาให้บุคคลมีการพัฒนาที่ดีท้ังด้านร่างกาย ด้านสังคม ด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญาและด้านจิต วิญญาณ รวมท้ังความสนทิ สนมกลมเกลยี วกนั ภายในครอบครวั และความเปน็ อยทู่ ด่ี ี 3. ทาให้ชุมซนเป็นสถานที่ที่ตึงดูดใจมีความน่าอยู่มากข้ึน (Making The Community a More Attractive Place to Live) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทาให้ขุมซนเป็น สถานทด่ี ึงดูดใจ นา่ อยขู่ น้ึ โดยจัดให้มีเครือข่ายสวนสาธารณะและพน้ื ที่เปดิ รวมถึงการรว่ มมือกันออกแบบและฟ้ืนฟู สภาพของพนื้ ทใ่ี นเมอื งท่ที รุดโทรม และส่งเสริมทศั นคตแิ ละนโยบายดา้ นสง่ิ แวดล้อมในเชงิ บวก 4. ป้องกันการใช้เวลาว่างเพ่ือการต่อต้านทางสังคม (Preventing Antisocial Uses of Free Time) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันและลดการใช้เวลาว่างในการต่อต้านทางสังคมและการทาลายสิ่งต่าง ๆ ในสังคม หนห้านหา้6น้า เชน่ การทาผิดกฎหมายหรือการทาลายสิ่งของ โดยจัดให้มรี ายการแข่งขันท่ีเสนอให้เด็กวัยรนุ่ ใช้ความคดิ สรา้ งสรรค์ 5959 และความสนกุ สนานเกย่ี วกับโอกาสดา้ นนนั ทนาการเชือ่ มโยงกบั การใหบ้ รกิ ารความตอ้ งการอื่น ๆ 5. ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระหว่างวัยให้ดีข้ึน ( Improving Intergroup and Intergenerational Relations) โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนผู้อยู่อาศัยใน ชุมชน ท่ีมีความแตกต่างกันท่ีภูมิหลังท้ังในด้านสีผิว ชาติพันธุ์ หรือศาสนา รวมท้ังความแตกต่างระหว่างกลุ่มวัย ผา่ นการบางปน่ั ประสบการณ์ดา้ นนนั ทนาการและวัฒนธรรม 6. สรา้ งความสมั พันธก์ บั เพอื่ นบา้ นและความใกล้ชิดในชมุ ชน (Strengthening Neighborhood and Community Ties) โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือสร้างความแข็งแรงใหก้ ับชีวิตเพ่ือนบ้านและชุมชน โดยทาให้ผู้อาศยั ใน ชุมชนมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมจิตอาสา หรอื กจิ กรรมการให้บริการเพ่อื ให้เกดิ จิตสานึกความเปน็ พลเมืองและสร้างขวัญ กาลงั ใจ 7. ตอบสนองความต้องการของประชากรพิเศษ (Meeting the Needs of Special Populations โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื บริการประซากรกล่มุ พิเศษ เช่น ผูพ้ กิ ารทางกายภาพหรอื ทางจิตผ่านบรกิ ารด้านนนั ทนาการ เพ่ือการบาบัดในสถานทีบ่ าบัดรกั ษา และผ่านกิจกรรมอิงชุมชน เพ่ือบริการให้กับผู้พิการแต่ละบุคคลอย่างไม่จากัด ความพิการ 8. รกั ษาความมัน่ คงทางเศรษฐกจิ และความม่ันคงของชมุ ชน (Maintaining Economic Health and Community Stability) โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื รกั ษาความม่ันคงทางเศรษฐกจิ และ
ความม่ันคงของชุมชน โดยเป็นตวั เร่งการพฒั นาธุรกิจและแหลง่ รายได้และการจ้างงานของชมุ ชนของ หนห้านห้า6น้า ประเทศ รวมทงั้ ทาให้ผ้อู ยอู่ าศยั โดยรอบปรารถนาทจ่ี ะอยู่อาศัย 6060 9. เสริมสร้างวิถีชีวิตต้านวัฒนธรรมให้ชุมซน (Enriching Community Cultural Life) โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือเสริมสร้างวิถีชีวิตด้านวัฒนธรรมให้ชุมชน โดยการส่งเสริมวิจิตรศิลปะและศิลปะการแสดง กิจกรรมพิเศษ และโปรแกรมเชิงวัฒนธรรม รวมทั้งสนับสนุนการจัดแสดงเชงิ ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมมรดก พ้ืนบ้าน และสถาบนั ศลิ ปะของชุมชน 10. ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัย (Promoting Health and Safety) โดยมีประสงค์ เพ่ือส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน โดยนาเสนอบริการและโปรแกรมตามความต้องการ รวมท้ังการ อบรมภาวะผ้นู าและหลกั สูตรทีม่ กี ารรบั รอง รวมท้ังการควบคมุ ดูแลและการกากบั กจิ กรรมทม่ี ีความเสี่ยงสงู 9. สาระสาคญั ของแผนแม่บทของประเทศด้านการพัฒนาชาติ กีฬา และนันทนาการ 9.1 ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแหง่ ชาติ, 2560) ยุทธศาสตร์ชาติ มีวิสัยทัศน์ คือ \"ประเทศไทยมีความม่ันคง มั่งค่ัง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง\" หรือเป็นคติพจน์ประจาชาติว่า \"มั่นคง มั่งคั่ง ย่ังยืน\" ท้ังน้ี วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะต้องสนองตอบต่อผลประโยชน์แห่งชาติ อันได้แก่ การมีเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพ แห่งเขตอานาจรัฐ การดารงอยู่อย่างมั่นคง ยั่งยืนของสถาบันหลักของชาติ การดารงอยู่อย่างม่ันคงของชาติและ ประชาชนจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ การอยู่ร่วมกันในชาติอย่างสันติสุขเป็นปีกแผ่น มีความมั่นคงทางสังคม ท่ามกลางพหุสังคมและการมเี กียรติและศักด์ิศรีของความเปน็ มนษุ ย์ ความเจรญิ เติบโตของชาติ ความเป็นธรรมและ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ความย่ังยืนของฐานทรัพยากรธรรมชาติส่ิงแวดล้อม ความมั่นคงทางพลังงานและ อาหารความสามารถในการรักษาผลประโยชนข์ องชาติภายใต้การเปลย่ี นแปลงของสภาวะแวดล้อมระหวา่ งประเทศ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติประสานสอดคล้องกันด้านความม่ันคงในประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกอย่างมี เกียรตแิ ละศกั ดิ์ศรี โดยทีค่ วามมั่นคงเปน็ รากฐานของทัง้ 3 ประการทจ่ี ะทาใหเ้ กดิ ความมัง่ ค่ังและยัง่ ยืนได้ ความม่ันคง หมายถึง การมีความม่ันคงปลอดภัยจากภัยและการเปล่ียนแปลงทั้งภายในประเทศและ ภายนอกประเทศในทุกระดับ ทั้งระดับประเทศ สังคม ชุมชน ครัวเรือน และปัจเจกบุคคล และมีความมั่นคงใน ทุกมิติ ท้งั มติ ทิ างการทหาร เศรษฐกจิ สังคม ส่ิงแวดล้อม และการเมอื ง ความม่ังค่งั หมายถึง ประเทศไทยมีการขยายตวั ของเศรษฐกจิ อย่างต่อเนื่องและมคี วามยั่งยนื จนเข้าสู่ กลุ่มประเทศรายได้สูง ความเหลื่อมล้าของการพัฒนาลดลง ประชากรมีความอยู่ดีมีสุขได้รับผลประโยชน์จากการ พัฒนาอย่างเท่าเทียมกันมากข้ึน และมีการพัฒนาอย่างท่ัวถึงทุกภาคส่วน(Inclusive Growth) มีคุณภาพชีวิตตาม มาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ ไม่มีประชาชนที่อยู่ใต้เส้นความยากจน เศรษฐกิจในประเทศมีความเข้มแข็ง ตลอดจนมีการสร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคตเพ่ือให้สอดรับกับบริบทกา รพัฒนาที่เปล่ียนแปลงไป นอกจากน้ันยังมีความสมบูรณ์ในทุนที่จะสามารถสร้างการพัฒนาต่อเนื่องไปได้ ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทนุ ทางการเงิน ทุนทเ่ี ป็นเครือ่ งมอื เครอื่ งจกั ร ทนุ ทางสงั คม และทนุ ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม
ความย่ังยืน หมายถึง การพัฒนาท่ีสามารถสร้างความเจริญ รายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ใหเ้ พ่ิมข้นึ อยา่ งต่อเน่อื ง การผลิตและการบรโิ ภคเป็นมติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ ม และสอดคลอ้ งกบั เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) คนมี ความรับผิดชอบต่อสังคม มีความเอือ้ อาทร เสียสละเพือ่ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติท่ีจะใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาในระยะ 20 ปีต่อจากนี้ไปจะประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่า เทียมกันทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม และ6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดลุ และพฒั นาระบบการบริหารจัดการภาครฐั 9.1 แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 (พ.ศ.2560 - 2564) (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2560) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหน่วยงานภาครัฐส่วนกลางระดับนโยบายได้ดาเนินการ จัดทาแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) ขึ้น เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชน ใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนปฏิบัตกิ ารประจาปี โดยหวังว่าจะเปน็ แผนทชี่ ่วยผลักดัน และขับเคล่อื นการพัฒนาด้านการกีฬาตามแผนไปสู่การปฏบิ ัติอย่างเป็นรปู ธรรม เพ่ือใหก้ ารกฬี าเปน็ ส่วนสาคัญของ วิถีชีวิตประชาชนทุกภาคส่วน และเป็นกลไกสาคัญในการสร้างคุณค่าทางสังคมและคุณภาพชีวิตท่ีดีให้กับคนไทย รวมถึงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในระดับสากลและต่อยอดไปสู่ระดับอาชีพเพ่ือสร้างอาชีพและรายได้ให้กับ หนห้านห้า6น้า บุคลากรทางการกีฬา โดยเชื่อมโยงไปถงึ การพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาเพื่อสร้างมูลคา่ เพิ่มใหก้ ับเศรษฐกิจของ 6161 ประเทศ การจัดทาวิสัยทัศน์การพัฒนาการกีฬาไทย พ.ศ. 2579 เป็นการดาเนินการในช่วงเวลาที่สาคัญของ ประเทศ กล่าวคือ ช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศไทยใหก้ ้าวไปสู่การเป็นประเทศท่ีมคี วามมั่นคง มั่งค่ัง และย่ังยืน โดยประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูป เพื่อประสานประโยชน์และสามารถอยู่ ร่วมกันได้อย่างสงบสุขจึงนับเป็นโอกาสที่ดีท่ีประเทศไทยให้ความสาคัญกับการกาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศในระยะยาวในอีก 20 ปีข้างหน้า ในท่ีนี้ได้มีการกาหนดกรอบแนวคิดและปัจจัยแห่งความสาเร็จให้ ตอบสนองกบั เจตนารมณต์ ามหลักการและวิสัยทัศนภ์ ายใต้กรอบยุทธศาสตรช์ าติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) กลา่ วคอื ประเทศไทยมีความ \"มน่ั คง มง่ั ค่ัง ย่ังยืน\" การกาหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาการกีฬาไทย พ.ศ. 2579 จงึ พจิ ารณาองคป์ ระกอบที่สาคญั 3 ประการ คือ หลักการพัฒนา วัตถุประสงค์หลัก และคุณค่าของการกีฬา เพื่อให้การดาเนินงานของหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เป็นไปในทิศทางท่ีสอดคล้องและเกื้อกูลกัน โดยมีเป้าประสงค์ร่วมกันและเห็นถึงความสาคัญของการกีฬาในฐานะ กลไกสาคญั ในการขบั เคลื่อนและพฒั นาประเทศในระยะยาว จงึ ได้ กาหนดวสิ ัยทัศน์การพัฒนาการก็พาไทย พ.ศ. 2579 ความวา่ \"การกฬี าเปน็ ส่วนสาคญั ของประชาชน ทกุ ภาคสว่ น และเป็นกลไกสาคญั ในการสรา้ งคุณค่าทางสงั คมและสง่ เสริมเศรษฐกจิ ของประเทศ\" 9.1.1 เป้าหมายการพัฒนาของแผนฯ
1. เดก็ และเยาวชน ทุกกลมุ่ และทกุ พื้นท่ี มคี วามตระหนกั มีความรู้และทกั ษะในกิจกรรมทางกายการ ออกกาลังกาย และการเลน่ กีฬาได้อย่างน้อย 1 ชนิดกีฬา ซึ่งจะทาให้มีสขุ ภาพรา่ งกายที่แข็งแรงควบคู่ไปกบั มีความ สานกึ ในระเบยี บวินยั และนา้ ใจนักกีฬา 2. ประชาชนทุกภาคส่วนมีสุขภาพที่ดีข้ึนจากการออกกาลังกายและเล่นกีฬาโดยมีส่วนร่วมในการ กาหนดและมีโอกาสเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการกีฬาของชุมชนท้องถ่ินอย่างเสมอภาค รวมท้ังมีอาสาสมัครที่ เป็นผนู้ าในการออกกาลงั กายและเลน่ กฬี าอย่างท่ัวถงึ 3. ระบบการเฟ้นหาและพัฒนานักกีฬาเพ่ือพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในทุกระดับควบคู่ไปกับการมี ศูนย์ฝกึ ซ้อมกีฬาและระบบการจดั การแขง่ ขันท่ีได้มาตรฐาน ซ่งึ จะทาให้นักกีฬามีพฒั นาการท่ีดแี ละมีความคาดหวัง ในการแขง่ ขนั ระดับนานาชาติ ตลอดจนมีการเชิดชูเกียรติ ดแู ลสวัสดิการและสวสั ดิภาพทีเ่ หมาะสม 4. อตุ สาหกรรมการกฬี าและการกีฬาเพื่อการท่องเทีย่ วและนนั ทนาการ (Sport Tourism) ได้รบั การ ส่งเสริมอย่างจริงจัง รวมทั้งมีเมืองกีฬา (Sport City) และระบบฐานข้อมูล เพ่ือสนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ซงึ่ จะนาไปสกู่ ารขยายตัวของจา้ งงานและสร้างมลู คา่ เพมิ่ ทางเศรษฐกจิ ของประเทศอย่างมีเสถียรภาพ 5. โครงสร้างพนื้ ฐาน บคุ ลากร และหนว่ ยงานหลักสามารถบรู ณาการงานด้านวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการกีฬา เพื่อพัฒนาสุขภาพของประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาอย่าง เป็นระบบรวมทง้ั พัฒนาความร่วมมอื กับทกุ ภาคสว่ นในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางการกีฬา 6. บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในการพัฒนาต่อยอด แผนพฒั นาการกีฬาแหง่ ชาตฉิ บับท่ีผ่านมา ขับเคลื่อนการบริหารจัดการกีฬาและพฒั นาระบบฐานข้อมูลที่เกย่ี วข้อง หนหา้ นห้า6น้า กับการกฬี าให้เปน็ มาตรฐานเดียวกนั ภายใตร้ ะบบธรรมาภิบาลและการสรา้ งความโปร่งใส 6262 จากเป้าหมายการพัฒนาของแผนฯ ดังกล่าว พบว่า เข้าหมายการพัฒนาของแผนฯ ท่ีมีความ สอดคล้องและเก่ยี วข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจดั การศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล ได้แก่ เปา้ หมายการพัฒนาของแผนฯ ในขอ้ ที่ 2 ข้อที่ 5 และข้อที่ 6 9.1.2 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาของแผนฯ เพ่ือให้บรรลุวิสัยทัศน์ตามท่ีกาหนดไว้ว่า \"การกีฬาเป็นส่วนสาคัญของวิถีชีวิตประชาชนทุกภาคส่วน และเป็นกลไกสาคัญในการสร้างคุณคา่ ทางสังคมและสง่ เสริมเศรษฐกจิ ของประเทศ \" จึงไดม้ ีการกาหนดยทุ ธศาสตร์ การพฒั นาระยะเวลา 5 ปี ขา้ งหนา้ เพ่อื การขบั เคล่ือนและพัฒนาการกีฬาไทยไปในทิศทางทเ่ี หมาะสม บรรลตุ าม วัตถปุ ระสงค์และเป้าหมาย ดังนี้ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการออกกาลังกายและการ กีฬาขนั้ พนื้ ฐาน ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกกาลังกายและมีส่วนร่วมในกจิ กรรมการกีฬา ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 การพัฒนากฬี าเพอ่ื ความเป็นเลิศและตอ่ ยอดเพอ่ื ความสาเรจ็ ในระดบั อาชีพ ยุทธศาสตรท์ ่ี 4 การพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาเพ่ือเป็นส่วนสาคญั ในการสร้างมูลคา่ เพ่ิมทาง เศรษฐกจิ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การพัฒนาองคค์ วามรูแ้ ละนวัตกรรมที่เกีย่ วขอ้ งกบั การกีฬา
ยุทธศาสตร์ที่ 6 การยกระดบั กำรบรหิ ำรจดั กำรดำ้ นกำรกีฬำใหม้ ีประสทิ ธิภำพ หนหา้ นห้า6นา้ ท้ังนี้ ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาในข้อที่ 1 - 3 จะเป็นเป้าหมายสาคัญในการพัฒนาการกีฬาของ 6363 ประเทศ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน มวลชน จนตอ่ ยอดไปสูค่ วามเปน็ เลิศและอาชีพซงึ่ จะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงทาง สขุ ภาวะและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแกป่ ระชาชน ในสว่ นประเด็นยุทธศาสตร์ท่ี 4 จะเป็นการขับเคล่ือนการสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากท้ังสามประเด็นแรก อันจะเป็นนาไปสู่ความมั่งคั่งของประเทศ อีกท้ังจะช่วยให้เกิดการ หมุนเวียนด้านเงินทุนในการพัฒนาการกีฬาอย่างต่อเน่ือง สาหรับยุทธศาสตร์ประเด็นท่ี 5 และ 6 จะเป็นการ สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการกีฬาในองค์รวมซึ่งจะทาให้การขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์ท้ังส่ีบรรลุตาม วัตถุประสงค์และเป้าหมายอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและยง่ั ยนื จากประเด็น 6 ยุทธศาสตร์การพัฒนาของแผนฯ ดังกล่าว พบว่า ยุทธศาสตร์ที่มีความสอดคล้องและ เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ได้แก่ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการออกกาลังกาย และการกีฬาข้ันพื้นฐาน ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การสง่ เสริมให้มวลชนมีการออกกาลงั กายและมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการกีฬา และยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 การยกระดับการ บริหารจัดการด้านการกีฬาให้มีประสิทธิภาพโดยแต่ละยุทธศาสตร์มีแนวทางการพัฒนาที่ปรากฎให้เห็นความ สอดคลอ้ งและเกยี่ วขอ้ งกับการวจิ ัย มรี ายละเอียดดงั ต่อไปน้ี แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการ ออกกาลงั กายและการกีฬาช้นั พ้นื ฐาน ทม่ี คี วามสอดคล้องและเก่ียวขอ้ งกบั การวิจยั ได้แก่ - จัดให้มีอุปกรณ์และสถานที่เพื่อการออกกาลังกายขั้นพื้นฐานตามสถานศึกษาตั้งแต่ ระดับทอ้ งถ่ิน - ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการออกกาลังกายและการกีฬาขั้นพ้ืนฐาน นอกหลักสูตร สาหรับเด็กและเยาวชน เพอ่ื เพิ่มความตระหนกั ถึงความสาคญั ของการออกกาลงั กาย - พัฒนาและส่งเสริมให้มีอาสาสมัครและผู้นาในระดับเยาวชน เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ ดา้ นการออกกาลงั กายและการกีฬา - จัดตั้งเครือข่ายการกีฬาระหวา่ งชมุ ชนและสถานศึกษา พร้อมทั้งเพ่ิมบทบาทการมีส่วน ร่วมของสถาบันครอบครวั - ส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษาของทั้งในและ ต่างประเทศ 2. แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ท่ี 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกกาลังกายและมีส่วนร่วม ในกิจกรรมการกฬี า ทม่ี คี วามสอดคลอ้ งและเก่ียวข้องกบั การวจิ ยั ไดแ้ ก่ - พฒั นาและบารุงรักษาโครงสรา้ งพนื้ ฐานด้านการออกกาลงั กายและการกีฬาตัง้ แต่ระดับ ท้องถ่นิ - พัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยสาหรับการออกกาลังกายและเล่นกีฬาตามความ เหมาะสม
- ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาโครงสร้าง หนหา้ นห้า6นา้ พ้ืนฐาน ดา้ นการกฬี า 6464 - สง่ เสริมให้สถานศึกษาใหค้ วามรว่ มมนื กใช้สถานกีฬาเพื่อสาธ - ส่งเสริมให้สถานกีฬาขยายเวลาการใหบ้ ริการแก่ประชาชน - สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและส่งเสริมการดูแลรักษาสถานท่ีออกกาลังกายและส่ิง อานวยความสะดวก - เผยแพร่ความรู้เพ่ือเพ่ิมความตระหนักด้านการออกกาลังกาย การเล่นกีฬา และการ ดูแลสุขภาพใหก้ ับประชาชนทงั้ ส่วนกลางและทอ้ งถน่ิ - จัดให้มีและส่งเสริมกิจกรรมการออกกาลังกายและเล่นกีฬาอย่างต่อเน่ืองสาหรับ ประชาชนท่วั ไป - จัดกิจกรรมและสิ่งอานวยความสะดวกทม่ี ีความเหมาะสมกบั กลุม่ ประชาชนผสู้ ูงอายุ - จัดกิจกรรมและสิ่งอานวยความสะดวกท่ีมีความเหมาะสมกับกลุ่มประซาชนคนพิการ และผู้ด้อยโอกาส - รวมใจคนไทยรกั ชาติดว้ ยกจิ กรรมกีฬาเพ่ือเสรมิ สรา้ งความสามัคคี - สร้างจิตสาธารณะพร้อมทั้งจัดให้มีอาสาสมัครทางการกีฬา และผู้นาการออกกาลังกาย เพอื่ มวลชนอย่างเป็นระบบ - พฒั นาบคุ ลากรการกฬี าสาหรบั กิจกรรมการออกกาลงั กายและเลน่ กีฬาในระดับท้องถน่ิ 3. แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ท่ี 6 การยกระตับการบริหารจัดการด้านการกีฬาให้มี ประสทิ ธภิ าพ ที่มคี วามสอดคลอ้ งและเกย่ี วขอ้ งกับการวิจัย ได้แก่ - ผลักดันใหก้ ารพัฒนาการกฬี าเปน็ หนึง่ ในเปา้ หมายหลักในระดบั จังหวดั - พัฒนาระบบการลงทะเบียนนักกีฬาและชมรมกีฬาในทุกท้องถ่ินทั่วประเทศต้ังแต่ระดับ ปฐมวยั - ส่งเสริมใหม้ ีธรรมาภิบาลในการบริหารจดั การกีฬาในทุกระดบั 9.2 ร่างแผนพัฒนานนั ทนาการแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ.2560 - 2564) (กรมพลศกึ ษา, 2560) กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา มีภารกิจหลักในการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในซาติให้มีความสุขทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม เพื่อเป็นรากฐานท่ี สาคัญยิ่งในการเสริมสร้างสังคมไทยให้เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับครอบครัวชุมชน และสังคม จึงได้จัดทาแผนพัฒนา นันทนาการแหง่ ชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ขึน้ เพอื่ ใชเ้ ป็นกรอบในการกาหนดแนวทางพัฒนานันทนาการ ของชาติให้ดาเนินเป็นไปในทิศทางเดียวกันท้ังประเทศ เพ่ือให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องนาแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างมี ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลสูงสุด 9.2.1 วสิ ัยทศั น์ของแผนฯ \"คนไทยมนี ันทนาการเป็นวิถชี ีวติ \" 9.2.2 พนั ธกิจของแผนฯ
1. ส่งเสริมใหป้ ระชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคณุ ค่าและเขา้ รว่ มกจิ กรรมนนั ทนาการ หนห้านห้า6น้า จนเปน็ วิถชี ีวิต 6565 2. พัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ ได้แก่ บุคลากร แหล่งนันทนาการสถานที่ สิง่ อานวยความสะดวก เก่ียวกบั นันทนาการ ระบบการบริหารจัดการ ให้มคี ณุ ภาพและมาตรฐานสากล 3. ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการ และให้บริการองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี นนั ทนาการ แก่สงั คม 4. พัฒนาระบบบริหารจดั การนันทนาการให้ทันสมัยและมีประสทิ ธภิ าพ 5. ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมด้วยนนั ทนาการ 9.2.3 วัตถปุ ระสงค์ของแผนฯ 1. เพื่อใหป้ ระชาชนมีความรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คุณค่าของการใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ดว้ ยนันทนาการ และเข้ารว่ มกิจกรรมนันทนาการจนเปน็ วิถชี ีวิต 2. เพื่อพัฒนาทรัพยากรนันทนาการ ได้แก่ บุคลากร แหล่งนันทนาการ สถานที่ สิ่งอานวยความสะดวกเกี่ยวกับนนั ทนาการ ระบบการบริหารจดั การ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากล 3. เพ่ือส่งเสริมการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านนันทนาการตลอดจน นาไปใช้ อยา่ งแพรห่ ลาย นาไปสูก่ ารพัฒนานันทนาการอย่างยั่งยนื 4. เพ่ือพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการใหม้ ีความทันสมัย มีประสิทธิภาพสอดคล้อง กบั สถานการณ์ปจั จบุ ัน 5. เพอื่ สง่ เสริมเศรษฐกิจและสังคมด้วยนันทนาการเชงิ พาณชิ ย์ เปน็ การสร้างความม่ันคง ให้กับประเทศชาติ 9.2.4 เป้าหมายของแผนฯ 1. ประชาชน มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า และเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ เป็นประจา จนเปน็ วิถีชวี ิต 2. บุคลากรนันทนาการ ได้แก่ ผู้นา นันทนาการและนักนันทนาการอาชีพ ไดร้ บั การพัฒนา อยา่ งตอ่ เน่ือง และมกี ารผลิตบัณฑติ นันทนาการในสาขาตา่ ง ๆ เพ่มิ มากขึน้ 3. แหล่งนันทนาการ สถานที่ และสิ่งอานวยความสะดวกเก่ียวกับนันทนาการ ไดร้ ับการพฒั นา ให้ไดม้ าตรฐานสากล และมีการตรวจสอบรับรองมาตรฐานอยา่ งเปน็ ระบบ 4. มีการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรมนันทนาการ และมีการนาไปใช้อย่าง แพร่หลาย 5. การบรหิ ารจดั การนนั ทนาการมีความทันสมัยและมปี ระสทิ ธภิ าพ 5.1 มีการขับเคลื่อนนโยบายนันทนาการเป็นวาระแห่งชาติ มีคณะกรรมการ กากับนโยบาย และติดตามงานอย่างต่อเนื่อง มีองค์กรหลัก ทาหน้าที่รับผิดชอบ กากับดูแลและประสานงานการ ดาเนนิ งานนันทนาการของประเทศ
5.2 มีการสร้างและพฒั นาเครอื ข่ายการดาเนนิ งานนันทนาการ ตงั้ แตร่ ะดับพื้นท่ี หนห้านห้า6น้า ท้องถิน่ ประเทศ และนานาชาติ 6666 5.3 มีความร่วมมือในการบริหารจัดการนันทนาการ เชื่อมโยงทุกภาคส่วนท้ัง ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มีการจัดนนั ทนาการในสถานท่ตี ่าง ๆ เชน่ นนั ทนาการในชุมชน นันทนาการใน โรงเรียน นันทนาการในโรงพยาบาลและสถานสงเคราะห์ และนันทนาการในโรงงานอตุ สาหกรรม เป็นต้น 6. นนั ทนาการเชงิ พาณชิ ย์ สามารถสรา้ งเศรษฐกิจและสงั คมของชาตไิ ด้ 9.2.5 ยุทธศาสตร์ของแผนฯ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ดว้ ยการเข้ารว่ มกจิ กรรมนันทนาการจนเป็นวิถชี วี ติ ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การพฒั นาการจัดการทรัพยากรนนั ทนาการ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาการจัดการความรู้ นวัตกรรมนันทนาการ การเผยแพร่และ การนาไปใชอ้ ย่างแพรห่ ลาย ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 4 การพัฒนาการบรหิ ารจัดการนันทนาการ ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 5 การพัฒนานนั ทนาการเชิงพาณิชย์ เพอ่ื ส่งเสริมเศรษฐกจิ และสงั คม จากประเด็น 5 ยุทธศาสตร์ของแผนฯ ดังกล่าว พบว่า ยุทธศาสตร์ท่ีมีความสอดคล้องและเกี่ยวข้อง กับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ได้แก่ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมประชาชนใหเ้ ห็นคุณค่าของการใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ดว้ ยการเข้ารว่ มกิจกรรมนันทนาการจนเป็น วิถีชีวิต ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ และยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการบริหาร จัดการนันทนาการ โดยแต่ละยุทธศาสตร์มีกลยุทธ์ท่ีปรากฎให้เห็นความสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับการวิจัย มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี 1. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์ด้วยการเขา้ ร่วมกิจกรรมนันทนาการจนเป็นวิถีชวี ติ ที่มคี วามสอดคล้องและเกีย่ วขอ้ งกบั การวจิ ัย ได้แก่ - เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยนันทนาการ ใหป้ ระ ชาชนตระหนักถึงคณุ ค่าของนนั ทนาการ - ส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมท้ังบุคคลกลุ่ม พเิ ศษ ผู้ด้อยโอกาสเขา้ รว่ มกจิ กรรมนนั ทนาการ ตามความถนดั และสนใจ จนเป็นวถิ ชี ีวติ - สร้างกระแสความนิยมนันทนาการ โดยใช้สื่อและเทคโนโลยีหลากหลายเพ่ือให้ ประชาชน เขา้ ถงึ ขอ้ มูลได้โดยง่าย 2. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การพัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ ที่มีความสอดคล้อง และเก่ียวข้องกับการวิจัย ไดแ้ ก่ - พฒั นาแหล่งนนั ทนาการสมู่ าตรฐานสากล - พฒั นาระบบการบริหารจัดการสูม่ าตรฐานสากล - จดั หาแหล่งเงินทุน เพ่ือสนบั สนุนกิจการนนั ทนาการ
3. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ ที่มีความสอดคล้องและ หนห้านห้า6น้า เกย่ี วข้องกบั การวจิ ัย ไดแ้ ก่ 6767 - สร้างและพฒั นาเครือขา่ ยการดาเนินงานนันทนาการ ตงั้ แตร่ ะดบั พืน้ ท่ีท้องถิ่น ประเทศ และนานาชาติ ให้มคี วามทันสมัย ประสทิ ธภิ าพ และธรรมาภิบาล - สร้างและพัฒนากระบวนการ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ท้ังภาครัฐภาคเอกชน และประชาชน 10. สาระสาคัญของพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ .ศ.2537 ที่เกี่ยวกับ การกฬี าและนันทนาการ จากข้อมลู ของ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า (2557) สามารถแสดงให้เห็นถงึ สาระสาคัญของ พระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการ ศนู ย์กีฬาและนนั ทนาการองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล ไดด้ ังตอ่ ไปนี้ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล มาตรา 40 สภาตาบลที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณท่ีล่วงมาติดต่อกันสามปีเฉล่ีย ไมต่ ่ากว่าปีละหนึ่งแสนห้าหมนื่ บาท หรอื ตามเกณฑ์รายไดเ้ ฉยในวรรคสอง อาจจดั ตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตาบล ได้ โดยทาเป็นประกาศของกระทรวงมหาดไทยและให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในประกาศน้ันให้ระบุช่ือและ เขตขององค์การบริหารส่วนตาบลไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์รายได้เฉล่ียของสภาตาบลตามรรคหน่ึงให้ทาเป็น ประกาศของกระทรวงมหาดไทยและใหป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา มาตรา 43 องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลมฐี านะเปน็ นติ ิบคุ คลและเป็นราชการบริหารสว่ นท้องถ่นิ มาตรา 44 องค์การบริหารส่วนตาบลประกอบด้วยสภาองค์การบริหารส่วนตาบลและนายกองค์การ บรหิ ารสว่ นตาบล สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล มาตรา 46 สภาองค์การบริหารสว่ นตาบลมีอานาจหน้าที่ ดงั ต่อไปนี้ (1) ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตาบล เพ่ือเปน็ แนวทางในการบรหิ ารกิจการของ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล มาตรา 59 นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลมีอานาจหนา้ ที่ ดังตอ่ ไปน้ี (1 )กาหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการบริหารส่วนตาบลให้ เปน็ ไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพฒั นาบริหารส่วนตาบลขอ้ บัญญตั ิ ระเบยี บ และข้อบังคบั ของทางราชการ อานาจหนา้ ที่ขององค์การบริหารสว่ นตาบล มาตรา 66 องค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจหน้าที่ในการพัฒนาตาบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม มาตรา 67 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย องค์การบริหารส่วนตาบล มีหน้าที่ต้องทาในเขตองค์การ บริหารส่วนตาบล ดังตอ่ ไปนี้
(1) จดั ใหม้ แี ละบารงุ รักษาทางน้าและทางบก หนหา้ นห้า6นา้ (2) รักษาความสะอาดของถนน ทางน้า ทางเดิน และทีส่ าธารณะ รวมทง้ั กาจดั มูลฝอยและส่งิ ปฏิกูล 6868 (3) ป้องกนั โรคและระงบั โรคตดิ ตอ่ (4) ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั (5) สง่ เสรมิ การศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (6) ส่งเสรมิ การพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผสู้ ูงอายุ และผูพ้ ิการ (7) คุ้มครอง ดูแล และบารุงรักษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม (8) บารุงรักษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ และวฒั นธรรมอันดีของทอ้ งถ่ิน (9) ปฏิบัติหน้าท่ีอื่นตามท่ีทางราชการมอบหมายโดยจัดสรรงบประมาณหรือบุคลากรให้ตามความ จาเปน็ และสมควร มาตรา 68 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย องค์การบริหารส่วนตาบลอาจจัดทากิจการในเขตองค์การ บรหิ ารสว่ นตาบล ดงั ต่อไปน้ี (1) ให้มนี ้าเพอ่ื การอุปโภค บรโิ ภค และการเกษตร (2 ใหม้ แี ละบารงุ ไฟฟ้าหรอื แสงสว่างโดยวิธอี ่ืน (3) ให้มีและบารงุ รกั ษาทางระบายน้า (4) ให้มแี ละบารงุ สถานท่ีประชมุ การกฬี า การพักผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ (5) ใหม้ แี ละส่งเสรมิ กลุ่มเกษตรกรและกจิ การสหกรณ์ (6) สง่ เสริมใหม้ อี ตุ สาหกรรมในครอบครัว (7) บารงุ และส่งเสรมิ การประกอบอาชีพของราษฎร (8) การคุ้มครองดแู ลและรกั ษาทรพั ยส์ ินอันเป็นสาธารณสมบัตขิ องแผ่นดนิ (9) หาผลประโยชนจ์ ากทรัพย์สินขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบล (10) ให้มตี ลาด ทา่ เทยี บเรอื และท่าขา้ ม (11) กจิ การเกย่ี วกบั การพาณชิ ย์ (12) การท่องเทย่ี ว (13) การผงั เมอื ง รายไดแ้ ละรายจา่ ยขององค์การบริหารส่วนตาบล มาตรา 82 องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลอาจมีรายได้ ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) รายไดจ้ ากทรพั ย์สินขององค์การบรหิ ารส่วนตาบล (2) ร้ายได้จากสาธารณูปโภคขององค์การบรหิ ารสว่ นตาบล (3) ร้ายไดจ้ ากกจิ การเกย่ี วกับการพาณชิ ยข์ ององค์การบรหิ ารส่วนตาบล (4) ค่าธรรมเนียม คา่ ใบอนญุ าต และคา่ ปรบั ตามทจี่ ะมีกฎหมายกาหนดไว้ (5) เงนิ และทรัพย์สนิ อ่ืนท่มี ผี ู้อทุ ศิ ให้ (6) รายได้อื่นตามที่รฐั บาลหรือหนว่ ยงานของรัฐจดั สรรให้
(7) เงนิ อดุ หนนุ จากรฐั บาล หนหา้ นห้า6นา้ (8) รายได้อื่นตามที่จะมฎี หมายกาหนดให้เป็นขององค์การบริหารสว่ นตาบล 6969 มาตรา 84 รายได้ขององค์การบริหารส่วนตาบล ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโดยการตราเป็นพระ ราชกฤษฎีกาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 85 องค์การบริหารส่วนตาบลอาจมรี ายจ่าย ดังต่อไปน้ี (1) เงินเดอื น (2) คา่ จา้ ง (3) เงนิ ค่าตอบแทนอื่น ๆ (4) ค่าใชส้ อย (5) คา่ วัสดุ (6) ค่าครุภัณฑ์ (7) ค่าทีด่ นิ สิง่ กอ่ สรา้ ง และทรพั ย์สนิ อ่ืน ๆ (8) คา่ สาธารณูปโภค (9) เงนิ อุดหนุนหนว่ ยงานอืน่ (10) รายจ่ายอนื่ ใดตามข้อผูกพัน หรอื ตามที่มีกฎหมายหรือระเบยี บของกระทรวงมหาดไทยกาหนดไว้ การกากับดูแลองค์การบรหิ ารส่วนตาบล มาตรา 92 หากปรากฏจาานายกองค์การบริหารส่วนตาบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ประสานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล หรือรองประสานสภาองค์การบริหารส่วนตาบลกระทาการผ่าฝันต่อความ สงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ขอบด้วยอานาจหน้าท่ี ให้ นายอาเภอดาเนินการสอบสวนโดยเร็วในกรณีที่ผลการสอบสวมปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนตาบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล หรือรองประชานสภาองค์การบริหาร ส่วนตาบล มีพฤติการณ์ตามวรรคหนึ่งจริง ให้นายอาเภอเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้บุคคลดังกล่าวพันจาก ตาแหนง่ ทั้งน้ี ผูว้ ่าราชการจังหวัดอางดาเนินการสอบสวนเพมิ่ เติมดว้ ยกไ็ ด้คาส่ิงของผูว้ ่าราชการจังหวัดให้เปน็ ทส่ี ดุ 11. งานวิจัยที่เกย่ี วข้อง งานวจิ ัยภายในประเทศ จักรพันธ์ ซุบไธสง (2552) ได้ทาการวิจัย เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดาเนินงานด้านกีฬาของ เทศบาลในประเทศไทย และเปรียบเทียบปัญหาการดาเนินงานด้านกีฬาของเทศบาลในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัย คือ นายกเทศมนตรีและ พนักงานผู้รับผิดชอบด้านกีฬาของเทศบาล ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ จานวน 456 คน และใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเคร่ืองมือ จานวน 9 คน ผล การศึกษาพบว่า เทศบาลมีสภาพการ ดาเนินงานด้านกีฬาอยู่ในเกณฑ์ดีและมีปัญหาการดาเนินงานด้านกีฬาของเทศบาลอยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้ ยังมี ปัญหาการดาเนินงานด้านกีฬาในทุกด้านที่แตกต่างกันระหว่างเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตาบล แต่ อย่างไรก็ตาม เทศบาลยังมีปัญหาในด้านสถานที่วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกด้านกีฬาและการออก กาลังกายท่ีเทศบาลจะต้องปรบั ปรงุ และพฒั นาตอ่ ไป
นุชรา แสวงสุข (2552) ได้ทาการวิจัยแนวทางการจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนา เด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตปรมิ ณฑลกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจากศนู ย์ พัฒนาเด็กเล็กฯ จานวน 9 แห่งในเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็นผู้ปกครองของ เด็กเล็ก จานวน 450 คน ใช้แบบสัมภาษณ์หัวหน้าศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็กฯจานวน 9 คน และแบบสารวจสถานท่ีศนู ย์ พัฒนาเด็กเล็ก ฯ และนาข้อมูลท้ังหมดมาร่วมวิพากษ์ หาแนวทางการจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนาเด็ก เล็กฯ โดยใช้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 คนผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองมีความเห็นเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริม พัฒนาการเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด เม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของความ คิดเห็นของผู้ปกครอง จาแนกตามเพศและอายุ พบว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกด้าน เม่ือจาแนกตามระดับการศึกษา พบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ในด้านการจัดกิจกรรมที่พัฒนาด้านร่างกาย ทั้งนี้แนวทางการจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมนันทนาการเพ่ือส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็กตามความคิดเห็นของผู้ปกครอง การดาเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ในลักษณะของอาคารสถานท่ีและการจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนา เด็กเล็กฯ โดยแบ่งออกเป็น ด้านเวลา ด้านสถานที่ด้านอุปกรณ์ ด้านผู้นา ด้านผู้เข้าร่วม และด้านความปลอดภยั ใน การจัดกจิ กรรมนันทนาการ ฤตกัญญา คชรินทร์ (2557) ได้ทาการวิจัย เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการกิจกรรมนันทนาการ สาหรับประชาชนภายในบริเวณสนามกีฬาระดับอาเภอ โดยเกบ็ รวบรวมข้อมลู กับกลมุ่ ตัวอยา่ งทเี่ ปน็ ประชาชนท่ีเข้า มาใช้บรกิ ารภายในสนามกีฬาระดับอาเภอดว้ ยแบบสอบถาม และใช้แบบสัมภาษณ์แบบกงึ่ มโี ครงสรา้ งกับเจา้ หน้าที่ หนหา้ นห้า6น้า ผู้ปฏิบัติงานภายในสนามกีฬาระดับอาเภอ และจัดประชุมกลุ่มย่อยเพ่ือหาข้อสรุปแนวทางการจัดการกิจกรรม 7070 นันทนาการสาหรับประชาชนภายในบรเิ วณสนามกีฬาระดับอาเภอ ผลการวิจัยพบวา่ แนวทางการจัดการกิจกรรม นนั ทนาการภายในสนามกีฬาระดบั อาเภอใช้หลัก 5M's ได้แก่ บุคลากร การเงนิ และงบประมาณ วัสดุ อปุ กรณ์ และ สิ่งอานวยความสะดวกบริหารการจัดการ และการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพพื้นท่ี ท้ังนี้ความต้องการประกอบ กิจกรรมนันทนาการในสนามกีฬาระดับอาเภอสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กิจกรรมพัฒนาสุขภาพและสมรรถภาพ ทางกาย เกมกีฬา และกีฬาเพ่ือการแขง่ ขัน และความตอ้ งการเข้ารว่ ม 2-3 ครั้งตอ่ สปั ดาห์ มรกต สมบัติศิลป์ (2557 ได้ทาการวิจัย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความต้องการกิจกรรม นันทนาการ การออกกาลังกายและกีฬาเพ่ือสุขภาพของผู้ใช้บริการในลานกีฬา กรุงเทพมหานครระหว่างเพศและ ช่วงอายุ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้ใช้บริการลานกีฬา จานวน 400 คน โดย แบ่งเป็นเพศชาย จานวน 200 คนและเพศหญิง จานวน 200 คนผลการวิจัย พบว่า ความต้องการด้านอุปกรณ์ อยู่ในระดับ มากท่ีสุดทุกประเด็น ความต้องการด้านกิจกรรม อยู่ในระดับ มากที่สุด ยกเว้นรายข้อการจัดการ แข่งขันกีฬาแต่ละชนิดท่ีผู้ใช้บริการสนใจและความสม่าเสมอของการจัดกิจกรรมภายในลานกีฬา อยู่ในระดับ มาก ความต้องการด้านสิ่งอานวยความสะดวก อยู่ในระดับ มาก ยกเว้นรายข้อ จานวนส่ิงอานวยความสะดวก อยู่ ในระดับ มากที่สุดความต้องการด้านสถานท่ี ด้านการบริหารจัดการ และด้านบุคลากร อยู่ในระดับ มากทุก ประเด็นโดยท่ีเพศชายและเพศหญิงมีความต้องการกิจกรรมนันทนาการ การออกกาลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพไม่ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ผู้ใช้บริการท่ีมีช่วงอายุแตกต่างกันมีความต้องการกิจกรรม
นันทนาการ การออกกาลังกายและกีฬาเพ่ือสุขภาพ แตกต่างกัน ในด้านสถานทีก่ ิจกรรม การบริหารจัดการและสิง่ อานวยความสะดวก อย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.05 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ Finch et al. (2009) ได้ศึกษาถึงนโยบายความปลอดภัยและแนวปฏิบัติของส่ิงอานวยความ สะดวกอเนกประสงคด์ า้ นนันทนาการในชมุ ชน โดยศกึ ษาในพ้ืนทน่ี อกการสารวจความปลอดภัยของสิ่งอานวยความ สะดวกด้านนันทนาการอเนกประสงค์ ผู้จัดการและเจ้าหนา้ ท่ีจากส่พี ื้นท่ีในรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้ มีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่ามาตรการป้องกันการบาดเจ็บส่วนใหญ่จาเป็นต้อง ใช้กับเจ้าหน้าที่หรือผู้ใช้โรงยิมและสระว่ายน้าเพื่อเปล่ียนพฤติกรรมของพวกเขา ความตระหนักถึงมาตรฐานความ ปลอดภัยจะสูงข้ึนสาหรับบางพื้นที่ เช่น กีฬาทางน้า สถานดูแลเด็ก และจะสูงกว่า เช่น ห้องยิม ห้องกิจกรรมออก กาลังกายแบบกลุ่ม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักเช่ือในการโฆษณาและแหล่งข้อมูลของผู้ผลิตมากกว่าการฝึกปฏิบัติท่ีดี ปจั จัยทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ การรายงานความปลอดภัยในพื้นทน่ี อกการสารวจ แบ่งออกเป็นสามประเภท คือ 1.ปัจจัยภายใน เช่นการฝึกอบรม วัฒนธรรม 2.ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การ เปลีย่ นแปลงทางด้านประชากรศาสตร์ และ3.ปจั จัยดา้ นการกากบั ดูแล เช่น ประกนั ภยั มาตรฐานอุตสาหกรรมสรุป ได้ว่า ความสามารถในการเข้าถึงมาตรฐานความปลอดภัยอุตสาหกรรมน้ัน เท่าเทียมกันบนพื้นฐานของหลักการ สง่ เสรมิ สุขภาพและมมุ มองดา้ นสุขภาพของประชาชนที่เช่ือมโยงกับการป้องกันการบาดเจบ็ การไดร้ บั การฝึกอบรม เป็นส่ิงจาเป็นท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของสุขภาพ/การบาดเจ็บ สมรรถภาพกาย/นันทนาการ และการ เชื่อมโยงระบบการประกันภัยควรมีการปรับปรุงเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องแนวทางการพัฒนาความปลอดภัยอย่าง หนห้านห้า6น้า ย่ังยืน 7171 Grieve and sherry (2012) ได้ศึกษาถึงผลประโยชน์ชุมชนจากส่ิงอานวยความสะดวกหลัก ทางดา้ นกีฬา กรณีศึกษาศูนย์กีฬานานาชาติดาเรบิน โดยมวี ตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย คอื การตรวจสอบ ผลประโยชน์ ที่ชุมชนได้รับจากการพัฒนาสิ่งอานวยความสะดวกทางการกีฬาแห่งใหม่ กรณีศึกษาศูนย์กีฬานานาชาติดาเรบิน เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และตรวจสอบการรับรู้ของชุมชนเพ่ือแสดงให้เห็นว่าสถานท่ีเหล่านั้นนาผลประโยชน์มาให้ ชุมชน โดยการสัมภาษณ์ ท้ังผู้ใช้และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากการสร้างศูนย์กีฬา ข้อมูลท่ีได้นามาวิเคราะห์ในเชิง คุณภาพ ระบุเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและเขียนเป็นแนวคิดเพื่อระบุรูปแบบท่ีได้รับอิทธิพล อย่างผลกระทบทาง สังคมและจิตใจ ผลกระทบต่อทัศนวิสัยและภาพลักษณ์ของชุมชน และผลกระทบต่อการพัฒนาและการเมืองใน ชุมชน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าจากมุมมองของผู้ใช้บริการน้ัน ศูนย์กีฬาให้ผลประโยชน์ท่ีไม่เน้นทางด้าน เศรษฐกจิ อยู่หลายประการ เช่น สามารถเข้าถึงได้ สร้างการมีส่วนรว่ มและประสบความสาเรจ็ ผู้ใชส้ ่วนใหญ่ยังระบุ ว่าการพัฒนาข้ึนของศูนย์กีฬาได้ส่งผลในเชิงบวกเก่ียวกับความสามารถทางกีฬาของพวกเขารวมท้ังการกีฬาใน ชุมชน และประสบการณก์ ารเล่นกีฬาดว้ ย Misener and Doherty (2013) ได้ทาการศึกษาถึงความเข้าใจเก่ียวกับปริมาณท่ีสามารถรับได้ ผ่านกระบวนการและผลลัพธ์ของความสมั พันธ์ระหวา่ งองค์กรในองค์กรกีฬาชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไร การมีส่วน ร่วมในความสัมพันธ์กับองค์กรอื่นๆ เป็นวิธีหนึ่งของชุมชนที่ไม่แสวงหากาไร ซ่ึงในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง องค์กรนน้ั เปน็ หนทางหนึง่ ในการทจ่ี ะได้รบั ทรัพยากรทจี่ าเป็น องค์ความรู้และประโยชน์ในเชงิ สังคมอน่ื 1 ในขณะท่ี
กาลังดาเนินการเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์สาธารณะที่สาคัญรวมท้ังการสร้างความแน่นแฟ้นต่อกันขององค์กรกีฬา ชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไร โดยการศึกษาครั้งนี้จกระบวนการและผลลัพธ์ ของความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างองค์กร ภายในองค์กรกีฬาชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไร โดยอาศัยการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ผู้บรหิ ารสงู สดุ ขององค์กร จานวน 20 คน ผลการวิจัย พบวา่ ความสัมพนั ธ์ของกระบวนการทส่ี าคญั อนั รวมถึงความ ไว้วางใจ ความสอดคล้อง ความสมดุล และการมีส่วนร่วม ซ่ึงนับว่าเป็นทักษะในการบริหารจัดการที่มีค วาม เฉพาะเจาะจง นอกจากนย้ี งั พบวา่ ความสัมพันธ์นั้นสง่ ผลกระทบต่อองค์กรกีฬาชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไรผ่านการ อนุมัตใิ หม้ ีการปรับปรุงโปรแกรม คณุ ภาพการให้บรกิ าร และการดาเนินงาน รวมทงั้ เสริมสรา้ งสถานภาพของชุมชน อกี ดว้ ย Carmichael and Mccole (2014) ได้ทาการศึกษาถึงความเข้าใจเก่ียวกับแรงจูงใจของพันธมิตร ท่ีมีศักยภาพในการพัฒนาศูนย์นันทนาการสาธารณะกลางแจ้ง ในเขตชุมชนเมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทาความ เข้าใจมากข้ึนเรื่องแรงจูงใจขององค์กรต่างๆ ในการสรา้ งความรว่ มมือในเร่ืองของการพฒั นาและการปฏิบตั ิงานของ ศูนย์นันทนาการกลางแจ้งของสานักงานว่าการรัฐมิชิแกนผ่านการศึกษาทฤษฎีความคาดหวังและทฤษฎีการ แลกเปลี่ยนทางสังคม โดยอาศัยการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างกับผู้สนับสนุนหลักท่ีมีศักยภาพหลายแห่ง ผลการศกึ ษาพบว่า ผลประโยชน์ทค่ี าดหวงั กันอย่างแพร่หลายของการใหค้ วามรว่ มมือ คือ การปรากฏของสถานท่ีที่ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอย่างมีความหลากหลาย โดยประชากรในเมืองเป็นผู้ควบคุมรายการกิจกรรมกลางแจ้งตา่ ง ๆ นอกจากนี้รูปแบบท่ีเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ที่คาดหวังไว้มาจาก (รวมท้ังเงินสมทบ) ความร่วมมือตามประเภทของ แต่ละองค์กรท่ีให้สัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึก ด้านแรงจูงใจในองค์กรท่ีจะมีการทางานร่วมกันบนพ้ืนฐานของทั้งสอง หนหา้ นห้า6นา้ กรอบทฤษฎีน้ัน ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการพักผ่อนหย่อนใจสามารถสร้างเกณฑ์การคัดเลือกที่เหมาะสมกับ 7272 พันธมิตรและสร้างกลยุทธ์ในการมีส่วนร่วมของพวกเขาในโครงการความร่วมมือเพ่ือเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับ กจิ กรรมกลางแจ้ง จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ในการศึกษาวิจัยเพ่ือให้เกิดการพัฒนา รูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมของ ประเทศ ที่กาลังประสบกับปัญหาด้านสุขภาพทางร่างกายและจิตใจด้วยสภาวการณ์ของโลกยุคปัจจุบันที่มีความ เจริญกา้ วหนา้ ส่งผลให้ประชาชนก้าวตามอยา่ งไม่มคี วามระมดั ระวงั เท่าท่ีควร จึงจาเป็นที่จะตอ้ งอาศัยกระบวนการ และเคร่ืองมือด้านการบริหารจัดการร่วมกับเน้ือหาทางด้านการกีฬาเพ่ือมวลชนและนันทนาการ ประกอบกับการ ดาเนินการให้บริการสาธารณะของหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่น ท่ีมีความใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชน เพ่ือเป็น การส่งเสริมสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ จนสามารถดารงสุขภาพทางจิตใจอย่าง แจ่มใส ภายใต้สภาพรา่ งกายอย่างสมบรู ณ์ แข็งแรง กอ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาบุคลากรของประเทศชาติตอ่ ไป กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย การศกึ ษาวจิ ัยเพื่อให้เกิดการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล น้นั ผ้วู จิ ยั ทาการศกึ ษาหลักการ แนวคดิ และทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ ง โดยมีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกบั การพัฒนารปู แบบของ Willer (1986) และการตรวจสอบรูปแบบของEisner (1976) 2. แนวคิดเกย่ี วกบั การจัดการ อนั ประกอบไปดว้ ย
2.1 แนวคิดเก่ียวกับการจัดการองค์กร ในส่วนของทฤษฎีเชิงระบบ (Systems Theory) ของ (Chelladurai, 2009; Daft, 2010) และแนวคิดการจัดการสโมสรกีฬา (Sports Club Management) ของ Robinson (2010) 2.2 แนวคิดเกย่ี วกบั ทรัพยากรในการจดั การ ในส่วนของ Human, Financial, Material, Information, Technology and Contexts (Chelladurai, 2009; Daft, 20 10; สมคิด บางโม, 2552) 2.3 แนวคิดเก่ียวกับกระบวนการจัดการ ในส่วนของ Planning, Organizing, Leading, Controlling and Evaluating) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010; Deming, 2000; Fayol, 1949; Gulick & Urwick, 1937) 3. แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด ในส่วนของแนวคิด (4C) ของ Lauterborn (1990) และ แนวคดิ เกยี่ วกับความพงึ พอใจ ของ Maslow (1970) และ Kotler (1997) 4. แนวคิดเก่ียวกับปัจจัยภายในองค์กร (The 7-S Framework) ของ Mckinsey (2016) และแนวคิด เกย่ี วกับปัจจยั ภายนอกองค์กร (PEST Analysis) ของ Aguilar (1967) 5. แนวคิดเกยี่ วกับธรรมาภบิ าล (Good Governance) ของ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (2552) 6. แนวคิดเกี่ยวกับการกีฬา ในส่วนของการกีฬาเพื่อมวลชน (Sport for all ของInternational Olympic Committee (2014) และแผนพฒั นาการกีฬาแห่งชาติ ฉบบั ที่ 6 (พ.ศ.2560 - 2564) (กระทรวงการท่องเที่ยวและ หนห้านหา้6น้า กีฬา, 2560) 7. แนวคิดเกี่ยวกับการนันทนาการ ของ สมบัติ กาญจนกิจ (2557) และ เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย (2556) 7373 รวมถึงการจัดโปรแกรมนันทนาการ (Leisure Programming) ของ Edginton et al. (1989) และร่างแผนพัฒนา นันทนาการแห่งชาติ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ.2560 - 2564) (กรมพลศกึ ษา, 2560) จากแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยดังกล่าวข้างต้น สามารถนามาประยุกต์ให้เป็นกรอบ แนวคิดในศึกษาวิจัย เพื่อให้เกิดการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปแบบของแผนภูมิภาพกรอบแนวคิดในการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬา และนนั ทนาการองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล ได้ดังรปู ภาพท่ี 3
แนวคดิ เกยี่ วกับการพฒั นารูปแบบ แนวคดิ เกย่ี วกบั ปจั จยั ภายในองคก์ ร 1.การพัฒนารูปแบบ (Willer,1986 กีฬาและนนั ทนาการ 2.การตรวจสอบรปู แบบ (Eisner,1976) (The -75 Framework) (Mckinsey, 2016) แนวคดิ เก่ยี วกบั องค์กรและการจดั การ แนวคิดเกี่ยวกบั ปัจจัยภายนอกองคก์ ร รปู แบบ หนห้านห้า6น้า 1.การจัดการองคก์ รการกีฬาและ กีฬาและนันทนาการ การจดั การ 7474 นันทนาการ (PEST Analysis) (Aguilar, 1967) ศนู ย์กีฬา (Systems Theory) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010) แนวคดิ เกย่ี วกับธรรมาภิบาลเพ่อื การ และ (Sports Club Management) จัดการองค์กรกีฬาและนนั ทนาการ นันทนาการ (Robinson, 2010) (Good Governance) องค์การ 2. ทรัพยากรในการจัดการองค์กรการ (สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบ กีฬาและนนั ทนาการ ราชการ (ก.พ.ร.), 2552) บรหิ าร (Human, Financial, Material, สว่ นตาบล Information, Technology and แนวคิดเกี่ยวกับการกีฬา Contexts) (Sport for all) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010; สมคิด บางโม, 2552) (Intemnational Olympic Comnmittee, 2014) 3. กระบวนการจัดการเพ่อื การ บริการดา้ นกีฬาและนันทนาการ แนวคิดเกีย่ วกบั การนันทนาการ (Planning, Organizing, (Edginton et al,, 1989; เทพประสิทธิ์ Leading, Controlling and กลุ ธวชั วิชัย, 2556; สมบัติ กาญจนกิจ, 2557) Evaluating) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010; แผนแมบ่ ทของประเทดา้ นการ Deming, 2000; Fayol, 1949; พัฒนาชาติ กฬี า และนันทนาการ Gulick & Urwick, 1937) 1.ร่างยทุ ธศาสตร์ชาตริ ะยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560- 2579),2560 (สานกั งานคณะกรรมการ แนวคดิ เกยี่ วกับส่วนประสมทาง เศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ,2560) การตลาดและความพงึ พอใจในการ 2.แผนพฒั นาการกีฬาแห่งชาติ ฉบบั ที่ 6 ใหบ้ ริการดา้ นการกฬี าและนนั ทนาการ (พ.ศ. 2560-2564) 1. (4C) (Lauterborn, 1990) (กระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและกฬี า, 2560) 2. ความพงึ พอใจ 3.แผนพัฒนานนั ทนาการแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 3 (Kotler, 1997; Maslow, 1970) (พ.ศ. 2560-2564) (กรมพลศึกษา,2560) พรบ.สภาตาบลและองค์การบริหารสว่ นตาบล พ.ศ. 2537 (สานักงานคณะกรรมการบกาทรทกฎ่ี 3ษฎกี า,2557) รปู ภาพท่ี 3 กรอบแนวคิดในการวิจัย เร่ือง การพฒั นารูปแบบการจดั การศนู ย์กีฬาและ นันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล
วิธดี าเนนิ การวจิ ยั การศกึ ษาวจิ ัยเรื่อง การพฒั นารูปแบบการจดั การศนู ย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ใช้วิธีดาเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods) ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ (Quantitative Research) โดยมรี ายละเอียดแบ่งเปน็ 4 ข้นั ตอน ตามลาดับ ดังต่อไปนี้ ข้ันตอนที่ 1 วิเคราะห์ สังเคราะห์ แนวคิดและทฤษฎี เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัยใน การพัฒนารปู แบบการจัดการศูนย์กฬี าและนันทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ในขน้ั ตอนที่ 1 ผวู้ ิจยั ทาการ ศกึ ษา ค้นควา้ วเิ คราะห์ และสงั เคราะห์ แนวคดิ ทฤษฎีข้อเท็จจริง และ ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง จากแหล่งข้อมูลท่ีเป็นสื่อส่ิงพิมพ์ ท้ังเอกสารและงานวิจัย และจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ท้ังของ ประเทศไทยและของต่างประเทศ เพ่ือเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัยในการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์ กฬี าและนนั ทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ผู้วิจัยทาการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า หนหา้ นห้า6น้า (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006; ชาย โพธิสิตา, 2556) ซึ่งในการ 7575 วิเคราะห์ข้อมูลท่เี ก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวจิ ัยในข้ันตอนท่ี 1 นนั้ ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคือ ข้อมูลประเภทเดียวกัน ท่ีเก็บรวบรวมได้จากแหล่งที่มีความแตกต่างกันน้ัน มี ผลสรปุ ทมี่ ีความเหมือนหรอื แตกต่าง หรอื ยนื ยนั หรือขัดแยง้ กนั หรือไม่ อยา่ งไร จากนั้น ผู้วิจัยนาองค์ประกอบและปัจจัยท่ีได้จากการสังเคราะห์ ไปร่างกรอบแนวคิดในการวิจยั และ นาร่างกรอบแนวคิดในการวิจัย ไปปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาหลักและอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม เพื่อปรับปรุงพัฒนาให้ เปน็ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั (Conceptual Framework) ทส่ี มบูรณเ์ พอื่ ใชใ้ นการศึกษาวิจัยครัง้ น้ี เม่ือผู้วิจัยมีกรอบแนวคิดในการวิจัยแล้ว จึงดาเนินการศึกษาในข้ันตอนต่อไป โดยให้ความสาคัญกับ การศึกษาสภาพ ปญั หา พฤตกิ รรมการใช้บรกิ ารและความต้องการทเี่ กย่ี วข้องกบั การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์ กฬี าและนันทนาการองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ขั้นตอนท่ี 2 ศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการที่เก่ียวข้องกับการ พัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล เพื่อกาหนดร่างรูปแบบการ จัดการศนู ยก์ ีฬาและนันทนาการองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ในข้ันตอนท่ี 2 ผู้วิจัยทาการศึกษาวิจัยในส่วนของสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความ ต้องการที่เกี่ยวข้องกับการพฒั นารปู แบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล โดยใช้การ วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และทาการศึกษา วจิ ยั ในพ้นื ที่ 4 ภูมิภาคของประเทศไทย เพือ่ นาขอ้ มลู ท่ีได้จากการศึกษาในข้นั ตอนนี้ มากาหนดเปน็ ร่างรูปแบบการ จดั การศูนย์กฬี าและนันทนาการองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล ซง่ึ มรี ายละเอยี ดการดาเนนิ การวิจัย ดังตอ่ ไปน้ี
2.1 การวิจัยเชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) เพอ่ื ศึกษาสภาพและปญั หาในการดาเนินงาน ขององค์การบริหารส่วนตาบลเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน โดยมี รายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี 2.1.1 ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ในการศึกษาสภาพและปัญหาในการดาเนินงานของ องค์การบริหารส่วนตาบล เก่ียวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น คือ ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย (Stakeholders) ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหาร ส่วนตาบล (อบต.) และอยู่ในพ้ืนท่ีการดาเนินงานของ อบต. จานวน 5 ประเภท ซ่ึงมีคุณลักษณะและคุณสมบัติ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1.1.1 ผู้บริหาร อบต. อันได้แก่ ปล้ด อบต. หรือ นายก อบต. ท่ีมีประสบการณ์ในการ ดาเนินงานด้านการส่งเสริมการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น และดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่ง มาแล้ว ไมน่ ้อยกว่า 2 ปี'N UNIVERSITY 2.1.1.2 เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานใน อบต. ท่ีมีประสบการณ์ในการดาเนินงานด้านการ สง่ เสริมการกีฬาและนันทนาการในชมุ ชนท้องถิ่น และปฏิบตั หิ นา้ ทใ่ี น อบต. มาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ 2 ปี 2.1.1.3 ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเขต อบต. ซ่ึงเป็นผู้ที่ออกกาลังกาย เล่นกีฬา หรือ ประกอบกิจกรรมนันทนาการภายในบริเวณพื้นท่ีของ อบต. และมีภูมิลาเนาอยู่ในบริเวณพื้นที่ ของ อบต.ไม่น้อย กว่า 2 ปี 2.1.1.4 เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ภายในพ้ืนท่ี อบต. หนหา้ นห้า6นา้ ที่เก่ียวข้องกับกีฬาและนันทนาการ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล โรงเรียน และผู้ประกอบการเอกชนท่ี 7676 เกี่ยวข้อง ซ่ึงเป็นผู้ที่ดาเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานเป็นหลัก แต่มีการดาเนินงานสนับสนุน ส่งเสริมด้านการ กีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ินตามวาระโอกาสและปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานที่ต้ังอยู่ในบริเวณพ้ืนที่ อบต. มาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ 2 ปี 2.1.1.5 ผู้เป็นสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนในพ้ืนที่ อบต. ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและ นันทนาการ เช่น ชมรมออกกาลังกาย และขมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การกฬี าและนนั ทนาการของเครื่อข่ายเปน็ ประจา และมีสถานะของสมาชิกภาพมาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ปี 2.1.2 ผ้วู ิจยั เลอื กพ้ืนทีใ่ นการเกบ็ ขอ้ มลู โดยอาศยั หลกั เกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1.2.1 เลือกจาก อบต. ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการกีฬา และนันทนาการในชุมชน จานวน 2 แห่ง จาก 4 ภูมิภาคของประเทศไทย โดย อบต. ที่เป็นตัวอย่างท่ีดี หมายถึง อบต. ท่มี ผี ลการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการในเชงิ ประจักษ์ หรอื ไดร้ ับการรับรองหรือรางวัล จากกจิ กรรม หรือโครงการด้านการส่งเสรมิ กีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวด การ จดั การแข่งขนั การยกย่องเชิดชูเกยี รติ ฯลฯ (ในท่นี ีเ้ รยี กแทน อบต. ประเภทนี้วา่ อบต. ประเภท ก.) 2.1.2.2 เลือกจาก อบต. ท่ีไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการ กีฬาและนันทนาการในชุมชน จานวน 2 แห่ง จากอีก 2 ภูมิภาคท่ีเหลือ โดย อบต. ท่ีไม่มีศักยภาพเพียงพอ หมายถงึ อบต. ท่ีไมม่ ผี ลการดาเนนิ งานดา้ นกฬี าและนันทนาการในเชิงประจกั ษแ์ ละไม่เคยสง่ ผลงานเข้าร่วม เพ่อื ให้
ได้มาซึ่งการรับรองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐ ระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวด การจัดการแข่งขัน การยกย่องเชิดชูเกียรติ ฯลฯ (ในที่น้ีเรียกแทน อบต. ประเภทน้ีว่า อบต. ประเภท ข.) โดยในแต่ละพ้ืนที่ อบต. จานวนท้ังหมด 4 แห่งน้ัน ผู้วิจัยทาการเลือกผู้ให้ข้อมูล หลักด้วยการเริ่มต้นเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักประเภท ผู้บริหาร อบต. ก่อน ซ่ึงผู้วิจัยสามารถระบุตัวบุคคลได้ ด้วยตาแหน่งของโครงสร้างองค์กรของ อบต. จากนั้นจึงสอบถามผู้บริหาร อบต. ท่ีได้ทาการเก็บข้อมูล โดยข้ีแจง คุณลักษณะและคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูลหลักประเภทอ่ืนท่ีได้กาหนดไว้แล้ว เพ่ือให้ได้มาซ่ึงการแนะนาและ เชื่อมโยงไปสู่การระบุตัวบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลักในประเภทอ่ืนท่ีเหลือ ดังน้ัน ทาให้ได้จานวน อบต. รวมทั้งหมด 4 แห่ง แต่ละแห่งผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักที่มีคุณลักษณะและคุณสมบัติดังที่ระบุไว้ข้างต้น 5 ประเภท จานวน ประเภทละ 1 คน ทาใหไ้ ดจ้ านวนผู้ให้ขอ้ มลู หลกั จากท้ัง 4 ภูมภิ าค รวมทง้ั ส้นิ เท่ากับ 20 คน 2.1.3 ผู้วิจัยใช้วิธกี ารเก็บข้อมูล ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูล หลักท่ีผูว้ ิจยั ได้ทาการเลือกดว้ ยคุณลักษณะและคุณสมบัตดิ ังกล่าวข้างตัน รวมทัง้ สนิ้ จานวน20 คน 2.1.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 2.1.4.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของผ้ใู ห้ข้อมูลหลักหรอื ผู้ให้ข้อมลู หลักโดยตรง โดยมีหนังสือราชการขอความอนุเคราะห์เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัย จากคณะวิทยาศาสตร์การ กีฬา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เพอ่ื ขออนุญาตสัมภาษณ์เชงิ ลึก (In - depth Interview) 2.1.4.2 ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ด้วยตนเอง รวมทั้งทาการ บันทึกเสียงการสัมภาษณ์ และจดบันทึกประเด็นหลักที่ได้จากการสัมภาษณ์ โดยอาศัยกรอบแนวคิดในการวิจัย หนหา้ นห้า6น้า ซง่ึ มีรายละเอยี ดการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ี 7777 2.1.4.2.1 อบต. ประเภท ก. แห่งที่ 1 เกบ็ รวบรวมข้อมูล ณ ท่ีทาการองค์การบรหิ ารสว่ น ตาบลนาตาล อาเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 เวลา ระหวา่ ง 09.00 - 12.00 น. 2.1.4.2.2 อบต. ท่ีประเภท ก. แห่งท่ี 2 เก็บรวบรวมข้อมูล ณ ท่ีทาการองค์การบริหาร ส่วนตาบลบ้านหลุม อาเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย (ภาคเหนือ) เมื่อวันท่ี 11 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 09.00 - 12.00 น. 2 1.4.2.3 อบต. ประเภท ข. แหง่ ท่ี 1 เกบ็ รวบรวมข้อมลู ณ ทีท่ าการองค์การบรหิ ารสว่ น ตาบลกาแพงแสน อาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม (ภาคกลาง) เม่ือวันที่ 12 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 09.00 - 12.00 น. 2.1.4.2.4 อบต. ประเภท ข. แห่งท่ี 2 เก็บรวบรวมข้อมลู ณ ทที่ าการองคก์ ารบริหารส่วน ตาบลศรีวิชัย อาเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) เม่ือวันท่ี 18 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 09.00 - 12.00 น. 2.1.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและการตรวจสอบความนา่ เช่ือถอื ของผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
2.1.5.1 ข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) ผวู้ ิจยั ทาการถอดความจาก เคร่ืองบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักการของ (เบญจา ยอดดาเนิน-แอ็ตติกจ์ และ กาญจนา ตงั้ ชลทพิ ย์, 2552) ดงั นี้ 2.1.5.1.1 อ่านและจับประเด็น คือ อ่านข้อมูลดิบอย่างละเอียด จนกระท่ังเข้าใจและจับ ประเด็นหลกั ๆ ได้ 2.1.5.1.2 เปลย่ี นประเด็นเปน็ รหสั คือ เปลีย่ นประเด็นหลักเทา่ น้ันให้เปน็ รหัส (หรอื สาระ โดยสรุปของแต่ละขอ้ ความ) ไว้ทา้ ยข้อความ 2.1.5.1.3 จัดกลุ่มข้อมูล คือ แยกแยะจัดกลุ่มข้อมูล รวมท้ังเชื่อมโยงข้อมูลท่ีสามารถจับ กลุม่ สาระ (ความหมาย) หรอื แนวคดิ (Concept) ได้ 2.1.5.1.4 เชื่อมโยงแนวคิด คือ เช่ือมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อหาแบบแผน ความสมั พนั ธ/์ แนวเรอ่ื ง (Theme) หรือปรากฏการณท์ ่ีเกดิ ข้ึน 2.1.5.1.5 ขยายความเช่ือมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเชือ่ มโยงเพื่อใหเ้ หน็ ภาพรวม ของเรื่องหรอื ปรากฏการณท์ ่ศี ึกษา 2.1.5.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของแบบแผน ความสมั พันธ์/ปรากฏการณเ์ หลา่ นั้น หาความหมาย 2.1.5.1.7 หาข้อสรปุ คอื หาขอ้ สรปุ ท่ีเป็นสาระหลักของผลการวเิ คราะหต์ ีความ และการ หนหา้ นห้า6นา้ 2.1.5.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ตามหลักการ 7878 ของ Crabtree and Miller (1999) โดยทาการอ่านจับประเด็น จับใจความเพื่อให้ได้เน้ือหา (ความหมาย) จัดกลุ่ม ความหมาย หาแบบแผน เช่ือมโยงแบบแผนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพิ่มเติม จนแสดง ความสมั พันธ์ และตอบคาถามวจิ ยั ได้ชดั เจน และทาการนาเสนอขอ้ มลู ในรปู แบบความเรยี ง 2.1.5.3 ผู้วจิ ัยทาการตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของผลการวิเคราะห์ข้อมลู ด้วยวิธกี ารตรวจสอบแบบ สามเส้า(Triangulation)โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006; ชายโพธิสิตา,2556)ซ่ึงใน การวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในข้ันตอนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ผู้วิจัยได้ทาการ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล(Data Triangulation)กล่าวคือ ขอ้ มูลประเภทเดียวกันที่เก็บรวบรวมได้จากบุคคล สถานท่แี ละเวลาท่ีแตกตา่ งกันนนั้ มผี ลสรุปทีม่ คี วามเหมือนหรือ แตกตา่ งหรือยนื ยนั หรอื ขดั แยง้ กนั หรือไม่ อยา่ งไร 2.2 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการและ ความต้องการของประชาชนในการได้รับบริการเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชน ทอ้ งถนิ่ จากองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล โดยมีรายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.2.1 นาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสภาพและปัญหา ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) มาวิเคราะห์ร่วมกับการปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษา เพื่อจัดกลุ่มข้อมูลที่ได้จากการศึกษาตาม
กรอบแนวคิดในการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีด้านทรัพยากรในการบริหารจัดการส่วนประสมทางการตลาด กระบวนการบรหิ ารจัดการ และธรรมาภบิ าล จากนั้นนาข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ไปใช้ในการพัฒนาสร้างเครื่องมือเป็นแบบสอบถามความ ต้องการของประชาชนในการได้รับบริการเก่ียวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในขุมชนท้องถิ่น ให้มีความสอดคล้องกับสภาพและปัญหาท่ีเกิดขึ้นจรงิ ตามข้อมูลที่ได้ทาการเก็บรวบรวมมาจากการวจิ ัยเชิงคุณภาพ ในเบื้องต้น 2.2.2 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2.2.2.1 ประชากร (Population)ประชากรท่ใี ชใ้ นการศึกษาความต้องการ คอื ประชาชน ที่อาศัยในเขตพ้ืนท่ี อบต. ท่ัวประเทศไทย ซ่ึงนับว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล (อบต) โดยตรงจาก อบต. ท่ัวประเทศไทย จานวน 5,334 แห่ง รวมท้ังส้ินจานวน 34,427,300 คน (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ินและ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น, 2560) 2.2.2.2 กลุ่มตัวอย่าง (Sample)จากประชากรที่อาศัยในเขต อบต. ท่ัวประเทศไทย จานวน 5,335 แหง่ รวมท้งั สน้ิ จานวน 34,427,300 คน ผวู้ ิจัยกาหนดขนาดของกลุ่มตวั อย่าง เพอื่ ทาการเก็บข้อมูล เชงิ ปริมาณ ดงั นี้ 2.2.2.2.1 ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) การได้มาซึ่งขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ เหมาะสมกับการวิจัย ผู้วิจัยอาศัยการได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่างตามตารางสาเร็จรูป กาหนดขนาดตัวอย่าง ของ หนหา้ นห้า6นา้ Yamane (1973) ท่ีระดบั ความเช่ือม่นั ร้อยละ 99 ซึ่งพบว่า จานวนกลุม่ ตวั อยา่ งอย่างน้อยที่สุดตามตารางสาเร็จรูป 7979 กาหนดขนาดตัวอย่าง เท่ากับ 900 คน ทั้งน้ี ผู้วิจัยต้องการ ให้การศึกษาวิจัยคร้ังนี้มีความสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ ยิ่งข้ึน จึงกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างให้มีจานวนมากขึ้นและมีความใกล้เคียงกับจานวนตัวอย่างที่ได้จากตาราง สาเร็จรูปกาหนดขนาดตัวอย่างดังนั้น ผู้วิจัยจึงกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างสาหรับการวิจัยคร้ังน้ี เป็นจานวน อยา่ งนอ้ ยทีส่ ดุ 1,000 คน 2.2.2.2.2 การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง (Sampling) ผู้วิจัยกาหนดการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ด้วยวิธกี ารสุ่มแบบหลายขัน้ ตอน (Multi - Stage Sampling) ดังตอ่ ไปน้ี 2.2.2.2.2.1 ผู้วิจัยกาหนดพ้ืนท่ีในการดาเนินการวิจัยโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) โดยผู้วิจัยเป็นผู้กาหนดจานวนตัวอย่างในแต่ละชั้น ทาให้การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัย กาหนดตัวอย่างในชั้นภูมิภาคเป็น 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นทาการกาหนดตัวอย่างในช้ันจังหวัดเป็น 5 จังหวัดในแต่ละภูมิภาค จากนั้นทาการกาหนดตัวอย่างในชั้น อาเภอเป็น 2 อาเภอในแต่ละจังหวัดและกาหนดตัวอย่างในชั้นของ อบต. ออกเป็น 2 แห่งในแต่ละอาเภอ ดังนั้น จะทาให้ได้กลุ่มตัวอย่าง อบตจากท้ัง 4 ภูมิภาคของประเทศไทย จานวนทั้งส้ิน (4 ภาค x 5 จังหวัด x 2 อาเภอ x อบต. 2 แหง่ )เท่ากับ 80 แหง่ 2.2.2.2.2.2 ผูว้ จิ ัยทาการสุม่ กล่มุ ตวั อย่าง อบต. ในแตล่ ะ ภูมภิ าค ดว้ ยวิธกี ารสมุ่ อย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลาก โดยเร่ิมจากทาการสุ่มจังหวัดให้ครบ 5 จังหวัดในแต่
ละภาค จากนั้นทาการสุ่มอาเภอให้ครบ 2 อาเภอในแต่ละจังหวัด แล้วจึงทาการสุ่ม อบต. ให้ครบ 2 แห่งในแต่ละ อาเภอ ดังน้ัน จะทาให้ได้กลุ่มตัวอย่าง อบต.จากท้ัง 4 ภูมิภาคของประเทศไทย จานวนท้ังสิ้น (4 ภาค x 5 จังหวัด x 2 อาเภอ x อบต. 2 แห่ง) เท่ากับ 80 แหง่ 2.2.2.2.2.3. ผู้วิจัยทาการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เพ่ือเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นประชาชนผู้รับบริการด้านกีฬาและ นันทนาการในพ้ืนท่ี อบต. โดยใช้วิธีการเกบ็ ขอ้ มูลกับตัวอย่างทกุ ๆ คนท่ี 5 ทีผ่ ู้วิจัยได้พบ กลา่ วคือ ทาการเกบ็ ขอ้ มูลจากตวั อย่าง 1 คน เว้น 4 คน แล้วจึงทาการเก็บข้อมูลอีกครั้งกับตัวอย่างคนที่ 5 จนสามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจาก อบต. ทั้ง 80 แห่ง อย่างนอ้ ยที่สดุ 1,000 คน 2.2.2.3 เครอ่ื งมอื ผู้วิจัยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) ทพี่ ัฒนาจากการวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงคุณภาพ มา เป็นเคร่ืองมือในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ซ่ึงแบบสอบถามในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเก่ียวกับพฤติกรรมการใช้ บริการและความต้องการในการได้รับบริการของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬา และนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบลท้ังน้ี มาตรประมาณคา่ ที่ใช้ในแบบสอบถามของการวิจยั ครัง้ น้ี มีลักษณะ เปน็ มาตรประมาณคา่ แบบลิเคริ ท์ (Likert Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑใ์ นการพิจารณา ดังนี้ หมายเลข 5 หมายถึง ลักษณะประเด็นทขี่ ้อคาถามแสดงอยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ หมายเลข 4 หมายถงึ ลักษณะประเด็นที่ข้อคาถามแสดงอยู่ในระดับ มาก หนหา้ นห้า6น้า หมายเลข 3 หมายถึง ลกั ษณะประเดน็ ที่ขอ้ คาถามแสดงอยู่ในระดบั ปานกลาง หมายเลข 2 หมายถึง ลกั ษณะประเด็นทขี่ ้อคาถามแสดงอยู่ในระดับ น้อย 8080 หมายเลข 1 หมายถึง ลักษณะประเด็นท่ขี อ้ คาถามแสดงอยู่ในระดับ นอ้ ยทสี่ ุด 2.2.2.4 การหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วจิ ยั หาคุณภาพของเคร่อื งมอื โดยมีข้นั ตอน ดงั น้ี 2.2.2.4.1 ผ้วู จิ ัยนาแบบสอบถาม ไปพจิ ารณาหาความตรงตามเนอ้ื หา (Content Validity) โดยนาไป ให้ผทู้ รงคุณวฒุ ิจานวน 5 ท่าน พจิ ารณาความตรงตาม Congruence: IOC) โดยกาหนดคะแนนของผลการพจิ ารณา ดงั ที่ บุญธรรม กิจปรีดาบรสิ ุทธิ์ (2542) เสนอไว้ และทาการระบุในแบบพิจารณา เพ่อื ใหผ้ ทู้ รงคณุ วุฒทิ ราบและพจิ ารณา ดงั น้ี (+1) ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคาถามนั้นสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย (0 ) ถา้ ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อคาถามนั้นสอดคลอ้ งหรอื ไม่กับวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั (-1) ถา้ แนใ่ จว่าข้อคาถามนั้นไม่สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย จากผลการพิจารณาให้คะแนนในแตล่ ะขอ้ คาถามของผ้ทู รงคุณวุฒิ ที่ได้รับกลับคนื มา นาไปหาค่าดัชนคี วามสอดคล้องของขอ้ คาถามกับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ไดจ้ าก
สตู ร IOC = ΣR N IOC = ดชั นีความสอดคลอ้ งขอข้อคาถามตามความเหน็ ของผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ ΣR = คะแนนรวมจากการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ N = จานวนผู้ทรงคุณวุฒิ คาถามใด มีค่า IOC ใกล้ 1.0 แสดงว่ามีความตรงตามเนื้อหามากถ้ามีคาใกล้ 0 แสดงวา่ มคี วามตรงตามเนอ้ื หาน้อย และถ้ามีค่า IOC ตดิ ลบแสดงว่าเป็นข้อทีไ่ มม่ ีความตรงตามเน้ือหา ทั้งน้ี ผู้วิจัยกาหนดค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.6 ข้ึนไป โดยข้อคาถามที่ได้ คะแนน 0.6 ขนึ้ ไป แสดงวา่ ข้อคาถามในแบบสอบถามมีความสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย หลังจากท่ีผู้ทรงคุณวุฒิทาการพิจารณาความตรงตามเนื้อหาของแบบสอบถาม แล้ว นามาคานวณได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคาถามกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย( Index of Item - Objective Congruence: IOC) ของข้อคาถามแต่ละรายการเป็นรายข้อ ตั้งแต่ 0.4 - 1.0 และได้ค่าดัชนีฯ ของ แบบสอบถามทัง้ ฉบบั มีคา่ เทา่ กับ 0.86 จากนั้นผู้วิจัยจึงตัดรายการข้อคาถามท่ีมีคะแนนต่ากว่า 0.6 ออกไปและ ปรับปรุงข้อคาถามท่ีได้รับการเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาแสะอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม เพื่อใหไ้ ดเ้ ครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ท่ีมคี ุณภาพ หนหา้ นห้า6น้า 2.2.2.4.2 นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชาชนท่ีมีคุณสมบัติ 8181 ใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างจริง จานวน 30 คน อันได้แก่ ประชาชนผู้เดินทางมาออกกาลังกายในสนามกีฬาฟุตบอล ภายในบริเวณพ้ืนท่ีองค์การบริหารส่วนตาบลทุ่งสมอ อาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และนาแบบสอบถามท่ี ทดลองใช้แล้วมาหาความเท่ียง (Reliability) ของแบบสอบถาม ด้วยวิธีการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) โดย ผู้วิจัยได้กาหนดเกณฑ์ค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟาตั้งแต่ 0.7 ข้ึนไป เพราะถือว่าเป็นค่าที่เพียงพอและเป็นที่ยอมรับทาง สถิติ ซึ่งผลจากการวิเคราะหค์ ่าสัมประสทิ ธ์ิอลั ฟาของครอนบาค ไดเ้ ทา่ กบั 0.95 2.2.2.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 2.2.2.5.1 ผู้วิจัยนาหนังสือราชการขอความอนุเคราะห์ขอเก็บข้อมูลโดยการใช้ แบบสอบถาม จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปดาเนินการเก็บข้อมูลกับประชาชน ผู้รับบริการด้วยตนเองและผู้ช่วยวิจัย ภายใน อบต. ที่ได้ทาการสุ่มไว้ในเบื้องต้นโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซ่ึง เป็นคนท่ีเข้ามาออกกาลังกาย เล่นกีฬา หรือพักผ่อนหย่อนใจตามสถานท่ีออกกาลังกาย เล่นกีฬา หรือพักผ่อน หยอ่ นใจภายในพน้ื ทข่ี อง อบต. 2.2.2.5.2 ผู้วิจัยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยจัดเตรียมแบบสอบถามรวม จานวน 1,000 ฉบับ ให้กับประชาชนผู้รับบริการด้านการกีฬาและนันทนาการในพื้นที่ อบต.จาก อบต. ใน 4 ภูมิภาค รวมจานวน 80 แห่ง ตามท่ีได้ทาการสุ่มไว้แล้วในเบื้องตน้ โดยผู้วิจัยสามารถดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในพื้นท่ี อบต. ได้จริง จาก อบต. รวมทั้งส้ินจานวน 70 แห่ง และมีประชาชนผู้รับบริการด้านกีฬาและนันทนาการ หนหา้ นห้า6น้า ในพื้นท่ี อบต. ตอบแบบสอบถามและส่งคืนกลับมาให้ผู้วิจัยรวมทั้งสิ้นจานวน 906 คน คิดเป็นร้อยละ 87.12 ของ 8282 จานวนแบบสอบถามท้งั หมด 2.2.2.6 การวิเคราะหข์ ้อมูล ผู้วิจัยนาขอ้ มูลที่ได้ มาตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแล้วนามาวิเคราะห์ผล โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปสาหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เพ่ือแจกแจงหาค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย (x̅ ) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนาเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง ในการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผู้วจิ ยั กาหนดการแปลความหมายค่าเฉล่ียของระดบั ความต้องการตามเกณฑ์ (ประคอง กรรณสตู , 2542) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง ความตอ้ งการ อยู่ในระดับ \"มากท่ีสดุ \" ค่าเฉล่ีย 3.50 - 4.49 หมายถึง ความต้องการ อยู่ในระดับ \"มาก\" คา่ เฉล่ีย 2.50 - 3.49 หมายถึง ความตอ้ งการ อยู่ในระดับ \"ปานกลาง\" คา่ เฉลย่ี 1.50 - 249 หมายถงึ ความต้องการ อยู่ในระดับ \"น้อย\" คา่ เฉลีย่ 1.00 - 1.49 หมายถึง ความต้องการ อยู่ในระดับ \"นอ้ ยท่ีสุด\" เมื่อดาเนินการวิจัยในขั้นตอนที่ 2 สาเร็จแล้ว รวมทั้งแปลผลของข้อมูลสภาพและปัญหา ในการดาเนินงานขององค์การบริหารส่วนตาบลเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชน ท้องถิ่น และข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการของประชาชนในการได้รับบรกิ ารเกี่ยวกับการบรหิ าร จดั การด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนทอ้ งถน่ิ จากองค์การบริหาร ส่วนตาบล เรียบร้อยแล้ว จึงนาผลของข้อมูลท่ีได้ ไปปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาหลักและอาจารย์ท่ี ปรึกษาร่วม เพ่ือสังเคราะห์ให้เกิดร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ตอ่ จากน้นั จึงนาร่างรูปแบบที่ได้ ไปเตรยี มการจดั การสนทนากล่มุ ในข้นั ตอนที่ 3 ต่อไป ขั้นตอนท่ี 3 พฒั นารา่ งรูปแบบการจัดการศนู ยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ในขั้นตอนที่ 3 ผู้วิจยั นารา่ งรูปแบบการจดั การศูนย์กฬี าและนันทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ซึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการดาเนินการวิจัยในขั้นตอนท่ี 2 ร่วมกันระหว่างผู้วิจัย อาจารย์ที่ปรึกษา หลกั และอาจารยท์ ป่ี รึกษารว่ ม มานาเสนอกับผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสีย (Stakeholders) โดยการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ซ่งึ มีรายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี 3.1 ผูว้ ิจยั กาหนดจานวนกลมุ่ ผูเ้ ข้าร่วมการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ใหม้ ี ความเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 2 กล่มุ กลุม่ ละ 8 คน รวมทั้งสนิ้ 16 คน ประกอบไปด้วย 3.1.1 กลุม่ ที่ 1 ไดแ้ ก่
3.1.1.1 ผ้บู รหิ าร อบต. อันได้แก่ ปลัด อบต. หรอื นายก อบต. ท่ีมีประสบการณใ์ นการ ดาเนินงานด้านการส่งสริมการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น และดารงตาแหน่ง หรือเคยดารงตาแหน่ง มาแลว้ ไมน่ อ้ ยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน 3.1.1.2 เจ้าหน้าท่ีผูป้ ฏบิ ตั ิงานใน อบต. ที่มีประสบการณ์ในการดาเนินงานด้านการส่ง เริมการกพี าและนันทนาการในชุมชนทอ้ งถ่ิน และปฏิบตั ิหนา้ ที่ใน อบต.มาแล้วไมน่ อ้ ยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน ดังนนั้ มผี ู้ร่วมการสนทนากลุม่ ที่ 1 รวมจานวน 8 คน 3.1.2 กลุม่ ที่ 2 ได้แก่ 3.1.2.1 เจ้าหน้าท่ีของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ภายในพื้นท่ี อบต. ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั กฬี าและนนั ทนาการ เชน่ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบล และโรงเรียน เป็นตน้ ซึ่งเป็นผู้ทด่ี าเนินงาน ตามภารกิจของหน่วยงานเป็นหลัก แต่มีการดาเนินงานสนับสนุน ส่งเสริมด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชน ท้องถ่ินตามวาระโอกาส และปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานท่ีตั้งอยู่ในบริเวณพ้ืนที่ อบต. มาแล้ว ไม่น้อยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน 3.1.2.2 ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเขต อบต. ซึ่งเป็นผู้ท่ีออกกาลังกาย เล่นกีฬาหรือ ประกอบกิจกรรมนนั ทนาการภายในบริเวณพืน้ ทข่ี อง อบต. และมีภมู ลิ าเนาอยูใ่ นบรเิ วณพ้นื ทขี่ องอบต. ไม่น้อยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน ดังนัน้ มผี ้รู ่วมการสนทนากล่มุ ท่ี 2 รวมจานวน 8 คน สรุปได้ว่า ในข้ันตอนท่ี 3 มีผู้ร่วมการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) หนห้านห้า6น้า เพื่อทาการพัฒนาร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีพาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ท้ังหมด จานวน 2 8383 กลุ่ม รวมท้งั ส้นิ 16 คน 3.2 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผวู้ จิ ัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั นี้ 3.2.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับผู้ร่วมการสนทนากลุ่ม โดยใช้หนังสือราชการขอ ความอนุเคราะห์เป็นผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพ่ือขอ อนุญาตเชิญมาเข้าร่วมการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ซึ่งผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วมการ สนทนากลุ่ม โดยการเลือกจากพ้ืนท่ีของผู้เข้ารว่ มการสนทนากลุม่ ให้มคี วามแตกตา่ งไปจากพ้ืนท่ีของผู้ให้ข้อมูลหลัก ตามขั้นตอนที่ 2 ของการวิจัย มีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ 3.2.1.1 เลือกจาก อบต. ท่ีเป็นตัวอย่างที่ดีในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการกีฬา และนันทนาการในชมุ ชน จานวน 1 แหง่ จาก 4 ภูมภิ าคของประเทศไทย โดย อบต. ท่เี ป็นอย่างทดี่ ี หมายถงึ อบต. ท่ีมีผลกาดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการในเชิงประจักษ์ หรือได้รับการรับรองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือ โครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวด การจดั การแข่งขนั การยกย่องเชิดชูเกียรติ ฯลฯ (ในท่ีนี้ เรียกแทน อบต. ประเภทนวี้ า่ อบต. ประเภท ก.) 3.2.1.2 เลือกจาก อบต. ที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการ กีฬาและนันทนาการในชุมชน จานวน 1 แห่ง จากอีก 3 ภูมิภาคที่เหลือ โดย อบต. ที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอ
หมายถึง อบต. ทไ่ี มม่ ผี ลการดาเนนิ งานด้านกีฬาและนันทนาการในเชงิ ประจกั ษแ์ ละไม่เคยสง่ ผลงานเขา้ ร่วม เพอื่ ให้ ได้มาซึ่งการรับรองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐ ระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวด การจัดการแข่งขัน การยกย่องเชิดซูเกียรติ ฯลฯ (ในที่นี้เรียกแทน อบต. ประเภทน้ีว่า อบต. ประเภท ข.) โดยในแตล่ ะพ้นื ที่ อบต. จานวนทัง้ หมด 2 แห่งน้ัน ผู้วิจัยทาการเลือกผเู้ ขา้ รว่ มการ สนทนากลุ่ม ดว้ ยการเร่ิมต้นขอความอนเุ คราะห์เข้าร่วมการสนทนากลุม่ จาก ผูบ้ รหิ าร อบต. ก่อน ซง่ึ ผวู้ จิ ัยสามารถ ระบุตัวบุคคลได้ด้วยตาแหน่งในโครงสร้างองค์กรของ อบต. จากน้ันจึงสอบถามผู้บริหาร อบต. ที่ให้ความร่วมมือ โดยช้ีแจงคุณลักษณะและคุณสมบัติของเข้าร่วมการสนทนากลุ่มประเภทอ่ืนที่ได้กาหนดไว้แล้ว เพื่อให้ได้มาซ่ึงการ แนะนาเชื่อมโยงไปสู่การระบุตัวบุคคลผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่มในประเภทอ่ืนที่เหลือ มีรายละเอียดของ อบต. ในพนื้ ทีท่ ัง้ 2 ภูมิภาค ดงั นี้ 1) อบต. ประเภท ก. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตาบลบางบัวทอง อาเภอบางบัวทอง จังหวัด นนทบรุ ี (ภาคกลาง) 2) อบต. ประเภท ข. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตาบลนครสวรรค์ตก อาเภอเมือง จังหวัด นครสวรรค์ (ภาคเหนือ) 3.2.2 ผู้วิจัยดาเนินการสนทนากลุ่ม โดยผู้วิจัยเป็นผู้ดาเนินรายการหลัก (Moderator)และมีผู้ช่วย วจิ ัยเปน็ ผจู้ ดบันทกึ ประเด็นในการสนทนาและจัดใหม้ กี ารบนั ทึกเสียงด้วยเคร่ืองบันทึกเสียง 3.2.3 ผู้วิจัยบริหารจัดการการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยประยุกต์ตามแนว หนห้านห้า6น้า ทางการดาเนนิ การสนทนากลมุ่ ของ ชาย โพธิสติ า (2556) ดังนี้ 3.2.3.1 ผูว้ จิ ัยในฐานะผูด้ าเนนิ รายการหลัก ทาการแนะนาตนเองและทมี งาน 8484 ผูจ้ ัดการสนทนากลุม่ ทุกคน ที่อยู่ในหอ้ งจัดการสนทนากลมุ่ 3.2.3.2 ผูว้ ิจัยอธิบายถึงวตั ถปุ ระสงคแ์ ละจุดมงุ่ หมายของการจัดสนทนากลุ่ม 3.2.3.3 เปิดโอกาสใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสนทนากลมุ่ ทกุ คน ได้แนะนาข้อมูลส่วนบคุ คล ของตนเอง 3.2.3.4 เมื่อผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มทกุ คนเรม่ิ มีความคุ้นเคยต่อกัน ผู้วจิ ยั จงึ เร่มิ เกริ่นนาด้วยคาถามอนุ่ เครือ่ ง เพอื่ สรา้ งบรรยากาศความเป็นกนั เอง และเปน็ การนาเข้าสู่บรรยากาศ ของหวั ข้อในการสนทนากล่มุ 3.2.3.5 ผู้วิจยั เรม่ิ ถามแนวคาถามการสนทนากลมุ่ ทีไ่ ดจ้ ดั เตรยี มไว้ โดยมกี าร ทิ้งช่วงให้ทุกคนในกลุ่มได้มีการถกประเด็นและโต้แย้งกันให้พอสมควร เพ่ือสร้างบรรยากาศการ แลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ต่อกนั 3.2.3.6 ผู้วิจัยควบคุมการถกประเด็นภายในกลุ่มไม่ให้หยุดนิ่ง โดยไม่ถามคาถามเจาะไปที่คนใดคน หนึ่งมากเกินไป พยายามไม่ให้เกิดการข่มทางความคิดหรือชักนาผู้อ่ืนให้เห็นคล้อยตามผู้ท่ีมีบทบาทในการแสดง ความคิดเห็นมาก 3.2.4 ผู้วิจัยจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) คร้ังท่ี 1 เมื่อวันท่ี 27 กันยายน 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมช้ัน 2 อบต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และคร้ังที่ 2
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น . ณ ห้องประชุมอบต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 3.3 การวิเคราะห์ข้อมลู และการตรวจสอบความนา่ เชือ่ ถือของผลการวิเคราะห์ข้อมลู 3.3.1 ข้อมูลท่ีได้จากการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ผู้วิจัยทาการ ถอดความจากเครื่องบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักการ ของ (เบญจา ยอดดาเนิน-แอต็ ตกิ จ์ และ กาญจนา ตงั้ ชลทพิ ย์, 2552) ดงั นี้ 3.3.1.1 อ่านและจับประเด็น คือ อ่านข้อมูลดิบอย่างละเอียด จนกระท่ังเข้าใจ และจับประเดน็ หลักๆ ได้ 3.3.1.2 เปล่ียนประเด็นเป็นรหัส คือ เปล่ียนประเด็นหลักเท่านั้นให้เป็นรหัส (หรือสาระโดยสรุปของแต่ละข้อความ) ไว้ทา้ ยขอ้ ความ 3.3.1.3 จดั กลุ่มข้อมูล คอื แยกแยะจัดกลุ่มข้อมูล รวมท้ังเชื่อมโยงข้อมูลที่สามารถ จบั กล่มุ สาระ (ความหมาย) หรอื แนวคดิ (Concept) ได้ 3.3.1.4 เช่ือมโยงแนวคิด คือ เช่ือมโยงแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อหาแบบ แผน ความสัมพันธ/์ แนวเรือ่ ง (Theme) หรือปรากฎการณ์ที่เกดิ ขนึ้ 3.3.1.5 ขยายความเชื่อมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเชื่อมโยงเพ่ือให้เห็น ภาพรวมของเร่อื งหรอื ปรากฏการณ์ท่ีศึกษา 3.3.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของแบบ หนหา้ นห้า6นา้ แผนความสัมพนั ธ/์ ปรากฏการณ์เหล่านนั้ 8585 3.3.1.7 หาข้อสรุป คือ หาข้อสรุปที่เป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ ตีความ และการหาความหมาย 3.3.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามหลักการของ Crabtree and Miller (1999) ทาการอ่านจับประเด็น จับใจความ เพ่ือให้ได้เน้ือหา (ความหมาย) จัดกลุ่ม ความหมาย หาแบบแผน เช่ือมโยงแบบแผนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพ่ิมเติม จนแสดง ความสัมพนั ธ์ และตอบคาถามวจิ ัยได้ชดั เจน และทาการนาเสนอข้อมลู ในรปู แบบความเรยี ง 3.3.3 ผู้วิจัยทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของผลการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสาม เส้า (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006;ชาย โพธิสิตา, 2556) ซ่ึงในการ วิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในขั้นตอนท่ี 3ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของ ข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคือ ข้อมูลประเภทเดียวกัน ท่ีเก็บ รวบรวมไดจ้ ากบคุ คล สถานท่ี และเวลาที่แตกตา่ งกนั น้ัน มผี ลสรุปท่มี ีความเหมือนหรือแตกตา่ ง หรอื ยนื ยันหรอื ขัดแย้ง กันหรอื ไม่ อย่างไร ทั้งน้ี ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนาร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล จากการดาเนนิ การวจิ ัยในขน้ั ตอนท่ี 3 ไปเป็นส่วนประกอบใน
การจัดสนทนากลุ่มโดยอาศัยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่ เก่ียวข้อง จึงทาให้ได้ข้อมูลท่ีสาคัญต่อการนาไปสรุปวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และสังเคราะห์โดย ผู้วิจัย อาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก และอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม เพ่ือให้เกิดรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ องค์การบริหารส่วนตาบลท่ีมีความสมบูรณ์ยิ่งข้ึน ซึ่งผู้วิจัยสามารถนารูปแบบท่ีมีความสมบูรณ์มากขึ้นไปทาการ ตรวจสอบเพอ่ื หาคณุ ภาพของรปู แบบในกระบวนการวจิ ยั ขนั้ ต่อไป ขั้นตอนท่ี 4 ตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นนั ทนาการองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล ในขั้นตอนที่ 4 ผู้วิจัยทาการตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการ ศูนย์กีฬา และนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล โดยการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) ซ่ึงผู้วิจัย กาหนดใหม้ ีกลมุ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผู้เช่ียวชาญในข้ันตอนนี้ จานวน 2 กลมุ่ รายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี 4.1 ผู้ทรงคุณวฒุ ิและผู้เช่ียวชาญจานวน 2 กลมุ่ ประกอบไปด้วย 4.1.1 กลุ่มท่ี 1 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เช่ียวชาญ ในเชิงวิชาการ ด้านการบริหารจัดการกีฬาและ นันทนาการ ซ่ึงมีประสบการณ์ในวิซาชีพไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีตาแหน่งทางวิชาการอย่างน้อยในระดับผู้ช่วย ศาสตราจารย์ 4.12 กลุ่มท่ี 2 คือ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องกับการส่งเสริมและบริหารจัดการกีฬา และนนั ทนาการ ซึ่งมีประสบการณ์ในวชิ าชีพไมน่ อ้ ยกวา่ 5 ปี ดังนนั้ ทาใหม้ ีผทู้ รงคณุ วุฒิเขา้ ร่วมการจัดสัมมนาองิ ผู้ทรงคุณวฒุ (ิ Connoisseurship) จานวนกลมุ่ หนห้านหา้6น้า ละ 5 คน รวมท้งั สิ้นจานวน 10 คน 8686 4.2 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) มุ่งให้ เกิดการวพิ ากษ์ระหวา่ งกล่มุ ผ้ทู รงคุณวฒุ ิและผเู้ ชี่ยวชาญ เพอื่ การตรวจสอบความเหมาะสม และความเปน็ ไปได้ของ การพฒั นารูปแบบการจดั การศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล โดยมรี ายละเอียดการดาเนินการ ดงั ต่อไปนี้ 4.2.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้หนังสือราชการขอความ อนุคราะห์เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการวิจัย จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเพ่ือขออนุญาต เชญิ มาเข้ารว่ มการจดั สัมมนาองิ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ (Connoisseurship) 4.2.2 ผ้วู จิ ยั ทาการติดตอ่ วทิ ยากรผนู้ าการอภิปราย ซึง่ เปน็ ผมู้ คี ุณสมบัติ คอื เปน็ ผูท้ รงคณุ วฒุ หิ รือ ผู้เช่ยี วชาญ เชิงวิชาการ ที่มีความรู้เก่ยี วกับการดาเนนิ การวจิ ยั เชิงคุณภาพ 4.2.3 ผู้วิจัยจัดให้มีการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) โดยที่ผู้วิจัยทาการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ด้วยการเป็นผู้ดาเนนิ การอภิปรายรว่ ม พรอ้ มกับการจดบนั ทึก และบนั ทึกเสยี งด้วยเคร่ืองบันทึกเสยี ง
4.2.4 ผู้วิจัยจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ระหว่าง เวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุม 1 คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลปรากฏว่า มีผทู้ รงคณุ วุฒิเดนิ ทางมาเขา้ ร่วมการสมั มนาองิ ผูท้ รงคุณวฒุ ิ (Connoisseurship)รวมทง้ั ส้นิ จานวน 6 คน 4.3 การวิเคราะหข์ ้อมูลและการตรวจสอบความน่าเชอื่ ถือของผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3.1 ข้อมูลท่ีได้จากการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) ผู้วิจัยทาการถอดความ จากเครื่องบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักการของ (เบญจา ยอดดาเนนิ -แอต็ ติกจ์ และ กาญจนา ตง้ั ชลทพิ ย์, 2552) ดังน้ี 4.3.1.1 อ่านและจับประเด็น คือ อ่านข้อมูลดิบอย่างละเอียด จนกระท่ังเข้าใจและจับ ประเด็นหลักๆ ได้ 4.3.1.2 เปลี่ยนประเด็นเป็นรหัส คือ เปล่ียนประเด็นหลักเท่านั้นให้เป็นรหัส(หรือสาระ โดยสรุปของแต่ละขอ้ ความ) ไวท้ ้ายขอ้ ความ 4.3.1.3 จัดกลุ่มข้อมูล คือ แยกแยะจัดกลุ่มข้อมูล รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลที่สามารถจับ กลมุ่ สาระ (ความหมาย) หรอื แนวคิด (Concept) ได้ 4.3.1.4 เชื่อมโยงแนวคิด คือ เช่ือมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อหาแบบแผน ความสมั พนั ธ/์ แนวเร่ือง (Theme) หรอื ปรากฎการณ์ทเี่ กดิ ขนึ้ 4.3.1.5 ขยายความเชื่อมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเชื่อมโยงเพื่อให้เห็นภาพรวม หนหา้ นห้า6น้า ของเรื่องหรอื ปรากฏการณท์ ศ่ี กึ ษา 4.3.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของแบบแผน 8787 ความสมั พนั ธ/์ ปรากฏการณ์เหล่านัน้ 4.3.1.7 หาข้อสรุป คือ หาข้อสรุปท่ีเป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ ตีความและการ หาความหมาย 4.3.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามหลักการของ Crabtree and Miller (1999) ทาการอ่านจับประเด็น จับใจความ เพื่อให้ได้เน้ือหา(ความหมาย) จัดกลุ่ม ความหมาย หาแบบแผน เช่ือมโยงแบบแผนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพิ่มเติม จนแสดง ความสัมพนั ธ์ และตอบคาถามวิจัยไดช้ ดั เจน และทาการนาเสนอขอ้ มูลในรูปแบบความเรยี ง 4.3.3 ผู้วิจัยทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของผลการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบ สามเส้า (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006: ชาย โพธิสิตา, 2556) ซ่ึงในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในขั้นตอนที่ 4 ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความ น่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจลอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคือ ข้อมูลประเภท เดียวกัน ที่เก็บรวบรวมได้จากบุคคลท่ีแตกต่างกันน้ัน มีผลสรุปท่ีมีความเหมือนหรือแตกต่าง หรือยืนยันหรือ ขัดแยง้ กนั หรือไม่ อย่างไร
4.3.4 ผู้วิจัยนาข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นเสยี งจากเคร่ืองบันทึกเสียง มาถอดความเป็นข้อความ แล้วทา การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ตามประเด็นของกรอบแนวคิดในการวิจัย เพอ่ื วิเคราะห์และสงั เคราะหใ์ หเ้ กิดข้อสรปุ จากการสัมมนาอิงผูท้ รงคุณวุฒิ (Connoisseurship) ในการวิเคราะห์ข้อมูลทผ่ี ูว้ ิจัยเก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในขั้นตอนที่ 1 – 4 ผู้วิจยั ไดท้ าการ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านกระบวนการวิจัย (Methodological Triangulation) กล่าวคือ ตรวจสอบการวิเคราะห์ข้อมูลจากวิธีการรวบรวมข้อมูลท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงใน กระบวนการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสมั มนาอิงผู้ทรงคุณวฒุ ิ แล้ววิเคราะหว์ ่า ผลสรปุ ท่ีไดจ้ ากการวิจยั แตล่ ะข้ันตอน มคี วามเหมือนหรอื แตกต่าง หรือยืนยนั หรือขดั แย้งกันหรือไม่ อยา่ งไร เม่ือดาเนนิ การวจิ ัยในขนั้ ตอนท่ี 4 เสร็จเรียบรอ้ ยแล้ว จงึ ทาการสรุปผลของการตรวจสอบรปู แบบจาก การจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จากนั้นวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เกิดข้อสรุปร่วมกับการปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา และอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม เพือ่ ปรบั ปรงุ รูปแบบใหม้ ีความสมบรู ณแ์ ละนาเสนอรูปแบบโดยการเขยี นรายงานการวิจัย ฉบบั สมบูรณต์ อ่ ไป หนหา้ นห้า6นา้ 8888
ข้ันตอน กระบวนการ ผลทไ่ี ด้ ขนั้ ตอนที่ 1 1. ศึกษา ค้นคว้า วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ หลักการ 1. องคป์ ระกอบและปจั จยั ในการพัฒนา วิเคราะห์ สงั เคราะห์ แนวคดิ แนวคิด ทฤษฎี ขอ้ เท็จจรงิ และข้อมูลท่เี กย่ี วขอ้ ง รูปแบบ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซึง่ องคป์ ระกอบและปจั จัยในการพัฒนา และทฤษฎี เพื่อใหไ้ ด้มาซ่งึ รปู แบบ 2. กรอบแนวคิดในการวจิ ยั (Conceptual องค์ประกอบและปจั จัยในการ 2. ปรกึ ษาอาจารย์ท่ีปรกึ ษาหลกั และอาจารย์ท่ี Framework) พัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬา ปรึกษาร่วม เพื่อพัฒนากรอบแนวคดิ ในการวิจัย และนนั ทนาการองคก์ ารบรหิ าร 1. ข้อมูลสภาพและปัญหาในการดาเนินงาน สว่ นตาบล 1. สัมภาษณ์เชงิ ลึก (In-depth Interview) กบั ผู้มีส่วน ขององค์การบริหารส่วนตาบลเกย่ี วกับการ ได้ส่วนเสีย 5 ประเภท ในแต่ละองค์การบรหิ ารสว่ น บรหิ ารจดั การดา้ นการกีฬาและนันทนาการ ข้ันตอนท่ี 2 ตาบล จากท้งั 4 ภมู ภิ าค รวมท้งั ส้นิ 20 คน ในชมุ ชนท้องถ่ิน ศกึ ษาสภาพ ปญั หา พฤติกรรมการ ใช้บรกิ ารและความตอ้ งการท่ี 2. สารวจพฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการใน 2. ขอ้ มูลพฤติกรรมการใช้บริการและความ เกีย่ วข้องกับการพฒั นารูปแบบการ การไดร้ บั บริการด้านการกีฬาและนันทนาการจาก ตอ้ งการของประชาชนในการไดร้ ับบรกิ าร จัดการศูนยก์ ีฬาและนันทนาการ องค์การบริหารส่วนตาบล กับประชาชนผรู้ ับบรกิ าร เกีย่ วกับการบริหารจดั การด้านการกฬี าและ องค์การบริหารสว่ นตาบลเพ่อื ด้านการกีฬาและนันทนาการในพ้ืนท่ีองคก์ ารบรหิ าร นันทนาการในชุมชนท้องถิ่น กาหนดรา่ งรปู แบบการจดั การศูนย์ ส่วนตาบล ใน 4 ภมู ิภาค รวม 1,000 คน กฬี าและนันทนาการองค์การ บริหารสว่ นตาบล 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลจากการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ และการ 3. ร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ หนหา้ นห้า6นา้ สารวจ โดยอาศยั กรอบแนวคดิ ในการวิจัย และ นันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล 8989 สงั เคราะหร์ ว่ มกบั อาจารย์ทป่ี รกึ ษาเพือ่ ร่างรปู แบบ การจัดการศนู ยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหาร สว่ นตาบล ข้ันตอนท่ี 3 จดั การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับ รปู แบบการจัดการศูนยก์ ฬี าและนันทนาการ พัฒนาร่างรูปแบบการจัดการศนู ย์ ผูม้ สี ว่ นได้สว่ นเสีย จานวน 2 กลุ่ม กล่มุ ละ 8 คน รวม องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลทม่ี ีคุณภาพมากขึ้น กฬี าและนันทนาการองคก์ าร ทงั้ ส้นิ 16 คน บรหิ ารส่วนตาบล ข้นั ตอนที่ 4 1. จัดสมั มนาอิงผู้ทรงคณุ วุฒิ (Connoisseurship) กับ 1. รปู แบบการจัดการศนู ย์กีฬาและ ตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการ ผทู้ รงคุณวุฒิ จานวน 2 กลุ่ม รวมทั้งสน้ิ 10 คน นันทนาการองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลทมี่ ี พฒั นารูปแบบการจดั การศูนย์กีฬา คณุ ภาพเหมาะสม และนนั ทนาการองคก์ ารบริหาร 2. วิเคราะหข์ ้อมูลจากการจัดสมั มนาผูท้ รงคณุ วุฒิ กับการศกึ ษาวจิ ยั สว่ นตาบล เพ่อื ให้เกิดข้อสรุป ปรึกษาอาจารยท์ ่ีปรึกษาเพอื่ ปรบั ปรุงรูปแบบ และนาเสนอการพัฒนารูปแบบการ 2. รายงานการวิจยั ฉบับสมบรู ณ์นาเสนอการ จดั การศนู ย์กฬี าและนันทนาการองค์การบรหิ ารสว่ น พัฒนารูปแบบศูนยก์ ฬี าและนนั ทนาการ ตาบล องคก์ ารบริหาร สว่ นตาบลทม่ี ีความสมบูรณ์ ตารางท่ี 2 สรุปข้ันตอนการดาเนนิ การวจิ ัย
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนารปู แบบการจัดการศนู ย์กีฬาและนันทนาการองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล (อบต.) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วน ตาบล ใช้วิธีดาเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยผู้วิจัยได้นาเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออก ตามวัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั 2 ข้อ และวธิ ีดาเนินการวจิ ยั 4 ขนั้ ตอน รายละเอียดเปน็ ไปตามลาดับ ดังต่อไปนี้ วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัยข้อท่ี 1 เพอ่ื พัฒนารูปแบบการจดั การศูนยก์ ีฬาและนันทนาการ อบต. ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ สังเคราะห์ แนวคิด และทฤษฎี เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัยใน การพัฒนารปู แบบการจัดการศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการ อบต. ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนารปู แบบการจดั การศนู ย์กีฬาและนันทนาการ อบต. ซง่ึ แบ่งออกตามกระบวนการวิจยั 2 กระบวนการ ดังน้ี ตอนท่ี 2.1 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาในการ ดาเนินงานของ อบต. เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน โดยการสัมภาษณ์ เชิงลกึ (In-depth Interview) กับผู้มสี ว่ นไดส้ ่วนเสีย 5 ประเภท ในแตล่ ะ อบต. จากทั้ง 4 ภูมิภาคของประเทศ ตอนที่ 2.2 ผลการวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitative Research) เพื่อสารวจพฤติกรรมการใช้บรกิ ารและ หนหา้ นห้า6นา้ ความต้องการในการได้รับบริการด้านการกีฬาและนันทนาการจาก อบต. กับประซาชนผู้รับบริการด้านการกีฬา 9090 และนันทนาการในพ้นื ที่ อบต. ใน 4 ภูมิภาค โดยใช้แบบสอบถามเปน็ เคร่อื งมือ ตอนที่ 3 ผลการพัฒนาร่างรูปแบบการจัดการศนู ยก์ ีฬาและนันทนาการ อบต. โดยจดั การสนทนากลุม่ (Focus Group Discussion) กบั ผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสยี จานวน 3 กลุม่ วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั ขอ้ ท่ี 2 เพ่ือตรวจสอบรูปแบบการจัดการศูนยก์ ฬี าและนนั ทนาการ อบต. ตอนที่ 4 ผลการตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นนั ทนาการ อบต. โดยการจดั สมั มนาองิ ผ้ทู รงคณุ วุฒิ (Connoisseurship) กบั ผูท้ รงคณุ วฒุ ิจานวน 2 กล่มุ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังกล่าวข้างตันมรี ายละเอียด ดังต่อไปน้ี ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ สังเคราะห์ แนวคิดและทฤษฎี เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัย ในการพฒั นารูปแบบการจัดการศนู ย์กีฬาและนันทนาการ อบต. ในขั้นตอนที่ 1 ผู้วจิ ยั ทาการ ศกึ ษา ค้นคว้า วเิ คราะห์ และสงั เคราะห์ แนวคิด ทฤษฎีข้อเท็จจริง และ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากแหล่งข้อมูลท่ีเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ท้ังเอกสารและงานวิจัย และจากส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งของ ประเทศไทยและของต่างประเทศ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงองค์ประกอบและปัจจัยในการพัฒนารูปแบบการจดั การศูนย์กีฬา และนันทนาการ อบต.
ผู้วิจัยนาองค์ประกอบและปัจจัยที่ได้จากการสังเคราะห์ ไปร่างกรอบแนวคิดในการวิจัยและนาร่างกรอบ แนวคิดในการวิจัย ไปปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาหลักและอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม เพ่ือปรับปรุงพัฒนาให้เป็นกรอบแนวคิดใน การวจิ ัย (Conceptual Framework) ท่สี มบรู ณเ์ พอื่ ใช้ในการศกึ ษาวจิ ัยครงั้ น้ี ท้ังนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ถึงหลักการ แนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการ จัดการศนู ยก์ ีฬาและนนั ทนาการ อบต. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. จากแนวคิดเก่ียวกับการพัฒนารูปแบบของ Willer (1986) และการตรวจสอบรูปแบบของ Eisner (1976) ทาให้ผู้วจิ ัยนามาเปน็ ตน้ แบบในการดาเนินการวิจยั เพือ่ ให้ไดร้ ปู แบบจากการวจิ ัย โดยทาการประยกุ ต์ให้เกิด กระบวนการในการวิจัยคร้ังน้ี ซ่ึงแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน และเม่ือดาเนินการวิจัยครบท้ัง 4 ข้ันตอนแล้ว ทาให้ สามารถเช่อื ไดว้ ่า รูปแบบทเี่ กิดขึน้ จากการวิจัยคร้ังนี้ มคี วามถูกต้องสมบรู ณ์ตามหลักการและแนวคิดในการพัฒนา และตรวจสอบรูปแบบ 2. แนวคิดเก่ียวกับการจัดการ ท่ีผู้วิจัยได้ทาการศึกษาและวิเคราะห์ และสามารถสรุปจากการวิเคราะห์ ได้ว่าเป็นแนวคดิ ทมี่ ีสว่ นเก่ียวข้องกบั การพัฒนารูปแบบในการวิจัยครง้ั น้ี ประกอบไปด้วย 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการองค์กร ในส่วนของทฤษฎีเชิงระบบองค์กร (Systems Theory) ของ (Chelladurai, 2009; Daft, 2010) และแนวคิดการจัดการสโมสรกีฬา (Sports Club Management) ของ Robinson (2010) ทั้งน้ีเน่ืองจากศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. นับเป็นองค์กรหนึ่งซ่ึงมีภารกิจในการ ให้บริการด้านกีฬาและนนั ทนาการในชุมชนท้องถ่ิน ซึ่งมีความจาเป็นอยา่ งย่งิ ที่จะต้องนาหลักการและแนวคดิ ดา้ น การจัดการองคก์ รท่มี ีความครอบคลมุ ในลักษณะการดาเนินงานของระบบ ซึง่ ทฤษฎเี ชงิ ระบบองค์กรจะเป็นต้นแบบ หนหา้ นห้า6นา้ ที่ดีในการจัดการภารกิจของศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. นอกจากน้ี แนวคิดในการจัดการสโมสรกีฬาก็นับว่า 9191 เป็นส่วนสาคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรง เน่ืองจากการศึกษาข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง จุดเริ่มต้นของการพัฒนาด้านกีฬาและ นนั ทนาการในชมุ ชนทอ้ งถิน่ ในต่างประเทศ สว่ นใหญม่ าจากการจัดตง้ั สโมสรกีฬาในระดับท้องถ่ิน 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับทรัพยากรในการจัดการ ในส่วนของ Human, Financial, Material, Information, Technology and Contexts (Chelladurai, 2009; Daft, 2010: สมคดิ บางโม, 2552) จากการศึกษาขอ้ มูลทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั ทรัพยากรในการจดั การองค์กร ทาใหพ้ บว่า ศูนยก์ ฬี าและ นันทนาการ อบต. ในฐานะเป็นองค์กรกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น ควรมีทรัพยากรในการ จัดการองค์กรทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ การเงินและงบประมาณ สถานท่ี วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงอานวยความ สะดวก สารสนเทศ เทคโนโลยี และบริบทของหน่วยสนับสนุน ทั้งนี้เน่ืองจาก องค์กรโดยทั่วไปจะต้องมีทรัพยากร บุคคล มีงบประมาณ เป็นเบ้ืองต้นอยู่แล้ว แต่การจัดการด้านกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น จาเป็นที่ จะต้องมีการจัดการทรัพยากรส่วนอ่ืน ๆ ดังกล่าวข้างต้นเพ่ิมเติมเน่ืองจากสถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงอานวย ความสะดวกของแต่ละ อบต. มีบริบทของความมากน้อยแตกต่างกัน สารสนเทศและเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ สามารถอานวยความสะดวกในการดาเนินงานได้มากขึ้น และบริบทของหน่วยสนับสนุนก็มีส่วนสาคัญท่ีจะช่วย ส่งเสรมิ การดาเนินงานใหก้ บั อบต. ซึ่งไมใ่ ช่องค์กรทีม่ ีขนาดใหญ่และมีบุคลากรจานวนมาก 2.3 แนวคดิ เก่ยี วกับกระบวนการจดั การ ในสว่ นของ Planning, Organizing, Leading, Controlling and Evaluating) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010; Deming, 2000; Fayol, 1949;
Gulick & Urwick, 1937) จากการศกึ ษาขอ้ มลู ทีเ่ ก่ียวข้องกบั แนวคดิ ด้านกระบวนการจดั การต้ังแต่ใน อดีตท่ีผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน ทาให้พบว่า การจัดการที่มีความเหมาะสมกับรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นันทนาการ อบต. มีความเกี่ยวข้องกับการวางแผน การจัดองค์กร การนา การควบคุม และการบระเมินผล ทั้งน้ี เนื่องจาก การวางแผนและการจัดองค์กรมีความจาเป็นสาหรับการดาเนินงานของทุกองค์กร แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรภาครัฐส่วนท้องถ่ินแบบ อบต. ที่ต้องดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการ ควรมีบริบทของการนาและการ ควบคุมเข้ามาเก่ียวข้อง เน่อื งจากกิจกรรมร้านกีฬาและนันทนาการ มบี รบิ ทของการนาเป็นสิง่ ที่ใช้ในการขับเคล่ือน กิจกรรมเป็นหลัก ส่วนการควบคุมก็นับว่ามีความจาเป็นสาหรับองค์กรขนาดย่อมที่ต้องการแรงกระตุ้นในการ ขบั เคลอ่ื นการดาเนินงานของบุคลากรในองค์กร นอกจากนี้ การประเมนิ ผลก็มสี ่วนสาคัญท่ีจะทาให้ อบต. สามารถ ปรบั ปรงุ และพฒั นาการบรกิ ารด้านกีฬาและนนั ทนาการใหก้ ับชุมชนในทอ้ งถนิ่ ได้อยา่ งตอ่ เนื่อง สม่าเสมอ 3. แนวคิดเก่ียวกับส่วนประสมทางการตลาด ในส่วนของแนวคดิ (4C) ของ Lauterborn (1990) และ แนวคิดเก่ียวกบั ความพงึ พอใจ ของ Maslow (1970) และ Kotler (1997) จากการศกึ ษา ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการตลาด พบว่า แม้องค์กรภาครัฐส่วนท้องถิ่นแบบ อบต. ก็มีความจาเป็นท่ี จะต้องนาหลักการและแนวคิดด้านส่วนประสมทางการตลาดมาเป็นเคร่ืองมือในการดาเนินงาน ทั้งนี้เน่ืองจาก ภารกิจด้านกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของ ประชาชนผู้รับบริการ การคานึงถึงปัจจัยด้านการตลาดที่มีความเก่ียวข้อง จึงเป็นสิ่งจาเป็นท่ีจะทาให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจในการ รบั บรกิ ารดา้ นกีฬาและนนั ทนาการ หนหา้ นหา้6น้า 4. แนวคดิ เกี่ยวกบั ปัจจัยภายในองคก์ ร (The 7-S Framework) ของ Mckinsey (2016) และแนวคดิ เกยี่ วกับปัจจัยภายนอกองค์กร (PEST Analysis) ของ Aguilar (1967) จากการศึกษา 9292 ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยแวดล้อม ท่ีมีผลต่อการดาเนินงานขององค์กร ทาให้พบว่า ในการบรรลุ วัตถุประสงค์ขององค์กรนั้น นอกจากองค์กรจะต้องมีทรัพยากรในการจัดการและมีกระบวนการจัดการที่ดีแล้ว องค์กรจะต้องให้ความสาคัญกับปัจจัยภายในและภายนอกองค์กรด้วย เน่ืองจากการดาเงินงานขององค์กร เปรียบเสมือนระบบเปิด ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสิ่งแวดล้อมภายนอกอยู่ตลอดเวลา จึงปฏิเสธไม่ได้วา่ ส่ิงแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอกมีผลต่อการดาเนินงานขององค์กร โดยเฉพาะศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. ซึ่งมี ความเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมเป็นจานวนมาก นอกจากน้ี การคานึงถึงปัจจัยภายในองค์กร ก็ เปรียบเสมือนการรับรู้ถึงขีดความสามารถในการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการของ อบต. เอง จึงทาให้ สามารถวางแผนการดาเนินงานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 5. แนวคิดเก่ียวกับธรรมาภิบาล (Good Governance) ของ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ก.พ.ร.) (2552) จากการศึกษาข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการบริการจัดการองค์กรภาครัฐพบว่า การดาเนินงาน ตามภารกิจขององค์กรภาครัฐทม่ี ีประชาชนเปน็ ผู้รับบริการ แม้จะไม่มุ่งหวังถึงผลกาไรเป็นเป้าหมายหลกั สาคัญ แต่ แนวคิดท่ีจะทาให้การดาเนนิ งานมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการของประชาชน ได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องอาศัยหลักธรรมาภิบาลเป็นกรอบแนวทางในการบริหารจัดการองค์กร อีกท้ังธรรมาภิบาล ยังเป็นท่ียอมรับในระดับสากล จนทาให้รัฐบาลนามาเป็นเครื่องมือในการสร้างบรรทัดฐาน ให้องค์กรภาครัฐทุก รูปแบบ มีความจาเปน็ ท่จี ะต้องนาแนวทางธรรมาภิบาลไปถือปฏิบัติตาม
6. แนวคดิ เกย่ี วกับการกฬี า ในส่วนของการกีฬาเพอ่ื มวลชน (Sport for all ของ International Olympic Committee (2014) และแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) (กระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี า, 2560) จากการศกึ ษาบรบิ ทของการกีฬา พบวา่ การกีฬาเพ่ือมวลชน คอื การกีฬา ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับคนหมู่มาก เป็นแนวคิดด้านการกีฬาท่ีทาใหเ้ กิดการพัฒนาสังคม โดยเร่ิมต้นที่ตัวบคุ คล ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ซึ่งนับได้ว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. เน่ืองจาก การให้บริการด้านกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับบุคล ต่อเน่ือง ไปจนถึงสังคมในชุมชน ซ่ึงมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซ่ึงรัฐบาลได้ให้ความสาคัญกับการนา กฬี ามาเป็นเคร่ืองมือในการพฒั นาคุณภาพชีวิตและสงั คม 7. แนวคิดเก่ียวกับการนันทนาการ ของ สมบัติ กาญจนกิจ (2557) และ เทพประสิทธิ์ กุลธวัชวิชัย (2556) รวมถึงการจัดโปรแกรมนันทนาการ (Leisure Programming) ของ Edginton et al. (1989) และร่าง แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2560 - 2564) (กรมพลศึกษา, 2560) จากการศึกษาบริบทของการ นนั ทนาการ พบวา่ การนนั ทนาการเป็นสวสั ดิการทางสังคมอย่างหนึง่ ทร่ี ฐั พึง จัดหาให้มีบริการด้านนนั ทนาการเกิดข้ึนกับประชาชนของรัฐ กิจกรรมนันทนาการคือกิจกรรมท่ีสรา้ ง คุณค่าให้กับตัวบุคคล เม่ือบุคคลรับรู้และเข้าใจในคุณค่าของตนเอง ก็จะนาไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี คุณภาพ ทั้งนี้รัฐบาลได้มีแผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการดาเนินงานด้านนันทนาการ ให้กับองค์กรภาครัฐ ได้ดาเนินภารกิจขององค์กรให้มีความสอดคล้องกับประโยชน์จากนันทนาการตามท่ีแผนได้ กาหนดไว้ ซึ่งศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. ก็มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการเก่ียวกับนันทนาการ และ หนหา้ นห้า6นา้ แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ นอกจากนี้แนวคิดในการจัดโปรแกรมนันทนาการ ยังเป็นหลักการในการจัด 9393 กิจกรรมต่างๆ ดา้ นนนั ทนาการท่ี อบต. จะสามารถประยุกต์ให้มีความเหมาะสมกับบริบทของสังคมในชุมชนท้องถิ่น ของตนเองตอ่ ไป เม่ือผู้วิจัยมีกรอบแนวคิดในการวิจัยแล้ว จึงดาเนินการศึกษาในข้ันตอนต่อไป โดยให้ความสาคัญกับ การศกึ ษาสภาพ ปญั หา พฤตกิ รรมการใช้บริการและความตอ้ งการที่เกย่ี วข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศนู ย์กีฬาและนนั ทนาการ อบต. ตารางท่ี 2 ผลการศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ การพฒั นารปู แบบการจดั การศนู ยก์ ีฬาและนนั ทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล ตอนที่ 2.1 ผลการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) ผู้วิจัยศึกษาสภาพและปัญหาในการดาเนินงานขององค์การบริหารส่วนตาบลเก่ียวกับการบริหาร จัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) ผู้ให้ข้อมูล หลัก (Key Informants) จานวน 5 ประเภท ได้แก่ 1) ผู้บริหาร อบต.2) เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใน อบต. 3) ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเขต อบต. 4) เจ้าหน้าท่ีของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ภายในพ้ืนที่ อบต. และ 5) ผู้เป็นสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นท่ี อบต. จากท้ัง 4 ภูมิภาคของประเทศ ภูมิภาคละ 5 คน รวมท้ังสน้ิ จานวน 20 คน รายละเอียดการวิเคราะห์ขอ้ มูล แบง่ ออกตามประเภทของผู้ให้ข้อมลู หลัก 5 ประเภท และ ประเด็น หลักในการสมั ภาษณ์ 3 ประเด็น ดงั ตอ่ ไปนี้
2.1.1 ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลหลักประเภท 1) ผู้บริหาร อบต.สามารถสรุป ภาพรวมจากการวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดด้ ังนี้ ประเด็นที่ 1 ปญั หาและอุปสรรคในการบรหิ ารจดั การ การดาเนนิ งาน การเข้ารว่ มกิจกรรม หรือ การรับบริการสาธารณะ ท่ีเกีย่ วกบั ด้านการกฬี าและนันทนาการในชุมชนทอ้ งถิ่น 1) อบต. ประสบปัญหาและอุปสรรคด้านการใช้งบประมาณในการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการจัดกิจกรรมกีฬาและนันทนาการ ซึ่งเปน็ สง่ิ ทไ่ี ม่ถูกต้องตามระเบียบการใช้งบประมาณของรัฐ จงึ ส่งผล ให้ อบต. เลือกทีจ่ ะไมจ่ ัดกิจกรรมด้านกฬี าและกิจกรรม นนั ทนาการในชมุ ชนเหมือนแตก่ อ่ น \"...ในระหว่างเทศกาลสงกรานต์ ก็จะจัดแข่งกีฬาร่วมด้วยแต่ก่อนเราเบิกจ่ายค่าเส้ือผ้าชุดแข่งขัน อาหาร เครอื่ งดืม่ เพ่อื เล้ียงนักกฬี าและชาวบ้านได้ ช่วงหลังนีไ่ มค่ อ่ ยไดจ้ ัดกัน เพราะหน่วยงานตรวจสอบบอกเราว่า ทาไมไ่ ด้ เบิกจ่ายไมไ่ ด้ การจัดแข่งขันกีฬาจึงคอ่ ยๆ เลือ่ นหายไป...\" \"...จัดงานวันเด็ก แต่เราไม่สามารถจัดเครื่องด่ืมและของขวัญมาแจกให้เด็ก ๆ ที่มาเข้าร่วมงานได้ เน่อื งจากตดิ ปัญหาทีร่ ะเบยี บการเบิกจา่ ย...\" (สัมภาษณน์ ายก อบต. ภาคกลาง) \"...เดย๋ี วน้ีระเบยี บทใ่ี ช้ควบคมุ การจดั กิจกรรมนันทนาการตามประเพณี ทาใหเ้ ราไมส่ ามารถจัดงานได้ เหมือนที่เคย แต่ก่อนมีเรอ่ื ง “คา่ อาหาร ค่าเตรยี มการแสดง คา่ โต๊ะ ค่าเต็นท์ คา่ ของท่ีระลึกให้ผใู้ หญ่ทีม่ ารดน้าดาหัว และคา่ อืน่ ๆ หนหา้ นห้า6น้า ซงึ่ ปจั จบุ นั เราเบกิ คา่ ใช้จา่ ยพวนนไ้ี ม่ได้ ซงึ่ ทาให้เราต้องหาดว้ ยกาลงั ตนเอง และกท็ าได้ยาก...” (สัมภาษณ์นายก อบต.ภาคใต้) 9494 “...อบต.จะเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬา ทางเราก็จะซื้อเส้ือแจก มีข้าวกลางวันเล้ียง มีถ้วย รางวัล มีค่าทาสนาม ค่าน้าเลย้ี งนักกีฬา กจ็ ดั มาตลอดทกุ ๆปี...” “...ทกุ วนั นแี้ ทบไม่มี อบต. ไหนจัดงานหรือดาเนนิ การเร่ืองกีฬาเลยรวมท้ังภายในสามถึงสี่ปีทผี่ ่านมา ด้วย เพราะกลัวถูกตรวจสอบกันหมด...” (สมั ภาษณป์ ลดั อบต.ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ) 2) อบต.ประสบปัญหางบประมาณอุดหนุนจากภาครัฐไม่เพียงพอ ที่จะนามาใช้ในการดาเนินการจัด กิจกรรมด้านกีฬาและนันทนาการ รวมทั้งไม่เพียงพอกับการสนับสนนุ หน่วยงานในพื้นที่ เช่น โรงเรียนที่มีศักยภาพ ด้านกีฬา ให้ไปแข่งขันในระดบั ภมู ภิ าคใต้ 3) อบต.ต้องอาศัยความร่วมมือ และการสนับสนุนปัจจัยในการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการ เชน่ เงิน สิ่งของ กาลังคนจากภาคส่วนอนื่ ๆในพื้นที่ “...เราไม่สามารถจัดอาหารเคร่อื งด่ืมและของขวัญมาแจกให้เด็ก ๆ ท่ีมาเข้าร่วมงานได้ เนื่องจากติด ปัญหาที่ระเบียบการเบิกจ่าย จึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหมู่บ้าน และผู้ประกอบการภายในพื้นที่ อบต. ให้ ชว่ ยกันระดมทุนร่วมกนั บางรายกใ็ ห้สงิ่ ของ หรืออาหารมาร่วมกัน ส่วนหมบู่ า้ นก็จะมีการทาอาหารมารว่ มงาน...” “...รัฐบาลกม็ ีงบประมาณอุดหนุนใหไ้ มม่ าก ดา้ นกฬี ากม็ กี ารสง่ เสรมิ งบประมาณน้อย” (สมั ภาษณน์ ายก อบต.ภาคกลาง)
“...กจ็ ะมีปญั หาบา้ ง ในสว่ นของงบประมาณไม่พอเพยี งต้องอาศยั การบรหิ ารจดั การและการขอความ รว่ มมือกนั เองภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสมทบทุน หรือการรว่ มกันลงแรง...” “...งบประมาณสนบั สนนุ โรงเรียนทม่ี ีความสามารถให้ไปแข่งขันกีฬา อบต.กต็ ง้ั งบประมาณสนับสนุน ลว่ งหนา้ ไว้ แต่ในความเป็นจริงกไ็ มไ่ ด้เพียงพออะไรมากมาย...” (สมั ภาษณ์นายก อบต.ภาคเหนอื ) “...การเตรยี มจดั งานจัดกจิ กรรมแต่ละคร้ังใชเ้ วลาเตรยี มงานสองสามวนั เราให้เจา้ หน้าท่แี ละชาวบ้าน มาช่วยเหลอื แต่เราไม่สามารถเบกิ ค่าอาหาร คา่ เครอ่ื งด่มื ได้...” (สัมภาษณน์ ายก อบต.ภาคใต้) 4) อบต. ไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณส่งเสริมหน่วยงานอื่นที่ไม่อยู่ในสังกัด เพื่อให้ดาเนินการจัด กิจกรรมด้านกีฬาและนันทนาการได้ จึงทาให้เสียโอกาสในการสนับสนุนด้านกีฬาและนันทนาการองค์กรที่มีความ พรอ้ มของบคุ ลากรในการดาเนนิ งานกีฬาและนันทนาการมากกวา่ อบต. 5) การสนับสนุนงบประมาณด้านกีฬาให้กับหน่วยงานอื่นในสังกัด เช่น โรงเรียนในสงั กัด ไม่เพียงพอ เนอ่ื งจากตอ้ งดาเนนิ การตามมาตรการประหยดั “...การสนบั สนนุ ก็ตอ้ งคานึงถงึ การประหยัดงบประมาณของ อบต.โดยภาพรวมดว้ ยเชน่ กัน...” (สมั ภาษณน์ ายก อบต.ภาคเหนอื ) “...ระเบียบไม่อนุญาตให้ อบต.อุดหนุนเงินแก่หนว่ ยงานอื่นที่ไม่ใช่หน่วยงานในสังกัด อบต. เพราะส่ิง หนห้านหา้6น้า ใดท่ี อบต.มีศักยภาพท่ีทาเองได้ จะตอ้ งทาเองอดุ หนนุ คนอน่ื ไม่ได้...” (สมั ภาษณป์ ลัด อบต.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ) 9595 6) ระเบียบการดาเนินงานและกฎเกณฑ์ต่าง ๆเกี่ยวกับงานด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการไมม่ ี ความชัดเจนและไม่มีความยืดหยุ่น ทาให้ อบต. ไม่สามารถตัดสินใจวางแผน และกาหนดรายละเอียดการดาเนิน กจิ กรรมดา้ นกีฬาและนันทนาการได้อย่างชัดเจน “...ถ้ามีการผ่อนคลายเรื่องของระเบียบมากข้ึนก็จะทาให้ อบต.ดาเนินงานด้านน้ีได้ดีข้ึน การขอ สปอนเซอรบ์ ่อย ๆก็ทาใหผ้ ู้ประกอบการไมเ่ ต็มใจ เพราะเศรษฐกิจไมด่ ี การปลดความตงึ ของระเบยี บจึงเปน็ การเปิด ช่องทางให้ใช้สอยได้ง่ายขึ้น เพราะการติดระเบียบเหมือนเป็นการปิดกั้นแรงกระตุ้นในแนวคิดการดาเนินงานด้านน้ี ไปเลย...” (สมั ภาษณ์นายก อบต.ภาคกลาง) “...การสนับสนุนงบประมาณจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถ่ินมายัง อบต. ก็ควรระบใุ หช้ ัดเจนเลย ว่า อบต.จะทาอะไรได้บ้าง การระบุคลุมเครือแล้วทาง อบต. มาตีความปฏิบัติเอง มักทาให้ อบต.ถูกท้วงติง จากหน่วยงานตรวจสอบ จึงไม่อยากทาต่อในปีถัดๆ ไป...” (สัมภาษณ์นายก อบต.ภาคเหนอื ) 7) ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานของ อบต.ยังขาดองค์ความรู้และความชานาญในวิชาชีพด้านกีฬาและ นันทนาการ
8) หน่วยงานภาครัฐส่วนภูมิภาค ไม่มีงบประมาณในการส่งเสริมงานด้านกีฬาและนันทนาการให้กับ อบต.รวมทง้ั ของบประมาณบางสว่ นจาก อบต. “...ในระดับทอ้ งถิน่ เรา เรากต็ ้องคิดเองจดั กนั เอง ทาถูกบ้างผดิ บา้ ง ก็ไม่แนใ่ จ...” “...หน่วยงานส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาคส่วนมาก ก็ไม่สะดวกที่จะนางบประมาณของตนเองมาสู่ ท้องถ่ิน เพราะบางหน่วยงาน เช่น อาเภอ ยังไม่มีงบประมาณด้านกีฬาของตนเองเลย ยังต้องอาศัยงบประมาณ สนบั สนนุ จากอบต. เพือ่ ใชด้ าเนนิ งาน...” (สมั ภาษณ์นายก อบต.ภาคใต้) ป ร ะ เ ด็ น ท่ี 2 บ ท บ า ท ก า ร ด า เ นิ น ง า น ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร กี ฬ า แ ล ะ นั น ท น า ก า ร ใ น ชุมชนท้องถ่นิ ของภาครฐั 1) ยังไม่มีแผนการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการลงไปสู่ อบต.โดยตรงจากหน่วยงานภาครัฐ สว่ นกลางท่เี ก่ยี วขอ้ งกับการสง่ เสริมด้านกฬี าและนนั ทนาการ เทา่ ทค่ี วร 2) การจัดสร้างสนามกีฬาชนิดต่าง ๆในพ้ืนที่ อบต.ควรนาความต้องการของประชาชนในชุมชนมา เป็นพนื้ ฐานในการสรา้ ง และสามารถรองรับการใชง้ านได้อย่างหลากหลาย “…กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา และ กกท. ส่วนมากก็สนับสนุนในระดับอาเภอ จังหวัด ไม่ถึงระดับ ท้องถ่นิ เรา...” (สัมภาษณ์นายก อบต.ภาคใต้) “...ต้องมีงบประมาณสร้างสนามกีฬาให้ท้องถิ่น แต่ละท้องถ่ินก็มีข้อมูลพื้นฐานว่าสนามใดมีหรือไม่มี หนหา้ นห้า6นา้ สนามใดต้องการเพ่ิมเติม ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างสนามท่ีรองรับการเล่นกีฬาได้หลายๆ ชนิด เพราะพื้นท่ีของ อบต. 9696 หรือโรงเรยี นในเขต อบต. ก็มพี ืน้ ทีว่ ่างไมม่ าก...” (สัมภาษณป์ ลดั อบต.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ) ประเด็นที่ 3 รปู แบบศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลที่ควรเป็น 1) ควรมีเจ้าหน้าท่ีด้านกีฬาและนันทนาการที่มีวุฒิการศึกษาด้านนี้โดยตรง เช่น วิทยาศาสตร์การ กีฬา คอยเป็นผู้ดูแลศูนย์ รวมทั้งสามารถทดสอบสมรรถภาพทางกายและจัดกิจกรรมเชิงสุขภาพให้ประชาชนใน ชุมชน 2) อบต.อาจจดั จ้างเจ้าหน้าท่ีศูนยใ์ นลักษณะของลูกจ้างโครงการ หรือมีโครงการนาร่องจากหนว่ ยงาน ส่วนกลางเพือ่ เปิดตาแหน่งจดั หาเจ้าหนา้ ที่ด้านกีฬาและนนั ทนาการมาประจา อบต. 3) ศูนย์กีฬาและนันทนาการ ควรอยู่ในการควบคุมของ อบต.โดยมีงบประมาณจัดสรรมาให้เพื่อการ ดูแล รักษา และจดั กจิ กรรมต่าง ๆ ของศนู ย์ 4) การสร้างศูนย์จะต้องมีที่สาธารณะประโยชนภ์ ายในตาบล ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐหรือภาคเอกชน ให้การสนับสนุน ซง่ึ ประชาชนสามารถเข้าถึงไดง้ ่ายและใชง้ านได้อย่างสะดวก 5) ควรมสี านักงานศนู ย์อยู่ในบรเิ วณที่ทาการ อบต.เพอื่ ใหบ้ ริการติดต่อประสานงานกบั ประชาชนและ ภาคสว่ นอ่นื ๆ ในท่ีเดยี วกัน
6) เจ้าหน้าที่ด้านกีฬาและนันทนาการ สามารถจัดกิจกรรมโครงการด้านกีฬาและนันทนาการ ปฏิบัติ หน้าที่ฝึกสอนกีฬา ตัดสินกีฬา นากิจกรรมออกกาลังกายถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกีฬาและนันทนาการให้กับ บุคลากรท่านอื่นของ อบต. ท่ีมีความสนใจ เพื่อให้ อบต.มีบุคลากรท่ีมีความสามารถด้านกีฬาและนันทนาการ เพ่มิ ข้ึน “...หากมีการสร้างศูนย์ ต้องมีบุคลากรอยู่ เด็กจบสายวิทยาศาสตร์การกีฬาเยอะแยะ รัฐบาลก็จ้าง เด็กจบเหล่าน้ีมาประจาศูนย์ แล้วคิดงานหรือจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมด้านสขุ ภาพและการออกกาลังกาย เพ่อื สง่ เสริม ใหป้ ระชาชนเค้าใช้ชวี ติ ประจาวนั ได้อยา่ งปลอดภัย รวมท้ังสามารถทาการทดสอบร่างกายประชาชนแต่ ละช่วงอายุได.้ ..” “...ไม่จาเป็นต้องบรรจุบุคลากรในลักษณะของพนักงาน หรือลูกจ้างประจาก็ได้ เป็นการจ้างลักษณะ ลูกจา้ งประจาโครงการแล้วดาเนินการต่อเนื่องทุก ๆ ปีกย็ งั ด.ี ..” (สัมภาษณ์นายก อบต.ภาคกลาง) “...ควรสนับสนนุ ให้มศี ูนย์กีฬาฯ ลกั ษณะนี้เพราะประชาชนท่ัวไปจะได้มาใช้บรกิ าร รักษาสุขภาพกัน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน จะได้มีแหลง่ ออกกาลังกายหรอื ทากิจกรรมทเี่ ป็นประโยชน์ไมส่ นใจยาเสพตดิ อบายมุข” (สมั ภาษณน์ ายก อบต.ภาคเหนอื ) “...ถามว่าอยากได้ศูนย์กีฬาฯ ลักษณะน้ีหรือไม่ก็อยากได้ แต่ต้องเอามาให้เป็นของเราควบคุมเอง และนาเอางบประมาณมาให้เราดูแลด้วยอีกอย่างก็คือ จะหาที่สาธารณะประโยชน์จานวนมากในพ้ืนท่ีของ อบต.มาทาให้ หนหา้ นห้า6น้า เป็นศนู ย์กฬี าฯกไ็ มใ่ ชเ่ รอื่ งง่าย...” (สัมภาษณ์นายก อบต.ภาคใต้) 9797 “...จริง ๆ อย่ตู รงไหนก็ได้ ทช่ี ุมชนเขา้ ถงึ งา่ ย มาใช้งานได้ ถ้าไปอยไู่ กล ๆ ไมม่ ีใครไปใช้ก็ไร้ประโยชน์ ล่าสุดก็ดาเนินการเรื่องที่ดินของประชาชน คนหนึ่งท่ีมอบให้เป็นสาธารณะประโยชน์กับ อบต. จนสาเร็จเรียบร้อย ซ่ึงเป็น ท่ีกลางหมู่บ้าน หากได้รับการสนับสนุนงบประมาณให้พัฒนาสถานท่ีให้เหมาะสม ก็สามารถใช้เป็นที่จัด กิจกรรมของชุมชนได้อีกมากมาย...” “...ออฟฟิศศูนย์ฯควรอยู่ที่ อบต.มีเจ้าหน้าท่ีอยู่ที่นี่ แล้วช่วงเวลาเช้าหรือเย็น บุคลากรที่รับผิดชอบก็ ลงไปยังพื้นที่สนามกีฬา เพ่ือให้บริการประชาชน หรือบางครั้งบุคลากรก็เวียนไปยังแต่ละจุดแต่ละหมู่บ้าน ไปสอน ประชาชน เดก็ เยาวชนใหเ้ ล่นกฬี า...” “...นอกจากมีเจ้าหน้าท่ีประจาศูนย์คอยช่วยสอนทักษะกีฬาและดูแลเร่ืองกิจกรรมแล้ว ก็สามารถเป็นผู้ ตดั สินกีฬาภายในชุมชนดว้ ยกจ็ ะดี...” “...ถ้าจะให้ดี ควรมีเจ้าหน้าที่ด้านพละศึกษามาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้าน กีฬาและนันทนาการให้กับเจ้าหน้าที่อบต.คนอ่ืน ๆ ซ่ึงต่อไป อบต.ก็สามารถพัฒนาบุคลากรของตนเอง หรือจะ จ้างบุคลากรด้านการพลศึกษามาประจาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ขอให้มีการนาร่องโดยอาศัยงบประมาณจาก หน่วยงานส่วนกลาง ซ่ึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการท่ี อบต.จะจัดหาจัดจ้างบุคลากรด้วยตนเอง มักจะไม่มีใครมาสมัคร หรอื มาสมัครกไ็ มม่ คี ณุ สมบตั เิ หมาะสม...” (สมั ภาษณ์ปลดั อบต.ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ตารางท่ี 3 สรุปประเดน็ ข้อค้นพบจากการสัมภาษณเ์ ชงิ ลึกผูใ้ หข้ อ้ มูลหลกั ประเภทผบู้ รหิ าร อบต. สรปุ ประเดน็ ขอ้ ค้นพบจากการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ ผู้ใหข้ ้อมูลหลกั ประเภท ผู้บรหิ าร อบต. ประเด็นหลกั ที่ 1 ประเด็นหลกั ท่ี 2 ประเดน็ หลกั ท่ี 3 ปัญหาและอุปสรรคในการ บทบาทการดาเนินงานส่งเสริม รูปแบบศูนย์กีฬาและนันทนาการ บริหารจัดการ การดาเนินงาน การกีฬาและนันทนาการใน องค์การบริหารส่วนตาบลท่ีควร การเข้าร่วมกิจกรรม หรือการ ชุมชนท้องถิน่ ของภาครัฐ เปน็ รับบริการสาธารณะ ที่เก่ียวกับ ด้านการกฬี าและนันทนาการใน ชุมชนทอ้ งถิน่ 1) งบประมาณในการ 1) ขาดการสนับสนนุ โครงการ 1) ดา้ นบุคลากรควรมเี จ้าหนา้ ท่ี ดาเนนิ งานด้านกีฬาและ ดา้ นกีฬาและนนั ทนาการลง ดา้ นกีฬาและนันทนาการที่มี นันทนาการ อบต. ทงั้ ในดา้ น ไปสู่ อบต. โดยตรงจาก วฒุ กิ ารศกึ ษาดา้ นกีฬาและ การจดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ หนว่ ยงานภาครฐั สว่ นกลางที่ นนั ทนาการโดยตรง สามารถ ประกอบการจัดกิจกรรมกีฬา เกยี่ วข้อง ทดสอบสมรรถภาพทางกาย และนันทนาการ งบประมาณ 2) การจดั สรา้ งสนามกฬี า ใน และจัดกจิ กรรมและโครงการ อุดหนุนจากภาครัฐไม่ พืน้ ท่ี อบต. ควรให้ เชิงสขุ ภาพ กีฬา และ หนห้านห้า6น้า 9898 เพยี งพอ งบประมาณ ความสาคัญกับความต้องการ นันทนาการ ฝึกสอนและ สนับสนุนหนว่ ยงานในพนื้ ที่ ของประชาชนในชุมชนและ ตัดสินกฬี า นากิจกรรมออก ไม่เพยี งพอ ไม่สามารถ ควรสรา้ งให้มคี วาม กาลังกายและสามารถ สนบั สนนุ งบประมาณ หลากหลาย ถา่ ยทอดองคค์ วามรดู้ ้านกีฬา หน่วยงานนอกสังกัดที่มี และนนั ทนาการให้กบั ศักยภาพในการดาเนนิ งาน บคุ ลากรอ่ืนของ อบต. ได้ ดา้ นกฬี าและนันทนาการได้ ซ่งึ อบต. อาจจัดจา้ ง ข้อกาจัดในการสนับสนุน เจา้ หนา้ ทีศ่ ูนยใ์ นลักษณะของ งบประมาณดา้ นกฬี าให้กับ ลูกจา้ งโครงการ หรือมี หน่วยงานอน่ื ในสังกดั และ โครงการนารอ่ งจาก ขาดการสนับสนุน หนว่ ยงานส่วนกลางเพอ่ื เปิด งบประมาณจากหน่วยงาน ตาแหนง่ เจ้าหน้าท่ดี ้านกีฬา สว่ นภมู ภิ าค และนนั ทนาการมาประจา อบต.
สรปุ ประเดน็ ขอ้ คน้ พบจากการสัมภาษณเ์ ชิงลกึ ผู้ใหข้ อ้ มูลหลัก ประเภท ผู้บรหิ าร อบต. ประเดน็ หลักท่ี 1 ประเด็นหลักที่ 2 ประเดน็ หลักที่ 3 2) อบต. ต้องอาศัยความรว่ มมอื 2) ศนู ย์กีฬาและนันทนาการ และการสนับสนนุ ปัจจัยใน ควรอยใู่ นการกากับ ดแู ล การดาเนนิ งานจากภาคสว่ น ของ อบต. โดยมีงบประมาณ อนื่ ๆ ในพื้นท่ี จดั สรรมาใหเ้ พ่ือการดูแล 3) ระเบียบการดาเนนิ งานและ รกั ษา และจดั กจิ กรรมตา่ ง ๆ กฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ เกีย่ วกับงาน 3) ศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการควร ดา้ นการสง่ เสริมกีฬาและ ต้งั อยู่ในท่ีท่ีประชาชน นนั ทนาการไม่มีความชัดเจน สามารถเข้าถงึ และใช้งานได้ และไมม่ คี วามยืดหยุ่น อยา่ งสะดวก โดยมีสานักงาน 4) บุคลากรของ อบต. ยังขาด ศนู ยอ์ ย่ใู นบรเิ วณที่ทาการ องค์ความรแู้ ละความชานาญ อบต. เพอื่ ใหบ้ รกิ ารติดต่อ ในวิชาชพี ด้านกีฬาและ ประสานงานกบั ประชาชน นนั ทนาการ และภาคส่วนอื่น ๆ ในท่ี เดยี วกัน หนห้านห้า6น้า 9999 สรุปภาพรวมการตีความจากการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ ผ้ใู ห้ข้อมลู หลัก ประเภท ผู้บริหาร อบต. เม่ือนาข้อมูลจากประเด็นหลักในการสัมภาษณ์เชิงลึก ทั้ง 3 ประเด็น มาวิเคราะห์ ตีความให้เกิดความสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน พบว่า ปัญหาและอุปสรรคสาคัญท่ีทาให้ อบต. ดาเนินงานด้าน กีฬาและนันทนาการในชุมชนลดน้อยลงจากเดิม คือ ปัญหาเก่ียวกับระเบียบ กฎเกณฑ์ และข้อบังคับ ด้านงบประมาณ ท่ีมีผลทาให้ อบต. ไม่สามารถดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการได้อย่างสะดวก และชัดเจน รวมไปถึงงบประมาณท่ีได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐส่วนกลางและส่วนภูมิภาคท่ีไม่ เพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาสาคัญที่ทาให้ อบต. ขาดแรงจูงใจและความกระตือรือร้นในการดาเนินงาน โครงการเพื่อจัดกิจกรรมด้านกีฬาและนันทนาการในชุมชน ท้ังน้ีการดาเนินงานด้านกีฬาและ นันทนาการจากหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องจากส่วนกลาง ก็ยังไม่ลงมาสู่พื้นที่ อบต . เท่าที่ควร นอกจากน้ี อบต. ยังมีข้อจากัดด้านบุคลากรเฉพาะด้าน ซ่ึง อบต. ยังต้องอาศัยความ ร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ในพ้ืนที่ เพ่ือสนับสนุนการดาเนินงาน อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดต้ังศูนย์กีฬา และนันทนาการ อบต. ขึ้น ควรมีบุคลากรที่ชานาญเฉพาะด้าน สามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้านกีฬาและ นันทนาการในชุมชนได้ รวมทัง้ สามารถเป็นผู้นากจิ กรรม และถา่ ยทอดองค์ความรู้ให้กับผู้อ่ืนได้ นอกจากน้ี สถานที่ตั้งศูนย์ควรเข้าถึงง่ายและสะดวกต่อประชาชนในการรับบริการ โดยมีการกากับ ดูแลศูนย์โดย อบต. และมกี ารจดั สรรงบประมาณเพือ่ การดูแล รกั ษาอย่างต่อเน่ือง
2.1.2 ข้ อ มู ล จ า ก ก า ร สั ม ภ า ษ ณ์ เชิ ง ลึ ก ผู้ ให้ ข้ อ มู ล ห ลั ก ป ร ะ เภ ท 2) เ จ้ า ห น้าที่ ผ้ปู ฏิบตั งิ านใน อบต. สามารถสรุปภาพรวมจากการวิเคราะห์ข้อมลู ไดด้ ังนี้ ประเด็นท่ี 1 ปัญหาและอุปสรรคใน การบริหารจัดการ การดาเนินงาน การเข้าร่วมกิจกรรม หรือการรับบริการสาธ ารณ ะ ที่เกี่ยวกับด้าน กีฬาแ ละนัน ทน าการใ น ชุมชนท้องถ่ิน 1) ความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายจากหน่วยงานส่วนกลาง ท่ีให้ อบต. ดาเนนิ การสง่ เสรมิ ด้านกีฬาและนนั ทนาการในชุมชน กับหนว่ ยงานท่ีทาหน้าท่ีตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ ภาครัฐทีม่ ขี ้อห้ามในการเบกิ จา่ ยงบประมาณโครงการดา้ นกีฬาและนนั ทนาการ 2) ประชาชนไม่เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาและนันทนาการ เนื่องจากไม่ได้รับการ อานวยความสะดวกดา้ นอาหารและเครอ่ื งดืม่ ซงึ่ อบต. ใชง้ บประมาณจัดซอ้ื ไม่ได้ 3) ความคิดเห็นท่ีแตกต่างกันของตัวแทนแต่ละหมู่บ้านในการเลือกกิจกรรม กฬี าและนนั ทนาการ 4) ประชาชนขาดความสนใจและการให้ความสาคัญในกิจกรรมกีฬาและ นนั ทนาการ 5) ปญั หาเกยี่ วกบั ยาเสพตดิ และระดับการศึกษาของเด็กและเยาวชน 6) เกิดการทับซ้อนกลุ่มเป้าหมายในการจัดกิจกรรมกีฬาและนันทนาการ หนหา้ นหา้6นา้ ระหว่างเทศบาลตาบลกบั อบต. 101000 “…ปัญหาส่วนมาก มาจากความไม่สนใจของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในพ้ืนที่จะมี ปัญหาเร่ืองยาเสพติด และมีงานทาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ. แม้เราเคยจัดกิจกรรมสอนออกกาลังกาย โดยเจ้าหน้าที่ อบต. นาเอง แบ่งกันไปตามพ้ืนท่ีในแต่ละหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านก็ไม่เห็นความสาคัญมีคนออกมาร่วมออกกาลังกาย เพยี งไม่กค่ี น ต้องคอยประสานงานกับผู้ใหญบ่ ้านใหจ้ ัดหาคนมาเขา้ รว่ ม...” (สัมภาษณ์เจ้าหนา้ ท่สี ว่ นการศกึ ษา อบต. ภาคกลาง) “...จัดกิจกรรมกีฬาก็มีปัญหาบ้าง ส่วนมากก็เรื่องความเห็นของแต่ละหมู่บ้านยอมรับมติที่ประชุม เวลาเราไปจดั กจิ กรรมจรงิ ก็เลยไม่มีปญั หาทเ่ี ปน็ ข้อขดั แย้งมากสักเท่าไหร่…” (สัมภาษณเ์ จ้าหน้าที่ส่วนการศึกษา อบต. ภาคเหนือ) “...ไม่มีใครมาเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา เพราะเมื่อเบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้ก็ไม่มีใครเข้าร่วม เขารู้สึกเสียเวลา อาหาร นา้ กไ็ ม่มีใหก้ นิ ...” “…บางครั้งจัดกีฬาให้ชาวบ้านแล้วมีการเบิกเงินที่ต้องลงช่ือเพื่อเป็นหลักฐาน ทั้ง ๆ ที่อยู่ตาบล เดียวกัน แต่จะให้ประชาชนอยู่ในเขตเทศบาลจะมาลงนามในเอกสารของ อบต. ก็ไม่ได้นะ เท่ากับว่าต้องแบ่ง ประชาชนในตาบลออกตามเขตพ้นื ท่รี ับผิดชอบ เพื่อจัดกจิ กรรมใหอ้ กี ...” (สมั ภาษณ์เจ้าหนา้ ท่สี ่วนการศึกษา อบต. ภาคใต้)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386