Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้(สำหรับครูผู้สอน)_วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี_ป.4-06021335

คู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้(สำหรับครูผู้สอน)_วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี_ป.4-06021335

Published by Guset User, 2021-12-21 05:22:33

Description: คู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้(สำหรับครูผู้สอน)_วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี_ป.4-06021335

Search

Read the Text Version

ชุุดกิิจกรรมการเรีียนรู้�้ (สำ�ำ หรับั ครููผู้�ส้ อน) กลุ่ม�่ สาระการเรียี นรู้ว�้ ิทิ ยาศาสตร์แ์ ละเทคโนโลยีี (วิทิ ยาศาสตร์)์ ภาคเรีียนที่่� ๑ ชั้้น� ประถมศึกึ ษาปีที ี่่� ๔ เล่่ม ๑ ฉบับั ปรัับปรุงุ โครงการส่ว่ นพระองค์์สมเด็็จพระกนิิษฐาธิิราชเจ้้า กรมสมเด็จ็ พระเทพรััตนราชสุดุ าฯ สยามบรมราชกุมุ ารีี มูลู นิธิ ิิการศึึกษาทางไกลผ่่านดาวเทียี ม ในพระบรมราชูปู ถััมภ์์ สำ�ำ นักั งานคณะกรรมการการศึึกษาขั้น�้ พื้้น� ฐาน สถาบันั ส่ง่ เสริมิ การสอนวิทิ ยาศาสตร์์และเทคโนโลยีี

คาํ นาํ ตามท่ีสํานักงานโครงการสวนพระองคสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไดจัดทําชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรูสําหรับใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กที่ขาดครู มีครูไมครบช้ันหรืออยูในพื้นที่หา งไกลทุรกันดาร ซ่ึงประกอบดวย ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครูผูสอน) และชุดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับนักเรียน) หลังจากท่ีมีการนําไปใช พบวาส่ือดังกลาวชวยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กไดเปนอยางดี สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จีงเห็นควรมีการนํา ส่ือดังกลาวมาใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาสทุกโรง เพ่ือชวยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาระดับประถมศึกษาใหดียิ่งข้ึน ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชมาตรฐานการเรียนรูและ ตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี และภูมิศาสตรในกลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตามคําสั่ง กระทรวงศึกษาธกิ ารที่ สพฐ. ๑๒๓๙/๒๕๖๐ ลงวนั ท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จึงไดปรับปรุงชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) ใหสอดคลองกับการประกาศใชมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด และเพื่อใหสะดวกตอการนําไปใชจึงจัดแยกเปน รายชั้นป (ประถมศึกษาปท่ี ๑-๖) และเปนรายภาคเรียน (ภาคเรียนท่ี ๑ และภาคเรียนท่ี ๒) และชุดการจัด กิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) นี้ใชรวมกับชุดการจัดการเรียนรู (สําหรับนักเรียน) ฉบับปรับปรุง ซึ่งจะเปน ประโยชนตอการจัดการเรยี นรูของครผู ูส อน อันจะสงผลตอการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาระดบั ประถมศึกษาตอไป ขอขอบคุณผูทรงคุณวุฒิ ผูบริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก ครู อาจารย และทุกทานท่ีมีสวนเกี่ยวของ กับการปรับปรงุ และจัดทาํ เอกสารมา ณ โอกาสน้ี สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

คาํ ชีแ้ จง ตามท่ีสํานักงานโครงการสวนพระองคสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไดจัดทําชุดการเรียนรู สําหรับใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กท่ีขาดครู มีครูไมครบช้ัน หรืออยูในพื้นทห่ี า งไกลทรุ กนั ดาร ซงึ่ ประกอบดวยชดุ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู (สําหรับครผู สู อน) และชดุ กิจกรรม การเรียนรู (สําหรับนกั เรยี น) หลังจากท่มี กี ารนําไปใช พบวาส่ือดังกลาวชว ยพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของโรงเรียน ขนาดเล็กไดเปนอยางดี สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจึงเห็นควรใหมีการนําส่ือดังกลาวมาใชใน โรงเรยี นประถมศึกษาท่ัวไป เพ่ือชว ยพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษาใหดยี งิ่ ขนึ้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานและสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จึงไดปรับปรุงชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ และเพ่ือใหสะดวกตอการนําไปใช จึงจัดแยกเปนรายชัน้ (ประถมศึกษาปที่ ๑-๖) และแตละระดับชั้นแยก เปนเลม ๑ และเลม ๒ ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) ของระดับชั้นประถมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ นี้ ประกอบดวย ๔ หนวยการเรียนรู ไดแก การจําแนกสิ่งมีชีวิตรอบตัว สวนตาง ๆ ของพืช แรง และแสงและการมองเห็น ซ่ึงแตละ หนวยการเรียนรูจะมุงเนนใหผูเรียนไดเรียนรูวิทยาศาสตรผานการสืบเสาะหาความรู มีการทํากิจกรรมดวยการ ลงมือปฏิบัติ เพื่อใหผูเรียนไดใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร นําความรูท่ีไดไปใชในการดํารงชีวิต และรู เทาทันการเปลี่ยนแปลงของโลกได คณะผูจัดทําหวังเปนอยางยิ่งวา ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครูผูสอน) ของระดับ ช้ันประถมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ น้ี จะเปนประโยชนตอครูผูสอนในการนําไปใชจัดการเรียนรูใหกับนักเรียน เพ่อื เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการจัดการเรียนรูข องครแู ละการเรยี นรขู องนกั เรียนใหสงู ขน้ึ ตอไป สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

สารบัญ หนา 1-4 คาํ แนะนําสาํ หรบั ครผู สู อน 5-7 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร 8 โครงสรา งการจัดกจิ กรรมการเรียนรูกลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 4 9 แนวทางการจดั หนวยการเรยี นรู 10-13 โครงสรางรายวิชาวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี (วทิ ยาศาสตร) ระดับชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 4 หนว ยการเรยี นรูท ี่ 1 การจําแนกสงิ่ มีชีวติ รอบตัว 14 15 มาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวชี้วดั 16 ลําดับการนําเสนอแนวคดิ หลัก 17 ตัวอยางโครงสรา งของแผนการจัดการเรียนรู 18-19 หนวยยอยท่ี 1 การจาํ แนกสงิ่ มชี ีวิต 20-44 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 1-4 การจําแนกสง่ิ มีชวี ติ 45-51 เฉลยใบงาน 52-82 แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 5-9 การจาํ แนกสัตว 83-91 เฉลยใบงาน 92-106 แผนการจัดการเรียนรูที่ 10-12 การจาํ แนกพืชดอก 107-113 เฉลยใบงาน 114 หนวยการเรียนรทู ่ี 2 สวนตาง ๆ ของพืช 115 มาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวชวี้ ัด 116 ลําดับการนําเสนอแนวคดิ หลัก 117 ตวั อยา งโครงสรา งของแผนการจัดการเรยี นรู 118-119 หนว ยยอยที่ 1 หนาที่ราก ลําตน ใบ และดอกของพืช 120-140 แผนการจดั การเรยี นรูที่ 13-15 หนา ทีข่ องรากและลาํ ตน 141-151 เฉลยใบงาน 152-172 แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 16-19 หนา ท่ขี องใบ 173-179 เฉลยใบงาน 180-194 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 20-22 หนา ที่ของดอก 195-204 เฉลยใบงาน

หนว ยการเรียนรทู ี่ 3 แรง 205 มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ชี้วัด 206 ลําดบั การนาํ เสนอแนวคดิ หลัก 207 ตวั อยา งโครงสรา งของแผนการจัดการเรยี นรู 208 209-210 หนว ยยอยที่ 1 แรง 211-230 แผนการจดั การเรยี นรูที่ 23-26 มวลและนาํ้ หนัก 231-238 เฉลยใบงาน 239-255 แผนการจัดการเรียนรูที่ 27-29 ความสัมพันธระหวา งมวลและนํา้ หนกั 256-261 เฉลยใบงาน 262-273 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 30-31 ความสัมพนั ธระหวา งมวลกับการเปล่ยี นแปลง การเคลอื่ นท่ขี องวัตถุ 274-278 เฉลยใบงาน 279 280 หนวยการเรียนรทู ่ี 4 แสง 281 มาตรฐานการเรยี นรแู ละตวั ชวี้ ดั 282 ลําดับการนาํ เสนอแนวคดิ หลัก ตวั อยา งโครงสรางของแผนการจัดการเรยี นรู 283-284 285-308 หนว ยยอยท่ี 1 ตัวกลางของแสง 309-315 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 32-35 แสงและการมองเห็น 316-321 เฉลยใบงาน 322-331 แผนการจดั การเรยี นรูที่ 36 สรุปทา ยบทเรยี น เฉลยแบบทดสอบ 332 บรรณานกุ รม 333-334 คณะผูจ ดั ทาํ

๑ คำแนะนำสำหรบั ครผู สู้ อน ๑. แนวคดิ หลัก การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งให้ผู้เรียนมีความสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระวิทยาศาสตร์และ นาความรู้ไปอธิบายหรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ ทักษะการ แก้ปัญหา ทักษะการเขียน ทักษะการอ่าน นอกจากน้ีในการจัดกิจกรรมยังมุ่งเน้นการเรียนรูรวมกันเปนกลุม ซึง่ เปน็ การเปดโอกาสใหผูเรียนได้รวมกันคิด ปรึกษาหารือ อภิปราย แกปญหา แสดงความคิดเห็น สะท้อน ความคิด และได้นาเสนอผลการทากิจกรรม ซึ่งชวยใหผู้เรียนไดพัฒนาทั้งความรู้ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และทกั ษะอ่ืน ๆ รวมท้ังคุณธรรม จริยธรรมอีกด้วย ในการจัดกลุมอาจจัดเปนกลุม ๒ คน หรือ กลุ่ม ๔-๖ คน หรืออาจจัดกิจกรรมร่วมกันท้ังชั้นทั้งน้ีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นน้ั ๆ ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ส่ิงสาคัญที่ผูสอนควรคานึงถึงเป็นอันดับแรกคือ ความรูพื้นฐานของผูเรียน ผูสอนอาจทบทวนหรือตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรียนโดยใชคาถามหรือกลวิธี ต่าง ๆ ท่ีกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและนาไปสูการเรียนรู้เน้ือหาใหม ขั้นการสอนเนื้อหาใหม่ ผูสอนอาจ กาหนดสถานการณท์ ี่เชอื่ มโยงกบั เร่อื งราวในขั้นทบทวนความรหู้ รอื มีคาถาม และมีกิจกรรมให้นักเรียนได้ลงมือ ปฏิบัติด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (inquiry) ในการค้นหาคาตอบที่สงสัยด้วยตนเอง ผูสอนมีบทบาท เป็นผู้ใหอิสระทางความคิดกับผูเรียน คอยสังเกต ตรวจสอบความเข้าใจและคอยให้ความช่วยเหลือและ คาแนะนาอยา่ งใกลช้ ดิ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผูสอนควรใหผูเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มไดนาเสนอแนวคิด เพราะผเู รียนมีโอกาสแสดงแนวคดิ เพ่มิ เติมรวมกัน ซักถาม อภปิ รายขอ้ ขัดแยง้ ดวยเหตแุ ละผล ผูสอนมีโอกาส เสริมความรู ขยายความรู้หรือสรุปประเด็นสาคัญของสาระที่นาเสนอน้ัน ทาให้การเรียนรู้ขยายวงกว้างและ ลึกมากขึ้น สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ นอกจากน้ียังทาให้ผูเรียนเกิดเจตคติท่ีดี มีความภูมิใจ ในผลงาน เกิดความรูสึกอยากทา กลาแสดงออก และจดจาสาระท่ีตนเองได้ออกมานาเสนอไดนาน รวมท้ัง ฝกึ การเป็นผนู้ า ผู้ตาม รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ ื่น ๒. กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ การนาชดุ การจัดกิจกรรมการเรยี นรูไ้ ปใช้ ครคู วรเตรยี มตวั ล่วงหน้า ดังนี้ ๑. ศกึ ษาโครงสร้างชดุ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เพื่อให้ทราบวา่ ตลอดทง้ั ปีการศึกษา นักเรยี นต้อง เรียนรทู้ ้ังหมดกี่หน่วย แตล่ ะหนว่ ยมหี น่วยยอ่ ยอะไรบา้ ง ใช้เวลาสอนก่ชี ว่ั โมง และมกี แี่ ผน

๒ ๒. ศกึ ษาโครงสร้างหน่วยการเรยี นรู้ วา่ แตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้มีเนื้อหาอะไรบ้าง เน้ือหาละก่ีช่วั โมง ซงึ่ จะชว่ ยให้ครูผู้สอนมองเหน็ ภาพรวมของการสอนในหนว่ ยดงั กล่าวได้อย่างชัดเจน ๓. ศึกษาแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งอยู่หน้าแผนแต่ละแผน เป็นการสรุปแนวการจัดกิจกรรม ในแตล่ ะขัน้ ตอนการสอน ทาให้ครูมองเห็นภาพรวมของการจดั การเรียนรู้ในชว่ั โมงน้นั ๆ ๔. ศึกษาแผนการจดั การเรยี นรู้ ตามหวั ข้อต่อไปนี้ ๔.๑ ขอบเขตเนอื้ หา เปน็ เนื้อหาทนี่ ักเรยี นตอ้ งเรยี นร้ใู นแผนที่กาลงั ศึกษา ๔.๒ สาระสาคญั เปน็ ความคดิ รวบยอดหรอื หลักการที่นกั เรยี นควรจะได้หลังจากได้เรียนรู้ตามแผน ทก่ี าหนด ๔.๓ จุดประสงค์การเรียนรู้ แบ่งเป็นด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ ดา้ นคณุ ธรรม ๔.๔ กิจกรรมการเรียนรู้ แบ่งเป็น ขั้นนา ข้ันสอน และขั้นสรุป ซึ่งแต่ละข้ันครูผู้สอนควรศึกษา ทาความเข้าใจอย่างละเอียด นอกจากนี้ครูควรพิจารณาด้วยว่า ในแต่ละข้ันตอนการสอน ครูจะต้องศึกษาว่ามี ส่อื /อุปกรณ์อะไรบ้าง ๔.๕ ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ เป็นการบอกรายการสื่อ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ท่ีต้องใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรใู้ นชว่ั โมงนน้ั ๔.๖ การประเมิน เป็นการบอกทั้งวิธีการ เครื่องมือ และเกณฑ์การประเมิน สาหรับเคร่ืองมือ การประเมนิ ในชดุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ฯ น้ี ไดจ้ ัดเตรยี มไวใ้ ห้ครผู ู้สอนเรยี บรอ้ ยแล้ว ๓. ส่ือกำรจดั กำรเรยี นรู้ กลุ่มสำระกำรเรียนรูว้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษำปีที่ ๔ ส่ือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ ประกอบด้วย ๓.๑ แผนการจดั การเรียนรู้ สาหรับครใู ชเ้ ปน็ แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ ห้กับนักเรียน ๓.๒ ใบกิจกรรม สาหรับนักเรียนใช้ฝึกทักษะปฏิบัติ หรือสร้างความคิดรวบยอดในบทเรียน โดยใน ใบกิจกรรมจะประกอบด้วยใบงาน ให้นกั เรียนได้บันทึกผลการทากิจกรรม การตอบคาถามหลังจากทากิจกรรม เพื่อทบทวนส่ิงที่ได้เรียนรู้จากการทากิจกรรม และมีแบบฝึกหัดเพื่อประเมินการเรียนรู้หลังจากเรียนจบ ในแตล่ ะกิจกรรม ๓.๓ แบบทดสอบ เปน็ การวัดความรู้ความเขา้ ใจตามตัวช้ีวัดทก่ี าหนดไว้ในหลักสตู ร

๓ ใบกิจกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ได้มีการกาหนดสัญลักษณ์รูปดาว ๕ แฉก จานวน ๔ ดวง และแถบสีส้ม โดย บ. หมายถงึ ใบกจิ กรรม ผ. หมายถึง แผนการจดั การเรยี นรู้ เช่น บ. ๑.๑ / ผ. ๑.๑-๐๑ ระดบั ชน้ั ใบกิจกรรม หน่วยที่ หนว่ ยยอ่ ยที่ แผนท่ี ใบงำนที่ หมายเหตุ เลขแสดงลาดบั ของแผนการจดั การเรียนรู้จะเรียงต่อกนั จนครบทุกแผนในแตล่ ะหนว่ ยย่อย และ ใบงานจะเรียงเลขต่อกนั ในแต่ละแผน เม่ือขึ้นหนว่ ยใหม่ การแสดงลาดับเลขของทั้งหน่วยย่อย แผน และใบงานจะเรม่ิ ต้นใหม่ ๔. ลักษณะชุดกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษำปีท่ี ๔ ชดุ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ จดั ทาเปน็ หน่วยการเรียนรู้ (Learning Unit) โดยผ่านการวิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มาจัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้ ในแต่ละเลม่ เป็น ๒ เล่ม ดังน้ี เล่ม ๑ ประกอบด้วย หน่วยกำรเรยี นรู้ ๔ หน่วย ดังนี้ หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๑ การจาแนกสิ่งมชี ีวติ รอบตัว หน่วยยอ่ ยที่ ๑ การจาแนกส่ิงมีชีวิต

๔ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ สว่ นต่าง ๆ ของพืช หนว่ ยยอ่ ยท่ี ๑ หน้าที่ของราก ลาต้น ใบและดอกของพชื หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๓ แรง หน่วยย่อยท่ี ๑ แรง หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๔ แสง หน่วยยอ่ ยที่ ๑ ตวั กลางของแสง เลม่ ๒ ประกอบด้วยหน่วยกำรเรียนรู้ ๒ หน่วย ดงั น้ี หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๕ วสั ดแุ ละสสาร หนว่ ยย่อยที่ ๑ สมบัตทิ างกายภาพของวัสดุ หนว่ ยย่อยท่ี ๒ สถานะของสาร หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๖ ระบบสรุ ิยะและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ หนว่ ยยอ่ ยที่ ๑ ดวงจันทรข์ องเรา หนว่ ยย่อยที่ ๒ ระบบสุรยิ ะ ๕. แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษำปีที่ ๔ การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษา ปีที่ ๔ กาหนดให้สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ แต่ละหน่วยการเรียนรู้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ หลายแผน แผนละ ๑-๒ ชั่วโมง โดยมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้คือ ขอบเขตเนื้อหา สาระสาคัญ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรซู้ งึ่ มที ้ังด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และด้านคุณธรรม กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ และการประเมิน สาหรับแผนการจัดการเรียนรู้ทุกแผนจะมีแนวการจัดกิจกรรม การเรียนรู้อยู่หน้าแผนทุกแผนซึ่งเป็นการสรุปภาพรวมของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในช่ัวโมงนั้น ๆ ในทุก ข้ันตอนการสอนต้ังแตข่ นั้ นา ข้ันสอน ขั้นสรปุ และการประเมนิ ผล พรอ้ มทัง้ มีเฉลยคาตอบในใบงาน และเฉลย แบบทดสอบอีกด้วย

๕ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skills) การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือนาไปสู่ การสืบเสาะค้นหาผ่านการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง และวิธีการอื่น ๆ เพ่ือนาข้อมูลสารสนเทศและ หลักฐานเชิงประจักษ์มาสร้างคาอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย ทกั ษะการสังเกต (Observing) เป็นความสามารถในการใชป้ ระสาทสมั ผสั อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ หลายอย่างสารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของ ผสู้ งั เกตลงไปด้วย ประสาทสมั ผัสทัง้ ๕ อย่าง ได้แก่ การดู การฟงั เสยี ง การดมกล่ิน การชมิ รส และการสมั ผสั ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จากเครื่องมือท่ีเลือกใช้ออกมาเป็น ตัวเลขไดถ้ กู ตอ้ งและรวดเร็ว พร้อมระบหุ นว่ ยของการวัดได้อย่างถูกต้อง ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดการณ์อย่างมี หลักการเก่ียวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ข้อมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ท่ีเคยเก็บ รวบรวมไวใ้ นอดีต ทักษะการจาแนกประเภท (Classifying) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จัดพวกหรือจัดกลุ่ม ส่ิงต่าง ๆ ที่สนใจ เช่น วัตถุ ส่ิงมีชีวิต ดาว และเทหะวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษาออกเป็น หมวดหมู่ นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑ์หรือลักษณะร่วมลักษณะใดลักษณะ หนึง่ ของสง่ิ ต่าง ๆ ทตี่ ้องการจาแนก ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ (Relationship between Space and Space) และทกั ษะการความสมั พันธร์ ะหวา่ งสเปซกบั เวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ (Space) คือ พ้ืนที่ที่วัตถุครอบครอง ในที่นี้อาจเป็นตาแหน่ง รูปร่าง รูปทรงของวัตถุ สิ่งเหล่านอ้ี าจมคี วามสมั พันธก์ ัน ดงั นี้

๖ ทักษะการหาความสมั พันธร์ ะหว่างสเปซ เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง กับสเปซ (Relationship between Space สัมพันธ์กันระหว่างพ้ืนที่หรือตาแหน่งที่วัตถุ and Space) ตา่ ง ๆ ครอบครอง ทกั ษะการหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปซกบั เป็นความสามารถในการหาความเก่ียวข้อง เวลา (Relationship of Space and Time) สัมพันธ์กันระหว่างพ้ืนท่ีหรือตาแหน่งท่ีวัตถุ ครอบครองเม่ือเวลาผา่ นไป ทักษะการใช้จานวน (Using Number) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิงจานวน และ การคานวณเพ่อื บรรยายหรือระบรุ ายละเอยี ดเชงิ ปรมิ าณของส่ิงทสี่ งั เกตหรือทดลอง ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data) เป็นความสามารถในการนาผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทาให้อยู่ในรูปแบบ ท่ีมีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กันมากข้ึน จนง่ายต่อการทาความเข้าใจหรือเห็นแบบรูปของข้อมูล นอกจากนี้ยังรวมถึงความสามารถในการนาข้อมูลมาจัดทาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพ่อื สอื่ สารใหผ้ ้อู นื่ เขา้ ใจความหมายของข้อมูลมากขน้ึ ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสังเกต การทดลองที่ได้จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ท่ี แม่นยาจึงเป็นผลมาจากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดที่ถูกต้อง การบันทึก และการจัดกระทากับข้อมูลอย่าง เหมาะสม ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการอธิบายถึง เหตุผลของสิ่งท่ีจะเกิดข้ึนก่อนจะทาการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน ของคาอธิบายล่วงหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน การต้ังสมมติฐานหรือคาอธิบายท่ีคิดไว้ล่วงหน้า มักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ตน้ (สิ่งท่เี ป็นต้นเหต)ุ กบั ตวั แปรตาม (ส่ิงทีเ่ ป็นผลจากตน้ เหตุ) ซ่ึงอาจเปน็ ไปตามท่คี าดการณ์ไวห้ รอื ไม่ก็ได้ ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เป็นความสามารถในการ กาหนดความหมายและขอบเขตของสิง่ ตา่ ง ๆ ที่อยใู่ นสมมติฐานของการทดลอง หรือที่เก่ียวข้องกับการทดลอง ให้เข้าใจตรงกนั และสามารถสงั เกตหรือวดั ได้ ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เป็นความสามารถในการ กาหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น และตัวแปรตาม ให้สอดคล้องกับสมมติฐานของการทดลอง รวมถึง ความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น แต่อาจส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรท่ีเก่ียวข้องกับการทดลอง ได้แก่ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และ ตวั แปรทีต่ ้องควบคมุ ใหค้ งที่ ซง่ึ ลว้ นเป็นปัจจยั ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การทดลองดังน้ี

๗ ตวั แปรตน้ ส่งิ ทเ่ี ปน็ ต้นเหตุทาใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลง จงึ ตอ้ งจัด (Independent Variable) สถานการณ์ให้มีสิ่งน้ีแตกต่างกัน ตวั แปรตาม สง่ิ ทีเ่ ปน็ ผลจากการจดั สถานการณบ์ างอย่างให้ (Dependent Variable) แตกตา่ งกัน และเราต้องสงั เกต วัด หรอื ตดิ ตามดู ตัวแปรทต่ี ้องควบคุมให้คงที่ สิ่งตา่ ง ๆ ท่อี าจส่งผลต่อการจัดสถานการณ์ จงึ ตอ้ งจัด (Controlled Variable) สง่ิ เหล่าน้ใี หเ้ หมือนกนั หรอื เท่ากัน เพ่ือใหม้ ่ันใจว่า ผลจากการจดั สถานการณ์เกิดจากตวั แปรตน้ เทา่ นนั้ ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ การออกแบบการ ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็นความสามารถในการ ออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบ และสอดคล้องกับคาถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถึงความสามารถในการดาเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองได้ ละเอยี ด ครบถ้วน และเทีย่ งตรง ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลท่ีมีอยู่ จนสามารถสรุป ความสมั พนั ธข์ องขอ้ มูลทง้ั หมด ทักษะการสร้างแบบจาลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้ส่ิงท่ี ทาข้ึนมา เพ่ือเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคล่ือนไหว รวมถึงความสามารถในการใช้แบบจาลองนาเสนอปรากฏการณ์ อธิบายความสัมพันธ์ของแต่ ละองค์ประกอบในแบบจาลอง และอธบิ ายแนวคดิ รวบยอดเกย่ี วกับปรากฏการณ์ของแบบจาลองแบบตา่ ง ๆ

๘ โครงสรำ้ งของชุดกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี (วิทยำศำสตร)์ ช้นั ประถมศึกษำปีที่ ๔ หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๒ กำรจำแนกสง่ิ มชี ีวิตรอบตวั สว่ นต่ำง ๆ ของพชื (๑๐ ช่วั โมง) (๑๒ ช่ัวโมง) หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ ๖ กลุ่มสำระกำร หน่วยกำรเรยี นร้ทู ่ี ๓ ระบบสรุ ิยะและ เรียนรวู้ ิทยำศำสตร์ แรง (๑๐ ชว่ั โมง) ปรำกฏกำรณท์ ำง (๘๐ ชั่วโมง/ป)ี ดำรำศำสตร์ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๔ (๑๐ ชวั่ โมง) หนว่ ยกำรเรียนรู้ท่ี ๕ แสง วสั ดุและสสำร (๓๐ ชัว่ โมง) (๘ ช่วั โมง) หมำยเหตุ : สามารถปรับโครงสรา้ งเวลาในชัน้ เรียนได้ตามความเหมาะสมกับวนั และเวลาในการจัดการเรียน การสอนจรงิ

๙ แนวทำงกำรจัดหน่วยกำรเรียนรู้ ชั้นประถมศกึ ษำปีท่ี ๔ เลม่ ๑ (ภำคเรียนท่ี ๑) เล่ม ๒ (ภำคเรียนท่ี ๒) หน่วยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๑ กำรจำแนกสง่ิ มีชวี ติ รอบตัว หน่วยกำรเรยี นร้ทู ่ี ๕ วสั ดแุ ละสสำร หน่วยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๒ ส่วนต่ำง ๆ ของพืช หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๓ แรง ระบบสุรยิ ะและปรำกฏกำรณท์ ำงดำรำศำสตร์ หน่วยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ แสง

๑๐ โครงสร้ำงรำยวิชำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (วทิ ยำศำสตร)์ ระดับช้นั ประถมศึกษำปีที่ ๔ หน่วยกำรเรยี นร/ู้ ชัน้ ประถมศึกษำปีที่ ๔ เวลำที่ใช้ (ชม.) ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๑ การจาแนก ว ๑.๓ ป.๔/๑ จาแนกส่งิ มีชีวติ โดยใช้ความ • สิ่งมีชีวิตมหี ลายชนดิ สามารถจดั กล่มุ ไดโ้ ดยใช้ สงิ่ มชี ีวติ รอบตวั / เหมอื นและความแตกตา่ งของลักษณะของ ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะ ๑๐ ชว่ั โมง สง่ิ มชี วี ิต ออกเป็นกลุ่มพชื กลุ่มสตั ว์ และ ต่าง ๆ เช่น กลุม่ พชื สร้างอาหารเองได้ และ กลุ่มที่ไมใ่ ชพ่ ืชและสตั ว์ เคลือ่ นท่ีดว้ ยตนเองไมไ่ ด้ กลุ่มสัตวก์ นิ สิ่งมีชวี ิต อน่ื เปน็ อาหารและเคลอ่ื นที่ได้ กล่มุ ทไ่ี ม่ใชพ่ ืช และสตั ว์ เช่น เห็ดรา จลุ นิ ทรยี ์ ว ๑.๓ ป.๔/๒ จาแนกพชื ออกเปน็ พชื ดอก • การจาแนกพชื สามารถใช้การมดี อกเป็นเกณฑ์ และพชื ไมม่ ดี อก โดยใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์ ในการจาแนก ได้เปน็ พืชดอกและพชื ไม่มดี อก โดยใช้ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ ว ๑.๓ ป.๔/๓ จาแนกสตั วอ์ อกเป็นสัตวม์ ี • การจาแนกสัตว์ สามารถใชก้ ารมกี ระดูก กระดูกสนั หลังและสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั สนั หลังเป็นเกณฑ์ในการจาแนก ไดเ้ ปน็ โดยใช้การมกี ระดูกสนั หลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ สัตว์มีกระดูกสนั หลังและสัตว์ไมม่ ีกระดูก ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ สันหลัง หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ว ๑.๓ ป.๔/๔ บรรยายลกั ษณะเฉพาะท่ี • สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั มีหลายกลุม่ ได้แก่ ๒ ส่วนตา่ งๆของ สังเกตได้ของสัตว์มีกระดกู สนั หลัง กลมุ่ ปลา กลุ่มสะเทินนา้ สะเทินบก พชื / ๑๒ ช่ัวโมง ในกลมุ่ ปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุม่ สัตวเ์ ล้อื ยคลาน กลมุ่ นก และกลุ่มสตั ว์ กลมุ่ สัตว์เลือ้ ยคลาน กล่มุ นก และกล่มุ สัตว์ เลีย้ งลูกด้วยน้านม ซึ่งแต่ละกลมุ่ จะมีลกั ษณะ เลย้ี งลกู ดว้ ยน้านม และยกตัวอยา่ งสง่ิ มชี วี ิต เฉพาะที่สงั เกตได้ ในแต่ละกลุ่ม ว ๑.๒ ป.๔/๑ บรรยายหน้าทข่ี องราก • ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื ดอกทาหน้าท่ีแตกต่างกนั ลาต้น ใบ และดอกของพชื ดอกโดยใช้ขอ้ มูล • รากทาหน้าท่ีดดู น้าและธาตุอาหารข้ึนไปยงั ทรี่ วบรวมได้ ลาต้น • ลาต้นทาหนา้ ทล่ี าเลียงน้าต่อไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื • ใบทาหนา้ ทีส่ ร้างอาหาร อาหารที่พชื สร้างขนึ้ คือนา้ ตาลซ่ึงจะเปลยี่ นเป็นแป้ง • ดอกทาหนา้ ท่ีสบื พนั ธุ์ ประกอบดว้ ย ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ได้แก่ กลีบเลยี้ ง กลบี ดอก

๑๑ หน่วยกำรเรียนรู้/ ชัน้ ประถมศึกษำปีท่ี ๔ เวลำท่ใี ช้ (ชม.) ตัวช้วี ัด สำระกำรเรยี นรู้ เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี ซ่งึ ส่วนประกอบ แตล่ ะสว่ นของดอกทาหนา้ ที่แตกต่างกนั หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ว ๒.๒ ป.๔/๑ ระบุผลของแรงโนม้ ถว่ งที่มี • แรงโนม้ ถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดทีโ่ ลกกระทา ๓ แรง/ ๑๐ ชว่ั โมง ต่อวัตถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ ตอ่ วัตถุ มที ิศทางเข้าสศู่ นู ย์กลางโลก และเป็น ว ๒.๒ ป.๔/๒ ใช้เครื่องช่งั สปรงิ ในการวัด แรงไม่สัมผสั แรงดึงดดู ท่โี ลกกระทากับวัตถุ น้าหนกั ของวัตถุ หนง่ึ ๆ ทาใหว้ ัตถุตกลงสู่พ้ืนโลก และทาใหว้ ัตถุ ว ๒.๒ ป.๔/๓ บรรยายมวลของวตั ถุที่มีผล มนี ้าหนกั วดั น้าหนักของวัตถุได้จากเครือ่ งช่งั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ สปริง นา้ หนกั ของวัตถขุ ึ้นกับมวลของวตั ถุ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยวัตถุท่มี มี วลมากจะมนี า้ หนักมาก วัตถุทม่ี ี มวลนอ้ ยจะมีนา้ หนักน้อย • แรงโนม้ ถ่วงของโลกเปน็ แรงดึงดูดที่โลกกระทา ต่อวตั ถุ มที ิศทางเขา้ สศู่ นู ย์กลางโลก และเปน็ แรงไมส่ ัมผัส แรงดึงดูดท่โี ลกกระทากับวตั ถุ หน่งึ ๆ ทาให้วตั ถตุ กลงสู่พน้ื โลก และทาให้วัตถุ มีน้าหนัก วัดน้าหนักของวตั ถุได้จากเครื่องชง่ั สปรงิ นา้ หนักของวตั ถขุ ้นึ กับมวลของวัตถุ โดยวัตถุท่มี ีมวลมากจะมีน้าหนักมาก วัตถุทม่ี ี มวลน้อยจะมนี า้ หนักน้อย • มวล คือ ปรมิ าณเน้ือของสารทั้งหมดท่ี ประกอบกันเปน็ วัตถซุ ึง่ มีผลต่อความยากงา่ ย ในการเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ วตั ถุ ทีม่ มี วลมากจะเปลีย่ นแปลงการเคล่อื นท่ีได้ยาก กว่าวตั ถุท่มี ีมวลน้อย ดังนนั้ มวลของวัตถุ นอกจากจะหมายถึงเนื้อทง้ั หมดของวตั ถนุ ้นั แลว้ ยงั หมายถงึ การตา้ นการเปลยี่ นแปลงการ เคลอื่ นท่ีของวัตถุนั้นด้วย หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ว ๒.๓ ป.๔/๑ จาแนกวตั ถเุ ปน็ ตัวกลาง • เมอื่ มองสงิ่ ต่าง ๆ โดยมวี ัตถตุ ่างชนิดกันมากน้ั ๔ แสง/ ๘ ช่วั โมง โปรง่ ใส ตัวกลางโปรง่ แสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะการมองเหน็ สิง่ ต่าง ๆ ผ่านวตั ถุ จะทาให้การมองเห็นสิ่งนัน้ ๆ ชดั เจนตา่ งกนั นน้ั เปน็ เกณฑจ์ ากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ จงึ จาแนกวตั ถทุ ่ีมากั้นออกเป็นตวั กลางโปร่งใส ซ่ึงทาใหม้ องเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตวั กลาง โปรง่ แสงทาให้มองเหน็ สงิ่ ต่าง ๆ ไดไ้ มช่ ดั เจน

๑๒ หน่วยกำรเรยี นรู้/ ช้นั ประถมศกึ ษำปที ี่ ๔ เวลำท่ใี ช้ (ชม.) หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ตวั ชว้ี ัด สำระกำรเรียนรู้ ๕ วัสดแุ ละสสาร/ ๓๐ ช่ัวโมง และวตั ถุทบึ แสงทาให้มองไมเ่ ห็นส่ิงต่าง ๆ นั้น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ว ๒.๑ ป.๔/๑ เปรียบเทียบสมบัติทาง • วสั ดแุ ตล่ ะชนิดมีสมบตั ิทางกายภาพแตกต่าง ๖ ระบบสุริยะและ กายภาพด้านความแขง็ สภาพยืดหยนุ่ ปรากฎการณ์ทาง กัน วสั ดุท่ีมคี วามแข็งจะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุ ดาราศาสตร์ /๑๐ ชัว่ โมง การนาความร้อน และการนาไฟฟา้ ของวัสดุ ทมี่ ีสภาพยดื หยนุ่ จะเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งเมอื่ มี โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษจ์ ากการทดลอง แรงมากระทาและกลบั สภาพเดมิ ได้ วสั ดุทน่ี า และระบุการนาสมบตั เิ ร่ืองความแขง็ สภาพ ความรอ้ นจะร้อนได้เรว็ เมื่อได้รบั ความรอ้ น ยดื หย่นุ การนาความร้อน และการนาไฟฟ้า และวสั ดทุ น่ี าไฟฟ้าได้ จะให้กระแสไฟฟ้าไหล ของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจาวัน ผ่าน ผา่ นได้ ดงั น้ัน จงึ อาจนาสมบัติต่าง ๆ มา กระบวนการออกแบบชน้ิ งาน พจิ ารณาเพ่ือใชใ้ นกระบวนการออกแบบ ว ๒.๑ ป.๔/๓ เปรียบเทยี บสมบัตขิ องสสาร ชน้ิ งานเพื่อใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ทั้ง ๓ สถานะ จากขอ้ มลู ท่ีได้จากการสงั เกต • วัสดเุ ปน็ สสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่ มวล การต้องการที่อยู่ รปู รา่ งและปริมาตร สสารมีสถานะเป็นของแขง็ ของเหลว หรือแกส๊ ของสสาร ของแขง็ มีปริมาตรและรูปร่างคงท่ี ของเหลวมี ว ๒.๑ ป.๔/๔ ใช้เครอื่ งมือเพ่ือวดั มวล และ ปริมาตรคงที่แต่มรี ูปรา่ งเปล่ยี นไปตามภาชนะ ปริมาตรของสสารท้งั ๓ สถานะของวสั ดุ เฉพาะสว่ นทบี่ รรจุของเหลว ส่วนแกส๊ มี ปริมาตรและรปู ร่างเปลย่ี นไปตามภาชนะ ท่บี รรจุ • วัสดุเปน็ สสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่ สสารมีสถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรอื แกส๊ ของแขง็ มปี ริมาตรและรูปร่างคงท่ี ของเหลวมี ปริมาตรคงท่ีแตม่ รี ปู รา่ งเปลย่ี นไปตามภาชนะ เฉพาะส่วนท่บี รรจุของเหลว ส่วนแกส๊ มี ปรมิ าตรและรูปรา่ งเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ บรรจุ ว ๓.๑ ป.๔/๑ อธบิ ายแบบรูปเสน้ ทางการ • ดวงจนั ทรเ์ ป็นบรวิ ารของโลก โดยดวงจนั ทร์ ข้นึ และตกของดวงจันทร์โดยใช้หลกั ฐาน โคจรรอบโลกพร้อมกับหมุนรอบตวั เอง ขณะที่ เชงิ ประจกั ษ์ โลกกห็ มุนรอบตัวเองด้วยเชน่ กนั การหมุนรอบ ว ๓.๑ ป.๔/๒ สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบาย ตวั เองของโลกจากทิศตะวนั ตกไปทิศตะวันออก แบบรูปการเปลย่ี นแปลงรปู ร่างปรากฏของ ในทศิ ทางทวนเข็มนาฬิกาเม่ือมองจากข้วั โลก ดวงจนั ทร์ และพยากรณร์ ปู ร่างปรากฏของ เหนือ ทาใหม้ องเหน็ ดวงจันทร์ปรากฏขึ้น ดวงจนั ทร์ ทางดา้ นทิศตะวันออกและตกทางดา้ นทิศ

๑๓ หนว่ ยกำรเรียนร/ู้ ชัน้ ประถมศึกษำปที ี่ ๔ เวลำที่ใช้ (ชม.) ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรียนรู้ ว ๓.๑ ป.๔/๓ สรา้ งแบบจาลองแสดง ตะวนั ตก หมุนเวยี นเป็นแบบรูปซา้ ๆ องคป์ ระกอบของระบบสรุ ิยะ และอธิบาย • ดวงจนั ทร์เปน็ วัตถทุ ีเ่ ปน็ ทรงกลม แต่รูปรา่ ง เปรียบเทียบคาบการโคจรของดาวเคราะห์ ของดวงจนั ทร์ทีม่ องเหน็ หรอื รูปรา่ งปรากฏของ ต่าง ๆ จากแบบจาลอง ดวงจนั ทรบ์ นท้องฟา้ แตกตา่ งกันไปในแต่ละวัน โดยในแตล่ ะวันดวงจนั ทร์จะมีรูปรา่ งปรากฏ เปน็ เสยี้ วทม่ี ขี นาดเพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่องจนเต็ม ดวง จากนัน้ รูปรา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์จะ แหวง่ และมขี นาดลดลงอยา่ งต่อเน่ืองจนมอง ไม่เหน็ ดวงจันทร์จากนน้ั รปู ร่างปรากฏของ ดวงจันทร์จะเป็นเสีย้ วใหญข่ ้นึ จนเต็มดวง อีกครั้ง การเปล่ยี นแปลงเช่นนเ้ี ปน็ แบบรปู ซา้ กนั ทกุ เดือน • ระบบสุริยะเปน็ ระบบที่มดี วงอาทติ ยเ์ ป็น ศนู ย์กลางและมบี รวิ ารประกอบดว้ ย ดาวเคราะหแ์ ปดดวงและบริวาร ซงึ่ ดาวเคราะห์แตล่ ะดวงมขี นาดและระยะหา่ ง จากดวงอาทติ ยแ์ ตกต่างกัน และยัง ประกอบด้วย ดาวเคราะหแ์ คระ ดาวเคราะห์ นอ้ ย ดาวหาง และวตั ถุขนาดเลก็ อื่น ๆ

๑๔ หนว่ ยกำรเรียนรู้ท่ี ๑ กำรจำแนกส่ิงมีชีวิตรอบตวั

๑๕ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตัวชีว้ ัดของหน่วยกำรเรียนร้ทู ี่ ๑ กำรจำแนกสงิ่ มชี ีวิตรอบตัว มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตัวชว้ี ัด มำตรำฐำน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวฒั นาการของสง่ิ มชี วี ิต รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด ป.๔/๑ จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิตออกเป็น กลุ่มพชื กลุ่มสตั ว์ และกลุม่ ท่ีไม่ใช่พืชและสตั ว์ ป.๔/๒ จาแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก โดยใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ ป.๔/๓ จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมี กระดกู สันหลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ ป.๔/๔ บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง ส่งิ มชี ีวติ ในแต่ละกลุ่ม

๑๖ ลำดับกำรนำเสนอแนวคิดหลกั ของหนว่ ยกำรเรียนรู้ที่ ๑ กำรจำแนกสง่ิ มชี ีวติ รอบตัว สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด แตล่ ะชนดิ มีลักษณะบางอยา่ งทีเ่ หมือนกนั และลักษณะบางอยา่ งแตกต่างกนั ถ้าใช้การเคลื่อนท่ีและสร้างอาหารเปน็ เกณฑ์ในการจาแนก จะจาแนกส่งิ มชี วี ิตไดเ้ ปน็ กลุ่มพชื กล่มุ สัตว์ และกลุม่ ทีไ่ ม่ใชพ่ ชื และสัตว์ กลุม่ สัตว์เป็นสิง่ มีชวี ิตท่ีสร้างอาหารเองไม่ไดแ้ ละเคลื่อนท่ีได้ กล่มุ พชื เปน็ ส่ิงมีชวี ิตทีส่ ร้างอาหารเองได้และ เคลอ่ื นที่ไม่ได้ ส่วนกลมุ่ ท่ีไมใ่ ช่พชื และสัตว์ มลี ักษณะแตกต่างจากนี้ สัตว์มหี ลายชนิด แต่ละชนดิ มีลักษณะบางอยา่ งทเี่ หมือนกันและแตกตา่ งจากสตั วช์ นดิ อื่น ถ้าใชก้ ารมีกระดูกสนั หลังเป็นเกณฑ์ในการจาแนกจะจาแนกสตั ว์ได้เปน็ กลุ่มสตั ว์มีกระดูกสันหลัง และกลุ่มสตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลัง พืชมหี ลายชนดิ แตล่ ะชนดิ มลี ักษณะบางอยา่ งที่เหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน ถ้าใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์ในการจาแนกพืชจะจาแนกพชื ได้เป็นกลุ่มพืชดอก และกลมุ่ พืชไมม่ ีดอก

๑๗ ตัวอยำ่ งโครงสร้ำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ของหน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี ๑ กำรจำแนกสิง่ มีชวี ติ รอบตวั แผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ การจาแนกสงิ่ มชี วี ติ การจาแนกสตั ว์ (การจาแนกพชื ดอก (๕ ช่ัวโมง) (๔ ชวั่ โมง) (๓ ชวั่ โมง) หน่วยย่อยท่ี ๑ (การจาแนกสง่ิ มชี วี ติ ) หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๑ กำรจำแนกสิง่ มชี ีวติ รอบตัว (๑๒ ชั่วโมง) หมำยเหตุ : โครงสรา้ งเวลานีเ้ ป็นตัวอยา่ งสาหรับในการจัดการเรยี นการสอน ซงึ่ สามารถปรบั ไดต้ าม ความเหมาะสมกบั วนั และเวลา

๑๘ หน่วยย่อยที่ ๑ กำรจำแนกสิ่งมชี ีวติ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๑ ชื่อหน่วย กำรจำแนกสิ่งมีชีวติ รอบตัว จำนวนเวลำเรียน ๑๒ ช่วั โมง จำนวนแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ ๓ แผน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สำระสำคัญของหน่วย สิ่งมีชวี ิตมีหลายชนิดซ่ึงแต่ละชนิดมีลักษณะบางอย่างเหมือนกันและแตกต่างกัน ซ่ึงสามารถนามาใช้ เป็นเกณฑ์ในการจาแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ ในกลุ่มพืชและ กลุม่ สัตวย์ ังสามารถจัดเปน็ กล่มุ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ีกขนึ้ อยกู่ ับเกณฑท์ ี่ใช้ มำตรฐำนและตัวช้วี ัด มำตรำฐำน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของสิ่งมชี ีวติ รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้วี ัด ป.๔/๑ จาแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็น กล่มุ พชื กลุ่มสตั ว์ และกลุ่มที่ไม่ใชพ่ ืชและสัตว์ ป.๔/๒ จาแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก โดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลท่ี รวบรวมได้ ป.๔/๓ จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูก สนั หลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ ป.๔/๔ บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก กลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง สิ่งมชี ีวิตในแต่ละกลุ่ม

๑๙ ลำดับกำรนำเสนอแนวคิดหลักของหน่วยย่อยที่ ๑ กำรจำแนกส่งิ มชี วี ิต สง่ิ มชี ีวติ มหี ลายชนิด แต่ละชนิดมีลกั ษณะบางอยา่ งทเี่ หมือนกันและลกั ษณะบางอย่างแตกต่างกนั ถา้ ใชก้ ารเคลื่อนท่ีและสรา้ งอาหารเป็นเกณฑใ์ นการจาแนก จะจาแนกสิง่ มีชีวติ ไดเ้ ป็นกลุ่มพชื กลุ่มสัตว์ และ กลุ่มที่ไมใ่ ชพ่ ืชและสตั ว์ กลุ่มสตั วเ์ ป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้และเคล่อื นที่ได้ กลุม่ พืชเป็นสิ่งมีชวี ติ ทส่ี ร้างอาหารเองได้และ เคลอ่ื นที่ไม่ได้ สว่ นกลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ มีลักษณะแตกต่างจากนี้ สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมลี กั ษณะบางอย่างท่ีเหมือนกันและแตกต่างจากสัตว์ชนิดอนื่ ถา้ ใชก้ ารมีกระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ในการจาแนก จะจาแนกสัตว์ได้เป็นกลุ่มสตั ว์มกี ระดกู สันหลัง และกล่มุ สตั วไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั พืชมีหลายชนิด แตล่ ะชนิดมีลกั ษณะบางอย่างท่ีเหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน ถ้าใช้การมดี อกเป็นเกณฑ์ในการจาแนกจะจาแนกพืชได้เป็นกลมุ่ พืชดอก และกลมุ่ พืชไม่มีดอก โครงสร้ำงของหนว่ ยย่อยที่ ๑ กำรจำแนกส่ิงมชี วี ติ หนว่ ยกำรเรียนรู้ ชือ่ หน่วยย่อย จำนวนแผน ชอ่ื แผนกำรจดั กำร จำนวนชว่ั โมง เรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ หน่วยยอ่ ยที่ ๑ ๔ ๑ การจาแนก การจาแนกสิ่งมีชีวติ ๓ การจาแนกสง่ิ มีชิวติ ๕ ส่งิ มีชีวติ รอบตัว ๓ การจาแนกสัตว์ การจาแนกพชื ดอก

๒๐ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่ี 1 กลุ่มสำระกำรเรียนรูว้ ทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษำปที ี่ 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหัสวชิ ำ ว 14101 หน่วยกำรเรยี นรู้ที่ 1 กำรจำแนกสง่ิ มีชวี ติ รอบตวั หน่วยย่อยที่ 1 กำรจำแนกส่ิงมีชวี ติ แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่ืองกำรจำแนกสิง่ มีชวี ติ (1) เวลำ 1 ชัว่ โมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตัวชี้วัด สำระท่ี 1 วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพวิวฒั นาการ ของสิ่งมีชวี ติ รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วดั ป.4/1 จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิตออกเป็น กล่มุ พืช กลุม่ สัตว์ และกล่มุ ท่ีไม่ใช่พืชไมใ่ ช่สัตว์ 2. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 2.1 ดำ้ นควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - ระบลุ ักษณะของสิง่ มชี ีวิตที่กาหนดให้ 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - สังเกตลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ติ ทีก่ าหนดให้ 2.3 ดำ้ นคุณลักษณะ เจตคติ ค่ำนยิ ม (A) - มีความมุ่งมัน่ ในการทางาน ชว่ ยเหลอื ในการทางานกลุ่มร่วมกัน 3. สำระสำคัญ ส่งิ มีชวี ติ มหี ลายชนดิ ซง่ึ แตล่ ะชนดิ มีลกั ษณะบางอย่างทีเ่ หมือนกัน และลักษณะบางอยา่ งแตกต่างกนั 4. สำระกำรเรียนรู้ ควำมรู้ สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด ซ่ึงแต่ละชนิดมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น การสืบพันธ์ุ การเจริญเติบโต การหายใจ และลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน เช่น การกินอาหาร การเคล่ือนไหวได้ด้วยตนเอง โดยส่ิงมีชีวิต บางชนิดสามารถสร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ตอ้ งกินสงิ่ มีชีวิตอ่ืนเป็นอาหาร แต่บางชนิดจะสร้างอาหารเองได้ ไม่ต้อง กินสิ่งมีชีวิตอ่ืนเป็นอาหาร และบางชนิดสามารถเคล่ือนไหวได้ด้วยตนเองโดยเคล่ือนทีได้ แต่บางชนิด เคลอ่ื นไหวไดด้ ้วยตนเองแต่ไมส่ ามารถเคล่ือนที่ไปได้

๒๑ ทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ - การสงั เกต - การลงความเหน็ จากขอ้ มูล 5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น 5.1 ความสามารถในการสือ่ สาร - บอกลักษณะตา่ ง ๆ ของสิ่งมีชวี ิตแตล่ ะชนดิ 5.2 ความสามารถในการคดิ - เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของสิ่งมชี ีวิตแต่ละชนดิ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแก้ปัญหาและการช่วยเหลอื ในการทางานกลุ่มร่วมกนั 5.4 ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต - มคี วามสามัคคีในการทางานกล่มุ รว่ มกนั 6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มงุ่ มน่ั ในการทางาน 6.2 ซ่ือสัตย์สุจริต 7. กจิ กรรมกำรเรียนรู้ ขั้นนำเขำ้ ส่บู ทเรียน (10 นำที) 1. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับสง่ิ มีชวี ติ โดยอาจใช้รูปสิ่งมชี วี ิตตา่ ง ๆ เชน่ ลิง ปลาฉลาม ผเี สอื้ เหด็ นางฟ้า ต้นมะนาว ประกอบกบั การใช้คาถามดังนี้ 1.1 จากรปู ส่งิ มชี วี ิตตา่ ง ๆ นักเรยี นคดิ วา่ รปู ใดบ้างเปน็ สิ่งมีชีวติ (ทุกรปู ) 1.2 เพราะเหตุใด จงึ คดิ ว่ารูปเหลา่ นัน้ เป็นส่ิงมีชีวติ (เพราะส่ิงมีชีวิตจะมลี กั ษณะต่าง ๆ ได้แก่ หายใจได้ กินอาหารได้ เจริญเติบโตได้ เคลื่อนไหวไดด้ ว้ ยตนเอง ขับถ่าย สบื พนั ธุ์ และ ตอบสนองต่อส่งิ เร้าได้) 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกบั การจาแนกสงิ่ มีชีวิต โดยใช้คาถามดังนี้ 2.1 สิง่ มีชวี ติ ในรูปมีลกั ษณะใดบ้างทีเ่ หมือนกันและแตกต่างกัน (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ ของตนเอง เชน่ ลิงและปลาฉลามเคล่ือนที่ได้เหมือนกนั แต่เห็ดนางฟ้า และตน้ มะนาว ท้ังหมดเคล่ือนท่ีไม่ได้) 2.2 ถา้ นักเรียนจะจาแนกสง่ิ มีชวี ิตตา่ ง ๆ น้ีออกเป็นกลุ่ม ๆ นักเรยี นจะใชเ้ กณฑ์อะไรในการจัด กลมุ่ และจะจัดได้ก่ีกลมุ่ อะไรบา้ ง (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เชน่ ใชก้ ารมีขา และไมม่ ีขาเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 กลมุ่ คือ กลุ่มที่มีขา ไดแ้ ก่ ลงิ และกลมุ่ ไมม่ ีขา ได้แก่ ปลาฉลาม ผีเสอื้ เหด็ นางฟา้ ต้นมะนาว)

๒๒ หมำยเหตุ หากนักเรียนไมเ่ ขา้ ใจความหมายของคาว่าเกณฑ์ ครอู าจอธิบายเพิม่ เติมวา่ เกณฑ์คือ สงิ่ ท่ใี ชใ้ นการพจิ ารณาเพ่ือจดั กล่มุ สิ่งต่าง ๆ ออกจากกนั ข้นั สอน (45 นำท)ี 3. ครใู ห้นกั เรียนร่วมกันอา่ นชื่อกิจกรรม จดุ ประสงค์ในกจิ กรรมที่ 1 เราจาแนกส่ิงมีชวี ติ ได้อยา่ งไร ข้อ 1 จากนนั้ อภิปรายเพ่อื ทาความเข้าใจลกั ษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชวี ิตทอี่ ยู่ในตารางในใบงาน 01 การจาแนกสง่ิ มชี วี ิต โดยใชค้ าถามดังนี้ 3.1 จากกิจกรรมนี้ นกั เรียนจะได้เรยี นรูเ้ กี่ยวกับเร่ืองอะไร (ลกั ษณะตา่ งๆ ของสิ่งมชี วี ิต) 3.2 นกั เรียนจะเรียนร้โู ดยใช้วธิ ีใด (รวบรวมข้อมูล) 3.3 เมื่อจบกจิ กรรมนี้นักเรยี นต้องทาอะไรได้ (เปรียบเทยี บลักษณะของสงิ่ มีชวี ิต) 4. ครูให้นกั เรยี นอ่านวัสดุอปุ กรณ์ และวธิ ีทาข้อ 1 กจิ กรรมที่ 1 เราจาแนกสิ่งมชี ีวติ ได้อยา่ งไร ข้อ 1 หน้า 3 แลว้ ใชค้ าถามดงั นี้ 4.1 นักเรียนต้องทาอะไรเปน็ อนั ดับแรก (สงั เกตสิ่งมีชีวิตในบตั รภาพ) 4.2 บตั รภาพดงั กล่าวอยใู่ นหน้าใด (อยู่ใน QR code หน้า 3) 4.3 เม่ือสงั เกตส่งิ มชี ีวิตในบัตรภาพแลว้ นกั เรยี นตอ้ งทาอะไรตอ่ (บันทึกลกั ษณะของสิ่งมีชีวิต) 4.4 ลกั ษณะส่ิงมชี ีวิตที่จะต้องสังเกตมีอะไรบา้ ง (การกินอาหาร การหายใจ การเคล่ือนไหวได้ ดว้ ยตนเอง การหายใจ การเจรญิ เติบโต การสืบพันธ์ุ และลักษณะอนื่ ๆ เช่น ท่ีอยูอ่ าศยั ) หากนักเรยี นยงั ไม่เข้าใจ ครูสามารถนาอภปิ รายเก่ยี วกับการสงั เกตลักษณะต่าง ๆ ของส่งิ มีชวี ิต ทีน่ ักเรยี นต้องบันทึกในตาราง ซึ่งอยู่ในใบงาน 01 การจาแนกสิง่ มีชีวิต หนา้ 8 ว่าจะสงั เกตอย่างไร เช่น การกินอาหาร ให้สังเกตวา่ เป็นการกินส่ิงมีชวี ิตอ่นื เป็นอาหาร ให้บันทกึ ในช่อง “สรา้ งอาหารเองไมไ่ ด้” แต่ถ้าสามารถสรา้ งอาหารเองไดแ้ ลว้ นาไปใช้ ไมต่ ้องกินสงิ่ มีชีวตอน่ื ใหบ้ ันทึกในช่อง “สร้างอาหาร เองได้” ซ่งึ อธบิ ายนกั เรยี นต่อได้วา่ ส่ิงมีชีวติ ทีส่ รา้ งอาหารเองไดน้ ัน้ หมายถงึ การที่รา่ งกายของสงิ่ มชี ีวติ สรา้ งขึน้ ได้เองภายในรา่ งกายซง่ึ แตกต่างจากการทาอาหาร นอกจากนก้ี ารเคล่ือนไหวไดด้ ้วยตนเอง เปน็ การทรี่ ่างกายไม่อยู่นิง่ ดว้ ยตนเองโดยไมม่ แี รงอืน่ จากภายนอกมากระทา เช่น ลม พลงั งานไฟฟ้า หรือพลงั งานอ่ืน มาทาให้เคล่ือนไหว โดยให้นักเรียน พจิ ารณาว่า เคลื่อนไหวแบบยังอยู่กบั ที่ ใหบ้ ันทึกในชอ่ ง “เคล่ือนท่ีไม่ได้” หรือเคลอื่ นไหวแบบยา้ ยที่ ไปได้ จะเรียกว่า เคลอื่ นท่ีได้ การหายใจสังเกตจากรา่ งกายของสง่ิ มีชวี ติ ตรงบรเิ วณอกหรอื ท้องมีการขยบั หรอื มจี มกู หรอื มชี ่องให้ลมเข้าออกได้ การเจรญิ เติบโตสงั เกตจากการทสี่ ่ิงมชี ีวติ มีขนาดใหญ่ข้ึน สูงขนึ้ การสืบพันธุ์สังเกตไดจ้ ากมกี ารเพมิ่ จานวนของส่งิ มชี ีวติ ได้ 5. ตัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ไปรับบัตรภาพส่ิงมชี วี ิต (ซึ่งครูดาวนโ์ หลดจาก QR code ออกมาแล้ว มาทาเป็นบตั รภาพทีม่ ีขนาดเหมาะสมกบั วัยของนักเรยี น) และให้นักเรียนช่วยกนั สงั เกตลักษณะ ต่าง ๆ ของสงิ่ มชี วี ติ อภิปรายและบันทึกลงในใบงาน 01 การจาแนกส่ิงมีชวี ติ

๒๓ 6. ครูส่มุ นักเรียน 2 กลุ่มออกมานาเสนอผลการบันทกึ ลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ติ ตามใบงาน 01 โดยครรู ับฟงั และตรวจสอบความถูกต้องในสงิ่ ทีน่ กั เรยี นบันทึก ครูอาจเขียนตาราง ลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ไว้บนกระดาน เพื่อให้นกั เรยี นไดเ้ หน็ ร่วมกนั 7. ครูและนกั เรียนร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกบั ผลการสังเกตลักษณะของสง่ิ มีชวี ติ โดยอาจใช้คาถามดังนี้ 7.1 สิ่งมชี วี ิตท่ีนักเรยี นสงั เกตมที งั้ หมดก่ีชนิด (12 ชนดิ ) 7.2 จากตาราง ลักษณะของสิ่งมีชวี ติ ที่นักเรียนพิจารณามีก่ีลักษณะ อะไรบ้าง (6 ลกั ษณะ ได้แก่ การกินอาหาร การเคลือ่ นไหว การหายใจ การเจริญเตบิ โต การสบื พนั ธ์ุ และลักษณะอน่ื ๆ เชน่ ทอ่ี ยู่อาศัย) 7.3 คนกบั กหุ ลาบมีลักษณะใดที่เหมอื นหรือต่างกันอย่างไร (ลกั ษณะท่ีเหมือนกันคือหายใจได้ เจริญเติบโตได้ สืบพนั ธุ์ได้ เคล่อื นไหวได้ ส่วนลักษณะทแี่ ตกตา่ งกันคอื คนตอ้ งกนิ สงิ่ มีชีวิต อ่นื หรอื สรา้ งอาหารเองไมไ่ ด้ และเคลื่อนที่ได้ แต่กหุ ลาบสร้างอาหารได้เองและเคลือ่ นท่ี ไม่ได้) 7.4 มา้ กบั งมู ลี ักษณะใดทีเ่ หมือนหรอื ต่างกัน อย่างไร (มลี ักษณะเหมอื นกนั ทุกลกั ษณะของ สง่ิ มีชวี ติ แตต่ า่ งกนั ในเรื่องที่อยู่อาศยั โดยม้าอาศัยอย่บู นบก แต่งูอาศยั ท้ังบนบกและในน้า) 7.5 เหด็ กบั รามลี ักษณะอะไรบ้าง (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง ) ครบู ันทกึ คาตอบ ของนักเรยี นไว้แล้วจะนามาอภิปรายในคาบถดั ไป 7.6 สิง่ มีชวี ิตทกุ ชนิดในตาราง ยกเว้นเห็ดและรา มลี กั ษณะใดบ้างที่เหมือนกัน (มีการหายใจ มีการสืบพนั ธุ์ มีการเจริญเติบโต การเจริญเติบโต และการตอบสนองต่อส่งิ เรา้ ) 7.7 สงิ่ มีชีวิตทุกชนดิ ในตาราง ยกเวน้ เหด็ และรา มีลกั ษณะใดบา้ งท่ตี ่างกัน (การเคล่ือนที่ได้กับ การเคล่อื นทีไ่ มไ่ ด้ การสรา้ งอาหารเองไดก้ บั การสร้างอาหารเองไม่ได้) 8. ครูอาจให้นกั เรียนไปเปดิ วีดิทัศน์เกี่ยวกบั สงิ่ มชี วี ิตตา่ ง ๆ ในอินเทอร์เน็ตเพมิ่ เติมท่บี ้าน เพอื่ สงั เกต ลักษณะต่าง ๆ ของส่ิงมีชวี ติ ให้ชัดเจนมากย่งิ ข้นึ ขน้ั สรปุ (5 นำที) 9. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนสรปุ แนวคิดหรอื สง่ิ ที่ได้เรียนรใู้ นชวั่ โมงน้ีดว้ ยตนเองเกี่ยวกบั ลักษณะของ สิง่ มชี วี ิต 10. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปเก่ยี วกับลกั ษณะตา่ ง ๆ ของสงิ่ มีชวี ติ แตล่ ะชนิดว่า สิ่งมีชวี ติ มีหลายชนดิ ซง่ึ แตล่ ะชนดิ มลี ักษณะบางอยา่ งทเ่ี หมือนกนั เชน่ การสบื พันธ์ุ การเจรญิ เติบโต การหายใจ และ ลกั ษณะบางอยา่ งแตกตา่ งกัน เชน่ การกนิ อาหาร การเคล่ือนไหวได้ดว้ ยตนเอง โดยสิง่ มชี วี ิต บางชนิดสามารถสรา้ งอาหารเองไม่ได้ ต้องกินสง่ิ มชี วี ติ อืน่ เป็นอาหาร แตบ่ างชนิดจะสร้างอาหาร เองได้ ไม่ต้องกนิ สิง่ มีชีวิตอ่นื เป็นอาหาร และบางขนิดสามารถเคลือ่ นไหวไดด้ ว้ ยตนเอง โดยเคลอื่ นทไ่ี ด้ แตบ่ างชนิดเคล่ือนไหวไดด้ ว้ ยตนเองแต่ไม่สามารถเคล่ือนที่ไปได้ 8. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสิ่งมชี วี ิต หน้า 8 8.2 บัตรภาพสง่ิ มีชวี ิต

๒๔ 9. ชนิ้ งำน/ภำระงำน 9.1 การสงั เกตลักษณะของส่ิงมชี วี ิต 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสง่ิ มชี ีวิต หน้า 8 10. กำรวดั และประเมินผล 10.1 ประเมนิ ความร้เู รื่องลักษณะของสงิ่ มีชวี ิตดว้ ยการตอบคาถามในช้ันเรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้วยแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้วยแบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)

๒๕ แบบประเมนิ ด้ำนทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ แผนกำรเรียนร้ทู ี่ 1 เรือ่ ง กำรจำแนกสิง่ มีชวี ติ (1) เกณฑ์การประเมินมดี ังน้ี 3 หมายถึง ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ปรบั ปรุง สิง่ ทปี่ ระเมนิ คะแนน การสังเกต การลงความเหน็ จากข้อมูล รวมคะแนน เกณฑก์ ำรประเมิน ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใช้ตาและมือใน สามารถใชต้ าและมือใน สามารถใชต้ าและมือใน การรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกบั การลงความเหน็ ลักษณะต่างๆของสิง่ มชี วี ติ การรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกับ การรวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับ จากขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง โดยไมเ่ พิ่มเติม ความคิดเห็น ลักษณะตา่ ง ๆ ของ ลักษณะตา่ ง ๆ ของ สามารถเพิ่มเตมิ ความเหน็ สิ่งมีชีวิต จากการชแ้ี นะ สิง่ มีชีวติ ไดบ้ างลกั ษณะ เกีย่ วกับลกั ษณะตา่ ง ๆ ของสิ่งมีชวี ิต ได้อยา่ งมี ของครูหรอื ผอู้ น่ื แมจ้ ะไดร้ ับคาแนะนาจาก เหตุผล จากความรู้หรือ ประสบการณ์เดมิ ไดด้ ว้ ย ครูหรือผ้อู ่นื ตนเอง สามารถเพ่ิมเติมความเห็น สามารถเพ่ิมเตมิ ความเห็น เกีย่ วกบั ลกั ษณะตา่ ง ๆ เก่ียวกับลกั ษณะตา่ ง ๆ ของส่งิ มชี วี ิต ไดอ้ ย่างมี ของสง่ิ มีชีวิตได้อยา่ งมี เหตผุ ล โดยอาศัยคาแนะนา เหตผุ ลในบางครัง้ แม้จะ ของครหู รือผ้อู ื่น ไดร้ บั คาแนะนาจากครูหรือ ผู้อนื่

๒๖ แบบประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่ือง กำรจำแนกสิง่ มีชีวติ (1) ชอื่ ผ้ปู ระเมนิ /กลมุ่ ประเมิน………………………………………………………………………………………….............................. ชอ่ื กลุ่มรบั กำรประเมิน……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมนิ ผลครั้งที่…………………....……....... วัน ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เร่ือง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ที่ ลกั ษณะ/พฤติกรรมบ่งชี้ ระดับพฤตกิ รรม คะแนนทไี่ ด้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. มงุ่ มน่ั ในการทางาน 2. ซ่ือสตั ย์สจุ ริต รวมคะแนนทไี่ ดท้ ้งั หมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ตา่ กวา่ 50 % ได้ 1 คะแนน

๒๗ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 2 กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษำปที ่ี 4 ภำคเรยี นท่ี 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหสั วชิ ำ ว 14101 หน่วยกำรเรยี นร้ทู ่ี 1 กำรจำแนกส่งิ มชี วี ิตรอบตวั หนว่ ยย่อยท่ี 1 กำรจำแนกสงิ่ มชี วี ติ แผนกำรจัดกำรเรยี นรูท้ ี่ 2 เรอื่ งกำรจำแนกสง่ิ มชี วี ิต (2) เวลำ 1 ชว่ั โมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตัวช้ีวัด สำระทื1่ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธุกรรมทีม่ ีผลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพวิวฒั นาการ ของสงิ่ มีชวี ติ รวมท้งั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชวี้ ดั ป.4/1 จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิตออกเป็น กลมุ่ พชื กลมุ่ สัตว์ และกลมุ่ ที่ไมใ่ ช่พืชไม่ใชส่ ตั ว์ 2. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - อธบิ ายลกั ษณะของเหด็ รา และแบคทีเรยี 2.2 ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) - จาแนกสง่ิ มชี ีวิตทก่ี าหนดให้ พร้อมทงั้ ระบเุ กณฑ์ท่ีใช้ในการจาแนกสิ่งมชี วี ติ 2.3 ด้ำนคณุ ลักษณะ เจตคติ คำ่ นยิ ม (A) - มุ่งมัน่ ในการทางาน - มวี ินยั 3. สำระสำคัญ เห็ด รา และแบคทเี รยี เปน็ ส่งิ มีชวี ติ ซึง่ มลี ักษณะบางอยา่ งเหมือนและแตกตา่ งจากสิ่งมีชวี ติ อื่น เราสามารถจาแนกส่งิ มชี วี ิตออกเป็นกลุ่มได้โดยใช้ลักษณะบางลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวิตท่ีมีร่วมกันเป็นเกณฑ์ 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ เห็ด รา แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีลักษณะบางอย่างเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอ่ืน ได้แก่ สามารถหายใจ เจริญเติบโต เคล่ือนไหวได้ด้วยตนเอง สืบพันธ์ุได้ แต่เห็ดและราจะเคล่ือนที่ไม่ได้ และไม่สามารถสร้างอาหาร เองได้ แตจ่ ะได้รับอาหารจากการยอ่ ยสลายซากส่ิงมชี ีวติ และอาหารท่วั ไปท่ีคนและสตั ว์รบั ประทาน ส่วนแบคทีเรยี จะเคล่อื นทไี่ ด้ แตบ่ างชนดิ สรา้ งอาหารเองได้ บางชนดิ ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้

๒๘ เราสามารถจาแนกสิง่ มีชวี ติ ออกเป็นกลุ่มได้โดยใช้ลักษณะบางลกั ษณะของส่งิ มีชีวติ เป็นเกณฑ์ เชน่ ถ้าใช้การเคล่ือนที่เป็นเกณฑ์ สามารถจัดกลุ่มส่ิงมีชีวิตออกเป็นกลุ่มส่ิงมีชีวิตท่ีเคล่ือนที่ได้ และกลุ่ม สิ่งมีชวี ติ ทเี่ คลอื่ นทไ่ี มไ่ ด้ ถ้าเกณฑ์ท่ีใช้ในการจาแนกสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน ชนิดของสิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่มหลังก็ อาจจะแตกต่างกนั ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การจาแนกประเภท - การลงความเหน็ จากขอ้ มูล 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 5.1 ความสามารถในการสือ่ สาร - บอกลกั ษณะของเห็ด รา และแบคทีเรีย 5.2 ความสามารถในการคดิ - เปรยี บเทยี บความเหมอื นและความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิต เพ่ือกาหนดเกณฑ์ในการ จาแนกสง่ิ มีชวี ิตออกเป็นกลมุ่ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแก้ปัญหาและการช่วยเหลอื ในการทางานกลมุ่ รว่ มกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต - มีความสามัคคใี นการทางานกลุม่ รว่ มกัน 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มุ่งม่ันในการทางาน 6.2 มวี ินยั 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ข้ันนำเข้ำส่บู ทเรียน (10 นำท)ี 1. ครูแสดงรปู เห็ดและรา แลว้ ตรวจสอบความรเู้ ดมิ เกยี่ วกับลักษณะของเห็ดและรา ท่ีไดบ้ ันทึกไว้ ในตารางตามใบงาน 01 แล้วต้ังคาถามวา่ 1.1 จากช่วั โมงท่ีผ่านมา นักเรียนบันทกึ วา่ เหด็ และรามีลกั ษณะอะไรบ้าง (นักเรียนตอบตาม ท่ีบนั ทึกไว้) 1.2 เห็ดและรา ควรมีลกั ษณะใดอกี บา้ ง (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น เคลื่อนที่ ไมไ่ ด้ เจริญเติบโตได้) 1.3 หากใหน้ กั เรียนจดั กลมุ่ เห็ดและรา ควรจัดให้อยูก่ ลุ่มเดียวกับสิง่ มีชวี ิตใด เพราะเหตุใด (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง เช่น อย่ใู นกลุ่มเดียวกับปรง เพราะเคลอ่ื นทไี่ มไ่ ด้)

๒๙ 1.4 ถา้ ให้นกั เรยี นจดั กลุม่ ส่งิ มีชีวิตท้ังหมดในตาราง นักเรยี นจะใช้ลกั ษณะของส่งิ มีชวี ิตใด ในตารางเป็นเกณฑ์ในการจดั กลุม่ ได้บา้ ง (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น การเคลื่อนที่ได้กบั การเคล่ือนที่ไม่ไดเ้ ปน็ เกณฑ์) ขนั้ สอน (45 นำที) 2. ครใู หน้ ักเรยี นอา่ นวิธกี ารทากิจกรรมท่ี 1 เราจาแนกส่ิงมชี ีวิตได้อย่างไร ข้อ 2-5 หนา้ 3 และ ทาความเข้าใจขนั้ ตอนการทากจิ กรรม แล้วใช้คาถามดงั นี้ 2.1 นักเรียนต้องทาอะไรเป็นอันดับแรก (อ่านใบความรู้เร่ืองเห็ด รา และแบคทีเรยี ) 2.2 เม่อื อา่ นใบความรแู้ ลว้ นักเรียนตอ้ งทาอะไรต่อ (เปรียบเทยี บขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตกบั ขอ้ มูลที่ได้จากใบความรู้ ถา้ พบวา่ ขอ้ มูลใดไม่ถูกต้องให้แก้ไข) 2.3 วธิ ีการทาในข้อท่ี 3 ต้องทาอะไรบา้ ง (กาหนดเกณฑใ์ นการจาแนกส่ิงมชี ีวิตโดยใชล้ ักษณะ ของส่ิงมชี ีวิตในตาราง) หมำยเหตุ ครอู าจชกั ชวนนักเรียนทาความเข้าใจเกี่ยวกับการกาหนดเกณฑ์ โดยให้นกั เรยี น ร่วมกันฝกึ กาหนดเกณฑแ์ ละจาแนกสงิ่ ของรอบตัว 2.4 เม่ือกาหนดเกณฑ์ไดแ้ ลว้ นกั เรยี นจะต้องทาอะไรต่อ (จาแนกบัตรภาพสิ่งมีชวี ิตตามเกณฑ์ที่ นกั เรยี นเลอื ก และนาเสนอผลการจาแนก) 3. นักเรยี นลงมอื ทากจิ กรรมโดยอ่านใบความรูเ้ รื่องเห็ด รา และแบคทเี รีย 4. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายขอ้ มลู เกยี่ วกบั ลักษณะของเห็ด ราและแบคทเี รยี ทไี่ ด้จากการอา่ น ใบความรู้ โดยใชค้ าถามดงั ตอ่ ไปนี้ 4.1 เหด็ และราแตล่ ะชนิดมีลักษณะเหมือนหรอื แตกตา่ งกัน อยา่ งไร (มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น สี รูปร่าง) 4.2 เหด็ และรามีประโยชน์หรอื ไม่ อย่างไร (มปี ระโยชน์ เชน่ เป็นอาหาร) 4.3 เห็ดและรามีโทษหรอื ไม่ อยา่ งไร (มีโทษได้ เชน่ บางชนดิ ทาใหเ้ กดิ โรค บางชนดิ ทาใหอ้ าหาร เนา่ เสีย) 4.4 รู้ไดอ้ ยา่ งไรวา่ เหด็ และราเป็นสิง่ มชี ีวติ (เห็ดและรามีลักษณะตา่ ง ๆ ของสิ่งมชี ีวติ เช่นเดยี วกับ ส่ิงมชี วี ติ อื่น โดยเหด็ และรามีการกินอาหาร ซ่ึงจะไมส่ ามารถสร้างอาหารเองได้ แต่มีการ ยอ่ ยสลายซากส่ิงมชี ีวติ อน่ื เช่น พืช สตั ว์ มาเปน็ อาหาร สามารถเคล่ือนไหวไดด้ ้วยตนเอง ในลกั ษณะเคลื่อนที่ไม่ได้ นอกจากน้ียังหายใจได้ เจรญิ เตบิ โตได้ สืบพันธเ์ุ พ่ิมจานวนได้ และ ตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ได้) 5. นักเรียนเปรียบเทียบข้อมลู เกย่ี วกับลักษณะของเห็ดและราทไ่ี ดจ้ ากการอ่านในใบความรกู้ บั ข้อมลู ทบี่ ันทึกไว้ในใบงาน 01 หนา้ 8 ถา้ ข้อมลู ทบี่ ันทึกไว้ไม่ถูกตอ้ งใหแ้ ก้ไขให้ถูกตอ้ ง (นักเรียนตอบตาม ท่ีบันทึกไว้) 6. ครูชวนนักเรียนอภิปรายเพ่ิมเติมเกีย่ วกับแบคทีเรยี ว่าเป็นสิง่ มีชีวติ ซง่ึ มที ัง้ ชนิดที่สร้างอาหารเองได้ และสรา้ งอาหารเองไม่ได้ แต่แบคทีเรียจะเคล่ือนท่ไี ด้ ครูเน้นย้ากับนกั เรยี นว่า แบคทเี รียมีลกั ษณะ

๓๐ บางลกั ษณะที่แตกต่างจากส่ิงมชี ีวิตในบตั รภาพอีกหลายประการ จงึ ไม่ต้องนาแบคทเี รียมาใชใ้ นการ กาหนดเกณฑ์และจัดกลมุ่ 7. นกั เรียนลงมอื ทากจิ กรรมจาแนกส่งิ มีชีวิตโดยร่วมกนั กาหนดเกณฑใ์ นการจาแนกสง่ิ มชี ีวิตในบตั รภาพ และจดั กลุ่มตามเกณฑ์ที่กาหนดตามความเขา้ ใจของนักเรยี น และบันทกึ ผลการจาแนกในใบงาน 01 หนา้ 9 จากนน้ั ครสู ่มุ นักเรยี นนาเสนอผลการจาแนกสงิ่ มีชวี ติ หน้าช้ันเรียน 2 กลุ่ม 8. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายผลการจาแนกสิง่ มชี วี ติ โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี 8.1 ผลการจาแนกส่งิ มชี วี ติ ของแตล่ ะกลุม่ เหมือนกนั หรือไม่ อยา่ งไร (นกั เรียนตอบตามท่ีทา กจิ กรรม เช่น เหมอื นกนั โดยใชเ้ กณฑ์การเคล่ือนที่เหมือนกนั หรอื ไม่เหมือนกนั บางกลุ่มใช้ เกณฑ์การเคลื่อนท่ี บางกลุ่มใชเ้ กณฑ์การกนิ อาหาร) ครอู าจยกตวั อย่างผลการจาแนกสง่ิ มีชีวิตทใี่ ช้เกณฑ์ต่างกนั แล้วใชค้ าถามต่อดังน้ี 8.2 ถา้ เกณฑ์ท่ใี ช้ในการจาแนกส่งิ มชี ีวติ เปลย่ี นไปจากเดมิ ชนิดของสิ่งมชี ีวิตในแต่ละกลุ่ม จะเหมอื นเดิมหรือไม่ อย่างไร (ไมเ่ หมือนเดิม สิง่ มชี วี ติ บางชนดิ ท่ีเคยอย่กู ล่มุ เดียวกนั จะถูก แยกออกเปน็ คนละกลมุ่ เพราะมีบางลักษณะไม่เหมือนกัน, หรือตอบว่าเหมือนเดิม สิง่ มีชวี ิตบางชนิดทีเ่ คยอยู่กลุ่มเดียวกันจะอยู่กลมุ่ เดิม เพราะยังมบี างลกั ษณะเหมอื นกัน) 8.3 ลกั ษณะของสิ่งมีชวี ติ ทุกลักษณะในตาราง สามารถนามาใชเ้ ป็นเกณฑ์ไดห้ รือไม่ เพราะ เหตุใด (ไมไ่ ด้ เพราะบางลักษณะไมส่ ามารถแยกส่งิ มีชีวติ ออกเปน็ 2 กลมุ่ ได้) 8.4 นอกจากเกณฑท์ ่ีแต่ละกลมุ่ กาหนดแลว้ ยงั สามารถใช้เกณฑอ์ ะไรในการจาแนกได้อีกบ้าง (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง เชน่ ที่อยู่อาศยั ) 8.5 ถ้าใชล้ ักษณะของสิง่ มชี ีวติ 2 ลกั ษณะเปน็ เกณฑร์ ว่ มกันในการจาแนกส่งิ มชี วี ติ จะจาแนกได้ หรือไม่ (นักเรียนตอบตามความเข้าใจตนเอง) ขนั้ สรุป (5 นำที) 9. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสรปุ แนวคดิ หรือส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้ในช่วั โมงนีด้ ว้ ยตนเองเก่ียวกบั ลกั ษณะของเห็ด รา และแบคทีเรยี และการจาแนกสง่ิ มีชีวิตโดยใช้ลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิตที่สังเกตได้เป็นเกณฑ์ 10. ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรุปเก่ียวกบั การจาแนกสิง่ มีชีวิตวา่ เหด็ รา แบคทีเรยี เปน็ สิ่งมีชีวิต ซ่งึ มี ลักษณะบางอย่างเหมือนกับสง่ิ มีชีวติ อ่ืน ได้แก่ สามารถหายใจ เจริญเตบิ โต เคลอื่ นไหวได้ดว้ ยตนเอง สบื พันธไ์ุ ด้ แต่เห็ด รา จะเคล่ือนที่ไม่ได้ และไม่สามารถสรา้ งอาหารเองได้ แต่จะได้รับอาหารจาก การย่อยสลายซากสิ่งมีชีวติ และอาหารท่วั ไปท่ีคนและสตั ว์รับประทาน สว่ นแบคทเี รยี จะเคลื่อนท่ีได้ แตบ่ างชนิดสรา้ งอาหารเองได้ บางชนดิ ไมส่ ามารถสร้างอาหารเองได้ เราสามารถจาแนกสงิ่ มชี วี ติ ออกเปน็ กลมุ่ ได้ดว้ ยลักษณะบางลกั ษณะเป็นเกณฑ์ เช่น การเคล่ือนที่ ถ้าเกณฑท์ ่ีใชใ้ นการจาแนก สงิ่ มีชีวิตแตกตา่ งกนั ชนดิ ของส่งิ มีชวี ติ ในแตล่ ะกลุ่มอาจแตกต่างกัน 8. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ใบกิจกรรม 01 การจาแนกสงิ่ มีชีวติ หนา้ 3 และ 8-9 8.2 ใบความรเู้ ร่อื งเห็ด ราและแบคทเี รีย 8.3 บัตรภาพสงิ่ มชี วี ิต

๓๑ 9. ช้ินงำน/ภำระงำน 9.1 การจดั กลมุ่ บัตรภาพส่ิงมีชวี ติ โดยใชล้ ักษณะของสิง่ มีชวี ติ เปน็ เกณฑ์ 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสิง่ มชี วี ติ หนา้ 8-9 10. กำรวดั และประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความร้เู ร่อื งการจาแนกส่ิงมีชีวติ ด้วยการตอบคาถามในชั้นเรียนและในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ดว้ ยแบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

๓๒ แบบประเมนิ ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรทู้ ี่ 2 เรือ่ ง กำรจำแนกสิง่ มีชวี ิต (2) เกณฑ์การประเมินมดี ังนี้ 3 หมายถึง ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ปรับปรุง สิง่ ท่ีประเมิน คะแนน การจาแนกประเภท การลงความเหน็ จากข้อมลู รวมคะแนน เกณฑก์ ำรประเมิน ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทกั ษะกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์ สามารถจัดกล่มุ สงิ่ มชี ีวติ สามารถจดั กลุ่มสง่ิ มชี วี ิต สามารถจดั กล่มุ สิง่ มีชีวติ การจาแนกประเภท โดยใช้ลักษณะของส่งิ มชี วี ติ โดยใช้ลกั ษณะของสิ่งมีชีวิต โดยใช้ลักษณะของสิ่งมีชวี ิต เปน็ เกณฑ์ได้อยา่ งถูกต้อง เป็นเกณฑไ์ ด้อย่างถกู ต้อง เป็นเกณฑ์ได้อย่างถูกต้อง ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยอาศยั คาแนะนาของครู บางสว่ น แมจ้ ะได้รบั หรือผ้อู น่ื คาแนะนาจากครูหรือผู้อนื่ การลงความเห็น สามารถเพ่ิมเติมความเหน็ สามารถเพิม่ เตมิ ความเห็น สามารถเพิ่มเตมิ ความเห็น จากข้อมูล เกย่ี วกับลกั ษณะตา่ ง ๆ ของสิ่งมีชวี ติ ไดอ้ ย่างมี เกีย่ วกับลกั ษณะตา่ ง ๆ เกย่ี วกับลกั ษณะตา่ ง ๆ เหตผุ ลจากความรหู้ รือ ประสบการณ์เดิมไดด้ ว้ ย ของสิ่งมีชีวติ ไดอ้ ยา่ งมี ของสิ่งมีชีวติ ได้อยา่ งมี ตวั เอง เหตุผล โดยอาศยั คาแนะนา เหตุผลบางสว่ น แมจ้ ะ ของครหู รอื ผู้อืน่ ไดร้ ับคาแนะนาจากครูหรือ ผู้อืน่

๓๓ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง กำรจำแนกส่งิ มีชีวิต (2) ชือ่ ผู้ประเมิน/กลมุ่ ประเมนิ ………………………………………………………………………………………….............................. ชอื่ กลุ่มรบั กำรประเมิน……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมนิ ผลครงั้ ท…่ี ………………....……....... วัน ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรอ่ื ง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ที่ ลกั ษณะ/พฤติกรรมบ่งช้ี ระดบั พฤติกรรม คะแนนทไ่ี ด้ เกดิ = 1 ไม่เกดิ = 0 1. มงุ่ มั่นในการทางาน 2. มวี ินยั รวมคะแนนท่ีได้ท้งั หมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - มากกวา่ 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ต่ากว่า 50 % ได้ 1 คะแนน

๓๔ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 3 กลมุ่ สำระกำรเรยี นร้วู ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษำปีท่ี 4 ภำคเรยี นท่ี 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหัสวิชำ ว 14101 หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี 1 กำรจำแนกส่ิงมีชวี ติ รอบตัว หน่วยย่อยที่ 1 กำรจำแนกสง่ิ มีชวี ติ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 3 เร่ืองกำรจำแนกสิ่งมีชวี ติ (3) เวลำ 1 ช่วั โมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวช้วี ัด สำระท่ี 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรมท่ีมผี ลตอ่ สิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพวิวัฒนาการ ของสง่ิ มชี วี ิตรวมทัง้ นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชีว้ ดั ป.4/1 จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็น กลุ่มพชื กลุม่ สตั ว์ และกลมุ่ ท่ีไมใ่ ช่พชื ไม่ใช่สตั ว์ 2. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - อธิบายผลการจาแนกสงิ่ มชี วี ติ โดยใช้เกณฑ์การสร้างอาหารและการเคลือ่ นที่ 2.2 ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) - จาแนกสงิ่ มีชวี ติ ออกเป็นกล่มุ โดยใชเ้ กณฑ์การสร้างอาหารและการเคลือ่ นที่ 2.3 ด้ำนคุณลักษณะ เจตคติ คำ่ นิยม (A) - มคี วามมุ่งมนั่ ในการทางาน ช่วยเหลือในการทางานกล่มุ รว่ มกัน 3. สำระสำคญั เมื่อจาแนกส่ิงมีชวี ติ โดยใช้การเคล่ือนที่และการสร้างอาหารเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกส่ิงมชี วี ิตไดเ้ ปน็ กลุม่ สตั ว์ กลมุ่ พชื และกลมุ่ ที่ไม่ใช่พชื ไม่ใชส่ ัตว์ 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ เมื่อใช้การเคลื่อนทแ่ี ละการสรา้ งอาหารเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกส่งิ มีชีวติ ได้เปน็ กลุ่มพืชและกลุ่มสัตว์ โดยกล่มุ พชื เป็นส่ิงมชี ีวิตทีส่ ร้างอาหารเองไดแ้ ละเคลื่อนท่ีไมไ่ ด้ เชน่ กุหลาบ ขา้ ว ส่วนกลมุ่ สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต ทีส่ รา้ งอาหารเองไมไ่ ดแ้ ละเคล่อื นที่ได้ เชน่ ม้า คน นอกจากนีย้ ังมสี ่งิ มีชีวิตอ่ืน ๆ ทไ่ี ม่อยใู่ นกล่มุ พชื และ กลุ่มสตั ว์ เพราะไม่สามารถเคลือ่ นทแ่ี ละไมส่ ามารถสร้างอาหารเองได้ เช่น เหด็ รา

๓๕ ทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ - การจาแนกประเภท - การลงความเหน็ จากขอ้ มูล - การตีความหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ 5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 5.1 ความสามารถในการสือ่ สาร - นาเสนอผลการจาแนกของส่งิ มชี ีวติ โดยใช้การสร้างอาหารและการเคล่ือนท่ีเป็นเกณฑ์ 5.2 ความสามารถในการคดิ - เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตและจาแนกสิ่งมีชีวิต จาแนกสง่ิ มชี วี ิตโดยใชก้ ารสรา้ งอาหารและการเคลอ่ื นทีเ่ ปน็ เกณฑ์ 5.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา - การแก้ปัญหาและการชว่ ยเหลอื ในการทางานกล่มุ รว่ มกัน 5.4 ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต - มคี วามสามคั คีในการทางานกลมุ่ รว่ มกนั 6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ม่งุ มั่นในการทางาน 6.2 ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต 7. กจิ กรรมกำรเรียนรู้ ข้ันนำเข้ำสู่บทเรียน (เวลำ 5 นำที) 1. ครูชวนนกั เรยี นเลน่ เกมเปิดรูปสงิ่ มีชวี ิตปรศิ นา ซึ่งมที ้ังรูปพชื และสตั ว์ (เชน่ กบบนใบบัว) จากนัน้ ใช้ คาถามดังต่อไปน้ี 1.1 ในรปู มีส่งิ มีชีวิตใดบ้าง (ตัวอยา่ ง เช่น กบ บวั ) 1.2 สิง่ มชี ีวิตเหล่านีม้ ีลกั ษณะใดบา้ งท่ีเหมือนกนั และลกั ษณะใดบ้างที่แตกตา่ งกนั (ลกั ษณะท่ี เหมือนกนั คอื มีสเี ขยี วเหมอื นกัน ลกั ษณะท่แี ตกต่างกนั คือ กบเคลอื่ นท่ไี ด้ แต่บัวเคลื่อนท่ี ไม่ได้) 1.2 ถา้ ใช้เกณฑก์ ารสร้างอาหารและการเคลอื่ นท่ี จะจาแนกสิง่ มชี วี ติ นีอ้ อกเปน็ กลุ่มอยา่ งไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง เชน่ จะจาแนกไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ คือ กบอยู่ในกลุ่มท่ี สรา้ งอาหารไมไ่ ด้และเคลอ่ื นท่ีได้ บัวอยใู่ นกล่มุ ท่ีสรา้ งอาหารไดแ้ ละเคล่ือนทไ่ี มไ่ ด้) ข้นั สอน (เวลำ 45 นำท)ี 2. ครใู ห้นักเรียนร่วมกันอ่านจุดประสงค์ขอ้ 2 ในใบงาน 01 การจาแนกสงิ่ มชี วี ิต หนา้ 3 โดยใช้คาถาม ดังน้ี

๓๖ 2.1 จากกจิ กรรมนี้ นักเรียนจะไดเ้ รยี นร้เู กย่ี วกับเร่ืองอะไร (ลักษณะตา่ ง ๆ ของสงิ่ มชี ีวิต) 2.2 นกั เรียนจะเรยี นรโู้ ดยใชว้ ิธีใด (การจาแนก) 2.3 เม่ือจบกิจกรรมนน้ี ักเรยี นตอ้ งทาอะไรได้ (จาแนกสง่ิ มีชีวิตออกเป็นกลมุ่ ๆ ได้ โดยใช้ การเคลอื่ นทีแ่ ละสรา้ งอาหารเปน็ เกณฑ์) 3. ครใู หน้ ักเรียนอา่ นวิธีทาในกจิ กรรมที่ 1 เราจาแนกส่ิงมชี ีวิตไดอ้ ย่างไร ข้อ 6 หน้า 3 แลว้ ใช้คาถาม ดังนี้ 3.1 นักเรยี นตอ้ งทาอะไรบ้าง (จาแนกสิ่งมีชวี ิตออกเปน็ กลมุ่ ) 3.2 นกั เรียนจะใชเ้ กณฑ์ใดในการจาแนกสง่ิ มีชีวติ (การเคล่ือนที่และการสรา้ งอาหารเปน็ เกณฑ์ ร่วมกัน) หมำยเหตุ กรณีท่นี ักเรียนไมเ่ ขา้ ใจเกย่ี วกับเกณฑท์ ี่ใช้ 2 ลกั ษณะรว่ มกนั ครูอาจอธิบาย ยกตัวอย่างเพื่อใหน้ ักเรยี นเข้าใจ เชน่ กลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ท่ีมขี ากับมีปีก กลุ่มส่ิงมีชวี ิตทีม่ ีขากบั ไม่มีปีก กลุ่มส่งิ มีชวี ติ ท่ีไม่มีขากับมีปีก กลมุ่ ส่งิ มีชีวติ ทไี่ ม่มขี ากบั ไม่มีปกี 4. นกั เรียนลงมอื ทากจิ กรรมจัดกลุ่มสง่ิ มชี ีวติ โดยใชก้ ารเคล่ือนท่แี ละสร้างอาหารเป็นเกณฑ์ ครูคอยเดิน ดใู หค้ วามชว่ ยเหลือ จากน้นั ให้นักเรยี นนาเสนอผลการจาแนกแล้วรว่ มกนั อภปิ รายผลการจาแนก ของแตล่ ะกลุ่มดว้ ยคาถามต่อไปนี้ 4.1 จากบตั รภาพสิ่งมีชีวติ เม่ือใช้การสร้างอาหารและการเคลื่อนทเ่ี ป็นเกณฑร์ ่วมกัน จะจาแนก สง่ิ มชี ีวติ ได้เป็นก่ีกล่มุ อะไรบ้าง ( ได้ 3 กลุ่ม คือ กลุม่ สร้างอาหารเองได้และเคล่ือนท่ีไม่ได้ กลมุ่ สร้างอาหารเองไม่ไดแ้ ละเคลื่อนท่ีได้ กลุ่มสรา้ งอาหารเองไม่ได้และเคล่ือนที่ไม่ได้) 4.2 กลมุ่ สรา้ งอาหารเองไดแ้ ละเคลื่อนท่ไี ม่ได้ มีสงิ่ มชี วี ิตอะไรบา้ ง และเรยี กสิง่ มชี ีวิตในกลุ่มนวี้ ่า อะไร (กุหลาบ ข้าว ปรง เรียกกล่มุ นี้ว่า พืช) 4.3 กล่มุ สร้างอาหารเองไม่ได้และเคลื่อนท่ีได้ มีส่งิ มีชีวติ อะไรบ้าง และเรยี กสงิ่ มชี วี ิตในกล่มุ นี้ว่า อะไร (คางคก ปลา คน งู ไก่ มา้ ปู เรยี กกลมุ่ นวี้ ่า สัตว)์ 4.4 กลุม่ สรา้ งอาหารเองไม่ได้และเคลื่อนที่ไม่ได้ มสี ่งิ มีชีวิตอะไรบา้ ง และเรียกสิง่ มชี ีวติ ในกลมุ่ น้ี วา่ อะไร (เห็ด รา เรยี กกลุ่มนี้วา่ กล่มุ ไม่ใช่พืชและสัตว)์ หมำยเหตุ กรณที ี่นักเรียนไม่สามารถบอกช่ือกลุ่มสงิ่ มชี วี ติ ครูสามารถให้ความรูเ้ พิ่มเตมิ ได้ 5. ครนู ารูปลิง ปลาฉลาม ผีเสื้อ เห็ดนางฟ้า และตน้ มะนาว ทีเ่ คยใชใ้ นข้ันนาเขา้ สูบ่ ทเรยี นในชวั่ โมงแรก มาแลว้ ถามคาถามนักเรียนว่า ถ้าใช้เกณฑ์การเคลื่อนที่และสร้างอาหารเปน็ เกณฑ์ จะจัดส่ิงมชี ีวิต เหลา่ น้อี ยใู่ นกลุ่มใดบ้าง เพราะเหตใุ ด (ลงิ ปลาฉลาม และผีเสือ้ อยใู่ นกล่มุ สัตวเ์ พราะเคลื่อนทไี่ ด้และ สร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ตน้ มะนาวอยู่ในกลมุ่ พืชเพราะเคล่ือนทไ่ี ม่ได้และสร้างอาหารเองได้ และ เหด็ นางฟา้ อยู่ในกลุ่มไมใ่ ช่พืชและสัตว์เพราะเคล่ือนที่ไมไ่ ด้และสร้างอาหารเองไมไ่ ด)้ 6. นกั เรยี นตอบคาถามหลงั ทากจิ กรรมในใบงาน 01 หน้า 10

๓๗ ขน้ั สรปุ (10 นำที) 7. ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรยี นสรุปแนวคิดหรือสิ่งท่ีไดเ้ รียนรใู้ นชั่วโมงน้ดี ้วยตนเองเก่ยี วกบั การจาแนก สง่ิ มีชีวิตโดยใชก้ ารเคล่อื นที่และสรา้ งอาหารเป็นเกณฑ์ 8. ครูและนักเรยี นร่วมกนั สรปุ เก่ียวกบั การจาแนกสิ่งมชี ีวติ โดยใชก้ ารเคลอ่ื นท่ีและสร้างอาหารเปน็ เกณฑว์ า่ เม่ือใชก้ ารเคลอื่ นที่และการสร้างอาหารเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกสง่ิ มชี ีวิตไดเ้ ป็นกลมุ่ พืชและ กลุ่มสัตว์ โดยกลุ่มพชื เป็นสิง่ มชี ีวติ ทสี่ ร้างอาหารเองได้และเคล่ือนท่ีไม่ได้ เช่น กุหลาบ ข้าว ส่วนกลุ่มสัตว์เป็นส่ิงมีชวี ติ ที่สร้างอาหารเองไม่ได้และเคลื่อนทไ่ี ด้ เช่น ม้า คน นอกจากนีย้ ังมี สงิ่ มีชวี ติ อนื่ ๆ ท่ีไม่อย่ใู นกลุ่มพืชและกลุ่มสตั ว์ เพราะไมส่ ามารถเคลื่อนทีแ่ ละไม่สามารถสร้างอาหาร เองได้ เชน่ เหด็ รา 8. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสงิ่ มชี วี ติ หน้า 3 และ 10-11 8.2 บัตรภาพส่งิ มีชวี ิต 9. ชนิ้ งำน/ภำระงำน 9.1 การจดั กลุม่ บตั รภาพสง่ิ มีชวี ิตโดยใช้การสรา้ งอาหารและการเคลือ่ นทเี่ ป็นเกณฑ์ 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสง่ิ มีชวี ิต หน้า 10-11 10. กำรวดั และประเมินผล 10.1 ประเมินความรู้เรือ่ งการจาแนกสง่ิ มีชวี ติ ด้วยการตอบคาถามในชนั้ เรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ดว้ ยแบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

๓๘ แบบประเมนิ ด้ำนทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง กำรจำแนกสิ่งมีชีวติ (3) เกณฑ์การประเมนิ มีดังนี้ 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรุง สิง่ ท่ีประเมนิ คะแนน การจาแนกประเภท การลงความเหน็ จากขอ้ มูล การตีความหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ รวมคะแนน เกณฑ์กำรประเมิน ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การจาแนกประเภท สามารถจดั กลุม่ สง่ิ มชี ีวิต สามารถจดั กลุ่มสิ่งมชี วี ิต สามารถจดั กลุ่มส่ิงมีชีวติ โดยใชก้ ารสร้างอาหารและ โดยใชก้ ารสรา้ งอาหารและ โดยใชก้ ารสรา้ งอาหารและ การเคลอ่ื นที่เปน็ เกณฑ์ได้ การเคล่ือนท่ีเปน็ เกณฑ์ได้ การเคลื่อนท่ีเปน็ เกณฑ์ได้ อยา่ งถูกต้องได้ด้วยตนเอง อยา่ งถูกต้อง โดยอาศยั อยา่ งถูกต้องบางสว่ น แม้ คาแนะนาของครหู รือผู้อนื่ จะไดร้ ับคาแนะนาจากครู หรอื ผูอ้ ่นื การลงความเหน็ สามารถเพ่ิมเติมความเห็น สามารถเพ่ิมเติมความเห็น สามารถเพิ่มเติมความเหน็ จากข้อมลู เกย่ี วกับลักษณะตา่ ง ๆ ของสิ่งมชี วี ิตไดอ้ ย่างมี เกยี่ วกบั ลักษณะตา่ ง ๆ ของ เก่ยี วกบั ลกั ษณะตา่ ง ๆ การตีความหมาย เหตุผล จากความรู้หรือ ข้อมูลและลงข้อสรุป ประสบการณ์เดมิ ได้ด้วย ส่งิ มชี วี ิต ได้อยา่ งมเี หตุผล ของสง่ิ มชี ีวิตได้อย่างมี ตนเอง สามารถตคี วามหมาย โดยอาศัยคาแนะนาของครู เหตผุ ลบางสว่ น แมจ้ ะ ขอ้ มลู และลงข้อสรุปจาก การทากจิ กรรมได้ถูกต้อง หรือผอู้ น่ื ได้รบั คาแนะนาจากครูหรือ ดว้ ยตนเองวา่ สงิ่ มีชวี ิต ผอู้ ่นื สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย ขอ้ มูลและลงข้อสรุปจาก ข้อมลู และลงข้อสรุปจาก การทากจิ กรรมได้ถูกต้อง การทากจิ กรรมไดถ้ ูกต้อง โดยอาศัยคาแนะนาของครู บางส่วน แมจ้ ะไดร้ บั

๓๙ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ คาแนะนาจากครูหรือผอู้ ื่น มลี ักษณะต่าง ๆ ท่ี หรอื ผู้อ่ืนได้วา่ สิง่ มีชวี ิต เหมอื นกันและแตกตา่ งกัน มลี กั ษณะต่าง ๆ ที่ ซึ่งสามารถนามาใชใ้ นการ เหมือนกนั และแตกตา่ งกัน กาหนดเกณฑ์ในการ ซึง่ สามารถนามาใชใ้ นการ จาแนกส่ิงมีชวี ิตออกเป็น กาหนดเกณฑใ์ นการ กลมุ่ ๆ ได้ และ เมอ่ื เกณฑ์ จาแนกสิง่ มชี วี ิตออกเป็น เปล่ียน กลุ่มส่ิงมชี วี ิตในแต่ กล่มุ ๆ ได้ และ เมื่อเกณฑ์ ละกลุม่ อาจเหมือนเดิมหรือ เปลี่ยน กลุม่ สิ่งมชี ีวติ แตกตา่ งจากเดมิ ข้ึนอยู่กบั ในแตล่ ะกลมุ่ อาจ เกณฑ์ทก่ี าหนดข้นึ เหมือนเดิมหรือแตกตา่ ง จากเดมิ ขึ้นอยู่กบั เกณฑท์ ่ี กาหนดข้นึ

๔๐ แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง กำรจำแนกสงิ่ มีชวี ติ (3) ชอื่ ผ้ปู ระเมนิ /กลุ่มประเมนิ ………………………………………………………………………………………….............................. ช่ือกลุ่มรบั กำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมินผลครั้งท…ี่ ………………....……....... วัน ……………..…. เดอื น …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เร่ือง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ที่ ลักษณะ/พฤติกรรมบง่ ชี้ ระดับพฤตกิ รรม คะแนนทไี่ ด้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. มุ่งมน่ั ในการทางาน 2. ซ่ือสตั ย์สจุ ริต รวมคะแนนทไ่ี ด้ทัง้ หมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ต่ากวา่ 50 % ได้ 1 คะแนน

๔๑ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 4 กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษำปที ่ี 4 ภำคเรียนท่ี 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วชิ ำ ว 14101 หน่วยกำรเรียนรูท้ ่ี 1 กำรจำแนกสิ่งมชี วี ิตรอบตวั หน่วยยอ่ ยท่ี 1 กำรจำแนกสงิ่ มชี วี ิต แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ที่ 4 เรื่องกำรจำแนกสง่ิ มชี วี ิต (4) เวลำ 1 ช่วั โมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชว้ี ดั สำระที่ 1 วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธุกรรมทีม่ ีผลตอ่ ส่งิ มชี วี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพวิวฒั นาการ ของส่ิงมีชวี ติ รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ัด ป.4/1 จาแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็น กลมุ่ พชื กลมุ่ สตั ว์ และกลมุ่ ท่ีไมใ่ ชพ่ ืชไม่ใช่สตั ว์ 2. จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 2.1 ดำ้ นควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - อธิบายผลการจาแนกสงิ่ มีชวี ิตโดยใช้เกณฑ์การสร้างอาหารและการเคลอื่ นท่ี 2.2 ด้ำนทกั ษะกระบวนกำร (P) - 2.3 ด้ำนคณุ ลกั ษณะ เจตคติ ค่ำนิยม (A) - มุง่ ม่ันในการทางาน 3. สำระสำคญั เม่ือจาแนกสง่ิ มีชวี ิต โดยใช้การเคล่อื นทแี่ ละการสรา้ งอาหารเป็นเกณฑ์ จะจาแนกสงิ่ มีชวี ิตได้เปน็ กลมุ่ สตั ว์ กลมุ่ พืช และกลุม่ ที่ไม่ใช่พืชไม่ใช่สัตว์ 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ เม่ือใช้การเคลื่อนที่และการสร้างอาหารเป็นเกณฑ์ จะจาแนกส่ิงมีชีวิตได้เป็น กลุ่มพืชและกลุ่มสัตว์ โดยกลุ่มพืชเป็นส่งิ มีชวี ติ ท่ีสรา้ งอาหารเองไดแ้ ละเคลอ่ื นที่ไมไ่ ด้ เช่น กุหลาบ ขา้ ว ส่วนกล่มุ สัตวเ์ ปน็ สิง่ มีชวี ิต ที่สรา้ งอาหารเองไมไ่ ด้และเคลอื่ นที่ได้ เช่น มา้ คน นอกจากนย้ี งั มีสงิ่ มชี ีวติ อื่น ๆ ทไ่ี ม่อยู่ในกลุ่มพืชและ กลมุ่ สัตว์ เพราะไมส่ ามารถเคลอื่ นทีแ่ ละไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ เชน่ เหด็ รา

๔๒ ทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ - 5. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น 5.1 ความสามารถในการคิด - เปรียบเทียบลักษณะของส่ิงมีชีวิตและจาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้การสร้างอาหารและการเคล่ือนท่ี เปน็ เกณฑ์ 5.2 ความสามารถในการแกป้ ัญหา - การแก้ปัญหาและการช่วยเหลือในการทางานกลมุ่ ร่วมกัน 5.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ - มคี วามสามคั คใี นการทางานกลมุ่ รว่ มกนั 6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ - มุ่งมน่ั ในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ข้ันนำเข้ำส่บู ทเรียน (10 นำท)ี 1. ครนู าเข้าสู่บทเรียนโดยเลน่ เกมพาฉันกลับบ้าน นักเรียนแต่ละคนจับสลากชื่อสิ่งมีชีวิตที่ครูกาหนดให้ ซึ่งจะตอ้ งมีท้งั กลุ่มพืช กลุ่มสตั ว์ เหด็ รา จากนนั้ ให้นักเรยี นนาสลากไปตดิ ที่หน้ากระดานให้ตรงตาม ลักษณะของสิ่งมีชีวิตน้ัน ๆ (ครูติดลักษณะของส่ิงมีชีวิตไว้บนกระดาน เช่น สร้างอาหารได้และ เคล่ือนที่ไมไ่ ด้) 2. ครนู าอภิปราย โดยใช้คาถามดังนี้ 2.1 จากเกมพาฉนั กลับบ้าน เกณฑ์ที่ครูใช้ในการจาแนกส่ิงมีชีวิต คืออะไร (การสร้างอาหารและ การเคล่อื นท่เี ปน็ เกณฑร์ ว่ มกัน) 2.2 เม่ือใช้เกณฑ์การสร้างอาหารและการเคลื่อนท่ีร่วมกัน จะจาแนกส่ิงมีชีวิตได้เป็นกี่กลุ่ม อะไรบา้ ง (กลุม่ พืช กลุ่มสัตว์ กลมุ่ ท่ไี มใ่ ชพ่ ืชและสัตว์) ขั้นสอน (40 นำท)ี 3. ครูใหน้ กั เรยี นทาใบงาน 02 แบบฝกึ หัด เรอื่ ง การจาแนกส่ิงมีชีวิต หน้า 12-13 หมำยเหตุ กรณีนักเรียนไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น ปะการัง มอส ครูอาจให้ความรู้เก่ียวกับ ลักษณะของส่ิงมชี วี ติ นัน้ ๆ เพ่มิ เตมิ ได้ 4. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบในแบบฝกึ หัด ขน้ั สรุป (10 นำท)ี 5. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรปุ เก่ยี วกบั การจาแนกสงิ่ มีชีวิตว่า ส่งิ มชี ีวติ มหี ลายชนิด ซ่ึงแตล่ ะชนดิ มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน ถ้าใช้การเคล่ือนท่ีและการสร้าง อาหารเป็นเกณฑร์ ว่ มกนั จะจาแนกส่ิงมชี วี ติ ไดเ้ ปน็ กลุ่มพชื และกล่มุ สตั ว์ โดยกล่มุ พชื เปน็ ส่งิ มีชีวติ

๔๓ ทสี่ ร้างอาหารเองได้และเคล่ือนทไ่ี ม่ได้ ส่วนกลุ่มสัตว์เป็นส่ิงมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้และเคล่ือนท่ี ได้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอ่ืน ๆ ที่ไม่อยู่ในกลุ่มพืชและกลุ่มสัตว์ เพราะเคล่ือนท่ีไม่ได้และสร้าง อาหารเองไม่ได้หรือเคลอ่ื นท่ไี ด้และสร้างอาหารเองได้ 8. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ - ใบงาน 02 แบบฝกึ หัด เรอื่ ง การจาแนกสง่ิ มีชวี ิต หนา้ 12-13 9. ชนิ้ งำน/ภำระงำน - การทาใบงาน 02 แบบฝกึ หดั เรือ่ ง การจาแนกสง่ิ มีชวี ติ หน้า 12-13 10. กำรวัดและประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความร้เู ร่ืองการจาแนกสิ่งมชี ีวติ ดว้ ยการตอบคาถามในใบงาน (K) 10.2 ประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ดว้ ยแบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

๔๔ แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ท่ี 4 เรอ่ื ง กำรจำแนกสิ่งมีชวี ติ (4) ช่ือผู้ประเมนิ /กลุม่ ประเมิน………………………………………………………………………………………….............................. ชื่อกลุ่มรับกำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมนิ ผลครัง้ ที…่ ………………....……....... วนั ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรื่อง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ท่ี ลักษณะ/พฤตกิ รรมบ่งช้ี ระดบั พฤติกรรม คะแนนท่ีได้ 1. มุ่งม่นั ในการทางาน เกิด = 1 ไม่เกดิ = 0 รวมคะแนนที่ได้ทั้งหมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - มากกว่า 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ตา่ กว่า 50 % ได้ 1 คะแนน

๔๕ เฉลยใบงำน