Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

Published by naratham1965, 2019-12-14 01:28:36

Description: หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

Search

Read the Text Version

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ พระพทุ ธศาสนา มาตรฐาน ส ๑.๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบัตติ นตามหลกั พระวินัยบัญญัตแิ ละประกาศ กฎ ระ ม. ๑ ตวั ช้ีวดั /ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ๑. ๒. ๑. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จปฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญัติ ม. ๒ ๓. กัณฑ์ที่ ๑ อปุ สัมปทา ๔. ๑. อธิบายปฐม฼หตุพระวนิ ัยบญั ญตั ิกณั ฑท์ ี่ ๕. ๒. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จปฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั ิ ๖. กณั ฑท์ ี่ ๒ พระวนิ ัย ๖ นสิ สคั คิยปาจติ ตยี ์ ๓๐ ๓. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จปฐม฼หตุพระวินยั บญั ญตั ิ ๒. อธบิ ายปฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั ิกณั ฑท์ ่ี กณั ฑ์ท่ี ๓ สกิ ขาบท ๗ ปาจิตตยี ์ ๙๒ ๔. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จปฐม฼หตุพระวนิ ยั บัญญัติ กัณฑ์ที่ ๔ ปาราชิก ๔ ๓. อธบิ ายปฐม฼หตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั ิกณั ฑ์ที่ ๕. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จปฐม฼หตุพระวินยั บัญญตั ิ ๘ ปาฏิ฼ทสนียะ ๔ ฽ละ฼สขยิ วตั ร ๗๕ กัณฑ์ที่ ๕ สงั ฆาท฼ิ สส ๑๓ ๔. อธิบายปฐม฼หตพุ ระวนิ ัยบญั ญตั ิกณั ฑ์ท่ี ๙ อธิกรณสมถะ ๗ ๕. อธบิ ายปฐม฼หตพุ ระวินัยบญั ญตั ิกณั ฑ์ที่ ๑๐ มาตรา

๑๒๔ ะเบียบ คาสงั่ มหาเถรสมาคม และพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ ม. ๓ ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ชว่ งชั้น ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ม. ๔ – ม. ๖ ที่ ๑๑ กายบรหิ าร มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ที่ ๑๒ บรขิ ารอุป฾ภค ๑. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๑๗ ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ อ฾ุ บสถ ปวารณา ที่ ๑๓ นิสสัย ๒. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๑๘ วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ ที่ ๑๔ วัตร อุปปถกริ ิยา วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ ๓. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๑๙ ท่ี ๑๕ คารวะ ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ กาลิก ๔ ท่ี ๑๖ จาพรรษา ๔. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวนิ ยั บัญญตั กิ ณั ฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะตาํ ง฼จา๎ ของ ๕. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑท์ ่ี ๒๑ วินยั กรรม ๖. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๒ ปกณิ ณกะ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕ ๑. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๓ สังฆกรรม ๒. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๒๔ สมี า

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒

๑๒๕ ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ชว่ งชั้น ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ๓. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวนิ ยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ท่ี ๒๕ สมมต฼ิ จา๎ หนา๎ ทีท่ าการสงฆ์ ๔. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๒๖ กฐนิ ๕. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑ์ท่ี ๒๗ บรรพชา฽ละอุปสมบท ๖. รู฽๎ ละ฼ข๎า฿จพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ๗. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวินยั บัญญตั กิ ณั ฑท์ ่ี ๒๘ วิธรี ะงับววิ าทาธิกรณ์ ๘. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บญั ญตั กิ ัณฑท์ ี่ ๒๙ วธิ รี ะงบั อนุวาทาธิกรณ์ ๙. วิ฼คราะหป์ ฐม฼หตพุ ระวินยั บัญญตั กิ ัณฑ์ที่ ๓๐ วธิ รี ะงับอาปตั ตาธกิ รณ์ ๑๐. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวินยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ี่ ๓๑ กจิ จาธิกรณ์฽ละวธิ รี ะงับดว๎ ยนคิ คหะ ๑๑. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ณั ฑท์ ่ี ๓๒ สงั ฆ฼ภท฽ละสงั ฆสามัคคี ๑๒. ว฼ิ คราะหป์ ฐม฼หตุพระวนิ ยั บญั ญตั กิ ัณฑ์ที่ ๓๓ ปกิณณกะ ๑๓. รู฽๎ ละ฼ขา๎ ฿จกฎหมาย กฎ ระ฼บยี บ ประกาศ คาสั่ง

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒

๑๒๖ ตวั ช้วี ดั /ผลการเรยี นรู้ ชว่ งช้ัน ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ฽ละมติมหา฼ถรสมาคมท฼ี่ กย่ี วกับ฾รง฼รียนพระปรยิ ตั ิ ธรรม ฽ผนกสามญั ศึกษา

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๖ สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี กล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ ความสาคญั รายสาระการเรยี นรูภ้ าษาบาลี ภาษาบาลมี ีความสาคญั ตํอพระพทุ ธศาสนาซึ่ง฼ป็นภาษาท่ี฿ช๎จารึกคาส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธ฼จ๎า ฽ละ฿ช๎฼ป็นการ฼ผย฽ผํพระพุทธศาสนา ประ฼ทศเทยมีพระพุทธศาสนา฼ป็นศาสนาประจาชาติซึ่งมีผู๎นับถือ พระพุทธศาสนา฼ป็นจานวนมาก ซ่ึงการดารงชีวิตของคนเทยเด๎นา฼อาหลักธรรมคาส่ังสอนของพระพุทธศาสนามา ประพฤตปิ ฏบิ ัติ฿ห๎อยูํ฿นสงั คมอยํางสันตสิ ุข ดังน้ัน ฿นฐานะภาษาบาลี฼ป็นภาษาต๎น฽บบที่เด๎วิวัฒนาการจากภาษาบาลีมา฼ป็นภาษาเทย ด๎วย฼หตุ นั้นนัก฼รียนจึงต๎อง฼รียนร๎ูประวัติความ฼ป็นมา฽ละหลักเวยากรณ์ของภาษาบาลี ฼พื่อสามารถพูด ฟัง อําน ฼ขียน ภาษาบาลอี นั ฼ปน็ ภาษาต๎น฽บบเด๎ ภาษาบาลี ฼ป็นภาษาของ฽คว๎นมคธ฿นประ฼ทศอิน฼ดีย฾บราณ ฼รียกวํา “ภาษามาคธี” พระพุทธ฼จ๎า ประดิษฐานพระพุทธศาสนา฼ป็นครั้ง฽รก฿น฽คว๎นมคธ ฽ละมีชาวมคธ฼ล่ือม฿สอุปสมบท฿นพระพุทธศาสนา฼ป็น จานวนมาก พระภิกษุชาวมคธจึง฿ช๎ภาษามาคธี฼ผย฽พรํพระพุทธศาสนา รวมทั้ง฿ช๎บันทึกหลักคาสอนของ พระพุทธศาสนาจนสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ตํอมาเทย฼รา฼รียกวํา “ภาษาบาลี” ซึ่งหมายถึงภาษาท่ีรักษา พระพทุ ธศาสนาเว๎ (บาลี หรือ ปาลี ฽ปลวํา ผู๎รกั ษา) ธรรมชาติหรือลักษณะเฉพาะของสาระการเรยี นรู้ภาษาบาลี ภาษาบาลี หมายถึง ภาษาที่รักษาเว๎ซ่ึงพระพุทธพจน์ ฼ป็นภาษาท่ี฿ช๎จารึกหลักธรรมคาส่ังสอนที่ สม฼ด็จพระสัมมาสัมพุทธ฼จ๎า฿นพระเตรปิฎก฽ละคัมภีร์ตํางๆ ฿นพระพุทธศาสนา ภาษาบาลีมีความสัมพันธ์กับ วัฒนธรรมเทยมาตัง้ ฽ตอํ ดตี จนถงึ ปัจจุบัน ฼ปน็ ภาษาท่ี฿ช๎ส่ือสาร฿นสมัยพุทธกาลถึงปัจจุบัน ฼ป็นตันติภาษา฽ละ฼ป็น ภาษาท่ีเม฿ํ ช๎สื่อสาร฽ล๎ว฿นสังคม฾ลก ฽ตํ฿ช๎ส่ือสารการ฼รียนรู๎฿นพระพุทธศาสนา ฼ป็นภาษาท่ี฿ช๎มาก฿นสมัยพุทธกาล อัน฽สดงออกถึงวิถชี ีวติ พฤตกิ รรมทางสังคม คํานยิ ม฽ละความ฼ช่ือท่ี฽สดงออกทางภาษา การ฼รียนภาษาบาลี฽ตกตํางจากการ฼รียนสาระการ฼รียนรู๎อื่นๆ ฼นื่องจากนัก฼รียนเมํเด๎฼รียนภาษา฼พ่ือ ความร๎฼ู กี่ยวกบั ภาษา฼ทาํ น้ัน ฽ตกํ าร฼รยี นภาษา฼พ่ือ฿ห๎สามารถนามา฿ช฼๎ ป็น฼คร่ืองมือการ฼รียนร๎ู฽ละนามาประยุกต์฿ช๎ ฿นสถานการณ์ตํางๆ ฾ดย฼ฉพาะการดารงชีวิตของชาวพุทธ การที่นัก฼รียนจะ฼รียนร๎ูภาษาบาลีเด๎อยํางถูกต๎อง คลอํ ง฽คลํว฽ละ฼หมาะสมนัน้ ขน้ึ อยูํกบั ทกั ษะการ฿ชภ๎ าษาบาลี ดังนั้น การจัดกระบวนการ฼รียนการสอนเด๎ยึดหลักความ฼ข๎า฿จ฿นหลักเวยากรณ์ของภาษาบาลีตลอด ถึงการนาภาษาอ่นื มาบรู ณาการกับภาษาบาลี฿ห๎฼กดิ ความร฿๎ู หมๆํ อันจะ฿ช๎฼ป็น฽นวทางการศึกษาตํอ฿นระดับท่ีสูงข้ึน เปซ่งึ ฼ป็นจุดมงุํ หมายอนั สาคญั ประการหนึ่งของการปฏริ ูปการ฼รียน

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๗ วิสัยทศั นส์ าระการเรยี นรู้ภาษาบาลี นัก฼รียนจะ฼ป็นผู๎ท่ีมีความรู๎ ทักษะ กระบวนการ ฽ละคุณธรรมจริยธรรม คํานิยมตามจุดหมายของ หลักสูตร มีความร๎ูความ฼ข๎า฿จ฿นวัฒนธรรมอันหลากหลายตามวิถีของชาวพุทธสามารถถํายทอดความคิด฽ละ วัฒนธรรมเทยเปยังสังคมเด๎อยํางสร๎างสรรค์฿ช๎ภาษาบาลีส่ือสาร฿นสถานการณ์ตํางๆ ตลอดถึง฿ช๎ภาษาบาลีอัน฼ป็น หลักธรรมทางพุทธศาสนา฼พอื่ ฼ป็น฽นวทาง฿นการศกึ ษาตํอ฽ละการดารงชวี ติ พันธกิจสาระการเรียนรู้ภาษาบาลี หลกั สตู รสาระการเรียนร้ภู าษาบาลีน้ี ฼ป็นการศึกษาที่มํุง฿ห๎พระภิกษุสาม฼ณรพัฒนาตน฼องประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย฼ป็นศาสนทายาทท่ีดี ฽ละนาความร๎ูจากการศึกษาเปพัฒนาสังคม ฾ดยมํุงปลูกฝัง฿ห๎ พระภกิ ษสุ าม฼ณรมคี ณุ ลกั ษณะดังตอํ เปนี้ ๑. มํุง฿ห๎นัก฼รียนเด๎ศึกษาประวัติความ฼ป็นมาของภาษาบาลี หลักเวยากรณ์฼บ้ืองต๎นของภาษาบาลี ฼พ่ือ฼ปน็ ฽นวทาง฿นการ฼รียนรร๎ู ะดบั สงู ฽ละ฼ชอื่ ม฾ยงประสบการณ์การ฼รียนร๎ูเปสํูกลุมํ สาระการ฼รยี นรู๎อื่นๆ ๒. มุงํ ฿ห๎นกั ฼รยี นเด๎รับการพัฒนา฿ห๎มีทักษะกระบวนการ ด๎านการฟัง การพูด การอําน ฽ละการ฼ขียน ฼ปน็ ภาษาบาลี ๓. มํุง฿ห๎นัก฼รียน฼ห็นคุณคําความสาคัญของภาษาบาลี฿นฐานะ฼ป็นภาษาที่฿ช๎บันทึกหลักธรรมคาส่ัง สอน฽ละสามารถนาความร๎เู ป฿ช฿๎ นชวี ติ ประจาวัน เปา้ หมายหรือความหวังของสาระการเรียนรภู้ าษาบาลี การจัดการ฼รียนการสอนภาษาบาลี ซ่ึง฼ป็นสาระการ฼รียนร๎ูภาษาตํางประ฼ทศตามหลักสูตรการศึกษา พระปรยิ ัตธิ รรม ฽ผนกสามญั ศกึ ษา ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงมีความคาดหวังวํา ฼มอื่ นกั ฼รียน฼รียนภาษาบาลอี ยาํ งตอํ ฼น่ืองต้ัง฽ตํช้ันมัธยมศึกษาตอนต๎น฽ละมัธยมศึกษาตอนปลาย฽ล๎ว นัก฼รียนจะมี ฼จตคตทิ ี่ดตี อํ ภาษาบาลี… ๑. สามารถ฿ชภ๎ าษาบาล฽ี สวงหาความรู๎ สอื่ สาร฿นสถานการณ์ตํางๆ ฽ละศกึ ษาตอํ ฿นระดบั สูงขนึ้ ๒. ฼ขา๎ ฿จ฿น฼รือ่ งราว฽ละวัฒนธรรมอันหลากหลายของภาษาบาล฿ี นพระพุทธศาสนา ๓. สามารถถํายทอดความคิด ฽ละวฒั นธรรมเทยเปยงั สงั คมเด๎ คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ของสาระการเรยี นร้ภู าษาบาลี ๑. นกั ฼รียนมีความร๎ูหลักภาษาท่฼ี ป็นพน้ื ฐาน การฟัง การพูด การอําน การ฼ขียน ภาษาบาลี ๒. นกั ฼รยี นมีความ฼ข๎า฿จ฼นือ้ หา฿น฼รื่องที่อาํ น ๓. นัก฼รียนรกั การอาํ น฽ละ฼ห็นคณุ คําภาษาบาลี฿นการทจ่ี ะ฿ช๎฼ปน็ ฼ครือ่ งมือศกึ ษาพระพุทธศาสนา ๔. นัก฼รียนสามารถ฿ช๎ภาษาบาลี฿นการฟัง การพูด การอําน การ฼ขียน ตามศกั ยภาพของนกั ฼รยี น ๕. นัก฼รียนสามารถ฿ชภ๎ าษาบาล฿ี นการศกึ ษาคน๎ คว๎าวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา ๖. นัก฼รียนนาภาษาบาลมี าประยกุ ต฿์ ช฿๎ นภาษาเทยเด๎ ๗. นกั ฼รียน฼ห็นคุณคาํ ฽ละธารงรักษาเวซ๎ งึ่ ภาษาบาลี

หลักสูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๘ ๘. นกั ฼รียนมคี วามร฼๎ู ปน็ พ้นื ฐาน฿นการศึกษาภาษาบาลี฿นช้ันสงู ขึ้นเป ๙. นัก฼รียน฼ข๎า฿จ฿นคติธรรมวัฒนธรรม฽ละประวัติพระพุทธศาสนาที่ปรากฏ฿นภาษาบาลี฼กิดความ ซาบซึ้ง฿นพระพทุ ธศาสนา ๑๐. นัก฼รียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ คุณภาพของนกั เรยี น สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี ฼ป็นสํวนหน่ึงของกลํุมสาระการ฼รียนรู๎ภาษาตํางประ฼ทศ ฼ป็นสาระการ ฼รยี นรู๎฼พิม่ ฼ติม ที่นกั ฼รยี น฿น฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา ต๎อง฼รียนต้ัง฽ตํระดับ ๒ ถึง ระดับ ๓ ฾ดยมุํง฼น๎น฿ห๎นัก฼รียนเด๎ ศึกษาหลักเวยากรณ์฼บื้องต๎น ฼พ่ือ฿ห๎ผู๎ศึกษาเด๎มีความรู๎ มีทักษะ กระบวนการด๎านภาษาบาลี ฿นฐานะที่ภาษาบาลี ฼ป็นภาษาที฿่ ช๎จารึกหลักธรรมคาสัง่ สอน฿นพระพุทธศาสนา จบชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓, ๖ (ระดับ ๒, ๓) นักเรยี นจะมีคณุ ภาพ ดงั น้ี ๑. เด๎฼รียนร฽๎ู ละศกึ ษาประวตั ิ วิวัฒนาการของภาษาบาล฿ี นสมัยพทุ ธกาลจนถงึ ปจั จุบนั ๒. เด๎฼รียนรู๎ ศึกษา กระบวนการอาํ น การฟงั ฽ละการออก฼สยี งตามหลกั เวยากรณ์ ๓. เด๎฼รียนร๎ูศึกษาหลัก ฽ละกระบวนการพูด การ฼ขียน การ฽ตํง ฽ละการ฽ปลตามหลักภาษา ๔. ฼ปน็ ผู๎มคี วามรู๎ ความสามารถ ฿นการ฼ช่ือม฾ยงความรภู๎ าษาบาลกี ับสาระการ฼รยี นร๎อู นื่ ๆ ๕. ฼ป็นผ๎ูมีความสามารถ฿นการนาความร๎ูทางภาษาบาลีเปประยุกต์฿ช๎ตามสถานการณ์ตํางๆ ฿น สถานศกึ ษา฽ละสงั คมทวั่ เป สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ สาระของกลํุมสาระการ฼รยี นร๎ูภาษาตํางประ฼ทศ หมายถึง องค์ความรู๎ท่ี฼ป็นมาตรฐานสาหรับนัก฼รียน ภาษาตํางประ฼ทศประกอบด๎วยสาระด๎านภาษา฼พ่ือการส่ือสารภาษา฽ละวัฒนธรรมภาษากับความสัมพันธ์กับกลํุม สาระการ฼รียนรู๎อื่น ฽ละภาษากับความสัมพนั ธ์กับชุมชน฾ลก หลกั สูตรการศึกษาพระปริยตั ธิ รรม ฽ผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษา พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฿ช๎มาตรฐาน฼ป็นตัวกาหนดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนัก฼รียนตามจุดหมายของหลักสูตร ฼พ่อื ฼ปน็ ฽นวทาง฿นการประกนั คุณภาพการศกึ ษา ฾ดย฽บํงตามสาระหลัก ดงั น้ี สาระการเรียนรู้ภาษาบาลี หมายถึง ภาษาที่รักษาเว๎ซึ่งพระพุทธพจน์ ฼ป็นภาษาที่฿ช๎จารึกหลักธรรม คาส่ังสอนที่สม฼ด็จพระสัมมาสัมพุทธ฼จ๎า฿นพระเตรปิฎก฽ละคัมภีร์ตํางๆ ฿นพระพุทธศาสนา ภาษาบาลีมี ความสัมพนั ธ์กับวัฒนธรรมเทยมาตั้ง฽ตํอดีตจนถึงปจั จบุ ัน สาระท่ี ๑ ภาษาเพ่ือการส่ือสาร ภาษาบาลี฼ป็นภาษาท่ี฿ช๎สื่อสาร฿นสมัยพุทธกาลถึงปัจจุบัน฼ป็น ตนั ติภาษา ภาษาที่เม฿ํ ชส๎ ่ือสาร฽ล๎ว฿นสังคม฾ลก ฽ตํ฿ช๎ส่ือสารการ฼รียนรู๎฿นพระพทุ ธศาสนา

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒๙ สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม หมายถึง ภาษาบาลี (มคธ) ของชาวมคธ฿นประ฼ทศอิน฼ดีย ฼ป็น ภาษาท่ี฿ช๎มาก฿นสมัยพุทธกาล ฽สดงออกถึงวิถีชีวิตพฤติกรรมทางสังคม คํานิยม ฽ละความ฼ชื่อมที่฽สดงออกทาง ภาษา สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น หมายถึง การ฼ช่ือม฾ยงความร๎ูภาษา บาลกี ับสาระการ฼รียนรู๎กลํุมภาษาเทย, สงั คมศึกษาศาสนา฽ละวัฒนธรรม, ภาษาอังกฤษ, ฽ละคณติ ศาสตร์ ฼ป็นตน๎ สาระท่ี ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก หมายถึง การ฿ช๎ภาษาบาลี฿นสถานศึกษา฽ละ ฿นการดา฼นินชีวิตตามวิถีชาวพุทธ ตลอดถงึ ฿ช๎ภาษาบาล฼ี ปน็ ฼ครอ่ื งมือ฿นการ฼รยี นร๎ู฼พ่ือพัฒนาตน฼อง สาระและมาตรฐานการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ มาตรฐานการ฼รียนร๎ูที่จา฼ปน็ ฽กนํ กั ฼รยี นทุกคน ดังนี้ มาตรฐานการ฼รียนร๎ูกลํุมสาระการ฼รียนร๎ูภาษาตํางประ฼ทศ หมายถึง ตัวช้ีวัดหรือผลการ฼รียนรู๎ท่ี ต๎องการ฿ห๎฼กิดขึ้น฿นตัวนัก฼รียน฼ป็นสาคัญ ฼ป็นมาตรฐานกลางซึ่ง฼ป็นกรอบด๎านความร๎ู ทักษะ กระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม ฽ละคํานิยม ฼พ่ือกาหนด฼ป็นตัวชี้วัดหรือผลการ฼รียนรู๎฿นหลักสูตรสถานศึกษา มาตรฐานการ ฼รยี นรู๎฼ป็นข๎อกาหนด฼ก่ยี วกบั ตัวชีว้ ดั หรอื ผลการ฼รียนรู๎ของนัก฼รยี น อนั จะนาเปสํูการจดั กระบวนการ฼รียนร๎ู฽ละการ วัดผล การ฼รยี นร๎฽ู บํงออก฼ป็น ๘ มาตรฐานตามสาระทง้ั ๔ ดังตํอเปนี้ สาระท่ี ๑ ภาษาเพอื่ การส่ือสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จ฽ละตคี วาม฼ร่ืองท่ีฟัง฽ละอํานจากสือ่ ประ฼ภทตํางๆ ฽ละ฽สดงความคิด฼หน็ อยํางมี฼หตุผล มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการสื่อสารทางภาษา฿นการ฽ลก฼ปล่ียนข๎อมูลขําวสาร฽สดงความรู๎สึก฽ละความคิด฼ห็น อยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ มาตรฐาน ต ๑.๓ นา฼สนอข๎อมลู ขําวสารความคิดรวบยอด฽ละความคดิ ฼หน็ ฿น฼รือ่ งตาํ งๆ ฾ดยการพูด฽ละการ฼ขยี น สาระท่ี ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ ฼ข๎า฿จความสัมพนั ธร์ ะหวาํ งภาษากับวฒั นธรรมของ฼จ๎าของภาษา ฽ละนาเป฿ช๎เด๎อยําง฼หมาะสม กบั กาล฼ทศะ มาตรฐาน ต ๒.๒ ฼ข๎า฿จความ฼หมือน฽ละความ฽ตกตํางระหวํางภาษา฽ละวัฒนธรรมของ฼จ๎าของภาษากับภาษา ฽ละวัฒนธรรมเทย ฽ละนามา฿ช๎อยํางถูกตอ๎ ง฽ละ฼หมาะสม สาระท่ี ๓ ภาษากับความสัมพนั ธก์ ับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน มาตรฐาน ต ๓.๑ ฿ช๎ภาษาตํางประ฼ทศ฿นการ฼ชื่อม฾ยงความรู๎กับกลํุมสาระการ฼รียนรู๎อ่ืน ฽ละ฼ป็นพื้นฐาน฿นการ พฒั นา ฽สวงหาความรู๎ ฽ละ฼ปดิ ฾ลกทศั น์ของตน สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธก์ บั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ฿ชภ๎ าษาตาํ งประ฼ทศ฿นสถานการณ์ตํางๆ ทงั้ ฿นสถานศึกษา ชุมชน ฽ละสงั คม

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๐ มาตรฐาน ต ๔.๒ ฿ช๎ภาษาตํางประ฼ทศ฼ป็น฼ครื่องมือพื้นฐาน฿นการศึกษาตํอ การประกอบอาชีพ ฽ละการ฽ลก ฼ปลี่ยน฼รียนรู๎กบั สงั คม฾ลก

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ ภาษาเพ่อื การส่ือสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ – ต ๑.๓ สาระท่ี ๓ ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับกลุ่มสาระการเรยี นรูอ้ ่นื มาตรฐาน ต ๓.๑ ม. ๑ ตวั ชีว้ ดั /ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ๑. รู๎฽ล ๒. รู๎฽ล ๑. รู฽๎ ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ งความรู๎ ม. ๒ กัมม ฼บ้อื งตน๎ ฼ก่ยี วกับบาลีเวยากรณ์ ๑. ร๎ู฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งอาขยาต ๒. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งวิภตั ติ ๓. ร๎ู฽ล ๒. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ ง ๓. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องกาล, บท, ทคิ ุส นามศพั ท์ วจนะ, บรุ ษุ ๔. ร฽๎ู ล ๓. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งลิงค,์ ๔. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ งธาตุ ๕. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งวาจก ตัปป วจนะ, วภิ ตั ติ ฽ละปัจจยั ๕. รู๎฽ล ๔. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง ๖. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งการ฽ปล ทวัน อายตนบิ าต฽ละการันต์ ฿นวาจกท้ัง ๕ ที฿่ ช๎กริ ยิ าอาขยาต ๖. รู๎฽ล ๕. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง คมุ พากย์ อัพย การ฽จกการันต์฿นปงุ ลงิ ค์ ๗. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง ๗. รู๎฽ล ๖. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง กิรยิ ากติ ก์ พหพุ การ฽จกการนั ต์฿นอิตถลิ ิงค์ ๘. รู฽๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องนามกิตก์ ๘. รู๎฽ล ๗. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง รูป฽ละสาธนะ สมา การ฽จกการันต์฿นนปุงสกลงิ ค์ ๙. ร๎ู฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งปัจจยั ๙. ร฽๎ู ล ๘. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง นามกิตก์ ๑๐.ร฽๎ู ล กตปิ ยศพั ท์ ๑๐.ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่อื งการ฿ช๎ สาม ๙. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่อื ง กิรยิ ากติ ก์ ปกตสิ ังขยา

๑๓๐ สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ – ต ๒.๒ สาระที่ ๔ ภาษากบั ความสัมพันธ์กบั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ – ต ๔.๒ ม. ๓ ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ ช่วงช้ัน ม. ๔ – ม. ๖ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่ืองสมาส ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ มธารยสมาส ๑. รู฽๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ งสมญั ญาภิธาน ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ ง ๒. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องอักขรวธิ ี : สนธิ สระสนธิ สมาส ๓. ร฽ู๎ ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ งพยญั ชนะสนธิ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ ง นคิ คหติ สนธิ ปุริสสมาส ๔. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องหลกั การ฽ปลมคธ฼ป็นเทย ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง นทวสมาส ฽ละการ฽ปลเทย฼ปน็ มคธตาม฾ครงสรา๎ งของประ฾ยค ๘ สวํ นประกอบ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ ง ยยภี าวสมาส ๕. ร฽ู๎ ละ฼ขา๎ ฿จ฽ละสามารถ฽ปลอุภยั พากย์ปริวัฒน฾์ ดย ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่อื ง พพหิ สิ มาส พยญั ชนะ฽ละอรรถเด๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ ง ๖. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จ฽ละสามารถ฽ปลธรรมบทภาค ๑ ฾ดย าสท๎อง พยญั ชนะ฽ละอรรถเด๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งตทั ธิต ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ มัญญตัทธิต ๑. ร๎ู฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องอาขยาต ๒. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งวภิ ตั ติ ๓. ร๎฽ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งกาล, บท, วจนะ, บุรษุ ๔. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งธาตุ

หลักสูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๑.ร฽๎ู ล ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ช้ันปี ภาว ม. ๑ ม. ๒ ๑๐. รู฽๎ ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื ง วธิ ตี ํอปกติสงั ขยา ๑๑. ร฽ู๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่ือง ปรู ณสังขยา ๑๒. ร฽ู๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง ปรุ ิสสัพพนาม ๑๓. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่อื ง ว฼ิ สสนสัพพนาม ๑๔. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ ง อพั ยยศัพท์

ม. ๓ ๑๓๑ ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่อง ตัวชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ ชว่ งช้ัน วตัทธิต฽ละอพั ยยตัทธติ ม. ๔ – ม. ๖ ๕. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งวาจก฽ละปัจจยั ๖. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งการ฽ปล฿นวาจกทง้ั ๕ ที่ ฿ชก๎ ริ ิยาอาขยาตคุมพากย์ ๗. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอื่ งกิรยิ ากติ ก์ ๘. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ งนามกิตก์ รูป฽ละสาธนะ ๙. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องปจั จัยนามกติ ก์ ๑๐. รู๎฽ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งการ฿ชก๎ ริ ิยากติ ก์ ๑๑. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จ฽ละสามารถ฽ปลธรรมบทภาค ๒-๓ ฾ดย พยัญชนะ฽ละอรรถเด๎ มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ ๑. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่ืองสมาส ๒. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องกัมมธารยสมาส ๓. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งทิคสุ มาส ๔. ร฽ู๎ ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องตปั ปรุ ิสสมาส ๕. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่อื งทวนั ทวสมาส ๖. ร฽๎ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งอัพยยีภาวสมาส ๗. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ ร่ืองพหพุ พหิ ิสมาส ๘. รู๎฽ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รื่องสมาสท๎อง ๙. ร฽๎ู ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งตทั ธติ ๑๐.ร๎฽ู ละ฼ข๎า฿จบาลเี วยากรณ฼์ รือ่ งสามญั ญตทั ธิต

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้ ช้ันปี ม. ๑ ม. ๒

๑๓๒ ตัวชี้วดั /ผลการเรยี นรู้ ช่วงช้ัน ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ๑๑.ร฽ู๎ ละ฼ขา๎ ฿จบาลเี วยากรณ฼์ รอ่ื งภาวตัทธิต฽ละ อพั ยยตัทธติ ๑๒.ร฽ู๎ ละ฼ข๎า฿จ฽ละสามารถ฽ปลธรรมบทภาค ๔ ฾ดย พยญั ชนะ฽ละอรรถเด๎ ๑๓.ร฽ู๎ ละ฼ขา๎ ฿จ฽ละสามารถทบทวนการ฽ปลธรรมบทภาค ๑-๔ ฾ดยพยญั ชนะ฽ละอรรถเด๎

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๒ การจัดกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน กิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียน ฼ป็นสํวนหนึ่งของหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีมุํง฿ห๎ผู๎฼รียน เด๎พัฒนาตน฼องตามศักยภาพ พัฒนาอยํางรอบด๎าน฼พื่อความ฼ป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งรํางกาย สติปัญญา อารมณ์ ฽ละสังคม ฼สริมสร๎าง฿ห๎฼ป็นผู๎มีศีลธรรม จริยธรรม มีระ฼บียบวินัย ปลูกฝัง฽ละสร๎างจิตสานึกของการกระทา ประ฾ยชน฼์ พ่อื สังคม สามารถจัดการตน฼องเด๎ ฽ละอยูํรวํ มกบั ผู๎อ่นื อยาํ งมคี วามสุข ฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา ต๎องจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนตาม฼ปูาหมาย รูป฽บบ ฽ละวิธีการท่ี฼หมาะสมกับ สมณสารูป ฽ละต๎องสํง฼สริมการพัฒนาความสามารถของพระภิกษุสาม฼ณร ฾ดยจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียน฿ห๎ครบถ๎วน ตามที่หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดเว๎ ซ่ึงประกอบด๎วยกิจกรรม ๓ ลักษณะด๎วยกัน เด๎฽กํ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรม นกั เรยี น และกิจกรรมเพื่อพัฒนาสงั คมและสาธารณประโยชน์ มรี ายละ฼อยี ดดังนี้ ๑. กจิ กรรมแนะแนว ฼ป็นกิจกรรมท่ีสํง฼สริม฽ละพัฒนาผ๎ู฼รียนด๎วยกระบวนการทางจิตวิทยาการ฽นะ฽นว ฼พ่ือ฿ห๎ผู๎฼รียน เด๎รับการพัฒนา฼ต็มตามศักยภาพ ฾ดยคานึงถึงความ฽ตกตํางระหวํางบุคคล฿นด๎านความสามารถความถนัด ฽ละ ความสน฿จ สํงสริม สนันสนุน฿ห๎ผ๎ู฼รียนรู๎จัก ฼ข๎า฿จ รัก฽ละ฼ห็นคุณคํา฿นตน฼อง฽ละผู๎อื่น สามารถกาหนด฼ปูาหมาย วาง฽ผนชีวิตทั้งด๎านการ฼รียน การปฏิบัติศาสนกิจ ฽ละสามารถปรับตัว฿นการดารงตนอยํู฿นสมณ฼พศเด๎อยําง ฼หมาะสม ผ๎ู฼รียนจะต๎องมีอสิ ระ฿นการคดิ ฽ละตดั สนิ ฿จดว๎ ยตวั ฼อง ฼รยี นรด๎ู ๎วยตวั ฼องด๎วยการปฏิบัติจน฼กิดทักษะ ชีวิต฽ละที่สาคัญคือครูผ๎ูสอนทุกรูปคนควรมีสํวนรํวม฿นการจัดกิจกรรม ฾ดยมีครู฽นะ฽นว฼ป็นพ่ี฼ล้ี ยง฽ละ ประสานงาน การจัดกิจกรรมแนะแนว มีวตั ถปุ ระสงค์ และแนวการจดั กิจกรรม ดังนี้ วัตถุประสงค์ ๑) ฼พ่ือ฿ห๎ผ๎฼ู รยี นรจ๎ู ัก ฼ข๎า฿จ รัก ฽ละ฼หน็ คณุ คํา฿นตน฼อง฽ละผู๎อน่ื ๒) ฼พ่ือ฿ห๎ผู๎฼รียนสามารถวาง฽ผนการ฼รียน อาชีพ การปฏิบัติศาสนกิจ รวมท้ังการดา฼นินชีวิต฿น สงั คม ๓) ฼พอ่ื ฿หผ๎ ู฼๎ รียนสามารถปรบั ตัวเดอ๎ ยําง฼หมาะสม ฽ละอยรํู ํวมกับผ๎อู ืน่ เดอ๎ ยํางมคี วามสขุ  แนวการจัดกจิ กรรม ๑) ครผู ๎จู ัดกิจกรรม ฽ละ/หรือผู๎มีสวํ นรํวม ศึกษาว฼ิ คราะห์สภาพปัญหา ความสามารถ ความถนดั ฽ละความสน฿จ ของผ๎ู฼รยี น ๒) ว฼ิ คราะห์ สมรรถนะสาคญั ของผู๎฼รียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ วิสัยทัศนข์ อง฾รง฼รยี น ฽ละ ตามทก่ี าหนดเว฿๎ นหลกั สตู ร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ หลักสตู รการศึกษาพระปริยัติ

หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๓ ธรรม ฽ผนกสามญั ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘. ฽ละตามหลกั สตู ร฽กนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมทง้ั ว฼ิ คราะห์ขอ๎ มูลของผู๎฼รยี น฼ปน็ รายบุคคลด๎วย ๓) กาหนดสดั สํวนของกิจกรรม฽นะ฽นว฿หค๎ รอบคลุมด๎านการศกึ ษา ด๎านการปฏบิ ตั ิศาสนกิจ ดา๎ น อาชพี (กรณผี ฼๎ู รียนจะลาสิกขา฼พือ่ ประกอบอาชีพ) ดา๎ นสวํ นตวั ฽ละสังคม ๔) กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารจดั กิจกรรม฽นะ฽นวของ฾รง฼รียน฿น฽ตลํ ะระดับ฽ละช้นั ปี ๕) ออก฽บบการจัดกจิ กรรม฽นะ฽นว ประกอบด๎วย วตั ถปุ ระสงค์ การจดั กิจกรรม ฼วลาจัดกิจกรรม หลักฐานการทากจิ กรรม ฽ละการประ฼มนิ ผล ๖) จดั ทา฽ผนการจดั กจิ กรรม฽นะ฽นวรายชั่ว฾มงประกอบด๎วย ชื่อกจิ กรรม จุดประสงค์ ฼วลา ฼นอื้ หา/สาระ วิธดี า฼นินกิจกรรม สือ่ /อุปกรณ์ ฽ละการประ฼มินผล ๗) จดั กจิ กรรมตาม฽ผนการจัดกิจกรรม฽ละประ฼มนิ ผลการจัดกิจกรรม ๘) ประ฼มิน฼พอ่ื ตัดสินผล ฽ละสรปุ รายงาน ๒. กจิ กรรมนกั เรียน ฼ป็นกิจกรรมปลูกฝังความรัก ความศรัทธา ความ฼คารพยึดม่ัน฿นพระพุทธศาสนา ฽ละมีปฏิปทา฿น การปฏิบัติศาสนกิจ ฼ป็นกิจกรรมท่ีพัฒนา฿ห๎ผู๎฼รียนมี฼สขียวัตร฼พียบพร๎อม มีความรับผิดชอบ รู๎จักการ฽ก๎ปัญหา มี ฼หตผุ ล มกี ารตดั สิน฿จท่ี฼หมาะสม ฽ละสามารถปฏิบัติศาสนกิจรํวมกับผอู๎ ืน่ ด๎วยหลักสามคั คีธรรม ฾รง฼รียนต๎องสนับสนุน สํง฼สริม ฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ปฏิบัติกิจกรรมตามความถนัด ฽ละความสน฿จ฽ตํต๎อง ฼หมาะสมกันสภาวะของ฼พศบรรพชิต กิจกรรมนัก฼รียนท่ี฼หมาะสมกับ พระภิกษุสาม฼ณร ฾รง฼รียนพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศกึ ษา เด฽๎ กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์ ฼ป็นการปฏิบัติกิจวัตรของสมณ฼พศ ฼พ่ือปลูกฝังความรัก ความศรัทธา ความมั่นคง฿น พระพุทธศาสนา สร๎างจิตสานึก฿นการประพฤติ ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย ฼พื่อความ฼ป็นศาสนทายาทที่ดี สมบูรณ์พร๎อมด๎วยคุณธรรม จริยธรรม ฽ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กิจของสงฆ์ท่ีผ๎ู฼รียนต๎องปฏิบัติ฼ป็นกิจวัตร เด๎฽กํ - การบณิ ฑบาต - ทาวตั รสวดมนต์ - ฼จรญิ สมาธิภาวนา - ฝกึ ปฏบิ ัติศาสนพธิ ี ฼จรญิ พุทธมนต์ - กวาดลานวัด - ฯลฯ ๒.๒ กิจกรรมชมุ นมุ ฼ปน็ การจดั กจิ กรรมทสี่ ํง฼สรมิ ฿ห๎ผู๎฼รียนศึกษาหาความร๎ูตามถวามถนัด฽ละความสน฿จ฼พื่อพัฒนา ศักยภาพ฿ห๎สงู ข้ีน เด฽๎ กํ

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๔ ๒.๒.๑ ชมุ นุมสงํ ฼สริมวชิ าการ ฼ชํน - ชมุ นมุ ภาษาเทย - ชุมนมุ คณิตศาสตร์ - ชุมนมุ สงั คมศึกษา - ชมุ นุมภาษาตาํ งประ฼ทศ - ชมุ นุมวิทยาศาสตร์ - ฯลฯ ๒.๒.๒ ชมุ นมุ สงํ สริมความถนัด฽ละความสน฿จ ฼ชํน - ชมุ นมุ คอมพวิ ฼ตอร์ - ชุมนมุ นกั ประดษิ ฐ์ - ชุมนมุ พุทธศาสตร์ - ชมุ นมุ สาม฼ณรมัคคุ฼ทศก์ - ฯลฯ การจัดกิจกรรมนกั ฼รียนมวี ัตถุประสงค์ ฽ละ฽นวการจดั กจิ กรรม ดังน้ี วัตถปุ ระสงค์ ๑) ฼พ่อื สํง฼สรมิ ฿ห๎ผู๎฼รยี น มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ฽ละ฼ป็นศาสนทายาททม่ี ่นั คง฿นพระพทุ ธศาสนา ๒) ฼พ่ือพัฒนาผู๎฼รียน฿ห๎มีระ฼บียบวินัย มีมารยาท มีความ฼ป็นผู๎นา ผู๎ตามที่ดี ฽ละมีความ รับผดิ ชอบ ๓) ฼พอ่ื พัฒนา฿ห๎ผ๎฼ู รยี นมีทกั ษะ฿ห๎การปฎบิ ตั ศิ าสนกิจรํวมกัน ร๎ูจักการ฽ก๎ปัญหา มี฼หตุผล มีการ ตัดสิน฿จท฼ี่ หมาะสม ชํวย฼หลือ฽บํงปัน ฽ละมีความสามคั คี ๔) ฼พ่อื พัฒนา฿ห๎ผู๎฼รียนเดป๎ ฏบิ ัติกจิ กรรมตามความถนัด฽ละความสน฿จ แนวการจดั กิจกรรม ๑) จดั ฿ห๎ผ฼ู๎ รียนเด๎ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ฽ละหลัก฼สขิยวัตรอัน฼ป็นพระวินัยซึ่งกาหนด฼ป็นมารยาท ฿นการปฏิบัติตน฿ห๎นํา฼ล่ือม฿สศรัทธา อีกท้ัง฼ป็นการปลูกฝัง฿ห๎ผู๎฼รียน฼กิดความรัก ศรัทธา ฽ละม่ันคง฿นพระพุทธศาสนา ๒) กาหนดสัดสํวนของกิจกรรมนัก฼รียน฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ปฏิบัติ ทั้งกิจของสงฆ์฽ละ฼ข๎ารํวมกิจกรรม ชมุ นุม ตามความถนัด฽ละความสน฿จ ๓) กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารจัดกจิ กรรมนกั ฼รียน฿ห๎ชัด฼จน฿น฽ตลํ ะระดับ฽ละชัน้ ปี ๔) ฿หผ๎ ๎ู฼รียนเด๎รับทราบกาหนด฼วลาการจดั กิจกรรมนัก฼รียน฽ละการประ฼มนิ ผล ๕) ประ฼มนิ ฼พื่อตัดสินผล ฽ละสรุปรายงาน

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๕ ๓. กิจกรรมเพือ่ พัฒนาสังคมและสาธารณะประโยชน์ ฼ป็นกิจกรรมท่ีสํง฼สริม฿ห๎ผ๎ู฼รียนบา฼พ็ญตน฿ห๎฼ป็นประ฾ยชน์ตํอสังคม ชุมชน ฽ละท๎องถิ่น ตามความ สน฿จ฿นลักษณะอาสาสมัคร ฼พื่อ฽สดงถึงความรับผิดชอบ ความดีงาม ความ฼สียสละตํอสังคม มีจิตสาธารณะ ฼พ่ือ ชํวยสรา๎ งสรรคส์ ังคม฿หอ๎ ยํูรํวมกันอยาํ งมีความสขุ วัตถุประสงค์ ๑) ฼พ่ือปลูกฝัง฽ละสร๎างจติ สานกึ ฿ห๎฽กํผ๎ู฼รียน฿นการบา฼พ็ญตน฿ห๎฼ป็นประ฾ยชน์ตํอวัด ฾รง฼รียน ชมุ ชน สังคม พระพุทธศาสนา ฽ละประ฼ทศชาติ ๒) ฼พ่ือ฿ห๎ผ๎ู฼รียนมีความคิดริ฼ริ่มสร๎างสรรค์฿นการจัดกิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ตามความถนดั ฽ละความสน฿จ฿นลักษณะอาสาสมัคร ๓) ฼พือ่ ฿ห๎ผู๎฼รยี นมีความรู๎ คณุ ธรรม จริยธรรม ตามคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๔) ฼พือ่ ฿ห๎ผู฼๎ รยี นมจี ิตสาธารณะ฽ละ฿ช๎฼วลาวาํ ง฿ห฼๎ ป็นประ฾ยชน์ ฾รง฼รียนจะต๎องจัด฿ห๎มีกิจกรรม฼พ่ือพัฒนาสังคม ฽ละสาธารณะประ฾ยชน์อยํางตํอ฼น่ือง ฽ละต๎อง฿ห๎ ผ๎ู฼รียน฼ป็นผู๎ดา฼นินการด๎วยตน฼อง ฾ดย฿ห๎ผ๎ู฼รียนรํวมกันสารวจ฽ละวิ฼คราะห์สภาพปัญหา รํวมกันออก฽บบการจัด กจิ กรรม วาง฽ผนการจัดกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมตาม฽ผน รํวมสรุป฽ละประ฼มินผลการจัดกิจกรรม รํวมกันรายงานผล พร๎อมท้ังประชาสัมพันธ์฽ละ฼ผย฽พรํผลการจัดกิจกรรม ทั้งนี้ ผู๎฼รียนสามารถ฼ลือกจัดกิจกรรมหรือ฼ข๎ารํวมกิจกรรม เด๎ ดังน้ี ๑. กจิ กรรมภายในโรงเรียน ฼ป็นกิจกรรม฿นวิถีชีวิต฾รง฼รียน฼พ่ือปลูกฝังจิตอาสา฾ดยผ๎ู฼รียน ฽ละครูท่ีปรึกษากิจกรรม รํวมกันวาง฽ผนปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสา฿นชั้น฼รียน ฽ละ฾รง฼รียนจน฼กิด฼ป็นนิสัย฿นการสมัคร฿จ ทางานตํางๆ ฼พ่ือ ประ฾ยชนข์ องสวํ นรวม ซ่งึ งาน฼หลํานจี้ ะขยายขอบ฼ขตจาก฿กล๎ตวั เปสูสํ ังคมภายนอกเด๎ ตวั อยํางกิจกรรม/฾ครงการ ภาย฿น฾รง฼รยี น เด฽๎ กํ ฾ครงการคนดีศรีปริยัติ ฾ครงการจิตอาสา พฒั นาวัด ฾รง฼รยี น ฾ครงการ฼พอ่ื นชํวย฼พื่อน ฾ครงการคํายพทุ ธบุตร ฼ปน็ ตน๎ ๒. กจิ กรรมภายนอกโรงเรียน ฼ป็นกจิ กรรมอาสาสมัคร฼พื่อสังคม ฼ป็นกิจกรรมท่ีผู๎฼รียนเด๎รับการสนับสนุนตาม฽ผนการจัด กิจกรรม฾ดย฿หท๎ ากิจกรรมดว๎ ยความสมัคร฿จที่฼ป็นประ฾ยชน์฽กชํ ุมชน฽ละสังคม฾ดยรวม ตัวอยาํ ง฾ครงการ/กจิ กรรมนอก฾รง฼รยี น เด฽๎ กํ คาํ ยปฏบิ ัตธิ รรม ฾ครงการพุทธบุตร฼พ่ือสังคม สาม฼ณรอาสาพฒั นาชมุ ชน ฾ครงการรกั ษ์ทรพั ยากรชมุ ชน ฼ปน็ ต๎น แนวการจัดกิจกรรม ๑. จัดกิจกรรมในลกั ษณะบูรณาการใน ๘ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ฾ดยผู๎฼รียนสามารถจัดกิจกรรม ตามองคค์ วามรท๎ู ่เี ดจ๎ ากการ฼รียนรข๎ู อง฽ตลํ ะกลมุํ สาระการ฼รยี นร๎ตู ามความ฼หมาะสม

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๖ ๒. จัดกจิ กรรมลกั ษณะโครงการ/โครงงาน/กิจกรรม หมายถึงกิจกรรมท่ีผ๎ู฼รียนนา฼สนอการจัด กิจกรรมตํอ฾รง฼รียน ฼พื่อขอความ฼ห็นชอบ฿นการจัด฾ครงการ ฾ครงงาน หรือกิจกรรมซ่ึงมีระยะ฼วลา฼ร่ิมต๎น฽ละ ส้นิ สดุ ที่ชดั ฼จน ๓. จัดกิจกรรมร่วมกับองค์กรอื่น หมายถึงกิจกรรมที่ผ๎ู฼รียนอาสาสมัคร฼ข๎ารํวมกิจกรรมกับ หนํวยงานหรือองค์กรอื่นๆ ท่ีจัดกิจกรรม฿นลักษณะ฼พื่อสังคม฽ละสาธารณะประ฾ยชน์฾ดยผู๎฼รียนสามารถ฼ลือก฼ข๎า รํวมกิจกรรมท่ีหนํวยงานอื่น฼ข๎ามาจัด฿น฾รง฼รียน หรือรํวมกับหนํวยงานอื่นที่จัดกิจกรรมนอก฾รง฼รียน ตัวอยําง กจิ กรรม/฾ครงการ ฼ชนํ ฾ครงการสนั ตสิ ขุ ชุมชน, ฾ครงการรณรงคต์ า๎ นยา฼สพติด ฽ผนที่คนดีศรีชุมชน รักษ์ทรัพยากร ฽ละสิ่ง฽วดล๎อม ฼ป็นตน๎ การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน (สานักวิชาการ฽ละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒ : ฽นวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนตามหลักสูตร ฽กนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) ฾รง฼รยี นควรกาหนด฽นวทางทชี่ ัด฼จน฿นการประ฼มินกิจกรรมพฒั นาผ฼ู๎ รยี น ๒ ประการ คอื การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียนรายกจิ กรรม และการประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อการตัดสนิ ดังน้ี ๑. การประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นรายกจิ กรรม การประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียนรายกิจกรรม เด๎฽กํ กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน ฽ละ กิจกรรม฼พือ่ สงั คม฽ละสาธารณประ฾ยน์ ม฽ี นวปฏบิ ตั ิ ดังน้ี ๑.๑ ตรวจสอบ฼วลา฼ข๎ารวํ มกิจกรรมของผ฼๎ู รียน฿ห๎฼ปน็ เปตาม฼กณฑ์ท่ี฾รง฼รียนกาหนด ๑.๒ ประ฼มนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรม ผลงาน/ชิน้ งาน คุณลกั ษณะของผ๎ู฼รียน ตาม฼กณฑ์ท่ี฾รง฼รียนกาหนด ด๎วยวิธีการทหี่ ลากหลาย ฼นน๎ การมีสวํ นรํวมของผ฼ู๎ กยี่ วขอ๎ ง฿นการปฏิบตั ิกจิ กรรม ๑.๓ การ”ผา่ น”การประ฼มนิ หมายถงึ ผ๎ู฼รยี นม฼ี วลาการ฼ขา๎ รํวมกิจกรรมครบตาม฼กณฑ์ ปฏิบตั กิ ิจกรรม ฽ละมีผลงาน/ช้ินงาน/ คุณลักษณะตาม฼กณฑ์ท่ี฾รง฼รียนกาหนด ฼มื่อผ๎ู฼รียนผํานการประ฼มิน฿ห๎นา ผลการประ฼มินเปบันทกึ ฿นระ฼บียน฽สดงผลการ฼รยี น ๑.๔ การ “ไม่ผ่าน” การประ฼มิน หมายถึง ผ๎ู฼รียนมี฼วลา฼ข๎ารํวมกิจกรรมเมํครบตาม฼กณฑ์เมํผําน การปฏบิ ตั ิกจิ กรรม หรอื มผี ลงาน/ช้นิ งาน/คณุ ลกั ษณะ เม฼ํ ป็นเปตาม฼กณฑท์ ี่฾รง฼รยี นกาหนด ๒. การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนเพ่ือการตดั สิน การประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียน฼พื่อตัดสิน฼ล่ือนช้ัน฽ละจบระดับการศึกษา ฼ป็นการประ฼มินการ ผํานกจิ กรรมดงั กลําว฼ป็นรายภาค฼รียน ฼พื่อสรุปผลการผําน฿น฽ตํละกจิ กรรม สรปุ ผลรวม ฼พอ่ื การ฼ลือ่ นชั้น฽ละประมวลผลรวม฿นปีสดุ ทา๎ ย฼พ่อื การจบการศกึ ษา฽ตํละระดบั มี฽นวการปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๒.๑ กาหนดผ๎ูรับผดิ ชอบ฿นการรวบรวมข๎อมูล฼ก่ยี วกบั การรวํ มกจิ กรรมพฒั นาผ๎ู฼รยี นของผู๎฼รียนทุกรูป ตลอดระดบั การศกึ ษา ๒.๒ ผรู๎ บั ผดิ ชอบสรปุ ฽ละตัดสนิ ผลการรํวมกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียนของผู๎฼รียน฼ป็นรายรูป ตาม฼กณฑ์ท่ี ฾รง฼รียนกาหนด

หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๗ ๒.๓ ฼กณฑ์การตัดสนิ ผลการประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผ฼๎ู รียน ฼พือ่ ฼ลื่อนช้นั ฼รียน “ผําน” หมายถึง ผ๎ู฼รียนมีผลการประ฼มินระดับ “ผําน” ฿นกิจกรรมทั้ง ๓ กิจกรรม เด๎฽กํ กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนกั ฼รยี น ฽ละกิจกรรม฼พือ่ สงั คม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ “เมํผาํ น” หมายถงึ ผ๎฼ู รียนมผี ลการประ฼มินระดบั “เมผํ าํ น” ฿นกิจกรรม฿ดกจิ กรรมหน่ึงจาก ๓ กจิ กรรม คอื กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน กจิ กรรม฼พื่อสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ๒.๔ ฼กณฑ์การตดั สินผลการประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผ๎฼ู รยี น฼พ่ือจบระดบั การศึกษา “ผาํ น” หมายถงึ ผู฼๎ รยี นมผี ลการประ฼มนิ ระดับ “ผําน” ทกุ ชน้ั ป฿ี นระดับการศึกษานน้ั “เมผํ าํ น” หมายถึง ผู฼๎ รียนมีผลการประ฼มินระดบั “เมํผาํ น” บางชนั้ ป฿ี นระดับการศึกษานน้ั ๒.๕ ผู๎รับผิดชอบ฼สนอผลการประ฼มินตํอคณะอนุกรรมการกลํุมสาระการ฼รียนร๎ู฽ละกิจกรรมพัฒนา ผู๎฼รียน ฼พื่อ฿ห๎ความ฼หน็ ชอบ ๒.๖ ผู๎รับผิดชอบ฼สนอผ๎ูบริหาร฾รง฼รียน฼พื่ออนุมัติผลการประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนผําน฼กณฑ์ การจบการศกึ ษา฽ตลํ ะระดบั แนวทางการแก้ไขผูเ้ รยี นกรณไี ม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ กรณที ีผ่ ู๎฼รียนมีผลการประ฼มินกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รยี น฿นระดับ “เมํผําน” ฼ป็นหน๎าที่ของครูหรือผ๎ูรับผิดชอบ กิจกรรมตํางๆ ต๎องสอนซํอม฼สริม ฾ดย฿ห๎ผู๎฼รียนดา฼นินกิจกรรมครบ฼วลาท่ีขาด หรือปฏิบัติกิจกรรม฿ห๎บรรลุ วัตถุประสงค์ของกิจกรรมนั้น ฽ล๎วจึงประ฼มิน฿ห๎ผํานกิจกรรม ฼พ่ือบันทึก฿นระ฼บียน฽สดงผลการ฼รียน ทั้งนี้ ควร ดา฼นนิ การ฿ห๎฼สรจ็ สน้ิ ภาย฿นปกี ารศึกษานั้นๆ ยก฼วน๎ ม฼ี หตสุ ดุ วิสัย ฿หอ๎ ย฿ูํ นดลุ ยพินิจของผบ๎ู ริหาร฾รง฼รียน แนวทางในการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น การประ฼มนิ การ฼ขา๎ รํวม฽ละปฏิบัติกจิ กรรมพัฒนาผ๎฼ู รยี นน้นั จะตอ๎ งคานงึ ถึงส่งิ ตอํ เปน้ี (๑) ผู฼๎ รียนม฼ี วลาการ฼ขา๎ รํวมกิจกรรมตาม฼กณฑ์ท฾ี่ รง฼รียนกาหนด ฾ดย฾รง฼รียนควรกาหนด฼วลาเมํน๎อย กวําร๎อยละ ๘๐ ของ฼วลา฼รียน฽ตํละกิจกรรม สาหรับกิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ผู๎฼รียนต๎องปฏิบัติ กิจกรรมครบตาม฾ครงสร๎าง฼วลา฼รยี น (๒) ผ฼ู๎ รยี นมีผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ฽ละมีผลงาน/ชิน้ งาน/คุณลักษณะ ตาม฼กณฑ์ท่ี฾รง฼รียนกาหนด ฾ดย อาจจัด฿หผ๎ ู๎฼รียน฽สดงผลงาน ฽ฟูมสะสมงาน หรือจัดนิทรรศการ (๓) หาก฾รง฼รียนมีบุคลากรเมํ฼พียงพอหรือเมํสามารถจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนเด๎อยํางหลากหลาย ฾รง฼รียนอาจจัดกิจกรรม฿นลักษณะบูรณาการ฿นกิจกรรมหรือ฾ครงการตํางๆ ฼ชํน กิจกรรมวันสาคัญ กิจกรรม สาม฼ณรสัมพันธ์ กิจกรรมบา฼พ็ญประ฾ยชน์ ฼ป็นต๎น ซ่ึง฾รง฼รียนสามารถประ฼มินผลการ฼ข๎ารํวมกิจกรรมดังกลําว ฽ละนาเป฿ช๎฼ป็นสํวนหนึง่ ฿นการประ฼มินกจิ กรรมพฒั นาผ฼๎ู รยี นเด๎ (๔) การจัดกจิ กรรมพฒั นาผ๎ู฼รยี น ควรมีองคป์ ระกอบ฿นการดา฼นนิ การ ดงั นี้ ๔.๑ มคี รูท่ปี รึกษากิจกรรม ฽ละมี฽ผนการดา฼นินกิจกรรม ๔.๒ มหี ลักฐาน ชิ้นงาน หรือ฽ฟูมสะสมงาน ๔.๓ มีผู๎รับรองผลการ฼ข๎ารวํ มกิจกรรม

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๘ ๔.๔ มรี ายงาน฽สดงการ฼ขา๎ รวํ มกิจกรรม บทบาทของบคุ ลากรท่เี กีย่ วขอ้ ง การดา฼นินการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู฼๎ รยี น จา฼ป็นต๎องอาศัยความรํวมมอื จากบุคลากรหลายฝุาย ทั้งบุคลากร ภาย฿น฾รง฼รยี น ฽ละบุคลากรภายนอก฾รง฼รยี น ดังนนั้ ฼พอื่ ฿ห๎การจัดกจิ กรรมพฒั นาผ฼ู๎ รยี น มีประสิทธิภาพ฾รง฼รียน ควรกาหนดบทบาทหนา๎ ท่ขี องผ๎มู สี ํวน฼ก่ียวข๎อง฿หช๎ ัด฼จน ฾ดยม฽ี นวปฏบิ ัติ ดังนี้ บทบาทของผบู้ ริหารโรงเรียน ๑) กาหนด฽ผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนเว๎฿นหลักสูตรสถานศึกษา ฾ดยการมีสํวนรํวมของผู๎฼กี่ยวข๎อง หลายฝาุ ย ๒) ช฽ี้ จงทาความ฼ข๎า฿จ฽ละสร๎างความตระหนกั ฿ห๎บุคลากร฽ละผ๎ูมีสํวน฼กี่ยวข๎องทุกคน ทุกรูป ฼ห็นคุณคํา ฽ละรวํ มมอื ฿นการจดั กจิ กรรมพฒั นาผู๎฼รียน ๓) พฒั นา฽ละสงํ ฼สริม สนบั สนุน฿ห๎ครูมคี วามร๎ู ความสามารถ ความ฼ชี่ยวชาญ ฽ละมีความทันสมัย฿นการ จดั กิจกรรมพฒั นาผ฼ู๎ รยี นท่หี ลากหลาย สอดคล๎องกบั ความต๎องการของผู๎฼รียน฽ละสถานการณ์ปัจจุบันอยํางตํอ฼น่ือง ฽ละมีประสทิ ธิภาพ ๔) สร๎าง฼ครอื ขําย฽ละประสานความรํวมมือ฽ละความ฼ข๎า฿จอันดีระหวําง฾รง฼รียนกับผู๎฼รียนชุมชน บุคคล ฽ละหนวํ ยงานทั้งภาครฐั ฽ละ฼อกชน ฼พ่ือสนบั สนนุ การจดั กจิ กรรม ๕) นิ฼ทศ ติดตาม ฿ห๎คาปรึกษา ประ฼มินผล ฽ละสร๎างขวัญ กาลัง฿จ฽กํผู๎ปฏิบัติงาน฿นการจัดกิจกรรม พฒั นาผ฼๎ู รยี น ๖) ฽ลก฼ปลีย่ น฼รียนร๎ู฽ละ฼ผย฽พรผํ ลงานท่ีประสบผลสา฼ร็จกับหนํวยงาน฽ละบุคลากรที่฼กี่ยวข๎อง บทบาทของครแู ละผรู้ บั ผิดชอบจดั กจิ กรรม ๑) ศึกษาหลักการ วัตถุประสงค์ ขอบขําย ฽นวการจัดกิจกรรม การประ฼มินผล ฽ละจัดกิจกรรมพัฒนา ผ฼ู๎ รียน฿หบ๎ รรลุ฼ปูาหมาย ๒) ช้฽ี จง ทาความ฼ข๎า฿จกับผ๎฼ู รยี น฽ละผปู๎ กครอง฼กยี่ วกบั การจดั กิจกรรมพัฒนาผ฼๎ู รยี น ๓) รํวมกับผู฼๎ รยี นออก฽บบกิจกรรม฿ห๎สอดคล๎องกับความสามารถ ความถนัด ความสน฿จของผู๎฼รียน ฽ละ ฼ปน็ เปตามหลักการ ปรชั ญา ฽ละ฽นวการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู฼๎ รียน ๔) สงํ ฼สริม กระตุ๎น ฽ละอานวยความสะดวก฿หผ๎ ู฼๎ รยี น฽สดงความคิด฼ห็นอยํางอิสระ฿นการจัดทา฽ผนงาน ฾ครงการ รวํ มปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ฽ละการประ฼มินผล ๕) ฿ห๎คาปรึกษา ดู฽ล ติดตาม ประสานงาน ฽ละอานวยความสะดวก฿ห๎฽กํผู๎฼รียน฿นการรํวมกิจกรรม฿ห๎ ฼ปน็ เปตาม฽ผน ๖) ประ฼มินผลการ฼ข๎ารํวมกิจกรรมของผู๎฼รียน ฽ละซํอม฼สริมกรณีท่ีผ๎ู฼รียนเมํผําน฼กณฑ์ พร๎อมจัดทา ฼อกสารหลกั ฐานการประ฼มินผล

หลกั สูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓๙ ๗) รายงานผลการดา฼นินกิจกรรม฿ห๎ผู๎฼กี่ยวข๎องทราบ ฽ล๎วนาผลการจัดกิจกรรมเปพัฒนา฽ละปรับปรุง ฽ก๎เข ๘) ฽ลก฼ปลย่ี น฼รียนร๎฽ู ละ฼ผย฽พรผํ ลงานทปี่ ระสบผลสา฼ร็จกับหนวํ ยงาน฽ละบุคลากรท่ี฼฼กี่ยวข๎อง บทบาทของผู้เรยี น ผ๎ูบริหาร฾รง฼รียน ครู฽ละผ๎ู฼ก่ียวข๎องต๎องชี้฽จง ทาความ฼ข๎า฿จ฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎รับทราบบทบาทหน๎าที่ของตน ดงั นี้ ๑) ศกึ ษาข๎อมลู วิ฼คราะหต์ น฼อง ฽ละ฼ข๎ารวํ มกิจกรรมตามความสน฿จ ความถนัด ฽ละความสามารถ หรือ ตามขอ๎ ฼สนอ฽นะของสถานศึกษา ๒) ฼ข๎ารับการปฐมนิ฼ทศจากครผู ู๎รับผดิ ชอบกิจกรรม ๓) รวํ มประชุม฼ลอื กตงั้ คณะกรรมการฝุายตํางๆ ตามลักษณะของกิจกรรม ๔) รวํ มประชมุ จัดทา฽ผนงาน ฾ครงการ ปฎทิ ินงาน ฽ละปฏบิ ตั ิกิจกรรม ด๎วยความ฼อา฿จ฿สอํ ยาํ งสมา่ ฼สมอ ๕) รํวมประ฼มินการปฏิบัติกิจกรรม฽ละนาผลมาพัฒนาตน฼อง฽ละนา฼สนอผลการปฏิบัติกิจกรรมตํอครู ผ๎รู บั ผิดชอบ ๖) ฽ลก฼ปลี่ยน฼รียนร๎ู ถอดประสบการณ์ ทบทวน ฽ละสะท๎อนความร๎ูสึกภายหลังการปฏิบัติกิจกรรม รวมทงั้ สร๎าง฼ครอื ขาํ ยจดิ อาสา฽ละขยายผล฼พ่ือความยั่งยนื ตํอเป บทบาทของคณะกรรมการสถานศกึ ษา ๑) ฿ห๎ความ฼ห็นชอบ฽ละมีสํวนรํวม฿นการกาหนดวาง฽ผนดา฼นินกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียน฿นหลักสูตร สถานศกึ ษา ๒) สํง฼สริม สนับสนุนการดา฼นนิ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผ๎ู฼รยี นตามความ฼หมาะสม บทบาทของชมุ ชน บุคคลภายนอก หนว่ ยงานภาครัฐและเอกชน ๑) มีสวํ นรํวม฿นการวาง฽ผนการจัดกจิ กรรม ฽ละอาสารํวมกิจกรรมตํางๆ ของ฾รง฼รียน฽ละชมุ ชน ๒) ยอมรบั ฿นศักยภาพของผ๎ู฼รียน ฿ห๎฾อกาสผ๎ู฼รียนเด๎สารวจตน฼อง฼พ่ือประกอบการตัดสิน฿จ฿นการ฼ลือก ฽ผนการ฼รียน การศึกษาตํอ ฽ละการปฏิบัติศาสนกิจ หรือการประกอบอาชีพ฿นอนาคตหากผ๎ู฼รียนประสงค์จะลา สิกขา ๓) ดู฽ล ฼อา฿จ฿สํผ฼ู๎ รยี น ฽ละ฿หข๎ ๎อมูลท่฼ี ปน็ ประ฾ยชน์ตอํ การพัฒนา ปูองกัน ฽ละ฽ก๎เขปญั หาของผู๎฼รียน ๔) ฼ป็นท่ีปรึกษาหรอื ฽นะ฽นวทางการดา฼นินชวี ิตทด่ี งี าม฿ห฽๎ กผํ ู฼๎ รียน ๕) รวํ มมือกบั ฾รง฼รียน฼พอ่ื ติดตามประ฼มนิ ผลการพัฒนา฽ละการปฏบิ ัติกิจกรรมของผ฼๎ู รียน

หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๐ ระดับการศึกษาและการจัดเวลาเรยี น ระดบั การศึกษา การจดั หลกั สตู ร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละตามหลกั สูตร฽กนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ จดั การศกึ ษาออก฼ปน็ ๒ ระดับ ดงั นี้ ๑. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ – ๓) ฼ป็นชํวงสุดท๎ายของการศึกษาภาคบังคับ มํุง฼น๎น฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎สารวจความถนัด฽ละความสน฿จของ ตน฼อง สงํ ฼สริมการพฒั นาบุคลิกภาพสํวนตน มีทักษะ฿นการคิดวิจารณญาณ คดิ สร๎างสรรค์ ฽ละคิด฽ก๎ปัญหา มีทักษะ ฿นการดา฼นินชีวิต มีทกั ษะการ฿ช฼๎ ทค฾น฾ลย฼ี พือ่ ฼ปน็ ฼ครื่องมือ฿นการ฼รียนร๎ู มีความรับผิดชอบตํอสังคม มีความสมดุล ทั้งด๎านความร๎ู ความคิด ความดีงาม ฽ละมีความภูมิ฿จ฿นความ฼ป็นเทย มีความรู้ ทักษะ และกระบวนการด้าน พระธรรม พุทธประวัติ วินัย ศาสนพิธี และมีทักษะการอ่าน เขียน แปลภาษาบาลีถูกต้องตามหลักการแปล ตลอดจนใช้เป็นพ้นื ฐานในการปฏิบัตศิ าสนกิจหรือการศกึ ษาตอ่ ๒. ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔ – ๖) การศึกษาระดับนี้฼น๎นการ฼พิ่มพูนความร๎ู฽ละทักษะ฼ฉพาะด๎าน สนองตอบความสามารถความถนัด ฽ละความสน฿จของผ๎ู฼รียน฽ตํละคนท้ังด๎านวิชาการ฽ละการปฏิบัติศาสนกิจ มีทักษะ฿นการ฿ช๎วิทยาการ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ทักษะกระบวนการคิดข้ันสูง สามารถนาความรู๎เปประยุกต์฿ช๎฿ห๎฼กิดประ฾ยชน์฿นการศึกษาตํอ฽ละการปฏิบัติศาสนกิจ มุํงพฒั นาตน฽ละประ฼ทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นาชมุ ชนดา้ นศาสนพธิ ีมีจติ สานึกในการใช้หลักศาสนธรรม และศาสนพธิ ี เพอื่ สง่ เสริมความสงบสุขในสงั คม และสามารถเป็นผ้นู าชุมชนในการนาหลักศาสนธรรม ศาสนพิธี ไปใช้ ในการแก้ปัญหาสังคม การจัดเวลาเรยี น หลักสูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดกรอบ฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียนพื้นฐาน สาหรับกลํุมสาระการ฼รียนรู๎ ๘ กลํุม กิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียน ฽ละรายวิชา฼พิ่ม฼ติมตามความพร๎อม฽ละจุด฼น๎นของ ฾รง฼รียนพระปริยตั ิธรรม ฽ผนกสามญั ศกึ ษา ดงั น้ี ๑. ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๑ – ๓) กาหนด฼วลา฼รียน ปีละ ๑,๒๐๐ ช่ัว฾มง ฽บํง฼ป็น฼วลา฼รียน฿นกลํุมสาระการ฼รียนรู๎ ๘ กลุํม ปีละ ๘๘๐ ช่ัว฾มง ฼ป็น฼วลา฼รียน฿นรายวิชา฼พ่ิม฼ติมตามความพร๎อม฽ละจุด฼น๎นของ฾รง฼รียน ปีละ ๒๐๐ ชั่ว฾มง ฽ละจัด฼วลา สาหรบั การปฏิบตั ิกจิ กรรมพัฒนาผ฼๎ู รียน อีก ปีละ ๑๒๐ ชั่ว฾มง ๒. ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖) กาหนด฼วลา฼รียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖ รวม ๓ ปี เมํน๎อยกวํา ๓,๖๐๐ ชั่ว฾มง ฽บํง฼ป็น฼วลา ฼รียน฿นกลํมุ สาระการ฼รยี นร๎ู ๘ กลุมํ รวม ๓ ปี เมํน๎อยกวํา ๑,๖๔๐ ชั่ว฾มง ฼วลา฼รียน฿นรายวิชา฼พิ่ม฼ติม รวม ๓ ปี เมํ น๎อยกวาํ ๑,๖๐๐ ชัว่ ฾มง ฽ละจดั ฼วลาสาหรับการปฏบิ ตั ิกิจกรรมพฒั นาผ฼๎ู รยี น รวม ๓ ปี จานวน ๓๖๐ ชัว่ ฾มง

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๑ โครงสร้างเวลาเรยี น โครงสร้างเวลาเรียนหลกั สูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ สาหรับโรงเรยี นพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดังนี้ เวลาเรียน กลุม่ สาระการเรียนร้/ู กจิ กรรม ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ มัธยมศึกษาปที ่ี ๔-๖ ชัว่ โมง หนว่ ยกิต ชัว่ โมง หนว่ ยกิต ชว่ั โมง หนว่ ยกิต ชว่ั โมง หนว่ ยกิต สาระการเรียนรู้ (พ้นื ฐาน) ภาษาเทย ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ คณิตศาสตร์ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ วิทยาศาสตร์ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ สังคมศกึ ษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ๑๖๐ ๔ ๑๖๐ ๔ ๑๖๐ ๔ ๓๒๐ ๘ - ประวตั ศิ าสตร์ (๔๐) (๑) (๔๐) (๑) (๔๐) (๑) (๘๐) (๒) - ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม - หน๎าทีพ่ ล฼มอื ง (๑๒๐) (๓) (๑๒๐) (๓) (๑๒๐) (๓) (๒๔๐) (๖) - ฼ศรษฐศาสตร์ - ภมู ศิ าสตร์ สุขศกึ ษา฽ละพลศกึ ษา ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ ศลิ ปะ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๘๐ ๒ ๑๒๐ ๓ ภาษาตาํ งประ฼ทศ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๒๔๐ ๖ รวมเวลาเรียน ๘๘๐ ๒๒ ๘๘๐ ๒๒ ๘๘๐ ๒๒ ๑,๖๔๐ ๔๑ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ภาษาบาลี ๒๐๐ ๕ ๒๐๐ ๕ ๒๐๐ ๕ ๖๐๐ ๑๕ พระพทุ ธศาสนา ๒๔๐ ๖ ๒๔๐ ๖ ๒๔๐ ๖ ๗๒๐ ๑๘ - ธรรม, กระท๎ู (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) - พุทธประวตั ,ิ ศาสนพธิ ี (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) - วนิ ยั , พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๘๐) (๒) (๒๔๐) (๖) หนา๎ ท่ีพล฼มอื ง ๔๐ ๑ ๔๐ ๑ ๔๐ ๑ ๘๐ ๒ สาระ฼พม่ิ ฼ตมิ ทีส่ ถานศกึ ษากาหนด เมํนอ๎ ยกวํา ๒๐๐ ชม./ เมํน๎อยกวาํ ๒๐๐ ชม./ เมํน๎อยกวาํ ๒๐๐ ชม./ เมนํ ๎อยกวํา ๑,๖๐๐ ปี ปี ปี ชม./๓ ปี รวมเวลาเรียน ๔๘๐ ๑๒ ๔๘๐ ๑๒ ๔๘๐ ๑๒ ๑,๔๐๐ ๓๕ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น กจิ กรรม฽นะ฽นว กจิ กรรมนกั ฼รียน - กจิ ของสงฆ์ - ชมุ นุม ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๓๖๐ ๙ - อนื่ ๆ (ตามความ฼หมาะสม) กิจกรรม฼พอื่ สง฼คราะห์฽ละ สาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๑๒๐ ๓ ๓๖๐ ๙ รวมเวลาเรียน ๑,๔๘๐ ๓๗ ๑,๔๘๐ ๓๗ ๑,๔๘๐ ๓๗ ๓,๔๐๐ ๘๕ ไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ชม./ปี ไมน่ ้อยกว่า ๓,๖๐๐ ชม./๓ ปี หมายเหตุ : ปรบั แก้โครงสรา้ งเวลาเรยี นให้สอดคลอ้ งกับหลกั สตู รการศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหลักสตู ร แกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑

หลกั สูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๒ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๑๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๑๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๑๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๑๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๑๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๑๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๑๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๑๑๐๑ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๑๑๐๒ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๑๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๑๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๑๑๐๑ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๑๑๐๒ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๑๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพิ่มเติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๑๒๐๑ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๒๑๒๐๒ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๑๒๑๑ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๑๒ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๒๑ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๒๒ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๓๑ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๑๒๓๒ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๑๒๐๑ หนา๎ ท่พี ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๑๒๐๒ หน๎าทพี่ ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ สาระ฼พิ่ม฼ติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระ฼พมิ่ ฼ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน กิจกรรมนกั ฼รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชุมนมุ - อ่ืนๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อนื่ ๆ (ตามความ฼หมาะสม) กิจกรรม฼พื่อสงั คมสาธารณประ฾ยชน์ กิจกรรม฼พือ่ สงั คมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐

หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๓ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกิต ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๒๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๒๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๒๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๒๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๒๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๒๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๒๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๒๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๒๑๐๑ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๒๑๐๒ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๒๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๒๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๒๑๐๑ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๒๑๐๒ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๒๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๒๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๒๒๐๓ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๒๒๒๐๔ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๒๒๑๓ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๑๔ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๒๓ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๒๔ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๓๓ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๒๒๓๔ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๒๒๐๓ หนา๎ ท่พี ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๒๒๐๔ หน๎าทพี่ ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ สาระ฼พิ่ม฼ติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระ฼พมิ่ ฼ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน กิจกรรมนกั ฼รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชมุ นมุ - อ่ืนๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อื่นๆ (ตามความ฼หมาะสม) กิจกรรม฼พ่ือสงั คมสาธารณประ฾ยชน์ กิจกรรม฼พือ่ สงั คมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐

หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๔ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชัว่ โมง รายสาระการเรียนรู้/กิจกรรม หน่วยกติ ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ สาระการเรยี นรู้ (พนื้ ฐาน) ๑๑.๐ ๔๔๐ ท๒๓๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ท๒๓๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๕ ๖๐ ค๒๓๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ค๒๓๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ว๒๓๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๑ สังคมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๕ ๖๐ ส๒๓๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๒๓๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๒๓๑๐๑ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ พ๒๓๑๐๒ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๑.๐ ๔๐ ศ๒๓๑๐๑ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ศ๒๓๑๐๒ ศลิ ปะ ๑.๐ ๔๐ ง๒๓๑๐๑ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ ง๒๓๑๐๒ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๑.๐ ๔๐ อ๒๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ อ๒๓๑๐๒ ภาษาอังกฤษ ๑.๕ ๖๐ สาระการเรยี นรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๖.๐ ๒๔๐ บ๒๓๒๐๕ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๒๒๐๖ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๒๓๒๑๕ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๑๖ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๒๕ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๒๖ พทุ ธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๓๕ วินยั (๑.๐) (๔๐) - ส๒๓๒๓๖ วินัย (๑.๐) (๔๐) ส๒๓๒๐๕ หนา๎ ท่พี ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ ส๒๓๒๐๖ หน๎าทพี่ ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ สาระ฼พิ่ม฼ติมท่สี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระ฼พมิ่ ฼ติมท่สี ถานศึกษากาหนด -- กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน กิจกรรมนกั ฼รยี น - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชมุ นุม - ชมุ นมุ - อ่ืนๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อื่นๆ (ตามความ฼หมาะสม) กิจกรรม฼พ่ือสงั คมสาธารณประ฾ยชน์ กิจกรรม฼พือ่ สงั คมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรยี น ๑๘.๕ ๗๔๐ รวมเวลาเรียน ๑๘.๕ ๗๔๐

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๕ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม แผนกสามัญศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๑ เวลาเรียน มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชว่ั โมง รายสาระการเรยี นรู้/กจิ กรรม หนว่ ยกติ ชวั่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พืน้ ฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ สาระการเรยี นรู้ (พื้นฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ ท๓๑๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๑๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๑๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๑๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๑๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๓ สงั คมศึกษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๑๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๓๑๑๐๔ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๓๑๑๐๑ สุขศึกษา฽ละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๑๑๐๒ สขุ ศกึ ษา฽ละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๑๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๑๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๑๑๐๑ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๑๑๐๒ การงานอาชพี ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๑๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพมิ่ เตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพิ่มเตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ บ๓๑๒๐๑ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๑๒๐๒ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๑๒๑๑ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๑๒ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๒๑ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๒๒ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๓๑ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๑๒๓๒ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๑๒๐๑ หน๎าที่พล฼มอื ง ๐.๕ ๒๐ ส๓๑๒๐๒ หนา๎ ทพ่ี ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ สาระ฼พิม่ ฼ตมิ ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระ฼พ่ิม฼ตมิ ท่ีสถานศกึ ษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรม฽นะ฽นว กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนกั ฼รียน กจิ กรรมนัก฼รียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อืน่ ๆ (ตามความ฼หมาะสม) กจิ กรรม฼พ่ือสังคมสาธารณประ฾ยชน์ กจิ กรรม฼พื่อสังคมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๔.๕ ๕๘๐ รวมเวลาเรยี น ๑๔.๕ ๕๘๐

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๖ โครงสร้างเวลาเรยี นโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ ภาคเรียนที่ ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรียน รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกิต ชว่ั โมง รายสาระการเรยี นรู/้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชวั่ โมง สาระการเรยี นรู้ (พืน้ ฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ สาระการเรียนรู้ (พื้นฐาน) ๗.๐ ๒๘๐ ท๓๒๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๒๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๒๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๒๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๒๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๒๑๐๒ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๓ สังคมศึกษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๒๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ ส๓๒๑๐๔ ประวตั ิศาสตร์ ๐.๕ ๒๐ พ๓๒๑๐๑ สุขศึกษา฽ละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๒๑๐๒ สุขศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๒๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๒๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๒๑๐๑ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๒๑๐๒ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๒๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๒๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพมิ่ เตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ สาระการเรยี นรู้ (เพิ่มเตมิ ) ๖.๐ ๒๔๐ บ๓๒๒๐๓ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๒๒๐๔ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๒๒๑๓ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๑๔ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๒๓ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๒๔ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๓๓ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๒๒๓๔ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๒๒๐๓ หน๎าที่พล฼มอื ง ๐.๕ ๒๐ ส๓๒๒๐๔ หน๎าทพ่ี ล฼มือง ๐.๕ ๒๐ สาระ฼พิม่ ฼ตมิ ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด -- สาระ฼พ่มิ ฼ตมิ ทีส่ ถานศกึ ษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรม฽นะ฽นว กจิ กรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนกั ฼รียน กจิ กรรมนัก฼รียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อืน่ ๆ (ตามความ฼หมาะสม) กจิ กรรม฼พ่ือสังคมสาธารณประ฾ยชน์ กจิ กรรม฼พื่อสังคมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๔.๕ ๕๘๐ รวมเวลาเรยี น ๑๔.๕ ๕๘๐

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๗ โครงสร้างเวลาเรียนโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ ภาคเรียนท่ี ๑ เวลาเรยี น มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ ภาคเรียนที่ ๒ เวลาเรยี น รายสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม หนว่ ยกติ ชั่วโมง รายสาระการเรียนรู/้ กิจกรรม หน่วยกิต ชว่ั โมง สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๖.๕ ๒๖๐ สาระการเรยี นรู้ (พ้นื ฐาน) ๖.๕ ๒๖๐ ท๓๓๑๐๑ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ท๓๓๑๐๒ ภาษาเทย ๑.๐ ๔๐ ค๓๓๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ค๓๓๑๐๒ คณิตศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ว๓๓๑๐๒ วทิ ยาศาสตร์ ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๓ สังคมศกึ ษา ๑.๐ ๔๐ ส๓๓๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ -- ส๓๓๑๐๔ ประวตั ศิ าสตร์ -- พ๓๓๑๐๑ สุขศึกษา฽ละพลศกึ ษา ๐.๕ ๒๐ พ๓๓๑๐๒ สุขศึกษา฽ละพลศึกษา ๐.๕ ๒๐ ศ๓๓๑๐๑ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ศ๓๓๑๐๒ ศลิ ปะ ๐.๕ ๒๐ ง๓๓๑๐๑ การงานอาชพี ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ ง๓๓๑๐๒ การงานอาชีพ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๐.๕ ๒๐ อ๓๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษ ๑.๐ ๔๐ อ๓๓๑๐๒ ภาษาองั กฤษ ๑.๐ ๔๐ สาระการเรียนรู้ (เพม่ิ เติม) ๕.๕ ๒๒๐ สาระการเรยี นรู้ (เพมิ่ เติม) ๕.๕ ๒๒๐ บ๓๓๒๐๕ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ บ๓๓๒๐๖ ภาษาบาลี ๒.๕ ๑๐๐ พระพุทธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ พระพทุ ธศาสนา ๓.๐ ๑๒๐ - ส๓๓๒๑๕ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๑๖ ธรรม (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๒๕ พทุ ธประวัติ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๒๖ พุทธประวตั ิ (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๓๕ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) - ส๓๓๒๓๖ วนิ ยั (๑.๐) (๔๐) ส๓๓๒๐๓ หน๎าที่พล฼มือง -- ส๓๓๒๐๔ หน๎าทพ่ี ล฼มอื ง -- สาระ฼พิม่ ฼ตมิ ทส่ี ถานศึกษากาหนด -- สาระ฼พิ่ม฼ตมิ ท่ีสถานศึกษากาหนด -- กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รียน ๑.๕ ๖๐ กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรม฽นะ฽นว กิจกรรมนกั ฼รียน กิจกรรมนัก฼รียน - กจิ ของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - กิจของสงฆ์ ๑.๕ ๖๐ - ชุมนุม - ชุมนมุ - อน่ื ๆ (ตามความ฼หมาะสม) - อน่ื ๆ (ตามความ฼หมาะสม) กจิ กรรม฼พ่ือสังคมสาธารณประ฾ยชน์ กจิ กรรม฼พือ่ สงั คมสาธารณประ฾ยชน์ รวมเวลาเรียน ๑๕.๐ ๖๐๐ รวมเวลาเรียน ๑๕.๐ ๖๐๐

หลักสูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๘ คาอธบิ ายโครงสร้างเวลาเรยี น ๑. สาระการเรยี นรู้พน้ื ฐานและเวลาเรียน ฿ห๎฼ปน็ เปตามทก่ี าหนดเว฿๎ น฾ครงสรา๎ ง฼วลา฼รยี น ๒. รายวชิ าเพ่ิมเติม ตามความพร๎อม฽ละจุด฼น๎นของ฾รง฼รยี น ฽ละ฼วลา฼รียน ฿ห฾๎ รง฼รียนปฏิบัติ ดงั นี้ ๒.๑ ฾รง฼รียนต๎องจัด฿ห๎ผ๎ู฼รียนทุกรูปเด๎฼รียนร๎ูรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวํา฼วลาท่ีกาหนด฿น฾ครงสร๎าง ฼วลา฼รยี นสาหรับ฾รง฼รียนพระปริยตั ิธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา ฼พ่ือ฿ห๎ผู๎฼รียน฼ห็นคุณคํา ฽ละความสาคัญของภาษาบาลี฿น ฐานะที่฼ป็นภาษาที่จารึกหลักธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนา ฽ละสามารถถํายทอด สื่อสารธรรม ฿นรูป฽บบตํางๆ ฼พ่ือการ฼ผย฽ผํพระพทุ ธศาสนา นอกจากนย้ี ัง฼ป็นการ฼ตรยี มความพรอ๎ ม฿ห๎฽กํผ๎฼ู รยี น฿นการ฼ข๎าสอบบาลสี นามหลวง ๒.๒ ฼วลา฼รียนท่฼ี หลือ฿นรายวิชา฼พ่ิม฼ติม ฾รง฼รยี นสามารถจัด฿ห๎฼ป็น฼วลาสาหรับสาระการ฼รียนรู๎พ้ืนฐาน ฿นกลํุมสาระการ฼รียนรู๎ ๘ กลํุม หรือจัด฼วลา฼พิ่ม฼ติมอีก฿นรายวิชาธรรม พุทธประวัติ วินัย หรือภาษาบาลี ก็เด๎ ท้ังน้ี ตอ๎ งพิจารณา฿หส๎ อดคล๎องกบั ความพร๎อม จดุ ฼นน๎ ของ฾รง฼รียน ฽ละ฼กณฑ์การจบหลักสูตรที่฾รง฼รียนกาหนด อีกทั้งต๎อง สอดคล๎องตาม฼กณฑ์การจบหลักสูตรตามท่ีกาหนดเว๎฿นหลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ หลักสูตร การศึกษาพระปริยัตธิ รรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ที่กาหนดเว๎฿น฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียนน้ัน ฼ป็น฼วลาสาหรับการปฏิบัติกิจกรรม ฽นะ฽นว กิจกรรมนัก฼รียน ฽ละกิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ซ่ึง฾รง฼รียนจะต๎องจัด฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ปฏิบัติ กิจกรรมครบท้ัง ๓ ลักษณะ อยํางสม่า฼สมอ฽ละตํอ฼นื่องทุกปีจนจบการศึกษาตามหลักสูตร ฽ละผู๎฼รียนจะต๎องมี฼วลา ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียน ฾ดยรวมครบถ๎วนตามที่กาหนดเว๎฿น฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียน กลําวคือ ระดับมัธยมศึกษา ตอนต๎น (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ – ๓) ปีละ ๑๒๐ ชั่ว฾มง ฽ละระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖) รวม ๓ ปี จานวน ๓๖๐ ชวั่ ฾มง ทั้งนี้ ผ฼๎ู รยี นทกุ รูปตอ๎ งม฼ี วลาสาหรับกิจของสงฆ์ ปีละเมนํ ๎อยกวาํ ๔๐ ชั่ว฾มง ฿นสํวนของการปฏิบัติกิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์น้ัน ฾รง฼รียนต๎องจัดสรร฼วลา฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ดงั นี้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต๎น (ม.๑ – ม.๓) รวม ๓ ปี จานวน ๔๕ ชั่ว฾มง ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.๔ – ม.๖) รวม ๓ ปี จานวน ๖๐ ชั่ว฾มง ฿นกลํุมสาระการ฼รียนร๎ูสังคม ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม กาหนด฿ห๎มีสาระพระพุทธศาสนา฼ป็นการ฼ฉพาะ รวม฼ป็น ๕ สาระการ฼รียนรู๎ เด๎฽กํ สาระพระพุทธศาสนา สาระประวัติศาสตร์ สาระหน๎าท่ีพล฼มืองวัฒนธรรม฽ละการ ดา฼นินชีวติ ฿นสังคม สาระ฼ศรษฐศาสตร์ ฽ละสาระภมู ศิ าสตร์

หลกั สูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๙ โครงสรา้ งหลกั สตู รช้ันปี ฾รง฼รียนจัดทา฾ครงสรา๎ งหลกั สูตรชนั้ ปีสอดคล๎องกบั ฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียนตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฿น฾ครงสร๎างหลักสูตรช้ันปีจะต๎องกาหนดรายวิชาท่ีจัดสอน฿น฽ตํละภาค ฼รียน ซ่งึ ประกอบดว๎ ย รายวชิ าพ้ืนฐาน รายวชิ า฼พิม่ ฼ติม กิจกรรมพัฒนาผ๎฼ู รียน พร๎อมทง้ั จานวน฼วลา฼รียนหรือหนํวย กติ ของรายวชิ า฽ละกจิ กรรม฼หลาํ นน้ั กากบั เว๎ดว๎ ย ฿นการจัดทารายวิชา ฾รง฼รียนกาหนดรหัสวิชาอยําง฼ป็นระบบ ฼พื่อ฿ห๎฼กิดความสะดวก฽ละความ฼ข๎า฿จ ตรงกัน฿นการสื่อสาร พรอ๎ มทัง้ ควรตงั้ ชือ่ รายวิชา฿ห๎สะทอ๎ นสง่ิ ทส่ี อน฿นรายวิชานัน้ ๆ การจดั เวลาเรียนในโครงสร้างหลักสูตรช้ันปี ใหป้ ฏบิ ตั ิ ดังน้ี ๑. ระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ (ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ – ๓) ฿ห๎จดั ฼วลา฼รียน฼ปน็ รายภาค ควรกาหนด฼วลา฼รียนวนั ละเมํ฼กิน ๖ ชั่ว฾มง คิดน้าหนักของรายวชิ าที่ ฼ปน็ หนํวยกติ ฿ช๎฼กณฑ์ ๔๐ ชว่ั ฾มง ตอํ ภาค฼รียน มีคาํ น้าหนักวชิ า฼ทํากบั ๑ หนํวยกิต (นก.) ๒. ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖) ฿หจ๎ ัด฼วลา฼รยี น฼ปน็ รายภาค มี฼วลา฼รียนวนั ละเมํน๎อยกวํา ๖ ชั่ว฾มง คิดนา้ หนกั ของรายวชิ าท่฼ี รยี น ฼ปน็ หนํวยกิต ฿ช฼๎ กณฑ์ ๔๐ ช่วั ฾มง ตอํ ภาค฼รยี น มีคํานา้ หนักวชิ า฼ทาํ กับ ๑ หนวํ ยกิต (นก.) ประเภทรายวิชา การจดั รายวชิ า การกาหนดรหสั วิชา และการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น  ประเภทรายวชิ า รายวิชาทก่ี าหนด฿น฾ครงสรา๎ งหลกั สูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระ ปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มี ๒ ประ฼ภท เด฽๎ กํ รายวชิ าพนื้ ฐาน ฽ละ รายวิชาเพ่ิมเติม ดงั นี้ รายวชิ าพื้นฐาน : ฼ปน็ รายวชิ าท่ี฼ปดิ สอน฼พือ่ พัฒนาผู๎฼รียนตามมาตรฐานการ฼รียนรู๎/ตัวชี้วัด฽ละสาระการ ฼รียนร๎ู฽กนกลางที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา หลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฽ละตามท่ีกระทรวงศึกษาธิการเด๎ประกาศกาหนดสาหรับ฾รง฼รียนพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญ ศกึ ษา ฼ป็นการ฼ฉพาะ ซ่ึง฼ปน็ สง่ิ ท่ีผ฼๎ู รียนทุกคน/ทุกรปู ฿นระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐานต๎อง฼รียนร๎ู รายวิชาเพม่ิ เตมิ : ฼ปน็ รายวิชาที฾่ รง฼รียนสามารถ฼ปดิ สอน฼พ่ิม฼ติมจากส่ิงที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตร฽กนกลาง ฼พ่ือ฿ห๎สอดคล๎องกับจุด฼น๎นของ฾รง฼รียน฽ละท๎องถ่ิน ตอบสนองความต๎องการ฽ละความถนัดของผ๎ู฼รียน ฾ดยมีการ กาหนด “ผลการ฼รียนร๎ู” ฼ป็น฼ปูาหมาย฿นการพฒั นาผู๎฼รียน  การจัดรายวิชา มี฽นวทางการดา฼นนิ การ ดงั นี้

หลกั สูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๐ ๑) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ รายวิชาพ้ืนฐาน : ฿ห๎พจิ ารณาดา฼นินการ ดังนี้ (๑) ฾รง฼รียนสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐานตามกลํุมสาระการ฼รียนรู๎เด๎ตามความ฼หมาะสม฿น฽ตํละกลุํม สาระการ฼รยี นรูอ๎ าจจัดเด๎มากกวํา ๑ รายวชิ า ฿น฽ตลํ ะภาค/ปี (๒) ฾รง฼รยี นสามารถจัดรายวิชาพื้นฐาน฿น ๑ ภาค฼รียน฿ห๎฼รยี นครบ/เมํครบทั้ง ๘ กลุํมสาระการ ฼รยี นร๎เู ด๎ ฽ต฼ํ มือ่ จบหนงึ่ ปกี ารศึกษา฾รง฼รยี นตอ๎ งจดั ฿ห๎฼รยี นรายวชิ าพื้นฐานครบทั้ง ๘ กลุมํ สาระการ฼รยี นรู๎ (๓) กาหนด฿ห๎ ๑ รายวิชามีคําน้าหนกั เมํน๎อยกวํา ๐.๕ หนํวยกิต (๑ หนวํ ยกิต คิด฼ป็น ๔๐ ช่ัว฾มง/ภาค ฼รียน) ฼ม่ือรวมจานวนหนวํ ยกิตของรายวชิ าพ้นื ฐาน฿นกลํุมสาระการ฼รยี นรู๎฽ลว๎ ฿หส๎ อดคล๎องกบั ฾ครงสร๎าง฼วลา฼รยี นที่ กาหนดเว๎฿นหลักสูตร฾รง฼รยี น฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสตู ร฽กนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ (๔) สาหรับกลํุมสาระการ฼รียนรู๎สังคม ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ฿ห๎จัดสาระประวัติศาสตร์฼ป็นรายวิชา ฼ฉพาะภาค฼รียนละ ๑ รายวชิ า (๐.๕ หนํวยกิต) ทุกภาค฼รียน รวม ๖ รายวิชา (๓.๐ หนวํ ยกติ ) รายวิชาเพิ่มเติม : ฾รง฼รียนสามารถกาหนดรายวิชา฼พิ่ม฼ติมเด๎ตามความต๎องการ ฾ดยจัด฼ป็นรายภาค ฽ละกาหนดผลการ฼รยี นรข๎ู องรายวชิ านน้ั ๆ ดงั น้ี กลุํมสาระการ฼รียนร๎ูสังคมศึกษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ฾รง฼รียนต๎องจัดสาระพระพุทธศาสนา฼ป็น รายวิชา฼ฉพาะอีกอยํางน๎อยภาค฼รียนละ ๓ รายวิชา (รายวิชาธรรม พุทธประวัติ ฽ละวินัย) รวม฼ป็นจานวนภาค฼รียน ละ ๓ หนํวยกิต ฽ละสาระหน๎าท่ีพล฼มือง (คํานิยมหลัก ๑๒ ประการ) ฼ป็นรายวิชา฼ฉพาะอีกอยํางน๎อยภาค฼รียนละ ๑ รายวชิ า (๐.๕ หนํวยกติ ) ทุกภาค฼รยี น รวม ๖ รายวิชา (๓.๐ หนวํ ยกติ ) กลํุมสาระการ฼รียนรู๎ภาษาตํางประ฼ทศ ฾รง฼รียนต๎องจัด฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎฼รียนรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวํา ภาค฼รยี นละ ๒.๕ หนํวยกติ ทุกภาค฼รียน รวมชน้ั ปลี ะ ๕.๐ หนํวยกติ ๒) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รายวชิ าพ้ืนฐาน : ฿ห๎พจิ ารณาดา฼นินการ ดังนี้ (๑) ฾รง฼รียนสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐานตามกลุํมสาระการ฼รียนรู๎เด๎ตามความ฼หมาะสม฿น฽ตํละกลุํม สาระการ฼รียนรู๎อาจจัดเด๎มากกวํา ๑ รายวิชา ฾ดยภาย฿น ๓ ปี ต๎องครบทุกตัวช้ีวัดท่ีกาหนด฿นกลุํมสาระการ฼รียนร๎ู นนั้ ๆ (๒) กาหนด฿ห๎ ๑ รายวิชามีคําน้าหนักเมํน๎อยกวํา ๐.๕ หนํวยกิต (๑ หนํวยกิต คิด฼ป็น ๔๐ ชั่ว฾มง/ ภาค฼รียน) ฽ละ฼มื่อรวมจานวนหนํวยกิตของรายวิชาพื้นฐาน฿น฽ตํละกลํุมสาระการ฼รียนร๎ู฽ล๎ว฿ห๎สอดคล๎องกับ ฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียนท่ีกาหนดเว๎฿นหลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลกั สตู ร฽กนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ (๓) สาหรับกลุํมสาระการ฼รียนรู๎สังคมศึกษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ฿ห๎จัดรายวิชาประวัติศาสตร์฿ห๎ ครบ ๒ หนํวยกติ ภาย฿น ๓ ปี รายวิชาเพิม่ เตมิ : ฾รง฼รียนสามารถกาหนดรายวิชา฼พ่ิม฼ติมเด๎ตามความต๎องการ ฾ดยจัด฼ป็นรายภาค฽ละ กาหนดผลการ฼รียนร๎ูของรายวิชานั้นๆ ดงั น้ี

หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๑ กลุมํ สาระการ฼รียนรสู๎ งั คมศึกษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ฾รง฼รียนต๎องจัดสาระพระพุทธศาสนา (รายวิชา ธรรม พุทธประวัติ ฽ละวินัย) ฼ป็นเมํน๎อยกวํา ๑๘ หนํวยกิต ภาย฿น ๓ ปี ฽ละสาระหน๎าที่พล฼มือง (คํานิยมหลัก ๑๒ ประการ) ฿หค๎ รบ ๒ หนํวยกิต ภาย฿น ๓ ปี กลํุมสาระการ฼รยี นรูภ๎ าษาตํางประ฼ทศ ฾รง฼รียนต๎องจัด฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎฼รียนรายวิชาภาษาบาลี เมํน๎อยกวํา ๑๕ หนวํ ยกติ ภาย฿น ๓ ปี  การกาหนดรหัสวชิ า ฾รง฼รียนจะต๎องกาหนดรหัสวิชาอยําง฼ปน็ ระบบ ดงั น้ี ระบบรหัสวิชา การกาหนดรหัสวิชาควรใช้ตัวเลขฮินดูอารบิก ฼พ่ือส่ือสาร฽ละการจัดทา฼อกสารหลักฐานการศึกษา ระบบรหัสวิชา สาหรับรายวิชาพื้นฐาน฽ละรายวิชา฼พิ่ม฼ติม ตามหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบดว๎ ยตวั อักษร฽ละตัว฼ลข ๖ หลัก ดงั นี้ หลักที่ หลักที่ หลักที่ หลกั ที่ หลกั ที่ หลกั ที่ ๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ กลํมุ สาระ ระดับ ป฿ี นระดบั ประ฼ภท ลาดับของรายวิชา การ฼รยี นร๎ู การศกึ ษา การศึกษา รายวิชา ท๑ ๐๑ ๐๑ – ๙๙ ค๒ ๑๒ ว ส ๓๒ พ ศ ๓ ง ๔ ๕ ๖  ฿ช๎รหัสตวั อักษรตามรายการรหสั ตัวอักษรกลุํมสาระการ฼รยี นรภ๎ู าษาตํางประ฼ทศ หลกั ท่ี ๑ ฼ป็นรหัสตัวอกั ษร฽สดงกลํมุ สาระการ฼รยี นร๎ู คือ ท หมายถึง กลํมุ สาระการ฼รยี นรูภ๎ าษาเทย ค หมายถึง กลมุํ สาระการ฼รยี นรค๎ู ณิตศาสตร์ ว หมายถึง กลํมุ สาระการ฼รยี นรวู๎ ทิ ยาศาสตร์ ส หมายถึง กลุํมสาระการ฼รียนรู๎สังคมศึกษาศึกษา ศาสนา฽ละวัฒนธรรม

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๒ พ หมายถึง กลุํมสาระการ฼รยี นรู๎สุขศกึ ษา฽ละพลศกึ ษา ศ หมายถึง กลุํมสาระการ฼รยี นร๎ศู ิลปะ ง หมายถึง กลมํุ สาระการ฼รยี นรูก๎ ารงานอาชพี ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี  หมายถึง กลํุมสาระการ฼รียนรภ๎ู าษาตํางประ฼ทศ฿ห๎฿ชร๎ หัสของ฽ตลํ ะภาษาตามรายการ หมายเหตุ รหสั ตวั อักษรกลํุมสาระการ฼รียนร๎ูภาษาตํางประ฼ทศ ๑) รายการรหสั ตัวอักษรกลํุมสาระการ฼รยี นรู๎ภาษาตํางประ฼ทศที่จะนาเป฿ส฽ํ ทน  มีดงั น้ี ก หมายถึง ภาษา฼กาหลี ข หมายถึง ภาษา฼ขมร จ หมายถึง ภาษาจนี ซ หมายถึง ภาษารัส฼ซีย ญ หมายถึง ภาษาญีป่ ุน ต หมายถึง ภาษา฼วียดนาม น หมายถึง ภาษาลาติน บ หมายถึง ภาษาบาลี ป หมายถึง ภาษาส฼ปน ฝ หมายถึง ภาษาฝรง่ั ฼ศส ม หมายถึง ภาษามลายู ย หมายถึง ภาษา฼ยอรมัน ร หมายถึง ภาษาอาหรับ ล หมายถึง ภาษาลาว อ หมายถึง ภาษาอังกฤษ ฮ หมายถึง ภาษาฮินดู ๒) กรณที ีม่ ีสถานศกึ ษา฿ดจัดทารายวชิ าภาษาตํางประ฼ทศอ่ืนๆ นอก฼หนือจากท่ีกาหนดเว๎฿ห๎สถานศึกษา฿ช๎ รหสั ตวั อักษร “ต” ฽ทนรายวชิ าภาษาตํางประ฼ทศน้ันๆ หลักที่ ๒ ฼ป็นรหัสตัว฼ลข฽สดงระดับการศึกษา฿นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมัธยมศึกษาตอนปลาย สะท๎อนระดบั ความร๎ู฽ละทักษะ฿นรายวชิ าที่กาหนดเว๎ คอื ๑ หมายถึง รายวชิ าระดบั ประถมศึกษา ๒ หมายถึง รายวิชาระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ ๓ หมายถึง รายวชิ าระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย หลักที่ ๓ ฼ปน็ รหัสตวั ฼ลข฽สดงปีท฼่ี รียนของรายวชิ าซ่งึ สะท๎อนระดับความร๎ู฽ละทักษะ฿นรายวิชาท่ีกาหนดเว๎฿น฽ตํละปี คอื ๐หมายถึง รายวชิ าทเ่ี มํกาหนดปีท่ี฼รยี น จะ฼รยี นปี฿ดก็เด฿๎ นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑ หมายถึง รายวิชาท฼ี่ รยี น฿นปีท่ี ๑ ของระดับประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.๑ ม.๑ ฽ละ ม.๔) ๒ หมายถึง รายวชิ าท฼ี่ รยี น฿นปีท่ี ๒ ของระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ป.๒ ม.๒ ฽ละ ม.๕) ๓ หมายถึง รายวชิ าท฼ี่ รียน฿นปที ่ี ๓ ของระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ป.๓ ม.๓ ฽ละ ม.๖)

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๓ ๔ หมายถึง รายวชิ าท่฼ี รยี น฿นปีที่ ๔ ของระดับประถมศึกษา (ป.๔) ๕ หมายถึง รายวิชาท่฼ี รยี น฿นปีที่ ๕ ของระดับประถมศึกษา (ป.๕) ๖ หมายถึง รายวชิ าท฼ี่ รียน฿นปที ี่ ๖ ของระดับประถมศึกษา (ป.๖) หลักท่ี ๔ ฼ปน็ รหสั ตัว฼ลข฽สดงประ฼ภทของรายวชิ า คือ ๑ หมายถึง รายวชิ าพื้นฐาน ๒ หมายถึง รายวิชา฼พิ่ม฼ติม หลักท่ี ๕ และหลักที่ ๖ ฼ป็นรหัสตัว฼ลข฽สดงลาดับของรายวิชา฽ตํละกลํุมสาระการ฼รียนร๎ู฿นปี/ระดับการศึกษา ฼ดยี วกนั ฿นระดบั ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต๎น หรอื มัธยมศกึ ษาตอนปลาย มจี านวนตัง้ ฽ตํ ๐๑ – ๙๙ ดงั นี้ รายวิชาท่ีกาหนดปีที่เรียน ฿ห๎นับรหัสหลักท่ี ๕ – ๖ ตํอ฼น่ือง฿นปี฼ดียวกัน หากจัดรายวิชา฼ป็นรายภาค ฿หก๎ าหนด฼รียงลาดับรายวิชา฿นกลํุมสาระการ฼รียนร๎ู฼ดียวกัน฿ห๎฼สร็จสิ้น฿นภาค฼รียน฽รกกํอน ฽ล๎วจึงกาหนดตํอ฿นภาค ฼รยี นที่สอง รายวิชาทไ่ี ม่กาหนดปีทีเ่ รียน ฿ห๎นับรหัสหลักที่ ๕ – ๖ ตํอ฼นื่อง฿นระดับประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนต๎น ฽ละมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งนี้ รหัสหลักท่ี ๕ ฽ละหลักที่ ๖ ของรายวิชา฼พิ่ม฼ติม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๔ – ๖) กลุํมสาระ การ฼รียนรู๎วิทยาศาสตร์ ฽ละสาระพระพุทธศาสนา กลํุมสาระการ฼รียนร๎ูสังคมศึกษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต๎น฽ละมธั ยมศึกษาตอนปลาย ฿หก๎ าหนดรหัสวชิ า฼ปน็ ชวํ งลาดบั ดงั นี้ กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ลาดบั ท่ี ๐๑ – ๑๙ หมายถึง รายวชิ า฿นกลํมุ ฟิสิกส์ ลาดับท่ี ๒๑ – ๓๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลมุํ ฼คมี ลาดับท่ี ๔๑ – ๕๙ หมายถึง รายวชิ า฿นกลุํมชีววทิ ยา ลาดับที่ ๖๑ – ๗๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลุํม฾ลก฽ละอวกาศ ลาดบั ที่ ๘๑– ๙๙ หมายถึง รายวิชา฿นกลุํมวิทยาศาสตร์อ่ืนๆ สาระพระพุทธศาสนา (วิชาธรรม พุทธประวัติ และวินัย) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ใหก้ าหนดรหัสเป็นชว่ งลาดบั ดงั นี้ ลาดับท่ี ๑๑ – ๑๙ หมายถึง รายวชิ าธรรม รหัส ม.๑ ส๒๑๒๑๑, ส๒๑๒๑๒ ม.๒ ส๒๒๒๑๓, ส๒๒๒๑๔ ม.๓ ส๒๓๒๑๕, ส๒๓๒๑๖ รหัส ม.๔ ส๓๑๒๑๑, ส๓๑๒๑๒ ม.๕ ส๓๒๒๑๓, ส๓๒๒๑๔ ม.๖ ส๓๓๒๑๕, ส๓๓๒๑๖ ลาดับที่ ๒๑ – ๒๙ หมายถงึ รายวชิ าพุทธประวัติ

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๔ รหัส ม.๑ ส๒๑๒๒๑, ส๒๑๒๒๒ ม.๒ ส๒๒๒๒๓, ส๒๒๒๒๔ ม.๓ ส๒๓๒๒๕, ส๒๓๒๒๖ รหสั ม.๔ ส๓๑๒๒๑, ส๓๑๒๒๒ ม.๕ ส๓๒๒๒๓, ส๓๒๒๒๔ ม.๖ ส๓๓๒๒๕, ส๓๓๒๒๖ ลาดับท่ี ๓๑ – ๓๙ หมายถึง รายวิชาวินัย รหัส ม.๑ ส๒๑๒๓๑, ส๒๑๒๓๒ ม.๒ ส๒๒๒๓๓, ส๒๒๒๓๔ ม.๓ ส๒๓๒๓๕, ส๒๓๒๓๖ รหัส ม.๔ ส๓๑๒๓๑, ส๓๑๒๓๒ ม.๕ ส๓๒๒๓๓, ส๓๒๒๓๔ ม.๖ ส๓๓๒๓๕, ส๓๓๒๓๖ วิชาภาษาบาลี กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ ใหก้ าหนดรหสั ดงั น้ี รหัส ม.๑ บ๒๑๒๐๑, บ๒๑๒๐๒ ม.๒ บ๒๑๒๐๓, บ๒๑๒๐๔ ม.๓ บ๒๑๒๐๕, บ๒๑๒๐๖ รหสั ม.๔ บ๓๑๒๐๑, บ๓๑๒๐๒ ม.๕ บ๓๑๒๐๓, บ๓๑๒๐๔ ม.๖ บ๓๑๒๐๕, บ๓๑๒๐๖  การจดั กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน ฿น฾ครงสร๎างหลักสตู รของ฾รง฼รียนเด๎กาหนดกิจกรรมพฒั นาผ๎฼ู รียน ๓ ลักษณะ คอื ๑) กิจกรรม฽นะ฽นว ๒) กิจกรรมนัก฼รียน ฽ละ ๓) กิจกรรม฼พื่อสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ฾ดยพิจารณาจาก฾ครงสร๎าง฼วลา฼รียนที่ กาหนดเว๎฿นหลักสูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญ ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฼ปูาหมาย/จุด฼น๎นของท๎องถิ่น พร๎อม ทั้งพจิ ารณาความต๎องการ฽ละจดุ ฼นน๎ ของ฾รง฼รียน฼พ่ือจัด฼วลา฼รยี น฿ห฼๎ หมาะสมกับบริบทของ฾รง฼รยี น ฿นระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๓ เด๎กาหนด฿ห๎จัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียนท้ัง ๓ ลักษณะ ปีละ ๑๒๐ ชั่ว฾มง ฽ละชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖ รวมจานวน ๓๖๐ ช่วั ฾มง ท้ังนี้฿นสํวนของกิจกรรม฼พื่อสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ น้นั ฾รง฼รียนตอ๎ งจดั สรร฼วลา฿ห๎ผ฼๎ู รยี นเด๎ปฏิบตั ิกจิ กรรม ดังน้ี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ (ม.๑ – ๓) รวม ๓ ปี จานวน ๔๕ ชว่ั โมง ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.๔ – ๖) รวม ๓ ปี จานวน ๖๐ ชวั่ โมง จาก฾ครงสร๎างหลักสูตรดังกลําว ฾รง฼รียนพิจารณาจัด฽บํงจานวน฼วลาสาหรับกิจกรรมพัฒนาผ๎ู฼รียน฽ตํละ ระดับชัน้ เด๎ตามความ฼หมาะสม สาหรบั การปฏิบัติกิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์สามารถจัดบูรณาการ฿น รายวชิ าหรือกิจกรรมอื่นๆ ฾ดยจัดเด๎ทั้ง฿น฼วลา฽ละนอก฼วลา฼รียน ฽ละอาจจัด฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ทากิจกรรมดังกลําว฿นบาง ชั่ว฾มงของกิจของสงฆ์ หรือกิจกรรมชุมนุมก็เด๎ ฾ดยมีหลักฐานที่สามารถยืนยัน฼วลาท่ีผู๎฼รียนเด๎ปฏิบัติกิจกรรม ดงั กลาํ วครบถว๎ นตาม฼วลาท฾ี่ รง฼รียนกาหนด ท้งั นี้ ต๎องมกี ารประ฼มนิ การปฏบิ ัตเิ ว๎อยํางชดั ฼จน การจบหลักสูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนก สามญั ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลกั สูตร฽กนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฽ตํละระดับผ๎ู฼รียนจะต๎อง฼ข๎ารํวม กิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียน฽ตํละประ฼ภท ดังนี้ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น จัด฿หผ๎ ฼ู๎ รียน฼ข๎ารํวมกิจกรรม ดังน้ี ๑) กจิ กรรม฽นะ฽นว ๒) กจิ กรรมนัก฼รียน เด๎฽กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๕ ๒.๒ ชุมนมุ ผ฼๎ู รยี นต๎อง฼ข๎ารํวม฽ละเด๎รบั การประ฼มนิ กิจกรรมท้ัง ๒.๑ ฽ละ ๒.๒ ๓) กิจกรรม฼พ่ือสังคม฽ละสาธารณประ฾ยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย จดั ฿ห๎ผ๎฼ู รยี นเด๎฼ข๎ารํวมกิจกรรม ดังนี้ ๑) กจิ กรรม฽นะ฽นว ๒) กจิ กรรมนัก฼รียน เด฽๎ กํ ๒.๑ กิจของสงฆ์ ๒.๒ ชมุ นมุ ผ๎ู฼รยี นจะต๎อง฼ข๎ารํวม ๒.๑ ฽ละ ๒.๒ ๓) กิจกรรม฼พ่ือสงั คม฽ละสาธารณประ฾ยชน์

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๖ การจัดการเรียนรู้ การจดั การ฼รียนรู๎฼ป็นกระบวนการสาคัญ฿นการนาหลักสตู รสํูการปฏิบตั ิตามหลกั สูตรการศึกษา พระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฼ป็นหลักสูตรที่มี มาตรฐานการ฼รียนรู๎ สมรรถนะสาคัญสาคัญของผ๎ู฼รียน ฽ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ฼ป็น฼ปูาหมายสาคัญ สาหรบั พัฒนา฼ด็ก฽ละ฼ยาวชน ผู๎สอนต๎องพยายามคัดสรรกระบวนการ฼รียนร๎ู จัดการ฼รียนร๎ู฼พ่ือพัฒนาผ๎ู฼รียน฿ห๎มี คุณภาพตามมาตรฐานการ฼รียนร๎ูทั้ง ๘ กลํุมสาระการ฼รียนรู๎ รวมทั้งปลูกฝัง฼สริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะตํางๆ อัน฼ป็นสมรรถนะสาคัญท่ีต๎องการ฿ห๎฼กิด฽กํผู๎฼รียน กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑ : หลักสูตร ฽กนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ฿นสํวนของ฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา นั้น ฼พ่ือพัฒนา฿ห๎พระภิกษุสาม฼ณร฼ป็นศาสนทายาทท่ีดีมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการ฼รียนร๎ูท่ีกาหนด ครูผู๎สอน฽ละผู๎฼ก่ียวข๎องจะต๎องมีความร๎ูความ฼ข๎า฿จ฿นหลักการ ฽นวคิด ฽ละ จุด฼น๎นของการจัดการ฼รียนรู๎ตามหลักส฻ตาการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละ หลกั สูตร฽กนกลางการจัดการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฽ละต๎องศกึ ษาทาความ฼ข๎า฿จ ปจั จยั สาคัญที่฼ก่ียวข๎อง ดงั นี้ ๑. หลักการจัดการเรยี นรู้ หลักสูตรการศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม ฽ผนกสามญั ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละตามหลกั สตู ร฽กนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ เด๎กาหนดหลักการสาคัญ฿นการจัดการ฼รียนรู๎฼พื่อ฿ห๎ผู๎฼รียนมีความรู๎ ความสามารถตาม มาตรฐานการ฼รียนร๎ู สมรรถนะสาคัญ ฽ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กาหนดเว๎฿นหลักสูตร ฾ดยยึดหลักวํา ผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด ฼ช่ือวําทุกคนมีความสามารถ฼รียนรู๎฽ละพัฒนาตน฼องเด๎ ยึดประ฾ยชน์ท่ี฼กิดกับผู๎฼รียน ดงั้ น้นั ครผู ูส๎ อนจะตอ๎ งจดั กระบวนการ฼รียนร๎ทู ่สี ํง฼สริม฿ห๎ผ๎ู฼รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติ ฽ละ฼ต็มตามศักยภาพ คานึงถึงความ฽ตกตํางระหวํางบุคคล฽ละพัฒนาการทางสมอง ฼น๎น฿ห๎ความสาคัญทั้งความร๎ู฽ละคุณธรรม ฾ดยมี ฽นวการจัดกิจกรรมการ฼รียนร๎ู ดงั นี้ ๑) เน้นผ้เู รียนเป็นสาคญั ฼ป็นการจดั การ฼รียนร๎ูที่ยึดหลักวําผ๎ู฼รียนทุกรูปสามารถ฼รียนรู๎฽ละพัฒนาตน฼องเด๎ ฾ดยการ จัดวิธีการ฼รียนร๎ู฿ห๎฼หมาะสมกับความสามารถของผ๎ู฼รียน฽ตํละรูป ฿ห๎สามารถพัฒนาตน฼องเด๎ เด๎ลงมือศึกษา ค๎นคว๎า คิด฽ก๎ปัญหา ฽ละปฎิบัติงาน฼พ่ือสร๎างความรู๎เด๎ด๎วยตน฼อง มีความสุข฿นการ฼รียนร๎ู ฾ดยมีครูผ๎ูสอน฼ป็นผ๎ู สํง฼สรมิ สนบั สนนุ จัดสถานการณ฿์ ห๎฼อ้อื ตํอการ฼รียนรู๎ ๒) คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ฼ป็นการจัดการ฼รียนรู๎ที่฿ห๎ความสาคัญกับความ฽ตกตํางระหวํางบุคคล฼พ่ือวางรากฐานชีวิต ผ๎ู฼รียน฿ห๎฼จริญงอกงามอยํางสมบูรณ์ มีการพัฒนาการสมวัยอยํางสมดุล ทั้งด๎านรํางกาย อารมณ์ จิต฿จ สังคม ฽ละสตปิ ัญญา ต๎องสํง฼สรมิ ฿หผ๎ ๎ู฼รียนเด๎ค๎นพบ฽ละ฽สดงออกถึงศักยภาพของตน฼อง ดังนั้นครูผู๎สอนจึงควรมีข๎อมูล ผู๎฼รยี น฼ปน็ รายรูปสาหรบั ฿ช๎฿นการวาง฽ผนการจัดกิจกรรมการ฼รียนร๎ู ฽ละนาเปพัฒนาผ๎ู฼รียน฿ห๎฼หมาะสมกับความ ฽ตกตาํ งกนั ของผ฼๎ู รยี น

หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๗ ๓) สอดคลอ้ งกบั พัฒนาการทางสมอง ฼ปน็ การจดั กิจกรรมการ฼รียนรู๎ที่มํุง฼น๎น฿หผ๎ ฼๎ู รยี นเด๎รบั การพัฒนาเด๎อยําง฼หมาะสมกับการทา งานของสมอง ฼พ่ือ฿ห๎฼กิดการ฼รียนรู๎เด๎฼ต็มตามศักยภาพ นอกจากนี้ยังต๎องคานึงถึงพัฒนาการทางอารมณ์ของ ผ๎ู฼รียนด๎วย อันจะสํงผล฿ห๎ผู๎฼รียนมีความสน฿จ มีความต้ัง฿จ มีจินตนาการ ความคิดสร๎างสรรค์ ทางาน฽ละอยูํ รํวมกบั ผอู๎ ่นื อยํางมคี วามสขุ ฾ดย฿ช๎การพจิ ารณาจากรํางกาย ข๎อ฼ท็จจริง฽ละทักษะตํางๆ ท่ีปรากฏตามธรรมชาติ ฼ปน็ ฼ครอ่ื งมือ฿นการจัดการ฼รยี นร฿ู๎ หส๎ อดคลอ๎ งกับพฒั นาการทางสมอง฿น฽ตลํ ะชวํ งวยั ๔) เนน้ ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม ฼ปน็ การจัดกิจกรรมการ฼รยี นรูท๎ มี่ ุงํ ฼นน๎ ฿ห๎ผ฼๎ู รียนมคี ุณธรรมจริยธรรม ด๎วยการจัดการ฼รียนร๎ู ท่บี ูรณาการคณุ ธรรมจริยธรรม เด๎รับรู๎ ฼กิดการยอมรับ ฼ห็นคุณคํา ฽ละท่ีสาคัญคือมีการพัฒนาอยํางตํอ฼นื่องจน ฼ป็นลักษณะนสิ ัยทด่ี ี ๒. กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการ฼รยี นรู฼๎ ป็น฼คร่ืองมอื พัฒนาผู๎฼รียนเปสูํ฼ปูาหมายของหลักสูตร ครูผู๎สอนจะต๎องศึกษาทาความ ฼ขา๎ ฿จ฽นวคิดการจัดการ฼รียนรู๎฽ละผลท่฼ี กดิ ข้ึนกับผ฼ู๎ รยี นของกระบวนการ฼รียนร๎ู฽ตํละวิธี ฽ล๎วนาเป฿ช๎จัดการ฼รียนรู๎ ฿ห๎฼อ้ือตํอการพัฒนาผ๎ู฼รียน กระบวนการ฼รียนรู๎ท่ีจา฼ป็นสาหรับผู๎฼รียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และ แก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวจิ ัย กระบวนการเรียนรกู้ ารเรยี นรขู้ องตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนสิ ัย ฯลฯ กระบวนการ฼รียนร๎ู ๑๑ วิธีดังกลําว ฼ป็น฽นวทาง฿นการจัดการ฼รียนร๎ูที่จะทา฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎รับการฝึกฝน พัฒนาอยําง฼ต็มตามศักยภาพ ชํวย฿ห๎ผ๎ู฼รียน฼กิดการ฼รียนร๎ูตาม฼ปูาหมายของหลักสูตร ดังนั้นครูผ๎ูสอนจึงต๎อง ฼ลือก฿ช๎กระบวนการ฼รียนร๎ูที่฼หมาะสม ฾ดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมวําต๎องการ฿ห๎ผ๎ู฼รียน฼กิด การ฼รียนรู๎อะเร สามารถนาพา฿ห๎ผู๎฼รียน฼กิดสมรรถนะสาคัญ฽ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์฿ด฽ละหากนา กระบวนการ฼หลํานี้มา฿ช๎฿นการจดั กจิ กรรมการ฼รยี นรจ๎ู ะเด๎ผล฼พียง฿ด ฽นวทางการจัดการ฼รียนร๎ู฾ดย฿ช๎กระบวนการ฼รียนรู๎฽บบตํางๆ (สานักวิชาการ฽ละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒ : ฽นวทางการจดั การ฼รียนรูต๎ ามหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) ๑. กระบวนการเรียนรูแ้ บบบูรณาการ กระบวนการ฼รียนรู๎฽บบบูรณาการ คือการจัดการ฼รียนรู๎฾ดยนา฼น้ือหา สาระการ฼รียนรู๎ที่มี ความสัมพันธ์฼ชื่อม฾ยงกัน นามาจัดกิจกรรมการ฼รียนรู๎฿ห๎ผ๎ู฼รียน฼กิดความร๎ู ความ฼ข๎า฿จ฿นลักษณะท่ี฼ป็นองค์รวม ฽ละสามารถนาความรู๎ ความ฼ขา๎ ฿จเปประยุกต์฿ช฿๎ นชวี ิตประจาวนั เด๎ ฽นวทางการจัดการ฼รียนร๎ู฽บบบูรณาการ สามารถทาเด๎หลายลักษณะ ฽ตํครูผ๎ูสอนสํวนมาก มักจะคุน๎ ฼คยกบั การจัดการ฼รยี นร๎฽ู บบบรู ณาการ฾ดย฿ชก๎ ลุมํ สาระการ฼รียนรู๎฼ป็นหลกั ซ่ึง฽บํงเด๎฼ปน็ ๒ ประ฼ภท คือ ๑.๑ การบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ฼ป็นการจัดการ฼รียนรู๎ท่ี฼ชื่อม฾ยง฼น้ือหา ดา๎ นความร๎ู ทักษะ/กระบวนการ หรือคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค฿์ นกลุํมสาระการ฼รยี นรู฼๎ ดยี วกนั ฼ข๎าด๎วยกัน ฼พ่ือมุํง

หลักสูตรโรงเรียนเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๘ ศึกษา฼กี่ยวกับ฼ร่ืองราว ประ฼ด็น ปัญหา หัว฼ร่ืองหรือประสบการณ์฼รื่อง฿ด฼ร่ืองหน่ึง ฾ดยครูผู๎สอน฿นกลุํมสาระ การ฼รยี นรู๎นน้ั ๆ สามารถจดั การ฼รยี นร๎ู฾ดยเมํ฼ก่ียวข๎องกับกลํุมสาระการ฼รยี นร๎ูอืน่ ๆ ๑.๒ การบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ ฼ป็นการจัดการ฼รียนร๎ูท่ี฼ชื่อม฾ยงสาระ การ฼รียนร๎ู ทักษะ/กระบวนการ หรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตั้ง฽ตํสองกลุํมสาระการ฼รียนรู๎ข้ึนเป฼ข๎าด๎วยกัน ฼พื่อมงํุ ศกึ ษา฼กีย่ วกบั ฼รอ่ื งราวประ฼ดน็ ปัญหา หัว฼รื่องหรือประสบการณ์฼ร่ือง฿ด฼รื่องหนึ่ง ซึ่งชํวย฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎฼รียนรู๎ ฿น฼รือ่ งน้นั ๆ อยําง฼ขา๎ ฿จลึกซ้ึง฽ละชดั ฼จน฿กล๎฼คียงกับความ฼ป็นจริง฿นชีวิต ฾ดยครูผ๎ูสอนต้ัง฽ตํสองคนข้ึนเปรํวมกัน สอนหรอื ทาความตกลงกัน฽ลว๎ ฽ยกกนั สอนตามรายวิชาท่ีรบั ผดิ ชอบ  ผลท่เี กิดกับผูเ้ รียน - ผู๎฼รียนมี฾อกาสเด๎฼รียนร๎ูการ฽ก๎ปัญหา฾ดย฿ช๎ความร๎ูหลายๆ ด๎านประกอบกัน ทา฿ห๎ ฼กดิ พัฒนาการทั้งด๎านความรต๎ู ามมาตรฐานการ฼รียนร๎ู/ตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญของผ๎ู฼รียน ฽ละคุณลักษณะอันพึง ประสงค์เปพร๎อมๆ กัน ฼กิด฽รงจูง฿จ฿นการ฼รียนรู๎ ฽ละมีความคิด฽ละมุมมองที่กว๎างตระหนักถึงคุณคํา฿นการนา ความรท๎ู ี฼่ รียนเปประยุกต฿์ ช฿๎ นชีวิตจรงิ - ผู๎฼รียนเด๎รับความรู๎ ความ฼ข๎า฿จ฿นลักษณะองค์รวม สามารถ฼ช่ือม฾ยงความรู๎ ฽ละ ประสบการณ์การ฼รียนรเู๎ ดอ๎ ยาํ งมีจดุ หมาย ฽ละมีความหมาย สามารถ฽สวงหาความร๎ู ความ฼ข๎า฿จส่ิงตํางๆ ท่ีอยูํ รอบตัว สามารถทางาน฼ป็นกลํุม ฽ลก฼ปล่ียนความร๎ูซ่ึงกัน฽ละกัน สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเด๎฼ต็มตาม สามารถ฼รียนรต๎ู ลอดชวี ิต฾ดย฿ช๎ภมู ิปัญญา฽ละชมุ ชน฼ปน็ ฽หลงํ ฼รยี นร๎ู ๒. กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการสร๎างความร๎ู ฼ป็นการจัดการ฼รียนรู๎ที่฼ปิด฾อกาส฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎สร๎างความรู๎ ฽ละ ประสบการณ์ตํางๆ ท่ีมีความหมายตํอตน฼อง จากการปฏิสัมพันธ์กับส่ิง฽วดล๎อม ฾ดย฿ช๎กระบวนการคิด฽ละการ ฽สวงหาความรู๎ควบคํูเปกับการปฏิบัติจริง ฿ห๎ผ๎ู฼รียนค๎นพบความรู๎ ฽ละประสบการณ์ด๎วยตน฼อง ฾ดยมีครูผ๎ูสอน ฼ปน็ ผูจ๎ ดั ฾อกาส บรรยากาศ สงิ ฽วดล๎อม ฽ละ฽หลงํ ฼รยี นรทู๎ ี฼่ อ้ือ฿ห๎ผ๎฼ู รียน฼กิดการ฼รยี นร๎ู ครผู ส๎ู อนต๎อง฽นะนา฿ห๎ผ฼๎ู รียนรับรู๎ถึงจุดมํุงหมายของบท฼รียน฽ละ฼กิด฽รงจูง฿จ฿นการ฼รียนรู๎ กระตุ๎น฿หผ๎ ๎ู฼รยี นเด฽๎ สดงออกถงึ ความ฼รยี นร๎ู ความ฼ขา๎ ฿จ฼ดมิ ท่ีมอี ย฿ํู น฼รอ่ื งทกี่ าลังจะ฼รียนรู๎ ฽ละปรับ฼ปล่ียนความคิด ฾ดยสรา๎ งความร๎ู ดงั น้ี - สร๎างความกระจําง฽ละ฽ลก฼ปลีย่ น฼รยี นรรู๎ ะหวาํ งกนั ฽ละกัน - สรา๎ งความคดิ ฿หมํจากการอภปิ รายรํวมกนั ฽ละสาธติ ฽สดง฿ห฼๎ ห็น จนทา฿ห๎ผู๎฼รียนสามารถ กาหนดความคิด หรอื ความร๎฿ู หมํข้ึนเด๎ - การประ฼มินความคิด฿หมํ ฾ดยการทดลอง หรือ฿ช๎กระบวนการคิด คิดอยํางเตรํตรอง ลกึ ซ้งึ ฽ละประ฼มนิ คุณคํา - การนาความคิดเป฿ช๎ ผ๎ู฼รียนมี฾อกาสเด๎฿ช๎ความคิด หรือความรู๎ความ฼ข๎า฿จ฿นการ พัฒนาการ฼รียนรู๎อยํางมีความหมาย ฽ละ฿นขั้นตอนสุดท๎าย ครูผ๎ูสอนต๎องจัด฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎ทบทวนความคิด ความ ฼ข๎า฿จ ฾ดยการ฼ปรียบ฼ทยี บระหวํางความคิด฼ดิมกับความคดิ ฿หมํ  ผลที่เกิดกบั ผูเ้ รียน

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕๙ ผ๎ู฼รียนเด๎สัง฼กตสิ่งที่ตน฼องสน฿จ อยาก฼รียนรู๎ ฽ล๎วจึงศึกษาค๎นคว๎า ฽สวงหาความรู๎ ฼พ่มิ ฼ตมิ นาเป฼ช่ือม฾ยงตํอยอดกับความร๎ู฽ละประสบการณ์฼ดิมท่ีมีอยูํ ฼กิด฼ป็นความรู๎฿หมํของผ๎ู฼รียน฼อง อีกทั้งเด๎ พัฒนาทักษะกระบวนการคิด ๓. กระบวนการคิด กระบวนการคิด ฼ป็นกระบวนการทางสมอง฿นการจัดทาข๎อมูลหรือสิ่ง฼ร๎าที่รับ฼ข๎ามา฼ป็น กระบวนการทางสติปัญญา มีลักษณะ฼ป็นกระบวนการหรือวิธีการ ฿นการพัฒนา฿ห๎฼กิดกระบวนการคิด ฾ดยมี บุคคล มี฼นื้อหาหรือข๎อมูลท่ี฿ช๎฿นการคิด วิธีการพัฒนาการคิด฽ละการจัดการ฼รียนร๎ูด๎วยกระบวนการคิด ฾ดย สํง฼สริม สนับสนุน฿ห๎ผ๎ู฼รียนคิด เมํปิดกั้นความคิด ฿ห๎กาลัง฿จ ฼สริม฽รง฼มื่อผ๎ู฼รียนคิดเด๎ด๎วยตน฼อง ฿ช๎รูป฽บบ วิธีการสอนหรือ฼ทคนิคการสอนตํางๆ กระต๎ุน฿ห๎ผ๎ู฼รียน฼กิดการคิด฼ช่ือม฾ยงจากความคิด฼ดิม฿นลักษณะ฿ดลักษณะ หนึง่ เด๎฽กํ การคิดคลํอง การคิดหลากหลาย การคิดละ฼อียด การคิดชัด฼จน การคิดอยํางมี฼หตุผล การคิดถูก ทาง การคิดกว๎าง การคิดลึกซ้ึง ฽ละการคิดเกล ฽ละจัดกิจกรรม฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ฝึกทักษะการคิด ฽ละกระบวนการ คดิ ตาํ งๆ ตามความ฼หมาะสมกบั พืน้ ฐานของผู๎฼รียน  ผลท่ีเกดิ กับผู้เรียน ผ๎฼ู รยี นมกี ระบวนการทางานท฼่ี ป็นระบบ ปฏิบัติงานเด๎อยํางมีข้ันตอนมีความสามารถ฿น การพิจารณาส่ิงตํางๆ ฽ละประ฼มินคํา฾ดย฿ช๎หลัก฼กณฑ์อยํางสม฼หตุสมผล ร๎ูจักประ฼มินตน฼อง ฽ละผ๎ูอ่ืนเด๎อยําง ถูกต๎อง มีความสามารถ฿นการ฿ช๎ภาษา฿นการอําน ฼ขียน ฟัง พูดของผู๎฼รียน มีทักษะ฿นการสื่อสารกับผู๎อ่ืนเด๎ดี นอจากนี้ยังมี฾อกาสเด๎พัฒนาความสามารถ฿นการ฼รียนรู๎อยํางตํอ฼น่ืองตลอดชีวิต สามารถ฽ก๎เขปัญหา฾ดย฼ลือก ตัดสิน฿จ฿นสถานการณต์ ํางๆ ของสังคมเด๎อยําง฼ข๎ม฽ข็ง ๔. กระบวนการทางสังคม กระบวนการทางสังคม ฼ป็นกระบวนการที่มุํงสร๎างปฎิสัมพันธ์฿นการอยูํรํวมกัน฿นสังคม การทางานรวํ มกัน ความ฼ปน็ อันหนึ่งอัน฼ดียวกนั ท่กี อํ ฿ห฼๎ กิดบรรยากาศ฿นการ฼รียนร๎ทู ่ีดรี ํวมกนั  ผลท่ีเกิดกบั ผเู้ รียน ผ๎ู฼รียนจะ฼ห็นคุณคําของการทางานรํวมกัน การชํวย฼หลือซ่ึงกัน฽ละกัน ทา฿ห๎฼กิด คุณลักษณะหลายประการ ฼ชํน ความ฼อ้ือ฼ฟ้ือ฼ผ่ือ฽ผํ พ่ึงพาอาศัยซึ่งกัน฽ละกัน฿นทางที่ดี การสร๎างทีมงาน ความรบั ผดิ ชอบ ความมีวินยั มที กั ษะทางสังคม ๕. กระบวนการเผชญิ สถานการณ์ และแก้ปัญหา กระบวนการ฽ก๎ปัญหา ฼ป็นการจัดการ฼รียนร๎ูท่ีฝึก฿ห๎ผู๎฼รียน฽ก๎ปัญหา฾ดยผํานกระบวนการ คิด฽ละการปฏบิ ัติจริงอยาํ ง฼ปน็ ระบบ จากสถานการณ์หรือปัญหาทน่ี ําสน฿จ฽ละท๎าทาย  ผลที่เกดิ กับผเู้ รียน กระบวนการน้ีจะชํวยพัฒนาทักษะการคิดของผ๎ู฼รียนอยําง฼ป็นลาดับ ขั้นตอน จน฼กิด ฼ป็นกระบวนการคิดอยําง฼ป็นระบบด๎วยวิธีการท่ีหลากหลาย ท๎าทาย ฽ละกระตุ๎น฿ห๎ผ๎ู฼รียนสน฿จ ต้ัง฿จ฼รียนมาก ข้ึน พรอ๎ มกับ฼หน็ คณุ คําของการ฼รยี นร๎ู สร๎างนิสยั ฿ฝุ฼รยี นร๎ู มี฼หตผุ ล ฽ละมีความคิดริ฼ริ่มสรา๎ งสรรค์ ๖. กระบวนการเรยี นรู้จากประสบการณจ์ รงิ

หลกั สูตรโรงเรียนเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๐ กระบวนการ฼รยี นรจู๎ ากประสบการณจ์ รงิ ฼ป็นการจัดการ฼รยี นรู๎฾ดย฿ช๎ประสบการณ์ตรงท่ีทา ฿ห๎ผ฼ู๎ รยี นสามารถพัฒนาการ฼ช่อื ม฾ยงความสัมพันธร์ ะหวําง฽นวคิดกบั หลักการตํางๆ ฼ขา๎ ด๎วยกนั อยําง฼ป็นองค์รวม การ฼รยี นร๎จู ากประสบการณ์น้ัน ฿นขั้น฽รก ผู๎฼รียนจะต๎องเด๎รับการกระตุ๎น ฽นะนา฼รื่องที่จะ ฼รียน฾ดย฿ช๎ประสบการณ์หรือกิจกรรมที่กระต๎ุน฿ห๎ผู๎฼รียนคิด ฼ร๎า฿ห๎ผู๎฼รียนอยาก฼ห็น อยาก฼รียนรู๎ จากนั้น ครูผ๎ูสอนต๎องศึกษา฽นวคิด ทฤษฎี ข๎อ฼ท็จจริง ฾ดย฼ชื่อม฾ยงความอยากรู๎ อยาก฼ห็น อยาก฼รียนร๎ูของผู๎฼รียน จากประสบการณ฼์ ดิม สํูการค๎นคว๎า ฽สวงหาความร๎ู฿หมํ ตามธรรมชาติของ฽ตํละกลํุมสาระการ฼รียนร๎ู ขั้นตํอเป ฽ละผ๎ู฼รียนจะต๎องฝึกปฏิบัติด๎วยการทากิจกรรมตํางๆ ฼พ่ือ฿ห๎฼กิดทักษะความชานาญมากยิ่งขึ้น ฽ละ฿นข้ันสุดท๎าย จะต๎องมกี ารนาเป฿ช๎ หรอื ขยายผล ซ่ึง฼ป็นข้ันตอนสาคัญ฿นการนาข๎อค๎นพบจากการฝึกปฏิบัติเป฿ช๎฿นสถานการณ์ อ่ืนๆ  ผลที่เกิดกบั ผู้เรียน กระบวนการน้ีจะชํวยพัฒนาทักษะการคิดบนพ้ืนฐานของการสืบค๎นข๎อ฼ท็จจริงอยํางมี ฼หตุมีผล รูจ๎ กั หาขอ๎ มูล ทฤษฎี หลกั การมาสนบั สนนุ ส่ิงที่ค๎นพบ ๗. กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ลงมอื ทาจรงิ กระบวนการ฼รียนรู๎จากการปฏิบัติจริง ฼ปูนการ฼รียนที่มุํง฼น๎น฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎ลงมือทางานจริง ฾ดยการกาหนดภาระงาน (task) ฿ห๎ผ฼๎ู รยี นเด๎ฝกึ ปฏิบัตติ าม฾ครงสร๎างของ฽ตํละงาน  ผลท่เี กดิ กับผู้เรยี น กระบวนการ฼รียนร๎ูจากปฏิบัติจริง จะทา฿ห๎ผ๎ู฼รียนสามารถปฏิบัติงานเด๎ตามลาดับ ข้ันตอนของกระบวนการตํางๆ เด๎฽กํ กระบวนการทางาน กระบวนการตัดสิน฿จ กระบวนการ฽ก๎ปัญหา การ บวนการกลมุํ ฼ปน็ ตน๎ ทา฿หผ๎ ๎฼ู รยี น฼กดิ ทกั ษะ฿นการทางาน เด๎ชิ้นงาน/ภาระงาน฼ชิงประจักษ์ เด๎สร๎าง฽ละพัฒนา งานด๎วยวธิ กี าร฿หมํ ๆ จน฼กิดความริ฼ร่มิ สรา๎ งสรรค์ ๘. กระบวนการจดั การ กระบวนการจัดการ ฼ปน็ กระบวนการจดั ระบบงาน฼พ่อื ฿หก๎ ารทางานสา฼ร็จตาม฼ปูาหมายท่ี กาหนด อยํางมีประสทิ ธิภาพซ่งึ ประกอบด๎วย การวาง฽ผน การปฏิบตั งิ าน การประ฼มนิ ผล ฽ละการสรปุ ผลงาน  ผลท่ีเกิดกับผเู้ รยี น กระบวนการจัดการจะชํวย฿ห๎ผ๎ู฼รียนรู๎จักการวาง฽ผนการทางานอยําง฼ป็นระบบ ท้ังกับ ตน฼อง฽ละผรู๎ ํวมงาน สามารถสร๎างบรรยากาศ฿นการทางาน฽ละชักจูง฾น๎มน๎าว฿ห๎ผู๎รํวม฽รงรํวม฿จทางานจนสา฼ร็จ บรรลตุ าม฼ปาู หมาย ๙. กระบวนการวจิ ยั กระบวนการวิจัย ฼ป็นการจัดสถานการณ์฼รียนร๎ูท่ี฿ห๎ผ๎ู฼รียน฿ช๎กระบวนการวิจัย หรือ ผลการวิจัย฼ป็น฼ครื่องมือ฿นการ฼รียนร๎ู฼น้ือหาสาระตํางๆ ฼ชํน การ฿ช๎การประมวลผลงานวิจัย (Research review) มาประกอบการสอน฿ช๎ผลการวิจัยมา฼ป็น฼นื้อหาสาระ฿นการ฼รียนรู๎ ฿ช๎กระบวนการวิจัย฿นการศึกษา ฼น้ือหาสาระหรอื ฿ห๎ผ๎฼ู รยี นลงมือทาวจิ ัย฾ดยตรง หรอื ชวํ ยฝกึ ฝนทักษะจากการวจิ ัยตาํ งๆ ฿ห๎฽กผํ ๎฼ู รียน  ผลท่เี กดิ กับผเู้ รยี น

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๑ การ฼รยี นร๎ูด๎วยกระบวนการวิจัยจะชํวย฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎฼รียนร๎ูการหาคาตอบอยําง฼ป็นระบบ มีความนํา฼ช่ือถือ เด๎ฝึกทักษะกระบวนการตํางๆ ฼ชํน การงาง฽ผน การคิด การ฽ก๎ปัญหา การปฎิสัมพันธ์กับ ผ๎ูอ่ืน ความละ฼อียดรอบคอบ การสัง฼กต การรวบรวมข๎อมูล การวิ฼คราะห์ สรุปข๎อมูล การ฼ช่ือม฾ยงความร๎ู ฽ละการสร๎างความร฿๎ู หมํ ฯลฯ ๑๐. กระบวนการเรยี นรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการ฼รียนร๎ูการ฼รียนรู๎ของตน฼อง ฼ป็นกระบวนการ฼รียนรู๎ที่ทา฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎รู๎จัก฽ละ ฼ขา๎ ฿จวิธกี าร฼รียนร๎ูของตน฼อง ซงึ่ จะมคี วาม฽ตกตาํ งตามวธิ ีการรับรู๎  ผลท่เี กดิ กับผู้เรียน ผู๎฼รียน฼กิดการ฼รียนรู๎฿นส่ิงท่ีตนต๎องการ฽ละมีความสน฿จ สามารถกระตุ๎นสมองทา฿ห๎ ฼กิดความสุข฽ละสนุกท่ีจะ฼รียนร๎ู ฼กิด฽รงจูง฿จภาย฿น฿ห๎อยากท่ี฼รียนร๎ูมากข้ึน ฼พราะมี฾อกาสเด๎฽สดงออกซึ่ง ความสามารถของตน฼อง ทา฿ห๎ผู๎฼รียนรู๎สึกวําตน฼องประสบความสา฼ร็จ฿นการ฼รียนรู๎ ฽ละพัฒนาศักยภาพของตน เดอ๎ ยาํ ง฼ตม็ ที่ ๑๑. กระบวนการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย ฼ป็นการจัดการ฼รียนร๎ูที่มุํงพัฒนา฿ห๎ผ๎ู฼รียน฼ป็นคนดี ท้ัง ทางด๎านรํางกาย อารมณ์ สังคม ฽ละสติปัญญา ฼ป็นการมุํง฼น๎น฿ห๎ผู๎฼รียนคิด฼ป็น ทา฼ป็น ฽ก๎ปัญหา฼ป็น ฽ละ มุํง฼น๎น฿ห๎ผ๎฼ู รยี นเดพ๎ ัฒนาตน฼อง พัฒนาสังคม ฽ละพัฒนาสิง่ ฽วดลอ๎ มเด๎อยาํ งสมดลุ  ผลทเ่ี กิดกับผ้เู รยี น ผ๎฼ู รยี นมคี วามสามารถ฿นการสร๎างความรู๎ คิดวิ฼คราะห์ ฽ละประ฼มินคํา ทา฿ห๎มอง฼ห็น คณุ คําของสิ่งตาํ งๆ ทอ่ี ยํรู อบ ๆ ตัวเด๎อยําง฽ท๎จรงิ ฼ข๎า฿จตน฼อง฽ละ฼ข๎า฿จผูอ๎ ืน่ เด๎ลึกซึ้ง สามารถปรับตัว฿ห๎฼ข๎ากับ สภาวะ฽วดลอ๎ มเดด๎ ี ฿นการจัดการ฼รียนร๎ูด๎วยกระบวนการ฼รียนรู๎ตํางๆ ครูผู๎สอนควรพิจารณาถึงความสอดคล๎อง ตอํ ฼นื่องกันของกจิ กรรม หรอื กระบวนการ฽ตลํ ะรปู ฽บบ ฾ดยมีหลักการจัดกระบวนการ฼รียนร๎ู ดงั นี้ ๑. ผู๎฼รยี นม฾ี อกาสเด๎ฝกึ ปฏิบัติจริง ฼พอื่ ฿ห๎฼กิดพฤตกิ รรมตามทร่ี ะบเุ ว๎ ๒. ผ๎฼ู รยี นมคี วามพึงพอ฿จที่จะฝึกปฏิบัติ ฽ละมคี วามสอดคล๎องสัมพนั ธก์ บั ฼ปาู หมาย฿นการ฼รียนรู๎ ๓. อยูํ฿นขอบขํายความสามารถของผู๎฼รียน ควรมีรูป฽บบท่ีหลากหลาย ซ่ึงนาเปสํูการบรรลุ ฼ปาู หมาย ๔. ผ฼๎ู รียนควรเดร๎ บั การสํง฼สรมิ เด๎฽สดงออก฾ดยเมมํ ีความรู๎สึกวํากาลังถูกบังคับ฿ห๎ทา ฼พราะการ บังคับจะทา฿ห๎ผู๎฼รียน฼กิดการ฼รียนร๎ูเด๎น๎อยกวําการสน฿จท่ีจะอยาก฼รียนร๎ูด๎วยตน฼อง กระบวนการ฼รียนรู๎ท่ีจัดต๎อง ตอบสนองความ฽ตกตํางระหวํางบุคคล ฽ละสอดคล๎องกบั ความต๎องการของผ๎฼ู รยี น ชุมชน ฽ละสังคม ๕. ผู๎฼รยี นเดร๎ ับการ฼สริม฽รง฽ละมอง฼หน็ คุณคํา฿นสิ่งที฼่ รียนร๎ู ๖. มีการกระทาซ้า ๆ อยํางสม่า฼สมอ ฽ละมีการนา฼สนอสถานการณ์การ฼รียนรู๎ที่คล๎ายๆ กัน ฼พื่อ สํง฼สรมิ การ฼รียนร๎เู ดด๎ ี

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๒ ๓. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ครูผู๎สอนต๎องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา฿ห๎฼ข๎า฿จถึงมาตรฐานการ฼รียนรู๎ ตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญของ ผู๎฼รยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์฽ล๎วจึงพิจารณาออก฽บบการจัดการ฼รียนรู๎ ฾ดย฼ลือก฿ช๎วิธีสอน฽ละ฼ทคนิคการ สอน ส่ือ/฽หลํง฼รียนรู๎ การจัด฽ละประ฼มินผล ฼พ่ือ฿ห๎ผ๎ู฼รียนเด๎พัฒนา฼ติมตามศักยภาพ฽ละบรรลุตามมาตรฐาน การ฼รียนรซ๎ู ึ่ง฼ป็น฼ปาู หมายท่ีกาหนด ครูผู๎สอน฼ป็นบุคคลสาคญั ทจ่ี ะออก฽บบการจัดการ฼รียนร๎ู฿ห๎ผู๎฼รียนเด๎฼รียนรู๎฽ละพัฒนาอยํางรอบด๎าน จึง ควรมีความร๎ู ความ฼ขา๎ ฿จ฼น้อื หาสาระ฼กี่ยวกบั การนาหลักสตู รเปสํูการปฏบิ ัติ฿นชน้ั ฼รียน ดัง฽ผนภาพตอํ เปนี้ ฽ผนภาพ฽สดงการนา฼สนอ฼นื้อหาสาระ฼ก่ียวกับจากหลักสูตรสูํการออก฽บบการจัดการ฼รียนรู๎ : ครู ควรรู๎อะเร (สานักวิชาการ฽ละมาตรฐานการศึกษา, ๒๕๕๒: ฽นวทางการจัดการ฼รียนร๎ูตามหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) สมรรถนะสาคัญของผ฼๎ู รยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ มาตรฐานการ฼รยี นร/๎ู ตวั ชวี้ ดั มาตรฐานการ฼รยี นร/๎ู ตัวชว้ี ัด บูรณาการ การวิจัย฼พอ่ื การจดั การ฼รยี นรู๎ การออก฽บบ สรา๎ งความร๎ู พัฒนาการ฼รียนร๎ู ตามหลักสตู ร หนํวยการ฼รียนร๎ู กระบวนการคดิ การวัด฽ละประ฼มนิ ผล จากหลักสูตร กระบวนการ฼รยี นร๎ู สังคม การ฼รยี นร๎ู สํูการออก฽บบ ๑๑ วธิ ี การจดั การ฼รยี นรู๎ ฼ผชญิ สถานการณ์฽ละ฽กป๎ ัญหา ครคู วรรอู๎ ะเร ฼รียนรป๎ู ระสบการณ์ สือ่ การ฼รียนรู๎ จรงิ การปฏิบัติ ลงมอื ทา จริง การจดั การ การวิจัย การ฼รยี นร๎ูของ ตน฼อง การพัฒนาลักษณะ นิสัย

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๓ ๔. บทบาทของบุคลากรในการจัดการเรียนรู้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, ๒๕๕๒ : ฽นวทางการจดั การ฼รียนรตู๎ ามหลกั สูตร฽กนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑) การจัดการ฼รียนร๎ู฼พื่อ฿ห๎ผู๎฼รียนมีคุณภาพตาม฼ปูาหมายของหลักสูตร บุคลากรที่฼กี่ยวข๎องควรมีบทบาท ดงั น้ี ๔.๑ บทบาทของผบู้ ริหารโรงเรยี น ๑) ศึกษาวิ฼คราะห์หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา ตามหลักสูตร ฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตลอดจน฼อกสารอ่ืนๆ ท่ี฼ก่ียวข๎อง฼พื่อขับ฼คลื่อนหลักสูตร สถานศกึ ษาสูํการปฏบิ ัติผํานกระบวนการจัดการ฼รยี นรู๎ ๒) รํวมกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ฽ละ฼ปูาหมาย การพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา฿ห๎฼ป็นรปู ธรรม ๓) ประชาสัมพันธ์฿ห๎ผู๎ปกครอง ชุมชน฽ละผู๎ท่ี฼กี่ยวข๎องทุกภาคสํวนเด๎฼ข๎า฿จ฽นวทางการ พัฒนาคณุ ภาพการจัดการศกึ ษาของ฾รง฼รียน ๔) ระดมทรพั ยากร฿นชุมชน พร๎อมทั้ง฽สวงหาความรํวมมือจากทุกภาคสํวน฼พื่อพัฒนาการ จดั การ฼รยี นรู๎฿ห๎บรรล฼ุ ปูาหมายของหลกั สตู ร ๕) สํง฼สริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿น฾รง฼รียนจัดทาหนํวยการ฼รียนร๎ู฽ผนการจัดการ฼รียนรู๎ที่ สอดคล๎องกับบริบทของ฾รง฼รียน ความต๎องการของท๎องถิ่น ฼พื่อพัฒนาผู๎฼รียนท้ังด๎านความร๎ู ทักษะกระบวนการ ตลอดจนคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ฽ละคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖) สํง฼สริม฽ละสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿น฾รง฼รียนพัฒนาหลักสูตร ฽ผนการจัดการ฼รียนร๎ู สื่อการ฼รียนรู๎ ฽หลํง฼รียนร๎ู ภูมิปัญญาท๎องถิ่น ตลอดจน฼ทค฾น฾ลยีท่ี฼หมาะสมตํอการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อยาํ งตํอ฼นื่อง ๗) สํง฼สริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿น฾รง฼รียน฿ช๎กระบวนการวิจัย฼พื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาอยาํ ง฼ปน็ ระบบ฽ละตํอ฼น่ือง ๘) สํง฼สริมสนับสนุน฿ห๎บุคลากร฿น฾รง฼รียนวัด฽ละประ฼มินผลการ฼รียนร๎ูด๎วยวิธีการท่ี หลากหลาย พร๎อมนาผลการวดั ฽ละประ฼มนิ มาพัฒนาผ฼๎ู รยี นอยาํ ง฼ปน็ ระบบ ๙) จัด฿ห๎มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร฿น฾รง฼รียนด๎วยวิธีการท่ีหลากหลาย ฼ชํน ประชมุ สมั มนา ประชุมปฏบิ ตั ิการ ศึกษาดูงาน ฼พ่ือการพัฒนาบุคลากรครู฿ห๎฼ป็นบคุ คล฽หํงการ฼รียนร๎ู ๑๐) ฼ป็นผ๎ูนา฿นการ฼ปลี่ยน฽ปลง฿ห๎บุคลากร฿น฾รง฼รียนมีการนิ฼ทศภาย฿นอยําง฼ป็นระบบ ฾ดย฼น๎นการนิ฼ทศ฽บบกัลยาณมติ ร ฼พ่อื พฒั นากระบวนการจัดการ฼รียนร฿๎ู หม๎ ีคณุ ภาพอยํางตํอ฼นอื่ ง ๑๑) สํง฼สรมิ สนับสนุน฿หส๎ ถานศึกษา฼ปน็ ฽หลํง฼รียนร฼๎ู พอ่ื บริการ฼ครือขาํ ย฽ละชมุ ชน ๔.๒ บทบาทของครผู ู้สอน ๑) ศึกษา ทาความ฼ข๎า฿จ฼อกสารหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา ตามหลกั สตู ร฽กนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฽ละการออก฽บบการจดั การ฼รยี นร๎ู

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖๔ ๒) จัดทาหนํวยการ฼รียนรู๎ ฽ผนการจัดการ฼รียนร๎ู ฾ดย฼น๎นความร๎ู ทักษะ กระบวนการ ตามมาตรฐานการ฼รียนร๎/ู ตัวช้วี ัด คุณธรรม จริยธรรม คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ฽ละสมรรถนะสาคัญของผู฼๎ รยี น ๓) ศึกษาวิ฼คราะห์ผู๎฼รียน฼ป็นรายรูป พร๎อมนาข๎อมูลมา฿ช๎฿นการออก฽บบการ฼รียนร๎ู฽ละ จัดการ฼รียนรู๎ท่ีมุํงตอบสนองความต๎องการของผู๎฼รียน ความ฽ตกตํางของผ๎ู฼รียน ฽ละพัฒนาการทางสมอง฼พื่อ พัฒนาศักยภาพของผ๎ู฼รยี น฿หบ๎ รรลตุ ามวัตถุประสงค์ ๔) จัดกระบวนการจัดการ฼รียนร๎ูท่ี฼น๎นผู๎฼รียน฼ป็นสาคัญด๎วยวิธีท่ีหลากหลาย฼พ่ือ฿ห๎บรรลุ ฼ปาู หมายของหลกั สตู ร ๕) จัดบรรยากาศ฽ละสภาพ฽วดล๎อมทงั้ ภาย฿น฽ละภายนอกห๎อง฼รียน฿ห๎฼อื้อตํอการ฼รยี นร๎ู ๖) จัด฼ตรียม฽ละ฿ช๎ส่ือการ฼รียนร๎ูตํางๆ ตลอดจนภูมิปัญญาท๎องถ่ิน ฼ทค฾น฾ลยี฽ละ฽หลํง ฼รียนรู๎฿นชุมชนเดอ๎ ยําง฼หมาะสมกับการ฼รยี นรข๎ู องผู฼๎ รยี น ๗) ประ฼มินผลการ฼รียนรู๎ของผู๎฼รียนด๎วยวิธีการตํางๆ อยํางหลากหลาย ท้ังนี้มุํง฼น๎นการ ประ฼มินผลการ฼รียนร๎ูตามสภาพจริง฼ป็นสาคัญ นอกจากนี้฽ล๎ว ควร฼น๎นการมีสํวนรํวมของผ๎ู฼รียน ตลอดจน ความสอดคล๎องกบั ธรรมชาติของวิชา ฽ละพฒั นาการของผู฼๎ รยี น ๘) นาผลการประ฼มินผู๎฼รียนมา฿ช๎฼พื่อสอนซํอม฼สริม฽ละพัฒนาผู๎฼รียน ตลอดจนปรับปรุง การจดั กจิ กรรมการสอนของตน฼องอยําง฼ป็นระบบ ๙) ฿ช๎กระบวนการวิจัย฿นชั้น฼รียน ฼พ่ือพัฒนากระบวนการ฼รียนรู๎อยําง฼ป็นระบบ฽ละ ตํอ฼นือ่ ง ๔.๓ บทบาทของผู้เรยี น การจัดการศึกษาตามหลักสูตร฾รง฼รียนพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา ตามหลักสูตร ฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู๎฼รียนต๎องปรับพฤติกรรมการ฼รียนร๎ูของตน฼องจากการ฼ป็นผ๎ูรับมา ฼ปน็ ผู๎สร๎างองค์ความรดู๎ ๎วยตน฼อง ซ่ึงบทบาทของผ๎฼ู รียนควรมี ดงั นี้ ๑. มีสํวนรํวม฿นการวาง฽ผนการจัดการ฼รียนร๎ูรํวมกับครูผู๎สอน ฼พื่อ฿ห๎การจัดการ฼รียนร๎ู ฼ป็นเปตามความต๎องการของผ฼๎ู รยี น ฾ดยคานึงถึงความสอดคล๎องกับความสามารถ ความถนัด ฽ละความสน฿จของ ผู๎฼รียน฼ปน็ สาคญั ๒. ฽สวงหาความร๎ูจาก฽หลํง฼รียนร๎ูตํางๆ เด๎อยําง฼หมาะสม หลากหลายด๎วยความ กระตือรอื ร๎น ฽ละ฿ฝ฼ุ รยี นรอู๎ ยาํ งตอํ ฼น่ือง ๓. ลงมือปฏิบัติจริง ฾ดย฿ช๎กระบวนการ฼รียนร๎ูของตน฼อง ฽ละสามารถสรุปองค์ความร๎ูเด๎ ด๎วยตน฼อง ๔. นาองค์ความร๎ูที่เดร๎ ับเปประยกุ ต์฿ช฼๎ พอื่ การดา฼นินชิวติ ประจาวนั เด๎อยาํ ง฼หมาะสม ๕. มีสํวนรํวม฿นการประ฼มินผล฽ละนาผลการประ฼มินมาพัฒนากระบวนการ฼รียนรู๎ของ ตน฼อง฿ห๎ก๎าวหนา๎ อยํ฼ู สมอ ๖. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีตํอครู ฼พ่ือน ฽ละมีการทากิจกรรมตํางๆ ท่ีมีลักษณะสร๎างสรรค์ด๎วย ความ฼ป็นมติ รเมตรี กลําวคือ มคี วาม฼ออื้ ฼ฟ้อื ฼ผื่อ฽ผํ ชวํ ย฼หลอื ซ่งึ กัน฽ละกนั อยํางสมา่ ฼สมอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook