Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 50 year proof 14 (2)

50 year proof 14 (2)

Published by nscras, 2017-10-31 04:37:50

Description: 50 year proof 14 (2)

Search

Read the Text Version

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี ีวติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวโุ ส ศาสตราจารย์เกียรติคณุ ดร.อานันท์ กาญจนพนั ธุ์Cornell University ที่ Ithaca ในยคุที่ อานันท์ กาญจนพันธ์ุ เรม่ิ เข้าไปศกึ ษาร�่ำเรียน คือราวๆ ปลายปี ๒๕๑๓ นั้น ว่ากันตามจริง คือศูนย์กลางการศึกษา ทางดา้ นเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตท้ โี่ ดง่ ดงัและใหญ่ที่สุดแห่งหน่ึงของโลก (ดังเป็น ท่ีทราบกันว่า เป็นสถาบันการศึกษา ที่ผลิตนักวิชาการชั้นแนวหน้าด้านนี้ในประเทศไทยออกมาหลายคน ไมว่ า่ จะเปน็ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ ิ ฉลาดชาย รมติ านนท์วิระดา สมสวสั ดิ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุลเกษียร เตชะพีระ และนักมานุษยวิทยา ท่ีเราก�ำลังพูดถึงชีวิตวิชาการของท่านอยู่อานันท์ กาญจนพันธุ์) ดังปรากฏว่าวทิ ยานพิ นธร์ ะดบั ปรญิ ญาโทวา่ ดว้ ยเรอ่ื ง อานันท์ กาญจนพันธ์ุประวัติศาสตร์นิพนธ์ยุคต้นของล้านนา ตอนเปน็ นักศกึ ษาหนมุ่ ทีม่ หาวิทยาลยั คอร์แนลซง่ึ อนั ท่จี ริงตอ้ งอาศัยเวลาในการรวบรวมและศกึ ษาตคี วามผ่านการอ่านตำ� นานท่ีเขียนเป็นภาษาล้านนาน้ัน ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ ใช้เวลาทั้งหมดศึกษาค้นคว้าและนั่งเขียนอยู ่ที่เมือง Ithaca ไม่จ�ำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาหาข้อมูลในประเทศไทยเลย ท้ังน ้ีกเ็ พราะวา่ เอกสารประวตั ศิ าสตร์ (เชน่ ตำ� นาน ๕ เรอ่ื งคอื ตำ� นานชนิ กาลมาลปี กรณ์ ตำ� นานพระพทุ ธศาสนา ตำ� นานพระธาตดุ อยสเุ ทพ ตำ� นานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ และตำ� นานพระแกว้ มรกตที่ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์เลือกใช้เป็นกรณีศึกษาวิเคราะห์) น้ันถูกรวบรวมและแปล ปริวรรตจากภาษาไท (ล้านนา) เป็นภาษาไทยไว้ให้หมดแล้วในห้องสมุดของ Cornell University และปัจจุบันน่าจะกลายเป็นขุมคลังเอกสารประวัติศาสตร์ด้านล้านนาท่ีส�ำคัญ และทรงคณุ ค่ายิ่ง ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์เล่าว่า ฝังใจกับเชียงใหม่ตั้งแต่ตอนอายุ ๑๕ เม่ือคร้ังที่มีโอกาสได้ข้นึ มาทวั ร์ป่าดอยอนิ ทนนท์ (ดงั ทีผ่ มได้กล่าวมากอ่ นหน้าน้ี) หลังส�ำเร็จการศกึ ษาระดับปริญญาโททางด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี ๒๕๑๘ ซึ่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่เสนอต่อ Cornell University ก็คือ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ยุคต้นของล้านนา”น่ันเอง (แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของอาจารย์ท่ีปรึกษา คือ David K. Wyatt)อาจารย์จึงใฝ่ฝันและอยากย้ายกลับมาท�ำงานและต้ังหลักปักฐานในเชียงใหม่ กระท่ังได้รับ 297

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารย์อาวโุ ส ศาสตราจารย์เกยี รติคณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์ บรรจุเข้าดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ อาจารยป์ ระจำ� ของภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา คณะ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ไมใ่ ชภ่ าควชิ าประวตั ศิ าสตร์ (ทอี่ าจารยค์ าดหวงั อยลู่ กึ ๆ) ในปี ๒๕๑๙ ปเี ดียวกนั กับทเี่ กิดกรณี ๖ ตุลา เมอ่ื ความขัดแย้งระหวา่ งฝา่ ยขวากบั แกนนำ� ขบวนการนักศึกษาด�ำเนินมาถึงขั้นแตกหัก นักศึกษาถูกสังหารและแกนน�ำฝ่ายซ้ายถูก ลอบฆ่า กระทั่งจ�ำนวนไม่น้อยพากันหนีเข้าป่า ตามหาเพ่ือนนักศึกษาและมิตรสหาย ท่ีได้ทยอย “เข้าป่า” ไปสองสามปีก่อนหน้าน้ันแล้ว เพ่ือจับปืนต่อสู้ เคล่ือนไหวร่วมกับ พรรคคอมมิวนิสต์แหง่ ประเทศไทย ระหวา่ งปี ๒๕๑๙ ถงึ ๒๕๒๐ ภายใต้บรรยากาศการเมืองไทยยคุ สงครามเย็น แมจ้ ะ มดี กี รเี ปน็ นกั ประวตั ศิ าสตรผ์ เู้ ชย่ี วชาญดา้ นลา้ นนา อาจารยอ์ านนั ทท์ ำ� งานสอนหนงั สอื ควบคู่ ไปกบั การทำ� งานวจิ ยั ในฐานะอาจารยป์ ระจำ� ของภาควชิ าสงั คมวทิ ยาฯ สถานะดงั กลา่ วนเี้ อง ท่ีเป็นเหตุให้ท่านมีโอกาสได้เริ่มท�ำงานวิจัยทางด้านมานุษยวิทยาเก่ียวกับระบบเศรษฐกิจ ของชนบนท่ีสูง (ผ่านเร่ืองการปลูกฝิ่น) ซึ่งสนับสนุนโดย Ford Foundation การท�ำงาน ภายใต้โครงการวิจัยดังกล่าวเปิดโอกาสให้ท่านได้รู้จักกับนักมานุษยวิทยาอเมริกัน และ หน่ึงในน้ันก็คือ E. Paul Durrenberger ผู้ซ่ึงแนะน�ำให้อานันท์ได้รู้จักกับงานเขียนเรื่อง The Theory of the Peasant Economy ของ A.V. Chayanov ที่ตีพิมพ์ออกมาในปี 1966 ปลายปี ๒๕๒๑ ในฐานะอาจารย์ประจ�ำของภาควิชาสังคมวิทยาฯ ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ (กับเพ่ือนร่วมงานอีกสองท่านคือ ไชยวัฒน์ รุ่งเรืองศรี และ อุไรวรรณ ตันกมิ ยง)๑๑ ไดร้ ับทนุ สนบั สนุนจาก Ford Foundation ให้ลาศกึ ษาต่อในระดบั ปรญิ ญาเอก ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์จึงตัดสินใจกลับไปท่ี Ithaca อีกคร้ังหน่ึง ทว่าต่างกับคร้ังก่อน ก็ตรงที่ กลับมาคอร์แนลคราวนี้ อานันท์ กาญจนพนั ธุ์ พกทฤษฎีเศรษฐกิจชาวนาของ A.V. Chayanov ติดตัวมาด้วย ท่านเล่าว่าประสบการณ์จากการท�ำงานวิจัยเก่ียวกับการปลูกฝิ่น บนดอยสูง ทำ� ใหท้ ่านตดั สินใจอยา่ งแน่วแนท่ ่ีจะหนั เหชวี ิตมาเป็นนักมานษุ ยวิทยา ๑๑ ทงั้ ไชยวฒั น์ รุ่งเรอื งศรี และ อุไรวรรณ ตนั กิมยง ตัดสนิ ใจศกึ ษาตอ่ ทางดา้ นสงั คมวทิ ยาชนบท ขณะที่ ไชยวัฒน์ เข้าศึกษาที่ University of Wisconsin-Madison อุไรวรรณ ศึกษาท่ี Cornell University เช่นเดียวกับอานันท์ ราวๆ ปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ ทงั้ คกู่ ลบั มาทำ� งานสอนและมบี ทบาทอยา่ งสำ� คญั ในคณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ปัจจุบันไชยวัฒน์ ก�ำลังจะเกษียณอายุราชการ ส่วนอุไรวรรณ ตันกิมยง ผู้สร้างผลงานที่มีคุณูปการ อยา่ งส�ำคญั ตอ่ การท�ำความเขา้ ใจระบบเหมอื งฝายในสังคมชาวนาภาคเหนือ เสยี ชวี ิตลงไปก่อนหนา้ นรี้ าว ๒ ปี คอื ๒๘ เมษายน ๒๕๕๐. 298

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี ีวติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวุโส ศาสตราจารยเ์ กยี รติคณุ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุหนทางส่มู านุษยวทิ ยาอาชพี :จากหมูเ่ กาะโทรเบียนด์ ถึงหมบู่ า้ นสนั โปง่ ที่ Cornell University ในช่วงแรกของการศึกษาระดับปริญญาเอก ศาสตราจารย์ดร.อานันท์ใช้เวลาร่�ำเรียนกระบวนวิชาต่างๆ อยู่เพียงปีครึ่ง (หรือสามภาคการศึกษา) ก่อนท่ีจะกลับมาท�ำงานวิจัยภาคสนาม ในหมู่บ้านแห่งหน่ึงของเชียงใหม่ อย่างไรก็ตามโปรแกรมการศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาเอกซง่ึ นอกจากจะเน้นทกั ษะความเชย่ี วชาญด้านวิชาการในสาขาวิชาของตน ยังมุ่งเน้นฝึกฝนให้ผู้เรียนสามารถท่ีจะมองปัญหาต่างๆ ในระดับ ข้ามสาขาวิชา (inter-disciplines) ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์จึงต้องเรียน หรืออย่างน้อย ต้องท�ำงานวิจัยภายใต้การดูแลของคณะกรรมการที่ปรึกษาที่มาจากสาขาวิชาต่างๆ อย่างน้อย ๓ สาขาวชิ าดว้ ยกันคอื A. Thomas Kirsch จากภาควิชามานษุ ยวทิ ยา (ซง่ึ กรุณารบั เปน็ ประธานกรรมการทป่ี รกึ ษาวทิ ยานพิ นธใ์ ห)้ David K. Wyatt (อาจารยเ์ กา่ ของอานนั ท)์จากภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ และ E. Walter Coward จากภาควชิ าสงั คมวทิ ยา (ทข่ี ณะน้ันอุไรวรรณ ตันกิมยง ก�ำลงั ศกึ ษาทางด้านสงั คมวิทยาชนบทอย)ู่ นา่ สนใจว่าจากค�ำบอกเล่าของอาจารย์อานันท์ แนวคิดทฤษฎีการศึกษาสังคมชาวนาเชิงวิพากษ์ท่ีต่อมาจะกลายเป็นรากฐานของผลงานชนิ้ ส�ำคญั ของทา่ นเกย่ี วกบั การเปลย่ี นผา่ นเขา้ สรู่ ะบบตลาดบางสว่ นของการทำ� นาในแถบภาคเหนอื ของไทยนนั้ กลบั ไมไ่ ดม้ าจากอาจารยท์ ปี่ รกึ ษา หรอื จากสามภาควิชาที่จ�ำต้องระบุไว้ในโปรแกรมการศึกษาระดับปริญญาเอกของท่าน ทว่ากระเซ็นกระสายมาจากกระบวนวชิ าต่างๆ ที่เปิดสอน หรือบรรยายในภาควิชาหรือคณะอน่ื ๆ ของ CornellUniversity ยุคนักศึกษาตอ่ ต้านสงคราม ไม่วา่ จะเปน็ Economic Anthropology ของ DavidGreenwood, Marxist Political Economy ทส่ี อนในวชิ าเศรษฐศาสตร์ และการวางผงั เมือง,Marxist Sociology ซึ่งเน้นประสบการณ์ของชาวนาในสังคมลาตินอเมริกาท่ีสอนในวิชาRural Sociology และแนน่ อนจากทฤษฎเี ศรษฐกจิ ชาวนาของ A. V. Chayanov ทอี่ ่านมากอ่ นหนา้ นน้ั และงานเขยี นในแนว Marxism ทท่ี า่ นขวนขวายหาอา่ นเอาเอง (ระหวา่ งทเ่ี ขยี นวทิ ยานพิ นธ)์ โดยเฉพาะผลงานการเขยี นของ Andrew Turton นกั มานษุ ยวทิ ยาสงั คมองั กฤษนีโอมาร์กซสิ ม์ ซ่งึ ศึกษาสงั คมชาวนาภาคเหนือของไทยมากอ่ นหนา้ นั้นหลายป๑ี ๒ ราวๆ กลางปี ๒๕๒๒ หลงั สอบผ่านการประมวลความรู้ (comprehensive exam)ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ก็เดินทางกลับถึงเชียงใหม่ในฐานะนักศึกษาทางมานุษยวิทยา และเริม่ ท�ำงานวิจัยภาคสนามเชงิ ชาตพิ นั ธุว์ รรณนาอยา่ งจรงิ จงั โดยใช้เวลาทงั้ หมด (รวมท้ังการทำ� งานวจิ ยั เอกสารทห่ี อสมดุ แหง่ ชาต)ิ อยรู่ าวๆ ๑๕ เดอื น คอื ระหวา่ งมถิ นุ ายน ๒๕๒๒ถึงเดอื นสงิ หาคม ๒๕๒๓ จากน้นั จึงเดนิ ทางกลบั Ithaca เพ่ือเร่มิ ต้นเขียนงานวทิ ยานพิ นธ์๑๒ ดูบทความของ Andrew Turton ในวารสารสงั คมศาสตร์ฉบบั พเิ ศษ ปที ่ี ๒๐ ฉบบั ท่ี ๒/๒๕๕๑. 299

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ุณ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์ อยา่ งไรกต็ ามงานวทิ ยานพิ นธเ์ ลม่ ดงั กลา่ วเอาเขา้ จรงิ สว่ นใหญก่ ลบั ไปเขยี นเสรจ็ สนิ้ บนเกาะ ฮาวายอิ เมื่ออานันท์ได้รับทุน Visiting Scholar จาก The East-West Center ภายใต ้ การชักน�ำของ A. Terry Rambo ประเด็นท่ีน่าสนใจย่ิงอย่างหนึ่งเก่ียวกับงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกทางด้าน มานุษยวิทยาของอานันท์ กาญจนพันธุ์ เร่ือง The Partial Commercialization of Rice Production in Northern Thailand (1900-1981) หรือทผ่ี มขอแปลเปน็ ไทยอยา่ งล�ำลองว่า “การเปลยี่ นผา่ นเข้าสู่ระบบตลาดบางสว่ นของการทำ� นาในแถบภาคเหนอื ของไทย (ระหวา่ ง ปี ๒๔๔๓ ถึง ปี ๒๕๒๔)” น้ันก็คอื เร่อื งการทำ� งานวจิ ัยภาคสนามของท่าน ซ่ึงตลอดมาแทบ ไม่คอ่ ยได้มกี ารกล่าวถึงกนั มากนกั ในทน่ี ผี้ มจะลองสรุปอภปิ รายโดยสังเขป เช่นเดียวกับการเขียนงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาในที่อ่ืนๆ ในสว่ นบทนำ� ของวทิ ยานพิ นธ์ ศาสตราจารย์ ดร.อานนั ท์ ไดอ้ ภปิ รายแจกแจงรายละเอยี ดตา่ งๆ เกี่ยวกับวิธีการศึกษาและการท�ำงานวิจัยภาคสนามของท่าน ซึ่งถือเป็นท่ีมาของข้อมูล หลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีจะใช้วิเคราะห์ สนับสนุน หรือยืนยัน ข้อเสนอเชิงทฤษฎี ในงาน วิทยานพิ นธ์ (Thesis argument) การเขยี นถงึ กระบวนการขัน้ ตอนตา่ งๆ ของวธิ ีการศกึ ษา ดังกล่าวถือเป็น “ธรรมเนียม” ของการศึกษาแบบมานุษยวิทยาสมัยใหม่ที่ Malinowski ไดว้ างรากฐานไว้ในงานเขียนอนั โด่งดัง Argonauts of the Western Pacific ซ่งึ ตพี ิมพใ์ นปี 1922 (ดังที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นของบทความ)๑๓ ส�ำหรับงานศึกษาของศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ ท่านเขียนไว้ว่า “ในเชิงวิธีวิทยา งานศึกษาช้ินนี้คือการศึกษาวิจัยภาคสนาม อย่างเข้มข้นระดับชุมชนหมู่บ้าน เพื่อที่จะวิเคราะห์กระบวนการของการเปล่ียนผ่านเข้าสู่ ระบบตลาดบางสว่ นของการท�ำนาในภาคเหนอื ของไทย” (Anan 1984: 8) จากนนั้ จงึ พยายาม ให้อรรถาธิบายถึงความสมเหตุสมผลของงานที่ใช้กรณีศึกษาระดับหมู่บ้านว่า จะสามารถ ตอบค�ำถามเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงในระดับท่ีกว้างใหญ่กว่านั้น คือการ เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของสังคมชาวนาในแถบภาคเหนือของไทย ไดอ้ ยา่ งไร โดยชใี้ หเ้ หน็ วา่ การวเิ คราะหศ์ กึ ษาการเปลยี่ นแปลงเชงิ โครงสรา้ งและความสมั พนั ธ์ ทางการผลิตในสังคมชาวนานั้นสามารถท�ำได้ผ่านการวิเคราะห์กรณีศึกษา (คือหมู่บ้าน สันโป่ง) ในบริบทของระบบนิเวศและโครงสร้างประชากร ตลอดจนกระบวนการต่างๆ ท่เี ชอ่ื มโยงชุมชนหมูบ่ า้ นดังกลา่ วเขา้ กบั ระบบตลาดท้ังในระดบั ภูมิภาคท้องถนิ่ และในระดับ ชาติ และที่ส�ำคัญคือ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านในบริบทท่ีสัมพันธ์กับรัฐ ลา้ นนาและรัฐไทย (เพงิ่ อา้ ง) หมู่บ้านสันโป่ง ท่ีอานันท์เลือกศึกษาน้ันต้ังอยู่ในอาณาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้ำ (ปิง และวาง) อันอุดมสมบูรณ์มากแห่งหน่ึงของภาคเหนือ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทาง ๑๓ ดู Footnote ๓ และ Footnote ๙ ประกอบดว้ ย. 300

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี ีวิตและงาน ของคณาจารย์อาวุโส ศาสตราจารย์เกียรตคิ ุณ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุตะวนั ตกเฉยี งใต้ราวๆ ๓๐ กิโลเมตร ก่อนหน้านี้ไดเ้ คยมีนักมานุษยวิทยาชาวออสเตรเลียคือ Paul Cohen เดินทางเข้ามาศึกษาแล้ว (ดู บทความของ Paul Cohen ในวารสารสังคมศาสตร์ฉบับพิเศษด้วย) ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์เล่าไว้ในงานเขียนว่า ระหว่างท่ีใช้เวลาทำ� งานวจิ ยั ภาคสนามอยู่ในหมู่บ้านแห่งน้ีนั้น ไดอ้ าศัยอยูร่ ่วมกับครอบครัวของชาวนาครอบครัวหนึ่ง (ซึ่งน่าจะจัดได้ว่าเป็นกลุ่มชาวนารวยปานกลาง เพราะมีท่ีนาที่ใช้ท�ำกิน ร่วมกนั ในกลุ่มเครอื ญาตสิ ายพอ่ ราวๆ ๑๖ ไร)่ ขอ้ มูลส่วนใหญจ่ ากงานภาคสนามน้ันได้มาจากการสงั เกตการณอ์ ยา่ งมสี ว่ นรว่ มของอานนั ทเ์ อง (ในฐานะนกั มานษุ ยวทิ ยา) ซงึ่ พยายามปรับตัวและพัฒนาทักษะความสามารถในการใช้ภาษาของชาวบ้าน คือภาษาไทยวน หรือ“ค�ำเมือง” ขึ้นมาได้ในช่วง ๖ เดือนแรกของการท�ำงานวิจัยภาคสนาม (Anan 1984: 9)นอกจากน้ียังได้ใช้นักศึกษาซึ่งเป็นคนท้องถิ่นภาคเหนือเป็นผู้ช่วยนักวิจัยในการส�ำรวจรวบรวมข้อมูลเชิงสถิติต่างๆ (โดยเฉพาะการส�ำรวจข้อมูลระดับครัวเรือนในหมู่บ้านน ี้ซ่งึ เวลานั้นมีอยู่ราวๆ ๑๔๐ ครัวเรือน ผลผลติ ทางการเกษตรตอ่ ปีทีช่ าวนาเก็บได้ การลงทุนการใช้ปุ๋ย หรือเคร่ืองมือการเกษตรอ่ืนๆ การแลกเปลี่ยนและใช้แรงงาน เปน็ ตน้ ) และผู้ช่วยนกั วจิ ยั อกี สองคนซง่ึ เปน็ คนในชมุ ชน เพอ่ื หาขอ้ มลู เชงิ ลกึ ผา่ นการซบุ ซบิ นนิ ทาของชาวบา้ นเนอ่ื งจากหมบู่ า้ นสนั โปง่ ทอ่ี านนั ทศ์ กึ ษานนั้ มคี วามขดั แยง้ สงู มากระหวา่ งกลมุ่ ชาวนารวยกบักลมุ่ ชาวนาจน และทนี่ า่ สนใจมากคอื อานนั ทก์ ลา่ วถงึ ตวั ตนของทา่ นทถี่ กู มองจากชาวบา้ นว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ซ่ึงส่งผลให้ท่านถูกชาวนาจนมองว่าเป็นคนจ�ำพวกเดียวกัน กับชาวนารวย อย่างไรก็ตาม อานันท์ยืนยันว่าต่อมาในช่วงครึ่งหลังของการท�ำงานวิจัย ภาคสนาม ทา่ นสามารถทจี่ ะสรา้ งความสัมพันธ์ที่ดกี ับกลุม่ ชาวนาจนในหมู่บา้ นข้นึ มาจนได้ด้วยการแวะไปเยี่ยมเยือนถามถึงสารทุกข์สุกดิบบ่อยๆ ตามหัวกระไดบ้าน (เพิ่งอ้าง: ๑๐)กระทั่งเกิดความ “ไว้เน้ือเช่ือใจกัน” ระหว่างนักมานุษยวิทยากับชาวบ้าน ไม่ต่างไปจากท ่ีนักมานุษยวิทยาสมัยใหม่ในท่ีอื่นๆ อ้างหรือพยายามที่จะสร้างขึ้นมาให้ได้เช่นกันในการท�ำงานวจิ ัยภาคสนาม ก่อนทพ่ี วกเขาจะต้องถอยห่างออกมาผา่ นกระบวนการของการสร้าง“ความเป็นอ่ืน” ผ่านการเขียนงานเชิงชาติพันธุ์นิพนธ์ ด้วยเหตุน้ี ทักษะส�ำคัญย่ิงของ นักมานษุ ยวทิ ยาสมยั ใหม่ (เช่น อานันท์) เอาเข้าจรงิ ๆ แล้วจึงเปน็ เรอื่ งของความสามารถ จะที่กลายเป็นอื่น ท้ังจากตัวเองและผู้คนรอบข้าง (ดู Agar 1980) และสิ่งที่น่าจะยืนยัน การเป็นนักมานุษยวิทยาอาชีพ (ท่ีก�ำลังก่อตัวข้ึนมาอย่างก้าวหน้า) ของอานันท์และท�ำให้ท่านแตกตา่ งไปจาก ‘นักมานุษยวิทยาไทย’ คนอื่นๆ ในยุคสมัยใหม่เดยี วกนั กค็ ือ ไม่เพียงแตก่ ารใชข้ อ้ มลู จากการสงั เกตภาคสนาม สถติ จิ ากฐานขอ้ มลู และการท�ำงานสำ� รวจตา่ งๆ กบัผชู้ ว่ ยนักวจิ ัย อานนั ท์ยงั เน้นให้ความส�ำคัญอยา่ งยง่ิ กบั ขอ้ มลู เชงิ ประวัติศาสตร์ของหมบู่ ้านตลอดจนปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนในปริมณฑลท่ีกว้างขวางของล้านนาท่ีมีมาในอดีตทงั้ ผา่ นการทำ� งานสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ เพอื่ สำ� รวจรวบรวมประวตั ศิ าสตรข์ องครอบครวั (ทกุ ครวั เรอื นในหมบู่ า้ นสันโป่ง) จนสามารถจดั แบง่ กลมุ่ ชาวบา้ นออกตามกล่มุ วงศ์วานท่ีรว่ มผีบรรพบรุ ุษ 301

๕๐ชีวติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส ศาสตราจารยเ์ กียรติคณุ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุ อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ ในงานภาคสนามกบั ชาวนาบ้านสันโป่ง เดียวกัน ตลอดจนการอา่ นขอ้ มลู เอกสารของทางการและทจี่ ารกึ บนั ทกึ ตา่ งๆ ผา่ นเอกสาร ประวตั ศิ าสตร์ (ท้ังท่ีเขียนโดยคนพื้นเมืองและเจ้าหน้าท่ี หมอสอนศาสนา หรือนักส�ำรวจ ชาวตะวันตก ที่เดินทางเข้ามาในล้านนายุคอาณานิคม) ซ่ึงถือเป็นงานถนัดที่อานันท์ อดตี นกั เรยี นประวัตศิ าสตรไ์ ด้รับการฝกึ ฝนมาอย่างชำ�่ ชองกอ่ นหน้าน้ัน ด้วยเหตุน้ีจึงไม่น่าแปลกใจ หากใครที่เคยหยิบงานชิ้นนี้ขึ้นมาอ่าน (หรือแค่พลิกดู) จะพบว่า เสน่ห์ของงานศึกษาช้ินสำ� คัญของอานันท์เล่มนี้ อันที่จริงแล้วอยู่ท่ีความซับซ้อน หลากหลายและนยั ตา่ งๆ ของ “งานเขยี น” ในตัวของมนั เอง ทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ ู้อา่ นติดตาม ถกเถียง ตคี วาม ได้หลายความหมาย ขึน้ อยู่กับวา่ ผคู้ นจะอา่ นมนั แบบไหน มองจากมมุ ใด หรืออยากจะใชม้ ันในยุคสมัยใด ซง่ึ กใ็ ชว่ า่ งานเขยี นสว่ นใหญ่จะอย่ใู นสถานะเชน่ วา่ น้ีได้ วิทยานิพนธ์เร่ือง “การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบตลาดบางส่วนของการท�ำนาในแถบ ภาคเหนือของไทย (ระหว่างปี ๒๔๔๓-๒๕๒๔)” ของอานนั ท์ จงึ อาจจะอา่ นได้ท้ังในฐานะ ทเ่ี ปน็ (๑) งานเขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรเ์ กย่ี วกับการเปล่ียนแปลงในรัฐไท (คอื ล้านนา) ในแถบ ภาคเหนอื ของประเทศไทย (๒) งานศกึ ษาเกย่ี วกบั พฒั นาการของการเปลย่ี นผา่ นเขา้ สรู่ ะบบ เศรษฐกิจแบบทุนนิยมในสังคมชาวนาไทยภาคเหนือ (๓) งานศึกษาเก่ียวกับความขัดแย้ง ภายในสังคมหมู่บ้านภายใต้บริบทของการพัฒนาและการก่อตัวข้ึนมาของรัฐชาติ จนไปถึง 302

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวโุ ส ศาสตราจารย์เกยี รติคณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ(๔) เป็น “ประวัตศิ าสตรล์ ้านนา: ฉบับสามัญชน” ทีด่ เู หมอื นวา่ จะลุม่ ลึกกวา่ “ประวตั ศิ าสตร์ล้านนา” ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์นิพนธ์ซ่ึงคนส่วนใหญ่อ่านและใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เสียอีก เพราะหากใครเปิดอ่านงานศึกษาช้ินน้ีของอานันท์ก็จะเห็นว่า “สังคมศักดินา” ในล้านนาท่ีอานันท์สนใจศึกษาน้ัน ต้ังต้นกันนับแต่สมัยพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ กันเลยทีเดียว คงจะไม่เกินเลยไปนัก หากผมจะกล่าวว่า The Partial Commercializationof Rice Production in Northern Thailand (1900-1981) by Anan Ganjanapan น้ันอกี ไมช่ า้ ไม่นาน นา่ จะกลายเปน็ งานคลาสสคิ อกี เล่มหนง่ึ ในแวดวง Tai Studies ท่สี นใจศกึ ษาเร่อื งราวของกลุ่มชนที่พดู ภาษาตระกูลไท จนไปถงึ รัฐของชนชาติไทในบรบิ ททง้ั เกา่ และใหม่ของการเปล่ยี นแปลงในเขตลุ่มนำ�้ โขงตอนบนยคุ โลกาภิวตั น์บทสง่ ท้าย ดังท่ีผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้นๆ ว่า ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ นั้นแต่ไหนแต่ไรชีวิต ในวัยเดก็ ท่านเป็นคนอพยพ “อยู่ไม่ตดิ ท”ี่ หรือพูดให้โกๆ้ แบบมานษุ ยวทิ ยาหลงั สมยั ใหม ่ก็คือ ท่าน (เคย) เป็นคนพลัดถิ่นไร้ถ่ินฐาน ไม่เคยมี “บ้าน”๑๔ เป็นหลักเป็นแหล่งถาวร มาต้งั แต่อ้อนแต่ออก (แกมกั บอกลูกศิษย์และเพื่อนฝงู ว่า เปน็ คนอยจู่ งั หวดั ตราด แต่เกดิ ท่ีนครสวรรค์ แลว้ ไปโตทส่ี กลนคร กอ่ นจะเขา้ มาเปน็ นกั เรยี นประจ�ำในกรงุ เทพฯ จำ� กนั ไดไ้ หมครับ?) คงจะไม่เสียหายอะไรหากผมจะเขียนว่า การเดินทางกลับมาท�ำงานเป็นอาจารย ์ทางด้านมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังส�ำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๒๗ นั้น ถือเป็นการกลับคืนสู่ “บ้านเกิด” ของอานันท์ กาญจนพันธุ์ กับสถานะใหม่ (คือ นักมานุษยวิทยาในประเทศไทย) ที่ได้มาจากการเข้าร่วม “พิธีกรรม” ตามธรรมเนียม ของมานษุ ยวทิ ยาสมยั ใหมท่ เี่ มอื ง Ithaca และการทำ� งานวจิ ยั ภาคสนามเชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนานานกว่าแรมปที ี่หมบู่ ้านสนั โป่ง หลงั กลบั เขา้ มาทำ� งานเปน็ อาจารยส์ อนหนงั สอื ทางมานษุ ยวทิ ยาในภาควชิ าสงั คมวทิ ยาฯอีกคร้ังหนึ่ง ในชว่ ง ๓ ปแี รก คือระหว่างปี ๒๕๒๗ ถงึ ปี ๒๕๓๐ ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ท�ำวิจัยกับเพ่ือนร่วมงานและนักมานุษยวิทยารุ่นพี่ คือ ฉลาดชาย รมิตานนท์๑๕ ด�ำเนินโครงการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมและความเชื่อในสังคมล้านนา (ดู อานันท์ และ ๑๔ แน่นอนว่า ความหมายของค�ำว่า “บ้าน” และ “บ้านเกิด” ในที่นี้ผมจงใจท่ีจะใช้ท้ังในความหมายตรงๆ และ ในเชิงอุปมาอุปไมย ส่วนอ่านกันแล้วจะเข้าใจว่าเป็นความหมายใด ในตอนไหน ผมคงต้องปล่อยให้เป็นเร่ือง ของคนอา่ นตีความกนั ไป ตามความสะดวกครบั . ๑๕ ฉลาดชาย รมติ านนท์ สำ� เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาโททางมานษุ ยวทิ ยาจาก Cornell University เชน่ กนั ปจั จบุ นั เกษียณอายุราชการจากการเป็นอาจารย์ประจ�ำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้ว (ดู ชวี ิตและงานของฉลาดชาย รมติ านนท์ บทที่ ๖-บรรณาธิการ). 303

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารย์อาวโุ ส ศาสตราจารย์เกยี รตคิ ณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธุ์ ฉลาดชาย ๒๕๓๒) ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีกะ ผีปู่แสะและยา่ แสะ ผีเจ้าฟา้ ผีเจ้านาย ไปจนถงึ ผีมด ผีเม็ง และหมอเมือง ซึ่งไม่ใช่ผีแต่เก่ียวข้องกับชาวบ้านล้านนาอย่างส�ำคัญในเร่ือง “ขวัญ” การรักษาพยาบาลและการแพทย์พ้ืนบ้าน (ดู Anan 2000) โครงการวิจัยดังกล่าว ได้รับทุนสนับสนุนจาก Toyota Foundation และเป็นท่ีทราบกันดีว่าช่วงนี้เองที่เครือข่าย ทางวิชาการของศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ได้ขยายจากเชียงใหม่ไปทางญี่ปุ่นบ้างผ่าน Shigeharu Tanabe นกั มานษุ ยวทิ ยาและกลั ยาณมติ รชาวญป่ี นุ่ ซงึ่ รำ�่ เรยี นมาจากมหาวทิ ยาลยั ลอนดอน ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์เล่าว่า การได้ท�ำงานวิจัยเก่ียวกับเร่ืองพิธีกรรมและ ความเช่อื ในลา้ นนา จนมีโอกาสเดนิ ทางไปเขยี นและเสนองานเกยี่ วกบั เรอ่ื งนตี้ ามคำ� เชญิ ของ Tanabe ในราวๆ ปี ๒๕๓๓ น้ัน กลายเป็นจุดเร่ิมต้นที่ท่านหันมาใส่ใจกับแนวคิดเรื่อง อ�ำนาจกับความรู้ ของ Michel Foucault มากขึ้น แม้ว่าจะเคยซ้ือหนังสือของ Foucault เกบ็ ไวน้ านแล้ว (แต่ไม่เคยอ่าน) ตอนสมยั ที่เรียนประวตั ิศาสตรอ์ ยู่ที่ Ithaca หลายคนอาจแปลกใจวา่ เหตใุ ด จงึ ดเู หมอื นกบั วา่ หลงั กลบั จาก Cornell University จๆู่ อานันท์ กาญจนพันธุ์ ก็ละทิ้งความสนใจไปจากมานุษยวิทยาเศรษฐกิจเชิงวิพากษ์ว่าด้วย การเปล่ียนผ่านเข้าสู่ระบบทุนนิยมในสังคมชาวนาไทยไปเสียดื้อๆ ไม่น่าแปลกหรอกครับ หากเข้าใจว่า อานันท์ คือนักมานุษยวิทยาและอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่ต้องผจญกับชีวิตงานสอนและการท�ำงานวิจัยในบริบทวิชาการของสังคมไทย (อย่างน้อย ก็ในยุคสมัยท่ีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังไม่ได้แปลงกายเป็น “มหาวิทยาลัยนอกระบบ (ราชการ)”) และอันท่ีจริงนี่คือส่ิงตอกย�้ำยืนยันและสะท้อนถึงการเติบใหญ่ทางปัญญาของ นักมานุษยวิทยาคนหนึ่งด้วยซ�้ำไป (ดู บทความของ Shigeharu Tanabe ในวารสาร สังคมศาสตร์ฉบับพิเศษด้วย) จากที่เคยมองว่า “ปรากฏการณ์ผีกะ” หรือการกล่าวโทษว่า บุคคลน้ันๆ มีมนต์ด�ำชอบท�ำร้าย หรือเป็นภัยต่อชุมชน คือตัวสะท้อนและกลไกของ การจัดการกับความขัดแย้งระหว่างชาวนารวยกับชาวนาจนในบริบทของสังคมหมู่บ้าน ทก่ี ารถอื ครองทด่ี นิ ซงึ่ มอี ยอู่ ยา่ งจำ� กดั กลายเปน็ รากฐานสำ� คญั ตอ่ ความมนั่ คงในการดำ� รงชวี ติ ของชาวนา (ดู อานันท์ ๒๕๒๗: ๑๑๓-๑๒๖) ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ เร่ิมหันมาพจิ ารณา “พิธีกรรมและความเช่ือล้านนา” (ซ่ึงแน่นอนมีผีกะรวมอยู่ในน้ันด้วย) ว่าคือ พ้ืนท่ีแห่งการ ปะทะประสานระหว่างอ�ำนาจรัฐกับท้องถ่ิน ระหว่างทุนนิยมกับชุมชนชาวบ้าน ท่ีเกิดขึ้น ในบริบทของการพัฒนาหรือการเปล่ียนผ่านเข้าสู่ระบบตลาดท่ีมักจะน�ำไปสู่การกระจาย อำ� นาจและผลประโยชนท์ ไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกนั การเฟอ่ื งฟขู องพธิ กี รรมทรงเจา้ เขา้ ผแี ละหมอเมอื ง ในชมุ ชนใกลเ้ ขตเมอื งเชียงใหม่ และในสังคมชาวนาภาคเหนือโดยรวม นบั จากตน้ ทศวรรษ ๒๕๓๐ เปน็ ตน้ มา จงึ ถอื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ “การผลติ ใหมข่ องอ�ำนาจทางศลี ธรรม” เปน็ พน้ื ท่ี เชิงปฏิบัติการแบบหน่ึงท่ีสะท้อนให้เห็นถึงการท่ีชาวบ้านต้องเผชิญกับการเปล่ียนแปลง เชิงโครงสรา้ งท่นี ำ� ไปสูค่ วามไมเ่ ปน็ ธรรมในสังคม 304

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารย์อาวุโส ศาสตราจารยเ์ กยี รติคุณ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ หลังปิดโครงการวิจัยภาคสนามเรื่องพิธีกรรมและความเชื่อในสังคมล้านนา ในปี๒๕๓๐ นั้นเอง ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ก็เร่ิมโครงการใหม่ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธ์ิที่ดิน ร่วมกับเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนมาจากธนาคารโลกโดยเนน้ ศึกษาผลกระทบทางสังคมจากการออกโฉนดทดี่ ินในเขตอำ� เภอจอมทอง เสร็จจากงานวิจัยเรื่องการออกโฉนดที่ดิน ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์จึงมีโอกาสได้ร่วมงานวิจัยกับ นักเศรษฐศาสตร์เช่น เจิมศกั ดิ์ ปิน่ ทอง ในเร่ืองเก่ียวกับการก�ำหนดท่ีดินในเขตปา่ จากนั้น(ควบคู่ไปกับการท�ำงานสอนหนังสือ) จึงเข้าร่วมโครงการศึกษาที่จะกลายมาเป็น “ยี่ห้อ” ของอานนั ท์ กาญจนพันธุ์ ตราบจนปัจจบุ นั คอื การศกึ ษาวิจยั เก่ยี วกบั ชุมชนกบั การจดั การทรัพยากร กลา่ วได้วา่ กวา่ ๕ ปี คอื ชว่ งระหว่างปี ๒๕๓๑ ถึงปี ๒๕๓๕ จากเรือ่ งของท่ดี นิ ท่ีได้ดำ� เนินการมาหลายปแี ลว้ (อย่างน้อยก็ต้งั แต่สมยั หมูบ่ ้านสันโป่ง) งานวิจัยของอานนั ท์เร่ิมขยายอาณาบริเวณของประเด็นปัญหาเข้าสู่เรื่องของ “ป่าชุมชน” ซ่ึงศึกษาวิจัยร่วมกับ ยศ สันตสมบัติ และนักวิชาการที่ใส่ใจกับปัญหาอันเป็นผลมาจากโครงการพัฒนาของรัฐ คนอื่นๆ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า ในช่วงเวลาเดียวกันน้ีเอง ท่ีภาควิชาสังคมวิทยาฯ ภายใต้การน�ำของ อานันท์ กาญจนพันธุ์ ได้เร่ิมต้นเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทสาขาการพัฒนาสังคม โดยเปิดรับนักศกึ ษารุ่นแรกในปกี ารศกึ ษา ๒๕๓๓ เปน็ เวลานานกวา่ ๑๐ ปที อี่ าจารยอ์ านนั ท์ ทมุ่ เทเวลาการท�ำงานใหก้ บั การศกึ ษาวจิ ยัเกย่ี วกบั เรอ่ื งชมุ ชนกบั การจดั การทรพั ยากร โดยเรม่ิ จากการไดร้ บั ทนุ สนบั สนนุ จาก สภาวจิ ยัแห่งชาติ (สวช.) และทุนเมธีวิจัยอาวุโสจากส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ควบคู่ไปกับการท�ำงานสอนหนังสือ ผลิตมหาบัณฑิต และผลงานวิชาการ ออกสู่สังคม ในวงท่ีกว้างมากขึ้น๑๖ กระท่ังกล่าวได้ว่าการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรการพัฒนาสังคม ในช่วงเวลาดังกล่าวคือระหว่างปี ๒๕๓๓ ถึงปี ๒๕๔๓ กลายเป็นต้นตอของ “ส�ำนักวิชา” ทสี่ นใจศกึ ษาปญั หาของการพฒั นาทมี่ กั น�ำไปสคู่ วามไมเ่ ปน็ ธรรมและการถกู เอารดั เอาเปรยี บของชาวบา้ นสามัญชนอย่างวพิ ากษว์ จิ ารณ์ จนมักถกู ตตี รา เปน็ ทข่ี นานนามกนั วา่ “สำ� นกัเชยี งใหม”่ ไม่ก็พวก (บา้ ) “ดิน นำ้� ป่า”๑๖ ดูผลงานวิทยานิพนธ์สาขาพัฒนาสังคมที่ส�ำเร็จการศึกษาระหว่างปี ๒๕๓๘-๒๕๔๘ โดยเฉพาะที่ท�ำงานวิจัย ภายใตก้ ารควบคมุ ใหค้ �ำปรกึ ษาของอานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ ไดใ้ นหอ้ งสมดุ ของโครงการปรญิ ญาโทสาขาการพฒั นา สังคม และหนังสือชุดโครงการวิจัยภายใต้การนำ� ของอานันท์ กาญจนพันธุ์ เรื่อง พลวัตชุมชนกับการจัดการ ทรัพยากร (ตีพิมพ์ออกมาในปี ๒๕๔๓) ซึ่งถือเป็นท้ังบทสรุปและตัวสะท้อนองค์ความรู้และความคิดจากการ หมกมุ่นศึกษาวิจัยเรื่องชุมชนกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในบริบทของการพัฒนา กว่า ๑๐ ปีของ ศาสตราจารย์ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์. 305

๕๐ชีวิตและงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวโุ ส ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อานันท์ กาญจนพนั ธ์ุ นับจากปี ๒๕๔๓ เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าชีวิตวิชาการของอานันท์ กาญจนพันธุ ์ จะเรม่ิ เคลอื่ นยา้ ยจากการทำ� งานวจิ ยั ภาคสนามสกู่ ารทมุ่ เททำ� งานเขยี นตำ� ราวชิ าการมากขน้ึ ๑๗ อาจารยอ์ านนั ทเ์ องเลา่ วา่ หลงั จากหมกมนุ่ ทำ� งานศกึ ษาวจิ ยั เกยี่ วกบั เรอ่ื งปญั หาการพฒั นา ความขัดแยง้ การแย่งชิง และการจัดการทรพั ยากร นานกวา่ ๑๐ ปี ทา่ นจงึ เรม่ิ หนั มาสนใจ ทำ� งานเชงิ สงั เคราะห์ พยายามสรา้ งกรอบคดิ วธิ คี ดิ เชงิ ทฤษฎที จี่ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษา และการอธิบายสังคมไทยในบริบทของการเปลี่ยนแปลงที่ปัจจุบันสลับซับซ้อนมากข้ึน จากเรอ่ื งของ “ดนิ นำ้� ปา่ ” ผลงานการเขยี นของศาสตราจารย์ ดร.อานนั ทจ์ งึ คอ่ ยๆ คลคี่ ลาย กลายเป็นเรื่องของ “วัฒนธรรม” หรืออะไรท่ีนามธรรมมากข้ึน เช่น Knowledge Space หรือ “พ้ืนที่ของความรู้” (ดู อานันท์ ๒๕๔๘, ๒๕๕๒ และ Anan 2008) อย่างไรก็ตาม ความสนใจต่อประเด็นปัญหาที่ถือเป็นรากฐาน ท้ังก�ำกับและหล่อเล้ียงชีวิตวิชาการของ อาจารยอ์ านนั ทม์ าโดยตลอด คอื เรอื่ งของการตอ่ สดู้ นิ้ รนของผคู้ นธรรมดาสามญั ไมว่ า่ จะเปน็ ชาวนา ชาวบ้าน ชาวเขา หรือชาวเมือง ท่ามกลางบริบทของการปะทะประสานระหว่าง กระบวนการระดับท้องถ่ินกับกระแสการเปล่ียนแปลงท่ีขับเคลื่อนผลักดันโดยรัฐและระบบ ทุนนิยมระดบั โลกน้ัน ยังคงด�ำรงอยอู่ ยา่ งนัน้ สบื มาไม่แปรเปล่ยี น ตามระเบียบราชการ ปจั จุบนั ชีวติ ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ไดผ้ า่ นวยั เกษยี ณอายุ ไปแล้ว ทว่าชีวิตวิชาการของท่านนั้นยังไม่จบ บ่ายวันนั้น (คือ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) ผมจบบทสนทนาด้วยการถามท่านว่า คิดเห็นอย่างไรต่อสถานะของ “มานุษยวิทยา ในประเทศไทย” ท่านตอบกลบั มาวา่ “ในบทความเม่ือสัก ๑๐ กว่าปีก่อน ท่ีผมเขียนว่า มานุษยวิทยาเป็น อมั พาตทางทฤษฎี ตอนนน้ั เปน็ เพราะวา่ เราสอนแตร่ ะดบั ปรญิ ญาตรี เรากเ็ ลย สอนให้คนรู้แค่ความคิดอะไรต่างๆ แต่มันไม่มีแนวคิดทฤษฎีท่ีชัดเจน ดังนั้น ผมก็เลยวางน้�ำหนักว่า จะต้องปลุกปั้นเร่ืองของการสร้างหลักสูตรในระดับ บัณฑิตศึกษาทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกให้เข้มแข็งขึ้น เพราะในระดับ บัณฑิตศึกษา ส่ิงที่ส�ำคัญที่สุดก็คือว่าต้องใส่ความคิดทฤษฎีเข้าไปให้หนัก เพราะว่าสาขามานุษยวิทยา การที่เราไม่มีปริญญาโท ปริญญาเอกเปิดสอน ในประเทศ ดังน้ันคนท่ีเราผลิตออกมา หรือแม้แต่คนที่จบจากเมืองนอก กลับมาก็ตาม มักจะท�ำงานทางมานุษยวิทยาในเชิงพรรณนาเสียมาก ๑๗ งานวิจัยภาคสนามโครงการสุดท้ายที่ท�ำได้ (แม้จะไม่ได้ทุ่มเทท�ำงานภาคสนามอย่างเต็มท่ี) คือโครงการศึกษา เรอ่ื ง “ระบบการเกษตรแบบไรห่ มนุ เวยี น” ทอ่ี าจารยอ์ านนั ท์ ดำ� เนนิ การศกึ ษาวจิ ยั รว่ มกบั ปน่ิ แกว้ เหลอื งอรา่ มศรี และคนอนื่ ๆ ตพี ิมพ์ออกมาในปี ๒๕๔๗. 306

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารย์อาวโุ ส ศาสตราจารยเ์ กยี รติคณุ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุ มันยกระดับความคิดไม่ได้เพราะว่าฐานคิดทฤษฎี หรือความสามารถของคน ที่เรียนจากต่างประเทศจ�ำนวนไม่น้อยก็มีภูมิหลังเกี่ยวกับความรู้ท้องถ่ิน และประวตั ิศาสตรน์ อ้ ย ผมอาจเป็นรุ่นทไ่ี ด้เปรียบ ตรงทีว่ า่ ผมอย่ใู นช่วงที่ยัง ไม่ลืมของเก่าในขณะเดียวกันผมมีฐานทางประวัติศาสตร์ ผมเลยต่อกับ ความคดิ สมยั ใหมไ่ ด้ แตค่ นรนุ่ ใหมท่ ไ่ี ปเรยี นมานษุ ยวทิ ยามา (จากตา่ งประเทศ) ไดท้ ฤษฎใี หมท่ ฤษฎตี ะวนั ตกลอยไปอยไู่ หนไมร่ ู้ มนั หนั กลบั มาไมม่ คี วามเขา้ ใจ ทอ้ งถน่ิ ดพี อ แลว้ ฐานประวตั ศิ าสตรซ์ งึ่ ขาดความรแู้ ละภาษาทอ้ งถน่ิ กเ็ ลยทำ� ให้ ทฤษฎีเอามาใช้ไม่ได้ หรือใช้ก็เป็นแบบใช้ท่ือๆ ใช้ไม่ได้ดี ทำ� ให้คนหลายคน ไม่ได้ใช้ แล้วก็ทำ� หรือผลิตงานวิจัยทางมานุษยวิทยาในเชิงพรรณนามากกว่า ผมกไ็ มค่ อ่ ยพอใจกบั งานแบบนเ้ี พราะวา่ มนั ไมม่ พี ลงั ในการผลกั ดนั เปลยี่ นแปลง สงั คม” สาระส�ำคัญ แทบไม่ต่างไปจากค�ำอุทิศบนปกของวิทยานิพนธ์ท่ีอาจารย์จดจารึกไว้เมอื่ ราวๆ ๒๕ ปกี อ่ น ผมจะขอแปลแบบลำ� ลองมาเปน็ บททง้ิ ทวน “ชวี ติ วชิ าการของอานนั ท์กาญจนพนั ธ”ุ์ ไวด้ งั นี้ “แดช่ าวนาไทยผูล้ กุ ขนึ้ สูเ้ พอ่ื ความยตุ ธิ รรม และชีวติ ท่ดี ีขน้ึ ของปวงชน และแด่บิดามารดาของข้าพเจา้ ทอี่ ทุ ิศชวี ติ ของพวกทา่ นใหก้ ับการศกึ ษา ของบุตราและบุตร”ี 307

ชีวติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวุโส

อาจารย์fi ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ



ชีวติ และงาน ดร.ชยนั ต์ วรรธนอาะจภารตู ย์ิ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ชีวประวัติโดยสงั เขป อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ เกิดเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๖ ส�ำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจาก โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีส�ำเร็จการศึกษา อักษรศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ และ รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (เกียรตินิยมดี) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนา บรหิ ารศาสตร์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ทา่ นเรมิ่ รบั ราชการเปน็ อาจารยข์ องมหาวทิ ยาลยัเชยี งใหมใ่ นคณะศึกษาศาสตร์ ระหวา่ งปี พ.ศ.๒๕๑๓ ถงึ ปี พ.ศ.๒๕๒๑ ก่อนทจ่ี ะย้ายมาสังกัดคณะสังคมศาสตร์ในปี ๒๕๒๒ ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จนส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางด้าน Development Education/Anthropology จาก Stanford University ในป ีพ.ศ.๒๕๒๗ นอกจากงานสอนหนังสืออาจารย์ยังท�ำงานบริหารขับเคลื่อน โครงการวิจัยและกิจกรรมวิชาการ โดยเฉพาะระหว่างท่ีท่านได้ด�ำรงต�ำแหน่ง ผอู้ �ำนวยการสถาบนั วิจยั สังคม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ (ปี พ.ศ.๒๕๓๒-๒๕๔๐)ก่อนท่ีจะรับต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้านสังคมศาสตร์และ มุกดาวรรณ ศกั ดบิ์ ญุ ผู้เขียนชวี ประวัตโิ ดยสังเขป เพ่มิ เตมิ โดย วสันต์ ปัญญาแก้ว 311

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภตู ิ การพัฒนาท่ียั่งยืน (Regional Center for Social Science and Sustainable Development) คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ต้งั แตป่ ี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นตน้ มา และในปี พ.ศ.๒๕๔๗ อาจารย์ชยันต์ วรรธนะภูติ ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขา Social Anthropology จาก Goteborg University ประเทศสวเี ดน ขณะทอี่ ายรุ าชการของทา่ น ครบก�ำหนดเกษียณอายุ ในปี พ.ศ.๒๕๔๖ ท่านยังคงท�ำงานวิชาการเชิงขับเคลื่อนอย่าง ต่อเน่ือง ปัจจุบันยังคงด�ำรงต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้านสังคมศาสตร ์ และการพฒั นาทีย่ ัง่ ยืน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ ถือเปน็ นกั วิชาการทางด้านสงั คมศาสตร์ ผ้มู ีบทบาท อย่างส�ำคัญในการท�ำงานวิชาการรับใช้สังคม ท่านถือเป็น “แบบอย่าง” ของอาจารย์ มหาวิทยาลัยที่ไม่เพียงแต่จะท�ำงานเขียนต�ำราสอนหนังสือและงานวิจัย ทว่าต้องท�ำงาน เคล่ือนไหว ขับเคลื่อนด้านการพัฒนาควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวร่วมแก้ปัญหากับชุมชน กลมุ่ และองคก์ รภาคประชาสงั คม ในบรบิ ทของการพฒั นา ในฐานะผอู้ ำ� นวยการสถาบนั วจิ ยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านเป็นผู้มีส่วนอย่างส�ำคัญในการวางรากฐานให้กับงาน ล้านนาคดีศึกษา และโครงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาทางด้านชาติพันธุ์ ท่ีพัฒนาต่อมาเป็น ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ยกฐานะขึ้นอย่างเป็นทางการ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒) ในฐานะอาจารย์และหัวหน้าศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้าน สงั คมศาสตร์ และการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื (RCSD) ตง้ั แตป่ ี พ.ศ.๒๕๔๒ ทา่ นมบี ทบาทอยา่ งสำ� คญั ในการผลักดันและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนระดับนานาชาติของคณะสังคมศาสตร์ คือหลักสูตร B.A.Social Science และหลักสูตร M.A. and Ph.D. International Development Studies ซ่ึงมุ่งยกระดับการเรียนการสอนของคณะสังคมศาสตร์ ไปสู่ การเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน ควบคู่ไปกับการบริหารขับเคลื่อนโครงการ กิจกรรมทางวิชาการต่างๆ ท้ังในประเทศไทยและประเทศเพ่ือนบ้านในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต้ ................................................................... 312

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี ีวติ และงาน ของคณาจารย์อาวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ ในบทความวารสาร Positions ฉบับตีพิมพ์ในปี 2004 (พ.ศ.๒๕๔๗) Celia Lowe ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ผู้สัมภาษณ์แนะนำ� อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ วา่ เปน็ “นกั วชิ าการ-นกั เคลอื่ นไหวทางสงั คม ทสี่ นใจประเด็นเร่ืองสิทธิที่ดินท�ำกิน และองค์ความรู้พื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย เขาสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นเรื่องสิทธิ อัตลักษณ์ และรัฐ ในประเทศไทยลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชยนั ต์ มีช่ือเสยี งเปน็ ท่ีรูจ้ ักในฐานะนักวิพากษว์ ิจารณ์โครงการพัฒนาของชนชั้นน�ำ อาทิ โครงการเขื่อนก้ันน้�ำขนาดใหญ่ และโครงการสัมปทานป่าไม ้ชวี ติ การท�ำงานของเขาเปน็ ตวั อยา่ งทดี่ ที แี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การเชอื่ มโยงระหวา่ งวงวชิ าการไทยกบั การเคลอ่ื นไหวทางสงั คมในเอเชยี ชยนั ตเ์ องมบี ทบาทสำ� คญั ในการเปน็ ตวั เชอื่ มชนกลมุ่ นอ้ ย หลายกลมุ่ ของไทยกบั ชมุ ชนวชิ าการ และมสี ว่ นสนบั สนนุ นกั วชิ าการไทย ในการทำ� วจิ ยั ทางสังคมศาสตรใ์ นลักษณะท่เี ข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม” บทสัมภาษณ์ดังกล่าว ซึง่ เรียบเรยี งจากการพดู คยุ กันระหวา่ ง ผศ.Celia และอาจารย์ดร.ชยันต์ ในระหวา่ งเดอื นพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗ ทมี่ หาวทิ ยาลยั วอชงิ ตัน เมอื งซีแอตเติลสหรัฐอเมริกา และเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕ ที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งการส่ือสารทางอเี มลหลายครง้ั ระหวา่ งชว่ งเวลาดงั กลา่ ว สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ หลกั การทำ� งาน และตวั ตนความเปน็ นกั วชิ าการและนกั เคลอื่ นไหวประเดน็ ทางสงั คมของอาจารยช์ ยนั ต์ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดีอาจารย์ ดร.ชยนั ต์ ทข่ี า้ พเจา้ รจู้ กั ขา้ พเจา้ พบและรจู้ กั อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ ครงั้ แรกเมอ่ื ไหรไ่ มช่ ดั เจนนกั แตท่ จี่ ำ� ไดเ้ สมอคอื มักพบอาจารย์ในการประชมุ สมั มนาหัวขอ้ เก่ยี วกับปญั หาความเดอื ดร้อนของชาวบ้านเกษตรกรไร้ที่ท�ำกิน ชนเผ่าและชาติพันธุ์ไร้สัญชาติไทยหรือสถานะบุคคลทางกฎหมาย การต่อสู้เรียกร้องของชาวบ้านท่ีได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล หรือโครงการระเบิดแก่งในแม่น�้ำโขง เป็นต้น นอกจากน้ี ข้าพเจ้ายังพบปะอาจารย์ชยันต์บ่อยคร้ัง ในเวทีเสวนา หรือแมแ้ ตก่ จิ กรรมสาธารณะในการเรียกรอ้ งให้ผ้มู อี ำ� นาจแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ให้กับชาวบ้านผูย้ ากไร้ หรือชาวบา้ นท่ถี ูกไล่ออกจากพื้นท่ีปา่ ที่พวกเขาอาศัยทำ� กินมาเปน็ เวลานาน ความประทับใจในการได้รู้จักกับอาจารย์ชยันต์ อาจกล่าวได้ว่า เป็นเช่นเดียวกับที่อาจารย์ปริตรตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล มีต่ออาจารย์หม่อมราชวงศ์ อคิน รพีพัฒน์๑ ว่า “ท่านเป็นเสมือนมิตรทางวิชาการรุ่นอาวุโส” กล่าวในกรณีของอาจารย์ชยันต์ สิ่งท่ี ๑ ปริตตา เฉลิมเผา่ กออนนั ตกลู . ๒๕๓๖. “งานศกึ ษาสลัมของ ม.ร.ว.อคนิ รพพี ัฒน์” ใน นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ (บ.ก.) คนธรรมดา: รวมบทความและข้อเขียนวาระครบรอบอายุ ๖๐ ปี ม.ร.ว.อคิน รพีพฒั น์ ขอนแกน่ : สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา. 313

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารย์อาวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ประทบั ใจขา้ พเจ้าย่ิงนักคือ ความเปีย่ มลน้ ไปด้วยพลงั และความตัง้ ใจทจ่ี ะทำ� งานเพอื่ คนจน คนไร้อ�ำนาจ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ตลอดจนการให้ความส�ำคัญต่อการมีส่วนร่วม ของผู้คนในกระบวนการทางสังคม สิ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นในการท�ำงานวิชาการและ การทำ� งานเพอ่ื สงั คมของอาจารยช์ ยนั ตม์ าโดยตลอดกค็ อื ความพยายามทจี่ ะนำ� สงั คมศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสังคม ตลอดจนเพื่อแสวงหาทางเลือกในการพัฒนาที่ให้ความ ส�ำคัญต่อระบบความรู้พื้นถ่ิน การรวมกลุ่มกันของประชาชนเพื่อสร้างอำ� นาจต่อรอง และ สทิ ธใิ นการกำ� หนดชวี ติ ความเปน็ อยแู่ ละการเปลย่ี นแปลงในชมุ ชน และการพฒั นาในรปู แบบ ทีพ่ วกเขามีส่วนร่วมอยา่ งแทจ้ รงิ ในทกุ ขน้ั ตอน เมื่อคร้ังท่ีข้าพเจ้ายังท�ำงานเป็นผู้สื่อข่าวอยู่ที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหน่ึง ที่กรุงเทพฯ นั้น อาจารย์ชยันต์ ถือว่าเป็นนักวิชาการผู้หน่ึงที่ข้าพเจ้ามักติดต่อ พูดคุย เพอ่ื สอบถามความคดิ เหน็ อยเู่ สมอ ในประเดน็ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งสทิ ธมิ นษุ ยชน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งปัญหาเร่ืองสถานะบุคคลของชนกลุ่มน้อย ชนเผ่าและชาติพันธุ์ในพื้นที่สูงทาง ภาคเหนือของประเทศไทย ตลอดจนการต่อสู้เรียกร้องของผู้คน ชุมชน ท่ีได้รับผลกระทบ จากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐไทย และรัฐชาตอิ ื่นๆ ขา้ พเจา้ ได้เรยี นรอู้ ย่างมากมาย จากการพูดคุยแลกเปลีย่ นกับอาจารย์ชยันต์ ท่านมีแนวคดิ มุมมอง ตอ่ ประเด็นทางสังคม ทลี่ มุ่ ลกึ ทา่ นไดก้ รณุ าอธบิ ายและวเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ ถงึ ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ เปน็ ประเดน็ ขา่ วในปรากฏการณข์ ณะนนั้ กบั แนวคดิ เชงิ ทฤษฎที างสงั คม ทชี่ ใี้ หเ้ หน็ ถงึ ลำ� ดบั ชนั้ ของความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจในปรากฏการณต์ า่ งๆ การตอ่ สดู้ น้ิ รนเพอื่ สรา้ งพนื้ ท่ี ในทางสังคมเพ่ือการต่อรองในเชิงอ�ำนาจ การก�ำหนดความหมาย ตัวตนอัตลักษณ์ของ กลุ่มต่างๆ ตลอดจนโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมอื ง ทมี่ ีผลตอ่ ปรากฏการณ์และ การเปลย่ี นแปลงในทางสงั คม และดงั นน้ั เอง บทสนทนาทด่ี เู หมอื นเปน็ เพยี งแคก่ ารสอบถาม ข้อมูลระหว่างผู้ส่ือข่าวกับแหล่งข่าวก็กลายเป็นเสมือนห้องเรียนปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ทที่ ้ังอาจารย์ชยนั ต์และข้าพเจ้าตา่ งไดเ้ รยี นรู้ไปพรอ้ มกัน ส�ำหรับข้าพเจ้าแล้ว อาจารย์ชยันต์ เป็นครู ในความหมายท่ีเป็นแบบอย่าง เป็น แรงบันดาลใจในการท�ำงาน อาจกล่าวได้ว่าความสนใจของข้าพเจ้าที่มีต่อประเด็นเรื่อง สิทธมิ นุษยชน กลมุ่ คนทด่ี ้อยโอกาส หรอื คนชายขอบในสังคม สว่ นหนึ่งเปน็ ผลมาจากการ ได้เหน็ การท�ำงานอยา่ งตอ่ เนื่องของอาจารย์ชยันต์ ในบทความน้ี ข้าพเจ้ามีวัตถุประสงค์ท่ีจะน�ำเสนอภาพส่วนหนึ่งของชีวิตและงาน ของอาจารย์ชยันต์ ในแง่มุมมองของคนคนหน่ึงท่ีรู้จักอาจารย์ในฐานะนักมานุษยวิทยา นกั สังคมสงเคราะห์ และนกั เคลอื่ นไหวทางสงั คม 314

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูตินักมานุษยวทิ ยาแห่งมหาวทิ ยาลัย Stanford อาจารยช์ ยนั ต์ ไปเรยี นตอ่ ระดบั ปรญิ ญาเอกทม่ี หาวทิ ยาลยั สแตนฟอรด์ สหรฐั อเมรกิ าภายหลังเรียนจบปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นดิ า้ ) ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ขณะท่ีสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเต็มไปด้วยความขัดแยง้ท่ใี กลจ้ ะถึงจุดแตกหัก ขณะเดยี วกนั บรรยากาศทางการเมืองในประเทศเพอ่ื นบา้ นอินโดจีนก็กรุ่นด้วยความขัดแย้งทางอุดมการณ์ และสงคราม อาจารย์ชยันต์ เล่าถึงบรรยากาศ ในห้องเรียนท่ีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า “ในห้องเรียน คนรุ่นน้ัน (รวมถึงอาจารย์) ไดร้ ับอิทธพิ ลจากแนวคิดมาร์กซิสต์ ในลกั ษณะทตี่ า่ งไปจากนักศึกษาในไทย ซ่งึ อาจจะอ่านเหมา เจ๋อ ตุง หรือเลนิน ในฐานะที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมือง นักศึกษาที่สหรัฐอ่าน คาล มาร์ก เปน็ เครอ่ื งมือในทางความคิดและใช้แนวคิดมารก์ ซิสต์ เช่น การวเิ คราะห์ชนชั้น เพอื่ ท�ำความเขา้ ใจการเปลี่ยนแปลง ความขัดแยง้ และความแตกต่างของสถานการณ์สังคมกอ่ นยุคทนุ นยิ ม” (Lowe 2004) อาจารย์ชยันต์ ไดร้ ับอทิ ธิพลจากนักมานุษยวิทยามารก์ ซิสต์เช่นกนั เช่น Claude Meillasoux ซึ่งมงี านเขยี นจำ� นวนมากเกีย่ วกับมานุษยวทิ ยามาร์กซสิ ต์ในช่วงปลายยุค 1970 นอกจากนี้ อาจารย์มีโอกาสได้เรียนกับ Michelle Rosaldo ด้วยนอกจากการวิเคราะห์ในเชิงมาร์กซิสต์แล้ว งานเขียนที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางวิชาการ ของอาจารยช์ ยนั ต์ เป็นอย่างมากคือ หนงั สอื เรอ่ื งโฉมหน้าศักดินาไทย ของ จติ ร ภูมิศักดิ์ซ่ึงวิพากษ์ประวัติศาสตร์สังคม และโครงสร้างสังคมไทย ตลอดจนงานท่ีอาจารย์ฉัตรทิพย์นาถสุภา เป็นบรรณาธิการ คือ เศรษฐศาสตร์การเมืองของสยาม พ.ศ.๒๐๙๔-๒๔๕๓ ซง่ึ ชใี้ หเ้ หน็ วา่ ชนชนั้ ปกครองนน้ั เอารดั เอาเปรยี บชนชน้ั ชาวนาอยา่ งไร นอกจากนมี้ หี นงั สอืของ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เรอื่ ง องคก์ รสงั คมไทยช่วงกรงุ เทพตอนต้น พ.ศ.๒๓๒๕-๒๔๑๖ซ่ึงวเิ คราะหร์ ะบบกฎหมายและการกอ่ รูปของระบบชนช้ัน (เพิ่งอ้าง) อาจารยช์ ยนั ต์ กลบั มาเมืองไทยในปี พ.ศ.๒๕๒๑ เพอ่ื เก็บขอ้ มูลภาคสนามส�ำหรบัวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก พ้ืนท่ีการศึกษาเป็นหมู่บ้านแห่งหน่ึงในอ�ำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์สนใจศึกษาเรื่องการผลิตสร้างวัฒนธรรมและอุดมการณ์ในชุมชนเกษตรกรรมในภาคเหนือของประเทศไทย การเก็บข้อมูลในหมู่บ้านช่วงน้ัน ยังมีความ ยากลำ� บากในการพดู ถงึ ความเคลอ่ื นไหวของเกษตรกร หรอื แมแ้ ตค่ วามพยายามทจี่ ะเขา้ ไปศึกษาสถานการณ์ปัญหาของพวกเขา เพราะยังมีกลุ่มจัดต้ัง เช่น “ลูกเสือชาวบ้าน” ซึ่ง ตอนนน้ั สมาชกิ คนหนง่ึ ในครอบครวั ไทยแตล่ ะครอบครวั จะตอ้ งไดร้ บั การอบรมใหเ้ ปน็ ลกู เสอืชาวบ้าน เพื่อการปกป้องหมู่บ้านของตนเอง ความไมไ่ วว้ างใจในนกั ศึกษาในกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชการและเจา้ หนา้ ทท่ี ด่ี นิ ทำ� ใหเ้ กดิ การฆาตกรรมผนู้ ำ� ชาวนาหลายคน และสำ� หรบั อาจารย์มหาวทิ ยาลยั ทเี่ ขา้ ไปท�ำการศกึ ษาเกบ็ ข้อมลู กถ็ ูกมองดว้ ยสายตาท่ีหวาดระแวงและไม่ไวใ้ จ 315

๕๐ชวี ิตและงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติ อาจารย์ชยันต์ เรียนจบปริญญาเอกด้านการพัฒนาการศึกษา และมานุษยวิทยา ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ และกลับมาท�ำงานเป็นรองผู้อ�ำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๘-๒๕๓๒ หากแต่ก่อนหน้าน้ัน ต้ังแต ่ ปี พ.ศ.๒๕๑๓ เปน็ ต้นมา อาจารยช์ ยนั ต์ เคยท�ำงานเป็นอาจารยใ์ นคณะศกึ ษาศาสตร์ และ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายหลังจบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ บรรยากาศทางการเมอื งกลางปี พ.ศ.๒๕๒๐ นน้ั อาจารย์ชยนั ต์ เลา่ ใหฟ้ ังวา่ บรรดา ผู้น�ำนักศึกษาท่ีหลบหนีเข้าป่าภายหลังการปราบปรามนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เม่ือออกจากป่ามาต้องผิดหวังเก่ียวกับทฤษฎีภาพกว้าง และการพัฒนาสังคม หลายคนเข้าไปร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน ท�ำงานและเรียนรู้กับคนยากจนในชนบท วา่ มกี ารจดั การและรบั มอื กบั การพฒั นาทถี่ กู กำ� หนดมาจากเบอ้ื งบนโดยหนว่ ยงานรฐั อยา่ งไร เป็นช่วงน้ีเองที่นักวิชาการสังคมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะจากส่วนภูมิภาค อาศัยเป็นโอกาสในการท�ำงานแลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ มีการเสวนาสังสรรค์กับ ชาวนา คนที่อาศัยในสลัม และชาวเขาบนพื้นท่ีสูง เป็นแนวทางใหม่ของการศึกษาค้นคว้า เป็นกระบวนการที่นักวิชาการเรียนรู้จากผู้คนที่ไร้อ�ำนาจ ชาวบ้าน ผู้ไร้สิทธิ์ไร้เสียง ในกระบวนการพฒั นา การเรยี นรรู้ ว่ มกนั และเรยี นรจู้ ากชาวบา้ นนเ่ี อง ทำ� ใหน้ กั สงั คมศาสตร์ เร่ิมส�ำรวจตรวจสอบแนวคิดเก่ียวกับชุมชน และแสวงหาวิธีการท่ีจะศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิน่ วัฒนธรรมและความรู้พ้นื ถนิ่ ตลอดจนหนทางท่หี มบู่ า้ นชุมชนมีสว่ นในการก�ำหนด และสร้างรัฐ (Lowe 2004) เช่นตัวอย่าง อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ และ อาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ อาจารย์ป๋วยน้ัน เป็นผู้ก่อต้ังโครงการที่นำ� นักศึกษาอาสาสมัคร ไปท�ำงาน และใช้ชีวิตร่วมกับชาวชนบทเป็นเวลาหน่ึงปี เป็นแนวทางการเรียนรู้รูปแบบใหม่ของ สังคมศาสตร์ ซ่ึงให้ความส�ำคัญต่อการพัฒนาในระดับรากหญ้า เป็นการพัฒนาอย่างมี สว่ นรว่ ม แนวทางน้ีผทู้ ม่ี บี ทบาทสำ� คญั ยิง่ อกี คนคอื อาจารยอ์ คนิ ซ่ึงเปน็ นกั มานุษยวทิ ยา ท่ีผ่านการศกึ ษาอบรมจากมหาวทิ ยาลยั Cornell ที่สนใจงานพฒั นาชุมชน นกั สงั คมศาสตรห์ ลายคน กา้ วไปพน้ จากการทเ่ี ปน็ เพยี งคนทเ่ี รยี นรจู้ ากประสบการณ์ ของผู้คน พวกเขารู้สึกว่าต้องท�ำงานกับประชาชน เพ่ือที่จะเข้าใจปัญหาของพวกเขา และแสวงหาทางเลือกต่างๆ ในระดับหน่ึง และอาจารย์ชยันต์ เป็นหน่ึงในจ�ำนวน นักสงั คมศาสตรเ์ หลา่ นน้ั 316

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี ีวิตและงาน ของคณาจารย์อาวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูตินักวชิ าการเพ่อื คนจน: สังคมศาสตรแ์ บบมสี ว่ นร่วม “หากไม่มีการเข้ามาเก่ียวข้อง มีส่วนร่วมของประชาชน ก็จะไม่มีสังคมศาสตร์แบบ มสี ว่ นรว่ ม และถา้ ไมม่ สี งั คมศาสตรแ์ บบมสี ว่ นรว่ ม กไ็ มม่ กี ารพฒั นาทางสงั คมโดยประชาชนและเพ่อื ประชาชน” อาจารย์ชยันต์ เคยกล่าวไวเ้ ชน่ น้ี ท่านมคี วามเห็นวา่ นักสงั คมศาสตร์ไทยมักไม่แยกอย่างเด่นชัดระหว่างความรู้ในเชิงทฤษฎี กับความรู้เชิงประยุกต์ใช้ ซ่ึงท่าน เหน็ วา่ การเรยี นรหู้ รอื เขา้ ใจเกย่ี วกบั องคค์ วามรตู้ า่ งๆ ควรจะน�ำมาปฏบิ ตั แิ บบสงั คมศาสตร์ประยกุ ต์ ลกั ษณะความรปู้ ระเภทนไี้ มไ่ ดเ้ ปน็ ทฤษฎใี นเชงิ รปู แบบ หากแตเ่ ปน็ ประสบการณจ์ รงิหรอื เปน็ เรอื่ งเลา่ ทอ้ งถน่ิ อาจารยช์ ยนั ต์ เหน็ วา่ การเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งในเชงิ สงั คมในปฏบิ ตั กิ ารระดับชีวิตประจ�ำวันของผู้คนนั้น เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจ โดยผ่านทางการเข้าร่วมทางสังคมนี้เอง ท่ีเราสามารถเข้าใจ วิเคราะห์ และน�ำเสนอประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประสบการณ์ ได้อย่างมีความเข้าใจมากยง่ิ ข้ึน (Lowe 2004) การมาเกยี่ วขอ้ งกบั ปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คม ทำ� ใหน้ กั สงั คมสงเคราะหบ์ างคนตระหนกั วา่ปัญหาท่ีพวกเขาเห็นนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด ในแง่หน่ึงพวกเขาเผชิญกับส่ิงท ี่เรียกว่า “วาทกรรมหลักเร่ืองความยากจน” อาทิ การท�ำไร่ท่ีเรียกกันว่า “ไร่เล่ือนลอย” การทำ� ลายปา่ เขอ่ื น ชาวเขา วฒั นธรรมพืน้ บ้าน และอืน่ ๆ แนวคดิ ซึ่งอธิบายโดยนักพัฒนามอื อาชพี นนั้ ไมส่ อดคลอ้ งกบั วาทกรรมและเรอื่ งเลา่ ของผคู้ น ในอกี ดา้ นหนง่ึ นกั สงั คมศาสตร์ตระหนกั ถงึ การดำ� รงอยขู่ องอำ� นาจ และอทิ ธพิ ล พลงั ทงั้ สองซง่ึ สถติ อยใู่ นสงั คมไทย ไมเ่ พยี งแต่วาทกรรมการพัฒนาแต่ยังมีโครงสร้างทางการเมือง ท้ังแบบทางการและไม่เป็นทางการทผี่ ลติ สร้างและผลติ ซำ้� ความไมพ่ ัฒนา ความยากจน และความเป็นชายขอบในกลุ่มคนจนชนบท (เพิ่งอ้าง) บรรยากาศทางการเมืองในประเทศไทยกลางปี พ.ศ.๒๕๑๓ ไม่เพียงท�ำให้ นักสังคมศาสตร์ไทยต้ังค�ำถามกับการเสนอภาพและตีความสังคมไทยโดยนักวิชาการ ตะวันตก แต่เริ่มมีการมองทางเลือกทางทฤษฎีและแนวคิดอุดมการณ์ทางเลือกอ่ืนๆ นกั สงั คมศาสตรไ์ ทยเรม่ิ ตระหนกั วา่ จะท�ำความเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ กบั ความเปน็ จรงิ ทางสงั คมการเมืองไดอ้ ยา่ งไร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ปัญหาความยากจนของชาวบา้ นในระดับหมู่บ้านระบบความรพู้ นื้ ถนิ่ และการช่วงชงิ วาทกรรมการพฒั นา ในบทความท่ี อาจารย์ชยนั ต์ ใหส้ ัมภาษณ์วารสาร Positions น้นั อาจารยก์ ล่าวถึงประสบการณ์การพฒั นาในประเทศไทยวา่ เป็นส่ิงท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถึงปรากฏการณท์ ีเ่ ป็นปกติของการพัฒนา ซึ่งริเร่ิมโดยรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ซ่ึงผู้ท่ีมักได้รับผลกระทบ 317

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภตู ิ ในด้านลบของกระบวนการพัฒนาดังกล่าว คือ ผู้คนตัวเล็กตัวน้อย คนที่ไร้อ�ำนาจ เช่น ผหู้ ญงิ เดก็ และชนกลมุ่ นอ้ ย แตอ่ าจารยช์ ยนั ต์ ไมป่ ระสงคท์ จ่ี ะกลา่ วโทษรฐั บาล หรอื องคก์ าร เอกชน ที่ท�ำให้เกิดผลด้านลบต่อชุมชนหลายต่อหลายแห่ง จริงๆ แล้วรัฐบาลหรือองค์กร ทท่ี ำ� งานพฒั นาตา่ งๆ ลว้ นมเี จตนาทดี่ ี ปญั หาอยทู่ พ่ี วกเขาไมเ่ คยคดิ ทจี่ ะเรยี นรจู้ ากประชาชน จากชาวบา้ น จากผคู้ น การเรียนรู้จากผู้คน นี่เองท่ีเป็นส่ิงที่มีอิทธิพลในการก�ำหนดแนวทางการท�ำงาน ทางวชิ าการของอาจารยช์ ยนั ตม์ าโดยตลอด ซงึ่ เปน็ สงิ่ ทตี่ รงกนั ขา้ มกบั แนวคดิ ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ในหน่วยงานรัฐ และองค์กรพัฒนาหลายแห่งท่ีละเลยมองข้าม ไม่ให้ความส�ำคัญกับระบบ ความรพู้ น้ื บา้ นทด่ี ำ� รงอยู่ หรอื ไมเ่ ชอื่ ในศกั ยภาพของผคู้ น มองไมเ่ หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง คนกับสภาพแวดล้อมของเขา ในความเห็นของอาจารย์ชยันต์น้ัน ส�ำหรับนักพัฒนาของรัฐ หรือนักพัฒนากระแสหลัก “การพัฒนามีความหมายเพียงแค่การปรับปรุงให้ดีข้ึนในทาง เศรษฐกจิ ในการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย คำ� สงั่ และการรวมพวกชนกลมุ่ นอ้ ยเขา้ ในรฐั แบบใหม่ มีความหมายเพียงแค่การขยายเขตควบคุมของรัฐเหนือทรัพยากรธรรมชาติ หากแต่มิใช่ กระบวนการเรยี นรซู้ ง่ึ ผคู้ นอาจสามารถเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพของตนในการจดั การรบั มอื กบั การ เปล่ยี นแปลงภายนอก” (Lowe 2004: 73) อาจารย์ชยันต์ เห็นว่า มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องตรวจสอบการพัฒนาในฐานะที่เป็น กระบวนการและในฐานะท่ีเป็นวาทกรรมสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องเปิดเผยโฉมหน้าของสิ่งที่ Arturo Escobar เรียกว่า เป็นการ “ล่าอาณานิคมของ ความจริง” ซ่งึ ส่ิงนเี้ อง ทเ่ี ปน็ ตวั ก�ำหนดจนิ ตภาพและการปฏิบัติการการพฒั นา ส่งิ ส�ำคัญคอื การศกึ ษาวา่ รฐั ใชเ้ ทคโนโลยที างอำ� นาจ เชน่ การทำ� แผนท่ี และการปฏบิ ตั กิ ารเชงิ วาทกรรม ในการให้ความชอบธรรม หรือกดี กนั หรือเลือกปฏบิ ตั ติ ่อคนด้อยโอกาสอยา่ งไร การดำ� เนิน การพัฒนาและวาทกรรมเรื่องการพัฒนา ท�ำให้คนไร้ซ่ึงอ�ำนาจอย่างไร ตัวอย่างเช่น ในกระบวนการของการพัฒนาน้ัน รัฐได้ขยายอ�ำนาจควบคุมชนกลุ่มน้อย ตลอดจน ขยายอ�ำนาจเหนือการจัดการทรัพยากรก่อให้เกิดความขัดแย้งแย่งชิง กรอบคิดเหล่าน ี้ และประสบการณ์ตรงที่มากหลาย ท�ำให้เราเข้าใจในความซับซ้อนของอำ� นาจรัฐและสังคม ท�ำให้มองเห็นชัดข้ึนว่า ปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ถูกท�ำให้กลายเป็นปัญหาที ่ ผกู ตดิ กับความเป็นชนเผ่าหรอื เชอ้ื ชาติ ดังจะเห็นวา่ ชาวเขาถกู กลา่ วหาว่าทำ� ลายป่า ไมใ่ ช ่ คนไทย และดังนน้ั จงึ ไม่มสี ทิ ธิเขา้ ถงึ ทรัพยากรธรรมชาติ ปา่ ไม้ ท่ดี ิน หรือกรณีการพัฒนาการศึกษาของรัฐ ซ่ึงท�ำให้เกิดผลกระทบกับชุมชนชาติพันธุ ์ การศึกษาแบบใหม่เข้ามาแทนที่ความรู้พื้นถิ่นและกระบวนการเรียนรู้ ท�ำให้เกิดความรู้สึก เปรียบเทียบว่าล้าสมัย ในหลายชุมชน ความเชื่อทางศาสนา และพิธีกรรมปฏิบัติก�ำลัง ถกู ละเลย อนั เปน็ ผลส่วนหน่ึงมาจากการเปลยี่ นการถือศาสนาหลักๆ เช่น ครสิ ต์และพทุ ธ 318

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติที่ส�ำคัญยิ่งคือสถาบันและองค์กรท้องถ่ิน ถูกท�ำให้อ่อนแอและแทนที่โดยตัวแทนที่แต่งต้ังโดยรัฐ และผู้น�ำของชุมชนกลายเป็นตัวแทนรัฐบาล ท่ีรับค�ำสั่งมาให้ชาวบ้านปฏิบัติ การควบคุมทางสังคมและความเป็นเอกภาพก็เริ่มเลือนหาย ดูเหมือนว่า ย่ิงพัฒนามาก เท่าไหร่ ชาวบ้านก็ยิ่งหมดความสามารถในการควบคุมจัดการชีวิตตนเอง ในการจัดการทรัพยากร และธ�ำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตนเอง ตลอดจนลดทอนความสามารถของชุมชน ในการจดั การและรับมือกับความเปลย่ี นแปลงจากภายนอก สำ� หรบั อาจารยช์ ยนั ตแ์ ลว้ คำ� ถามทเี่ ราตอ้ งถามตวั เองกค็ อื การพฒั นาสงั คมควรเปน็อย่างไร ส�ำคัญที่สุดคือ เราต้องแสวงหาและเรียนรู้ใหม่ วิถีแห่งการเรียนรู้ซึ่งมีพื้นท ี่ใหก้ บั ความรแู้ ละประสบการณใ์ นรปู แบบอนื่ ๆ การเกดิ ขน้ึ ของการเคลอื่ นไหวทางสงั คมใหมๆ่และวิธีการทป่ี ระชาชนสรา้ งวาทกรรมของตนเอง ในทางมานษุ ยวทิ ยา ขอ้ เสนอแนะเหลา่ นี้ อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ การประยกุ ตอ์ งคค์ วามรู้มาใชเ้ พอ่ื การพัฒนาและแกไ้ ขปญั หาในทางสังคมมานุษยวทิ ยาประยกุ ต์ อาจารย์ชยันต์ เป็นนกั มานษุ ยวิทยาที่อาจเรยี กได้วา่ เป็นนักมานษุ ยวิทยาประยกุ ต์คนหนงึ่ ทป่ี ระยกุ ตอ์ งคค์ วามรทู้ างมานษุ ยวทิ ยามาใชเ้ พอ่ื การพฒั นาและแกไ้ ขปญั หาในชนบทหรือชุมชนยากไร้ มานุษยวิทยาประยุกต์นั้น เป็นสาขาย่อยที่พัฒนาข้ึนในประเทศสหรฐั อเมรกิ า เปน็ ทน่ี ิยมแพรห่ ลายหลังสงครามโลกคร้ังทีส่ อง ซึง่ นักมานุษยวทิ ยาไดเ้ ขา้ ไปมีบทบาทส�ำคัญในการก�ำหนดนโยบายการบริหารและการพัฒนาในประเทศโลกที่สาม มากขึ้นเรื่อยๆ (สุริยา และคณะ ๒๕๓๖: ๓๘-๓๙) นอกจากน้ี Seymour-Smith (1986: 13-14 อา้ งในสุริยา ๒๕๓๖: ๓๙) อธบิ ายวา่ “...นักมานุษยวทิ ยาประยุกต์พยายามอทุ ศิ ตนท�ำงานเพ่ือลดคุณค่าและความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวบ้านในประเทศด้อยพัฒนากับ “นักพัฒนา” ที่มาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว”(การเน้นเป็นของต้นฉบับ) อย่างไรก็ตามค�ำอธิบายข้างต้นเน้นถึงการท่ีนักมานุษยวิทยา ต้องเข้าไปท�ำงานในพ้ืนที่ประเทศอ่ืน โดยที่ไม่ได้กล่าวถึงในกรณีของนักมานุษยวิทยา ท่ที �ำงานกับกล่มุ คนตา่ งๆ ทอี่ ยใู่ นประเทศเดยี วกันกบั นักมานษุ ยวทิ ยาเอง สุริยาและคณะ (๒๕๓๖: ๓๙) ยังได้กล่าวถึงลักษณะส�ำคัญสามประการของมานษุ ยวทิ ยาประยุกต์ โดยอา้ งถึงงานเขยี นของ Eddy and Partridge (1978: 5-6) วา่ คือ ๑) การศึกษาวิจัยกลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ๒) มุ่งเป้าหมายการศึกษาวิจัยไปท่ีสภาพปัญหาและเง่ือนไขความเป็นอยู่ของกลุ่มคนเหล่าน้ัน ๓) พยายามใช้ข้อค้นพบ ข้อมูล 319

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติ และข้อวิเคราะห์จากการศึกษา เพื่อแก้ปัญหา หรือหาทางออกในสภาพการณ์ปัจจุบันน้ัน ซึ่งท้ังหมดน้ี สุริยาและคณะ (๒๕๓๖: ๓๙) เห็นว่า มานุษยวิทยาประยุกต์ต้องไปให้พ้น กรอบของมานษุ ยวิทยา ต้องมงุ่ แก้ปญั หาต่างๆ เชน่ เศรษฐกจิ การศึกษา สาธารณสขุ ฯลฯ มานุษยวิทยาประยุกต์จึงหวังผลในทางปฏิบัติเพื่อช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของกลุ่มคน ท่ีนักมานุษยวิทยาศึกษา ไม่ใช่ “วิจัยเพื่อวิจัยหรือมานุษยวิทยาเพ่ือมานุษยวิทยา” (การเน้นเปน็ ของต้นฉบบั ) มานุษยวิทยาประยุกต์ของ อาจารย์ชยันต์ มีแก่นส�ำคัญที่เป็นประเด็นหลัก คือ การมองปัญหาหรือสังคมแบบองค์รวม ไม่แยกออกจากบริบททางกายภาพ สังคม และ วัฒนธรรมของคนท่ีนักวิจัยท�ำการศึกษา เป็นการพัฒนาท่ีพิจารณาคน ในฐานะที่เป็น ศูนย์กลางของการพัฒนา โดยเฉพาะคนที่เป็นคนยากไร้ คนท่ีด้อยโอกาส คนท่ีถูกเอารัด เอาเปรยี บ เกษตรกรรายยอ่ ย ชาวบา้ นธรรมดาทไี่ รอ้ ำ� นาจทางเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื ง นอกจากนี้ ยังเน้นการให้ความสำ� คญั กบั มิติทางสังคมวัฒนธรรมในการพัฒนาชนบท เมื่อมีจุดหมายในการน�ำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาทางสังคม แนวทางของการศึกษาวิจัย จึงเน้นท่ีการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ศึกษากับผู้ท่ีถูกศึกษา การให้ความส�ำคัญ กับความรู้ในระดับท้องถ่ินหรือพ้ืนบ้าน ตลอดจนการท�ำวิจัยโดยชาวบ้าน หรือคนที่เป็น เจา้ ของปญั หาเอง เชน่ งานวจิ ยั ไทบา้ น ทอี่ าจารยช์ ยนั ต์ ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการพฒั นา รปู แบบ และแนวทางการวจิ ยั แบบน้ี รว่ มกบั ชยั ณรงค์ เศรษฐเชอ้ื ซง่ึ ในขณะนน้ั เปน็ รองผอู้ ำ� นวยการ เครอื ขา่ ยแมน่ ำ�้ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และชาวบา้ นในพน้ื ทท่ี ไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากการสรา้ ง เข่ือนปากมูล ซ่ึงรูปแบบของงานวิจัยแบบนี้ เป็นวิธีการท่ีมุ่งให้พื้นที่ของการสร้างความรู้ แก่ชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็ให้พ้ืนที่กับความรู้ที่เป็นพื้นบ้าน ซึ่งแตกต่างจากงานวิจัย โดยทัว่ ไปทช่ี าวบา้ นมสี ถานะเปน็ เพียงผใู้ หข้ ้อมูลหรือผ้ทู ่ถี ูกวจิ ยั เทา่ นั้น ทงั้ นี้ สงิ่ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลในการกำ� หนดแนวคดิ การทำ� งานในฐานะนกั มานษุ ยวทิ ยาประยกุ ต์ ของอาจารย์ชยันต์นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากมีเพื่อนอาจารย์รุ่นอาวุโสในทาง วิชาการ เช่น อาจารย์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ซ่ึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวทางการท�ำงาน ทางวิชาการ และเพื่อสังคมของอาจารย์ชยันต์เป็นอย่างมาก อาจารย์อคิน ที่เป็นผู้ก่อตั้ง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นผู้ที่แสวงหาแนวทางการใช้ สงั คมศาสตรเ์ พอ่ื การพฒั นาสงั คม เคยบอกอาจารย์ชยันต์ ว่า “ความยากจนและทกุ ข์ยาก ของผู้คน และความอยุติธรรมที่เรามองเห็นเป็นสิ่งท่ีเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการที่เราปฏิบัติ สังคมศาสตร์” อาจารย์ชยันต์ ยอมรับว่าค�ำกล่าวของ อาจารย์อคิน ดังกล่าวข้างต้นน้ี เป็นส่ิงท่ีมีอิทธิพลไม่น้อยกับการใช้ชีวิต และการท�ำงานในฐานะนักวิชาการ และ นักเคลอื่ นไหวทางสงั คมของอาจารย์ 320

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารย์อาวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ อาจารย์ชยันต์ มีวิธีการศึกษาชุมชนท่ีคล้ายกับ อาจารย์อคิน ในหลายประการ ในเร่ืองของการท�ำงานกับชาวบ้าน ในแง่ท่ีช่วยให้ชาวบ้านเปิดโลกทัศน์และได้พัฒนา ความคิดของตนเอง ซึง่ จะชว่ ยพฒั นาคน คือ ชาวบา้ นได้ระดับหน่ึง๒ การเคารพในศักดศ์ิ รีของความเปน็ มนษุ ยท์ เี่ ทา่ เทยี มกนั ความเชอ่ื วา่ ชาวบา้ นมคี วามรู้ ความสามารถ และสามารถพฒั นาความสามารถของชาวบ้านได้ อาจารย์ชยันต์ เคยกล่าวไวว้ ่า เปน็ นักมานษุ ยวิทยาคนหนง่ึ ทีไ่ ดเ้ รยี นรู้วธิ กี ารศึกษาชมุ ชน และกลุ่มทางสงั คมจากอาจารย์อคนิ และช่ืนชมผลงานทางวิชาการของท่าน โดยเรมิ่จาก อาจารยช์ ยนั ต์ ร้จู กั งานเขียน อาจารยอ์ คิน ขณะกำ� ลงั เรยี นวชิ ามานุษยวิทยาการเมืองกับศาสตราจารย์วิลเลียม สกินเนอร์ ท่ีอเมริกา คือบทความเรื่อง Clientship and classstructure in the early Bangkok period ซง่ึ ปรากฏในหนงั สือรวมบทความเรอื่ ง Change and persistence in Thai society ซ่งึ มีศาสตราจารย์สกินเนอร์ เปน็ บรรณาธกิ ารรว่ ม และ จดั พมิ พ์ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ (1978) ในหนงั สอื นี้ อาจารยอ์ คนิ เสนอแนวคดิ เร่อื งความสมั พนั ธ์แบบผู้อุปถมั ภ-์ ผไู้ ดร้ ับอปุ ถัมภ์ สำ� หรบั อธิบายโครงสร้างสงั คมไทย สิง่ ทที่ �ำให้อาจารย์ชยนั ต์ประทบั ใจในอาจารยอ์ คนิ นน้ั คอื การประยกุ ตค์ วามรคู้ วามเขา้ ใจทางทฤษฎไี ปใชใ้ นการทำ� งานพัฒนา ไมใ่ ชศ่ กึ ษาสงั คมไทยเพื่อสร้างทฤษฎีอยา่ งเดยี วเรียนรจู้ ากผู้คน ในตลอดชีวิตการท�ำงานของอาจารย์ชยันต์ ไม่ว่าในฐานะอาจารย์ หรือผู้บริหาร ของศนู ยส์ ง่ เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม หรอื สถาบนั วจิ ยั สงั คม และปจั จบุ นั ในฐานะหวั หนา้ โครงการศนู ย์ภมู ภิ าคเพื่อสังคมศาสตรแ์ ละการพัฒนาท่ยี ่ังยนื ทา่ นไดแ้ สดงให้เหน็ ถงึ การปฏิบัติตามแนวทางทที่ า่ นเคยกลา่ วไว้ นนั่ คอื การแสวงหาและเรยี นรใู้ หม่ เปน็ วถิ แี หง่ การเรยี นรซู้ ง่ึ มพี นื้ ท่ีใหก้ บั ความรแู้ ละประสบการณใ์ นรปู แบบอนื่ ๆ การเกดิ ขน้ึ ของการเคลอ่ื นไหวทางสงั คมใหมๆ่และวิธีการที่ประชาชนสร้างวาทกรรมของตนเอง อาทิเช่น งานวิจัยภาคสนามเชิงมานุษยวิทยา ปฏิบัติการของสถาบันวิจัยสังคม ท่ีให้ความสนใจกับการรวมกลุ่มและ สร้างเครือข่ายผู้ติดเชื้อ อาจารย์ชยันต์ได้วิเคราะห์กระบวนการ “เผยร่างสร้างตัวตน” ของ ผู้ติดเชื้อ ท่ีมองเห็นกระบวนการทางสังคมของการสร้างอ�ำนาจผ่านการนิยามตัวตนใหม่ และการใชค้ ุณค่าของสงั คมเครอื ญาตใิ นการรวมกลมุ่ ผ้ตู ดิ เชือ้ เป็นกระบวนการที่ “รอ้ื ถอนและนิยามตวั เองใหม่” เพอื่ เปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ๒ ประยงค์ เนตยารักษ์ และเจิมศักด์ิ ปิ่นทอง. ๒๕๓๖. “ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ กับการพัฒนาชนบทไทย” ใน นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บ.ก.) คนธรรมดา: รวมบทความและข้อเขียนในวาระครบรอบอายุ ๖๐ ปี ม.ร.ว.อคิน รพพี ัฒน์ ขอนแกน่ : เจรญิ วิทยก์ ารพิมพ.์ หนา้ ๑๒-๑๓. 321

๕๐ชีวิตและงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติ นอกจากน้ี ยงั มผี ลงานทางวิชาการและการศึกษาเร่ืองปา่ ชมุ ชน เขือ่ นหรือโครงการ พฒั นาขนาดใหญอ่ น่ื ๆ ที่มผี ลกระทบต่อชุมชนชาวบ้าน งานศกึ ษาเหลา่ นมี้ ที ัง้ งานประเภท วทิ ยานิพนธ์ บทความ และรายงานการวจิ ัย งานของอาจารยช์ ยันต์ มลี กั ษณะทัง้ ทเ่ี ปน็ การ วจิ ยั เพอ่ื นำ� ไปแกป้ ญั หาและเพอื่ เปน็ คำ� แนะนำ� ใหแ้ กเ่ จา้ หนา้ ทหี่ นว่ ยงาน และองคก์ รพฒั นา เอกชนทเ่ี กย่ี วข้องในรูปแบบของปาฐกถา การบรรยายทางวิชาการ การใหค้ �ำแนะนำ� นอกจากนี้ อาจารยช์ ยนั ต์ ท�ำงานเชงิ ปฏิบตั ิเก่ียวกบั การแก้ไขปญั หาเรือ่ งป่าไม้ ท่ดี นิ สญั ชาติ อาทิ การเขา้ ไปเปน็ กรรมการในอนกุ รรมการแกไ้ ขปญั หาเรอ่ื งเหลา่ น้ี รว่ มกบั ตวั แทน ของชาวบ้าน และราชการ เพอื่ เสนอแนวทางในการแกป้ ญั หา ซ่งึ ข้อเสนอในการแกป้ ัญหา หลายกรณี เปน็ สง่ิ ทต่ี อ่ เนอื่ งมาจากวธิ กี ารมองปญั หาของทา่ น และวธิ กี ารทางมานษุ ยวทิ ยา ในการรู้จักชุมชน และการให้ชาวบ้านในชุมชนรู้จักวิเคราะห์ปัญหาท่ีเผชิญ รู้ว่าจะมีทาง แกอ้ ะไรบา้ ง และมขี อ้ ดขี อ้ เสยี อยา่ งไร และตดั สนิ ใจ โดยบทบาทของนกั วจิ ยั เปน็ เพยี งพเ่ี ลยี้ ง ท่ใี ห้ค�ำปรึกษา สนับสนุนใหช้ มุ ชนแตล่ ะแห่งสามารถพฒั นาศกั ยภาพของตนเอง ตวั อยา่ งรปู ธรรมของการท�ำงานเหล่านี้ เชน่ ในชว่ งปี พ.ศ.๒๕๓๐-๒๕๓๒ ท่กี ระแส ภูมิภาคนิยมในภาคเหนือมีสูง เน่ืองจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าเจ็ดร้อยปี และความ หลากหลายของผู้คนหลายชาติพันธุ์ท�ำให้เกิดความต้องการท่ีจะพัฒนาความเป็นภูมิภาค ในช่วงนี้ อาจารย์ชยันต์ และเพื่อนๆ ได้ก่อต้ังศูนย์ศึกษาศิลปวัฒนธรรมล้านนา ภายใต้ ร่มของส�ำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการรื้อฟื้นขนบธรรมเนียม การเขียนตวั พน้ื เมอื งลา้ นนาบนคมั ภีร์ท่ีทำ� จากใบลาน กลา่ วสำ� หรบั อาจารยช์ ยันต์ เองน้ัน ให้ความส�ำคัญกับการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยในไทย ด้วยเห็นว่าเพื่อนบ้าน ทอ่ี าศยั บนพน้ื ทส่ี งู กวา่ แปดแสนคนเปน็ ชนเผา่ กลมุ่ นอ้ ยทเ่ี รารจู้ กั นอ้ ยมาก โดยเฉพาะในเรอื่ ง การเข้าถึงและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ดิน ปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางสังคม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม ของชนเผา่ และชาติพนั ธ์ุ แต่กรณที ี่น่าสนใจ ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถึงวิธกี ารทำ� งานของ อาจารย์ชยันต์ ทีเ่ น้นการให้ ความสำ� คัญกบั ชาวบ้านและ “เสยี ง” ของผถู้ กู วิจยั ตลอดจนเป็นการพฒั นาการทำ� งานวจิ ัย รปู แบบใหม่ ที่ไมเ่ คยมมี าก่อน กค็ อื งานวิจยั ไทบา้ น ซ่งึ มจี ุดเร่มิ ท่กี รณเี ขอื่ นปากมลู 322

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารย์อาวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิวจิ ัยไทบ้าน: เม่ือชาวบา้ นเปน็ ผู้วจิ ัยและนักวชิ าการเปน็ ผชู้ ่วยวิจัย การเข้าไปมีบทบาทของ อาจารย์ชยันต์ ในกรณีของเข่ือนปากมูลน้ัน ในตอนแรกอาจารย์เข้าไปร่วมในฐานะนักวิชาการท่ีห่วงใยและติดตามประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง และ ในบางคร้ังก็แสดงจุดยืนสนับสนุนชาวบ้าน ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ คณะกรรมาธิการเข่ือนโลก ไดค้ ดั เลือกกรณเี ขอื่ นปากมลู เป็นหน่งึ ในแปดกรณีศึกษา และอาจารย์ชยันต์ ไดร้ ับการเสนอช่ือให้เป็นหน่ึงในทีมวิชาการที่ศึกษาผลกระทบของเข่ือน โดยได้รับความเห็นชอบทั้ง จากตวั แทนชาวบา้ น และการไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย (กฟผ.) แตร่ ายงานการศกึ ษาสุดท้ายไม่ได้รับการยอมรับจาก กฟผ. และธนาคารโลก ซึ่งเห็นว่า แง่มุมทางสังคมของ รายงานนนั้ ลำ� เอยี งเขา้ ขา้ งชาวบา้ น โดยทธ่ี นาคารโลกโตแ้ ยง้ วา่ โครงการปากมลู เปน็ ตวั อยา่ งท่ีดีของนโยบายการอพยพชุมชนท่ีได้รับผลกระทบจากการสร้างเข่ือน ส่วนค�ำแนะน�ำ ในรายงานของคณะกรรมาธกิ ารเขอื่ นโลก ก็ไมไ่ ด้รับการปฏบิ ตั ติ ามโดยรฐั บาลไทย ในช่วงท่ีชาวบ้านปากมูลมาประท้วงหน้าท�ำเนียบรัฐบาลช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๓ น้ัน อาจารย์ชยันต์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา การจัดตั้งกลุ่มสมัชชาคนจน ท�ำให้ประเด็นเร่ืองปากมูลได้รับความสนใจ ภายหลังเหตุการณ์ชาวบ้านบุกท�ำเนียบและ ถูกจับกุม อาจารย์ชยันต์ ร่วมกับ อาจารย์เจมส์ กลาสแมน (James Glassman) แห่งมหาวิทยาลัย Syracuse สหรัฐอเมริกา ร่วมกับนักวิชาการไทยอีก ๓๐๐ คน ร่วมกันลง รายชื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รับฟังข้อมูลจากท้ัง ชาวบา้ นทไี่ ดร้ บั ผลกระทบและจาก กฟผ. แตก่ ไ็ มเ่ กดิ อะไรขนึ้ จนเปลย่ี นรฐั บาลใหม่ จงึ มกี ารแก้ปัญหาของสมัชชาคนจน ซึ่งรวมถึงกรณีเข่ือนปากมูล มีข้อสรุปให้เปิดประตูเขื่อนใน หนงึ่ ปเี พอื่ ศกึ ษาวา่ มผี ลในทางสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งไร เชน่ ประมง นเิ วศวทิ ยา เกษตร เศรษฐกจิและสังคม และเพอ่ื ดูวา่ ปลาจะกลับมาวางไขเ่ ช่นทีช่ าวบ้านกลา่ วหรอื ไม่ “ตอนนั้นเรารู้ว่าต้องมีข้อมูลสนับสนุนเพื่อที่จะให้รัฐบาลเห็นชอบ” อาจารย์ชยนั ต์ กล่าวในการใหส้ มั ภาษณ์กับอาจารย์ Celia การสนับสนุนให้ชาวบ้านเก็บข้อมูลเอง เป็นการเสริมศักยภาพและมีข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ของพวกเขาเพื่อที่จะตอบโต้ชี้แจงกับ ภาครัฐ นอกจากนี้ ความล่าช้าของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่ได้รับมอบหมายให้ทำ� การศึกษาวิจัย ตลอดจนการออกแบบและขอบเขตของการวิจัยของทีมศึกษา ท�ำให้ชาวบ้าน ไม่เชื่อใจ นอกจากนี้ หลังจากที่ อาจารย์ชยันต์ ได้อ่านรายงานเบื้องต้นของทีมศึกษา ซงึ่ ไมไ่ ดต้ อบคำ� ถามทว่ี า่ เมอ่ื เปดิ ประตเู ขอ่ื นแลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ ผลในทางสภาพแวดลอ้ มอยา่ งไรบา้ งท�ำให้อาจารยเ์ ห็นด้วยกบั ชาวบา้ นว่าตอ้ งเกบ็ ข้อมลู เอง 323

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวโุ ส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภตู ิ ในฐานะที่ปรึกษาเครือข่ายแม่น�้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจารย์ชยันต์ ได้ม ี สว่ นรว่ มสนบั สนนุ ใหช้ าวบา้ นทอี่ าศยั รมิ ฝง่ั แมน่ ำ้� มลู ในการตงั้ ทมี วจิ ยั ชาวบา้ น ทำ� การบนั ทกึ พันธุ์ปลา (อย่างน้อย ๑๓๐ พันธุ์) จ�ำนวนปลาท่ีจับได้ และการฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น แหล่งวางไข่ ชื่อและปริมาณ และการใช้ประโยชน์พืชผักที่กินได้บริเวณริมฝั่ง เป็นต้น ชาวบ้านยังมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นสองฝั่งแม่น้�ำ ภายหลัง การเปิดประตรู ะบายน้�ำของเขื่อนปากมลู ซง่ึ ในการทำ� วจิ ยั ไทบา้ นครงั้ นี้ ชาวบา้ นเปน็ ตวั หลกั ในการเกบ็ ขอ้ มลู โดยมนี กั วชิ าการ และตัวแทนองค์กรเอกชน เป็นผู้ช่วยวิจัย ในการจดบันทึก เรียบเรียง และมีการวิเคราะห์ ข้อมูลร่วมกัน นับว่าเป็นแนวทางการศึกษาวิจัยรูปแบบใหม่ ท่ีไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และ หลงั จากนนั้ ไดม้ กี ารขยายรปู แบบของงานวจิ ยั ลกั ษณะนไ้ี ปศกึ ษาในพนื้ ทอี่ นื่ ๆ ทง้ั ในประเทศ และในประเทศเพ่อื นบา้ นในลมุ่ แมน่ �ำ้ โขง๓ งานวิจัยไทบ้านน้ัน กล่าวได้ว่า เป็นความพยายามที่จะรวบรวมความรู้ท้องถ่ิน อยา่ งเปน็ ระบบ เพอื่ นำ� ไปใชใ้ นการแกป้ ญั หาทชี่ มุ ชนเผชญิ อนั เปน็ ผลมาจากโครงการพฒั นา อาจารย์ชยันต์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของงานวิจัยไทบ้านว่า เป็นความพยายาม ที่จะรวบรวมเก็บข้อมูลความรู้ท้องถ่ิน โดยชาวบ้านเอง เพ่ือเอาความรู้ไปแก้ไขปัญหา เพราะบางคร้ังการพัฒนาที่มีการทำ� ข้อมูลจากนักวิชาการอาจไม่เพียงพอ หรือไม่มีข้อมูล ขาดมมุ มองและความรจู้ ากชาวบา้ น สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาการพฒั นาทไี่ มต่ รงกบั ความตอ้ งการ ของชาวบ้าน๔ ท้ังน้ี เพราะระบบคิดของการพัฒนา มองว่าความรู้ชาวบ้านล้าสมัย ไม่เป็น วิทยาศาสตร์ การพัฒนาเข้ามาพร้อมกับความรู้แบบทันสมัย ซึ่งคิดออกมาเป็นคุณค่าทาง เศรษฐกิจได้ ระบบคิดของการพัฒนา ไม่ให้ความส�ำคัญกับอะไรก็ตามท่ีเป็นความรู้ชนบท ดังนั้น รัฐไม่สนใจความรู้ชาวบ้าน เวลารัฐตัดสินใจวางแผนพัฒนา จะให้นักวิชาการจาก ข้างนอกมาเก็บข้อมูล โดยไม่สนใจว่าการพัฒนาเหล่าน้ันจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ท่ีด�ำรงชีวิตกันมาอย่างยาวนานอย่างไร การสร้างเขื่อนปากมูลเป็นตัวอย่างการตัดสินใจ ท่ีไม่อิงระบบนิเวศวิทยา ไม่สนใจวิถีชีวิตของปลา ต่างกับชาวบ้านที่รู้ว่าปลาไหนจะขึ้น มากอ่ น สงิ่ ทีส่ ง่ั สมของชาวบา้ นหายไปพรอ้ มกับเขื่อน จะเห็นว่า งานวิจัยไทบ้าน เป็นการใช้ความรู้ท้องถ่ินไปใช้ในการแก้ปัญหาของ ชาวบา้ นเอง ซง่ึ ความรทู้ อ้ งถน่ิ ในความเหน็ ของอาจารยช์ ยนั ตน์ น้ั แบง่ ออกเปน็ ๓ ลกั ษณะคอื ๓ ดรู ายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ใน ธรี พงศ์ โพธ์ิมนั่ . ๒๕๕๓. “๙ ปี งานวจิ ัยไทบา้ น” www.livingriversiam.org. ๔ ค�ำกล่าวในงาน “เวทีถอดบทเรียนงานวิจัยไทบ้าน: สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรลุ่มน้�ำ สู่ข้อเสนอจาก ภาคประชาชน” วนั ท่ี ๖-๗ สงิ หาคม ๒๕๕๓ ณ โรงเรียนบ้านหวั เวียง อ�ำเภอเชียงของ จังหวดั เชียงราย. 324

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ ๑) ความรเู้ กยี่ วกบั ทรพั ยากรสงิ่ แวดลอ้ มทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ บั การด�ำเนนิ ชวี ติ ทที่ ำ� ให้สามารถดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับการด�ำเนินชีวิตของตนเอง เช่น ความรู้เกี่ยวกับน�้ำ ปลา ป่า เพราะอย่มู านาน เรยี นรู้จากการปฏบิ ตั ถิ ่ายทอดจากพอ่ แมบ่ รรพบรุ ษุ เป็นไปอยา่ งละเอยี ดออ่ น แตข่ าดการเก็บรวบรวมเน้ือหา ๒) ความรู้เก่ียวกับการจัดการสังคม ใครเป็นผู้ใช้ การเข้าถึง การแบ่งปัน เป็นการตกลงแบง่ ปนั ทรพั ยากรรว่ มกนั การจดั ความสมั พนั ธ์ มกี ารตง้ั กฎเกณฑร์ ะเบยี บ วา่ ใครมสี ทิ ธิใช้อยา่ งไร มากน้อยเทา่ ไร ๓) ความรู้เกี่ยวกับส่ิงท่ีอยู่เหนือธรรมชาติ ท้องถิ่นแสดงผ่านพิธีกรรม ความเช่ือตำ� นาน เช่น ต�ำนานพระธาตุ ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ พิธเี ดปอถขู่ องปกาเกอะญอ เปน็ การแสดงความเคารพ ความผูกพนั กบั ธรรมชาตจิ นเกนิ ไป ความเป็นห่วงของนักพัฒนาและนักวิชาการคือ การท่ีความรู้ท้องถิ่นถูกกดทับไว้ ในกระบวนการพัฒนา ซ่ึงเป็นการพัฒนาท่ีปราศจากความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรม ทอ้ งถน่ิ เปน็ การพฒั นาทไ่ี มย่ ง่ั ยนื จากกรณเี ขอื่ นปากมลู ชาวบา้ นเสนอวา่ อยากทำ� งานวจิ ยัเพอ่ื หาคำ� ตอบใหก้ บั ขอ้ เสนอเปดิ ประตรู ะบายนำ้� ของเขอื่ น เพอื่ ดวู า่ ควรจะเปดิ ประตรู ะบายนำ้�ปีละก่ีเดือน เป็นข้อเสนอที่ใช้ความรู้เพ่ือการตัดสินใจในการก�ำหนดนโยบาย ข้อเสนอ ของชาวบา้ นดังกล่าว เกิดข้ึนเพราะชาวบา้ นรู้สึกวา่ ไมม่ ีสว่ นร่วมในการทำ� วจิ ัย เปน็ แตเ่ พยี งให้ข้อมูลตามที่นักวิจัยถาม เลยอยากท�ำงานวิจัยเอง เป็นท่ีมาของงานวิจัยไทบ้าน ผลดี ทีเ่ กิดขึ้นก็คอื ชาวบ้านรู้จกั ตนเอง รู้จกั ส่ิงแวดล้อมทตี่ นเองพึง่ พาอาศยั มาตลอด เกิดความภาคภูมใิ จ หวงแหน ในความเห็นของอาจารย์ชยันต์ การท�ำวิจัยลักษณะงานวิจัยไทบ้าน เป็นส่ิงท่ีใหม่ แต่มีความจ�ำเป็นและมีความส�ำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้ ในกระบวนการโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีการ รวมศูนยข์ องการตัดสนิ ใจ ชาวบ้านไมม่ ีส่วนรว่ ม แต่จะได้รบั การอธบิ ายว่า ประเทศต้องการความเจริญก้าวหน้า ต้องการไฟฟ้า การเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชุมชนจาก ทนุ ภายนอก เป็นสิ่งทีร่ ัฐชนื่ ชม ดังนน้ั งานวิจยั ไทบา้ นจึงมคี วามส�ำคัญอยา่ งยิ่ง เพราะเป็นเรื่องการปกป้องสิทธิชุมชนของเราเอง เพ่ือตัวตนของเรา ไม่ให้ถูกกลืนไปกับกระแส การพัฒนา ชาวบ้านต้องมีความรู้ชุดหนึ่งในการต่อรอง สามารถน�ำไปอธิบายให้เหตุผล กับคนข้างนอกต่อการวางแผนพัฒนาว่าต้องอาศัยความรู้จากชุมชน และการพัฒนาต้องคำ� นงึ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนของคนทอี่ าศยั และดำ� รงชวี ติ ในลมุ่ นำ้� ดว้ ย ถา้ เรามคี วามรรู้ ะบบนเิ วศแมน่ ำ�้ท้ังสาย จะท�ำใหม้ พี ลังในการอธิบายว่ามีความหลากหลาย มรี ะบบนิเวศ มีชุมชน 325

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภตู ิ ศกั ยภาพของผูค้ น ชุมชน นอกจากให้ความส�ำคัญกับความรู้ท้องถ่ินแล้ว ประเด็นหน่ึงท่ีอาจารย์ชยันต์สนใจ ซ่ึงมีความคล้ายคลึง หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอิทธิพลจากการศึกษางานของ ม.ร.ว.อคิน รพพี ฒั น์ กค็ อื การสนใจศกึ ษาการรวมกลมุ่ เพอื่ ชว่ ยเหลอื กนั เอง กลา่ วสำ� หรบั อาจารยอ์ คนิ นนั้ ใหค้ วามสนใจเปน็ พเิ ศษกบั การรวมกลมุ่ เกษตรกร ซง่ึ ทา่ นเหน็ วา่ “เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ ควรไดม้ กี าร ศึกษาการรวมตัวกันของเกษตรกรเพื่อช่วยตนเองทุกรูปแบบ ไม่ว่าจัดตั้งโดยทางราชการ หรือไม่ก็ตาม ทั้งน้ี เพ่ือเป็นการเรียนรู้เก่ียวกับการรวมกลุ่ม อุปสรรค ปัญหา และวิธีการ ภายใต้และภายในกรอบของโครงสร้างของสังคม สภาพแวดล้อม ค่านิยม และพฤติกรรม ของคนไทยและสังคมไทย” (อคิน ๒๕๒๒: ๔ อ้างใน จารุภรณ์ ๒๕๓๖: ๑๘๑) สิ่งท่ีอาจารย์ชยันต์ ให้ความสนใจในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากอาจารย์อคิน ในเร่ืองการศึกษาการรวมกลุ่มเพ่ือช่วยเหลือกันเอง ก็คือ อาจารย์ชยันต์ ขยายขอบเขต ของความสนใจไปศึกษากลุ่มอ่ืนๆ ด้วย ตัวอย่างหน่ึงคือ การศึกษาการรวมกลุ่มเพ่ือ ช่วยเหลือกันเองของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในงานเขียนเร่ือง “เผยร่างสร้างตัวตน: การเคลอื่ นไหวทางสงั คมของผตู้ ดิ เชอ้ื เอดส”์ ๕ ซง่ึ มลี กั ษณะเดน่ ในแงท่ เี่ นน้ ใหเ้ หน็ ถงึ ศกั ยภาพ (agency) ของผู้ติดเช้ือในฐานะท่ีเป็นมนุษย์ ในการก้าวพ้นความกลัว ความดูถูก ดูหม่ิน ความหวาดระแวง ความกลัวของคนในสังคม ดว้ ยการเปิดเผยสภาพการติดเช้อื ของตนเอง พร้อมกับสร้างค�ำนิยามให้กับตนเองใหม่ ในฐานะผู้ท่ีสามารถลุกขึ้นหยัดยืนต่อสู้ แสวงหา ทางเลือกในการดูแลรักษาตนเอง ด�ำเนินชีวิตอย่างคนที่ไม่มีเช้ือร้ายในร่างกาย และยัง สามารถให้ค�ำแนะน�ำ เป็นวิทยากรให้ความรู้เร่ืองการดูแลตนเอง และการป้องกันโรคแก ่ คนอื่นๆ ได้ ซ่งึ การทอี่ าจารย์ชยนั ต์ น�ำแนวคดิ เรื่อง agency มาใชเ้ ปน็ แนวทางในการศกึ ษา การรวมกลมุ่ ของผู้ติดเชอ้ื เอชไอวี/เอดสน์ ้ี นับเป็นคร้ังแรกๆ กอ่ นทีแ่ นวคิดดงั กล่าวจะได้รบั ความนยิ มในการศกึ ษาอยา่ งมากในระหวา่ งปี พ.ศ.๒๕๔๐ และจากนนั้ เปน็ ตน้ มา งานเขยี น เรือ่ งน้ี อาจารย์สรุ ิชัย หวนั แกว้ แห่งคณะรฐั ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ให้ความเห็น ไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจในหนงั สอื ของเขาเรอ่ื ง “กระบวนการกลายเปน็ คนชายขอบ” (๒๕๔๖: ๖๘)๖ ว่า “ชยันต์ วรรธนะภูติ ได้ท�ำงานวิจัยชิ้นส�ำคัญท่ีทรงพลังในการแสดงถึงการปรับเปล่ียน กระบวนทัศน์ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ในกรณีของเครือข่ายผู้ติดเช้ือโรคเอดส์ ทวั่ ภาคเหนอื ซง่ึ นบั เปน็ ปรากฏการณท์ างสงั คมทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ เมอ่ื การแพทยเ์ ชงิ สถาบนั นน้ั ไม่สามารถให้ค�ำตอบเก่ียวกับโรคชนิดนี้ได้ จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่สนับสนุน ๕ เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง “สถานภาพและทิศทางองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์” คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ๒๕๔๒. ๖ สุริชัย หวนั แกว้ . ๒๕๔๖. กระบวนการกลายเปน็ คนชายขอบ กรุงเทพฯ: สำ� นักงานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ. 326

๕๐ ศ าม สสชังต.ครปม์ชี วี ิตและงาน ของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติซ่ึงกนั และกนั เกดิ การดูแลเอาใจใสก่ นั และกนั เปน็ มติ ทิ างสังคม วัฒนธรรม ท่ขี าดหายไปจากการแพทยแ์ บบชวี ภาพ ตลอดหลายทศวรรษของการท�ำงานของอาจารยช์ ยนั ตน์ น้ั ทา่ นไมเ่ คยหยดุ นง่ิ ในการประยุกต์องค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษาวิจัยไปใช้เพ่ือการพัฒนาสังคม และเสนอแนะ แนวทางในการแก้ไขปญั หาความทา้ ทายต่างๆ ในสงั คม ไม่เพียงแตใ่ นระดับประเทศเท่านัน้ แตย่ ังขยายไปในประเทศเพือ่ นบา้ นในภมู ภิ าคดว้ ย ในฐานะหัวหน้าโครงการศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาท่ียั่งยืน ที่ก่อตั้งข้ึนเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๑ อาจารย์ชยันต์ มีบทบาทอย่างส�ำคัญในการปฏิบัติการ ทางสังคมศาสตร์ ในลักษณะ “ข้ามพรมแดน” เป็นการแลกเปล่ียนประสบการณ์ และ การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักสังคมสงเคราะห์ และนักพัฒนาในภูมิภาค การเกิดข้ึนของ ศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาท่ียั่งยืน เป็นความพยายามที่จะสนับสนุน“ความต้องการอย่างต่อเน่ืองในการพัฒนาความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ การปรับตัว โดยการศึกษา ตรวจสอบภายใต้บริบทการพัฒนาในภูมิภาคลุ่มน�้ำโขง รวมท้ังเพ่ือส�ำรวจอย่างวิพากษ์ถึงความเกี่ยวข้องและการเปลี่ยนแปลงความหมายของพรมแดน และชายแดน โดยม่งุ ศกึ ษาวิเคราะห์ทง้ั ในระดบั ท้องถิ่นและระดบั ภมู ภิ าค”๗ภูมภิ าคลุ่มนำ�้ โขง: การเปล่ยี นแปลงและการปรับตัว แม้ว่าภาคเหนือของประเทศไทย จะมีความใกล้ชิดในเชิงภูมิศาสตร์กับประเทศพม่าลาว เวียดนามทางตอนเหนือ และจีนทางตอนใต้ แต่ดูเหมือนว่า ในส่วนของสถาบัน การศึกษาของไทยน้ัน ยังไม่ได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจที่ดีพอเก่ียวกับเพื่อนบ้านใกล้ชิด ของเราทั้งในแง่การเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม ซึ่งการขาดแคลนความรู้ในเร่อื งน้ีเปน็ สง่ิ ทไ่ี ปไมท่ นั กบั การพฒั นา และการเปลยี่ นแปลงโดยเฉพาะทางดา้ นเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคอันเป็นผลมาจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าไปลงทุนของจีน ในประเทศต่างๆ ในภมู ิภาค การก่อเกิดขึ้นมาของศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาท่ีย่ังยืนเนื่องจากมองเห็นปรากฏการณร์ ว่ มกันในการเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ ทางสงั คม ภายใต้บรบิ ทการพัฒนาในประเทศในภมู ภิ าคลมุ่ น�้ำโขง ไมว่ า่ จะเปน็ การพัฒนาในเขตพนื้ ท่สี ูง การมีลักษณะรว่ มกันของภาษา วัฒนธรรม และความทา้ ทายต่างๆ ของชนเผา่ ชาติพนั ธุ์ท่ีหลากหลาย และอาศยัอยภู่ ายใตร้ ฐั ชาติทีม่ คี วามแตกต่างกนั ในระบบเศรษฐกิจ การเมอื ง๗ Chayan Vaddhanaphuti. 2005. “Message from RCSD Report 1998-2005”. Chiang Mai: Regional Center for Social Sciences and Sustainable Development. 327

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชังต.ครปม์ ีของคณาจารย์อาวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติ หนา้ ทแ่ี ละบทบาทของศนู ยฯ์ ดงั ที่ อาจารยช์ ยนั ต์ อธบิ าย ประกอบดว้ ยสามสว่ นหลกั คือ ๑) การเป็นสถาบันการศึกษาในระดับปริญญาโทด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและ ปรญิ ญาเอกด้านสังคมศาสตร์ ๒) เป็นสถาบนั ฝึกอบรม และ ๓) เป็นสถาบนั การวิจัยท่มี ุ่ง สร้างองค์ความรู้ด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างย่ังยืนส�ำหรับนักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัยและนักพัฒนาในภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือในทางวิชาการ และการ ท�ำวจิ ยั รว่ มกับสถาบันการศกึ ษาในภมู ภิ าค ซง่ึ ในระยะแรกนนั้ สง่ิ ทโี่ ครงการปรญิ ญาเอก และโครงการวจิ ยั ทศี่ นู ยฯ์ ใหค้ วามสำ� คญั คือความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น การเปรียบเทียบกลุ่มชาติพันธุ์ ในบริบทของความเป็นชาติ สังคม และการเมืองที่แตกต่างกันในไทย พม่า และจีน ส่ิงที่ สำ� คญั คอื การทำ� ใหน้ กั ศกึ ษาเขา้ ใจความสมั พนั ธข์ องประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และ ประเด็นปัญหาทเ่ี รามีร่วมกบั ประเทศอน่ื ๆ เชน่ ปา่ ไม้ แมน่ ้ำ� และประเด็นทางวัฒนธรรม ในระยะต่อมา จุดเน้นของความสนใจ มุ่งศึกษาผลกระทบของกระบวนการความ ร่วมมือในเชงิ เศรษฐกจิ การค้าและการพัฒนาโครงสรา้ งพื้นฐานของประเทศในภมู ิภาค และ ผลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ ในลกั ษณะขา้ มพรมแดนในชุมชนตา่ งๆ รวมทัง้ การเคล่อื นยา้ ยของผู้คน ข้ามพรมแดนทางภูมศิ าสตร์ของรัฐชาตติ ่างๆ อาจารยช์ ยนั ต์ มคี วามตงั้ ใจทจ่ี ะขยายความรู้ และแลกเปลยี่ นบทเรยี นการพฒั นาวจิ ยั ในพ้ืนท่ีต่างๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า หรือประเทศในกลุ่มอินโดจีน เช่น ลาว เวยี ดนาม กมั พชู า ซง่ึ ลกั ษณะการทำ� งานของศนู ยฯ์ ในปจั จบุ นั มกี ารถา่ ยทอด และประมวล ความรู้ ในรูปของหลักสูตรการศึกษา การอบรม หรือให้ความช่วยเหลือทางวิชาการจาก คณาจารย์ ไมว่ ่าจะเป็นการท�ำงานในบริบทของสังคมไทย หรอื บริบทของภมู ิภาค ส่ิงหนง่ึ ท่ีเหน็ ได้ชัด ซ่ึงเป็นเสมือนปรัชญาที่ก�ำหนดแนวคิดการท�ำงานท้ังทางวิชาการและเพื่อสังคมของ อาจารย์ชยันต์ ที่ไม่เคยเปล่ียนแปลง คือการให้ความส�ำคัญกับผู้คนกับความคิด ความรู้ ประสบการณข์ องพวกเขา รวมทง้ั ระบบความรทู้ อ้ งถน่ิ ประเดน็ ในเชงิ วฒั นธรรม และการให้ ความส�ำคัญกบั แนวคดิ การพัฒนาทมี่ าจากประชาชน ส�ำหรับอาจารย์ชยันต์ สังคมศาสตร์จะมีความหมายก็ต่อเม่ือพยายามที่จะเข้าใจ และก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงวาทกรรมการพัฒนา และประกอบสร้างเศรษฐศาสตร์ การเมืองของความเป็นจริงใหม่ เพ่ือท่ีสังคมของเราจะเรียนรู้มากข้ึน เก่ียวกับวาทกรรม กระบวนการ และวิกฤติของการพัฒนา และเพ่ือท่ีสังคมของเราจะมีทางเลือกมากข้ึน ถ้าการพัฒนาสังคมหมายถึงสภาพความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึนของผู้คนท่ียังอยู่ในสภาวะยากจน 328

๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ชี ีวติ และงาน ของคณาจารยอ์ าวุโส อาจารย์ ดร.ชยนั ต์ วรรธนะภูติภารกิจที่สังคมศาสตร์จะต้องอธิบายก็คือ จะท�ำให้ผู้คนบรรลุสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น ได้อย่างไร และท�ำอย่างไรให้ประชาชนสามารถก�ำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง และ ลดผลกระทบของวิกฤติต่างๆ ได้เอกสารอ้างองิภาษาไทยจารุภรณ์ เกาธะทัต-วงศ์บัณฑิต. ๒๕๓๖. “ปัญหาและแนวทางในการรวมกลุ่มช่วยตนเอง ระดบั ทอ้ งถ่ินในประเทศไทย” ใน นิธิ เอยี วศรีวงศ์ (บ.ก.). คนธรรมดา : รวมบทความ และขอ้ เขยี นในวาระครบรอบอายุ ๖๐ ปี ม.ร.ว.อคนิ ระพพี ฒั น์ ขอนแกน่ : เจรญิ วทิ ย์ การพิมพ์ หนา้ ๑๘๑-๑๙๗.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล. ๒๕๓๖. “งานศึกษาสลัมของ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์” ใน นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ (บ.ก.). คนธรรมดา : รวมบทความและขอ้ เขยี นในวาระครบรอบอายุ ๖๐ ปี ม.ร.ว.อคนิ ระพีพฒั น.์ ขอนแก่น: เจรญิ วิทยก์ ารพมิ พ์ หนา้ ๓๗-๕๖.สุริชัย หวันแก้ว. ๒๕๔๖. กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสุริยา สมุทคุปต์ิ พัฒนา กิติอาษา นันทิยา พุทธะ และเกษมศรี สิงห์คก. ๒๕๓๖. “ดร.ม.ร.ว.อคิน รพพี ัฒน์ กบั ห้องปฏิบตั กิ ารทางมานษุ ยวิทยาของอสี าน (Dr. Akin Rabibhadana and the Isan Anthropological Collection)” ใน นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ (บ.ก.). คนธรรมดา: รวมบทความและข้อเขียนในวาระครบรอบอายุ ๖๐ ปี ม.ร.ว.อคิน ระพพี ัฒน์ ขอนแกน่ : เจรญิ วทิ ย์การพิมพ์ หนา้ ๓๗-๕๖.อคนิ รพพี ัฒน.์ ๒๕๒๒. “การพฒั นาและสง่ เสรมิ การรวมกลุ่มระดบั ท้องถน่ิ ”. เสนอต่อการ สัมมนาระดับชาติเรื่องความช่วยเหลือและการประสานงานในการพัฒนาชนบท จดั โดยส�ำนักนายกรัฐมนตรีและเอไอท.ี 329

๕๐ชวี ติ และงาน ศ าม สสชงัต.ครปม์ ีของคณาจารย์อาวุโส อาจารย์ ดร.ชยันต์ วรรธนะภตู ิ ภาษาองั กฤษ Chayan Vaddhanaphuti. 2005. “Message from RCSD” in RCSD Report 1998-2005. Chiang Mai: Regional Center for Social Science and Sustainable Development. Eddy, Elizabeth M., and William L. Patridge (eds.). 1978. Applied Anthropology in America. New York: Columbia University Press. Lowe, Celia. 2004. “The Potential of People: An Interview with Chayan Vaddhanaphuti” Positions: East Asia Cultures Critique 12(1): 71-91. Meillasoux, Claude. 1981. Maidens, Meal, and Money: Capitalism and the Domestic Community. Cambridge: Cambridge University Press. Seymour-Smith, Charlotte. 1986. Macmillan Dictionary of Anthropology. London: The Macmillan Press. เว็บไซต์ ธรี ะพงศ์ โพธ์ิมั่น. ๒๕๕๓. “๙ ปีงานวิจัยไทบา้ น” www.livingriversiam.org เขา้ ถงึ เมือ่ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔. “งานวิจัยไทบ้าน งานวิจัยชุมชน เพื่อชุมชน” ค�ำกล่าวโดย ดร.ชยันต์ วรรธนะภูต ิ ศูนยภ์ มู ภิ าคดา้ นสงั คมศาสตรแ์ ละการพฒั นาทีย่ ัง่ ยนื มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ในเวที ถอดบทเรียนงานวิจัยไทบ้าน: สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรลุ่มน้�ำ สู่ข้อเสนอ จากภาคประชาชน วันท่ี ๖-๗ สิงหาคม ๒๕๕๓ ณ โรงเรียนบ้านหัวเวียง อ�ำเภอ เชียงของ จังหวัดเชียงราย www.livingriversiam.org เข้าถึงเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔. 330

๔ น๕๐าปนี คาณทะสรังรคมศศานสตะร์



๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศุทธนิ ี ดนตรี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ดร.ศทุ ธนิ ี ดนตรี ภาควชิ าภมู ิศาสตร์ตอนที่เข้ามาในภาควิชาภูมิศาสตร์ (ในปี พ.ศ.๒๕๓๘) ถือว่า เปน็ ยุคที่ ๒ ของภาคคือ ในตอนนั้นอาจารยร์ นุ่ แรกทีก่ ่อต้งั ภาควชิ าขึ้นมาคือ ทา่ นอาจารยว์ นั เพญ็ สรุ ฤกษ์ อาจารย์นวลศิริ วงศท์ างสวัสด์ิ อาจารย์อัญชลี สิงหเนตร ก็ยังสอนหนังสืออยู่ ภาควิชาฯ ก็ถือว่าเข้มแข็งมาก ในทางภมู ศิ าสตรเ์ ราคอ่ นขา้ งจะเปน็ ผนู้ ำ� ถ้าเทยี บกบั มหาวิทยาลัยอ่ืน เรามีครบ ทั้ง 3 เสาหลักทางภูมิศาสตร์ คือทั้งภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์ ภมู ศิ าสตรเ์ ทคนคิ มคี ณาจารยค์ รบทกุ ดา้ นเมอื่ เทยี บกบั มหาวทิ ยาลยั อน่ื เขาจะมี ขอ้ จ�ำกดั ในปัจจุบันเราพัฒนาตนเองเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขามากขึ้น ภาควิชาภูมิศาสตร์ก็พยายามที่จะตอบโจทย์ของประเทศ ทิศทางการเรียน การสอน ก็พยายามจะเน้นไปในทิศทางนั้น อย่างเช่น ปัจจุบันน้ีเรามีปัญหา ภัยพบิ ัติ เรามีปัญหาด้านแรงงานต่างดา้ ว แรงงานหลบหนเี ขา้ เมอื ง เรามีปัญหา 333

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชงัต.ครปม์ ีจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศทุ ธินี ดนตรี ในเร่อื งความยากจน และในเร่ืองของการขาดสมดุลในเรื่องทรัพยากร เพราะฉะนั้นทศิ ทาง การเรยี นการสอนของเรา งานวจิ ัยของคณาจารย์ งานวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธข์ องนกั ศึกษา จะมีประเด็นพวกน้ีมากข้ึน คณาจารย์กับนักศึกษาเราก็ปรับทิศทางการท�ำวิจัยการเรียน การสอนมงุ่ ไปในประเด็นพวกน้ีมากขน้ึ ความโดดเดน่ ของสงั คมศาสตรค์ อื เราสามารถทจี่ ะมองภาพรวมได้ และประเดน็ ทางสังคมเป็นประเด็นที่มีความส�ำคัญข้ึนเร่ือยๆ ในอนาคต ท่ีผ่านมาเวลาแก้ปัญหา มกั จะเอาประเดน็ สงั คมเปน็ ประเดน็ รอง แตจ่ รงิ ๆ มนั ตอ้ งคขู่ นานไปกบั เรอื่ งอน่ื ถา้ แกป้ ญั หา ทางสงั คมได้มนั ก็จะแก้ปญั หาอ่ืนๆ ตามไปได้ดว้ ย ซง่ึ ตรงน้ีคดิ วา่ ยงั ขาดการมองประเดน็ น้ี ค่อนข้างเยอะ อย่างเช่นของเราจับประเด็นเกี่ยวกับภัยพิบัติคนก็จะมองแต่สภาพการเกิด ไม่มองประเด็นทางด้านสังคม ถ้ามองประเด็นทางด้านสังคมจะแก้ปัญหาอะไรได้เยอะเลย คนที่พยายามจะแก้ปัญหาท่ีมาจากคนท่ีเป็นสาขาเฉพาะด้าน จะมองประเด็นอย่างเช่น อากาศ น�้ำท่วม กจ็ ะมองไปในประเดน็ ของเหตุการณไ์ ป ถา้ เอาประเดน็ ทางสงั คมมาจบั จะรเู้ ลยวา่ แกป้ ญั หาได้ หรอื แกป้ ญั หาไมไ่ ด้ อนั นคี้ อื จดุ เดน่ ของคณะสงั คมศาสตรท์ ค่ี วร จะคงไว้และพัฒนาต่อ เราจะเข้าสู่อาเซียนในปี พ.ศ.๒๕๕๘ ก็ควรมีการปรับตัวเหมือนกัน เช่นเรื่องของ การใชภ้ าษา ซ่ึงก็ไม่จำ� เป็นต้องเปน็ ภาษาองั กฤษ แตร่ วมถึง ภาษาพมา่ ภาษาลาว เวียดนาม กัมพูชา แม้กระท่ังภาษาจีนก็น่าจะมีความส�ำคัญมากข้ึน และนักศึกษาก็ต้องมีโลกทัศน์ ท่ีกว้างข้ึนในระดับอาเซียนเพราะว่ามันก็จะกลับเข้ามาหาตัวเราอีก เช่นเรื่องของการ เคล่ือนย้ายไปมาของคนท่ีมีอิสระมากข้ึน เร่ืองของการแย่งงานกันท�ำ เร่ืองของการ เขา้ มาใชท้ รพั ยากร ตอนน้เี ราเจอแต่นกั ทอ่ งเท่ยี วจีนเขา้ มาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ใน อนาคตเขาคงไม่มาเทีย่ วอยา่ งเดียว แต่จะมาท�ำงานด้วย มาใช้พนื้ ที่ของเรา เร่ืองการ เตรียมความพร้อมอะไรอย่างน้ี ที่จะท�ำให้สังคมของเรา คนในประเทศไทย คนใน ภาคเหนืออยู่รอดไดแ้ ละไปได้กับสภาวะในอนาคต 334

๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ คงทวศี ักด์ิดร.ไพโรจนผู้ช์ ว่ คยศงาทสตวรศีาจัการดย์์ิ ภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานุษยวิทยา ตอนท่ีเข้ามาท�ำงานใหม่ๆ (ช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๐) สมาชิก คณะสงั คมศาสตร์มีมากกวา่ น้ี รสู้ กึ วา่ ไดพ้ บกบั คนหลายรุ่น หลายวยั อาจารย์กม็ ีระดบั อาวโุ สมากๆ จนถึงอาจารยร์ ุ่นกลาง และกอ็ าจารย์ เด็กๆ รุ่นเดียวกัน เป็นสังคมที่ดี อบอุ่น บรรยากาศแบบนั้นเริ่มเปลี่ยนไป ซ่ึงก็เป็นธรรมดา อาจารย์รุ่นเก่าเร่ิมทยอยเกษียณกันออกไป คนใหม่เข้ามา ตอนที่อาจารย์อาวุโสอยู่ มีข้อดีตรงที่ว่า มีความสนิทสนมเหมือนเราอยู ่ บ้านเดียวกัน เหมอื นครอบครวั จะมคี ณุ พอ่ คณุ แม่คอยดูแล มีการสงั สรรค์ นดั กนั ไปคยุ กนั ดแู ลกนั แตห่ ลงั ๆ พออาจารยอ์ าวโุ สเหลา่ นเ้ี กษยี ณไป บรรยากาศ เหล่านี้ก็หายไป ซ่ึงก็รู้สึกน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน (ปัจจุบัน) เป็นอาจารย์ รนุ่ กลางๆ ขึน้ มาสานต่อ และอาจารย์รุ่นใหมเ่ ขา้ มา แนน่ อนเขาก็มีความคิดกัน คนละแบบ หมายถึงว่าคนละยุคสมัยกัน รู้สึกว่าอยากได้บรรยากาศเก่าๆ อยู่เหมือนกัน แต่คณะสังคมศาสตร์ก็มีความเปล่ียนแปลงในทางที่ดีในแบบ ของมัน 335

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ คงทวีศักด์ิ สมัยกอ่ นท่เี ข้ามาแรกๆ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ยงั เป็นมหาวทิ ยาลยั ของรฐั ยงั ไมไ่ ด้ ออกนอกระบบ การทำ� อะไรมนั กเ็ ป็นระบบราชการแบบเดิม ซ่งึ ก็ให้ความรสู้ ึกอีกแบบหนง่ึ เราอาจจะเคยได้ยินว่าท�ำงานแบบเช้าชามเย็นชาม แต่เท่าท่ีตัวเองสัมผัสมาจาก ประสบการณ์จริง รสู้ กึ ว่ามันไม่ไดเ้ ปน็ เรื่องเลวร้ายอะไร เป็นเร่ืองทดี่ ดี ว้ ยซ�้ำ เพราะว่าหลังๆ พอเริ่มมีการออกนอกระบบแล้ว จริงๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่การมองนักศึกษาด้วย มุมมองท่ีครูบาอาจารย์สมัยก่อนคงไม่มอง เช่น อาจจะมองว่านักศึกษาต้องเข้ามามาก เพื่อพัฒนาคณะ แต่ว่าในความเป็นจริงก็คือว่า พอนักศึกษาเข้ามามากขึ้นแล้ว ความสัมพันธ์มันเกิดการกระจายตัว คือความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา ร้สู ึกวา่ ถา้ เทยี บกบั สมัยกอ่ น กม็ ีความห่างเหินกนั มากขึ้น อนั น้ที ่ีรู้สกึ และสังเกตได้ คณะสังคมศาสตร์ในฐานะท่ีเป็นส่วนหน่ึงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจาก มหาวทิ ยาลยั ออกนอกระบบแลว้ คณาจารย์ บคุ ลากร สว่ นใหญก่ เ็ ปลย่ี นสถานะเปน็ พนกั งาน ของมหาวทิ ยาลัย เปน็ คณะเลก็ ๆ เปน็ คณะที่ไมค่ ่อยมรี ายได้ พูดง่ายๆ ไม่ค่อยทำ� เงนิ ใหก้ บั ทางมหาวิทยาลัยเมอ่ื เทียบกับวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ วิทยาศาสตรบ์ รสิ ทุ ธิ์ แต่ถ้ามองอีกด้าน ปัจจุบันคิดว่าคณะสังคมศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้าง จะสอดรับกับบรรยากาศการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ค่อนข้างดี เช่น มีการให ้ ความสนใจในการท่ีประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ก็มีการปรับหลักสูตร การปรับ สาขาวิชาการเรียนที่สอดรับกับลักษณะนี้มากขึ้น อันนี้ก็รู้สึกว่าเป็นส่ิงท่ีดี ทั้งมหาวิทยาลัย ถ้าพูดกันตามความเป็นจริง คณะที่จะท�ำเร่ืองเหล่าน้ีได้ดีที่สุดก็คือคณะสังคมศาสตร์ น่ันเอง อันน้ีนา่ จะเป็นจดุ เด่นของคณะ ปจั จบุ นั เราเนน้ ความเปน็ ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี นคอ่ นขา้ งมาก จนบางครง้ั เหมอื นวา่ เราอาจจะลืมความเป็นท้องถ่ินความเป็นล้านนาไป เราค่อนข้างจะภูมิใจมาตลอดว่า เปน็ มหาวทิ ยาลยั ในภมู ภิ าคแหง่ แรกของประเทศไทย ถา้ จำ� ไมผ่ ดิ อาจารยไ์ กรศรี นมิ มานเหมนิ ท์ (เป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลส�ำคัญท่ีมีส่วนร่วมในการผลักดันก่อตั้งมหาวิทยาลัยและ คณะสงั คมศาสตร)์ ท่านพยายามเชิดชูประเด็นความเป็นล้านนาแตป่ จั จบุ นั นรี้ สู้ กึ วา่ แม้เรา ยังส�ำนึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาอยู่ แต่บรรยากาศมันเปล่ียนไป ความเป็นอาเซียน ท่ีเรากำ� ลงั จะกา้ วเข้าสู่ ถกู เสนอผา่ นมุมมองทางเศรษฐกจิ แตว่ า่ ความเปน็ ลา้ นนาส่วนใหญ่ คนจะเข้าถึงมันในเร่ืองของวัฒนธรรม และวัฒนธรรมมักจะถูกมองว่าไม่ค่อยเกี่ยวอะไร กบั เงนิ หรอื ไมท่ ำ� รายได้ ถา้ ในอนาคตเราสามารถทำ� ใหท้ งั้ ความเปน็ ลา้ นนาและความเปน็ อาเซียนมันก้าวไปดว้ ยกันได้ ก็น่าจะเปน็ ทศิ ทางของการพฒั นาคณะสงั คมศาสตร์ทีด่ ี 336

๕๐ ศ าม สสชงัต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก อาจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ลีปรีชาดร.ประสิทธ์ิ อาจารย์ ลปี รีชาภาควิชาสังคมศาสตร์กับการพฒั นาแต่เดมิ ผมบรรจแุ ละท�ำงานเปน็ นกั วจิ ยั อยทู่ สี่ ถาบนั วจิ ยั สงั คมมาตง้ั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๒๔ เพิ่งย้ายมาเป็นอาจารย์อยู่ท่ีคณะสังคมศาสตร์(ทำ� งานในภาควิชาใหม่ สงั คมศาสตร์กบั การพฒั นา) เมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ส�ำหรับ ความเปล่ยี นแปลงในคณะสังคมศาสตร์ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ.๒๕๕๒ ผมคิดวา่ มี ๓ สว่ นดว้ ยกนั ส่วนแรก คือเรื่องของหลักสูตรต่างๆ ที่เริ่มมีหลักสูตรสังคมศาสตร์ประยุกต์ ชดั เจนมากขน้ึ ตอนแรก ผม อาจารยม์ าลี สิทธเิ กรียงไกร อาจารย์ปนดั ดา บณุ ยสาระนยั ยา้ ยมาเปน็ อาจารยข์ องคณะสงั คมศาสตร์ เราเรมิ่ งานดว้ ยการมาบกุ เบกิ งาน ปรญิ ญาโท สาขาชาตพิ นั ธส์ุ มั พนั ธแ์ ละการพฒั นา แตต่ อนหลงัเมอ่ื ตอ้ งยบุ รวมเพอื่ กอ่ ตง้ั ภาควชิ าใหมก่ บั หลกั สตู รปรญิ ญาตรไี ทยศกึ ษา หลกั สตู รบณั ฑติ ศึกษาดา้ นสังคมศาสตรส์ ขุ ภาพ การจัดการทด่ี นิ และเรือ่ งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลักสูตรเหล่าน้ีเป็นสังคมศาสตร์ประยุกต์ เพราะฉะนั้นก็เลยเกิด 337

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก ดร.ประสทิ ธิ์ ลีปรชี า ภาควิชาใหม่ข้ึนมาคือภาควิชาสังคมศาสตร์กับการพัฒนา ที่มีอาจารย์ชูศักดิ์ วิทยาภัค เปน็ หวั หน้าภาควิชาฯ และกม็ อี าจารย์เรา ๓ ท่าน และอาจารย์ท่านอื่นๆ (คอื อ.ดร.อมั พร จิรัฐติกร อ.ดร.มุกดาวรรณ ศักด์ิบุญ อ.ดร.รังสิมา วิวัฒน์วงศ์วนา และอาจารย ์ ชาวตา่ งประเทศ อกี ๒ ทา่ น) ทเ่ี ขา้ มาทหี ลงั อนั นคี้ อื ความเปลย่ี นแปลงในคณะสงั คมศาสตร์ ชว่ ง ๕ ปีทผี่ า่ นมา สว่ นท่สี อง เรือ่ งชาตพิ นั ธ์ุ ชนกลมุ่ นอ้ ย คนชายขอบ หลักสูตรชาตพิ นั ธ์สุ มั พนั ธ ์ และการพฒั นา เปน็ หลกั สตู รปรญิ ญาโททเ่ี รมิ่ เปดิ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ.๒๕๕๔ เปน็ ตน้ มา ซงึ่ มที ง้ั เรอื่ งของงานวจิ ยั การเรยี นการสอน การบรกิ ารชมุ ชน ทงั้ หมดนถี้ กู หลอมรวมใหเ้ ปน็ เนอ้ื งาน เดยี วกัน ทำ� ให้เกิดองคค์ วามรู้และทสี่ �ำคัญท่ีสุดการสรา้ งคนรนุ่ ใหมท่ ี่มคี วามเชี่ยวชาญ ทางดา้ นชาตพิ นั ธส์ุ มั พนั ธแ์ ละการพฒั นาขน้ึ มา อนั นเี้ ปน็ ประเดน็ ทสี่ องทผี่ มมองเหน็ จาก การเปลยี่ นแปลงในช่วง ๔-๕ ปีทีผ่ ่านมาของคณะสงั คมศาสตร์ สว่ นทส่ี าม คือเร่ืองของการจดั พมิ พห์ นังสอื หรอื ต�ำราทางวชิ าการ ในส่วนของ คณะสงั คมศาสตร์ กอ่ นหนา้ น้เี น่อื งจากผมอยทู่ ่สี ถาบนั วจิ ยั สังคม ไม่คอ่ ยรเู้ รือ่ งทีน่ ่เี ท่าไหร่ แต่ว่าในช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมาก็เห็นว่าหลังจากมีศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ เกิดข้ึน และทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ตวั กลาง รวบรวมงานวจิ ยั ตพี มิ พ์ หรอื ผลติ ตำ� รา ทเี่ ขยี นโดยอาจารย ์ ในคณะสงั คมศาสตร์ ก็เห็นวา่ ชดั เจนมากขึน้ คณะสังคมศาสตร์เน่ืองจากเป็นคณะที่ครอบคลุม แง่มุม หรือองค์ความรู้ศาสตร ์ สาขาด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง เพราะฉะน้ันท่ีผมเห็นคือ ๑. เร่ืองการเรียนการสอน มหี ลกั สตู รตงั้ แตป่ รญิ ญาตรี ปรญิ ญาโท ปรญิ ญาเอก แลว้ กย็ งั ไดค้ รอบคลมุ ถงึ หลกั สตู รทเี่ ปน็ ภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ ซงึ่ เป็นภาษานานาชาติ ท�ำให้มีนกั ศึกษาชาวตา่ งชาตเิ ข้ามาเรยี น ท้ังระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมากขึ้น ๒. เรื่องของกิจกรรมทางวิชาการ คณะสงั คมศาสตร์ไดท้ �ำงานในระดบั นานาชาติมากขนึ้ การจัดประชุมทางวชิ าการนานาชาติ การจัดเวทีให้มีนักวิชาการท่ีเดินทางจากต่างประเทศแวะเวียนเข้ามาท�ำวิจัย นอกจากน้ัน ยังเห็นว่ามีการสนับสนุนให้นักศึกษา คณาจารย์ ได้น�ำเสนอผลงานแลกเปลี่ยนในระดับ นานาชาตมิ ากขน้ึ แตข่ ณะเดยี วกนั กไ็ มล่ ะทงิ้ เรอ่ื งของทอ้ งถน่ิ นะครบั ในชว่ งทผี่ า่ นมาเรากไ็ ด้ ท�ำงานที่ให้ความส�ำคัญกับเร่ืองของภูมิปัญญา องค์ความรู้ ความเคลื่อนไหว กิจกรรม ศิลปวัฒนธรรมของท้องถ่ินภาคเหนือที่ต่อไปยังประเทศเพ่ือนบ้าน ซึ่งต่างไปจาก มหาวิทยาลัยในภาคกลาง หรอื ภาคใต้ 338

๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก อาจารย์ ดร.ประสิทธิ์ ลปี รีชา คณะสังคมศาสตร์ในอนาคต เราจะต้องมองไปข้างหน้าในแง่ของความเป็นภมู ภิ าคและความเปน็ นานาชาตมิ ากขนึ้ กวา่ ในชว่ งทผี่ า่ นมา ทงั้ นกั ศกึ ษาและคณาจารย์ในคณะสังคมศาสตร์ คงต้องเข้าไปเรียนรู้ เข้าไปท�ำงานทางวิชาการร่วมมือกับ ประเทศเพ่อื นบ้านในภมู ิภาคนี้และในระดับนานาชาติเพิ่มมากขนึ้ งานวิชาการท่ีผมพดู หมายถงึ ๑. เรื่องงานวิจัย ต้องออกไปท�ำงานวิจัยในประเทศเพื่อนบ้าน เรียนรู้ประเทศอื่น มากขึ้น ๒. เร่ืองการเรียนการสอน ก็จะต้องมีการเปิดหลักสูตรท่ีเป็นหลักสูตรนานาชาติ พูดถงึ ภูมภิ าค ไทยในฐานะท่เี ปน็ ส่วนหนึ่งของภมู ภิ าคและเป็นส่วนหนึง่ ของโลก แนน่ อนตอ้ งมหี ลกั สตู รภาษาองั กฤษทจ่ี ะตอ้ งมกี ารเรยี นการสอน เพอื่ เวลามกี าร แลกเปลย่ี นนกั ศกึ ษานานาชาตเิ ราจะไดม้ คี วามพรอ้ มทจี่ ะมปี ฏสิ มั พนั ธแ์ ลกเปลย่ี น เรยี นร้กู ับนักศึกษานานาชาติมากขน้ึ อีกด้านท่ีผมคิดว่าคณะควรจะให้ความส�ำคัญ ถึงแม้ว่าเราจะก้าวไปสู่ระดับภูมิภาค ลุ่มน�้ำโขง อาเซียนหรือเอเชียและนานาชาติมากขึ้น เราก็จะละท้ิงในเร่ืองของท้องถิ่นไม่ได้ภาคเหนอื มลี กั ษณะความเปน็ เฉพาะในเรอ่ื งของประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม ภมู ศิ าสตร ์รวมถึงเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์ คนเหล่านี้ท่ามกลางกระแสการพัฒนา ความเปลย่ี นแปลงทกี่ ำ� ลงั กา้ วไปสโู่ ลกภายนอก ปรบั ตวั อยา่ งไร เราตอ้ งใหค้ วามสำ� คญันกั ศึกษาของเราตอ้ งเขา้ ไปเรียนรู้ อาจารย์ตอ้ งเขา้ ไปทำ� วิจยั กบั ทอ้ งถ่นิ มากขึ้น 339

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก อาจารย์ ดร.อรยิ า เศวตามร์ อาจารย์ ดร.อรยิ า เศวตามร์ ภาควชิ าสตรีศกึ ษา ในฐานะอาจารย์เพิ่งเข้ามาท�ำงานในคณะสังคมศาสตร์ได้ประมาณ ๑ ปี ๘ เดือน คือบรรจุในปี พ.ศ.๒๕๕๕ แต่จริงๆ อยู่ที่คณะน ี้ มาตั้งแตป่ ี ๒๕๓๘ ในฐานะนักศกึ ษา ตั้งแต่เรยี นปรญิ ญาโทสาขาพฒั นาสงั คม และหลังจากน้ันก็เรียนปริญญาเอกสาขาสังคมศาสตร์ (นานาชาติ) รวมแล้ว พูดได้วา่ อยู่ในคณะสังคมศาสตร์มาประมาณ ๑๘ ปี ช่วงแรกที่เข้ามา ในฐานะ นักศึกษา เราคิดว่าคณะนี้เป็นสถาบันวิชาการรับใช้สังคม และในส่วนตัวคือ ทำ� งานกบั องคก์ รพฒั นาเอกชน เลยคดิ วา่ ถา้ อยากจะเรยี นเรากน็ า่ ทจี่ ะหาสถาบนั ทเี่ ปน็ วชิ าการทไ่ี มใ่ ชว่ ชิ าการ แตว่ า่ เปน็ วชิ าการทรี่ บั ใชส้ งั คม สนบั สนนุ การทำ� งาน ของภาคประชาชน ก็ได้เข้ามาและก็ได้เห็นว่า คณาจารย์ท่ีนี่และงานวิจัย งานวิชาการ รวมทั้งการเรียนการสอนท่ีน่ี จะมุ่งเป้าไปท่ีการรับใช้สังคม การเปลีย่ นแปลงการพฒั นาสงั คมมาตลอด 340

๕๐ ศ าม สสชงัต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก อาจารย์ ดร.อริยา เศวตามร์ ปจั จุบัน คณะสงั คมศาสตร์ก็ยงั เปน็ อยา่ งนั้นอยู่ และคดิ ว่าเปิดประเด็นเยอะมากข้นึแตก่ อ่ นจะคอ่ นข้างเน้นไปทางชนบท เปน็ ชนบทศกึ ษา แตว่ ่าในชว่ งระยะสบิ ยีส่ ิบปที ผี่ ่านมาการศกึ ษาวจิ ยั เรม่ิ มปี ระเดน็ ทางดา้ นทเ่ี กย่ี วกบั เมอื งมากขนึ้ การศกึ ษาประเดน็ ทอ่ี ยใู่ นสงั คมเมอื งก็นา่ สนใจ คิดวา่ มปี ระเด็นที่หลากหลายมากขน้ึ การเปลยี่ นแปลงในคณะสงั คมศาสตร์ คดิ วา่ เปน็ เรอื่ งของการออกนอกระบบ การออกนอกระบบมีผลต่อเร่ืองของงบประมาณ มีผลกระทบในเรื่องของการปรับระบบ ระเบียบ การท�ำงาน ซึง่ มนั ท�ำใหร้ ู้สกึ ว่ามคี วามซบั ซอ้ นมากขึ้น มกี ารควบคุมผา่ นระเบยี บมากขน้ึ ส่วนตัวเป็นอาจารย์ท่ีอยู่ในภาควิชาสตรีศึกษา ก็คิดว่าอยากจะให้ทางคณะสงั คมศาสตร์ เปดิ ประเดน็ ในเรอื่ งของ “เพศภาวะศกึ ษา” เพราะทผ่ี า่ นมามี “สตรศี กึ ษา”มา ๒๐ กว่าปีนะคะ คิดว่าตอนน้ีสังคมก�ำลังเคลื่อนไปสู่ความหลากหลายทางเพศ ทางเพศภาวะ การต่อสู้ของคนท่ีมีเพศที่หลากหลาย คิดว่าน่าจะเปิดกว้างที่จะไปสู่ประเดน็ “เพศภาวะ” ทีห่ ลากหลายมากขึน้ 341

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก Associate Professor Paul T. Cohen Associate Professor Paul T. Cohen Senior Research Fellow, Department of Anthropology Faculty of Arts, Macquarie University, Sydney I first travelled to Chiang Mai in late 1967 to begin research for a Ph.D. in anthropology at the London School of Economics & Political Science (LSE) in the University of London. My undergraduate degree was from the University of Sydney. Not longer after my arrival I was fortunate to be introduced to Kraisri Nimmanahaeminda who played a major role in the founding of Chiang Mai University, celebrated by the Faculty of Social Sciences in 2012, 100 years after his birth. Apart from being a prominent businessman Khun Kraisri became well known for his dedication to the preservation and promotion of Lan Na culture, including the study of traditional systems of irrigation. Indeed, irrigation became a major focus of my fieldwork in San Pa Tong district. Also, it was in this district that my research interests intersected with those of Dr.Anan Ganjanapan who did his doctoral research on agrarian change in the village of San Pa Tong about ten years after my research there. This serendipitous encounter was for me the beginning of my close ties with the Faculty of Social Sciences for some thirty years. I have been affiliated on many occasions as a visiting scholar either with the Department of Sociology and Anthropology or the Regional Center for Social Science & Sustainable Development (RCSD) with the support of Dr.Anan Ganjanapan and Dr.Chayan Vaddhanaphuti respectively. In recent years Dr. Thapin Patcharanurak (the Faculty’s Deputy Dean) has sponsored my affiliation with the Health Social Sciences Program, which she directs. During this period of several decades 342

๕๐ ศ าม สสชงัต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก Associate Professor Paul T. CohenI have received manifold forms of generous support from the Faculty includingvisa facilitation, study and library facilities, and field research assistance.I have therefore felt obliged and pleased to reciprocate by supervising andexamining post-graduate theses, presenting seminar papers, writing for theFaculty journal and by collaborating in research and joint publications. I havealso hosted Dr.Anan and Dr.Thapin as visiting scholars at the Department ofAnthropology, Macquarie University in Sydney. During my long-standing association with the Faculty of Social SciencesI have been aware of its well-deserved international stature through theacademic vigour and reputation of many of its senior staff, through frequentand well-attended international conferences (particularly those organized byRCSD), and through its innovative regional and international studies programs.It is an enviable reputation and one, which I am confident, will be maintainedin the future. 343

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชงัต.ครปม์ ีจาก Charles F. Keyes Charles F. Keyes Professor Emeritus Anthropology and International Studies University of Washington In 1971 I learned that the Fulbright Program (Thailand-United States Educational Foundation) had selected Chiang Mai University’s Faculty of the Social Science for a grant to support an American scholar to advise and teach in the faculty. Because of my previous extended research in northeastern and northern Thailand, I decided to apply for this position. The first scholar selected for this position was Professor Jack Potter, then an anthropologist at the University of California at Berkeley, specializing on China. Jack served from 1971-1972 and I was selected to replace him. My initial appointment at CMU was for 9 months-namely, from October 1972 through June 1973. Not long after I began my appointment I learned that Fulbright was going to advertise for my replacement and I decided, in consultation with Dean Nibondh Sasidhorn and the chair of the department (who at the time, I recall, was Ajarn Kasem Burakasikorn), to seek to continue the appointment for another academic year. As I was awarded the Fulbright appointment for a second year, I served on the faculty from October 1972 until June 1974. My responsibilities during this appointment were to contribute to the instructional curriculum of the department and advise and consult with faculty. In a report I wrote after my period on the faculty I said that I helped to construct an M.A. program and to prepare a number of proposals to various foundations designed through support of research, publication and guest lectures “to enhance the position of the Department of Sociology-Anthropology at 344

๕๐ ศ าม สสชงัต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก Charles F. Keyes M.C. Chand Chirayu, Suthep Sunthornpesuch, and Charles F. KeyesChiang Mai University to become a center for the study of culture and societyin northern Thailand”. I also wrote that I “provided advice to numerousstudents and faculty members who intend to apply for further studies atuniversities outside Thailand”. (I do not recall that at the time any facultymember in the department had a Ph.D., although Anan Ganjanapan,Shalardchai Ramitanondh, Chayan Vaddhanaphuti, Suthep Soonthornpasuch,and Narujohn Iddhichiracharas were then enrolled in Ph.D. programs atCornell, Stanford and Berkeley and all returned to join the department’sfaculty.) Because the Sociology and Anthropology Department at Chiang MaiUniversity was a combined department courses were meant to be relevantfor both anthropology and sociology. In consultation with the dean, chair, andother faculty members, I agreed to teach an upper-class course on “ResearchMethods in Sociology-Anthropology” and a more general course on “RuralSociology”. I taught both courses twice during my time in the department.Even before I began teaching, I realized that few students would be able tofollow lectures in English. I then committed myself, despite limited competencein Thai, to teach in Thai. I have never worked so hard in my career on lectures. 345

๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชงัต.ครปม์ ีจาก Charles F. Keyes I consulted colleagues about translations of social science concepts and came subsequently to reflect on how these consultations led me to rethink some of these concepts. My first paper on ethnicity theory (“Towards a New Formulation of the Concept of Ethnic Group”, 1976) was a direct outcome of my realizing that the Thai concept of ชาติ, with its very different etymology-from the Sanskrit term jāti meaning ‘birth’ in contrast to ethnos, which derives from a Greek word meaning ‘people’-leads one to think about ‘ethnic group’ or Thai, กลุ่มชาติพันธุ์, in ways quite different to those proposed by scholars working within the Western framework alone. Although my use of Thai in teaching was far from perfect, I did gain some greater competence in academic Thai as the result of my appointment at CMU. I also think that students appreciated my efforts to communicate ideas in a language they could more or less comprehend. Because few students at the time had adequate competence in reading English and because there were then actually few books in the CMU library relevant to anthropology- sociology, lectures were very critical for students. Even with the limited sources of knowledge available, I found many of the students very keen to learn. For the course on research methods (about 25-30 students were enrolled in each of the two terms I taught it), I designed a project to study the role of Buddhism in Chiang Mai city. This entailed the development of a questionnaire that could be used for interviewing abbots of selected wats and the participation-observation of rituals by students at these wats. I do not recall that any student expressed concern about this research because they were not Buddhists, although as one student wrote a paper on ‘conversion to Christianity’, I may have not been as sensitive to this as I might have been. (A preliminary analysis of the results of this research was included in my paper, 346


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook