หลกั สูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ พระพทุ ธศาสนา มาตรฐาน ส ๑.๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบัตติ นตามหลกั พระวินัยบัญญัตแิ ละประกาศ กฎ ระ ม. ๑ ตวั ช้ีวดั /ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ๑. ๒. ๑. รู๎ละข๎า฿จปฐมหตพุ ระวินยั บญั ญัติ ม. ๒ ๓. กัณฑ์ที่ ๑ อปุ สัมปทา ๔. ๑. อธิบายปฐมหตุพระวนิ ัยบญั ญตั ิกณั ฑท์ ี่ ๕. ๒. ร๎ู ละขา๎ ฿จปฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั ิ ๖. กณั ฑท์ ี่ ๒ พระวนิ ัย ๖ นสิ สคั คิยปาจติ ตยี ์ ๓๐ ๓. รู๎ละขา๎ ฿จปฐมหตุพระวินยั บญั ญตั ิ ๒. อธบิ ายปฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั ิกณั ฑท์ ่ี กณั ฑ์ท่ี ๓ สกิ ขาบท ๗ ปาจิตตยี ์ ๙๒ ๔. รู๎ละข๎า฿จปฐมหตุพระวนิ ยั บัญญัติ กัณฑ์ที่ ๔ ปาราชิก ๔ ๓. อธบิ ายปฐมหตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั ิกณั ฑ์ที่ ๕. ร๎ู ละขา๎ ฿จปฐมหตุพระวินยั บัญญตั ิ ๘ ปาฏิทสนียะ ๔ ละสขยิ วตั ร ๗๕ กัณฑ์ที่ ๕ สงั ฆาทิ สส ๑๓ ๔. อธิบายปฐมหตพุ ระวนิ ัยบญั ญตั ิกณั ฑ์ท่ี ๙ อธิกรณสมถะ ๗ ๕. อธบิ ายปฐมหตพุ ระวินัยบญั ญตั ิกณั ฑ์ที่ ๑๐ มาตรา
๑๒๔ ะเบียบ คาสงั่ มหาเถรสมาคม และพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ ม. ๓ ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ชว่ งชั้น วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ม. ๔ – ม. ๖ ที่ ๑๑ กายบรหิ าร มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ วิ คราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ที่ ๑๒ บรขิ ารอุปภค ๑. วิ คราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๑๗ วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ อุ บสถ ปวารณา ที่ ๑๓ นิสสัย ๒. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๑๘ วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ที่ ๑๔ วัตร อุปปถกริ ิยา วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ ๓. วิ คราะหป์ ฐมหตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๑๙ ท่ี ๑๕ คารวะ วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ กาลิก ๔ ท่ี ๑๖ จาพรรษา ๔. วิ คราะหป์ ฐมหตพุ ระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะตาํ งจา๎ ของ ๕. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑท์ ่ี ๒๑ วินยั กรรม ๖. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๒ ปกณิ ณกะ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕ ๑. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๓ สังฆกรรม ๒. วิคราะหป์ ฐมหตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๔ สมี า
หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒
๑๒๕ ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ชว่ งชั้น ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ๓. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ท่ี ๒๕ สมมติ จา๎ หนา๎ ทีท่ าการสงฆ์ ๔. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๒๖ กฐนิ ๕. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๒๗ บรรพชาละอุปสมบท ๖. รู๎ ละข๎า฿จพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ๗. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ่ี ๒๘ วิธรี ะงับววิ าทาธิกรณ์ ๘. วิ คราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑท์ ี่ ๒๙ วธิ รี ะงบั อนุวาทาธิกรณ์ ๙. วิคราะหป์ ฐมหตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ัณฑ์ที่ ๓๐ วธิ รี ะงับอาปตั ตาธกิ รณ์ ๑๐. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๓๑ กจิ จาธิกรณ์ละวธิ รี ะงับดว๎ ยนคิ คหะ ๑๑. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ่ี ๓๒ สงั ฆภทละสงั ฆสามัคคี ๑๒. วิ คราะหป์ ฐมหตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ที่ ๓๓ ปกิณณกะ ๑๓. รู๎ ละขา๎ ฿จกฎหมาย กฎ ระบยี บ ประกาศ คาสั่ง
หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒
๑๒๖ ตวั ช้วี ดั /ผลการเรยี นรู้ ชว่ งช้ัน ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ละมติมหาถรสมาคมที่ กย่ี วกับรงรียนพระปรยิ ตั ิ ธรรม ผนกสามญั ศึกษา
หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๖ สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี กล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ ความสาคญั รายสาระการเรยี นรูภ้ าษาบาลี ภาษาบาลมี ีความสาคญั ตํอพระพทุ ธศาสนาซึ่งป็นภาษาท่ี฿ช๎จารึกคาส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธจ๎า ละ฿ช๎ป็นการผยผํพระพุทธศาสนา ประทศเทยมีพระพุทธศาสนาป็นศาสนาประจาชาติซึ่งมีผู๎นับถือ พระพุทธศาสนาป็นจานวนมาก ซ่ึงการดารงชีวิตของคนเทยเด๎นาอาหลักธรรมคาส่ังสอนของพระพุทธศาสนามา ประพฤตปิ ฏบิ ัติ฿ห๎อยูํ฿นสงั คมอยํางสันตสิ ุข ดังน้ัน ฿นฐานะภาษาบาลีป็นภาษาต๎นบบที่เด๎วิวัฒนาการจากภาษาบาลีมาป็นภาษาเทย ด๎วยหตุ นั้นนักรียนจึงต๎องรียนร๎ูประวัติความป็นมาละหลักเวยากรณ์ของภาษาบาลี พื่อสามารถพูด ฟัง อําน ขียน ภาษาบาลอี นั ปน็ ภาษาต๎นบบเด๎ ภาษาบาลี ป็นภาษาของคว๎นมคธ฿นประทศอินดียบราณ รียกวํา “ภาษามาคธี” พระพุทธจ๎า ประดิษฐานพระพุทธศาสนาป็นครั้งรก฿นคว๎นมคธ ละมีชาวมคธล่ือม฿สอุปสมบท฿นพระพุทธศาสนาป็น จานวนมาก พระภิกษุชาวมคธจึง฿ช๎ภาษามาคธีผยพรํพระพุทธศาสนา รวมทั้ง฿ช๎บันทึกหลักคาสอนของ พระพุทธศาสนาจนสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ตํอมาเทยรารียกวํา “ภาษาบาลี” ซึ่งหมายถึงภาษาท่ีรักษา พระพทุ ธศาสนาเว๎ (บาลี หรือ ปาลี ปลวํา ผู๎รกั ษา) ธรรมชาติหรือลักษณะเฉพาะของสาระการเรยี นรู้ภาษาบาลี ภาษาบาลี หมายถึง ภาษาที่รักษาเว๎ซ่ึงพระพุทธพจน์ ป็นภาษาท่ี฿ช๎จารึกหลักธรรมคาส่ังสอนที่ สมด็จพระสัมมาสัมพุทธจ๎า฿นพระเตรปิฎกละคัมภีร์ตํางๆ ฿นพระพุทธศาสนา ภาษาบาลีมีความสัมพันธ์กับ วัฒนธรรมเทยมาตัง้ ตอํ ดตี จนถงึ ปัจจุบัน ปน็ ภาษาท่ี฿ช๎ส่ือสาร฿นสมัยพุทธกาลถึงปัจจุบัน ป็นตันติภาษาละป็น ภาษาท่ีเม฿ํ ช๎สื่อสารล๎ว฿นสังคมลก ตํ฿ช๎ส่ือสารการรียนรู๎฿นพระพุทธศาสนา ป็นภาษาท่ี฿ช๎มาก฿นสมัยพุทธกาล อันสดงออกถึงวิถชี ีวติ พฤตกิ รรมทางสังคม คํานยิ มละความช่ือท่ีสดงออกทางภาษา การรียนภาษาบาลีตกตํางจากการรียนสาระการรียนรู๎อื่นๆ นื่องจากนักรียนเมํเด๎รียนภาษาพ่ือ ความร๎ู กี่ยวกบั ภาษาทาํ น้ัน ตกํ ารรยี นภาษาพ่ือ฿ห๎สามารถนามา฿ช๎ ป็นคร่ืองมือการรียนร๎ูละนามาประยุกต์฿ช๎ ฿นสถานการณ์ตํางๆ ดยฉพาะการดารงชีวิตของชาวพุทธ การที่นักรียนจะรียนร๎ูภาษาบาลีเด๎อยํางถูกต๎อง คลอํ งคลํวละหมาะสมนัน้ ขน้ึ อยูํกบั ทกั ษะการ฿ชภ๎ าษาบาลี ดังนั้น การจัดกระบวนการรียนการสอนเด๎ยึดหลักความข๎า฿จ฿นหลักเวยากรณ์ของภาษาบาลีตลอด ถึงการนาภาษาอ่นื มาบรู ณาการกับภาษาบาลี฿ห๎กดิ ความร฿๎ู หมๆํ อันจะ฿ช๎ป็นนวทางการศึกษาตํอ฿นระดับท่ีสูงข้ึน เปซ่งึ ป็นจุดมงุํ หมายอนั สาคญั ประการหนึ่งของการปฏริ ูปการรียน
หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๗ วิสัยทศั นส์ าระการเรยี นรู้ภาษาบาลี นักรียนจะป็นผู๎ท่ีมีความรู๎ ทักษะ กระบวนการ ละคุณธรรมจริยธรรม คํานิยมตามจุดหมายของ หลักสูตร มีความร๎ูความข๎า฿จ฿นวัฒนธรรมอันหลากหลายตามวิถีของชาวพุทธสามารถถํายทอดความคิดละ วัฒนธรรมเทยเปยังสังคมเด๎อยํางสร๎างสรรค์฿ช๎ภาษาบาลีส่ือสาร฿นสถานการณ์ตํางๆ ตลอดถึง฿ช๎ภาษาบาลีอันป็น หลักธรรมทางพุทธศาสนาพอื่ ป็นนวทาง฿นการศกึ ษาตํอละการดารงชวี ติ พันธกิจสาระการเรียนรู้ภาษาบาลี หลกั สตู รสาระการเรียนร้ภู าษาบาลีน้ี ป็นการศึกษาที่มํุง฿ห๎พระภิกษุสามณรพัฒนาตนองประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยป็นศาสนทายาทท่ีดี ละนาความร๎ูจากการศึกษาเปพัฒนาสังคม ดยมํุงปลูกฝัง฿ห๎ พระภกิ ษสุ ามณรมคี ณุ ลกั ษณะดังตอํ เปนี้ ๑. มํุง฿ห๎นักรียนเด๎ศึกษาประวัติความป็นมาของภาษาบาลี หลักเวยากรณ์บ้ืองต๎นของภาษาบาลี พ่ือปน็ นวทาง฿นการรียนรร๎ู ะดบั สงู ละชอื่ มยงประสบการณ์การรียนร๎ูเปสํูกลุมํ สาระการรยี นรู๎อื่นๆ ๒. มุงํ ฿ห๎นกั รยี นเด๎รับการพัฒนา฿ห๎มีทักษะกระบวนการ ด๎านการฟัง การพูด การอําน ละการขียน ปน็ ภาษาบาลี ๓. มํุง฿ห๎นักรียนห็นคุณคําความสาคัญของภาษาบาลี฿นฐานะป็นภาษาที่฿ช๎บันทึกหลักธรรมคาส่ัง สอนละสามารถนาความร๎เู ป฿ช฿๎ นชวี ติ ประจาวัน เปา้ หมายหรือความหวังของสาระการเรียนรภู้ าษาบาลี การจัดการรียนการสอนภาษาบาลี ซ่ึงป็นสาระการรียนร๎ูภาษาตํางประทศตามหลักสูตรการศึกษา พระปรยิ ัตธิ รรม ผนกสามญั ศกึ ษา ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงมีความคาดหวังวํา มอื่ นกั รียนรียนภาษาบาลอี ยาํ งตอํ น่ืองต้ังตํช้ันมัธยมศึกษาตอนต๎นละมัธยมศึกษาตอนปลายล๎ว นักรียนจะมี จตคตทิ ี่ดตี อํ ภาษาบาลี… ๑. สามารถ฿ชภ๎ าษาบาลี สวงหาความรู๎ สอื่ สาร฿นสถานการณ์ตํางๆ ละศกึ ษาตอํ ฿นระดบั สูงขนึ้ ๒. ขา๎ ฿จ฿นรือ่ งราวละวัฒนธรรมอันหลากหลายของภาษาบาล฿ี นพระพุทธศาสนา ๓. สามารถถํายทอดความคิด ละวฒั นธรรมเทยเปยงั สงั คมเด๎ คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ของสาระการเรยี นร้ภู าษาบาลี ๑. นกั รียนมีความร๎ูหลักภาษาท่ี ป็นพน้ื ฐาน การฟัง การพูด การอําน การขียน ภาษาบาลี ๒. นกั รยี นมีความข๎า฿จนือ้ หา฿นรื่องที่อาํ น ๓. นักรียนรกั การอาํ นละห็นคณุ คําภาษาบาลี฿นการทจ่ี ะ฿ช๎ปน็ ครือ่ งมือศกึ ษาพระพุทธศาสนา ๔. นักรียนสามารถ฿ช๎ภาษาบาลี฿นการฟัง การพูด การอําน การขียน ตามศกั ยภาพของนกั รยี น ๕. นักรียนสามารถ฿ชภ๎ าษาบาล฿ี นการศกึ ษาคน๎ คว๎าวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา ๖. นักรียนนาภาษาบาลมี าประยกุ ต฿์ ช฿๎ นภาษาเทยเด๎ ๗. นกั รียนห็นคุณคาํ ละธารงรักษาเวซ๎ งึ่ ภาษาบาลี
หลักสูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๘ ๘. นกั รียนมคี วามร๎ู ปน็ พ้นื ฐาน฿นการศึกษาภาษาบาลี฿นช้ันสงู ขึ้นเป ๙. นักรียนข๎า฿จ฿นคติธรรมวัฒนธรรมละประวัติพระพุทธศาสนาที่ปรากฏ฿นภาษาบาลีกิดความ ซาบซึ้ง฿นพระพทุ ธศาสนา ๑๐. นักรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรรงรียนขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ คุณภาพของนกั เรยี น สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี ป็นสํวนหน่ึงของกลํุมสาระการรียนรู๎ภาษาตํางประทศ ป็นสาระการ รยี นรู๎พิม่ ติม ที่นกั รยี น฿นรงรียนขื่อนผากวิทยา ต๎องรียนต้ังตํระดับ ๒ ถึง ระดับ ๓ ดยมุํงน๎น฿ห๎นักรียนเด๎ ศึกษาหลักเวยากรณ์บื้องต๎น พ่ือ฿ห๎ผู๎ศึกษาเด๎มีความรู๎ มีทักษะ กระบวนการด๎านภาษาบาลี ฿นฐานะที่ภาษาบาลี ป็นภาษาที฿่ ช๎จารึกหลักธรรมคาสัง่ สอน฿นพระพุทธศาสนา จบชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓, ๖ (ระดับ ๒, ๓) นักเรยี นจะมีคณุ ภาพ ดงั น้ี ๑. เด๎รียนร๎ู ละศกึ ษาประวตั ิ วิวัฒนาการของภาษาบาล฿ี นสมัยพทุ ธกาลจนถงึ ปจั จุบนั ๒. เด๎รียนรู๎ ศึกษา กระบวนการอาํ น การฟงั ละการออกสยี งตามหลกั เวยากรณ์ ๓. เด๎รียนร๎ูศึกษาหลัก ละกระบวนการพูด การขียน การตํง ละการปลตามหลักภาษา ๔. ปน็ ผู๎มคี วามรู๎ ความสามารถ ฿นการช่ือมยงความรภู๎ าษาบาลกี ับสาระการรยี นร๎อู นื่ ๆ ๕. ป็นผ๎ูมีความสามารถ฿นการนาความร๎ูทางภาษาบาลีเปประยุกต์฿ช๎ตามสถานการณ์ตํางๆ ฿น สถานศกึ ษาละสงั คมทวั่ เป สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ สาระของกลํุมสาระการรยี นร๎ูภาษาตํางประทศ หมายถึง องค์ความรู๎ท่ีป็นมาตรฐานสาหรับนักรียน ภาษาตํางประทศประกอบด๎วยสาระด๎านภาษาพ่ือการส่ือสารภาษาละวัฒนธรรมภาษากับความสัมพันธ์กับกลํุม สาระการรียนรู๎อื่น ละภาษากับความสัมพนั ธ์กับชุมชนลก หลกั สูตรการศึกษาพระปริยตั ธิ รรม ผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษา พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฿ช๎มาตรฐานป็นตัวกาหนดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักรียนตามจุดหมายของหลักสูตร พ่อื ปน็ นวทาง฿นการประกนั คุณภาพการศกึ ษา ดยบํงตามสาระหลัก ดงั น้ี สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี หมายถึง ภาษาที่รักษาเว๎ซึ่งพระพุทธพจน์ ป็นภาษาที่฿ช๎จารึกหลักธรรม คาส่ังสอนที่สมด็จพระสัมมาสัมพุทธจ๎า฿นพระเตรปิฎกละคัมภีร์ตํางๆ ฿นพระพุทธศาสนา ภาษาบาลีมี ความสัมพนั ธ์กับวัฒนธรรมเทยมาตั้งตํอดีตจนถึงปจั จบุ ัน สาระท่ี ๑ ภาษาเพ่ือการส่ือสาร ภาษาบาลีป็นภาษาท่ี฿ช๎สื่อสาร฿นสมัยพุทธกาลถึงปัจจุบันป็น ตนั ติภาษา ภาษาที่เม฿ํ ชส๎ ่ือสารล๎ว฿นสังคมลก ตํ฿ช๎ส่ือสารการรียนรู๎฿นพระพทุ ธศาสนา
หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๙ สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม หมายถึง ภาษาบาลี (มคธ) ของชาวมคธ฿นประทศอินดีย ป็น ภาษาท่ี฿ช๎มาก฿นสมัยพุทธกาล สดงออกถึงวิถีชีวิตพฤติกรรมทางสังคม คํานิยม ละความชื่อมที่สดงออกทาง ภาษา สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น หมายถึง การช่ือมยงความร๎ูภาษา บาลกี ับสาระการรียนรู๎กลํุมภาษาเทย, สงั คมศึกษาศาสนาละวัฒนธรรม, ภาษาอังกฤษ, ละคณติ ศาสตร์ ป็นตน๎ สาระท่ี ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก หมายถึง การ฿ช๎ภาษาบาลี฿นสถานศึกษาละ ฿นการดานินชีวิตตามวิถีชาวพุทธ ตลอดถงึ ฿ช๎ภาษาบาลี ปน็ ครอ่ื งมือ฿นการรยี นร๎ูพ่ือพัฒนาตนอง สาระและมาตรฐานการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ มาตรฐานการรียนร๎ูที่จาปน็ กนํ กั รยี นทุกคน ดังนี้ มาตรฐานการรียนร๎ูกลํุมสาระการรียนร๎ูภาษาตํางประทศ หมายถึง ตัวช้ีวัดหรือผลการรียนรู๎ท่ี ต๎องการ฿ห๎กิดขึ้น฿นตัวนักรียนป็นสาคัญ ป็นมาตรฐานกลางซึ่งป็นกรอบด๎านความร๎ู ทักษะ กระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม ละคํานิยม พ่ือกาหนดป็นตัวชี้วัดหรือผลการรียนรู๎฿นหลักสูตรสถานศึกษา มาตรฐานการ รยี นรู๎ป็นข๎อกาหนดก่ยี วกบั ตัวชีว้ ดั หรอื ผลการรียนรู๎ของนักรยี น อนั จะนาเปสํูการจดั กระบวนการรียนร๎ูละการ วัดผล การรยี นร๎ู บํงออกป็น ๘ มาตรฐานตามสาระทง้ั ๔ ดังตํอเปนี้ สาระท่ี ๑ ภาษาเพอื่ การส่ือสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ ขา๎ ฿จละตคี วามร่ืองท่ีฟังละอํานจากสือ่ ประภทตํางๆ ละสดงความคิดหน็ อยํางมีหตุผล มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการสื่อสารทางภาษา฿นการลกปล่ียนข๎อมูลขําวสารสดงความรู๎สึกละความคิดห็น อยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ มาตรฐาน ต ๑.๓ นาสนอข๎อมลู ขําวสารความคิดรวบยอดละความคดิ หน็ ฿นรือ่ งตาํ งๆ ดยการพูดละการขยี น สาระท่ี ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ ข๎า฿จความสัมพนั ธร์ ะหวาํ งภาษากับวฒั นธรรมของจ๎าของภาษา ละนาเป฿ช๎เด๎อยํางหมาะสม กบั กาลทศะ มาตรฐาน ต ๒.๒ ข๎า฿จความหมือนละความตกตํางระหวํางภาษาละวัฒนธรรมของจ๎าของภาษากับภาษา ละวัฒนธรรมเทย ละนามา฿ช๎อยํางถูกตอ๎ งละหมาะสม สาระท่ี ๓ ภาษากับความสัมพนั ธก์ ับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน มาตรฐาน ต ๓.๑ ฿ช๎ภาษาตํางประทศ฿นการชื่อมยงความรู๎กับกลํุมสาระการรียนรู๎อ่ืน ละป็นพื้นฐาน฿นการ พฒั นา สวงหาความรู๎ ละปดิ ลกทศั น์ของตน สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธก์ บั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ฿ชภ๎ าษาตาํ งประทศ฿นสถานการณ์ตํางๆ ทงั้ ฿นสถานศึกษา ชุมชน ละสงั คม
หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๐ มาตรฐาน ต ๔.๒ ฿ช๎ภาษาตํางประทศป็นครื่องมือพื้นฐาน฿นการศึกษาตํอ การประกอบอาชีพ ละการลก ปลี่ยนรียนรู๎กบั สงั คมลก
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ ภาษาเพ่อื การส่ือสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ – ต ๑.๓ สาระท่ี ๓ ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับกลุ่มสาระการเรยี นรูอ้ ่นื มาตรฐาน ต ๓.๑ ม. ๑ ตวั ชีว้ ดั /ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ๑. รู๎ล ๒. รู๎ล ๑. รู๎ ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ งความรู๎ ม. ๒ กัมม บ้อื งตน๎ ก่ยี วกับบาลีเวยากรณ์ ๑. ร๎ูละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งอาขยาต ๒. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งวิภตั ติ ๓. ร๎ูล ๒. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ ง ๓. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องกาล, บท, ทคิ ุส นามศพั ท์ วจนะ, บรุ ษุ ๔. ร๎ู ล ๓. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งลิงค,์ ๔. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ งธาตุ ๕. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งวาจก ตัปป วจนะ, วภิ ตั ติ ละปัจจยั ๕. รู๎ล ๔. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง ๖. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งการปล ทวัน อายตนบิ าตละการันต์ ฿นวาจกท้ัง ๕ ที฿่ ช๎กริ ยิ าอาขยาต ๖. รู๎ล ๕. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง คมุ พากย์ อัพย การจกการันต์฿นปงุ ลงิ ค์ ๗. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง ๗. รู๎ล ๖. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง กิรยิ ากติ ก์ พหพุ การจกการนั ต์฿นอิตถลิ ิงค์ ๘. รู๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องนามกิตก์ ๘. รู๎ล ๗. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง รูปละสาธนะ สมา การจกการันต์฿นนปุงสกลงิ ค์ ๙. ร๎ูละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งปัจจยั ๙. ร๎ู ล ๘. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง นามกิตก์ ๑๐.ร๎ู ล กตปิ ยศพั ท์ ๑๐.ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ ร่อื งการ฿ช๎ สาม ๙. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ ร่อื ง กิรยิ ากติ ก์ ปกตสิ ังขยา
๑๓๐ สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ – ต ๒.๒ สาระที่ ๔ ภาษากบั ความสัมพันธ์กบั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ – ต ๔.๒ ม. ๓ ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ ช่วงช้ัน ม. ๔ – ม. ๖ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ ร่ืองสมาส ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ มธารยสมาส ๑. รู๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ งสมญั ญาภิธาน ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ ง ๒. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องอักขรวธิ ี : สนธิ สระสนธิ สมาส ๓. รู๎ ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ งพยญั ชนะสนธิ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ ง นคิ คหติ สนธิ ปุริสสมาส ๔. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องหลกั การปลมคธป็นเทย ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง นทวสมาส ละการปลเทยปน็ มคธตามครงสรา๎ งของประยค ๘ สวํ นประกอบ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ ง ยยภี าวสมาส ๕. รู๎ ละขา๎ ฿จละสามารถปลอุภยั พากย์ปริวัฒน์ ดย ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ ร่อื ง พพหิ สิ มาส พยญั ชนะละอรรถเด๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ ง ๖. รู๎ละข๎า฿จละสามารถปลธรรมบทภาค ๑ ดย าสท๎อง พยญั ชนะละอรรถเด๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งตทั ธิต ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ มัญญตัทธิต ๑. ร๎ูละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องอาขยาต ๒. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งวภิ ตั ติ ๓. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งกาล, บท, วจนะ, บุรษุ ๔. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งธาตุ
หลักสูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๑.ร๎ู ล ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ภาว ม. ๑ ม. ๒ ๑๐. รู๎ ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื ง วธิ ตี ํอปกติสงั ขยา ๑๑. รู๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ ร่ือง ปรู ณสังขยา ๑๒. รู๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง ปรุ ิสสัพพนาม ๑๓. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ ร่อื ง วิ สสนสัพพนาม ๑๔. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ ง อพั ยยศัพท์
ม. ๓ ๑๓๑ ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่อง ตัวชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ ชว่ งช้ัน วตัทธิตละอพั ยยตัทธติ ม. ๔ – ม. ๖ ๕. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งวาจกละปัจจยั ๖. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งการปล฿นวาจกทง้ั ๕ ที่ ฿ชก๎ ริ ิยาอาขยาตคุมพากย์ ๗. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอื่ งกิรยิ ากติ ก์ ๘. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ งนามกิตก์ รูปละสาธนะ ๙. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องปจั จัยนามกติ ก์ ๑๐. รู๎ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งการ฿ชก๎ ริ ิยากติ ก์ ๑๑. รู๎ละข๎า฿จละสามารถปลธรรมบทภาค ๒-๓ ดย พยัญชนะละอรรถเด๎ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ ๑. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ ร่ืองสมาส ๒. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องกัมมธารยสมาส ๓. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งทิคสุ มาส ๔. รู๎ ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องตปั ปรุ ิสสมาส ๕. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ ร่อื งทวนั ทวสมาส ๖. ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งอัพยยีภาวสมาส ๗. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ ร่ืองพหพุ พหิ ิสมาส ๘. รู๎ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รื่องสมาสท๎อง ๙. ร๎ู ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งตทั ธติ ๑๐.ร๎ู ละข๎า฿จบาลเี วยากรณ์ รือ่ งสามญั ญตทั ธิต
หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒
๑๓๒ ตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ ช่วงช้ัน ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ๑๑.รู๎ ละขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ์ รอ่ื งภาวตัทธิตละ อพั ยยตัทธติ ๑๒.รู๎ ละข๎า฿จละสามารถปลธรรมบทภาค ๔ ดย พยญั ชนะละอรรถเด๎ ๑๓.รู๎ ละขา๎ ฿จละสามารถทบทวนการปลธรรมบทภาค ๑-๔ ดยพยญั ชนะละอรรถเด๎
หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๒ การจัดกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน กิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียน ป็นสํวนหนึ่งของหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีมุํง฿ห๎ผู๎รียน เด๎พัฒนาตนองตามศักยภาพ พัฒนาอยํางรอบด๎านพื่อความป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งรํางกาย สติปัญญา อารมณ์ ละสังคม สริมสร๎าง฿ห๎ป็นผู๎มีศีลธรรม จริยธรรม มีระบียบวินัย ปลูกฝังละสร๎างจิตสานึกของการกระทา ประยชน์ พ่อื สังคม สามารถจัดการตนองเด๎ ละอยูํรวํ มกบั ผู๎อ่นื อยาํ งมคี วามสุข รงรียนขื่อนผากวิทยา ต๎องจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนตามปูาหมาย รูปบบ ละวิธีการท่ีหมาะสมกับ สมณสารูป ละต๎องสํงสริมการพัฒนาความสามารถของพระภิกษุสามณร ดยจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียน฿ห๎ครบถ๎วน ตามที่หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดเว๎ ซ่ึงประกอบด๎วยกิจกรรม ๓ ลักษณะด๎วยกัน เด๎กํ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรม นกั เรยี น และกิจกรรมเพื่อพัฒนาสงั คมและสาธารณประโยชน์ มรี ายละอยี ดดังนี้ ๑. กจิ กรรมแนะแนว ป็นกิจกรรมท่ีสํงสริมละพัฒนาผ๎ูรียนด๎วยกระบวนการทางจิตวิทยาการนะนว พ่ือ฿ห๎ผู๎รียน เด๎รับการพัฒนาต็มตามศักยภาพ ดยคานึงถึงความตกตํางระหวํางบุคคล฿นด๎านความสามารถความถนัด ละ ความสน฿จ สํงสริม สนันสนุน฿ห๎ผ๎ูรียนรู๎จัก ข๎า฿จ รักละห็นคุณคํา฿นตนองละผู๎อื่น สามารถกาหนดปูาหมาย วางผนชีวิตทั้งด๎านการรียน การปฏิบัติศาสนกิจ ละสามารถปรับตัว฿นการดารงตนอยํู฿นสมณพศเด๎อยําง หมาะสม ผ๎ูรียนจะต๎องมีอสิ ระ฿นการคดิ ละตดั สนิ ฿จดว๎ ยตวั อง รยี นรด๎ู ๎วยตวั องด๎วยการปฏิบัติจนกิดทักษะ ชีวิตละที่สาคัญคือครูผ๎ูสอนทุกรูปคนควรมีสํวนรํวม฿นการจัดกิจกรรม ดยมีครูนะนวป็นพ่ีล้ี ยงละ ประสานงาน การจัดกิจกรรมแนะแนว มีวตั ถปุ ระสงค์ และแนวการจดั กิจกรรม ดังนี้ วัตถุประสงค์ ๑) พ่ือ฿ห๎ผ๎ู รยี นรจ๎ู ัก ข๎า฿จ รัก ละหน็ คณุ คํา฿นตนองละผู๎อน่ื ๒) พ่ือ฿ห๎ผู๎รียนสามารถวางผนการรียน อาชีพ การปฏิบัติศาสนกิจ รวมท้ังการดานินชีวิต฿น สงั คม ๓) พอ่ื ฿หผ๎ ู๎ รียนสามารถปรบั ตัวเดอ๎ ยํางหมาะสม ละอยรํู ํวมกับผ๎อู ืน่ เดอ๎ ยํางมคี วามสขุ แนวการจัดกจิ กรรม ๑) ครผู ๎จู ัดกิจกรรม ละ/หรือผู๎มีสวํ นรํวม ศึกษาวิ คราะห์สภาพปัญหา ความสามารถ ความถนดั ละความสน฿จ ของผ๎ูรยี น ๒) วิ คราะห์ สมรรถนะสาคญั ของผู๎รียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ วิสัยทัศนข์ องรงรยี น ละ ตามทก่ี าหนดเว฿๎ นหลกั สตู รรงรียนข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ หลักสตู รการศึกษาพระปริยัติ
หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๓ ธรรม ผนกสามญั ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘. ละตามหลกั สตู รกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมทง้ั วิ คราะห์ขอ๎ มูลของผู๎รยี นปน็ รายบุคคลด๎วย ๓) กาหนดสดั สํวนของกิจกรรมนะนว฿หค๎ รอบคลุมด๎านการศกึ ษา ด๎านการปฏบิ ตั ิศาสนกิจ ดา๎ น อาชพี (กรณผี ๎ู รียนจะลาสิกขาพือ่ ประกอบอาชีพ) ดา๎ นสวํ นตวั ละสังคม ๔) กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารจดั กิจกรรมนะนวของรงรียน฿นตลํ ะระดับละช้นั ปี ๕) ออกบบการจัดกจิ กรรมนะนว ประกอบด๎วย วตั ถปุ ระสงค์ การจดั กิจกรรม วลาจัดกิจกรรม หลักฐานการทากจิ กรรม ละการประมนิ ผล ๖) จดั ทาผนการจดั กจิ กรรมนะนวรายชั่วมงประกอบด๎วย ชื่อกจิ กรรม จุดประสงค์ วลา นอื้ หา/สาระ วิธดี านินกิจกรรม สือ่ /อุปกรณ์ ละการประมินผล ๗) จดั กจิ กรรมตามผนการจัดกิจกรรมละประมนิ ผลการจัดกิจกรรม ๘) ประมินพอ่ื ตัดสินผล ละสรปุ รายงาน ๒. กจิ กรรมนกั เรียน ป็นกิจกรรมปลูกฝังความรัก ความศรัทธา ความคารพยึดม่ัน฿นพระพุทธศาสนา ละมีปฏิปทา฿น การปฏิบัติศาสนกิจ ป็นกิจกรรมท่ีพัฒนา฿ห๎ผู๎รียนมีสขียวัตรพียบพร๎อม มีความรับผิดชอบ รู๎จักการก๎ปัญหา มี หตผุ ล มกี ารตดั สิน฿จท่ีหมาะสม ละสามารถปฏิบัติศาสนกิจรํวมกับผอู๎ ืน่ ด๎วยหลักสามคั คีธรรม รงรียนต๎องสนับสนุน สํงสริม ฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ปฏิบัติกิจกรรมตามความถนัด ละความสน฿จตํต๎อง หมาะสมกันสภาวะของพศบรรพชิต กิจกรรมนักรียนท่ีหมาะสมกับ พระภิกษุสามณร รงรียนพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศกึ ษา เด๎ กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์ ป็นการปฏิบัติกิจวัตรของสมณพศ พ่ือปลูกฝังความรัก ความศรัทธา ความมั่นคง฿น พระพุทธศาสนา สร๎างจิตสานึก฿นการประพฤติ ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย พื่อความป็นศาสนทายาทที่ดี สมบูรณ์พร๎อมด๎วยคุณธรรม จริยธรรม ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กิจของสงฆ์ท่ีผ๎ูรียนต๎องปฏิบัติป็นกิจวัตร เด๎กํ - การบณิ ฑบาต - ทาวตั รสวดมนต์ - จรญิ สมาธิภาวนา - ฝกึ ปฏบิ ัติศาสนพธิ ี จรญิ พุทธมนต์ - กวาดลานวัด - ฯลฯ ๒.๒ กิจกรรมชมุ นมุ ปน็ การจดั กจิ กรรมทสี่ ํงสรมิ ฿ห๎ผู๎รียนศึกษาหาความร๎ูตามถวามถนัดละความสน฿จพื่อพัฒนา ศักยภาพ฿ห๎สงู ข้ีน เด๎ กํ
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๔ ๒.๒.๑ ชมุ นุมสงํ สริมวชิ าการ ชํน - ชมุ นมุ ภาษาเทย - ชุมนมุ คณิตศาสตร์ - ชุมนมุ สงั คมศึกษา - ชมุ นุมภาษาตาํ งประทศ - ชมุ นุมวิทยาศาสตร์ - ฯลฯ ๒.๒.๒ ชมุ นมุ สงํ สริมความถนัดละความสน฿จ ชํน - ชมุ นมุ คอมพวิ ตอร์ - ชุมนมุ นกั ประดษิ ฐ์ - ชุมนมุ พุทธศาสตร์ - ชมุ นมุ สามณรมัคคุทศก์ - ฯลฯ การจัดกิจกรรมนกั รียนมวี ัตถุประสงค์ ละนวการจดั กจิ กรรม ดังน้ี วัตถปุ ระสงค์ ๑) พ่อื สํงสรมิ ฿ห๎ผู๎รยี น มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ละป็นศาสนทายาททม่ี ่นั คง฿นพระพทุ ธศาสนา ๒) พ่ือพัฒนาผู๎รียน฿ห๎มีระบียบวินัย มีมารยาท มีความป็นผู๎นา ผู๎ตามที่ดี ละมีความ รับผดิ ชอบ ๓) พอ่ื พัฒนา฿ห๎ผ๎ู รยี นมีทกั ษะ฿ห๎การปฎบิ ตั ศิ าสนกิจรํวมกัน ร๎ูจักการก๎ปัญหา มีหตุผล มีการ ตัดสิน฿จที่ หมาะสม ชํวยหลือบํงปัน ละมีความสามคั คี ๔) พ่อื พัฒนา฿ห๎ผู๎รียนเดป๎ ฏบิ ัติกจิ กรรมตามความถนัดละความสน฿จ แนวการจดั กิจกรรม ๑) จดั ฿ห๎ผู๎ รียนเด๎ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ละหลักสขิยวัตรอันป็นพระวินัยซึ่งกาหนดป็นมารยาท ฿นการปฏิบัติตน฿ห๎นําล่ือม฿สศรัทธา อีกท้ังป็นการปลูกฝัง฿ห๎ผู๎รียนกิดความรัก ศรัทธา ละม่ันคง฿นพระพุทธศาสนา ๒) กาหนดสัดสํวนของกิจกรรมนักรียน฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ปฏิบัติ ทั้งกิจของสงฆ์ละข๎ารํวมกิจกรรม ชมุ นุม ตามความถนัดละความสน฿จ ๓) กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารจัดกจิ กรรมนกั รียน฿ห๎ชัดจน฿นตลํ ะระดับละชัน้ ปี ๔) ฿หผ๎ ๎ูรียนเด๎รับทราบกาหนดวลาการจดั กิจกรรมนักรียนละการประมนิ ผล ๕) ประมนิ พื่อตัดสินผล ละสรุปรายงาน
หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๕ ๓. กิจกรรมเพือ่ พัฒนาสังคมและสาธารณะประโยชน์ ป็นกิจกรรมท่ีสํงสริม฿ห๎ผ๎ูรียนบาพ็ญตน฿ห๎ป็นประยชน์ตํอสังคม ชุมชน ละท๎องถิ่น ตามความ สน฿จ฿นลักษณะอาสาสมัคร พื่อสดงถึงความรับผิดชอบ ความดีงาม ความสียสละตํอสังคม มีจิตสาธารณะ พ่ือ ชํวยสรา๎ งสรรคส์ ังคม฿หอ๎ ยํูรํวมกันอยาํ งมีความสขุ วัตถุประสงค์ ๑) พ่ือปลูกฝังละสร๎างจติ สานกึ ฿ห๎กํผ๎ูรียน฿นการบาพ็ญตน฿ห๎ป็นประยชน์ตํอวัด รงรียน ชมุ ชน สังคม พระพุทธศาสนา ละประทศชาติ ๒) พ่ือ฿ห๎ผ๎ูรียนมีความคิดริริ่มสร๎างสรรค์฿นการจัดกิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์ ตามความถนดั ละความสน฿จ฿นลักษณะอาสาสมัคร ๓) พือ่ ฿ห๎ผู๎รยี นมีความรู๎ คณุ ธรรม จริยธรรม ตามคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๔) พือ่ ฿ห๎ผู๎ รยี นมจี ิตสาธารณะละ฿ช๎วลาวาํ ง฿ห๎ ป็นประยชน์ รงรียนจะต๎องจัด฿ห๎มีกิจกรรมพ่ือพัฒนาสังคม ละสาธารณะประยชน์อยํางตํอน่ือง ละต๎อง฿ห๎ ผ๎ูรียนป็นผู๎ดานินการด๎วยตนอง ดย฿ห๎ผ๎ูรียนรํวมกันสารวจละวิคราะห์สภาพปัญหา รํวมกันออกบบการจัด กจิ กรรม วางผนการจัดกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมตามผน รํวมสรุปละประมินผลการจัดกิจกรรม รํวมกันรายงานผล พร๎อมท้ังประชาสัมพันธ์ละผยพรํผลการจัดกิจกรรม ทั้งนี้ ผู๎รียนสามารถลือกจัดกิจกรรมหรือข๎ารํวมกิจกรรม เด๎ ดังน้ี ๑. กจิ กรรมภายในโรงเรียน ป็นกิจกรรม฿นวิถีชีวิตรงรียนพ่ือปลูกฝังจิตอาสาดยผ๎ูรียน ละครูท่ีปรึกษากิจกรรม รํวมกันวางผนปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสา฿นชั้นรียน ละรงรียนจนกิดป็นนิสัย฿นการสมัคร฿จ ทางานตํางๆ พ่ือ ประยชนข์ องสวํ นรวม ซ่งึ งานหลํานจี้ ะขยายขอบขตจาก฿กล๎ตวั เปสูสํ ังคมภายนอกเด๎ ตวั อยํางกิจกรรม/ครงการ ภาย฿นรงรยี น เด๎ กํ ครงการคนดีศรีปริยัติ ครงการจิตอาสา พฒั นาวัด รงรยี น ครงการพอ่ื นชํวยพื่อน ครงการคํายพทุ ธบุตร ปน็ ตน๎ ๒. กจิ กรรมภายนอกโรงเรียน ป็นกจิ กรรมอาสาสมัครพื่อสังคม ป็นกิจกรรมท่ีผู๎รียนเด๎รับการสนับสนุนตามผนการจัด กิจกรรมดย฿หท๎ ากิจกรรมดว๎ ยความสมัคร฿จที่ป็นประยชน์กชํ ุมชนละสังคมดยรวม ตัวอยาํ งครงการ/กจิ กรรมนอกรงรยี น เด๎ กํ คาํ ยปฏบิ ัตธิ รรม ครงการพุทธบุตรพ่ือสังคม สามณรอาสาพฒั นาชมุ ชน ครงการรกั ษ์ทรพั ยากรชมุ ชน ปน็ ต๎น แนวการจัดกิจกรรม ๑. จัดกิจกรรมในลกั ษณะบูรณาการใน ๘ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ดยผู๎รียนสามารถจัดกิจกรรม ตามองคค์ วามรท๎ู ่เี ดจ๎ ากการรียนรข๎ู องตลํ ะกลมุํ สาระการรยี นร๎ตู ามความหมาะสม
หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๖ ๒. จัดกจิ กรรมลกั ษณะโครงการ/โครงงาน/กิจกรรม หมายถึงกิจกรรมท่ีผ๎ูรียนนาสนอการจัด กิจกรรมตํอรงรียน พื่อขอความห็นชอบ฿นการจัดครงการ ครงงาน หรือกิจกรรมซ่ึงมีระยะวลาร่ิมต๎นละ ส้นิ สดุ ที่ชดั จน ๓. จัดกิจกรรมร่วมกับองค์กรอื่น หมายถึงกิจกรรมที่ผ๎ูรียนอาสาสมัครข๎ารํวมกิจกรรมกับ หนํวยงานหรือองค์กรอื่นๆ ท่ีจัดกิจกรรม฿นลักษณะพื่อสังคมละสาธารณะประยชน์ดยผู๎รียนสามารถลือกข๎า รํวมกิจกรรมท่ีหนํวยงานอื่นข๎ามาจัด฿นรงรียน หรือรํวมกับหนํวยงานอื่นที่จัดกิจกรรมนอกรงรียน ตัวอยําง กจิ กรรม/ครงการ ชนํ ครงการสนั ตสิ ขุ ชุมชน, ครงการรณรงคต์ า๎ นยาสพติด ผนที่คนดีศรีชุมชน รักษ์ทรัพยากร ละสิ่งวดล๎อม ป็นตน๎ การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน (สานักวิชาการละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒ : นวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนตามหลักสูตร กนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) รงรยี นควรกาหนดนวทางทชี่ ัดจน฿นการประมินกิจกรรมพฒั นาผู๎ รยี น ๒ ประการ คอื การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียนรายกจิ กรรม และการประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อการตัดสนิ ดังน้ี ๑. การประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นรายกจิ กรรม การประมินกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียนรายกิจกรรม เด๎กํ กิจกรรมนะนว กิจกรรมนักรียน ละ กิจกรรมพือ่ สงั คมละสาธารณประยน์ มี นวปฏบิ ตั ิ ดังน้ี ๑.๑ ตรวจสอบวลาข๎ารวํ มกิจกรรมของผ๎ู รียน฿ห๎ปน็ เปตามกณฑ์ท่ีรงรียนกาหนด ๑.๒ ประมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรม ผลงาน/ชิน้ งาน คุณลกั ษณะของผ๎ูรียน ตามกณฑ์ท่ีรงรียนกาหนด ด๎วยวิธีการทหี่ ลากหลาย นน๎ การมีสวํ นรํวมของผู๎ กยี่ วขอ๎ ง฿นการปฏิบตั ิกจิ กรรม ๑.๓ การ”ผา่ น”การประมนิ หมายถงึ ผ๎ูรยี นมี วลาการขา๎ รํวมกิจกรรมครบตามกณฑ์ ปฏิบตั กิ ิจกรรม ละมีผลงาน/ช้ินงาน/ คุณลักษณะตามกณฑ์ท่ีรงรียนกาหนด มื่อผ๎ูรียนผํานการประมิน฿ห๎นา ผลการประมินเปบันทกึ ฿นระบียนสดงผลการรยี น ๑.๔ การ “ไม่ผ่าน” การประมิน หมายถึง ผ๎ูรียนมีวลาข๎ารํวมกิจกรรมเมํครบตามกณฑ์เมํผําน การปฏบิ ตั ิกจิ กรรม หรอื มผี ลงาน/ช้นิ งาน/คณุ ลกั ษณะ เมํ ป็นเปตามกณฑท์ ี่รงรยี นกาหนด ๒. การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนเพ่ือการตดั สิน การประมินกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนพื่อตัดสินล่ือนช้ันละจบระดับการศึกษา ป็นการประมินการ ผํานกจิ กรรมดงั กลําวป็นรายภาครียน พื่อสรุปผลการผําน฿นตํละกจิ กรรม สรปุ ผลรวม พอ่ื การลือ่ นชั้นละประมวลผลรวม฿นปีสดุ ทา๎ ยพ่อื การจบการศกึ ษาตํละระดบั มีนวการปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๒.๑ กาหนดผ๎ูรับผดิ ชอบ฿นการรวบรวมข๎อมูลก่ยี วกบั การรวํ มกจิ กรรมพฒั นาผ๎ูรยี นของผู๎รียนทุกรูป ตลอดระดบั การศกึ ษา ๒.๒ ผรู๎ บั ผดิ ชอบสรปุ ละตัดสนิ ผลการรํวมกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียนของผู๎รียนป็นรายรูป ตามกณฑ์ท่ี รงรียนกาหนด
หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๗ ๒.๓ กณฑ์การตัดสนิ ผลการประมินกิจกรรมพัฒนาผ๎ู รียน พือ่ ลื่อนช้นั รียน “ผําน” หมายถึง ผ๎ูรียนมีผลการประมินระดับ “ผําน” ฿นกิจกรรมทั้ง ๓ กิจกรรม เด๎กํ กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนกั รยี น ละกิจกรรมพือ่ สงั คมละสาธารณประยชน์ “เมํผาํ น” หมายถงึ ผ๎ู รียนมผี ลการประมินระดบั “เมผํ าํ น” ฿นกิจกรรม฿ดกจิ กรรมหน่ึงจาก ๓ กจิ กรรม คอื กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนักรียน กจิ กรรมพื่อสังคมละสาธารณประยชน์ ๒.๔ กณฑ์การตดั สินผลการประมินกิจกรรมพัฒนาผ๎ู รยี นพ่ือจบระดบั การศึกษา “ผาํ น” หมายถงึ ผู๎ รยี นมผี ลการประมนิ ระดับ “ผําน” ทกุ ชน้ั ป฿ี นระดับการศึกษานน้ั “เมผํ าํ น” หมายถึง ผู๎ รียนมีผลการประมินระดบั “เมํผาํ น” บางชนั้ ป฿ี นระดับการศึกษานน้ั ๒.๕ ผู๎รับผิดชอบสนอผลการประมินตํอคณะอนุกรรมการกลํุมสาระการรียนร๎ูละกิจกรรมพัฒนา ผู๎รียน พื่อ฿ห๎ความหน็ ชอบ ๒.๖ ผู๎รับผิดชอบสนอผ๎ูบริหารรงรียนพื่ออนุมัติผลการประมินกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนผํานกณฑ์ การจบการศกึ ษาตลํ ะระดบั แนวทางการแก้ไขผูเ้ รยี นกรณไี ม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ กรณที ีผ่ ู๎รียนมีผลการประมินกิจกรรมพัฒนาผู๎รยี น฿นระดับ “เมํผําน” ป็นหน๎าที่ของครูหรือผ๎ูรับผิดชอบ กิจกรรมตํางๆ ต๎องสอนซํอมสริม ดย฿ห๎ผู๎รียนดานินกิจกรรมครบวลาท่ีขาด หรือปฏิบัติกิจกรรม฿ห๎บรรลุ วัตถุประสงค์ของกิจกรรมนั้น ล๎วจึงประมิน฿ห๎ผํานกิจกรรม พ่ือบันทึก฿นระบียนสดงผลการรียน ทั้งนี้ ควร ดานนิ การ฿ห๎สรจ็ สน้ิ ภาย฿นปกี ารศึกษานั้นๆ ยกวน๎ มี หตสุ ดุ วิสัย ฿หอ๎ ย฿ูํ นดลุ ยพินิจของผบ๎ู ริหารรงรียน แนวทางในการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น การประมนิ การขา๎ รํวมละปฏิบัติกจิ กรรมพัฒนาผ๎ู รยี นน้นั จะตอ๎ งคานงึ ถึงส่งิ ตอํ เปน้ี (๑) ผู๎ รียนมี วลาการขา๎ รํวมกิจกรรมตามกณฑ์ที่ รงรียนกาหนด ดยรงรียนควรกาหนดวลาเมํน๎อย กวําร๎อยละ ๘๐ ของวลารียนตํละกิจกรรม สาหรับกิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์ ผู๎รียนต๎องปฏิบัติ กิจกรรมครบตามครงสร๎างวลารยี น (๒) ผู๎ รยี นมีผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ละมีผลงาน/ชิน้ งาน/คุณลักษณะ ตามกณฑ์ท่ีรงรียนกาหนด ดย อาจจัด฿หผ๎ ู๎รียนสดงผลงาน ฟูมสะสมงาน หรือจัดนิทรรศการ (๓) หากรงรียนมีบุคลากรเมํพียงพอหรือเมํสามารถจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนเด๎อยํางหลากหลาย รงรียนอาจจัดกิจกรรม฿นลักษณะบูรณาการ฿นกิจกรรมหรือครงการตํางๆ ชํน กิจกรรมวันสาคัญ กิจกรรม สามณรสัมพันธ์ กิจกรรมบาพ็ญประยชน์ ป็นต๎น ซ่ึงรงรียนสามารถประมินผลการข๎ารํวมกิจกรรมดังกลําว ละนาเป฿ช๎ป็นสํวนหนึง่ ฿นการประมินกจิ กรรมพฒั นาผ๎ู รยี นเด๎ (๔) การจัดกจิ กรรมพฒั นาผ๎ูรยี น ควรมีองคป์ ระกอบ฿นการดานนิ การ ดงั นี้ ๔.๑ มคี รูท่ปี รึกษากิจกรรม ละมีผนการดานินกิจกรรม ๔.๒ มหี ลักฐาน ชิ้นงาน หรือฟูมสะสมงาน ๔.๓ มีผู๎รับรองผลการข๎ารวํ มกิจกรรม
หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๘ ๔.๔ มรี ายงานสดงการขา๎ รวํ มกิจกรรม บทบาทของบคุ ลากรท่เี กีย่ วขอ้ ง การดานินการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู๎ รยี น จาป็นต๎องอาศัยความรํวมมอื จากบุคลากรหลายฝุาย ทั้งบุคลากร ภาย฿นรงรยี น ละบุคลากรภายนอกรงรยี น ดังนนั้ พอื่ ฿ห๎การจัดกจิ กรรมพฒั นาผู๎ รยี น มีประสิทธิภาพรงรียน ควรกาหนดบทบาทหนา๎ ท่ขี องผ๎มู สี ํวนก่ียวข๎อง฿หช๎ ัดจน ดยมี นวปฏบิ ัติ ดังนี้ บทบาทของผบู้ ริหารโรงเรียน ๑) กาหนดผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎รียนเว๎฿นหลักสูตรสถานศึกษา ดยการมีสํวนรํวมของผู๎กี่ยวข๎อง หลายฝาุ ย ๒) ชี้ จงทาความข๎า฿จละสร๎างความตระหนกั ฿ห๎บุคลากรละผ๎ูมีสํวนกี่ยวข๎องทุกคน ทุกรูป ห็นคุณคํา ละรวํ มมอื ฿นการจดั กจิ กรรมพฒั นาผู๎รียน ๓) พฒั นาละสงํ สริม สนบั สนุน฿ห๎ครูมคี วามร๎ู ความสามารถ ความชี่ยวชาญ ละมีความทันสมัย฿นการ จดั กิจกรรมพฒั นาผู๎ รยี นท่หี ลากหลาย สอดคล๎องกบั ความต๎องการของผู๎รียนละสถานการณ์ปัจจุบันอยํางตํอน่ือง ละมีประสทิ ธิภาพ ๔) สร๎างครอื ขํายละประสานความรํวมมือละความข๎า฿จอันดีระหวํางรงรียนกับผู๎รียนชุมชน บุคคล ละหนวํ ยงานทั้งภาครฐั ละอกชน พ่ือสนบั สนนุ การจดั กจิ กรรม ๕) นิทศ ติดตาม ฿ห๎คาปรึกษา ประมินผล ละสร๎างขวัญ กาลัง฿จกํผู๎ปฏิบัติงาน฿นการจัดกิจกรรม พฒั นาผ๎ู รยี น ๖) ลกปลีย่ นรียนร๎ูละผยพรผํ ลงานท่ีประสบผลสาร็จกับหนํวยงานละบุคลากรที่กี่ยวข๎อง บทบาทของครแู ละผรู้ บั ผิดชอบจดั กจิ กรรม ๑) ศึกษาหลักการ วัตถุประสงค์ ขอบขําย นวการจัดกิจกรรม การประมินผล ละจัดกิจกรรมพัฒนา ผู๎ รียน฿หบ๎ รรลุปูาหมาย ๒) ช้ี จง ทาความข๎า฿จกับผ๎ู รยี นละผปู๎ กครองกยี่ วกบั การจดั กิจกรรมพัฒนาผ๎ู รยี น ๓) รํวมกับผู๎ รยี นออกบบกิจกรรม฿ห๎สอดคล๎องกับความสามารถ ความถนัด ความสน฿จของผู๎รียน ละ ปน็ เปตามหลักการ ปรชั ญา ละนวการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู๎ รียน ๔) สงํ สริม กระตุ๎น ละอานวยความสะดวก฿หผ๎ ู๎ รยี นสดงความคิดห็นอยํางอิสระ฿นการจัดทาผนงาน ครงการ รวํ มปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ละการประมินผล ๕) ฿ห๎คาปรึกษา ดูล ติดตาม ประสานงาน ละอานวยความสะดวก฿ห๎กํผู๎รียน฿นการรํวมกิจกรรม฿ห๎ ปน็ เปตามผน ๖) ประมินผลการข๎ารํวมกิจกรรมของผู๎รียน ละซํอมสริมกรณีท่ีผ๎ูรียนเมํผํานกณฑ์ พร๎อมจัดทา อกสารหลกั ฐานการประมินผล
หลกั สูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๙ ๗) รายงานผลการดานินกิจกรรม฿ห๎ผู๎กี่ยวข๎องทราบ ล๎วนาผลการจัดกิจกรรมเปพัฒนาละปรับปรุง ก๎เข ๘) ลกปลย่ี นรียนร๎ู ละผยพรผํ ลงานทปี่ ระสบผลสาร็จกับหนวํ ยงานละบุคลากรท่ีกี่ยวข๎อง บทบาทของผู้เรยี น ผ๎ูบริหารรงรียน ครูละผ๎ูก่ียวข๎องต๎องชี้จง ทาความข๎า฿จ฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎รับทราบบทบาทหน๎าที่ของตน ดงั นี้ ๑) ศกึ ษาข๎อมลู วิคราะหต์ นอง ละข๎ารวํ มกิจกรรมตามความสน฿จ ความถนัด ละความสามารถ หรือ ตามขอ๎ สนอนะของสถานศึกษา ๒) ข๎ารับการปฐมนิทศจากครผู ู๎รับผดิ ชอบกิจกรรม ๓) รวํ มประชุมลอื กตงั้ คณะกรรมการฝุายตํางๆ ตามลักษณะของกิจกรรม ๔) รวํ มประชมุ จัดทาผนงาน ครงการ ปฎทิ ินงาน ละปฏบิ ตั ิกิจกรรม ด๎วยความอา฿จ฿สอํ ยาํ งสมา่ สมอ ๕) รํวมประมินการปฏิบัติกิจกรรมละนาผลมาพัฒนาตนองละนาสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมตํอครู ผ๎รู บั ผิดชอบ ๖) ลกปลี่ยนรียนร๎ู ถอดประสบการณ์ ทบทวน ละสะท๎อนความร๎ูสึกภายหลังการปฏิบัติกิจกรรม รวมทงั้ สร๎างครอื ขาํ ยจดิ อาสาละขยายผลพ่ือความยั่งยนื ตํอเป บทบาทของคณะกรรมการสถานศกึ ษา ๑) ฿ห๎ความห็นชอบละมีสํวนรํวม฿นการกาหนดวางผนดานินกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียน฿นหลักสูตร สถานศกึ ษา ๒) สํงสริม สนับสนุนการดานนิ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผ๎ูรยี นตามความหมาะสม บทบาทของชมุ ชน บุคคลภายนอก หนว่ ยงานภาครัฐและเอกชน ๑) มีสวํ นรํวม฿นการวางผนการจัดกจิ กรรม ละอาสารํวมกิจกรรมตํางๆ ของรงรียนละชมุ ชน ๒) ยอมรบั ฿นศักยภาพของผ๎ูรียน ฿ห๎อกาสผ๎ูรียนเด๎สารวจตนองพ่ือประกอบการตัดสิน฿จ฿นการลือก ผนการรียน การศึกษาตํอ ละการปฏิบัติศาสนกิจ หรือการประกอบอาชีพ฿นอนาคตหากผ๎ูรียนประสงค์จะลา สิกขา ๓) ดูล อา฿จ฿สํผู๎ รยี น ละ฿หข๎ ๎อมูลท่ี ปน็ ประยชน์ตอํ การพัฒนา ปูองกัน ละก๎เขปญั หาของผู๎รียน ๔) ป็นท่ีปรึกษาหรอื นะนวทางการดานินชวี ิตทด่ี งี าม฿ห๎ กผํ ู๎ รียน ๕) รวํ มมือกบั รงรียนพอ่ื ติดตามประมนิ ผลการพัฒนาละการปฏบิ ัติกิจกรรมของผ๎ู รียน
หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๐ ระดับการศึกษาและการจัดเวลาเรยี น ระดบั การศึกษา การจดั หลกั สตู รรงรียนขื่อนผากวิทยา ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละตามหลกั สูตรกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ จดั การศกึ ษาออกปน็ ๒ ระดับ ดงั นี้ ๑. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ – ๓) ป็นชํวงสุดท๎ายของการศึกษาภาคบังคับ มํุงน๎น฿ห๎ผู๎รียนเด๎สารวจความถนัดละความสน฿จของ ตนอง สงํ สริมการพฒั นาบุคลิกภาพสํวนตน มีทักษะ฿นการคิดวิจารณญาณ คดิ สร๎างสรรค์ ละคิดก๎ปัญหา มีทักษะ ฿นการดานินชีวิต มีทกั ษะการ฿ช๎ ทคนลยี พือ่ ปน็ ครื่องมือ฿นการรียนร๎ู มีความรับผิดชอบตํอสังคม มีความสมดุล ทั้งด๎านความร๎ู ความคิด ความดีงาม ละมีความภูมิ฿จ฿นความป็นเทย มีความรู้ ทักษะ และกระบวนการด้าน พระธรรม พุทธประวัติ วินัย ศาสนพิธี และมีทักษะการอ่าน เขียน แปลภาษาบาลีถูกต้องตามหลักการแปล ตลอดจนใช้เป็นพ้นื ฐานในการปฏิบัตศิ าสนกิจหรือการศกึ ษาตอ่ ๒. ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔ – ๖) การศึกษาระดับนี้น๎นการพิ่มพูนความร๎ูละทักษะฉพาะด๎าน สนองตอบความสามารถความถนัด ละความสน฿จของผ๎ูรียนตํละคนท้ังด๎านวิชาการละการปฏิบัติศาสนกิจ มีทักษะ฿นการ฿ช๎วิทยาการละทคนลยี ทักษะกระบวนการคิดข้ันสูง สามารถนาความรู๎เปประยุกต์฿ช๎฿ห๎กิดประยชน์฿นการศึกษาตํอละการปฏิบัติศาสนกิจ มุํงพฒั นาตนละประทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นาชมุ ชนดา้ นศาสนพธิ ีมีจติ สานึกในการใช้หลักศาสนธรรม และศาสนพธิ ี เพอื่ สง่ เสริมความสงบสุขในสงั คม และสามารถเป็นผ้นู าชุมชนในการนาหลักศาสนธรรม ศาสนพิธี ไปใช้ ในการแก้ปัญหาสังคม การจัดเวลาเรยี น หลักสูตรรงรียนข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดกรอบครงสร๎างวลารียนพื้นฐาน สาหรับกลํุมสาระการรียนรู๎ ๘ กลํุม กิจกรรมพัฒนาผู๎รียน ละรายวิชาพิ่มติมตามความพร๎อมละจุดน๎นของ รงรียนพระปริยตั ิธรรม ผนกสามญั ศกึ ษา ดงั น้ี ๑. ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๑ – ๓) กาหนดวลารียน ปีละ ๑,๒๐๐ ช่ัวมง บํงป็นวลารียน฿นกลํุมสาระการรียนรู๎ ๘ กลุํม ปีละ ๘๘๐ ช่ัวมง ป็นวลารียน฿นรายวิชาพ่ิมติมตามความพร๎อมละจุดน๎นของรงรียน ปีละ ๒๐๐ ชั่วมง ละจัดวลา สาหรบั การปฏิบตั ิกจิ กรรมพัฒนาผ๎ู รียน อีก ปีละ ๑๒๐ ชั่วมง ๒. ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖) กาหนดวลารียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖ รวม ๓ ปี เมํน๎อยกวํา ๓,๖๐๐ ชั่วมง บํงป็นวลา รียน฿นกลํมุ สาระการรยี นร๎ู ๘ กลุมํ รวม ๓ ปี เมํน๎อยกวํา ๑,๖๔๐ ชั่วมง วลารียน฿นรายวิชาพิ่มติม รวม ๓ ปี เมํ น๎อยกวาํ ๑,๖๐๐ ชัว่ มง ละจดั วลาสาหรับการปฏบิ ตั ิกิจกรรมพฒั นาผ๎ู รยี น รวม ๓ ปี จานวน ๓๖๐ ชัว่ มง
หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๑ โครงสร้างเวลาเรยี น โครงสร้างเวลาเรียนหลกั สูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ สาหรับโรงเรยี นพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดังนี้ เวลาเรียน กลุม่ สาระการเรียนร้/ู กจิ กรรม ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ มัธยมศึกษาปที ่ี ๔-๖ ชัว่ โมง หนว่ ยกิต ชัว่ โมง หนว่ ยกิต ชว่ั โมง หนว่ ยกิต ชว่ั โมง หนว่ ยกิต สาระการเรียนรู้ (พ้นื ฐาน) ภาษาเทย ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ คณิตศาสตร์ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ วิทยาศาสตร์ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ สังคมศกึ ษา ศาสนา ละวัฒนธรรม ๑๖๐ ๔ ๑๖๐ ๔ ๑๖๐ ๔ ๓๒๐ ๘ - ประวตั ศิ าสตร์ (๔๐) (๑) (๔๐) (๑) (๔๐) (๑) (๘๐) (๒) - ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม - หน๎าทีพ่ ลมอื ง (๑๒๐) (๓) (๑๒๐) (๓) (๑๒๐) (๓) (๒๔๐) (๖) - ศรษฐศาสตร์ - ภมู ศิ าสตร์ สุขศกึ ษาละพลศกึ ษา ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ ศลิ ปะ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ การงานอาชีพละทคนลยี ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ ภาษาตาํ งประทศ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ รวมเวลาเรียน ๘๘๐ ๒๒ ๘๘๐ ๒๒ ๘๘๐ ๒๒ ๑,๖๔๐ ๔๑ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ภาษาบาลี ๒๐๐ ๕ ๒๐๐ ๕ ๒๐๐ ๕ ๖๐๐ ๑๕ พระพทุ ธศาสนา ๒๔๐ ๖ ๒๔๐ ๖ ๒๔๐ ๖ ๗๒๐ ๑๘ - ธรรม, กระท๎ู (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) - พุทธประวตั ,ิ ศาสนพธิ ี (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) - วนิ ยั , พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) หนา๎ ท่ีพลมอื ง ๔๐ ๑ ๔๐ ๑ ๔๐ ๑ ๘๐ ๒ สาระพม่ิ ตมิ ทีส่ ถานศกึ ษากาหนด เมํนอ๎ ยกวํา ๒๐๐ ชม./ เมํน๎อยกวาํ ๒๐๐ ชม./ เมํน๎อยกวาํ ๒๐๐ ชม./ เมนํ ๎อยกวํา ๑,๖๐๐ ปี ปี ปี ชม./๓ ปี รวมเวลาเรียน ๔๘๐ ๑๒ ๔๘๐ ๑๒ ๔๘๐ ๑๒ ๑,๔๐๐ ๓๕ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น กจิ กรรมนะนว กจิ กรรมนกั รียน - กจิ ของสงฆ์ - ชมุ นุม ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๓๖๐ ๙ - อนื่ ๆ (ตามความหมาะสม) กิจกรรมพอื่ สงคราะห์ละ สาธารณประยชน์ รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๓๖๐ ๙ รวมเวลาเรียน ๑,๔๘๐ ๓๗ ๑,๔๘๐ ๓๗ ๑,๔๘๐ ๓๗ ๓,๔๐๐ ๘๕ ไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ชม./ปี ไมน่ ้อยกว่า ๓,๖๐๐ ชม./๓ ปี หมายเหตุ : ปรบั แก้โครงสรา้ งเวลาเรยี นให้สอดคลอ้ งกับหลกั สตู รการศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหลักสตู ร แกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑
หลกั สูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๒ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๑๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๑๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๑๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๑๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๑๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๑๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๑๑๐๑ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๑๑๐๒ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๑๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๑๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๑๑๐๑ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๑๑๐๒ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๑๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพิ่มเติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๑๒๐๑ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๒๑๒๐๒ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๑๒๑๑ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๑๒ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๒๑ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๒๒ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๓๑ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๓๒ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๑๒๐๑ หนา๎ ท่พี ลมือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๑๒๐๒ หน๎าทพี่ ลมือง ๐.๕ ๒๐ สาระพิ่มติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระพมิ่ ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนะนว กิจกรรมนักรียน กิจกรรมนกั รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชุมนมุ - อ่ืนๆ (ตามความหมาะสม) - อนื่ ๆ (ตามความหมาะสม) กิจกรรมพื่อสงั คมสาธารณประยชน์ กิจกรรมพือ่ สงั คมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐
หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๓ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกิต ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๒๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๒๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๒๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๒๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๒๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๒๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๒๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๒๑๐๑ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๒๑๐๒ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๒๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๒๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๒๑๐๑ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๒๑๐๒ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๒๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๒๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๒๒๐๓ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๒๒๒๐๔ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๒๒๑๓ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๑๔ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๒๓ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๒๔ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๓๓ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๓๔ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๒๒๐๓ หนา๎ ท่พี ลมือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๒๒๐๔ หน๎าทพี่ ลมือง ๐.๕ ๒๐ สาระพิ่มติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระพมิ่ ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนะนว กิจกรรมนักรียน กิจกรรมนกั รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชมุ นมุ - อ่ืนๆ (ตามความหมาะสม) - อื่นๆ (ตามความหมาะสม) กิจกรรมพ่ือสงั คมสาธารณประยชน์ กิจกรรมพือ่ สงั คมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐
หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๔ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๓๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๓๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๓๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๓๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๓๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๓๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๓๑๐๑ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๓๑๐๒ สขุ ศกึ ษาละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๓๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๓๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๓๑๐๑ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๓๑๐๒ การงานอาชีพละทคนลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๓๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๓๒๐๕ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๒๒๐๖ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๓๒๑๕ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๑๖ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๒๕ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๒๖ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๓๕ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๓๖ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๓๒๐๕ หนา๎ ท่พี ลมือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๓๒๐๖ หน๎าทพี่ ลมือง ๐.๕ ๒๐ สาระพิ่มติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระพมิ่ ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนะนว กิจกรรมนักรียน กิจกรรมนกั รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชมุ นมุ - อ่ืนๆ (ตามความหมาะสม) - อื่นๆ (ตามความหมาะสม) กิจกรรมพ่ือสงั คมสาธารณประยชน์ กิจกรรมพือ่ สงั คมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐
หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๕ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม แผนกสามัญศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๑ เวลาเรียน มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชว่ั โมง รายสาระการเรยี นรู้/กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชวั่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พืน้ ฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ สาระการเรยี นรู้ (พื้นฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ ท๓๑๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๑๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๑๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๑๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๑๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๓๑๑๐๔ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๓๑๑๐๑ สุขศึกษาละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๑๑๐๒ สขุ ศกึ ษาละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๑๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๑๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๑๑๐๑ การงานอาชีพละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๑๑๐๒ การงานอาชพี ละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๑๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพมิ่ เตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพิ่มเตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ บ๓๑๒๐๑ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๑๒๐๒ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๑๒๑๑ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๑๒ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๒๑ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๒๒ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๓๑ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๓๒ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๑๒๐๑ หน๎าที่พลมอื ง ๐.๕ ๒๐ ส๓๑๒๐๒ หนา๎ ทพ่ี ลมือง ๐.๕ ๒๐ สาระพิม่ ตมิ ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระพ่ิมตมิ ท่ีสถานศกึ ษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมนะนว กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนกั รียน กจิ กรรมนักรียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความหมาะสม) - อืน่ ๆ (ตามความหมาะสม) กจิ กรรมพ่ือสังคมสาธารณประยชน์ กจิ กรรมพื่อสังคมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๔.๕ ๕๘๐ รวมเวลาเรยี น ๑๔.๕ ๕๘๐
หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๖ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ ภาคเรียนที่ ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรียน รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกิต ชว่ั โมง รายสาระการเรยี นรู/้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชวั่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พืน้ ฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ สาระการเรียนรู้ (พื้นฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ ท๓๒๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๒๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๒๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๒๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๒๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๒๑๐๒ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๓ สังคมศึกษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๓๒๑๐๔ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๓๒๑๐๑ สุขศึกษาละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๒๑๐๒ สุขศกึ ษาละพลศึกษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๒๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๒๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๒๑๐๑ การงานอาชีพละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๒๑๐๒ การงานอาชีพละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๒๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๒๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพมิ่ เตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพิ่มเตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ บ๓๒๒๐๓ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๒๒๐๔ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๒๒๑๓ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๑๔ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๒๓ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๒๔ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๓๓ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๓๔ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๒๒๐๓ หน๎าที่พลมอื ง ๐.๕ ๒๐ ส๓๒๒๐๔ หน๎าทพ่ี ลมือง ๐.๕ ๒๐ สาระพิม่ ตมิ ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระพ่มิ ตมิ ทีส่ ถานศกึ ษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมนะนว กจิ กรรมนะนว กิจกรรมนกั รียน กจิ กรรมนักรียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความหมาะสม) - อืน่ ๆ (ตามความหมาะสม) กจิ กรรมพ่ือสังคมสาธารณประยชน์ กจิ กรรมพื่อสังคมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๔.๕ ๕๘๐ รวมเวลาเรยี น ๑๔.๕ ๕๘๐
หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๗ โครงสร้างเวลาเรียนโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชั่วโมง รายสาระการเรียนรู/้ กิจกรรม หน่วยกิต ชว่ั โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๖.๕ ๒๖๐ สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๖.๕ ๒๖๐ ท๓๓๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๓๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๓๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๓๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๓๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๓ สังคมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ -- ส๓๓๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ -- พ๓๓๑๐๑ สุขศึกษาละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๓๑๐๒ สุขศึกษาละพลศึกษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๓๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๓๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๓๑๐๑ การงานอาชพี ละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๓๑๐๒ การงานอาชีพละทคนลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๓๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๕.๕ ๒๒๐ สาระการเรยี นรู้ (เพมิ่ เติม) ๕.๕ ๒๒๐ บ๓๓๒๐๕ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๓๒๐๖ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๓๒๑๕ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๑๖ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๒๕ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๒๖ พุทธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๓๕ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๓๖ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๓๒๐๓ หน๎าที่พลมือง -- ส๓๓๒๐๔ หน๎าทพ่ี ลมอื ง -- สาระพิม่ ตมิ ทส่ี ถานศึกษากาหนด -- สาระพิ่มตมิ ท่ีสถานศึกษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมนะนว กิจกรรมนะนว กิจกรรมนกั รียน กิจกรรมนักรียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความหมาะสม) - อน่ื ๆ (ตามความหมาะสม) กจิ กรรมพ่ือสังคมสาธารณประยชน์ กจิ กรรมพือ่ สงั คมสาธารณประยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๕.๐ ๖๐๐ รวมเวลาเรียน ๑๕.๐ ๖๐๐
หลักสูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๘ คาอธบิ ายโครงสร้างเวลาเรยี น ๑. สาระการเรยี นรู้พน้ื ฐานและเวลาเรียน ฿ห๎ปน็ เปตามทก่ี าหนดเว฿๎ นครงสรา๎ งวลารยี น ๒. รายวชิ าเพ่ิมเติม ตามความพร๎อมละจุดน๎นของรงรยี น ละวลารียน ฿ห๎ รงรียนปฏิบัติ ดงั นี้ ๒.๑ รงรียนต๎องจัด฿ห๎ผ๎ูรียนทุกรูปเด๎รียนร๎ูรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวําวลาท่ีกาหนด฿นครงสร๎าง วลารยี นสาหรับรงรียนพระปริยตั ิธรรม ผนกสามัญศึกษา พ่ือ฿ห๎ผู๎รียนห็นคุณคํา ละความสาคัญของภาษาบาลี฿น ฐานะที่ป็นภาษาที่จารึกหลักธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนา ละสามารถถํายทอด สื่อสารธรรม ฿นรูปบบตํางๆ พ่ือการผยผํพระพทุ ธศาสนา นอกจากนย้ี ังป็นการตรยี มความพรอ๎ ม฿ห๎กํผ๎ู รยี น฿นการข๎าสอบบาลสี นามหลวง ๒.๒ วลารียนท่ี หลือ฿นรายวิชาพ่ิมติม รงรยี นสามารถจัด฿ห๎ป็นวลาสาหรับสาระการรียนรู๎พ้ืนฐาน ฿นกลํุมสาระการรียนรู๎ ๘ กลํุม หรือจัดวลาพิ่มติมอีก฿นรายวิชาธรรม พุทธประวัติ วินัย หรือภาษาบาลี ก็เด๎ ท้ังน้ี ตอ๎ งพิจารณา฿หส๎ อดคล๎องกบั ความพร๎อม จดุ นน๎ ของรงรียน ละกณฑ์การจบหลักสูตรที่รงรียนกาหนด อีกทั้งต๎อง สอดคล๎องตามกณฑ์การจบหลักสูตรตามท่ีกาหนดเว๎฿นหลักสูตรรงรียนขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ หลักสูตร การศึกษาพระปริยัตธิ รรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ที่กาหนดเว๎฿นครงสร๎างวลารียนน้ัน ป็นวลาสาหรับการปฏิบัติกิจกรรม นะนว กิจกรรมนักรียน ละกิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์ ซ่ึงรงรียนจะต๎องจัด฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ปฏิบัติ กิจกรรมครบท้ัง ๓ ลักษณะ อยํางสม่าสมอละตํอนื่องทุกปีจนจบการศึกษาตามหลักสูตร ละผู๎รียนจะต๎องมีวลา ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียน ดยรวมครบถ๎วนตามที่กาหนดเว๎฿นครงสร๎างวลารียน กลําวคือ ระดับมัธยมศึกษา ตอนต๎น (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ – ๓) ปีละ ๑๒๐ ชั่วมง ละระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖) รวม ๓ ปี จานวน ๓๖๐ ชวั่ มง ทั้งนี้ ผ๎ู รยี นทกุ รูปตอ๎ งมี วลาสาหรับกิจของสงฆ์ ปีละเมนํ ๎อยกวาํ ๔๐ ชั่วมง ฿นสํวนของการปฏิบัติกิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์น้ัน รงรียนต๎องจัดสรรวลา฿ห๎ผู๎รียนเด๎ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ดงั นี้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต๎น (ม.๑ – ม.๓) รวม ๓ ปี จานวน ๔๕ ชั่วมง ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.๔ – ม.๖) รวม ๓ ปี จานวน ๖๐ ชั่วมง ฿นกลํุมสาระการรียนร๎ูสังคม ศาสนา ละวัฒนธรรม กาหนด฿ห๎มีสาระพระพุทธศาสนาป็นการฉพาะ รวมป็น ๕ สาระการรียนรู๎ เด๎กํ สาระพระพุทธศาสนา สาระประวัติศาสตร์ สาระหน๎าท่ีพลมืองวัฒนธรรมละการ ดานินชีวติ ฿นสังคม สาระศรษฐศาสตร์ ละสาระภมู ศิ าสตร์
หลกั สูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๙ โครงสรา้ งหลกั สตู รช้ันปี รงรียนจัดทาครงสรา๎ งหลกั สูตรชนั้ ปีสอดคล๎องกบั ครงสร๎างวลารียนตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฿นครงสร๎างหลักสูตรช้ันปีจะต๎องกาหนดรายวิชาท่ีจัดสอน฿นตํละภาค รียน ซ่งึ ประกอบดว๎ ย รายวชิ าพ้ืนฐาน รายวชิ าพิม่ ติม กิจกรรมพัฒนาผ๎ู รียน พร๎อมทง้ั จานวนวลารียนหรือหนํวย กติ ของรายวชิ าละกจิ กรรมหลาํ นน้ั กากบั เว๎ดว๎ ย ฿นการจัดทารายวิชา รงรียนกาหนดรหัสวิชาอยํางป็นระบบ พื่อ฿ห๎กิดความสะดวกละความข๎า฿จ ตรงกัน฿นการสื่อสาร พรอ๎ มทัง้ ควรตงั้ ชือ่ รายวิชา฿ห๎สะทอ๎ นสง่ิ ทส่ี อน฿นรายวิชานัน้ ๆ การจดั เวลาเรียนในโครงสร้างหลักสูตรช้ันปี ใหป้ ฏบิ ตั ิ ดังน้ี ๑. ระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ (ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ – ๓) ฿ห๎จดั วลารียนปน็ รายภาค ควรกาหนดวลารียนวนั ละเมํกิน ๖ ชั่วมง คิดน้าหนักของรายวชิ าที่ ปน็ หนํวยกติ ฿ช๎กณฑ์ ๔๐ ชว่ั มง ตอํ ภาครียน มีคาํ น้าหนักวชิ าทํากบั ๑ หนํวยกิต (นก.) ๒. ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖) ฿หจ๎ ัดวลารยี นปน็ รายภาค มีวลารียนวนั ละเมํน๎อยกวํา ๖ ชั่วมง คิดนา้ หนกั ของรายวชิ าท่ี รยี น ปน็ หนํวยกิต ฿ช๎ กณฑ์ ๔๐ ช่วั มง ตอํ ภาครยี น มีคํานา้ หนักวชิ าทาํ กับ ๑ หนวํ ยกิต (นก.) ประเภทรายวิชา การจดั รายวชิ า การกาหนดรหสั วิชา และการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น ประเภทรายวชิ า รายวิชาทก่ี าหนด฿นครงสรา๎ งหลกั สูตรรงรียนข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระ ปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มี ๒ ประภท เด๎ กํ รายวชิ าพนื้ ฐาน ละ รายวิชาเพ่ิมเติม ดงั นี้ รายวชิ าพื้นฐาน : ปน็ รายวชิ าท่ีปดิ สอนพือ่ พัฒนาผู๎รียนตามมาตรฐานการรียนรู๎/ตัวชี้วัดละสาระการ รียนร๎ูกนกลางที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา หลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ละตามท่ีกระทรวงศึกษาธิการเด๎ประกาศกาหนดสาหรับรงรียนพระปริยัติธรรม ผนกสามัญ ศกึ ษา ป็นการฉพาะ ซ่ึงปน็ สง่ิ ท่ีผ๎ู รียนทุกคน/ทุกรปู ฿นระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐานต๎องรียนร๎ู รายวิชาเพม่ิ เตมิ : ปน็ รายวิชาที่ รงรียนสามารถปดิ สอนพ่ิมติมจากส่ิงที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตรกนกลาง พ่ือ฿ห๎สอดคล๎องกับจุดน๎นของรงรียนละท๎องถ่ิน ตอบสนองความต๎องการละความถนัดของผ๎ูรียน ดยมีการ กาหนด “ผลการรียนร๎ู” ป็นปูาหมาย฿นการพฒั นาผู๎รียน การจัดรายวิชา มีนวทางการดานนิ การ ดงั นี้
หลกั สูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๐ ๑) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ รายวิชาพ้ืนฐาน : ฿ห๎พจิ ารณาดานินการ ดังนี้ (๑) รงรียนสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐานตามกลํุมสาระการรียนรู๎เด๎ตามความหมาะสม฿นตํละกลุํม สาระการรยี นรูอ๎ าจจัดเด๎มากกวํา ๑ รายวชิ า ฿นตลํ ะภาค/ปี (๒) รงรยี นสามารถจัดรายวิชาพื้นฐาน฿น ๑ ภาครียน฿ห๎รยี นครบ/เมํครบทั้ง ๘ กลุํมสาระการ รยี นร๎เู ด๎ ตํ มือ่ จบหนงึ่ ปกี ารศึกษารงรยี นตอ๎ งจดั ฿ห๎รยี นรายวชิ าพื้นฐานครบทั้ง ๘ กลุมํ สาระการรยี นรู๎ (๓) กาหนด฿ห๎ ๑ รายวิชามีคําน้าหนกั เมํน๎อยกวํา ๐.๕ หนํวยกิต (๑ หนวํ ยกิต คิดป็น ๔๐ ช่ัวมง/ภาค รียน) ม่ือรวมจานวนหนวํ ยกิตของรายวชิ าพ้นื ฐาน฿นกลํุมสาระการรยี นรู๎ลว๎ ฿หส๎ อดคล๎องกบั ครงสร๎างวลารยี นที่ กาหนดเว๎฿นหลักสูตรรงรยี นขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสตู รกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ (๔) สาหรับกลํุมสาระการรียนรู๎สังคม ศาสนา ละวัฒนธรรม ฿ห๎จัดสาระประวัติศาสตร์ป็นรายวิชา ฉพาะภาครียนละ ๑ รายวชิ า (๐.๕ หนํวยกิต) ทุกภาครียน รวม ๖ รายวิชา (๓.๐ หนวํ ยกติ ) รายวิชาเพิ่มเติม : รงรียนสามารถกาหนดรายวิชาพิ่มติมเด๎ตามความต๎องการ ดยจัดป็นรายภาค ละกาหนดผลการรยี นรข๎ู องรายวชิ านน้ั ๆ ดงั น้ี กลุํมสาระการรียนร๎ูสังคมศึกษา ศาสนา ละวัฒนธรรม รงรียนต๎องจัดสาระพระพุทธศาสนาป็น รายวิชาฉพาะอีกอยํางน๎อยภาครียนละ ๓ รายวิชา (รายวิชาธรรม พุทธประวัติ ละวินัย) รวมป็นจานวนภาครียน ละ ๓ หนํวยกิต ละสาระหน๎าท่ีพลมือง (คํานิยมหลัก ๑๒ ประการ) ป็นรายวิชาฉพาะอีกอยํางน๎อยภาครียนละ ๑ รายวชิ า (๐.๕ หนํวยกติ ) ทุกภาครยี น รวม ๖ รายวิชา (๓.๐ หนวํ ยกติ ) กลํุมสาระการรียนรู๎ภาษาตํางประทศ รงรียนต๎องจัด฿ห๎ผู๎รียนเด๎รียนรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวํา ภาครยี นละ ๒.๕ หนํวยกติ ทุกภาครียน รวมชน้ั ปลี ะ ๕.๐ หนํวยกติ ๒) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รายวชิ าพ้ืนฐาน : ฿ห๎พจิ ารณาดานินการ ดังนี้ (๑) รงรียนสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐานตามกลุํมสาระการรียนรู๎เด๎ตามความหมาะสม฿นตํละกลุํม สาระการรียนรู๎อาจจัดเด๎มากกวํา ๑ รายวิชา ดยภาย฿น ๓ ปี ต๎องครบทุกตัวช้ีวัดท่ีกาหนด฿นกลุํมสาระการรียนร๎ู นนั้ ๆ (๒) กาหนด฿ห๎ ๑ รายวิชามีคําน้าหนักเมํน๎อยกวํา ๐.๕ หนํวยกิต (๑ หนํวยกิต คิดป็น ๔๐ ชั่วมง/ ภาครียน) ละมื่อรวมจานวนหนํวยกิตของรายวิชาพื้นฐาน฿นตํละกลํุมสาระการรียนร๎ูล๎ว฿ห๎สอดคล๎องกับ ครงสร๎างวลารียนท่ีกาหนดเว๎฿นหลักสูตรรงรียนขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลกั สตู รกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ (๓) สาหรับกลุํมสาระการรียนรู๎สังคมศึกษา ศาสนา ละวัฒนธรรม ฿ห๎จัดรายวิชาประวัติศาสตร์฿ห๎ ครบ ๒ หนํวยกติ ภาย฿น ๓ ปี รายวิชาเพิม่ เตมิ : รงรียนสามารถกาหนดรายวิชาพ่ิมติมเด๎ตามความต๎องการ ดยจัดป็นรายภาคละ กาหนดผลการรียนร๎ูของรายวิชานั้นๆ ดงั น้ี
หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๑ กลุมํ สาระการรียนรสู๎ งั คมศึกษา ศาสนา ละวัฒนธรรม รงรียนต๎องจัดสาระพระพุทธศาสนา (รายวิชา ธรรม พุทธประวัติ ละวินัย) ป็นเมํน๎อยกวํา ๑๘ หนํวยกิต ภาย฿น ๓ ปี ละสาระหน๎าที่พลมือง (คํานิยมหลัก ๑๒ ประการ) ฿หค๎ รบ ๒ หนํวยกิต ภาย฿น ๓ ปี กลํุมสาระการรยี นรูภ๎ าษาตํางประทศ รงรียนต๎องจัด฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎รียนรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวํา ๑๕ หนวํ ยกติ ภาย฿น ๓ ปี การกาหนดรหัสวชิ า รงรียนจะต๎องกาหนดรหัสวิชาอยํางปน็ ระบบ ดงั น้ี ระบบรหัสวิชา การกาหนดรหัสวิชาควรใช้ตัวเลขฮินดูอารบิก พ่ือส่ือสารละการจัดทาอกสารหลักฐานการศึกษา ระบบรหัสวิชา สาหรับรายวิชาพื้นฐานละรายวิชาพิ่มติม ตามหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบดว๎ ยตวั อักษรละตัวลข ๖ หลัก ดงั นี้ หลักที่ หลักที่ หลักที่ หลกั ที่ หลกั ที่ หลกั ที่ ๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ กลํมุ สาระ ระดับ ป฿ี นระดบั ประภท ลาดับของรายวิชา การรยี นร๎ู การศกึ ษา การศึกษา รายวิชา ท๑ ๐๑ ๐๑ – ๙๙ ค๒ ๑๒ ว ส ๓๒ พ ศ ๓ ง ๔ ๕ ๖ ฿ช๎รหัสตวั อักษรตามรายการรหสั ตัวอักษรกลุํมสาระการรยี นรภ๎ู าษาตํางประทศ หลกั ท่ี ๑ ป็นรหัสตัวอกั ษรสดงกลํมุ สาระการรยี นร๎ู คือ ท หมายถึง กลํมุ สาระการรยี นรูภ๎ าษาเทย ค หมายถึง กลมุํ สาระการรยี นรค๎ู ณิตศาสตร์ ว หมายถึง กลํมุ สาระการรยี นรวู๎ ทิ ยาศาสตร์ ส หมายถึง กลุํมสาระการรียนรู๎สังคมศึกษาศึกษา ศาสนาละวัฒนธรรม
หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๒ พ หมายถึง กลุํมสาระการรยี นรู๎สุขศกึ ษาละพลศกึ ษา ศ หมายถึง กลุํมสาระการรยี นร๎ศู ิลปะ ง หมายถึง กลมํุ สาระการรยี นรูก๎ ารงานอาชพี ละทคนลยี หมายถึง กลํุมสาระการรียนรภ๎ู าษาตํางประทศ฿ห๎฿ชร๎ หัสของตลํ ะภาษาตามรายการ หมายเหตุ รหสั ตวั อักษรกลํุมสาระการรียนร๎ูภาษาตํางประทศ ๑) รายการรหสั ตัวอักษรกลํุมสาระการรยี นรู๎ภาษาตํางประทศที่จะนาเป฿สํ ทน มีดงั น้ี ก หมายถึง ภาษากาหลี ข หมายถึง ภาษาขมร จ หมายถึง ภาษาจนี ซ หมายถึง ภาษารัสซีย ญ หมายถึง ภาษาญีป่ ุน ต หมายถึง ภาษาวียดนาม น หมายถึง ภาษาลาติน บ หมายถึง ภาษาบาลี ป หมายถึง ภาษาสปน ฝ หมายถึง ภาษาฝรง่ั ศส ม หมายถึง ภาษามลายู ย หมายถึง ภาษายอรมัน ร หมายถึง ภาษาอาหรับ ล หมายถึง ภาษาลาว อ หมายถึง ภาษาอังกฤษ ฮ หมายถึง ภาษาฮินดู ๒) กรณที ีม่ ีสถานศกึ ษา฿ดจัดทารายวชิ าภาษาตํางประทศอ่ืนๆ นอกหนือจากท่ีกาหนดเว๎฿ห๎สถานศึกษา฿ช๎ รหสั ตวั อักษร “ต” ทนรายวชิ าภาษาตํางประทศน้ันๆ หลักที่ ๒ ป็นรหัสตัวลขสดงระดับการศึกษา฿นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ละมัธยมศึกษาตอนปลาย สะท๎อนระดบั ความร๎ูละทักษะ฿นรายวชิ าที่กาหนดเว๎ คอื ๑ หมายถึง รายวชิ าระดบั ประถมศึกษา ๒ หมายถึง รายวิชาระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ ๓ หมายถึง รายวชิ าระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย หลักที่ ๓ ปน็ รหัสตวั ลขสดงปีท่ี รียนของรายวชิ าซ่งึ สะท๎อนระดับความร๎ูละทักษะ฿นรายวิชาท่ีกาหนดเว๎฿นตํละปี คอื ๐หมายถึง รายวชิ าทเ่ี มํกาหนดปีท่ีรยี น จะรยี นปี฿ดก็เด฿๎ นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ละมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑ หมายถึง รายวิชาที่ รยี น฿นปีท่ี ๑ ของระดับประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนต๎น ละมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.๑ ม.๑ ละ ม.๔) ๒ หมายถึง รายวชิ าที่ รยี น฿นปีท่ี ๒ ของระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ละมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ป.๒ ม.๒ ละ ม.๕) ๓ หมายถึง รายวชิ าที่ รียน฿นปที ่ี ๓ ของระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ละมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ป.๓ ม.๓ ละ ม.๖)
หลกั สูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๓ ๔ หมายถึง รายวชิ าท่ี รยี น฿นปีที่ ๔ ของระดับประถมศึกษา (ป.๔) ๕ หมายถึง รายวิชาท่ี รยี น฿นปีที่ ๕ ของระดับประถมศึกษา (ป.๕) ๖ หมายถึง รายวชิ าที่ รียน฿นปที ี่ ๖ ของระดับประถมศึกษา (ป.๖) หลักท่ี ๔ ปน็ รหสั ตัวลขสดงประภทของรายวชิ า คือ ๑ หมายถึง รายวชิ าพื้นฐาน ๒ หมายถึง รายวิชาพิ่มติม หลักท่ี ๕ และหลักที่ ๖ ป็นรหัสตัวลขสดงลาดับของรายวิชาตํละกลํุมสาระการรียนร๎ู฿นปี/ระดับการศึกษา ดยี วกนั ฿นระดบั ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น หรอื มัธยมศกึ ษาตอนปลาย มจี านวนตัง้ ตํ ๐๑ – ๙๙ ดงั นี้ รายวิชาท่ีกาหนดปีที่เรียน ฿ห๎นับรหัสหลักท่ี ๕ – ๖ ตํอน่ือง฿นปีดียวกัน หากจัดรายวิชาป็นรายภาค ฿หก๎ าหนดรียงลาดับรายวิชา฿นกลํุมสาระการรียนร๎ูดียวกัน฿ห๎สร็จสิ้น฿นภาครียนรกกํอน ล๎วจึงกาหนดตํอ฿นภาค รยี นที่สอง รายวิชาทไ่ี ม่กาหนดปีทีเ่ รียน ฿ห๎นับรหัสหลักที่ ๕ – ๖ ตํอนื่อง฿นระดับประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนต๎น ละมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งนี้ รหัสหลักท่ี ๕ ละหลักที่ ๖ ของรายวิชาพิ่มติม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๔ – ๖) กลุํมสาระ การรียนรู๎วิทยาศาสตร์ ละสาระพระพุทธศาสนา กลํุมสาระการรียนร๎ูสังคมศึกษา ศาสนา ละวัฒนธรรม ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต๎นละมธั ยมศึกษาตอนปลาย ฿หก๎ าหนดรหัสวชิ าปน็ ชวํ งลาดบั ดงั นี้ กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ลาดบั ท่ี ๐๑ – ๑๙ หมายถึง รายวชิ า฿นกลํมุ ฟิสิกส์ ลาดับท่ี ๒๑ – ๓๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลมุํ คมี ลาดับท่ี ๔๑ – ๕๙ หมายถึง รายวชิ า฿นกลุํมชีววทิ ยา ลาดับที่ ๖๑ – ๗๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลุํมลกละอวกาศ ลาดบั ที่ ๘๑– ๙๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลุํมวิทยาศาสตร์อ่ืนๆ สาระพระพุทธศาสนา (วิชาธรรม พุทธประวัติ และวินัย) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ใหก้ าหนดรหัสเป็นชว่ งลาดบั ดงั นี้ ลาดับท่ี ๑๑ – ๑๙ หมายถึง รายวชิ าธรรม รหัส ม.๑ ส๒๑๒๑๑, ส๒๑๒๑๒ ม.๒ ส๒๒๒๑๓, ส๒๒๒๑๔ ม.๓ ส๒๓๒๑๕, ส๒๓๒๑๖ รหัส ม.๔ ส๓๑๒๑๑, ส๓๑๒๑๒ ม.๕ ส๓๒๒๑๓, ส๓๒๒๑๔ ม.๖ ส๓๓๒๑๕, ส๓๓๒๑๖ ลาดับที่ ๒๑ – ๒๙ หมายถงึ รายวชิ าพุทธประวัติ
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๔ รหัส ม.๑ ส๒๑๒๒๑, ส๒๑๒๒๒ ม.๒ ส๒๒๒๒๓, ส๒๒๒๒๔ ม.๓ ส๒๓๒๒๕, ส๒๓๒๒๖ รหสั ม.๔ ส๓๑๒๒๑, ส๓๑๒๒๒ ม.๕ ส๓๒๒๒๓, ส๓๒๒๒๔ ม.๖ ส๓๓๒๒๕, ส๓๓๒๒๖ ลาดับท่ี ๓๑ – ๓๙ หมายถึง รายวิชาวินัย รหัส ม.๑ ส๒๑๒๓๑, ส๒๑๒๓๒ ม.๒ ส๒๒๒๓๓, ส๒๒๒๓๔ ม.๓ ส๒๓๒๓๕, ส๒๓๒๓๖ รหัส ม.๔ ส๓๑๒๓๑, ส๓๑๒๓๒ ม.๕ ส๓๒๒๓๓, ส๓๒๒๓๔ ม.๖ ส๓๓๒๓๕, ส๓๓๒๓๖ วิชาภาษาบาลี กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ ใหก้ าหนดรหสั ดงั น้ี รหัส ม.๑ บ๒๑๒๐๑, บ๒๑๒๐๒ ม.๒ บ๒๑๒๐๓, บ๒๑๒๐๔ ม.๓ บ๒๑๒๐๕, บ๒๑๒๐๖ รหสั ม.๔ บ๓๑๒๐๑, บ๓๑๒๐๒ ม.๕ บ๓๑๒๐๓, บ๓๑๒๐๔ ม.๖ บ๓๑๒๐๕, บ๓๑๒๐๖ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน ฿นครงสร๎างหลักสตู รของรงรียนเด๎กาหนดกิจกรรมพฒั นาผ๎ู รียน ๓ ลักษณะ คอื ๑) กิจกรรมนะนว ๒) กิจกรรมนักรียน ละ ๓) กิจกรรมพื่อสังคมละสาธารณประยชน์ ดยพิจารณาจากครงสร๎างวลารียนที่ กาหนดเว๎฿นหลักสูตรรงรียนข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญ ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ปูาหมาย/จุดน๎นของท๎องถิ่น พร๎อม ทั้งพจิ ารณาความต๎องการละจดุ นน๎ ของรงรียนพ่ือจัดวลารยี น฿ห๎ หมาะสมกับบริบทของรงรยี น ฿นระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๓ เด๎กาหนด฿ห๎จัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียนท้ัง ๓ ลักษณะ ปีละ ๑๒๐ ชั่วมง ละชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖ รวมจานวน ๓๖๐ ช่วั มง ท้ังนี้฿นสํวนของกิจกรรมพื่อสังคมละสาธารณประยชน์ น้นั รงรียนตอ๎ งจดั สรรวลา฿ห๎ผ๎ู รยี นเด๎ปฏิบตั ิกจิ กรรม ดังน้ี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ (ม.๑ – ๓) รวม ๓ ปี จานวน ๔๕ ชว่ั โมง ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.๔ – ๖) รวม ๓ ปี จานวน ๖๐ ชวั่ โมง จากครงสร๎างหลักสูตรดังกลําว รงรียนพิจารณาจัดบํงจานวนวลาสาหรับกิจกรรมพัฒนาผ๎ูรียนตํละ ระดับชัน้ เด๎ตามความหมาะสม สาหรบั การปฏิบัติกิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์สามารถจัดบูรณาการ฿น รายวชิ าหรือกิจกรรมอื่นๆ ดยจัดเด๎ทั้ง฿นวลาละนอกวลารียน ละอาจจัด฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ทากิจกรรมดังกลําว฿นบาง ชั่วมงของกิจของสงฆ์ หรือกิจกรรมชุมนุมก็เด๎ ดยมีหลักฐานที่สามารถยืนยันวลาท่ีผู๎รียนเด๎ปฏิบัติกิจกรรม ดงั กลาํ วครบถว๎ นตามวลาที่ รงรียนกาหนด ท้งั นี้ ต๎องมกี ารประมนิ การปฏบิ ัตเิ ว๎อยํางชดั จน การจบหลักสูตรรงรียนข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนก สามญั ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลกั สูตรกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตํละระดับผ๎ูรียนจะต๎องข๎ารํวม กิจกรรมพัฒนาผู๎รียนตํละประภท ดังนี้ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น จัด฿หผ๎ ู๎ รียนข๎ารํวมกิจกรรม ดังน้ี ๑) กจิ กรรมนะนว ๒) กจิ กรรมนักรียน เด๎กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์
หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๕ ๒.๒ ชุมนมุ ผ๎ู รยี นต๎องข๎ารํวมละเด๎รบั การประมนิ กิจกรรมท้ัง ๒.๑ ละ ๒.๒ ๓) กิจกรรมพ่ือสังคมละสาธารณประยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย จดั ฿ห๎ผ๎ู รยี นเด๎ข๎ารํวมกิจกรรม ดังนี้ ๑) กจิ กรรมนะนว ๒) กจิ กรรมนักรียน เด๎ กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์ ๒.๒ ชมุ นมุ ผ๎ูรยี นจะต๎องข๎ารํวม ๒.๑ ละ ๒.๒ ๓) กิจกรรมพ่ือสงั คมละสาธารณประยชน์
หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๖ การจัดการเรียนรู้ การจดั การรียนรู๎ป็นกระบวนการสาคัญ฿นการนาหลักสตู รสํูการปฏิบตั ิตามหลกั สูตรการศึกษา พระปริยัติ ธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ป็นหลักสูตรที่มี มาตรฐานการรียนรู๎ สมรรถนะสาคัญสาคัญของผ๎ูรียน ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ป็นปูาหมายสาคัญ สาหรบั พัฒนาด็กละยาวชน ผู๎สอนต๎องพยายามคัดสรรกระบวนการรียนร๎ู จัดการรียนร๎ูพ่ือพัฒนาผ๎ูรียน฿ห๎มี คุณภาพตามมาตรฐานการรียนร๎ูทั้ง ๘ กลํุมสาระการรียนรู๎ รวมทั้งปลูกฝังสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะตํางๆ อันป็นสมรรถนะสาคัญท่ีต๎องการ฿ห๎กิดกํผู๎รียน กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑ : หลักสูตร กนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ฿นสํวนของรงรียนข่ือนผากวิทยา นั้น พ่ือพัฒนา฿ห๎พระภิกษุสามณรป็นศาสนทายาทท่ีดีมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการรียนร๎ูท่ีกาหนด ครูผู๎สอนละผู๎ก่ียวข๎องจะต๎องมีความร๎ูความข๎า฿จ฿นหลักการ นวคิด ละ จุดน๎นของการจัดการรียนรู๎ตามหลักสตาการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละ หลกั สูตรกนกลางการจัดการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ละต๎องศกึ ษาทาความข๎า฿จ ปจั จยั สาคัญที่ก่ียวข๎อง ดงั นี้ ๑. หลักการจัดการเรยี นรู้ หลักสูตรการศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม ผนกสามญั ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ละตามหลกั สตู รกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ เด๎กาหนดหลักการสาคัญ฿นการจัดการรียนรู๎พื่อ฿ห๎ผู๎รียนมีความรู๎ ความสามารถตาม มาตรฐานการรียนร๎ู สมรรถนะสาคัญ ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตร ดยยึดหลักวํา ผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด ช่ือวําทุกคนมีความสามารถรียนรู๎ละพัฒนาตนองเด๎ ยึดประยชน์ท่ีกิดกับผู๎รียน ดงั้ น้นั ครผู ูส๎ อนจะตอ๎ งจดั กระบวนการรียนร๎ทู ่สี ํงสริม฿ห๎ผ๎ูรียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติ ละต็มตามศักยภาพ คานึงถึงความตกตํางระหวํางบุคคลละพัฒนาการทางสมอง น๎น฿ห๎ความสาคัญทั้งความร๎ูละคุณธรรม ดยมี นวการจัดกิจกรรมการรียนร๎ู ดงั นี้ ๑) เน้นผ้เู รียนเป็นสาคญั ป็นการจดั การรียนร๎ูที่ยึดหลักวําผ๎ูรียนทุกรูปสามารถรียนรู๎ละพัฒนาตนองเด๎ ดยการ จัดวิธีการรียนร๎ู฿ห๎หมาะสมกับความสามารถของผ๎ูรียนตํละรูป ฿ห๎สามารถพัฒนาตนองเด๎ เด๎ลงมือศึกษา ค๎นคว๎า คิดก๎ปัญหา ละปฎิบัติงานพ่ือสร๎างความรู๎เด๎ด๎วยตนอง มีความสุข฿นการรียนร๎ู ดยมีครูผ๎ูสอนป็นผ๎ู สํงสรมิ สนบั สนนุ จัดสถานการณ฿์ ห๎อ้อื ตํอการรียนรู๎ ๒) คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ป็นการจัดการรียนรู๎ที่฿ห๎ความสาคัญกับความตกตํางระหวํางบุคคลพ่ือวางรากฐานชีวิต ผ๎ูรียน฿ห๎จริญงอกงามอยํางสมบูรณ์ มีการพัฒนาการสมวัยอยํางสมดุล ทั้งด๎านรํางกาย อารมณ์ จิต฿จ สังคม ละสตปิ ัญญา ต๎องสํงสรมิ ฿หผ๎ ๎ูรียนเด๎ค๎นพบละสดงออกถึงศักยภาพของตนอง ดังนั้นครูผู๎สอนจึงควรมีข๎อมูล ผู๎รยี นปน็ รายรูปสาหรบั ฿ช๎฿นการวางผนการจัดกิจกรรมการรียนร๎ู ละนาเปพัฒนาผ๎ูรียน฿ห๎หมาะสมกับความ ตกตาํ งกนั ของผ๎ู รยี น
หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๗ ๓) สอดคลอ้ งกบั พัฒนาการทางสมอง ปน็ การจดั กิจกรรมการรียนรู๎ที่มํุงน๎น฿หผ๎ ๎ู รยี นเด๎รบั การพัฒนาเด๎อยํางหมาะสมกับการทา งานของสมอง พ่ือ฿ห๎กิดการรียนรู๎เด๎ต็มตามศักยภาพ นอกจากนี้ยังต๎องคานึงถึงพัฒนาการทางอารมณ์ของ ผ๎ูรียนด๎วย อันจะสํงผล฿ห๎ผู๎รียนมีความสน฿จ มีความต้ัง฿จ มีจินตนาการ ความคิดสร๎างสรรค์ ทางานละอยูํ รํวมกบั ผอู๎ ่นื อยํางมคี วามสขุ ดย฿ช๎การพจิ ารณาจากรํางกาย ข๎อท็จจริงละทักษะตํางๆ ท่ีปรากฏตามธรรมชาติ ปน็ ครอ่ื งมือ฿นการจัดการรยี นร฿ู๎ หส๎ อดคลอ๎ งกับพฒั นาการทางสมอง฿นตลํ ะชวํ งวยั ๔) เนน้ ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม ปน็ การจัดกิจกรรมการรยี นรูท๎ มี่ ุงํ นน๎ ฿ห๎ผ๎ู รียนมคี ุณธรรมจริยธรรม ด๎วยการจัดการรียนร๎ู ท่บี ูรณาการคณุ ธรรมจริยธรรม เด๎รับรู๎ กิดการยอมรับ ห็นคุณคํา ละท่ีสาคัญคือมีการพัฒนาอยํางตํอนื่องจน ป็นลักษณะนสิ ัยทด่ี ี ๒. กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการรยี นรู๎ ป็นคร่ืองมอื พัฒนาผู๎รียนเปสูํปูาหมายของหลักสูตร ครูผู๎สอนจะต๎องศึกษาทาความ ขา๎ ฿จนวคิดการจัดการรียนรู๎ละผลท่ี กดิ ข้ึนกับผู๎ รยี นของกระบวนการรียนร๎ูตํละวิธี ล๎วนาเป฿ช๎จัดการรียนรู๎ ฿ห๎อ้ือตํอการพัฒนาผ๎ูรียน กระบวนการรียนรู๎ท่ีจาป็นสาหรับผู๎รียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และ แก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวจิ ัย กระบวนการเรียนรกู้ ารเรยี นรขู้ องตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนสิ ัย ฯลฯ กระบวนการรียนร๎ู ๑๑ วิธีดังกลําว ป็นนวทาง฿นการจัดการรียนร๎ูที่จะทา฿ห๎ผู๎รียนเด๎รับการฝึกฝน พัฒนาอยํางต็มตามศักยภาพ ชํวย฿ห๎ผ๎ูรียนกิดการรียนร๎ูตามปูาหมายของหลักสูตร ดังนั้นครูผ๎ูสอนจึงต๎อง ลือก฿ช๎กระบวนการรียนร๎ูที่หมาะสม ดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมวําต๎องการ฿ห๎ผ๎ูรียนกิด การรียนรู๎อะเร สามารถนาพา฿ห๎ผู๎รียนกิดสมรรถนะสาคัญละคุณลักษณะอันพึงประสงค์฿ดละหากนา กระบวนการหลํานี้มา฿ช๎฿นการจดั กจิ กรรมการรยี นรจ๎ู ะเด๎ผลพียง฿ด นวทางการจัดการรียนร๎ูดย฿ช๎กระบวนการรียนรู๎บบตํางๆ (สานักวิชาการละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒ : นวทางการจดั การรียนรูต๎ ามหลักสูตรกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) ๑. กระบวนการเรียนรูแ้ บบบูรณาการ กระบวนการรียนรู๎บบบูรณาการ คือการจัดการรียนรู๎ดยนาน้ือหา สาระการรียนรู๎ที่มี ความสัมพันธ์ชื่อมยงกัน นามาจัดกิจกรรมการรียนรู๎฿ห๎ผ๎ูรียนกิดความร๎ู ความข๎า฿จ฿นลักษณะท่ีป็นองค์รวม ละสามารถนาความรู๎ ความขา๎ ฿จเปประยุกต์฿ช฿๎ นชวี ิตประจาวนั เด๎ นวทางการจัดการรียนร๎ูบบบูรณาการ สามารถทาเด๎หลายลักษณะ ตํครูผ๎ูสอนสํวนมาก มักจะคุน๎ คยกบั การจัดการรยี นร๎ู บบบรู ณาการดย฿ชก๎ ลุมํ สาระการรียนรู๎ป็นหลกั ซ่ึงบํงเด๎ปน็ ๒ ประภท คือ ๑.๑ การบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ป็นการจัดการรียนรู๎ท่ีชื่อมยงน้ือหา ดา๎ นความร๎ู ทักษะ/กระบวนการ หรือคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค฿์ นกลุํมสาระการรยี นรู๎ ดยี วกนั ข๎าด๎วยกัน พ่ือมุํง
หลักสูตรโรงเรียนเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๘ ศึกษากี่ยวกับร่ืองราว ประด็น ปัญหา หัวร่ืองหรือประสบการณ์รื่อง฿ดร่ืองหน่ึง ดยครูผู๎สอน฿นกลุํมสาระ การรยี นรู๎นน้ั ๆ สามารถจดั การรยี นร๎ูดยเมํก่ียวข๎องกับกลํุมสาระการรยี นร๎ูอืน่ ๆ ๑.๒ การบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ ป็นการจัดการรียนร๎ูท่ีชื่อมยงสาระ การรียนร๎ู ทักษะ/กระบวนการ หรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตั้งตํสองกลุํมสาระการรียนรู๎ข้ึนเปข๎าด๎วยกัน พื่อมงํุ ศกึ ษากีย่ วกบั รอ่ื งราวประดน็ ปัญหา หัวรื่องหรือประสบการณ์ร่ือง฿ดรื่องหนึ่ง ซึ่งชํวย฿ห๎ผู๎รียนเด๎รียนรู๎ ฿นรือ่ งน้นั ๆ อยํางขา๎ ฿จลึกซ้ึงละชดั จน฿กล๎คียงกับความป็นจริง฿นชีวิต ดยครูผ๎ูสอนต้ังตํสองคนข้ึนเปรํวมกัน สอนหรอื ทาความตกลงกันลว๎ ยกกนั สอนตามรายวิชาท่ีรบั ผดิ ชอบ ผลท่เี กิดกับผูเ้ รียน - ผู๎รียนมีอกาสเด๎รียนร๎ูการก๎ปัญหาดย฿ช๎ความร๎ูหลายๆ ด๎านประกอบกัน ทา฿ห๎ กดิ พัฒนาการทั้งด๎านความรต๎ู ามมาตรฐานการรียนร๎ู/ตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญของผ๎ูรียน ละคุณลักษณะอันพึง ประสงค์เปพร๎อมๆ กัน กิดรงจูง฿จ฿นการรียนรู๎ ละมีความคิดละมุมมองที่กว๎างตระหนักถึงคุณคํา฿นการนา ความรท๎ู ี่ รียนเปประยุกต฿์ ช฿๎ นชีวิตจรงิ - ผู๎รียนเด๎รับความรู๎ ความข๎า฿จ฿นลักษณะองค์รวม สามารถช่ือมยงความรู๎ ละ ประสบการณ์การรียนรเู๎ ดอ๎ ยาํ งมีจดุ หมาย ละมีความหมาย สามารถสวงหาความร๎ู ความข๎า฿จส่ิงตํางๆ ท่ีอยูํ รอบตัว สามารถทางานป็นกลํุม ลกปล่ียนความร๎ูซ่ึงกันละกัน สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเด๎ต็มตาม สามารถรียนรต๎ู ลอดชวี ิตดย฿ช๎ภมู ิปัญญาละชมุ ชนปน็ หลงํ รยี นร๎ู ๒. กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการสร๎างความร๎ู ป็นการจัดการรียนรู๎ที่ปิดอกาส฿ห๎ผู๎รียนเด๎สร๎างความรู๎ ละ ประสบการณ์ตํางๆ ท่ีมีความหมายตํอตนอง จากการปฏิสัมพันธ์กับส่ิงวดล๎อม ดย฿ช๎กระบวนการคิดละการ สวงหาความรู๎ควบคํูเปกับการปฏิบัติจริง ฿ห๎ผ๎ูรียนค๎นพบความรู๎ ละประสบการณ์ด๎วยตนอง ดยมีครูผ๎ูสอน ปน็ ผูจ๎ ดั อกาส บรรยากาศ สงิ วดล๎อม ละหลงํ รยี นรทู๎ ี่ อ้ือ฿ห๎ผ๎ู รียนกิดการรยี นร๎ู ครผู ส๎ู อนต๎องนะนา฿ห๎ผ๎ู รียนรับรู๎ถึงจุดมํุงหมายของบทรียนละกิดรงจูง฿จ฿นการรียนรู๎ กระตุ๎น฿หผ๎ ๎ูรยี นเด๎ สดงออกถงึ ความรยี นร๎ู ความขา๎ ฿จดมิ ท่ีมอี ย฿ํู นรอ่ื งทกี่ าลังจะรียนรู๎ ละปรับปล่ียนความคิด ดยสรา๎ งความร๎ู ดงั น้ี - สร๎างความกระจํางละลกปลีย่ นรยี นรรู๎ ะหวาํ งกนั ละกัน - สรา๎ งความคดิ ฿หมํจากการอภปิ รายรํวมกนั ละสาธติ สดง฿ห๎ ห็น จนทา฿ห๎ผู๎รียนสามารถ กาหนดความคิด หรอื ความร๎฿ู หมํข้ึนเด๎ - การประมินความคิด฿หมํ ดยการทดลอง หรือ฿ช๎กระบวนการคิด คิดอยํางเตรํตรอง ลกึ ซ้งึ ละประมนิ คุณคํา - การนาความคิดเป฿ช๎ ผ๎ูรียนมีอกาสเด๎฿ช๎ความคิด หรือความรู๎ความข๎า฿จ฿นการ พัฒนาการรียนรู๎อยํางมีความหมาย ละ฿นขั้นตอนสุดท๎าย ครูผ๎ูสอนต๎องจัด฿ห๎ผู๎รียนเด๎ทบทวนความคิด ความ ข๎า฿จ ดยการปรียบทยี บระหวํางความคิดดิมกับความคดิ ฿หมํ ผลที่เกิดกบั ผูเ้ รียน
หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๙ ผ๎ูรียนเด๎สังกตสิ่งที่ตนองสน฿จ อยากรียนรู๎ ล๎วจึงศึกษาค๎นคว๎า สวงหาความรู๎ พ่มิ ตมิ นาเปช่ือมยงตํอยอดกับความร๎ูละประสบการณ์ดิมท่ีมีอยูํ กิดป็นความรู๎฿หมํของผ๎ูรียนอง อีกทั้งเด๎ พัฒนาทักษะกระบวนการคิด ๓. กระบวนการคิด กระบวนการคิด ป็นกระบวนการทางสมอง฿นการจัดทาข๎อมูลหรือสิ่งร๎าที่รับข๎ามาป็น กระบวนการทางสติปัญญา มีลักษณะป็นกระบวนการหรือวิธีการ ฿นการพัฒนา฿ห๎กิดกระบวนการคิด ดยมี บุคคล มีนื้อหาหรือข๎อมูลท่ี฿ช๎฿นการคิด วิธีการพัฒนาการคิดละการจัดการรียนร๎ูด๎วยกระบวนการคิด ดย สํงสริม สนับสนุน฿ห๎ผ๎ูรียนคิด เมํปิดกั้นความคิด ฿ห๎กาลัง฿จ สริมรงมื่อผ๎ูรียนคิดเด๎ด๎วยตนอง ฿ช๎รูปบบ วิธีการสอนหรือทคนิคการสอนตํางๆ กระต๎ุน฿ห๎ผ๎ูรียนกิดการคิดช่ือมยงจากความคิดดิม฿นลักษณะ฿ดลักษณะ หนึง่ เด๎กํ การคิดคลํอง การคิดหลากหลาย การคิดละอียด การคิดชัดจน การคิดอยํางมีหตุผล การคิดถูก ทาง การคิดกว๎าง การคิดลึกซ้ึง ละการคิดเกล ละจัดกิจกรรม฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ฝึกทักษะการคิด ละกระบวนการ คดิ ตาํ งๆ ตามความหมาะสมกบั พืน้ ฐานของผู๎รียน ผลท่ีเกดิ กับผู้เรียน ผ๎ู รยี นมกี ระบวนการทางานท่ี ป็นระบบ ปฏิบัติงานเด๎อยํางมีข้ันตอนมีความสามารถ฿น การพิจารณาส่ิงตํางๆ ละประมินคําดย฿ช๎หลักกณฑ์อยํางสมหตุสมผล ร๎ูจักประมินตนอง ละผ๎ูอ่ืนเด๎อยําง ถูกต๎อง มีความสามารถ฿นการ฿ช๎ภาษา฿นการอําน ขียน ฟัง พูดของผู๎รียน มีทักษะ฿นการสื่อสารกับผู๎อ่ืนเด๎ดี นอจากนี้ยังมีอกาสเด๎พัฒนาความสามารถ฿นการรียนรู๎อยํางตํอน่ืองตลอดชีวิต สามารถก๎เขปัญหาดยลือก ตัดสิน฿จ฿นสถานการณต์ ํางๆ ของสังคมเด๎อยํางข๎มข็ง ๔. กระบวนการทางสังคม กระบวนการทางสังคม ป็นกระบวนการที่มุํงสร๎างปฎิสัมพันธ์฿นการอยูํรํวมกัน฿นสังคม การทางานรวํ มกัน ความปน็ อันหนึ่งอันดียวกนั ท่กี อํ ฿ห๎ กิดบรรยากาศ฿นการรียนร๎ทู ่ีดรี ํวมกนั ผลท่ีเกิดกบั ผเู้ รียน ผ๎ูรียนจะห็นคุณคําของการทางานรํวมกัน การชํวยหลือซ่ึงกันละกัน ทา฿ห๎กิด คุณลักษณะหลายประการ ชํน ความอ้ือฟ้ือผ่ือผํ พ่ึงพาอาศัยซึ่งกันละกัน฿นทางที่ดี การสร๎างทีมงาน ความรบั ผดิ ชอบ ความมีวินยั มที กั ษะทางสังคม ๕. กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และแก้ปัญหา กระบวนการก๎ปัญหา ป็นการจัดการรียนร๎ูท่ีฝึก฿ห๎ผู๎รียนก๎ปัญหาดยผํานกระบวนการ คิดละการปฏบิ ัติจริงอยาํ งปน็ ระบบ จากสถานการณ์หรือปัญหาทน่ี ําสน฿จละท๎าทาย ผลที่เกดิ กับผเู้ รียน กระบวนการน้ีจะชํวยพัฒนาทักษะการคิดของผ๎ูรียนอยํางป็นลาดับ ขั้นตอน จนกิด ป็นกระบวนการคิดอยํางป็นระบบด๎วยวิธีการท่ีหลากหลาย ท๎าทาย ละกระตุ๎น฿ห๎ผ๎ูรียนสน฿จ ต้ัง฿จรียนมาก ข้ึน พรอ๎ มกับหน็ คณุ คําของการรยี นร๎ู สร๎างนิสยั ฿ฝุรยี นร๎ู มีหตผุ ล ละมีความคิดริริ่มสรา๎ งสรรค์ ๖. กระบวนการเรยี นรู้จากประสบการณจ์ รงิ
หลกั สูตรโรงเรียนเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๐ กระบวนการรยี นรจู๎ ากประสบการณจ์ รงิ ป็นการจัดการรยี นรู๎ดย฿ช๎ประสบการณ์ตรงท่ีทา ฿ห๎ผู๎ รยี นสามารถพัฒนาการช่อื มยงความสัมพันธร์ ะหวํางนวคิดกบั หลักการตํางๆ ขา๎ ด๎วยกนั อยํางป็นองค์รวม การรยี นร๎จู ากประสบการณ์น้ัน ฿นขั้นรก ผู๎รียนจะต๎องเด๎รับการกระตุ๎น นะนารื่องที่จะ รียนดย฿ช๎ประสบการณ์หรือกิจกรรมที่กระต๎ุน฿ห๎ผู๎รียนคิด ร๎า฿ห๎ผู๎รียนอยากห็น อยากรียนรู๎ จากนั้น ครูผ๎ูสอนต๎องศึกษานวคิด ทฤษฎี ข๎อท็จจริง ดยชื่อมยงความอยากรู๎ อยากห็น อยากรียนร๎ูของผู๎รียน จากประสบการณ์ ดิม สํูการค๎นคว๎า สวงหาความร๎ู฿หมํ ตามธรรมชาติของตํละกลํุมสาระการรียนร๎ู ขั้นตํอเป ละผ๎ูรียนจะต๎องฝึกปฏิบัติด๎วยการทากิจกรรมตํางๆ พ่ือ฿ห๎กิดทักษะความชานาญมากยิ่งขึ้น ละ฿นข้ันสุดท๎าย จะต๎องมกี ารนาเป฿ช๎ หรอื ขยายผล ซ่ึงป็นข้ันตอนสาคัญ฿นการนาข๎อค๎นพบจากการฝึกปฏิบัติเป฿ช๎฿นสถานการณ์ อ่ืนๆ ผลที่เกิดกบั ผู้เรียน กระบวนการน้ีจะชํวยพัฒนาทักษะการคิดบนพ้ืนฐานของการสืบค๎นข๎อท็จจริงอยํางมี หตุมีผล รูจ๎ กั หาขอ๎ มูล ทฤษฎี หลกั การมาสนบั สนนุ ส่ิงที่ค๎นพบ ๗. กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ลงมอื ทาจรงิ กระบวนการรียนรู๎จากการปฏิบัติจริง ปูนการรียนที่มุํงน๎น฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎ลงมือทางานจริง ดยการกาหนดภาระงาน (task) ฿ห๎ผ๎ู รยี นเด๎ฝกึ ปฏิบัตติ ามครงสร๎างของตํละงาน ผลท่เี กดิ กับผู้เรยี น กระบวนการรียนร๎ูจากปฏิบัติจริง จะทา฿ห๎ผ๎ูรียนสามารถปฏิบัติงานเด๎ตามลาดับ ข้ันตอนของกระบวนการตํางๆ เด๎กํ กระบวนการทางาน กระบวนการตัดสิน฿จ กระบวนการก๎ปัญหา การ บวนการกลมุํ ปน็ ตน๎ ทา฿หผ๎ ๎ู รยี นกดิ ทกั ษะ฿นการทางาน เด๎ชิ้นงาน/ภาระงานชิงประจักษ์ เด๎สร๎างละพัฒนา งานด๎วยวธิ กี าร฿หมํ ๆ จนกิดความริร่มิ สรา๎ งสรรค์ ๘. กระบวนการจดั การ กระบวนการจัดการ ปน็ กระบวนการจดั ระบบงานพ่อื ฿หก๎ ารทางานสาร็จตามปูาหมายท่ี กาหนด อยํางมีประสทิ ธิภาพซ่งึ ประกอบด๎วย การวางผน การปฏิบตั งิ าน การประมนิ ผล ละการสรปุ ผลงาน ผลท่ีเกิดกับผเู้ รยี น กระบวนการจัดการจะชํวย฿ห๎ผ๎ูรียนรู๎จักการวางผนการทางานอยํางป็นระบบ ท้ังกับ ตนองละผรู๎ ํวมงาน สามารถสร๎างบรรยากาศ฿นการทางานละชักจูงน๎มน๎าว฿ห๎ผู๎รํวมรงรํวม฿จทางานจนสาร็จ บรรลตุ ามปาู หมาย ๙. กระบวนการวจิ ยั กระบวนการวิจัย ป็นการจัดสถานการณ์รียนร๎ูท่ี฿ห๎ผ๎ูรียน฿ช๎กระบวนการวิจัย หรือ ผลการวิจัยป็นครื่องมือ฿นการรียนร๎ูน้ือหาสาระตํางๆ ชํน การ฿ช๎การประมวลผลงานวิจัย (Research review) มาประกอบการสอน฿ช๎ผลการวิจัยมาป็นนื้อหาสาระ฿นการรียนรู๎ ฿ช๎กระบวนการวิจัย฿นการศึกษา น้ือหาสาระหรอื ฿ห๎ผ๎ู รยี นลงมือทาวจิ ัยดยตรง หรอื ชวํ ยฝกึ ฝนทักษะจากการวจิ ัยตาํ งๆ ฿ห๎กผํ ๎ู รียน ผลท่เี กดิ กับผเู้ รยี น
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๑ การรยี นร๎ูด๎วยกระบวนการวิจัยจะชํวย฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎รียนร๎ูการหาคาตอบอยํางป็นระบบ มีความนําช่ือถือ เด๎ฝึกทักษะกระบวนการตํางๆ ชํน การงางผน การคิด การก๎ปัญหา การปฎิสัมพันธ์กับ ผ๎ูอ่ืน ความละอียดรอบคอบ การสังกต การรวบรวมข๎อมูล การวิคราะห์ สรุปข๎อมูล การช่ือมยงความร๎ู ละการสร๎างความร฿๎ู หมํ ฯลฯ ๑๐. กระบวนการเรยี นรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการรียนร๎ูการรียนรู๎ของตนอง ป็นกระบวนการรียนรู๎ที่ทา฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎รู๎จักละ ขา๎ ฿จวิธกี ารรียนร๎ูของตนอง ซงึ่ จะมคี วามตกตาํ งตามวธิ ีการรับรู๎ ผลท่เี กดิ กับผู้เรียน ผู๎รียนกิดการรียนรู๎฿นส่ิงท่ีตนต๎องการละมีความสน฿จ สามารถกระตุ๎นสมองทา฿ห๎ กิดความสุขละสนุกท่ีจะรียนร๎ู กิดรงจูง฿จภาย฿น฿ห๎อยากท่ีรียนร๎ูมากข้ึน พราะมีอกาสเด๎สดงออกซึ่ง ความสามารถของตนอง ทา฿ห๎ผู๎รียนรู๎สึกวําตนองประสบความสาร็จ฿นการรียนรู๎ ละพัฒนาศักยภาพของตน เดอ๎ ยาํ งตม็ ที่ ๑๑. กระบวนการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย ป็นการจัดการรียนร๎ูที่มุํงพัฒนา฿ห๎ผ๎ูรียนป็นคนดี ท้ัง ทางด๎านรํางกาย อารมณ์ สังคม ละสติปัญญา ป็นการมุํงน๎น฿ห๎ผู๎รียนคิดป็น ทาป็น ก๎ปัญหาป็น ละ มุํงน๎น฿ห๎ผ๎ู รยี นเดพ๎ ัฒนาตนอง พัฒนาสังคม ละพัฒนาสิง่ วดลอ๎ มเด๎อยาํ งสมดลุ ผลทเ่ี กิดกับผ้เู รยี น ผ๎ู รยี นมคี วามสามารถ฿นการสร๎างความรู๎ คิดวิคราะห์ ละประมินคํา ทา฿ห๎มองห็น คณุ คําของสิ่งตาํ งๆ ทอ่ี ยํรู อบ ๆ ตัวเด๎อยํางท๎จรงิ ข๎า฿จตนองละข๎า฿จผูอ๎ ืน่ เด๎ลึกซึ้ง สามารถปรับตัว฿ห๎ข๎ากับ สภาวะวดลอ๎ มเดด๎ ี ฿นการจัดการรียนร๎ูด๎วยกระบวนการรียนรู๎ตํางๆ ครูผู๎สอนควรพิจารณาถึงความสอดคล๎อง ตอํ นื่องกันของกจิ กรรม หรอื กระบวนการตลํ ะรปู บบ ดยมีหลักการจัดกระบวนการรียนร๎ู ดงั นี้ ๑. ผู๎รยี นมี อกาสเด๎ฝกึ ปฏิบัติจริง พอื่ ฿ห๎กิดพฤตกิ รรมตามทร่ี ะบเุ ว๎ ๒. ผ๎ู รยี นมคี วามพึงพอ฿จที่จะฝึกปฏิบัติ ละมคี วามสอดคล๎องสัมพนั ธก์ บั ปาู หมาย฿นการรียนรู๎ ๓. อยูํ฿นขอบขํายความสามารถของผู๎รียน ควรมีรูปบบท่ีหลากหลาย ซ่ึงนาเปสํูการบรรลุ ปาู หมาย ๔. ผ๎ู รียนควรเดร๎ บั การสํงสรมิ เด๎สดงออกดยเมมํ ีความรู๎สึกวํากาลังถูกบังคับ฿ห๎ทา พราะการ บังคับจะทา฿ห๎ผู๎รียนกิดการรียนร๎ูเด๎น๎อยกวําการสน฿จท่ีจะอยากรียนร๎ูด๎วยตนอง กระบวนการรียนรู๎ท่ีจัดต๎อง ตอบสนองความตกตํางระหวํางบุคคล ละสอดคล๎องกบั ความต๎องการของผ๎ู รยี น ชุมชน ละสังคม ๕. ผู๎รยี นเดร๎ ับการสริมรงละมองหน็ คุณคํา฿นสิ่งที่ รียนร๎ู ๖. มีการกระทาซ้า ๆ อยํางสม่าสมอ ละมีการนาสนอสถานการณ์การรียนรู๎ที่คล๎ายๆ กัน พื่อ สํงสรมิ การรียนร๎เู ดด๎ ี
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๒ ๓. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ครูผู๎สอนต๎องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา฿ห๎ข๎า฿จถึงมาตรฐานการรียนรู๎ ตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญของ ผู๎รยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ล๎วจึงพิจารณาออกบบการจัดการรียนรู๎ ดยลือก฿ช๎วิธีสอนละทคนิคการ สอน ส่ือ/หลํงรียนรู๎ การจัดละประมินผล พ่ือ฿ห๎ผ๎ูรียนเด๎พัฒนาติมตามศักยภาพละบรรลุตามมาตรฐาน การรียนรซ๎ู ึ่งป็นปาู หมายท่ีกาหนด ครูผู๎สอนป็นบุคคลสาคญั ทจ่ี ะออกบบการจัดการรียนร๎ู฿ห๎ผู๎รียนเด๎รียนรู๎ละพัฒนาอยํางรอบด๎าน จึง ควรมีความร๎ู ความขา๎ ฿จน้อื หาสาระกี่ยวกบั การนาหลักสตู รเปสํูการปฏบิ ัติ฿นชน้ั รียน ดังผนภาพตอํ เปนี้ ผนภาพสดงการนาสนอนื้อหาสาระก่ียวกับจากหลักสูตรสูํการออกบบการจัดการรียนรู๎ : ครู ควรรู๎อะเร (สานักวิชาการละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒: นวทางการจัดการรียนร๎ูตามหลักสูตรกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) สมรรถนะสาคัญของผ๎ู รยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ มาตรฐานการรยี นร/๎ู ตวั ชวี้ ดั มาตรฐานการรยี นร/๎ู ตัวชว้ี ัด บูรณาการ การวิจัยพอ่ื การจดั การรยี นรู๎ การออกบบ สรา๎ งความร๎ู พัฒนาการรียนร๎ู ตามหลักสตู ร หนํวยการรียนร๎ู กระบวนการคดิ การวัดละประมนิ ผล จากหลักสูตร กระบวนการรยี นร๎ู สังคม การรยี นร๎ู สํูการออกบบ ๑๑ วธิ ี การจดั การรยี นรู๎ ผชญิ สถานการณ์ละกป๎ ัญหา ครคู วรรอู๎ ะเร รียนรป๎ู ระสบการณ์ สือ่ การรียนรู๎ จรงิ การปฏิบัติ ลงมอื ทา จริง การจดั การ การวิจัย การรยี นร๎ูของ ตนอง การพัฒนาลักษณะ นิสัย
หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๓ ๔. บทบาทของบุคลากรในการจัดการเรียนรู้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, ๒๕๕๒ : นวทางการจดั การรียนรตู๎ ามหลกั สูตรกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) การจัดการรียนร๎ูพื่อ฿ห๎ผู๎รียนมีคุณภาพตามปูาหมายของหลักสูตร บุคลากรที่กี่ยวข๎องควรมีบทบาท ดงั น้ี ๔.๑ บทบาทของผบู้ ริหารโรงเรยี น ๑) ศึกษาวิคราะห์หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา ตามหลักสูตร กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตลอดจนอกสารอ่ืนๆ ท่ีก่ียวข๎องพื่อขับคลื่อนหลักสูตร สถานศกึ ษาสูํการปฏบิ ัติผํานกระบวนการจัดการรยี นรู๎ ๒) รํวมกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ละปูาหมาย การพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา฿ห๎ป็นรปู ธรรม ๓) ประชาสัมพันธ์฿ห๎ผู๎ปกครอง ชุมชนละผู๎ท่ีกี่ยวข๎องทุกภาคสํวนเด๎ข๎า฿จนวทางการ พัฒนาคณุ ภาพการจัดการศกึ ษาของรงรียน ๔) ระดมทรพั ยากร฿นชุมชน พร๎อมทั้งสวงหาความรํวมมือจากทุกภาคสํวนพื่อพัฒนาการ จดั การรยี นรู๎฿ห๎บรรลุ ปูาหมายของหลกั สตู ร ๕) สํงสริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿นรงรียนจัดทาหนํวยการรียนร๎ูผนการจัดการรียนรู๎ที่ สอดคล๎องกับบริบทของรงรียน ความต๎องการของท๎องถิ่น พื่อพัฒนาผู๎รียนท้ังด๎านความร๎ู ทักษะกระบวนการ ตลอดจนคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ละคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖) สํงสริมละสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿นรงรียนพัฒนาหลักสูตร ผนการจัดการรียนร๎ู สื่อการรียนรู๎ หลํงรียนร๎ู ภูมิปัญญาท๎องถิ่น ตลอดจนทคนลยีท่ีหมาะสมตํอการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อยาํ งตํอนื่อง ๗) สํงสริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿นรงรียน฿ช๎กระบวนการวิจัยพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาอยาํ งปน็ ระบบละตํอน่ือง ๘) สํงสริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿นรงรียนวัดละประมินผลการรียนร๎ูด๎วยวิธีการท่ี หลากหลาย พร๎อมนาผลการวดั ละประมนิ มาพัฒนาผ๎ู รยี นอยาํ งปน็ ระบบ ๙) จัด฿ห๎มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร฿นรงรียนด๎วยวิธีการท่ีหลากหลาย ชํน ประชมุ สมั มนา ประชุมปฏบิ ตั ิการ ศึกษาดูงาน พ่ือการพัฒนาบุคลากรครู฿ห๎ป็นบคุ คลหํงการรียนร๎ู ๑๐) ป็นผ๎ูนา฿นการปลี่ยนปลง฿ห๎บุคลากร฿นรงรียนมีการนิทศภาย฿นอยํางป็นระบบ ดยน๎นการนิทศบบกัลยาณมติ ร พ่อื พฒั นากระบวนการจัดการรียนร฿๎ู หม๎ ีคณุ ภาพอยํางตํอนอื่ ง ๑๑) สํงสรมิ สนับสนุน฿หส๎ ถานศึกษาปน็ หลํงรียนร๎ู พอ่ื บริการครือขาํ ยละชมุ ชน ๔.๒ บทบาทของครผู ู้สอน ๑) ศึกษา ทาความข๎า฿จอกสารหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา ตามหลกั สตู รกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ละการออกบบการจดั การรยี นร๎ู
หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๔ ๒) จัดทาหนํวยการรียนรู๎ ผนการจัดการรียนร๎ู ดยน๎นความร๎ู ทักษะ กระบวนการ ตามมาตรฐานการรียนร๎/ู ตัวช้วี ัด คุณธรรม จริยธรรม คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ละสมรรถนะสาคัญของผู๎ รยี น ๓) ศึกษาวิคราะห์ผู๎รียนป็นรายรูป พร๎อมนาข๎อมูลมา฿ช๎฿นการออกบบการรียนร๎ูละ จัดการรียนรู๎ท่ีมุํงตอบสนองความต๎องการของผู๎รียน ความตกตํางของผ๎ูรียน ละพัฒนาการทางสมองพื่อ พัฒนาศักยภาพของผ๎ูรยี น฿หบ๎ รรลตุ ามวัตถุประสงค์ ๔) จัดกระบวนการจัดการรียนร๎ูท่ีน๎นผู๎รียนป็นสาคัญด๎วยวิธีท่ีหลากหลายพ่ือ฿ห๎บรรลุ ปาู หมายของหลกั สตู ร ๕) จัดบรรยากาศละสภาพวดล๎อมทงั้ ภาย฿นละภายนอกห๎องรียน฿ห๎อื้อตํอการรยี นร๎ู ๖) จัดตรียมละ฿ช๎ส่ือการรียนร๎ูตํางๆ ตลอดจนภูมิปัญญาท๎องถ่ิน ทคนลยีละหลํง รียนรู๎฿นชุมชนเดอ๎ ยํางหมาะสมกับการรยี นรข๎ู องผู๎ รยี น ๗) ประมินผลการรียนรู๎ของผู๎รียนด๎วยวิธีการตํางๆ อยํางหลากหลาย ท้ังนี้มุํงน๎นการ ประมินผลการรียนร๎ูตามสภาพจริงป็นสาคัญ นอกจากนี้ล๎ว ควรน๎นการมีสํวนรํวมของผ๎ูรียน ตลอดจน ความสอดคล๎องกบั ธรรมชาติของวิชา ละพฒั นาการของผู๎ รยี น ๘) นาผลการประมินผู๎รียนมา฿ช๎พื่อสอนซํอมสริมละพัฒนาผู๎รียน ตลอดจนปรับปรุง การจดั กจิ กรรมการสอนของตนองอยํางป็นระบบ ๙) ฿ช๎กระบวนการวิจัย฿นชั้นรียน พ่ือพัฒนากระบวนการรียนรู๎อยํางป็นระบบละ ตํอนือ่ ง ๔.๓ บทบาทของผู้เรยี น การจัดการศึกษาตามหลักสูตรรงรียนพระปริยัติธรรม ผนกสามัญศึกษา ตามหลักสูตร กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู๎รียนต๎องปรับพฤติกรรมการรียนร๎ูของตนองจากการป็นผ๎ูรับมา ปน็ ผู๎สร๎างองค์ความรดู๎ ๎วยตนอง ซ่ึงบทบาทของผ๎ู รียนควรมี ดงั นี้ ๑. มีสํวนรํวม฿นการวางผนการจัดการรียนร๎ูรํวมกับครูผู๎สอน พื่อ฿ห๎การจัดการรียนร๎ู ป็นเปตามความต๎องการของผ๎ู รยี น ดยคานึงถึงความสอดคล๎องกับความสามารถ ความถนัด ละความสน฿จของ ผู๎รียนปน็ สาคญั ๒. สวงหาความร๎ูจากหลํงรียนร๎ูตํางๆ เด๎อยํางหมาะสม หลากหลายด๎วยความ กระตือรอื ร๎น ละ฿ฝุ รยี นรอู๎ ยาํ งตอํ น่ือง ๓. ลงมือปฏิบัติจริง ดย฿ช๎กระบวนการรียนร๎ูของตนอง ละสามารถสรุปองค์ความร๎ูเด๎ ด๎วยตนอง ๔. นาองค์ความร๎ูที่เดร๎ ับเปประยกุ ต์฿ช๎ พอื่ การดานินชิวติ ประจาวนั เด๎อยาํ งหมาะสม ๕. มีสํวนรํวม฿นการประมินผลละนาผลการประมินมาพัฒนากระบวนการรียนรู๎ของ ตนอง฿ห๎ก๎าวหนา๎ อยํู สมอ ๖. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีตํอครู พ่ือน ละมีการทากิจกรรมตํางๆ ท่ีมีลักษณะสร๎างสรรค์ด๎วย ความป็นมติ รเมตรี กลําวคือ มคี วามออื้ ฟ้อื ผื่อผํ ชวํ ยหลอื ซ่งึ กันละกนั อยํางสมา่ สมอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 586
Pages: