201 ประเด็น ที่ 1 “กราฟ” แนวคำตอบ ประเดน็ ท่ี 2 “ภาพของรูปเรขาคณติ สองมติ ิท่เี กดิ จากการคลีร่ ปู เรขาคณติ สามมิติ” แนวคำตอบ 2. ภาพของรปู เรขาคณิตสองมติ ิทเี่ กิดจากการคลร่ี ูปเรขาคณติ สามมิติ
202 3. ให้ผูเ้ รียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน เรอ่ื ง “กราฟและความสัมพันธร์ ะหวา่ งรูปเรขาคณิตสองมิติและ สามมิต”ิ จำนวน 10 ขอ้ โดยใชเ้ วลา 10 นาที 4. ครูและผเู้ รียนสรุปภาพรวมสิ่งท่ไี ด้เรยี นรู้ร่วมกนั นอกจากนี้ ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จส้ินขั้นตอนท่ี 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรยี นรู้ด้วยตนเอง รายละเอียดดงั นี้ การมอบหมายงานให้เรียนรดู้ ้วยตนเอง 1. ครูชี้แจงให้ผู้เรียนทราบว่า ในการพบกลุ่มแต่ละคร้ังผู้เรียนจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเรียนรู้ด้วย วิธีเรียนรดู้ ว้ ยตนเองในลักษณะท่ีครูจะมอบหมายงานใหผ้ ู้เรียนไปศกึ ษา “หนังสอื เรียนรายวชิ าคณิตศาสตร์ พค 31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)” เร่ือง “กราฟและความสัมพันธ์ ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ” หน้า 128-149 ท้ังภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยให้ศึกษาเนื้อหาและ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมท้ายเรอ่ื ง รายละเอยี ดของเน้อื หา แบ่งออกเปน็ 2 ส่วน ดังนี้ สว่ นท่ี 1 เนอ้ื หาการเรยี นร้ตู ามแผนการจดั การเรียนรู้คร้งั นี้ ส่วนที่ 2 เน้ือหาการเรียนรูเ้ พ่ิมเติมในหนังสือเรียนเรยี นดังกล่าว 2. ครูมอบหมายงานให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยให้ไปศึกษา “หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)” รายละเอียดของกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้อง ปฏิบัติ แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ดงั น้ี
203 สว่ นที่ 1 เนอื้ หาการเรียนรตู้ ามแผนการจัดการเรียนรู้ครง้ั นี้ ได้แก่ 1) “กราฟ” (หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2554 หน้า 135 - 136) (กิจกรรมท้ายเร่ืองในหนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2554 หน้า 136 - 137) 2 “ความสัมพันธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณิตสองมติ ิและสามมิติ” (หนังสือเรยี นรายวิชาคณติ ศาสตร์ พค 31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554 หน้า 139-141) (กิจกรรมท้ายเร่ืองในหนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พค31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554 หน้า 141 - 142) หลังจากนนั้ ครูและผเู้ รยี นมกี ารนัดหมายทบทวน ตรวจสอบ และแลกเปล่ียนเรียนรู้รว่ มกนั ผา่ น ทางสอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ ต่อไป หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเองนั้น อาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้ันตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผู้เรียน ในกรณีที่ผู้เรียนมี พื้นฐานน้อยหรอื ไม่มีพ้ืนฐานมากอ่ นก็ควรจัดการเรียนรู้พื้นฐานท่ีจำเป็นและพอเพียงกับผู้เรียน หลังจากน้ันให้ ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อท่ีอยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพื้น ความรู้มาก่อนแลว้ ใหค้ ดิ หัวข้อทส่ี นใจจะทำและใหล้ งมือปฏบิ ัติได้ สื่อ วัสดุ อปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่ือง “กราฟและความสมั พันธร์ ะหว่างรปู เรขาคณิตสองมิตแิ ละสามมติ ”ิ 2. ใบความรู้สำหรับผู้เรียน เรือ่ ง “กราฟ” 3. ใบความรสู้ ำหรบั ผเู้ รยี น เรือ่ ง “ความสัมพนั ธ์ระหว่างรปู เรขาคณิตสองมิติและสามมติ ิ” 4. อันดบั และกราฟของคู่อนั ดับ https://www.youtube.com/watch?v=B7Is0u0wooc ความยาวคลปิ 9.08 นาที 5. หน้าตดั ของรูปเรขาคณิตสามมติ ิ https://www.youtube.com/watch?v=1YJ43z2VyDc ยาวคลปิ 8.07 นาที 6. PowerPoint สำหรับครู เรอ่ื ง “กราฟและความสมั พนั ธ์ระหว่างรูปเรขาคณติ สองมิติและสามมิติ” 7. บทสรปุ ประกอบ PowerPoint สำหรบั ครู เรอ่ื ง การสรุปผลการเรียนรู้ “กราฟและความสมั พนั ธ์ ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิตแิ ละสามมติ ิ” 8. แบบทดสอบหลงั เรยี น เรื่อง “กราฟ” 9. แบบทดสอบหลังเรียน เร่อื ง “ความสัมพนั ธ์ระหว่างรปู เรขาคณิตสองมิตแิ ละสามมิต”ิ 10. แบบประเมินความพงึ พอใจสำหรับผู้เรยี นในการเข้าร่วมกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง“กราฟและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ”
204 ใบความรู้ ครง้ั ที่ 11 พค21001 (คณิตศาสตร์) เรื่องที่ 1 การรวบรวมขอ้ มูล 1.1 สถิติ คำว่า สถติ ิ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมนั ว่า Statistik มีรากศัพท์มาจาก Stat สถิติ หมายถงึ ข้อมลู หรอื สารสนเทศ หรอื ตัวเลขแสดงจำนวนหรอื ปรมิ าณของส่ิงตา่ ง ๆ ที่ได้รวบรวมไว้ สถิติ หมายถึง วิธีการท่ีว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการ ตีความหมายข้อมลู สถติ ิในความหมายนีเ้ ปน็ ทั้งวิทยาศาสตร์และศลิ ปศาสตร์ เรยี กว่า \"สถติ ิศาสตร์” 1.2 การรวบรวมข้อมลู (Data Collection) การรวบรวมข้อมลู หมายถึง การนำเอาขอ้ มูลต่างๆ ทผี่ ู้อ่ืนไดเ้ ก็บไว้แล้ว หรือรายงานไว้ในเอกสารตา่ งๆ มา ทำการศกึ ษาวิเคราะห์ตอ่ 1.3 ประเภทของขอ้ มลู ขอ้ มูล หมายถึง ขอ้ เท็จจริงเก่ียวกับตัวแปรที่สำรวจโดยใช้วธิ กี ารวัดแบบใดแบบหนงึ่ โดยท่ัวไปจำแนกตาม ลักษณะของขอ้ มลู ได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คือ ขอ้ มูลท่ีเป็นตัวเลขหรือนำมาให้รหัสเป็นตัวเลข ซึ่ง สามารถนำไปใช้วเิ คราะห์ทางสถติ ิได้ เช่น อายุ น้ำหนัก สว่ นสงู 2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) คือ ข้อมูลท่ีไม่ใช่ตัวเลข ไม่ได้มีการให้รหัสตัวเลขที่จะ นำไปวิเคราะห์ทางสถติ ิ แต่เป็นขอ้ ความหรอื ขอ้ สนเทศ เช่น เพศ ระดบั การศกึ ษา อาชพี 1.4 แหลง่ ทีม่ าของขอ้ มลู แหล่งข้อมูลท่ีสำคญั ได้แก่ บุคคล เช่น ผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้กรอกแบบสอบถาม บุคคลที่ถูกสังเกต เอกสารทุก ประเภท และข้อมูลสถิติจากหน่วยงาน รวมไปถึง ภาพถ่าย แผนท่ี แผนภูมิ หรือแม้แต่วัตถุ สิ่งของ ก็ถือเป็น แหลง่ ข้อมูลไดท้ ัง้ ส้ิน โดยทว่ั ไปสามารถจดั ประเภทข้อมูลตามแหลง่ ทีม่ าได้ 2 ประเภท คือ 1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือ ข้อมลู ทีผ่ ู้วจิ ัยเกบ็ ข้นึ มาใหม่เพ่ือ ตอบสนองวัตถุประสงค์การ วิจัยในเร่ืองน้ันๆ โดยเฉพาะการเลือกใช้ข้อมูลแบบปฐมภูมิ ผู้วิจัยจะสามารถเลือกเก็บข้อมูลได้ตรงตามความ ต้องการและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ตลอดจนเทคนิคการวิเคราะห์ แต่มีข้อเสียตรงท่ีส้ินเปลืองเวลา ค่าใชจ้ า่ ย และอาจมีคุณภาพไมด่ ีพอ หากเกิดความผิดพลาดในการเกบ็ ข้อมลู ภาคสนาม 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือ ข้อมูลต่างๆ ที่มีผู้เก็บหรือรวบรวมไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ นักวิจัยนำข้อมูลเหล่าน้ันมาศึกษาใหม่ เช่น ข้อมูลสำมะโนประชากร สถิติจากหน่วยงาน และเอกสารทุก
205 ประเภท ช่วยให้ผู้วิจัยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลากับการเก็บขอ้ มูลใหม่ และสามารถศึกษาย้อนหลังได้ ทำใหท้ ราบถงึ การเปล่ยี นแปลงและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทศ่ี ึกษา แต่จะมีข้อจำกดั ในเร่อื ง ความครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากบางคร้ังข้อมูลที่มีอยู่แล้วไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของเรื่องที่ผู้วิจัยศึกษา และ ปัญหาเร่ืองความน่าเชื่อถือของข้อมูล ก่อนจะนำไปใช้จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูล และเก็บข้อมูลเพ่ิมเติม จากแหลง่ อื่นในบางส่วนทไี่ ม่สมบรู ณ์ 1.4 วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล อาจแบ่งเป็นวธิ ีการใหญ่ๆ ได้ 3 วิธี คอื 1) การสังเกตการณ์ (Observation) ท้ังการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสังเกตการณ์แบบไม่มี สว่ นร่วม หรืออาจจะแบง่ เป็นการสงั เกตการณ์แบบมโี ครงสร้าง และการสงั เกตการณแ์ บบไม่มีโครงสร้าง 2) การสัมภาษณ์ (Interview) นิยมมากในทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะการสัมภาษณ์โดยใช้ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก หรืออาจจะจำแนกเป็นการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล และการ สมั ภาษณ์เป็นกล่มุ เช่น เทคนคิ การสนทนากลมุ่ ซึ่งนยิ มใช้กนั มาก 3) การรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เช่น หนังสือ รายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ บทความ ส่ิงพิมพ์ต่างๆ เป็น ตน้ 1.5 ขั้นตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. การสัมภาษณ์บุคคลทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 2. การบนั ทึกขอ้ มูลจากจากบนั ทกึ หรือเอกสารของหนว่ ยงานต่างๆ 3. การอ่านและศึกษาค้นคว้า 4. การคน้ หาขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เนต็ 5. การเขา้ รว่ มในเหตุการณ์ตา่ งๆ 6. การฟังวิทยุและดโู ทรทัศน์ เรือ่ งที่ 2 การนำเสนอข้อมูล การนำเสนอข้อมูลเป็นการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เป็นระบบ มาจัดเป็น หมวดหมู่ให้มีความสมั พันธเ์ ก่ียวข้องกันตามวัตถุประสงค์ เพ่ือสะดวกแก่การอ่าน ทำความเข้าใจ การวิเคราะห์ และแปลความหมาย เพ่อื ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวันต่อไป การนำเสนอข้อมูลแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. การนำเสนอข้อมูลอยา่ งไมม่ ีแบบแผน (informal presentation) หมายถึง การนำเสนอขอ้ มูลท่ีไม่ มกี ฎเกณฑ์ หรือแบบแผนที่แน่นอนตายตัว เปน็ การอธิบายลักษณะของขอ้ มูลตามเน้อื หาข้อมูล ที่นิยมใช้มสี อง วธิ คี อื การนำเสนอขอ้ มูลในรปู บทความหรือข้อความเรียง และการนำเสนอข้อมลู ในรูปบทความก่งึ ตาราง - การนำเสนอข้อมูลในรูปข้อความ นิยมใช้กับข้อมูลที่มีจำนวนไม่มากนัก เช่น ในปีงบประมาณ 2552 กศน.บ้านแพ้ว ได้อนุมตั ิให้นักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ จบการศึกษา จำนวน 480 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 92 อนุมตั ใิ หน้ ักเรียนระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลายจบการศึกษา จำนวน 372 คน คดิ เป็นร้อยละ 95
206 - การนำเสนอข้อมูลในรูปข้อความก่ึงตาราง (Semi – tabular arrangement) คือ การนำเสนอ ข้อมูล โดยแยกตัวเลขออกจากข้อความ เพื่อต้องการให้เห็นตัวเลขที่ชัดเจนและเปรียบเทียบความแตกต่างได้ สะดวกยิ่งขึ้น ตัวอย่าง เช่น บริษัทคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งมีจำนวนยอดขายประจำเดือนมกราคม 2553 ของ ลูกค้า จำแนกตามภาคต่าง ๆ ดงั นี้ ภาค จำนวนยอดขาย ( พนั เคร่ือง ) เหนือ 210 กลาง 398 ตะวันออก 135 ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 102 ใต้ 170 2. การนำเสนอข้อมูลอย่างมีแบบแผน เป็นการนำเสนอข้อมูลที่มีกฎเกณฑ์ โดยแต่ละแบบจะต้อง ประกอบด้วยช่ือเรื่อง ส่วนของการนำเสนอ และแหล่งที่มาของข้อมูล การนำเสนอข้อมูลอย่างมีแบบแผน ประกอบด้วย การนำเสนอข้อมูลในรปู ตาราง แผนภูมิรูปภาพ แผนภูมิวงกลม (แผนภูมิกง) แผนภูมิแท่ง กราฟ เส้น และตารางแจกแจงความถ่ี 2.1 การนำเสนอข้อมูลในรูปตาราง การนำเสนอในรูปตาราง (Tabular presentation) ข้อมูลต่างๆ ท่ีเก็บรวบรวมมาได้เมื่อทำการ ประมวลผลแล้วจะอยู่ในรูปตาราง เป็นการนำเสนอข้อมูลท่ีง่าย และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะมีความ สะดวกและงา่ ยแก่การนำไปวิเคราะห์และแปลความหมายทางสถิติ 2.2 การนำเสนอขอ้ มลู ดว้ ยแผนภมู ริ ปู ภาพ แผนภูมิรูปภาพ คือ แผนภูมิท่ีใช้รูปภาพแทนจำนวนของข้อมูลท่ีนำเสนอ เช่น แผนภูมิรูปภาพคน รปู ภาพคน 1 คน แสดงประชากรท่ีนำเสนอ 1 ลา้ นคน เป็นต้น การเขียนแผนภูมิรูปภาพ อาจกำหนดให้รูปภาพ 1 รูปแทนจำนวนส่ิงของ 1 หน่วย หรือหลายหน่วยก็ได้ รปู ภาพแต่ละรปู ต้องมีขนาดเท่ากันเสมอ แผนภูมิแสดงงานอดิเรกของนักเรยี นช้ัน ป. 6 ของโรงเรียนแห่งหน่ึง (สำรวจเมือ่ วันที่ 19 มกราคม 2548)
207 2.3 การนำเสนอด้วยแผนภูมิแท่ง (Bar chart) ประกอบด้วยรูปแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าซ่ึงแต่ละแท่งมีความหนา เท่าๆ กัน โดยจะวางตามแนวตงั้ หรอื แนวนอนของแกนพิกัดฉากก็ได้ แผนภูมแิ ท่งแบบทางเดียว เปน็ การนำขอ้ มลู เพียงขอ้ มูลเดียวมานำเสนอในรูปแบบของแทง่ ส่ีเหล่ียม ตวั อย่าง แผนภูมิแท่งแสดงการส่งออกไก่ไปตา่ งประเทศ แผนภูมิแท่งแสดงการเปรียบเทียบ เป็นการนำข้อมูลต้ังแต่ 2 ชุดข้ึนไปท่ีเป็นเรื่องเดียวกัน นำมาเขียน บนแกนคูเ่ ดยี วกนั แล้วระบายสแี ท่งสีเ่ หลย่ี มใหต้ า่ งกนั เพอื่ ง่ายตอ่ การดู แล้วอธบิ ายว่าสีใดแทนอะไร ตวั อยา่ ง แผนภูมิแสดงการเปรยี บเทียบยอดการขายแต่ละเดอื นของบริษัทหน่ึง
208 2.4 การนำเสนอด้วยกราฟเส้น (Line graph) เป็นแบบที่รู้จักกันดีและใช้กันมากที่สุดแบบหนึ่ง เหมาะ สำหรับข้อมูลที่อยู่ในรูปของอนุกรมเวลา เช่น ราคาข้าวเปลือกในเดือนต่างๆ ปริมาณสินค้าส่งออกรายปี เป็น ตน้ 2.5 การนำเสนอด้วยรูปแผนภูมิวงกลม (Pie chart) เปน็ การแบง่ วงกลมออกเปน็ สว่ นต่างๆ ตามจำนวนชนิด ของข้อมูลทีจ่ ะนำเสนอ ตัวอย่าง แผนภูมวิ งกลมแสดงการใชท้ ีด่ ินที่ถอื ครอบ เพือ่ การเกษตร พ.ศ. 2518 2.6 การนำเสนอข้อมลู ในรูปตารางแจกแจงความถ่ี ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้น้ัน ถ้ามีจำนวนมากหรอื ซ้ำกนั อยู่มาก เมื่อมาเรียงกันหรือจัดให้อยเู่ ป็นหมวดหมู่ แลว้ จะชว่ ยให้เราบอกรายละเอยี ดตา่ งๆ หรอื สรุปผลเกย่ี วกบั ข้อมูลได้สะดวกและรวดเรว็ ขนึ้ เชน่ ในทางสถิติเรียกว่า ข้อมูลดิบ หรือคะแนนดิบ หรือค่าจากสังเกต เม่ือนำมาจัดเรียงใหม่ให้เป็นระบบโดย อาจเรียงจากมากไปหาน้อยหรอื จากน้อยไปหามาก แล้วบันทึกรอยขีด แสดงจำนวนคร้ังของข้อมูลที่เกิดขึ้นซ้ำ กนั ในตาราง จำนวนรอยขดี ทน่ี ับได้เรยี กวา่ ความถข่ี องแต่ละขอ้ มูล
209 ตารางทีน่ ำเสนอขอ้ มูลในรูปแบบนีเ้ รียกว่า ตารางแจกแจงความถี่ และวธิ ีการจำแนกข้อมูลโดยการบนั ทึก รอยขีดเพอื่ หาค่าความถเี่ รยี กว่า การแจกแจงความถี่ การสร้างตารางแจกแจงความถี่ ในกรณที ี่ข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมมามีจำนวนมากๆ และไม่ค่อยซ้ำกนั ถา้ จะเรยี งลำดับจะเปน็ การเสียเวลาและ สิ้นเปลืองมาก จึงกำหนดข้อมูลเป็นช่วงๆ และหาความถ่ีของช่วงข้อมูลน้ันๆ วธิ ีการสร้างตารางแจกแจงความถ่ี โดยจัดเป็นอนั ตรภาคช้ันใหท้ กุ ๆ ชน้ั มีความกวา้ งเท่ากัน มวี ธิ ีการดังนี้ 1. หาพสิ ัยของข้อมลู พสิ ัย = ขอ้ มูลทม่ี คี า่ สงู สดุ – ข้อมลู ท่ีมีค่าตำ่ สดุ 2. กำหนดจำนวนช้ันหรือกำหนดความกว้างของอันตรภาคช้ันข้ึนมา – ถ้ากำหนดจำนวนชั้นก็ให้หาความ กวา้ งของอนั ตรภาคชัน้ ความกวา้ งของอันตรภาคช้ัน = พิสัย (เศษเท่าไหรป่ ดั ข้ึนเสมอ) จำนวนอัตรภาคชนั้ - ถ้ากำหนดความกวา้ งของอันตรภาคชั้นกห็ าจำนวนชัน้ ไดจ้ าก จำนวนอันตรภาคชัน้ = พสิ ัย (เศษเทา่ ไหร่ปดั ขึน้ เสมอ) ความกวา้ งอตั รภาคชั้น 3. เขียนอันตรภาคชั้นโดยเรียงค่าจากน้อยไปมากหรือจากมากไปน้อย ถ้าเรียงค่าจากน้อยไปมาก ต้องให้ ขอ้ มูลทมี่ ีคา่ ต่ำสดุ ในอันตรภาคชัน้ แรก และข้อมลู ที่มคี ่าสูงสดุ อยู่ในอนั ตรภาคช้นั สุดท้าย 4. นำข้อมูลดิบมาใสใ่ นตารางโดยใช้รอยขดี 5. รวมความถ่ีตามรอยขดี ตัวอย่าง จากขอ้ มลู จงหา 1. พสิ ัย 2. จงสรา้ งตารางแจกแจงความถี่ ให้มีทง้ั หมด 6 ชน้ั 3. จงสรา้ งตารางแจกแจงความถ่ี ให้มคี วามกว้างของอนั ตรภาคชัน้ ทุกช้นั เปน็ 8 ทกุ ชนั้ วธิ ีทำ 1. ขอ้ มูลทมี่ คี ่าสูงสุดเป็น 82 ข้อมูลท่มี คี า่ ตำ่ สดุ เปน็ 43 ดังน้ันพสิ ัย = 82 – 43= 39 ตอบ พสิ ัยเป็น 39
210 2. โจทย์กำหนดให้สรา้ งตารางแจกแจงความถ่ที ั้งหมด 6 ชน้ั จำนวนอนั ตรภาคชนั้ = พิสยั ความกวา้ งอัตรภาคช้ัน จำนวนชนั้ = 39 6 = 6.5 =7 ดังนนั้ ความกว้างของอันตรภาคชนั้ เป็น 7 เขียนอันตรภาคช้ันโดยเรียงค่าจากน้อยไปมากหรือจากมากไปน้อย ถ้าเอาข้อมูลท่ีมีค่าต่ำสุดเป็นตัวเร่ิมต้น และให้มคี วามกว้างของอันตรภาคช้นั เปน็ 7 จัดได้ดังนี้ จากตารางแจกแจงความถี่ขา้ งต้น มคี า่ ตา่ งๆ ทผ่ี ูเ้ รียนควรทราบอีก คอื 1. ขอบล่าง = ค่าทน่ี ้อยที่สุดของอนั ตรภาคช้ันนั้น + คา่ ทมี่ ากท่ีสุดของอันตรภาคช้ันทีต่ ำ่ กว่าหนง่ึ ช้ัน 2 หรอื ขอบลา่ ง = คา่ ทน่ี ้อยทสี่ ดุ ของอนั ตรภาคชนั้ ที่เราตอ้ งการ -0.5 เช่น ขอบล่างของอันตรภาคชั้น 50 – 56 ไดแ้ ก่ 49.5 2. ขอบบน = คา่ ท่ีมากท่ีสุดของอนั ตรภาคชนั้ นั้น + คา่ ทีน่ อ้ ยทส่ี ุดของอันตรภาคชน้ั ทส่ี ูงกว่าหนง่ึ ชน้ั 2 หรือ ขอบบน = คา่ ทมี่ ากทส่ี ุดของอันตรภาคช้ันท่ีเราตอ้ งการ + 0.5 เชน่ ขอบบนของอนั ตรภาคชน้ั 50 – 56 = 56−57 = 56.5 หรอื ขอบบน = 56 + 0.5 = 56.5 2 3. จุดกึ่งกลางชัน้ = ขอบลา่ ง + ขอบบน (ของอัตรภาคชัน้ ) 2 เช่น อันตรภาคชน้ั 50 – 56 มีขอบบน และขอบล่าง ได้แก่ 49.5 และ 56.5 ตามลำดบั ดงั นน้ั จดุ กงึ่ กลางชัน้ = 49.5 + 56.5 = 53 2
211 เร่อื งท่ี 3 การหาค่ากลางของขอ้ มลู การหาค่ากลางของข้อมูลที่เป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการสรุปเร่ืองราวเกี่ยวกับ ขอ้ มลู นน้ั ๆ จะช่วยทำใหเ้ กิดการวิเคราะห์ขอ้ มูลถูกต้องดีข้นึ การหาคา่ กลางของขอ้ มลู มีวิธีหาหลายวิธี แตล่ ะวธิ ี มีข้อดีและข้อเสีย และมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและวัตถุประสงค์ ของผ้ใู ชข้ อ้ มูลนนั้ ๆ ค่ากลางของข้อมูลที่สำคญั มี 3 ชนิด คอื 1. ค่าเฉล่ียเลขคณิต (Arithmetic mean) คือ ค่าท่ีได้จากผลรวมของข้อมูลทั้งหมด หารด้วยจำนวน ขอ้ มลู ทง้ั หมด ใชส้ ญั ลักษณ์ คอื x ตวั อยา่ ง จากการสอบถามอายขุ องนกั เรยี นกลมุ่ หนง่ึ เปน็ ดงั น้ี 14 , 16 , 20 , 25 , 30 วธิ ที ำ ค่าเฉล่ียเลขคณิตของข้อมูลชดุ นี้ คอื 14 + 16 + 20 + 25 + 30 5 = 105 5 = 21 2. มัธยฐาน (Median) คือ ค่าที่มีตำแหน่งอยู่ก่ึงกลางของข้อมูลท้ังหมด เม่ือได้เรียงข้อมูลตามลำดับ ไม่ ว่าจากนอ้ ยไปมาก หรือจากมากไปนอ้ ย ใชส้ ญั ลักษณ์ Med หลกั การคิด 1) เรยี งขอ้ มูลทีม่ ีอยู่ทง้ั หมดจากน้อยไปมาก หรอื มากไปน้อยกไ็ ด้ 2) ตำแหน่งมัธยฐาน คือ ตำแหน่งกง่ึ กลางข้อมูล ดงั นน้ั ตำแหนง่ ของมธั ยฐาน = ������ + 1 2 เม่อื N คือ จำนวนข้อมูลท้ังหมด ตัวอย่าง จงหามัธยฐานจากข้อมลู ต่อไปนี้ 3, 10, 4, 15, 1,24, 28, 8, 30, 40, 23 วิธีทำ 1. เรียงข้อมูลจากนอ้ ยไปหามาก หรือมากไปหานอ้ ย จะได้ 1, 3, 4, 8, 10, 15, 23, 24, 28, 30, 40 2. หาตำแหน่งของข้อมูล จาก ������ + 1 จะได้ 11 + 1 22 ดังนั้น มธั ยฐานอยู่ตำแหน่งท่ี 6 มคี ่าเปน็ 15 ถ้าข้อมูลชุดนน้ั เปน็ จำนวนคู่ จะใช้ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของขอ้ มลู คู่ทอี่ ยู่ตรงกลางเป็นมัธยฐาน ตวั อยา่ ง จงหามัธยฐานจากข้อมลู ต่อไปนี้ 25, 3, 2, 10, 14, 6, 19, 22, 30, 8, 45, 36, 50, 17 วธิ ที ำ
212 1. เรียงข้อมูลจากนอ้ ยไปหามาก หรือมากไปหาน้อย จะได้ 2, 3, 6, 8, 10, 14, 17, 19, 22, 25, 30, 36, 45, 50 2. หาตำแหนง่ ของขอ้ มูล จาก ������ + 1 จะได้ 14 + 1 = 7.5 22 มธั ยฐานอยู่ระหว่างตำแหนง่ ที่ 7 และ 8 ดงั นน้ั มธั ยฐาน คือ 17 + 19 = 18 2 3. ฐานนิยม (Mode) ฐานนิยมของข้อมูลชุดหนึ่ง คือ ข้อมูลท่ีมีความถี่สูงสุดในข้อมูลชุดนั้น หรอื อาจกล่าวว่า ข้อมูลใดการซ้ำกันมากที่สุด(ความถี่สูงสุด) ข้อมูลน้ันเป็นฐานนิยมของข้อมูลชุดน้ัน และ ฐานอาจจะไม่มี หรือ มีมากกว่า 1 ค่าก็ได้ ตวั อย่าง จากข้อมูล 2, 3, 4, 3, 4, 5, 6, 8, 6, 4, 6, 7 จงหาฐานนยิ ม วธิ ที ำ จากขอ้ มูลจะเหน็ ว่า มี 2 อยูห่ นง่ึ ตวั มี 3 อยู่สองตัว มี 4 อยสู่ ามตวั มี 5 อยู่หนงึ่ ตวั มี 6 อยู่สามตวั มี 7 อยู่หนึง่ ตวั มี 8 อยหู่ น่งึ ตัว ข้อมูลทีม่ ีความถีส่ งู สุดในที่นม้ี ี 2 ตัวคือ 4 และ 6 ซ่งึ ตา่ งกม็ ีความถเ่ี ปน็ 3 ดงั นัน้ ฐานนิยมของข้อมูลชดุ นี้ คอื 4 และ 6 เร่ืองที่ 4 การเลือกใช้คา่ กลางของข้อมูล ในการท่ีจะเลือกใช้ค่ากลางค่าใดนั้น ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ใช้ ซ่ึงค่ากลางท้ังสามมสี มบัตทิ ่ีแตกต่างกัน ดงั นี้ ค่าเฉล่ียเลขคณิต ขอ้ เสยี 1. ถา้ ข้อมูลมบี างค่าต่ำเกินไปหรือสูงเกนิ ไป จะมีผลต่อค่าเฉล่ียเลขคณติ จึงไม่เหมาะสมทจี่ ะใช้ เช่น รายได้ ของพนกั งาน 5 คน เป็นดังน้ี 7,000 บาท 9,000 บาท 13,500 บาท 18,000 บาท 80,000 บาท 2. ถ้าข้อมูลแจกแจงความถี่ชนิดปลายเปิด เช่น น้อยกว่าหรือเท่ากับ มากกว่าหรือเท่ากับ จะคำนวณหา ค่าเฉลี่ยเลขคณติ ไม่ได้ 3. ใช้ได้กบั ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณเทา่ นน้ั ขอ้ ดี 1. มปี ระโยชนใ์ นการใช้ขอ้ มูลจากตัวอยา่ งอ้างอิงไปสูป่ ระชากร
213 2. สามารถคำนวณไดง้ า่ ยโดยใชค้ า่ ทไี่ ดม้ าทุกจำนวน 3. มกี ารนำไปใชใ้ นสถิติชัน้ สงู มากกวา่ ค่าเฉลีย่ แบบอนื่ ๆ 4. สามารถเปรียบเทียบกบั ข้อมลู ชดุ อน่ื ได้งา่ ย ฐานนยิ ม ข้อเสยี 1. บางครงั้ หาฐานนยิ มไมไ่ ด้ 2. การคำนวณฐานนิยมไมไ่ ดใ้ ชค้ า่ ของข้อมูลทุกตัว จงึ ไม่เป็นตัวแทนทีด่ ีนกั 3. คา่ ฐานนยิ มไมค่ อ่ ยนิยมใชใ้ นสถิตชิ ้ันสูง ข้อดี 1. เข้าใจงา่ ยและคำนวณง่าย 2. สามารถคำนวณจากกราฟได้ 3. เป็นคา่ กลางท่ีใช้ไดก้ บั ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ 4. เมื่อมีข้อมูลบางตัวเล็กหรือใหญ่ผดิ ปกตจิ ะไม่กระทบฐานนยิ ม 5. ใช้ได้ดีเมื่อจุดประสงค์มุ่งท่ีจะศึกษาสิ่งท่ีเกิดข้ึนบ่อย หรือลักษณะท่ีคนชอบมากหรือมีคะแนนส่วนใหญ่ รวมกันอยู่ ณ ค่าใดคา่ หน่ึง 6. กรณีท่ีขอ้ มูลแจกแจงความถ่ีชนิดปลายเปิดสามารถหาฐานนิยมได้ มัธยฐาน ขอ้ เสีย 1. ใช้ไดก้ ับข้อมูลเชิงปรมิ าณเท่านน้ั 2. สำหรบั ข้อมูลท่แี จกแจงความถ่หี รือขอ้ มลู ทจ่ี ัดกลุ่มมธั ยฐานทค่ี ำนวณไดจ้ ะไม่ใชค่ า่ ข้อมลู จรงิ ขอ้ ดี 1. คำนวณไดง้ ่ายสำหรบั ขอ้ มลู ไมจ่ ัดกลมุ่ 2. ข้อมูลบางค่ามีคา่ สงู หรอื ตำ่ เกินไป ไมก่ ระทบกระเทอื นต่อมธั ยฐาน จงึ เหมาะทจี่ ะใชม้ ธั ยฐานมากทสี่ ุด 3. กรณที ีข่ อ้ มลู แจกแจงความถี่ชนิดปลายเปิดก็สามารถหามธั ยฐานได้ เรือ่ งที่ 5 การใชส้ ถติ ิ ข้อมูลสารสนเทศ 5.1 สถิตใิ นชวี ติ ประจำวัน ในชวี ิตประจำวนั ของคนเราน้นั สถติ ิมีสว่ นเก่ียวข้องอยเู่ สมอ เชน่ ในเร่ืองเก่ียวกับตัวนักเรียน อาจจะมีการหาความสูงโดยเฉลี่ย หรือหาน้ำหนักโดยเฉล่ีย หรือหาคะแนน เฉลยี่ หรอื หาส่วนสดั โดยเฉลีย่ ของนกั เรยี นทงั้ ห้องเรยี น เป็นต้น ในเร่ืองเก่ียวกับครู-อาจารย์ ก็มีสถิติเก่ียวกับจำนวนครู-อาจารย์ ระดับผลการเรียนของนักเรียน จำนวน นักเรียนที่ติด 0, ร. มส. จำนวนนักเรียนท่ีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในแต่ละรุ่น แต่ละปีและสถิติการทำงานใน สถานทตี่ ่างๆ ของนกั เรยี นท่จี บการศกึ ษาในแตล่ ะรนุ่ เป็นต้น
214 ในเร่ืองของแรงงาน ก็มีสถิติเกี่ยวกับจำนวนคนในกำลังแรงงาน เปอร์เซ็นต์ของคนว่างงาน รายได้และ สวัสดิการทค่ี นงานได้รับ เปน็ ต้น ในเร่ืองเกี่ยวกับการกสิกรรม จะเห็นว่าเกษตรกรต้องมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ เช่น การศึกษา ผลผลิตข้าว พันธุ์ใหม่เทียบกับพันธุ์เดิม หรือการทดลองปลูกอ้อยในท่ีดินลักษณะต่างๆ การปลูกมันสำปะหลังแบบใดจึงจะ เหมาะกบั สภาพดินของตนเอง หรือการปลูกหม่อนเลยี้ งไหมพนั ธ์ุไหนดีกว่ากัน จึงจะได้ใบหม่อนที่มีคุณภาพท้ัง ยังเปน็ การประหยัดเวลาและแรงงาน ซ่งึ สถติ ิมีส่วนในการวางแผนการ ทดลองและการวิเคราะห์ขอ้ มูล ในเร่ืองของการประกันชีวิต บริษัทประกันก็ต้องมีสถิติของพนักงานหรือตัวแทน หรือผู้จัดการแต่ละฝ่าย หรอื ตำแหน่งท่สี งู กว่า หรือสถิติยอดขายในแต่ละเดอื น หรือการปรับอตั ราการชำระเบี้ยประกนั ทีม่ ีการปรับปรุง เปล่ียนแปลง อาจจะแยกตามเพศ ตามอายุ ตามวงเงนิ การกำหนดอตั ราเบ้ียประกัน จะตอ้ งอาศัยข้อมูลทีผ่ ่าน มา สถติ ิมีส่วน ในการคำนวณเบี้ยประกันตามวธิ ีของการประกันภัย พร้อมท้งั มีการเสนอในรูปแบบตา่ งๆ โดยเฉพาะแบบ ตาราง เปน็ ต้น ในเรื่องของข่าวสาร สารสนเทศ จะเห็นว่าในหนังสือพิมพ์ หรือในโทรทัศน์จะมีตัวเลข แสดงให้เห็น ขอ้ เท็จจริงต่างๆ เช่น สถิติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น อาจจะนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น นำเสนอใน รปู ตาราง นำเสนอในรูปแผนภูมิแท่ง นำเสนอในรปู แผนภูมวิ งกลม หรือนำเสนอในรปู กราฟเส้น เปน็ ต้น ในเรื่องเกย่ี วกับธุรกิจการค้า บริษัทห้างร้านหรอื สรรพสินคา้ ต่างๆ ก็มีสถติ ิเกี่ยวกบั ยอดขายสินค้าในแผนก ต่างๆ สถิติแสดงปริมาณสินค้าที่ขายประเภทต่างๆ สถิติยอดขายของพนักงานแต่ละคน นอกจากนี้สถิติยังไป เกย่ี วขอ้ งกับการรบั ประกันอายใุ ชง้ านของสินค้า สถติ ิช่วยในการกำหนดวิธเี ก็บรวบรวมข้อมูลและการวเิ คราะห์ ขอ้ มลู นอกจากนสี้ ถติ กิ ็ยงั มีสว่ นเก่ียวขอ้ งกับการควบคุมคณุ ภาพสินคา้ ทผี่ ลติ ด้วย ในวงการแพทย์ก็มีสถิติเก่ียวกับจำนวนแพทย์ พยาบาล จำนวนผู้ป่วย จำแนกโรคต่างๆ สถิติการผลิตและ จำนวนยาประเภทต่างๆ จำนวนคนตายจำแนกตามสาเหตุของการตาย จำนวนผู้บริจาคเลือดในแต่ละปี เป็น ต้น นอกจากน้ีสถิติยังไม่เก่ียวข้องในการออกแบบ และการวางแผนการทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูล การ วเิ คราะห์ข้อมลู เพ่ือหาขอ้ สรปุ เกี่ยวกับการทดสอบประสิทธิผลของยารกั ษาโรคชนดิ ตา่ งๆ อกี ดว้ ย ในเรื่องของการบริหารงานขององค์กรต่างๆ อาทิ องค์กรของรัฐ เช่น ระดับอำเภอก็มีสถิติเกี่ยวกับ ประชากร ในแต่ละหมู่บ้าน ในแต่ละตำบล สถิติเก่ียวกับอาชีพต่าง ๆ ผลผลิตแต่ละปี การศึกษาของคนในแต่ ละชมุ ชนเปน็ อยา่ งไร จะจัดสรรงบประมาณไปใหแ้ ตล่ ะแหง่ มากน้อยเพียงใด สถติ ิมีส่วนเก่ียวข้องมาก นอกจากท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น สถิติยังไปเก่ียวข้องกับชีวิตประจำวันอีกหลายอย่าง เช่น การสำรวจความ คิดเห็นหรือโพล การร่วมแสดงความคิดเห็นโดยการส่ง sms ซึ่งคิดออกมาในรูปร้อยละเห็นด้วยไม่เห็นด้วย นำเสนอผ่านหน้าจอโทรทัศน์เป็นประจำ สถิติเก่ียวกับน้ำท่วม ไร่นาเสียหายไปกี่ไร่ จะมีมาตรการอย่างไรที่จะ แก้ไข ในปีต่อไปซ่ึงต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากปีที่ผ่านๆ มา หรือสถิติคนใช้บริการรถโดยสารในช่วง เทศกาลตา่ งๆ สถติ กิ ารเกิดอบุ ัตเิ หตุบนท้องถนน ซง่ึ ข้อมลู เหลา่ น้ีลว้ นแต่เกีย่ วขอ้ งกับสถิติทัง้ ส้นิ
215 แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง กราฟ คำช้ีแจง แบบทดสอบก่อนเรยี น มีจำนวนทงั้ หมด 5 ข้อ 1. จากกราฟ นักศกึ ษาที่จบการศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาจีนนอ้ ยกวา่ ท่ีจบสาขาวิชาภาษาเกาหลีกีค่ น จำนวน(คน) สาขาวชิ า ก. 500 ข. 1,000 ค. 2,500 ง. 5,000 2. จากแผนภูมิวงกลม นกั ศึกษาควรเลอื กเรียนสาขาวชิ าใด สาขาวชิ าท่ีศกึ ษาจบแล้ววา่ งงานในปี พ.ศ.2557 10% 15% 45% 25% วิศวกรรมศาสตร์ นิตศิ าสตร์ บรหิ ารธรุ กจิ ครุศาสตร์ ก. บริหารธรุ กิจ ข. นิตศิ าสตร์ ค. ครศุ าสตร์ ง. วิศวกรรมศาสตร์ 3. ข้อใดไมใ่ ชก้ ราฟเสน้ ตรง ข. 2x + 3 y = 1 ก. 2x – 5 = 4y ง. 2x = 3y ค. y (2x + ก = 6
4. ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธข์ องกราฟเส้นตรง 216 ก. (1, 0) , (-1, -ข), (0, -ก) ค. (-5, ค), (-6, ง), (-7, ข) ข. (2, -ก) , (3, 0), (4, ก) ง. (-2, ก) , (-1, 0), (0, -ก) 5. กราฟขอ้ ใดขนานกบั แกน x ก. 5x = 1 ข. 2y = 3 ค. xy = 7 ง. 3y = 2x เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น 1. ง 2. ง 3. ก 4. ค 5. ค
217 แบบทดสอบ ครง้ั ท่ี 11 พค21001 คณติ ศาสตร์ 1. ข้อความใดจดั เปน็ ข้อมูลสถติ ิ ก. นำ้ หนักของนักเรียนทุกคนทเี่ รียนชุดการเรียนทางไกล ข. คน 6 คน เปน็ ชาย 4 คน เปน็ หญงิ 2 คน ท่ีอยู่ในบ้านวิชยั ค. นางสาวภิ าวมี สี ว่ นสดั เปน็ 35-24-36 ง. แดงสูง 163 เซนติเมตร เฉลย ก. น้าหนกั ของนกั เรียนทกุ คนท่ีเรียนชุดการเรียนทางไกล ง. 9 ง. 40 2. จากขอ้ มลู 2, 6,1, 5, 13, 6, 16 จงหาค่าเฉล่ียเลขคณิต ง. 11.95 ก. 3 ข. 5 ค. 7 เฉลย ค. 7 3. จากขอ้ มูล 24, 16,18, 36, 7, 28, 6, 36, 12 จงหาคา่ ฐานนิยม ก. 34 ข. 36 ค. 38 เฉลย ข. 36 4. จากขอ้ มลู 10.1, 13.8, 15.6, 4.5, 18.6, 8.4 จงหาคา่ มธั ยฐาน ก. 8.95 ข. 9.95 ค. 10.95 เฉลย ง. 11.95
218 5. จากกราฟ นกั ศกึ ษาทจ่ี บการศึกษาสาขาวิชาภาษาจนี น้อยกวา่ ทจี่ บสาขาวชิ าภาษาเกาหลีกค่ี น จำนวน(คน) ก. 500 ข. 1,000 ค. 2,500 สาขาวิชา เฉลย ง. 5,000 ง. 5,000 6. จากแผนภูมวิ งกลม นกั ศึกษาควรเลือกเรียนสาขาวชิ าใด ก. บริหารธุรกิจ ข. นติ ิศาสตร์ ค. ครุศาสตร์ ง. วิศวกรรมศาสตร์ เฉลย ง. วิศวกรรมศาสตร์ ข. 2x + 3 y = 1 ง. 2x = 3y 7. ข้อใดไมใ่ ช้กราฟเสน้ ตรง ก. 2x – 5 = 4y ค. y (2x + ก = 6 เฉลย ก. 2x – 5 = 4y
219 8. ข้อใดเปน็ ความสัมพนั ธข์ องกราฟเสน้ ตรง ข. (2, -ก) , (3, 0), (4, ก) ก. (1, 0) , (-1, -ข), (0, -ก) ง. (-2, ก) , (-1, 0), (0, -ก) ค. (-5, ค), (-6, ง), (-7, ข) เฉลย ค. (-5, ค), (-6, ง), (-7, ข) 9. กราฟข้อใดขนานกบั แกน x ข. 2y = 3 ก. 5x = 1 ง. 3y = 2x ค. xy = 7 เฉลย ค. xy = 7 10. ข้อใดเป็นจุดบนเส้นตรง 2x – 3y = 1 ข. (-1, -5) ก. (1, -ค) ง. (-2, 5) ค. (2, ก) เฉลย ค. (2, ก)
220 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ครัง้ ท่.ี ....... วนั ท่.ี ......เดือน............................พ.ศ............... ผลการใชแ้ ผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ 1. จำนวนเนอ้ื หากับจำนวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดบั เนอ้ื หากบั ความเขา้ ใจของผเู้ รียน เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเข้าสูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแต่ละหัวข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วิธกี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้กบั เนื้อหาในแต่ละข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกับตวั ช้วี ัดในแต่ละเนอ้ื หา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
221 ผลการเรยี นร้ขู องผู้เรียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกระบวนการเรียนรขู้ องครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ................................................ ผบู้ นั ทึก () ครู กศน.ตำบล ความเหน็ ของผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ............................................................................................................................................ .................................. ................................................................................................. ............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ .................................................. (นางมาลี เพง็ ดี) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่
222 แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรขู้ องผ้เู รยี น ชอ่ื โครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................ ชือ่ โรงเรยี น/สถานศึกษา …………………………………………………………………………………………………….. ชอ่ื หัวหน้าโครงการ/กจิ กรรม............................................................................................................. คำช้ีแจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ระดับคุณภาพการ ประเมินดังน้ี 5 มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรู้ มากทสี่ ดุ 4 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ มาก 3 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ ปานกลาง 2 มพี ฤติกรรมการเรยี นรู้ นอ้ ยู่ 1 มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรู้ น้อยู่ทสี่ ุด เกณฑก์ ารพจิ ารณาระดบั คุณภาพ คะแนนเฉลี่ยร้อยู่ละ 0 - 50 ระดบั คณุ ภาพ ปรับปรุง คะแนนเฉลีย่ ร้อยู่ละ 50 - 69 ระดบั คุณภาพ พอใช้ คะแนนเฉลี่ยร้อยลู่ ะ 70 – 79 ระดับคณุ ภาพ ดี คะแนนเฉลี่ยรอ้ ย่ลู ะ 80 – 89 ระดบั คุณภาพ ดมี าก คะแนนเฉล่ยี ร้อยลู่ ะ 90 - 100 ระดบั คณุ ภาพ ดีเย่ยี ม พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ระดบั พฤตกิ รรม 54321 1. ความต้ังใจในการทำงาน 2. ความรบั ผิดชอบ 3. ความกระตอื รือรน้ 4. การตรงตอ่ เวลา 5. ผลสำเรจ็ ของงาน 6. การทำงานร่วมกับผอู้ ื่น 7. มีความคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ 8. มีการวางแผนในการทำงาน 9. การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในกล่มุ 10. การมีสว่ นร่วมในการแกไ้ ขปัญหาในกล่มุ ลงชอ่ื ......................................................................ผู้ประเมนิ ............../.............................../.....................
223 ใบความรู้ เรอื่ ง เศษสว่ นและทศนยิ ม เรอื่ งที่ 1 ความหมายของเศษส่วนและทศนิยม 1.1 เศษส่วน หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ของจำนวนเต็มทถี่ ูกแบง่ ออกเป็นส่วนละเทา่ ๆ กนั การ นำเสนอจำนวนท่ีสามารถเขยี นไดใ้ นรปู a เมือ่ a, b เปน็ จำนวนเต็ม โดยที่ b 0เรียกจำนวนนวี้ ่า b เศษส่วน เศษส่วนที่เปน็ จำนวนบวก ตัวอย่างท่ี 1ถา้ เราแบ่งระยะ 1 หนว่ ย บนเสน้ จำนวนทางขวามอื ของ 0 ออกเปน็ 6 ส่วนเท่า ๆ กนั ดงั รปู จุด A, B, C, D และ E แทนจำนวนใด AB C DE -1 0 1 วธิ ที ำ จากความรู้เดมิ ของนักเรยี น จะได้ว่า (1) จำนวนทแี่ ทนดว้ ยจดุ A, B, C, D และ E เปน็ จำนวนบวก เพราะอยู่ทางขวามือของ 0 จึงมคี า่ มากกวา่ 0 (2) จำนวนทีแ่ ทนดว้ ยจุด A, B, C, D และ E จะไม่เปน็ จำนวนเต็ม แต่เป็นเศษสว่ นที่มคี ่าระหว่าง 0 และ 1 ไดแ้ ก่ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 66666 ตวั อย่างท่ี 2 จากรปู จุด F, G, H, I และ J แทนจำนวนใด F G HI J -1 0 1 2 วิธที ำจะได้ว่า จดุ F แทนจำนวน 1 3 จุด G แทนจำนวน 2 3 จดุ H แทนจำนวน 11 4 จุด I แทนจำนวน 12 4 จุด J แทนจำนวน 13 4
224 เศษส่วนที่เปน็ จำนวนลบ เชน่ เดยี วกับเศษส่วนทเี่ ป็นจำนวนบวก เราสามารถหาตำแหนง่ ของจดุ บนเส้นจำนวนที่แทนจำนวนที่ เป็นเศษสว่ นจำนวนลบได้ ตัวอย่างท่ี 3 ถา้ เราแบ่งระยะ 1 หน่วย บนเสน้ จำนวนทางซ้ายมอื ของ 0 ออกเป็น 6 ส่วนเทา่ ๆ กนั ดงั รูป จดุ K, L, M, N และ O แทนจำนวนใด ON MLK -1 0 1 วิธที ำจะได้ว่า จดุ K แทนจำนวน −1 จุด L แทนจำนวน 6 จดุ M แทนจำนวน จุด N แทนจำนวน −2 จดุ O แทนจำนวน 6 −3 6 −4 6 −5 6 จำนวนตรงขา้ มของเศษสว่ น ตัวอยา่ งท4ี่ พจิ ารณาเสน้ จำนวนตอ่ ไปนี้ - 2 - 5 - 4 -1 - 2 -1 0 12 1452 33 33 33 33 จากรปู เช่น − 2 และ 2 อยูค่ นละขา้ งของ 0 และห่างจาก 0 เป็นระยะทางเทา่ กัน 33 จงึ กลา่ ววา่ − 2 เป็นจำนวนตรงขา้ มของ 2 หรอื 2 เปน็ จำนวนตรงขา้ มของ − 2 3 33 3 − 4 และ 4 อย่คู นละข้างของ 0 และห่างจาก 0 เปน็ ระยะทางเทา่ กนั 33 จงึ กล่าวว่า − 4 เปน็ จำนวนตรงข้ามของ 4 หรือ 4 เปน็ จำนวนตรงขา้ มของ − 4 3 33 3 โดยทัว่ ไปจะกล่าวไดว้ ่า ถ้า a เป็นจำนวนใดๆแลว้ จำนวนตรงขา้ มของ a มีเพียงจำนวนเดียวซ่ึงเขียนแทนดว้ ย - a
225 1.2 ทศนยิ ม ทศนยิ ม คอื จำนวนที่อยู่ในรปู ทศนิยมประกอบด้วยสองสวนคือ สวนท่ีเป็นจำนวนเตม็ และส วนทเ่ี ป็นทศนยิ ม และมจี ดุ (.) ค่นั ระหว่างจำนวนเต็มกับสวนทีเ่ ป็นทศนยิ ม ทศนิยมแบงได้เปน็ 2 ชนดิ คือ 1. ทศนยิ มแบบไม่ซำ้ เชน 1.5 , 2.35, 3.14, ... 2. ทศนิยมซ้ำ แบงเปน็ 2.1 ทศนิยมซำ้ ศูนย์ เชน 1.5000 … เขยี นแทนด้วย 1.5 0.0030000 … เขยี นแทนด้วย 0.003 ถาตัวซำ้ เปน็ 0 ไม่นิยมเขียน 2.2 ทศนิยมท่ีตวั ซ้ำไม่เป็นศูนย์ เชน 0.3333… เขียนแทนดว้ ย 0.33 อ่านวา่ ศนู ย์จุดสามสามซำ้ 1.414141... เขยี นแทนดว้ ย 1.4141 อ่านวา่ หนง่ึ จุดสีห่ นึ่งสี่หนึง่ ซ้ำ 0.213213213... เขียนแทนด้วย 0.2132 อ่านว่า ศูนย์จดุ สองหน่ึงสาม สองหน่ึงสามซ้ำ 2.10371037... เขียนแทนด้วย 2.10371037 อ่านว่าสองจุดหนึ่งศูนย์สามเจ็ดหน่ึงศูนย์สามเจ็ด ซำ้ เร่ืองที่ 2 การเขยี นเศษสวนด้วยทศนยิ ม และการเขียนทศนิยมซำ้ เป็นเศษสวน 2.1 การเขียนเศษสวนด้วยทศนิยม เศษสวนและทศนิยมอาจเปลีย่ นรูปกนั ได้ หมายความวา เศษสวนสามารถเขียนในรปู ของ ทศนิยมได้ และทศนิยมสามารถเขยี นในรปู ของเศษสวนไดเ้ ชนเดียวกัน 1. ทำสวนใหเปน็ 10 , 100 , 1,000,… เชน 0.2 = 2 10 0.25 = [5������ 1 ]+[ 5 ������ 1 ] 10 100 =2+ 5 10 100 = 25 100 หมายเหตุ เศษสวนที่เป็นลบเมอื่ เขียนใหอยู่ในรูปทศนิยมจะได้ทศนิยมที่เปน็ ลบ −������= - 0.7, −������������ = - 0.039 ������������ ������������������������ 2.2 การเขียนทศนยิ มซำ้ เปน็ เศษสวน ทศนิยมซ้ำ คือ จำนวนเต็มของทศนิยมท่ีซ้ำ ๆ กัน เชน 0.777... เขียนแทนด้วย 0. 7̇เม่ือจะ เขยี นใหเปน็ เศษสวน
226 เรอ่ื งท่ี 3 การเปรียบเทยี บเศษสวนและทศนิยม 3.1 การเปรียบเทียบเศษสวน เศษสวนทเ่ี ทากนั การหาเศษสวนทเ่ี ทากัน ใชจำนวนทไ่ี มเ่ ทากบั ศนู ย์มาคูณหรือหารท้ังตัวเศษและตวั สวน เชน่ 3= 3������2 = 6 เป็นเศษสวนทเ่ี ทากนั เศษสวนท่ไี ม่เทากัน 4 4������2 8 3= 6 = 9 4 8 12 3= 3������3 = 9 4 4������3 12 การเปรียบเทียบเศษสวนทไ่ี ม่เทากันตองทำสวนใหเทากัน โดยนาํ ค.ร.น. ของตัวสวนของเศษสวนท่ีต องการเปรียบเทียบกัน คณู ทั้งตัวเศษและตวั สวน เม่อื ตัวสวนเทากนั แลวใหนําตวั เศษมาเปรียบเทียบกัน เช่น 4 มากกว่าหรือน้อยกวา่ 7 5 10 ค.ร.น. ของ 5 และ 10 คือ 10 4= 4������2 = 8 5 5������2 10 จะเห็นวา 8 >7 ดงั นนั้ 8 > 7 หรอื 4> 7 10 10 5 10 3.2 เปรยี บเทียบทศนิยม การเปรียบเทียบทศนิยมท่ีเป็นบวก ใหพิจารณาเลขโดดจากซ้ายไปขวา ถาเลขโดดตัวใดมีคามากกวา ทศนยิ มจำนวนน้นั จะมีคามากกวา เชน 38.586 กับ 38.498 ทศนิยมในตาํ แหนงที่ 1ของท้ัง 2จำนวนมีเลขโดด คือ 5 และ 4 ตามลำดับจะเห็นไดว้ า 5 มากกวา 4 ดังนน้ั 38.586 มากกวา38.498 การเปรียบเทยี บทศนิยมทเ่ี ปน็ ลบ เชน -0.7 กบั -0.8 คา่ สมั บรู ณข์ อง -0.7 เทากบั 0.7 คา่ สัมบูรณข์ อง -0.8 เทากับ 0.8 จำนวนทมี่ ีคา่ สมั บูรณ์นอยกวาจะเป็นจำนวนทมี่ คี ามากกวา ดังน้ัน - 0.7 มากกวา - 0.8 เร่ืองท่ี 4 การบวก ลบ คณู หารเศษสวนและทศนยิ ม 4.1 การบวกเศษสวน วธิ ีการหาผลบวกของเศษสวน สามารถทำได้ดงั น้ี 1) หา ค.ร.น.ของตวั สวน 2) ทำเศษสวนแตล่ ะจำนวนใหมตี วั สวนเทากบั ค.ร.น.ที่หาได้จากขอ 1 3) บวกตัวเศษเขาด้วยกนั โดยท่ตี ัวสวนยังคงเทาเดมิ 4.2 การลบเศษสวน
227 การลบเศษสวน ใชหลกั การเดยี วกันกับการลบจำนวนเตม็ คอื ตวั ต้ัง - ตวั ลบ = ตวั ต้งั + จำนวนตรงขา้ มของตัวลบ 4.3 การคูณเศษสวน ผลคูณของเศษสวนสองจำนวน คือ เศษสวนซง่ึ มีตวั เศษเทากบั ผลคูณของตัวเศษสองจำนวน และ ตวั สวนเทากบั ผลคณู ของตวั สวนสองจำนวนนั้น เม่ือ������และ������เป็นเศษสวน ซง่ึ b , d ≠ 0 ผลค���ูณ��� ของ������������และ������หาไดจ้ ากกฎ������ x ������ = ������������������ ������ ������ ������ ������ ������������������ 4.4 การหารเศษสวน การหารจำนวนท่ีเปน็ เศษสวนไม่มสี มบัติการสลบั ที่และสมบัตกิ ารจดั หมู เมื่อ������และ������แทนเศษสวนใดๆ และ พจิ า���ร���ณาผ���ล���หารทเ่ี กิดจากการหาร������ดว้ ย������ดงั นี้ ������ ������ ������ =������x������=������x������=������x������ ������ ������ ������ ������ ������ ������ ������ ������+������ = ������ ������x������ 1 ������ ������ ������ ������ ������ ดงั นนั้ ������÷������ = ������ x ������ ������ ������ ������ ������ 4.5 การนําความรูเรื่องเศษสวนไปใชในการแกโจทยปญหา โจทยปญหาเศษสวน การทำโจทยปญหาเศษสวน ควรกำหนดจำนวนท้งั หมดเป็น 1 หน่วย แลวดำเนินการตามโจทย เชน นกั เรียนหองหนึ่ง เปน็ ชาย3ของจำนวนนักเรยี นในหอง 5 ดงั น้ัน หองน้ีเปน็ นักเรียนหญิง 1 - 3 =2ของจำนวนนกั เรียนในหอง 55 ตัวอย่างท่ี 1 ถังใบหน่ึงจนุ ำ้ 140 ลติ ร มีนำ้ อยู่3ถัง หลังจากใชนำ้ ไปจำนวนหนง่ึ จะเหลอื น้ำอยู่1ถงั 42 จงหาวาใชนำ้ ไปเท่าไหร วิธีทำ มีน้ำในถงั 3 140 = 105ลติ ร 4 หลงั จากใชน้ำเหลือนำ้ ในถัง 1 140= 70 ลิตร 2 ดงั นั้น ใชนำ้ ไปจำนวน 105–70 = 35ลิตร
228 4.6 การบวก และการลบทศนิยม การหาผลบวกของทศนิยมใดๆ จะใชหลักเกณฑดังน้ี 1. การหาผลบวกระหวา่ งทศนยิ มทเ่ี ป็นบวก ใหนําคา่ สัมบรู ณม์ าบวกกันแล้วตอบเป็นจำนวนบวก 2. การหาผลบวกระหว่างทศนยิ มทเ่ี ปน็ ลบ ใหนาํ ค่าสมั บรู ณม์ าบวกกนั แล้วตอบเปน็ จำนวนลบ 3. การหาผลบวกระหว่างทศนิยมที่เป็นบวกกับทศนิยมท่ีเป็นลบ ให นําค่าสัมบูรณ์มาลบกันแลว ตอบเป็นจำนวนบวกหรือจำนวนลบตามจำนวนท่ีมีค่าสัมบูรณ์มากกวาการหาผลลบของทศนิยมใด ๆ ใชขอตกลงเดยี วกันกับทีใ่ ชในการหาผลลบของจำนวนเตม็ คือ ตวั ตัง้ - ตัวลบ = ตวั ตง้ั + จำนวนตรงข้ามของตัวลบ สรุป การบวกและการลบทศนิยม จะตองต้ังใหจุดทศนิยมตรงกันกอน แล้วจึงบวกลบ จำนวนในแต่ละหลัก ถาจำนวนตำแหน่งทศนยิ มไม่เทากัน นิยมเติมศูนย์ข้างท้ายเพอ่ื ใหจำนวนตำแหน่งทศนิยมเทากนั 4.7 การคณู ทศนยิ ม การคูณทศนิยม มีหลักเกณฑดังนี้ 1. การหาผลคณู ระหวา่ งทศนยิ มทีเ่ ปน็ บวก ใหนําคา่ สัมบรู ณ์มาคูณกนั แล้วตอบเปน็ จำนวนบวก 2. การหาผลคณู ระหว่างทศนิยมทเ่ี ป็นลบ ใหนาํ คา่ สัมบูรณ์มาคูณกนั แลว้ ตอบเป็นจำนวนบวก 3. การหาผลคณู ระหว่างทศนยิ มท่เี ปน็ บวกกบั ทศนิยมท่ีเปน็ ลบ ใหนําค่าสมั บูรณม์ าคณู กันแลว ตอบเป็นจำนวนลบ หมายเหตุ ผลคูณทศนิยม จะมีจำนวนหลักทศนิยมเทากับผลบวกของจำนวนหลัก ทศนิยมของตัวตั้ง และจำนวนหลกั ทศนยิ มของตัวคณู 4.8 การหารทศนยิ ม การหารทศนยิ ม มีหลกั เกณฑดงั นี้ 1. การหาผลหารระหว่างทศนิยมที่เปน็ บวก ใหนาํ ค่าสัมบูรณ์มาหารกันแลว้ ตอบเปน็ จำนวนบวก 2. การหาผลหารระหวา่ งทศนิยมทเี่ ป็นลบ ใหนาํ คา่ สัมบูรณม์ าหารกันแลว้ ตอบเป็นจำนวนบวก 3. การหาผลหารระหว่างทศนิยมทเ่ี ป็นบวกกับทศนยิ มทีเ่ ป็นลบ ใหนําค่าสมั บรู ณ์มาหารกนั แลว ตอบเปน็ จำนวนลบ ขอสำคญั ต้องทำใหตวั หารเปน็ จำนวนเต็ม 4.9 การนาํ ความรูเร่อื งทศนิยมไปใชในการแกโจทยปญหา ตวั อยา่ งท่ี 1 เหลก็ เสนกลมขนาดเสนผ่านศูนย์กลาง 1.75 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร จะหนัก 3.862 กิโลกรัม ถ าเหล็กเสนขนาดเดียวกันนี้ยาว 1.25 เมตร จะหนักกี่กิโลกรัมวิธีทำ เหล็กเสนกลมมีขนาดเสนผ่านศูนย์กลาง 1.75 เซนตเิ มตรและยาว 100 เซนติเมตร หนกั 3.862 กโิ ลกรัม ถายาว 1 เซนตเิ มตร หนกั 3.862= 0.03862กิโลกรัม 100 ดงั นั้น เหล็กเสนขนาดเดมิ แตย่ าว 125 เซนตเิ มตร หนกั 0.03862125 = 4.8275กโิ ลกรมั เหลก็ เสนขนาดเดิมยาว 1.25 เมตร หนัก 4.8275 กิโลกรัม
229 แบบทดสอบ เร่ือง จำนวนและการดำเนนิ การ คำสงั่ จงเลอื กคำตอบทีถ่ ูกต้องท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว 1. จำนวนในขอ้ ใดมคี า่ มากทีส่ ุด ก. − 4 ข. − 2 ค. − 6 ง.−4 2 2 2 −2 2. ข้อใดไม่เป็นจรงิ ก. 4 x [(-ค x (-ก] = (-ก x [4 x (-ค] ข. [(-ค + (-ข] + 5 = (-ค + [(-ข + 5] ง. (-ก x [(-ข + 6] = [(-ก x (-ข] + [(-ก x 6] ค. 5 + [(-7) x 2] = 5 x [(-7) + 2] 3. ข้อใดถูกต้อง ก. -4 < -5 ข. 4 > 5 ค. 6 < 7 ง. -7 > 6 ค. x 32 ง. x -32 2− x 4. ถา้ 6 - 5 จะไดค้ ่าของ x ตรงกับขอ้ ใด ก. x 32 ข. x -32 5. ถ้า 2x > 0 จะได้ข้อใดไม่ถกู ตอ้ ง ก. x > 2 1 ค. x = 0 ง. x < 0 ข. x > 2 เฉลย 1. ง 2. ค 3. ค 4. ก 5. ง
230 แบบทดสอบ เรือ่ ง เศษส่วนและทศนยิ ม คำสงั่ จงเลือกคำตอบทีถ่ ูกต้องท่ีสุดเพียงคำตอบเดียว 1. พจิ ารณา ขอ้ ใดต่อไปน้ีผดิ ข. 5 เปน็ เศษ 2 เป็นส่วน ก. 2 เปน็ เศษ 5 เป็นสว่ น ง. เปน็ เศษส่วนอย่างต่ำ ค. 2 เป็นตวั ตงั้ 5 เป็นตัวหาร 2. ข้อใดเปน็ เศษสว่ นแท้ ก. ข. ง. ค. 3. ข้อใดเปน็ เศษสว่ นเกิน ก. ข. ง. ค. 4. เศษส่วนในขอ้ ใดมีค่าเท่ากัน ก. ข. ค. ง. 5. มผี ลลพั ธค์ ือข้อใด ข. 1 ก. ง. ค.
231 6. ข. ก. ง. ค. ข. 7. 0.3 = ? ง. ก. ข. 18.95 ค. ง. 31.95 8. ผลบวกของ 10.9 + 21.05 ตรงกับข้อใด ข. -0.17 ก. 21.95 ง. -1.77 ค. 11.55 ข. 1.755 9. ผลบวกของ ( - 0.37 )+ ( -1.4 ) ตรงกบั ขอ้ ใด ง. 2.710 ก. -1.47 ค. 1.77 10. ผลบวกของ 2.5 + ( - 0.735 ) ตรงกับข้อใด ก. 0.755 ค. 1.765 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น 1. ข 2. ค 3. ก 4. ก 5. ข 6. ก 7. ค 8. ง 9. ง 10. ข
แบบทดสอบ คร้งั ที่ 6 232 พค21001 คณติ ศาสตร์ ง. 50 1. จงหาผลบวกของ 3 + (52 + 74) 35 7 ง. 112 ก. 35 ข. 35 ค. 1 2 3 35 49 5 เฉลย ค. 1 2 5 วิธีทำ 3 + (25 + 47) = 3 + (1354 + 2350) 7 7 = 3 + 34 7 35 = (3������5) + 34 7������5 35 = 15 + 34 35 35 = 49 = 12 35 5 2. จงหาผลคูณของ 21 X 11 ข. 2 ค. 25 35 3 33 ก. 2 4 5 เฉลย ก. 2 4 5 วธิ ที ำ 21 X 11 = 7 + 6 3 5 36 = 42 = 2 4 15 5
3. จงหาผลลัพธข์ อง 4 5 ค. 1 233 ง. 1 7 58 2 25 ก. 4 ข. 3 ง. 16 54 เฉลย ง. 1 7 25 วิธีทำ 4 5 = 4 X 8 5 8 55 = 32 = 1 7 25 25 4. จงหาผลลัพธ์ของ 9 X (41 + 34) 17 5 9 ก. 5 ข. 2 ค. 4 2 53 เฉลย ข. 2 5 วิธที ำ 9 X (41 - 34) = 9 X (21 - 31) 17 5 9 17 5 9 = 9 X (189 - 155) 17 45 45 = 9 X 34 17 45 =2 5
234 5. ตองมเี งนิ 320 บาท ซ้ือรองเทา้ 2 ของเงินทงั้ หมด ซ้อื เส้ือ 5 ของเงนิ ทเี่ หลอื จงหาวา่ ตองเหลอื เงินเทา่ ไร 5 16 ก. 375 ข. 132 ค. 45 ง. 360 เฉลย ข. 132 320 บาท วิธที ำ ตองมเี งนิ 2 X 320 = 128 บาท ซื้อรองเท้า 2 ของเงนิ ทั้งหมด คดิ เป็น 5 บาท 5 320 – 128 = 192 บาท 5 X 192 = 60 บาท เหลอื เงินจากซื้อรองเท้า ซอื้ เส้ือ 5 ของเงินท่ีเหลอื คิดเป็น 16 16 192 – 60 = 132 เงนิ เหลอื จากการซื้อเส้อื ตอบ ตองเหลือเงิน 132 บาท 6. จงหาผลลัพธ์ของ 0.81 + 0.18 ก. 0.99 ข. 0.09 ค. 9.90 ง. 0.90 ง. 32.68 เฉลย ก. 0.99 ง. 24.574 7. จงหาค่าของ 12.05 x (-2.4) ก. 6.67 ข. -28.92 ค. 11.66 เฉลย ข. -28.92 8. จงหาค่าของ (-14.307 – 2.809) + (6.78 1.5) ก. 1,240 ข. -10.180 ค. -12.596 เฉลย ค. -12.596
235 9. เชือกยาว 17.25 เมตร นำอีกเสน้ หน่ึงยาว 5.2 เมตร มาผกู ต่อกันทำให้เสียเชอื กตรงรอยต่อ 0.15 เมตร นำ เชอื กทต่ี ่อแลว้ มาวางเป็นรูปส่ีเหลีย่ มผืนผา้ ใหด้ า้ นกว้างยาวดา้ นละ 1.5 เมตร ด้านยาวจะยาวดา้ นละกเ่ี มตร ก. 3.40 ข. 9.65 ค. 1.44 ง. 3.97 เฉลย ข. 9.65 วิธที ำ เชือกทเี่ หลือจากการนำมาต่อกันคดิ เป็น (17.25 + 5.2) – 0.15 = 22.3 เมตร นำมาวางให้เป็นรูปส่ีเหลีย่ มผืนผา้ ใหด้ ้านกว้างยาว 1.5 เมตร = 3 เมตร = 19.3 เมตร ดา้ นกว้างทงั้ 2 ด้านจะใช้เชือกไป 1.5 x 2 = 9.65 เมตร เหลือเชือกเป็นด้านยาว 22.3 – 3 แต่ดา้ นยาว มี 2 ด้าน ดังนนั้ ด้านยาว ด้านละ 19.3 ÷ 2 ตอบ ดา้ นยาวจะยาวด้านละ 9.65 เมตร 10. น้ำตาลถงุ หน่ึงหนัก 9.35 กโิ ลกรมั จำนวน 16 ถงุ ใช้ทำขนมเฉล่ยี แลว้ วนั ละ 4.4 กโิ ลกรัม จะใชน้ ำ้ ตาลได้ ท้งั หมดก่วี นั ก. 34 ข. 43 ค. 44 ง. 39 เฉลย ก. 34 9.35 x 16 = 149.6 กโิ ลกรมั วธิ ีทำ นำ้ ตาลถุงหนึ่งหนัก 9.35 กิโลกรัม จำนวน 16 ถงุ = 34 วัน 149.6 ใช้ทำขนมเฉลีย่ แลว้ วนั ละ 4.4 กโิ ลกรัม จะใชน้ ้ำตาลได้ ตอบ จะใชน้ ้ำตาลได้ท้ังหมด 34 วัน 44
236 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ครัง้ ท่.ี ....... วนั ท่.ี ......เดือน............................พ.ศ............... ผลการใช้แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ 1. จำนวนเนื้อหากับจำนวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดบั เนอ้ื หากบั ความเขา้ ใจของผเู้ รยี น เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเขา้ สูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแต่ละหวั ข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้กบั เนอื้ หาในแตล่ ะข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกับตวั ช้วี ัดในแต่ละเนอ้ื หา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
237 ผลการเรยี นร้ขู องผู้เรียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกระบวนการเรียนรขู้ องครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ................................................ ผบู้ นั ทึก () ครู กศน.ตำบล ความเหน็ ของผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ............................................................................................................................................ .................................. ................................................................................................. ............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ .................................................. (นางมาลี เพง็ ดี) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่
238 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น ชื่อโครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................ ชอ่ื โรงเรียน/สถานศึกษา …………………………………………………………………………………………………….. ชอ่ื หัวหนา้ โครงการ/กิจกรรม............................................................................................................. คำช้ีแจง ให้ผู้ประเมินทำเคร่ืองหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ระดับ คณุ ภาพการประเมินดังนี้ 5 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ มากที่สดุ 4 มพี ฤตกิ รรมการเรียนรู้ มาก 3 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ ปานกลาง 2 มีพฤตกิ รรมการเรียนรู้ นอ้ ย 1 มพี ฤติกรรมการเรียนรู้ น้อยทส่ี ุด เกณฑก์ ารพิจารณาระดบั คณุ ภาพ คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละ 0 - 50 ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 50 - 69 ระดบั คุณภาพ พอใช้ คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 70 – 79 ระดับคุณภาพ ดี คะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 80 – 89 ระดับคณุ ภาพ ดมี าก คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 90 - 100 ระดับคุณภาพ ดเี ยีย่ ม พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ระดับพฤติกรรม 54321 1. ความตงั้ ใจในการทำงาน 2. ความรับผิดชอบ 3. ความกระตือรอื รน้ 4. การตรงต่อเวลา 5. ผลสำเร็จของงาน 6. การทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืน 7. มีความคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรค์ 8. มกี ารวางแผนในการทำงาน 9. การมีส่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็นในกลุม่ 10. การมสี ่วนรว่ มในการแก้ไขปญั หาในกลุ่ม ลงชอ่ื ......................................................................ผ้ปู ระเมิน
239 แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 12 เรอื่ ง การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอนื่ ๆ และบรู การเรอื่ ง การเคารพสทิ ธหิ น้าที่ต่อตนเองและผู้อืน่ ที่มีต่อประเทศชาติ ร่วมด้วย เวลาเรียน 6 ชว่ั โมง แนวคิด รัฐธรรมนูญเป็นหัวใจสําคัญของระบอบประชาธิปไตย กลาวคือ เปนกฎหมายสูงสุด วาดวยการจัด ระเบียบการปกครองโดยยึดม่ันหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริยเป็นประมุข มี รูปแบบการปกครองแบบอํานาจอธิปไตย ซึ่งเปนอํานาจสูงสุดในการปกครองประชาชนและการใชอํานาจ ตองเปนไปตามรัฐธรรมนูญ โดยมีบทบัญญัติกฎหมายรองรับ ประชาชนจึงตองมีหนาท่ีปฏิบัติตนตอบานเมือง ตามที่กาํ หนดไวในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตัวชี้วดั ร้แู ละเขา้ ใจระบอบการเมอื งการปกครองตา่ งๆ ท่ีใชอ้ ยใู่ นปัจจบุ ัน เน้ือหา การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอ่ืนๆ 1. รปู แบบของระบอบประชาธปิ ไตยและรปู แบบเผด็จการ 2. การเมอื งการปกครองประเทศไทย ขัน้ ตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ขั้นตอนท่ี 1 การสร้างแรงบนั ดาลใจ (Passion : P) 1. ครูทักทายผู้เรียน พร้อมทั้งแนะนำตนเอง และแผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงการจัดการเรียนรู้ท่ี ผเู้ รยี น จะต้องเรยี นรู้รว่ มกันในคร้ังนี้ คือ เรื่อง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอ่ืนๆ” และชวนคิด ชวนคุยเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะเรียนรู้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมีความกระตือรือร้นในการเชื่อมโยง และสรา้ งความพร้อมทีจ่ ะเรียนร้หู รอื ทำกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรคู้ รง้ั นี้ 2. ครูช้ีแจงวตั ถุประสงค์ เนอ้ื หา กิจกรรม การวัดและประเมนิ ผลของการเรียนรู้ในคร้ังนี้ ท่ีสอดคลอ้ ง กับตัวชี้วัดตามแผนการจัดการเรียนรู้ครั้งน้ี เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ให้บรรลุ ตัวชี้วัด ท่ีกำหนดตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอ่ืนๆ” ในครัง้ น้ี ซง่ึ มีจำนวน 2 ข้อ ดังนี้
240 การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอื่นๆ 1. รูปแบบของระบอบประชาธิปไตยและรูปแบบเผด็จการ 2. การเมืองการปกครองประเทศไทย 3. ให้ผเู้ รียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื ง “การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย และอื่นๆ” จำนวน 10 ข้อ โดยใชเ้ วลา 10 นาที 4. ครูให้ผเู้ รียนศกึ ษาหนงั สือเรียนรายวชิ าสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) เร่ือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอื่นๆ หน้า 122 -134 พร้อมทั้ง แนะนำแหล่งศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากอินเทอร์เน็ต ซ่ึงผู้เรียนสามารถไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและ ทำกิจกรรม ตามท่ีได้รับมอบหมายด้วย ทั้งนี้ ครูควรจะช้ีแจงให้ผู้เรียนทราบว่าในการพบกลุ่มตามแผนการจัดการเรียนรู้ คร้ังน้ี ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเน้ือหาท่ีเรียน โดยปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การศกึ ษาคลิปวดิ ีโอ และการแลกเปล่ียนเรยี นรโู้ ดยการอภิปรายร่วมกบั เพอ่ื นในกลุ่ม รวมทั้งมีการทดสอบหลัง เรยี นด้วย นอกจากน้ี ในการพบกลุ่มแต่ละคร้ังน้ัน ครูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ซ่ึงวิธีการเรยี นรูด้ ้วยตนเองจะตอ้ งเกิดขึ้นในทุก ๆ ตวั ชี้วัดและเนื้อหาทีก่ ำหนด โดยผ้เู รียนจะต้องปฏิบัติ กจิ กรรมท่ีกำหนดให้ดว้ ยวธิ ีเรียนรู้ออนไลน์ และศกึ ษาจากเอกสารประกอบการเรียน ดังน้นั ครจู ะต้องเช่ือมโยง รายละเอียดดังกล่าวข้างต้นให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจและเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ท่ีจะเกิดขึ้น เพราะ การมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ออนไลน์ผ่าน อินเทอร์เนต็ และศกึ ษาเอกสารประกอบการเรยี น 5. ครูชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของครูในเร่ืองที่จะเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้น้ี โดยครูส่มุ ผูเ้ รยี นตามความสมัครใจ จำนวน 4 – 5 คน ให้ตอบคำถาม จำนวน 3 ประเด็น ดังน้ี ประเด็นที่ 1 “ท่านทราบหรือไม่ว่า การปกครองรูปแบบระบอบประชาธิปไตย มีรูปแบบการ ปกครองอยา่ งไร แนวคำตอบ การปกครองรูปแบบระบอบประชาธิปไตย หลักการสําคัญของการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย เปาหมายของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพ่ือจัดระเบียบการอยูรวมกันของผูคนใน ลกั ษณะทเ่ี อ้ืออํานวยประโยชนตอประชาชนทุกคนในรัฐ ใหความคุมครองสทิ ธแิ ละเสรีภาพอยางเสมอภาคและ ยตุ ธิ รรม มีหลักการสาํ คญั ดงั น้ี 1. มีรฐั ธรรมนญู เปนกฎหมายสูงสุดท่ใี ชในการปกครองประเทศ ซึ่งไดกําหนดความสัมพนั ธ ระหวางสถาบนั การเมือง การปกครองและประชาชน รวมถงึ สิทธเิ สรภี าพและหนาทีข่ องประชาชนทุกคน 2. มีอํานาจสูงสุดในการปกครอง คือ อํานาจอธิปไตย ประกอบดวย อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจ บริหารและอํานาจตุลาการ ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีอํานาจสงู สุดในการปกครองประเทศและการ ใชอาํ นาจตองเปนไปตามรฐั ธรรมนญู ทก่ี ําหนด 3. การปกครองระบอบประชาธิปไตยใหถือวาเสียงขางมากหรอื เหตุผลของคนสวนใหญเปนมติที่ ตองยอมรับ
241 4. มีความเสมอภาค โดยประชาชนทุกคนมีสิทธิเทาเทียมกันในทุกๆดาน เพราะทกุ คนอยูภายใต การปกครองของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ประเด็นท่ี 2 “ท่านทราบหรือไม่ว่า รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ มีลักษณะการปกครอง อย่างไร แนวคำตอบ ระบอบเผด็จการ มีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจการเมืองการปกครองไว้ท่ีบุคคล เพียงคนเดียวหรือคณะเดียวหรือพรรคเดียว โดยบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้อำนาจน้ันควบคุม บังคับประชาชนได้โดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นำหรือคณะผู้นำก็จะถูกลงโทษให้ทำงานหนัก หรือถูกจำคุก ซ่ึงระบอบเผด็จการมี 3 แบบ คือ เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ระบอบเผดจ็ การทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการท่ีคณะผู้นำฝา่ ยทหารเป็นผใู้ ชอ้ ำนาจเผด็จ การในการปกครองโดยตรงหรอื โดยอ้อม (ผ่านทางพลเรอื นท่ีพวกตนสนับสนนุ ) และมักจะใช้กฎอยั การศึกหรือ รัฐธรรมนูญที่คณะของตนสร้างข้ึนเป็นเครื่องมือในการปกครอง โดยทั่วไปคณะผูน้ ำทหารมักจะใช้อำนาจเผด็จ การปกครองประเทศเปน็ การชว่ั คราวระหวา่ งประเทศอยใู่ นภาวะสงครามหรือหลังลม้ เลิกระบอบประชาธปิ ไตย 2. ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่ผู้นำคนหนึ่งซ่ึงได้รับการสนับสนุน จากกลุ่มนักธุรกิจและกองทัพให้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ ผู้นำในระบอบการปกครองเผด็จการ ฟาสซิสต์มักจะมีลัทธิการเมืองที่เรียกกันว่า ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นลัทธิช้ีนำในการปกครองและมุ่งท่ีจะใช้อำนาจ เผดจ็ การปกครองประเทศเปน็ การถาวร 3. ระบอบเผด็จการคอมมิวนสิ ต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่พรรคคอมมิวนสิ ต์เพียงพรรคเดยี ว ไดร้ บั การยอมรบั หรือสนบั สนุนจากกลุ่มบุคคลต่าง ๆ และกองทพั ใหเ้ ป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ คณะผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เช่ือว่า ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์เป็นรูปแบบการปกครองท่ีเหมาะสมกับ ประเทศของตน และจะช่วยทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นอิสระจากการถูกกดขี่โดยชนช้ันนายทุน รวมท้ังทำให้ ประเทศมคี วามเจรญิ ก้าวหน้าและเข้มแขง็ ทัดเทยี มกบั ต่างประเทศได้เรว็ กว่าระบอบการปกครองแบบอนื่ 5. หลังจากนั้น ครูเปิดคลิปวิดีโอให้ผู้เรียนชม เร่ือง“การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จาก https://www.youtube.com/watch?v=aFndzqlvtNE ช่วงเวลา 17.55 นาทีและคลิปวิดีโอให้ผู้เรียนชม เรอื่ ง“การเมืองการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย โดยครสู มุ่ ผู้เรียนตามความสมัครใจ จำนวน 4 – 5 คน ใหต้ อบคำถาม จำนวน 2 ประเดน็ ดังน้ี ประเด็นที่ 1 “ทา่ นได้เรยี นรอู้ ะไรบ้าง จากคลปิ วดิ โี อน้ี” แนวคำตอบ ได้เรียนรู้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตย หมายถึง การปกครองท่ีเป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพ่ือประชาชน ตลอดจนเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของคนในการอยู่ร่วมกันโดยสันติภายใต้ความเชื่อท่ีว่า คนเราเกิดมาเท่า เทยี มกัน คอื ไดร้ บั การคุ้มครองจากรัฐ
242 ระบอบประชาธปิ ไตย มี 2 แบบ ได้แก่ 1. ประชาธิปไตยโดยตรง 2. ประชาธปิ ไตยโดยตวั แทน หลักการประชาธปิ ไตย มี 1. หลกั อำนาจประชาธิปไตย 2. หลกั เสรภี าพ 3. หลักการเสมอภาค 4. หลกั กฎหมาย 5. หลกั เสียงขา้ งมาก ระบอบประชาธปิ ไตย มี 4 ระบบ ดังนี้ 1. ระบบรฐั สภา 2. ระบบประธานาธบิ ดี 3. ระบบก่งึ ประธานาธิบดี 4. ระบบรฐั สภาประยุกต์ ประเด็นท่ี 2 “ท่านทราบหรือไม่ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2460 มาตรา 3 บัญญตั อิ ำนาจอธิปไตยไว้อยา่ งไร แนวคำตอบ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2460 มาตรา 3”อำนาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลตาม บทบัญญัติแห่งรฐั ธรรมนูญ 6. ครูและผเู้ รยี นอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้รว่ มกัน ขั้นตอนท่ี 2 การนำไปใช้ประโยชน์ (Utilization : U) 1. ครูให้ผู้เรียนแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 4 – 8 คน ดำเนิน กิจกรรมเป็นรายกลมุ่ ศึกษาเนื้อหา ใน หนงั สือเรยี นรายวชิ าสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554) เร่ือง การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย และอ่นื ๆ หนา้ 122 -134 ดังนี้ 1) รูปแบบระบอบประชาธิปไตย และรปู แบบระบอบเผดจ็ การ (หน้า 122 -124) 2) การเมืองการปกครองของประเทศไทย (หน้า 125 -134) ให้แตล่ ะกลมุ่ แลกเปล่ียนเรยี นรู้ และส่งผแู้ ทนนำเสนอตอ่ กลุ่มใหญ่ใน 2 ประเดน็ ประเดน็ ที่ 1 รูปแบบระบอบประชาธิปไตย และรูปแบบระบอบเผด็จการ ประเดน็ ท่ี 2 การเมอื งการปกครองของประเทศไทย ครูและผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน และให้ผู้เรียนสรุปสิ่งท่ีได้เรียนรู้ลงในสมุดบันทึกผลการเรียนรู้ ของตน
243 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมท้ังการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น และให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคลศึกษาเน้ือหา ใน หนังสือเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สค 21001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2554) เร่อื ง การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย และอืน่ ๆ หน้า 122 -134 3. ครูดำเนินการทำหน้าท่ีนำการอภิปราย โดยให้ผู้เรียนกลุ่มใหญ่ร่วมกันแสดงความคิดเห็น คิดวิเคราะห์ อภิปราย และวิเคราะห์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเน้ือหาหรือประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน ตามรายละเอียดท่ี ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือครูเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ มีความต้องการในการ เรียนรู้เพิ่มเติม ครูจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียน หลังจากน้ันครูและผู้เรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ในภาพรวม ท้งั หมดแล้วใหผ้ ู้เรียนสรุปสงิ่ ที่ไดเ้ รียนรู้ลงในสมดุ บันทกึ การเรยี นรูข้ องตน หมายเหตุ : ในการดำเนินกิจกรรมกลุ่ม ครชู ้ีแจงบทบาทหน้าท่ีในการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการทำงาน ซ่ึงมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งตั้งประธานหรือผู้นำในการอภิปรายแลกเปล่ียนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ รวมถึงการแต่งตั้งเลขานุการของกลุ่มเป็นผู้จดบันทึกและ ผู้รักษาเวลา เพ่ือปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ และพิจารณาว่าสมาชิกลุ่มทุกคน ควรมีความเข้าใจตรงกันว่า ตนมีบทบาทหน้าท่ีที่จะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเร็จ ครูควรให้คำแนะนำถึง ความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการผูกขาดการ อภปิ รายโดยผูใ้ ดผู้หนึ่ง และควรมีการจำกดั เวลาของการอภิปรายแต่ละประเดน็ ในระหว่างการทำกิจกรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คอยกระตุ้นผเู้ รียนให้เกิดความกระตือรือรน้ ในการเรียนรู้ โดยบนั ทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรขู้ อง ผเู้ รียน และเครือ่ งมอื ประเมนิ การสงั เกตแบบประมาณค่า 4. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนท้ังกลุ่มร่วมกันสนทนา เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด คิด วิเคราะห์ การทำงานร่วมกับผ้อู ื่น การคิดสร้างสรรค์ ความรบั ผิดชอบ และการนำความรใู้ นเน้อื หามา ใช้ โดยครูบรู ณาการเนอ้ื หาการเรียนรู้ มีการใชส้ อื่ เทคโนโลยที ี่เปน็ คลปิ วดิ ีโอจาก youtube และ TikTok ท่ีสัมพันธ์กับเน้ือหา ทั้งนี้ครูเช่ือมโยงสิ่งท่ีได้เรียนรู้ตามขั้นตอนท่ี1 ในการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ และ ประยุกต์ใช้ผ่านคลิปวิดีโอโดยครูเปิดคลิปวิดีโอ เร่ือง“การเมืองการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย” จาก https://www.youtube.com/watch?v=aFndzqlvtNE ช่วงเวลา 17.55 นาที หลังจากน้ัน ครูดำเนินการ ดังนี้ ครูบรรยายเนื้อหาตามใบความรู้สำหรับครู เร่ือง “ระบอบการ ปกครอง” เพื่อใชส้ ำหรบั ประกอบกิจกรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอื่นๆ” ในส่วนของผู้เรียนให้ศึกษาใบความรู้สำหรับผู้เรียน ประกอบการบรรยายของครูตามใบความรู้สำหรับ ผู้เรียน เร่อื ง “ระบอบการปกครอง”
244 5. ครแู ละผู้เรียนอภปิ รายและสรปุ ผลการเรียนร้รู ว่ มกัน ขัน้ ตอนที่ 3 การสะท้อนความคดิ จากการเรยี นรู้ (Reflection : R) 1. แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 - 8 คน ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติจริง โดยผู้เรียนแต่ละ กลุม่ ศกึ ษาค้นคว้าเรือ่ ง “ระบอบการปกครอง” 2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรม เร่ือง “ระบอบการปกครอง” ทั้งนี้ ครู จะต้องกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรยี นจนกิจกรรมแลว้ เสร็จ ตามใบกิจกรรมสำหรับครู เร่ือง “ระบอบการ ปกครอง” 3. ให้ผเู้ รียนแตล่ ะกล่มุ นำเสนอผลการศึกษาค้นคว้า เรอ่ื ง “ระบอบการปกครอง” 4. ครูและผเู้ รียนอภปิ รายและสรุปผลการเรียนรรู้ ่วมกนั ขน้ั ตอนท่ี 4 การตดิ ตามแระเมินและแก้ไข (Action : A) 1. ครูสนทนากบั ผเู้ รยี นเกยี่ วกับเรอื่ งที่ได้เรียนรตู้ ามแผนการจัดการเรยี นรนู้ ้ี โดยครูสมุ่ ผู้เรียนตาม ความสมัครใจจำนวน 2 – 3 คน ใหต้ อบคำถามในประเดน็ ต่อไปนี้ ประเด็น “ท่านจะนำความรู้เร่ือง เรื่อง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอื่นๆ” ไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแกป้ ัญหาหรือไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้อย่างไร” แนวคำตอบ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนรู้เร่อื ง เรื่อง “การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย และอื่นๆ” ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ จริงได้ ดังน้ี 1. แนวทางการพฒั นาคนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย การจะเป็นพลเมืองดตี ามวิถีประชาธิปไตยน้ัน ประชาชนจะต้องเข้าใจและมีวิถชี ีวิตในลักษณะ ประชาธิปไตย โดยจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพ สนั ติสุข และเสรภี าพ คอื ประชาชนในสังคมมีความสงบสุข ปลอดภัยและมีอิสระท่ีจะกระทำการใดๆ ภายใต้ขอบเขตกฏหมาย โดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อ่ืน ประชาธิปไตยนั้นมีความหมายได้สองนัยได้แก่ ประชาธิปไตยในการดำรงชีวิตร่วมกันของสมาชิกในสังคม หมายถึง รูปแบบของพฤิตกรรมมนุษย์ท่ีสอคดล้องกับหลักการของประชาธิปไตย และความหมายโดยนัย ทางการปกครองในสังคม จะหมายถึง การปกครองท่ีประชาชนมีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง ในการกำหนดนโยบายในการปกครองประเทศ โดยคำนงึ ถงึ ประโยชนข์ องประชาชนโดยส่วนรวมเป็นหลัก คณุ ลักษณะของการเป็นพลเมืองดใี นสังคมประชาธปิ ไตยมี 3 ประการ ดงั น้ี 1. การเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ในการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวนั้นสามี ภรรยา บดิ ามารดา และบุตร ตอ้ งตระหนักถึงหน้าท่ีของตนทมี่ ีต่อครอบครัว เช่น สามีจะต้องทำหนา้ ทเ่ี ป็นสามีท่ีดีของ ภรรยาเป็นพ่อท่ีดีของลูก ส่วนภรรยาก็จะต้องทำหน้าท่ีภรรยาที่ดี เก็บรักษาทรัพย์ที่สามีหามาให้ ลูกๆ ก็ จะต้องช่วยเหลอื พ่อแมด่ แู ลบ้านเรอื นให้สะอาดเรียบร้อยตง้ั ใจศึกษาเลา่ เรียน
245 2. การเป็นสมาชิกท่ีดขี องโรงเรียน นักเรียนจะต้องตระหนักเสมอว่านักเรยี นมีหนา้ ที่ศึกษาให้ เต็มท่ีปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด เคารพและเชื่อฟังคำสั่งของครู ส่วนครูก็จะต้องปฏิบัติหน้าท่ี ของบตนดว้ ยความตง้ั ใจและรบั ผิดชอบใหศ้ ษิ ย์อยา่ งเต็มที่ 3. การเป็นสมาชิกท่ีดีของชุมชน การเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชนน้ันทุกคนจะต้องตระหนักว่า ตนมีหน้าท่ีในการรักษาชุมชนให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี และรว่ มมอื ในการพัฒนาชุมชนใหเ้ จริญก้าวหน้า ช่วยการ สอดสอ่ งดูแลและปอ้ งกันมใิ หม้ กี ารเสพยาเสพตดิ หรือการค้าขายสงิ่ เสพตดิ ทุกชนิดในชุมชนของตน 2. บทบาทหน้าที่ของพลเมืองดีท่สี ำคัญมีดังน้ี 1. พลเมืองดีต้องประกอบอาชีพที่สุจริตและไม่เอาเปรียบผู้อื่น เช่น ถ้าเป็นเจ้าของโรงงานก็ต้อง ผลิตสินค้าท่ีมีคุณภาพตามโฆษณาไว้ และไม่ต้ังราคาขายสูงเกินไปหรือเอาเปรียบผู้บริโภคด้วยวิธีการที่มิชอบ เปน็ ตน้ 2. พลเมืองดที ่ีมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ควรรวมตวั กันเป็นกล่มุ อาชพี หรอื สหกรณ์ประเภท ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือซ่ึงกนั และกัน และเพิ่มอำนาจต่อรองกับพอ่ คา้ คนกลาง เปน็ ตน้ 3. พลเมืองดตี ้องใช้จา่ ยอย่างประหยัดและไม่ควรกู้เงนิ ผอู้ ่นื โดยเฉพาะจากต่างชาติมาลงทุนใน กจิ การที่อาจให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจชา้ 4. พลเมืองดีจะต้องเสยี ภาษอี ากรให้กับองค์กรของการปกครองส่วนทอ้ งถ่ินและรฐั บาลกลาง อย่างครบถ้วน ทั้งน้เี พ่ือชว่ ยเหลือองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ และรฐั บาลกลางมีรายได้สำหรับนำไปใชจ้ า่ ยใน การพัฒนาชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจและเจรญิ ก้าวหน้า ในทางกลับกนั หากชาวไทยไม่ยอมเสยี ภาษีอากร องค์กรของการปกครองหรือรัฐบาลกลางก็จะไม่มรี ายได้มาพัฒนาท้องถน่ิ หรือจา่ ยเงนิ เดือนแก่เจา้ หน้าท่ที ้องถน่ิ 5. พลเมืองดีต้องบริโภคสนิ คา้ ทผี่ ลติ ในประเทศโดยชว่ ยรณรงคก์ ารใชส้ ินค้าไทยใหเ้ พ่ิมมากขนึ้ 6. พลเมอื งดีควรทอ่ งเท่ยี วในประเทศไทยและใช้ของที่ผลิตในไทยเพ่ือส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ไทย และเพื่อป้องกนั เงินตรารั่วไหลไปต่างประเทศ 2. ครูและผูเ้ รียนอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้รว่ มกนั ตาม PowerPoint สำหรบั ครู สรปุ ผลการ เรยี นรู้ “เรือ่ ง การปกครองระบอบประชาธิปไตย” เพ่ือเป็นการสรปุ ภาพรวมของกิจกรรมการเรียนรู้ ซงึ่ จะทำ ให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในกิจกรรมการเรียนรู้มากยง่ิ ข้ึน 3. ใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น เรือ่ ง “เร่ือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอ่ืนๆ” จำนวน 10 ข้อ โดยใช้เวลา 10 นาที 4. ครแู ละผ้เู รยี นสรปุ ภาพรวมส่ิงท่ไี ดเ้ รียนรู้รว่ มกนั นอกจากน้ี ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จส้ินขั้นตอนท่ี 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรียนรู้ด้วยตนเอง รายละเอยี ดดงั น้ี การมอบหมายงานให้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง 1. ครูชี้แจงให้ผู้เรียนทราบว่า ในการพบกลุ่มแต่ละคร้ังผู้เรียนจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเรียนรู้ ด้วยวธิ ีเรยี นรูด้ ้วยตนเองในลักษณะทคี่ รจู ะมอบหมายงานให้ผเู้ รียนไปศึกษา “หนังสือเรยี นรายวิชาสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) เรื่อง การปกครองระบอบประชาธิปไตย
246 และอื่นๆ หน้า 122 -134 ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยให้ศึกษาเน้ือหาและปฏิบัติกิจกรรมท้ายเรื่อง รายละเอยี ดของเนื้อหา แบ่งออกเปน็ 2 ส่วน ดังน้ี ส่วนที่ 1 เนอื้ หาการเรียนรตู้ ามแผนการจัดการเรยี นรคู้ รัง้ นี้ ส่วนท่ี 2 เนอ้ื หาการเรยี นรู้เพ่ิมเติมในหนังสือเรยี นเรียนดังกลา่ ว 2. ครมู อบหมายงานให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยให้ไปศึกษา “หนังสอื เรียนรายวิชาสังคมศึกษา สค 21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) เรื่อง การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอื่นๆรายละเอียดของกิจกรรมท่ผี ู้เรยี นจะต้องปฏิบัติ แบ่งออกเปน็ 2 ส่วน ดงั น้ี ส่วนที่ 1 เนื้อหาการเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรคู้ ร้งั น้ี ไดแ้ ก่ เร่ืองการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย และอืน่ ๆ หน้า 122 -134 (กจิ กรรมท้ายเรื่องในหนังสือเรียน 136 -137) ส่วนที่ 2 มอบหมายงานให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเน้ือหาการเรียนรู้เพ่ิมเติมใน “หนังสือ เรยี นรายวิชาสงั คมศึกษา สค 21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554)” เรือ่ ง เปรียบเทียบรูปแบบการเมอื งการปกครองระบอบประชาธิปไตย และระบอบอืน่ ๆของประเทศ ต่างๆ ในทวปี เอเชีย (หนงั สอื เรยี น หน้า 190- 194) (กจิ กรรมท้ายเร่ืองในหนังสือเรียน 135) หลังจากนั้น ครูและผู้เรียนมีการนัดหมายทบทวน ตรวจสอบ และแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านทาง สอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ ตอ่ ไป หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเองนั้น อาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้ันตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผู้เรียน ในกรณีท่ีผู้เรียนมี พื้นฐานน้อยหรือไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ควรจัดการเรียนร้พู ้ืนฐานท่ีจำเป็นและพอเพียงกับผู้เรียน หลังจากน้ันให้ ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหน่ึงแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อที่อยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพ้ืน ความรู้มาก่อนแล้ว ใหค้ ิดหวั ข้อทีส่ นใจจะทำและใหล้ งมือปฏิบตั ไิ ด้ สือ่ วสั ดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้ 1. นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น เรื่อง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอน่ื ๆ” 2. ใบความรสู้ ำหรับผูเ้ รยี น เร่อื ง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย และอ่ืนๆ” 3. คลิปวิดีโอ เรือ่ ง “การเมอื งการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จาก https://www.youtube.com/watch?v=aFndzqlvtNE ชว่ งเวลา 17.55 นาที 4 ใบกจิ กรรมของผู้เรียน เร่ือง “ระบอบการปกครอง” 5. PowerPoint สำหรับครู เรอื่ ง “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” 6. แบบทดสอบหลังเรยี น เรอื่ ง “การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย และอ่ืนๆ”
247 7. แบบประเมนิ ความพึงพอใจสำหรับผูเ้ รยี นในการเขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง“การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย และอน่ื ๆ” การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นร่วม ความต้ังใจ และความสนใจของผูเ้ รยี น 2. ผลการทดสอบก่อนและหลังเรียน 3. ผลการออกแบบและสร้างสรรคน์ วตั กรรมและสิง่ ท่ีต้องการพัฒนา/ช้ินงาน/ผลงาน 4. ผลการประเมินความพงึ พอใจของผเู้ รียน
248 ใบความรู้ คร้ังที่ 12 เรอ่ื ง ระบอบการปกครอง 1. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ประชาธปิ ไตยเป็นระบอบการปกครองท่ีประเทศสว่ นใหญ่ในโลกนยิ มใชเ้ ปน็ หลกั ในการจัดการปกครอง และบริหารประเทศในปจั จุบัน รวมท้ังประเทศไทยของเรา ซง่ึ จัดการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยมานาน กวา่ 70 ปแี ลว้ การปกครองระบอบประชาธิปไตยเกดิ จากความศรทั ธาในคุณคา่ และศักด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์ และความเชื่อมน่ั วา่ คนเราสามารถปกครองตนเองได้ จงึ กำหนดใหป้ ระชาชนเป็นเจา้ ของอำนาจในการปกครอง ความหมายของการปกครองระบอบประชาธิปไตย คำวา่ ประชาธปิ ไตยมที ม่ี าจากคำ 2 คำ คือ คำวา่ ประชา และคำวา่ อธิปไตย – คำว่า ประชา หมายถงึ ประชาชนซงึ่ เปน็ พลเมืองของประเทศ – สว่ นคำว่า อธิปไตย หมายถึง อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ – ประชาธิปไตย จงึ หมายถึง การทอ่ี ำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเปน็ ของประชาชน ซงึ่ ตรงกบั ความหมายของคำวา่ democracy ในภาษาองั กฤษ แนวคดิ พืน้ ฐานของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยมีพ้ืนฐานมาจากแนวคดิ ทีเ่ ชือ่ มั่นว่า คนเราทุกคนเปน็ มนุษย์ท่ีมี เกยี รตแิ ละศกั ดิ์ศรี แต่ละคนมีคณุ คา่ ความเปน็ มนุษย์ ทกุ คนมีความเปน็ มนุษยเ์ ท่าๆกันและสมควรท่ีจะได้รับ การปฏิบตั อิ ย่างสมศักดิ์ศรคี วามเป็นมนษุ ย์ มีความศรัทธาในคุณคา่ และความดงี ามของมนุษย์ โดยเชื่อมน่ั วา่ มนุษย์จะใชก้ ำลงั สติปญั ญาและทักษะความสามารถอยา่ งเต็มทีเ่ พ่ือสร้างสรรคส์ งิ่ ท่ีดงี ามในสงั คมรว่ มกัน ประชาชนทกุ คนในระบอบประชาธปิ ไตยมีสทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคโดยเทา่ เทยี มกัน หลกั การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 1. อำนาจอธิปไตย ซงึ่ เปน็ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เปน็ ของประชาชน โดยมอบหมาย ให้ตัวแทน คอื ส.ส. เข้ามาทำหนา้ ท่ีบรหิ ารประเทศแทน(รัฐบาล) เนอ่ื งจากมีประชาชนมากเกนิ ไป 2. รัฐบาลมีอำนาจจำกดั รฐั บาลจะใช้อำนาจอยใู่ นขอบเขตท่ีเหมาะสม โดยยดึ เจตนารมณ์ของ ประชาชนเป็นหลัก เพื่อปกป้องคุ้มครอง สิทธิ เสรภี าพและประโยชนข์ องประชาชน ในประเทศประชาธปิ ไตยจงึ มีหลักการปกครองทีท่ ำให้รัฐบาลมีอำนาจจำกดั หลายประการ ทส่ี ำคัญได้แก่ หลักการดังต่อไปน้ี 2.1 การใช้กฎหมายเปน็ หลกั ในการปกครองประเทศ โดยมีกฎหมายรฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมาย สงู สดุ 2.2 การแยกใช้อำนาจ เพ่ือไมใ่ ห้อำนาจรัฐตกเปน็ ของใครคนใดคนหนง่ึ โดยแยกเปน็ ด้านนิติ บญั ญัติ(รัฐสภา) ดา้ นบริหาร (รฐั บาล) ด้านตุลาการ (ศาล) ซึง่ ผเู้ ขา้ มาทำหนา้ ที่แต่ละด้านจะมกี ารตรวจสอบ ถ่วงดลุ อำนาจซ่งึ กนั และกนั ไมใ่ หฝ้ ่ายใดฝ่ายหน่งึ ใช้อำนาจไม่ถูกต้อง
249 2.3 การกระจายอำนาจ โดยกระจายอำนาจให้ประชาชนในท้องถิ่นปกครองและบริหารท้องถ่ิน ของตนเอง เพ่ือไม่ให้รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในระบอบ ประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธปิ ไตย ประชาชนจึงเป็นผู้กำหนดรัฐบาล และสามารถถอดถอน รัฐบาลได้ด้วย รัฐบาลจึงมีอำนาจจำกัด เช่น บังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ละละเมิดสิทธิและ เสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ไม่ได้รัฐบาลกับประชาชนมีความเก่ียวพันกัน ตลอดเวลา ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง รัฐบาลต้องบริหารประเทศตามเจตนารมณ์ของประชาชนเป็น หลัก จึงต้องมีความสัมพันธ์กับประชาชนอย่างใกล้ชิดมีการตรวจสอบปัญหาและความต้องการของประชาชน อยู่อย่างสม่ำเสมอประชาชนได้รับการบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ รัฐบาลต้องดูแลให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติที่สมศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ได้รับการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความ เสมอภาคโดยเทา่ เทยี มกัน ข้อดีของการปกครองแบบประชาธิปไตย 1. ชว่ ยให้ประชาชนมสี ว่ นในการปกครองตนเองได้ 2. ชว่ ยใหร้ ฐั บาลที่เปน็ ตัวแทนของประชาชนสามารถสนองความต้องการของประชาชนสว่ นรวมได้ 3. ชว่ ยใหป้ ระชาชนมสี ิทธเิ สรภี าพความเสมอภาคตามกฎหมายรัฐธรรมนญู 4. ชว่ ยใหบ้ ุคคลสามารถสำนึกในผลประโยชน์อนั ชอบธรรมของตนเองและสว่ นรวม 5. ชว่ ยให้บุคคลเปน็ ผู้ทีย่ ึดในหลักการที่ถูกตอ้ งมีระเบียบวินัย 6. ชว่ ยใหเ้ กดิ การเรยี นร้ใู นจรยิ ธรรมและคุณธรรมท่ีจะใช้ 7. ชวี ติ ร่วมกันกับผูอ้ ืน่ ในสังคมเดียวกันดว้ ยดี 8. ชว่ ยให้การปกครองมีเสถียรภาพมัน่ คงเปน็ ที่ยอมรับของประชาคมโลก 9. ชว่ ยให้ประเทศมคี วามเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยและสงบสขุ 10. ช่วยพัฒนาประเทศใหเ้ กดิ ความเจริญกา้ วหน้า 11. ประชาชนกนิ ดอี ยู่ดี ข้อเสียของการปกครองแบบประชาธปิ ไตย 1. แมว้ า่ หลกั การดีแตก่ ารบรรลุเปา้ หมายนั้นคอ่ นข้างยากทฤษฏีกับปฏิบตั ิอาจไมส่ อดคลอ้ งกัน 2. รฐั บาลท่ีมาจากการเลือกต้งั ของประชาชนอาจจะอ่อนแอและไม่มีประสิทธิภาพ 3. พรรคการเมืองที่มอี ำนาจและอิทธพิ ลในการปกครองบางพรรคอาจจะผูกขาดอำนาจหรือทำไป เพ่อื ประโยชน์ตน 4. อาจจะมีการปลุกระดมชน้ี ำประชาชนในทางท่ีมชิ อบ 5. เป็นการปกครองทีต่ ้องเสียคา่ ใช้จ่ายมากเช่นค่าใช้จา่ ยในการเลือกตัง้ ระดับตา่ งๆ 6. ผูแ้ ทนราษฎรอาจจะเห็นแก่ประโยชนข์ องท้องถน่ิ ของตนมากกว่าของประเทศโดยสว่ นรวม 7. อาจมกี ารใช้เสยี งข้างมากกีดกันการใช้สทิ ธิเสรีภาพของบคุ คล 8. อาจมกี ารใช้กระบวนการทางประชาธปิ ไตยบางประการไปในทางท่ีมิชอบ 9. อาจจะเปน็ การปกครองแบบประชาธปิ ไตยแต่ภายนอกส่วนภายในเป็นการปกครองโดยคนเพยี ง
250 บางกลมุ่ บางพวก 10. ขาดความเขา้ ใจในการใช้สทิ ธิและหนา้ ท่ี 11. อำนาจและอทิ ธิพลของระบบราชการทม่ี ีมากขึน้ อาจจะลิดรอนสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน การปกครองระบอบเผดจ็ การ ระบอบเผด็จการ มีลักษณะเด่นอยู่ท่ีการรวมอำนาจการเมืองการปกครองไว้ท่บี ุคคลเพียงคนเดียว หรือคณะเดียวหรอื พรรคเดยี ว โดยบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้อำนาจนั้นควบคมุ บังคับประชาชน ได้โดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นำหรือคณะผู้นำก็จะถูกลงโทษให้ทำงานหนักหรือถูกจำคุก ซ่ึง ระบอบเผดจ็ การมี 3 แบบ คอื เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และเผดจ็ การคอมมวิ นสิ ต์ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ระบอบเผด็จการทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการที่คณะผู้นำฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจ เผด็จการในการปกครองโดยตรงหรอื โดยอ้อม (ผา่ นทางพลเรอื นท่ีพวกตนสนับสนุน) และมักจะใชก้ ฎอัยการศึก หรือรัฐธรรมนูญท่ีคณะของตนสร้างขึ้นเป็นเคร่ืองมือในการปกครอง โดยท่ัวไปคณะผู้นำทหารมักจะใช้อำนาจ เผด็จการปกครองประเทศเป็นการชั่วคราว ระหว่างท่ีประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือหลังจากล้มเลิกระบอบ ประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดภัยคุกคามบางอย่างต่อความม่ันคงของรัฐ ส่วนมากแล้วเมื่อเหตุการณ์ ความวุ่นวายต่าง ๆ สงบลง คณะผู้นำทางทหารก็มักจะอ้างสาเหตุต่าง ๆ นานาเพ่ือยึดอำน าจการปกครอง ประเทศต่อไปอีก ไม่ยอมที่จะคืนอำนาจกลับมาให้ประชาชนโดยง่าย ดังเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในสหภาพพม่าใน ปัจจุบันน้ีเป็นต้น แต่ทว่าเม่ือเวลาย่ิงผ่านเนิ่นนานออกไปกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนรวมทั้งแรง กดดันจากนานาชาติ ก็จะทำให้คณะผู้นำทางทหารกุมอำนาจการปกครองไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็จำเป็นต้องคืน อำนาจให้ประชาน แต่กว่าจะมาถึงจุดน้ีได้ ในบางประเทศก็เกิดความวุ่นวาย มีการต่อสู้ระหว่างกำลังของ ประชาชนกับกำลังของรฐั บาลเผด็จการทหาร ซงึ่ จากประวัติศาสตรก์ ารเรียกรอ้ งสิทธิเสรีภาพในการปกครองที่ ผ่านมา มักจะจบลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายประชาชน เช่นเหตุการณ์ซ่ึงเกิดข้ึนท่ีโรมาเนีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ตวั อย่างของการปกครองแบบเผด็จการทหาร เช่น การปกครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งท่ี 2 อันเป็น ระยะที่พลเอกโตโจและคณะนายทหารใช้อำนาจเผด็จการในการปกครอง หรือการปกครองของไทยระหว่างที่ ไม่มรี ัฐธรรมนูญ ในระหว่างวันท่ี 20ตุลาคม 2501 ถึงวนั ท่ี 20 มิถุนายน 2511 อำนาจการปกครองประเทศตก อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิวัติ ซึ่งนำโดย จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ส่วนใน ปจั จบุ นั (พ.ศ. 2541) ก็มี เช่น การปกครองของสหภาพพม่าภายใต้การนำของพลเอกตาน สว่ ย เปน็ ตน้ 2. ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการทีผ่ ู้นำคนหนึง่ ซ่ึงไดร้ ับการสนบั สนุนจาก กลุ่มนกั ธรุ กิจและกองทพั ให้ใชอ้ ำนาจเผด็จการปกครองประเทศ ผู้นำในระบอบการปกครองเผดจ็ การฟาสซิสต์ มักจะมีลัทธิการเมืองที่เรียกกันว่า ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นลัทธิช้ีนำในการปกครองและมุ่งท่ีจะใช้อำนาจเผด็จการ ปกครองประเทศเป็นการถาวร โดยเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบน้ีเหมาะสมกับประเทศของตน และจะช่วย ให้ประเทศของตนมีความเจริญก้าวหน้าโดยเร็ว ตัวอย่างของการปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เช่น การ ปกครองของอิตาลีสมัยมุสโสลินีเป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2473 – 2486 การปกครองของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2476 – 2488 หรือการปกครองของสเปนสมัยจอมพลฟรังโกเป็นผู้นำระหว่าง พ.ศ. 2480 – 2518 เปน็ ต้น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395