๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก Charles F. Keyes“Buddhism in a Secular City” (1975), but much of the data have yet to be fullyanalyzed.) Students were then asked, on the basis of what they learned fromthe common project and from my instruction, to design and carry out smallprojects of their own. Many of these projects were on religious rituals (a directoutgrowth of the common project), or on local craft industries (wood carving,lacquer-making, umbrella-making, and so on), although a few were moreambitious (e.g., on the Chiang Mai mental health hospital, on the role ofschools, on the Hmong community on Doi Pui, for example). As many of thestudents were from Bangkok or outside the North, I think their work alsohelped them gain some better understanding of northern Thai society andculture. I did offer an occasional guest lecture in a colleague’s course, but forthe most part my teaching was confined to the courses I taught on my own. I had significant interactions with one student outside of the classroomsetting. Mongkol Candrabamrung volunteered to assist me in some of myresearch and accompanied Ajarn Sommai Premjit and me on a field trip tothe Northeast. I stayed in touch with him until he became the last director ofthe Tribal Research Institute. My closest colleague in the department in the early 1970s was SommaiPremjit. We made a number of field trips in northern and northeasternThailand together. I was truly impressed that a department of sociology-anthropology could have among its faculty a scholar who was an ex-monkwith the highest level of Pali study as well as training in anthropology in thePhilippines. Our relationship led to collaboration on a project to understand theNorthern Thai Buddhist textual tradition subsumable under the rubric ofānisong (อานสิ งส)์ , that is texts linked to specific rituals in northern Thai popularBuddhism. When my wife, Jane, and I were engaged in field research in1967-68 in Mae Sariang, I had had the opportunity to learn about this traditionfrom Čaokhun Tham (เจา้ คณุ ธรรม), then the district abbot of Mae Sariang. Withhim I was involved in the discovery of a large cache of old Buddhist manuscriptsin a cave near the Salween. I had begun a study of the texts in order to learnmore about popular northern Thai Buddhism, but it was only when I got toknow Ajarn Sommai that I was able to make a deeper study of these texts.Just as I had found from my discussions with several colleagues in thedepartment a source of my rethinking of ethnicity theory, I found through myinteractions with Ajarn Sommai a new appreciation of the relationship betweenreligious practice and religious texts. 347
๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก Charles F. Keyes My time on the faculty at Chiang Mai University coincided with a major political upheaval in Thailand, culminating in the student-led revolution of October 14, 1973. A number of students in the Sociology-Anthropology Department were active in the Northern Thai Student Association. Concerned that their involvement in politics might led to negative repercussions some of the students asked if they could meet at my home which was located off campus. I was pleased to allow them to do so and was impressed in listening to their discussions with their sophistication regarding politics. My time as a Fulbright lecturer and advisor in the department took place when the department was very much in the process of transition from one whose first faculty were trained in the early stage of tertiary educational expansion in Thailand to one that had several internationally recognized scholars. This transformation would really take place after these scholars returned from study abroad, mainly in the United States. 348
๕๐ ศ าม สสชงัต.ครปม์ ี นานาทรรศนะ จาก ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ บทสัมภาษณ์ ศาสตราจารยเ์ กียรตคิ ณุดร.อานนั ท์ กาญจนพันธุ*์ พงศกร สงวนศักด์ิ : สัมภาษณ์ วสนั ต์ ปัญญาแกว้ : เรียบเรียง คณะสงั คมศาสตร์ในอดีต ในความทรงจ�ำของอาจารย์เป็นอย่างไร? ชว่ งปี พ.ศ.๒๕๑๙ (ปแี รกทศี่ าสตราจารย์ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ บรรจเุ ปน็ อาจารย์ ประจำ� คณะสงั คมศาสตร์ - บ.ก.) เรายงั ไมม่ กี ารเรยี นการสอนระดบั ปรญิ ญาโท เปน็ การสอน ในระดบั ปรญิ ญาตรีอยา่ งเดยี ว ท�ำใหว้ ชิ าทสี่ อนเป็นวชิ าพน้ื ฐาน วชิ าประเภทที่ให้นักศึกษา ได้รู้จักคุ้นเคยกับแนวคิดพื้นฐาน (concepts) เป็นส่วนใหญ่ ดังน้ัน (บรรยากาศการเรียน) ก็จะไม่ค่อยมีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์อะไรมากนัก เพราะว่าเป็นการให้นักศึกษารู้เพียง ดา้ นเดียว แต่ในขณะนัน้ จรงิ ๆ แล้ว นักศกึ ษา (มคี วามสนใจใคร่รู้) อยากรเู้ ยอะ แต่อาจารย์ ให้ได้น้อย เพราะว่าในสมัยปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นช่วงหลงั จาก “เหตกุ ารณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖” ต่อเน่ืองมา หมายความว่าได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนก่อนหน้าน้ันแล้วในสังคมไทย สังคมต้องการการเปล่ียนแปลง ต้องการประชาธิปไตย นักศึกษา (คนหนุ่มสาว) ตื่นตัว * สัมภาษณ์เมื่อวันท่ี ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๗ ท่ีห้องพักอาจารย์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 349
๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก ศาสตราจารย์เกียรตคิ ณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์ ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าการสอนในระดับปริญญาตรี ในเวลานั้นเราเพียงสอนให้รู ้ แค่ระดับพื้นฐาน ดังนั้นก็ให้ได้น้อยกว่าท่ีนักศึกษาคาดหมาย และการศึกษาส่วนใหญ ่ (ในเวลาน้ัน) เป็นการสอนแนวคิดทฤษฎีกระแสหลัก คือสอนวิชาท่ัวๆ ไป วิชาพ้ืนฐาน ซึง่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ในขณะน้ัน สถานการณ์ในขณะน้นั สังคมก�ำลังมีการเปล่ียนแปลง มีปญั หา ความคดิ อดุ มการณ์ ในสงั คมแยกเปน็ ซา้ ยเปน็ ขวา (หรอื ระหวา่ งกลมุ่ แนวคดิ กา้ วหนา้ กบั กลมุ่ แนวคดิ อนรุ กั ษนยิ ม -บ.ก.) ผคู้ นขดั แยง้ กนั อกี แบบหนงึ่ ซงึ่ ไมเ่ หมอื นกบั ตอนนี้ ดงั นนั้ ความคาดหวงั ของนกั ศกึ ษา มีสูงมาก แต่อาจารย์ให้ได้น้อยเพราะว่าอาจารย์ส่วนใหญ่เรียนมาตามแนวคิดกระแสหลัก (คือแนวคิดเชิงโครงสร้างการหน้าที่ - บ.ก.) ไม่สอดรับกับปัญหา วิชาความรู้ของอาจารย ์ ทเี่ รยี นกนั มา เปน็ วชิ าทม่ี าจากตา่ งประเทศ ซง่ึ ในตา่ งประเทศสถานการณจ์ ะเปน็ อกี แบบหนงึ่ เป็นสังคมที่อยู่ตัวแล้ว รากฐานของสังคมเขา (เช่น สังคมอเมริกัน) พ้ืนฐานมั่นคงแล้ว เขาต้องการท่ีจะสร้างอะไรที่มันสูงข้ึนไป สังคมไทยเรา (ขณะนั้น) ไม่ชัดเจน แต่ต้องการ การเปลี่ยนแปลง ดงั น้ันวชิ าทีอ่ าจารย์ไปเรียนจากต่างประเทศ เอามาสอนกไ็ มเ่ ข้ากัน น่าจะมีอาจารย์จำ� นวนนอ้ ยมากทจ่ี ะสอนอะไรที่เป็นแนวคดิ มุมมองเชิงวพิ ากษ์ หรือ มุ่งอธิบายเร่ืองการเปลี่ยนแปลง ดังน้ัน อาจารย์ที่สอนเร่ืองพวกนี้กลุ่มนักศึกษาก็จะให ้ ความสนใจมาก เชน่ อาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์ สอนแนวคิดมาร์กซสิ ต์ ทฤษฎีฝ่ายซา้ ย จะมีนักศึกษามาเรียนสนใจกันเยอะ แต่ว่าที่จริงแล้วในตอนนั้นเราก็ไม่ได้สอนทฤษฎีลึกซึ้ง มากเท่าไหร่ ตอนผมมาเป็นอาจารย์ก็รู้สึกว่ายังขาดทฤษฎี เราสอนแต่แนวคิดทั่วๆ ไป แตเ่ ราไมไ่ ด้สอนพน้ื ฐานทางทฤษฎี ก็เลยเปิดวชิ าสอนทฤษฎี ประวัตศิ าสตรแ์ นวคดิ ทฤษฎี ผมมาสอนตอนนน้ั อาจารยย์ ศ (ศาสตราจารย์ ดร.ยศ สนั ตสมบตั ิ - บ.ก.) เปน็ นกั ศกึ ษา อยู่ปี ๓ ของภาควิชาสังคมวิทยาฯ ก็เปิดสอนประวัติศาสตร์แนวคิดในวิชาสัมมนา เพราะ ตอนนั้นยังไม่มีวิชาช่ือแนวคิดทฤษฎี โดยสอนร่วมกับอาจารย์สุเทพ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช - บ.ก.) เน้นทฤษฎีสมัยใหม่ เช่น งานของ Clifford Geertz (นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอเมริกัน) อะไรท่ีใหม่ๆ ที่อาจารย์ที่อยู่ที่น่ีมาก่อนเขาไม่ค่อย สนใจสอน การเรียนทางสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา จะใหด้ ตี ้องมีพื้นฐานทฤษฎที ล่ี กึ ซงึ้ แต่ท่ี ผา่ นมาเราไมไ่ ดส้ อนแนวคดิ ทฤษฎตี รงๆ แตเ่ รยี นผา่ นประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ แลว้ กเ็ นน้ สอน แนวโครงสร้างสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น สถาบันการเมือง สถาบันศาสนา สถาบันครอบครัว การมองเชงิ สถาบนั (แบบเดมิ ผา่ นแนวคดิ โครงสรา้ งการหนา้ ที่ - บ.ก.) ซงึ่ เปน็ การมองทหี่ ยดุ นง่ิ ตายตัว แต่ว่าจริงๆ แล้วปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ทางสังคม 350
๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก ศาสตราจารย์เกยี รตคิ ณุ ดร.อานันท์ กาญจนพันธ์ุความขัดแยง้ ความสมั พนั ธ์เชิงอำ� นาจ เลยท�ำให้วชิ าของเรา (ตอนนน้ั ) ไม่สามารถอธิบายปัญหาอะไรในสังคมได้ แมจ้ ะมกี ารเปดิ สอนวชิ าปัญหาสังคม แตก่ เ็ ปน็ ปญั หาสงั คมท่ัวๆ ไปส่วนปัญหาที่เราเผชิญตอนนั้นเป็นปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ และปัญหาการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากสังคมเกษตรมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ซึ่งวิชาที่เราสอนตอนนั้นก็ช้ากว่าการเปล่ียนแปลง เพราะไปเน้นการวิเคราะห์สถาบัน ในเชิงโครงสรา้ งการหนา้ ท่ีนยิ ม ก็รสู้ กึ ว่าไมส่ อดรับกับความเปน็ จรงิ ของสงั คมในตอนน้นั มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในขณะนั้นยังอยู่ในระบบราชการ เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ดังน้ัน อาจารย์มหาวิทยาลัยก็เหมือนข้าราชการเลย คือมีระบบบังคับบัญชา หัวหน้า ภาควิชาในสมัยกอ่ นมีอำ� นาจช้ีเป็นชต้ี าย เปน็ หวั หน้างาน ยงั ไมไ่ ด้เปน็ ระบบมหาวทิ ยาลัยไม่เหมือนการบริหารงานสมัยน้ี ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าภาควิชา (เพราะไม่มีอ�ำนาจ) เม่ือก่อนหัวหน้าภาควิชา มีอ�ำนาจสิทธิ์ขาดในการเลื่อนขั้นเงินเดือน กลายเป็นผู้อุปถัมภ์คณาจารย์ต่างๆ กน็ อบน้อมเกรงกลัว เหมอื นข้าราชการกลวั “เจา้ นาย” หรอื ผบู้ งั คบั บญั ชาแตม่ นั ไมค่ วรจะเปน็ อยา่ งนนั้ ในระบบมหาวทิ ยาลยั หลายคนในคณะสงั คมศาสตร์ กพ็ ยายามช่วยกันคิดว่าท�ำอย่างไรเราถึงจะไม่ปล่อยให้หัวหน้าภาควิชา หรือคณบดี มีอ�ำนาจมาก ไมใ่ ช่ระบบอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนน้ัน ดร.ปว๋ ย อึ้งภากรณ์ ก็เริ่มพดู ถึงเรือ่ งการออกจาก ระบบราชการ เรมิ่ พดู เรื่องน้แี ลว้ แต่วา่ ของเรายังไมไ่ ดค้ ดิ ถงึ ขนาดออกนอกระบบ คดิ แค่ว่าจะแก้ในระบบ อะไรท่เี ปน็ประเด็นปญั หา อนั แรกสดุ เลย ทีค่ ณะสังคมศาสตร์น�ำรอ่ ง (ทง้ั มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม)่ คือเร่ืองการท่ีไม่ให้หัวหน้าภาควิชา หรือคณบดี มีสิทธ์ิเด็ดขาดตัดสินว่าใครจะได้ข้ันอะไร เท่าไหร่ เราเสนอระบบการให้คะแนนการท�ำงานของคณาจารย์ข้ึนมา เป็นคณะแรก ในมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ คอื ตอ้ งอยทู่ ง่ี าน ไมใ่ ชอ่ ยทู่ หี่ วั หนา้ งานเปน็ คนกำ� หนด อยทู่ ผ่ี ลงานคณุ ท�ำงานมากคุณก็มีสิทธิแ์ ละโอกาสไดเ้ ลอ่ื นขั้นมากทำ� ไมถงึ ผลักดนั ระบบน้ีได้ ทำ� ไมท่ีอน่ื ทำ� ไม่ได้ กเ็ ราเถยี งคยุ กนั มาก คณาจารยค์ ณะสงั คมศาสตร์ตอนนั้นเป็นพวกไม่เงยี บ พดู มากแลว้ กค็ นรนุ่ ใหมก่ ร็ วมตวั กนั ได้ คดิ วา่ คงจะเปน็ เพราะคนทเี่ รม่ิ กลบั มาใหมๆ่ รสู้ กึ วา่ ระบบเดมิไม่เหมาะส�ำหรับมหาวิทยาลัย รู้สึกว่าคณาจารย์มารวมตัวกัน ออกเป็นเอกสารฉบับแรก เปน็ ข้อตกลง เราตกลงหลายอย่างซงึ่ ทอี่ ่ืนยงั ไม่ได้คดิ ไม่ได้ทำ� กนั 351
๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชังต.ครปม์ ีจาก ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ เรอ่ื งวิชาการและการบริหารเปล่ียนแปลงไปดว้ ยกันไหม? ไปด้วยกัน คณะสงั คมศาสตร์ แต่เดมิ บริหารโดยระบบราชการ วิชาการเลยออ่ นด้อย และในอดีตคนท่ีเป็นอาจารย์ ก็โอนย้ายมาจากข้าราชการ คือท�ำงานราชการมาก่อน ในกระทรวง ทบวง กรม แลว้ โอนมาเป็นอาจารย์ กย็ ดึ วฒั นธรรมราชการมาด้วย ก็เชา้ ชาม เย็นชาม แลว้ อาจารย์ยงิ่ ไม่มีใครดูแลมันยง่ิ สนกุ กันใหญ่ ก็ไม่ค่อยทำ� ทำ� กันไมเ่ ต็มท่ี เพราะ ไม่มีใครมาตรวจสอบ ท�ำให้บ่ันทอนมาก เพราะตอนนั้นคนท่ีจะได้ไปเรียนต่อระดับสูงยังมี ไมม่ าก ส่วนขา้ ราชการบางคนได้ทนุ ไปเรียน พอไดท้ นุ ไปเรยี นกลบั มาก็ไมอ่ ยากอยู่ในระบบ ราชการ ตอนนัน้ ก็ต่อสู้กันวา่ ท�ำอยา่ งไรอาจารยถ์ ึงจะรับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ขี องตวั เอง เพราะ อาจารย์ท่ีไม่รับผิดชอบก็มีเยอะ ปัญหาเยอะ อาจารย์บางคนไม่มาสอน ตัวอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็ขับไล่ไม่ได้เพราะเป็นอาจารย์ และต้องมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็พยายามด�ำเนินการให ้ เจ้าตัวรู้ หรือย้ายไปที่อื่น มีปัญหาหลายเรื่อง เพราะเมื่อก่อนในคณะสังคมศาสตร์ เป็น คณะใหญ่ มีหลายภาควิชา มีรัฐศาสตร์ การบัญชี เศรษฐศาสตร์ ข้าราชการโอนมาเป็น อาจารย์ ส่วนมากจะอยู่ที่รัฐศาสตร์ ตอนนั้นยังขาดอาจารย์ ขาดคนท่ีมีวุฒิปริญญาสูงๆ จบปริญญาตรี หรือโท กม็ าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลยั ได้แล้ว เปรียบเทียบคณะสังคมศาสตร์ในยุคนน้ั กับคณะสงั คมศาสตร์ในปจั จบุ นั โดยเฉพาะในเร่ืองการเรยี นการสอน เปน็ อย่างไร? จุดเปลี่ยนส�ำคัญ น่าจะอยู่ตอนช่วงปี ๒๕๒๔-๒๕๒๕ เพราะว่ามูลนิธิฟอร์ดให้ทุน อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกก่อนหน้านั้นราวๆ ๖ ทุน ในภาค วชิ าสังคมวทิ ยาฯ มีผม อาจารย์ไชยวฒั น์ ร่งุ เรืองศรี อาจารย์อุไรวรรณ ตนั กมิ ยง ก่อนหนา้ นน้ั มี อาจารย์สุเทพ สนุ ทรเภสัช และอาจารย์นฤจร อทิ ธิจรี ะจรัส ตอ่ มา (ราวๆ ปี ๒๕๓๘) ก็มีอาจารย์ยศ สันตสมบัติ ย้ายมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เลยท�ำให้ภาควิชา สังคมวิทยาฯ มีอาจารย์ที่จบปริญญาเอกมากกว่าภาควิชาอ่ืนๆ พอคณาจารย์ได้ ปรญิ ญาเอกมา มลู นธิ ฟิ อรด์ กใ็ หท้ นุ วจิ ยั เขา้ มา แมว้ า่ ตอนแรกๆ ของการตง้ั คณะสงั คมศาสตร์ มีทุนวิจัยเข้ามาเป็นเงินจากงบประมาณแผ่นดิน แต่โครงการเหล่าน้ันต่อมาย้ายไปตั้งเป็น สถาบนั วจิ ยั สงั คม การตง้ั สถาบนั วจิ ยั สงั คมกม็ าจากคณาจารยค์ ณะสงั คมศาสตร์ โดยเฉพาะ อาจารยใ์ นภาควิชาสังคมวทิ ยาน่ันเอง น�ำโดยอาจารยเ์ กษม บรุ กสกิ ร ตอนน้ันทา่ นตั้งเป็น “หน่วยวิจัยสังคม” ของคณะสังคมศาสตร์ มีโครงการวิจัยพ้ืนฐาน เก็บข้อมูลประชากร กว็ างพ้นื ฐานเอาไว้ ต่อมาก็แยกออกไปต้ังเป็นสถาบนั วจิ ัยสงั คม ในปี พ.ศ.๒๕๒๔ 352
๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ หลังจากที่อาจารย์สุเทพ คณาจารย์ท่ีได้รับทุนจากมูลนิธิฟอร์ดเรียบจบปริญญาเอกกลบั มา มลู นิธฟิ อรด์ ก็ใหท้ นุ ต่อเนือ่ ง ท�ำวจิ ัยหลงั ปรญิ ญาเอก เน้นการวิจยั เรอ่ื ง “ชาวเขา”ท�ำให้เรามีพ้ืนฐานการวิจัยท่ีหนักแน่น ก่อนท่ีจะมีการต้ังศูนย์ภูมิภาคศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างย่ังยืน (RCSD) ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ได้มีการตั้งหน่วยวิจัย ข้นึ มาก่อน พอคณาจารย์มีงานวิจัยข้ึนมาและมีประสบการณ์ทางวิชาการที่เข้มแข็ง ต่อมาจึงได้เร่ิมเปิดการเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษา เพราะว่าอาจารย์ของเรามีประสบการณ์ การวิจัยสูงมาก โดยเฉพาะเร่ืองทรัพยากร การพัฒนาด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาต ิส่ิงแวดล้อม และเร่ืองกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง คณาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาฯ จึงได้เปิดหลักสูตรปริญญาโทสาขาพัฒนาสังคมในปีการศึกษา ๒๕๓๓ ตอนน้ัน ภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ กม็ กี ารเรียนการสอนระดบั ปริญญาโทก่อนแล้ว แต่พอมีการเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษา นอกจากเน้นการวิจัยแล้ว การสอน ก็ยังมาเน้นเรื่องของทฤษฎีและวิธีวิจัยด้วย เพราะการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทสามารถท่ีจะลงลึกได้ นักศึกษาก็ต้องอ่านลึกมากข้ึน อาจารย์ก็ต้องค้นคว้ามากข้ึน เพ่ือ จะสอนให้ลึกซึ้งกว่าปริญญาตรี อันน้ีก็เป็นพัฒนาการที่ส�ำคัญมาก เป็นจุดเปลี่ยนจากการวจิ ยั มาสกู่ ารเรยี นการสอนในหลกั สตู รปรญิ ญาโท นเ่ี ปน็ ชว่ งกา้ วกระโดดขน้ึ มา ซง่ึ กม็ คี นสมคั รเข้ามาเรียนกันเยอะมาก แล้วหลักสูตรพัฒนาสังคมก็รับทุกสาขา ก็ท�ำให้เราได้ผู้เรียนท่ีม ีพ้ืนฐานกว้างกว่าสังคมศาสตร์ มีท้ังท่ีจบพยาบาลศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร ์มีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ เกษตรศาสตร์มาเรียนในหลักสูตรพัฒนาสังคม เพ่ือเอาไปเสริมการท�ำงานของเขา สังคมศาสตร์ก็ช่วยเสริมความรู้ทางด้านเทคนิค ให้น�ำความรู้ทางสงั คมศาสตรไ์ ปใช้ประยกุ ต์ในงานของเขา ในขณะเดยี วกนั คณาจารยก์ ไ็ ดส้ รา้ งความเขม้ แขง็ ทางทฤษฎแี ละการวจิ ยั ดว้ ย หลกั สตู รปริญญาโทสาขาพัฒนาสังคม เป็นหลักสูตรท่ีเน้นการท�ำวิจัยผ่านงานวิทยานิพนธ์ ถือเป็น การวางพน้ื ฐานของความรดู้ ว้ ยการสอนระดบั ปรญิ ญาโทของคณาจารยใ์ นคณะสงั คมศาสตร์เปน็ เวลานานพอสมควร (ราวๆ ๑๐ ปี) กอ่ นทตี่ อ่ มาจะเริม่ มาเปดิ การเรยี นการสอนในระดับปริญญาเอก ซึ่งต้องยกระดับไปสู่ความเป็นนานาชาติ และการศึกษาในระดับปริญญาเอกจะเป็น disciplinary oriented ไม่ได้ ต้องเน้น inter-disciplinary หลักสูตรสังคมศาสตร์นานาชาติ ของคณะสังคมศาสตร์ ซึ่งเริ่มเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา ๒๕๔๔ หลงั จากมปี ระสบการณ์จากการเปดิ หลักสูตรระดับปรญิ ญาโทมากวา่ ๑๐ ปี ท�ำให้เราคดิ วา่ความรตู้ อ้ งไมจ่ ำ� กดั ในสาขาวชิ าเดยี ว แตต่ อ้ งมองในภาพรวม ตอ้ งเปน็ สงั คมศาสตร์ เลยเปดิ 353
๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชงัต.ครปม์ ีจาก ศาสตราจารย์เกียรตคิ ณุ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ หลักสูตรปริญญาเอกสงั คมศาสตร์นานาชาติระดบั คณะ และกอ่ นหน้าน้นั ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ได้มีการก่อตั้งศูนย์ภูมิภาคศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างย่ังยืน (RCSD) ทม่ี งุ่ ดำ� เนนิ ระดบั นานาชาตใิ นภมู ภิ าคลมุ่ น้�ำโขงหลกั สตู รปรญิ ญาเอกสงั คมศาสตรน์ านาชาติ จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นความเป็นสหสาขาวิชาและการวิจัย โดยมุ่งไปที่ประเด็นการจัดการ ทรพั ยากรท่ยี ั่งยนื ในระดบั ภมู ิภาคล่มุ น�ำ้ โขง หรอื เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปดิ หลักสตู รนานาชาตทิ ั้งในระดบั บัณฑิตศกึ ษา โดยเฉพาะที่บริหารจดั การผา่ น ศนู ย์ RCSD ท�ำให้คณาจารย์ของคณะสังคมศาสตร์มปี ระสบการณ์การทำ� งานนอกประเทศ หรือในระดับนานาชาติสูงมากข้ึนตามไปด้วย น่าจะท�ำให้คณะสังคมศาสตร์มีเครือข่าย วิชาการท�ำงานกับประเทศเพ่ือนบ้านและระดับสากลมากกว่าท่ีอ่ืนๆ คณะสังคมศาสตร์ ท่ีผ่านมามีหลักสูตรนานาชาติเป็น ๑ ใน ๓ แห่งแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนน้ัน (ทศวรรษ ๒๕๔๐) มี ๓ สาขาคอื คณะสงั คมศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ และคณะเกษตรศาสตร์ เรามนี กั ศกึ ษาในหลกั สตู รนานาชาติ มาจาก จนี กมั พชู า เวยี ดนาม และตอ่ มากม็ ลี าว และพมา่ มากขนึ้ นอกจากนัน้ ก็เคยมีมาจาก ฟิลิปปนิ ส์ มาเลเซีย เนปาล อินเดีย ศรีลงั กา รวมท้ังจากญ่ีปุ่น ออสเตรเลีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่กลุ่มหลังน้ีเราจะไม่ค่อยรับ ในจ�ำนวนที่มากนัก เพราะไม่อยากให้เขามาหาประโยชน์จากหลักสูตรเรา เพราะของเรา คา่ เลา่ เรยี นถกู แตท่ ร่ี บั นกั ศกึ ษาจากประเทศตะวนั ตกใหเ้ ขา้ มาเรยี นเพราะอยากใหน้ กั ศกึ ษา ในหลักสูตรมีเพ่ือนท่ีพูดภาษาอังกฤษดี ให้เกิดความหลากหลาย จะได้รู้สึกว่าเรียนแล้ว เป็นนานาชาติจริง ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศเพ่ือนบ้านต้องให้มีความหลากหลาย เพราะหาก ขาดความหลากหลายนักศกึ ษากจ็ ะขาดความกระตือรอื รน้ และไม่รู้จกั เปรียบเทียบ ผม (และคณาจารย์ทา่ นอื่นๆ) ทไ่ี ปเรียนตา่ งประเทศ จะรู้วา่ วฒั นธรรมการเรียนเป็น อย่างไร ท่ีแตกต่างจากบ้านเรา อันไหนที่เราบกพร่องเราก็ต้องขวนขวายเปล่ียนแปลง เมื่อเราเปิดหลักสูตรในเมืองไทยเราก็ต้องการให้นักศึกษารู้ว่าคนท่ีอื่นเขาเรียนอย่างไร คนเวยี ดนาม คนจนี มาบา้ นเราพดู ภาษาองั กฤษไมไ่ ด้ แตเ่ ขามาปีเดยี ว ปรบั ตวั ไดค้ ลอ่ งเลย แสดงว่าเขาต้องขยัน ในประเทศเขามีการแข่งขันสูง ถ้ามาต่างประเทศแล้วไม่ได้ดีก็ไม่มี ประโยชน์ เพราะการเรยี นหนังสือตอ้ งท่มุ เท เลอื กมาเรยี นกต็ อ้ งขยัน แตข่ องเรา (นักศกึ ษา ไทย) เมื่อเทยี บกับประเทศเพ่ือนบา้ น ลาวอาจจะดอ้ ยกว่าในแงข่ องความขยนั แต่คนเขมร เผชญิ กบั ปญั หาและสงครามมานานกอ็ ยากจะฟน้ื ตวั เอง อนั นกี้ เ็ ปน็ บรบิ ทของแตล่ ะประเทศ ท่ีท�ำให้นักศึกษาแต่ละประเทศมีความขยันในการเรียนต่างกัน และช่วยท�ำให้นักศึกษาไทย มขี อ้ เปรยี บเทยี บ มผี ลทำ� ใหน้ กั ศกึ ษาเราปรบั เปลย่ี นวฒั นธรรมการเรยี นใหแ้ ตกตา่ งไปจากเดมิ แตห่ ลกั สตู ร RCSD รบั นกั ศกึ ษาไทยนอ้ ย เพราะคนไทยไมอ่ ยากเรยี นหลกั สตู รภาษาองั กฤษ 354
๕๐ ศ าม สสชังต.คนรปม์าี นาทรรศนะ จาก ศาสตราจารย์เกียรตคิ ุณ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุทง้ั น้ีคนไทยเราจะตอ้ งเป็นคนที่พดู ไดส้ อง-สามภาษาในอนาคต ภาษาไทย ภาษาเพอ่ื นบา้ นและภาษาอังกฤษ ถ้าต่อไปพูดไม่ได้ ๓ ภาษาจะอยู่ยาก เพราะปัจจุบันเง่ือนไขไม่เหมือน สมัยทอ่ี าจารย์เริม่ ทำ� งานกนั ผ้คู นปจั จุบันมีหลากหลาย และตอ้ งแขง่ ขันกนั สงู มากข้ึนสดุ ทา้ ยอยากใหพ้ ูดถึงการเรยี นการสอนและนักศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี เปน็ อย่างไรบา้ ง? เท่าที่สอนมาต้ังแต่รุ่นอาจารย์ยศ เมื่อผมเร่ิมงานสอนในคณะสังคมศาสตร์ ปี พ.ศ.๒๕๑๙ ตอนนั้นนักศึกษากระหายความรู้ เพราะมีการเปล่ียนแปลงทางสังคม อยากจะมีความรู้ อยากจะได้อะไรใหม่ๆ กระตือรือร้นกันมาก เพราะสังคมมันขัดแย้งเปล่ียนแปลง แต่พอระยะหลังๆ สังคมไทยเปล่ียนไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม ภาคบริการขยายตัวสูงขึ้น แรงงานหลุดออกจากภาคการเกษตร มีการกระจายงานมากข้ึน สังคม เปดิ มากขนึ้ งานภาคเกษตรลดลงเหลอื แค่ ๑๐% เทา่ นน้ั เอง งานภาคบรกิ ารเพม่ิ ขนึ้ กวา่ ๕๐% ฐานงานมันใหญ่ข้ึน เมื่อก่อนนักศึกษาสมคั รงาน “ตอ้ งใช้เส้น” เพราะมีงานอยไู่ มก่ ่ที ่ี การท่ีสังคมเปิด การสมัครงานก็ง่ายข้ึน นักศึกษายุคหลังก็เรียนสบายๆ เพราะสังคมไทยมีการพฒั นารวดเรว็ มาก โดยเฉพาะในชว่ งหลงั ปี พ.ศ.๒๕๒๖ สมยั พลเอกเปรม เปน็ นายกรฐั มนตรีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจยกระดับข้ึนเร็วมาก การพัฒนาทางเศรษฐกิจท�ำให้ลดแรงกดดัน ของคนในประเทศลดลง คุณไม่ต้องขยันมากก็ได้ งานหาง่าย อยากท�ำอะไรก็ท�ำ ดังน้ัน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทยมีผลต่อการเรียนในมหาวิทยาลัยพอเรียนแบบนี้ เม่ือก่อนนักศึกษาส่วนใหญ่ก็จะเรียนเพื่อออกไปเป็นข้าราชการ สาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ก็เป็นข้าราชการได้ แต่พอสังคมไทยเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น วชิ าทางสงั คมศาสตร์ “ตลาด” ก็ไมส่ นใจมากนกั การเรียนกเ็ หมอื นแฟชั่น เดยี๋ วคนกช็ อบอย่างนั้นอย่างนี้ ในต่างประเทศกเ็ หมือนกนับางยุคบางสมัยคนก็คลั่งไคล้ ประธานาธิบดีอเมริกาบางคนจบสังคมวิทยา เมืองไทยก็มีตน้ แบบ ชอบแบบนี้อยากจะเรยี นแบบนี้ คอื วชิ ามนั ก็ใกลเ้ คียงกนั ขนึ้ อยกู่ บั ความชอบของแต่ละคน และความสามารถในการพลิกแพลง อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงเฉพาะสาขาสงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา ตอนนรี้ สู้ ึกวา่ ยังมปี ญั หา วิชาเอกสาขาน้นี ักศึกษาของเราเองไม่ค่อยสนใจ แต่กลุ่มท่ีสนใจกลับอยู่นอกสาขา นอกภาควิชาฯ นักศึกษาจากคณะอื่นๆ ทสี่ นใจมาเรยี น เรียนได้ดกี วา่ เพราะเขาอยากมาเรียนเตม็ ที่ ในบางวิชาเชน่ มานษุ ยวทิ ยาเศรษฐกิจ บางปีมีเด็กเศรษฐศาสตร์มาเรียน วิชาสังคมวัฒนธรรมล้านนา ก็มีจากสาขาประวตั ิศาสตร์ คณะศึกษาศาสตรม์ าเรียน นักศึกษาวชิ าเอกในสาขาใชว่ า่ จะเรยี นดีกวา่ 355
๕๐นานาทรรศน ะศ าม สสชงัต.ครปม์ ีจาก ศาสตราจารย์เกยี รตคิ ุณ ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ ดังน้ันวิชาการไม่ใช่เร่ืองของสติปัญญา แต่เป็นเรื่องของความสนใจและความขยัน หมน่ั เพยี ร สตปิ ัญญาคนเราไม่ได้แตกต่างกันมาก สตปิ ัญญาดีแตไ่ มข่ ยนั กไ็ ม่ได้ สตปิ ัญญา ไมใ่ ชป่ จั จยั ชข้ี าด อยา่ งผมเรยี นปรญิ ญาเอกกไ็ มไ่ ดเ้ กง่ กาจอะไร ไมไ่ ดท้ ห่ี นง่ึ ทสี่ อง แตท่ ที่ ำ� ได้ เพราะวา่ เราชอบวชิ านี้ ทงั้ ๆ ที่ตอนเรียนปรญิ ญาตรี (ทม่ี หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร)์ ไม่รู้จัก วิชาน้ี เพราะเป็นนักเรียนรัฐศาสตร์ จนกระทั่งไปเรียนในต่างประเทศ (ท่ีมหาวิทยาลัย คอร์แนลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) จึงรู้ว่ามีวิชาน้ีในโลกนี้ เม่ือได้ไปเรียนก็เกิดชอบข้ึนมา เลยมุมานะ อยากจะรู้มากขึ้น พอมีประสบการณ์มากข้ึนก็พัฒนาได้มากขึ้น หากสนใจ และขยันหม่ันเพยี รก็จะทำ� ใหเ้ ราเรียนรไู้ ดเ้ อง 356
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362