Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

B 2

Published by Monthira Phuchada, 2021-09-21 03:46:54

Description: B 2

Search

Read the Text Version

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๕๙ กม็ าเรง่ ใหท้ ำตามรบั สง่ั ชาวพระนครเจา้ หนา้ ทเ่ี หน็ ดงั นน้ั กเ็ อาปนื ใหญน่ ้อยระดมยิงข้าศึกล้มตาย เปน็ อนั มาก สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดเี สดจ็ ไปทอดพระเนตรเหน็ ยงั ไมเ่ ปน็ ถนนขน้ึ ไดก้ ต็ รสั วา่ พระมหาอปุ ราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปรสามคนนี้ จะให้พูนแต่ถนนข้ามคูเท่านี้ยังมิได้ ที่ไหนจะได้กรุงศรีอยุทธ์ยา เล่า ถ้าตายลงสักคนหนึ่งเมื่อใดจึ่งจะเป็นถนนขึ้นได้ ตรัสเท่านั้นแลว้ เสดจ็ กลบั ไป พระมหาอปุ ราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปรยิ่งเกรงพระราชอาญา จึ่งดำริให้เอาไม้โตนดทำทุบทูบังพลขนมูลดินเข้าไป ถมถนน ชาวพระนครก็วางปืนใหญอ่ อกมาทำลายทบุ ทพู ลลม้ ตายเป็นอันมาก ผู้ตรวจการเห็นดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระเจ้าหงษาวดีทุกประการ พระเจ้าหงษาวดจี ง่ึ ตรัสถามผู้ตรวจ การว่า พลแบกมูลดินตายลงคนหนึ่งจะเป็นมูลดินสักกี่ก้อน ผตู้ รวจการกราบทลู คนตายคนหนง่ึ เปน็ มลู ดนิ ประมาณ ๗ กอ้ น ๘ กอ้ น พระเจ้าหงษาวดีจึ่งตรัสว่าเอาเถิดจงไปบอกเจ้าหน้าที่ให้เร่งพลขนมูลดิน ถมถนนเข้าไปอย่าให้ขาดได้ ผู้ตรวจการก็มาทูลพระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปรตามรับสั่ง ทุกประการ พระมหาอุปราชา พระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะก็เร่งให้พลทั้งปวงขนมูลดินเข้าไปถมถนน ทง้ั สามตำบลมไิ ดข้ าดทง้ั กลางวนั กลางคนื แลการพนู ถนนนน้ั ถงึ สามเดอื นจง่ึ ถงึ ฟากกำแพงพระนคร ฝา่ ยพญาราม พระกลาโหม พระมหาเทพเหน็ เชงิ ศกึ แหลมเขา้ มา กใ็ หต้ ง้ั คา่ ยในกำแพงพระนคร ชั้นหนึ่งเป็นวงพาด เอาปืนใหญ่ ปืนมณฑกมาตั้งดาไว้ ณ หน้าค่ายนั้น ฝ่ายพลอันอยู่หน้าที่กำแพง เชิงเทินนั้นก็รบพุ่งป้องกันอยู่ พระเจ้าหงษาวดีให้ยกพลเข้ามาโดยถนนมุมเกาะแก้ว แล้วเอาทัพเรือมา กระหนาบ เอาปืนจ่ารงค์ มณฑก นกสับยิงแย่งระดมเจ้าหน้าที่ดังห่าฝนชิงเอามุมเกาะแก้ว ชาวทหารอาสาซึ่งอยู่หน้าที่มุมเกาะแก้วนั้น จะยิงรบพุ่งป้องกันมิได้ ก็พ่ายลงมายังค่ายซึ่งตั้งไว้นั้น ชาวหงษาวดรี กุ เขา้ มาทะลายกำแพงมมุ เกาะแกว้ ได้ ขณะนน้ั พญารามกส็ ลดใจจะบงั คบั บญั ชาการศกึ มไิ ดเ้ ปน็ สิทธิ์ดุจก่อน ก็คิดด้วยท้าวพญามุขมนตรีทั้งหลายว่าจะป้องกันสืบไปเห็นพ้นกำลัง แลจะแต่งออกไปให้ เจรจาเปน็ ไมตรี ทา้ วพญามขุ มนตรที ง้ั หลายกว็ า่ ซง่ึ จะเปน็ ไมตรไี ซรแ้ ตย่ งั มไิ ดร้ บกนั เปน็ สามารถ แลซง่ึ ไดร้ บพงุ่ จนพระเจา้ หงษาวดเี สยี รพ้ี ลเปน็ อนั มากดงั นแ้ี ลว้ พระเจา้ หงษาวดยี งั จะรบั เปน็ ไมตรหี รอื ทา้ วพญา ทั้งหลายก็มิลงด้วยพญาราม แต่นั้นมาท้าวพญามุขมนตรีลูกขุนทหารทั้งปวงมิได้ฟังบังคับบัญชาพญาราม ต่างคนต่างรบพุ่งข้าศึก สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินก็มิเอาพระทัยลงในการสงคราม ละให้ แตม่ ขุ มนตรที ง้ั หลายรบพงุ่ ขณะนน้ั พระมหาเทพถอื พลอาสาอยรู่ กั ษาหนา้ คา่ ยรมิ เกาะแกว้ รมิ กำแพงทะลายนน้ั ขา้ ศกึ หงษาวดี ยกเข้ามาปล้นค่ายเป็นหลายครั้ง แลพระมหาเทพรบป้องกันไว้ ข้าศึกหักเข้าไม่ได้ อนึ่งพระเจ้าลูกเธอ

๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พระศรีสาววะราชเสด็จมายืนช้างที่นั่ง ให้พลอาสาช่วยพระมหาเทพรบแลแต่งทหารอาสาออกทะลวงฟัน แล้วก็วางปืนใหญ่งทะแยงออกไป ตอ้ งพลหงษาวดีตายเป็นอันมาก ข้าศึกจะปล้นเอาค่ายนั้นมิได้ ก็ตั้งประชดิ กนั อยู่ ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดที รงพระดำรวิ า่ กรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยานป้ี อ้ งกนั เปน็ สามารถ ซง่ึ จะหกั เอา โดยง่ายนั้นยาก แล้วก็จวนเทศกาลฟ้าฝนลำบากไพร่พลนัก ก็ตรัสด้วยพระมหาธรรมราชาว่าจำเรา จะเพทุบายเอาตัวพญารามผู้เป็นเจ้าการป้องกันพระนครนั้นได้แล้วก็จะเบามือลง เห็นจะได้เมืองถ่ายเดียว พระมหาธรรมราชาเห็นด้วย ก็แต่งนายก้อนทองข้าหลวงเดิมให้ถือหนังสือลอบเข้ามาถึงขุนสนมข้าหลวง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าช้างเผือกไปเอาลงมาแต่เมืองพระพิศนุโลกยก์ บั ดว้ ยพระวิสุทกระษัตรีนน้ั ขนุ สนมก็ สง่ หนงั สอื นน้ั เขา้ ไปถวายแกพ่ ระเจา้ อยหู่ วั ฝา่ ยใน แลในลกั ษณหนงั สอื นน้ั วา่ พระเจา้ ชา้ งเผอื กตรัสคิด ด้วยพญาราม จึ่งแต่งการรบพุ่งป้องกันพระนครละให้เสียสัตย์คลองพระราชไมตรีนั้น บัดนี้พระเจ้า ช้างเผือกเสด็จสวรรคตแล้ว ยังแต่พญาราม แลพระทัยพระเจ้าหงษาวดียังไม่เสียคลองพระราชไมตรี ตรสั วา่ ถา้ แลพระเจา้ แผน่ ดนิ สง่ ตวั พญารามผกู้ อ่ เหตอุ อกไปถวายแลว้ พระเจา้ หงษาวดกี จ็ ะเปน็ ไมตรี มใิ ห้ ยากแกส่ มณพราหมณาจารยป์ ระชาราษฎรทง้ั ปวง จะเลกิ ทพั กลบั คนื ไปเมอื งหงษาวดี จึ่งสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฝ่ายในก็เอาหนังสือนั้นมาแถลงแกส่ มเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ฟังโดยลักษณ์หนังสือ นั้น ก็ให้หาท้าวพญาพฤฒามาตย์ทั้งปวงมาประชุมกันปรึกษาว่า ซึ่งพระเจ้าหงษาวดีจะให้ส่งพญาราม ออกไปแลจะเป็นไมตรีนั้น ยังเห็นควรจะส่งพญารามออกไปหรือหรือมิชอบส่ง จึ่งท้าวพญาพฤฒามาตย์ ทง้ั ปวงวา่ ถา้ พระเจา้ หงษาวดจี ะเปน็ พระราชไมตรจี รงิ ควรจะสง่ พญารามออกไป อยา่ ใหไ้ ดย้ ากแกป่ ระชา ราษฎรทั้งหลาย สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินก็ตรัสให้แต่งหนังสือตอบออกไปว่า ถ้าพระเจ้า หงษาวดจี ะเปน็ ไมตรสี ตั ยจ์ รงิ ดจุ ใหเ้ ขา้ มานไ้ี ซร้ กจ็ ะสง่ พญารามออกไป จง่ึ นายกอ้ นทองเอาหนงั สอื ออกไป ถวายแกพ่ ระมหาธรรมราชา ๆ กต็ รสั ใชน้ ายกอ้ นทองเขา้ มาเลา่ วา่ พระเจา้ หงษาวดจี ะเปน็ พระราชไมตรสี จุ รติ จรงิ ใหส้ ง่ ตวั พญารามออกไป ซง่ึ จะเอาพญารามไวจ้ ะใหไ้ ดย้ ากแกอ่ าณาประชาราษฎรทง้ั ปวง ดมู บิ งั ควร ฝา่ ยทา้ วพญามขุ มนตรที ง้ั หลายมไิ ดร้ กู้ ลพระเจา้ หงษาวดี สำคญั วา่ จรงิ กพ็ รอ้ มกนั ทลู สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช เจ้าแผ่นดิน ให้ส่งพญารามออกไปแก่พระเจ้าหงษาวดี สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินจึ่งตรัสสั่ง นายกอ้ นทองใหอ้ อกไปทลู แกพ่ ระมหาธรรมราชาวา่ จะสง่ พญารามออกไปกำหนดให้มารับ ครั้นนายก้อน ทองไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินให้จำพญารามแต่งคนคุมออกไปส่ง อาราธนาพระสังฆราชกับภิกขุสี่องค์ ออกไปด้วย ครั้นพระสังฆราชผู้คุมพญารามไปถึง สมเด็จพระมหาธรรมราชาให้ถอดพญารามออก

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๖๑ แลว้ กพ็ าเขา้ ไปถวายบงั คมพระเจา้ หงษาวดี ๆ กใ็ หเ้ บกิ พระสงั ฆราชเขา้ มา แลว้ ตรสั ใหห้ าพระมหาอปุ ราชา แลทา้ วพญาผใู้ หญท่ ง้ั ปวงมาประชมุ ในหนา้ พลบั พลา พระเจา้ หงษาวดกี ต็ รสั แกท่ า้ วพญาทง้ั หลายวา่ พระเจา้ กรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธย์ าใหพ้ ระสงั ฆราชเอาพญารามผกู้ อ่ เหตมุ าสง่ แกเ่ รา แลวา่ จะขอเปน็ พระราชไมตรี ด้วยเราดุจก่อน ท้าวพญาทั้งหลายจงพิพากษายังจะชอบรับเป็นพระราชไมตรีหรือประการใด ท้าวพญา ทั้งหลายก็ทูลว่า ซึ่งได้พญารามออกมาแล้วดังนี้ เสมอได้แผ่นดินอยุทธยา อันจะเป็นพระราชไมตรีนั้น หาตอ้ งการไม่ [ จบเลม่ ๔ ] ขอใหย้ กเขา้ หกั เอากรงุ จงได้ พระเจา้ หงษาวดจี ง่ึ ตรสั วา่ เราเปน็ กษตั รยิ ์ จะทำการสงครามสืบไปซึ่งจะทำดังนี้หาควรไม่ แล้วสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้รักษาแต่มั่นไว้อย่าให้ ประชิดรบพุ่งเข้าไป ฝ่ายชาวพระนครกม็ ไิ ดร้ บ ตา่ งคนตา่ งสงบอยทู่ ง้ั สองฝา่ ย จง่ึ พระเจา้ หงษาวดกี ส็ ง่ั พระสังฆราชเข้ามาว่า ถ้าพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจะเป็นพระราชไมตรีด้วยเรา จึ่งให้ พระเจา้ แผน่ ดนิ แลทา้ วพญาผใู้ หญท่ ง้ั ปวงมาถวายบงั คม จง่ึ จะรบั เปน็ พระราชไมตรดี ว้ ย ครั้นพระสังฆราชเจ้ามาถึงกรุง ถวายพระพรแก่สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินโดยคำ พระเจ้าหงษาวดีสั่งเข้ามานั้น จึ่งท้าวพญาทั้งหลายทูลพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินว่า การทั้งนี้ พระเจ้าหงษาวดีหากเพทุบายล่อลวงให้ออกไปแล้ว จะกุมเอาท้าวพญาผู้ใหญ่ทงั้ ปวงไว้แล้วก็จะให้เข้ามา เทเอาครัวอาณาประชาราษฎรทง้ั หลายอพยพไปเป็นเชลย แลศึกครั้งนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายชีวิตรบ พุ่งป้องกันจงถึงขนาด จึ่งสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินก็ตรัสให้ท้าวพญาทั้งหลายพิพากษา หลายยกหลายเกณฑ์ แลท้าวพญาทั้งปวงลงด้วยกันเป็นคำเดียวว่าจะอาสารบพุ่ง แต่พญาธรมาไซร้ มิได้ลงด้วยท้าวพญาทั้งปวง ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีท่าฟังทูตซึ่งจะออกไปแต่พระนครช้าอยู่ถึงเจ็ดวัน จง่ึ ตรสั ดว้ ยสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าชเจา้ วา่ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยามใิ ห้ทตู ออกมาเจรจาความเมอื ง แลช้าอยู่ดังนี้ มิเป็นพระราชไมตรีกันแล้ว เราจะให้แต่งการที่จะปล้นนั้นดุจเก่า สมเด็จพระมหาธรรม ราชาก็ทูลแก่พระเจ้าหงษาวดีว่าขอให้งดก่อน ข้าพเจ้าจะเข้าไปแถลงการทั้งปวงให้พระเจ้าแผ่นดิน แลทา้ วพญาผใู้ หญเ่ หน็ แทว้ า่ จะเปน็ ทางพระราชไมตรี อยา่ ใหย้ ากแกส่ มณพราหมณาประชาราษฎรทง้ั ปวง พระเจา้ หงษาวดกี ต็ รสั บญั ชาโดยสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาเจา้ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาเจา้ กเ็ สดจ็ ดว้ ย พระราชยานมายืนอยู่ตรงหน้าทีพ่ ระมหาเทพ ร้องเรียกเจ้าหน้าที่เข้าไปว่าเราจะเข้าไประงับการแผ่นดิน พระมหาเทพเจา้ หนา้ ทม่ี ไิ วใ้ จ ยงิ ปนื กระสนุ ใหญน่ อ้ ยออกไป พระองคล์ งจากพระเสลย่ี ง ขนุ อนิ เดชแบก พระองค์วิ่งกลับออกมา สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็มาเฝา้ พระเจ้าหงษาวดีแล้วกราบทูลทุกประการ ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีตรัสว่าอันชาวพระนครศรีอยุทธยามไิ วใ้ จนัน้ ก็เปน็ สำหรับจะให้พระนครเสยี ซง่ึ จะ

๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พ้นมือเราไปก็หาไม่ แล้วพระเจ้าหงษาวดีก็สั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงเร่งประชิดทำการทั้งกลางวัน กลางคืน ชาวพระนครรบพงุ่ ปอ้ งกนั เปน็ สามารถ ขณะนั้นพระเจ้าลูกเธอพระศรีเสาวราชถือพลหมื่นห้าพันตั้งเป็นกองกลางอยู่ ณ ท้องสนามหลวง ถา้ เจา้ หนา้ ทม่ี าทลู วา่ ขา้ ศกึ หกั หาญดา้ นใดหนกั กม็ ไิ ดก้ ราบทลู พระราชบดิ ากอ่ น แตง่ ทหารใหไ้ ปชว่ ยรบพงุ่ ทกุ ครง้ั สว่ นสมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ มไิ ดเ้ อาพระทยั ใสใ่ นการศกึ อยมู่ าคดิ แคลงพระเจา้ ลกู เธอ พระศรเี สาวราชวา่ การศกึ หนกั เบามไิ ดม้ าแจง้ กอ่ นทำแตโ่ ดยอำเภอ จง่ึ ใหห้ าพระศรเี สาวราชเขา้ มาวา่ แลว้ สง่ั พญาธรมาใหเ้ อาตวั พระศรเี สาวราชไปลา้ งเสยี ณ วดั พระราม ขา้ ราชการนายทพั นายกองทหารทง้ั ปวง กเ็ สยี ใจ แตเ่ หตวุ า่ รกั บตุ รภรรยาอยกู่ อ็ ตุ สา่ หร์ บปอ้ งกนั ไวท้ กุ หนา้ ท่ี ฝ่ายขุนราชเสนา ขุนมหาวิไชยกับไพร่ห้าสิบคนพากันเล็ดลอดขึ้นไปถึงเมืองล้านช้าง จึ่งเอา ศุภอักษรนั้นให้แก่เสนาบดี ในลักษณ์นั้นว่าศุภอักษรบวรสถาผลวิมลเชษฐคุณานันต์วิกสิตวิจิตรคาม วิราวฌาสัยในท่านอัครมหาเสนาธิบดีรินทรามาตย์ อันสวามีประวาสบาทมูลิกากรบวรยุคลเรณุมาตย์ ในพระบาทสมเดจ็ บรมนาถบรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ณ กรงุ เทพทวาราวดศี รอี ยทุ ธย์ า มหาดหิ ลกภพ นพรตั นราชธานบี รุ รี มย์ อดุ มพระราชมหาสถาน มมี ธจุ รติ สนทิ เสนห่ ามายงั เสนาธบิ ดี ณ กรงุ ศรสี ตั นาขะณหตุ บัดนี้กรุงพระมหานครศรีอยุธยามีราชดัสกร คือ พระเจ้าหงษาวดีกอปรด้วยโลภเจตนาหาหิริโอตัปปะมิได้ ยกกองทัพลงมากระทำปไสยหาการย่ำยพี ระนครศรีอยุทธยา สมณพราหมณาจารย์ไพร่ฟ้าประชาราษฎร ได้ความเดือดร้อน แลกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาก็เป็นเขื่อนเพชรเขื่อนขันแก่กรุงศรีสัตนาคนะหุต ถ้าพระนครศรีอยุทธยาเสียแก่กองทัพหงษาวดีแล้ว เห็นศึกหงษาวดีติดจะถึงกรุงศรีสัตนาคนะหุตด้วย เชญิ เสดจ็ พระเจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนะหตุ ยกพยหุ โยธาทพั ลงมาชว่ ยรณยทุ ธปราบปรามขา้ ศกึ ใหอ้ ปั ราชยั ปลาตไป แล้วจะได้ช่วยกันดำริการตอบแทนแก้แค้นพระเจ้าหงษาวดีให้ถึงขนาด เสนาบดีครั้นแจ้งในศุภอักษรแล้ว กพ็ าขนุ ราชเสนา ขนุ มหาวไิ ชยเขา้ เฝา้ ทลู โดยสำเนาศภุ อกั ษรเสรจ็ สน้ิ ทกุ ประการ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคะนะหุตแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธดำรัสว่า พระเจ้าหงษาวดีมิได้ตั้งอยู่ใน ขัตติยราชธรรมประเพณี ประพฤติพาลทุจริตให้ทหารมาสกัดชิงพระเทพกระสัตรีไปครั้งหนึ่งแล้ว มิหนำยังมีใจกำเริบยกมากระทำย่ำยีพระนครศรีอยุทธยาอีกเล่า จำเราจะยกไปตีเป็นทัพกระหนาบดูหน้า พระเจา้ หงษาวดจี ะทำเปน็ ประการใดประการหนง่ึ ทง้ั ทางพระราชไมตรกี รงุ ศรอี ยทุ ธยากจ็ ะถาวรวฒั นาการ สบื ตอ่ ไป แลว้ กม็ พี ระราชกำหนดใหเ้ ตรยี มพลหา้ หมน่ื ชา้ งเครอ่ื ง ๓๐๐ มา้ ๓,๐๐๐

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๖๓ ครั้น ณ วัน ๗ ฯ๕๓ ค่ำ ( วันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๕ ค่ำ ) ได้ศุภวารดิถีมหามงคลฤกษ์อัน ประเสรฐิ กเ็ สดจ็ ทรงชา้ งพระทน่ี ง่ั พรอ้ มดว้ ยแสนทา้ วพญาลาวแลพลพริ ยิ โยธาหาญ แหโ่ ดยกระบวน ซา้ ยขวาหนา้ หลงั ดง้ั แซง เปน็ ขนดั แนน่ นน่ั ดว้ ยเครอ่ื งสรรพสาตราวธุ ยกออกจากกรงุ ศรสี ตั นาคะนะหตุ รอนแรมมาโดยวถิ ที างสถลมารค ฝ่ายชาวด่านเมืองนครไทยรู้ข่าวว่าทัพเมืองล้านช้างยกลงมา ก็บอกข้อราชการลงไปให้กราบทูล สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ๆ แจง้ ดงั นน้ั จง่ึ เสดจ็ ไปเฝา้ กราบทลู พระเจา้ หงษาวดวี า่ บดั นก้ี องทพั กรงุ ศรี สัตะนาคะนะหุตยกมาทางเมืองเพชรบูรณ์ จะลงเมืองสะระบูรียเป็นทัพกระหนาบ พระเจ้าหงษาวดี ทราบแลว้ ตรสั ถามพญารามวา่ ทพั กรงุ ศรสี ตั นาคนะหตุ ยกมานม้ี าชว่ ยเองหรอื ๆ ไปขอใหม้ าชว่ ย พญาราม กราบทูลว่าสมเด็จพระมหินทราธิราชสั่งข้าพเจ้าใหม้ ศี ภุ อักษรขึ้นไปขอกองทัพลงมาช่วย พระเจ้าหงสาวดี ตรัสว่าซึ่งทัพกรุงศรีสัตะนาคะน์หุตยกมาครั้งนี้ ครั้นจะละให้มาใกล้ชาวพระนครจะแข็งมือขึ้น การที่ จะทำเอาพระนครจะช้าวันไป จำจะตีเสียให้แตกฉานแต่ไกล แล้วให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับ พญารามเอาช่างที่มีฝีมือมาแกะตราให้เหมือนตราพระราชสีห์เสร็จแล้ว จึ่งแต่งศภุ อกั ษรวา่ ทพั พระเจา้ หงษาวดยี กมาครง้ั น้ี กองทพั กรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยาแตง่ ออกรบั กห็ าหกั หาญไดไ้ ม่ บดั นร้ี บั แตม่ น่ั ไว้ แต่งให้ออกลาดตระเวนตัดเสบียง กองทัพเมืองหงษาวดีเสบียงลงจวนจะเลิกทัพถอยไปอยู่แล้ว ให้เชิญเสด็จพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตเร่งยกพยุหโยธาทัพลงมากระหนาบ ก็จะได้ชัยชำนะโดยง่าย ครั้นเสร็จแล้วจึ่งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่งไทยซึ่งมีสติปัญญาไว้ใจได้ถือรีบไป แล้วสั่งให้พระมหา อปุ ราชายกกองทพั ขน้ึ ไปคอยสลกั ตี พระมหาอปุ ราชากเ็ สดจ็ ยกพยหุ บาตราทพั โดยสถลมารค แนวปา่ สกั ฟากตะวนั ออก พกั พลซมุ่ ไวใ้ กลเ้ มอื งสะระบรู ยี ทง้ั สองฟากนำ้ ฝา่ ยผถู้ อื ศภุ อกั ษรไปพบกองทพั พระเจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนห์ ตุ ณ เมอื งเพชรบรู ณ์ เสนาบดนี ำเขา้ เฝา้ ทลู ขอ้ ความตามศภุ อกั ษรทกุ ประการ พระเจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนหตุ แจง้ มไิ ดม้ วี จิ ารณญาณสำคญั วา่ จรงิ ดีพระทัยก็ยกกองทัพรุดรีบลงมาเมืองสะระบุรีย ถึงตำบลหมากสองต้น กองทัพยังมิทันรู้พร้อม พระมหาอปุ ราชากก็ ำหนดใหท้ หารเขา้ โจมตี กองทพั กรงุ ศรสี ตั ะนาคะนห์ ตุ ไมท่ นั รตู้ วั กแ็ ตก รพ้ี ลเจบ็ ปว่ ย ลม้ ตายเปน็ อนั มาก พระเจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนห์ ตุ ขน้ึ ชา้ งหนไี ป กองทพั พระมหาอปุ ราชาไลต่ ตี ามไปไดช้ า้ ง มา้ เปน็ อนั มาก จบั พลลาวเปน็ ไดป้ ระมาณรอ้ ยเศษแลว้ ยกมาเฝา้ พระเจา้ หงษาวดี ทลู ซง่ึ ไดช้ ยั ชำนะ แล้วถวายช้างม้ากับเชลยชาวล้านช้างซึ่งได้มานั้น พระเจ้าหงษาวดีดีพระทัยจึ่งให้ปล่อยชาวล้านช้าง ซง่ึ ไดม้ านน้ั เขา้ ไปแจง้ เหตทุ ง้ั ปวงในพระนคร ฝา่ ยพระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ นายทพั นายกองทแกลว้ ทหารทง้ั ปวงแจง้ วา่ เสยี ทพั กรงุ ศรสี ตั นาขนะหดุ กเ็ ศรา้ ใจ

๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พระเจา้ หงษาวดกี ค็ ดิ ซง่ึ จะเขา้ หกั เอาพระนครใหไ้ ด้ ฝา่ ยสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ครน้ั เพลาคำ่ จง่ึ ใหห้ าพญาจกั รี ซง่ึ พระเจา้ หงษาวดไี ดข้ น้ึ ไปครง้ั พระรามเมศวรนน้ั มาเฝา้ แตส่ องคน ใหส้ าบานแลว้ จง่ึ ตรสั ปรกึ ษาเปน็ ความลบั วา่ แตก่ อ่ นทา่ นกบั เรากเ็ ปน็ ขา้ พระเจา้ ชา้ งเผอื ก ครง้ั นม้ี าเปน็ ขา้ พระเจา้ หงษาวดี ดว้ ยกนั ฝา่ ยพระเจา้ ชา้ งเผอื กกส็ วรรคตแลว้ ตวั เรากไ็ ดท้ ำความชอบ แตต่ วั ทา่ นหามคี วามชอบสง่ิ ใดไม่ เราคิดให้ท่านมีความชอบไว้ต่อพระเจ้าหงษาวดี เราเห็นอุบายอันหนึ่งซึ่งจะเป็นความชอบของท่านตราบ เท่ากัลปาวสาน ถ้าท่านเป็นใจด้วยแล้วก็จะได้เมืองโดยง่าย พญาจักรีก็รับว่าจะสนองพระคณุ ไปกวา่ จะสิ้นชีวิต สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึ่งเอาความลับทั้งนี้ไปกราบทูลแก่พระเจ้าหงษาวดี ๆ ยินดีนัก จง่ึ อบุ ายใหเ้ อาพญาจกั รมี าลงพระราชอาญาแลว้ จำไว้ ใหพ้ มา่ มอญ ลาว คมุ อยสู่ ามสบิ คน ครั้นอยู่มา ประมาณ ๕ วัน ๖ วัน สมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่งคนให้ลอบไปปล่อย พญาจักรีเข้าไปในกรุงทั้ง สังขลิกพันธ์ เข้าหน้าที่พญาธรมาตรงวัดศภสวรรณในเพลากลางคืน ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าหงสาวดีทำเปน็ ใหค้ น้ หาพญาจกั รที กุ กองทพั ไมพ่ บแลว้ กใ็ หเ้ อาผคู้ มุ ๓๐ คนไปตระเวนรอบกองทพั แลว้ ประหารชวี ติ เสยี บไวห้ นา้ คา่ ยวดั ธารมา ในเพลานน้ั พญาธรมากพ็ าตวั พญาจกั รเี ขา้ ไปเฝา้ สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช เจ้าแผ่นดินสำคัญว่าพญาจักรีหนีมาจริงมีความยินดีนัก ก็ให้ถอดเครื่องพันธนาการออกแล้ว จึ่งพระราชทานบำเหน็จรางวัลเป็นอันมาก ให้พญาจักรีบังคับการซึ่งจะป้องกันพระนคร แล้วสมเด็จ พระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินพระราชทานอาญาสิทธพ์ิ ญาจักรี ให้แห่เครื่องสูงมีปี่กลองชนะแตรสังข์ ประโคมเที่ยวตรวจหน้าที่ แลพญาจักรีนั้นจัดแจงค่ายคูหอรบบำรุงทแกล้วทหารรบพุ่งโดยฉันท์อันจริง มาได้ประมาณเดือนหนึ่ง แต่นั้นไปเห็นเจ้าหน้าที่ผู้ใดรบพุ่งเข้มแข็งกล้าหาญ ก็พาลผิดลงโทษว่า ละหนา้ ทเ่ี สยี มไิ ดเ้ ปน็ ใจตอ่ ราชการ แลว้ เอาพลเรอื นมาเปน็ ทหาร เอาทหารมาเปน็ พลเรอื น นายทพั นายกอง ทง้ั ปวงมาเสยี ใจ การศกึ กถ็ อยกำลงั ลง แลว้ ใหห้ นงั สอื ลบั กำหนดออกไปวา่ ณ วนั ๗๑ฯ๐๙ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๙ แรม ๑๐ คำ่ ) ใหย้ กเขา้ มา ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดแี จง้ ดงั นน้ั กก็ ำหนดใหท้ า้ วพญานายทพั นายกองทหารทง้ั ปวงซง่ึ จะเขา้ หกั เอาพระนคร แต่งทหารเป็นสี่เหล่า ๆ หนึ่งใส่เสื้อดำถือดาบดั้ง เหล่าหนึ่งใส่เสื้อเขียวถือดาบสองมือ เหลา่ หนง่ึ ใสเ่ สอ้ื แดงถอื ปนื นกสบั คาบชดุ เหลา่ หนง่ึ ใสเ่ สอ้ื สมี ว่ งถอื หอกดาบสะพายแลง่ ให้พระมหา ธรรมราชากบั พระมหาอปุ ราชาถอื พลทง้ั นย้ี กเขา้ โดยถนนเกาะแกว้ แลพระเจา้ องั วะ พระเจา้ แปร ยกเขา้ ตามหน้าที่พร้อมกันทั้งสามถนน เจ้าหน้าที่ก็สาดปืนไฟแหลนหลาวมาต้องพลทหารตายเป็นอันมาก พลขา้ ศกึ กม็ ไิ ดถ้ อย เยยี ดยดั หนนุ เนอ่ื งกนั เขา้ ไปมไิ ดข้ าด เสยี งปนื เสยี งพลดงั แผน่ ดนิ จะไหว แลกองทัพ

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๖๕ พระมหาธรรมราชา พระมหาอุปราชาโจมตีหักเข้าไปได้ค่ายพระมหาเทพ ๆ แตกฉานถอยเข้าไปตั้งรับ อยตู่ ำบลหนา้ วดั โค วดั กระบอื แลว้ กแ็ ตกมาตง้ั รบั ตำบลวดั เผาขา้ ว กซ็ ำ้ แตกกระจดั พลดั พรายคมุ กนั ไมต่ ดิ ขา้ ศกึ กเ็ ขา้ เมอื งได้ เมอ่ื เสยี กรงุ เทพพระมหานครแต่พระเจา้ หงษาวดนี น้ั ณ วนั ๗๑ฯ๐๙ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื น ๙ แรม ๑๐ คำ่ ) ศกั ราช ๙๑๘ ปมี ะโรงอฐั ศก เพลาเชา้ สามนาฬกิ า ขณะนั้นพระมหาอุปราชา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าก็เสด็จเข้ามายืนช้างพระที่นั่ง หนา้ พระราชวงั จง่ึ สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ กเ็ สดจ็ ดว้ ยพระราชยานออกไปยงั พระมหาธรรม ราชาธริ าชเจา้ จง่ึ พระมหาอปุ ราชาใหร้ บั สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชเจา้ แผน่ ดนิ ออกไปถวายพระเจา้ หงษาวดี ณ พลับพลาวัดมเหยง สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีทอดพระเนตรเห็น จึ่งตบพระหัตถ์ลงที่ราชาอาสน์ แล้วตรัสเชิญเสด็จพระมหินทราธิราชให้เข้ามานั่ง สมเด็จพระมหินทราธิราชก็คลานเข้าไปตามรับสั่ง แตท่ วา่ หาถงึ ทต่ี บพระหตั ถไ์ ม่ สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดจี ง่ึ ยกพานพระศรเี ลอ่ื นมาใหส้ มเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช เจ้าเสวย สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้ามิได้เสวย พระเจ้าหงษาวดีก็หยิบเอาพระศรีในพานประทานให้ สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าก็รับหมากไว้น้อยหนึ่งแล้วจึ่งเสวย สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีจึ่งหยิบบ้วน พระโอษฐ์ส่งให้ สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าก็มิได้บ้วนลง สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีจึ่งตรัสว่า ซึ่งเรายกมากระทำการสงครามทั้งนี้ เป็นประเพณีกษัตริย์ขัตติยราช จะเอาชัยไว้เกียรติยศแผ่ขอบ ขัณฑเสมาอาณาจักรให้กว้างขวางในทิศานุทิศทั้งปวง เจ้าอย่าโทมนัสเลยจะเชิญขึ้นไปอยูก่ รุงหงษาวดี ด้วยกัน แลสมเด็จพระเจ้าหงษาวดีจึ่งตรัสแก่พระมหาธรรมราชาให้นำสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้า ไปทำนบุ ำรงุ ไว้ พระเจา้ หงษาวดกี เ็ ทเอาครวั อพยพชาวพระนคร แลรปู ภาพทง้ั ปวงในหนา้ พระบนั ชน้ั สงิ ห์ นั้นส่งไปเมืองหงษาวดี แล้วทรงพระราชดำริการซึ่งจะราชาภิเษกสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าให้ ครองกรุงพระนครศรีอยุทธยา จึ่งใหพ้ ญานครศรีธรรมราช พระศรีอัคราช ขุนกระเษตราธิบดี ขุนรักษ์มนเทียร ณะรินทรเสนีแลลูกขุนหมื่นทั้งปวงร้อยหนึ่ง แลไพร่พลชายหญิงอพยพหมื่นหนึ่ง ใหอ้ ยกู่ รงุ ศรอี ยทุ ธยา ลศุ กั ราช ๙๑๘ ปมี ะโรงอฐั ศก วนั ๖ ฯ๖ ๑ คำ่ ( วนั ศกุ ร์ เดอื นอา้ ย ขน้ึ ๖ คำ่ ) พระเจ้าหงษาวดีให้แต่งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าเสด็จขึ้นเสวยราช สมบตั ิ ผา่ นพภิ พกรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยา ทรงพระนาม สมเดจ็ พระสรรเพชญวงศก์ รุ สรุ ะโยดม

๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ บรมมหาธรรมราชาธริ าชรามเมศ ปวะเรศธรรมมกิ ราชเดโชไชย พรหมเทพาดเี ทพนฤษดนิ ทร ภมู นิ ทรเทพ สมมตริ าชบรมบพติ รเจา้ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา มหาดลิ กภพนพรตั นร์ าชธานบี รุ รี มย์ เมอ่ื เสด็จขึ้นเสวย ราชสมบตั นิ น้ั พระชนมไ์ ด้ ๕๔ พระพรรษา พระเจา้ หงษาวดกี ใ็ หพ้ ระสนุ ธรสงครามอนั สง่ ไปหงษาวดี ขณะเมื่อครั้งได้พระรามเมศวรกับช้างเผือกสี่ช้างไปนั้นอยู่เป็นพฤฒามาตย์สำหรับพระองค์ แลไว้เมือง นครพรหมแลพลสามพนั * ใหอ้ ยชู่ ว่ ยรกั ษาพระนคร สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดตี รสั แกส่ มเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช เจ้าว่า จงจัดแจงพระสนมราชบริวารแลเครื่องราชูปโภคทั้งปวงออกมา จะได้ขึ้นไปด้วยกัน แล้วมี พระราชบัญชาตรัสแก่สมเด็จพระมหาธรรมราชาว่า ให้จัดเครื่องราชปิลันทนาสรรพาภรณ์สำหรบั ขตั ตยิ า ธบิ ดี แลพระสนมราชบรวิ ารสง่ ใหส้ มเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าชดว้ ย สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาก็จัดให้ตาม รบั สง่ั ทกุ ประการ แลว้ สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดกี เ็ สดจ็ เลกิ พลพยหุ บาตราทพั กลบั ไปทางเมอื งกำแพงเพชร สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าโดยเสด็จ ครั้นถึงแดน สมเด็จพระมหนิ ทราธริ าชเจา้ ทรงประชวร หนัก ลักไว้ทำมเู้ อาพระอาการมากราบทูลสมเด็จพระเจ้าหงษาวดี ๆ จึ่งพระราชทานแพทย์ไปรักษาแล้ว ตรัสคาดโทษแพทย์มาว่า ถ้าสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าทิวงคตจะลงโทษถึงสิ้นชีวิต ครั้นรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีเสด็จมาเยือน จึ่งตรัสว่าอุตส่าห์เสวยยาแลพระอาหาร อยา่ ทอ้ แทพ้ ระทยั เราจะไดไ้ ปดว้ ยกนั ครน้ั ใหพ้ ระราชทานโอวาทดงั นน้ั แลว้ กเ็ สดจ็ กลบั มาพลบั พลา สมเด็จพระเจ้าหงษาวดี แต่ประทับแรมอยู่ที่นั้นถึงสิบเอ็ดเวน สมเด็จพระมหินทราธราชเจ้าก็สวรรคต สมเด็จพระเจ้าหงษาวดี ทรงพระโกรธตรัสให้ลงพระราชอาชญาแพทย์พม่า มอญ ไทยสบิ เอด็ คน แลว้ พระราชทานเพลงิ เสรจ็ ทรงพระกรณุ าใหเ้ อาพระอฐั แิ ลพระสนมเครอ่ื งราชปู โภคทั้งปวง ให้พม่ามอญลาวคุมลงมาส่งยังพระนคร ศรีอยุทธยาแล้ว สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีก็เสด็จไปเมอื งหงษาวดี ฝ่ายสมเด็จพระมหาธรรมราชเจ้าแผ่นดิน ตรัสเอาพระสุนธรสงครามเป็นพญาธรรมาธิบดี ตรัสเอาพญาสรีทันเป็นพญาพระเสด็จ ตรัสเอาพญาเพชราชา ๑ เป็นพญาอินทราธิบดีพระนครบาล ตรสั เอาพญาเลอื งเปน็ พญาจกั รี ตรสั เอาขนุ หลวงเสนาเปน็ พญาเสนาบดศี รสี มหุ พระกลาโหม ตรัสเอา พระศรีเสาวะราชเป็นพญาเดโช ตรัสเอาพระจันทรบูรรณเป็นพระท้ายน้ำ ตรัสให้พระศรีอัคราชคงที่ เป็นพระคลัง ตรัสเอาขุนจันทรเป็นพญาพลเทพ แล้วก็ตั้งพระหัวเมืองมนตรีมุขทหารพลเรือนทั้งปวง ทุกกระทรวงการ แล้วให้ซ่องจัดไพรล่ หมู่องครักษจักรนารายณ์ ชาวด่านชาวเรือแลหมทู่ หารอนั พลดั พราย * พระราชพงศาวดารฉบบั พฯนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า เมืองนครพร้อมกับพล ๓,๐๐๐ ๑ ตน้ ฉบบั เขยี นวา่ พญาเพชราชา

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๖๗ ทง้ั ปวงประมลู เขา้ มาโดยหมโู่ ดยกรม แลว้ กจ็ ดั ซอ่ งไพรพ่ ลหม่สู บิ สองพระกำนลั แลหมพู่ ลเรอื นทั้งปวง อนั กระจดั พลดั พรายนน้ั มาประมลู ไวโ้ ดยหมโู่ ดยกรม รบั ราชการทกุ พนกั งานแลว้ กต็ ง้ั ทา้ วพญาสามนตราช แลพระหัวเมืองทั้งหลาย ให้ออกไปอยู่ครองอาณาประชาราษฎรทุกหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง สำหรับ ขอบขัณฑเสมากรุงพระนครศรีอยุทธยาโดยบูรพประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแตก่ อ่ นมา ลศุ กั ราช ๙๑๙ ปมี ะเสง็ นพศก เดอื นย่ี พญาละแวกยกชา้ งมา้ รพ้ี ลมาทางนครนายก แลไพรพ่ ล พญาละแวกมาครง้ั นน้ั ประมาณ ๓ หมน่ื * กรมการเมอื งนครนายกบอกขอ้ ราชการเขา้ มา ณ กรงุ มขุ มนตรี จง่ึ เอาหนงั สอื บอกขน้ึ บงั คมทลู สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ๆ ครน้ั ตรสั ทราบกใ็ หท้ า้ วพญาพระหวั เมอื งมขุ มนตรี ทง้ั หลายพพิ ากษาวา่ เมอ่ื พญาละแวกยกชา้ งมา้ รพ้ี ลมาดงั น้ี ทา้ วพญาทง้ั หลายจะคดิ ประการใด จง่ึ พญา เพชราชาผเู้ ปน็ พญานครบาลกท็ ลู วา่ กรงุ พระมหานครไซรพ้ ง่ึ เปน็ อนั ตราย รพ้ี ลบอบบางยงั ไปม่ ไิ ด้สมบูรณ์ แลพลทหารซึ่งจะขึ้นประจำหน้าที่รอบพระนครนั้นเห็นมิครบหน้าที่ อนึ่งปืนใหญ่น้อยสำหรับพระนครนั้น สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดกี ใ็ หเ้ อาไปเปน็ อนั มาก แลปนื ซง่ึ ตอ้ งชอ่ งทง้ั ปวงนน้ั เปน็ อนั นอ้ ยนกั ทั้งกระสุนดิน ประสิวก็ยังมิได้ประมูลไว้สำหรับที่จะกันพระนคร แลซึ่งจะตั้งอยู่รบพุ่งป้องกันพระนครครั้งนี้เห็นเหลือ กำลัง ขอเชิญเสด็จขึ้นไปยังเมืองพระพิศนุโลกให้พ้นราชศัตรูก่อน ท้าวพญาพระหัวเมืองทั้งปวงมนตรี มุขทั้งหลายก็ลงเป็นคำเดียวด้วยพญาเพชราชา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ตรัสบัญชาตามท้าวพญา ทั้งหลาย จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่ขุนเทพวรชุน ให้แต่งเรือพระที่นั่งแลเรือประเทียบทง้ั ปวงใหส้ รรพ ในขณะนน้ั พระเพชรรตั นเจา้ เมอื งเพชรบรู ยี ๑ มคี วามผดิ ทรงกรณุ าใหย้ กออกเสยี จากท่ี พระเพชรรัตน ก็คิดคบแลซ่องสุมชาวนอกทั้งปวงได้มากแล้ว คิดจะปล้นทัพหลวงเมื่อเสด็จขึ้นไปนั้น จึ่งสมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสถามขุนเทพวรชุนด้วยเรือพระที่นั่งทั้งปวงแล้ว ก็ตรัสถามว่าซึ่งจะไปจากพระนครน้ี ขุนเทพวรชุนจะคิดเห็นประการใด จึ่งขุนเทพวรชุนกราบทูลว่า พญาละแวกยกมาครานี้มิได้เป็นศึกใหญ่ ขอทรงพระกรุณาเสด็จอยู่ให้รบพุ่งป้องกันพระนครให้รู้จักกำลังศึกก่อน ครั้นจะด่วนละพระนครเสียไซร้ พระเจ้าหงษาวดจี ะตรัสติเตียนได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสเห็นชอบด้วย ก็มีพระราชโองการตรสั สง่ั ขนุ เทพวรชนุ ใหเ้ ตรยี มเรอื พระทน่ี ง่ั แลตรวจจดั พลสำหรบั เรอื พระทน่ี ง่ั นน้ั ไวใ้ หส้ รรพ ฝา่ ยพญาละแวกกย็ กทพั เขา้ มาถงึ กรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยาแลใหต้ ง้ั ทพั ตำบลบา้ นกะทมุ่ ขณะนน้ั สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ตรัสใหเ้ มืองนครพรหมแลพลชาวหงษาวดสี ามพันอยู่ประจำหน้าที่ในขื่อหน้า * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ๓,๐๐๐ ๑ ต้นฉบับเขียนว่า เพฯชบรู ยี

๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ แล้วให้ท้าวพญาพระหัวเมืองทั้งปวงตรวจจัดพลทหารขึ้นประจำหน้าที่กำแพงแลรายกันอยู่รอบพระนคร พญาละแวกยกพลเขา้ มายนื ชา้ งในวดั สามพหิ าร แลพลขา้ ศกึ รายกนั มาถงึ โรงฆอ้ งแลวดั กฎุ ที อง แลว้ เอา ชา้ งมายนื ในวดั พระเมรรุ าชกิ ารามประมาณสามสบิ ชา้ ง พลประมาณสพ่ี นั * พญาละแวกใหพ้ ลทหารลงเรอื ห้าลำข้ามเข้ามาปล้นในมุมเจ้าสนุก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยืนพระราชยานแลให้พลทหารขึ้น รบพงุ่ ขา้ ศกึ กพ็ า่ ยออกไป จง่ึ ตรสั ใหย้ งิ ปนื จา่ รงค์ เอาชา้ งขา้ ศกึ ซง่ึ ยนื อยใู่ นสามพหิ ารนน้ั ตอ้ งพระจำปาทริ าช ซึ่งเป็นกองหน้าตายกับคอช้าง พญาละแวกก็ถอยคืนไปยังทัพ ณ บ้านกะทุ่ม แต่ยกเข้ามาปล้นถึง สามครั้งก็มิได้ พญาละแวกก็ล่าทัพกลับไป จึ่งกวาดเอาครัวตำบลบ้านนายก** ไปเมืองละแวก ในขณะนั้นพญาละแวกแต่งพลมาลาดทั้งทางบกแลทางเรือเป็นหลายครั้ง แลเสียชาวจันทรบูรรณ์ ชาวระยอง ชาวฉะเชงิ เทรา ชาวนาเรง่ิ ไปแกข่ า้ ศกึ ละแวกเปน็ อนั มาก ลุศักราช ๙๒๐ ปีมะเมียสัมฤทธิศก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ให้สมเด็จพระนะเรศวร บรมราชาธริ าชบพติ รเปน็ เจา้ อนั เปน็ สมเดจ็ พระโอรสาธริ าชขน้ึ ไปเสวยราชย์ ณ เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ ขณะนน้ั พระชมม์ ๑๖ พระพรรษา แต่สมเด็จเอกาทศรถผู้เป็นพระราชอนุชาสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้านั้น สมเดจ็ พระราชบดิ าเอาไว้ ณ พระนครศรอี ยทุ ธยาดว้ ย ลุศักราช ๙๒๑ ปีมะแมเอกศก พระเจ้าหงษาวดียกช้างม้ารี้พลโยธาไปเอาล้านช้าง กำหนด ให้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครแลสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าเสด็จขึ้นไปด้วย แต่สมเด็จ เอกาทศรถอันเป็นดรุณราชบุตร พระราชบิดาดำรัสให้อยู่รักษาพระนคร ฝ่ายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า ก็ยกช้างม้ารี้พลไปถึงตำบลหนองบัวในจังหวัดเมืองล้านช้าง ขณะนั้น สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าทรงพระประชวรทรพิษ พระเจ้าหงษาวดีตรัสให้สมเดจ็ พระมหาธรรมราชากบั สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าเสด็จคืนมายังพระนครศรีอยุทธยา ครั้งนั้นพระเจ้าล้านช้างป้องกันรักษาเมือง เปน็ สามารถ ทพั หงษาจะหกั เอาพระนครมไิ ด้ พอจวนเทศกาลวสนั ตฤดกู ย็ กทพั กลบั ไป ฝา่ ยพญาละแวกยกมาจะใกลถ้ งึ ปากนำ้ พระประแดง เจา้ เมอื งทณบรู ยี แลกรมการทง้ั หลายรขู้ า่ ววา่ พญาละแวกยกมาก็บอกขึ้นไปให้กราบทูล ส่วนเรือทัพหน้าพญาละแวกไล่ตามเรือซึ่งตระเวนทะเลนั้น ตดิ เขา้ มาเมอื งทนบรู ยี แลกรมการทง้ั หลายมทิ นั แตง่ การทจ่ี ะรบพงุ่ ปอ้ งกนั เมอื ง ตา่ งคนตา่ งเอาครวั หนี * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ๕,๐๐๐ ** พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ บ้านนาและนครนายก

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๖๙ พญาละแวกกย็ กเขา้ มาตง้ั ในปากนำ้ พระประแดง กล็ าดจบั ชาวเมอื งทนบรู ยี ์ ชาวเมอื งนนทบรู ยไ์ ปเปน็ เชลย จง่ึ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั กต็ รสั ใหเ้ อาเมอื งยศโสธรราชธานีเปน็ ยกอง แลจดั ขนุ หมน่ื ทง้ั หลาย กับคนทหารสองพัน แลเครื่องศาสตราวุธบรรจุเรือไลส่ ิบลำ ให้ยกลงไปถึงเมืองนนทบูรีย ก็พบเรือ ขา้ ศกึ ไดร้ บพงุ่ กนั เปน็ สามารถ ทพั ขา้ หลวงกพ็ า่ ยแกข่ า้ ศกึ ละแวก แลเสยี หมน่ื ราชามาตขา้ ศกึ ไดเ้ ปน็ เอาไป ถวายพญาละแวก เมอื งยศโสธรราชธานแี ลขา้ หลวงทง้ั ปวงกพ็ า่ ยขน้ึ มายงั พระนคร พญาละแวกกใ็ หจ้ บั เอา คนทั่วจังหวัดเมืองทนบูรียได้มากแล้วก็ขึ้นมายังพระนคร ตั้งทัพขนอนบางตะนาว สมเด็จพระพุทธ เจ้าอยู่หัวก็ตรัสให้ท้าวพญาทั้งหลายตรวจจัดพลทหารขึ้นประจำหน้าที่กำแพงพระนคร แล้วแต่งการที่จะ รบพุ่งกันพระนคร พญาละแวกก็ยกทัพเรือขึ้นมาเข้าแฝงอยู่ข้างวัดพะแนงเชิง ให้แต่เรืออันเป็นทัพหน้า ประมาณสามสิบลำเข้ามาจะปล้นค่าย ณ ตำบลนายกาย ขณะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ ในหอราชคฤหต์ รงเกาะแกว้ แลทา้ วพญาเสนาบดมี นตรมี ขุ ทง้ั หลายซมุ่ กนั ในทน่ี น้ั ครน้ั เรอื ขา้ ศกึ เกอื บเขา้ มา จึ่งวางปืนใหญ่ ณ ป้อมนายกาย ต้องพลข้าศึกตายเป็นอันมาก แล้วก็ตรัสให้พลทหารเอาเรือออกไป ยั่วข้าศึก ข้าศึกทั้งปวงก็พ่ายลงไป พญาละแวกเห็นจะปล้นพระนครมิได้ ก็เลิกทัพคืนลงไป ตง้ั อยหู่ นา้ ปากนำ้ พระประแดง แลว้ กแ็ ตง่ ใหข้ น้ึ ไปลาดจบั คนถงึ เมอื งสาครบรู ยี ์ * ไดข้ นุ หมน่ื กรมการแลไพรช่ ายหญงิ อพยพมาเปน็ อนั มาก จง่ึ ใหเ้ อารปู เทพารกั ษส์ มั ฤทธท์ิ ง้ั สององค์ ชอ่ื พญาแสนตา แลบาตสงั ฆงั กร อนั มเหศกั ดาภาพ ซง่ึ อยู่ ณ เมอื งพระประแดง อนั ขดุ ไดค้ รง้ั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดนี น้ั ไปดว้ ย พญาละแวก กเ็ ลกิ ทพั กลบั ไปเมอื ง ลุศักราช ๙๒๔ ๑ ปีวอกโทศก** พญาละแวกแต่งพญาอุเทษราชแลพญาจีนจันตยุ กทัพเรือ มาพลประมาณสามหมน่ื จะเอาเมอื งเพชรบรู ยี พระศรสี รุ นิ ทอนฤาไชยเจา้ เมอื งเพชรบรู ยี แลกรมการแตง่ การรบพุ่งป้องกันเป็นสามารถ แลข้าศึกยกเข้าปล้นเมืองสามวัน รี้พลข้าศึกต้องศาสตราวุธเจ็บป่วยตาย เป็นอันมากจะปล้นเอาเมืองเพชรบูรียมิได้ พญาอุเทษราช พญาจีนจันตุก็เลิกทัพคืนไปเมืองละแวก ขณะนน้ั พญาจนี จนั ตใุ หท้ านบนแกพ่ ญาละแวกวา่ จะเอาเมอื งเพชรบรู ยี ใหไ้ ด้ ครน้ั มไิ ดเ้ มอื งเพชรบรู ยี พญาจีนจันตุก็กลัวพญาละแวกจะลงโทษ พญาจีนจันตุก็พาครัวอพยพทั้งปวงหนีเข้ามายังพระนคร ศรีอยุทธยา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพญาจีนจันตุ ตรัสให้พระราชทานเป็นอันมาก * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ๔ เมือง คือ เมอื งสพุ รรณบรุ ี นครชัยศรี สาครบรุ ลี ะราชบรุ ี ๑ ปีวอกโทศก ศักราชจะต้องเป็น ๙๒๒ ** พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ศกั ราช ๙๒๘ ปขี าลอฐั ศก

๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ครน้ั อยมู่ าพญาจนี จนั ตกุ ม็ ไิ ดส้ วามภิ กั ดล์ิ อบตกแตง่ สำเภาทจ่ี ะหนจี ากพระนคร ครั้นถึง ณ วัน ๑ฯ๔๒ ค่ำ ( วันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ) ปีระกานพศก* เพลาค่ำ ประมาณ ๒ นาฬกิ า พญาจนี จนั ตกุ พ็ าครวั ลงสำเภาหนลี อ่ งลงไป ขณะนน้ั สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ เสด็จลงมาแต่เมืองพระพิศนุโลกย์เสด็จอยู่ในวังใหม่ ๑ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็เสด็จยกทัพเรือ พญาจนี จนั ตลุ งไปในเพลากลางคนื นน้ั แลว้ ตรสั ใหเ้ รอื ประตู เรอื กนั แลเรอื ทา้ วพญาทง้ั หลายเขา้ ลอ้ ม สำเภาจนี จนั ตุ แลไดร้ บพงุ่ กนั เปน็ สามารถ พญาจนี จนั ตกุ ใ็ หโ้ ลส้ ำเภาไปกลางนำ้ รบตา้ นทานลอ่ ลงไป สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กต็ รสั ใหเ้ อาเรอื ประตู เรอื กนั เขา้ จดทา้ ยสำเภาพญาจนี จนั ตุ จะใหพ้ ลทหารปนี สำเภาขึ้นแล้วเอาเรือพระที่นั่งหนุนเข้าไปให้ชิดสำเภา แลทรงปืนนกสับยิงถูกจีนผู้ใหญ่ตายสามคน พญาจนี จนั ตกุ ย็ งิ ปนื นกสบั มาตอ้ งรางปนื ตน้ อนั ทรงนน้ั แตก พญาจนี จนั ตรุ บพงุ่ ปอ้ งกนั เปน็ สามารถ พลทหาร ขา้ หลวงจะปนี ขน้ึ สำเภามไิ ด้ พญาจนี จนั ตกุ เ็ รง่ ใหโ้ ลส้ ำเภารดุ หนลี งไป สมเดจ็ พระนเรศวรเปน็ เจา้ เสดจ็ ตามรบพุ่งลงไปถึงเมืองทณบูรีย์ ** พญาจีนจันตุก็เร่งให้โล้สำเภาออกไปพ้นปากน้ำตกลึก ฝ่ายสมเด็จ พระราชบดิ ากเ็ สดจ็ หนนุ ทพั สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ลงไปถงึ เมอื งพระประแดง พอสมเดจ็ พระนะเรศวร เปน็ เจา้ ยกกลบั ขน้ึ มาพบ เสดจ็ ทลู การทง้ั ปวงใหท้ ราบ สมเดจ็ พระราชบดิ ากบั สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กเ็ สดจ็ ขน้ึ มายงั พระนคร ลุศักราช ๙๒๔ ปีจอจัตวาศก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวให้แต่งพระนคร ให้ขุดคูขื่อหน้า ฝา่ ยทศิ บรู พาแตป่ อ้ มมหาไชยวงั หนา้ ลงไปบรรจบบางกะจะ กวา้ ง ๑๐ วา ลกึ ๓ วา แลว้ ใหย้ กกำแพงออก ไปริมน้ำขอบนอกพระนครบรรจบป้อมมหาไชย แต่ป้อมมหาไชยลงไปบรรจบป้อมเพชร ในปีนั้นกิด กบฏญาณพีเฉียน *** เป็นจลาจลในจังหวัดแขวงหลวง แลญาณพีเฉียนนั้นเรียก ขุนโกหก กระทำการ อันเป็นที่วิปริตสำแดงแก่ชาวชนบทประเทศนั้น แลซ่องสุมเอาเป็นพวกได้มาก ญาณพิเชียนก็มาซุ่มคน ในตำบลบา้ นยล่ี น้ ขนุ ศรมี งคลแขวงสง่ ขา่ วกบฏนน้ั เขา้ มาถวาย จง่ึ สมเดจ็ บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ หลวง ก็มีพระราชโองการตรัสใช้เจ้าพญาจักรีให้ยกพลทหารออกไปจับญาณพิเชียนซึ่งเป็นกบฏ เจ้าพญาจกั รี * ถ้าเป็นปีระกานพศก ก็ไม่ใช่ จ.ศ.๙๒๓ เพราะข้างบนนั้นว่า ศักราช ๙๒๒ เป็นปีวอกโทศก พระราชพงศาวดารฉบับ พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ปมี ะโรงสมั ฤทธศิ ก ฉบบั หอสมดุ แห่งชาติว่า ปีระกาตรศี ก ๑ สนั นษิ ฐานวา่ คงจะเปน็ วงั จนั ทรเ์ กษมหรอื วงั หนา้ ปัจจุบันคือพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตวิ งั จนั ทรเ์ กษม จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ** พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า บางกอก *** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติวา่ พระยาวเิ ชยี ร

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๗๑ แลขุนหมื่นทั้งหลายออกไปตั้งทัพในตำบลบ้านมหาดไทย ญานพีเชียนรู้ดังนั้นก็ยกสมัครพรรคพวกทั้งปวง มารบเจ้าพญาจักรี ส่วนชาวมหาดไทยอันยืนหน้าชา้ งเจ้าพญาจักรีนั้น ก็กลับเป็นพวกญาณพิเชียน ครน้ั ไดร้ บพงุ่ กนั พนั ไชทชุ ปนี ทา้ ยชา้ งขน้ึ ฟนั เจา้ พญาจกั รตี ายกบั คอชา้ ง ไพรพ่ ลอนั ไปดว้ ยเจา้ พญาจกั รี นน้ั แตกฉาน เสยี ขนุ หมน่ื ตายในทน่ี น้ั เปน็ หลายคน ครน้ั เสยี เจา้ พญาจกั รแี ลว้ ชาวชนบทนน้ั กเ็ ขา้ เปน็ พวก ญาณพิเชียน แต่ชายฉกรรจ์เป็นคนประมาณสามพัน ญาณพิเชียนตั้งพันไชยทุชเป็นพญาจักรี ตง้ั หมน่ื ศรยี ลิ น้ ชอ่ื พญาเมอื ง แลญาณพเิ ชยี นคดิ จะเอาเมอื งลพบรู ยี กย็ กไปเมอื งลพบรู ยี ฝา่ ยพญา ศรีราชเดโช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้ไปซ่อมกำแพงเมืองลพบูรียนั้น ครั้นแจ้ง ข่าวว่ากบฏญาณพิเชียนยกมาเมืองลพบูรีย์ ก็ตกแต่งการที่จะรบพุ่งป้องกันเมืองไว้ ฝ่ายญาณพิเชียน กย็ กไปถงึ เมอื งลพบรู ยี ์ ขช่ี า้ งเขา้ ไปยนื อยู่ตำบลหวั ตรี แลว้ ใหพ้ รรคพวกเขา้ ปลน้ ในทน่ี น้ั พญาศรรี าช เดโชก็มายืนช้างให้รบพุ่งป้องกัน จึ่งชาวประเทศชื่อ อมรวะดี แฝงต้นโพยิงปืนนกสัพไปต้องญาณ พิเชียนซบลงกบั คอชา้ ง พวกกบฏทง้ั ปวงกแ็ ตกฉานพา่ ยออกไป แลตา่ งคนตา่ งกระจดั พลดั พรายไปทกุ ตำบล พญาศรรี าชเดโชกเ็ อาอมรวะดซี ง่ึ ยงิ กบฏนน้ั เขา้ มาถวาย จง่ึ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ตรสั ใหพ้ ระราชทาน แก่อมรวะดีนั้นมากมายนัก แล้วตรัสใหข้ า้ หลวงไปจับพวกกบฏทั้งปวงได้มาก บรรดาจะลงพระราช อาญาไซร้ เหตดุ ว้ ยพระองคท์ รงทศพธิ ราชธรรมกม็ ไิ ดล้ งพระราชอาชญา แลใหแ้ ต่สกั หมายหมเู่ ขา้ ประสม หมโู่ ดยโทษ ครั้นถึงเดือนสาม พญาละแวกก็ยกทัพเรือมาพลประมาณเจ็ดหมื่น มาเอาเมืองเพชรบูรีย ในขณะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสใหเ้ มืองยศโสธรราชธานีออกไปรั้งเมืองเพชรบูรีย์ จึ่งพระศรี สรุ นิ ธฦิ ๅไชยเจา้ เมอื งเพชรบรู ยี ์ แลเมอื งยศโสธรราชธานี เมอื งเทพราชธานี ๑ กช็ ว่ ยกนั ตกแตง่ การทจ่ี ะรบ พุ่งป้องกันเมือง ครั้นพญาละแวกยกมาถึง ก็ให้ยกพลขึ้นล้อมเมืองเพชรบูรยี อยู่สามวัน แล้วให้ยก เขา้ ปลน้ เมอื งเพชรบรู ยี ์ ใหพ้ ลทหารเอาบนั ไดปนี กำแพงเมอื ง แลชาวเมอื งเพชรบรู ยี ร์ บพงุ่ ปอ้ งกนั เปน็ สามารถ ข้าศึกชาวละแวกต้องศาสตราอาวุธตายเป็นอันมาก จะปีนป่ายปล้นมิได้ก็พ่ายออกไป แต่พญาละแวก ยกเขา้ ปลน้ ดงั นน้ั ถงึ สามครง้ั กม็ ไิ ดเ้ มอื ง แลว้ ดำรวิ า่ จะปลน้ อกี ครง้ั หนง่ึ ถา้ มไิ ดไ้ ซรจ้ ะเลกิ ทพั คนื ไป ๑ เมืองยศโสธรราชธานีและเมืองเทพราชธานี คือ ตำแหน่งเกณฑ์เมืองรั้ง เป็นตำแหน่งราชการหัวเมืองสมัยโบราณ สังกัดกรม มหาดไทยฝา่ ยพลำภงั ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ผรู้ ง้ั ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเจา้ เมอื ง ปกครองหวั เมอื งจตั วาทข่ี น้ึ ตรงตอ่ เมอื งหลวง ในกฎหมายตราสามดวง พระไอยการตำแหนง่ นาพลเรอื น ระบุชื่อเกณฑ์เมืองรั้ง ๔ ตำแหน่ง คือ เมอื งนนราชธานี เมอื งอไุ ทยธานี เมอื งยศสนุ ทร และเมอื ง เทพราชธานี

๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ขณะนั้นเจ้าเมืองเพชรบูรียแลเมืองยศโสธรราชธานี เมืองเทพราชธานีมไิ ดส้ มัครสมานด้วยกัน ต่างคนต่างบังคับบัญชาแลอยู่ป้องกันแต่หน้าซึ่งได้เป็นพนักงานรักษานั้น มิได้พร้อมมูลคิดอ่านด้วยกัน ซง่ึ จะแตง่ การปอ้ งกนั ขา้ ศกึ ครั้นถึงวันแปดค่ำ* พญาละแวกยกเข้าปล้นตำบลคลองกระแซง ประตูบางจาน ชาวเมือง ต้านทานเป็นสามารถ ข้าศึกเผาหอรบทลายลงแล้วปีนกำแพงเข้าได้ในที่นั้น ก็เสียเมืองเพชรบูรียแก่ พญาละแวก แลเสียเจ้าเมืองเพชรบูรีย เมืองยศโสธรราชธานี เมืองเทพราชธานีตายในที่นั้น พญาละแวกกก็ วาดครวั อพยพเลกิ ทพั คนื เมอื ง ลุศักราช ๙๒๕ ปีกุนเบญจศก ** เดือนสิบเอ็ด สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าเสด็จลงมาแต่ เมืองพระพิศนุโลกยส์ ถิตอยู่ในวังใหม่ ขณะนั้นพญาละแวกแต่งทัพพระทศราชา พระสุรินทราชาให้ยก ชา้ งมา้ แลพลประมาณหา้ พนั มาลาดถงึ หวั เมอื งฝา่ ยตะวนั ออก สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ตรสั รขู้ า่ วดงั นน้ั ก็เอาช้างเร็วม้าเร็วแลพลทหารล้อมวังสามพันเสด็จออกไป ตรัสให้เมืองไชยบูรีย แลขุนหมื่นชาวม้า เอาพลทหารห้าร้อยไปเป็นทัพหน้า แลให้รุดออกไปด้วยทัพเมืองศรีถมอรัตน์ เอาพลเข้าซุ่มอยู่ สองข้างทางที่ข้าศึกจะมานั้น พลหัวหน้าศึกก็ยกมาประมาณพันหนึ่งถึงที่เมืองไชยบูรีย์ แลเมือง ศรถี มอรตั นซ์ มุ่ อยนู่ น้ั ครน้ั ขา้ ศกึ เกอื บเขา้ มาเมอื งศรถี มอรตั น์ เมอื งไชยบรู ยี ก์ ย็ กพลออกยว่ั ขา้ ศกึ กแ็ ตก ฉานพา่ ยหนอี อกไป จง่ึ เมอื งไชยบรู ยี ์ เมอื งศรถี มอรตั นต์ ามตขี า้ ศกึ ไปจนถงึ ทพั ใหญ่ แลได้ฟันแทงข้าศึก ตายเป็นอันมาก พระทิศราชา พระสุรินทราชาก็เลิกทัพหนีไปเมืองละแวก สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า เสด็จถึงเมืองไชยบาดาล แจ้งว่าข้าศึกพ่ายไปแล้วก็เสด็จคืนมายังพระนคร เฝ้าสมเด็จพระราชบิดาทูล แจ้งเหตุซึ่งเขมรพ่ายไปนั้นเสร็จสิ้นทุกประการ แล้วถวายบังคมลาคืนขึ้นไปเมืองพระพศิ นโุ ลกย ลศุ กั ราช ๙๒๖ ปชี วดฉศก*** สมเดจ็ พระเจา้ หงสาวดีทรงพระประชวร ถงึ ณ วนั ๗๙ฯ ๒ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๙ คำ่ ) เสดจ็ สวรรคต พระชนมไ์ ด้ ๖๕ พระพรรษา แตเ่ สดจ็ อยใู่ นราชสมบตั ิ สามสิบห้าพระพรรษา มังเอีงราชบุตรผู้เป็นพระมหาอุปราชาได้ผ่านสมบัติกรุงหงษาวดี ตรัสใหม้ ังสาม เกลียดราชบุตรเป็นพระมหาอุปราชา สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีเสวยราชย์ใหม่ บ้านเมืองยังมิปรกติ ฝ่ายเมืองรุม เมืองคังก็แข็งเมืองขึ้น ข่าวนั้นแจ้งลงมาถึงสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า ๆ ก็เสด็จลงมา * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า แรม ๘ ค่ำ ** พระราชพงศาวดารฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) วา่ ศกั ราช ๙๓๔ ปวี อกจัตวาศก *** พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ศกั ราช ๙๓๕ ปรี ะกาเบญจศก

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๗๓ ณ กรุงกราบทูลสมเด็จบรมราชบิดาตามข้อความซึ่งแจ้งมานั้นทุกประการ จะขอถวายบังคมลาขึ้นไป ช่วยการสงครามเมืองหงษาวดี จะได้ฟังอึงกฤดาการในเมืองหงษาวดีด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็บัญชาตาม สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็ถวายบังคมลากลับขึ้นมาเมืองพระพิศนุโลกย์ ให้ตรวจเตรียม รี้พลช้างม้าโดยกระบวนพยุหบาตราทัพพลฉกรรจ์ลำเครื่องแสนหนึ่ง ช้างเครื่องแปดร้อย ม้าพันห้าร้อย ครั้นได้ศุภฤกษ์ก็เสด็จทรงช้างพระที่นั่งยกทัพหลวงขึ้นไปถึงตำบลพระตำหนักไม้ไผ่ ไกลเมืองหงษาวดี สามเวนกพ็ กั พลอยทู่ น่ี น้ั จง่ึ บอกหนงั สอื เขา้ ไป พระเจา้ หงษาวดแี จง้ กด็ พี ระทยั จง่ึ ใหแ้ ตง่ เสบยี งอาหาร แลเครอ่ื งลงมาถวาย แลว้ กน็ ำเสดจ็ ขน้ึ ไปเฝา้ พระเจา้ หงษาวดี ๆ จง่ึ ตรสั วา่ ซง่ึ พระเจา้ หลานเรายกขน้ึ มา ครั้งนี้เรามีความยินดีนัก แล้วแจ้งการซึ่งเมืองรุม เมืองคังแข็งเมืองนั้นเล่าให้ฟังทุกประการ สมเด็จ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทลู วา่ ขา่ วแจง้ ลงไปใหข้ า้ พระองคย์ กขน้ึ มาชว่ ยการพระราชสงคราม พระเจา้ หงษาวดี ตรสั ให้สมเดจ็ พระนะเรศวรกบั พระมหาอปุ ราชา แลพระสงั ขทดั ยกไปเอาเมอื งรมุ เมอื งคงั จงได้ ทง้ั สาม พระองค์ * ถวายบงั คมลา ยกทพั ไปถงึ เมอื งรมุ เมอื งคงั ใหต้ ง้ั คา่ ยแลว้ ปลกู ราชสณั ฐาคาร [ จบเลม่ ๕ ] ไวท้ า่ มกลางเสดจ็ ปรกึ ษาราชการพรอ้ มกนั ทง้ั สามพระองค์ พระมหาอปุ ราชาจง่ึ ตรสั วา่ ซง่ึ จะยกเขา้ รบพรอ้ มกนั ทง้ั สามทพั นน้ั ไพรพ่ ลจะตะลมุ บอนนกั จะผลดั กนั เขา้ รบทพั ละวนั ครน้ั ปรกึ ษาพรอ้ มกนั แลว้ พระมหาอปุ ราชา ยกขน้ึ ไปรบ ณ วนั ๒๕ฯ ๕ คำ่ ( วนั จนั ทร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๕ คำ่ ) เพลาสท่ี มุ่ เดอื นตก ฝา่ ยขา้ ศกึ ก็ คดั กอ้ นศลิ าลงมาทบั รพ้ี ลลม้ ตายเปน็ อนั มากขน้ึ มไิ ด้ เพลาจวนรงุ่ กถ็ อยลงมา ครน้ั ณ วนั ๓๖ฯ ๕ คำ่ ( วนั องั คาร เดอื น ๕ ขน้ึ ๖ คำ่ ) ทพั พระสงั ขทดั ยกขน้ึ ไปรบ ขา้ ศกึ กค็ ดั กอ้ นศลิ าลงมาทบั รพ้ี ลลม้ ตาย เปน็ อนั มาก จะหกั เอามไิ ดก้ ถ็ อยลงมา ครน้ั ณ วนั ๔๗ฯ ๕ คำ่ ( วนั พธุ เดอื น ๕ ขน้ึ ๗ คำ่ ) เพลา ตีสิบเอ็ดทุ่ม สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็ยกทหารปืนครบมือขึ้นไป ให้พลปืนปีนเข้าแงขึ้นสองข้าง แลทางนน้ั ใหพ้ ลอยแู่ ตเ่ ขาใหห้ า่ ง แลว้ โหร่ อ้ งกระทำการดจุ ปนี ขน้ึ ทางนน้ั ชาวเมอื งสำคญั วา่ ศกึ ขน้ึ มา ทางนั้น ก็กลิ้งก้อนศิลาลงมาก็มิได้ถูกผู้ใด ฝ่ายพลซึ่งแซงขึ้นไปก็ยิงปืนระดมขึ้นไปต้องข้าศึกล้มตาย เจบ็ ปว่ ยมากแตกระสำ่ ระสาย เพลาเชา้ สามโมงกไ็ ดเ้ มอื ง จบั ไดต้ วั เจา้ เมอื งรมุ เมอื งคงั ลงมายงั คา่ ย ทั้งสามพระองค์ก็เลิกทัพคุมเอาตัวเจ้าเมืองรุม เมืองคังมายังเมืองหงษาวดี แล้วทูลตามซึ่งได้ชัยชนะ สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดยี นิ ดกี ลบั ชมฝมี อื แลความคดิ สมเดจ็ พระนะเรศวร แลว้ พระราชทานพานทองคำใส่ พระภษู าองคห์ นง่ึ ทองหนกั หา้ ชง่ั จำหลกั เปน็ รปู เทวดา พระมหาอปุ ราชานอ้ ยพระทยั แก่พระนะเรศวรนกั * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ๔ พระองค์ คือ ทัพพระเจา้ เชยี งใหมท่ พั หนง่ึ

๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ฝ่ายสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็ทูลลาพระเจ้าหงษาวดี ๆ ก็ตรัสให้มังทู มังอ้น มังอะษาระ จ่อถาง สมิงพัตเบิด ลงไปอยู่หัวเมืองรายทาง ให้จ่ายเสบียงเลี้ยงดไู พร่พลไปกว่าจะถึงแดนพระนคร ศรีอยุทธยา สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าเสด็จกลับลงมาถึงเมืองพระพิศณุโลกยแ์ ลว้ ก็เปลื้องเครื่องทรง บูชาพระชิณราช พระชิณศรเี จา้ ให้กระทำการสรรพสมโภชการมหรสพสามวันแล้ว เสด็จลงมาเฝ้า สมเด็จพระราชบิดา ณ กรุงเทพมหานคร จึ่งเอาการซึ่งได้รบพุ่งมีชัยชำนะข้าศึกนั้นกราบทูลให้ทราบ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระทัยยินดีนัก ใหแ้ ตง่ การสมโภชสมเดจ็ พระอคั รโอรสาธริ าชเจา้ เจด็ วนั แลว้ พระราชทานปนู บำเหนจ็ ทแกลว้ ทหารทง้ั ปวงโดยสมควร ครั้นเสร็จการสมโภชแล้ว สมเด็จพระนะเรศวร เปน็ เจ้ากราบถวายบังคมลากลบั ขน้ึ ไปสถติ อยยู่ งั เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดนี น้ั มไิ ดต้ ง้ั อยใู่ นทศพธิ ราชธรรม ดำรวิ า่ พระนะเรศวรประกอบไปดว้ ยปญั ญา หลักแหลมลึกซึ้ง ทั้งการสงครามก็องอาจกล้าหาญ นานไปเห็นจะเป็นเสี้ยนศัตรูต่อเมืองหงษาวดี เป็นมั่นคง จำจะคิดเทครัวอพยพหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงมาไว้เป็นกำลังในเมืองหงษาวดี การศึก พระนะเรศวรกจ็ ะถอยกำลังลง ครั้นดำริแล้วจึ่งตรัสให้นันทสู่กับราชสังครามถือพลหมื่นหนึ่งไปตั้งยุ้งฉาง ณ เมืองกำแพงเพชร นั้นทสูกับราชสังครำก็ยกไปตั้งทำการอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรตามรับสั่ง ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดคี ดิ เปน็ อบุ าย ใหม้ ศี ภุ อกั ษรบอกไปถงึ พระนะเรศวรวา่ บดั นก้ี รงุ รตั นบ์ รุ ะองั วะเปน็ กบฏแขง็ เมอื งตอ่ พระนครหงษาวดี ใหเ้ ชญิ พระนะเรศวรยกมาชว่ ยการสงครามตกี รงุ รตั นบรุ ะองั วะ สมเดจ็ พระนะเรศวร เป็นเจ้าแจ้งดังนั้นสำคัญว่าจริง ก็เสด็จลงไปทูลลาสมเด็จพระบิดา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็บัญชาตาม สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กก็ ราบถวายบงั คมลาขน้ึ มายงั เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ จง่ึ กำหนดใหต้ รวจเตรยี มพล ฉกรรจล์ ำเครอ่ื งแสนหนง่ึ ชา้ งเครอ่ื งแปดรอ้ ย มา้ พนั หา้ รอ้ ยไวใ้ หพ้ รอ้ ม ครน้ั ณ วนั ๑ ฯ๖ ๓ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๓ แรม ๖ คำ่ ) ปฉี ลสู ปั ตศก* เพลา ๑๑ ทมุ่ ๙ บาท กอรปด้วยเพชรฤกษเสด็จทรงพระคชาธารพร้อมด้วยพยุหแสนยากร ทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกธาตุ เสด็จปาฏิหาริย์แต่บุรพทิศ ผ่านพระคชาธารไปโดยประฉิมทิศเท่าผลมะพร้าวปอก แล้วจึ่งเสด็จ ยาตราทพั หลวงออกประตไู ชยแสนไปถงึ ตำบลวดั ยม ทา้ ยเมอื งกำแพงเพชร เพลาบา่ ย ๕ โมงเกดิ วาตพายุ ฝนตกหา่ ใหญ่ แผน่ ดนิ ไหวเปน็ อศั จรรย์ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ กย็ กทพั หลวงเสดจ็ ไปถงึ เมอื งกำแพงเพชร ตง้ั ประทบั แรม อยตู่ ำบลหนองปลงิ สามเวร แลว้ กย็ กไปทางเชยี งทอง กมุ ตะเหมาะ** ขณะนน้ั พญากำแพงเพชรสง่ ขา่ วไป * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) บอกศกั ราชไวด้ ้วย คือ ๙๓๖ ปจี อฉศก สว่ นวันเดือนขนึ้ แรม แลเวลาตรงกนั ** ในพระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ กมุ่ ตะเมา

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๗๕ ถวายว่าไทใหญเ่ วียงเลือ เสือต้าน เกียกกาย ขุนปลัด มังทราง มังนิ่ววายลองกับนายม้าทั้งปวง อนั อยู่ ณ เมอื งกำแพงเพชร พาครวั อพยพหนี พมา่ มอญตามไปทนั ไดร้ บพงุ่ กนั ตำบลหนองปลงิ เปน็ สามารถ พม่ามอญแตกแก่ไทใหญ่ทั้งปวง ยกไปทางเมืองพระพิศนุโลก สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าทราบดังนั้น กใ็ หม้ า้ เร็วไปบอกแก่หลวงโกษาแลลูกขุนอันอยู่รักษาเมืองพระพิศนุโลกย์ว่า ซง่ึ ไทใหญห่ นมี านน้ั เกลอื ก จะไปเมอื งอน่ื ใหแ้ ตง่ ออกยดั ดา่ นเพชรบรู ณ์ เมอื งนะครไท ชาตระการ แสเชา้ ๑ ใหม้ น่ั คงไว้ อยา่ ให้ ไทใหญอ่ อกไปรอด หลวงโกษาแลลูกขุนทั้งปวงทราบดังนั้นก็แต่งออกไปกำชับด่านทางทั้งปวงตามรับสั่ง ฝ่ายไทใหญ่ก็พาครอบครัวตรงเข้ามาเมืองพระพิศนุโลก หลวงโกษาแลลูกขุนทั้งปวงก็รับพิทักษ์รักษาไว้ นน้ั ทสกู่ บั ราชสงั ครามมหี นงั สอื มาใหส้ ง่ ไทใหญ่ หลวงโกษาแลลกู ขนุ ผอู้ ยรู่ กั ษาเมอื งพระพศิ นโุ ลกยก์ ม็ ไิ ดส้ ง่ ฝ่ายสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าเสด็จยกพยุหแสนยากรไปถึงเมืองแครง ณ วัน ๕๑ฯ๐ ๖ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ) ขณะนั้นรู้ข่าวไปถึงซักแซกยอทางเจ้าเมืองแครง ให้ปลัดเมือง ออกมาทลู วา่ ขอเชญิ เสดจ็ พกั พลอยแู่ ตน่ อกเมอื งแครงกอ่ น สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กใ็ หพ้ กั พลอยใู่ กล้ อารามพระมหาเถรคั่นฉ่อง แล้วตรัสให้ข่าวขึ้นไปถึงพระเจ้าหงษาวดวี ่ายกทัพมาถึงเมืองแครงแล้ว พระเจ้าหงษาวดีทราบดังนั้นก็มีความยินดีว่า ครั้งนี้จะสมคิดแล้ว จึ่งให้จัดกองทัพหนึ่งหมื่นออกไป ซุ่มไว้ต่อทางพระนะเรศวรจะขึ้นมานั้นไกลเมืองหงษาวดวี ันหนึ่ง แล้วตรัสใหพ้ ญาเกียร พญาพระราม ลงไปรบั ถา้ พระนะเรศวรยกลว่ งขน้ึ มาแลว้ เราจะยกทพั หลวงออกตหี นา้ ใหพ้ ญาเกยี ร พญาพระราม เอากองทัพนี้ตีกระหนาบหลัง จับเอาตัวพระนะเรศวรประหารชีวิตเสียจงได้ เมืองหงษาวดีจึ่งจะเป็น อิศวรภาพไพศาลกว่าพระนครทั้งปวง พญาพระราม พญาเกียรกราบถวายบังคมลายกไปถึงเมืองแครง กท็ ลู สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ วา่ พระเจา้ หงษาวดใี หข้ า้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั สองนม้ี ารบั เสดจ็ ขน้ึ ไป ทลู เทา่ นน้ั แลว้ กถ็ วายบงั คมลาไปนมสั การพระมหาเถรคน่ั ฉอ่ งผเู้ ปน็ อาจารย์ แจง้ ความซง่ึ พระเจา้ หงษาวดีคิดทำการ ทง้ั ปวงแลว้ นน้ั ใหพ้ ระมหาเถรคน่ั ฉอ่ งฟงั ทกุ ประการ พระมหาเถรคน่ั ฉอ่ งแจง้ ดงั นน้ั มใี จกรณุ าแกส่ มเดจ็ พระนะเรศวรเป็นเจ้าเพื่อว่าหาความผิดมิได้ อนึ่งด้วยพระราชกฤษฎาภินิหารบารมีสมเด็จพระนะเรศวร เปน็ เจา้ จะไดบ้ ำรงุ พระบวรพทุ ธศาสนาอาณาประชาราษฎรใหถ้ าวรวฒั นาการสบื ไป ครน้ั เพลาคำ่ กพ็ าพญา พระราม พญาเกยี รเขา้ ไปเฝา้ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ แลว้ ถวายพระพรวา่ พญาพระราม พญาเกียร นี้เป็นสานุศิษย์รูปมาบอกว่า พระเจ้าหงษาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ สมเด็จพระนะเรศวร เปน็ เจา้ แจง้ ดงั นน้ั ตรสั ถามพญาพระราม พญาเกยี รวา่ เหตผุ ลประการใดพระเจา้ หงษาวดคี ดิ จะทำรา้ ยเรา ๑ แสเชา้ หมายถงึ แตเ่ ชา้

๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พญาพระราม พญาเกยี รกก็ ราบทลู ตามความซง่ึ พระเจา้ หงษาวดคี ดิ แลสง่ั นั้นถวายทุกประการ สมเด็จ พระนะเรศวรเป็นเจ้าได้ทรงทราบก็น้อยพระทัย คิดอาฆาตแก่พระเจา้ หงษาวดี จง่ึ ตรสั แกพ่ ระมหาเถร คั่นฉ่องว่า ซึ่งพระองค์เมตตาบอกเหตุการณ์แก่ข้าพเจ้าทั้งนี้พระคุณนั้นหาที่สุดมิได้ อันพระองค์จะ อยู่ในเมืองมอญนี้ พระเจ้าหงษาวดีแจ้งอันตรายก็จะมีเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะนำพระองค์กับพญาเกียร พญาพระราม แลญาตโิ ยมทง้ั ปวงลงไปอยู่ ณ กรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยา จะไดป้ ฏกิ าระสนองพระคุณ พระองค์ แลปลูกเลี้ยงพญาเกียร พญาพระรามโดยกตเวทธิ รรมประเพณี พระมหาเถรคน่ั ฉอ่ งแล พญาเกยี ร พญาพระรามกพ็ รอ้ มกนั โดยพระราชบรหิ าร สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็ตรัสแก่มุขมาตยาโยธาทั้งปวงว่า เราหาความผิดมิได้ ซึ่งพระเจ้า หงษาวดีคิดร้ายแก่เราก่อนนั้น อันแผ่นดินพระมหานครศรีอยุทธยากับแผ่นดินหงษาวดขี าดจากทาง พระราชไมตรกี นั เพราะเปน็ อกศุ ลกรรมนยิ มสำหรบั ทจ่ี ะใหส้ มณพราหมณาประชาราษฎรไดค้ วามเดอื ดรอ้ น แล้วพระหัตถ์ก็ทรงพระสุวรรณภิงคารหลั่งอุทกธาราลงเหนือพื้นพสุธาดล จึ่งออกพระโอษฐ์ตรัสประกาศ แกเ่ ทพยเจา้ ทง้ั หลายอนั มมี หทิ ธฤิ ทธแ์ิ ลทพิ จกั ขทุ พิ โสต ซง่ึ สถติ อยทู่ กุ ทศิ านทุ ศิ จงเปน็ ทพิ ยพ์ ยาน ดว้ ยพระ เจ้าหงษาวดีมิได้ตั้งอยู่โดยคลองสุจริตมิตรภาพขัตติยประเพณี เสียสามัคคีรสธรรมประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำภยันตรายแก่เรา ตั้งแต่วันนี้ไปกรุงพระมหานครศรีอยุทธยากับเมืองหงษาวดมี ไิ ดเ้ ป็นสุวรรณ ปัถพีเดยี วกนั ดจุ หนง่ึ แตก่ อ่ น ขาดจากกนั แตว่ นั นไ้ี ปตราบเทา่ กลั ปาวสาน ครน้ั พระราชบรหิ ารประกาศเปน็ ฉนิ ทพากยอ์ ไุ ภยนคั ราเสรจ็ แลว้ กม็ พี ระราชโองการตรสั สง่ั ทา้ วพญา มขุ มนตรที ง้ั ปวงวา่ เราจะยกกลบั ลงไปพระนครครง้ั น้ี จะพาพระมหาเถรคนั ฉอ่ งแลญาตโิ ยมกบั พญาราม พญาเกยี รไป แลว้ จะตกี วาดครอบครวั รามญั หวั เมอื งรายทางไปดว้ ย ครน้ั ณ วนั ๖๓ฯ ๖ คำ่ ( วนั ศกุ ร์ เดอื น ๖ แรม ๓ คำ่ ) เพลา ๑๑ ทมุ่ ใหเ้ อาพระคชาธารเขา้ เทยี บเกย ทอดพระเนตรเหน็ พระสารรี กิ บรมธาตเุ สดจ็ ปาฏหิ ารยิ แ์ ตป่ ระจมิ ทศิ ผา่ นคชาธารไปโดยบรุ พทศิ จง่ึ เสดจ็ พยหุ บาตราทพั ออกจากเมืองแครง พระมหาเถรคั่นฉ่อง พญาพระราม พญาเกียรแลญาติโยม ก็มาโดยเสด็จ ฝ่ายนายทัพนายกองทั้งปวงก็แยกย้ายกันตีครัวต้อนครัวรายทางมาได้ประมาณหมื่นเศษ ครน้ั ถงึ ฝง่ั แมน่ ำ้ สะโตงกเ็ ทย่ี วเกบ็ เรอื หาไมผ้ กู พว่ งแพเรง่ ขา้ มครวั รพ้ี ลชา้ งมา้ ทง้ั ปวงถงึ ฟากสน้ิ แลว้ กใ็ หเ้ ผา เรือทำลายแพเสีย พอพระเจ้าหงษาวดีแจ้งก็ให้พระมหาอุปราชาถือพลแสนหนึ่ง สุระกำมาเป็นกองหน้า ตามถงึ แมน่ ำ้ สะโตงฟากหนง่ึ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทอดพระเนตรเหน็ ดงั นน้ั กใ็ หน้ ายทพั นายกอง นำพระมหาเถรคน่ั ฉอ่ งกบั ครอบครวั รบี ยกไปกอ่ น แตพ่ ระองคก์ บั ทหารลำลองหมน่ื หา้ พนั นน้ั ยงั รออยรู่ มิ ฝง่ั

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๗๗ จึ่งทอดพระเนตรไปเห็นสุระกำมากองหน้า ใส่เสื้อแดงยืนช้างอยู่ริมฝั่ง ตรัสให้ทหารเอาปืนหามแล่นแล นกสับคาบชุดยงิ ระดมไปเป็นอันมากก็มไิ ดถ้ ึง จึ่งสมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ก็ทรงพระแสงปนื ยาวเกา้ คืบ ยิงต้องสุระกำมาตายตกจากคอช้าง รี้พลมอญทั้งนั้นเห็นอัศจรรย์ด้วยแม่น้ำนั้นกว้างเหลือกำลังปืน กลวั พระเดชเดชานภุ าพ แลพระมหาอปุ ราชามอิ าจจะตามมากเ็ ลกิ ทพั กลบั ไป สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กเ็ สดจ็ ยกมาโดยทางเมอื งกาญจนบ์ รู ยี ์ ครน้ั ถงึ พระมหานครศรอี ยทุ ธยา ก็กราบทูลสุรายเรื่องยุบลคดีทั้งปวงถวายให้ทราบทุกประการ สมเด็จพระราชบิดาแจ้งดังนั้นก็ตรัสว่าเรา มไิ ดม้ สี ง่ิ ผดิ พระเจา้ หงษาวดมี ไิ ดต้ ง้ั อยใู่ นคลองธรรมเสยี สตั ยานสุ ตั ย์ ประพฤตพิ าลทจุ รติ อจิ ฉาจารเปน็ วิสมโลภต่อเราฉะนี้ ก็เพราะผลวิบากแห่งสัตว์เป็นสำหรับการกลียุค ตั้งแต่นี้ไปมอญกับไทยจะเป็น ปรปกั ษแ์ กก่ นั สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กก็ ราบทลู วา่ ถงึ มาตรวา่ พระเจา้ หงษาวดจี ะยกพยหุ แสนยากร มาสกั เทา่ ใด ๆ กม็ ไิ ดเ้ กรง ขา้ พเจา้ มแี ตช่ วี ติ จะสนองพระคณุ มใิ หเ้ คอื งฝา่ พระบาท สมเดจ็ พระราชบดิ า กับสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าดำริการกันเสร็จแล้ว จึ่งโปรดใหพ้ ระมหาเถรคั่นฉ่องอยวู่ ดั มหาธาตุ พระราชทานสปั ทนกรรชงิ คานหาม คนหาม จนั หนั นติ ยภตั เครอ่ื งสมณบรขิ ารตา่ ง ๆ ฝา่ ยพญาเกยี ร พญาพระรามก็พระราชทานเจียดทอง เต้าน้ำทอง กระบี่บั้งทอง เงินตรา เสื้อผ้าพรรณนุ่งห่ม แลเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคเปน็ อนั มาก แลครอบครวั มอญซง่ึ กวาดลงมานน้ั กพ็ ระราชทานใหพ้ ญาพระราม พญาเกยี รควบคมุ วา่ กลา่ วดว้ ย แลพญาพระราม พญาเกยี รนน้ั ใหอ้ ยตู่ ำบลบา้ นขมน้ิ วดั ขนุ แสน ญาตโิ ยม พระมหาเถรคั่นฉ่องนั้นอยู่ตำบลบ้านหลังวัดนก แล้วสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็กราบถวายบังคมลา กลบั ขน้ึ มายงั เมอื งพระพศิ นโุ ลกยเ์ สดจ็ เขา้ ไปถวายนมสั การพระชณิ ราช พระชณิ ศรี จง่ึ ทรงพระราชทู ศิ ศรทั ธา เปลอ้ื งเครอ่ื งสวุ รรณอลงั การขตั ตยิ าภรณอ์ อกกระทำสกั การบชู า แลว้ เสดจ็ ออกพรอ้ มดว้ ยมขุ มาตยมนตรี ขณะนน้ั หลวงโกษาแลลกู ขนุ ทง้ั ปวงผอู้ ยรู่ กั ษาเมอื งนน้ั กน็ ำบรรดานายไทยใหญเ่ ขา้ เฝา้ จง่ึ บงั คม ทลู วา่ มหี นงั สอื นนั ทสู ราชสงั ครำ ซง่ึ มาตง้ั อยู่ ณ เมอื งกำแพงเพชรมาใหส้ ง่ ไทยใหญแ่ ลครวั ซง่ึ หนมี าอยู่ ณ เมืองพระพิศนุโลกย์ ข้าพเจ้าตอบไปว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จอยู่ ซึ่งจะส่งไปนั้นยัง มไิ ด้ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทราบดงั นน้ั กต็ รสั ใหม้ หี นงั สอื ตอบไปวา่ ธรรมดาพระมหากษตั ราธริ าชผู้ ดำรงทศพธิ ราชธรรมนน้ั อปุ มาดงั รม่ พระมหาโพธอ์ิ นั ใหญ่ แลมผี มู้ าพง่ึ พระราชสมภารหวงั จะใหพ้ น้ จากภยั อนั ตรายตา่ ง ๆ ซง่ึ นนั ทสูกบั ราชสงั ครามจะใหส้ ง่ ไทยใหญไ่ ปนน้ั ไมค่ วรดว้ ยคลองขตั ตยิ ราชประเพณีธรรม ฝ่ายนันทสูกับราชสังครำแจ้งดังนั้นก็ปรึกษากันว่า สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้ายกพยุหโยธาทัพขึ้นไป เมอื งหงษาวดคี รง้ั น้ี เหตไุ ฉนจง่ึ ไมก่ ลบั โดยทางเมอื งกำแพงเพชรเลา่ บดั นก้ี ม็ หี นงั สอื เปน็ คำฉกรรจอ์ งอาจ

๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ มาดังนี้เห็นประหลาดนัก เราจะอยู่มิได้จำจะเลิกครัวเมืองกำแพงเพชรอพยพไปเมืองหงษาวดี จง่ึ จะ มคี วามชอบแลขา่ วทง้ั นก้ี แ็ จง้ ไปถงึ เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ สมเดจ็ พระนเรศวรเปน็ เจา้ ใหช้ มุ ทา้ วพญามขุ มนตรปี รกึ ษาวา่ ซง่ึ เราจะละใหเ้ มอื งกำแพงเพชร ฉบิ หายพลดั พรายจากภมู ลิ ำเนานน้ั มชิ อบ เราจะยกไปตนี นั ทสกู บั ราชสงั ครำ มใิ หเ้ อาครวั เมอื งกำแพงเพชร ไปได้ ทา้ วพญามขุ มนตรที ง้ั ปวงกเ็ หน็ โดยพระราชบรหิ าร สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กต็ รสั ใหข้ า้ หลวง ไปกมุ เอาพมา่ มอญซง่ึ มาอยปู่ ระจำหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื สง่ ลงไปกรงุ เทพมหานครสน้ิ แลว้ กำหนดไปแกพ่ ญา สวรรคโลค์ พญาพไิ ชยใหโ้ ดยเสดจ็ จะยกไปเอานนั ทสกู่ บั ราชสงั ครำ จง่ึ ใหต้ รวจรพ้ี ลชา้ งมา้ ครั้น ณ วนั ๕ ๗ฯ ๘ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๘ ขน้ึ ๗ คำ่ ) เพลาชายแลว้ หา้ โมง* กเ็ สดจ็ พยหุ บาตราทพั จากเมอื งพระพศิ นโุ ลกยไ์ ปยงั เมอื งกำแพงเพชร ฝา่ ยนนั ทสกู่ บั ราชสงั ครำรขู้ า่ ววา่ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ เสดจ็ มา กเ็ ลกิ รพ้ี ลชา้ งมา้ หนไี ปจาก เมอื งกำแพงเพชร สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทราบกต็ รสั ใหพ้ ญาไชยบรู ณ ขนุ ศรีแลพระหวั เมอื งทง้ั ปวง ยกรพ้ี ลชา้ งมา้ เปน็ กองหนา้ ทพั หลวงตามไป พญาไชยบรู ณตามมาทนั ถงึ ตำบลแมร่ ะกา นนั ทสกู่ บั ราชสงั ครำ ก็ยกช้างม้ารี้พลออกรบพุ่งพญาไชยบูรณแลข้าหลวงทั้งปวงเป็นสามารถ ในขณะนั้นพญาไชยบรู ยขช่ี า้ ง พลายปืนพระรามได้ชนช้างกับนันทสู่ ช้างนันทสู่ได้ล่างช้างพญาไชยบูรณเสียทีเบนไป นันทสู่จ้วงฟัน ไปด้วยของ้าวต้องนิ้วชี้พญาไชยบูรณกระทบข้อขาด ช้างพญาไชยบูรณกลับได้ล่างค้ำถนัด ชา้ งนนั ทสู่ ทานกำลงั ไมไ่ ดข้ วางพา่ ยไป ขนุ ศรขี ช่ี า้ งพลายศตั รนู าศไดช้ นดว้ ยชา้ งราชสงั ครำเปน็ สามารถ ช้างราช สงั ครำกพ็ า่ ยแกข่ า้ หลวงทง้ั สอง นนั ทสกู่ บั ราชสงั ครำกร็ ดุ หนไี ปทางเชยี งทอง ครง้ั นน้ั ไดไ้ ทใหญช่ าวแสนหวี อนั มาอยใู่ นเชยี งทองฉกรรจแ์ ลครวั อพยพประมาณสองหมน่ื เศษ แตผ่ มู้ บี รรดาศกั ดเ์ิ จา้ ฟา้ เมอื งจี เจา้ ฟา้ เมืองลองแจใหม่ เมืองปาก สมิงตีมายาเยือแลไทใหญ่ชาวม้า** ทั้งปวงก็เอาครัวอพยพออกมาสู่ พระราชสมภาร จึ่งแต่งช้างม้ารี้พลแลทหารช่วยตามตีนันทสู่กับราชสังครามถึงตำบลแม่รางสาง แลว้ กก็ ลบั คนื มายงั ทพั หลวงตำบลเชยี งทอง ฝา่ ยพญาพไิ ชยขา้ หลวงเดมิ แจง้ วา่ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั พระเจา้ หงษาวดเี ปน็ ปรปกั ษ์ แกก่ นั กค็ ดิ การกบฏ ครน้ั แจง้ พระราชกำหนดกม็ ไิ ดย้ กไปโดยเสดจ็ จง่ึ ซอ่ งสมุ ชาวเมอื งแลกวาดครอบครวั ของตัว แลครัวชาวเมืองทั้งปวงซึ่งเข้าด้วยนั้นไป ณ เมืองสวรรคโลคย์ แจ้งความทั้งปวงแกพ่ ญา สวรรคโลกๆ ก็ลงใจด้วย คิดกันจะยกไปตีเอาเมืองพระพิศนุโลกย แต่หลวงปลัดแลขุนยกกระบัตร * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เพลาสายแลว้ ๕ บาท ** พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า ไทใหญ่เข้ามาทั้งปวง

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๗๙ ขนุ นระนายกไซรม้ ไิ ดล้ งดว้ ยพญาทง้ั สอง ใหค้ มุ เอาตวั หลวงปลดั ขนุ ยกกระบตั ร ขนุ นระนายกจำไว้ ฝา่ ยสมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ แจง้ วา่ พญาทง้ั สองเปน็ กบฏ จง่ึ ยกทพั หลวงเสดจ็ จากเชยี งทอง ไปเมอื งสวรรคโลกยเ์ สดจ็ ไปทางสกุ โขไท ครน้ั เสดจ็ ถงึ สกุ โขไทกต็ ง้ั ทพั หลวงตำบลวดั ฤาษชี มุ จง่ึ ทรงพระ กรุณาตรัสให้ชาวพ่อชุมนุมพราหมณาจารย์ เอาน้ำในบ่อพระสยมภูวนาถ แลเอาน้ำตระพังโพยศรีมา ตั้งบูชาโดยกิจพิธีกรรมเป็นน้ำสัตยาธิษฐาน แลเอาพระศรีรัตนตรัยเจ้าเป็นประธาน ให้ท้าวพญา เสนาบดมี นตรมี ขุ ทหารทง้ั หลายกนิ นำ้ สตั ยาแลว้ ครน้ั รงุ่ กย็ กทพั หลวงเสดจ็ ขน้ึ ไปโดยทางเขาคบั ถงึ เมอื ง สวรรคโลคย์ ณ วัน ๖ ๕ฯ ๘ ค่ำ ( วันศุกร์ เดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำ ) ตั้งทัพหลวงตำบลหน้าวัดไม้งาม สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงพระกรุณาแก่พญาทั้งสอง ตรัสให้ขา้ หลวงเข้าไปร้องประกาศว่าให้พญา ทั้งสองออกมาถวายบังคม ทรงพระกรุณามิได้เอาโทษ แลพญาพิไชย พญาสวรรคโลกย์ มิได้ โดยพระราโชวาท ทำอกุ อาจตรวจจดั ไพรพ่ ลเมอื งขน้ึ รกั ษาหนา้ ทเ่ี ชงิ เทนิ ปอ้ งกนั เมอื งไว้ แลว้ พญาทง้ั สอง กฆ็ า่ หลวงปลดั ขนุ ยกกระบตั ร ขนุ นระนายกซึ่งมิลงด้วยนั้นเสีย ตัดเอาศีรษะซัดออกมาให้ข้าหลวง สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าทรงพระพิโรธ ครั้นเพลาค่ำก็ตรัสให้ยกพลทหารเข้าปล้นตำบลประตูสามเกิด แหง่ หนง่ึ ประตปู า่ หมอแหง่ หนง่ึ ประตสู ภานจนั แห่งหนึ่ง ปล้นแต่ค่ำถึงเที่ยงคืนแลเผาป้อมชั้นนอก ประตสู ามเกดิ กเ็ ขา้ มไิ ด้ จง่ึ มพี ระราชโองการตรสั ถามโหราจารยว์ า่ ยงั จะไดเ้ มอื งสวรรคโ์ ลกหรอื โหราจารย์ บังคมทูลว่าจะได้ แต่ซึ่งจะปล้นข้างประตูสามเกิดนี้เห็นจะได้ด้วยยาก ถ้าปล้นข้างทิศดอรแหลมไซร้ เห็นจะได้โดยง่าย เพราะทิศข้างนั้นเป็นอริแก่เมือง จึ่งมีพระราชโองการตรัสให้พญาไชยบูรณ ขุนหลวงธรรมไตรโลกย์ ขุนราชรินทรยกพลจากประตูสภาณจันมาตั้งข้างประตูดอรแหลม แล้วให้เร่ง แตง่ การอนั จะเขา้ ปลน้ เมอื ง อนง่ึ ท่ปี ระตสู ามเกดิ แลประตปู า่ มอกใ็ หแ้ ตง่ พลทหารเขา้ รบพงุ่ จนสวา่ งกย็ งั มไิ ด้ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วัน ๗ ๒ฯ ๘ ค่ำ ( วันเสาร์ เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ ) ก็ยกทพหลวงมาตั้งประตู ขา้ งดอรแหลม แลว้ กเ็ รง่ แตง่ การใหป้ ลน้ เมอื งนน้ั เปน็ สามารถ ชาวเมอื งยงิ ปนื ไฟพงุ่ ศสั ตราวธุ มาตอ้ งพล ข้าหลวงป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จะปีนกำแพงขึ้นมิได้ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าก็ตรัสให้ลงโทษ ขุนอินทร์ เ์ ดชะผู้เป็นยกกระบัตรอันบังคับต้อนพลเข้าปล้นเมือง แลนายทัพนายกองทั้งหลายนั้นให้มัด ตระเวนรอบทัพ จึ่งขุนอินท์ร์เดชะแลข้าหลวงทั้งปวงถวายทัณฑ์บนว่า จะขอเข้าปล้นเมืองให้ได้ พญาไชยบูรณบังคมทูลว่าซง่ึ ไปมไิ ดต้ ง้ั คา่ ยประชดิ แลจะปนี ปลน้ เอาเมอื งดงั น้ี พลทหารทง้ั หลายจะทำการ มสิ ะดวกเพราะชาวเมอื งปอ้ งกนั ถนดั จะขอทำคา่ ยประชดิ แลปลกู หอรบขน้ึ ใหส้ งู เทยี มกำแพงแลว้ จะไดย้ งิ ปืนใหญ่น้อยสาดเข้าไป เจ้าหน้าที่จะระส่ำระสายเห็นจะได้เมืองโดยง่าย สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า

๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ เห็นชอบด้วย ก็ให้ตัดไม้ใหญ่แลไม้โตนดมาทำตามพญาไชยบูรณกราบทูล ครั้น ณ วัน ๒ ๓ฯ ๘ ค่ำ ( วันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๓ ค่ำ ) เพลาสายแล้ว ๒ นาฬิกา ๕ บาท ยกพลทหารเข้าเผาประตู ดอนแหลมนน้ั ทำลายลง จง่ึ ใหพ้ ลทหารกรกู นั เอาบนั ไดเขา้ พาดกำแพงปนี เขา้ ไปในเมอื งนน้ั ได้ แลตวั พญา สวรรคโ์ ลกกห็ นไี ปพง่ึ อยบู่ นกฏุ พี ระสงฆ์ ณ วดั ไผใ่ ต้ แลชาวทหารกต็ ามไปกมุ ตวั ไดเ้ อามาถวาย ส่วนพญา พไิ ชยหนจี ากสวรรคโลกย์ ไปถงึ แดนกะจนุ จะไปยงั เชยี งใหม่ ชาวดา่ นกก็ มุ เอาตวั พญาพไิ ชยมาถวาย สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ดำรสั ใหม้ ดั พญาสวรรคโ์ ลก พญาพไิ ชย ตระเวนรอบทพั แลว้ ฆา่ เสยี จง่ึ ตรสั ใหเ้ ทเอา ครวั อพยพทง้ั ปวงมายงั เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ จง่ึ ใหเ้ ชญิ รปู พญารว่ ง พญาฦาอนั รจนาดว้ ยงาชา้ งเผอื กงาดำ นน้ั มาดว้ ย ถงึ ณ วนั ๕ ฯ๖ ๘ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๘ แรม ๖ คำ่ ) เพลา ๑๑ ทมุ่ ๘ บาท * ใหเ้ รยี ก ชา้ งพระทน่ี ง่ั ประทบั เกย เหน็ พระสารรี กิ บรมธาตเุ สดจ็ ปาฏหิ ารยิ แ์ ตต่ ะวนั ตกผา่ นชา้ งพระทน่ี ง่ั มาตะวนั ออก โดยทางเสด็จมานั้นเท่าผลมะพร้าวปอกแล้ว ก็ยกทัพหลวงเสด็จคืนมาโดยทางน้ำขุน ทางพิไชย เสด็จมา ถงึ เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ ขณะนน้ั พอสมเดจ็ พระราชบดิ าดำรสั ใหพ้ ญาราชนกิ ลู หมน่ื ทพิ เสนา หมน่ื ราชามาตย์ นำเอาหนงั สอื กบั ขนุ เทพโกษา หมน่ื ไชยสงคราม หมน่ื เทพปรชี า เขมรสามนายซง่ึ พญาละแวก แตง่ ใหเ้ ปน็ ทตู ถอื หนงั สอื มาขวา้ งไว้ ณ ดา่ นเมอื งระยอง ในหนงั สอื นน้ั วา่ พระเจา้ กรงุ กำภชู าธบิ ดีรำพึง ถึงพระคุณสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา แลสมเด็จพระนะเรศวรบรมบพิตรเป็นเจ้าเมือง พระพิศนุโลกย์ได้เสวยราชย์ครองพิภพกรุงศรีอยุทธยาโดยบูราณ พระมหากษัตราธิราชนั้นเห็นว่า พระบุญญานุภาพประเสริฐนัก ด้วยแต่ก่อนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชพระเจ้าช้างเผือก ทรงพระมหากรณุ าพระเชษฐาขา้ พระบาทซง่ึ เปน็ ปรปกั ษต์ อ่ พระองคแ์ ลว้ มไิ ดม้ พี ระทยั อาฆาตปลกู เลย้ี ง ดำกลใหค้ งอยใู่ นเศวตฉตั รกรงุ กำภชู าประเทศ แลว้ รบั เอานกั พระสโู ท นกั พระสธู รรมไปชบุ เลย้ี งเปน็ ราชบตุ ร บญุ ธรรมนน้ั พระคณุ ใหญห่ ลวงนกั ฝา่ ยขา้ พระบาทนเ้ี ลา่ กเ็ ปน็ คนโมหจติ คดิ ประทษุ รา้ ยเปน็ ปจั จามติ ร ต่อพระองค์มาแต่ก่อนนั้นโทษผิดนัก ขอพระองค์จงได้อภัยโทษ บัดนี้ข้าพระบาทกับท้าวพญาเสนาบดี มนตรมี ขุ สมณพราหมณาจารยท์ ง้ั หลาย ขอเปน็ พระราชไมตรดี ว้ ยพระบาทสมเดจ็ พระบรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ทง้ั สองพระองค์ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทราบสาสนด์ งั นน้ั กม็ พี ระทยั ยนิ ดี พระราชทานทตู านทุ ตู แลว้ ดำรสั ใหแ้ ตง่ หนงั สอื ตอบไปเปน็ ใจความวา่ ซง่ึ พญาละแวกโมหจติ แลว้ คดิ กลบั ใจไดม้ าขอเปน็ พระราช ไมตรนี น้ั เรากใ็ หอ้ ภยั โทษให้ อนั เมอื งละแวกโพน้ จะถาวรบรบิ รู ณ์ ทง้ั สมณพราหมณาจารยไ์ พรฟ่ า้ ขา้ ขอบ * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เพลายงั ๒ บาท

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๘๑ ขณั ฑเสมา กรงุ กำภชุ ประเทศจะเปน็ สขุ านสุ ขุ สบื ไป ถงึ เดอื น ๘ ปฐมาสาฒ จง่ึ ดำรสั ใหห้ มน่ื ศรพี ริ ม ขนุ พศรี หมน่ื รามรงคถ์ อื รบั สง่ั ออกไปกบั ทตู านทุ ตู เมอื งละแวก ครั้น ณ วัน ๓๑ฯ๑๘ ค่ำ ( วันอังคาร เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ ) ปีขาลอัฐศก จึ่งตรัสให้ส่ง ครอบครัวไทใหญ่ซึ่งมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารนั้นลงไปยังกรุงเทพมหาณคร สมเด็จพระราชบิดา ก็พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ไทใหญ่ทั้งปวง แล้วก็ให้ตั้งอยู่ตำบลวัดป้อม ครั้นถึงเดือน ๘ ทตุ ยิ สาฒ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ตรสั ใหข้ นุ อนิ เดชะเปน็ นายกองทพั ยกพลสามพนั ชา้ งเครอ่ื ง ๓๐* มา้ รอ้ ยหนง่ึ ไปลาดถงึ เมอื งเชยี งใหมใ่ หฟ้ งั ขาวคราวเมอื งหงษาวดดี ว้ ย ในวนั จะยกทพั นน้ั พระมหาโพธใ์ิ หญ่ ในกำแพงสนามหน้าวังนั้น หาเหตุการณ์มิได้กิ่งขวาข้างตะวันตกนั้นหักลง กิ่งใหญ่ระมาณ ๓ อ้อม ถงึ ณ วนั ๑ ฯ๕๙ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๕ คำ่ ) ขนุ อนิ เดชะกลบั ลงมาถงึ เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ แลในเดือนเก้านั้น มีพระราชกำหนดสมเด็จพระราชบิดาให้ขึ้นไปเทครัวอพยพชาวเมืองเหนือทั้งปวง ลงมายงั พระนครศรอี ยทุ ธยา สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ครน้ั แจง้ ในพระราชกำหนดดงั นน้ั ตรสั ใหเ้ ทครัว อพยพในเมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ เมอื งพไิ ชย เมอื งสวรรคโ์ ลก เมอื งสกุ โขทยั เมอื งกำแพงเพชร เมอื งพจิ ติ ร เมอื งเลก็ นอ้ ยทง้ั นน้ั ลงบรรทกุ เรอื บา้ งแพบา้ ง แลว้ แตง่ เรอื คมุ เปน็ หมวดเปน็ กอง แลแตง่ กองทพั ปอ้ งกนั สองฝง่ั ฟากนำ้ ลงมา มใิ หค้ รวั หนไี ดจ้ นถงึ กรงุ เทพมหาณคร ครน้ั ณ วนั ๖ ๙ฯ ๑๑ คำ่ ( วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๑ แรม ๙ คำ่ ) สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กเ็ สดจ็ จากเมอื งพระพศิ นโุ ลกยล์ งมายงั กรงุ พระมหาณครศรอี ยทุ ธยา พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ตรสั ให้ บำรุงการที่จะป้องกันพระนคร แลซ่อมกำแพงใต้ป้อมหอรบทั้งปวงรอบพระนคร แล้วก็ให้ขุดคูเมือง เบื้องบุรพทิศนั้นให้กว้างลึกเป็นแม่น้ำประจบกันจนอบพระนครเสร็จ ก็ให้ถ่ายข้าวเทครัวอพยพเมืองนอก ทง้ั ปวงเขา้ มาในพระนคร แล้วซ่องจัดทหารอาสาทั้งหลายทุกหมู่ทุกกรม ตกแต่งเครื่องสรรพยุทธไว้สรรพ ฝ่ายขุนศรีพิรม แลขุนพศรี ขุนรามรงค์ผู้รับสั่งนั้น ครั้นไปถึงกรุงกำภูชาธิบดี พญาลแวกก็ให้แต่งรับ แล้วจึ่งให้เบิกหมื่นศรีพิรม แลขุนพศรี ขุนรามรงค์เข้ามาเฝ้า แลได้ฟังลักษณราชอักษร พญาลแวก ก็ยินดีซึ่งจะได้เป็นพระราชไมตรี พญาลแวกให้รางวัลแก่หมื่นศรีพิรม ขุนพศรี ขุนรามรงค์นั้นมาก พญาลแวกกแ็ ตง่ ใหพ้ ระราชาอไุ ภย พระอนิ ทราเดโช พรทรงคเ์ ชนธร หลวงศรรี าชนาคอน หลวงมฤทธิ กระเชนทร หลวงณเรนทมฤทธจิ ำทลู พระราชสาสนแ์ ลเครอ่ื งบรรณาการมาดว้ ยหมน่ื ศรพี ริ ม ขนุ พศรี ขนุ รามรงค์ * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ชา้ งเครง่ื ๓,๐๐๐

๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ครั้นทูตานุทูตละแวกมาถึงพระนคร จึ่งพระบาทสมเด็บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ตรัสให้ เบกิ ทตู านทุ ตู เขา้ มาถวายบงั คม พระราชทานแกท่ ตู านทุ ตู นน้ั แลว้ กใ็ หแ้ ตง่ พระราชสาสน์ตอบพญาลแวก ใหพ้ ระศรสี าวราช ขนุ หลวงธรรมาธดิ ขนุ มงคลรตั น์ ขนุ จนั ทราเทพ ขนุ เทยี นฆราช หมน่ื ธรรมเถยี ร จำทลู พระราชสาสนแ์ ลเครอ่ื งราชบรรณาการไปดว้ ยทตู านทุ ตู อนั มานน้ั ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดี ตง้ั แตพ่ ระนะเรศพาพระมหาเถรคนั ฉอ่ งแลญาตโิ ยมกบั พญาเกยี ร พญา พระราม แลว้ กวาดเอาครวั อพยพกลบั ไปยงั พระนครศรอี ยทุ ธยา ทง้ั นนั ทสกู่ บั ราชสงั ครามเลา่ กม็ าแจง้ เหตทุ กุ ประการ ทรงพระพโิ รธคดิ อาฆาตหมายจะเอาพระนครศรอี ยทุ ธยาใหไ้ ด้ ครน้ั ถงึ ศกั ราช ๙๒๙ ปเี ถาะนพศก เดอื นสบิ ขน้ึ เกา้ คำ่ จง่ึ ตรสั ให้พระเจา้ เชยี งใหมย่ กชา้ ง ม้ารี้พลทัพบกทัพเรือประมาณแสนหนึ่ง ลงมาโดยทางเมืองกำแพงเพชร แลใหพ้ ญาพสิมผู้เป็นอา๑ ยกช้างม้ารี้พลประมาณ ๓๐,๐๐๐ มาโดยทางเมืองกาญจน์บูรีย ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่จัดช้างม้ารี้พล โดยกระบวนทพั บกทพั เรอื เสรจ็ ครน้ั ณ วนั ๕๒ฯ ๑๒ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๒ คำ่ ) เพลาเชา้ สามโมง ๖ บาท ไดม้ หาศภุ วารดถิ วี ชิ ยั ฤกษอ์ นั อดุ มกเ็ สดจ็ ทรงพระคชาธาร พรอ้ มพลแสนยากร ทวยหาญมเหาฬารดิเรกด้วยกลิ้งกลด แลฆ้องกลองแตรสังข์ศพท์พฤนทนฤนาทกึกก้อง มาโดยรัถยางควิถี ทางเมืองกำแพงเพชร แลทัพพญาพสิมนั้นยกมาถึงเมืองสุพรรณบูรียในวัน ๕ ๑ฯ ๑ ค่ำ (วนั พฤหสั บดี เดอื นอา้ ย ขน้ึ คำ่ ) ฝา่ ยทพั พระเจา้ เชยี งใหมย่ งั ไปไ่ ดม้ าถงึ เมอื งณครสวรรค์ พระบาทสมเด็จบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสรู้ข่าวว่าศึกอันยกมาทั้งสองทางนั้น ก็ตรัสให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระนะเรศวร เป็นเจ้าแลสมเด็จเอกาทฐรศเตรียมช้างม้ารี้พลทัพบกทัพเรือไว้สรรพ จึ่งให้พญาจักรีศรีองค์รักษ์ สมุหนายกเป็นกองทัพเรือ ตรัสให้พญาพระคลังเป็นยกกระบัตร ให้ยกทัพเรือนั้นไปเมืองสุพรรณบูรีย ครน้ั ทพั เรอื ไปถงึ สพุ รรบรู ยี ์ พญาพสมิ กย็ กทพั ออกมารบดว้ ยทพั กรงุ ๆ กว็ างปนื ใหญข่ ึ้นไปแต่เรือรบต้องพล ข้าศึกตายเป็นอันมาก แลทัพพญาพสิมจะตั้งอยู่มิได้ ก็เลิกออกไปโดยทางราชสิงห์ แลไปตั้งมั่นใน ตำบลเขาพญาแมน้ ถงึ ณ วนั ๔ ๒ฯ ๒ คำ่ ( วนั พธุ เดอื นย่ี ขน้ึ ๒ คำ่ ) เพลา ๒ ยามกบั ๒ นาฬกิ า ๙ บาท จึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทั้งสองพระองค์ เสด็จพยุหบาตราทัพจากพระนครศรีอยุทธยาไปโดยทาง ชลมารคเสด็จขึ้นเหยียบซึ่งชัยภูมิตำบลลุมพลิ แลให้พระพิไชยสงครามฟันไม้ข่มนาม แล้วเสด็จจาก ลุมพลิประทับเรือพระที่นั่ง ณ เมืองวิเศศไชยชาญ จึ่งเสด็จพยุหบาตราขึ้นโดยสถลมารคไปตั้งทัพหลวง ๑ ในตน้ ฉบบั สะกดวา่ อาว แปลวา่ นอ้ งชายของพอ่

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๘๓ ณ ตำบลสามขนอน แลเมื่อตั้งทัพอยู่สามขนอนนั้น ม้าตัวหนึ่งออกลูกเป็นสองตัวศีรษะเดียว มีเท้า ตัวละสี่เท้าชิงศีรษะกัน จึ่งบัญชาสั่งให้พญาศุกโขทัยเป็นนายกอง แลท้าวพญาพระหัวเมืองทั้งหลาย ยกช้างม้ารี้พลหมื่นหนึ่ง ก้าวสลักออกไปตีทัพพญาพสิม ณ เขาพญาแม้น แลพบทัพหน้าข้าศึกได้รบ พ่งุ กนั พมา่ มอญกแ็ ตกฉานลม้ ตายเปน็ อนั มาก พญาพสมิ กเ็ ลกิ ทพั รดุ หนไี ป พญาศกุ โขทยั แลขา้ หลวง ยกตามไปถงึ กาญจนบ์ รู ยี ์ จบั ไดช้ า้ งชะวี * กบั ชา้ งมา้ มาถวาย แลทพั หลวงตง้ั อยตู่ ำบลสามขนอนนั้น ๗ เวร จึ่งเสด็จยกทัพหลวงเลี้ยวมาโดยทางสพุ รรณบรู ยี กเ็ สดจ็ เขา้ พระนครศรอี ยทุ ธยา ครั้นทัพพญาพสิมแตกฉานพ่ายไปแล้วในเดือนเดียวนั้น ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่มิได้รู้ว่าพญาพสิม พ่ายไป ก็ยกทัพบกทัพเรือลงมาเมืองนครสวรรค์ แล้วยกล่วงลงมาถึงเมืองไชยนาท ก็ให้ไชยกย่อลู่ แลนันทะกะยอสูยกช้างม้าแลพลประมาณหมื่นห้าพัน ** เป็นทัพหน้าลงมาตั้งถึงบางพุทราแล บางเกย่ี วหญา้ ฝา่ ยพระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชแจง้ ขา่ ว กเ็ สดจ็ ยกทพั บกทพั เรอื ขน้ึ ไปโดย ลำน้ำใหญ่ตั้งตำบลชะไว ก็ตรัสใหพ้ ระราชมะณเู ปน็ นายกอง ขุนรามเดชะเป็นยกกระบัตร ยกทัพม้า สองร้อย แลพลทหารอาสาสามพัน ขึ้นไปตีทัพข้าศึกอันมาตั้งตำบลบางเกี่ยวหญ้า พระราชะมะณู ขุนรามเดชะก็ยกขึ้นไปตั้งเป็นทัพซุ่มอยู่ในป่า ครั้นข้าศึกออกมาเกี่ยวหญ้าช้างแลออกลาดหากินก็ดี พระราชะมะณแู ลขนุ รามเดชะกโ็ จมตฆี า่ ฟันข้าศึกไปจนค่าย ได้ช้างม้าแลเชลยส่งลงไปถวายเป็นอันมาก ไชยะกะย่อสู่แลนันทะกะยอสเู่ หน็ เหลือกำลังก็เลิกทัพคืนไปหาทัพใหญ่ ณ เมืองไชนาท พระราชะมะณู แลขุนรามเดชะตามตีข้าศึกขึ้นไปถึงค่ายใหญ่เมืองไชนาถบูรีย์ ขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่รู้ข่าวว่าทัพ พญาพสิมซึ่งยกมาทางกาญจน์บูรีย์นั้นแตกฉานพ่ายไปแล้ว ก็ปรึกษาด้วยท้าวพญาทั้งหลายว่ากำหนด พระเจ้าหงษาวดบี ัญชาให้ทัพพญาพสิมมาบรรจบพร้อมกับทัพเรา แลทัพพญาพสิมรีบรุดยกเข้ามาก่อน แล้วแตกฉานไปดังนี้ ควรจะเลิกทัพคืนไปฟังกำหนดพระเจ้าหงษาวดีก่อน อนึ่งเรายกมาครานี้ยังมิได้ บำรงุ การศกึ มาเปน็ สามารถ ทง้ั มไิ ดค้ วบทพั พรอ้ มมลู กนั จง่ึ เสยี ที บดั นเ้ี ราจะยกทพั คนื ไปกอ่ น จะบำรุง การศึกไว้ท่าพระราชกำหนดพระเจ้าหงษาวดี ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าเชียงใหม่ก็เลิกทัพ จากไชนาถบูรีย์คืนไปเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชแจ้งว่าทัพ พระเจ้าเชียงใหม่ยกเลิกไปแล้ว ก็เสด็จคืนเข้ายังพระนครศรีอยุทธยา กราบทูลประพฤติเหตุแก่สมเด็จ พระราชบดิ าทกุ ประการ * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ คา่ งชะนี ** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ พลประมาณหา้ พนั

๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ในเดือนสี่ ปีเถาะนั้น พญาลแวกก็ใช้พระอุไภยพงษาแลหลวงสุภาทิพจำทูลพระราชสาสน์ แลเครื่องบรรณาการมาด้วยพระศรีเสาวะราชแลทูตานุทูตทั้งหลายอันไปนั้น ในลักษณะพระราชสาสน์ พญาละแวกมาคราวนน้ั วา่ ขอใหห้ ลง่ั นำ้ สโิ ตทกตง้ั สมี าจารกึ สำหรบั การพระราชไมตรตี ามประเพณโี บราณ พระมหากษตั ราธริ าชเจา้ แตก่ อ่ น พระบาทสมเดจ็ บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั กแ็ ตง่ ทา้ วพญามขุ มนตรแี ล สมณพราหมณาจารยท์ ง้ั หลายไปหลง่ั นำ้ สโิ ตทก ฝา่ ยมขุ มนตรไี ซร้ เจา้ พญาจกั รศี รอี งคร์ กั สมหุ นายก เจา้ พญาศกุ โขทยั พญาเทพรณรงคฤ์ ๅไชย พระพลเทพ พระศรภี รู ปิ รชี า แลขนุ หมน่ื ทง้ั หลาย ฝา่ ยพระสงฆไ์ ซร้ สมเดจ็ พระสงั ฆราชคามวาสี อรญั วาสี พระครสู ดำ พระครเู ฉวยี ง แลพระสงฆ์ ๒๐ รปู ฝา่ ยพราหมณาจารยไ์ ซร้ พระมเหธรราชสภุ าวดี พระราชปโรหติ าจารย์ พระเทพาจารย์ พระโหราธบิ ดี แลชพี อ่ พราหมณาจารยส์ บิ คน ฝา่ ยพญากำภชู าบดกี แ็ ตง่ เจา้ ฟา้ ทละหะ พญาธรรมเดโช พญาจกั รรดั พระศรผี รู้ ปิ รชี า แลทา้ วพญาเสนาบดสี มณพราหมณาจารยใ์ นกรงุ กำภชุ ะประเทศนน้ั มา หลง่ั นำ้ สโิ ตทก จง่ึ ทา้ วพญาเสนาบดแี ลพราหมณาจารยท์ ง้ั สองฝา่ ยกช็ มุ กนั ในทา้ ยสระเกษ กแ็ ตง่ การทจ่ี ะ หลง่ั นำ้ สโิ ตทกในทน่ี น้ั ถงึ ณ วนั ๕ ๘ฯ ๑๒ คำ่ (วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๘ คำ่ ) กอปรดว้ ย ศภุ ฤกษ์ จงึ่ ฝงั สมี าจารึกสัตยาธษิ ฐานลงในศลิ าบาตร แล้วก็หลั่งน้ำสิโตทกเหนือมหาปัถพีเป็นสักขี ทพิ ยพยาน เพอ่ื จะใหพ้ ระราชไมตรสี มี ามณฑลทง้ั สองฝา่ ยมน่ั คงตรงเทา่ กลั ปาวสาน แลว้ กใ็ หอ้ ปุ สมบทกรรม ภกิ ษุ ๖ รปู ในทน่ี น้ั ขณะเมอ่ื พระเจา้ เชยี งใหมเ่ ลกิ ทพั ขน้ึ ไปถงึ เมอื งเชยี งใหม่ ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดแี จง้ กท็ รงพระโกรธ วา่ พระเจา้ เชยี งใหมม่ ไิ ดย้ กลงไปโดยกำหนด จง่ึ ไมท่ นั กองทพั พญาพสมิ ๆ จง่ึ เสยี ทแี กข่ า้ ศกึ [ จบเลม่ ๖ ] ครน้ั ศกั ราช ๙๓๐ ปมี ะโรงสมั ฤทธศิ ก * พระเจา้ หงษาวดดี ำรสั ให้พญาอไภยคามนกี บั ซกั แซก กะยอ่ ถาง สมงิ โยคราช ๓ นายไปกำกบั ทพั เชยี งใหม่ ใหเ้ รง่ ยกลงไปตเี อาพระนครศรอี ยทุ ธยาใหไ้ ด้ พระเจ้าเชียงใหม่แจ้งในพระราชกำหนด ก็จัดช้างม้ารี้พลทัพบกทัพเรือพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ใหพ้ ญาเชยี งแสนถอื พลหมน่ื หา้ พนั ชา้ งเครอ่ื งรอ้ ยหา้ สบิ มา้ พนั หนง่ึ เปน็ ทพั หนา้ ครน้ั เดอื นสบิ สอง ก็ยกจากเมืองเชียงใหม่โดยทางเมอื งลี แลทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกมาครั้งนั้นพลแสนหนึ่ง ช้างเครื่อง สามร้อย ม้าสามพัน เรือรบเรือลำเลียงพันลำ แล้วเคลื่อนทัพบกทัพเรือลงมาตั้งซุ่มพล ณ เมอื งณะครสวรรค์ ใน วนั ๓ ๑ฯ ๑ คำ่ ( วนั องั คาร เดอื นอา้ ย ขน้ึ คำ่ ) ฝา่ ยพระบาทสมเดจ็ บรมบพติ ร * ในพระราชพงศาวดารฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) ว่า ศักราช ๙๓๘ ปีชวดอฐั ศก

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๘๕ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ทราบขา่ วศกึ ยกมาดงั นน้ั กด็ ำรสั ใหถ้ า่ ยขา้ วเทครวั เขา้ ในพระนคร แลว้ ใหต้ รวจจดั รพ้ี ล แลเครอ่ื งสรรพยทุ ธไวส้ ำหรบั หนา้ ทก่ี ำแพงรอบพระนคร แลว้ จง่ึ มพี ระราชกำหนดใหน้ ายกองทหารอาสาทง้ั ปวง คมุ พลเปน็ หลายกอง ยกออกไปซอ่ งคนซง่ึ ซา่ นเซน็ อยปู่ า่ แลว้ ยกเปน็ กองโจรคอยกา้ วสกดั ตโี ดยทางขา้ ศกึ จะยกมา อยา่ ใหอ้ อกลาดหากนิ ไดส้ ะดวก ฝ่ายพญาละแวกแจ้งข่าวออกไปว่า กองทัพเมืองหงษาวดียกมากระทำแก่พระนครศรีอยุทธยา จง่ึ ดำรสั ปรกึ ษาทา้ วพญาเสนามขุ มนตรวี า่ กรงุ กำภชู าธบิ ดกี บั พระนครศรอี ยทุ ธยาพง่ึ เปน็ ทางพระราชไมตรี ก็จะไม่ถาวรวัฒนาสืบไป จำจะให้กองทัพยกไปช่วย ท้าวพญาเสนามุขมนตรีทั้งปวงก็เห็นพร้อมด้วย พญาละแวกกใ็ หพ้ ระศรีสุพรรมาธิราชผู้เป็นพระอนุชาถือพลหมื่นหนึ่ง ช้างเครื่องร้อยหนึ่ง ม้าสามร้อย ยกเข้ามาช่วยทางด่านเมืองประจินทบูรีย์ กรมการบอกเข้ามาให้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำรัสให้ หลวงราชเสนา หลวงราชภกั ดี ขนุ พพิ ติ รวาที หมน่ื พจนาพจี ตี ร์ออกไปรบั พระศรสี พุ รรมาธริ าชเขา้ มาเฝา้ แลว้ ตรสั ใหก้ องทพั เขมรตง้ั อยตู่ ำบลวดั พระผแนงเชงี ครั้น ณ วัน ๕ ฯ๒๑ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือนอ้าย แรม ๒ ค่ำ ) พระเจ้าเชียงใหมย่ กทัพบก ทัพเรือล่องลงมาตั้งค่ายมั่นตำบลสระเกษ แล้วแต่งให้เจ้าเมืองพเย่าคุมทัพม้าพันหนึ่งไปลาดจับคน ดกู องทพั กรงุ จะออกตง้ั อยตู่ ำบลใดบา้ ง เจา้ เมอื งพเยา่ ยกทพั มา้ มาถงึ สะพานขายขา้ ว กเ็ ทย่ี วเผาบา้ นเรอื นเสยี ฝ่ายสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับพระอนุชาธิราชทราบดังนั้น ก็เสด็จโดยชลมารคถึงสะพาน ขายขา้ ว ใหท้ หารยกขน้ึ ไปไดร้ บกนั ถงึ ตะลมุ บอน ยงิ แทงถกู เจา้ เมอื งพเยากบั ทหารตกมา้ ตาย ๒๐ คน เจบ็ ปว่ ยลม้ ตายเปน็ อนั มาก ทพั มา้ ทง้ั นน้ั กแ็ ตกถอยไป ไดม้ า้ ๒๐ มา้ แลว้ เสดจ็ คนื เขา้ พระนคร ครน้ั ถงึ เดอื นหา้ ปมี ะเสง็ เอกศก พระเจา้ หงษาวดดี ำรสั ใหพ้ ระมหาอปุ ราชาถอื พลหา้ หมน่ื * ลงมา ตั้งทำนา ณ เมืองกำแพงเพชร แล้วแต่งหนังสือรับสั่งให้สมิงพัตเบิดถือไปถึงพระเจ้าเชียงใหม่ว่า อันพระนครศรีอยุทธยานั้นแม่น้ำเป็นคูรอบ แต่องค์สมเด็จพระราชบิดาเรามีบุญบารมีปราบได้ถึงสิบทิศ ยงั ทำการปี ครง้ั นท้ี ง้ั พระมหาธรรมราชามรี าชบตุ รสององค์ การสงครามกอ็ งอาจกลา้ หาญ ถงึ มาตรวา่ พลทหารเราจะมากกวา่ รอ้ ยเทา่ กด็ ี อนั จะหมน่ิ หกั เอาโดยเรว็ เหมอื นเมอื งทง้ั ปวงนน้ั มไิ ด้ จำจะคดิ เปน็ การปี จึ่งจะได้ บัดนี้ก็ให้พระมหาอุปราชาถือพลห้าหมื่นยกหนุนลงมาตั้งทำนา ณ เมืองกำแพงเพชร * ในพระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ๒๐,๐๐๐

๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ใหพ้ ระเจ้าเชียงใหม่ตั้งมั่นไว้ อย่าให้ชาวพระนครออกหักได้ แล้วให้ทำนาตั้งยุ้งฉางผ่อนเสบียง ณ เมืองเชียงใหม่ลงไปไว้จงมาก ประการหนึ่งให้แต่งออกลาดอย่าให้ทำไร่นาลงได้ พระนครศรีอยุทธยา จึ่งจะผอม ออกพระวษาแล้วทัพหลวงจะเสด็จไปพร้อมกันจะหักเอาทีเดียว พระเจ้าเชียงใหม่ได้แจ้ง พระราชกำหนดพระเจ้าหงษาวดีดังนั้น ก็ให้ขยายค่ายขุดคูตั้งป้อมพูนเชิงเทินหอรบมั่นคงตามรับสั่ง แลว้ แตง่ กองออกเทย่ี วลาดเปน็ หลายกอง ไดร้ บกนั กบั กองตระเวนชาวพระนคร ๆ ตแี ตกไปเปน็ หลายครง้ั ทจ่ี บั ไดเ้ ปน็ กส็ ง่ เขา้ ไปถวาย ถามไดเ้ นอ้ื ความแจง้ สน้ิ ทกุ ประการ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึ่งดำรัสแก่พระบรมโอรสทั้งสองพระองค์ว่า พระเจ้าหงษาวดีคิดการปี ให้พระมหาอุปราชาผู้เป็นพระราชบุตรถือพลห้าหมื่น ยกมาตั้งทำนาอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร พระเจ้า เชียงใหม่ถือพลแสนหนึ่งยกมาตั้งมั่นอยู่ตำบลสระเกษ ปลูกยุ้งฉางถ่ายเสบียงลงมาไว้ ออกพระวษาแล้ว ทพั พระเจา้ หงษาวดจี ะยกมาบรรจบกนั ซง่ึ เราจะละไวใ้ หท้ พั ประชมุ กนั เขา้ ทง้ั สามทพั นน้ั กำลงั ศกึ กจ็ ะมากขน้ึ จะหนักมือเหนื่อยแรงทหารนัก ทั้งไพร่ฟ้าประชากรก็จะมิได้ทำไร่นา กำลังพระนครก็จะถอยลงมา เราจะยกไปตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่เสียก่อนอย่าให้ตั้งอยู่ได้ ประการหนึ่งก็จะได้ชมฝีมือทหารทั้งปวงด้วย สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชกราบถวายบังคมฉลองพระราชโองการว่า อันทัพ พระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งมาตั้งอยู่ตำบลสระเกษนี้ ชีวิตข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ใต้เบื้องบาท อย่าได้ทรงพระวิตก เลยจะตีเสียให้เลิกไปจงได้ สมเด็จพระราชบิดาได้ทรงฟังพระราชโอรสทั้งสองทูลดังนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ จึ่งสั่งให้ตรวจพลแปดหมน่ื ชา้ งเครอ่ื งหา้ รอ้ ย มา้ พนั หนง่ึ เรอื รบหา้ รอ้ ยลำ ทพั บกทพั เรอื สรรพ ครน้ั ณ วนั ๑ ฯ๗๕ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๗ คำ่ ) เพลารงุ่ แลว้ ๔ นาฬกิ ากบั บาทหนง่ึ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั พระอนชุ าธริ าชกย็ กไปตง้ั ทพั ชยั ตำบลลมุ พลิ ถงึ ณ วนั ๗๑ฯ๐๕ คำ่ ( วนั เสาร์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ) สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็ตรัสให้เทียบเรือรบเรือไล่ ทง้ั ปวง แลว้ เสดจ็ ดว้ ยชลวมิ านขน้ึ ไปถงึ ปา่ โมกนอ้ ยเพอ่ื จะดกู ำลงั ขา้ ศกึ ฝา่ ยพระเจา้ เชยี งใหมแ่ จง้ วา่ กอง ตระเวนได้รบกับกองทัพกรุงเป็นหลายครั้งแตกขึ้นมา จึ่งแต่งสะเรนั้นทะสคู่ มุ ทหารห้าพัน ช้างเครื่อง สามสบิ มา้ หา้ รอ้ ยยกเขา้ มาปา่ โมกนอ้ ย แลว้ แตง่ ใหพ้ ญาเชยี งแสนเปน็ นายกองทพั หนา้ คมุ พลทหารหมน่ื หนง่ึ ชา้ งเครอ่ื งหนง่ึ รอ้ ย มา้ หา้ รอ้ ยยกตามลงมาอกี ทพั หนง่ึ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช แจ้งว่าข้าศึกยกมา ก็ให้เทียบเรือรบเรือไล่ทั้งปวงเข้าฝั่ง ให้พลทหารอาสาขึ้นบกยกเข้าไปตั้งต่อข้าศึก แลว้ กเ็ สดจ็ ขน้ึ จากพระชลวมิ านทง้ั สองพระองค์ ทรงสพุ รรณรตั นป์ าทกุ า จง่ึ ตรสั ใหพ้ ลทหารทง้ั ปวงขน้ึ ยว่ั ขา้ ศกึ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทรงพระแสงนกสบั ยงิ ถกู นายมา้ ผดู้ ี หม่ เสอ้ื สกั หลาดแดง ขดั ดาบบง้ั ทอง

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๘๗ ตกลงจากมา้ ตาย จง่ึ ชาวทหารเขา้ ตดั เอาศรี ษะนายมา้ นน้ั ไดท้ ง้ั เสอ้ื สกั หลาดแลดาบบง้ั ทองกับม้ามาถวาย ฝ่ายข้าศึกอันยกมานั้นก็พ่ายไป ทหารอาสาก็ไล่ฟันแทงขึ้นไปปะทะกับพญาเชียงแสน ๆ เห็นดังนั้นก็ให้ แยกพลออกรับตีประดาลงไป ทหารกรุงเห็นเหลือกำลังก็ถอยล่อรับลงมา สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเห็นข้าศึกยกออกมาตีทหารเสียทีจะลงเรือมิทัน จึ่งเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งขึ้นไป เหนือคลองป่าโมกน้อย แลขนานเรือพระที่นั่งทั้งสองลำ เสด็จอยู่กันพลเรือรบแลทหารอันอยู่ริมน้ำนั้น ข้าศึกก็วางช้างม้ารี้พลมาถึงริมน้ำแลได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จ พระอนชุ าธริ าชทรงพระแสงปนื นกสบั ยงิ ตอ้ งขา้ ศกึ ตายมาก ขา้ ศกึ พงุ่ ศสั ตราวธุ ตกถงึ เรอื พระทน่ี ง่ั จึ่ง พระบาทสมเดจ็ พระราชอนชุ ากใ็ หส้ อดเรอื พระทน่ี ง่ั เสดจ็ เขา้ ไปขา้ งฝง่ั กนั เรอื พระทน่ี ง่ั สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช แลว้ ดำรสั สง่ั ใหย้ งิ ปนื ใหญใ่ นเรอื รบเรอื ไลท่ ง้ั ปวงขน้ึ ไปตอ้ งชา้ งมา้ ขา้ ศกึ แลพลตายมาก ขา้ ศกึ ทง้ั ปวงกพ็ า่ ยไป สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ จง่ึ ตรสั แกส่ มเดจ็ พระอนชุ าธริ าชแลทา้ วพญานายทพั นายกองทง้ั ปวงวา่ พระเจา้ เชียงใหมย่ กทัพแสนหนึ่งลงมาตั้งอยู่ ณ สระเกษ ถึงสี่เดือนห้าเดือนแล้ว พง่ึ ไดเ้ หน็ ฝมี อื กำลงั ทหารวนั น้ี ดีร้ายจะเป็นบ่าสงคราม ในสองวันสามวันนี้จะยกมาอีก ถ้ายกลงมาเราจะตีให้ถึงค่ายสระเกษทีเดียว ตรสั เทา่ นน้ั กม็ ไิ ดเ้ สดจ็ กลบั ลงมาลมุ พลี ตง้ั อยู่ ณ ปา่ โมก ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่แจ้งว่าสะเรนั้นทะสู่ พญาเชียงแสนแตกขึ้นไปก็ทรงพระโกรธ สั่งให้ ประหารชีวิตเสีย พญาพเย่าน้องพระเจ้าเชียงใหม่กับท้าวพญาแสนขุนแสนหมื่นทูลขอโทษให้แก้ตัว พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้โทษแต่ทว่าให้ไปตระเวนประจานรอบทัพ แล้วตรัสปรึกษาแก่นายทัพนายกอง แสนทา้ วพญาลาวทง้ั ปวงวา่ พญาเชยี งแสน สะเรนนั ทะสแู่ ตกขา้ ศกึ ขน้ึ มา พระนะเรศวรพน่ี อ้ งจะมใี จ กำเรบิ จะยกขน้ึ มาตถี งึ คา่ ยเรา เราคดิ วา่ จะยกลงไปหกั เสยี กอ่ น ทา้ วพญานายทพั นายกองทง้ั ปวงกเ็ หน็ ดว้ ย พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้โหรหาฤกษ์ ณ วัน ๕ ๒ฯ ๕ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ ) เพลาตีสิบทุ่ม ห้าบาท จึ่งบัญชาให้ตรวจเตรียมกองทัพ ให้พญาเชียงแสน สเรนันทะสู่ถือพลหมื่นห้าพันเป็น ทัพหน้าแก้ตัว ทัพพระเจ้าเชียงใหม่พลหกหมื่น ชา้ งเครอ่ื งสามรอ้ ย มา้ พนั หนง่ึ ครน้ั ถงึ ณ วนั ๕ ฯ๒ ๕ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๕ แรม ๒ คำ่ ) เพลาตสี บิ เอด็ ทมุ่ หา้ บาท ก็ยกลงมา ขณะเมื่อพระเจ้าเชียงใหม่คิดเตรียมทัพจะลงมาตีนั้น ฝ่ายสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า ตรัสแก่ท้าวพญามขุ มนตรวี า่ เราตที พั เชยี งใหม่แตกขน้ึ ไป เหน็ ประหนง่ึ จะยกเพม่ิ เตมิ กนั มาอกี ถงึ สองวนั สามวนั แลว้ กม็ ไิ ดย้ กลงมา ณ วนั ๕ ๒ฯ ๕ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๕ แรม ๒ คำ่ ) เราจะยกขน้ึ ไปให้ ทหารยั่วดูสักทีเพลาหนึ่ง ท้าวพญานายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันโดยพระราชบริหาร จึ่งสั่งให้

๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พระราชมณถู อื พลหมน่ื หนง่ึ ข่ชี า้ งตน้ พลายพทั กนั ชา้ งนายทพั นายกองขย่ี ส่ี บิ ชา้ ง มธี งสามชายสำคญั ทกุ ตวั ชา้ งเปน็ ทพั หนา้ ชน้ั หนง่ึ ใหพ้ ญาศกุ โขทยั ถอื พลหมน่ื หนง่ึ ขช่ี า้ งตน้ พลายสงั หารคชศรหี ์ ชา้ งนายทพั นายกองขี่ยี่สิบช้าง มีธงสามชายสำคัญทุกตัวช้างเป็นทัพหน้าชั้นสอง ให้ยกในเดือนห้า แรมสองค่ำ เพลาบ่ายไปตั้งอยู่ต้นทาง ครั้นเพลาสิบเอ็ดทุ่ม สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงเครอ่ื งศริ ริ าชปลิ นั ทนาลงั การยทุ ธ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทรงชา้ งตน้ พลายมงคลทวบี เปน็ พระคชาธาร สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงช้างต้นเจ้าพญาปราบไตรจักรเป็นพระคชาธาร พร้อมช้างดั้งกันแทรกแซง ล้อมวังพังคาร้อยหนึ่งกับพลทหารสามหมื่น ก็เสด็จพยุหบาตราทัพโดยทางสถลมารควิถี พอแสงทินกร เรื่อเรืองโพยมมาศ ทัพหน้าพระเจ้าเชียงใหม่กับทัพพระราชมาณปู ะทะรบกันตำบลบางแก้ว ทัพหลวง เสดจ็ ถงึ ตำบลบางแหไดย้ นิ เสยี งปนื รบ กม็ ไิ ดย้ กหนนุ พระราชมาณขู น้ึ ไป เขา้ ซมุ่ ทพั อยใู่ นปา่ จกิ ปา่ กะทมุ่ ฟากทางตะวันตก จึ่งใช้ให้หมื่นทิพรักษากับม้าเร็วสิบม้าขึ้นไปสั่งพระราชมาณูให้ล่าถอยลงมา ทัพหลวง จะยอ่ กลาง พระราชมาณกู บ็ อกลงมาใหก้ ราบทลู วา่ ศกึ ไดร้ บตดิ พนั กนั อยแู่ ลว้ ถา้ ถอยกจ็ ะแตก พระราช มาณกู ม็ ไิ ดถ้ อย สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กใ็ หห้ มื่นทิพรักษา* ขึ้นไปสั่งอีก พระราชมาณูก็มิได้ถอย หมื่นทิพรักษากลับลงมากราบทูลก็ทรงพระโกรธตรัสว่าให้กลบขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง ถ้ามันยังขัดมิถอยให้เอา ศีรษะลงมา หมื่นทิพรักษากลับขึ้นไปแจ้งตามรับสั่ง พระราชมาณแู จง้ รบั สง่ั ตกใจใหโ้ บกธงฝา่ ยซา้ ยเปน็ สำคญั พญาศกุ โขทยั ทหารทง้ั ปวงเหน็ ดงั นน้ั กข็ ยายลา่ ถอยลงมา ฝา่ ยทหารเชยี งใหมส่ ำคญั วา่ แตกกโ็ หร่ อ้ งไลร่ กุ โจมตลี งมา ทหารมา้ กว็ างมา้ ทหารชา้ งกข็ บั ชา้ ง พระเจา้ เชยี งใหมด่ พี ระทยั กเ็ รง่ พลขบั ชา้ งทน่ี ง่ั ตามเปน็ กองหนา้ ลงมามไิ ดเ้ ปน็ กระบวน สมเดจ็ พระนะเรศวร เป็นเจ้าเห็นข้าศึกเสียกระบวน จึ่งให้ลั่นฆ้องโบกธงเป็นสำคัญ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จ พระอนุชาธิราชก็ขับพระคชาธาร แลดารี้พลช้างม้าโยธาหาญเข้ายอกลางทัพข้าศึกจนถึงอาวุธสั้น ฝ่ายพระราชมาณู พญาศุกโขทัยเห็นดังนั้นก็ต้อนพลตีกระหนาบขึ้นมา ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ก็แตกพ่ายไป สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็เสด็จตามตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่ แตกฉานยบั เยนิ ไมค่ มุ กนั ได้ พลทหารชาวกรงุ กไ็ ลฟ่ นั แทงพลขา้ ศกึ ทง้ั นายแลไพรต่ ายรมิ ทาง แลกลางทงุ่ นน้ั มากนกั แลทา้ วพญาฝา่ ยขา้ ศกึ คอขาดกบั คอชา้ งในยทุ ธภมู นิ น้ั คอื พญาพยาวนอ้ งพระเจา้ เชยี งใหม่ พญาลอ่ พญากาว พญานครลา้ นชา้ ง พญาเชยี งราย มางยามะงบิ สมงิ โยคราช เจพะยะอางขะบนู สะเรนนั ทะสู่ เมอื งเตรนิ แสนเชียงใหม่ตายในที่นั้นประมาณพันเศษ ได้ช้างใหญ่ยี่สิบช้าง ม้าร้อยเศษ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชกเ็ สดจ็ ตามตที พั พระเจา้ เชยี งใหมไ่ ปถงึ ปากนำ้ ฉะไว้ * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ขนุ นรนิ ทรเสนี

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๘๙ ฝ่ายสมเด็จพระราชบิดาดำรัสให้เตรียมรี้พล แลเรือพระที่นั่งดั้งกันเรือรบเรือไล่พร้อมเสร็จ แลว้ พระราชทานเรอื พระทน่ี ง่ั รอง แลเรอื ทง้ั ปวงใหพ้ ระศรสี พุ รรมาธริ าช นอ้ งพญาละแวกโดยเสดจ็ มาดว้ ย ครน้ั ณ วนั ๗ ฯ๔๕ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื น ๕ แรม ๔ คำ่ ) เพลารุ่งแล้วห้าบาทได้ศุภฤกษ์ สมเด็จ กย็ กรดุ รบี เขา้ ในคา่ ยหลวง ในวนั นน้ั เพลาจวนคำ่ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนุชาธิราช ตง้ั ทพั หลวงอยู่ ณ ปากนำ้ ฉะไว จง่ึ มพี ระราชกำหนดแกท่ า้ วพญาพระหวั เมอื งทง้ั หลายวา่ เพลายำ่ รงุ่ จะ ยกพลทหารเขา้ หกั คา่ ยพระเจา้ เชยี งใหม่ ฝา่ ยพระเจา้ เชยี งใหมแ่ ตกขน้ึ ไปถงึ คา่ ยเสยี พระทยั มไิ ดค้ ดิ ทจ่ี ะรบ ครน้ั แจง้ วา่ กองทพั พระนะเรศวรยกตามขน้ึ มาถงึ ปากนำ้ ฉะไว เกรงจะรบั มอิ ยหู่ นกี ม็ พิ น้ ครน้ั เพลาคำ่ กข็ น้ึ ชา้ งเรว็ เลกิ ทพั รบี หนไี ป ครน้ั รงุ่ ขน้ึ ณ วนั ๗ ๔ฯ ๕ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื น ๕ แรม ๔ คำ่ ) เพลาเชา้ โมงเศษ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชเสดจ็ ยกพยหุ โยธาทพั ใกลถ้ งึ คา่ ยสระเกษ กแ็ จง้ วา่ พระเจา้ เชยี งใหมเ่ ลกิ ทพั หนไี ปถงึ ปากนำ้ บางพทุ ทรา มไิ ดท้ นั พระเจา้ เชยี งใหม่ ทหารกองหนา้ จบั ไดพ้ ญาเชยี งแสน ลกู พญาเชยี งแสน แลแสนหลวงลา่ มแขก มางจอ่ จวยลกู แมน้ ๑ พระเจา้ เชยี งใหม่ แตไ่ ดช้ า้ งพงั พลายใหญ่ *ศอกนิ้ว ร้อยยี่สิบช้าง ได้ม้าร้อยเศษ แต่ช้างใหญ่ ๑๐๖ ( ๖ ศอกคบื ) มีเศษ พลายจะนาจ์ศักดิ์ ๑ พลายปวงหลรู่ ายภกั ๑ พลายหลุ ะเกยี นกะหยอ ๑ พลายพไิ ชยโกลา ๑ พลายมหั รดุ ๑ ตองอู ๑ พลายมนี จกั รพรรด๑ิ พลายสงิ ดา ๑ พลายมงคลชาตรี ๑ พลายแขแม ๑ พลายแกว้ ไกรลาศ ๑ พลายอโุ บสถา ๑ ช้างท่ีน่ังพระเจา้ เชยี งใหมพ่ ลายมหาเมฆ ๑ พลายหตั ถริ าชา ๑ พลายเกดิ สวสั ดิ ๑ พลายภาพยาว ๑ พลายยาตรา ๑ พลายแปร ๑ พลายศรีบุญเรือง ๑ พลายรำชาย ๑ พลายมหากุณทล ๑ แต่ได้ช้าง สงู ใหญ่ ๒๐ ชา้ ง แลไดพ้ มา่ มอญ ลาวเชยี งใหมแ่ ลชาวไทยใหญช่ ายหญงิ หมน่ื เศษ ไดเ้ รอื รบเรอื เสบยี ง สร่ี อ้ ยเศษ แลไดเ้ ครอ่ื งสรรพยทุ ธ เครื่องช้าง เครื่องม้า ปืนใหญ่ จ่ารงค์ มณฑก นกสับมาก แลไดเ้ ครอ่ื งราชาบรโิ ภคพระเจา้ เชยี งใหม่ แตรเงนิ แตรทอง กระโจมหมุ้ ทองสำรบั หนง่ึ สมเดจ็ พระนะเรศวร เปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชแตง่ ทหารกำหนดใหต้ ามพระเจา้ เชยี งใหมใ่ หถ้ งึ เมอื งณครสวรรค์ แลทพั หลวง ตง้ั อยบู่ างพทุ รา ประทบั แรมอยทู่ ง้ั ทพั บกทพั เรอื เวรหนง่ึ ครั้น ณ วัน ๑ ฯ๕๕ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๕ แรม ๕ ค่ำ ) ฝ่ายสมเด็จพระราชบิดาเสด็จ ถึงบางพุทรา พระราชโอรสทั้งสองพระองค์มาเฝ้ากราบถวายบังคมทูลสุร่ายเรื่องยุบลซึ่งได้รณรงค์ข้าศึก ๑ น่าจะหมายถึง ลูกเลี้ยง หรือ ลูกบุญธรรม * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติ และพระราชพงศาวดาร ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ไดม้ า้ ๕๐๐ เศษ

๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ มชี ยั ชำนะถวายเสรจ็ สน้ิ ทกุ ประการ สมเดจ็ พระราชบดิ าไดท้ รงฟงั ทรงพระโสมนสั ยนิ ดี เสดจ็ ประทบั แรม อยู่สองเวร ครั้นรุ่งขึ้น ณ วัน ๓ ๗ฯ ๕ ค่ำ ( วันอังคาร เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ ) เพลาบ่าย ๓ โมง สมเดจ็ พระราชบดิ ากเ็ ลกิ ทพั คนื เขา้ พระนครโดยชลมารค ครั้น ณ วัน ๖๑ฯ๐๕ ค่ำ (วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๑๐ ค่ำ ) กองทัพซึ่งไปตามพระเจ้าเชียงใหม่ กลับมาถึง สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็เลิกทัพเสด็จด้วยพระชลวิมาน พรอ้ มดว้ ยดั้งกันนำตาม ครั้นถึงตำบลโพธิ์สามต้นทอดพระเนตรเห็นเรือพระศรีสุพรรมาธิราช กับเรือ นายทัพนายกองเขมรทั้งปวงจอดอยู่ ณ ฝั่งฟากตะวันตก แต่พระศรีสุพรรมาธิราชนั้นมิได้หมอบ นั่งดู เสดจ็ อยู่ กท็ รงพระพโิ รธใหร้ อเรอื พระทน่ี ง่ั ไว้ แลว้ ดำรสั ใหห้ ลวงพไิ ชยบรุ นิ ทรา ตดั เอาศรี ษะลาวเชลย ซึ่งจับได้นั้น ไปเสียบไว้ตรงเรือพระศรีสุพรรมาธิราช หลวงพิไชยบูรินทราก็ไปทำโดยรับสั่ง สมเด็จ พระนะเรศวรเป็นเจ้ากับพระอนุชาธิราชก็เสด็จเข้าพระนคร ฝ่ายพระศรีสุพรรมาธิราชเห็นดังนั้นก็น้อย พระทยั คดิ อาฆาต มไิ ดว้ า่ ประการใดกล็ อ่ งเรอื มาทอ่ี ยู่ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ออกพรอ้ มดว้ ย ท้าวพญาเสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวง จึ่งดำรัสว่าซึ่งพญาละแวกให้พระศรีสุพรรมาธิราชผู้เป็นอนุชา ยกกองทพั เขา้ มาชว่ ยงานพระราชสงครามจนเสรจ็ นน้ั ขอบใจ ใหพ้ ระราชทานพานทองคำกบั สนองพระองค์ อยา่ งเทศอยา่ งนอ้ ย แลนายทพั นายกองเขมรทง้ั ปวงนน้ั กพ็ ระราชทานเสอ้ื ผา้ โดยสมควร พระศรสี พุ รรมาธริ าช กบั พญาเขมรทง้ั ปวงกราบถวายบงั คมลากเ็ ลกิ ทพั กลบั ไปพระนคร ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่แตกขึ้นไปถึงเมืองกำแพงเพชร ไปเฝ้าพระมหาอุปราชา แจ้งการซึ่งได้รบ กับกองทพั พระนะเรศวรจนแตกขน้ึ มาเสรจ็ สน้ิ ทกุ ประการ พระมหาอปุ ราชากเ็ สยี พระทยั จง่ึ แตง่ ทหารมอญ ออกก้าวสกัดต้นทาง พลชาวเชียงใหม่ตกกระจัดกระจายขึ้นมานั้นประมวลกันเข้าได้แล้ว ก็ให้พระเจ้า เชียงใหม่ตั้งอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรด้วย แล้วบอกหนังสือส่งตัวพญาอไภยคามณี ซักแซกยอถาง ซง่ึ กำกบั พระเจา้ เชยี งใหมใ่ หเ้ ชยี งพละกำกองรบี ไป ณ เมอื งหงษาวดี พระมหาอปุ ราชากเ็ กณฑก์ นั ใหร้ บี ทำไร่นา ใหพ้ ระเจา้ เชยี งใหมท่ ำเรอื กระจงั เหลา่ คา ฝ่ายพระศรีสุพรรมาธิราชนั้นคิดแค้นอยู่มิได้ขาด ครั้นไปถึงเมืองละแวกขึ้นเฝ้ากราบทูลว่า ซึ่งรับสั่งให้ข้าพระบาทยกเข้าไปช่วยการสงครามพระนครศรีอยุทธยาครั้งนี้ได้ความอัปยศนัก ด้วย พระนะเรศวรดูหมิ่นหยาบช้า ให้ตัดเอาศีรษะเชลยมาเสียบไว้ริมเรือตรงหน้าข้าพระบาท ความแค้น ความอายปิ่มจะไม่เห็นฟ้าแลดิน พญาละแวกแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสว่าเราก็เป็นกษัตริย์มาดู หมน่ิ กนั ดงั น้ี ไหนกรงุ กำภชู าธบิ ดกี บั กรงุ ศรอี ยทุ ธยาจะเปน็ พระราชไมตรกี นั สบื ไปได้

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๙๑ ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดแี จง้ วา่ พระเจา้ เชยี งใหมแ่ ตกขน้ึ มาเสยี ไพรพ่ ลมากกท็ รงพระโกรธ คดิ จะเอาโทษ ก็เกรงจะเสียเมืองลาว จึ่งตอบลงมาว่าครั้งก่อนกำหนดให้พระเจ้าเชียงใหม่ยกไปบรรจบกับทัพพญาพสิม ก็ไม่ไปทัน จนเสียทัพพญาพสิมครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ยกพลลงไปถึงแสนหนึ่ง ก็แตกแก่ข้าศึกขึ้นมา ทำการมิได้มั่นคงดุจทารกโคบาล ให้เสียรี้พลมากมายข้าศึกได้ใจดังนี้ เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่มิได้มีความ ละอายไม่ไว้เกียรติยศในแผ่นดินแล้วก็แล้วไปเถิด ออกพระวษาแล้วทัพหลวงจะยกไปกระทำ อย่าให้ พระเจ้าเชียงใหม่ตั้งอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรเลย ให้เป็นกองทัพลำเลียงขึ้นไปจัดแจงเสบียงอาหาร ณ เมืองเชียงใหม่ ผ่อนลงไปไว้ให้พอพลสามแสนอย่าให้ขัดสนได้ ถ้าขัดสนด้วยเสบียงอาหารมิทันมิพอ สามแสนจะมีโทษ ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้วก็ส่งให้พละกำกองถือกลับลงมา ณ เมืองกำแพงเพชร ฝา่ ยพระเจา้ เชียงใหม่ได้แจ้งรับสั่งดังนั้นก็กลัวพระราชอาญา ลาพระมหาอุปราชากลับขึ้นไป ณ เมือง เชยี งใหมร่ ัดทำการลำเลยี งตามรบั สง่ั ครน้ั ถงึ เดอื นสบิ สอง ปมี ะเสง็ เอกศก พระเจา้ หงษาวดยี กชา้ งมา้ รพ้ี ลมาโดยทางเชยี งทอง แลชมุ พล ทางบกทางเรือทั้งปวง ณ เมืองกำแพงเพชร ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยกทัพลำเลียงลงมาถึง ทัพพระเจ้า หงษาวดพี ลสองแสน ชา้ งเครอ่ื งพนั หนง่ึ มา้ เจด็ พนั แลเรอื กะจงั เหลาคาพนั หนง่ึ ฝา่ ยพระมหาอปุ ราชา ช้างเครื่องสี่ร้อย ม้าสามร้อย พลห้าหมื่น กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่เป็นทัพลำเลียง เรือรบเรือลำเลียง หา้ รอ้ ย พลสองหมน่ื พระเจา้ หงษาวดยี กชา้ งมา้ รพ้ี ลลงมาถงึ เมอื งนครสวรรค์ ใหท้ พั พระมหาอปุ ราชาแล พญาตองอยู กมาทางฟากตะวนั ออก ใหพ้ ระเจา้ เชยี งใหมค่ มุ ทพั เรอื ทพั พระเจา้ หงษาวดยี กมาฟากตะวนั ตก ถึง ณ วัน ๕ ๒ฯ ๒ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ) พระเจ้าหงษาวดีก็ยกทัพใหญ่เข้ามาตั้งมั่น ตำบลขนอนปากคู แลใหม้ งั หมวดลูกพระเจ้าหงษา แลพญาพระรามมาตั้งตำบลมขามหย่องทัพหนึ่ง ให้ตั้งค่ายขุดคูเอามูลดินพูนค่ายขึ้นเป็นกำแพงดิน ให้พญาณครมาตั้งตำบลปากน้ำพุทราเลาทัพหนึ่ง พลหมื่นห้าพัน ให้นันทสูมาตั้งตำบลขนอนบางล่างฟากตะวันออกทัพหนึ่ง พลห้าพัน เรือกะจังเหลาคา สร่ี อ้ ยลำ ฝ่ายพระมหาอุปราชาแลพญาตองอูยกทัพมาโดยทางลพบูรีย์ แล้วเข้ามาตั้งทัพมั่นตำบล ชายเคือง พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสให้ตกแต่งการป้องกันพระนครนั้นมั่นคงแล้ว ก็ให้ชุมท้าวพญาพฤฒามาตย์เสนามนตรีข้าทหารทั้งหลาย จึ่งมีพระราชบริหารตรัสปรึกษาการศึกว่า พระเจา้ หงษาวดยี กทพั มาคราวนใ้ี หญห่ ลวง เหน็ จะไดร้ บพงุ่ กนั เปน็ สามารถยง่ิ กวา่ ศกึ พระเจา้ เชยี งใหม่ ยกมาคราวกอ่ นนน้ั แลเราอยา่ เพอ่ ยกทพั ใหญอ่ อกรบกอ่ น ใหท้ า้ วพญาหวั เมอื งขนุ หมน่ื ทง้ั หลายตรวจจดั

๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พลทหารอาสาทัพบกทพั เรือทง้ั ปวงใหส้ รรพไว้ แลจะแตง่ พลทหารอาสาแต่เป็นกองไปกนั ให้ราษฎรทงั้ ปวง เกย่ี วขา้ ว ซง่ึ เหลอื อยใู่ นทอ้ งนาแขวงจงั หวดั รอบพระนครนน้ั ใหไ้ ดจ้ งสน้ิ เชงิ กอ่ น อยา่ ใหข้ า้ ศกึ ไดเ้ ปน็ กำลงั แลว้ จง่ึ จะยกทพั ใหญอ่ อกตที เี ดยี ว มขุ มนตรเี หน็ ดว้ ย สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั พระอนชุ าธริ าชตรสั ให้ แตง่ ขนุ หมน่ื ทหารอาสาทง้ั หลายถอื พลอาสาออกไปเปน็ หลายกอง แลปา่ วใหร้ าษฎรทง้ั ปวงออกไปเกย่ี วขา้ ว ทุกตำบล แลพลทหารซึ่งออกไปกันให้เกี่ยวข้าวนั้น ได้รบพุ่งด้วยข้าศึก ข้าศึกแตกพ่ายได้ศีรษะเข้ามา ถวายทกุ วนั มไิ ดข้ าด พระบาทสมเดจ็ บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ใหพ้ ระราชทานรางวลั แกน่ ายทพั นายกอง แลพลทหารทง้ั ปวงโดยบำเหนจ็ อนั ไดร้ บพงุ่ มากแลนอ้ ยตามสมควร ในขณะนน้ั สมเดจ็ บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ตรสั ใหเ้ จา้ พญากำแพงเพชรบงั คบั ราชการในทก่ี ลาโหม จึ่งตรัสให้เจ้าพญากำแพงเพชรถือพลทหารล้อมวังออกไปกันให้ราษฎรทั้งหลายเกี่ยวข้าว ณ ทุ่งช้างเคือง๑ ที่ทัพพระมหาอุปราชาตั้งอยู่นั้น พระมหาอุปราชาแต่งพลม้าประมาณพันหนึ่งยกออกมารบ ทัพเจ้าพญา กำแพงเพชรกแ็ ตก สมเดจ็ พระนเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชทรงพระโกรธแกเ่ จา้ พญากำแพงเพชร ตรัสให้ลงพระราชอาญาโดยโทษพระอัยการศึก สมเด็จพระราชบิดาทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าพญา กำแพงเพชรเปน็ แตพ่ ลเรอื นมไิ ดเ้ ปน็ ทหาร ขอโทษเจา้ พญากำแพงเพชรไวค้ รง้ั หนง่ึ กอ่ น สมเดจ็ พระนเรศวร เปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชมไิ ดล้ งโทษเจา้ พญากำแพงเพชร แลว้ ตรสั ปรกึ ษาดว้ ยทา้ วพญาเสนามาตย์ โยธาหาญทั้งหลายว่า ซึ่งเจ้าพญากำแพงเพชรพ่ายเข้ามาให้ข้าศึกได้ใจดังนี้ เราจะนิ่งไว้ช้ามิชอบ ๆ เราจะยกพยหุ บาตราทพั หลวงออกตที พั มหาอปุ ราชา อยา่ ใหต้ ง้ั อยู่ ณ ชายเคอื งนน้ั ได้ ราษฎรทง้ั ปวงจึ่ง จะได้เกี่ยวข้าวในท้องทุ่งสะดวก แล้วให้ตรวจช้างม้ารี้พลทหารอาสา ให้เอาเครื่องสรรพยุทธปืนใหญ่ ปนื จา่ รงค์ มณฑก นกสบั บรรจเุ รอื รบเรอื ไลส่ องรอ้ ยลำนน้ั สรรพ จง่ึ แตง่ ทหารใหล้ อบไปทางบกทางเรอื ที่ชอบกล ซุ่มพลทหารปืนใหญ่น้อยไว้จึ่งจะยั่วให้ข้าศึกออกไล่ เห็นได้ทีแล้วจึ่งจะออกทะลวงตีทั้ง ปืนใหญ่น้อยยิงระดมสาดเอาข้าศึกให้แตกฉานอย่าให้คุมติดกัน ฝ่ายทหารอาสาก็ไปซุ่มอยู่ตามรับสั่ง จง่ึ สมเดจ็ พระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็เสด็จด้วยพระชลวิมานลำเดียวกันไปโดยชลมารค แลท้าวพญาหัวเมืองขุนหมื่นทหารทั้งหลายก็ไปโดยกระบวนหน้าหลัง ครั้นถึงตำบลชายเคืองใกล้ทัพ พระมหาอุปราชาตั้งอยู่นั้น จึ่งตรัสให้ทหารอาสาขึ้นไปยั่วข้าศึกหน้าค่ายแลข้าศึกก็ยกออกไปได้รบพุ่งกัน เป็นสามารถ ฝ่ายทหารอาสาซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็ยกออกทะลวงตี ยิงปืนใหญ่น้อยสาดไปต้องข้าศึกล้มตาย เปน็ อนั มาก ขา้ ศกึ มไิ ดร้ ะสำ่ ระสายยกหนนุ วกลงมาขา้ งรมิ นำ้ ฝา่ ยทพั กรงุ กว็ างปนื ใหญ่ แลปนื จา่ รงค์ ๑ น่าจะเป็นทุ่งชายเคือง

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๙๓ มณฑก นกสบั ขน้ึ ไปแตเ่ รอื รบ ตอ้ งพมา่ มอญแลชา้ งมา้ ตายเปน็ อนั มาก แลพลขา้ ศกึ นน้ั ยงั ตอ่ รบอยู่ ขณะนั้นสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จออกยืนหน้าแคร่พระที่นั่ง ทง้ั สองพระองคท์ รงปนื นกสบั ยงิ ตอ้ งขา้ ศกึ ชา้ งมา้ แลคนตายมาก ทหารชาวกรงุ กย็ งิ ปนื ระดมกนั ไป ฝา่ ย ขา้ ศกึ กล็ งมาสกดั ขา้ งหลงั เรอื พระทน่ี ง่ั แลว้ ยงิ ปนื ไฟตอบมาเปน็ สามารถ แลเรอื รบขา้ หลวงทง้ั ปวงทาน มไิ ดก้ พ็ า่ ยมาสน้ิ ยงั แตเ่ รอื พระทน่ี ง่ั แลเรอื รบหา้ ลำอยยู่ งิ ตอบกนั ไปมา ฝา่ ยขา้ ศกึ กย็ งิ ปนื ไฟมาตอ้ งฉลอง พระองคส์ มเด็จพระเอกาทศรสอิศวรบรมบพิตรอันทรงนั้น แต่ปลายพระหัตถ์ขาดขึ้นไปถึงต้นพระพาหา อนึ่งข้าศึกยิงปืนไฟมาต้องคนในเรือกันนั้นเจ็บป่วยลำบากมาก แต่กระสุนปืนนกสับข้าศึกยิงมาตกอยู่ ณ เรอื พระทน่ี ง่ั นน้ั ประมาณสามสบิ กระสนุ พอเพลาคำ่ เสดจ็ คนื เขา้ พระนคร ครั้น ณ วัน ๑๑ฯ๑๖ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ ) เพลาสบิ เอด็ ทุ่ม สมเด็จ พระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จยกพยุหบาตราทัพออกจากพระนครข้ามไป สมเด็จ พระเชษฐาทรงชา้ งตน้ เจา้ พญาปราบไตรจกั ร สงู หกศอกสบิ เอด็ นว้ิ ตดิ นำ้ มนั หนา้ หลงั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช เจ้าทรงพระคชาธารจักรมะหึมา สูงหกศอกคืบติดน้ำมันหน้าหลัง เจ้าพญามหาเสนาขี่ช้างปราบไตรภพ สงู หา้ ศอกคบื เจา้ พญาจกั รขี ่ชี า้ งแกว้ สงั หาร สงู หกศอกสน่ี ว้ิ เอาขนุ หมน่ื กองชา้ งนอกขี่ช้างพังกันกลาง ระวางละสี่ช้าง ใหม้ อญเข้าไปร้องหน้าค่ายพระเจ้าหงษาวดีว่า มีหนังสือบอกพระมหาอุปราชาให้ขึ้นมา กราบทูลให้เร่งเปิดประตูรับ เจ้าหน้าที่นายประตูร้องว่าจะกราบทูลก่อนจะเปิดยังมิได้ สักครู่หนึ่งในค่าย พระเจา้ หงษาวดวี างปนื จา่ รงค์ มณฑก นกสบั ระดม สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนุชาธิราช เห็นว่าข้าศึกรู้ตัวแล้วก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งคืนเข้าพระนคร ครน้ั ณ วนั ๔ ๑ฯ ๗ คำ่ ( วนั พธุ เดอื น ๗ ขน้ึ คำ่ ) เสดจ็ พระราชดำเนนิ ออกไปตง้ั ทพั ชยั ตำบลวดั ชอ่ งลม ครน้ั ณ วนั ๕ ฯ๘๗ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๗ ขน้ึ ๘ คำ่ ) เอาปนื พระกาลมฤตอยรู่ าช ใสส่ ำเภาขน้ึ ไปยงิ คา่ ยพระเจา้ หงษาวดี ณ ขนอนปากคู พระเจา้ หงษาวดเี หน็ ชาวพระนครเอาปนื ใสส่ ำเภา มายงิ ไดถ้ งึ คา่ ย กเ็ ลกิ ทพั ไปตง้ั ปา่ โมกใหญ่ ครน้ั ณ วนั ๒ ๑ฯ ๗ คำ่ ( วนั จนั ทร์ เดอื น ๗ ขน้ึ คำ่ ) สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชยกขึ้นไปตีทัพพระเจ้าหงษาวดีถึงป่าโมกใหญ่ เสด็จ ทางชลมารค แต่งทัพบกสองฟากฝั่ง ข้าศึกยกขนาบตีทัพบกสองฟากฝั่ง ทัพกรุงแตกย่นลงมาถึง ทัพหลวง แลกระสุนปืนข้าศึกยิงมาต้องประโทนเรือที่นั่งสมเด็จพระนะเรศวรศีรษะควัน่ ออกไป สมเด็จ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ กบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชกก็ รฑี าทพั เรอื ขน้ึ บก ทหารลว้ นถอื อาวธุ สน้ั สมเดจ็ พระนะเรศวร เป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชทรงพระแสงดาบสองพระหัตถ์ แลทัพบกซึ่งย่นลงมานั้นก็มีน้ำใจ

๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ กลับหน้าพร้อมกัน สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็ต้อนพลทะลวงไล่ฟันข้าศึก ข้าศึกแตกฉานตายแลลำบากเป็นอันมาก แล้วสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็ เสด็จเข้าพระนคร ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดกี มาติดพระนครถึงหกเดือนจนถึงวสันตฤดู เสียพลทหารเป็นอันมาก เห็นจะเอาพระนครมิได้ก็เลิกทัพกลับไป ขณะเมื่อทัพพระเจ้าหงษาวดียกมาถึงนั้น ข่าวแจ้งไปถึงกำภุช ประเทศ พญาละแวกก็ดีพระทัยจึ่งแต่งใหฟ้ ้าทละหะ พญาเดโช พญาราชนายก พญามโนไมตรี พญาสวรรคโลก แสนทองฟา้ กบั ทหารหมน่ื หนง่ึ ใหฟ้ า้ ทละหะเปน็ แมท่ พั ยกเขา้ มาตหี วั เมอื งแถบตะวนั ออก ฟา้ ทละหะมไิ ดเ้ ดนิ ตามทางใหญ่ ลดั มาปา่ สเี สน่ มาบา้ นควายเขา้ จตู่ เี มอื งประจมี แตก กรมการเมอื งณครนายก บอกเข้ามา สมุหนายกนำขึ้นกราบทูล พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทราบก็ทรงพระโกรธ ตรัสแก่พระบรมราชปิโยรสว่า เหตุไฉนพญาละแวกจึ่งกลับเป็นปัจจามิตรดังนี้ สมเดจ็ พระนะเรศวร เป็นเจ้ากราบถวายบังคมทูลฉลองพระราชโองการว่า พญาละแวกมิได้ตั้งอยู่ในสัตยานุสัตย์ปราศจาก วิจารณญาณฟังคำน้องชายให้เสียทางพระราชไมตรีคอยแต่ซ้ำกันดังนี้ ความแค้นข้าพระบาทดังต้อง ปืนพิษ ขอใหพ้ ญาศรใี สณรงค์ พญาศรรี าชเดโชกบั พลทหารหา้ พนั ยกออกไปตี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั กบ็ ญั ชาตาม พญาศรใี สณรงค์ พญาศรรี าชเดโชกราบถวายบงั คมลา แลว้ กย็ กไปทาง บา้ นนาเรง่ิ ถงึ เมอื งณครนายก ณ วนั ๕ ๘ฯ ๖ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๖ แรม ๘ คำ่ ) เพลาสองโมงเชา้ ทัพเขมรก็ยกตีเข้ามาถึงเมืองณครนายก พญาศรีไสณรงค์ พญาศรีราชเดโชก็ยกออกตีทัพเขมรแตก ถอยไปทางด่านหนุมานออกทางพระจฤต พญาศรีไสณรงค์ พญาศรีราชเดโชก็ตามตีไปจนสิ้นแดน กองทพั เขมรกเ็ จบ็ ปว่ ยลม้ ตายรายทางไป จบั ไดเ้ ปน็ แลเครอ่ื งศสั ตราวธุ เปน็ อนั มาก พญาศรไี สณรงค์ พญาศรีราชเดโชก็กลับเข้ามาตั้งอยู่ ณ เมืองประจิน แล้วบอกเข้ามาว่ากองทัพเขมรก็แตกไปแล้ว จะขอเข้ามาทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ ส่งเขมรเชลยแลเครื่องศัสตราวุธเข้ามาถวาย พระบาท สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จง่ึ ใหต้ อบออกไปวา่ ทพั พระเจา้ หงษาวดยี งั มไิ ดแ้ ตกฉาน จะไวใ้ จแกพ่ ญาละแวกมไิ ด้ เกลอื กจะแตง่ กองทพั ใหย้ กเขา้ มาอกี จะเสยี ประจนั ตชนบท อยา่ เพอ่ ใหพ้ ญาศรไี สณรงค์ พญาศรรี าชเดโช เลกิ ทพั เขา้ มา ใหอ้ ยรู่ กั ษาหวั เมอื งแถบตะวนั ออก ตอ่ เมอ่ื ใดทพั หงษาวดแี ตกไปแลว้ พญาศรรี าชเดโช พญาศรไี สณรงคเ์ ลกิ ทพั กลบั เขา้ มาเฝา้ ฝา่ ยพระเจา้ หงษาวดเี สดจ็ ถงึ พระนครแลว้ กท็ รงพระดำรแิ ตท่ จ่ี ะเอากรงุ พระมหานครศรอี ยทุ ธยาใหไ้ ด้ กจ็ ดั ทแกลว้ ทหารบำรงุ ชา้ งมา้ รพ้ี ล เครอ่ื งสรรพศสั ตราวธุ เสบยี งอาหาร กระสนุ ดนิ ประสวิ ไวพ้ รอ้ มเสรจ็

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๙๕ เมอ่ื พระเจา้ หงษาวดใี หเ้ ตรยี มทพั นน้ั พลหา้ แสน ชา้ งเครอ่ื งสามพนั มา้ หมน่ื หนง่ึ พระมหาอปุ ราชา พระเจา้ แปร พระเจา้ เชยี งใหม่นน้ั เขา้ กระบวนทพั ดว้ ย ครน้ั ณ วนั ๑๑ฯ ๑ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื นอา้ ย ขน้ึ คำ่ ) ศกั ราช ๙๓๒ ปมี ะเมยี โทศก* เพลาอษุ าโยค สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดที รงพชิ ยั ยทุ ธนาลงั กาภรณวภิ ษู ติ พพิ ธิ โภคมหมึ าดมู โหฬาราดเิ รก สำหรบั ขตั ตยิ ราชรามญั ประเทศโดยวาระดถิ เี สรจ็ ครน้ั ไดเ้ วลามหามหดุ ฤิ กษมงั คลา โหราธบิ ดลี น่ั ฆอ้ งชยั ชีพ่อพราหมณ์ถวายเสียงสังข์ ประนังศัพท์ฆ้องกลองกาหลสนั่นนฤนาท เสด็จทรงช้างพลายไชยมงคล เป็นราชพาหนะ ประดับเครื่องคชาภรณอลังการเคลื่อนพยุหโยธาหาญโดยกระบวนซ้ายขวาหน้าหลัง พลดาบดง้ั โตมรสลอน พลเสโลทวนทองยะยาบ พลดาบเขนขนดั รว้ิ รายดสู ดุ สายตาไสวเถอื กธงชยั ชาญ วาลวีชนีกลิ้งกลดบดบังแสงทินกรไพโรจน์ โชตินาการพันลึกอธึกดูพร้อมพรั่งดาษดา รอนแรมมาโดย สถลมารคขา้ มแมน่ ำ้ เมาะตะมะเขา้ ทางเมอื งกำแพงเพชร เสดจ็ ถงึ กรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา ณ วนั ๓๑ฯ๔๑ คำ่ ( วนั องั คาร เดอื นอา้ ย แรม ๑๔ คำ่ ) สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดตี ง้ั ทพั ตำบลบางปะหนั พระมหาอปุ ราชา ตั้งค่ายกุ่มค่อง พระเจ้าแปรตั้งค่ายศิกุก พระเจ้าเชียงใหม่ตั้งค่ายตำบลวดั สงั ฆาวาศ สมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าตรัสทราบว่าทัพพระเจ้าหงษาวดียกมา ก็ทรงม้าทวนกับทหารสาม กง ๆ หนึ่ง ๒๒ คน กองหนึ่ง ๒๒ คน** กองหนึ่ง ๗๒ คน ขี่ม้าถือทวนครบมือยกออกไป กองหนา้ ขา้ ศกึ ออกมารบ ทหารกรงุ เทพมหานครตแี ตกฉานเขา้ ไป สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทรงคาด พระแสงดาบกับทหารปีนขึ้นไป ข้าศึกในค่ายเอาทวนแทงพลัดตกลงมาเป็นหลายครั้งขึ้นมิได้ ทรงม้า พระทน่ี ง่ั กลบั เขา้ พระนคร ขา้ ศกึ เอาการซง่ึ ไดร้ บพงุ่ ไปกราบทลู สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดี ๆ ตรสั ถามเสนาบดวี า่ พระนะเรศวรออกมาทพั อยา่ งทหารดงั น้ี เหมอื นหนง่ึ เอาพมิ เสนมาแลกเกลอื พระราชบดิ านน้ั จะรหู้ รอื ไม่ เสนาบดกี ราบทลู วา่ เหน็ พระราชบดิ าจะไมร่ ู้ ถา้ รเู้ หน็ จะมใิ หอ้ อกมาทำ สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดจี ง่ึ ตรสั สง่ั วา่ พระนะเรศวรทำการศึกอาจหาญนัก [ จบเลม่ ๗ ] ถ้าออกมาอีก ถึงมาตรว่าเราจะเสียทหารมาก ก็คงจะแลกเอาตัวให้จงได้ แล้วสั่งทหารที่มีฝีมือสันทัดทุกทัพทุกกองให้ได้หมื่นหนึ่ง เอาไปช่วยค่าย ลกั ไวท้ ำมู หารทศ ตำบลลมุ พลี ถ้าพระนะเรศวรออกมาตีค่ายให้กุมเอาตัวจงได้ สมเด็จพระนะเรศวร เป็นเจ้าทรงม้าพระทน่ี ง่ั ออกไป ทหารสามกองกบั ลอ้ มวงั พนั หนง่ึ ถอื โตมรแลดาบดง้ั ออกไป ไดร้ บพงุ่ กนั แตเ่ พลาสามโมงจนสี่โมง ข้าศึกแตกเข้าไป อยู่สักครู่หนึ่งกลับเอาม้าสามสิบออกมายั่วทัพ จึ่งแต่ง * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ว่า ศักราช ๙๔๐ สัมฤทธิศก ** พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ กองหนง่ึ ๔๐,๕๒ คน

๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ปกี ฉนางแลกองซมุ่ ไว้ ปกี หนง่ึ ลกั ไวทำมู ปกี หนง่ึ หารทศ สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ ทรงมา้ ทวนไลข่ า้ ศกึ เขา้ ไป แลขา้ ศกึ สองปกี หมุ้ พระองคแ์ ลทหารเขา้ ไว้ ลกั ไวทำมถู อื ดาบดง้ั เขา้ มาจะกมุ เอาตวั พระองค์ พระองค์ทรงแทงด้วยพระแสงทวนถูกลักไว้ทำมู ๆ ฟันต้องพระแสงทวนเป็นแผลแต่ลักไวทำมูตาย หารทศถือโตมรแลหอกใหญ่ตรงเข้ามา ทรงฟันด้วยพระแสงสะพายแล่งล้มลง ก็เสด็จกลับเข้า พระนคร สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดใี หเ้ ขา้ มาตคี า่ ยชาวพระนครถงึ สองครง้ั สามครง้ั กม็ ไิ ดแ้ ตกฉาน จง่ึ ตรสั วา่ จวนเทศกาลฟา้ ฝนนำ้ นองอยแู่ ลว้ กส็ ง่ั ใหเ้ ลกิ ทพั เสดจ็ กลบั คนื ไปเมอื งหงษาวดี ครน้ั ศกั ราช ๙๔๐ ปขี าลสมั ฤทธศิ ก* วนั ๑๑ฯ๓๘ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื น ๘ แรม ๑๓ คำ่ ) สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าทรงพระประชวร ครั้น ณ วัน ๓ ๒ฯ ๑๒ ค่ำ (วันอังคาร เดอื น ๑๒ แรม ๒ ค่ำ ) เสดจ็ สวรรคต พระชนมไ์ ด้ ๗๖ พระพรรษา อยใู่ นราชสมบตั ิ ๒๒ ปี สมเดจ็ พระนะเรศวรเปน็ เจา้ พระชนม์ ๓๕ พระพรรษาขน้ึ เสวยราชสมบตั ิ แตง่ การถวายพระเพลงิ สมเด็จพระราชบิดาเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสแก่มุขอำมาตย์ว่า แผ่นดินกรุงกำภุชวงศ์กุรุราช นั้น ผู้ใดครองสมบัติจิตมักเป็นสันดานพาลทุจริต เหมือนพญาละแวกบิดานักพระสุโท นักพระสุทัน เมอ่ื ศกึ กรงุ หงษาวดยี กมาคราวแรก ครง้ั สมเดจ็ พระอยั กาธริ าชเจา้ ผา่ นพภิ พใหมน่ น้ั พญาลแวกก็ยกทัพ เข้ามา พลอยซ้ำตีกวาดเอาอพยพชาวเมืองประจิมทบูรียไป จนสมเด็จพระบรมราชอัยกาต้องเสด็จยก ออกไปปราบ จึ่งถวายนักพระสุโท นักพระสุทันราชบุตรเข้ามา แล้วนักพระสัฐาไปเอาทัพมาตีฆ่าบิดา นกั พระสโุ ท นกั พระสทุ นั เสยี นกั พระสฐั าไดส้ มบตั กิ รงุ กำภชู าธบิ ดเี ปน็ พญาลแวก ครน้ั แผน่ ดนิ เปน็ ของ พระราชบิดาเรา ก็ยกทัพจู่มาถึงวัดสามพิหาร จนเสียพระจำปาธิราชลูกชายก็ยังหาเข็ดหลาบไม่ มีศึก หงษามาติดพระนครครั้งใด ก็มีแต่พลอยยกทัพเข้ามาซ้ำตีกวาดเอาประชาราษฎร ข้าขอบขัณฑเสมา ทุกครั้ง แล้วกลับแต่งทูตานุทูตมาขอเป็นทางพระราชไมตรี สมเด็จพระบรมราชบิดาเรามิได้มีพระทัย อาฆาต เพื่อมิให้เสียธรรมราชประเพณี จนปันเขตแดนปักศิลาจารึก ครั้นศึกพระเจ้าเชียงใหม่ยกมา พญาลแวกใหน้ อ้ งชายเขา้ มาชว่ ยงานพระราชสงคราม นอ้ งชายนน้ั มไิ ดม้ สี ตสิ มั ปชญั ญะดจุ หนง่ึ สงิ คาลชาติ โปกฎก ฝ่ายพญาลแวกก็ปราศจากวิจารณปัญญา มีแต่พาลทุจริตในสันดานละสัตย์สุจริตธรรมเสีย กลับยกทัพมาตีประจันชนบทอีกเล่า ความแค้นของเราดังว่าเสี้ยนยอกอยู่ในอุระไม่หายเลย แลครั้งนี้ แผ่นดินเป็นของเราแล้ว เราจะยกไปแก้แค้นเอาโลหิตพญาลแวกล้างบาทาเสียให้จงได้ ตรัสแล้ว * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจิม) ว่า ศักราช ๙๔๑ ปีเถาะเอกศก

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๙๗ สั่งให้เกณฑ์ทัพพลฉกรรจ์ลำเครื่องเหยียบแสน ช้างเครื่องแปดร้อย มา้ พนั หา้ รอ้ ย นำ้ ลงแหง้ เทา้ ชา้ งเทา้ มา้ แลว้ จะยกไป ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าหงษาวดแี จ้งข่าวไปว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาดับสูญทิวงคตแล้ว ตรัส พระมหาอปุ ราชาวา่ เจา้ กบั มหาราชเจา้ พระนครเชยี งใหม่ จงยกทพั ลงไปฟงั องึ กฤดาการดพู ระนครศรอี ยทุ ธยา ผลัดแผ่นดินใหม่ เสนาพฤฒามาตย์ราษฎรทั้งปวงจะเป็นจลาจลประการใดบ้าง ถ้าพอจะทำได้ให้ทำ อยา่ ใหเ้ สยี ที พระมหาอปุ ราชากราบทลู พระราชบดิ าวา่ โหรทายวา่ ชนั ษาขา้ พระพทุ ธเจา้ รา้ ยนกั สมเดจ็ พระเจา้ หงษาวดตี รสั วา่ พระมหาธรรมราชาไมเ่ สยี แรงมบี ตุ ร การสงครามไมพ่ กั ใหบ้ ดิ าใชเ้ ลยตอ้ งหา้ มเสยี อกี แลซง่ึ เจา้ วา่ เคราะหร์ า้ ยอยแู่ ลว้ อยา่ ไปเลย เอาผา้ สตรนี งุ่ เสยี เถดิ จะไดส้ น้ิ เคราะห์ พระมหาอปุ ราชาไดฟ้ งั รับสั่งดังนั้น กลัวพระราชอาชญาพระราชบิดา ก็มาตรวจเตรียมรี้พลแลมีพระราชกำหนดไปถึงพระเจ้า เชยี งใหมใ่ หย้ กมา พระเจา้ เชยี งใหมแ่ จง้ พระราชกำหนดแลว้ กย็ กทพั มากรงุ หงษาวดี ลุศักราช ๙๔๑ ปีเถาะเอกศก* พระมหาอุปราชา พระเจ้าเชียงใหม่ยกพลห้าสิบหมื่น ช้าง เครื่องเจ็ดร้อย ม้าสามพันมาข้ามเมืองเหมาะตะหมะมาโดยแม่กษัตร เข้าทางพระเจดีย์สามองค์ ฝ่ายสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้า ครั้นถึง ณ วัน ๑๖ฯ ๑ ค่ำ ( วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ) มีพระราชดำรัสให้เกณฑห์ วั เมืองปากใตท้ พั หนึ่งเสร็จแล้ว กำหนดพระฤกษ์จะยกไปเอาเมืองละแวก ครั้น ณ วัน ๗๑ฯ๒๑ ค่ำ ( วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ) จึ่งมีพระราชโองการสั่งมุขมนตรีผู้ใหญ่ รักษาพระนครว่าทัพพระเจ้าหงษาวดีแตกไปครั้งนี้เป็นทัพซึ่งจะบำรุงช้างม้ารี้พล แลจะกลับในน้ำลงปีนี้ เหน็ จะไมท่ นั แตท่ วา่ จะไวใ้ จมไิ ดเ้ กลอื กจะคลง่ั สงครามยกมา ถา้ ยกมาใหร้ กั ษาเมอื งไวท้ า่ เราเดอื นหนง่ึ ใหไ้ ด้ สง่ั แลว้ พอเพลาเยน็ มหี นงั สอื เมอื งกาญจนบรู ยี บอกเขา้ มาวา่ ทพั พระมหาอปุ ราชา พระเจา้ เชยี งใหม่ ยกมาถึงเมืองกาญจนบูรีย์ทำสะพานข้ามอยู่แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทราบดังนั้นก็ดำรัสว่า เราเทียบ ช้างม้ารี้พลไว้จะยกไปเอาเมืองลแวก บัดนี้ทัพหงษาวดยี กมาอีกเล่า จำจะยกออกไปเล่นสนุกกับทัพ มอญเสียก่อน แล้วมีพระราชกำหนดไปให้พระอำมรินทฤๅไชย เจ้าเมืองราชบูรีย์ แต่งคนห้าร้อยขึ้นไป ซุ่มอยู่ ถ้าข้าศึกข้ามสะพานแล้ว ให้ล้างสะพานเผาเสียจงได้ ฝ่ายพระมหาอุปราชาเสด็จยกทัพหลวง ถึงกาญจนบูรีย์ เห็นเมืองร้างเปล่าไม่มีคน ก็เข้าพระทัยว่าชาวพระนครรู้การ เทครัวอพยพเข้าเมืองสิ้น เสด็จประทับแรม ณ เมืองกาญจน์บูรีย์ ให้เที่ยวลาดจับคนจะถามกิจการก็มิได้ ส่วนพญาจิตตอง กองหน้าก็เร่งทำสะพานข้ามพลเสร็จ รุ่งขึ้นพระมหาอุปราชาก็เสด็จกรีธาทัพหลวงมาโดยมารควิถี * พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ ( เจมิ ) วา่ ศกั ราช ๙๔๒ ปีมะโรงโทศก

๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ถงึ ตำบลพนมทวน เพลาชายแลว้ สามนาฬกิ า บงั เกดิ วายเุ วรมั พวาตพดั หวนหอบธลุ ฟี งุ้ ผนั เปน็ กงจกั ร กระทบมหาเศวตฉตั รซง่ึ กน้ั มาหลงั พระคชาธารนน้ั หกั ทบลง พระมหาอปุ ราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ตกพระทัย ใหโ้ หรสำหรบั ทพั ทำนายถวายพยากรณว์ า่ เหตนุ ถ้ี า้ เชา้ ในเทย่ี งรา้ ย นช่ี ายแลว้ เหน็ เปน็ ศภุ นมิ ติ ทพ่ี ระองคจ์ ะมีชัยได้พระนครศรีอยุทธยา สมเด็จพระราชบิดาจะเลื่อนพระองค์ขึ้นจากเศวตฉัตร มหาอุปราช เถลงิ ถวลั ยราชราชยั สวรรยาในกรงุ หงษาวดเี ปน็ มน่ั คง พระมหาอปุ ราชาตรสั ไดฟ้ งั ดงั นน้ั กย็ งั มิวางพระทัยจนเสด็จถึงตำบลตะพังตรุแดนสุพรรบูรีย์ ให้ตั้งทัพชัยตำบลโดยขบวนแล้วตรัสให้กองม้า สามรอ้ ยลาดมาดถู งึ ตำบลเอกราช บางกะทงิ วา่ ทพั พระนครจะตง้ั รบั อยตู่ ำบลใดบา้ ง ส่วนสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าตรัสปรึกษาแก่มุขมาตยาทั้งปวงว่า ศกึ มหาอปุ ราชายกมาครง้ั น้ี เราจะกรธี าพลออกตอ่ ยทุ ธนาการกลางแปลงดหี รอื หรอื จะตง้ั มน่ั รบั ในพระนคร มขุ มนตรที ง้ั ปวงกราบทลู พระกรณุ าวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทราบอยวู่ า่ พระมหาอปุ ราชาเกรงพระเดชเดชานภุ าพ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ครง้ั เสดจ็ ไปชว่ ยงานพระราชสงครามกรงุ หงษาวดตี เี มอื งรมุ เมอื งคงั ครง้ั หนง่ึ แลว้ แลครั้งเมื่อสมเด็จพระเจ้าหงษาวดีกับพระมหาอุปราชาคิดเป็นการลับลวงให้เสด็จขึ้นไปจะทำร้ายพระองค์ ทำมิได้จนทัพหลวงกวาดเอาพระมหาเถรคันฉ่อง พญาพระราม พญาเกียร ญาติโยมครัว อพยพในชนบทประเทศขัณฑเสมากรุงหงษาวดีมาข้ามฝั่งน้ำสะโตง พระมหาอุปราชาตามมาทันคนละ ฟากฝั่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระแสงปืนนกสับยิงข้ามฝั่งมหานทีอันกว้าง ต้องสุระกำมานายกอง หน้าตาย พระมหาอุปราชาแลท้าวพญาสมิงรามัญก็ขยาดฝีพระหัตถ์ เกรงพระเดชเดชานุภาพเป็นสอง ครั้งแล้ว แลซึ่งพระมหาอุปราชายกมาครั้งนี้ประหลาดนัก ด้วยศึลกพ่ายไปเมื่อเดือนเจ็ดยังไม่ทันบำรุง ชา้ งมา้ รพ้ี ลถงึ ขนาด แลเดอื นยย่ี กมาถงึ พระนครนเ้ี หน็ เรว็ นกั ดรี า้ ยจะไดข้ า่ ววา่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ หลวง เสด็จสวรรคต คิดว่าแผ่นดินเป็นจลาจลจึ่งรุดมาโดยทำนองศึก ครั้นจะรับมั่นในกรุงข้าศึกจะได้ใจ ขอเชิญเสด็จทัพหลวงออกตั้งแต่งกองทัพเข้าปะทะฟังกำลังดู ถ้าศึกหนักจึ่งทัพหลวงเสด็จหักต่อภายหลัง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ได้ทรงฟังมุขมนตรีทูลดังนั้น ชอบพระทัยนักแย้มพระโอษฐ์ ดำรสั วา่ ซง่ึ ปรกึ ษาการสงครามครง้ั นต้ี อ้ งความดำรเิ รา บดั นท้ี พั เตรยี มอยู่ ณ ทงุ่ บางขวดพรอ้ มอยแู่ ลว้ ใหย้ ก ไปตั้งป่าโมก เอาแต่ทัพหัวเมืองตรี จัตวา ยี่สิบสามหัวเมืองเป็นคนหมื่นหนึ่ง พญาศรีไสณรงค์เป็น แม่กอง ให้พญาราชฤทธานนเป็นยกกระบัตร ยกไปขัดรับหน้าข้าศึกอยู่ ณ ตำบลทุ่งหนองสาหร่าย ใหพ้ ญาศรีไสณรงค์ พญาราชฤทธานนกราบถวายบังคมลาออกมาจัดแจงไพร่พล ยกทัพไปโดย พระราชบัญชา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้โหราหาฤกษ์ พระโหราธบิ ดี หลวงโลกทีป ขุนเทภากร* * พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กับพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหอสมุดแห่งชาติว่า ขุนเทพพยากรณ์ ทง้ั สองฉบบั

พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๙๙ คำนวณพระฤกษ์ถวายว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้จัตุรงคโชคสรรพสฤกษดิ์พร้อมมีชัยข้าศึก ขอเชิญเสด็จ จากพระนคร ณ วนั ๑๑ฯ๑๒ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๑๑ คำ่ ) เพลารุ่งแล้ว สองนาฬิกาห้าบาท สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ตรัสให้สมุหนายกกำหนดทัพหลวงจะเสด็จโดยชลมารค ไปตั้งทัพชัยพนมโมก สมหุ นายกกแ็ จกพระราชกำหนดขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท ฝา่ ยทหารพลเรอื นเตรยี มการอนั จะเสดจ็ พระราช ดำเนนิ นน้ั เสรจ็ ถงึ ณ วนั ๑๑ฯ๑๒ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๑๑ คำ่ ) เพลารงุ่ แลว้ สองนาฬกิ าหา้ บาท ไดศ้ ภุ มหดุ มิ หาวชิ ยั ฤกษ์ สมเดจ็ พระบาทบรมนาถบรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ทง้ั สองพระองค์ ทรงเครอ่ื ง สำหรบั พชิ ยั สงครามเสรจ็ กเ็ สดจ็ ทรงเรอื พระทน่ี ง่ั ไกรษรมขุ พมิ าร อนั อลงั การจนาดว้ ยมหาเศวตบวรฉตั ร ขนดั เครอ่ื งอภริ มุ ชมุ สายพรายพรรณ บงั รววี นั บงั แทรกสลอนสลบั ดว้ ยกรรชงิ กลง้ิ กลด จามรมาศดาษดา ดมู เหาฬารเลศิ พนั ลกึ อธกึ ดว้ ยกระบธ่ี ชุ ธงฉานธงชยั แลสวา่ งไสวไพโรจนด์ ว้ ยเรอื จำนำทา้ วพญาสามนตราช เรืองเป็นระยะ โดยขบวนพยุหบาตราทัพหน้าหลังทั้งปวง พร้อมเสร็จพออุดมฤกษ์พระโหราธิบดีก็ลั่น ฆ้องชัย ราชครวู ิชาจารย์เป่ามหาสังข์ทักษิณาวัฏ ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรีฆ้องกลองก้องนี่สนั่น มหาอรรณพนที เคลื่อนเรือขบวนพยุหบาตราโดยชลมารค ถึงประทับขนานหน้าพลับพลาชัยป่าโมก เพลาสายแลว้ สองนาฬกิ าสบ่ี าทเสดจ็ จดั ทพั ประทบั แรมอยทู่ น่ี น้ั กำหนด ๑๑ ทมุ่ ๓ บาท ทัพหลวง จะเสดจ็ พระราชดำเนนิ เมอ่ื เพลาสบิ ทมุ่ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระสบุ นิ นมิ ติ วา่ นำ้ นองทว่ มปา่ มาฝา่ ย ประจมิ ทศิ เสดจ็ ลยุ ชลธเี ทย่ี วไปพบมหากมุ ภตี วั ใหญไ่ ดส้ ปั ระยทุ ธย์ ทุ ธนาการ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ประหาร กมุ ภตี าย บรรทมตน่ื ขณะนน้ั ตรสั ใหโ้ หราทาย พระโหราธบิ ดที ลู ทำนายวา่ ศกึ ครง้ั นใ้ี หญห่ ลวงจะไดถ้ งึ ซึ่งมหายุทธหัตถี แต่ทว่าพระองค์จะมีชัย จะลุยไล่ประหารปัจจามิตรข้าศึก ดุจพระสุบินว่าเที่ยวลุย กระแสน้ำฉะนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดีพระทัยนัก ทรงเครื่องสำหรับราชรณยุทธสรรพ เสด็จยังเกยคอยฤกษ์ทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกบรมธาตเุ สด็จปาฏิหาริย์ ช่วงเท่าผลส้มเกลี้ยงมาแต่ ทกั ษณิ ทศิ เวยี นเปน็ ทกั ขณิ าวฏั แลว้ เสดจ็ ผา่ นไปอดุ รทศิ ทรงพระปติ ซิ า่ นไปทง้ั พระองค์ ยกพระหตั ถ์ ถวายทศั นขั สโมธานอธษิ ฐานขอสวสั ดชิ ยั แกป่ รปกั ษ์ พระโหราธบิ ดใี หป้ ระโคมแตรสงั ขด์ รุ ยิ างคดนตรพี รอ้ มกนั สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงชา้ งตน้ เจา้ พญาไชยานภุ าพ ตดิ นำ้ มนั หนา้ หลงั เปน็ ราชพาหนะ สมเดจ็ พระอนชุ า ธิราชเจ้าทรงช้างต้นเจ้าพญาปราบไตรจักร ติดน้ำมันหน้าหลังเป็นราชพาหนะ พร้อมด้วยช้างท้าวพญา เสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง เสด็จพยุหบาตราทัพโดยแถวสถลมารค ไปเข้าที่เสวยตำบลสระแก้วละเล่า แล้วเสด็จไปตามท้องทุ่ง เพลาเที่ยงพระอาทิตย์ทรงกลดร่มช้างพระที่นั่งไปจนบ่ายสามโมงพอกระทั่ง กองหน้าซึ่งตั้งตำบลหนองสาหร่าย เสด็จประทับเกยใต้ฉายาไม้ประดู่ใหญ่ อันสถิตเหนือจอมปลวก เอาเป็นนิมิตครุฑนามชัยภูมิ สั่งให้เร่งตั้งค่ายกองหน้าหลังปีกซ้ายขวาเป็นกระบวนปทมุ พยหุ ์

๑๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ฝา่ ยสมงิ จครา้ น สมงิ เปอ สมงิ ทรายมวร นายกองมา้ คอยเหตุ เหน็ กองทพั หนา้ แลทพั หลวง ดงั นน้ั กข็ บั มา้ วางใหญก่ ลบั ไปคา่ ยพงั ตรุ เอาคดนี น้ั ทลู แกพ่ ระมหาอปุ ราชาทกุ ประการ พระมหาอปุ ราชาแจง้ ดังนั้นก็ทรงพระดำริว่า ชะรอยจะเป็นทัพพระนะเรศวร ถ้ามิดังนั้นจะเป็นทัพเอกาทศรฐน้องชายยกมา เปน็ มน่ั คง แลว้ ตรสั ถามสมงิ นายกองมาวา่ คะเนพลประมาณเทา่ ใด สมงิ จครา้ น สมงิ เปอ สมงิ ทรายมวร กราบทลู วา่ พลประมาณสบิ เจด็ สบิ แปดหมน่ื พระมหาอปุ ราชาไดฟ้ งั ดงั นน้ั จง่ึ ตรสั ปรกึ ษาแกน่ ายทพั นายกองวา่ ทพั พระนครยกมาครานก้ี เ็ ปน็ ทพั ใหญอ่ ยแู่ ลว้ แตท่ วา่ นอ้ ยกวา่ เราสองเทา่ สามเทา่ จำจะยกทมุ่ ตีเอาทัพแรกนี้ให้แตกฉานยับเยิน แล้วภายหลังก็จะเบามือลง เห็นจะได้พระนครศรีอยุทธยาโดยง่าย นายทัพนายกองก็เห็นโดยพระราชบัญชา พระมหาอุปราชากำหนดแก่นายทัพนายกองเตรียมพลแต่ใน เพลาสามยามใหพ้ รอ้ ม ตสี บิ เอด็ ทมุ่ จะยกเอารงุ่ ไวห้ นา้ นายทพั นายกองกจ็ ดั แจงกระบวนทพั เทยี บไวต้ าม รบั สง่ั ทกุ ประการ ครั้นเพลาสิบเอ็ดทุ่ม พระมหาอุปราชาก็สอดฉลองพระองค์ทรงเกราะสุวรรณประดับพลอยสพัก สงั วาลมรกตสามสาย ทรงสวุ รรณรตั นมหามงกฎุ อยา่ งขตั ตยิ ราชรามญั ยอดเงอ้ื มไปหนา้ ดจุ เศยี รวาสกุ รี แล้วทรงเครื่องสำหรับกันสรรพาวุธพร้อมเสร็จ เสด็จทรงช้างต้นพลายพัทธก่อ สูงหกศอกคืบห้านิ้ว ตดิ นำ้ มนั หนา้ หลงั เปน็ พระคชาธารกน้ั เศวตฉตั ร สมงิ นนั ทมางเปน็ กลางชา้ ง เจา้ เมอื งมลว่ รควาญ พรอ้ มดว้ ย แวงจัตุลังคบาทแลหน้าช้าง พระมหาอุปราชานั้นทวนทองสี่ร้อย ถัดออกมานั้นวางปืนจ่ารงค์ มณฑก นกสบั กระแบงแกว้ ดาบโล่ ดาบดง้ั สง่ิ ละหา้ รอ้ ย แลมางจาชะโรพเ่ี ลย้ี งพระมหาอปุ ราชา นั้นเป็นกองหน้า ขี่ช้างพลายพัชะเนียง สูงหกศอกคืบสองนิ้วติดน้ำมันหน้าหลัง สมิงปราบศึกเป็น กลางช้าง สมิงมือเล็กเป็นควาญ พระมหาอุปราชาให้แต่งช้างชนะงาผูกคชาธารมเี ศวตฉัตรทั้งสิบหก ชา้ งพรางไวแ้ ลว้ จดั สมงิ รามญั ทเ่ี ขม้ แขง็ ขป่ี ระจำครบอยหู่ นา้ ชา้ งมางจาชะโรพเ่ี ลย้ี ง แลชา้ งดง้ั กนั แทรกแซง เปน็ ขนดั แลวางปนื จา่ รงค์ มณฑก นกสับ หามแล่น แลพลดาบโล่ ดาบดั้ง ดาบสองมือ สง่ิ ละพนั เปน็ ชน้ั ๆ ออกไป แลว้ ชา้ งทา้ วพญารามญั เกยี กกายกองหนา้ แลพลเดนิ เทา้ ยส่ี บิ หมน่ื พลม้าสามพัน แซงสองฟากทุ่ง ทพั หลงั นน้ั พระเจา้ เชยี งใหมข่ ช่ี า้ งพลายชมภทู ชั สงู หกศอกคบื นว้ิ หนง่ึ ตดิ นำ้ มนั หนา้ หลงั พญาเชียงแก้วล่านเป็นกลางช้าง แสนหารใจศึกควาญ กอปรไปด้วยช้างดั้งกันแทรกแซงแลมีพลเดินเท้า สบิ หมน่ื พระมหาอุปราชาจัดทัพเป็นสัตเสนาเจ็ดแถว ๆ ละเจ็ดกองเป็นสี่สิบเก้ากอง พร้อมพลาพล ทวยหาญใหล้ น่ั ฆอ้ งใหญ่ ฆอ้ งกระแตตรี บั ตามหมวดกอง ยกจากคา่ ยพงั ตรคุ รง้ั นน้ั สนน่ั นฤนาทดว้ ย ศพั ทส์ ำเนยี งเสยี งชา้ งมา้ พลาพลเดนิ สะทา้ นสะเทอื นดจุ แผน่ พสธุ าจะถลม่ ลง

¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÊÂÒÁÏ ñðñ ½Òè ÂÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ¢³ÐàÁÍè× àÊ´¨ç »ÃзºÑ ÍÂèÙ ³ ©ÒÂÒäÁ»é ÃдèÙ àçè ãËµé §éÑ ¤Òè ÂÁ¹èÑ ·Í´¾ÃÐ๵Ãà˹ç ÁÒé ÃÒÁ-Ñ µÒÁªÒ·§èØ ¤Çº¡ÅºÑ ä» ¨§èÖ µÃÊÑ á¡Áè ¢Ø Á¹µÃÇÕ Òè ¾ÅÁÒé «§èÖ ¡ÅºÑ 仹¹éÑ àË¹ç ·Õ ¾ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒãËÁé Ò¤ÍÂàÍÒà˵äØ »á¨§é ´ÃÕ Òé Âà¾ÅҾçèØ ¹¨éÕ Ðä´Âé ·Ø ¸ãì Ë-è ãË¡é ͧ·¾Ñ ¾-ÒÈÃãÕ Ê³Ã§¤ì ¾-ÒÃҪķ¸Ò¹¹àÃè§Â¡ä»áµèã¹à¾ÅÒµÕÊÔºàÍç´·ØèÁ »Ð·Ð˹éÒ¢éÒÈÖ¡¿Ñ§¡ÓÅѧ´Ù áÅ㹡ͧ·Ñ¾ËÅǧ¡çãËé ¾ÃÍé ÁäÇáé µãè ¹à¾ÅÒÂÓè çèØ ·Òé Ǿ-Ò¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧ¡µç ÃǨàµÃÂÕ Áâ´Â¾ÃÐÃÒª¡Ó˹´ ¤ÃÑé¹ÍÃسÃØè§áʧÊØÃÔâÂÀÒÊ ¾ÃкҷÊÁà´ç¨ºÃÁº¾ÔµÃ¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ìàÊ´ç¨ Â§Ñ à¡Â µÃÊÑ ãË·é Òé Ǿ-Ò㹡ͧ·¾Ñ ËÅǧ¡ÍÍ¡µ§éÑ ¡Ãкǹàº-¨àÊ¹Ò ¾-ÒÈÃÃÕ Òªà´âªäªÂ¢èªÕ Òé §¾ÅÒ â¨ÁäµÃÀ¾ ¶×;ÅËÁ×è¹Ë¹Öè§à»ç¹¡Í§Ë¹éÒ ¾-Ò¾ÔäªÂóķ¸Ôì¢ÕèªéÒ§¾ÅÒ¨ºäµÃ¨Ñ¡Ã ¶×;ÅËéҾѹà»ç¹ »Õ¡¢ÇÒ ¾-Ò¾ÔªÔµ³Ã§¤¢ì ÕèªéÒ§¾ÅÒ¨Ùèâ¨Á·Ñ¾ ¶×;ÅËéҾѹà»ç¹»Õ¡«éÒ ¾-Òà·¾ÇÍêع¢ÕèªéÒ§¾ÅÒ ¨ºÑ â¨ÁÂ·Ø ¸ ¶Í× ¾ÅËÁ¹è× Ë¹§èÖ à»¹ç à¡ÂÕ ¡¡Ò ¾ÃоäÔ ªÂʧ¤ÃÒÁ¢ªèÕ Òé §¾ÅÒ½Òè ¾ÅáÁ¹é ¶Í× ¾ÅËÒé ¾¹Ñ à»¹ç »¡Õ ¢ÇÒ ¾ÃÐÃÒÁ¡Óá˧¢ÕèªéÒ§¾ÅÒÂáʹ¾Å¾èÒ ¶×;ÅËéҾѹà»ç¹»Õ¡«éÒ áÅ˹éÒ¾ÃФªÒ¸ÒÃÍÍ¡ä»»ÅÒ àª×Í¡¹¹éÑ ¢¹Ø â¨Á¨µÑ ÃØ §¤¢ì ªÕè Òé §¾ÅÒ¡-Ø ªÃäªÂ ¢¹Ø ·Ã§à´ª¢ªÕè Òé §¾ÅÒÂËÊÑ ´¹Ô ¾äÔ ªÂ ¶×;ŻÕè¡Åͧª¹Ð «éÒ¢ÇÒ¢éÒ§ÅÐËéÒÃéÍ áÅËÅǧ¾Ôപʧ¤ÃÒÁ¢ÕèªéÒ§¾ÅÒºØ-ÂÔè§ ËÅǧÃÒÁ¾ÔªÑ¢ÕèªéÒ§¾ÅÒÂÁÔè§Á§¡Ø® ¶Í× ¾Å´ÒºâÅè ´Òº´§éÑ ¢Òé §ÅÐËÒé ÃÍé  ¾ÃÐÃÒªÇ§Ñ ÊÃâªèÕ Òé §¾ÅÒÂá¡Çé ÁÒàÁÍ× § ¶Í× ¾ÅÍÒÊÒ¨ÒÁËÒé ÃÍé  ¾ÃÐàʹҾÁÔ ¢Ø ¢ªèÕ Òé §¾ÅÒÂà¿Íè× §À¾äµÃ ¶Í× ¾ÅÍÒÊÒ-»èÕ ¹èØ ËÒé ÃÍé  ¶´Ñ ¹¹éÑ ·ËÒ÷ÐÅǧ¿¹Ñ ¤¾èÙ ÃзÂÑ ÃÍé ÂÊÒÁ ÊºÔ Ë¡¤¹ ¶Í× ´Òºà¢¹ÂÊèÕ ºÔ Êͧ¤¹ ¶Í× ´ÒºâÅÊè ÊèÕ ºÔ Êͧ¤¹ ¶Í× ´ÒºÊͧÁÍ× à¨´ç ÊºÔ Êͧ¤¹ ˹Òé ¾ÃФªÒ¸Òà ¹¹éÑ ËÇÑ ËÁ¹è× ¾¹Ñ ·¹ÒÂʾèÕ ÃеÓÃǨÅÇé ¹´ÒºÊоÒÂáÅ§è ¶×ͷǹ·Í§ËéÒÃéÍ ¡Ó˹´·§Ñé ¡Í§·Ñ¾ËÅǧ à»¹ç ¾Åáʹ˹§èÖ ãËàé ÍÒ¾ÅÒÂÀàÙ ¢Ò·Í§¢¹éÖ ÃÐÇÒ§Êо´Ñ ªÍè× à¨Òé ¾-ÒäªÂÒ³ÀØ Ò¾ ʧ٠ˡÈÍ¡¤º× Êͧ¹ÇéÔ µ´Ô ¹Óé Á¹Ñ ˹Òé ËÅ§Ñ ¼¡Ù ¤ªÒÀóàì ¤ÃÍè× §Á¹èÑ »¡Ñ ÁËÒàÈǵ©µÑ Ãà»¹ç ¾ÃФªÒ¸Òà à¨Òé ÃÒÁÃÒ¤ºà»¹ç ¡ÅÒ§ªÒé § ¹ÒÂÁËÒ³ØÀÒ¾¤ÇÒ- áÅáǧ¨µØÅѧ¤ºÒ·¹Ñé¹ ¾ÃÐÁËÒÁŵÃÕÍÂÙèà·éÒËÅѧàº×éͧ¢ÇÒ ËÅǧ¾Ôàó෾ ÍÂàèÙ ·Òé ËÅ§Ñ àºÍé× §«Òé  ážÃФªÒ¸ÒÃÊÁà´¨ç ¾ÃÐ͹ªØ Ò¸ÃÔ Òªà¨Òé ¹¹Ñé ¾ÅÒº-Ø àÃÍ× §¢¹éÖ ÃÐÇÒ§Êо´Ñ ª×èÍ à¨éÒ¾-Ò»ÃÒºäµÃ¨Ñ¡Ã Ê٧ˡÈÍ¡¤×ºµÔ´¹éÓÁѹ˹éÒËÅѧ ¼Ù¡¤ªÒÀóìà¤Ã×èͧÁÑ蹻ѡºÇÃàÈǵ©ÑµÃ ËÁ¹è× À¡Ñ ´ÈÕ ÇÃà»¹ç ¡ÅÒ§ªÒé § ¢¹Ø ÈÃ¤Õ ªÐ¤§¤ÇÒ- áÅ»¡Õ ·¾Ñ ËÅǧ¹¹éÑ ¾-ÒÁËÒàʹҢ¾Õè ÅÒÂÁÒûÃÐÅÂÑ ¶×;ÅËÁ×è¹ËéҾѹà»ç¹»Õ¡¢ÇÒ ¾-ҨѡâªèÕ Òé §¾ÅÒ¾ѷ¡ÅѺ ¶×;ÅËÁ×è¹ËéҾѹà»ç¹»Õ¡«éÒ ¾-Ò ¾ÃФÅѧ¢ªèÕ éÒ§¾ÅÒ¨ѡÃÁËÖÁÒ ¶×;ÅËÁ×è¹Ë¹Öè§à»ç¹Â¡¡Ãкѵà ¾ÃÐÃҪʧ¤ÃÒÁ¢ÕèªéÒ§ÊѧËÒäªÈÃÕËì ¶Í× ¾ÅËÒé ¾¹Ñ à»¹ç »¡Õ ¢ÇÒ ¾ÃÐÃÒÁóÀ¾¢ÕèªéÒ§¾ÅÒÂÁ³Õ¨Ñ¡Ã¾Ñ´ ¶×;ÅËéҾѹà»ç¹»Õ¡«éÒ ¾-Ò·éÒ¹Óé ¢ªÕè éÒ§¾ÅÒÂÊÇÑÊ´Ô¾ÔäªÂ ¶×;ÅËÁ¹è× Ë¹§èÖ à»¹ç ¡Í§ËÅ§Ñ ËÅǧËÄ·ÂÑ ¢ªÕè Òé §¾ÅÒÂÀºÙ ÒÅ ¶Í× ¾ÅËéÒ¾¹Ñ

ñðò »ÃЪÁØ ¾§ÈÒÇ´ÒéººÑ ¡Ò-¨¹ÒÀàÔ É¡ àÅÁè ò à»ç¹»Õ¡¢ÇÒ ËÅǧäÀÀÑ¡´Õ¢èªÕ Òé §¾ÅÒÂÊÒüÙé¸Ã ¶×;ÅËéҾѹà»ç¹»Õ¡«éÒ »ÃдѺ´éÇÂËÁÙèËÁÇ´¤ªÔ¹·Ã ´§éÑ ¡¹Ñ á·Ã¡á«§ ÊÅºÑ ¤Òè ¤Óé ¾§Ñ ¤ÒâÅ´áŹè ÅÇé ¹ÊÒþÂËØ ´ÁÙ ËÁÖ Ò Í¹Ñ ·Òé Ǿ-ÒàʹҺ´¾Õ ÃÔ ÂÔ â¸ҷÇÂËÒ- áʹÂÒ¾ÅҡþžĹ·ì ¾ÃÍé Á¾Ã§èÑ µ§éÑ µÒÁ¡Ãкǹàº-¨Â·Ø ¸àʹҧ¤¹¡Ô ÃàÊÃ¨ç ¾ÃÐÁËÒÃÒª¤ÃÙ ¾ÃФÃÙ ÈÇÔ ¾ÃÒËÁ³ìâËÃÒ¸ºÔ ´¡Õ Íç -Ñ àª-Ô àÊ´¨ç ¾ÃкҷÊÁà´¨ç ¾Ãо·Ø ¸à¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ·§éÑ Êͧ¾ÃÐͧ¤ìÊçÁÃÙ ¸ÒÀàÔ É¡ ¶ÇÒ ÍÒàÈÕÂþҷÍǪѠÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ¡ç·Ã§à¤Ã×èͧ»ÃдѺÊÓËÃѺÃÒª¡ÉѵÃÔÂìÊÙèÊÁÃÀÙÁÔʧ¤ÃÒÁÇѹ¹Ñé¹ à»ç¹ÍÑȨÃÃÂì ·Ã§¾ÃÐáʧ¸¹áÙ ÅéÇàʴ稢Öé¹à¡Â¤ÍÂÄ¡Éì áŪվè;ÃÒËÁ³ìµÑé§â¢Å¹·ÇÒÃÅÐÇéÒàÅè¹ä¡ ¢¹ÁËÒÇäÔ ªÂµ´Ñ äÁ¢é Áè ¹ÒÁàÊèç áÅÇé ¾Íä´Âé ¹Ô ÊÓà¹ÂÕ §»¹× Â§Ô Â·Ø ¸Ê´Ø àÊÂÕ §µÃÊÑ ãËéËÁ¹è× ·¾Ô àʹÒàÍÒÁÒé àÃÇç ä» ¿§Ñ ÃÒª¡Òà àË繷Ѿ˹éÒ¾èÒÂà»ç¹ÍÅËÁèÒ¹ ËÁ×è¹à·¾àʹÒñ ¾ÒàÍҢعËÁ×è¹ã¹¡Í§Ë¹éÒà¢éÒÁÒà½éÒ ÊÁà´ç¨ ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ µÃÊÑ ¶ÒÁà˵ãØ ´¾Òè ¢Òé È¡Ö ¢¹Ø ËÁ¹è× ¡ÃÒº·ÅÙ ¾ÃÐ¡Ã³Ø ÒÇÒè ¡¢¹éÖ ä»¶§Ö ·Òé Â⤡à¼Ò¢Òé Ç à¾ÅÒàªÒé »ÃÐÁÒ³âÁ§àÈÉ ¾º¡Í§·¾Ñ ÃÒÁ-Ñ Â¡Áһзе¡Õ ¹Ñ ¶§Ö µÐÅÁØ ºÍ¹ È¡Ö Ë¹¡Ñ ¡ÇÒè ·¡Ø ¤Ã§éÑ ¨§èÖ ¾Òè  ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑǵÃÑÊ´Ù¤ÇÒÁ¤Ô´ÁØ¢Á¹µÃÕÇèҷѾ˹éÒ¾èÒ´ѧ¹Õé¨Ð¤Ô´»ÃСÒÃã´ àʹҺ´ÕÁ¹µÃÕÁØ¢¡ÃÒº·ÙÅÇèÒ ¢Íàª-Ô àÊ´¨ç ¾ÃÐͧ¤µì §éÑ Á¹èÑ Í¡èÙ Íè ¹ áµ§è ·¾Ñ ä»ÃºÑ ˹Çè §äǵé Íè ä´·é áÕ ÅÇé ¨§Ö ¡·¾Ñ ËÅǧÍÍ¡·ÓÂ·Ø ¸ËµÑ ¶ì * àË¹ç ¨Ðä´ªé ÂÑ ªÓ¹Ð ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ äÁàè Ë¹ç ´Çé ´ÓÃÊÑ ÇÒè ·¾Ñ ˹Òé ᵡ©Ò¹ÁÒáÅÇé áŨе§éÑ ·¾Ñ ÍÍ¡ÃѺ¨ÐÁÒ »Ð·Ð¡Ñ¹à¢Òé ¨Ð¾ÅÍÂãËáé µ¡àÊÂÕ Í¡Õ ªÍºãËàé »´Ô ŧÁÒ·àÕ ´ÂÕ Ç ãË¢é Òé È¡Ö äÅÅè ÐàÅ§Ô ã¨àÊÂÕ ¡ÃкǹÁÒ àÃÒ¨§Ö ¡·¾Ñ ÍÍ¡ÂÍ¢Òé È¡Ö àË¹ç ¨Ðä´ªé ÂÑ ªÓ¹Ðâ´Â§Òè  ·Òé Ǿ-ÒÁ¢Ø Á¹µÃ·Õ §éÑ »Ç§¡¡ç ÃÒº¶ÇÒº§Ñ ¤Á¾ÃÍé Á¡¹Ñ à˹ç â´Â ¾ÃÐÃÒª´ÓÃÔ ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ¡çµÃÑÊãËéËÁ×è¹·Ô¾àÊ¹Ò ËÁ×è¹ÃÒªÒÁҵ¢ì ÕèÁéÒ¢Öé¹ä»»ÃСÒÈá¡è¹Ò·Ѿ ¹Ò¡ͧ¾Å·ËÒÃÍÂÒè ãËÃé ÍÃºÑ àÅ ãËàé »´Ô ŧÁÒ·àÕ ´ÂÕ Ç ½Òè ·¾Ñ ÃÒÁ-Ñ àË¹ç ·¾Ñ ªÒǾÃй¤Ã¾Òè ÂÁäÔ ´µé §éÑ ÃºÑ ¡Âç §èÔ ÁãÕ ¨¡ÓàÃºÔ äÅÃè ÐÊÓè ÃÐÊÒÂÁäÔ ´àé »¹ç ¡Ãкǹ ÊÁà´ç¨¾ÃйÐàÃÈÇÃà»ç¹à¨éÒàʴ稤ÍÂÄ¡Éì ·Í´¾ÃÐ๵ÃàËç¹ÁËÒàÁ¦µÑ駢Öé¹ÁÒáµè¾ÒÂѾ áÅÇé ¡ÅºÑ à¡ÅÍè× ¹¤¹× ¡ÃШÒÂÍ¹Ñ µÃ¸Ò¹ä» ¾ÃÐÊÃØ ÂÔ à·ÇºµØ èÃÊÑ á¨Áè ´Ç§ã¹¹ÀÒ´ÅÍÒ¡ÒÈ ¾ÃÐÁËÒÃÒª¤ÃÙ ¾ÃФû٠âÃËÔµÒ¨ÒÃÂì âËÃÒ¸ºÔ ´¡Õ çÅèѹ¦éͧªÂÑ ´Óà¹¹Ô ¸§ ¾ÃкҷÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨éÒÍÂèÙËÑÇ¡àç ʴ稷çà¨éÒ¾-Ò äªÂÒ¹ÀÒ¾à»¹ç ¾ÃФªÒ¸Òà ÊÁà´¨ç àÍ¡Ò·ÈðÍÈÔ ÇúÃÁ¹Ò¶ÃҪ͹ªØ ÒàÊ´¨ç ·Ã§à¨Òé ¾-Ò»ÃÒºäµÃ¨Ñ¡Ãà»ç¹ ¾ÃФªÒ¸Òà ¾Å·ËÒáâç ËÊè ¹¹èÑ º¹Ñ ÅÍ× È¾Ñ ·ì áµÃ椄 ¢àì ÊÂÕ §»ÃÐâ¤Á¦Íé §¡Åͧª¹Ð¡ÅÍ§È¡Ö ÊзÒé ¹ÊÐà·Í× ¹ »ÃÐ˹Öè§á¼è¹´Ô¹¨ÐäËÇ ÊÁà´ç¨¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ìÂÒµÃÒ¾ÃФªÒ¸Òà à»ç¹ºÒ·ÂèÒ§ ñ ¤ÇèÐà»ç¹ ËÁ×è¹·¾Ô àÊ¹Ò * ã¹µ¹é ©ººÑ à¢ÂÕ ¹ Â·Ø ¸ËÑ°

¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÊÂÒÁÏ ñðó ÊÐà·Ô¹ÁÒàºÍé× §¢ÇһнèÒ«Òé ¢Òé ÈÖ¡ à¨éÒ¾-ÒäªÂÒ³ÀØ Ò¾ à¨Òé ¾-Ò»ÃÒºäµÃ¨¡Ñ Ãä´Âé ¹Ô àÊÂÕ §¾ÅáÅàÊÂÕ § ¦éͧ¡ÅͧÈÖ¡ÍÖ§¤Ð¹Ö§ ¡çàÃÕ¡Áѹ¤ÃÑ蹤Ã×鹡ҧËÙªÙËÒ§¡ÔÃÔÂÒ»èǹ à´Ô¹à»ç¹ºÒ·ÍÂèÒ§ãË-àè ÃçÇä»´éÇ¡ÓÅѧ ¹éÓÁѹ ªéÒ§·éÒǾ-ÒÁØ¢Á¹µÃÕáÅâ¸ÒËÒ-«éÒ¢ÇÒ˹éÒËÅѧ·Ñ駹Ñé¹ µ¡Å§ä»ÁԷѹàÊ´ç¨ ¾ÃФªÒ¸Òà ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ·§éÑ Êͧ¾ÃÐͧ¤ãì ¡Å·é ¾Ñ Ë¹Òé ¢Òé È¡Ö µÃÊÑ ·Í´¾ÃÐ๵ÃàË¹ç ¾Å¾ÁèÒÃÒÁÑ-¡ÁÒ¹Ñé¹àµçÁ ·éͧ·Øè§à´Ô¹´Ø¨¤Å×è¹ã¹¾ÃÐÁËÒÊÁØ·Ã ¢éÒÈÖ¡äžè ŪÒǾÃй¤ÃÁÒ¤ÃÑ駹Ñé¹ÊÅºÑ «ºÑ «Íé ¹¡¹Ñ ÁäÔ ´éà»¹ç ¡Ãкǹ ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì¡ç¢Ñº¾ÃФªÒ¸ÒÃà¢éÒâ¨Áá·§ªéÒ§ÁéÒÃÕé¾ÅäÅèÊèÒÂàʶպ©ÑµÃµÐÅØÁºÍ¹ ¾Å¾ÁÒè ÃÒÁ-Ñ ÅÁé µÒÂà¡ÅÍè× ¹¡ÅÒ´ ªÒé §¢Òé È¡Ö ä´¡é ŹèÔ ¹Óé Á¹Ñ ¾ÃФªÒ¸ÒáËç ¡Ë¹Ñ µÅº»Ð¡Ñ¹ä»à»ç¹ÍÅËÁèÒ¹ ¾Å¾ÁÒè ÃÒÁ-Ñ ¡âç ·ÃÁÂ§Ô ¸¹ËÙ ¹Òé äÁ»é ¹× ä¿ÃдÁàÍÒ¾ÃФªÒ¸ÒÃÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ·§éÑ Êͧ¾ÃÐͧ¤ì áŸØÁÒ¡Òà ¡µç źÁ´× ໹ç ËÁÍ¡ÁÇÑ ä» ÁäÔ ´àé Ë¹ç ¡¹Ñ »ÃШ¡Ñ Éì ¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃйÐàÃÈÇÃà»ç¹à¨éÒ¨Ö觵ÃÑÊ»ÃСÒÈá¡è෾´ҷÑ駻ǧÇèÒ ãËéºÑ§à¡Ô´ÁÒã¹»ÃÐÂÙà ÁËÒàÈǵ©µÑ à ¨Ðã˺é ÓÃا¾ÃкÇþ·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ä©¹¨Ö§è ÁªÔ èÇÂãËéÊÇÒè §áÅàËç¹¢éÒÈ¡Ö àÅèÒ ¾Íµ¡¾ÃÐâÍÉ° ŧ¾ÃоÒ¡ç¾Ñ´¤ÇѹÍѹà»ç¹ËÁÍ¡Á×´¹Ñé¹ÊÇèÒ§ä» ·Í´¾ÃÐ๵ÃàË繪éÒ§àÈǵ©ÑµÃÊԺˡªéÒ§* ÁÕªéÒ§¡Ñ¹ Â×¹ÍÂÙèà»ç¹ÍѹÁÒ¡ áµèÁÔä´éàËç¹¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ ¤ÃÑé¹àËÅ×ͺ份èÒ·ÔÈ¢ÇÒ¾ÃÐËѵ¶ì¡çàË繪éÒ§àÈǵ©ÑµÃ ªÒé §Ë¹§èÖ Â¹× ÍÂèÙ ³ ©ÒÂÒäÁ¢é Íè  ÁàÕ ¤ÃÍè× §Ê§Ù áÅ·ËÒÃ˹Òé ªÒé §ÁÒ¡ ¡àç ¢Òé ¾ÃзÂÑ ¶¹´Ñ ÇÒè ªÒé §¾ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒ ¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì¡ç¢Ñº¾ÃФªÒ¸Òõçà¢éÒä» ·ËÒÃ˹éÒªéÒ§¢éÒÈÖ¡¡çÇÒ§»×¹¨èÒç¤ì Á³±¡ ¹¡ÊºÑ µÃÐầá¡Çé ÃдÁÂ§Ô ÁäÔ ´µé Íé §¾ÃÐͧ¤áì žÃФªÒ¸Òà ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ¨§èÖ µÃÊÑ ÃÍé § àÃÕ¡´éÇÂàÊÕ§Íѹ´Ñ§ÇèÒ ¾ÃÐà¨éÒ¾ÕèàÃÒ¨ÐÂ×¹ÍÂÙèäÂã¹ÃèÁäÁéàÅèÒ àªÔ-ÍÍ¡ÁÒ·ÓÂØ·¸Ëѵ¶´ì Çé ¡ѹãËéà»ç¹ à¡ÂÕ ÃµÂÔ ÈäÇãé ¹á¼¹è ´¹Ô à¶´Ô ÀÒÂ˹Òé ä»äÁÁè ¡Õ ÉµÑ ÃÂÔ ·ì ¨èÕ Ðä´Âé ·Ø ¸ËµÑ ¶áì ÅÇé ¾ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒä´¿é §Ñ ´§Ñ ¹¹éÑ ÅÐÍÒ ¾ÃзÂÑ Á¢Õ µÑ µÂÔ ÃÒªÁҹСºç Òè ¾ÃФªÒ¸ÒÃÍÍ¡ÁÒÃºÑ à¨Òé ¾-ÒäªÂÒ¹ÀØ Ò¾àË¹ç ªÒé §¢Òé È¡Ö ¡äç »´Çé ½ÅÕ ¹èÑ ¹éÓÁѹÁԷѹÂÑé§àÊÕÂ·Õ ¾ÅÒ¾ѷ¸¡Í¡çä´éÅèҧạÃعÁÒ ¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ¨éǧ¿Ñ¹´éǾÃÐáʧ¢Í§éÒÇ ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé àºÂèÕ §¾ÃÐÁÒÅÒÃºÑ ¾ÃÐáʧ¢Í§Òé ÇÁäÔ ´µé Íé §¾ÃÐͧ¤ì à¨Òé ¾-ÒäªÂÒ¹ÀØ Ò¾Êº´Ñ ŧä´Åé Òè §áº¡¶¹´Ñ ¾ÅÒ¾·Ñ ¸¡Íà¾ÅÂÕ ¡àº¹ä» ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ä´é·Õ¨éǧ¿Ñ¹´éǾÃÐáʧ ¾Å¾èÒµéͧ¾ÃÐÍѧÊÒàº×éͧ¢ÇÒ¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ µÅʹŧÁÒ¨¹»ÃЩÔÁÁØÃÒ»ÃÐà·È«ºÅ§¡Ñº¤ÍªéÒ§ áŹÒÂÁËÒ¹ÀØ Ò¾¤ÇÒ-¾ÃФªÒ¸ÒþÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ¹¹éÑ µÍé §»¹× ¢Òé È¡Ö µÒ * ¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÈÃÕÍÂ¸Ø ÂÒ ©ººÑ ËÍÊÁ´Ø áË§è ªÒµÇÔ èÒ ñò ªéÒ§

ñðô »ÃЪÁØ ¾§ÈÒÇ´ÒéººÑ ¡Ò-¨¹ÒÀàÔ É¡ àÅÁè ò ¢³ÐàÁÍè× ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ª¹ªÒé §´Çé ¾ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒ¹¹éÑ à¨Òé ¾-Ò»ÃÒºäµÃ¨¡Ñ ë§èÖ à»¹ç ¾ÃФªÒ¸ÒÃÊÁà´¨ç àÍ¡Ò¸Èð¡àç ¢Òé ª¹´Çé ¾ÅÒ¾·Ñ ªÐà¹ÂÕ §ªÒé §ÁÒ§¨ÒªÐâà à¨Òé ¾-Ò»ÃÒºäµÃ¨¡Ñ Ãä´Åé Òè § ¾ÅÒ¾·Ñ ªÐà¹ÂÕ §àÊÂÕ ·àÕ º¹ä» ÊÁà´ç¨àÍ¡Ò·Èð¨éǧ¿Ñ¹´éǾÃÐáʧ¢Í§éÒǵéͧ¤ÍÁÒ§¨ÒªÐââҴµÒ ¡Ñº¤ÍªéÒ§ ËÁ×è¹ÀÑ¡´ÕÊÇáÅÒ§ªéÒ§ÊÁà´ç¨àÍ¡Ò·Èð¹Ñé¹µéͧ»×¹¢éÒÈÖ¡µÒ ¢³ÐàÁ×èÍÊÁà´ç¨ ¾Ãо·¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì·Óʧ¤ÃÒÁä´éªÑªӹоÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒáÅÁÒ§¨ÒªÐâÃáÅéÇ ºÃÃ´Ò ·Òé Ǿ-ÒÁ¢Ø Á¹µÃ¹Õ Ò·Ѿ¹Ò¡ͧ«éÒ¢ÇÒ˹éÒËÅѧ·Ñ駻ǧ¨Öè§ÁҷѹàÊ´ç¨ ä´éà¢éÒú¾Øè§á·§¿Ñ¹¢Òé ÈÖ¡ à»ç¹ÊÒÁÒö ážžÁèÒÁÍ-·Ñ駹Ñ鹡çᵡ¡ÃШÒÂä»à¾ÃÒоÃÐപപҹØÀÒ¾ ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ µÃÑÊãËé¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧ·Ñ駻ǧ¡仵ÒÁ¨Ñº¢éÒÈÖ¡ áÅéÇàʴ稤׹ÁÒÂѧ¾ÅѺ¾ÅÒ¾ÃÐÃÒª·Ò¹ª×èÍ à¨Òé ¾-ÒäªÂÒ¹ÀØ Ò¾ ໹ç à¨Òé ¾-Ò»ÃҺ˧ÉÒ ºÃôÒÁØ¢Á¹µÃÕ¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧ«Öè§Â¡µÒÁ¢éÒÈ֡仹Ñé¹ ä´é¦èҿѹ¾ÁèÒÁÍ-â´Â·Ò§ä»¶Ö§¡Òèì¹ìºÙÃÕÂì ÍÒÊÀà¡Å×è͹ä»áµèµÐ¾Ñ§µÃعÑé¹»ÃÐÁÒ³ÊͧËÁ×è¹àÈÉ ¨Ñºä´éà¨éÒàÁ×ͧÁÐÅǹáŹÒ·Ѿ¹Ò¡ͧ¡Ñºä¾Ãèà»ç¹ÍѹÁÒ¡ ä´éªéÒ§ãË-èÊ٧ˡÈÍ¡ÊÒÁÃéÍ ªéÒ§¾ÅÒ¾ѧÃÐÇÒ§à¾ÃÕÂÇËéÒÃéÍ ÁéÒÊͧ¾Ñ¹àÈÉÁÒ¶ÇÒ ÊÁà´ç¨¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑǵÃÑÊãËé¡è;ÃÐ਴ÕÂìʶҹÊÇÁȾ¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒäǵé ӺŵоѧµÃØ ¢³Ð¹Ñé¹â»Ã´¾ÃÐÃÒª·Ò¹ªéҧ˹Ö觡ѺËÁÍáŤÇÒ-ãËéà¨éÒàÁ×ͧÁÐÅǹ¡ÅѺ¢Öé¹ä»á¨é§á¡¾è ÃÐà¨éÒ˧ÉÒÇ´Õ ¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì¡çàʴ稡ÅѺà¢éÒ¾Ãй¤Ã áÅéǵÃÑÊÇèÒà¨éÒÃÒÁÃÒ¤¾ ¡ÅÒ§ªÒé §¡ºÑ ¢¹Ø ÈÃ¤Õ ª¤§¤ÇÒ-«§èÖ ä´»é ÃШ-¢Òé È¡Ö ¨¹ÁªÕ ÂÑ ªÓ¹Ð´Çé ¾ÃÐͧ¤¹ì ¹éÑ ¡»ç ¹Ù ºÓà˹¨ç ¾ÃÐÃÒª·Ò¹ ÂȶÒÈ¡Ñ ´àìÔ ¤ÃÍè× §Í»Ø âÀ¤ºÃâÔ À¤àÊÍé× ¼Òé à§¹Ô ·Í§ ½Òè ¹ÒÂÁËÒ¹ÀØ Ò¾¤ÇÒ-ªéÒ§ ËÁ×è¹ÀÑ¡´ÕÊÇáÅÒ§ªÒé §ä´é â´Âàʴ稧ҹ¾ÃÐÃҪʧ¤ÃÒÁ¨¹¶Ö§ÊÔ鹪ÕÇԵ㹷èÒÁ¡ÅÒ§ÈÖ¡¹Ñé¹ ÁÕ¤ÇÒÁªÍºãËéºØµÃÀÃÃÂÒÁҪغàÅÕé§ ¾ÃÐÃÒª·Ò¹à¤Ã×èͧÍØ»âÀ¤ºÃÔâÀ¤à§Ô¹·Í§àÊ×éͼéÒâ´ÂÊÁ¤Çà àÊÃç¨áÅéÇÁÕ¾ÃÐÃÒª´ÓÃÑÊãËé»ÃÖ¡ÉÒâ·É ¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧÇèÒ¢éÒÈ֡¡ÁÒ¶Ö§¾Ãй¤Ã ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ìµÑ駾ÃзѨÐÃÑ¡ÉÒ ¾Ãо·¸ÈÒÊ¹Ò áÅÊÁ³ážÃÒËÁ³Ò¨ÒÃÂìÍÒ³Ò»ÃЪÒÃÒÉ®ÃÁÔä´é¤Ô´à˹×èÍÂÂÒ¡ÅÓºÒ¡¾ÃÐͧ¤ì ·Ã§¾ÃÐÍصÊÒè Ëàì Ê´¨ç ¡¾ÂËØ â¸ÒÍÍ¡ä»Ã³Ã§¤´ì Çé ¢Òé È¡Ö áŹÒ·¾Ñ ¹Ò¡ͧ¡ÅÑÇ¢éÒÈÖ¡ÂÔ觡ÇèÒ¾ÃÐÃÒª ÍÒª-Ò ÁäÔ ´âé ´ÂàÊ´¨ç ¾ÃÐÃÒª´Óà¹¹Ô ãË·é ¹Ñ ÅÐáµè¾ÃФªÒ¸ÒÃÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì ãËéà¢éÒÍÂÙè·èÒÁ¡ÅÒ§¢éÒÈÖ¡ ¨¹ä´¡é ÃзÓÂ·Ø ¸ËµÑ ¶Áì ªÕ ÂÑ á¡¾è ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒàÊèç â·É¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧ·§éÑ ¹éÕ ¨Ðà»¹ç »ÃСÒÃã´ ¾ÃÐÁËÒÃÒª¤ÃÙ ¾ÃФû٠âÃËµÔ ·§éÑ »Ç§»Ã¡Ö ÉÒãÊ´è Çé ¾ÃÐÍÂÑ ¡ÒÃÈ¡Ö ¾º¾ÃÐÃÒª¡ÄÉ®Õ¡Ò ÇèÒÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇàʴ稾ÃÐÃÒª´Óà¹Ô¹§Ò¹¾ÃÐÃҪʧ¤ÃÒÁáÅࡳ±ì¼Ùéã´à¢éÒ㹡Ãкǹ·Ñ¾áÅéÇ ÁÔä´éâ´ÂàÊ´ç¨ãËé·Ñ¹àÁ×èÍ¢³ÐÂØ·¸ ·èÒ¹ÇèÒâ·É¼Ùé¹Ñé¹à»ç¹ÍØ¡Äɯ ãËé»ÃÐËÒêÕÇÔµÍÂèÒãËé¼ÙéÍ×è¹´àÙ ÂÕè§ÍÂèÒ§

¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÊÂÒÁÏ ñðõ àÍÒ¤Ó¾¾Ô Ò¡ÉÒ¡ÃÒº·ÅÙ Á¾Õ ÃÐÃÒª´ÓÃÊÑ Ê§èÑ ãËàé ÍÒµÒÁÅ¡Ù ¢¹Ø »Ã¡Ö ÉÒ áµ·è ÇÒè º´Ñ ¹¨éÕ Ç¹Ç¹Ñ ¨Òµ·Ø ÊºÕ ³Ñ ÃÊÍÕ ÂèÙ ãËéàÍÒ¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧ¨ÓãÊàè Ã×͹µÃäØ Ç¡é Íè ¹ÊÒÁÇ¹Ñ ¾¹é áÅÇé ¨§èÖ ãËéÊÓàèç â·Éâ´Â¾ÃÐÍÂÑ ¡ÒÃÈ¡Ö ¤Ã¹éÑ ³ Ç¹Ñ ññÏôò ¤Óè ( Ç¹Ñ ÍÒ·µÔ Âì à´Í× ¹ÂèÕ áÃÁ ñô ¤Óè )* ÊÁà´¨ç ¾ÃоÅÃµÑ ¹»ì Òè á¡Çé áÅ ¾ÃÐÃÒªÒ¤³ÐÂÕèÊÔºËéÒÃÙ»à¢éÒÁÒ¶ÇÒ¾ÃоöÒÁ¢èÒÇ«Öè§àʴ稧ҹ¾ÃÐÃҪʧ¤ÃÒÁ ä´é¡ÃзÓÂØ·¸Ëѵ¶ì ÁÕªÑÂá¡è¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇ¡çá¶Å§¡ÒëÖ觻ÃÒº»Ñ¨¨ÒÁÔµÃãËé¿Ñ§·Ø¡»ÃСÒà ÊÁà´ç¨ ¾ÃоÅÃѵ¨Ö觶ÇÒ¾ÃоöÒÁÇèÒ¾ÃÐÃÒªÊÁÀÒÃÁÕªÑÂá¡è¢éÒÈÖ¡ÍÕ¡ à»ç¹ä©¹¢éÒÃÒª¡Ò÷Ñ駻ǧ¨Ö觵éͧ ÃÒª·Ñ³±ìàÅèÒ ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑǨÖ觵ÃÑʺ͡ÇèÒ¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧàËÅèÒ¹ÕéÍÂÙè㹡Ãкǹ·Ñ¾âÂÁ Á¹Ñ ¡ÅÇÑ ¢éÒÈÖ¡ÁÒ¡¡ÇèÒâÂÁ ÅÐãËéáµèâÂÁÊͧ¤¹¾Õè¹éͧ½èÒà¢éÒä»ã¹·èÒÁ¡ÅÒ§¢éÒÈÖ¡ ¨¹ä´é¡ÃзÓÂØ·¸Ëѵ¶ì¡Ñº ÁËÒÍØ»ÃÒªÒÁժѪӹÐáÅéǨÖè§ä´éàËç¹Ë¹éÒÁѹ¹Õé ËÒ¡ÇèÒºÒÃÁբͧâÂÁËÒäÁè á¼è¹´Ô¹¨Ðà»ç¹¢Í§ªÒÇ Ë§ÉÒÇ´àÕ ÊÕÂáÅéÇ à¾ÃÒÐà˵شѧ¹ÕéâÂÁ¨Öè§ãËéŧâ·Éâ´Â¾ÃÐÍÑ¡ÒÃÈÖ¡ ÊÁà´ç¨¾ÃоÅÃѵ¹¨ì è§Ö ¶ÇÒ ¾ÃоÃÇèÒÍÒµÁÀÒ¾¾Ôà¤ÃÒÐËì´Ù Íѹ¢éÒÃÒª¡ÒÃàËÅèÒ¹Õé·Õè¨ÐäÁèÃÑ¡äÁè¡ÅÑǾÃÐÃÒªÊÁÀÒÃà¨éÒ¹Ñé¹ËÒÁÔä´é áÅà˵·Ø §éÑ ¹¨éÕ Óà»¹ç ·¨èÕ Ðã˾é ÃÐà¡ÂÕ ÃµÂÔ È¾ÃÐÃÒªÊÁÀÒÃà¨Òé ໹ç ÁËÈÑ ¨ÃÃÂì àËÁÍ× ¹ÊÁà´¨ç ¾ÃÐÊÃÃྪ-¾·Ø ¸à¨Òé àÁ×è;ÃÐͧ¤ìàÊ´ç¨à˹×ÍÍÑ»ÃÒªÔµºÑÅÅѧ¡ì ¡çä´é¤Ç§¾ÃÐÁËÒ⾸Ôì ³ à¾ÅÒÊÒÂѳËì ¤ÃÑ駹Ñé¹à·¾ÂØà¨éÒÁÒ à½éÒ¾ÃéÍÁÍÂÙè·Ñé§ËÁ×蹨ѡÃÇÒÅ áž-ÒÇÑÊÇÑÊ´ÕÁÒá¾ÅÒ¾ÅàʹÒÁÒÃÁÒ¼¨- ¤ÃÑ駹Ñ鹶éÒä´éà·¾ÂàØ ¨Òé à»ç¹ºÃÔÇÒÃáÅÁÕªÑÂá¡è¾-ÒÁÒáçËÒÊÙéà»ç¹ÁËÒÁËÑȨÃÃÂì¹Ñ¡äÁè ¹Õèà¼ÍÔ-ãËéËÁÙèÍÁÃÔ·Ãì¾ÃËÁ·Ñ駻ǧ »ÅÒȹҡÒÃ˹Õä»ÊÔé¹ Âѧáµè¾ÃÐͧ¤ìà´ÕÂÇÍÒ¨ÊÒÁÒö¼¨-¾-ÒÁÒÃÒ¸ÔÃÒª¡Ñº¾ÅàʹÒÁÒÃãËéÍÑ»ÃҪѠ¾èÒÂá¾éä´é ¨Öè§ÊÁà´ç¨¾ÃкÃÁâÅ¡¹Ò¶à¨éÒä´é¾ÃйÒÁÇèÒ ¾ÃоԪԵÁÒÃâÁÅÕÈÃÕÊÃÃྪ-´Ò-Ò³ à»ç¹ÁËÒÁËÑȨÃÃÂì´ÒÅ´Ôàá [ ¨ºàÅèÁ ø ] ·ÑèÇ͹ѹµâÅ¡¸ÒµØàº×éͧº¹µÃÒºà·èÒ¶Ö§ÀÇѤ¾ÃËÁ àº×éͧµèÓ µÅÍ´¶Ö§Íâ¸ÀÒ¤ÍàǨÕà»ç¹·ÕèÊØ´ ¡çàËÁ×͹¾ÃÐÃÒªÊÁÀÒÃà¨éÒ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì¤ÃÑ駹Õé ¶éÒàʴ稾ÃéÍÁ´éÇ àʹҧ¤¹Ô¡Ãâ¸ҷÇÂËÒ-ÁÒ¡ áÅÁÕªÑÂá¡è¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ¹Ñé¹ËÒÊÙéà»ç¹ÁËÑȨÃÃÂì á¼è¾ÃÐà¡ÕÂõÔÂÈ »ÃÒ¡¯ä»¹Ò¹Ò»ÃÐà·È¸Ò¹ÕãË-¹è éÍ·é§Ñ ¹é¹Ñ äÁè ¾ÃÐÃÒªÊÁÀÒÃà¨éÒÍÂèҷç»ÃÇÔ µÔ ¡â·Á¹ÊÑ ¹Íé ¾ÃзÑÂàÅ Íѹà˵طÕèà»ç¹¹Õéà¾×èÍà·¾ÂØà¨éÒ·Ñ駻ǧÍѹÃÑ¡ÉÒ¾ÃÐͧ¤ì¨Ñ¡ÊÓá´§¾ÃÐà¡ÕÂõÔÂÈ ´Ø¨ÍÒµÁÀÒ¾¶ÇÒ¾Ãоà ໹ç á·é ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ µÃÊÑ ä´·é ç¿§Ñ ¾ÃоÅÃµÑ ¹¶ì ÇÒÂÇÊÔ ªÑ ¹Ò¡ÇÒé §¢ÇÒ§ÍÍ¡¾ÃйÒÁÊÁà´¨ç ¾ÃкÃÁ âÁÅÕâÅ¡ ¤ÃÑ駹Ñé¹ÃÐÅÖ¡¶Ö§¾ÃФس¹ÒÁÍѹÂÔè§ ¡ç·Ã§¾ÃлյÔâÊÁ¹Ñʵ×é¹àµçÁ¾ÃСÁÅËÄ·Ñ»ÃÒâÁ·Âì ¡¾ÃСûÃйÁà˹Í× ÍµØ ÁÒ§¤ÊâÔ ÃµÁ¹ì ÁÊÑ ¡ÒÃÍÍ¡¾ÃÐâÍÉ°Çì Òè ÊÒ¸ÊØ Ò¸Ø ¾ÃмàéÙ »¹ç à¨Òé ÇÒè ¹¤éÕ ÇÃ˹¡Ñ Ë¹Ò * ¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÈÃÍÕ Â¸Ø ÂÒ ©ººÑ ËÍÊÁ´Ø áË§è ªÒµÔÇÒè Ç¹Ñ ÍÒ·µÔ Âì à´Í× ¹ ÷ áÃÁ ñõ ¤Óè ¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´Òà ©ººÑ ¾¹Ñ ¨¹Ñ ·¹ÁØ ÒÈ (à¨ÁÔ ) ÇÒè ÇѹÍÒ·ÔµÂì à´Í× ¹ÍéÒ áÃÁ ñõ ¤èÓ

ñðö »ÃЪÁØ ¾§ÈÒÇ´ÒéººÑ ¡Ò-¨¹ÒÀàÔ É¡ àÅÁè ò ÊÁà´ç¨¾ÃоÅÃÑ´àËç¹ÇèÒ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÔÂì¤ÅÒ¾ÃÐâ¡Ã¸áÅéÇ ¨Ö觶ÇÒ¾ÃоÃÇèÒÍÒµÁÀÒ¾¾ÃÐÃÒªÒ¤³Ð ·Ñ駻ǧàËç¹ÇèÒ ¢éÒÃÒª¡ÒëÖè§à»ç¹â·ÉàËÅèÒ¹Õé¼Ô´Ë¹Ñ¡Ë¹ÒÍÂÙèáÅéÇ áµè·ÇèÒä´é·ÓÃÒª¡ÒÃÁÒáµè¤ÃÑé§ÊÁà´ç¨ ¾ÃкÃÁÃÒªÍÂÑ ¡Ò áÅÊÁà´¨ç ¾Ãо·Ø ¸à¨Òé ËÅǧ áÅ·ÓÃÒª¡ÒÃÁÒãµÅé ÐÍͧ¸ÅØ ¾Õ Ãкҷ¢Í§¾ÃÐÃÒªÊÁÀÒà à¨éÒáµèà´ÔÁÁÒ ´Ø¨¾Ø·¸ºÃÔÉÑ·ÊÁà´ç¨¾ÃкÃÁ¤ÃÙ¡çàËÁ×͹¡Ñ¹ ¢Í¾ÃÐÃÒª·Ò¹ºÔ³±ºÒµâ·É¤¹àËÅèÒ¹Õé äǤé çéÑ Ë¹§èÖ à¶´Ô ¨Ðä´·é ÓÃÒª¡ÒéÅͧ¾ÃÐà´ª¾ÃФ³Ø Êº× ä» ÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑǵÃÑÊÇèÒ¾ÃмÙéà»ç¹à¨éÒ¢ÍáÅéÇâÂÁ¡ç¨ÐãËé áµè·ÇèÒ¨ÐãËé仵ÕàÍÒàÁ×ͧµ¹ÒÇÈÃÕ àÁÍ× §·ÇÒÂᡵé ÇÑ ¡Íè ¹ ÊÁà´¨ç ¾ÃоÅÃµÑ ¶ÇÒ¾ÃоÃÇÒè ¡Òë§èÖ ¨Ðãªäé »µºÕ Òé ¹àÁÍ× §¹¹éÑ Ê´Ø áµ¾è ÃÐÃÒªÊÁÀÒà à¨éÒ¨Ðʧà¤ÃÒÐËìãªè¡Ô¨ÊÁ³Ð áÅéÇÊÁà´ç¨¾ÃоÅÃѵ¾ÃÐÃÒªÒ¤³Ð·Ñ駻ǧ¶ÇÒ¾ÃоÃÅÒä» ÊÁà´ç¨ ¾ÃÐà¨éÒÍÂÙèËÑÇÊÑè§ãËé·éÒǾ-Ò¾ÃÐËÑÇàÁ×ͧÁØ¢Á¹µÃÕ¾é¹â·É ¾ÃÐÃÒª¡Ó˹´ãËé¾-ҨѡÃÕ¶×;ÅËéÒËÁ×è¹ ä»µàÕ ÁÍ× §ñ ã˾é -Ò¾ÃÐ¤Å§Ñ ¶Í× ¾ÅËÒé ËÁ¹è× ä»µàÕ ÁÍ× §·ÇÒ ¾-Ò¨¡Ñ ÃÕ ¾-Ò¾ÃÐ¤Å§Ñ ¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧ¡¶ç ÇÒ º§Ñ ¤ÁÅÒ¡ä»â´Â¾ÃÐÃÒª¡Ó˹´ ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ´ÓÃÊÑ ÇÒè «§èÖ àÃÒ·§éÔ àÁÍ× §½Òè Âà˹Í× àÊÂÕ àÅ¡Ô ¤Ãͺ¤ÃÇÑ Å§ÁÒ¹¹éÑ ¡Ëç ÒʹéÔ ·àÕ ´ÂÕ ÇäÁè ¤Ã§éÑ ¹ÈéÕ ¡Ö ˧ÉÒÇ´¡Õ ¶ç Í¡ÓÅ§Ñ Å§áÅÇé ¶§Ö ÁÒµÃÇÒè ¨ÐÁÁÕ Ò¡äç Áàè ¡Ã§ àÃҨкÓÃ§Ø àÁÍ× §·§éÑ ¹ãéÕ Ëàé »¹ç à¡ÂÕ ÃµÂÔ ÈäÇé µÃÒºà·èÒ¡ÅÑ »ÒÇÊÒ¹ ¨§èÖ Ê§èÑ ã˾é -ÒäªÂºÃÙ ³à»¹ç à¨Òé ¾-ÒÊÃÈÃÕ * ¤ÃͧàÁÍ× §¾ÃоÈÔ ¹âØ Å¡Âì ã˾é ÃÐÈÃÕ àÊÒÇÐÃÒªä»ÃÑ¡ÉÒàÁ×ͧÈØ¡â¢ä·Â ã˾é ÃÐͧ¤ì·Í§ä»ÃÑ¡ÉÒàÁ×ͧ¾ÔäªÂ ãËËé Åǧ¨èÒä»ÃÑ¡ÉÒàÁ×ͧÊÇÃäìâÅ¡Âì ºÃôÒËÑÇàÁÍ× §½èÒÂà˹×Í·§Ñé »Ç§¡çãËéà¨Òé àÁÍ× §¡ÃÁ¡ÒÃᵧè ä»àÃÂÕ ¡ÃÍé §ÃǺÃÇÁä¾Ã¾è Å «§Öè ᵡ©Ò¹«Òè ¹à«ç¹ Í»èÙ Òè ´§Ñ ¹¹éÑ ·¡Ø ËÇÑ àÁÍ× § ½Òè Âà¨Òé àÁÍ× §ÁÐÅǹªÒÇ˧ÉÒ«§èÖ ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃ໹ç à¨Òé ¨ºÑ ä´ãé Ë»é ÅÍè Â¡ÅºÑ ä»¹¹éÑ ¡¾ç º¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧ¾ÁèÒÁÍ-«Öè§áµ¡©Ò¹«èÒ¹à«ç¹â´Â´èÒ¹â´Â·Ò§ä»ÃǺÃÇÁ¡Ñ¹ä´é ¡ç¾Ò¡Ñ¹¡ÅѺ仡Ãا˧ÉÒÇ´Õ à¢Òé à½Òé ¡ÃÒº·ÅÙ »ÃоĵàÔ ËµØ «§èÖ ¾ÃÐÁËÒÍ»Ø ÃÒªÒàÊÂÕ ¾ÃЪ¹Áª¾Õ ¡ºÑ ¤ÍªÒé §¹¹éÑ ãË·é ÃÒº·¡Ø »ÃСÒà ÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ˧ÉÒÇ´áÕ ¨§é ´§Ñ ¹¹éÑ àÊÂÕ ¾ÃзÂÑ â·Á¹ÊÑ ¤´Ô ÍÒÅÂÑ ¶§Ö ¾ÃÐÃÒªºµØ à áÅÇé ·Ã§¾ÃÐâ¡Ã¸á¡è ¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧÇèÒ¾ÃйÐàÃÈÇáѺàÍ¡Ò·¸Ã°¹éͧªÒÂà¢éÒÁÒúáµèÊͧªéÒ§ à»ç¹¤¹¡ÅÒ§¤ÇÒ-ªéÒ§ Ë¡¤¹à·Òè ¹¹éÑ ·¾Ñ àÃÒ¶§Ö õð ËÁ¹è× ¶§Ö ÁÒµÃÇÒè ¨ÐäÁÁè ÈÕ ÊÑ µÃÒÇ¸Ø àÅ ¨Ð»ÃÐËÒôÇé ¡Íé ¹´¹Ô áµ¤è ¹ÅСÍé ¹ ¡ç¨ÐäÁè¤ÒÃйÒÁ×ÍÍÕ¡ ¹ÕèÅÐãËéàÊÕÂÃÒªâÍÃÊáËè§àÃÒä˹¨ÐàÅÕ駵èÍä»ä´é ãËéŧ¾ÃÐÃÒªÍÒª-Ò·Ñ駹Ò ñ ¤§¨Ðà»ç¹àÁ×ͧµÐ¹ÒÇÈÃÕ * ¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÈÃÍÕ Â¸Ø ÂÒ ©ºÑºËÍÊÁ´Ø áË觪ҵÇÔ Òè à¨éÒ¾-ÒÊÃØ ÊËÕ ì

¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÊÂÒÁÏ ñð÷ ·§Ñé ä¾ÃèáÅÇé ¨ÓãÊèàÃÍ× ¹µÃäØ ÇÍé »èÙ ÃÐÁÒ³Ë¡Ç¹Ñ à¨´ç Ç¹Ñ ¾ÃÐà¨Òé ˧ÉÒÇ´·Õ ç¾ÃÐÃÒª´ÓÃÇÔ Òè ¾ÃйÐàÃÈÇà ·Ó¡ÒÃÈÖ¡ÇèͧäÇËÅÑ¡áËÅÁͧÍÒ¨¹Ñ¡ ¨¹¶Ö§ÂØ·¸ËµÑ ¶Áì Õ¡èÁËÒÍØ»ÃÒªÒ àÍ¡Ò·¸Ã°àÅèÒ¡çÁÕªÑÂá¡è ÁÒ§¨ÒªÐâà àË¹ç ¾¹èÕ Íé §Êͧ¤¹¹¨éÕ ÐÁãÕ ¨¡ÓàÃºÔ Â¡ÁÒµÕ¾Ãй¤ÃàÃÒ໹ç Á¹èÑ ¤§ áµ·è ÇÒè ¨Ð¤´Ô àÍÒàÁÍ× §µ¹ÒÇÈÃÕ àÁ×ͧÁÄ· àÁ×ͧ·ÇÒ¡è͹ ¨Ó¨ÐãËé¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧáÅä¾Ãè«Öè§ä»àÊÕ·ѾÁÒ¹Õé ãËé¡ŧä»ÃÑ¡ÉÒàÁ×ͧ µÐ¹ÒÇÈÃÕ àÁÍ× §ÁÄ· àÁÍ× §·ÇÒÂäÇãé Ëäé ´é È¡Ö ¨§Ö ¨ÐäÁ¶è §Ö ¡Ã§Ø ˧ÉÒÇ´Õ ¤Ã¹éÑ ·Ã§¾ÃдÓÃáÔ ÅÇé à¾ÅÒÃØè§àÊ´ç¨ÍÍ¡µÃÑÊÊÑè§ãËé¶Í´¹Ò·Ѿ¹Ò¡ͧÍÍ¡¨Ò¡Êѧ¢ÅÔ¡¾Ñ¹¸¹Ò¡Òà áÅéÇãËéàÃè§Â¡Å§ä»ÃÑ¡ÉÒ àÁ×ͧµ¹ÒÇÈÃÕ àÁ×ͧ·ÇÒ àÁ×ͧÁÄ·äÇéãËéä´é ¶éÒàÊÕÂàÁ×ͧ·ÇÒ àÁ×ͧµ¹ÒÇÈÃÕ àÁ×ͧÁÄ·á¡è¢éÒÈÖ¡ ¨ÐàÍÒ¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧáÅä¾Ã·è §éÑ ¹ãéÕ Êàè ÅÒé à¼ÒàÊÂÕ ãËÊé ¹éÔ ·§éÑ â¤µÃ ¹Ò·¾Ñ ¹Ò¡ͧ·§éÑ »Ç§¡ÃÒº¶ÇÒº§Ñ ¤ÁÅÒ Â¡¡Í§·¾Ñ 仨ҡ¡Ã§Ø ˧ÉÒÇ´Õ ½Òè ¾ÃÐà¨Òé àªÂÕ §ãËÁáè ¨§é ¡´Ô Ò¡ÒÃã¹¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã¢¹éÖ ä»àÊèç ʹéÔ ·¡Ø »ÃСÒà ¡àç ¡Ã§¾ÃÐപപҹÀØ Ò¾ ¨Ö觵ÃÑÊá¡èáʹ·éÒǾ-ÒÅÒÇ·Ñ駻ǧÇèÒ ºÑ´¹ÕÊé Áà´ç¨¾ÃÐà¨éÒ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤ÃÈÃÕÍÂØ·¸ÂÒ¶Ö§ÊÇÃäµ ÊÁà´ç¨¾ÃйÐàÃÈÇÃÃÒªºØµÃä´é¤ÃͧÃÒªÊÁºÑµÔ ¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒ¡ŧÁÒä´é·Ó¤ª¾ÂØËì¶Ö§á¡è¾ÔÃÒÅÑ ¡Ñº¤ÍªéÒ§ áŷѾ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤ÃÈÃÕÍÂØ·¸ÂÒ¡ç¡Í͡仵ÕàÁ×ͧÁÄ· àÁ×ͧ·ÇÒ àÁ×ͧµ¹ÒÇÈÃÕ ÍÂÙèáÅéÇ ÍѹËÁÙèÃÒª»Ã»Ñ¡Éì·Õè¨Ðà¢éÒä»ÃÍ´ÂØ·¸´éÇ¡Ãا¾Ãй¤ÃÈÃÕÍÂØ·¸ÂÒ¹Ñé¹ ´Ø¨Ë¹Ö觽٧ÁÔ¤ªÒµÔ Íѹ¨Ðà¢éÒ仵èÍÈÑ¡´Òà´ª¾-Òä¡ÃÊÃÊÔ§ËÃÒª ¶éÒÁԩйÑ鹴ب˹Öè§âÅÁªÒµÔʡس»Ñ¡ÉÒÍѹà¢éÒä»Ãé͹à»ÅÇ à¾ÅÔ§ÁÕáµè¾Ô¹ÒÈ©ÔºËÒÂŧ·Ø¡·Õ ºÑ´¹ÕéàÅèÒ¾Ôà¤ÃÒÐËì´Ù¾ÃÐà¨éÒ˧ÉÒÇ´ÕàÊÕ¾ÃÐÁËÒÍØ»ÃÒªÒÃÒªºØµÃ àËÁ×͹˹Ö觾ÃСÃàº×éͧ¢ÇÒ¢Ò´ ÊÁà´¨ç ¾ÃйÐàÃÈÇÃà»ç¹à¨éҡѺÊÁà´ç¨¾ÃÐ͹تҸÔÃÒªàÅèÒ ·Ã§¾ÃÐÃÒª ¡ÄÉ®Òà´ªÒ¹ØÀÒ¾ÂÔ觷ÇÕ¢Öé¹ ´Ø¨Ë¹Ö觾ÃзԹ¡ÃʶԵÅÍÂÍÂÙèà˹×ÍÍÒ¡ÒÈ Íѹ»ÃÒȨҡàÁ¦¢³ÐàÁ×èÍà¾ÅÒ à·Õè§áʧÃÑÈÁÕÁÕáµè¡ÅéÒ¢Öé¹ä» ·Õèä˹¡Ãا˧ÉÒǴըоé¹à§×éÍÁ¾ÃÐËѵ¶ì ¨ÓàÃÒ¨Ðŧä»Íè͹¹éÍÁ¶ÇÒ ÃÒªºÃóҡÒþÖ觾ÃÐപപҹØÀÒ¾¨Ö觨оé¹ÀÑÂÍѹµÃÒ áʹ·éÒǾ-ÒÅÒÇ·Ñ駻ǧä´é¿Ñ§ÃÒªºÑ-ªÒÁÕ ¤ÇÒÁÂ¹Ô ´´Õ ¨Ø ˹§èÖ Á³Ñ ±¡ªÒµÍÔ ¹Ñ ¾¹é ¨Ò¡»Ò¡ÍÊþÉÔ ¾ÃÐà¨Òé àªÂÕ §ãËÁ¨è §èÖ ÇÒè ãËáé µ§è Å¡Ñ É³Ð¾ÃÐÃÒªÊÒʹì ãËé¹Ñ¹·Ð¾ÐÂСѺáʹ˹ѧÊ×Í áÅáʹËÅǧ¨Ó·ÙžÃÐÃÒªÊÒÊ¹ì ¤ØÁà¤Ã×èͧ¾ÃÐÃÒªºÃóҡÒÃÁÒâ´Â ´Òè ¹àÁÍ× §µÒ¡ ¾-Ò¡ÓᾧྪÃáµ§è ¢¹Ø ËÁ¹è× ¡ÃÁ¡ÒäÁØ Å§ÁÒ¶§Ö ¾Ãй¤ÃÈÃÍÕ Â·Ø ¸ÂÒ Í¤Ñ ÃÁËÒàʹҺ´Õ ¨§èÖ à¢Òé ¡ÃÒº¶ÇÒº§Ñ ¤Á·ÅÙ ¾ÃкҷÊÁà´¨ç ¾ÃÐà¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ·§éÑ Êͧ¾ÃÐͧ¤ì àÊ´¨ç ÍÍ¡ ³ ¾Ãз¹èÕ §èÑ Á§Ñ ¤ÅÒÀàÔ É¡ ¾ÃéÍÁËÁÙèÁØ¢ÍØÀÑÂÊÁØËÁ¹µÃÕ¡ÇÕÃÒª»âÃËÔµÒâËÃÒ¨ÒÃÂìà½éÒ¾Ãкҷº§¡ªÁÒÈ´ÒÉ´Ò ´Ñ§´Ç§´ÒÃÒ¡Ã ÃÒÂÃͺ¾ÃÐÃѪ¹Ô¡Ãà·ÇºØµÃ ¨Ö觴ÓÃÑÊÊÑè§ãËéàºÔ¡·ÙµÒ¹Ø·Ùµà¢éÒà½éÒ ¾ÃÐÈÃÕÀÙÃ»Ô ÃÕªÒÍèÒ¹ã¹ÅѡɳÐ

ñðø »ÃЪÁØ ¾§ÈÒÇ´ÒéººÑ ¡Ò-¨¹ÒÀàÔ É¡ àÅÁè ò ¾ÃÐÃÒªÊÒʹì¹Ñé¹ÇèÒ ¾ÃÐà¨éÒàªÕ§ãËÁ¼è àéÙ »¹ç ͸ԻäµÂã¹ÁÅÒÇ»ÃÐà·È* ¢Í¹éÍÁÊÔâõÁì¶ÇÒÂÇѹ·Ð¹Ð »ÃгÒÁÁÒá·º¾ÃкÇúҷÂؤÅÊÁà´ç¨¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ì ´éÇ¢éÒ¾Ãкҷáµè¡è͹ ¢Ñ´¾ÃÐÃÒªÍÒª-Ò·èÒ¹¼Ùéà»ç¹ÍÔÊÃÒ¸Ôº´Õã¹ÃÒÁÑ-»ÃÐà·ÈÁÔä´é ¨Ó¡¾ÂØËâ¸ÒÁÒ¡ÃзӨÅÒ¨Åá¡è ¡Ã§¾ÃÐÁËÒ¹¤ÃÈÃÍÕ Â·Ø ¸ÂÒ໹ç ËÅÒ¤çéÑ ãËàé ¤Í× §ãµºé Ò·º§¡ªÁÒÈ ¢Í¾ÃÐͧ¤¨ì §·Ã§¾ÃÐÁËÒ¡ÒÃ-Ø ÀÒ¾ ºÑ´¹Õé¢éÒ¾Ãкҷ¨Ð¢ÍàÍÒ¾ÃÐÃÒª¡ÄÉ®Òà´ªÒ¹ØÀÒ¾ÍÀÔ¹ÔËÒúÒÃÁÕ»¡à¡Èà¡ÅéÒ ´Ø¨Ë¹Ö觻ÃÔÁ³±ÅÃèÁ ÁËÒ⾸Ôì ¶éÒ¾ÃÐͧ¤ì¨ÐàÊ´ç¨Â¡¾ÂØËâ¸ҷѾä»áËè§ã´ ¢ÍÍÒÊÒâ´Âàʴ稧ҹ¾ÃÐÃҪʧ¤ÃÒÁ¡ÇÒè ¨Ð ÊÔ鹡ÓÅѧ ¢éÒ¾ÃÐͧ¤ìãËé¹Ñ¹·Ð¾ÐÂСѺáʹ˹ѧÊ×Í áʹËÅǧ¨Ó·ÙžÃÐÃÒªÊÒʹàì ªÔ-à¤Ã×èͧÁ§¤Å ºÃóҡÒÃŧÁÒ¨ÓàÃ-Ô ·Ò§¾ÃÐÃÒªäÁµÃÕ ÊÁà´¨ç ¾Ãо·Ø ¸à¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ä´·é ç¿§Ñ ·Ã§âÊÁ¹ÊÑ ¨§èÖ Á¾Õ ÃÐÃÒª»¯ÊÔ ¹Ñ ¶ÒûÃÒÈÃÂÑ á¡·è µÙ Ò¹·Ø µÙ ÊÒÁ¹´Ñ áÅéÇ´ÓÃÑÊÊÑè§ãËé¾ÃÐÃÒª·Ò¹àÊ×éͼéÒà§Ô¹µÃÒá¡è·ÙµÒ¹Ø·Ùµâ´Â°Ò¹Ò¹Ø¡ÃÁ áÅéÇáµè§µÍº¾ÃÐÃÒªÊÒʹìÊè§ ·µÙ Ò¹·µÙ ¡ÅºÑ ä» ½Òè ¹¹Ñ ·Ð¾ÐÂСºÑ áʹ˹§Ñ ÊÍ× áʹËÅǧ¢¹éÖ ä»à¢Òé à½Òé ¾ÃÐà¨Òé àªÂÕ §ãËÁ·è ÅÙ ÃÒª¡¨Ô àÊÃ¨ç ·¡Ø »ÃСÒà ¾ÃÐà¨Òé àªÂÕ §ãËÁ¡è âç ÊÁ¹ÊÑ ´¨Ø ˹§èÖ ¼àéÙ ´¹Ô ÁÒµÒÁʶÅÃ¶Ñ ÂÒ¡¹Ñ ´ÒÃä¡Åã¹à¾ÅÒà·ÂèÕ § ÃÍé ¹¡ÃÐǹ¡ÃÐÇÒ´Çé  áʧÀÒ³ÁØ ÒÈ¡ÅÒé áÅÁ¼Õ àéÙ ÍÒ¹Óé Í¹Ñ à¹ç ãÊÁÒâÊèÊç¡ÒÂÒãËàé ¹ç ʺÒ ¢³Ð¹¹éÑ ¾ÍÁËÕ ¹§Ñ ÊÍ× ºÍ¡à¨Òé àÁÍ× §àªÂÕ §áʹÁÒÇÒè ´Òè ¹àÁÍ× §àªÂÕ §áʹ¡ºÑ ªÒÇ´Òè ¹àÁÍ× §ÅÒé ¹ªéÒ§ä» µÃǨµÃÐàǹ´Òè ¹¾º¡¹Ñ à¢Òé ÇÇÔ Ò·¦Òè ¿¹Ñ ¡¹Ñ µÒ º´Ñ ¹¾éÕ ÃÐà¨Òé ÅÒé ¹ªÒé §áµ§è ã˾é -ÒËÅǧàÁÍ× §áʹ໹ç áÁ·è ¾Ñ »ÃÐÁÒ³à¨ç´¾Ñ¹ ¡µÕ¢Öé¹ÁÒ¶Ö§àÁ×ͧàªÕ§áʹä´éú¾Ø觡ѹÍÂÙèáÅéÇ ¢ÍãËé¾ÃÐà¨éÒ¾×鹺ҷËͤӨѴ¡ÓÅѧ ÁÒªèǤéÓàÍÒ ¾ÃÐà¨éÒàªÕ§ãËÁèä´é·ÃÒº¡çãËé¡Í§·Ñ¾ä»ªèÇ áÅéÇáµè§Ë¹Ñ§Ê×ͺ͡ŧä»ãËé¡ÃÒº·ÙÅ ¾ÃкҷÊÁà´¨ç ¾Ãо·Ø ¸à¨Òé ÍÂËèÙ ÇÑ ÇÒè ¡Í§·¾Ñ ÅÒé ¹ªÒé §Â¡Å§ÁÒµàÕ ÁÍ× §àªÂÕ §áʹ ¢ÍãË¡é ͧ·¾Ñ ¡Ã§Ø ¢¹éÖ ÁÒªÇè  áµè§áÅéÇÊè§ãËé¾-ÒËÅǧàÁ×ͧá¡éÇ ËÁ×è¹â¸ҡѺä¾Ãè ò𠤹¶×ÍÅ§ä» ¤ÃÑ鹶֧¡Ãا¾ÃÐÁËÒ¹¤Ã ÈÃÍÕ Â·¸ÂÒ Í¤Ñ ÃÁËÒàʹҺ´ËÕ ¹§Ñ ÊÍ× ºÍ¡¡ÃÒºº§Ñ ¤Á·ÅÙ ÊÁà´ç¨¾Ãоط¸à¨éÒÍÂÙèËÑÇ·Ñé§Êͧ¾ÃÐͧ¤ìµÃÑÊ·ÃÒº ¨Ö觴ÓÃÑÊãËé¾-ÒÃҪķ¸Ò¹¹¶×;ÅËÒé ¾Ñ¹ ÊÃþ仴Çé Âà¤ÃÍè× §ÈÊÑ µÃÒÇ¸Ø ãË-¹è Íé  ªÒé §à¤ÃÍè× § õð ÁÒé ò ÃÍé  àÍÒ¾ÃÐÃÒÁà´âª«§èÖ à»¹ç ªÒÇàªÕ§ãËÁè * ¾ÃÐÃÒª¾§ÈÒÇ´ÒÃ¡Ã§Ø ÈÃÕÍÂظÂÒ ©ºÑºËÍÊÁ´Ø áË§è ªÒµÇÔ èÒ ã¹ÁËÒ»ÃÐà·È


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook