Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

Published by suckseedeua_20325, 2022-08-22 19:29:29

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

Search

Read the Text Version

101 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น และให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคลศึกษาเน้ือหา ในหนังสือเรียน รายวิชาคณิตศาสตร์ พค21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) หน้า 18-45 เรื่อง การคูณ การหารเศษส่วนและ ทศนยิ ม 3. ครูดำเนินการทำหน้าที่นำการอภิปราย โดยให้ผู้เรียนกลุ่มใหญ่ร่วมกันแสดงความคิดเห็นคิด วิเคราะห์ อภิปราย และวิเคราะห์ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมในเนื้อหาหรือประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน ตามรายละเอียดท่ี ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือครูเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ มีความต้องการในการ เรียนรู้เพิ่มเติม ครูจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นครูและผู้เรียนสรุปสิ่งท่ีได้เรียนรู้ในภาพรวม ท้ังหมดแลว้ ใหผ้ ู้เรียนสรุปสิ่งที่ได้เรยี นรลู้ งในสมดุ บนั ทึกการเรียนรู้ ของตน หมายเหตุ : ในการดำเนินกิจกรรมกลุ่ม ครูช้ีแจงบทบาทหน้าท่ีในการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความ รับผิดชอบร่วมกันในการทำงาน ซึ่งมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งตั้งประธานหรือผู้นำในการอภิปราย แลกเปล่ียนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ รวมถึงการแต่งต้ังเลขานุการของกลุ่ม เป็นผู้จดบันทึกและผู้รักษาเวลา เพื่อปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ และพิจารณาว่า สมาชิกลุ่มทุกคนควรมีความเข้าใจตรงกันวา่ ตนมีบทบาทหนา้ ทที่ ่ีจะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเรจ็ ครูควรให้ คำแนะนำถึงความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการ ผกู ขาดการอภปิ รายโดยผู้ใดผูห้ นง่ึ และควรมกี ารจำกัดเวลาของการอภปิ รายแต่ละประเดน็ ในระหว่างการทำกิจกรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียนคอย กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ โดยบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของ ผเู้ รียน และเครอื่ งมือประเมนิ การสงั เกตแบบประมาณคา่ 4. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกันสนทนา เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด คิดวิเคราะห์ การทำงานรว่ มกบั ผูอ้ น่ื การคดิ สร้างสรรค์ ความรบั ผดิ ชอบ และการนำความรู้ในเน้ือหามาใช้ โดยครูบูรณาการ เนื้อหาการเรียนรู้ มีการใช้ส่ือเทคโนโลยที ี่เป็นคลิปวิดีโอจาก youtube และ TikTok ท่ีสัมพันธ์กับเน้ือหา ทงั้ นี้ ครูเช่ือมโยงสิ่งท่ีได้เรียนรู้ตามข้ันตอนท่ี 1 ในการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ และประยุกต์ใช้ผ่านคลิปวิดีโอ โดย ครูเปดิ คลปิ วดิ ีโอ เรอื่ ง ทบทวนเตรยี มสอบการบวก ลบ คณู หาร เศษสว่ น ตอนท่ี 1 https://www.youtube.com/watch?v=RoHOdp8_h0s ความยาวคลิป 07.59 นาที ทบทวนเตรียมสอบการบวก ลบ คณู หาร เศษสว่ น ตอนท่ี 2 https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลิป 6.49 นาที การคูณเศษสว่ น https://www.youtube.com/watch?v=N6waSzvEvwo ความยาวคลปิ 3.44 นาที การหารเศษส่วน https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลปิ 5.14 นาที

102 หลงั จากทไี่ ด้ชมคลิปวิดโี อแลว้ ครูได้อธิบายตามเนื้อหาในบทเรียน หลงั จากนน้ั ครดู ำเนนิ การ ดังนี้ ขน้ั ตอนที่ 3 การสะทอ้ นความคิดจากการเรียนรู้ (Reflection : R) 1. แบ่งผู้เรยี นออกเป็นกลุ่ม ๆ ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มลงมือฝึกแก้โจทย์ เร่ือง “การคูณ การหารเศษส่วน และทศนิยม” ตามหนังสือเรียนรายวิชาคณติ ศาสตร์ พค21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2554) หน้า 18-45 และกิจกรรมท้ายบท เรื่อง “สมบัติของการบวก การลบ การคูณ และการหารและ การหารเศษส่วนและทศนิยม” ตามใบกิจกรรมของผู้เรียน เร่ือง “สมบัติของ การบวก การลบ การคูณ และการหารและการหารเศษสว่ นและทศนยิ ม” 2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มตามข้อ 1 ทำแบบฝึกหักตามกิจกรรม เร่ือง “การคูณ การหารเศษส่วนและ ทศนยิ ม” ทั้งน้ี ครูจะต้องกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนจนกิจกรรมแล้วเสร็จ ตามใบกิจกรรมสำหรับครู เร่ือง “การคณู การหารเศษส่วนและทศนิยม” 3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอการแก้โจทย์เลขกิจกรรมตาม ข้อท่ี 1 เร่ือง “การคูณ การหาร เศษสว่ นและทศนิยม” ตามใบกจิ กรรมของผเู้ รยี น เรื่อง “การคณู การหารเศษสว่ นและทศนิยม” 4. ค รู ใ ห้ ผูเ้ รียนสะทอ้ นความคดิ ในการเรียนรทู้ ไ่ี ด้จากการเรยี นร้แู ละการปฏิบัติการ จากขน้ั ตอนท่ี 1 ถึง ข้นั ตอนท่ี 3 นี้ 5. ครูและผู้เรยี นอภปิ รายและสรปุ ผลการเรียนรู้ร่วมกัน ขัน้ ตอนท่ี 4 การตดิ ตามประเมนิ และแกไ้ ข (Action : A) 1. ครูสนทนากับผู้เรียนเก่ียวกับเรื่องท่ีได้เรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้น้ี โดยครูสุ่มผู้เรียนตาม ความสมัครใจจำนวน 2 – 3 คน ให้ตอบคำถามในประเด็น ต่อไปนี้ ประเด็น ท่ี 1 “สมบตั ิของจำนวนเต็ม” แนวคำตอบ สมบตั ขิ องจำนวนเต็ม มีอยู่ 3 ข้นั ตอน 1.) สมบัตกิ ารสลับท่ี 2.) สมบตั กิ ารเปลย่ี นหมู่ 3.) สมบัติการแจกแจง ดังนี้

103 3. ใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน เรอ่ื ง “การคณู การหารเศษส่วนและทศนยิ ม” จำนวน 10 ข้อ โดยใช้เวลา 10 นาที 4. ครูและผู้เรยี นสรุปภาพรวมส่งิ ทีไ่ ด้เรียนรู้ร่วมกัน นอกจากน้ี ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จส้ินข้ันตอนที่ 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง รายละเอียดดงั น้ี การมอบหมายงานให้เรยี นรู้ด้วยตนเอง 1. ครูชแี้ จงใหผ้ เู้ รยี นทราบวา่ ในการพบกลุม่ แต่ละครงั้ ผู้เรยี นจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเรียนร้ดู ้วย วิธเี รียนรู้ด้วยตนเองในลักษณะทค่ี รูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปศึกษา “หนงั สือเรยี นรายวชิ าคณิตศาสตร์ พค 31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)” เรื่อง“การคูณ การหารเศษสว่ นและทศนยิ ม” หน้า 18 – 45 ทัง้ ภาคทฤษฎีและปฏบิ ัติ โดยใหศ้ กึ ษาเนื้อหาและปฏบิ ตั ิกจิ กรรมทา้ ยเร่ือง รายละเอยี ดของ เนอื้ หา แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น ดังนี้ สว่ นที่ 1 เนื้อหาการเรียนรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรคู้ ร้ังนี้ สว่ นท่ี 2 เนื้อหาการเรยี นรู้เพ่มิ เติมในหนังสอื เรียนเรียนดงั กลา่ ว 2. ครูมอบหมายงานให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยให้ไปศึกษา “หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)” รายละเอียดของกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้อง ปฏบิ ัติ แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ดังนี้ ส่วนที่ 1 เน้อื หาการเรยี นรตู้ ามแผนการจัดการเรียนรคู้ รงั้ น้ี ไดแ้ ก่ 1) “สมบัติของจำนวนเตม็ ” (หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษา ตอนตน้ ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2554 หนา้ 10 - 16) (กิจกรรมท้ายเรื่องในหนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2554 หนา้ 17 - 19) 2 “เศษสว่ นและทศนยิ ม” (หนังสอื เรยี นรายวชิ าคณิตศาสตร์ พค31001 ระดัมัธยศกึ ษาตอนต้น ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2554 หน้า 22 - 30) (กจิ กรรมท้ายเรอ่ื งในหนงั สือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2554 หนา้ 31 - 32) หลังจากนัน้ ครูและผเู้ รยี นมีการนัดหมายทบทวน ตรวจสอบ และแลกเปล่ียนเรียนรู้รว่ มกัน ผ่าน ทางสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ ต่อไป หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเองน้ัน อาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้ันตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผู้เรียน ในกรณีท่ีผู้เรียนมี พ้ืนฐานน้อยหรอื ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ควรจัดการเรียนรพู้ ้ืนฐานที่จำเป็นและพอเพียงกับผู้เรียน หลังจากนั้นให้ ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหน่ึงแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อที่อยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพ้ืน ความรูม้ าก่อนแล้ว ใหค้ ดิ หวั ข้อทีส่ นใจจะทำและใหล้ งมอื ปฏบิ ัติได้

104 สอื่ วัสดุ อุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง “จำนวนและการดำเนินการ” 2. ใบความร้สู ำหรับผ้เู รียน เร่ือง “สมบตั ิของจำนวนเตม็ และการนำไปใช”้ 3. ใบความรู้สำหรับผู้เรียน เรื่อง “การบวก ลบ คณู หารเศษส่วนและทศนิยม” 4. ทบทวนเตรยี มสอบการบวก ลบ คณู หาร เศษส่วน ตอนที่ 1 https://www.youtube.com/watch?v=RoHOdp8_h0s ความยาวคลิป 07.59 นาที 5. ทบทวนเตรียมสอบการบวก ลบ คูณ หาร เศษสว่ น ตอนที่ 2 https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลิป 6.49 นาที 6. การคูณเศษส่วน https://www.youtube.com/watch?v=N6waSzvEvwo ความยาวคลิป 3.44 นาที 7. การหารเศษสว่ น https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลปิ 5.14 นาที 8. PowerPoint สำหรับครู เร่ือง “สมบตั ิของจำนวนเต็มและการนำไปใช”้ 9. บทสรุปประกอบ PowerPoint สำหรับครู เร่ือง การสรุปผลการเรียนรู้ “สมบัติของจำนวนเตม็ และ การนำไปใช้” 10. แบบทดสอบหลงั เรียน เร่ือง “สมบตั ิของจำนวนเต็มและการนำไปใช”้ 11. แบบทดสอบหลังเรยี น เรื่อง “การบวก ลบ คณู หารเศษสว่ นและทศนิยม” 12. แบบประเมนิ ความพึงพอใจสำหรับผู้เรยี นในการเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง“การบวก ลบ คูณ หารเศษส่วนและทศนยิ ม” การวัดและประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมการมสี ว่ นรว่ ม ความตงั้ ใจ และความสนใจของผูเ้ รยี น 2. ผลการทดสอบก่อนและหลังเรียน 3. ผลการออกแบบและสร้างสรรคน์ วตั กรรมและสง่ิ ทีต่ อ้ งการพัฒนา/ช้นิ งาน/ผลงาน 4. ผลการประเมินความพงึ พอใจของผ้เู รียน

105 ใบความรู้ ครัง้ ที่ 6 พค21001 (คณติ ศาสตร)์ เรอ่ื งที่ 1 สมบัติของจำนวนเตม็ และการนำไปใช้ 1.1 สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคณู จำนวนเต็ม 1) สมบตั กิ ารสลบั ที่ ถา้ a และ b แทนจำนวนเต็มใดๆ a+b=b+a (สมบัตกิ ารสลบั ทก่ี ารบวก) axb=bxa (สมบัตกิ ารสลบั ท่กี ารคูณ) 2) สมบตั กิ ารเปล่ียนหมู่ ถ้า a และ b แทนจำนวนเตม็ ใดๆ (a+b) + c = a+(b+c) (สมบัติการเปลย่ี นหมู่การบวก) (axb) x c = ax(bxc) (สมบัตกิ ารเปลย่ี นหมกู่ ารคณู ) 3) สมบัติการแจกแจง ถา้ a และ b แทนจำนวนเต็มใดๆ a x(b + c) = ab + ac และ (b+c) x a = ba + ca 1.2 สมบัติของหนงึ่ และศนู ย์ 1) สมบัติของหนงึ่ 1. ถา้ a แทนจำนวนใด ๆ แลว้ a x 1 = 1 x a = a 2. ถ้า a แทนจำนวนใดๆ แลว้ ������=a 1 2) สมบัตขิ องศูนย์ 1. ถา้ a แทนจำนวนใด ๆ แล้ว a+0 = 0 + a = a 2. ถ้า a แทนจำนวนใด ๆ แลว้ ax0 = 0 x a = 0 3. ถา้ a แทนจำนวนใด ๆ ท่ีไม่ใช่ 0 แลว้ 0=0(เราไมใ่ ช้ 0 เป็นตัวหาร ถ้า a แทนจำนวนใดๆ แลว้ ������ ������ ไมม่ ีความหมายทางคณิตศาสตร)์ 0 4. ถา้ a และ b แทนจำนวนใด ๆ และ axb = 0 แลว้ จะได้ a=0 หรือ b=0

106 เร่ืองท่ี 2 การบวก ลบ คูณ หารเศษสวนและทศนยิ ม 2.1 การบวกเศษสวน วิธกี ารหาผลบวกของเศษสวน สามารถทำได้ดังน้ี 1) หา ค.ร.น.ของตวั สวน 2) ทำเศษสวนแต่ละจำนวนใหมตี ัวสวนเทากบั ค.ร.น.ท่ีหาได้จากขอ 1 3) บวกตัวเศษเขาดว้ ยกนั โดยท่ีตัวสวนยังคงเทาเดมิ ตัวอยา่ งท่ี 1 จงหาผลบวก 1 + 3 34 วิธที ำ ค.ร.น. ของ 3 กับ 4 คือ 12 1 + 3 = 1 ������ 4 + 3 ������ 3 3 4 3 ������ 4 4 ������ 3 =4+9 12 12 = 4+9 12 ตอบ 1 1 = 13 = 1 1 12 12 12 2.2 การลบเศษสวน การลบเศษสวน ใชหลกั การเดียวกนั กับการลบจำนวนเต็มคือ ตัวตั้ง - ตวั ลบ = ตวั ตง้ั + จำนวนตรงข้ามของตวั ลบ ตวั อย่างท่ี 1 จงหาผลลบ 5 – (- 7 ) 6 12 วธิ ที ำ ค.ร.น. ของ 6 และ 12 คือ 12 5 – (- 7 ) = 5 + 7 6 12 6 12 = (5������2) + ( 7������1 ) 6������2 12������1 = 10+7 12 ตอบ 1 5 = 17 = 1 5 12 12 12

107 2.3 การคณู เศษสวน ผลคณู ของเศษสวนสองจำนวน คอื เศษสวนซง่ึ มตี ัวเศษเทากับผลคูณของตวั เศษสองจำนวนและ ตัวสวนเทากับผลคณู ของตัวสวนสองจำนวนน้ัน เมื่อ ������ และ ������ เปน็ เศษสวน ซึง่ b , d ≠ 0 ������ ������������และ ������ หาไดจ้ ากกฎ ������ x ������ = ������������������ ผลคูณของ ������ ������ ������ ������ ������������������ ตวั อยา่ งท่ี 1 จงหาผลคณู ของจำนวน 2 x 3 75 วธิ ที ำ 2 x 3 = 2������3 7 5 7������5 =6 35 ตอบ 6 35 2.4 การหารเศษสวน การหารจำนวนที่เปน็ เศษสวนไม่มสี มบตั กิ ารสลบั ทีแ่ ละสมบตั ิการจดั หมู เม่ือ ������ และ ������ แทนเศษสวนใดๆ และ ������ ������ ������ ด้วย ������ ดังนี้ พจิ ารณาผลหารที่เกดิ จากการหาร ������ ������ ������ =������x������=������x������=������x������ ������ ������ ������ ������ ������ ������ ������ ������+������ = ������ ������x������ 1 ������ ������ ������ ������ ������ ดังน้นั ������÷������ = ������ x ������ ������ ������ ������ ������ ตวั อย่างที่ 1 จงหาผลหารของ (- 5 )  (- 20) 24 21 วธิ ีทำ (− 55 ) x (− 213) = (−1)������ (−7) 243 205 8������4 ตอบ 7 =7 32 32

108 2.5 การนาํ ความรูเร่อื งเศษสวนไปใชในการแกโจทยปญหา โจทยปญหาเศษสวน การทำโจทยปญหาเศษสวน ควรกำหนดจำนวนทั้งหมดเป็น 1 หน่วย แลวดำเนินการตามโจทย เชน นกั เรยี นหองหนึ่ง เป็นชาย 3 ของจำนวนนกั เรยี นในหอง ดงั นน้ั 5 หองนเ้ี ปน็ นักเรยี นหญงิ 1 - 3 = 2 ของจำนวนนักเรียนในหอง 55 ตวั อยา่ งที่ 1 ถังใบหนง่ึ จุน้ำ140 ลติ ร มีนำ้ อยู่ 3 ถงั หลงั จากใชน้ำไปจำนวนหน่ึงจะเหลือน้ำอยู่ 1 ถัง 42 จงหาวาใชน้ำไปเทา่ ไหร วธิ ีทำ มนี ำ้ ในถงั 3 140 = 105 ลิตร 4 หลงั จากใชน้ำเหลือนำ้ ในถงั 1  140 = 70 ลติ ร 2 ดังนัน้ ใชนำ้ ไปจำนวน 105–70 = 35 ลติ ร ตอบ ใช้น้ำไปจำนวน 35 ลิตร 2.6 การบวกและการลบทศนิยม การหาผลบวกของทศนิยมใดๆ จะใชหลกั เกณฑดังน้ี 1. การหาผลบวกระหวา่ งทศนยิ มที่เป็นบวก ใหนําค่าสัมบูรณม์ าบวกกันแล้วตอบเปน็ จำนวนบวก 2. การหาผลบวกระหว่างทศนิยมทีเ่ ปน็ ลบ ใหนําค่าสัมบรู ณม์ าบวกกนั แล้วตอบเป็นจำนวนลบ 3. การหาผลบวกระหว่างทศนิยมท่ีเป็นบวกกับทศนิยมที่เป็นลบ ใหนําค่าสัมบูรณ์มาลบกันแลว ตอบเป็นจำนวนบวกหรือจำนวนลบตามจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกวาการหาผลลบของทศนิยมใด ๆ ใชขอตกลงเดยี วกันกับทใี่ ชในการหาผลลบของจำนวนเต็ม คือ ตวั ต้ัง - ตวั ลบ = ตวั ต้ัง + จำนวนตรงข้ามของตวั ลบ สรุป การบวกและการลบทศนิยม จะตองต้ังใหจุดทศนิยมตรงกันกอน แล้วจึงบวกลบ จำนวนใน แต่ละหลัก ถาจำนวนตำแหน่งทศนิยมไม่เทากัน นิยมเติมศูนย์ข้างท้ายเพื่อใหจำนวนตำแหน่งทศนิยมเท ากัน 2.7 การคูณทศนิยม การคูณทศนิยม มีหลักเกณฑดงั น้ี 1. การหาผลคณู ระหวา่ งทศนยิ มที่เป็นบวก ใหนาํ ค่าสมั บูรณม์ าคณู กนั แลว้ ตอบเป็นจำนวนบวก 2. การหาผลคูณระหวา่ งทศนิยมทีเ่ ป็นลบ ใหนําค่าสมั บรู ณม์ าคณู กนั แลว้ ตอบเปน็ จำนวนบวก 3. การหาผลคูณระหว่างทศนิยมท่ีเป็นบวกกับทศนิยมที่เป็นลบ ใหนําค่าสัมบูรณ์มาคูณกนั แลวตอบเป็น จำนวนลบ

109 หมายเหตุ ผลคูณทศนิยม จะมีจำนวนหลักทศนิยมเทากับผลบวกของจำนวนหลัก ทศนิยมของตัวต้ัง และจำนวนหลกั ทศนยิ มของตัวคูณ 2.8 การหารทศนยิ ม การหารทศนิยม มีหลกั เกณฑดงั นี้ 1. การหาผลหารระหวา่ งทศนิยมท่ีเป็นบวก ใหนาํ ค่าสมั บูรณม์ าหารกันแลว้ ตอบเป็นจำนวนบวก 2. การหาผลหารระหวา่ งทศนิยมท่เี ปน็ ลบ ใหนําคา่ สมั บูรณม์ าหารกนั แล้วตอบเป็นจำนวนบวก 3. การหาผลหารระหว่างทศนยิ มท่ีเป็นบวกกบั ทศนิยมทเ่ี ป็นลบ ใหนาํ คา่ สัมบรู ณม์ าหารกันแลว ตอบเปน็ จำนวนลบ ขอสำคญั ตอ้ งทำใหตัวหารเป็นจำนวนเตม็

110 2.9 การนําความรูเรอ่ื งทศนยิ มไปใชในการแกโจทยปญหา ตวั อยา่ งที่ 1 เหลก็ เสนกลมขนาดเสนผ่านศูนย์กลาง 1.75 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร จะหนัก 3.862 กิโลกรัม ถ าเหล็กเสนขนาดเดยี วกันนย้ี าว 1.25 เมตร จะหนกั กก่ี ิโลกรัม วิธีทำ เหล็กเสนกลมมีขนาดเสนผ่านศูนย์กลาง 1.75 เซนติเมตร และยาว 100 เซนติเมตร หนัก 3.862 กิโลกรัม ถายาว 1 เซนติเมตร หนกั 3.862= 0.03862กโิ ลกรมั 100 ดังนน้ั เหลก็ เสนขนาดเดิมแตย่ าว 125 เซนตเิ มตร หนัก 0.03862125 = 4.8275กโิ ลกรมั เหล็กเสนขนาดเดมิ ยาว 1.25 เมตร หนัก 4.8275 กิโลกรัม จำนวนและการดำเนินการ เร่ืองท่ี 1 จำนวนเตม็ บวก จำนวนเต็มลบ และเตม็ ศูนย์ จำนวนเตม็ ประกอบด้วยจำนวนเต็มบวก จำนวนเตม็ ลบ และจำนวนเตม็ ศนู ย์ จำนวนเต็มบวก คือ จำนวนนับเป็นจำนวนชนิดแรกท่ีเรารู้จัก มีค่ามากกว่าศูนย์ จำนวนนับจำนวน แรกคือ 1 จำนวนท่ีอยู่ถัดไปจะเพิ่มข้ึนทีละ 1 เสมอ สามารถเขียนเรียงลำดับได้ดังน้ี 1,2,3,……..ไปเร่ือยๆ จำนวนนบั เหลา่ นอ้ี าจเรยี กได้ว่า “จำนวนเต็มบวก”

111 จำนวนเตม็ ศูนย์ มจี ำนวนเดียว คือ ศนู ย์ (0) สำหรบั 0 ไม่เปน็ จำนวนนับ เพราะจะไมก่ ล่าววา่ มีจำนวนผู้เรียนจำนวน 0 คน แตศ่ ูนยก์ ็ไม่ได้ หมายความวา่ ไม่มเี สมอไป จำนวนเตม็ ลบ หมายถึง จำนวนท่ีตรงขา้ มกบั จำนวนเต็มบวก มีค่าน้อยกว่าศูนย์ (0) มีค่าลดลงเร่ือยๆ ไมม่ ีทสี่ ้นิ สุด เช่น -1,-2,-3,….. ถ้านำจำนวน0 จำนวนเตม็ บวก จำนวนเตม็ ลบ มาเขยี นแสดงด้วยเสน้ จำนวนได้ ดังนี้ -3 -2 -1 0 1 2 3 เรอ่ื งท่ี 2 การเปรยี บเทียบจำนวนเตม็ จำนวนเตม็ 2 จำนวน เม่อื นำมาเปรยี บเทียบกันจะได้ว่า จำนวนหน่งึ ทม่ี ากกวา่ จำนวนหนึ่งหรอื จำนวน หนง่ึ ที่นอ้ ยกว่าอกี จำนวนหนึง่ หรอื จำนวนท้งั สองจำนวนเท่ากนั เพยี งอย่างใดอยา่ งหนง่ึ เท่านัน้ ถ้า a,b,cเป็นจำนวนธรรมชาตใิ ดๆ แลว้ a-b = c แลว้ aมากกวา่ b a-b = -c แล้ว bมากกว่า a หรอื a น้อยกว่า b a -b = o แล้ว a เท่ากบั b เครอื่ งหมายที่ใช้ >แทนมากกว่า <แทนนอ้ ยกว่า = แทนเทา่ กบั หรอื เท่ากนั 2.1 จำนวนตรงข้ามของจำนวนเตม็ สรปุ ได้วา่ สำหรับจำนวนเต็ม a ใด ๆจำนวนตรงข้ามของ a คือ -a และจำนวนตรงขา้ มของ -a คอื -α เนอ่ื งจากจำนวนตรงขา้ มของ (-a) เขียนแทนดว้ ย -(-a) ดังน้ัน -(-a) = a เชน่ จำนวนตรงขา้ มของ (-3) เขียนแทนดว้ ย -(-3) คอื 3 2.2 ค่าสมบรู ณ์ของจำนวนเตม็ สญั ลกั ษณ์ของคา่ สมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ ‖ ขอ้ สงั เกต เมื่อ a แทนจำนวนใดๆ A เมื่อ a> 0 Lal = 0 เมอื่ a =0 -a เมื่อ a < 0 ซึ่งสรปุ ได้วา่ ค่าสมบูรณ์ของจำนวนใดๆ เทา่ กบั ระยะทางทจ่ี ำนวนนนั้ อยู่ห่างจาก 0 บนเสน้ จำนวน

112 เร่อื งที่3การบวกการลบการคูณและการหารจำนวนเตม็ 3.1 การบวกจำนวนเต็ม 1) การบวกจำนวนเต็มบวกด้วยจำนวนเต็มบวกหาผลบวกด้วยการนำค่าสัมบูรณ์มาบวกกัน และตอบเป็นจำนวนเต็มบวกเช่น 2+3=5 2) การบวกจำนวนเต็มลบด้วยจำนวนเต็มลบหาผลบวกด้วยการนำค่าสมั บูรณ์มาบวกกันแล้ว ตอบเป็นจำนวนเต็มลบ เช่น (-2) + (-3) = (-5) 3) การบวกจำนวนเตม็ บวกดว้ ยจำนวนเตม็ ลบ 3.1กรณีท่ีจำนวนเต็มบวกมีค่าสมบูรณ์มากกว่าหาผลบวกด้วยการนำค่าสัมบูรณ์มา ลบกนั และผลลพั ธ์เป็นจำนวนเต็มบวก เชน่ 12 + (-8) = 4 3.2 กรณีจำนวนเต็มลบมีค่าสัมบูรณ์มากกว่าหาผลบวกด้วยการนำค่าสัมบูรณ์มาลบ กนั แล้วผลลพั ธ์เปน็ จำนวนเตม็ ลบ เช่น 3 + (-10) = -7 4) การบวกจำนวนเต็มลบด้วยจำนวนเต็มบวก 4.1 กรณีท่ีจำนวนเต็มบวกมีค่าสัมบูรณ์มากกวา่ หาผลบวกด้วยการนำค่าสัมบูรณ์มา ลบกนั และผลลพั ธ์เป็นจำนวนเต็มบวก เช่น (-3) + 5 = 2 4.2 กรณีจำนวนเต็มลบมีค่าสัมบูรณ์มากกว่าหาผลบวกด้วยการนำค่าสัมบูรณ์มาลบ กันแล้วผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มลบ เช่น (-5) + 3 = -2 3.2 การลบจำนวนลบ ดงั น้ี ตัวต้ัง – ตัวลบ = ตวั ตงั้ + จำนวนตรงขา้ มของตวั ลบ นนั่ คือ เมื่อ a และ b แทนจำนวนใด ๆ a – b = a + จำนวนตรงข้ามของ b หรอื a – b = a + (-b) 3.3 การคณู จำนวนเต็ม 1)การคณู จำนวนเต็มบวกดว้ ยจำนวนเต็มบวก เช่น 3x5 = 5+5+5 = 15 7x4 = 4+4+4+4+4+4+4 = 28 การคณู จำนวนเต็มบวกด้วยจำนวนเต็มบวกน้ันไดค้ ำตอบเปน็ จำนวนเต็มบวก 2) การคณู จำนวนเต็มบวกด้วยจำนวนเตม็ ลบ เช่น 3x(-8) = (-8) + (-8) + (-8) = -24 2x(-7) = (-7) +(-7) = -14 การคณู จำนวนเตม็ บวกดว้ ยจำนวนเต็มลบ ได้คำตอบเป็นจำนวนเตม็ ลบ 3) การคณู จำนวนเตม็ ลบด้วยจำนวนเต็มบวก

113 เชน่ (-7) x 4 = 4 x (-7) = (-7) + (-7) + (-7) + (-7) = -28 การคณู จำนวนเต็มลบดว้ ยจำนวนเตม็ บวก ไดค้ ำตอบเปน็ จำนวนเต็ม ลบ 4) การคูณจำนวนเต็มลบด้วยจำนวนเตม็ ลบ เชน่ (-3) x (-5) = 15 (-11) x (-20) = 220 การคณู จำนวนเต็มลบด้วยจำนวนเต็มลบ ไดค้ ำตอบเปน็ จำนวนเต็ม บวก 3.4 การหารจำนวนเตม็ การหารจำนวนเต็ม เมื่อ a,bและ c แทนจำนวนเต็มใด ๆ ที่ b ไม่เท่ากับ 0 จะหาผลหารได้โดย อาศยั การคูณ ตัวตง้ั ÷ ตัวหาร = ผลลพั ธ์ มีความหมายเดียวกบั ผลลัพธ์ × ตัวหาร = ตัวตั้ง ถา้ a ÷ b = c แลว้ a = b x c การหาผลหาร −25 จะต้องหาจำนวนทคี่ ูณกบั 5 แลว้ ได้ -25 ดงั น้ัน−25 = −5 55 การหาผลหาร 25 จะตอ้ งหาจำนวนทีค่ ูณกับ -5 แลว้ ได้ 25 ดงั นั้น 25 = −5 −5 −5 จากการหาผลหารขา้ งตน้ จะเห็นได้ว่า ถ้าท้ังตัวตัง้ หรอื ตัวหารตวั ใดตัวหนงึ่ เป็นจำนวนเต็มลบโดยท่ีอีกตัวหนงึ่ เป็นจำนวนเต็มบวก คำตอบ เปน็ จำนวนเต็มลบ ที่มีคา่ สัมบูรณเ์ ทา่ กับผลหารของคา่ สมั บรู ณ์ของสองจำนวนนน้ั การหาผลหาร −25 จะต้องหาจำนวนทค่ี ูณกบั -5 แล้วได้ -25 ดังนัน้ −25 = 5 −5 −5 การหาผลหาร ������������ จะต้องหาจำนวนที่คณู กบั 5 แลว้ ได้ 25 ดังน้นั ������������ = ������ ������ ������ จากการหาผลหารข้างต้นจะเหน็ ได้ว่า ถ้าทั้งตัวตั้งหรือตัวหาร เป็นจำนวนเต็มบวกทั้งคู่หรือจำนวนเต็มลบทั้งคู่ คำตอบเป็นจำนวนจริง เตม็ บวก ทีม่ คี า่ สมั บรู ณ์เท่ากับผลหารของคา่ สัมบรู ณข์ องสองจำนวนนนั้ เรอื่ งที่ 4 สมบัตขิ องจำนวนเต็มและการนำไปใช้ 4.1 สมบตั เิ กีย่ วกับการบวกและการคณู จำนวนเต็ม 1) สมบตั ิการสลบั ที่ ถา้ a และ b แทนจำนวนเตม็ ใดๆ a+b=b+a (สมบตั กิ ารสลับทีก่ ารบวก) axb=bxa (สมบัตกิ ารสลบั ท่กี ารคณู ) 2) สมบตั ิการเปลีย่ นหมู่

114 ถา้ a และ b แทนจำนวนเต็มใดๆ (a+b) + c = a+(b+c) (สมบตั กิ ารเปล่ียนหมู่การบวก) (axb) x c = ax(bxc) (สมบตั ิการเปล่ียนหมกู่ ารคูณ) 3) สมบตั กิ ารแจกแจง ถา้ a และ b แทนจำนวนเต็มใดๆ a x(b + c) = ab + ac และ(b+c) x a = ba + ca 4.2 สมบัติของหนง่ึ และศนู ย์ 1) สมบัติของหนึง่ 1. ถ้า a แทนจำนวนใด ๆ แลว้ a x 1 = 1 x a = a 2. ถ้า a แทนจำนวนใดๆ แล้ว ������=a 1 2) สมบตั ิของศนู ย์ 1. ถ้า a แทนจำนวนใด ๆ แล้ว a+0 = 0 + a = a 2. ถา้ a แทนจำนวนใด ๆ แลว้ ax0 = 0 x a = 0 3. ถ้า a แทนจำนวนใด ๆ ทไ่ี ม่ใช่ 0 แลว้ 0=0(เราไม่ใช้ 0 เปน็ ตัวหาร ถา้ a แทน จำนวนใดๆ แลว้ ������ ไม่มคี วามหมายทางคณิตศาสตร)์ ������ 0 4. ถ้า a และ b แทนจำนวนใด ๆ และ axb = 0 แลว้ จะได้ a=0 หรอื b=0

115 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 7 วิชาการพฒั นาอาชีพให้มคี วามเข็มแข็ง... จำนวน 6 ช่วั โมง เร่ือง..การพฒั นาธุกจิ เชิงรุก ตวั ชี้วดั 1. การแทรกความนิยมเขา้ สู่ความต้องการของผ้บู ริโภคได้อยา่ งแท้จริง 2. การสร้างรปู ลักษณ์ คุณภาพสินคา้ ใหมไ่ ด้ 3. บอกประโยชนก์ ารพฒั นาอาชีพใหม้ ีความมัน่ คงได้เขม็ แขง็ (พออยู่พอกนิ มรี ายได้ มีการออม ) เน้อื หา 1. บอกวธิ ีการแทรกความนิยมเข้าสคู่ วามตอ้ งการของผบู้ ริโภคได้อย่างแทจ้ ริง 2. ให้รู้จกั วธิ กี ารสร้างรปู ลกั ษณ์ คณุ ภาพสนิ ค้าใหม่ได้ 3. ให้ผู้เรียนบอกประโยชน์การพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคงได้เข็มแข็ง (พออยู่พอกินมีรายได้ มีการ ออม ขัน้ ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 1 กำหนดสภาพปญั หาความตอ้ งการ ครูติดตามชักถามผู้เรียนเร่ืองงานที่มอบหมายให้ไปค้นคว้าความรู้เร่ืองการพัฒนาธุรกิจเชิงรุกและ การพัฒนารูปลักษณ์สินค้าใหม่ ประโยชน์การพัฒนาอาชีพให้มีความเข็มแข็ง โดยการนำเสนอตามรายกลุ่มท่ี มอบหมายไปคน้ ควา้ มารายงาน ขนั้ ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และการจัดการเรียนรู้ 1. ครูยกตัวอย่างความเป็นมาของธุรกิจเชิงรุกที่ประสบความสำเร็จให้ผู้เรียนแลกเปล่ียนความคิดเห็นและ เรียนรู้พร้อมกับเปิด ชีดี เรื่องรูปลักษณ์คุณภาพสินค้ารูปแบบใหม่และการพัฒนาอาชีพให้มีความเข็มแข็งใน รปู แบบต่างๆ 2. ให้ผู้เรียนนำเสนอรายงานเร่ืองที่มอบหมายไปค้นคว้าโดยการแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม 4 กลุ่มๆ ละ 5- 7 คน ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ นำเสนอในหวั ข้อท่ีไดร้ ับมอบหมาย ใชเ้ วลาในการนำเสนอกลุม่ ละ 25 นาทดี งั นี้ กลมุ่ ที่ 1 เรอื่ งความนยิ มและความต้องการของผบู้ ริโภค กลุ่มท่ี 2 เรื่อง วิธีการสรา้ งรูปลักษณ์คณุ ภาพสนิ คา้ ใหม่ กลมุ่ ท่ี 3 เรือ่ งประโยชน์การพฒั นาอาชีพให้มีความม่ันคงเข็มแข็ง พออยู่พอกนิ มกี ารออม กลุม่ ท่ี 4 เร่อื งความจำเป็นและคณุ ค่าของธุรกิจเชิงรุก ขัน้ ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยุกต์ใช้ ครูสรุปผลจากการนำเสนอการรายงานทีค่ น้ ควา้ มา โดยครูสังเกตพฤตกิ รรมผูเ้ รยี นในการทำรายงานและ การนำเสนองาน ใช้เวลากลุ่มละ 25 นาที และให้ผู้เรียนบันทึกกิจกรรมลงในสมุดบันทึกกิจกรมในสัปดาห์ท่ี

116 4 ใช้เวลา 30 นาทีครูตรวจงานท่ีผู้เรียนทำใช้เวลา 10 นาที ครูมอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาวิธีการเขียน โครงการมาในการพบกลมุ่ ครัง้ ตอ่ ไป ข้ันที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ -. ใบความรู้ - ใบงาน - ชี ดี เรื่องการพัฒนารปู ลกั ษณ์คณุ ภาพสนิ คา้ ใหม่ - สมดุ บันทกึ กจิ กรรม - หอ้ งสมดุ /ศนู ยก์ ารเรยี น การวัดและประเมินผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี ่วนรว่ ม ความตัง้ ใจ และความสนใจของผู้เรยี น 2. ผลการทดสอบกอ่ นและหลังเรียน 3. ผลการออกแบบและสรา้ งสรรค์นวัตกรรมและสง่ิ ทตี่ ้องการพัฒนา/ช้ินงาน/ผลงาน 4. ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผ้เู รยี น

117 ใบความรู้ ครง้ั ที่ 7 วชิ า พัฒนาอาชีพใหม้ คี วามเขม้ เขง็ (อช 21003) การพัฒนาระบบการผลติ หรอื การบริการ การประกอบอาชพี ทง้ั ด้านการผลติ และการบริการทดี่ ำเนินการอยจู่ ะสามารถดำเนินไปไดด้ ้วยดีแลว้ ก็ ตามแตเ่ พ่อื ให้การประกอบอาชพี นม้ี ีความกา้ วหนา้ และมั่นคงผ้ปู ระกอบการธรุ กจิ ต้องคำนึงถงึ การพฒั นาระบบ การผลติ หรือการบริการอย่างตอ่ เนอ่ื ง การพัฒนาระบบการผลิตหรือการบริการ สามารถดำเนินการได้ดังน้ี 1. ลักษณะการผลติ และการให้บริการหมายถึงสภาพของแหล่งให้บริการท่ีดีทผี่ ้ใู ชบ้ รกิ ารสามารถ สมั ผัสจับต้องได้ลักษณะของสินคา้ และผลิตภัณฑด์ ดู ีนา่ ซ้ือน่าใช้ 2. ความไว้วางใจหมายถึงความสามารถในการนำเสนอผลติ ภณั ฑห์ รอื การบรกิ ารตามคำม่ันสัญญาทใี่ ห้ ไว้อย่างตรงไปตรงมาและถกู ต้องและมกี ารรบั รองคุณภาพจากหน่วยงานทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 3. ความกระตือรือรน้ ดา้ นการบรกิ ารหมายถึงการแสดงความเตม็ ใจทจี่ ะช่วยเหลอื และพร้อมทีจ่ ะ ใหบ้ รกิ ารผใู้ ช้บริการอย่างทนั ท่วงที 4. ความเชยี่ วชาญหมายถึงความรู้ความสามารถในการปฏบิ ตั ิงานบรกิ ารท่รี ับผดิ ชอบอยา่ งมี ประสิทธิภาพความน่าเชือ่ ถือในตวั สินค้ารบั รองดว้ ยตราสินค้าทีม่ เี ช่ยี วชาญเฉพาะด้าน 5. อธั ยาศยั ทีน่ อบนอ้ มด้านการบริการหมายถงึ ความมีมิตรไมตรคี วามสภุ าพนอบนอ้ มเปน็ กันเอง 6. ให้เกยี รตผิ ้อู ื่นจริงใจมนี ้ำใจและความเป็นมิตรของผูป้ ฏิบัตงิ านผลผลติ และบริการ 7. ความน่าเชอ่ื ถือหมายถงึ ความสามารถในดา้ นการสร้างความเชอ่ื ม่ันดว้ ยความซ่ือสตั ย์ของ ผู้ประกอบการธรุ กิจ 8. ความปลอดภยั หมายถึงสภาพที่ปราศจากอันตรายความเสย่ี งภัยและปญั หาตา่ งๆ 9. การเข้าถงึ บริการหมายถึงการตดิ ต่อเพื่อการซือ้ ผลติ ภณั ฑ์หรือใช้บริการด้วยความสะดวกไม่ยุ่งยาก 10. การตดิ ตอ่ สื่อสารหมายถึงความสามารถในการสรา้ งความสมั พนั ธ์และสื่อความหมายได้ชดั เจนใช้ ภาษาทีง่ า่ ยและรับฟังความคิดเห็นของผูร้ บั บริการ 11. ความเขา้ ใจลูกคา้ หมายถึงความพยายามในการค้นหาและทำความเข้าใจกบั ความต้องการของ ผใู้ ช้บรกิ ารและให้ความสำคญั ตอบสนองความต้องการของผใู้ ช้บริการโดยทันที คุณภาพของการผลติ หรือการบริการเปน็ ส่ิงสำคัญทผ่ี ู้ประกอบการธรุ กิจต้องรักษาระดับคุณภาพและพฒั นา ระดบั คุณภาพการผลิตหรือการบรกิ ารให้เหนือกวา่ คแู่ ข่งขันโดยเสนอคณุ ภาพการผลิตหรือการให้บริการตาม ลูกค้าคาดหวังหรือเกนิ กว่าสงิ่ ท่ีลกู ค้าคาดหวังไว้เสมอ

118 ความจำเป็นและคุณคา่ ของธรุ กิจเชงิ รุก 1. ความหมายของธุรกิจเชงิ รุก ธุรกจิ เชงิ รกุ หมายถึงการบริหารจดั การธรุ กิจแบบมีแบบแผนเป็นระบบการพฒั นางานทด่ี อี ำนวย ประโยชน์ใหก้ ับผปู้ ระกอบการสามารถวางแผนตดิ ตามและควบคมุ ให้การดำเนินงานในทุกด้านได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ 2. ความจำเป็นและคุณค่าของธรุ กจิ เชิงรกุ ธรุ กิจเชิงรุกเปน็ ความพยายามทีจ่ ะหาวิธกี ารให้ได้เปรยี บทางการแข่งขนั ทางธรุ กิจเปน็ การพฒั นา สินคา้ ใหต้ รงกบั ความต้องการของผบู้ ริโภคสนิ คา้ ไดร้ บั การพัฒนาอยา่ งต่อเนื่องตลอดเวลาผ้บู รโิ ภคมีโอกาส เลือกซื้อสนิ ค้าได้หลากหลาย การแทรกความนยิ มเข้าสตู่ ลาดของผู้บรโิ ภค การแทรกความนิยมเข้าสู่ความต้องการของผู้บริโภคจะต้องรู้ว่าช่วยอะไรให้กับใครกลยุทธ์เป็น ส่วนประกอบทางการตลาดที่ต้องแทรกความนิยมเข้าสู่ความต้องการของลูกค้าซ่ึงส่วนประกอบทางการตลาด เบ้ืองต้นได้แก่ผลิตภัณฑ์ ( Product ) ซ่ึงเป็นท้ังสินค้า ( Goods ) หรือบริการ ( Services ) หรือทั้งสองอย่าง ซ่ึงผู้ประกอบการต้องชี้แจงได้ว่าผลิตภัณฑ์ของตนคืออะไรใช้ประโยชน์ได้อย่างไรและมุ่งหวังว่าจะต้องหาทาง ผลักดนั ให้เปน็ ทีย่ อมรับของลกู ค้าในตลาดใหไ้ ด้โดยการแทรกรสนยิ มเขา้ สสู่ ินคา้ หรือบรกิ ารนนั้ ๆ ผลติ ภัณฑค์ ือสิง่ ตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ผ้ปู ระกอบการควรคำนึงถึงสนิ คา้ ท่ีขายใหก้ บั ลกู คา้ เปรียบเสมือนผ้แู ก้ปัญหาทางการตลาดปญั หาของ ลกู คา้ คือความต้องการสง่ิ ที่มาตอบสนองให้กับตนเองเชน่ ลูกค้านิยมกล่นิ ใบเตยในขนมปังผผู้ ลิตจงึ นำใบเตยมา ใช้เป็นส่วนผสมในขนมปงั การใชใ้ บเตยในขนมปังจงึ เปน็ การแทรกความนยิ มลงในสนิ ค้า รปู ที่ 1 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งผลติ ภัณฑก์ บั ลูกคา้ ผลติ ภัณฑ์ ลูกค้า ( ส่ิงท่ีธรุ กิจขาย ) k ( สิ่งทลี่ ูกค้าต้องการ )

119 การสรา้ งรปู ลกั ษณค์ ณุ ภาพสินค้าใหม่ การสรา้ งรูปลักษณ์คุณภาพสินค้าใหม่เป็นการพฒั นาสนิ ค้าใหต้ รงกับความต้องการของผู้บริโภคเชน่ มี ความสวยงามใช้งานสะดวกมีความทนทานการพัฒนาผลิตภณั ฑ์ของธุรกจิ มีหลายรปู แบบซง่ึ การพัฒนา ผลติ ภัณฑอ์ าจมสี าเหตุมาจากความมน่ั คงของธุรกจิ หรือการเติบโตของธรุ กิจจึงต้องมีการพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ ห้มี คณุ ภาพแตกต่างกันไปแตล่ ะธุรกจิ จะพฒั นาได้ต่อเม่ือผปู้ ระกอบการรับรู้ความต้องการในการตัดสนิ ใจซื้อสินคา้ และบริการจึงกำหนดทิศทางทางวิธกี ารพัฒนาผลิตภัณฑไ์ ด้เหมาะสมสอดคล้องกับความตอ้ งการของ ผู้ประกอบการ แนวทางพิจารณาผลิตภัณฑ์ไมห่ มายถงึ เฉพาะรปู แบบหรือวัตถสุ ิ่งของทเ่ี ป็นรูปร่างเท่าน้ันแตย่ งั รวมไป ถึงคณุ คา่ ของผลติ ภัณฑ์และการบริการด้วยดงั น้นั ผลิตภณั ฑ์จึงหมายถงึ สินค้าทีส่ ามารถตอบสนองความพอใจท่ี จบั ต้องได้และจับต้องไม่ได้ ส่วนประกอบท่ีสำคัญในการพัฒนาผลิตภณั ฑม์ ี 2 ประการคือ 1. ผลิตภณั ฑน์ ั้นตอ้ งมีคุณค่าและตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากทีส่ ดุ 2. สว่ นประกอบของผลิตภัณฑต์ อ้ งมอี ยา่ งครบถ้วน หนา้ ที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการคดิ ค้นผลติ ภัณฑ์ใหมอ่ อกสตู่ ลาดผ้ผู ลิตควรดำเนินการดังนี้ 1. รวบรวมขอ้ มลู สำหรับปรับปรงุ และวิธกี ารดำเนินการพัฒนาผลติ ภัณฑ์ 2. กำหนดแผนการพฒั นาผลิตภณั ฑ์ 3. ดำเนินการและติดตามผลพัฒนาผลติ ภณั ฑใ์ ห้มีประสิทธิภาพ 4. วางแผนกลยุทธก์ ารขายผลิตภณั ฑ์

120 แบบทดสอบ คร้ังที่ 7 วชิ า พัฒนาอาชพี ให้มีความเข้มแขง็ (อช21003) คำชแ้ี จง ให้กา  ทับตัวอักษรหนา้ ขอ้ ความที่เปน็ คำตอบที่ถูกทส่ี ดุ เพยี งข้อเดียว 1. ส่ิงท่สี ำคญั ในการประกอบอาชีพอิสระ คือ ก. เงินทนุ ข. ความซ่อื สัตย์ ค. ผู้ร่วมงาน ง. ความคิดแปลกใหม่ 2. ขอ้ ใดถูกต้องทสี่ ุดเก่ียวกับอาชพี อสิ ระ ก. การทำเลียนแบบคนอน่ื ข. การทำตามคำสงั่ คนอืน่ ค. การทำตามความประสงคข์ องตนเอง ง. การทำตามความประสงค์ของคนอื่น 3. ขอ้ ใดหมายถงึ กระบวนการเปล่ยี นแปลงผลผลิตหรือสินคา้ ระหวา่ งกนั ก. การบรโิ ภค ข. การขนสง่ ค. การตลาด ง. การจำหนา่ ย 4. ใครพฒั นาความคิดมากทีส่ ุด ก. ไกป่ ลกู ตน้ ขา้ วโพดให้วัวกิน ข. นกปลูกขา้ วโพดใหว้ ัวกนิ แล้วข้วี วั ทำไปทำปยุ๋ ใส่ข้าวโพด ค. เปด็ ปลูกข้าวโพดให้ววั กนิ ขว้ี ัวหมักทำแกส๊ หงุ ต้ม ง. หา่ นปลูกต้นขา้ วโพดให้ววั กิน ข้ีววั หมกั ทำแก๊สหุงตม้ กากทีเ่ หลอื ทำปุ๋ยข้าวโพด 5. การสกดั นำ้ มนั ถ่ัวเหลือง แล้วเอากากถัว่ ไปทำอาหารสัตว์ เปน็ วธิ ีการตามขอ้ ใด ก. การใช้วสั ดุใหห้ มดไป ข. การแปรรูปของเหลอื ใช้ ค. การเพมิ่ รายได้ ง. ถูกทุกขอ้ 6. อาหารหมใู่ ดชว่ ยเสริมสร้างร่างกายใหเ้ จริญเตบิ โต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ก. โปรตนี ข. ไขมนั ค. คารโ์ บไฮเดรต ง. เกลือแร่

121 7. การขยายพนั ธุ์พชื โดยใชเ้ พศมปี ระโยชน์สงู สุดในข้อใด ก. เพิ่มปรมิ าณไดร้ วดเร็ว ข. ขยายพนั ธไุ์ ด้ง่ายกว่าวธิ อี ่นื ค. ปรับปรงุ พนั ธเ์ุ พ่ือสรา้ งพชื พันธใ์ุ หม่ ง. ช่วยให้ไดต้ น้ ตออยา่ งเหมาะสม 8. จลุ ินทรียช์ นดิ ใดท่ีสามารถยอ่ ยอินทรียว์ ตั ถุได้ในสภาพที่แหง้ สนทิ ก. โมลต์ ข. เหด็ รา ค. แบคทีเรยี ง. แอคทีโนมัยซีตส์ 9. ข้อใดทจ่ี ดั ว่าเปน็ อุตสาหกรรมภายในครอบครัว ก. การจกั สาน ข. การถลงุ เหล็ก ค. การผลติ กระดาษ ง. การทำเหมืองแร่ 10. อาชีพใดท่ีจัดวา่ เป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม ก. การทำเฟอร์นิเจอร์ ข. การประกอบรถยนต์ ค. การทำเคร่ืองเรือน ง. อู่ซ่อมรถ เฉลย แบบทดสอบ ครัง้ ท่ี 7 วิชา พัฒนาอาชพี ให้มีความเข้มแข็ง (อช21003) 1. ข 2. ค 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ข 8. ง 9. ก 10. ง

122 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ครัง้ ท่.ี ....... วนั ท่.ี ......เดือน............................พ.ศ............... ผลการใช้แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ 1. จำนวนเนื้อหากับจำนวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดบั เนอ้ื หากบั ความเขา้ ใจของผเู้ รยี น  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเขา้ สูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแต่ละหวั ข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้กบั เนอื้ หาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกับตวั ช้วี ัดในแต่ละเนอ้ื หา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

123 ผลการเรียนร้ขู องผูเ้ รียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจดั กระบวนการเรียนรขู้ องครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ................................................ ผูบ้ นั ทึก () ครู กศน.ตำบล ความเหน็ ของผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ .................................................. (นางมาลี เพง็ ด)ี ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่

124 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น ช่ือโครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................ ชอื่ โรงเรยี น/สถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………….. ช่อื หัวหนา้ โครงการ/กิจกรรม............................................................................................................. คำช้ีแจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ระดับคุณภาพการ ประเมินดังนี้ 5 มพี ฤตกิ รรมการเรียนรู้ มากทส่ี ุด 4 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ มาก 3 มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ปานกลาง 2 มพี ฤติกรรมการเรยี นรู้ น้อยู่ 1 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ นอ้ ยทู่ ่ีสดุ เกณฑก์ ารพิจารณาระดับคณุ ภาพ คะแนนเฉลี่ยร้อยลู่ ะ 0 - 50 ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรุง คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยู่ละ 50 - 69 ระดับคุณภาพ พอใช้ คะแนนเฉลย่ี ร้อยลู่ ะ 70 – 79 ระดับคุณภาพ ดี คะแนนเฉล่ยี ร้อยู่ละ 80 – 89 ระดบั คณุ ภาพ ดีมาก คะแนนเฉล่ียร้อยู่ละ 90 - 100 ระดบั คุณภาพ ดีเย่ยี ม พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ระดบั พฤตกิ รรม 54321 1. ความตั้งใจในการทำงาน 2. ความรบั ผิดชอบ 3. ความกระตือรอื รน้ 4. การตรงตอ่ เวลา 5. ผลสำเร็จของงาน 6. การทำงานรว่ มกบั ผู้อ่นื 7. มีความคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ 8. มกี ารวางแผนในการทำงาน 9. การมีสว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ ในกลุ่ม 10. การมีสว่ นรว่ มในการแก้ไขปญั หาในกลมุ่ ลงช่อื ......................................................................ผู้ประเมนิ ............../.............................../.....................

125 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 8 เร่ือง เหตกุ ารณส์ ำคัญทางประวตั ศิ าสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย และ บูรณาการเร่อื ง การคดิ แยกแยะ (รายวิชา การปอ้ งกนั การทจุ รติ สค22022) รว่ มดว้ ย เวลาเรียน 6 ชวั่ โมง แนวคดิ ทวีปเอเชียประกอบดว้ ย ประเทศสมาชิกหลายประเทศ ในที่นี้จะกล่าวถึงประวัติศาสตรข์ อง ประเทศ ในแถบเอเชียที่มีพรมแดนติดและใกล้เคียงกับประเทศไทย ได้แก่ ประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และประเทศญ่ีปุ่น โดยสังเขป นอกจากนี้ได้เกดิ เหตกุ ารณ์สำคัญๆ ในประเทศ ไทยและประเทศในทวปี เอเชียที่น่าสนใจเช่น ยคุ ล่า อาณานคิ ม และยุคสงครามเย็น เป็นต้น ตัวชีว้ ัด สามารถนำเหตกุ ารณใ์ นประวัตศิ าสตรม์ าวิเคราะหใ์ ห้เห็นความเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ขึ้นกับประเทศไทย และประเทศในทวีปเอเชยี เน้ือหา เหตุการณ์สำคัญทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชีย - ยุคล่าอาณานิคม - ยุคสงครามเย็น ขัน้ ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้ ข้ันตอนที่ 1 การสรา้ งแรงบันดาลใจ (Passion : P) 1. ครทู กั ทายผู้เรยี น พรอ้ มท้งั แนะนำตนเอง และแผนการจัดการเรียนรู้ ซง่ึ การจดั การเรยี นรู้ท่ี ผเู้ รยี น จะต้องเรยี นรู้รว่ มกันในคร้ังน้ี คือ เร่อื ง “เหตุการณส์ ำคญั ทางประวัติศาสตรใ์ นประเทศไทยและ ประเทศในทวปี เอเชยี ” และชวนคดิ ชวนคยุ เก่ียวกับเรอ่ื งท่ีจะเรยี นรู้เพ่ือกระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความสนใจและมี ความกระตอื รือรน้ ในการเชอื่ มโยงและสรา้ งความพร้อมท่จี ะเรียนรูห้ รือทำกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแผนการ จดั การเรยี นรู้คร้งั นี้ 2. ครชู แ้ี จงวัตถปุ ระสงค์ เนือ้ หา กจิ กรรม การวัดและประเมินผลของการเรยี นรู้ในครั้งน้ี ที่ สอดคล้องกับตัวช้วี ดั ตามแผนการจดั การเรยี นรู้ครัง้ นี้ เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นเขา้ ใจอยา่ งชัดเจนวา่ ผเู้ รียนจะตอ้ งเรยี นรู้ ใหบ้ รรลตุ ัวชว้ี ัด ท่ีกำหนดตามแผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 2 เร่อื ง “เหตกุ ารณส์ ำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทยและประเทศในทวปี เอเชีย” ในคร้งั น้ี ซ่งึ มจี ำนวน 2 ข้อ ดงั น้ี

126 เหตกุ ารณ์สำคญั ทางประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย 1. ยคุ ล่าอาณานิคม 2. ยคุ สงครามเย็น 3. ใหผ้ เู้ รยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรื่อง “เหตุการณ์สำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย และประเทศในทวีปเอเชีย” จำนวน 10 ขอ้ โดยใช้เวลา 10 นาที 4. ครใู หผ้ ู้เรียนศกึ ษาหนังสือเรยี นรายวิชาสังคมศึกษา สค 21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2554) เร่ือง เหตุการณส์ ำคัญทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี หนา้ 69 -75 พร้อมท้ังแนะนำแหลง่ ศกึ ษาคน้ คว้าเพม่ิ เติมจากอนิ เทอร์เน็ต ซ่ึงผู้เรยี นสามารถไปเรียนรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง และ ทำกิจกรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายด้วย ทง้ั น้ี ครูควรจะชีแ้ จงให้ผู้เรียนทราบว่าในการพบกลุ่มตามแผนการ จดั การเรียนรคู้ รง้ั นี้ ผเู้ รียนจะต้องเรยี นรแู้ ละทำกจิ กรรมที่สอดคล้องกบั เน้ือหาทเี่ รียน โดยปฏิบัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การศึกษาคลปิ วิดโี อ และการแลกเปลย่ี นเรยี นรูโ้ ดยการอภิปรายร่วมกับเพื่อนในกลมุ่ รวมทัง้ มีการ ทดสอบหลังเรียนด้วย นอกจากนี้ ในการพบกลุ่มแต่ละคร้ังน้ัน ครูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ซ่ึงวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองจะต้องเกิดข้ึนในทุก ๆ ตัวช้ีวัดและเน้ือหาท่ีกำหนด โดยผู้เรียนจะต้อง ปฏิบัติกิจกรรมที่กำหนดให้ด้วยวิธีเรียนรู้ออนไลน์ และศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน ดังน้ัน ครูจะต้อง เช่อื มโยงรายละเอียดดงั กล่าวขา้ งต้นให้ผเู้ รียนได้เกิดความเขา้ ใจและเกดิ แรงบนั ดาลใจในการเรยี นรทู้ ี่จะเกิดข้ึน เพราะ การมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ออนไลน์ผ่าน อินเทอร์เนต็ และศึกษาเอกสารประกอบการเรียน 5. ครูชวนคิดชวนคุยเกยี่ วกบั ประสบการณ์เดิมของครูในเรื่องทีจ่ ะเรยี นรตู้ ามแผนการจัดการเรียนรู้ นี้ โดยครูสุ่มผูเ้ รียนตามความสมัครใจ จำนวน 4 – 5 คน ให้ตอบคำถาม จำนวน 3 ประเด็น ดงั นี้ ประเด็นที่ 1 “ท่านทราบหรอื ไม่ว่า เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตรใ์ นประเทศไทย มเี หตุการณ์ สำคัญอะไรเกดิ ข้นึ บา้ ง แนวคำตอบ เหตุการณ์สำคัญทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย ดังน้ี

127 ช่วงเวลา เหตุการณ์ทสี่ ำคัญ พ.ศ.2112 - ฟลิ ปิ ปินส์ถกู ยดึ ครองโดยสเปน - กรุงศรอี ยุธยาแตกคร้งั ท่ี 1 พ.ศ.2127 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอสิ รภาพ พ.ศ.2133 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชขึ้นครองราชยแ์ ละขยายอาณาเขตอยุธยา พ.ศ.2155 สมเด็จพระทรงธรรมขึ้นครองราชย์ อยุธยาติดต่อการค้ากับนานาชาติเพ่ิมขึ้น ในสมยั นี้องั กฤษเขา้ มาตดิ ตอ่ การค้าขายที่อยธุ ยา พ.ศ.2184 ฮอลันดายดึ มะละกาจากโปรตเุ กส พ.ศ.2199 สมเด็จพระนารายมหาราชขึ้นครองราชย์ อยุธยาติดต่อการค้ากับนานาชาติ อยา่ งกวา้ งขวาง พ.ศ.2216 พระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 แห่งฝร่ังเศส ส่งคณะฑูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายมหา ราชเป็นครง้ั แรก พ.ศ.2294 สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศโปรดทรงส่งสมณฑูตไปสบื สานศาสนาท่ี ศรีลังลา พ.ศ.2310 -กรุงศรีอยุธยาแตกคร้งั ท่ี 2 -สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชกอบกู้ชาตแิ ละตั้งกรงุ ธนบุรเี ป็นราชธานีใหม่ พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงเทพฯเป็น ราชธานี พ.ศ.2367 สงครามพมา่ กับองั กฤษ คร้งั ที่ 1 พ.ศ.2369 ไทยทำสนธสิ ญั ญาเบอรน์ ยี ์กบั อังกฤษ พ.ศ.2394 -พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้ึนครองราชย์ทรงเร่ิมปรับปรุง ประเทศให้เปน็ แบบสมัยใหม่ พ.ศ.2398 -สงครามพมา่ กบั องั กฤษ ครั้งท่ี 2 พ.ศ.2405 ไทยทำสนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ กบั องั กฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ทรงปฏิรูปประเทศ ทางด้านการปกครองและดา้ นต่างๆ

128 พ.ศ.2411 ไทยเสยี ดินแดนประเทศราชสว่ นใหญใ่ ห้ฝรง่ั เศสและอังกฤษ ประเด็นท่ี 2 “ท่านทราบหรือไม่ว่า ในปี พ.ศ. 2367 อังกฤษทำสงครามกับพม่าคร้ังที่ 1 จาก เหตุการณ์นี้ ตอ่ มาใน พ.ศ. 2369 เกิดเหตกุ ารณ์สำคัญอยา่ งไรกับประเทศไทย แนวคำตอบ ในปี พ.ศ. 2367 อังกฤษทำสงครามกับพม่าครั้งที่ 1 จากเหตุการณ์น้ี อีก 2 ปี ต่อมา พ.ศ. 2369 ไทยต้องทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ เพื่อป้องกันการรุกรานของชาติตะวันตกและ ต่อมาในปี พ.ศ. 2394 อังกฤษทำสงครามกับพม่าครั้งที่ 2 และอีก 4 ปี ต่อมา พ.ศ.2398 ไทยก็ต้องทำ สนธิสัญญาเบาว์ ประเด็นท่ี 3 “ท่านทราบหรือไม่ว่า ขบวนการชาตินิยมและการเรียกร้องเอกราชในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉลียงใต้เกดิ ข้ึนกบั ประเทศใดบา้ ง แนวคำตอบ ขบวนการชาตินิยมและการเรยี กร้องเอกราชในภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉลยี งใตเ้ กิด ขนึ้ กับประเทศต่างๆ คือ ประเทศพม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวยี ดนาม กัมพูชา และลาว โดยแต่ละ ประเทศมีบุคคลสำคัญท่ีมีบทบาทการเคล่ือนไหวขบวนการชาตินิยม เช่น อู ออง ซาน แห่งพม่า พ.ศ.2458- 2490 ซกู ารโ์ น พ.ศ. 2444-2513 แห่งอนิ โดนีเซยี โฮ จิ มินท์ แห่งแห่งเวยี ดนาม พ.ศ. 2433-2512 เปน็ ต้น 6. หลงั จากนัน้ ครูเปิดคลิปวิดีโอใหผ้ ูเ้ รียนชม เรื่อง“ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉยี งใตใ้ นสมัยอาณา นิคม ประวัติศาสตร์ ม.1” จาก https://www.youtube.com/watch?v=vnbGaysLU_U ชว่ งเวลา 12.05 นาที โดยครูสมุ่ ผู้เรยี นตามความสมคั รใจ จำนวน 4 – 5 คน ใหต้ อบคำถาม จำนวน 2 ประเดน็ ดงั นี้ ประเด็นท่ี 1 “ท่านได้เรยี นรู้อะไรบ้าง จากคลปิ วดิ โี อน้ี” แนวคำตอบ ได้เรียนรู้สาเหตุสำคัญที่ชาวตะวันตกเข้ามาแผ่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉลียงใต้ มี 2 ประเดน็ หลัก คือ 1. ดินแดนตะวันออกเฉลยี งใต้มที รัพยากรทางธรรมชาติทสี่ มบูรณ์ 2. ตะวันตกต้องการเผยแผ่ศาสนาครสิ ตม์ ายงั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ พัฒนาการของรัฐตา่ งๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใตส้ มยั อาณานคิ ม - อินโดนเี ซียตกเปน็ อาณานิคมของเนเธอรแ์ ลนดโ์ ดยสมบูรณ์ ใน พ.ศ. 2342 - สเปนเป็นชาติตะวันตกชาติแรกท่ีมาถึงหมูเ่ กาะฟิลปิ ปินส์ สเปนปกครองฟิลิปปินส์ ด้วยความเขม้ งวด ชาวฟิลปิ ปนิ ส์ส่วนใหญ่ไม่มีสิทธใิ นการปกครองตนเอง - อังกฤษตอ้ งการสัมปทานการค้าไม้ในพม่า และเดินเรือในแม่น้ำเพ่ือใช้เสน้ ทางผ่าน ไปจนี พมา่ ท้งั ประเทศตกเปน็ อาณานิคมของอังกฤษโดยสมบรู ณ์ เมอ่ื พ.ศ.2438

129 - ชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ายดึ ครอง คือ โปรตุเกส ภายหลังโปรตุเกตุขยายอทิ ธิพล ไปยังชวาและหม่เู กาะเครอ่ื งเทศ ทำให้มะละกาเสื่อมบทบาทและตกเป็นของเนเธอรแ์ ลนดล์ ะองั กฤษ ประเดน็ ท่ี 2 “ทา่ นคิดว่า สาเหตุใดทีท่ ำให้ชาติตะวนั ตกเขา้ ยึดครองเอเชยี ในศตวรรษท่ี 21 -22 แนวคำตอบ สาเหตุใดทที่ ำให้ชาติตะวันตกเข้ายึดครองเอเชยี ในศตวรรษท่ี 21 -22 คอื 1. ความต้องการเครื่องเทศและสนิ คา้ เอเชียอืน่ ๆ 2. การเผยแผ่ศาสนาครสิ ต์ 3. การแย่งชงิ แบ่งปันผลประโยชน์ 7. ครแู ละผเู้ รยี นอภิปรายและสรปุ ผลการเรียนรูร้ ว่ มกัน ขัน้ ตอนท่ี 2 การนำไปใชป้ ระโยชน์ (Utilization : U) 1. ครูใหผ้ เู้ รยี นแลกเปล่ยี นเรียนรู้ โดยแบ่งผูเ้ รียนออกเป็นกลมุ่ ๆ กลมุ่ ละ 4 – 8 คน ดำเนนิ กิจกรรมเปน็ รายกลุ่ม ศึกษาเน้ือหา ใน หนังสือเรยี นรายวชิ าสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554) เรือ่ ง เหตุการณ์สำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชีย หน้า 69 -75 ดังน้ี 1) ยคุ ลา่ อาณานิคม(หนา้ 69-72) 2) ยคุ สงครามเย็น (หน้า 73 -75) ให้แต่ละกลุ่มแลกเปล่ียนเรียนรู้ และส่งผู้แทนนำเสนอต่อ กลุ่มใหญ่ใน 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1 ยคุ ล่าอาณานิคม ประเด็นที่ 2 ยุคสงครามเยน็ ครูและผู้เรียนสรปุ ผลการเรยี นรู้รว่ มกัน และให้ผเู้ รยี นสรปุ สง่ิ ท่ไี ด้เรยี นรู้ลงในสมดุ บนั ทึกผลการ เรยี นรู้ของตน 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมท้ังการใช้อินเตอร์เน็ตเพ่ือการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น และให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคลศึกษาเน้ือหา ใน หนังสือเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554) เรื่อง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชีย หนา้ 69 -75 3. ครดู ำเนินการทำหน้าที่นำการอภิปราย โดยใหผ้ ู้เรยี นกล่มุ ใหญร่ ว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ คดิ วิเคราะห์ อภปิ ราย และวเิ คราะหใ์ ห้ขอ้ มลู เพ่ิมเติมในเนื้อหาหรอื ประเด็นท่ียังไมช่ ดั เจน ตามรายละเอียดที่ ผ้เู รยี นได้แลกเปลยี่ นเรยี นร้รู ่วมกัน หากผเู้ รยี นกลุ่มใหญห่ รือครูเหน็ ว่ายังไม่สมบูรณ์ มคี วามต้องการในการ เรียนร้เู พม่ิ เตมิ ครจู ะชว่ ยเตมิ เต็มความรู้ให้กบั ผู้เรียน หลงั จากนั้นครูและผเู้ รียนสรปุ สิ่งท่ไี ด้เรียนรู้ในภาพรวม ทง้ั หมดแล้วให้ผเู้ รยี นสรปุ ส่ิงที่ได้เรียนรูล้ งในสมุดบันทึกการเรยี นรขู้ องตน หมายเหตุ :

130 ในการดำเนนิ กิจกรรมกลุ่ม ครชู ี้แจงบทบาทหน้าท่ีในการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการทำงาน ซึ่งมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งต้ังประธานหรือผู้นำในการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ รวมถึงการแต่งตั้งเลขานุการของกลุ่มเป็นผู้จดบันทึกและ ผู้รักษาเวลา เพื่อปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และพิจารณาว่าสมาชิกลุ่มทุกคน ควรมีความเข้าใจตรงกันว่า ตนมีบทบาทหน้าที่ท่ีจะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเร็จ ครูควรให้คำแนะนำถึง ความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการผูกขาดการ อภปิ รายโดยผูใ้ ดผู้หนงึ่ และควรมีการจำกัดเวลาของการอภิปรายแต่ละประเด็น ในระหว่างการทำกจิ กรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คอย กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ โดยบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของ ผู้เรียน และเครอ่ื งมือประเมนิ การสังเกตแบบประมาณคา่ 4. ครูเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นทง้ั กลุ่มรว่ มกันสนทนา เพ่ือใหผ้ ้เู รียนมีทักษะในการฟัง พูด คิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกบั ผ้อู นื่ การคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และการนำความรใู้ นเน้ือหามาใช้ โดยครูบูรณาการ เนอื้ หาการเรียนรู้ มีการใชส้ อ่ื เทคโนโลยีท่เี ปน็ คลิปวดิ ีโอจาก youtube และ TikTok ท่สี ัมพนั ธ์กับเน้ือหา ทัง้ น้ี ครเู ชือ่ มโยงส่งิ ท่ีไดเ้ รียนรู้ตามขน้ั ตอนที่ 1 ในการนำความรไู้ ปสู่การปฏบิ ตั ิ และประยุกต์ใชผ้ า่ นคลิปวดิ ีโอ โดย ครูเปิดคลิปวดิ ีโอ เรื่อง“ดินแดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ในสมัยอาณานคิ ม ประวตั ิศาสตร์ ม.1” จาก https://www.youtube.com/watch?v=vnbGaysLU_U ชว่ งเวลา 12.05 นาที หลังจากน้ัน ครูดำเนินการ ดังนี้ ครูบรรยายเนื้อหาตามใบความรู้สำหรับครู เรื่อง “การขยาย อิทธิพลของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เพือ่ ใช้สำหรับประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง “เหตุการณ์ สำคญั ทางประวัตศิ าสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ” ในส่วนของผู้เรียนให้ศึกษาใบความรู้สำหรับผู้เรียน ประกอบการบรรยายของครูตามใบความรู้ สำหรับผ้เู รยี น เร่ือง “การขยายอิทธพิ ลของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้” 5. ครูและผู้เรยี นอภิปรายและสรุปผลการเรยี นรู้รว่ มกัน ขัน้ ตอนท่ี 3 การสะท้อนความคิดจากการเรยี นรู้ (Reflection : R) 1. แบ่งผู้เรยี นออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 - 8 คน ให้ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มลงมือปฏบิ ัติจรงิ โดยผเู้ รยี นแต่ละ กล่มุ ศึกษาคน้ ควา้ เรอ่ื ง “เหตุการณ์สำคญั ทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ” 2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรม เร่ือง “เหตุการณ์สำคญั ทางประวัติศาสตร์ ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย” ทง้ั นี้ ครูจะตอ้ งกำกับการปฏิบตั ิกจิ กรรมของผูเ้ รียนจนกิจกรรมแล้ว เสรจ็ ตามใบกจิ กรรมสำหรับครู เรอ่ื ง “การขยายอทิ ธพิ ลของตะวนั ตกในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้” 3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้า เรื่อง “เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใน ประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย” ตามใบกิจกรรมของผู้เรียน เร่ือง “การขยายอิทธิพลของตะวันตกใน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้”

131 4. ครใู ห้ผ้เู รียนสะทอ้ นความคิดในการเรียนร้ทู ี่ไดจ้ ากการเรยี นรู้และการปฏิบตั ิการ จากขนั้ ตอนท่ี 1 ถึง ขั้นตอนที่ 3 นี้ 5. ครแู ละผู้เรยี นอภปิ รายและสรุปผลการเรียนรูร้ ่วมกัน ข้นั ตอนที่ 4 การตดิ ตามแระเมินและแก้ไข (Action : A) 1. ครูสนทนากบั ผ้เู รยี นเก่ียวกับเรื่องท่ีได้เรยี นรู้ตามแผนการจัดการเรยี นรูน้ ้ี โดยครูสุม่ ผู้เรยี นตาม ความสมคั รใจจำนวน 2 – 3 คน ใหต้ อบคำถามในประเดน็ ต่อไปน้ี ประเด็น “ท่านจะนำความรู้เร่ือง เรื่อง “เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและ ประเทศในทวปี เอเชีย” ไปประยุกตใ์ ช้ในการแก้ปัญหาหรอื ไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ จริงได้อยา่ งไร” แนวคำตอบ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้เรื่อง เร่ือง “เหตุการณ์สำคัญทาง ประวัตศิ าสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ” ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจริงได้ ดังนี้ (1) ชนชาติต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวไทย ชาวอินโดนีเซีย ชาวเวียดนาม ชาว ฟลิ ิปปินส์ มบี รรพบรุ ษุ ดงั้ เดิมเป็นพวกเดียวกนั (2) การเข้ามาล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจักวรรดินิยมตะวันตก มีสวน เกย่ี วขอ้ งกับการเร่ืองราวถนิ่ เดิมของชนชาติไทย (3) มูลเหตุที่ชาตติ ะวันตกต้องการเดนิ ทางมายงั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ สรปุ ได้ดังน้ี 1.) พอ่ คา้ ชาวยโุ รปตอ้ งการซอื้ สินค้าเคร่อื งเทศจากแหล่งผลิตโดยตรง โดยไมต่ รงผา่ นมอื พ่อคา้ คนกลาง คือ ชาวอาหรบั 2.) การคา้ ทางเรือเสียคา่ ใช้จา่ ยน้อย มคี วามเสีย่ งน้อยกว่าการค้าขายทางบก 3.) สนั ตะปาปาทก่ี รุงโรม ทรงมีนโยบายสนับสนุนกษตั ริย์ของประเทศในยุโรป ซงึ่ นับถือ ครสิ ตศ์ าสนานกิ ายโรมนั คาทอลกิ โดยเฉพาะโปรตุเกส สเปน และฝร่ังเศส ให้สง่ มชิ ชนั นารีเดินทางไปเผยแพร่ ศาสนาในตา่ งแดน 4.) เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้เปน็ ดินแดนท่ีอุดมสมบูรณไ์ ปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ประชากรมีอยู่มากและเจริญรงุ่ เรอื งทางดา้ นอารยธรรมอย่แู ล้ว 5.) ยโุ รปก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ สามารถต่อเรือเดินทางทะเลขนาดใหญ่ ประดิษฐ์ เครื่องมอื เพ่อื ใชใ้ นการเดนิ เรือที่ทันสมัยและปลอดภัยมากข้ึน อีกทั้งพระมหากษตั ริย์ในทวปี ยโุ รปสนับสนนุ การ ค้นหาดินแดนท่ีอยหู่ า่ งไกล จึงกระต้นุ นักเดนิ เรือให้สนใจเดินทางไปยงั ดินแดนตา่ งๆ 2. ครูและผู้เรียนอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน ตาม PowerPoint สำหรับครู เรื่อง การ สรุปผลการเรียนรู้ “เรื่อง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย” เพ่ือ เปน็ การสรุปภาพรวมของกจิ กรรมการเรยี นรู้ ซ่ึงจะทำใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความเข้าใจในกิจกรรมการเรยี นรมู้ ากย่ิงขึน้ 3. ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง “เร่ือง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศ ไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ” จำนวน 10 ข้อ โดยใชเ้ วลา 10 นาที

132 4. ครูและผ้เู รยี นสรปุ ภาพรวมสิ่งท่ีได้เรยี นร้รู ่วมกัน นอกจากนี้ ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จส้ินขั้นตอนที่ 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง รายละเอียดดงั น้ี การมอบหมายงานให้เรียนรู้ด้วยตนเอง 1. ครชู ้ีแจงให้ผเู้ รยี นทราบวา่ ในการพบกลุ่มแต่ละครั้งผ้เู รยี นจะไดร้ ับมอบหมายงานให้ไปเรยี นรู้ ดว้ ยวิธเี รยี นร้ดู ว้ ยตนเองในลกั ษณะท่คี รูจะมอบหมายงานให้ผู้เรยี นไปศึกษา “หนงั สือเรยี นรายวชิ าสังคมศกึ ษา สค 21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2554) เร่ือง เหตกุ ารณส์ ำคญั ทางประวัตศิ าสตรใ์ น ประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี หนา้ 69 -75 ทงั้ ภาคทฤษฎแี ละปฏิบัติ โดยให้ศกึ ษาเนือ้ หาและปฏบิ ัติ กจิ กรรมท้ายเร่อื ง รายละเอยี ดของเน้ือหา แบง่ ออกเป็น 2 ส่วน ดงั นี้ สว่ นที่ 1 เนื้อหาการเรยี นรูต้ ามแผนการจดั การเรยี นรู้คร้งั น้ี สว่ นที่ 2 เนอื้ หาการเรียนรู้เพิม่ เติมในหนงั สอื เรยี นเรียนดังกลา่ ว 2. ครมู อบหมายงานใหผ้ ้เู รียนเรยี นรู้ด้วยตนเอง โดยให้ไปศึกษา “หนงั สอื เรยี นรายวชิ าสงั คมศึกษา สค 21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2554) เร่ือง เหตกุ ารณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใน ประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี รายละเอียดของกจิ กรรมที่ผูเ้ รยี นจะตอ้ งปฏบิ ัติ แบง่ ออกเปน็ 2 ส่วน ดังน้ี สว่ นที่ 1 เนื้อหาการเรียนรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรคู้ รง้ั นี้ ได้แก่ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตรใ์ นประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี (หนงั สือเรยี น หน้า 69 - 75) (กิจกรรมทา้ ยเรอ่ื งในหนงั สอื เรียน 78 -79) ส่วนที่ 2 มอบหมายงานให้ผเู้ รียนเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซง่ึ เนอ้ื หาการเรียนรู้เพ่ิมเติมใน “หนังสือ เรยี นรายวชิ าสงั คมศึกษา สค 21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2554)” ไดแ้ ก่ ประวตั ิศาสตร์สังเขปของประเทศในทวปี เอเชีย 1. ประวัตศิ าสตร์ประเทศกัมพชู า ประเทศลาว (หนงั สือเรียน หน้า 40- 50) (กิจกรรมทา้ ยเรอื่ งในหนังสือเรยี น 76) 2 ประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซีย ประเทศพมา่ (หนงั สอื เรยี น หน้า 51-53) (กิจกรรมทา้ ยเรอื่ งในหนังสือเรยี น 76) 3) ประวตั ศิ าสตร์ประเทศอนิ โดนีเซยี ประทศฟลิ ิปปินส์ (หนังสือเรยี น หนา้ 60-64) (กิจกรรมทา้ ยเร่อื งในหนังสือเรียน 77) หลังจากน้ัน ครูและผู้เรียนมีการนัดหมายทบทวน ตรวจสอบ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ผา่ นทางสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ต่อไป

133 หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองน้ัน อาจมีความแตกต่างกันบ้างในขั้นตอน โดยพิจารณาจากพื้นฐานของผู้เรียน ในกรณีที่ผู้เรียนมีพื้นฐานน้อย หรือไม่มีพ้ืนฐานมาก่อนก็ควรจัดการเรียนรู้พื้นฐานที่จำเป็นและพอเพียงกับผู้เรียน หลังจากน้ันให้ผู้เรียนได้ ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหน่ึงแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อท่ีอยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพื้นความรู้มา กอ่ นแล้ว ใหค้ ิดหวั ขอ้ ท่สี นใจจะทำและให้ลงมอื ปฏบิ ัตไิ ด้ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1. นำเขา้ สบู่ ทเรียนเรียน เร่อื ง “เหตุการณส์ ำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศ ในทวีปเอเชยี ”และบูรณาการเรอ่ื ง การคดิ แยกแยะ ร่วมด้วย 2. ใบความรู้สำหรับผเู้ รียน เรอื่ ง “เหตุการณ์สำคัญทางประวตั ศิ าสตร์ในประเทศไทยและประเทศ ในทวปี เอเชีย”และบูรณาการเรอื่ ง การคดิ แยกแยะ รว่ มด้วย 3. คลปิ วิดโี อ เรื่อง เรอ่ื ง“ดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ในสมยั อาณานิคม ประวตั ศิ าสตร์ ม.1” จาก https://www.youtube.com/watch?v=vnbGaysLU_U ชว่ งเวลา 12.05 นาที 4. ใบความรู้สำหรับครู เร่ือง “การขยายอิทธิพลของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”และบูรณา การเร่ือง การคิดแยกแยะ รว่ มด้วย 5 ใบกจิ กรรมของผู้เรยี น เร่อื ง “การขยายอิทธิพลของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้”และบรู ณา การเรอ่ื ง การคิดแยกแยะ รว่ มด้วย 6. PowerPoint สำหรบั ครู เรอ่ื ง สงครามเย็นและความขดั แยง้ ทางอดุ มการณ์ 2 ขว้ั มหาอำนาจ” 7. แบบทดสอบหลังเรียน เรอ่ื ง “เหตุการณส์ ำคัญทางประวัติศาสตรใ์ นประเทศไทยและประเทศ ในทวปี เอเชีย”และบูรณาการเรอื่ ง การคดิ แยกแยะ ร่วมดว้ ย 8. แบบประเมนิ ความพึงพอใจสำหรบั ผูเ้ รียนในการเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง“เหตุการณส์ ำคญั ทางประวัตศิ าสตร์ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย”และบรู ณาการเร่ือง การคิดแยกแยะ รว่ มด้วย การวดั และประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความตงั้ ใจ และความสนใจของผูเ้ รียน 2. ผลการทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน 3. ผลการออกแบบและสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมและส่งิ ท่ตี ้องการพฒั นา/ชิ้นงาน/ผลงาน 4. ผลการประเมินความพงึ พอใจของผู้เรียน

134 รายละเอียดสอื่ วสั ดุ อปุ กรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้ 1. นำเขา้ สบู่ ทเรียน เรื่อง “เหตกุ ารณส์ ำคัญทางประวตั ศิ าสตรใ์ นประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชีย”และบูรณาการเร่อื ง การคิดแยกแยะ ร่วมด้วย 2. ใบความรสู้ ำหรับผเู้ รยี น เรื่อง “เหตุการณ์สำคัญทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศ ในทวปี เอเชยี ”และบรู ณาการเรือ่ ง การคดิ แยกแยะ รว่ มด้วย 3. คลิปวิดีโอ เรือ่ ง เรอื่ ง“ดินแดนเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตใ้ นสมยั อาณานิคม ประวัติศาสตร์ ม.1” จาก https://www.youtube.com/watch?v=vnbGaysLU_U ช่วงเวลา 12.05 นาที 4. ใบความรู้สำหรับครู เรื่อง “การขยายอิทธิพลของตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” และบูรณา การเรือ่ ง การคิดแยกแยะ ร่วมดว้ ย 5 ใบกิจกรรมของผเู้ รียน เรอ่ื ง “การขยายอทิ ธพิ ลของตะวันตกในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้” 6. PowerPoint สำหรบั ครู เรื่อง สงครามเยน็ และความขดั แยง้ ทางอุดมการณ์ 2 ข้วั มหาอำนาจ” 7. แบบทดสอบหลังเรียน เร่อื ง “เหตุการณส์ ำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยและประเทศ

135 ใบความรู้ คร้ังที่ 8 เรือ่ ง การขยายอิทธิพลของตะวันตกในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ กอ่ นพุทธศตวรรษที่ 21 พ่อค้าตา่ งชาตทิ เี่ ดนิ ทางเข้ามาค้าขายในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตส้ ่วนใหญ่ คอื จนี อินเดยี อาหรบั โดยเฉพาะพ่อค้าอาหรบั ได้ผกู ขาดสนิ ค้าเครอ่ื งเทศ ซงึ่ เปน็ สินคา้ ทีช่ าวตะวันตกนยิ ม เพราะ สามารถนำไปใชป้ รุงอาหารและถนอมอาหารมใิ ห้เน่าเสยี เร็ว การผูกขาดเครื่องเทศของพ่อคา้ อาหรับ ทำให้ สนิ คา้ ประเภทน้ีในยโุ รปมรี าคาสูงมาก พ่อคา้ ชาวยุโรปตอ้ งการสนิ ค้าจากเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ แตไ่ ม่สามารถเดนิ ทางเข้ามาค้าขายได้โดยตรง เพราะยังไม่ทราบเสน้ ทางเดินเรือจากยโุ รปมายงั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ พวกพ่อค้ายุโรปได้แต่เดินทางค้าขาย กับอนิ เดยี และจนี โดยใช้เส้นทางการค้าทางบกที่ทุรกันดารเท่าน้นั มลู เหตุที่ชาตติ ะวนั ตกตอ้ งการเดินทางมายัง เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ สรุปได้ดังนี้ 1. พ่อค้าชาวยุโรปต้องการซอื้ สินคา้ เคร่ืองเทศจากแหลง่ ผลติ โดยตรง โดยไมต่ รงผ่านมือพ่อค้าคน กลาง คอื ชาวอาหรับ 2. การคา้ ทางเรือเสียคา่ ใช้จา่ ยน้อย มีความเส่ียงน้อยกว่าการคา้ ขายทางบก 3. สันตะปาปาทก่ี รงุ โรม ทรงมีนโยบายสนับสนุนกษตั รยิ ์ของประเทศในยุโรป ซ่งึ นบั ถือคริสต์ศาสนา นกิ ายโรมนั คาทอลกิ โดยเฉพาะโปรตเุ กส สเปน และฝรง่ั เศส ใหส้ ง่ มชิ ชันนารีเดินทางไปเผยแพรศ่ าสนาในต่าง แดน 4. เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตเ้ ปน็ ดินแดนที่อดุ มสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ประชากรมีอยมู่ าก และเจรญิ ร่งุ เรืองทางดา้ นอารยธรรมอย่แู ลว้ 5. ยุโรปกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตร์ สามารถต่อเรือเดินทางทะเลขนาดใหญ่ ประดษิ ฐ์เครอื่ งมอื เพ่ือใช้ ในการเดินเรือท่ที นั สมยั และปลอดภยั มากขึน้ อีกทง้ั พระมหากษัตรยิ ์ในทวปี ยุโรปสนับสนนุ การค้นหาดนิ แดนท่ี อยหู่ ่างไกล จึงกระตุ้นนกั เดินเรือให้สนใจเดินทางไปยังดนิ แดนต่างๆ การขยายอิทธพิ ลของประเทศตา่ งๆ โปรตุเกส โปรตุเกสเปน็ ชาติแรกทส่ี ามารถแลน่ เรือจากยโุ รปมายงั อนิ เดยี โดยออ้ มแหลมแอฟริกา มาถึงเมืองกาลกิ ูฏในอินเดยี เป็นครง้ั แรกเมอื่ พ.ศ. 2041 ต่อมาได้เข้ายดึ ครองเมืองกัว ในอินเดยี ศรีลงั กา และ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ใน พ.ศ. 2054 โปรตเุ กสยดึ มะละกาซง่ึ เปน็ ศนู ยก์ ลางการค้าเครอ่ื งเทศทีส่ ำคัญในสมัยนนั้ โปรตุเกส ประสบความสำเรจ็ ในการคา้ เคร่ืองเทศ จึงขยายอำนาจของตนเข้าไปในดนิ แดนหมู่เกาะของประเทศ อินโดนีเซยี ในปจั จบุ นั เชน่ หมูเ่ กาะโมลุกกะหรือหมเู่ กาะเครื่องเทศ และสร้างความยง่ิ ใหญ่ทางด้านกองทัพเรือ สามารถทำลายระบบการค้าแบบผกู ขาดของชาติอาหรับได้สำเรจ็ และไดผ้ ูกขาดการค้าในภมู ภิ าคน้ีแทน อาหรับ รวมท้งั ไดเ้ ข้าไปมีบทบาทสำคญั ในทางการเมืองของอาณาจักรตา่ งๆ เช่น เปน็ ทหารอาสาสมัครใน

136 กองทพั ไทยและพมา่ เผยแพร่ความร้ทู างวิทยาการแก่ชาวพ้ืนเมืองโดยเฉพาะดา้ นการทหารแบบสมยั ใหม่ นอกจากนั้นโปรตุเกสยังสง่ มิชชันนารีเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโรมนั คาทอลิกในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ จนี และญปี่ นุ่ เป็นต้น โปรตเุ กสได้ขยายอทิ ธพิ ลไปถึงจนี และญป่ี ุ่น จัดตั้งศนู ย์กลางการค้าที่มาเก๊าเพ่ือเปน็ ศนู ยก์ ลางการคา้ ในภมู ภิ าคน้ี โปรตเุ กสมีอิทธิพลทางการค้าและการเมืองในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ และเอเชีย ตะวนั ออกได้นานเกือบ 100 ปี จงึ เสื่อมอำนาจลงเมื่อตน้ พุทธศตวรรษที่ 22 เนื่องจากฮอลันดาและองั กฤษมี ความเข้มแขง็ ทางกองทัพเรือเหนอื กวา่ โปรตเุ กส และไดม้ นี โยบายขยายอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ โปรตุเกสทำสงครามพ่ายแพแ้ กฮ่ อลนั ดาหลายครัง้ จนต้องสูญเสียมะละกาให้แก่ฮอลันดา สเปน สเปนได้ส่งนกั เดินเรอื ผู้ยง่ิ ใหญ่ ช่ือ แมกเจลแลน นำกองเรือออกจากสเปนออ้ มทวีปอเมริกาเข้า มหาสมทุ รแปซิฟิกมาถึงหมู่เกาะฟลิ ปิ ปินสเ์ ปน็ ครงั้ แรกเมอ่ื พ.ศ. 2064 ต่อมาเกิดขัดแย้งกบั ชาวพื้นเมืองถงึ ข้ันสู่ รบกนั แมกเจลแลนถกู ฆา่ ตาย ลูกเรอื ท่เี หลอื จึงนำเรอื หนีออกจากฟิลิปปินสเ์ ดินทางกลบั ผา่ นชอ่ งแคบมะละกา มหาสมทุ รอินเดีย อ้อมแหลมแอฟริกากลบั ไปถึงสเปนไดส้ ำเร็จ นบั เป็นการเดนิ ทางโดยทางเรอื รอบโลกได้ สำเร็จเปน็ คร้ังแรก ตอ่ มากษตั ริย์สเปนไดส้ ่งเรือรบพร้อมดว้ ยกำลังทหารเดนิ ทางมายังฟิลปิ ปนิ ส์อีกหลายครัง้ และเข้ายึด เกาะต่างๆ สเปนไดเ้ ขา้ ปกครองชาวฟิลิปปนิ ส์ และได้เผยแผค่ รสิ ต์ศาสนาแก่ชาวพื้นเมืองบาทหลวงชาวสเปน ได้เข้าไปสอนศาสนาชาวพ้ืนเมืองซ่ึงสว่ นใหญย่ ังนบั ถือผสี างเทวดา และไดเ้ ปลี่ยนแปลงวิถีชีวติ ชาวฟลิ ิปปนิ ส์ ด้วยการจัดตั้งโรงเรยี นสอนหนังสอื และสรา้ งวฒั นธรรมแบบสเปนแก่ชาวพน้ื เมือง ทำให้ชาวฟลิ ิปปนิ สส์ ่วนใหญ่ ของประเทศหนั ไปนบั ถือครสิ ต์ศาสนานกิ ายโรมนั คาทอลิกตง้ั แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจบุ นั ยกเวน้ บางเกาะทางภาคใต้ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ฮอลันดา ฮอลันดาจัดตั้งบรษิ ทั อินเดียตะวันออก เพ่อื ค้าขายและขยายอำนาจในดนิ แดนโพ้นทะเล ฮอลนั ดาสนใจการคา้ เคร่ืองเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ โดยเฉพาะหมเู่ กาะอินดัสตะวนั ออกหรือหมู่เกาะ อินโดนเี ซยี ในปัจจบุ ันซงึ่ อดุ มสมบรู ณ์ไปด้วยเครื่องเทศ เรอื สนิ ค้าฮอลันดาพร้อมดว้ ยเรือรบคุ้มครองไดข้ ยาย อำนาจในอินโดนีเซยี ดว้ ยการค้าขายกบั ชาวพ้นื เมือง พร้อมท้งั ถือโอกาสเข้าแทรกแซงทางการเมืองด้วยการ ชว่ ยเหลอื ทางทหารแก่สุลตา่ นซ่งึ เป็นผูป้ กครองเกาะ ฮอลนั ดาจึงได้รับผลประโยชน์ทางการคา้ และเข้าไป ปกครองเกาะบางเกาะ ดว้ ยวิธกี ารดงั กลา่ วเปน็ ผลทำให้ฮอลันดาสามารถผูกขาดการคา้ ในหมู่เกาะอนิ โดนีเซีย และขยายอิทธิพลทางการคา้ ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ได้ ภายหลังเมอื่ ฮอลนั ดาทำสงครามทางเรือชนะ โปรตุเกสและอังกฤษ ฮอลันดาก็สามารถยึดครองหมเู่ กาะต่างๆ ในอนิ โดนีเซียไวใ้ ตอ้ ำนาจของตนไดห้ มดส้ิน องั กฤษ อังกฤษจัดตั้งบรษิ ทั อนิ เดียตะวนั ออกเพ่ือค้าขายในดนิ แดนโพ้นทะเล และเข้ามาคา้ ขายใน เอเชยี ตะวันออกเฉียงใตภ้ ายหลงั ฮอลันดา 5 ปี ในระยะแรกพ่อคา้ อังกฤษไม่สามารถคา้ ขายแข่งขนั กับฮอลันดา ได้ ประกอบกับกองทัพเรืออังกฤษยังไม่เขม้ แข็งเท่าฮอลนั ดา องั กฤษจงึ ต้องถอนตัวออกจากการคา้ ในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ไปช่วงระยะหน่ึง

137 ฝร่งั เศส ฝรั่งเศสจัดตั้งบรษิ ทั อนิ เดียตะวันออกเพ่ือทำหนา้ ที่คา้ ขายและขยายอำนาจ เช่นเดยี วกบั องั กฤษและฮอลนั ดา นอกจากฝรั่งเศสสนใจการคา้ ในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตแ้ ลว้ ฝรงั่ เศสยงั สนใจเผยแผค่ รสิ ต์ ศาสนานิกายโรมนั คาทอลิก เช่นเดียวกบั โปรตุเกสและสเปนอีกดว้ ย ในระยะแรก ชาติตะวันตกขยายอิทธิพลมายังเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ เพ่ือประโยชน์ทางการคา้ และ เผยแผ่ศาสนา จึงเกดิ สงครามเพือ่ แยง่ ชิงผลประโยชน์กนั ต่อมาชาตติ ะวันตกเหน็ วา่ หากคิดแต่จะรบพ่งุ กันเอง กม็ แี ต่ความเสียหายจงึ เริม่ เจรจากนั โดยยอมรับเขตอิทธิพลและเขตแสวงหาผลประโยชน์ของแตล่ ะฝา่ ย ทำให้ ชาตติ ะวันตกสามารถขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนท่ีตนต้องการได้อยา่ งสะดวก สงครามเย็น (อังกฤษ: Cold War) เปน็ ชว่ งเวลาแหง่ ความตึงเครียดทางดา้ นภูมิศาสตร์ระหวา่ งสหภาพ โซเวียตและสหรฐั อเมริกาและประเทศพนั ธมิตรจากท้งั กลุ่มตะวนั ออกและกลุ่มตะวันตก ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ สอง นักประวัติศาสตร์ยังไม่ตกลงกันท้ังหมดว่าสงครามเย็นคือช่วงใดกันแน่ แต่ช่วงเวลาโดยทั่วไปดังกล่าวจะ นับต้ังแต่การประกาศลัทธิทรูแมน ปี ค.ศ. 1947 จนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 ด้วย ลัทธิอำนาจทำลายล้างซึ่งกันและกัน (mutually assured destruction, MAD) ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการโจมตี ล่วงหน้าโดยฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง นอกเหนือจากการพัฒนาคลังเก็บอาวุธนิวเคลียร์และการใช้งานทางทหารตามแบบ แผน การต่อสเู้ พอ่ื ครอบงำไดถ้ ูกแสดงออกโดยวิธีทางอ้อม เชน่ สงครามทางจิตวทิ ยา การทัพโฆษณาชวนเชอ่ื การ จารกรรม การคว่ำบาตรระยะไกล การแข่งขนั ชิงดีชิงเด่นกันในงานกีฬาและการแข่งขันทางเทคโนโลยี เช่น การ แข่งขันอวกาศ คำว่า \"เย็น\" ได้ถูกนำมาใช้ เนื่องจากไม่มีการสู้รบขนาดใหญ่โดยตรงระหว่างสองมหาอำนาจ แต่พวก เขาแต่ละฝ่ายต่างให้การสนับสนุนความขัดแย้งในภูมิภาคท่ีสำคัญที่เรียกว่า สงครามตวั แทน (Proxy war) ความ ขดั แยง้ นี้มีพ้นื ฐานมาจากการต่อสทู้ างอุดมการณ์และภูมิศาสตร์เพ่ืออิทธิพลทั่วโลกโดยสองมหาอำนาจภายหลัง จากพวกเขาได้ตกลงเป็นพันธมิตรชั่วคราวและมีชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ. 1945 สงครามเย็นได้ แบ่งแยกพันธมิตรในช่วงสงคราม เหลือเพียงสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาในฐานะท่ีเป็นสองมหาอำนาจทม่ี ี ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างลึกซ้ึง: แต่เดิมเป็นรัฐนิยมลัทธิมากซ์–เลนินแบบพรรคการเมือง เดียวที่ดำเนินตามแผนเศรษฐกิจและการควบคุมสื่อ และเป็นเจ้าของสิทธ์ิแต่เพียงผู้เดียวในการจัดตั้งและ ปกครองดแู ลชมุ ชน และถัดมาเป็นรฐั ทุนนิยมท่ีมีการเลอื กตัง้ เสรีโดยท่วั ไปและสื่อโดยเสรี ซึง่ ยังให้เสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการสมาคมแก่พลเมืองของตน กลุ่มท่ีเป็นกลางที่ประกาศด้วยตัวเองได้เกิดขึ้น พร้อมกับขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งถูกก่อต้ังโดยอียิปต์ อินเดีย อินโดนีเซีย และยูโกสลาเวีย กลุ่มฝ่ายน้ีได้ปฏิเสธ ความสัมพันธ์กับท้งั ตะวนั ตกท่ีนำโดยสหรฐั หรือตะวันออกท่ีนำโดยโซเวียต ในขณะที่รัฐอานานิคมเกือบทั้งหมด ตา่ งได้รบั เอกราชในชว่ งเวลาปี ค.ศ. 1945-1960 พวกเขาไดก้ ลายเปน็ สมรภมู ขิ องโลกทีส่ ามในสงครามเย็น ในช่วงระยะแรกของสงครามเย็นได้เร่ิมต้นขึ้นในสองปีแรกหลังสงครามโลกครั้งท่ีสองส้ินสุดลงในปี ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวยี ตได้รวบรวมอำนาจการควบคมุ เหนอื รัฐของกลุ่มตะวันออก ในขณะท่ีสหรฐั อเมรกิ าได้ ริเร่ิมใช้กลยุทธ์การจำกัดในการขยายตัวท่ัวโลกเพื่อท้าทายอำนาจของสหภาพโซเวียต การแผ่ขยายความ ชว่ ยเหลือทางทหารและการเงินไปยังประเทศต่าง ๆ ในยโุ รปตะวนั ตก (ตัวอยา่ งเช่น การสนบั สนุนฝ่ายตอ่ ต้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองกรีซ) และก่อต้ังพันธมิตรนาโต้ การปิดกั้นเบอร์ลิน (ค.ศ. 1948–49) เป็น

138 วกิ ฤตครั้งใหญ่ครงั้ แรกของสงครามเยน็ กับชยั ชนะของฝ่ายคอมมิวนิสตใ์ นสงครามกลางเมอื งจีนและการปะทุของ สงครามเกาหลี (ค.ศ. 1950-53) ความขดั แยง้ ไดแ้ ผข่ ยายออกไป สหภาพโซเวียตและสหรฐั อเมริกาตา่ งแข่งขนั กัน เพ่ือมีอิทธิพลในละตินอเมริกาและรัฐอาณานิคมท่ีได้รับเอกราชจากแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกัน การปฏิวัติฮังการี ปี ค.ศ. 1956 ได้ถูกยับย้ังโดยโซเวียต การขยายตัวและ เพ่มิ พูนมากข้ึนทำให้เกิดวิกฤตการณม์ ากมาย เชน่ วิกฤตการณ์คลองสุเอซ (ค.ศ. 1956) วิกฤตการณ์เบอรล์ ิน ปี ค.ศ. 1961 และวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ปี ค.ศ. 1962 ภายหลังจากวิกฤตการณ์ขีปนาวธุ คิวบา ระยะใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ซึง่ เหน็ ได้จากความแตกแยกระหว่างจีน-โซเวียตทีม่ ีความสมั พันธอ์ นั ซับซอ้ นในวงการคอมมิวนิสต์ ในขณะท่ีพันมติ ร ของสหรัฐ โดยเฉพาะฝรั่งเศส ได้แสดงให้เห็นถึงการมีอิสระในปฏิบัติการมากขน้ึ สหภาพโซเวียตได้เข้ารุกรานเช โกสโลวาเกยี และบดขยี้ ปรากสปริง โครงการของการได้รบั เอกราช ปี ค.ศ. 1968 ในขณะท่ีสงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1955-75) ได้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสาธารณรัฐเวียดนามใต้ที่มีสหรัฐคอยหนุนหลัง ทำให้มีการปรับเปลี่ยน แผนการมากข้ึน นอกเหนือจากนี้ สหรัฐยังประสบกับความวุ่นวายภายในจากขบวนการเพ่ือสิทธิพลเมืองและ ฝ่ายต่อต้านสงครามเวียดนาม ในปี ค.ศ. 1960-70 ขบวนการเพ่ือสันติภาพระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นใน ทา่ มกลางประชาชนทวั่ โลก ขบวนการต่อต้านการทดสอบอาวุธนิวเคลยี รแ์ ละเพื่อปลดอาวุธนิวเคลยี ร์ได้เกิดขึ้น พร้อมกับการประทว้ งต่อต้านสงครามขนาดใหญ่ ในปี ค.ศ. 1970 ท้ังสองฝ่ายได้เร่ิมเอาใจใส่ในความพยายามประนีประนอมเพ่ือสร้างระบบระหว่าง ประเทศท่ีมีเสถียรภาพและสามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น การเปิดฉากการผ่อนคลายความตึงเครียดซ่ึงเห็นได้จาก การเจรจาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์และสหรัฐได้เปิดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะที่เป็นตัวถ่วงดุล อำนาจทางยุทธศาสตร์ต่อสหภาพโซเวียต การผ่อนคลายความตึงเครียดได้ยุติลงในช่วงปลายทศวรรษด้วย สงครามโซเวียตในอัฟกานิสถานได้เร่ิมต้นข้ึนในปี ค.ศ. 1979 ช่วงต้นปี ค.ศ. 1980 เป็นช่วงเวลาแห่งความตึง เครียดที่เพ่ิมสูงขึ้นอีกครั้ง ด้วยเคร่ืองบินโคเรียนแอร์ไลน์ เท่ียวบินท่ี 007 ถูกโซเวียตยิงตก (ค.ศ. 1983) และการ ซ้อมรบทางทหารของนาโต้ \"เอเบิล อาชเชอร์\"(ค.ศ. 1983) สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มแรงกดดันทางการทูต ทางทหารและทาง เศรษฐกิจต่อสหภาพโซเวียต ในช่วงเวลาที่รัฐคอมมิวนิสต์กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ในช่วง กลางปี ค.ศ. 1980 ผู้นำโซเวียตคนใหม่อย่างมีฮาอิล กอร์บาชอฟได้แนะนำการปฏิรปู แบบเสรีของเปเรสตรอยคา(\" การปรับโครงสร้าง\", ค.ศ. 1987)และกลัสนอสต์(\"โปร่งใส\", ค.ศ. 1987) และยุติการมีส่วนร่วมของโซเวียตใน อัฟกานิสถาน แรงกดดันเพ่ือเอกราชของชาติได้เพ่ิมมากขึ้นในยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะอย่างย่ิงคือ โปแลนด์ กอรบ์ าชอฟปฏิเสธท่ีจะใชก้ องกำลังทหารโซเวียตเพื่อค้ำจุดระบอบสนธิสัญญาวอร์ซอทไี่ ม่มัน่ คงดังท่ีเคยเปน็ ใน อดตี ผลลพั ธ์ในปี ค.ศ. 1989 คอื คล่ืนแหง่ การปฏวิ ัติด้วยสนั ติวิธ(ี ยกเวน้ เพียงการปฏวิ ตั ิโรมาเนีย) ไดล้ ้มลา้ งระบอบ คอมมวิ นิสต์ทง้ั หมดในยุโรปกลางและตะวนั ออก พรรคคอมมิวนิสต์แหง่ สหภาพโซเวียตได้สญู เสยี การควบคมุ และถูก ส่ังห้าม ภายหลังจากมีการพยายามก่อรัฐประหารซึ่งประสบผลไม่สำเร็จในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 ส่ิงน้ีได้นำไปสู่ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 และการล่มสลายของระบอบ คอมมิวนิสต์ในประเทศอืน่ ๆ เชน่ มองโกเลีย กัมพชู า และเยเมนใต้ สหรัฐอเมริกายังคงเปน็ ประเทศมหาอำนาจ เพียงหนง่ึ เดียวของโลกมาจนถงึ ทุกวันน้ี

139 สงครามเย็นและเหตุการณ์ตา่ งๆ ไดท้ ้ิงมรดกที่สำคัญเอาไว้ มกั จะถูกอ้างอิงถึงในวฒั นธรรมสมัยนิยม โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้วยประเดน็ เรอื่ งของการจารกรรมและภัยคุกคามของการสงครามนวิ เคลียร์ ในขณะดยี วกัน สถานะความตึงเครียดท่ีเกิดข้ึนใหม่อีกครั้งระหว่างหนึ่งในรัฐท่ีสืบทอดมาจากสหภาพโซเวียต สหพันธรัฐ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกาในศตวรรษท่ี 21 (รวมทั้งพันธมิตรตะวันตก) เช่นเดียวกับความตึงเครียดที่เพิ่มข้ึน ระหว่างจีนกับสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีอำนาจมากขึ้น ซ่ึงเรียกกันว่า สงครามเย็นคร้ังที่ สอง พ.ศ. 2229 สมยั จักรวรรดินยิ มในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ต้ังแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นไป ถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของสมัยจักรวรรดินิยม เพราะชาติ ตะวันตกเรม่ิ เปล่ียนแปลงนโยบายจากเดิมท่ีมุ่งติดต่อค้าขายและเผยแผ่ศาสนา มาเป็นการมุ่งยึดครองและเข้า ปกครองดนิ แดนเอเชียตะวันออกเฉียงใตใ้ นฐานะเปน็ ดนิ แดนอาณานิคม ทัง้ นีเ้ พราะปัจจัยสำคญั ดงั น้ี 1.ความเจรญิ กา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์และอตุ สาหกรรมทำใหช้ าตติ ะวนั ตกสามารถผลิตสินคา้ ใหม่ๆ ได้เป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องขยายตลาดการค้าและแหลง่ วตั ถุดิบให้กว้างขวางยง่ิ ข้นึ 2.ประเทศต่างๆ ในยุโรปเปล่ียนระบบเศรษฐกิจมาเป็นแบบทุนนิยม รัฐบาลมีหน้าท่ีส่งเสริม บริษัทเอกชนเข้าไปลงทุนในดินแดนอาณานิคม ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้าไปปกครองอาณานิคมโดยตรง เพ่อื คุ้มครองผลประโยชนข์ องบรษิ ทั เอกชน และเก็บเกย่ี วผลประโยชน์ในอาณานคิ มสง่ กลบั ไปบำรุงเมืองแม่ 3.ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมขนส่งทางเรือ โดยเฉพาะการใช้เรือกลไฟบรรทุกสินค้า ข้ามทวีป ตลอดจนความสำเร็จในการขุดคลองสุเอซ ทำให้เรือสินค้าสามารถแล่นติดต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย ได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องแล่นเรืออ้อมแหลมแอฟริกาเหมือนแต่ก่อน ทำให้สินค้าราคาถูก เศรษฐกิจโลก ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เปน็ การกระตุ้นระบบเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ มสง่ ผลใหเ้ กดิ ลัทธิจักรวรรดินยิ มตามมา ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 24-25 มหาอำนาจตะวันตกได้เข้ามายดึ ครองหรอื คุกคามดินแดนต่างๆ ใน ภมู ิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ดังนี้ องั กฤษ พม่า ใน พ.ศ. 2367 อินเดียซ่ึงอยู่ใต้อิทธิพลอังกฤษเกิดวิวาทกับพม่าเกี่ยวกับปัญหาชายแดน จนนำไปสู่การทำสงครามระหว่างพม่ากับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ อังกฤษเป็นฝ่ายชนะและได้ยึด ครองดินแดนพม่าตอนล่างในระหว่าง พ.ศ. 2393-2396 พม่าเกิดเหตุวิวาทกับอังกฤษอีก มีผลทำให้อังกฤษยึด ครองตอนกลางของพม่าได้ใน พ.ศ. 2405 อังกฤษรวมดินแดนของพม่าที่ยึดได้เป็นมณฑล พม่าอยู่ใต้การ ปกครองของอังกฤษโดยใช้กรุงย่างกุง้ เป็นเมอื งหลวงใน พ.ศ. 2417 องั กฤษได้ผนวกดนิ แดนพม่าท่ยี ังเหลือ และ ปกครองพม่าในฐานะเป็นมณฑลหน่ึงของอนิ เดยี ภายใต้การปกครองขององั กฤษ • คาบสมุทรมลายู รัฐต่างๆ ของมลายูมักทะเลาะวิวาทและสู้รบกันเองอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ อังกฤษเข้าแทรกแซงทางการเมือง บางรัฐขอให้อังกฤษเข้ามาอารักขา อังกฤษได้ขอเช่าเกาะปีนัง จากสุลต่าน รัฐไทรบุรีหรือเกดะห์เป็นศูนย์กลางการค้า และให้ความคุ้มครองแก่สุลต่านผู้ปกครองรัฐมลายู จึงตกอยู่ใต้ อิทธิพลของอังกฤษเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ ใน พ.ศ. 2439 อังกฤษได้รวมเประสลังงอร์ ปะหัง และเนกรีเซมบีลัน เป็น สหพันธรฐั มลายูภายใตก้ ารปกครองของอังกฤษ

140 นอกจากน้อี งั กฤษยงั ไดค้ รอบครองเกาะสงิ คโปร์ และสร้างสิงคโปรเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลางการค้าและฐานทัพสำคญั ของ องั กฤษเพ่ือควบคมุ ผลประโยชนใ์ นเอเชียตะวันออก • ไทย ในช่วงเวลาเดียวกันอังกฤษได้เร่ิมคุกคามไทยด้วยการส่ง เฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) เป็น ทูตมาเจรจาเก่ียวกับรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรมลายู ชัยชนะท่ีอังกฤษมีต่อพม่า ทำให้ไทยตระหนักว่าอังกฤษมี อำนาจทางทหารเหนือกว่า ไทยจึงยอมรับข้อเสนอของอังกฤษใน พ.ศ. 2398 อังกฤษได้ทำสัญญาการค้าที่ เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ร่ิง เป็นผลให้ไทยต้องเสียผลประโยชน์ทางการค้าและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ อังกฤษ ต่อมาประเทศตะวันตกอ่ืนๆ ก็ไดข้ อสิทธิเช่นเดียวกบั อังกฤษจากไทยใน พ.ศ. 2451 ไทยต้องยอมมอบ สิทธิท่ีมีเหนือไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู ให้แก่อังกฤษแลกกับอำนาจทางการศาล เพ่ือให้ไทยสามารถ พจิ ารณาตัดสินคดีความทค่ี นในบังคับอังกฤษทำผิดในประเทศไทยได้ ฝร่งั เศส • เวียดนาม เขมร และลาว ในชว่ งทศวรรษ 2360 ฝรง่ั เศสพยายามติดตอ่ คา้ ขายและขอเผยแผ่คริสต์ ศาสนาในเวียดนาม และไดโ้ อกาสเพราะสนบั สนนุ พระเจ้ายาลอง (Gia Long) ขน้ึ ครองอำนาจ และรวม ประเทศเวยี ดนามเปน็ ปกึ แผน่ ได้สำเร็จ ทำใหฝ้ รง่ั เศสไดร้ ับสิทธิพิเศษในการเผยแผ่ครสิ ตศ์ าสนาและคา้ ขายใน เวยี ดนาม แตต่ อ่ มากษัตริย์เวียดนามไมโ่ ปรดปรานฝรงั่ เศส และต่อต้านศาสนาครสิ ตอ์ ย่างรุนแรง จึงเกิดการ กระทบกระทั่งกลายเป็นสงครามซึง่ เร่ิมเม่อื พ.ศ. 2399 สงครามระหวา่ งสองฝา่ ยดำเนนิ ไปหลายปี จนกระท่งั ฝรง่ั เศสสามารถยดึ เวียดนามไดท้ ง้ั ประเทศ สำหรับเขมร ใน พ.ศ. 2406 ฝรง่ั เศสบบี บังคบั ให้เขมรเป็นรฐั อยใู่ ตอ้ ารักขาของฝร่ังเศส และตอ่ มา ขอให้ไทยยตุ ิการอ้างสิทธเิ หนือเขมร หลังจากน้ันได้ใชว้ ิธีรุนแรงขยายอำนาจเข้าไปในดนิ แดนลาว ซงึ่ นำไปสู่ การกระทบกระท่ังกบั ไทยทีป่ กครองลาวในฐานะประเทศราชจนเกิดวกิ ฤตการณ์ รศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นผล ใหไ้ ทยต้องเสียดินแดนลาวให้กับฝรงั่ เศส เมือ่ ฝรงั่ เศสได้เวยี ดนาม เขมร และลาวไวอ้ ำนาจแล้ว ฝร่งั เศสได้รวมดินแดนท้งั หมดนเี้ ข้าด้วยกนั เรียกวา่ อินโดจีนฝรัง่ เศส โดยตั้งขา้ หลวงใหญ่ทำหน้าที่ปกครองขน้ึ ตรงต่อรัฐบาลฝร่งั เศสท่ีกรุงปารีส • ไทย ในสมยั รัชกาลที่ 4 ฝร่งั เศสเริม่ แผ่อิทธิพลเข้าไปในดินแดนประเทศราชของไทย โดยขอเขา้ ไป อารกั ขาเขมร ทางฝา่ ยไทยตอ้ งยนิ ยอมแตโ่ ดยดเี พราะไม่อาจตา้ นทานอำนาจของฝร่ังเศสได้ ในสมัยรชั กาลที่ 4 ฝรัง่ เศสได้ขยายอำนาจเข้าไปในดนิ แดนลาว ฝรงั่ เศสใชว้ ธิ ที ุกอย่างทั้งวิธกี ารเจรจาและใชเ้ รอื รบมาปดิ ปากน้ำ เจ้าพระยาและคุกคามอธิปไตยของไทยใน พ.ศ. 2436 ไทยพยายามต่อตา้ นดว้ ยการใชก้ ำลงั ทหาร แตไ่ ม่อาจ ตอ่ ต้านได้ ทำใหร้ ัฐบาลไทยจำเปน็ ต้องยกดินแดนลาวทัง้ หมดใหแ้ ก่ฝรงั่ เศส เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ ฮอลันดา • หมู่เกาะอนิ โดนเี ซียใน พ.ศ. 2367 องั กฤษกบั ฮอลันดาไดต้ กลงแบง่ เขตอำนาจในน่านนำ้ ของ ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ โดยฮอลนั ดายอมยกมะละกาใหอ้ ังกฤษเพื่อแลกกบั เมืองท่าที่อังกฤษมีในสุ มาตรา และตกลงกันว่าอังกฤษจะไมเ่ ขา้ มาย่งุ เกี่ยวกับหม่เู กาะอินโดนเี ซยี สว่ นฮอลันดาก็ตกลงจะไมเ่ ข้าไปยงุ่ เกย่ี วกบั คาบสมุทรมลายู นบั เป็นการแบ่งเขตอาณานคิ มในภมู ิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตข้ องสองประเทศ

141 เป็นผลใหฮ้ อลนั ดาขยายอิทธิพลในบรเิ วณหมู่เกาะอินโดนเี ซยี ไดส้ ะดวก โดยปราศจากการแข่งขนั จากชาติอืน่ ใน พ.ศ. 2372 ฮอลนั ดาพยายามครอบครองเกาะชวาทัง้ หมด หลงั จากน้นั ก็เร่ิมใช้ “ระบบเพาะปลูก” บนเกาะ ชวาดว้ ยการบงั คบั ให้ชาวชวาปลกู พชื ผลทต่ี นตอ้ งการ โดยเฉพาะกาแฟซึง่ เปน็ พืชท่ีตลาดโลกตอ้ งการ สเปน • หมู่เกาะฟิลปิ ปินส์ สเปนยงั คงเปน็ ผูป้ กครองหมเู่ กาะฟลิ ิปปินส์แต่ผ้เู ดียวอยเู่ ช่นเดิมโดยไม่มี มหาอำนาจอาณานิคมอน่ื เขา้ ไปแก่งแย่ง จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2441 เกิดสงครามระหว่างสเปนกบั สหรฐั อเมรกิ า สเปนเปน็ ฝา่ ยพา่ ยแพต้ ้องทำสญั ญายกฟิลปิ ปินสใ์ ห้แก่สหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าปกครองฟลิ ปิ ปินส์ สหรฐั อเมรกิ าได้ใชร้ ูปแบบการปกครอง กฎหมาย เศรษฐกิจ อตุ สาหกรรม ตามแบบอย่างทสี่ หรฐั อเมรกิ าเป็นผู้ กำหนด ผลกระทบและการเปล่ียนแปลงในดินแดนอาณานคิ ม การทีช่ าวตะวันตกสรา้ งลัทธจิ ักรวรรดินิยมโดยเข้าไปปกครองดนิ แดนอาณานิคม ก่อให้เกดิ ผลกระทบ และการเปล่ยี นแปลงในดนิ แดนอาณานิคม ดังนี้ 1. ชาวตะวนั ตกประกาศใชก้ ฎหมายเพ่อื เกบ็ ภาษีประชาชนอยา่ งรุนแรง ย่งิ กว่าชว่ งระยะที่ชาว พนื้ เมืองปกครองกนั เอง รายได้จากการเก็บภาษีส่วนใหญ่ผู้ปกครองอาณานคิ มสง่ ไปบำรุงความเจริญรุง่ เรือง ของเมืองแม่ 2. กล่มุ นายทนุ ชาวตะวันตกเขา้ ยึดครองพืน้ ที่อันอุดมสมบรู ณ์ และกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ จากดินแดนอาณานิคม แล้วนำไปแปรรปู เปน็ สนิ ค้าอุตสาหกรรมสง่ ไปขายทั่วโลกสรา้ งความรำ่ รวยแก่กลุ่ม นายทนุ ตะวันตก 3. ชาวตะวันตกบงั คับและเกณฑ์แรงงานพนื้ เมืองไปทำงานหนัก บังคับให้ชาวพืน้ เมืองปลกู พชื ตามท่ตี ้องการ และบังคับใหช้ าวพืน้ เมอื งขายผลติ ผลแก่พอ่ คา้ ชาตติ ะวันตกในราคาถูกๆ เพื่อประโยชนข์ องชน ชัน้ ปกครองและผลประโยชน์ของบริษทั ตะวนั ตก 4. ชาวตะวนั ตกได้อพยพชาวจีนจากประเทศจีนเป็นจำนวนมาก มาทำงานเป็นลกู จา้ งในสวน ยางพาราและโรงงานอุตสาหกรรมของชาตติ ะวันตก ชาวจนี สร้างปัญหาพิพาทกับชาวพื้นเมอื งในเวลาต่อมา 5. ชาวตะวนั ตกไดเ้ ปลี่ยนสภาพเศรษฐกจิ ของชาวพ้นื เมืองจากรูปแบบด้งั เดิมมาเป็นแบบทนุ นิยม ทำใหเ้ กดิ กจิ การอตุ สาหกรรมใหมๆ่ ธนาคารและระบบการกูย้ มื ทำให้ชาวพืน้ เมืองมีหน้ีสินและยากจนลง กว่าเดมิ 6. การปกครองของชาวตะวนั ตกไดเ้ ปล่ียนแปลงวัฒนธรรมและคา่ นยิ มของชาวพนื้ เมือง ทำให้ชาว พน้ื เมืองหนั มารบั วัฒนธรรมตะวนั ตกและดำเนนิ ชวี ติ แบบฟุ่มเฟือยตามแบบตะวันตก 7. ชาวตะวนั ตกนำรูปแบบการศกึ ษาและเผยแพร่ความคิดแบบสมยั ใหม่ คือ ความคิดในระบบเสรี นยิ มและประชาธิปไตยเป็นการกระตนุ้ ใหช้ าวพื้นเมืองเกิดความคดิ “ชาตินยิ ม” ขนึ้

142 ลัทธิชาตนิ ิยมในสหรฐั อเมริกา ลัทธชิ าตินยิ ม หมายถงึ ความคดิ และการสรา้ งรปู แบบเพื่อให้เกิดความเจริญกา้ วหนา้ ความมีอสิ ระ และเสรภี าพแก่ประชาชน รวมไปถึงการสรา้ งความร้สู กึ วา่ เป็นพวกเดียวกัน ทำใหเ้ กิดการรวมกลุ่มมคี วามคิดใน การปกป้องผลประโยชนข์ องประชาชนและของชาติ การช่นื ชมในวฒั นธรรมของชาติ และท้ายท่สี ดุ คือความ ต้องการสร้างเอกราชและความเจรญิ รงุ่ เรืองให้แก่ประเทศชาติ ความคดิ ชาตนิ ยิ มได้เร่ิมขน้ึ ในหมู่ประชาชนฟิลิปปินส์ก่อนประเทศอนื่ ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ใน พ.ศ. 2439 สเปนลงมือปราบปรามพวกชาตนิ ิยมฟิลปิ ปินสซ์ ึง่ เรยี กร้องเอกราชจากสเปน ในระยะต่อมา ความคิดชาตินยิ มได้แพรห่ ลายไปสู่ประชาชนในดนิ แดนอาณานิคมของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ สาเหตทุ ่กี อ่ ใหเ้ กิดความคดิ ชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สรปุ ได้ ดังน้ี 1. ความรูส้ กึ ไม่พอใจระบบการปกครองของประเทศตะวนั ตกในดินแดนอาณานิคม ซึ่งใชก้ ฎหมาย บังคบั ชาวพ้ืนเมืองใหป้ ฏิบัตติ าม โดยมจี ุดมุง่ หมายให้เกดิ ความสงบและความม่ันคงในดินแดนอาณานิคม ซ่ึง เปน็ ผลใหช้ าติตะวนั ตกได้รบั อภิสิทธิ์และผลประโยชน์ต่างๆ เหนือกว่าชาวพ้ืนเมือง 2. ชาวพืน้ เมืองรู้สกึ หวงแหนทรพั ยากรของชาติ ท่ถี ูกชาวตะวนั ตกกอบโกยไปสรา้ งความมั่นคงใหแ้ ก่ ตนเอง 3. ชาวพ้ืนเมืองรสู้ ึกโกรธเคืองเมอื่ ชาวตะวนั ตกใช้วธิ กี ดขี่ ข่มเหง ดหู มิ่น เหยียดหยาม และทำลาย วฒั นธรรมของชาวพน้ื เมือง 4. การทช่ี าวตะวันตกนำความร้ทู างด้านวทิ ยาศาสตร์ การศกึ ษาแบบสมยั ใหม่มาเผยแพรใ่ นดนิ แดน อาณานิคม ทำให้ประชาชนเร่ิมต่ืนตวั ในความคิดแบบสมยั ใหม่ โดยเฉพาะความคิดในระบบเสรีนิยม 5. ในสมัยทช่ี าวตะวันตกปกครองอาณานิคม บา้ นเมืองเกิดความสงบม่นั คง ชาวพืน้ เมอื งมไิ ดร้ บพงุ่ กันเองเหมือนแต่ก่อน ประกอบกบั ชาวตะวันตกนำรูปแบบการคมนาคมขนสง่ สมัยใหม่ เชน่ รถไฟ เรือกล ไฟ โทรเลข โทรศัพท์ มาใชใ้ นอาณานิคม อีกทัง้ ชาวตะวันตกใช้ภาษาของตนในการปกครองอาณานิคม เชน่ สหรัฐอเมริกาใชภ้ าษาองั กฤษเป็นภาษาราชการปกครองชาวฟลิ ปิ ปนิ ส์ เปน็ ต้น ปจั จยั ดังกลา่ วทำให้ชาว พนื้ เมืองสามารถติดต่อไปมาหาสู่ หรือส่ือสารได้สะดวกรวดเรว็ ขน้ึ 6. ชาวพน้ื เมอื งได้รับแนวความคิดและตวั อยา่ งการแสดงออกถงึ ความเป็นชาตนิ ิยมจากประเทศท่ีอยู่ นอกดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ จนรสู้ กึ ช่ืนชมและต้องการแสดงออกซ่ึงความเป็นชาตนิ ยิ มด้วย ดังเชน่ กรณญี ีป่ ุ่นซ่งึ มีความคิดชาตินิยมอยา่ งแรงกลา้ พฒั นาประเทศจนกา้ วไปสู่ความทนั สมยั และมคี วามเขม้ แข็งทุก ดา้ นสามารถทำสงครามชนะรัสเซียซ่ึงเป็นมหาอำนาจได้ อีกกรณหี นงึ่ คือนักชาตินิยมจนี ภายใต้การนำของ ดร. ซุน ยตั เซ็น สามารถก่อการปฏวิ ัติเม่ือ พ.ศ. 2454 เพ่ือต่อต้านราชวงศแ์ มนจู ซ่งึ เป็นราชวงศ์ต่างชาติทีเ่ ข้า มาปกครองประเทศจนี ในขณะนน้ั ได้สำเร็จ

143 เร่อื ง การคดิ แยกแยะ (รายวชิ า การป้องกันการทุจรติ สค22022) ความหมายของการคิดแยกแยะ คิด หมายถงึ ใครค่ รวญ ไตรต่ รอง คาดคะเน คำนวณ นกึ เชน่ เรอื่ งนี้ยากยงั คิดไมอ่ อก คดิ ว่าเย็นน้ี ฝนอาจจะตก คิดเลขในใจ คิดละอาย เป็นตน้ แยกแยะ หมายถึง กระจายออกให้เห็นชดั เจน เชน่ แยกแยะปัญหาใหเ้ ห็นเปน็ แต่ละประเด็นไป ดังนัน้ การคิดแยกแยะ เป็นการคดิ แบบแยกสว่ นประกอบ หรอื แบบกระจายเนอ้ื หา เปน็ การคดิ ทม่ี ุ่งให้มองและให้ร้จู กั ส่ิงทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ โดยอาศยั การแยกแยะออกเปน็ ส่วนประกอบต่าง ๆ และมีการจัดหมวดหมหู่ รือจัดประเภทไปพรอ้ มกนั เชน่ ผู้เรียนมาเรียนสาย สามารถแยกแยะสาเหตุของ การมาสายได้ ความสำคญั ของการคดิ แยกแยะ 1. ช่วยใหม้ องเหน็ ปญั หาต่าง ๆ ได้ดี 2. ชว่ ยให้บุคคลคดิ หาแนวทางในการหลกี เล่ียงหรอื ปอ้ งกนั ปญั หาได้ 3. ช่วยลดผลกระทบที่อาจเกดิ ข้นึ จากการคดิ คอื คนจะมกี ารปฏิบัติหรือการกระทำตามทีเ่ ขาคดิ ถึงแมว้ า่ จะถกู หรอื ผดิ กต็ ามเนือ่ งจากการคดิ มีพลงั อำนาจ จึงตอ้ งการการควบคุมโดยไดใ้ ชว้ ิธีการคดิ ต่างทจี่ ะ ชว่ ยรักษาความคิดใหเ้ ปน็ ไปอย่างถกู ต้อง ความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ผลประโยชนส์ ่วนตน หมายถึง การท่ีบคุ คลท่ัวไปในสถานะเอกชนหรือเจา้ หน้าท่ีของรัฐได้ทำกิจกรรม หรือได้กระทำการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว ญาติ เพ่ือน หรือกลุ่มในสังคมท่ีมีความสัมพันธ์กัน ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การประกอบอาชีพ การทำธุรกจิ การคา้ การลงทนุ เพอื่ หาประโยชน์ทางการเงินหรอื ทาง ทรัพยส์ นิ ตา่ ง ๆ เป็นต้น ผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การที่บุคคลใด ๆ ในสถานะท่ีเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐในหน่วยงานของรัฐก็ตามได้ กระทำการใด ๆ ตามหน้าที่ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่อื่นท่ีเป็นการดำเนินการอีกส่วนหนึ่งซ่ึงแยกออกมาจากการ ดำเนินการตามหน้าที่ในสถานะของบุคคล การกระทำการใด ๆ ตามหน้าท่ีหรือการปฏิบัตหิ น้าท่ีของเจ้าหน้าท่ี ของรัฐจึงมีวัตถุประสงค์หรือมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน์ส่วนรวมที่เป็น ประโยชน์ของรฐั การทำหน้าท่ีของเจา้ หน้าท่ีของรัฐ จงึ มคี วามเกยี่ วข้องเช่อื มโยงกบั อำนาจหนา้ ที่ตามกฎหมาย และมีรูปแบบความสัมพันธ์หรอื มีการกระทำในลักษณะต่าง ๆ ที่เหมือนหรือคล้ายกับการกระทำของบุคคลใน สถานะเอกชน เพียงแต่การกระทำในสถานะท่ีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกับการกระทำในสถานะเอกชนมีความ แตกต่างกันท่ีวัตถุประสงค์หากมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมแล้ว จะสามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ตลอดจนสร้างความตระหนัก และเหน็ ความสำคญั ในการตอ่ ตา้ นและปอ้ งกันการทจุ ริตทเี่ กดิ ข้นึ ได้

144 เรื่องท่ี 2 หลกั การคดิ เปน็ คิดเปน็ เป็นการเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูด้ ว้ ยการคิด วิเคราะห์ และแสวงหาคำตอบดว้ ยการใช้ กระบวนการท่หี ลากหลาย เปิดกว้าง เปน็ อสิ ระมากกวา่ การเรียนรทู้ ่ีเนน้ เนื้อหาให้ท่องจำ หรอื มคี ำตอบ สำเรจ็ รูปใหโ้ ดยผู้เรียนไมต่ อ้ งคดิ ไม่ต้องวเิ คราะหเ์ หตุและผลกอ่ น ความหมายของ “คดิ เป็น” โกวทิ วรพิพัฒน์ ได้ให้คำอธบิ ายเก่ยี วกบั “คิดเป็น” วา่ บุคคลทค่ี ดิ เป็น จะสามารถเผชญิ ปัญหาใชีวิตประจำวนั ได้อย่างเปน็ ระบบ บุคคลผู้ที่จะสามารถพินจิ พจิ ารณาสาเหตุของปญั หา ที่เขากำลังเผชิญอยู่ และสามารถรวบรวมขอ้ มลู ต่าง ๆ ได้อยา่ งกว้างขวางเกีย่ วกบั ทางเลือก เขาจะพิจารณา ขอ้ ดี ข้อเสียของแต่ละเรื่องโดยใชค้ วามสามารถเฉพาะตัว ค่านยิ มของตนเอง และสถานการณ์ทต่ี นเองกำลงั เผชญิ อยู่มาประกอบการพจิ ารณาปรัชญาคดิ เป็น เป็นความคิดทเี่ กิดจากความเชือ่ วา่ มนษุ ยโ์ ลกทุกคนตอ้ งการ มีความสขุ ความสุขของคนแต่ละคนแตกต่างกัน แตล่ ะคนสามารถปรับตนเองใหเ้ ข้ากับสภาพแวดลอ้ มทต่ี น ดำรงชวี ติ อยู่ได้อยา่ งกลมกลืน ในการเสริมสรา้ งบคุ คลให้เป็นคนคิดเปน็ ต้องใชท้ ักษะการคิด การแก้ไขปญั หา โดยใช้ขอ้ มลู อย่างรอบดา้ นก่อนการตดั สนิ ใจ ลงมือปฏิบตั ิ ทั้งข้อมลู ตนเอง ข้อมลู วชิ าการ และข้อมลู สงั คมและ สงิ่ แวดลอ้ มสรปุ ความหมายของ “คิดเปน็ ” คือ การคดิ วิเคราะห์ปัญหาและแสวงหาคำตอบหรือทางเลอื กเพ่ือ แกป้ ัญหา และการคิดอย่างรอบคอบเพอื่ การแกป้ ัญหาโดยอาศัยข้อมลู ตนเอง ข้อมูลสังคมส่งิ แวดล้อม และ ขอ้ มูลวชิ าการใหเ้ หมาะสมกบั ตนอยา่ งมีคณุ ธรรม จริยธรรม ความสำคญั ของการคดิ เป็น 1. ช่วยใหค้ นมองเห็นภาพปญั หาตา่ ง ๆ ในอนาคต 2. เป็นแนวทางในการหลีกเล่ียงหรอื ปอ้ งกนั ปัญหาในอนาคต 3. บอกถงึ ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้นึ เป้าหมายสุดทา้ ยของการเป็นคน “คิดเป็น” คือ ความสุข คนเราจะมีความสุขได้กเ็ มื่อตวั เราและสงั คม ส่ิงแวดล้อมประสมกลมกลืนกันอย่างราบรน่ื ทั้งทางดา้ นวัตถุ กาย และใจ กระบวนการแกป้ ัญหาตามหลกั การคิดเป็น ตามปรัชญาคดิ เปน็ เปน็ การคิดเพื่อแก้ปัญหา คอื มีจุดเรม่ิ ต้นท่ปี ญั หา พิจารณา ยอ้ นไตร่ตรองถึง ขอ้ มลู 3 ประเภท คือ ขอ้ มลู ด้านตนเอง ข้อมลู ดา้ นสังคม สิ่งแวดล้อม และข้อมลู วชิ าการ ตอ่ จากนัน้ กล็ งมือ กระทำ ซ่ึงหากสามารถทำให้ปัญหาหายไปได้ กระบวนการกย็ ตุ ิลง แต่หากบุคคลยังไม่พอใจแสดงวา่ ยังมีปญั หา อยบู่ ุคคลก็จะเริ่มกระบวนการพจิ ารณาทางเลือกใหม่อกี ครง้ั และกระบวนการน้ีจะยุติลงเมอ่ื บคุ คลพอใจและมี ความสุข ตามกระบวนการ ดงั น้ี 1. ขั้นสำรวจปัญหา เม่อื เกดิ ปัญหายอ่ มต้องเกิดกระบวนการคดิ แก้ปญั หา 2. ขนั้ หาสาเหตขุ องปัญหา เป็นการหาข้อมูลมาวิเคราะหว์ ่าปัญหาท่ีเกิดข้ึนน้ันเกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร มีอะไรเป็นองคป์ ระกอบของปัญหาบา้ ง 2.1 สาเหตจุ ากตนเอง พ้นื ฐานของชวี ติ ครอบครัว อาชพี การปฏบิ ตั ติ น คุณธรรม จรยิ ธรรม

145 2.2 สาเหตจุ ากสังคม บุคคลท่ีอยู่แวดล้อม ตลอดจนความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมของสังคม และชมุ ชนนน้ั ๆ 2.3 สาเหตจุ ากการขาดวิชาการความร้ตู า่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วข้องกับปัญหา 3. ขนั้ วเิ คราะห์ปญั หา หาทางแก้ปญั หา เป็นการวิเคราะห์ทางเลือกในการแกป้ ญั หาโดยใช้ข้อมลู ดา้ นตนเอง สงั คม วิชาการ มาประกอบในการวเิ คราะห์ 4. ข้ันตดั สนิ ใจ เม่อื ไดท้ างเลือกแลว้ จงึ ตดั สนิ ใจเลือกแกป้ ัญหาในทางที่มขี ้อมูลตา่ ง ๆ 5. ขน้ั ตดั สนิ ใจไปสู่การปฏิบตั ิ เม่อื ตัดสนิ ใจเลือกทางใดแล้ว ต้องยอมรับวา่ เป็นทางเลือกท่ดี ีที่สุด จากข้อมลู เท่าทีม่ ขี ณะน้นั 6. ขัน้ ประเมินผลแก้ปญั หา ในขน้ั น้ีเป็นการประเมนิ ผลและแกป้ ัญหาไปพรอ้ มกัน ถ้าผลเปน็ ที่ 6.1 พอใจ กจ็ ะถือว่าพบความสขุ เรยี กวา่ “คิดเปน็ ” 6.2 ไม่พอใจ หรือผลออกมาไมไ่ ด้เป็นไปตามท่คี ดิ ไว้ หรอื ข้อมูลเปล่ียน ตอ้ งเร่มิ ตน้ กระบวนการคดิ แกป้ ัญหาใหม่ การนำกระบวนการคิดเป็นมาใชใ้ นการปอ้ งกันการทุจริต กรณีศกึ ษาการนำกระบวนการคิดเปน็ มาใชใ้ นการป้องกันการทจุ ริต เรอื่ ง หัวหนา้ ส่วนราชการทจุ รติ จากกรณีท่ีตัวแทนชาวบ้านหรือผู้ใหญ่บ้านส่วนราชการแห่งหนึ่ง ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนศูนย์ดำรง ธรรมจังหวัด ให้ตรวจสอบเอาผิดหัวหน้าส่วนราชการโดยกล่าวหาว่าหัวหน้าส่วนราชการคนดังกล่าวมี พฤตกิ รรมทุจริตเงนิ งบประมาณโครงการไทยนิยมย่ังยืนที่ให้งบหมู่บ้านละ 200,000 บาท โดยตัวแทนชาวบ้าน และผู้ใหญ่บ้านที่เข้าร้องเรียนระบุว่าหัวหน้าส่วนราชการได้หักหัวคิวค่าอาหารในการจัดเวทีประชาคมของแต่ ละหมู่บ้าน ซึ่งได้รับงบค่าอาหารเวทีละ 4,000 บาท โดยมีการลงในใบเสร็จรับเงิน 4,000 บาท แต่กลับได้รับ ยอดเงินค่าอาหารจริงเพียง 3,500 บาท ถูกหักหัวคิวครั้งละ 500 บาทซึ่งจากการสอบถามพบว่าทั้ง 56 หมู่บ้านในส่วนราชการน้ี ถูกหักหัวคิวค่าอาหารในโครงการ ไทยนิยมยั่งยืนไปหมู่บ้านละ 500 บาท รวม 56 หมู่บ้าน เป็นเงิน 28,000 บาท ทั้งน้ี ชาวบ้านยังได้ร้องเรียนกล่าวหาว่า หัวหน้าส่วนราชการยังมีพฤติกรรม ทุจริตเงินจาก การจัดงานประเพณีของดีประจำส่วนราชการอีกด้วย จึงได้เข้ามาร้องเรียนเพ่ือให้ตรวจสอบ ข้อเทจ็ จริง หากพบวา่ มกี ารกระทำทุจรติ จริงก็อยากให้เอาผดิ ท้ังวินยั และกฎหมาย ล่าสุดผสู้ ่ือข่าวได้เดินทางไป ยังที่ว่าการส่วนราชการน้ัน เพื่อขอสัมภาษณ์หัวหน้าส่วนราชการ ให้ได้ช้ีแจงกรณีที่ถูกร้องเรียนกล่าวหา แต่ก็ ไม่พบหัวหน้าส่วนราชการคนดงั กล่าว จึงได้สอบถามเจ้าหน้าท่ีซง่ึ ใหข้ ้อมูลเพียงว่าหวั หน้าส่วนราชการเดินทาง ไปรายงานตัวท่ีหน่วยงานต้นสังกัด ภายหลังได้รบั หนังสือคำส่ังให้ย้ายไปช่วยราชการท่ีหน่วยงานต้นสังกัดเป็น การชั่วคราว มีผลต้ังแตว่ นั นี้เป็นตน้ ไปหรือจนกว่าจะมีคำสงั่ เปลี่ยนแปลง ประเด็น ถ้าเจ้าหนา้ ที่รัฐขาดคุณธรรม จรยิ ธรรม หน่วยงานภาครฐั ควรทำอยา่ ไรจึงจะป้องกันการทจุ รติ ได้ ใหน้ ำกระบวนการคิดเป็นมาใชใ้ นการคดิ วิเคราะห์

146 วิธีการดำเนนิ การ 1. ให้ครูและผ้เู รยี นร่วมกันศกึ ษาจากกรณีตัวอย่างให้เข้าใจ แลว้ อภิปรายแสดงความคิดเห็น รว่ มกัน จากข้อมูลที่แยกแยะเปน็ 3 ดา้ น คอื ข้อมลู ตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ พร้อมท้งั คิดวิเคราะห์ ตดั สนิ ใจตามประเดน็ ทกี่ ำหนด 2. ใหต้ วั แทนผเู้ รยี นบนั ทกึ ผลจากการอภปิ ราย พรอ้ มทง้ั สรุปและรายงานผลให้กลุ่มฟัง ผลการวเิ คราะหก์ รณศี ึกษาจากกจิ กรรมข้างตน้ โดยใช้หลักการคดิ เป็น ดงั น้ี 1. ขน้ั สำรวจปัญหา เป็นปญั หาทีก่ ำหนดให้ คอื “หัวหนา้ สว่ นราชการทจุ รติ ” 2. ข้นั หาสาเหตุของปญั หา เป็นการหาข้อมูลมาวิเคราะห์วา่ ปญั หาทีเ่ กิดข้นึ น้ันเกิดขนึ้ ได้อย่างไร โดยวเิ คราะห์จากข้อมูล 3 ด้าน ดงั น้ี 2.1 ข้อมลู ตนเอง หัวหนา้ สว่ นราชการมพี ฤตกิ รรมทจุ รติ ซำ้ แล้วซำ้ อีก แสดงให้เห็นวา่ เมือ่ มี โครงการ/กจิ กรรม มาจากภาครฐั หัวหน้าสว่ นราชการกจ็ ะหักคา่ หัวควิ ไว้ โดยไม่ละอายต่อบาป 2.2 ขอ้ มลู สังคมและส่ิงแวดลอ้ ม ชาวบา้ นมีการรวมตวั กนั ดี สามารถรวมกันยื่นฟ้องหวั หน้า สว่ นราชการ และหวั หนา้ สว่ นราชการคงมิไดท้ ำการทุจรติ คนเดยี ว อย่างน้อยคงมเี จา้ หน้าทกี่ ารเงนิ รว่ มด้วย จากกรณนี ี้อาจมีการตง้ั กรรมการสอบสวน สามารถเอาผดิ กับทกุ คนท่ีเก่ียวขอ้ งได้ 2.3 ข้อมลู ทางวิชาการ หน่วยงานตน้ สังกดั ได้รับข้อมลู การทจุ ริตก็ได้ดำเนินการทันที 3. ข้ันวเิ คราะห์ปญั หา ปญั หามาจากหวั หน้าสว่ นราชการท่ีมพี ฤติกรรมทุจริต ทำซำ้ แลว้ ซำ้ อีก จนกระท่ังมีการร้องเรยี นจากชาวบา้ น ดังน้นั ควรมีการป้องกันการทจุ รติ ของเจ้าหนา้ ที่รัฐ 4. ขั้นตัดสินใจ ตามประเด็นว่า “ควรมกี ารป้องกันการทจุ ริตของเจ้าหน้าท่รี ัฐได้อย่างไร” คอื ต้องดำเนนิ การตามลำดับ ดังน้ี 4.1 ควรมกี ารอบรมคุณธรรม จริยธรรมให้กบั เจ้าหน้าท่ีรัฐอยา่ งสม่ำเสมอ 4.2 หน่วยงานต้นสงั กดั ควรมีการตดิ ตามการใชเ้ งนิ ในกรณีทจี่ ัดสรรงบประมาณมาให้ 4.3 ควรมวี ธิ ีการลงโทษให้เป็นตัวอย่าง 5. ขน้ั ตดั สินใจไปสูก่ ารปฏิบัติวา่ ในขนั้ ตอนแรกท่ดี ำเนินการได้ทนั ที คือการอบรมคุณธรรม จริยธรรม 6. ขัน้ ประเมินผลแก้ปญั หา ในช้ันน้เี ปน็ การประเมนิ ผลและแก้ปัญหาไปพรอ้ มกัน ถ้าผลเป็นท่ี 6.1 พอใจ ถา้ เจา้ หน้าทร่ี ัฐทผี่ ่านการอบรมคณุ ธรรม จริยธรรมไปแลว้ มีการทุจริตน้อยลง ก็ถือวา่ มีความพอใจ 6.2 ไมพ่ อใจ ยังคงมีการทุจริตเกิดขึ้นอยูเ่ นือง ๆ ต้องใช้วิธกี ารอน่ื ๆ ร่วมด้วย เช่น การลงโทษใหเ้ หน็ ชดั เจน รวดเรว็ เป็นต้น

147 แบบทดสอบ ครงั้ ท่ี 8 เรื่อง เหตกุ ารณ์สำคัญทางประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี คำสง่ั จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หนา้ ขอ้ ทถี่ กู ต้องที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว 1. ภมู ภิ าคตะวันออกเฉยี งใต้ประกอบดว้ ยประเทศสมาชกิ ท้ังหมดก่ปี ระเทศ ก. 10 ประเทศ ข. 11 ประเทศ ค. 12 ประเทศ ง. 13 ประเทศ 2. เหตกุ ารณ์สำคัญทางประวตั ิศาสตร์ทเี่ กิดขนึ้ ในประเทศทวปี เอเชยี คอื ขอ้ ใด ก. สงครามคเู สด ข. สงครามโซเวยี ต ค. สงครามมหาเอเชียบูรพา ง. ยุคล่าอาณานคิ ม และยคุ สงครามเย็น 3. สงครามเยน็ มผี ลตอ่ เน่ืองมาจากอะไร ก. สงครามเกาหลี ข. สงครามเวียดนาม ค. สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ง. สงครามโลกครงั้ ที่ 2 4. ในยุคล่าอาณานิคม ประเทศส่วนมากตกเป็นเมืองข้ึนของประเทศมหาอำนาจ มีอยู่เพียงประเทศเดียวใน เอเชยี ทีไ่ ม่ต้องตกเปน็ เมอื งขน้ึ คอื ประเทศใด ก. ไทย ข. ญี่ปนุ่ ค. มาเลเซีย ง. ฟลิ ิปปนิ ส์ 5. ประเทศพม่า เม่ือปี พ.ศ. 2429 ไดต้ กเป็นเมืองขึน้ ของประเทศใด ก. ประเทศญ่ีปุ่น ข. ประเทศอังกฤษ ค. ประเทศอนิ โดนีเซีย ง. ประเทศสหรัฐอเมริกา

148 6. ข้อใดต่อไปนเ้ี ปน็ การป้องกันการทุจริต ก. ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) ข. ปฏริ ปู กฎหมายท่ีเกี่ยวกับการบรหิ ารพัสดแุ ละการจดั ซ้ือจดั จ้างใหโ้ ปรง่ ใส ค. การเพม่ิ โทษในการทจุ ริตและประพฤตมิ ิชอบ ง. การปลูกจติ สำนึกโตไปไม่โกงใหแ้ กเ่ ดก็ ๆ 7. การเลอื กต้ังองค์กรนักศึกษา กศน. เปน็ การส่งเสรมิ เรื่องใด ก. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ข. พฒั นาผ้เู รยี นใหม้ ีคุณภาพ ค. ฝกึ ใหผ้ ู้เรียนเห็นคุณคา่ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข ง. ถูกทุกขอ้ 8. ขอ้ ใดเปน็ การทจุ รติ ก. ผู้รับเหมาก่อสรา้ งย่นื ซองประมูลประกวดราคา ข. นักการเมอื งออกเยีย่ มประชาชนท่ปี ระสบภัยพิบัติโดยมอบของให้ ค. นกั ธุรกิจนำกระเช้าผลไมไ้ ปเยีย่ มภมู ปิ ัญญาในหมู่บ้าน ง. เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐให้บรกิ ารนกั ธุรกิจ โดยจ่ายเงินตามช่องทางตามปกติของทางราชการ แตเ่ พ่ิมเงนิ ใหเ้ ปน็ คา่ บรกิ ารเพ่ือความสะดวกรวดเรว็ 9. เป้าหมายของกระบวนการคิดเป็น คอื ข้อใด ก. ความสขุ ข. การคดิ เปน็ ค. แกป้ ัญหาเป็น ง. การประเมินผล 10. ขอ้ ใดหมายถึง พลเมือง ก. คนของรฐั ข. คนทัว่ ไปของประเทศ ค. ประชาชน ราษฎร ชาวประเทศ ง. สมาชิกของสงั คม เฉลยแบบทดสอบ 1. ค 2. ง 3. ง 4. ก 5. ข 6.ก 7.ข 8.ง 9.ก 10.ค

149 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ครัง้ ท่.ี ....... วนั ท่.ี ......เดือน............................พ.ศ............... ผลการใช้แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ 1. จำนวนเนื้อหากับจำนวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดบั เนอ้ื หากบั ความเขา้ ใจของผเู้ รยี น  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเขา้ สูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแต่ละหวั ข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้กบั เนอื้ หาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกับตวั ช้วี ัดในแต่ละเนอ้ื หา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

150 ผลการเรยี นร้ขู องผู้เรียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกระบวนการเรียนรขู้ องครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ................................................ ผบู้ นั ทึก () ครู กศน.ตำบล ความเหน็ ของผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ............................................................................................................................................ .................................. ................................................................................................. ............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ .................................................. (นางมาลี เพง็ ดี) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook