พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๐๙ หนีเข้ามาได้อยู่ประมาณเก้าวันสิบวันจึ่งตาย พญาราชวังสันนั้นยิงปืนแย้งเอาพญารัตนาธิเบศ ครน้ั แตกหนเี ขา้ มาถงึ แลว้ หาเฝา้ ไม่ เปน็ พวกปนื ราชมนตรี ใหไ้ ปสบื ไดต้ วั มาลงพระราชอาญา เฆี่ยนยกหนึ่ง แล้วให้พันธนาไว้ประมาณแปดวันก็ตาย จึ่งเอาไปเสียบไว้ประตูไชย ฝา่ ยพระเจา้ องั วะดำเนนิ ทพั เขา้ มาตง้ั ณ ทงุ่ บางกมุ บา้ นกระเดอื ง กองหนา้ ตง้ั ณ โพสามตน้ จึ่งหลวงอะไภยพิพัทจัดจีนนายก่ายสองพันยกออกไปจะตั้งค่าย พม่าข้ามแม่น้ำโพสามต้นมาตี กองทพั จนี กแ็ ตกลงนำ้ พม่าเห็นได้ทีก็ไล่ติดตามฆ่าฟันมาถึงปากวัดทเลยา กองหมน่ื ทพิ เสนาตง้ั อยู่ ที่นั้นแลเห็น ก็พลอยแตกข้ามน้ำมาด้วยเสียผู้คนเป็นอันมาก พม่าก็ยกกองทัพตามเข้ามาตั้งค่าย ณ เพนียดแลวัดพระเจดีแดง ครั้น ณ เดือนห้า แรมแปดค่ำ ปีมะโรงโทศก พม่ายกไปตีท้ายคูทั้งฟาก บรรดาครอบครัวชายหญิงซึ่งอยู่บกนั้น พม่าจับได้มัดผูกฆ่าฟันตายเป็นกอง ๆ ที่อยู่อัดแอกันทั้งแม่น้ำ พมา่ ลงเรอื ไดไ้ ลฆ่ า่ ฟนั ตายเปน็ อนั มาก แลว้ เผากำปน่ั วลิ นั ดาแลเรอื ใหญน่ อ้ ยเสยี อาศพลอยเตม็ ทง้ั แมน่ ำ้ จะกนิ มไิ ด้ ครน้ั ณ เดอื นหา้ แรม ๑๔ คำ่ พมา่ เอาปนื ใหญม่ าตง้ั ณ วดั ราชพร่ึ วดั กระษตั รา ยงิ เขา้ มาในกรงุ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ทรงชา้ งตน้ พลายแสนพลพาย ไปทอดพระเนตรกำชบั หนา้ ท่ี ณ วดั สวรหลวงศภสวรรณ แลปอ้ มมหาไชย ครั้นเพลาเย็น พม่าเลิกข้ามฟากไปข้างวัดภูเขาทอง ถึงเพลาเช้าขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนหก พม่าเอาปืนใหญ่เข้ามาตั้ง ณ วัดหน้าพระเมรุ จังกายิงระดมเอาพระราชวังแลที่นั่งสุริยาศอำมริน ทง้ั กลางวนั กลางคนื พอพระเจา้ องั วะทรงพระประชวรลง จง่ึ ใหถ้ อยทพั ไปทางเมอื งเหนอื แต่ ณ เดือน ๒ฯ ๖ ค่ำ (เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ) ปีมะโรงโทศก ถึงตำบลตะเมาะกะโลกนอกด่านระแหง เปน็ ระหว่างมัชฌิมวิถีกส็ วรรคต เสวยราชสมบัติได้ ๘ ปี ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวจัดให้พญายมราช พระศรีราชเดโชไปตามกองทัพพม่าจนพ้นด่านระแหงแล้ว ก็กลับมา ฝ่ายข้างมุขมนตรีกรุงอังวะก็อัญเชิญพระศพไปยังกรุงภุกำประเทศราชธานี แล้วก็ พร้อมกันอัญเชิญมังลองราชโอรสขึ้นดำรงอาณาจักร รักษาราชประเพณีโดยขัตติยจารีตพระมหา กษตั ราธริ าชเจา้ แตก่ อ่ น ฝา่ ยขา้ งกรงุ เทพมหานครนน้ั ใหข้ ดุ ไดป้ นื กระสนุ ๓ นว้ิ ๔ นว้ิ ณ ทค่ี า่ ยหลวง พระเจ้าอังวะนั้น ๔๐ บอก แล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นเฝ้าสมเด็จพระเชษฐาธิราช ณ พระที่นั่งสุริยาศ อำมรนิ เนอื ง ๆ ครน้ั ณ เดอื นแปดขา้ งขน้ึ กเ็ สดจ็ พระราชดำเนนิ ออกไป ณ วดั โพทองคำหยาด
๓๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ทรงพระผนวชแล้วกลับเข้ามา ณ วัดประดู ขณะนั้นให้รื้อพระที่นั่งสุริยาศอำมรินลงมาทำใหม่ ๑๐ เดือนจึ่งสำเร็จ ครน้ั อยมู่ าพญารยาเจา้ เมอื งไทร ไดช้ า้ งเลบ็ ครบเทา้ ตวั หนง่ึ เขา้ มาถวาย สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ดีพระทัยพระราชทานบำเหน็จรางวัล แล้วขนานนาม บรมชดั ทนั มะหนั ตะพงษามงกฎุ ก์ิ ลุ ชร ยังมี เนียมตัวหนึ่งเข้าเพนียด ณ กรุง เสด็จไปทรงจับได้พระราชทานนาม บรมช้าง ยังมีนายกำปั่นชื่ออะลังกะปูนี นำเอาสิงโตตัวหนึ่งกับนกกระจอกเทศตัวหนึ่ง เข้ามาถวายแก่ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระทัยยินดีโปรดพระราชทานบำเหน็จรางวัล อนึ่งแต่ครั้งมางลองตีได้ เมืองแก่อะลังกะปูนีผู้มีใจสามิภักดิ์ อนง่ึ แตค่ รง้ั มางลองตไี ด้เมอื งหงษาวดีนน้ั มอญชาวเมอื งเมาะตะมะอพยพหนเี ขา้ มาอยู่ ณ เมอื ง ทวายประมาณพันเศษ ทรงพระกรุณาให้รับเข้ามาไว้ ณ กรุง ถึง ณ เดือนอ้ายปีมะโรงโทศก มอญไปซุ่ม * กันอยู่ ณ เขานางบวดคิดกบฏขึ้น ยกเข้าตีเอาเมืองนครนายก พระเจ้าแผ่นดิน ดำรัสให้พระศรีราชเดโชเป็นแม่ทัพ พล ๒,๐๐๐ ยกออกไป ฝ่ายมอญหาอาวุธมิได้เสี้ยมแต่ไม้ ตะบองขวา้ งทพั พระศรรี าชเดโชแตกเขา้ มา จง่ึ ใหพ้ ญายมราชเปน็ แมท่ พั พลทหาร ๒,๐๐๐ พญาเพชรบรู ยี เปน็ ทพั หนา้ พลทหาร ๑,๐๐๐ ยกไปตมี อญใหมแ่ ตกหนไี ปทางหลม่ ศกั ตง้ั อยเู่ หลา่ ตะกดแร่ ครน้ั ณ ปมี ะเสง็ ตรศี ก พระเจา้ องั วะใหม้ องหมอ่ งราชบตุ ร อนั ผา่ นเมอื งพองคานน้ั ยกไปตี เมอื งเชยี งใหม่ ขา้ งเจา้ เมอื งลำพลู นน้ั พาอพยพเขา้ มาพง่ึ พระราชสมภาร ณ กรงุ ศรอี ยทุ ธยา ทางดา่ น เมืองพิไชย ฝ่ายเมืองเชียงใหม่ให้มีศุภอักษรมาว่า จะขอเอาพระเดชเดชานุภาพพระบาทสมเด็จบรม บพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ณ กรงุ เทพมหานครเปน็ ทพ่ี ง่ึ ขอกองทพั ไปชว่ ย พระเจา้ อยหู่ วั ใหเ้ กณฑท์ พั หัวเมืองฝ่ายเหนือ พญาพิศนุโลกเป็นแม่ทัพ พลทหาร ๕,๐๐๐ ยกไปถึงตำบลบ้านระแหง จึ่งได้ ข่าวว่าเมืองเชียงใหม่เสียแก่พม่าแล้ว แลกองทัพพม่านั้นค้างฤดูอยู่เมืองเชียงใหม่ ฝ่ายข้างพระเจ้าอังวะทรงพระประชวรลงก็ถึงพิราลัยไปสู่ปรโลก ในศักราช ๑๑๒๗ เสด็จ ดำรงแผน่ ดนิ อยู่ ๓ ปี จง่ึ พระอนชุ าธริ าชซง่ึ ทรงพระนามมองระนน้ั เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชราชยั ศวรรยา ณ กรุงรัตะนะบุระอางวะ สืบสันตติสุริยวงศ์ดำรงราชประเพณีสืบไป * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ มอญไปประชมุ กนั อยู่
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๑๑ ฝ่ายหุยตองจารู้ว่ากรุงอังวะผลัดแผ่นดนิ ใหม่ ก็คบคิดกับชาวเมืองทวาย ไล่ฆ่าฟันพม่าซง่ึ อยู่ รกั ษาเมอื งเสยี สน้ิ หยุ ตองจากไ็ ดเ้ ปน็ ใหญ่ จง่ึ แตง่ เครอ่ื งมงคลราชบรรณาการ มดี อกไมท้ อง ดอกไม้เงิน เป็นต้นส่งเข้ามา ณ กรุง ครน้ั ณ เดอื น ๘ ปมี ะเมยี จตั วาศก นำ้ เหนอื หลากมาแดงเหมอื นนำ้ ดนิ แดง อยสู่ ามวนั กห็ ายไป เปน็ ปกติ ฝา่ ยกรมหมน่ื เทพพพิ ติ รซง่ึ ใหส้ ง่ ออกไปเสยี ณ เกาะลงั กาทวปี นน้ั ไปเทย่ี วอยู่ ณ เมอื งแขก เมอื งพราหมณ์ รกู้ ติ ตศิ พั ทเ์ ลา่ ไปวา่ กรงุ ศรยี ทุ ยาเสยี แกม่ างลองแลว้ จง่ึ เดนิ สาร * กำปน่ั ลกู คา้ เมอื งเทศ เขา้ มา ณ เมอื งมฤท พระเจา้ อยหู่ วั ใหร้ บั ไว้ ณ เมอื งตะนาวศรี แล้วแต่งข้าหลวงไปกำกับ ครั้นถึงปีวอกฉศก เดือนแปด น้ำเหนือหลากมาอีก แดงเหมือนน้ำดินแดงจางอยู่สองวัน หายเปน็ ปรกตไิ ป ครั้น ณ เดือนอ้ายเสด็จนมัสการพระฉาย แรมอยู่สามเวรแล้วเสด็จกลับลงมา สมโภชพระพุทธบาท ๗ วัน จึ่งดำเนินกลับยังกรุงเทพมหานคร อนึ่งดำรัสให้พระวิสูดโยธามาต ฟั่นเชือกน้ำมันทำรอกไว้ให้มาก ถ้ามีการศึกมาจะเอาไม้ตั้งขาหยั่งบนป้อมแลเชิงเทิน แล้วจะเอารอกติด เอาปนื กระสนุ ๓ นว้ิ ๔ นว้ิ ชักขึ้นไปให้สูง แล้วจะล่ามชนวนยิง มิให้ข้าศึกเข้ามาใกล้ ครน้ั ณ เดอื น ๓ ปวี อกฉศก พระเจา้ องั วะดำรสั ให้มงั มะหานระธา ๑ มคราโบ ๑ มงั ยเี จสู ๑ สดกู ามนี ๑ แยงดยุ ๑ ยกกองทพั เขา้ มาตเี มอื งทวาย เมอื งตนาวศรบี อกขอ้ ราชการเขา้ มากราบทลู วา่ พมา่ ยกมาตดิ เมอื งทวาย แลหยุ ตองจาเจา้ เมอื งทวายนน้ั กห็ นเี ขา้ มา ณ เมอื งตนาวศรี ครน้ั พมา่ ตีเมืองมฤท เมืองตนาวแตกแล้ว หุยตองจ่าหนีเข้ามาทางเมืองชุมภร พม่าก็ยกติดตามเข้ามาเผา เมืองชุมภรเสียแล้วยกไปเมืองทวาย แลหุยตองจ่านั้นทรงพระกรุณาส่งไปไว้ ณ เมืองชนบูรีย แต่ กรมหมน่ื เทพพพิ ติ รนน้ั สง่ ไปเมอื งจนั ทบ์ รู ร แลว้ ดำรสั ใหพ้ ระพเิ รณเทพเปน็ แมท่ พั ออกไปตง้ั อยกู่ ารจบ์ รู ยี ์ ครน้ั ณ เดอื น ๗ มงั มหานระธาใหแ้ ยงตะยกุ ลบั ขน้ึ ไปแจง้ ราชการ ณ กรงุ องั วะ แลว้ จง่ึ ปรกึ ษากนั วา่ เรามาตีเมืองทวายได้ บัดนี้หามีผู้ใดจะต้านต่อฝีมือทแกล้วทหารเราไม่ ควรเราจะยกเข้าไปชิงเอาซึ่ง เศวตฉตั ร ณ กรงุ เทพมหานคร เปน็ ความชอบถวายพระเจา้ องั วะเหน็ จะไดโ้ ดยสะดวก ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้ว ก็ดำเนินพลพยุหโยธาทัพสรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง เขา้ มาตเี มอื งเพชรบรู ยี เมอื งราชบรู ยี ์ เมอื งการจนบ์ รู ยี สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบกต็ กพระทยั ให้ชุมนุมหมู่มนตรีปรึกษาเห็นพร้อมกัน จึ่งมีตราออกไปให้เจ้าพญานครศรีธรรมราชเร่งยกออกไป * ตน้ ฉบบั เขยี นวา่ อยา่ งน้ี จงึ มไิ ดแ้ กเ้ ปน็ โดยสาร
๓๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ปิดทางข้างมฤทไว้ แล้วให้เจ้าพญาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่ ถือพลหมื่นห้าพันยกออกไปตั้งรับที่เมือง ราชบูริยทัพ ๑ เพชรบูรีย์ทัพ ๑ แกงตั้งทัพ ๑ พญากลาโหมคุมคน ๗,๐๐๐ ยกไปตั้งรับ ทางท่ากะดาน ๆ นี้พม่าหาได้ยกมาไม่ ให้พญามหาเสนาคุมพล ๑๒,๐๐๐ ยกไปตั้งรับณครสวรรค์ พญาอำมาตพล ๑๕,๐๐๐ ยกไปตั้งรับไว้ไช้นาถ ๑ ฝ่ายกองทัพพม่าก็ยกตีดาเข้ามาทุกทาง ฝ่ายทัพไทยข้างราชบูรียก็รบพุ่งต้านทานรับอยู่หลายวัน เห็นเหลือกำลังแล้ว เพลาวันหนึ่ง จง่ึ คดิ กนั เอาสรุ ากรอกชา้ งแลคน รบั ประทานเหลอื กำลงั กร็ บพงุ่ ฟน่ั เฟอื นสวนเส * พมา่ กต็ ไี ดเ้ มอื ง กาญบูรีย เมืองราชบูรีย เมืองเพชรบูรียได้ แล้วยกมาบรรจบกัน ณ บ้านลูกแก ขณะนั้น เรอื ลกู คา้ มาคา้ งอยเู่ ปน็ อนั มาก พมา่ ลงไลฆ่ า่ ฟนั ตายในนำ้ แลบกจบั เปน็ ไปเปน็ อนั มาก แลว้ พมา่ ยกมา ตง้ั คา่ ยอยู่ ณ ตอ่ กระออ่ มแลดงรง้ั หนองขาว ครั้นทรงทราบเหตุก็มีตราคาดโทษแม่ทัพแม่กองไปทุกทาง แล้วแสรง้ ให้กิตติศัพท์รู้ไปถึงพม่าว่า เปน็ อบุ าย แกลง้ รบพงุ่ เสยี ทใี หพ้ มา่ ถลำมาแลว้ จง่ึ จะฆา่ เสยี ทเี ดยี ว จง่ึ ใหเ้ กณฑท์ พั หวั เมอื งปากใต้ ไปตั้งรับ ณ บำรุ ทัพเรือตั้งอยู่ ณ บางกุ้ง แล้วให้เกณฑ์ทัพเมืองพิศนุโลกย์มาตั้งอยู่ ณ วัดภเู ขาทอง ทพั เมอื งณครราชศรมี า ตง้ั ณ วดั พระเจดแี ดง แลว้ ใหพ้ ญาธระมาคมุ กองทพั ณครราชศรมี า ลงมารกั ษาเมอื งทนบรู ยี อนง่ึ พญาพศิ นโุ ลกยใ์ หพ้ ญาพลเทพกราบทลู พระกรณุ าลากลบั ขน้ึ ไปปลงศพ มารดา ใหห้ ลวงโกษามหาดไทย หลวงเทพเสนาคมุ กองทพั อยู่ ณ วดั ภเู ขาทองแทน โปสบุ เพลาพมา่ ยกมา แตเ่ มอื งเชยี งใหม่ ตเี ขา้ ทางดา่ นเมอื งสวรรคโ์ ลก มาตง้ั คา่ ย ณ เมอื งศกุ โคไท พญาพศิ นโุ ลก ยกพลทหารไปชว่ ยลอ้ มพมา่ ณ เมอื งศกุ โคไท ขณะนั้นเจ้าฟ้าจิตรต้องโทษติดเวรจำอยู่ในพระราชวัง หลวงโกษาคิดอ่านให้หนีออก ณ วัด ภูเขาทองแล้วก็พาเลิกทัพไป ทรงพระกรุณาแต่งข้าหลวงไปตามเป็นหลายนายหาทันไม่ เจ้าฟ้าจิตร ไปถึงเมืองพิศนุโลก เข้าเก็บเอาทรัพย์เงินทองของพญาพิศนุโลกสิ้น ภรรยาพญาพิศนุโลกหนีลงเรือ เล็ดลอดล่องลงมา ฝ่ายพญาพิศนุโลกรู้ก็เลิกทัพลงมาซุ่มอยู่หลังเมืองพิจิตร์ ซ่องสุมผู้คนได้มากแล้วก็ยกขึ้น ไปตง้ั คา่ ยทา้ ยเมอื งพศิ นโุ ลก รบกบั พรรคพวกเจา้ ฟา้ จติ รหลายเพลา เจา้ ฟา้ จติ รจง่ึ แตกหนีออกจากเมือง *๑ คอื เมอื งชยั นาท พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ซวนเซ
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๑๓ ตามจับได้ใส่กรงมาถึงท้ายทุ่งสากเหล็ก ฝ่ายผู้คุมรู้ว่าพม่าตั้งอยู่บ้านกูบ ก็พาเจ้าฟ้าจิตรกลับขึ้นไป ณ เมืองพิจิตร พญาพศิ นโุ ลกจง่ึ ใหล้ งมารบั เจา้ ฟา้ จติ ขน้ึ ไปถว่ งนำ้ เสยี ณ เมืองพิศนุโลก ขณะนั้นเมืองลำพูนซึ่งให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บางลาง แลลาว* วงศ์วานนั้นพาอพยพหนีไป ทางตะวนั ออกสน้ิ ครน้ั ณ เดอื น ๑๐ พมา่ ยกทพั เรอื ลงมาตีคา่ ยบำรแุ ตก แลว้ ยกมาตเี มอื งนนทบรู ยี ได้ ตง้ั พกั พลอยสู่ ามวนั จง่ึ เลกิ ทพั ถอยไปอยู่ ณ ตอ่ กระออม ขณะนั้นกำปั่นอังกฤษลูกค้า บรรทุกผ้าสุรัดเข้ามาจำหน่าย ณ กรุง โกษาธิบดใี ห้ล่ามถามแก่ นายกำปั่นว่า ถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบูรีย์ นายกำปั่นจะช่วยหรือจะไปเสีย นายกำปั่นว่าจะ อยชู่ ว่ ย แตข่ อใหถ้ า่ ยมดั ผา้ ขน้ึ ใหก้ ำปน่ั เบากอ่ น ครน้ั ถา่ ยมดั ผา้ ขน้ึ แลว้ กำปน่ั กม็ าทอดอยู่ ณ บางกอกไหญ่ ครั้นเดือนยี่ พม่าค่ายต่อกระอ้อมยกเข้ามาตีเอาเมืองธนบูริย์อีก เอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมวิไชยเย็น ยิงโต้ตอบกับกำปั่นจนเพลาค่ำ กำปั่นจึ่งถอนสมอลอยหนีขึ้นไปตามน้ำอยู่เหนือเมืองนนท์ ฝ่ายทัพพญายมราชซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนนท์นั้นก็เลิกหนีขึ้นไปเสีย พม่าตั้งเมืองธนบูรีย์ แล้วจึ่งแบ่งกันขึ้นมาตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตำบลตระลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืน นายกำปั่นจึ่งขอเรือกราบมาชักสลุบล่องลงไปไม่ให้มีปากเสียง ครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมาแล้ว ก็จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ฝ่ายพม่าต้องปืนล้มตายเจ็บลำบาก แตกวิ่งออกจากค่าย ครั้นน้ำขึ้นเพลาเช้า สลุบถอยมาหากำปั่นซึ่งทอดอยู่ ณ ตระลาดขวัน ฝ่ายพม่าก็ยกมาเข้าค่าย เมืองนนทบ์ ูรีย์ ครั้นเพลาค่ำชักสลุบล่องลงไป จุดปืนรายแคมยิงค่ายเมืองนนท์ ฝ่ายพม่าหนีออกไปแอบอยู่ นอกค่าย อังกฤษแลไทยลงกำปั่นเข้าไปเก็บของอยู่ในค่าย พม่าจึ่งกลับเข้ามาไล่คนในค่ายแตก ตดั ศรี ษะลา้ ตา่ องั กฤษไดเ้ สยี บไวห้ นา้ คา่ ย นายกำปน่ั จง่ึ ขอปนื กระสนุ ๑๐ นว้ิ ๑๐ บอก จะลงไป ตีค่ายพม่า แล้วจะขอเรือรบสิบลำ ครั้นเพลาบ่ายกำปั่นล่องลงไปถึงเมืองธน แล้วจึ่งทอดสมออยู่ ขณะนั้นไทย ซึ่งเอาเรือน้อยลงมาเก็บผลไม้หมากพลู ณ สวน อังกฤษจับขึ้นไปบนกำปั่นมากกว่าร้อย ก็ใช้ใบหนีไป ครั้นเพลาค่ำไทยหนีขึ้นมาได้สองคนจึ่งรู้เนื้อความ ฝ่ายพม่าก็ยกขึ้นไปตั้ง ณ บางไทรแลสก่ี กุ * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ เหลา่ วงศว์ าน
๓๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ขณะนน้ั พระอาจารยว์ ดั เขานางบวดมาอยู่ ณ วดั บา้ นระจนั * ชาวบา้ นแขวงเมอื งวเิ ศศไชยชาญ เมอื งสพุ รรบรู ยี ์ เมอื งสงิ ฆบ์ รู ยี ์ เมอื งสรรคบรู ยี ์ อพยพเขา้ ไปพง่ึ พระอาจารยอ์ ยเู่ ปน็ อนั มาก ฝา่ ยพมา่ ขึ้นไปเกลี้ยกล่อม ชาวค่ายบ้านระจันแต่งกันลงมาฆ่าพม่าเสียกลางทางเป็นอันมาก พม่าจึ่งแบ่งกัน ทุกค่ายยกขึ้นไปจะรบ ฝ่ายชาวค่ายบ้านระจันยกออกตั้งอยู่นอกค่าย ไล่ตะลุมบอนแทงฟันพม่า ล้มตายเป็นอันมาก ข้างเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยยกออกไปจะตีค่ายพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ วัดปาฝา่ ย ปากน้ำประสบ ให้สารสี่ชุกแบกไป ถ้าจะตั้งที่ใดจะเอาสี่ชุกตั้งเรียงให้ชิดกัน แล้วจะขุดดินใส่บัง เปน็ คา่ ย แลคนยกไปวันนั้นมากเต็มทุ่ง เสนาบดีให้หยุดแคร่ที่ใดก็หยุดพร้อม ๆ กันรั้งรอไป ครั้นเห็นพม่าวัดปาฝ่ายขี่ม้าข้ามน้ำไปหาค่ายใหญ่ฟากตะวันตกเป็นหลายม้า จึ่งขับคนเข้าตี พม่าในค่ายยิงปืนออกมาถูกล้มลงห้าหกคน คนทั้งนั้นก็ถอยมาสิ้น ครั้นเพลาเย็นก็เลิกทัพกลับมา ประมาณ ๒ - ๓ วัน พม่ายกไปตีค่ายบ้านระจันอีก ทำการกวดขันขึ้นกว่าเก่า ชาวค่ายบา้ นระจนั ให้เข้ามาขอปืนใหญ่สองกระบอก ปรึกษากราบทูลว่า ถ้าค่ายบ้านระจันเสียแก่พม่า ๆ จะเอา ปืนเข้ามารบกรุง จะให้นั้นมิบังควร ครั้นรุ่งขึ้นพม่ายกไปตั้งค่าย ณ บ้านขุนโลก นายจันเขียว ** คมุ พรรคพวกออกมาตี ฆา่ พมา่ เสยี ประมาณหา้ รอ้ ย *** ตวั กต็ อ้ งปนื ตาย ฝ่ายข้างในกรุงยกไปตีค่ายปากน้ำประสบอีก พม่าให้ยกหาบคอนออกหลังค่ายทำทีจะหนี พวกอาทมาถชวนกันวิ่งเข้าใกล้ค่ายพม่า ๆ เอาม้าไล่โอบหลัง ก็ถอยลงมาโพสามต้น จมื่นศรีสรรักษ จมน่ื เสมอใจราช ขม่ี า้ ลงขา้ มนำ้ หนีมาฟากตะวนั ออก แตพ่ วกพญาตากรบรออยคู่ อยขา้ มมาตอ่ ภายหลงั อนง่ึ พญารตั นาธเิ บศออกไปไรทอง หลอ่ ปนื ใหญข่ น้ึ ณ บา้ นระจนั สองบอก ครน้ั พมา่ ยกไปตอี กี คา่ ยบา้ นระจนั กแ็ ตกลม้ ตายเปน็ อนั มาก ขณะนั้นกรมหมื่นเทพพิพิตรเข้ามาอยู่ ณ เมืองประจิมท์บูรีย์ อพยพราษฎรเข้ามาอยู่ด้วย เป็นหลายหมื่น พม่าจึ่งยกทัพเรือออกไปตีเมืองปราจิมแตก กรมหมื่นเทพพิพิตร รัตนาธิเบศ หนขี น้ึ ไปอยเู่ มอื งนครราชสมี า * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ วดั บางระจนั ** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ นายจนั หนวดเขย้ี ว *** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ออกมาตคี า่ ยพมา่ เสยี ประมาณ ๕๐๐ ตวั กต็ อ้ งปนื ตาย ควรจะเปน็ ฆา่ พมา่ เสยี ประมาณ ๕๐๐ ดงั กลา่ วในพระราชพงศาวดารฉบบั นจ้ี ะถกู กวา่
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๑๕ ขณะนน้ั โปแมงแมท่ พั สก่ี กุ ปว่ ยเปน็ ไขต้ าย โปสบุ เพลาแมท่ พั ประสบเปน็ ใหญส่ ทิ ธข์ิ าดอยแู่ ตผ่ เู้ ดยี ว ยกเข้ามาตั้งค่าย ณ โพสามต้น แล้วให้มาตั้งค่าย ณ บ้านป้อม วัดการ้องแลก่อป้อมสูง ฝ่ายข้างในกรุงแต่งทัพเรือขึ้นไปจะตีค่ายวัดการ้อง พม่ายิงปืนมาถูกนายเริก ซึ่งรำดาบอยู่หน้าเรือ ตกน้ำลงคนหนึ่ง ก็ถอยทัพกลับมาสิ้น วันนั้นพม่าตั้งค่าย ณ วัดภูเขาทอง พระสุริยะภา * ซึ่งเป็นนายป้อมซัดกบ ** ให้ประจุปืน พระมหาการมฤษยูราชสองซัดลูก ยิงไปนัดหนึ่งปืนก็ร้าวราน ครั้นเพลาค่ำไทยหนีมาคนหนึ่งให้การว่า ปนื พระมหาการมฤตยรู าชซง่ึ ยงิ ออกไปนน้ั ถกู เรอื รบพมา่ ลม่ สองลำคนตายหลายคน แลว้ พมา่ ยกเขา้ มา ตง้ั คา่ ยวดั กระชาย วดั พลบั พลาไชย วดั เตา วดั สเุ รน วดั แตง่ ครั้น ณ เดือน ๑๒ แต่งทัพเรือใหพ้ ญาตาก พญาเพชรบูรีย์ หลวงสรเสนี ออกไปตั้งอยู่ วดั ใหญค่ อยสกดั เรอื รบพมา่ ซง่ึ ขน้ึ ลงหากนั อนง่ึ พมา่ คา่ ยบางไศรย วดั โปรฎสตั ว์ ยกทพั เรอื มากลางทงุ่ พญาเพชรบรู ยี ยกออกตี ณ วดั สงั ฆว์ าดกต็ ายในทร่ี บ พญาตาก หลวงสรเสนถี อยมาแอบดหู าชว่ ยหนนุ ไม่ แลว้ ไปตง้ั อยู่ ณ วดั พไิ ชย ฝา่ ยขา้ งในกรงุ เกณฑใ์ หม้ าตง้ั คา่ ยอยู่ ณ วดั ไชยวฒั นาราม จนี ออกไปตง้ั ณ คลองสว่ รพลู ณ ครั้นเดือนอ้าย โปซมพลาให้กองทัพเมืองแพร่มาตั้งโพสามต้นฟากตะวันออก กองทัพแพร่ ยกหนไี ปทางพระพทุ ธบาท ใหถ้ อื หนงั สอื เขา้ มาถงึ พญายมราชวา่ พระเจา้ ทรงพระธรรมมพี ระคณุ อยู่ จง่ึ มไิ ดอ้ ยู่ รบกรงุ ดว้ ยพมา่ ครั้น ณ เดือนยี่ ปีจออัฐศก เพลาค่ำเกิดเพลิงขึ้น ณ ท่าทราย ไหม้ลามมา ณ สะพานช้าง ขา้ มตดิ ปา่ มะพรา้ ว ปา่ โทน ปา่ ทาร ปา่ ทอง ปา่ ยา *** วดั ราชบญุ ณะ พระมหาธาตุ เพลงิ ไปหยดุ เพยี งวดั ฉดั ทนั อนึ่งจีนค่ายคลองส่วรพลูสี่ร้อยเศษ ชวนกันขึ้นไปทำลายพระพุทธบาท เลิกเอาเงินดาดพื้น ทองหมุ้ พระมณฑปนอ้ ยลงมาสน้ิ ครน้ั พระเจา้ แผน่ ดนิ ทราบจง่ึ ใหว้ า่ แกน่ ายคา่ ย ใหส้ บื เอาเงินทองของ พระพุทธบาทส่งเข้ามา * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ พระศรสี รุ ยิ พาห ** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ นายปอ้ มทา้ ยกบ *** พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ปา่ หญา้ เหน็ วา่ ปา่ ยาจะถกู กวา่
๓๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ขณะนั้นพม่ายกเข้ามาเผาพระที่นั่งพะเนียดเสีย แล้วตั้งค่าย ณ เพนียด แลวัดสามพิหาร วัดมรฎบ แลตั้งล้อมรอบกรุง ฝ่ายข้างในกรุงนั้นเกิดโจรปล้นมิได้ขาด คนอดโซเป็นอันมาก ที่หนี ออกไปหาพม่าก็เนือง ๆ แล้วพม่าทำสะพานข้ามทำนบรอ เข้ามาขุดอุโมงค์รุ้งเชิงกำแพง แลตั้งป้อม ศาลาดิน ตั้งค่ายวัดนางปลื่ม ก่อป้อมสูงเอาปืนใหญ่ขึ้นยิง แล้วพม่ายกมาตั้งค่ายวัดศรีโพ ฝา่ ยขา้ งในกรงุ ใหช้ กั ปนื ปราบหงษาออกไปตง้ั รมิ ทา่ ทราย กระสนุ แรกประจดุ นิ นอ้ ยตำ่ ไปถกู ตลง่ิ ครั้นประจุดินมากขึ้นโด่งข้ามวัดศรีโพไป จึ่งดำรัสให้พญากระลาโหมแลข้าหลวงออกไปเจรจาความเมอื ง กบั พมา่ ณ คา่ ยพะเนยี ด วา่ กรงุ เทพมหานครกบั กรงุ องั วะรว่ มราชสโมสรสามคั คมี าแตก่ อ่ น บัดนี้ เหตุผลเป็นประการใด จึ่งยกกองทัพมาย่ำยีให้ร้อนอกสมณพราหมณาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ฝา่ ยพมา่ วา่ กรงุ ศรอี ยทุ ธยาแตก่ อ่ นเคยนอ้ มนำบรรณาการไปออกแกก่ รงุ หงษาวดี แลสบื มาบดั นล้ี ะบรุ าณประเพณเี สยี ตง้ั แขง็ เมอื งอยู่ จง่ึ ไดย้ กกองทพั มารบ ครน้ั พญากลาโหมกลบั เขา้ มากราบทลู พระเจ้าแผ่นดินดำรัสว่า ไอ้พม่าว่าเอาเปล่า ๆ แต่พม่าล้อมกรุงอยู่ครั้งนั้นนานถึงสองปีเศษ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอาสาออกรบแตกยับเยิน เขา้ มา ทส่ี ดุ จนขนุ นางจนี ขนุ นางแขก ขนุ นางฝรง่ั ขนุ นางมอญ ขนุ นางลาว แลนายโจร นายซอ่ ง กช็ วนกนั ออกอาสาตกี องทพั พมา่ ทล่ี อ้ มกรงุ ทง้ั แปดทศิ กม็ ไิ ดช้ นะ พมา่ กลบั ฆา่ ฟนั ลม้ ตายแตกเขา้ มา ทั้งสิ้น ด้วยอายุแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุทธยาถึงกาลฆาต * จึ่งอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิต พระประธานวัดเจ้าพนังเชิงน้ำพระเนตรไหลลงมาจนพระนาภี ในวัง วัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรมไตรยโลกยน์ ารถพระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์ พระเจดีย์ วัดราชบุญณะนั้น กาบินมาเสียบตายบนปลายยอดโดยอาเพศ อนึ่งรูปพระณะเรศเจ้าโรงแสงใน กระทืบพระบาทสนั่นไปทั้งสี่ทิศ อากาศก็วิปริตไปต่าง ๆ บอกเหตุบอกลางจะเสียกรุง ฝา่ ยพมา่ กย็ กมารบคา่ ยวดั ไชยวฒั นาราม ๙ คนื กแ็ ตก แลว้ มารบคา่ ยจนี คลองสว่ รพลสู บิ หา้ คนื จง่ึ สำเรจ็ ครั้น ณ วัน ๓ ๙ฯ ๕ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ) ปีกุนนพศก เพลาบ่าย ๔ โมง พม่ายิงปืนป้อมสูงวัดการ้อง วัดนางปลื้ม ระดมเข้ามาในกรุง แล้วเอาเพลิงจุดเชื้อที่รากกำแพง ครั้นเพลาค่ำกำแพงทรุดลงน้อยหนึ่ง พม่าก็เข้ากรุงได้ เอาไฟเผาพระราชวังแลวัดพระศรีสรรเพชญ์ * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ถงึ กาลขาด
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๑๗ ขึ้นเสด็จอยู่ในราชสมบัติ ๙ ปี พม่าจึ่งทำลายกำแพงกรุงเสีย แล้วกวาดเอากษัตริย์ขัตติยวงศ์ แลท้าวพญาเสนาบดีอพยพทั้งปวงไป ลศุ กั ราช ๑๑๒๙ ปี * แตพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ นน้ั หนอี อกไปจากพระนครองคเ์ ดยี ว ไดค้ วามทกุ ข์ ลำบากกถ็ งึ ซง่ึ พริ าลยั ไปสปู่ รโลก ชนทง้ั ปวงชนจง่ึ นำเอาพระศพมาแลว้ กฝ็ งั ไว้ อนง่ึ แต่ ณ วนั ๗ ฯ๔๒ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๔ คำ่ ) ปจี ออฐั ศก ขณะกรงุ เทพมหานคร ยังมิได้เสียนั้น พระเจ้าอยู่หัวอันมีอภินิหารนับในเนื้อหน่อพุทธางกูรเจ้าตรัสทราบญาณว่า ** กรุงศรี อยุทธยาจะเป็นอันตราย แต่เหตุธิบดีเมืองแลราษฎรมิเป็นธรรม จึ่งอุสาหะด้วยกำลังกรุณาแก่สมณ พราหมณาจารยแ์ ลบวรพทุ ธศาสนาจะเสอ่ื มสญู จง่ึ ชมุ นมุ พรรคพวกพลทหารจนี ทหารไทย ประมาณ พันหนึ่ง สรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธ ประกอบด้วยทหารผู้ใหญ่นั้น พระเชียงเงิน พรหมเสนา ขุนอไภยภักดี หลวงพิไชยอาสา *** หมื่นราชเสนหา หลวงราชเสนหา ยกออกไปตั้ง ณ วัดพิไชย อันเป็นมงคลมหาสถาน ด้วยเดชะบรมโพธิสมภาร เทพยเจ้าอันภิบาลรักษาพระบวรพุทธศาสนาก็ซ้อง สาธุการ บันดาลให้วสาการห่าฝนตกลงมาเป็นมหาวิไชยฤกษ์ จำเดิมแต่นั้นมาจึ่งให้ยกพลยุห์กองทัพ ออกจากวัดภิไชย ฝ่ายกองทัพพม่าออกมาเป็นเพลาย่ำฆ้องค่ำยามเสาร์ได้รบกันกับพม่าเป็นสามารถ พม่ามิอาจต่อต้านบารมีได้ถอยไป ก็ดำเนินด้วยพลทหารโดยสวัสดิภาพไปทางบ้านข้าวเม่า พอบรรลุ ถึงบ้านสมบันทิศเพลาเที่ยงคืน ประมาณสองยามเศษ เพลิงเกิดในกรุงเทพมหานคร ไหม้แต่ท่าทราย ตลอดถนนหลวงไปจนวัดฉัดธรรมแสงเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ ครั้นได้ทัศนาเห็นก็สังเวชสลดใจ **** ด้วยอาลัยถึงสมณพราหมณาจารย์ ขัตติยวงศานุวงศ์ เสนาพฤฒมาตย์ราษฎรแลบวรพุทธศาสนา มิใคร่จะไปได้ดุจมีใจย่อหย่อนจากอุตส่าห์ ซึ่งตั้งปณิธาน จะแกก้ รงุ เทพมหานคร ***** กบั ทง้ั บวรพทุ ธศาสนา เทพจง่ึ ดลใหส้ ตสิ มประฤดี มกี ำลงั กรณุ าอตุ สา่ ห์ * พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาตวิ า่ ปกี นุ นพศก ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ตรสั ทราบพระญาณวา่ *** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ หลวงพชิ ยั ราชา และมไิ ดเ้ รยี งลำดบั ชอ่ื อยา่ งในพระราชพงศาวดาร ฉบับนี้ แต่ชื่อบุคคลอื่นคงเหมือนกัน **** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ครน้ั พระองคไ์ ดท้ อดทศั นาการ กส็ งั เวชสลดพระทยั ***** พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ว่า ตั้งปณิธานปรารถนาว่า จะแก้กรุงเทพมหานคร ข้อความ ในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นั้น มีเติมเข้าไปเป็นอันมาก คงจะเป็นในคราวชำระพระราชพงศาวดารเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ หรอื มิฉะน้นั กค็ งจะตกเติมในรชั กาลที่ ๓ และที่ ๔ เพ่ือให้สำนวนสละสลวยยงิ่ ขนึ้ กไ็ ด้
๓๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ ณ วนั ๑ ฯ๕๒ คำ่ ( วนั อาทติ ย์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๕ คำ่ ) จลุ ศกั ราช ๑๑๒๘ ปจี ออฐั ศก ใหย้ กกองทพั ไปถงึ บา้ นโพสาวหาร * พมา่ ยกกองทพั ตดิ ตามไป จง่ึ ใหต้ ระเตรยี มพลทหารจนี ทหารไทยไว้ ครั้นกองทัพพม่ายกมาถึง จึ่งดำเนินนำหน้าพลทหารออกรบเป็นสามารถ พม่าแตกกระจัด กระจายพ่ายไป เก็บได้เครื่องศัตราวุธเป็นอันมาก จง่ึ หยดุ ประทบั แรมอยู่ ณ บา้ นพรานนก ฝา่ ยทแกลว้ ทหารออกไปลาดเทย่ี วหาอาหาร จง่ึ พบกองทพั พมา่ ยกมาแตบ่ างคาง พมา่ ไลต่ ดิ ตามมาถงึ ทป่ี ระทบั จึ่งขึ้นม้ากับม้าทหาร ๔ ม้า ออกรับกองทัพพม่าก่อน จึ่งกองทัพทั้งปวงตั้งเป็นปีกกาออกรบแซง สองขา้ ง กองทพั พมา่ ๓๐ มา้ แตกยน่ หกหลงั ลงไปถงึ พลเดนิ เทา้ ๒,๐๐๐ แตกกระจายไป ฝา่ ย ทแกลว้ ทหารทง้ั ปวงเหน็ กำลงั บญุ ฤทธเ์ิ ปน็ อศั จรรยด์ งั นน้ั กย็ ำเกรงยกย่องว่าเป็นจอมกษัตริย์สมมุติวงศ์ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ ณ วนั ๒ ฯ๖ ๒ คำ่ ( วนั จนั ทร์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๖ คำ่ ) ปจี ออฐั ศก ขนุ ชำนารไพรส่ น แลนายกองสามภิ กั ดเ์ิ อาชา้ งมาถวาย พลาย ๕ พงั ๑ รวม ๖ จง่ึ นำเสดจ็ ดำเนนิ ไปถงึ บา้ นดง หยดุ ประทบั รอ้ นในทน่ี น้ั แลว้ สง่ั ใหห้ าขนุ หมน่ื พนั ทนายบา้ นออกมา จะประสาทราโชวาทโดยดี ขนุ หมน่ื พันทนายบ้านมิได้เชื่อบารมี ขัดแข็งคิดประทุษร้ายซ่องสุมทหารโยธาไว้คอยจะปองทำร้าย ครั้น ตรสั แจง้ เหตนุ น้ั แลว้ มไิ ดจ้ องเวร วา่ เปน็ ขา้ ขอบขณั ฑเสมา มอี จิ ฉาการแตจ่ ะใหเ้ ปน็ สขุ พรอ้ มกนั จึ่งให้ ทหารไปว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมโดยธรรมราชประเพณี ๓ ครั้ง ก็มิได้อ่อนน้อมท้าทายอีกดำริว่า ** เป็นผลกรรมแห่งสัตว์ทั้งปวงแล้ว ครน้ั ณ วนั ๓ ฯ๘ ๒ คำ่ ( วนั องั คาร เดอื นย่ี ขน้ึ ๘ คำ่ ) ปจี ออฐั ศก จง่ึ ขน้ึ มา้ นำพลทหาร ๒๐ ฝา่ เขา้ ไป ขนุ หมน่ื ทหารชาวบา้ นดง*** มากกวา่ พนั ออกตอ่ สู้ ยงิ ปนื สกดั หนา้ หลงั ทำอนั ตราย ดว้ ยเดชะบารมจี ะไดถ้ กู ตอ้ งผใู้ ด ๆ หามไิ ด้ จง่ึ ขบั มา้ นำหมทู่ หารไลบ่ กุ รกุ เขา้ ไป ใหท้ หารปนี ขน้ึ หกั คา่ ยเขา้ ได้ ไลต่ ะลมุ บอนฟนั แทงทหารชาวบา้ นดงกแ็ ตกกระจายแหกคา่ ยหนไี ป ไดช้ า้ งพลาย ชา้ งพงั ๗ ชา้ ง ไดห้ ริ ญั สวุ รรณธญั ญาหารเปน็ อนั มาก ครน้ั ณ วนั ๔ ๒ฯ ๙ คำ่ ( วนั พธุ เดอื น ๙ ขน้ึ ๒ คำ่ ) ปจี ออฐั ศก ยกพลทหารประทบั ตำบลหนองไม้ทรุม ตามทางบ้านเมืองณครนายก ประทับร้อนแรมไปประมาณสองวันถึงบ้านนาเริ่ง * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ บา้ นโพสามหาว ** พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า จึงตรัสว่า…ต่อไปคำที่ผิดกันด้วยราชาศัพท์จะไม่ทำเชิงอรรถไว้ จะทำแตเ่ ฉพาะชอ่ื คน ชอ่ื เมอื ง ชอ่ื ตำบล ชอ่ื บา้ น และขอ้ ความทผ่ี ดิ กนั เทา่ นน้ั ขอผอู้ า่ นโปรดพจิ ารณาเทยี บเคยี งดวู า่ พระราชพงศาวดาร ฉบับนี้ไม่ค่อยใช้ราชาศัพท์เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมากนัก ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เปลี่ยนคำธรรมดา ***เป็นราชาศัพท์แทบทั้งสิ้น พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ บา้ นบางดง
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๑๙ หยุดประทับยกแต่นั้นวันหนึ่งจึ่งถึงเมืองป่าจิมข้ามด่านกบแจะ หยุดพักพลหุงอาหาร ณ ฟากตะวันออก แล้วให้พลนิกายข้ามทุ่งไปจนเพลา ๕ โมง ตรัสทราบว่าพระเชียงเงิน ขุนพิพิตรว่าที นักพระองค์ราม เจา้ กรงุ กำภชู าธบิ ดมี ามทิ นั จง่ึ ทรงมา้ มากบั หลวงพรหมเสนา จะเรง่ พวกพระเชยี งเงนิ มไิ ดพ้ บ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วัน ๒๑ฯ๓๒ คำ่ ( วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ) ให้ยกพลทหารเข้าไปในป่า หยดุ ประทบั ทส่ี ำนกั หนองนำ้ หงุ อาหารสำเรจ็ แลว้ เพลาบา่ ยประมาณ ๒ โมง จง่ึ พระเชยี งเงนิ มาถึงให้โบย ๓๐ ทีแล้ว ก็ตรัสเห็นกิริยาว่ามิเป็นใจด้วยราชการ จึ่งสั่งให้ประหารชีวิตเสีย นายทัพ นายกองทูลขอชีวิตไว้ ครั้นเพลาบ่ายประมาณ ๔ โมง พม่าไล่แทงฟันคนซึ่งเลื่อยล้าวิ่งหนีมาตามทาง ทอดพระเนตร เห็นจึ่งให้นายบุญมีขึ้นม้าใช้สวนทางลงไปได้ประมาณ ๒๐๐ เส้น พบกองทัพพม่ายกขึ้นมา แต่ปากน้ำเจ้าโล้ทั้งทัพบกทัพเรือมาขึ้นที่ท่าข้าม ครั้นเห็นธงเทียวเสียงฆ้องกลองเสียงพูดจา กันว่าเป็นพม่ามั่นคงแล้ว กก็ ลับมาควบม้ากราบทูลตามได้เห็นนั้น จึ่งสั่งให้พลทหารตั้งปืนตับใหญ่ ปืนตับน้อยดาไว้ต่างค่าย แล้วให้คนหาบเสบียงครอบครัวไปก่อน แต่พระองค์กับทหารประมาณ ๑๐๐ เศษคอยรับพม่า ครั้นเพลาบ่ายโมงเศษพม่ายกกองทัพมาถึง จึ่งเสด็จนำหน้าทหารด้วย หลวงชำนารไพรสน พระเชียงเงิน นายบุญมี นายทองดีทหาร นายแสงทหารออกไปรับล่อพม่า นอกปนื ใหญป่ นื นอ้ ย ซึ่งดาไว้ประมาณ ๖ - ๗ เส้น พม่ายกทัพเรียงเรยี บมาจำเพาะในพงแขม ครั้นเข้ามาใกล้ได้ทีแล้ว จง่ึ ใหย้ งิ ปนื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี ว * ถกู พมา่ ลม้ ตายเปน็ อนั มาก พมา่ ทย่ี งั อยนู่ น้ั อดุ หนนุ กนั เขา้ มาอกี จง่ึ ลอ่ ใหไ้ ลเ่ ขา้ มาแลว้ ยงิ ปนื ใหญน่ อ้ ยถกู พมา่ ลม้ ตายทบั กนั เปน็ อนั มาก พมา่ อดุ หนนุ กันเข้ามาอีก วางปนื ตบั คำรบ ๓ พมา่ แตกกระจดั กระจายพา่ ยไป จง่ึ ใหพ้ ลทหารโหร่ อ้ งตฆี อ้ งสำทบั พมา่ แตกหนไี ป จะคมุ กนั เขา้ มไิ ด้ จง่ึ ใหย้ กพลนกิ ายประทบั ตามลำดบั บา้ นทองหลาง พานทอง ** บางปลาสรอ้ ย ถงึ บา้ นนาเกลอื นายกลม *** คมุ ไพรพ่ ลทหารอยทู่ น่ี น้ั คอยสกดั คดิ ประทษุ รา้ ย จง่ึ ทรงชา้ ง พระที่นั่งสรรพด้วยเครื่องสรรพยุทธ์ ทรงพระแสงปืนต้นรางแดง กับด้วยหมู่โยธาหาญเข้าไปในหว่าง พลทหารนายกลมอยู่นั้น ด้วยเดชะบรมโพธิสมภาร นายกลมแลพวกโยธาหาญนั้น ให้สยดสยองกลัว * พระราชพงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจิม) วา่ กย็ งิ ปนื ใหญน่ ้อยพรอ้ มกัน ** พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า ตะพานทอง คิดว่าพานทองจะถูกกว่าเพราะยังเป็น ***ชอ่ื ทเ่ี รยี กกนั อยจู่ นถงึ เวลาปจั จบุ นั พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ นายกลำ่
๓๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พระอานุภาพวางศัสตราวุธเสีย แล้วถวายบังคมอ่อนน้อมเป็นข้าใต้ละออง ฯ จึ่งนำเสด็จดำเนิน เข้าประทับในสถานอันเป็นสุขสมควร แล้วพระราชทานราชทรัพย์แลราโชวาทให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ครน้ั รงุ่ ขน้ึ ณ วนั ๑ ฯ๖ ๒ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื นย่ี แรม ๖ คำ่ ) นายกลมคมุ ไพรร่ อ้ ยหนง่ึ นำเสด็จไปถึงทัพ หยุดประทับแรมที่นั้น รุ่งขึ้นยกมานาจอมเทียรประทับแรมที่นั้นคืนหนึ่ง * จึ่งมาแรมทุ่งไก่เตี้ย ** รุ่งขึ้นมาประทับแรมสัตหีบ แล้วยกมาชายทะเลประทับแรม เพลารุ่งขึ้น มาประทับแรมหินโคง รุ่งขึ้นมาประทับแรมน้ำเก่า ผู้รั้งบุญเมืองระยองกับกรมการทั้งปวงชวนกัน มาต้อนรับเสด็จถวายธัญญาหารเกวียนหนึ่ง นำดำเนินมาถึงท่าประดู *** จึ่งพระราชทานปืนคาบศิลา บอกหนึ่งแก่ผู้รั้งระยอง เสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดลุ่มสองเวร สั่งให้จัดลำเลียงอาหาร ตั้งค่ายขุดคู และนายบุญรอดแขนอ่อน นายมวด **** นายบุญมาน้องเมียพญาจันบูรรณเขา้ มาถวายตวั ทำราชการ จึ่งนำคุยรหัสคดีมากราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าแจ้งเหตุว่า ขุนราม หมื่นช่วง นายทองอยู่นกเลก ขนุ จา่ เมอื งดว่ ง หลวงพลแสนหาร กรมการเมอื งระยอง คิดคบกันคุมพรรคพวกพลทหารประมาณ ๑,๕๐๐ เศษ จะยกเข้ามากระทำประทุษร้าย จึ่งมีพระราชบริหารดำรัสสั่งให้หาผู้รั้งเมืองมาถามว่ากู ***** มากระทำราชกิจทั้งนี้ ด้วย กรุณาจิตจะให้สมณาทวิชาจารย์ประชาราษฎรทั้งปวงเป็นสมานุกสุขสามัคคี มิได้มีวิหิงสาการอุบาย ทุจริตแก่ท่านทั้งปวงประการใดหามิได้ แลขุนหมื่นทั้งนี้คบคิดการจะทำประทุษร้ายแก่กูผู้มีกรุณาจิตนั้น ยังจริงดุจหนึ่งนี้หรือประการใด ผู้รั้งเมืองมิรับ ตรัสทราบพระญาณด้วยอาการกิริยา จึ่งตรัสสั่งให้ หลวงพรหมเสนาคุมตัวจำไว้ แล้วมิไว้พระราชหฤทัย จึ่งสั่งให้ทหารตระเตรียมตัวสรรพด้วยสรรพาวุธ ผูกช้างม้าปืนใหญ่ปืนน้อยตั้งจุกช่องทางไว้ครบสรรพ ครั้น ณ วันเพลาประมาณทุ่มเศษ ไอ้เหล่าร้ายยกพลให้ทหารลอบเขา้ มาตั้งค่ายล้อมได้ สองดา้ น แลว้ โหร่ อ้ งยงิ ปนื ใหญป่ นื นอ้ ยระดมรกุ เขา้ มา จง่ึ ตรสั ใหด้ บั แสงเพลงิ เสยี จดั ทหารประจำ หนา้ ทส่ี งบกนั ไว้ แลว้ เสดจ็ กบั ดว้ ยทหารจนี ทหารไทย ๆ ถอื ปนื คาบศลิ า หลวงชำนารไพรสน นายทองดี ทหาร หลวงพล หลวงเชียงเงินท้ายน้ำ หลวงพรหมเสนา นายบุญมี นายแสงทหาร * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ถงึ พทั ยา ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ทพั ไกเ่ ตย้ี *** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ มาถงึ ประตู **** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ไมม่ ชี อ่ื น้ี ***** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เรา และแกค้ ำวา่ กู เปน็ เราตลอดไป
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๒๑ นายศรีสงคราม นายนากทหาร ทำมะรงอิม ทหารจีน หลวงพิตร์ หลวงพิไชย ขุนจ่าเมือง เสอื รา้ ย หมน่ื ทอ้ ง หลวงพรหมถอื ดาบงา้ ว เสดจ็ ออกเทย่ี วตรวจตรารอบคา่ ย ดทู า่ ทางขา้ ศกึ จะเขา้ มาแหง่ ใดตำบลใด แลไอเ้ หลา่ รา้ ยชอ่ื ขนุ จา่ เมอื งดว้ งกบั ทหารประมาณ ๓๐ คนลอ้ มไดส้ ะพาน วดั เนริ เขา้ มาใกลค้ า่ ยหลวงประมาณ ๕ - ๖ วา จง่ึ สง่ั ใหว้ างปนื พรอ้ มกนั ถกู ขนุ จา่ เมอื งดว้ งกบั ทหาร ทั้งปวงซึ่งเดินตามกันนั้นตกสะพานลงพร้อมกันตายเป็นอันมาก จึ่งตรัสให้ทหารจีนเข้าตะลุมบอน ฟนั แทงขา้ ศกึ หกั คา่ ยไอเ้ หลา่ รา้ ยลม้ ตายแตกหนไี ป หมทู่ หารไลต่ ดิ ตามไปทางประมาณ ๕๐-๖๐ เสน้ จง่ึ ใหล้ น่ั ฆอ้ งชยั สญั ญาเรยี กพลทหารเขา้ คา่ ยใหพ้ รอ้ ม แลหมทู่ หารทง้ั ปวงเขา้ ในคา่ ย จดุ เพลงิ เผาขน้ึ แหง่ หนง่ึ เกบ็ เอาเครอ่ื งศสั ตราวธุ หริ ญั สวุ รรณวตั ถาธัญญาหารครอบครัวเป็นอันมาก ตรัสให้ยบั ยง้ั อยู่ บำรงุ ทแกลว้ ทหารใหม้ กี ำลงั ณ เมอื งระยอ้ งนน้ั ชา้ นานประมาณ ๗ - ๘ วนั ครั้น ณ วัน * จึ่งสั่งให้ประชุมเสนาทหารนายทัพนายกองไทยจีนทั้งปวงพร้อมกัน จึง่ ตรัส ประภาษให้ปรึกษาว่า เราจะกระทำการทง้ั นี้ด้วยวิหิงสาอาธรรมมิได้ จะให้เป็นสุขประโยชน์แก่สมณ พราหมณาประชากรทั้งปวงจึ่งจะเป็นเกียรติยศสืบไป แลเมอื งจนั ทบรู รนจ้ี ะถงึ แกก่ าลพนิ าศดจุ เมืองระยอง เอน็ ดสู ตั วท์ ง้ั ปวง ** จะเหน็ ผใู้ ดมอี ชั ฌาสยั จะใหไ้ ปเจรจาโดยยตุ ธิ รรมใหพ้ ญาจนั ทบญุ ออ่ นนอ้ มลง อยา่ ให้เกิดยุทธสงครามได้ความเดือดร้อนแก่สมณพราหมณาประชาราษฎรได้นั้น จึ่งเสนาบดีนายทัพ นายกองทั้งปวง ปรกึ ษาพรอ้ มกนั กราบบงั คมทลู วา่ เหน็ แตน่ ายบญุ มมี หาดเลก็ นายบญุ รอษแขนออ่ น นายบุญมาน้องเมียพญาจันทบูรญ สามคนนี้จะได้ราชการ ครั้นตรัสเห็นด้วยแล้ว จึ่งสั่งให้ไปตาม คำปรึกษา จึงนายเผือกญวน นักมาเขมรรับอาสาพาข้าหลวงสามคนไปโดยทางชลมารคแต่ ณ วนั ไปหยดุ อยปู่ ากนำ้ ระยอง *** ใชใ้ บไปประมาณ ๕ วนั ถงึ ปากนำ้ จนั ทบญู ครั้นเพลารุ่งขึ้นเช้าจึ่งเข้าไปหาพญาจันทบูรญเจรจาโดยธรรมราชประเพณี กระแสรับสั่งนั้น พญาจนั ทบญู มคี วามยนิ ดี สง่ั ใหข้ นุ จางวางทำสมั มาคารวะเลย้ี งดโู ดยปรกติ ยนิ ยอมดว้ ยวา่ อกี ๑๐ วนั ข้าพเจ้าจึ่งจะแต่งออกไปรับเสด็จแลกองทัพเข้ามา ณ เมืองจันทบุญ จะได้คิดราชการแก้ฝีมือพม่า * ไมม่ วี นั เดอื นปี คงปลอ่ ยวา่ งไวเ้ ฉย ๆ สว่ นพระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ตดั คำวา่ ครน้ั ณ วนั …ออก เสยี หมดทกุ แหง่ พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ฉี บบั กรมตำรา กระทรวงศกึ ษาธกิ ารพมิ พเ์ มอ่ื ร.ศ. ๑๓๑ คงเหมอื นฉบบั น้ี คอื ไมม่ วี นั เดอื นปี คงปล่อยว่างไว้เฉย ๆ ได้เทียบเคียงดูปรากฏว่าพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ในตอนต้นนั้นเหมือนกับฉบับกรมตำราแทบทุกอักษร ต่อไปตอนหลังฉบับกรมตำรามีข้อความผิดจากพระราชพงศาวดารฉบับนี้ เนื่องจากได้เพิ่มเติมข้อความเข้าไปอีกเป็นอันมาก ส่วนฉบับ พันจันทนุมาศ (เจิม) นั้น แก้ไขตกเติมข้อความเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้สละสลวยขึ้นเท่านั้น แต่ข้อความส่วนใหญ่คงเหมือนกันกับ พระราชพงศาวดารฉบับนี้ ** กอ่ นจะถงึ คำวา่ จะเหน็ ผู้ใด...นั้น พระราชพงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) วา่ และท่านทง้ั หลาย *** พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า ออกปากน้ำเมืองระยอง
๓๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ครั้น ณ วันเพลาบ่าย ๓ โมง จึ่งแต่งเรือรบลำหนึ่งมีพลกรรเชียง ๒๐ สรรพด้วยเครื่องอาวุธ พญาจันทบุญลงด้วยข้าหลวงออกมาส่ง ณ ปากน้ำถึงที่เรือทอดอยู่นั้น แล้วพญาจันทบูญ พาข้าหลวงนายเผือก นายมาขึ้นบนศาลาเทพารักษ์ชวนกันให้กระทำความสัตย์แก่กัน แล้วกลับ แคลงมาถามว่า เราได้ให้ความสัตย์เป็นมิตรสหายร่วมชีวิตกันแล้วอย่าได้อำพรางกัน เหตุผลร้ายดี ประการใด จงบอกกล่าวแก่เราแต่ตามจริงเถิด ข้าหลวงจึ่งตอบว่าเราได้เป็นมิตรร่วมชีวิตเดียว ดว้ ยทา่ นแลว้ จะสู้เสียชีวิตรักษาสัจธรรมนั้นไวม้ ิให้เสีย ท่านอย่าแคลงใจเลย อันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แห่งเรานี้ มีพระราชจริตปราศจากล่อลวง [ จบเลม่ ๒๖ ] ถ้าจะมีราชบริหารตรัสสิ่งใดแล้วก็เป็นสัตย์มิได้หวาดไหว ตั้งพระทัยสถิตอยู่ในพรหมวิหาร เพื่อจะให้เป็นพระพุทธบารมีสืบไป อันบุคคลผู้ใดมิได้คิดประทุษร้ายก่อนแล้วแลจะได้เบียดเบียนนั้น มไิ ดม้ เี ลย ทา่ นจงตง้ั ภกั ดจี ติ อยา่ ใหจ้ ลาจล * พญาจนั ตบญู กม็ ใี จยนิ ดสี วามภิ กั ด์ิ แลว้ ฝากเครอ่ื งราช กระยาหารใหม้ าถวาย แลว้ ขา้ หลวงกอ็ อกจากปากนำ้ จนั ตบรู ญ วนั หนง่ึ กถ็ งึ ปากนำ้ ระยอง จง่ึ เอา เนอ้ื ความนน้ั กราบทลู ครน้ั ไดท้ รงฟงั กม็ พี ระวจิ ารณราชดำรโิ ดยรอบคอบแลว้ ทรงพระมธั ยสั ถไ์ วใ้ นราชหฤทยั ครั้นอยู่มาประมาณ ๑๐ วันถึงปฏิญาณสัญญาแล้ว พญาจันทบูรญจะได้มาหามิได้ ใช้ใหค้ นเอาข้าวเปลือกบรรทุกเรือประมาณสี่เกวียนมาถวาย ณ เมืองระยอง ครั้น ณ วัน นายบุญเมืองมหาดเล็กผู้รั้งบางกระมุงคุมไพร่ ๒๐ คน ว่าพม่าใช้ให้ถือ หนังสือออกไปเมืองจันทบูรญ ให้แต่งดอกไม้เงินทองเข้าไป ณ โพสามต้น พระหลวงขุนหมื่น นายทัพนายกองแจ้งกิจนั้น มิได้ไว้ใจว่าเป็นพวกพม่า ๆ ให้มาด้วยกลอุบายใช้ให้ติดตามเรา จะไว้ใจให้อยู่ในกองทัพเรามิได้ ด้วยเอาใจออกหากกรุงเทพมหานครแล้ว แลนายบุญรอดแขนอ่อน กราบทลู จะขอเอาตวั ไปประหารชวี ติ เสยี ทรงพระกรณุ าขอชวี ติ ไว้ จง่ึ ตรสั ประภาษดว้ ยพระราชธบิ ายวา่ พม่ามาล้อมกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ผู้ใดจะตั้งใจเข้าด้วยพม่านั้นหามิได้ แต่ถึงกาลแล้วหากจำเป็น อนึ่งนายบุญเมืองผู้รั้งบางกระมุงมิได้เป็นข้าใช้เรามาแต่ก่อน เห็นพอจะได้ราชการอยู่ แล้วราชการ เมอื งจนั ตบรู ญกย็ งั มี ผรู้ ง้ั บางกระมงุ กบั พญาจนั ทบรู ญเปน็ มติ รชอบกนั เราจะใชใ้ หเ้ อาหนงั สอื พมา่ น้ี * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ทา่ นจงตง้ั ภกั ดจี ติ ไปถวายบงั คมเถดิ และขอ้ ความในพระราชพงศาวดาร ฉบับนี้ในตอนต่อไปที่ว่า พญาจันทบุรกี ็มีใจยินดีสวามิภักดิ์ แล้วฝากเครื่องราชกระยาหารมาถวาย ก็ไม่มีในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ดว้ ย
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๒๓ ไปถึงพญาจันทบูรญ ๆ ก็จะยกกองทัพมารับเราเข้าไปคิดราชการด้วยกันตามปฏิญาณสัญญา แล จะได้แจ้งในความสัตย์สุจริตนั้นด้วย อนง่ึ พมา่ ตง้ั อยู่ ณ เมอื งธนแลลอ้ มกรงุ เทพฯ ๆ ไดม้ หี นงั สอื ออกไปถงึ พญาราชาเสรฐิ ๆ แต่ง กองทัพลำเลียงอาหารเข้ามาช่วยถึงปากน้ำ พม่าทำอันตรายสกัดทางอยู่ไปมิถึง สิ้นเสบียงอาหาร แล้วกลับไป เห็นว่าความชอบเมืองพุทไทมาตุมีแก่กรุงอยู่ บัดนี้เราจะให้มีศุภอักษรไปให้พญาราชาเสริฐ ยกพลทหารเข้ามาช่วยกันตีพม่าซึ่งตั้งอยู่เมืองธนบูรีย์ จึ่งจะเป็นความชอบแก่พญาราชาเสริฐสืบไป นายทัพนายกองทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึ่งแต่งศุภอักษรออกไปเมืองพุดไทมาท ณ วัน ๖ ๑ฯ ๔ ค่ำ (วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๑ ค่ำ) เมื่อเสด็จสถิต ณ เมืองระยองนั้น หมู่ปัจจามิตรซึ่งแตกไปจากเมืองระยอง ลักลอบเข้ามาลักโคกระบือช้างม้าเนือง ๆ ไป จึ่งตรัสว่า เรากรุณามันว่าเป็นข้าขัณฑเสมา จะใคร่ทำนุบำรุงจึ่งมิได้กระทำอันตรายมันก็ได้อ่อนน้อมยังจะคิด ประทุษร้ายสืบไป ก็เป็นผลวิบากให้เกิดเป็นคนอสัจคนอธรรมฉะนี้จะละไว้มิได้ จึ่งกรีธาพลทหาร ยกออกจากเมอื งระยองไป ณ บ้านประแส บ้านไร * บ้านดา บ้านตรา ** บ้านแกลง ซึ่งไอ้ขุนราม หมื่นซ่องตั้งอยู่นั้น ครั้นเพลาอุษาโยค ทรงเครื่องราชวิภูษิตสำหรับณรงค์ยุทธสงคราม เสด็จนำพลทหารเข้าไล่ กระโจมฟันแทงยิงปืนใหญ่ปืนน้อย อ้ายเหล่าร้ายแตกตื่นไป แลอ้ายขุนราม หมื่นซ่อง หนีไปอยู่ด้วยพญาจันทะบูรรณ์ จับได้ทหารหมื่นซ่อง นายบุญมีบางเหี้ย นายแทน นายมี *** นายเมืองพม่า นายสนหมอ นายบญุ มบี ตุ รนายสว่ ร **** ครอบครวั ผคู้ นชา้ งมา้ โคกระบอื เกวยี น ซึ่งอ้ายเหล่าร้ายลักเอาไปไว้แต่ก่อนเป็นอันมาก แล้วเสด็จยกพลนิกายกลับมา ณ เมืองระยอง บำรุงทแกล้วทหารเครื่องศัสตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อย เกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรอันแตกตื่นออกไป อยู่ ณ ป่าดงได้เป็นอันมาก ก็เสด็จยับยั้งท่าพญาจันทบูรรณ์อยู่ ครน้ั ณ วนั ๑ฯ๔๔ คำ่ (วนั เดอื น ๔ แรม ๑๔ คำ่ ) ศก พระพไิ ชยแลนายบญุ มไี ปถงึ ปากนำ้ พทุ ไทมาต จึ่งนำเอาศุภอักษรแลฉลองพระองค์อยา่ งฝรง่ั ขน้ึ ไปพระราชทาน แลเจรจาตามศภุ อกั ษรนน้ั * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ บา้ นไข้ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ บา้ นกลำ่ *** ชอ่ื นายมี ไมม่ ใี นพระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) **** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ นายสน
๓๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พญาราชาเสริฐก็มีความยินดีว่า ฤดูนี้จะเข้าไปขัดด้วยลมจะมิทัน ต่อเดือน ๘ เดือน ๙ เดือน ๑๐ จง่ึ ยกพลทหารเข้าไปช่วยราชการ ครั้น ณ วัน ๑๑ฯ๕๕ ค่ำ ( วันอาทิตย์ เดือน ๕ แรม ๑๕ ค่ำ ) ได้ศุภอักษรตอบแล เครื่องราชบรรณาการมาถึงปากน้ำระยอง ทหารจีน ราชบรรณาการ นายบุญมีจึ่งนำเอาองค์ไกเรือง* ขึ้นกราบทูลถวาย ณ คา่ ยทา่ ประดู ลุศักราช พระราชดำริแล้วให้หาเสนาบดีนายทัพนายกองมาเฝ้าพร้อมกัน จึ่งประภาษว่า เราปรารภการครั้งนี้สู้เสียชีวิตเพราะกรุณาแก่สัตว์โลกซึ่งหาที่พำนักมิได้ แลแผ่นดินจะไม่จลาจล สมบรู ณเ์ ปน็ ทต่ี ง้ั พระศาสนาไดน้ น้ั เพราะปราศจากหลกั ตอคอื คนอาสจั คนอาธรรม แลบดั นน้ี ายทองอยู่ นกเล็กซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองชลบูรียประพฤติพาลทุจริต คอยป้องกันกระทำข่มเหงอาณาประชาราษฎร ผู้หาที่พึ่งมิได้ บรรดามีน้ำใจภักดีจะมาพึ่งเรานั้นก็มามิได้ นายทองอยู่เป็นเสี้ยนหนามคอยสกัดตัด สัญจรคนทั้งปวงไว้ เราควรจะไปสั่งสอนทรมานนายทองอยู่ ให้ตั้งอยู่ตามคลองธรรมราบคาบก่อน สมณพราหมณาประชาราษฎรจง่ึ จะไดอ้ ยเู่ ปน็ สขุ เสนาบดนี ายทพั นายกองกเ็ หน็ พรอ้ มตามพระราชดำริ ครน้ั ณ วนั ศกุ ร์ ** จง่ึ สง่ั ใหย้ กพลทหารเสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปตามสถลมารค เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ บ้านหนองมน ให้ทหารไปสอดแนมดูได้เนื้อความว่า นายทองอยู่ให้เตรียมพลทหาร ศสั ตราวธุ ปนื ใหญป่ นื นอ้ ยไวพ้ รอ้ ม จง่ึ ใหย้ กพลทหารเขา้ ไปหยดุ ประทบั ณ วดั หลวง ทางไกลเมอื ง ประมาณ ๑๐๐ เส้น จึ่งให้นายบุญรอดแขนอ่อน นายชื่นบ้านไข ซึ่งเป็นสหายกับนายทองอยู่ เขา้ ไปวา่ กลา่ วโดยยตุ ธิ รรม นายทองอยกู่ อ็ อ่ นนอ้ มโดยดี นายบญุ รอด นายชน่ื จง่ึ พานายทองอยนู่ กเลก็ เขา้ มาเฝา้ ณ วดั หลวง สามภิ กั ดก์ิ ระทำความสตั ยถ์ วาย แลว้ กน็ ำเสดจ็ ใหเ้ ขา้ ไป ณ เมอื งชลบรู ยี ์ ประทับอยู่ ณ เก๋งจีน นายทองอยู่จึ่งนำเสด็จทรงช้างพระที่นั่ง นายบุญมีมหาดเล็กควาญท้าย เลยี บทอดพระเนตรเมอื งชลบรู ยี ์ แลว้ พาขนุ หมน่ื กรมการมาถวายบงั คม ทรงพระกรณุ า นายทองอยู่ ใหเ้ ปน็ พญาอนรุ าชบรู ยี ศรมี หาสมทุ ตั้งขุนหมื่นกรมการตามฐานาศักดิ์เมืองชลบูรีย์ แล้วพระราชทาน กระบี่บั้งเงิน ๑ เสื้อแพรเข้มขาบดอกใหญ่พื้นแดง ดุมทอง ๙ เข็มขัดทองประดับพลอยสายหนง่ึ แล้วพระราชทานราโชวาทสั่งสอนว่า แต่ก่อนท่านประพฤติการอันเป็นอาธรรมทุจริตนั้นจงละเสีย * พระราพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ องโกเสง้ิ ** พระราชพงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม) ว่า วนั ศุกร์ ขนึ้ ๔ คำ่ เดอื น ๖
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๒๕ จงประพฤติกุศลสุจริตให้สมควรด้วยฐานาศักดิ์แห่งท่านจะได้เป็นเกียรติยศสืบไป ในกัลปาวสาน * จะเป็นวาสนาติดตามไปในอนาคต แล้วจึ่งพระราชทานเงินตราไว้ ๒ ชั่ง สำหรับสงเคราะห์แก่ สมณพราหมณาจารย์ประชาราษฎรผู้ยากไร้เข็ญใจซึ่งขัดสนด้วยข้าวปลาอาหารนั้น จึ่งตรัสสั่ง พญาอนุราชว่า ผู้ใดจงใจอยู่ในสำนักท่าน ๆ จงโอบอ้อมอารีเลี้ยงดูไว้ให้เป็นผล ถ้าผู้ใดมีน้ำใจ สามิภักดิ์จะตามเราออกไป ท่านจงอย่ามีน้ำใจอิจฉา จงมีมุทิตาปราโมทย์อย่าได้ขัดขวาง ** ช่วยส่ง ผู้นั้นออกไปให้ถึงสำนักเรา อย่าให้เป็นเหตุการณ์ประการใดได้ แลท่านจงบำรุงบวรพุทธศาสนา อาณาประชาราษฎรให้ทำมาหากินโดยผมู้ สี ำเนา อย่าให้มีโจรผู้ร้ายเบียดเบียนแก่กันได้ แล้ว พระราชทานเงนิ ตราแกส่ ปั เหรอ่ ใหข้ นซากกะเฬวร *** อนั อดอาหารตายนน้ั เผาเสยี พระราชทานบงั สกุ ลุ ทานแลว้ พระราชทานเงนิ ตราอาหารแกย่ าจกวณพิ กแกเ่ มอื งชลบรู ยี เ์ ปน็ อนั มาก แล้วอุทิศกัลปนา พระราชกศุ ลใหแ้ กห่ มเู่ ปรตไปในปรโลกนน้ั เพอ่ื เปน็ ปจั จยั แกป่ รมาภเิ ศกสมั โพธญิ าณ ครั้น ณ วันศุกร์เสด็จดำเนินกลับมาเมืองระยอง ฝ่ายพญาจันทบูรรณซึ่งถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะมารับเสด็จนั้น จะได้มาตามสัญญาหามิได้ ด้วยขุนราม หมื่นซ่องอันเป็นคนอาสัตย์นั้น ยุยงว่ากล่าวให้คิดประทุษร้าย ตกแต่งป้อมค่ายคูประตูหอรบเชิงเทินตระเตรียมโยธาทหาร สรรพด้วย เครื่องศัสตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อยเสร็จแล้ว จึ่งคิดอุบายแต่งพระสงฆ์ ๔ รูป ขึ้นมาเชิญเสด็จเข้าไป ณ เมืองจันทบูรรณ์ แล้วจึ่งจะกุมจับพระองค์ พระสงฆ์ ๔ รูปมามิทันเสด็จไปเมืองชลบูรีย์ **** พระสงฆน์ น้ั กย็ ง้ั อยทู่ า่ ณ เมอื งระยอง ***** ครน้ั เสดจ็ ถงึ เมอื งระยองเพลาเชา้ จง่ึ เขา้ ไปถวายพระพร ตามเรอ่ื งราวพญาจนั ทบญู ใชใ้ หม้ านน้ั จง่ึ ทรงพระดำรดิ ว้ ยพระวจิ ารณญาณอนั คมั ภรี ภาพ ก็ทราบว่า กรรมนิยม****** แล้วจึ่งจำให้เป็นตามเหตุนั้น ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้า จึ่งมีพระราชบริหารดำรัสด้วยนายทัพกองว่า พญาจันทบูญให้พระสงฆ์ มารับเรานี้ ใครจะเห็นร้ายดีประการใดบ้าง นายทัพนายกองปรึกษาพร้อมกันแล้วกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเห็นว่า พญาจันทบูรรคิดประทุษร้ายเป็นมั่นคง จึ่งตรัสว่าเมื่อเหตุเป็นฉะนี้แล้ว * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ในกาลเบอ้ื งหนา้ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ทา่ นจงอยา่ มนี ำ้ ใจอจิ ฉาเกยี ดกนั ไว้ *** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ซากศพ **** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) มขี อ้ ความเตมิ ลงไปอกี วา่ เสดจ็ ไปเมอื งชลบรุ เี สยี กอ่ นแลว้ ***** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ พระสงฆน์ น้ั กย็ บั ยง้ั คอยทา่ อยู่ ณ เมอื งระยอง ทง้ั นแ้ี สดงวา่ ******ไดแ้ กไ้ ขตกเตมิ ใหมเ่ พอ่ื ใหส้ ำนวนดขี น้ึ พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ กท็ ราบวา่ ผลกรรมของสตั ว์
๓๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ชอบจะไปหรืออย่าไปประการใด นายทัพนายกองพร้อมกันกราบทูลว่า ควรจะเสด็จพระราชดำเนินไป ด้วยจะได้ประโยชน์สองประการ ประการหนึ่งแม้นว่าพญาจันทบูรรจะเสียสัตย์คิดประทุษร้ายก็ดี จะได้ทรมานให้เสียพยศอันร้าย พญาจันทบูรรยังตั้งอยู่ในความสัตย์ก็จะได้พระราชทานราโชวาท สั่งสอนให้ตั้งอยู่โดยยุติธรรม ก็จะเย็นอกสมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎรทั้งปวง จะได้เป็น พระศาสนาไปในอนาคตสมัยนั้น ครั้น ณ วัน ๕ ฯ (วันพฤหัสบดี ) ศก เพลาเช้าอุษาโยคยามพฤหัสบดี ตรัสให้ยกพลนิกาย สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธออกจากเมืองระยอง พระสงฆ์ ๔ รูปนำเสด็จมาประทับรอนแรมโดย ระยะทาง ๕ วนั ถงึ บา้ นพลอยแหวน ครน้ั ณ วนั ๒ ฯ (วนั จนั ทร)์ ศก จง่ึ ยกไปใกลเ้ มอื งจนั ทบรู รณ ฝ่ายพญาจันทบูรรณให้ขุนปลัดกับคนมีชื่อออกมานำทัพ เป็นกลอุบายจะให้กองทัพหลวง เลี้ยวไปข้างใต้เมือง จะให้ข้ามน้ำไปอยู่ฟากตะวันออก จะทำร้ายเมื่อพลทหารข้ามน้ำนั้น ครั้นตรัสทราบจึ่งให้นายบุญมีมหาดเล็กขึ้นม้าควบไปห้ามทหารกองหน้า มิให้ไปตามทางหลวงปลัด นำนน้ั ใหก้ ลบั มาตามทางขวาตรงประตทู า่ ชา้ ง เสดจ็ ประทบั ณ วดั แกว้ รมิ เมอื งจนั ทบรู รณ์ จง่ึ ใหพ้ ล ทหารตั้งกองทัพล้อมรอบพระวิหารวัดแก้ว เสด็จประทับอยู่ที่นั้น ฝ่ายพญาจันทบูรรณก์ ็ให้พลทหาร ขึ้นประจำหน้าที่ แล้วจึ่งใช้ขุนพรหมธิบาลผู้เป็นพระท้ายน้ำ นายลิ่ม นายแก้วแขก ทำมะรงพอร นายเมแขก ออกมาต้อนรับเสด็จ จึ่งตรัสว่าพญาจันทบูรรณ์ให้มาเชิญเราเข้าไปนั้น เห็นไม่ต้องตามประเพณีธรรม ด้วยเห็นว่า ผนู้ อ้ ยควรกระทำสมั มาคารวะแกผ่ ใู้ หญจ่ ง่ึ จะเปน็ มงคลแกต่ วั แลจะใหผ้ ใู้ หญเ่ ขา้ ไปหาทา่ นอนั เปน็ ผนู้ อ้ ยนน้ั ดมู บิ งั ควรเปน็ มงคลแกพ่ ญาจนั ทบรู รณเลย เรายงั จะเขา้ ไปมไิ ด้ ใหพ้ ญาจนั ทบญุ ออกมาหาเรากอ่ น เราจะไดแ้ จง้ เนอ้ื ความซง่ึ ขดั ขอ้ งในใจเรา ดว้ ยขนุ ราม หมน่ื ซอ่ งอนั เปน็ ปจั จามติ รเราแลเขา้ มาอยดู่ ว้ ย พญาจันทบูญ จะทำให้เราทั้งสองมีน้ำจิตอันพิโรธแคลงกัน แม้นพญาจันทบูรรณ์มิออกมาหาเราก็ดี ถา้ สง่ แตข่ นุ ราม หมน่ื ซอ่ งออกมากระทำความสตั ยแ์ กเ่ ราแลว้ เราจะเขา้ ไปดว้ ยมไิ ดแ้ คลง เราตง้ั เมตตาจติ รกั เอน็ ดพู ญาจนั ทบรู รณป์ ระดจุ นอ้ งในอทุ รเดยี วกนั กบั เรา ถงึ พญาจนั ทบรู ณจ์ ะทำรา้ ยเรา ๆ กม็ ไิ ดต้ อบแทน รักษาเมตตาธรรมนั้น * ด้วยพญาจันทบูรรณ์มิได้มีพิโรธอันใดกับเรา แล้วพระราชทานเงินแก่ ขุนพรหมธิบาล ๆ ก็กลับเข้าไปว่ากล่าวตามดำรัสนั้น * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เราจะรกั ษาเมตตาธรรมนน้ั ไว้
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๒๗ พญาจันทบูรรณ์จึ่งใช้ให้ทำมะรงพอรกับคนมีชื่อ เอาของเสวยออกมาถวายให้พระสงฆ์รูป สี่รูปซึ่งนำเสด็จมานั้นออกถวายพระพรว่า พญาจันทบูรรณให้เชิญเสด็จเข้าไป ตรัสว่าในเมือง จันทบูรรณ์นี้ไม่มีฆราวาสใช้แล้วหรือจึ่งใช้แต่สมณะ แล้วจึ่งมีพระราชบริหารดำรัสแก่พระสงฆ์ว่า ความนี้โยมก็ได้สั่งไปแก่ขุนพรหมธิบาลแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงไปบอกแก่พญาจันทบูรรณว์ ่า ไอ้ขุนราม หมน่ื ซอ่ งเปน็ ปจั จามติ รแกข่ า้ พเจา้ ยยุ งพญาจนั ทบรู รณ์ ๆ หนมุ่ แกค่ วาม จะฟงั เอาถอ้ ยคำไอเ้ หลา่ น้ี กจ็ ะเสยี ทรี กั เอน็ ดกู นั ถา้ แลพญาจนั ทบรู รณต์ ง้ั อยใู่ นสตั ยภาพไมตรี กจ็ ะสง่ ขนุ ราม หมน่ื ซอ่ ง ออกมากระทำความสตั ยเ์ ถดิ พระสงฆถ์ วายพระพรลามาวา่ แกพ่ ญาจนั ทบรู รณ์ ๆ จง่ึ ใชข้ นุ ปลดั ออกมาทลู วา่ พญาจนั ทบรู รณม์ ไิ ดต้ ง้ั อยใู่ นสตั ยภาพสามภิ กั ดห์ิ ามไิ ด้ จะใครส่ ง่ ขนุ ราม หมน่ื ซอ่ งออกมาอยู่ ขนุ ราม หมน่ื ซอ่ งกลวั พระราชอาญา ดว้ ยตวั นน้ั เปน็ ปจั จามติ รจะออกมามไิ ด้ จง่ึ ตรสั วา่ พญาจนั ทบรู รณม์ ไิ ด้ อยู่ในสัตยภาพแล้ว แลเห็นว่าขุนราม หมื่นซ่องจะช่วยป้องกันเมืองไว้ได้ ก็ให้เร่งตกแต่งการไว้ให้ มน่ั คงเถดิ เราจะตเี อาใหไ้ ด้ แล้วจึ่งตรัสสั่งโยธาทหารทั้งปวงให้หุงอาหารรับพระราชทาน แล้วเหลือนั้นสั่งให้สาดเททุบต่อย หม้อข้าวหม้อแกงเสียจงสิ้น ในเพลากลางคืนวันนี้เร่งเข้าตีเอาเมืองจันทบูรรณ์ให้ได้ ไปกินข้าวเช้า เอาในเมือง ถ้ามิได้ก็ให้ตายเสียด้วยกันจงพร้อมทีเดียว ครั้น ณ วัน ๑ ฯ ๗ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๗) ศักราช ๑๑๒๙ ปีกุนนพศก เพลาสามยามเป็นยาม ๗ ปลอดห่วง ตรัสให้ยกทัพบ่ายหน้าต่อทิศอีสานเข้าตีเมืองจันทบูรรณ์ จดั ทหารไทยทหารจนี ลอบเข้าไปประจำด้านอยู่ทุกด้าน เพลาจะเชา้ ให้สัญญากันโห่ร้องจงทุกด้านว่า ถา้ มเิ ขา้ ไดแ้ ลว้ ใหโ้ หร่ อ้ งขน้ึ พรอ้ มกนั * จง่ึ ทรงชา้ งพระทน่ี ง่ั พงั ครี ยี บ์ รรชรเขา้ ทลายประตใู หญ่ โยธาทหาร ซึ่งรักษาประตูแลป้อมเชิงเทินนั้นยิงปืนใหญ่น้อยดุจหนึ่งห่าฝน จะได้ถูกต้องโยธาผู้ใดผู้หนึ่งหามิได้ ลอดท้องช้างพระที่นั่งไป ควาญช้างจึ่งเกี่ยวพังคีรียบรรชรให้ถอยออกมา ทรงพระโกรธเงื้อพระแสง จะลงพระราชอาญานายทา้ ยชา้ ง ๆ ขอพระราชทานโทษได้ จง่ึ พระแสงกรชิ แทงพงั ครี ยี บรรชรขบั เขา้ ทลาย ประตูใหญ่พังลง ทหารหน้าช้างลอดเข้าไปได้ ให้ร้องโห่ขึ้นพร้อมกันดุจพระราชทานสัญญาไว้นั้น * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ดา้ นนเ้ี ขา้ ไดแ้ ลว้ โหร่ อ้ งขน้ึ พรอ้ มๆ กนั พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั กรมตำราพมิ พ์ ร.ศ. ๑๓๑ วา่ ถา้ เขา้ ไดแ้ ลว้ โหร่ อ้ งขน้ึ พรอ้ มกนั ทถ่ี กู นา่ จะเปน็ ดงั ทก่ี ลา่ วในพระราชพงศาวดาร ทง้ั ๒ ฉบบั คอื ถา้ เขา้ เมอื งไดใ้ หโ้ หร่ อ้ งขน้ึ พรอ้ ม ๆ กนั เพราะขอ้ ความตอนตอ่ ไป ในพระราชพงศาวดารฉบบั นก้ี ม็ วี า่ สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ เี มอ่ื ทรงนำทหารเขา้ เมอื งจนั ทบรู ได้ กท็ รงสง่ั ใหท้ หารโหร่ อ้ งขน้ึ พรอ้ มกนั ดจุ ดงั ท่ี ได้พระราชทานสัญญาไว้นั้น
๓๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ฝา่ ยโยธาทหารซง่ึ อยรู่ กั ษาประตแู ลหนา้ ทเ่ี ชงิ เทนิ นน้ั แตกตน่ื หนอี อกจากเมอื ง พญาจนั ทบญู พาบตุ รภรยิ า ลงเรือไปปากน้ำพุทไทมาถ พลโยธาทหารไทยทหารจีนเข้าไปจับได้ครอบครัว หิรัญสุวรรณวัตถา ธัญญาหารปืนจ่ารงค์มณฑกนกสับคาบศิลาสรรพาวุธทั้งปวงเป็นอันมากก็เสด็จยับยั้งอยู่ ณ เมือง จันทบูรรณ์ พระราชทานหิตฐานันดรแลทรัพยวัตถาลังกาตามฐานานุกูล * ผมู้ คี วามชอบมากแลนอ้ ย ครน้ั ณ วนั ๒ ฯ คำ่ (วนั จนั ทร)์ จลุ ศกั ราช ๑๑๒๙ ปกี นุ นพศก เสดจ็ ดำเนนิ โดยทางสถลมารค กอปรด้วยพลทหารประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ เดชะพระบารมีโพธิสมภาร ฝนตกเจ็ดวัน เจ็ดคืน แล้วตรัสสั่งให้พระรามพิไชย หลวงราชรินเป็นแม่กองทัพเรือ ๆ ประมาณ ๕๐ เศษ พร้อมด้วย หมู่พลพยุโยธาเสนาทั้งปวงไปโดยทางสถลมารคถึงบ้านทุ่งใหญ่ แล้วเสด็จลงเรือไปล้อมสำเภา ข้าศึกไว้คืนหนึ่งแล้ว ฝ่ายวาณิชพ่อค้านายสำเภาทั้งปวงก็ยังมิได้อ่อนน้อม ครั้นเพลารุ่งเช้า จึ่งสั่งนายทัพนายกองให้ยกเข้าตีสำเภาอยู่ประมาณกึ่งวัน ข้าศึกลูกค้าชาวสำเภาต้านทานมิได้ กอ็ ปั ราชยั พา่ ยแพ้ ได้ทรัพย์สิ่งของหิรัญสุวรรณวัตถาลังกาภรณ์เป็นอันมาก ฝ่ายจีนเจียมผู้เป็น ใหญ่กว่าเจ้าสำเภาทั้งปวงสวามิภักดิ์พาเอาธิดามาถวาย ในวนั นน้ั กเ็ สดจ็ กลบั มา ณ เมอื งจนั ทบรู รณ์ ยบั ยง้ั อยตู่ อ่ เรอื รบเดอื น ๑ ได้ ๑๐๐ ลำเศษ ลุศักราช ๑๑๓๐ ปีชวดสัมฤทธิศก** พระบรมหน่อพุทธางกูรเจ้าได้ทรงพระเสวนาการ กติ ตศิ พั ทว์ า่ กรุงเทพ ฯ ถึงแก่พินาศฉิบหาย สมณพราหมณาจารย์ขัตติยวงศาเสนาพฤฒามาตย์ราษฎร ได้ความเดือดร้อนทุกข์ลำบาก พระบวรพุทธศาสนาก็เศร้าหมอง แต่เหตุพม่าตั้งพระนายกองไว้รง้ั เมอื ง แลผู้ครองเมืองเอก โท ตรี จัตวา บรรดาขึ้นแก่กรุงเทพมหานครนั้นก็กำเริบอหังการ ตั้งอาตมา รับพระโองการเป็นหมู่เป็นเหล่ากัน *** จึ่งเกิดโจรทุพภิกขภัย สัตว์ทั้งปวงอนาถาหาที่พึ่งมิได้ จึ่งทรง พระราชอตุ สาหะยกพลพยหุ ะสรรพดว้ ยเครอ่ื งศสั ตราวธุ เปน็ อนั มาก ออกจากเมอื งจนั ทบรู รณโดยชลมารค ครั้น ณ วัน ปีชวดสัมฤทธิศก เพลาเช้า ๒ โมงเศษเสด็จถึงเมืองชลบูรีย์ มีพระราชบริหาร ให้พิพากษาโทษพิฆาตพญาอะนุราช หลวงผล ขุนอินเชียง ซึ่งกระทำความผิดด้วยโจรกรรม * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ พระราชทานฐานาศกั ดแ์ิ ละบำเหนจ็ รางวลั ขอ้ ความตง้ั แตน่ เ้ี ปน็ ตน้ ไป พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั กรมตำราพมิ พเ์ มอ่ื ร.ศ. ๑๓๑ ไมเ่ หมอื นกบั พระราชพงศาวดาร ฉบบั น้ี มเี พม่ิ เตมิ ขอ้ ความเขา้ ไปอกี มาก ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ จลุ ศกั ราช ๑๑๒๙ ปกี นุ นพศก *** สำนวนความในตอนนี้น่าจะเป็นสำนวนเดิม พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม ) ได้แก้ไขเพิ่มเติม ใหส้ ละสลวยขน้ึ โดยกลา่ ววา่ ชวนกนั กำเรบิ อหงั การตง้ั ตวั เปน็ ใหญ่ ใหร้ บั พระโองการเปน็ หมเู่ ปน็ เหลา่ กนั
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๒๙ ตีชิงสำเภาลูกค้าวาณิช กระทำการทุจริตให้เสียพระเกียรติยศพระราชสิริสวัสดิ์นั้นตามกฎพระอยั การ แล้วตั้งผู้รั้งกรมการตามฐานาศักดิ์คุณานุรูปความชอบให้รักษาเมืองชลบูรีย์ ครั้น ณ วัน ปีชวดสัมฤทธิศก ยกพลทหารมาถึงปากน้ำเมืองสมุทประการ เพลารุ่งเช้า จึ่งให้ยกเร่งรีบเข้าไปจะตเี มืองธนบูรีย์ ครั้นเพลายามเศษ กรมการทหารซึ่งอยู่เมืองธนบูรีย์แตกพ่ายหนี ขน้ึ ไป ณ โพสามต้น แจ้งเหตุแก่สุกี้ผู้เป็นพระนายกอง ๆ ให้จัดพลทหารพม่ามอญไทยเป็นทัพเรือ มองยาเป็นนายทัพมาตั้งสกัด ณ เพนียด ครน้ั เพลากลางคนื เรอื รบพญากระลาโหมซง่ึ บรรทกุ กระสนุ ดนิ ประสวิ ลม่ ลง ใหล้ งพระราชอาญา พญากระลาโหมเสนาบดีฝ่ายทหารเป็นหลายคน ซึ่งกระทำความผิดมิได้อยู่ในพระราชโอวาท แล้วตรัสให้รีบยกพลทหารไปในเพลากลางคืน แลกองทัพมองยาทหารโพสามต้นรู้ข่าวว่าทัพหลวงถึง กรงุ เทพ ฯ ก็พ่ายหนี ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๑๒ เพลาเช้า ๓ โมงเศษ เข้าตีค่ายโพสามต้นฟากตะวันออก แตกหนีเข้าค่าย จึ่งตรัสสั่งให้ทำบันไดจะเข้าตีค่ายด้านตะวันตกซึ่งพระนายกองอยู่นั้น กองพญาพพิ ติ ร พญาพิไชย ทัพจีนเป็นทัพหน้า * เข้าตั้งค่ายประชดิ ณ วัดกลาง ห่างค่ายประมาณ ๗ - ๘ เสน้ ด้วยพระเดชเดชานุภาพ ฝ่ายข้าศึกสยดสยองบันดาลให้กลัวเป็นกำลัง ต่างคนหนีออกจากค่าย พระนายกองสิ้น พระนายกองสะดุ้งตกใจจึ่งคิดอ่านให้พญาธิเบศบริรักษ์ผู้เป็นเจ้าพญาศรีธรรมราช ออกมาถวายบังคมสวามิภักดิ์ขอเป็นข้าใต้ละออง ฯ เชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าไป ณ จวน แล้วตรัสสั่งมิให้ทหารกระทำอันตรายเบียดเบียนแก่ไพร่ฟ้าประชากรทั้งปวง ครั้นตรัสเห็น ขัตติยวงศาบูราณเสนาบดีซึ่งอนาถาได้ความทุกขเวทนาลำบาก ก็พระราชทานทรัพย์เสื้อผ้าต่าง ๆ แก่พระนายกองแลเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก แล้วจึ่งให้เชิญเสด็จพระบรมศพพระที่นั่ง สุริยาศอำมรินแห่แหนมา ณ โพสามต้น ถวายพระเพลิงแล้วพระราชทานฐานาศักดิ์แก่เสนาบดี ใหค้ งทอ่ี ยู่กับพระนายกองดังเก่า อนึ่งแต่งให้ขึ้นไปเกลี้ยกล่อม ณ เมืองลบบูรีย์สำเร็จแล้ว ให้รับบูราณขัตติยวงศาซึ่งได้ ความลำบากกบั ทง้ั พระบรมวงศล์ งมาทำนบุ ำรงุ ณ เมอื งธนบรู ยี ์ * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) ไมม่ คี ำวา่ ทพั จนี
๓๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ลศุ กั ราช ๑๑๓๐ ปชี วดสมั ฤทธศิ ก ทอดพระเนตรเหน็ อฐั กิ ะเฬวรคนทง้ั ปวง อนั ถงึ วบิ ตั ฉิ บิ หายดว้ ย ทพุ ภกิ ขะ โจระ โรคะ สมุ กองอยดู่ จุ หนง่ึ ภเู ขา แลเหน็ ประชาชนซง่ึ ลำบากอดอยากอาหาร มรี ปู รา่ ง ประดุจหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียด ทรงพระสังเวชประดุจมีพระหฤทัยเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติ จะเสดจ็ ไปเมอื งจนั ทบรู รณ์ จง่ึ สมณพราหมณาจารยเ์ สนาบดปี ระชาราษฎรชวนกนั กราบทลู อาราธนาวงิ วอน สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมหนอ่ พทุ ธางกรู ตรสั เหน็ ประโยชน์ อนั จะเปน็ ปจั จยั แกพ่ ระปรมาภเิ ศกสมโพธญิ าณนน้ั กร็ บั อาราธนา จง่ึ เสดจ็ ยบั ยง้ั อยู่ ณ พระตำหนกั เมอื งธนบรู ยี จำเดมิ แตน่ น้ั ดว้ ยกำลงั พระกรณุ าพระราชอตุ สาหะในสตั วโ์ ลกแลพระพทุ ธศาสนา มิเป็นที่จะบรรทม ทรงเสวยเป็นสุขในพระราชอิริยาบถด้วยขัตติยวงศาสมณาจารย์เสนาบดีอาณาประชาราษฎรยาจกวณพิ ก คนโซอนาถาทว่ั ทกุ เสมามณฑล เกลอ่ื นกลน่ กนั มารบั พระราชทานมากกวา่ หมน่ื ฝา่ ยขา้ ราชการทหาร พลเรอื นไทยจนี นน้ั รบั พระราชทานขา้ วสารเสมอคนละถงั กนิ คนละยส่ี บิ วนั ครั้งนั้นยังหาผู้จะทำนามิได้ อาหารกันดาร ข้าวสารสำเภาขายถังละ ๓ บาทบ้าง ๑ ตำลึงบ้าง ๑ ตำลงึ ๑ บาทบา้ ง ยงั ทรงพระกรณุ าดว้ ยพระปรชี าญาณอตุ สาหเ์ ลย้ี งสตั วโ์ ลกทง้ั ปวง พระราชทาน ชีวิตให้คงคืนไว้ได้ แลพระราชทานวัตถาลังกาภรณ์เสื้อผ้าเงินตราจะนับจะประมาณมิได้ จนทุกข์ พระทัยออกพระโอษฐ์ว่า บุคคลผู้ใดเป็นอาทิ คือ เทวดาบุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์กระทำให้ ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้นให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้นผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง กอ็ าจจะตดั บรจิ าคใหแ้ กผ่ นู้ น้ั ได้ ด้วยความกรุณาเป็นความสัตย์ฉะนี้ ลุศักราช ๑๑๓๐ ปีชวดสัมฤทธิศก โปมังพม่านายทัพคุมพลทหารพม่าทัพบกทัพเรือ ประมาณ ๒,๐๐๐ เศษ ยกเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตีล่วงมาล้อมค่ายจีนบางกุ้งเข้าไว้จะใกล้เสียอยู่แล้ว ครั้นทราบพระญาณในทันใด วันนั้นดีพระราชหฤทัยประดุจได้พระราชลาภอันอุดมกว่าลาภทง้ั ปวง จง่ึ ใหเ้ ตรยี มพลโยธาทหารทพั เรอื ประมาณ ๒๐ ลำเศษ แลว้ ทรงเรอื พระทน่ี ง่ั สวุ รรณม์ หาพไิ ชยนาวา สรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธ ครั้นได้ศุภมงคลสนิถานกุศลฤกษ์ * พระทัยพร้อมด้วยพหิพยันดรราชฤกษ์ ก็ยกพลนิกายโดยทางสถลมารค ๑ ด้วยอาการอันเร็วรวดดุจพญาชวันราชหงส์ อันนำหน้าสวุ รรณหงส์ ทง้ั ปวงไปในราตรนี น้ั *๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ครน้ั ไดศ้ ภุ มงคลนทิ านสกณุ ฤกษ์ ควรจะเป็นชลมารค
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๓๑ ฝ่ายทัพเรือพม่ายกลงมา ตรัสเห็นแล้วก็รีบเรือพระที่นั่งกับทัพทั้งปวง ทหารไล่ตะลุมบอนยิง ปืนจ่ารงค์มณฑกนกสับคาบศิลา ถูกพม่าล้มตายพ่ายขึ้นไปถึงทัพใหญ่ จึ่งไล่ขยี้ยิงปืนตับใหญ่ พม่าแตกตื่นล้มตายด้วยฝีมือทหารไทยฟันแทงตายในน้ำเป็นอันมาก บ้างหนีขึ้นบกเล็ดลอดซ่อนเร้น สะดงุ้ ตกใจ ที่หนีไปแว่นแคว้นแดนเมืองอางวะได้นั้นน้อยนัก ทหารไทยเก็บได้เครื่องศัสตราวุธเรอื รบ เรือไล่ครั้งนั้นเป็นอันมาก พระเกียรติยศก็ลือชาปรากฏดุจพญาไกรสรสีหราชอันเป็นที่กล้าแห่งหมู่สัตว์ จัตุบาททง้ั ปวง ครั้งนั้นหมู่คนอาสัจอธรรม ซึ่งคุมพรรคพวกตั้งอยู่กระทำโจรกรรม ณ หัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา มิได้เชื่อพระบรมธิคุณแลตั้งตัวเป็นใหญ่นั้น ก็บันดาลให้สยดสยองพองเศียรเกล้า ชวนกัน นำเอาเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ เข้ามาถวายเป็นอันมาก ทรงพระกรุณาพระราชทานเงินทองเสื้อผ้า ฐานาศักดิ์โดยสมควรคุณานุรูป ให้ถือน้ำพิพัทสัจจาแล้วพระราชทานโอวาททานุสาสน์สั่งสอน ให้เสียพระยศอันร้าย ให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขณะนั้นลูกค้าวาณิชได้ทำมาหากินไปมาค้าขายเป็นสุข สมบรู ณด์ ว้ ยอาหารไดบ้ ำเพญ็ ทศั นบญุ กริ ยิ าวตั ถกุ ศุ ลตา่ ง ๆ ฝา่ ยสมณกร็ บั จตั ปุ จั จยั ทานเป็นสุขบริโภค ได้บำเพ็ญสมณธรรมตามสมณกิจ ลุศักราชทรงพระดำริว่า พระพุทธศาสนาจักสมบูรณ์รุ่งเรืองนั้น ด้วยบริษัททั้งสี่ปรนนบิ ตั ิ ตามพุทโธวาท แลพระสงฆ์ทุกวันนี้ยังปรนนิบัติพระจัตุปาริสุทธศีลสังวรนั้นมบี ริบูรณ์ จง่ึ ทรงพระกรุณาตั้ง พระสังฆราชราชาคณะขึ้นไว้ให้กำชับว่ากล่าวพระสงฆ์ทั้งปวง แล้วทรงพระราชศรัทธาจ้างให้หมู่เสนา ทหารพลเรือนสร้างพระวิหารเสนาสนะกุฏิมากกว่า ๒๐๐ กุฏิ สิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก แล้วจึ่ง ตรัสพระราชทานโอวาทประกาศไว้ว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงจงตั้งสติอารมณ์ปรนนิบัติตั้งอยู่ใน พระจัตุปาริสุทธศีลสังวรวินัยบัญญัติบริบูรณ์ อย่าให้พระศาสนาพระองค์เศรา้ หมองเลย แมน้ ผเู้ ปน็ เจ้าจะขัดสนด้วยจัตุปัจจัยทั้ง ๔ ประการนั้น เป็นธุระโยมจะอุปถัมภ์ ถ้าผู้เป็นเจ้าทั้งปวงมีศีลคุณ บริบูรณ์ในพระศาสนาแล้ว แม้นจะปรารถนามังสะรุทธิระโยม ๆ ก็อาจสามารถจะเชอื ดเนอ้ื แลโลหติ ออกบำเพญ็ ทานได้ ลุศักราชทรงพระดำริว่า พระศาสนาจะวุฑฒิจิรฐิติกาลนั้น เพราะพระปริยัติกุลบุตรเล่าเรียน พระไตรปิฎก จึ่งทรงพระกรุณาให้สังฆการีธรรมการทำสารบาญชีพระสงฆ์ ผู้ใดบอก เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้เป็นอันมากจึ่งทรงถวายไตรผ้าเทศเนื้อละเอียด แล้วพระราชทานจัตุปัจจัย
๓๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ แก่เถรเณรตามได้เล่าเรียนมากแลน้อย อนึ่งโปรยปรายพระราชทรัพย์แลแจกทานแก่ยาจกทุก วันบัณรสี วนั อัฐมี อุโบสถ แลตั้งนิตยภัตไว้สำหรับคนโซทั้งปวง ลุศักราชเสด็จยกพลนิกรดำเนินทัพสรรพด้วยโยธาทหารใหญ่น้อยขึ้นไปปราบเมืองพิศนุโลกย์ ถึงตำบลเกยไชย พญาพิศนุโลกรู้ประพฤติเหตุ แต่งพลทหารให้หลวงโกษายังยกออกมาตั้งรับ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จนำพลทหารทั้งปวงเข้ารณรงค์ข้าศึกครั้งนั้น ฝ่ายข้าศึกยิงปืนมาดังห่าฝน ตอ้ งพระชงฆเ์ บอ้ื งซา้ ยเลยี บตดั ผวิ พระมงั สะไป จง่ึ ใหล้ า่ ทพั ยงั กรงุ ธนบรู ยี ์ อนึ่งกรมหมื่นเทพพิพิตรซึ่งแตกแก่กองทัพพม่า ณ เมืองประจิมบูรีย์ แต่ครั้งกรุงเทพมหานคร ยงั มไิ ดเ้ สยี นน้ั พาอพยพยกไปตง้ั อยู่ ณ ดา่ นโคกพญา แขวงเมอื งณครราชเสมา จง่ึ พระพมิ ลสงคราม หลวงณริน เจ้าเมืองปราจิม ไพร่ชายไพร่หญิงประมาณ ๖ - ๗ พัน ยกขึ้นทางด่านจันทึ่ก ฝ่ายพญาณครราชศรีมาให้จับฆ่าเสียสิ้นต้อนเอาครอบครัวเข้าไปไว้ กรมหมื่นเทพพิพิตรจึ่งให้ หลวงมหาพิไชย ให้นายทองดำเอาหมวกฝรั่ง ๑ เสื้อแพรกระบวนจีน ๑ ผ้าเขียวสองผืน ไปให้ พญานครราชศรีมา ครั้นอยู่ประมาณ ๑๔-๑๕ วัน หลวงพลออกมาทูลว่าพญานครราชศรีมาเกณฑ์เขมร ๔๐๐ จะจับเอาเจ้าส่งลงไป ณ กรุงเทพ ฯ กรมหมื่นเทพพิพิตรจึ่งคิดการจะหนี หม่อมประหยงไม่เห็นด้วย ทลู ขอเงนิ ๕ ชั่ง กับผ้าน้ำกิ่ง ๑๐ พับ ไปแจกนายบ้านทั้ง ๑๒ ตำบล เกลี้ยกล่อมได้คน ๔๕๐ ครั้น ณ วัน ๑ฯ๔๘ ค่ำ (วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำ) ปีจออัฐศก จึ่งให้หม่อมประยง หลวงมหาพิไชย หลวงปราบคมุ ไพร่ ๓๐ เศษกบั พวกชาวบา้ นยกเขา้ ไป รงุ่ ขน้ึ เปน็ วนั พระ พญานครราชศรมี าจะออกมา ทำบุญ ณ วัดบุญณะ ก็ยกเข้าล้อมจวนจับพญานครราชศรีมาได้ฆ่าเสีย แต่หลวงแพ่งน้อง พญานครราชศรีมาขึ้นม้าหนีไปได้จึ่งให้ยิงปืนใหญ่ตามสัญญา แล้วเก็บคนออกมารับเจ้าเข้าไปอยู่ ประมาณห้าวัน หลวงแพ่งชักชวนพระพิมายยกมาล้อมเมืองณครราชศรีมา ๆ เกณฑ์คนขึ้นรักษาหน้าที่ เบาบางนัก รบต้านทานอยู่สี่วันพวกกองทัพหลวงแพ่งตีเข้าได้ทางป้อมวัดพยับ จับเอาหม่อมดารา หม่อมธารา พระพิไชยราชา หลวงมหาพิไชย กับขุนหมื่นนายทัพนายกองฆ่าเสียเป็นอันมาก นายแกนได้หม่อมอุบลบุตรกรมหมื่นเทพพิพิตรเป็นเมีย นายยนได้เสมห้ามเป็นเมีย หลวงแพ่ง จะประหารชีวิตกรมหมื่นเทพพิพิตรเสีย พระพิมายจึ่งพาไปไว้ ณ เมืองพิมาย กรมหมื่นเทพพิพิตกับ พระพมิ ายรกั ใครก่ นั เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี ว จง่ึ ตง้ั พระพมิ ายเปน็ เจา้ พญาษรสี รุ วิ งษ์ นายษาบตุ รพญาพมิ าย
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๓๓ เปน็ พญามหามลตรี ให้พญานอ้ ยนอ้ งพญามหามนตรเี ปน็ พญาวรวงษาธริ าช ครน้ั อยมู่ าพญาษรีสุริวงษ์ พญามหามนตรี พญาวรวงษาธิราชคิดกันจะฆ่าหลวงแพ่งเสีย ขณะนั้นหลวงแพ่งทำบุญให้มีละคร พญาษรสี รุ วิ งษ พญามหามลตรี พญาวรวงษาธริ าชพาคนมฝี มี อื ประมาณ ๑๐ คน กับไพร่ ๕๐๐ ลงมา ณ เมืองนครราชศรีมา ทั้งสามพญาเข้านั่งดูด้วยกันกับหลวงแพง่ ครน้ั ไดท้ ีพญาศรสี รุ วิ งษ์ ฟนั หลวงแพง่ พญามหามนตรฟี นั นายแกน พญาวอรวงษาฟันนายย่นตายทั้ง ๓ คน พวกทหาร เมืองพิมายฆ่าฟันทหารเมืองลคอรราชศรีมาตายเปน็ อนั มาก แล้วพญาศรีสุริวงษ์ให้พญาวรวงษาอยู่ ณ บ้านจ่อหอรักษาเมืองณครราชศรีมา พญาศรีสุริวงษ์ พญามหามนตรีกลับไปอยู่ ณ เมืองพิมาย กรมหมน่ื เทพพพิ ติ รกเ็ ปน็ เจา้ อยเู่ มอื งพมิ าย จง่ึ ใหล้ งมารบั พระนายกองแลมอ่ งยาซง่ึ อยรู่ ง้ั กรงุ นน้ั ขน้ึ ไป ณ เมอื งพมิ าย พระเจา้ อยหู่ วั ตรสั ทราบเหตจุ ึ่งเสด็จกรีธาทัพยกขึ้นไป ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิตรให้พญาวรวงษายกมาตั้งรับ ณ ด่านขุนทดทางหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัว ดำรสั ใหพ้ ระราชณรนิ พระมหามนตรียกไปตพี ญาวรวงษาธริ าชแลว้ จง่ึ เสดจ็ ดำเนนิ ทพั เขา้ ตที างบา้ นจอ่ หอ่ จับได้พญาศรีสุริวงษ พญามหามนตรีให้ประหารเสีย แต่กรมหมื่นเทพพิพิตรนั้นให้สำเร็จด้วย ทอ่ นจนั ทนต์ ามประเพณี ฝ่ายพญาวรวงษาธิราชนั้นแตกหนีไปเมืองเสียมราบ จึ่งดำรัสให้พระราชริณ พระมหามลตรี ยกกองทัพไปตีเมืองเสียบราบได้ แต่พญาวรวงษาธิราชนั้นหนีสูญไป พระราชริน พระมหามลตรี จึ่งให้เลิกทัพกลับกรุงธนบูรีย ขณะนั้นโปรดให้พระราชริณเป็นพญาอไภยรณฤท พระมหามลตรี เป็นพญาอนุชิดราชา จางวางพระตำรวจฝ่ายซ้ายขวาโดยความชอบ ณ วัน ๓ ๑ฯ ๑ ค่ำ (วันอังคาร เดือนอ้าย ขึ้นค่ำ) ปีชวดสัมฤทธิศก เพลาย่ำค่ำแล้วทุ่มหนึ่ง มีจันทรุปราคาคาย วัน ๓ ๔ฯ ๑ ค่ำ (วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๔ ค่ำ ) เพลาเช้าโมง ๑ เสด็จออกขุนนาง ตรัสประภาษเนื้อความ จีนเซง * ซื้อทองพระพุทธรูปลงสำเภา พระราชสุจริตปรารภตั้งพระอุเบกขา พรหมวิหารเพื่อจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาแลอาณาประชาราษฎรนั้น อัศจรรย์แผ่นดินไหว ช้านาน * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ จนี เสง็
๓๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ วนั ๗ ๒ฯ ๕ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๒ คำ่ ) จลุ ศกั ราช ๑๑๓๐ เพลาสองยาม แผน่ ดนิ ไหว อกี ครง้ั หนง่ึ วนั ๑ ๖ฯ ๓ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๓ แรม ๖ คำ่ ) เพลาเชา้ ๓ โมงเศษ แขกเมอื งลาว หลม่ ศกั มาสโู่ พธสิ มภาร ถวายชา้ ง ๑ มา้ ๕ รวม ๖ ณ วัน ๑๑ฯ๓๓ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๓ แรม ๑๓ ค่ำ) ข้าวสารเป็นเกวียนละ ๒ ชั่ง อาณาประชาราษฎรขัดสน จึงทรงพระกรุณาให้ข้าทูลละอองผู้ใหญ่ผู้น้อยทำนาปรัง ครน้ั ณ วนั ๒๑ฯ๔๓ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื น ๓ แรม ๑๔ คำ่ ) ขา้ ราชการเมอื งกำภชู าธบิ ดี ปากนำ้ พทุ ไทมาทบอกเขา้ มา จง่ึ ทรงพระกรณุ าใหก้ รมทา่ ไปทำคา่ ยปากนำ้ พระประแดง ทา่ จนี แม่กลอง ขณะโปรดให้พญาอนุชิดราชาเป็นเจ้าพญายมราช ครั้น ณ เดือน ๕ หนูคะนองกินข้าวในยุ้งฉาง แลกัดสิ่งของแลทรัพย์ทั้งปวงเสีย จึงมี รบั สง่ั ใหข้ า้ ทูลละออง ฯ แลราษฎรดักหนูมาส่งแก่กรมพระนครบาร หนูสงบหายไป วัน ๒ ๑ฯ ๗ ค่ำ (วันจันทร์ เดือน ๗ แรมค่ำ) จุลศักราช ๑๑๓๑ ปีฉลูเอกศก หมอ่ มเจา้ อบุ ลบตุ รกรมหมน่ื เทพพพิ ติ ร์ หมอ่ มเจา้ ฉมิ บตุ รเจา้ ฟา้ จติ รกบั นางลคร ๔ คน ผดิ กบั ฝรง่ั มหาดเลก็ สองคน พิจารณาเป็นสัตย์แล้วสั่งให้ฝีพายทนายเลือกทำประจาน อย่าให้ดูเยี่ยงกัน ต่อไปได้ แล้วตัดศีรษะตัดแขนผ่าอกเสียทั้งหญิงทั้งชาย ณ วนั ๑ ฯ๓๙ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ * แรม ๓ คำ่ ) ยกกองทพั ไปตีณครศรธี รรมราช เจา้ พญาจกั รี พญายมราช พระอไภยรณฤท พญาเพชรบรู ยี ๔ ทพั ยกกอ่ นเปน็ กองหนา้ ไปโดย ทางสถลมารค ไพร่ ๕,๐๐๐ เศษ ตีล่วงข้ามเมืองไชยาแลท่าข้ามไปได้ถึงค่ายทาหมากได้รบกัน เป็นสามารถ พญาเพชรบูรีย์ พระศรีวพัดตายในที่รบ แลลักษมะบุตรเจ้าพญาจักรีนั้น กองทัพ ลคอนจับเอาตัวไปได้ แล้วล่าทัพกลับถอยมาอยู่ ณ เมอื งไชยา พญายมราชบอกเขา้ มาใหก้ ราบทลู วา่ เจ้าพญาจักรีเป็นกบฏมิเต็มใจทำราชการ จึ่งทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาญาณก็ตรัสทราบเหตุว่า ทำการมิตลอดแล้วจึ่งเกิดวิวาทกัน ทั้งนี้เป็นบุรพวาสนาแห่งเรา อันจะใชแ้ ต่เสนาบดีไปไม่สำเร็จ จึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางชลมารค กอปรด้วยพลทหาร ๑๐,๐๐๐ เศษ ทรงพระที่นั่ง * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ) วา่ วนั เสาร์ แรม ๓ คำ่ เดือน ๘
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๓๕ มหาพิไชยสุวรรณนาวา ยาว ๑๑ วา ปากกว้าง ๓ ศอกเศษ พลกระเชียง ๒๘ คน พร้อมด้วยพยุหเสนาโยธาเครื่องศัสตราวธุ ทั้งปวง ครน้ั ณ วนั ๑ ฯ๓๙ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๓ คำ่ ) เพลา ๓ โมงเชา้ ถงึ บางทะลุ เกิดพายุคลื่นลมหนัก เรือรบข้าทหารกองหลวงกองหน้าบ้างแตกบ้างล่มเข้าแอบบังอยู่ในอ่าว พระเจ้าอยู่หัวให้ปลูกศาลเพียงตา พระราชทานเครื่องกระยาสังเวยบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วทรง พระสัตยาธิษฐานเอาพระสัจบารมีแต่บุรพชาติแลปัจจุบันมาเป็นที่ตั้ง ด้วยเดชพระกฤษฎานุภาพ คลื่นลมก็สงบสงัดราบลงเป็นมหัศจรรย์ แล้วเสด็จไปในวันนั้น ข้าทูลละอองฯ ตามเสด็จไปด้วยเรือ อนั นอ้ ยกเ็ ปน็ สขุ สบายหาอนั ตรายมไิ ด้ ครน้ั ณ เดอื น ๙ ปฉี ลเู อกศก เสดจ็ ถงึ ทา่ คา่ ม ดาวหางขน้ึ ขา้ งทศิ ทกั ษณิ ครน้ั แรม ๖ คำ่ เดอื น ๑๐ เพลา ๓ โมงเชา้ เสดจ็ เขา้ ตเี มอื งลครศรธี รรมราช เดชะพระบารมี โพธิสมภาร ไพร่ทหารแลราษฎรเสนาบดีในกรุงนครศรีธรรมราช บันดาลสยดสยองมิอาจจะต้านต่อได้ ก็แตกพ่ายหนีไปในเพลานั้น นายคงไพร่ทหารบ่าวพระเสนาพิมุกข์ เห็นช้างพลายเพชรที่นั่งเจา้ ลคร* ผูกเครื่องสับปล่อยอยู่จึ่งจับมาถวาย พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงคอกุญชรหัศดินช้างต้นพระที่นั่ง พลายเพชรเสด็จเข้าเมืองนครศรีธรรมราชได้โดยง่าย เสียแต่นายเพชรทนายเลือกถูกปืนตายคนหนึ่ง แลได้ราชธิดาญาติวงศาแลชะแม่พนักงานหิรัญสุวรรณวัตถาลังกาภรณ์ทั้งปวงเป็นอันมาก แลสมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัวมีชัยชำนะข้าศึกครั้งนั้น ฝ่ายทแกล้วทหารทัพบกทัพเรือทั้งปวง ก็ยังมามิไดท้ ันเสด็จ ด้วยอำนาจพระบารมีก็มีชัยเป็นอัศจรรย์ ครน้ั กองทพั บกทพั เรอื มาถงึ พรอ้ มแลว้ จง่ึ มพี ระราชโองการดำรสั ใหพ้ ทิ กั ษโ์ ทษไว้ ตวั เจา้ พญาลคร พาราชบตุ รราชธดิ าแลราชทรพั ยห์ นไี ป ณ เมอื งเทภา เมอื งตานี ใหเ้ จา้ พญาจกั รี พญาพไิ ชยราชา เรง่ กองทพั บกกองทพั เรอื ตดิ ตามไปจบั เจา้ ลครจงได้ ถา้ มไิ ดจ้ ะลงพระราชอาญาถงึ สน้ิ ชวี ติ ครั้น ณ วัน ๖ ๖ฯ ๑๑ ค่ำ (วันศุกร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำ) เพลาย่ำแล้ว สองทุ่มเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จยกกองทัพไปโดยทางชลมารคโดยลำดับ ที่ประทับรอนแรมจนถึงเมืองสงขลา น้ำแห้งลงเรือพระที่นั่งจะไปมิได้ เดชะบรมโพธิสมภารบังเกิดน้ำเปี่ยมคลอง มีพรรณฝูงปลา อาหารให้เห็นประจักษ์แก่ข้าทูลละอองทั้งปวง ก็เสด็จด้วยราชานุภาพเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก * ตน้ ฉบบั เขยี นลคร จงึ ไมไ่ ดแ้ กเ้ ปนนครอยา่ งพระราชพงศาวดารฉบบั อน่ื
๓๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ฝ่ายเจ้าพญาจักรีแม่ทัพเรือ เจ้าพญาพิไชยราชา๑แม่กองทัพบก ยกติดตามเจ้าเมืองลคร ไปถึงเมืองเทภา จับจีนจับแขกมาไถ่ถามได้เนื้อความว่า เจ้าเมืองลคอรหนีไปเมืองตานี เจ้าพญาจักรี พญาพไิ ชยราชาจง่ึ มหี นงั สอื ไปถงึ พญาตานี ๆ มอิ าจขดั ไวไ้ ด้ จง่ึ สง่ เจา้ พญาลคร พญาพทั ลงุ พญาสงุ คลา เจา้ พทั เจา้ กลางกบั ทง้ั บตุ รภรรยามาให้ เจา้ พญาจกั รจี ง่ึ จำคนโทษทง้ั ปวงใสเ่ รอื รบมาถวาย ณ เมอื งสงขลา ครน้ั ณ วนั ๖ ๒ฯ ๑๒ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๒ คำ่ ) * เสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั มา ถงึ เมืองลครรีธรรมราช ครน้ั ณ วนั ๖ ๒ฯ ๒ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื นย่ี ขน้ึ ๒ คำ่ ) เพลา ๗ ทมุ่ เกดิ เพลงิ ณ เมืองลคอร ตำบลนายไก่ ทรงพระกรุณาให้มีกฎประกาศไปมิให้ไพร่ทหารจีน ** ทั้งปวงฆ่าโค กระบือ แลข่มเหงสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร ฝ่ายฝีพายทนายเลือกซึ่งตามเสด็จครั้งนั้น ไดล้ าภสกั การเปน็ อนั มาก ทรงพระกรณุ าใหเ้ ลน่ ใหส้ นกุ แลว้ ใหก้ ำถว่ั หนา้ พระทน่ี ง่ั กระดานละ ๕๐ ชง่ั บา้ ง ๑๐๐ ชั่งบ้าง สนุกปรากฏกว่าทุกครั้ง แล้วทรงพระราชศรัทธาให้สังฆการีธรรมการนิมนตภ์ ิกขุเถรเณร รูปชีในนอกเมืองนครศรีธรรมราชมาพร้อม พระราชทานข้าวสารองค์ละถังเงินองค์ละ บาท ที่ขาดผ้าสบงจีวรก็ถวายไตรจีวร แล้วแจกยาจกวณิพกเสมอคนละ ๑ สลึง ทุกวันพระอุโบสถ ทรงพระกรุณาจ้างข้าทูลละออง ฯ ให้สถาปนาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ พระระเบียง ศาลากุฎี สิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก ให้ตั้งการสมโภชพระสาริกบรมธาตุสรรพด้วย สมโภชแลว้ ใหป้ รกึ ษาโทษเจา้ เมอื งลคร เสนาบดปี รกึ ษาโทษถงึ ตาย ทรงพระกรณุ าไมเ่ หน็ ดว้ ย ใหจ้ ำคง เจ้าลครไปให้ถึงกรุงเทพ จึ่งปรึกษากันใหม่แล้วตั้งหม่อมเจ้าดาราสุริวงษ์พระเจ้าหลานเธอไว้ ครองนครศรีธรรมราช แลให้พระราชสุภาวดีศรีไตรลาดอยู่ช่วยราชการ อนึ่งทรงพระกรุณาให้ราชบัณฑิตจัดพระไตรปิฎกลงบรรทุกเรือเข้ามากรุงเทพฯ แต่พอจำลองได้ ทุกพระคัมภีร์แล้วจึ่งจะเชิญออกมาส่งไว้ดังเก่า แลพระอาจารย์ศรีซึ่งแตกหนีออกไปอยู่ ณ เมือง นครศรีธรรมราชนั้นให้นิมนต์เข้ามากับสานุศิษย์ด้วย ลุศักราช ๑๑๓๑ ปีฉลูเอกศก เสด็จดำเนินทัพกลับมาเมืองธนบูรีย์ จึ่งตั้งพระอาจารย์ศรี เปน็ พระสงั ฆราช แลว้ ทรงพระกรณุ าจา้ งใหช้ า่ งจาร ๆ พระไตรปฎิ กทง้ั จบ สน้ิ พระราชทรพั ยเ์ ปน็ อนั มาก ๑ ตน้ ฉบบั วา่ เจา้ พญาพไิ ชยราชา นา่ จะเปน็ พญาพิไชยราชา * พระราชพงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) วา่ วนั ศกุ ร์ ข้ึน ๑๒ คำ่ เดอื น ๑๒ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ทหารไทยจนี ทง้ั ปวง
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๓๗ ฝ่ายเจ้าณครนั้นพระราชทานโทษให้รับพระราชทานน้ำพระพิพัฒสัจา ตั้งแต่นั้นมาพระศาสนาก็ค่อย ฟงุ้ เฟอ่ื งขน้ึ ไดด้ งั เกา่ พระเจา้ อยหู่ วั กท็ รงพระวฒั นาการ จำเรญิ พระปรชี าญาณแลพระกฤษฎานภุ าพยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป จนถึงลุศักราช ๑๑๓๒ ปีขาลโทศก วัน ๔ ฯ๔๘ ค่ำ (วันพุธ เดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ) จุลศักราช ๑๑๓๒ จะยกกองทพั ไปปราบคนอาสจั อาธรรมฝา่ ยเหนอื ดว้ ยอา้ ยเหลา่ รา้ ยนน้ั ยกลงมา ลาดตระเวนตเี อาขา้ วปลาอาหาร เผาบา้ นเรอื นเสยี หลายตำบล ไพรพ่ ลหวั เมอื งไดค้ วามแคน้ เคอื ง ขดั สนนกั เหตุฉะนี้จึ่งให้เจา้ พญาพไิ ชยราชาถือพล ๕,๐๐๐ ยกไปทางตะวันตก เจ้าพญายมราช ถือพล ๕,๐๐๐ เขา้ กนั เปน็ คนหมน่ื สรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง ครน้ั ลศุ กั ราช ๑๑๓๒ ปขี าลโทศก วนั ๗๑ฯ๔๘ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๘ แรม ๑๔ คำ่ ) เพลาเชา้ โมงเศษเปน็ มหาพไิ ชยฤกษ์ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ จากเมอื งธนบรู ยี ์ไปโดยทางชลมารค ทรงนาวาพระทน่ี ง่ั พรอ้ มดว้ ยหมพู่ ลพยหุ โยธา เสนาขา้ ทหารทง้ั ปวงประมาณ ๑๒,๐๐๐ ครง้ั นน้ั ขา้ วแพงเกวยี นละ ๓ ชง่ั ดว้ ยเดชะพระบารมบี รมโพธสิ มภาร กำปน่ั ขา้ วสารมาแตท่ ศิ ใต้ กไ็ ดเ้ กณฑใ์ หก้ องทพั เหลอื เฟอื แลว้ ไดท้ รง พระบรจิ าคทานแกส่ มณชพี ราหมณย์ าจกวณพิ ก แลครอบครวั บตุ รภรรยาขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาททง้ั ปวง แล้วแขกเมืองตะรังกานูแลแขกเมืองยายกะตราเอาปืนคาบศิลาเข้ามาถวาย ๒,๒๐๐ บอก ขณะเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนั้น ประทับแรม ณ เมืองนครสวรรณ์สองเวร แล้วยกขึ้นไปชาลวนั ประทับแรมเวรหนึ่ง รงุ่ ขน้ึ วนั ๗ ฯ๒๙ คำ่ ๑ (วนั เสาร์ เดอื น ๙ แรม ๒ คำ่ ) ยกไปประทบั แรมปากนำ้ พง่ึ ๒ เพลา ประมาณยามหนึ่งเข้าตีเมืองพิศนุโลกยได้ อ้ายหลวงโกษายังคิดมิชอบ หนีออกจากเมืองขึ้นไปตั้งค่าย รบั อยู่ ณ ตำบลโทก แลว้ เลกิ หนไี ป ชณิ ศรี ครน้ั ณ วนั ๗ ฯ๔๙ คำ่ ( วนั เสาร์ เดอื น ๙ แรม ๔ คำ่ ) เสดจ็ เขา้ ไปนมสั การพระชณิ ราช กท็ รงพระโสมนสั ปรดี าปราโมทยเ์ ลอ่ื มใสศรทั ธา เปลอ้ื งพระภษู าจากพระองคท์ รง พระศรลี า * พระชิณราชเจ้า เสด็จแรมท่าทัพบกฝ่ายตะวันออกอยู่เก้าเวร พอเจ้าพญายมราช ** ขึ้นไปถึง *๑ แรม ๒ ค่ำ เป็น วันพุธ ดังนั้นวันแรม ๔, ๗ และ ๑๓ ค่ำ ควรเป็นวันศุกร์ วันจันทร์ และวันอาทิตย์ ตามลำดับ น่าจะเป็นปากน้ำพิง ๒ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า พระศรีสากยมุนี ถ้าเป็นพระศรีสากยมุนีองค์ที่อยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ **ในปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองพิษณุโลก แต่อยู่ที่เมืองสุโขทัย (ควรจะเปน็ พระศรศี าสดา) พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ พญายมราช
๓๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ จึ่งพระราชทานข้าวปลาอาหารน้ำสุราอาฟัดให้พร้อมแล้ว สั่งให้ทัพบกยกเร่งรีบขึ้นไปติดเมืองสวางบูรีย แล้วตรัสว่าเราจะยกทัพเรือขึ้นไป บัดนี้น้ำยังน้อยนักตลิ่งยังสูงอยู่ อ้ายเหล่าร้ายจะได้ทั้งท่วงที ล้อมยิงเอา แต่ทว่าไม่ช้าดอก แล้วพอทัพบกยกข้ามแม่น้ำน้อยเสียได้สามวัน น้ำก็จะเกิดมากขึ้น เดชะพระบารมีบรมโพธิสมภาร ครั้นถึงสามวันน้ำเกิดมากขึ้น เสมอตลิ่งบ้างลบตลิ่งบ้างประดุจ ตรัสไว้นั้น จำเดิมแต่นั้นกองทัพบกกองทัพเรือทั้งปวงได้แจ้งเหตุ แล้วก็ยกมือขึ้นกราบถวายบังคม เอาพระเดชเดชานุภาพปกเกล้า ฯ มนี ำ้ ใจมิได้ย่อท้อต่อการณรงค์ อาจที่จะสู้หมู่ปัจจามิตรข้าศึก ด้วยเห็นพระบารมีเป็นแท้ วนั ๑ ฯ๗ ๙ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๗ คำ่ ) เพลาสองโมงเชา้ ยกทพั หลวงจากเมอื ง พศิ นโุ ลกโดยทางชลมารค ประทบั รอนแรมไปได ้ ๓ เวร พบผถู้ อื หนงั สอื บอกกองหนา้ ใจความวา่ ได้ เมืองฝางแล้ว แต่อ้ายซึ่งคิดมิชอบนั้นหนีไป ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงยังติดตามอยู่ ก็เสด็จรีบไปทาง กลางวันกลางคืน ถึงพระตำหนักค่ายหัดสูง ให้นายทัพนายกองเกณฑ์กันไปติดตามอ้ายเรือนฝาง แลนางพญาช้างเผือกให้ได้ ครน้ั ณ วนั ๑๑ฯ๓๙ คำ่ (วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๑๓ คำ่ ) หลวงคชศกั * กองพญาอนิ ทวชิ ติ จับได้นางพญามงคลเสวตรคชสารศรีเมืองต่อประเสริฐ นำมาทูลเกล้า ฯ ถวาย ทรงพระกรุณา พระราชทานบำเหน็จโดยสมควร ครั้น ณ วัน ๕๑ฯ๐๑๐ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๐ ค่ำ) เสด็จยกพลพยุหโยธา ทัพหลวงโดยทางชลมารคไปตำบลน้ำมืด จึ่งดำรัสให้ตั้งด่านทางชั้นในชั้นนอก ตั้งเกลี้ยกล่อม ลาดตระเวนสืบสาวเอาตัวอ้ายเรือนฝางให้จงได้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินมาตำหนักหาดสูง ครน้ั รงุ่ ขน้ึ วนั ๗ ฯ๕๑๐ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๑๐ แรม ๕ คำ่ ) ** สง่ั ใหแ้ ตง่ กฎประกาศกองทพั บก ทัพเรือไทยจีนทั้งปวง อย่าให้ข่มเหงริบราษฎรชาวบ้านแลฆ่าโคกระบือ อนึ่งนายทัพนายกองใดได้ปืน แลชา้ งพงั พลายใหญไ่ ดศ้ อกไดน้ ว้ิ รปู ดรี ปู กลางกใ็ หส้ ง่ เขา้ มาทลู เกลา้ ฯ ถวาย วนั ๕ ๑ฯ ๑๐ คำ่ (วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๐ ขน้ึ คำ่ ) *** เสดจ็ อยู่ ณ พระตำหนกั คา่ ยหาดสงู แขกเมอื งตานีเขา้ มาสพู่ ระบรมโพธสิ มภารถวายดอกไมท้ องเงนิ แลแขกเมอื งยายกะตราถวายปนื ๑๐ บอก * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ หลวงคชชาติ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ วนั เสาร์ เดอื น ๑๐ แรม ๔ คำ่ *** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เดอื น ๑๑
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๓๙ วัน ๓ ๖ฯ ๑๑ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำ) ปีขาลโทศก ทรงพระกรุณาให้นิมนต์ พระสงฆ์ฝ่ายเหนือมาพร้อมกันหน้าพระที่นั่ง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมกัน จึ่งดำรัสปรึกษาว่าพระสงฆ์บรรดาอยู่ฝ่ายเหนือนี้ เป็นพรรคพวกเพื่อนอ้ายเรือนฝางย่อมคิดถือปืนรบศึก ฆ่าคนปล้นเอาทรัพย์สิ่งของแลกินสุราซ่องเสพด้วยสีกา ให้ขาดจากสิกขาบทจัตุปราชิกเป็นลามก อยู่ในพระศาสนาฉะนี้จะไว้ใจมิได้ อนึ่งพระสงฆ์ฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือก็จะแปลกปลอมกันอยู่ มริ วู้ า่ องคใ์ ดดชี ว่ั จะไดก้ ระทำสกั การบชู าใหเ้ ปน็ ผลานสิ งสแ์ กต่ นแกท่ า่ น แลใหพ้ ระสงฆว์ า่ แตต่ าม สัตย์ตามจริง ถ้าได้ผิดในจัตุปราชิกแต่ประการใดประการหนึ่ง จะพระราชทานผ้าให้สึกออกทำ ราชการ ที่มิรับนั้นจะให้ดำน้ำนาฬิกาสามกลั้น ถ้าชนะจะให้เป็นเจ้าอธิการราชาคณะฝ่ายเหนือ โดยสมควรแก่คุณความรู้ ที่แพ้นาฬิกานั้นจะให้ลงพระราชอาญาแล้วสักข้อมือ มิให้บวชได้ อีกเลย ถ้าเสมอนาฬิกาจะพระราชทานผ้าไตรให้บวชใหม่ ถ้าไม่รับแต่เดิมจะให้ลงดำน้ำ กลบั คำวา่ ไดท้ ำผดิ จะให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตเสีย อนึ่งเมื่อพระสงฆ์จะลงดำน้ำ ให้ตั้งศาลกั้นม่านดาดเพดานแต่งเครื่องพลีกรรมเทพยดา พร้อมแล้ว ทรงพระอธิษฐานให้พระบารมีนั้นช่วยอภิบาลรักษาพระสงฆ์ทั้งปวง ภิกษุองค์ใด มิได้ขาดสิกขาบทจัตุปราชิก ขอให้พระบารมีโพธิญาณของโยม แลอานุภาพเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยอภิบาลบำรุงรักษาพระผเู้ ปน็ เจา้ อยา่ ใหแ้ พแ้ กน่ าฬกิ าได้ ถา้ แลภกิ ษรุ ปู ใดศลี วบิ ตั ดิ ว้ ยจตั ปุ ราชกิ จงสังหารให้แพ้แก่นาฬิกา ให้เห็นประจักษ์แก่ตาโลก เดชะพระบารมีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ครั้งนั้นพระสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิ์ก็ชนะแก่นาฬิกาหาอันตรายมิได้ ที่ภิกษุทุศีลนั้นก็แพ้นาฬิกาเห็น ประจักษ์แก่ตาโลกทั้งปวง พระสงฆ์ดำน้ำครั้งนั้นชนะบ้างเสมอบ้างแพ้บ้าง เสนาบดีทั้งปวง ก็กระทำตามรับสั่งโดยสมควรแก่คุณแลโทษ ผ้าไตรที่พระสงฆ์สึกนั้น ให้เผาทำเป็นสมุกไปทา พระมหาธาตุเมืองฝาง แล้วทรงพระกรุณาให้เย็บผ้าจีวรให้ได้พันไตร จะบวชพระสงฆ์ไว้ฝ่ายเหนือ แล้วให้ลงมาอาราธนารับพระสงฆ์ราชาคณะแลอันดับ ๕๐ รูป ณ กรุงธนบูรีย ขึ้นไปบวชพระสงฆ์ไว้ ทกุ หวั เมอื ง แลว้ พระราชทานราชาคณะไวใ้ หอ้ ยสู่ ง่ั สอนพระสงฆฝ์ า่ ยเหนอื พระพมิ ลธรรม์อยูเ่ มอื งฝาง พระธรรมเจดอี ยู่ทุ้งย้าง พระธรรมราชาเทพกระวอี ยู่เมืองสวรรคโลกย์ พระธรรมอุดมอยู่เมืองพิไชย พระโพธวิ งษอยเู่ มอื งพระพศิ นโุ ลกย์ วนั ๖๑ฯ๐๑๐ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๐ แรม ๑๐ คำ่ ) * เสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปยงั เมอื งสวางคบ์ รู ยี * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ขน้ึ ๑๑ คำ่
๓๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ สมโภชพระธาตุสามเวร แล้วเปลื้องพระภูษาออกจากพระองค์ทรงพระบรมธาตุแล้ว ให้บูรณ ปฏสิ งั ขรณพ์ ระอารามแลพระบรมธาตใุ หบ้ รบิ รู ณด์ งั เกา่ จง่ึ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปสมโภชพระ ณ ทุ้งย้าง ๓ เวร แล้วเสด็จไปสมโภชพระบรมธาตุเมืองสวรรค์โลกย์ ครน้ั ณ วนั ๖ ๑ฯ ๑๑ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๑ แรมคำ่ ) สมโภชพระเมอื งพศิ นโุ ลก ๓ เวร แล้วตั้งข้าหลวงเดิมซึ่งมีความชอบในการสงคราม ให้รั้งเมืองครองเมืองตามฐานานุกรมลำดับ พญาพิไชยราชาเป็นเจ้าพญาสวรรค์โลกย์ พญายมราชเป็นเจ้าพญาสุระศรีรั้งเมืองพิศนุโลกย์ พระศรีราชเดโชรั้งเมืองพิไชย พระท้ายน้ำรั้งเมืองศุกโขไท เจ้าพญาอนุรักษภูธรรั้งเมือง ณครสวรรค์ พญาอไภยรณฤทไปเป็นเจ้าพญายมราชให้ว่าที่สมุหนายกด้วย แล้วเสด็จพระราชดำเนิน กลับลงมากรุงธนบูรีย วัน ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๒ ปีขาลโทศก จะยกทัพหลวงขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ เหตุพม่า เหล่าร้ายเมืองเชียงใหม่ยกกองทัพลงมาตั้งค่ายลอ้ มเมืองสวรรค์โลกย์ไว้ ได้ยุทธนาการรบกันสามารถ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาให้มีตราขึ้นไปถึงเมืองพิศนุโลก เมืองศุกโขไท เมืองพิไชยให้ยกไปช่วยรบ พม่าก็แตกเลิกหนีไป อาศัยเหตุฉะนี้จึ่งยกพลพยุหโยธาทัพหลวง ทั้งนายไพร่ไทยจีนแขกฝรั่ง ๑๕,๐๐๐ สรรพด้วยปืนใหญ่น้อย แลเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง พระเจา้ อยหู่ วั ทรงนาวาพระทน่ี ง่ั กราบ เสดจ็ โดยทางชลมารคขน้ึ ไปประทบั ณ พระตำหนกั หาดทราย หนา้ เมอื งพไิ ชยฟากตะวนั ออก เมอื งไชยกบั พรรคพวกลาวมชี อ่ื สมคั รเขา้ มาทำราชการ ทรงพระกรณุ า ตง้ั ใหเ้ ปน็ พญาศรสี รุ วิ งษ์ แลว้ สง่ั ให้เจา้ พญาจกั รี เจา้ พญามหามนตรี * อยรู่ กั ษาเรอื พระทน่ี ง่ั แลเรอื ข้าทูลละอองทั้งปวง ณ เมืองพิไชย แล้วยกพลนิกรโยธาทัพหลวงโดยทางสถลมารค ประทับ รอนแรมไปหลายเวร ถึงตำบลกุมเหลืองจึ่งหยุดประทับแรมอยู่พระตำหนักค่ายมั่นแทบเชิงม้าพลาด ครั้งนั้นเทศกาลคิมหันตฤดูกันดารด้วยน้ำนัก ผู้มีชื่อซึ่งเป็นมัคนายกนำมรรคานั้นกราบทูลว่า แตเ่ ชงิ เขาขา้ งนจ้ี ะไปลงเชงิ เขาขา้ งหนา้ โพน้ ระยะทาง ๓๐๐ เสน้ กนั ดารนำ้ นกั ดำรสั วา่ อยา่ ปรารมภเ์ ลย เปน็ ภารธรุ ะแหง่ เรา คำ่ วนั นอ้ี ยา่ ตฆี อ้ งยาม จงกำหนดนาฬกิ าไว้ เพลาหา้ ทมุ่ จะใหฝ้ นตกลงจงได้ แล้วจึ่งตรัสสั่งเจ้าพญาสรรพประสิทธิให้ปลูกศาลเทพารักษ์เพียงตา กระทำพลีกรรมบวงสรวงเสร็จแล้ว ทรงพระสัตยาธิษฐานเอาพระบารมีโพธิสมภาร ซึ่งได้สันนิตยาการมาแต่อดีตชาติแลปัจจุบันนั้น เป็นที่พึ่งพำนักแก่ไพร่พลทั้งปวง วันนั้นอากาศปราศจากเมฆแลฟ้าลม เห็นผ่องแผ้วเป็นปรกติ * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เจา้ พระยามหาราชา
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๔๑ เดชะอานุภาพกำลังพระอธิษฐานบารมีแลเทวานุภาพ ถึงเพลา ๔ ทุ่มแปดบาทก็บันดาลฝนตก ลงหนัก น้ำนองขอนไม้ในป่าก็ลอยไหลไปเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ครั้นเพลาเช้าก็เสด็จดำเนินพล ประทับรอนแรม ไปจนใกล้เมืองเชียงใหม่ พม่าแลลาวแต่งกองทัพออกรับ ฝ่ายทัพหน้าก็ตีทัพ พม่าแตกเลิกถอยไปจนกำแพง แล้วก็ตั้งค่ายรายล้อมไว้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวสถิตอยู่ ณ พระตำหนักค่ายในกำแพงดิน แล้วสั่งให้นายทัพนายกอง ทั้งปวงเข้าปล้นปีนในเพลา ๓ ยามเศษ เพื่อจะฟังกำลังข้าศึกได้รบกันกับพม่าสามารถ จวนรุ่งไป เขา้ มไิ ดถ้ อยออกมา จง่ึ ตรสั วา่ อนั เมอื งเชยี งใหมน่ ต้ี อ้ งทำนายอยู่ คำปรำปราเลา่ สบื มาวา่ กษตั รยิ ์ พระองค์ใดยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่นั้นครั้งเดียวมิได้ ต่อยกไปเป็นคำรบสองจึ่งได้ ถ้าจะหักหาญ บกุ รกุ เอาดว้ ยกำลงั กลา้ บดั นก้ี จ็ ะได้ แตจ่ ะเสยี ไพรพ่ ลมาก แลยกมาบดั นเ้ี หมอื นจะดทู ว่ งทที า่ ทาง แลกำลงั ขา้ ศกึ กไ็ ดเ้ หน็ ประจกั ษแ์ ลว้ ถา้ ยกมาครง้ั หลงั เหน็ ไดถ้ า่ ยเดยี ว จง่ึ ใหถ้ อยทพั หลวงลว่ งมา เวรหนง่ึ * ก็เลิกเลื่อนถอยมาตาม ฝ่ายพม่าก็ยกกองทัพลัดเลาะป่าสกัดตามยิงลงมา ไพร่พลก็ตื่นแตกระส่ำระสายถอยย่อย่น มาจนถึงทัพหลวง อันประทับรับอยู่ ณ เขาช่องแคบนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเห็นดังนั้น จึ่งเสด็จทรงพระแสงพิฆาตประหาร ** ต้อนโยธาทั้งปวงให้กลับรบพม่า ตะลุมบอนฟันแทงกันเป็น สามารถ พมา่ ลม้ ตายเปน็ อนั มากแตกกระจดั กระจาย กเ็ สดจ็ กลบั ลงมาถงึ กรงุ ธนบรู ยี ด์ ว้ ยสวัสดิภาพ วัน ๗ ค่ำ ลุศักราช ๑๑๓๒ ปีขาลโทศก ทรงพระวิจารณ์ว่าเมืองเก่านี้น้อยนัก ไพร่พลสิมากเกลือกมีการสงครามมา หาที่มั่นผู้คนจะอาศัยมิได้ จึ่งทรงพระกรุณาให้ข้าทูลละออง ฯ ฝา่ ยทหารพลเรอื นทำคา่ ยดว้ ยไมท้ องหลางทง้ั ตน้ เปน็ ทม่ี น่ั ไวพ้ ลางกอ่ น จง่ึ จะกอ่ กำแพงเมอ่ื ภายหลงั ใหท้ ำคา่ ยตง้ั แตม่ มุ กำแพงเมอื งเกา่ ไปจนวดั บางวา้ นอ้ ย วงลงไปรมิ แมน่ ำ้ ใหญ่ แลว้ ขดุ คนู ำ้ รอบพระนคร เอามูลดินขึ้นถมเป็นเชิงเทินตามริมค่ายข้างใน เดือนหนึ่งสำเร็จการ วัน ๑๑ฯ๑๑๑ ค่ำ ( วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำ) จุลศักราช ๑๑๓๓ ปีเถาะตรีศก เพลาเช้าโมง ๕ บาทได้พิไชยฤกษ์ เสด็จลงพระที่นั่งสำเภาทอง ยกทัพหลวงออกจากเมืองธนบรู ยี ์ ไปทางปากนำ้ เจา้ พญา เรอื รบ ๒๐๐ ลำ เรอื สำเภา ๑๐๐ ลำ พลทหารไทยจนี ฝรง่ั เปน็ คนหมน่ื * ข้อความต่อจากนี้คงจะตกไปเพราะอ่านไม่ได้ความ ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) มีข้อความ **ตอ่ จากนว้ี า่ กองทพั ทง้ั ปวงกเ็ ลกิ เลอ่ื นถอยมาตาม พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ พระแสงดาบ
๓๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ห้าพันเศษ สรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธทั้งปวง เดชะบรมโพธิสมภารคลื่นลมร้ายในพระมหาสมุทร ก็บันดาลสงบเป็นปรกติ เสด็จไป ๕ เวรประทับปากน้ำจันทบูรรณ์ จึ่งให้พญาโกษาเป็นแม่ทัพบก ยกไปตกี ะโพงโสมแลกองกดุ แลว้ เสดจ็ ไปหกเวร วัน ๕ ฯ๘๑๒ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ ) ถึงปากน้ำพุดไทมาท สถิต ณ ตกึ จนี ฟากตะวนั ตกเฉยี งใต้ จง่ึ ใหม้ หี นงั สอื พญาพไิ ชยไอสวรรณก์ องทพั หนา้ ใหญ้ วนมชี อ่ื ตีกะโพงโสม ซึ่งจับได้มานั้นถือเข้าไปถึงพญาราชาเสรีฐว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวยกกองทัพบกกองทัพเรือมานี้ พระราชประสงคจ์ ะเศกพระองคร์ ามราชาใหค้ รองเมอื งกรงุ กำภชู าธบิ ดี แลว้ จะเอาตวั เจา้ จยุ้ เจา้ เสสงั แลขา้ หลวงชาวกรงุ ซง่ึ ไปอยเู่ มอื งใด ๆ จงสน้ิ ถา้ แลพญาราชาประเสรฐี มไิ ดภ้ กั ดดี ว้ ย เหน็ วา่ จะตา้ นทานได้ ก็ให้แต่งการป้องกันเมืองจงสรรพ ถ้าเห็นว่าจะสู้มิได้ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ใหอ้ อกมากราบถวาย บังคมเราจะช่วยทำนุบำรุง ถึงว่าแก่แล้วจะมามิได้ก็ให้แต่งหุเอี๋ยบุตรออกมาถวายบังคมจงฉับพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพระพิโรธฆ่าเสียให้สิ้น พญาราชาเสรีฐจึ่งให้หนังสือตอบออกมาว่าซึ่งให้หนังสือ มาถึงข้าพเจ้า ๆ ขอบใจนัก จะหาขุนนางมาปรึกษาให้พร้อมกันก่อน ถ้าประนอมพร้อมกันแล้ว จง่ึ จะบอกไปใหแ้ จง้ แลพญาราชาเสรีฐก็มิได้ให้ผู้ใดออกมา จง่ึ มรี าชบญั ชาดำรสั สง่ั กรมอาจารย์ ใหจ้ ดั กนั ทก่ี ลา้ หาญเขา้ ปลน้ เมอื งทง้ั นายไพร่ ได้ ๑๑๑ คน จึ่งให้เกณฑ์ทหาร ๒,๔๐๐ เข้าสมทบ แล้วพระราชทานฤกษ์แลอุบายให้ปล้น ในเพลา ๒ ยามนน้ั ก็ปีนกำแพงเข้าไปได้ จุดเพลิงขึ้นสว่างรุ่งเรือง ได้ยุทธนาการรบกันกับญวนซึ่งอยู่ในเมืองนั้นช้านาน แลนายทัพนายกองรี้พลทั้งปวงซึ่งตั้งค่ายรายล้อมอยู่นั้น จะบุกรุกเข้าไปช่วยก็มิได้ด้วยญวน ยงั รกั ษาหนา้ ทย่ี งิ รบอยู่ ไพรพ่ ลทง้ั ปวงกอ็ ดิ โรยลง เดชะบรมโพธสิ มภารบนั ดาลดลจติ โยธาหาญทง้ั ปวง ใหส้ ำคญั วา่ เสดจ็ ไป ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญยิ่งนัก ตีกระโจมเข้าไปทั้งบกเรือ จีนญวนซึ่ง รกั ษาหนา้ ทก่ี แ็ ตกหนไี ป พอรงุ่ ขน้ึ วนั ๒๑ฯ๒๑๒ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๑๒ คำ่ *) เสดจ็ เขา้ ไปสถติ ในพระราชวัง ราชาเสรีฐ จึ่งตรัสถามพญาประสิท พระธรรมอาจารย์ ** อาจารย์จันว่า เมื่อคุมทหารเข้าหักค่ายนั้น เข้าข้างด้านใด อาจารย์ทั้ง ๓ ให้การมิได้ต้องกัน จึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรดูทหาร เข้านั้น เห็นผิดด้วยพระราชดำริ ตรัสว่าข้าศึกหนีไปได้ด้วยเข้าผิดกับรับสั่ง ถ้าต่อสู้ก็จะเสียราชการ * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ขน้ึ ๑๑ คำ่ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ พระญาณประสทิ ธิ พระสธุ รรมาจารย์
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๔๓ จึ่งให้ลงพระราชอาญาทั้งนายแลไพร่ ซึ่งมีความชอบหักค่ายเข้าได้นั้นพระราชทานเงินเป็นบำเหน็จ ทั้งนายไพร่เป็นเงิน ๓๒๕ ชั่ง แล้วให้มีกฎหมายประกาศห้ามอย่าให้ริบราชบาทว์จีนญวนชาวเมือง ใหค้ า้ ขายตามภมู ลิ ำเนาแตก่ อ่ น แลว้ พระราชทานตง้ั พญาพพิ ติ ร ผชู้ ว่ ยราชการโกษาธบิ ดี เป็นพญา ราชาเสรีฐรั้งเมืองพุทไทมาต แล้วยกทัพหลวงจากปากน้ำพุทไทมาตไปตีกรุงกำภูชาธิบดี เสด็จโดยทางสถลมารค ประทับ รอนแรมรายทางขึ้นไปจนถึงพนมเพง เจ้าพญาจักรีลงมาจากกำภูชาธิบดีกราบบังคมทูลว่าพระองค์ อไุ ทยยกหนไี ปตง้ั อยบู่ อ่ พนมแลว้ ครน้ั ทรงฟงั จง่ึ สง่ั ใหเ้ จา้ พญาจกั รยี กไปตามในวนั นน้ั ครน้ั เพลา บา่ ย ๓ โมงเศษยกทพั หลวงตามไป เพลาประมาณยาม ๑ กไ็ ดท้ รงฟงั หนงั สอื บอกเจา้ พญาจักรีว่า ญวนลูกหนายมารับพระองค์อุไทยไปแล้ว จึ่งหยุดประทับอยู่ ณ เรือพระที่นั่งหน้าบ้านตำหนักเวร ๑ เพลาเชา้ ยกกลบั คนื มาถงึ ปากคลองมกั สา พบครวั เขมรตง้ั อยเู่ ปน็ อนั มาก สง่ั ใหท้ หารเขา้ ตไี ดค้ รอบครวั แลเรอื เปน็ อนั มาก แล้วยกมาประทับเกาะพนมเพง พระองค์รามราชาลงมาเฝ้า [ จบเลม่ ๒๘ ] ทรงพระกรุณาพระราชทานฉลองพระองค์ทรงประพาสสำหรับราชบริโภค ปืนใหญ่ปืนน้อย แลครัวเขมรซึ่งได้มานั้นแก่พระองค์ราม ให้เป็นใหญ่ในกำภูชาธิบดี ให้พญายมราช พญาโกษา อยู่ช่วยราชการกว่าจะสงบก่อนแล้วยกกลับมาถึงท้องจีนจง น้ำในคลองนั้นตื้นเรือครัวใหญ่ จะไปมไิ ดจ้ ึ่งให้ทดน้ำทั้งกลางวันกลางคืน เรือทั้งปวงจึ่งไปได้พร้อมกัน ฝ่ายจีนทั้งปวงซึ่งเคยไปมา แต่ก่อนก็สรรเสริญว่า เดือนอ้ายนี้น้ำแห้งคลองขาดทีเดียว จะไปมาได้เหมือนฉะนี้หามิได้ นี่อาศัย บุญญานุภาพพระเจ้าอยู่หัวมากนัก จง่ึ ไปมาไดส้ ะดวกในเทศกาลน้ี วนั ๒ ฯ๓๑ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื นอา้ ย ขน้ึ ๓ คำ่ ) เพลาบา่ ยถงึ ปากนำ้ พทุ ไทมาต สถติ พระราชวงั ใหน้ มิ นตพ์ ระสงฆใ์ นจงั หวดั แขวงเมอื งพทุ ไทมาตเขา้ มาถวายจวี ร แลว้ เสดจ็ ไป ณ วดั ญวน ถวายนมัสการรูปพุทธประติมากร ฝ่ายพระสงฆ์ญวนสวดมนต์ให้ทรงฟัง จึ่งมีพระราชบริหารใหโ้ อวาท โดยภาษาญวน ให้ตั้งอยู่ในวินัยสิกขา อย่าคบหาส้องเสพย์ด้วยสีกา ให้อุตสาห์ทำนุบำรุงพระศาสนา ให้รุ่งเรืองสืบไป ลุศักราช ๑๑๓๓ ปีเถาะตรีศก ถึงกรุงธนบูรีย ครั้นปีมะโรงจัตวาศก โปซุบพลายกกองทัพมาตีเมืองพิไชย ตั้งค่ายมั่น ณ วัดเอกา เจา้ พญาสรษริ พญาพิไชย ออกรบตะลุมบอนบุกบั่นกนั เป็นสามารถ พม่าต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีไป
๓๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ครั้นปีมะเส็งเบญจศก ให้สักเลกสังกัดสมพันหมายหมู่ท้องมือ ศกั ราช ๑๑๓๖ ปมี ะเมยี ฉศก วนั ๓๑ฯ๑๑๒ คำ่ (วนั องั คาร เดอื น ๑๒ แรม ๑๑ คำ่ ) เสดจ็ ยกทพั หลวงขน้ึ ไปปราบเมอื งเชยี งใหม่โดยทางสถลมารค ทรงพระทน่ี ง่ั กราบยาว ๑๓ วา พลพายสส่ี บิ ยกเป็นกระบวนพยุหบาตรา พลทหาร ๑๕,๐๐๐ ช้างเครื่อง ๑๐๘ ม้า ๑๐๐ กองทัพฝ่ายเหนือ ๑๐ หวั เมอื ง คอยรบั เสดจ็ อย่บู า้ นระแหง นายไพร่ ๒๒,๐๐๐ วัน ๔ ฯ๔๑ ค่ำ (วันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น ๔ ค่ำ) เสด็จถึงเมืองกำแพงเพชรแล้วยกไป พระตำหนักบ้านระแหง ประทับแรมสวนมะม่วง เจ้าพญายมราชผู้ว่าที่สมุหนายกเป็นทัพหน้า ตั้งอยู่ ณ เมืองเถนี จึ่งโปรดให้กองทัพหัวเมืองแลกรุงขึ้นไปเข้ากองเจ้าพญายมราชยกขึ้นไปตี เมืองเชียงใหม่ ขุนอีนทะคีรีชาวด่านระแหงนำครัวไทยมอญลาวซึ่งหนีมาแต่เมืองเมาะตะหมะ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จึ่งตรัสถามว่าพระเจดียฐ์ านอันชื่อตะเกิง ณ เมืองเมาะตะหมะนั้น ยังปรกติอยู่หรือ สมิงสุรายกลันกราบทูลว่ายังปรกติอยู่ แล้วตรัสถามถึงพระมหาธาตุยังกุ้งว่า ยอดนภศูลหักพับลงมานั้นยกขึ้นได้แล้วหรือ ทูลว่าพม่าให้ลงมาปฏิสังขรณ์สามปีแล้วยกขึ้นยังมิได้ ตรสั ถามวา่ นางรามญั บตุ รคนเขญ็ ใจอายไุ ด้ ๑๔-๑๕ ปี รอู้ รรถธรรมเกดิ ในเมอื งเมาะตะหมะยงั มจี รงิ หรอื สมิงสุรายกลันทูลว่าจริง แต่ยังมิได้ถวายขึ้นไปกรุงรัตะณะอังวะ อนึ่งเพลาบ่ายให้พญาอะไภยรณฤท ผวู้ า่ ทก่ี รมเมอื งลงไปขดั ทพั อยู่ ณ ทา่ ดนิ แดง ณ วนั ๖ ฯ๕๑ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื นอา้ ย แรม ๕ คำ่ ) เพลาเชา้ มหาวสั สาการบนั ดาลตกเปน็ มหาวไิ ชยฤกษ์ ตรสั ใหย้ กพลนกิ ายโยธาทพั สรรพดว้ ยหมเู่ สวกามาตยร์ าชบรริ กั ษก์ รรกง ทรงพงั เทพลลิ า รจนาการพดุ ตานรตั น์ บงั สรู ยฉตั รชมุ สายคลายพยหุ ะคนื สถลมารค ประทบั รอนแรมโดยระยะมารควถิ ี มาบรรลพุ ระตำหนกั ตำบลนาเพยี กเหนอื เมอื งลำปาง ณ วนั ๒ ๑ฯ ๒ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื นย่ี ขน้ึ คำ่ ) ไปประทบั รอ้ นกลางปา่ วนั ๓ ๒ฯ ๒ คำ่ (วนั องั คาร เดอื นย่ี ขน้ึ ๒ คำ่ ) เสดจ็ ถงึ เมอื งลำพนู หมน่ื ศรสี หเ์ ทพลงมา กราบทูลว่ากองทัพยังข้ามฟากเข้าไปมิได้ ด้วยพม่าขุดหลุมคอยสกัดรบตามริมน้ำ จึ่งดำรัสให้เอา ปืนจ่ารงค์ต้นกล้น ทำร้านขึ้นยิงเข้าไปให้พม่าแตกแล้วจึ่งยกข้ามเข้าไป อันจะรอรั้งอยู่ฉะนี้มิได้ เพลาบา่ ยพญาธเิ บศบดีมาทลู วา่ ยกขา้ มไปตง้ั คา่ ยได้ ๓๔ คา่ ย จง่ึ พระราชทานมา้ พระทน่ี ง่ั ใหพ้ ญาจกั รี
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๔๕ พญาสวรรค์โลกย์กับพระแสงปืนสั้น ๒ บอก เจ้าพญาศรศรีบอก ๑ ครั้นเพลา ๕ ทุ่มเศษ ลาว ๓๑ คน เป็นบ่าวแสนหนังสือมาแต่บ้านพรวนบอกให้กราบทูลว่า พม่ายกมาแต่เมืองเมาะตะหมะ เขา้ ทางบา้ นนาเกาะดอกเหลก็ ประมาณ ๒,๐๐๐ จง่ึ สง่ั ใหพ้ ระเจา้ หลานเธอรามลกั ษเ์ ปน็ แมท่ พั ถอื พล ๑,๘๓๑ ยกไปทางบา้ นจอมทอง อนึ่งเจ้าพญาสวรรค์โลกย์เอาลูกปืนทองคำคู่หนึ่งซึ่งพม่ายิงออกมาถวาย จึ่งทรงพระอธิษฐาน สาบานแล้ว สั่งให้พราหมณ์เอาไปประกาศเทวดาในบริเวณพระบรมธาตุแล้วให้ฝังไว้ จึ่งพระเสมยี นตรา เจ้าพญาสวรรค์โลกย์บอกข้อราชการสงครามลงมากราบทูล แลได้เกลี้ยกล่อมลาวมีชื่อเมืองลำพูน เชียงใหม่เป็นอันมาก พระเจ้าอยู่หัวตรัสสรรเสริญอัชฌาสัย แล้วโปรดให้พระเสมียนตราเป็น พญาอักษรวงษ์ พระราชทานเลก ๕,๐๐๐ ซึ่งคุมเข้ากองทัพนั้น วัน ๒ ๘ฯ ๒ ค่ำ (วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น ๘ ค่ำ) เพลาบ่าย พระราชฤทธานนถือหนังสือ บอกแตก่ องพญาคำแหงวชิ ติ รวา่ อยู่ ณ วนั ๔๙ฯ ๒ คำ่ (วนั พธุ เดอื นย่ี ขน้ึ ๙ คำ่ ) สวุ รรณเ์ ทวะ ธานมุ วยรามญั ใหมพ่ าครวั แตกมาถงึ บา้ นตาก ประมาณ ๕๐ คน ใหก้ ารวา่ มาแต่เมอื งเรอื งเปน็ คนชายหญงิ ประมาณ ๑,๐๐๐ ครน้ั ถงึ ทอ่ี วุ ามพมา่ ตามมาทนั ไดร้ บพงุ่ กนั จักกายวอ่ ซง่ึ เปน็ ใหญ่ มานน้ั ถกู ปนื ตาย รามญั มชี อ่ื แตกเขา้ มาทางบา้ นนาเกาะดอกเหลก็ ถงึ เมอื งตาก แลลาวฃาวพวนนาหง ก็แตกเข้าทางด่านสตอง ชายหญิง ๑๑๔ ผู้รักษาด่านสตองก็น้อยตัว บ้านนาเกาะดอกเหล็ก ก็ว่างอยู่หาผู้รักษามิได้ จึ่งให้มีหนังสือไปให้หากองพระเจ้าหลานเธอกลับมา พญากำแห่งวิชิตนั้นให้ ตง้ั อยบู่ า้ นนาเกาะดอกเหลก็ เกลย้ี กลอ่ มลาวมอญซึ่งแตกตื่นเข้าไว้ วัน ๔๑ฯ๐ ๒ ค่ำ (วันพุธ เดือนยี่ ขึ้น ๑๐ ค่ำ) พญาวิจิตรนาวิมาทูลว่าเจ้าพญา สวรรค์โลกยกข้ามฟากเข้าไปได้ ๒ ค่าย แลเจ้าพญายมราชให้ตั้งค่ายด้านรีฝ่ายตะวันตกนั้น รอบแล้ว ยังแต่ด้านสกัดฝ่ายเหนือถ้ายกไปตั้งลงเห็นจะได้รบกันสามารถ ถ้าได้ท่วงทีจะกรูเข้า เมืองทีเดียว พระเจ้าอยู่หัวไม่เห็นด้วยว่าพม่าตั้งค่ายอยู่ในเมือง ที่จะกรูเข้าไปนั้นผิดทำนอง เกลือก จะเสียทีข้าทหารจะถอยกำลังกล้า ถ้าล้อมรอบแล้วจะทำที่ไหนให้ตั้งหน้าทำเข้าไป ซึ่งค่าย ทง้ั ปวงใหข้ ดุ คลู งขวากกนั ขา้ ศกึ แตซ่ ง่ึ คา่ ยประชดิ จะไดว้ างปนื เกนหามนน้ั ใหข้ ดุ คลองเดนิ บังปืนพม่า ถ้าเห็นขดั สนใหด้ ทู ค่ี า่ ยอนั ใดซง่ึ จะเขา้ ใกลเ้ มอื งได้ ใหข้ ดุ คลองโปรยขวากสกดั ไวท้ ท่ี ง่ั ทท่ี ำเล ถา้ ขา้ ศกึ ออกไปดทู า่ ทางกใ็ หไ้ ลต่ เี อา
๓๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ วัน ๗๑ฯ๓๒ ค่ำ (วันเสาร์ เดือน ๒ ขึ้น ๑๓ ค่ำ) * เพลาย่ำรุ่งแล้ว พระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องราชวิภูษิตสำหรับราชรณยุทธ์เสร็จ เสด็จทรงช้างต้นพลายคเชรธรยรรยง ยกพลนิกรโยธา ทัพหลวงขึ้นไปเชียงใหม่ ประทับร้อน ณ พระตำหนักค่ายบอก ** ทาง ๓๕๒ เส้น แล้วยกไป คา่ ยหมน่ั รมิ นำ้ ในวนั นน้ั เพลายามเศษ โปซมุ พลามะยงุ ว่ นเจา้ เมอื งเชยี งใหมพ่ าครวั หนอี อกทางประตู ช้างเผือก ด้วยความกลัวเหยียบกันตาย ณ ประตูนั้นประมาณ ๒๐๐ เศษ เจ้าพญาสรศรี ตง้ั คา่ ยตรงประตูท่าแพนั้นออกหักค่ายได้ ๓ ค่าย *** พระเจ้าอยู่หัวทรงช้างต้นไปทอดพระเนตร ค่ายซึ่งล้อมเมืองเชียงใหม่ ตรัสว่าพม่ายกทัพหนีไปทั้งนี้เป็นความคิดฤทธิ์อุบายของผู้ใด เจ้าพญายมราชแลนายทพั ทง้ั ปวงพรอ้ มกนั ทลู วา่ อนั พมา่ ยกหนไี ปน้ี ดว้ ยเดชเดชานภุ าพพระบารมเี ปน็ แท้ อนึ่งพระสงฆ์ในเมืองเชียงใหม่บอกว่า วันเสด็จถึงเพลายามเศษ เป็นอัศจรรย์แผ่นดินในเมือง เชียงใหม่ไหว จึ่งพระราชทานฉลองพระองค์แลผ้าส่านแก่เจ้าพญายมราชผู้ว่าที่สมุหนายก แกเ่ จ้าพญาสรศรี ให้ลงพระราชอาญาเจ้าพญาสวรรค์โลกย์ด้วยมิได้ปลงใจในราชการ จำครบแล้ว เฆี่ยน ๓๐ ที แลเมื่อสำเร็จราชการครั้งนั้น ได้ปืนใหญ่ปืนน้อย ๒,๑๑๐ บอก ฆ้อง ๓๒ คู่ ม้า ๒๐๐ ไทยมอญ ๕๐ ครัว ไทยชาวสวรรคโลกย์ ๕๐๐ เศษ จึ่งตรัสว่าครัวชาว สวรรคโลกย์เป็นกบฏต่อแผ่นดินนำพม่าลงมารบ จะเอาไว้มิได้ให้คลอกเสียจงสิ้น ข้าทูลละออง พร้อมกันกราบทูลขอชีวิตไวใ้ ห้เป็นตะพนุ่ หญา้ ชา้ ง วัน ๔ ฯ๒วั๒ดพรคะ่ำศรีห(วิงัน*พ*ุธ** เดือนยี่ แรม ๒ ค่ำ ) เพลาเช้า เสด็จไปนมัสการพระพุทธ ประติมากร ณ ในเมืองเชียงใหม่ทอดพระเนตรเรือนโปมะยุง่วน อนึ่งลาวมชี อ่ื ทั้งปวงว่า แต่ก่อนมาถ้าเทศกาลเดือนยี่ น้ำ ณ แม่น้ำเมืองเชียงใหม่ลง แลบัดนี้น้ำขึ้นมาก ศอกหนึ่งเป็นอัศจรรย์ วัน ๕ ฯ๓๒ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม ๓ ค่ำ ) พระราชทานเครื่องราโชปโภคแก่ พญาจ่าบ้าน ให้ถือพระราชอาญาสิทธิเ์ ป็นพญาวิเชียนปราการครองเมืองเชียงใหม่ พญาวังพราว ผู้หลานเป็นพญาอุปราชา โพธิเป็นพญาราชวงษ์ ให้พญาลำพูนถืออาชญาสิทธิ์เป็นพญาไอยวงษ์ * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ ขน้ึ ๑๒ คำ่ ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ คา่ ยบอ่ กก *** ตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) มีข้อความแทรกเพิ่มเติ่มเข้าไปอีก ****ตลอดจนได้บอก วัน เดือน ปี ไว้ด้วย ตน้ ฉบบั เขยี นศรหี งิ เชน่ น้ี จงึ คงไวไ้ มไ่ ดแ้ กเ้ ปน็ สหิ งิ ค์
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๔๗ ครองณครหริภุนไชย ต้อมต่อผู้น้องเป็นพญาอุปราชา ให้กาวิละถืออาชญาสิทธิ์เป็นพญากาวิละ ครองณครลำปาง นอ้ ยธรรมผนู้ อ้ งเปน็ พญาอปุ ราชา นายสม นายทพิ นายลา นายคำพนั นายบนุ มาผนู้ อ้ งเปน็ พญาราชวงษ์ ให้เจา้ พญาจกั รแี ม่ทัพอยู่ช่วยจัดแจงการทั้งปวง ณ วนั ๖ ฯ๔๒ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื นย่ี แรม ๔ คำ่ ) เพลาเชา้ เสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั ลงมา ประทบั แรม นมสั การลาบชู าพระบรมธาตลุ ำปางดว้ ยดอกไมท้ องดอกไมเ้ งนิ แลว้ ไถค่ รวั ลาว ๑๗ คนถวาย วนั ๒๑ฯ๕๓ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื น ๓ แรม ๑๕ คำ่ ) พระเชยี งทองบอกขน้ึ ไปวา่ พมา่ ยกเข้า ทางด่านแมละมาว วนั ๕ ๒ฯ ๓ คำ่ (วนั พฤหสั บดี เดอื น ๓ ขน้ึ ๒ คำ่ ) เสดจ็ ถงึ เมอื งตาก จง่ึ ใหห้ ลวงมหาเทพ เปน็ แมท่ พั แลจมน่ื ไวว้ อ่ ระนาถยกไป ครน้ั เพลาคำ่ หนงั สอื บอกไปกราบทลู วา่ พมา่ ดา่ นแมล่ ะมาวนน้ั ตแี ตกไปแลว้ จง่ึ ตรสั ใหน้ ายควรนายเวรมหาดไทยลงไปบา้ นระแหงบอกกองทพั พญากำแหงวชิ ติ ร ใหเ้ รง่ ยกออกไปก้าวสกัดตีจงได้ เพลา ๒ ยามเสด็จลงเรือ หมื่นจงกรมวังล่องลงมาพบเรือนายควร ๆ กราบทูลว่าเห็นกองไฟอยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงพม่าเห่ขึ้นก็ทรงพระวิมุติสงสัย ให้นายควรนำเสด็จลงไป จึ่งเห็นเรือตะรางใส่พม่าเมืองเชียงใหม่ พระเพชรปานีคุมมาให้เห่ขานยามก็เสด็จล่องลงมา เรอื พระทน่ี ง่ั กระทบตอลม่ ลง เสดจ็ ขน้ึ ณ หาดทรายพบนายชู นายเกดละครนง่ั ผงิ ไฟ นายชถู วาย ผา้ ลายผนื หนง่ึ เชด็ พระบาทพระชงฆ์ ฝา่ ยหลวงราชโกษาเชญิ หอ่ พระภษู าซง่ึ ชมุ่ นำ้ มาคลอ่ี อก เหน็ พระภษู า ส่านองค์หนึ่งแห้งปรกติดีอยู่เป็นอัศจรรย์นัก จึ่งน้อมนำเข้ามาถวาย แล้วเสด็จมาโดยสถลมารค ถงึ พระตำหนกั สว่ รมะมว่ ง ใหป้ รกึ ษาคณุ โทษนายควร ปรกึ ษาวา่ ทรงใชไ้ ปราชการนายควรมไิ ดพ้ จิ ารณา มากราบทูล ต้องด้วยโทษ ๖ สถาน แลนายควรได้ตามเสด็จมาเป็นเพื่อนพระองค์เมื่อกันดาร เปน็ ความชอบ คณุ กบั โทษกลบลบกนั อนง่ึ นายชลู ะคอรถวายผา้ ลายไดเ้ ชด็ พระบาทพระชงฆเ์ มอ่ื กนั ดาร เปน็ ความชอบใหพ้ ระราชทาน เงนิ ๕ ตำลงึ วนั ๗ ๔ฯ ๓ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๓ ขน้ึ ๔ คำ่ ) เพลาเชา้ พระราชทานเงนิ แกร่ าษฎร ชาวบ้านใหญ่น้อยสิ้นทั้งบ้านเสมอกันคนละ ๑ สลึง อนึ่งตรัสเห็นว่า พญานนบูรียหลบหลีกย่อท้อแก่ข้าศึก ให้ลงพระอาญาเฆี่ยน ๑๐๐ ที จำครบลงไป ณ กรงุ ประหารชวี ติ เสยี
๓๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ วัน ๕ ฯ๘ ๓ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๘ ค่ำ) เสด็จไปนมัสการพระพุทธปฏิมากร ณ วัดกลางด้วยเขาแก้ว จึ่งตรัสถามพระสงฆ์ว่าพระผู้เป็นเจ้าจำได้หรือไม่ เมื่อโยมอยู่บ้านระแหง โยมยกระฆังแก้วขึ้นชูไว้กระทำสัตยาธิษฐานเสี่ยงบารมีว่า ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศกสมโพธิญาณ ในอนาคตเป็นแท้ ข้าพเจ้าตีระฆังแก้วเข้าบัดนี้ ให้แตกแต่จำเพาะแต่ที่จุกจะได้ทำเป็นพระเจดีย ฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นอธิษฐานแล้วตีเข้า ระฆังก็แตกเป็นอัศจรรย์ดุจอธิษฐานนั้น พระสงฆถ์ วายพระพรวา่ จรงิ ดงั พระราชโองการ วัน ๕ ๙ฯ ๓ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๙ ค่ำ ) เสด็จโดยทางสถลมารค ๕ เวร ถึงกรุงธนบูรีย์ ครั้น ณ วัน ๕๑ฯ๕๑ ค่ำ ( วันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น ๑๕ ค่ำ ) * พญายมราชบอก เข้ามากราบทูลขอกองทัพไปช่วยเห็นกำลังพม่าหนักมา จึ่งตรัสให้พระเจ้าลูกเธอกับพญาธิเบดบดี เป็นแม่ทัพถืออาชญาสิทธิ์ ยกไปตั้งค่ายรับ ณ เมืองราชบูรีย ขณะนั้นบอกส่งพญาอไภยรณฤท พญาเพชรบรู ยี ์ หลวงสมบดั ธบิ าล หลวงสำ่ แดงฤทธา ๔ นายแตกพมา่ เขา้ มา แตพ่ ญาสนุ ธรพพิ ทิ หลวงรักษ์มนเทียน พญาสุพรรณบูรีย์ พญาการจ์น์บูรีย์ พญานะครไชยศรี ๕ นายยังมิพบ ทรงพระกรุณาใหจ้ ับบตุ รภรรยาจำไว้ ให้ทำราชการแก้ตัวในกองพญาธเิ บดบดี แลว้ ใหพ้ ระเจา้ หลานเธอ รามลกั ษถอื อาชญาสทิ ธ์ิ คมุ ไพร่ ๑,๐๐๐ หนึ่งไปช่วยราชการพญาธิเบดบดี คิดอ่านเอาชัยชำนะจงได้ วนั ๒ ฯ๕๓ คำ่ (วนั จนั ทร์ เดอื น ๓ แรม ๕ คำ่ ) เพลาเชา้ ทรงพระพโิ รธพระเทพโยธาวา่ มไิ ดเ้ อาใจใสร่ าชการ จง่ึ ทรงพระแสงดาบประหารศรี ษะเสยี รมิ ปอ้ มวไิ ชยประสทิ หน้าพระตำหนักน้ำ วัน ๓ ฯ๖๓ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ) เมืองณะครไชยศรีบอกมากราบทูลว่า ตำรวจหลงั ถอื ตราพระราชสหี ์ไปเมอื งสพุ รรณบรู ยี ์ ถึงตำบลบ้านภูมพบพมา่ ประมาณ ๓๐ ควบมา้ ไล่เอาจึ่งวิ่งหนี กระทอผ้าซึ่งใส่ตราพระราชสีห์นั้นตกหาย พม่าเข้าล้อมบ้านภูมอยู่ แต่นายพูน นายษา นายแกน ๓ คนหนไี ด้ นายพรหมนน้ั หายไปไมพ่ บกนั พระเจา้ อยหู่ วั จง่ึ สง่ั พญาพไิ ชยไอยสวรรค์ ผวู้ า่ ทโ่ี กษา ใหย้ กกองทพั ๑,๐๐๐ หนึ่ง สรรพด้วยเครื่องสรรพยุทธ์ยกไปเมืองณะครไชยศรี อนึ่งพม่ายกมาแต่ปากแพรกประมาณ ๒,๐๐๐ เศษ เข้ามาตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านบางแก้ว พระเจ้าหลานเธอกับพญาธิเบดบดีให้หลวงมหาเทพเป็นกองหน้า คุมไพร่ ๑,๐๐๐ ยกไปตั้งประชิด * พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๔๙ โอบพม่าบางแก้วด้านตะวันตก ทัพพระเจ้าหลานเธอพลทหาร ๑,๐๐๐ ตั้งประชิดด้านตะวันออก พระเจ้าลูกเธอกับพญาธิเบดบดีตั้งมั่นอยู่โคกกะต่าย วัน ๑๑ฯ๑๓ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๓ แรม ๑๑ ค่ำ) ศักราช ๑๑๓๖ ปีมะเมียฉศก เพลาเชา้ ได้มหาพิไชยฤกษ์อันเป็นศุภมงคล สรรพด้วยโยธาทหารนายไพร่ ๘,๘๓๖ เสด็จโดยทาง สถลมารค ๑ ทรงพระที่นั่งกราบยาว ๑๓ วา พร้อมด้วยดั้งกันนำตามกระบวนแห่กึกก้องด้วยเสียง แตรสังข์ แซ่สนั่นมหาอรรณพนทีคลีพ่ ลพยุหยาตรา ไปประทับ ณ พระตำหนักค่ายท่าจีนคอยนำ้ ขน้ึ ครั้นเพลาห้าทุ่มให้เคลื่อนกองทัพไปเข้าที่เสวย ณ วัดกลาง ค่ายบ้างกุ้ง เพลาบ่ายโมงเศษถึงค่ายมั่น เมืองราชบูรีย์ ตรัสให้พญาวิจิตรนาวีไปสืบข่าวราชการ ณ ค่ายบ้างแก้ว แล้วเกณฑ์ทแกล้ว ทหารยกหนนุ ไป วนั ๓๑ฯ๓๓ คำ่ (วนั องั คาร เดอื น ๓ แรม ๑๓ คำ่ ) พญาวจิ ติ รนาวมี ากราบทลู วา่ ตั้งค่าย ล้อมพม่าไว้รอบแล้ว ครั้นเพลา ๓ ยามเศษ เสด็จยกจากค่ายมั่นเมืองราชบูรีย์ไปทางวัดอาระยกิ ประทับร้อนพระตำหนักค่ายศาลาโคกกะต่าย แล้วประทับแรมพระตำหนักค่ายวัดเขาพระ วัน ๕ ๑ฯ ๕ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้นค่ำ) เสด็จไปทอดพระเนตรค่ายพม่า บ้างแก้วถึงค่ายประชิด ครั้นเพลาบ่ายหลวงบำเรอภักดี หลวงราชเสนา พญารามัญใหม่มาเฝ้า จึ่งตรัสสั่งให้ตั้งค่ายรักษาสระน้ำเขาเชิงงุ้มไว้ อนึ่งขุนปลัดเมืองราชบูรีย์บอกมาว่า พม่ายกมา ณ ประตูสามบาล ดา่ นจ้าวขว้าวจับชาวด่านไปได้สองคน จะยกไปหรือจะตั้งอยู่ประการใดมิแจ้ง พระเจ้าอยู่หัวจึ่งสั่งพระเจ้าลูกเธอ พญาราชาเสรีถ์ให้ยกลงไปรักษาค่ายเมืองราชบูรีย์ แล้วให้รื้อ เอาค่ายเปล่าลงไปตั้งริมน้ำให้สิ้น ให้ปักจงมาก แลเจ้าพญาอไภยรักษาสระน้ำเขาชั่วพราน ตั้งอยู่ ๓ ค่าย เพลาค่ำพม่าเข้าตีครั้งหนึ่งแล้วแตกถอยไป คืนวันนั้นพม่าเข้ารบคร ๒ ครั้งเป็นสามารถ จับได้เป็นสามคน เจ็บป่วยลำบากไปเป็นอันมาก ครั้นตรัสทราบจึ่งให้เตรียมทหารจะเสด็จยกไปช่วย พญาเทพว่อระชุน หลวงกำเกีงรณภบทูลห้ามไว้จะอาสาออกไป จึ่งทรงพระกรุณาให้คุม ทหารกองนอกกองในอาจารย์ทนายเลือก ๗๔๕ ยกเป็นกองโจรไปช่วยเจ้าพญาอินท์อะไภยในวันนั้น ๑ ควรจะเป็นทางชลมารค ๒ ความในพระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ระบวุ า่ พมา่ ยกออกมาตถี งึ สามครง้ั
๓๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ อนึ่งพม่าให้การว่า นายทัพซึ่งยกไปตีค่ายสระน้ำนั้นชื่อ เนฆะโย ถือพล ๑,๐๐๐ ซึ่ง ตั้งค่ายอยบู่ างแกว้ นน้ั ชอ่ื ยยุ ยองโบ ทพั หนา้ คน ๑,๐๐๐ เศษ ซง่ึ ตง้ั คา่ ยอย่ปู ากแพรกนน้ั ชอ่ื สะแคง นะระหน่อง ทัพใหญ่เป็นน้าเจ้าอางวะ คนประมาณ ๓,๐๐๐ เศษ ยังยกหนุนมาทางทวายนั้น คนประมาณ ๑,๐๐๐ หนง่ึ นายทพั ขา้ พเจา้ มไิ ดร้ จู้ กั ชอ่ื จง่ึ ให้พระณรงคว์ ชิ ดิ ไปตดั เอาศรี ษะพมา่ ซง่ึ ถกู ปนื ตาย ณ คา่ ยตำบลชอ่ งพราน ไปเสยี บไวห้ นา้ คา่ ยประชดิ ใหร้ อบ แลว้ สง่ั ใหป้ ระกาศนายทพั บา้ งแกว้ วา่ ใหข้ งั พมา่ ไวก้ วา่ จะโซจง่ึ เอาขา้ วลอ่ เอา ถา้ พมา่ เรรวนออกจากคา่ ยอยา่ ใหช้ งิ เอาคา่ ย แตเ่ จา้ หนา้ ท่ี นน้ั ใหร้ บั รองไวจ้ งหยดุ ถา้ พมา่ หนไี ปไดจ้ ะเอาโทษถงึ สน้ิ ชวี ติ ครน้ั เพลา ๙ บาท พมา่ ออกมาหนา้ คา่ ยหลวงมหาเทพ ทหารยงิ ปนื ระดมไปกก็ ลบั เขา้ คา่ ย ที่ถูกปืนตายเป็นอันมาก เพลาราตรีนั้นพม่าเข้าตีค่ายสระน้ำล้อมกองรามัญเข้าไว้ พญาธิเบดบดี ตีเข้าไปกันเอารามัญออกมาได้ เสียขุนณรงในที่รบ พม่าตีหลังหักออกมาได้รบกันเป็นสามารถ กองทัพพญาธิเบดบดีต้านทานมิได้ก็แตกถอยมา ครั้นพระเจ้าอยู่หัวตรัสทราบ จึ่งดำรัสให้เจ้าพญา ณครสวรรค์เร่งยกไปช่วยในราตรีวันนั้น จึ่งรู้ข่าวว่าพญารามัญหนีออกมาได้ เจ้าพญานครสวรรค์ พญาธเิ บดบดจี ง่ึ ปรกึ ษากนั บอกสง่ หลวงบำเรอ่ ภกั ดี หลวงกำเกงี พญารามญั ลงมา ณ พระตำหนกั ค่ายโคกกะต่าย จึ่งให้มีตราขึ้นไปให้พญาณครสวรรค์ พญาธิเบดบดีถอยลงมาตั้งค่ายรับอยู่ นอกค่ายล้อมบางนางแก้วประมาณ ๔ - ๕ เส้น วัน ๑๑ฯ๑๔ ค่ำ (วันอาทิตย์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ) พญาศรีราชเดโช พญาอางทองบอก มาว่ายกไปตั้งอยู่หนองฃ่าว พม่าปากแพรกยกมาได้รบกันเป็นสามารถ จับได้สองคนถูกปืนตาย ลำบากไปเปน็ อนั มาก ลกู ดนิ นน้ั นอ้ ยลงขอพระราชทานหนนุ ไปอกี จง่ึ สง่ั ใหต้ อบไปวา่ ถา้ เจา้ พญายมราช ผู้ว่าที่สมุหนายกถึงจะให้ยกหนุนขึ้นไป จึ่งเอาลูกดินที่เจ้าพญายมราชนั้นเถิด อนึ่งเมืองคลองวาร บอกสง่ เมง็ เขา้ วา่ พมา่ เมอื งมฤทธิ ๕๐๐ ยกมาตบี ้านทับสะแก ได้ต้งั คา่ ยรับไว้แตว่ า่ ข้าพเจ้ากรมการ น้อยตัวนักขอกองทัพไปช่วย จึ่งให้มีตอบว่าราชการติดพันอยู่ ให้ผู้รั้งกรมการรับรองไว้จงได้ ในทันใดนั้นหลวงมหาแพดมากราบทูลว่า สมเด็จพระพันปีหลวงนิพพานใน วัน ๓ ๖ฯ ๔ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๖ ค่ำ) จุลศักราช ๑๑๓๖ ปีมะเมียฉศก เพลา ๒ ยาม ๘ บาท อนึ่งไทยเชลยพม่าสองคนหนีออกมาจากค่ายบางแก้วให้การว่า อดข้าวอยู่ ๗ วัน ได้กินแต่เนื้อช้าง เนอ้ื มา้ อนั นำ้ ยงั มอี ยู่ แลปนื เกนหา้ มยงิ เขา้ ไปถกู พมา่ ตายเปน็ อนั มาก พมา่ ขดุ หลมุ อยู่ จง่ึ พระราชทาน มา้ ใหพ้ ญารามญั ๑๐ มา้ ยกไปลาดตระเวนหลังเขา ๔๐๐ สรรพด้วยปืนหอกพร้อมกัน
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๕๑ ขณะนั้นเจ้าพญายมราชผู้ว่าที่สมุหนายกมาแต่เมืองเชียงใหม่ พระราชทานพระแสงแล พระธำมรงค์เพชรองค์หนึ่ง ให้ถือพระอาชญาสิทธิ์ ยกไปตั้งค่ายมั่นอยู่เหนือปรางค์วัดเขาพระรายกัน ขึ้นไปถึงหลังค่ายล้อมบางแก้ว อย่าให้พม่าวกหลังได้ แล้วให้หลวงบำเรอภักดี พญารามัญคุมทหาร กองนอกแตง่ เปน็ สองกองไปคอยดอ้ มมองจบั พมา่ ซง่ึ มาตกั นำ้ ณ หนองจงได้ ครน้ั เพลา ๕ ทมุ่ เศษ พมา่ ยกออกมาแหกหนา้ ทพ่ี ญาพพิ ทั โกษา พญาเพชรบ์ รู ยี แลว้ กลบั เขา้ ไป เพลา ๓ ยามออกตรงหนา้ ที่ หลวงราชนิกุนแลนายสุดจินดาถูกปืนตายลำบากกลับเข้ามาค่าย วนั ๕๑ฯ๕๔ คำ่ ( วนั พฤหสั บดี เดอื น ๔ ขน้ึ ๑๕ คำ่ ) เสดจ็ ทรงมา้ พระทน่ี ง่ั ไปหยดุ อยู่ หลังคา่ ยหลวงมหาเทพ ให้จักกายเทวะร้องเข้าไปว่า พม่าไทยรามัญออกมาเถิด ทรงพระกรุณา จะปล่อยไปให้สิ้น พม่านายทัพค่ายล้อมออกมาร้องภาษาพม่าว่า ท่านล้อมไว้ครั้งนี้จะหนีไป ให้รอดจากความตายหามิได้ แล้วแต่คิดเอ็นดูไพร่พลทั้งปวงเป็นอันมากนัก จะพลอยตายด้วย ถึงตัวจะตายก็ตามกรรมเถิดแต่จะขอพบตะละเกลดน้อยหนึ่ง จึ่งสั่งให้ตะละเกล็ด พญารามขี่ม้า กั้นร่มขึ้นไปเจรจาด้วยพม่า ๆ เขียนหนังสือใส่ใบตาลขดให้ออกมาเป็นภาษาภูกาม แปลเป็นไทย ไดค้ วามวา่ พระเจา้ ชา้ งเผอื ก ณ กรงุ ศรอี ยทุ ธยามบี ญุ ญาบารมมี ากนกั พระราชอาณาจกั รผ่านแผ่ไปใน ชมภูทวีปทั้งปวง ฝ่ายพระเจ้าปราสาททอง ณ กรุงรัตน์อางวะก็มีบุญญาบารมีเป็นอัศจรรย์ พระมหากษัตริย์ทั้งสองฝ่ายเป็นเวรแก่กัน ใช้ให้ข้าพเจ้าเป็นนายทัพมากระทำการสงครามด้วยท่าน อัครมหาเสนากรุงเทพ ฯ แลข้าพเจ้าเสียท่วงทีแก่ท่าน ๆ ล้อมวงไว้ จะพากันออกไปก็มิได้ ครั้นจะหนีก็ขัดสนนัก อันจะถึงแก่ความตายบัดนี้ไซร้ แต่ข้าพเจ้าหามิได้สิ้นทั้งไพร่พลเป็นอันมาก การสงครามแห่งพระมหากษัตริย์ทั้งสองจะสัมฤทธิ์หามิได้ ฝ่ายท่านอัครมหาเสนาก็ถือน้ำพระพัฒสจั า แลพระราชกำหนดกฎหมายพิไชยสงคราม ฝ่ายข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ดุจถือดาบแลไม้คอนไว้ สองมือ อันสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสบัณฑูรเทศนาไว้ว่า อันจะได้เกิดมาเป็นชีวิตแต่ละคนนี้ยากนัก ไฉนข้าพเจ้าจะได้ถือน้ำพระพัฒสัจา ไว้แต่ปัญญาท่านอัครมหาเสนานั้นเถิด จึ่งสั่งให้เขียนหนังสือ ตอบไปเปน็ อกั ษรไทย อกั ษรรามญั ฉบบั หนง่ึ วา่ ถ้าออกมาถวายบังคมเราจะช่วย ถ้ามิออกไป จะฆ่าเสียให้สิ้น ในวนั นน้ั เจา้ พญาศรศรียกกองทพั มาแต่เมอื งพศิ นโุ ลก พระราชทานรม่ แพรแตง่ ระยา้ ดำปิดทอง แล้วให้ยกขึ้นไปดูการ ณ ค่ายล้อมบางแก้ว อนึ่งพญาเพชรบูรียมิเป็นใจด้วยราชการว่า ถ้า พม่ารบออกมาได้รับรองมิหยุดจะหนีข้ามเข้าไป จึ่งดำรัสให้มัดมือไพล่หลังไปตระเวนรอบทัพ
๓๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ แล้วประหารชีวิตเสียบไว้หน้าค่าย ขณะนั้นหมื่นศรีสะห์เทพ พญารามัญใหม่กราบทูลว่าขึ้นไป เจรจาด้วยพม่าว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยกพลพยุหโยธาขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว มะยุง่วน โปซุบพลาหนีไปได้ โปซุบพลาฆ่ามะยุง่วนเสีย สวามิภักดิ์เข้ามาเป็นข้า ทรงพระกรุณาเลี้ยงไว้ ถ้าพม่าตัวนายจะออกไปถวายบังคมเราจะช่วย พม่าตะละเกล็ดพึ่งมาเป็นข้าพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ใหมอ่ ยจู่ ะไวใ้ จมไิ ด้ จะใครพ่ บนายทพั นายกองผใู้ หญจ่ ง่ึ นำไปใหพ้ บ พระเจา้ หลานเธอ พญายมราช ผู้ว่าที่สมุหนายกว่า ถ้านายมึงมาถวายบังคมกูจะช่วย ถ้ามิออกมากูจะฆ่าเสีย พม่าตัวนายว่า ขอให้ยับยั้งอยู่แต่ในเพลาพรุ่งนีส้ ามโมงเช้า จะขอปรึกษากันก่อน วัน ๗ ฯ๒๔ ค่ำ (วันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๒ ค่ำ ) เจ้าพญาศรศรีถวายบังคมลายกไปทำการ ล้อมพม่า ณ เชิงงุ้ม ขณะนั้นพระกุยบูรีย พระคลองวารบอกมาว่า พม่ายกมาตีเมืองบางสพาน ประมาณ ๔๐๐ เศษได้รบกันสามารถเหลือกำลัง พม่าแหกค่ายหนีออกไปแล้วเผาเมือง บางสภารเสีย ยกไปทางประทวี จึ่งทรงร่างตราตอบไปถึงพญาศรีธรรมาธิราชแลผู้รักษากรุงว่า ให้พระกุยบูรีย์ พระคลองวารรักษาด่านทางเบื่อหนองเบื่อบ่อน้ำที่ทางข้าศึกจะมานั้นอย่าให้กินได้ แลว้ เอาพมา่ เมอื งเชยี งใหมซ่ ง่ึ จำไว้ ณ คกุ ๓ คน ทวายคนหนง่ึ พมา่ ซง่ึ ปลน้ คา่ ยเจา้ พญาอนิ ทอ์ ะไภย ชั่วพรานคนหนึ่ง ลงพระราชอาญาตัดเท้าแลมือเสียเขียนหนังสือแขวนคอไป ให้บอกแก่เจ้านาย มันให้เร่งยกมาอีก แลเสด็จไปทอดพระเนตรค่ายเจ้าพญาอินท์อไภย พระโหราธิบดีซึ่งตั้ง รักษาน้ำอยู่หนองหลวง พญาบำเร่อภักดิ์ พญารามัญใหม่จับพม่ามาถวายสองคนให้การว่า มาแต่ปากแพรกส่งลำเลียง แลพม่าซึ่งตั้งอยู่ปากแพรกนั้น ๒๐๐ เศษ* ซึ่งยกเข้ามาตั้งอยู่ เขาเชิงงุ้มนั้น ๔ กอง จึ่งให้หลวงภักดีสงครามทหารกองนอก พระเทพว่อระชุนข้าหลวงมีชื่อ ซึ่งรักษาค่ายอยู่หนองหลวง ๕๐๐ ยกไปเป็นกองโจร แลถมห้วยหนองบึงบางที่ไกลริมน้ำเสีย ถ้าถมมิได้ให้เอาเปลือกไม้เบื่อเมาแลอาศพใส่ลงอย่าให้เป็นกำลังข้าศึกได้ อนึ่งให้ก้าวตีสกัดลำเลียง พมา่ อยา่ ใหส้ ง่ กนั ถงึ ครน้ั เพลาประมาณ ๒ ยาม พมา่ ทำคา่ ยวหิ ลน่ั เขา้ ปลน้ คา่ ยเจา้ พญาสรศรี ทหารในคา่ ยยงิ ปนื ถกู พมา่ ตายปว่ ยลำบากเปน็ อนั มาก รวนลงมาถงึ คา่ ยจมน่ื ศรสี รรกั ษแ์ ลว้ ถอยเขา้ ไป ครน้ั เพลาสามยามเศษ ออกเลาะคา่ ยเจา้ พญาณครสวรรคอ์ ยชู่ า้ จนรงุ่ พมา่ ถกู ปนื ตายเปน็ อนั มาก * พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบบั กรมราชบัณฑิต พิมพเ์ มอ่ื ร.ศ. ๑๓๑ ว่า ๓,๐๐๐ เศษ
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๕๓ ครั้น ณ วัน ๔ ๖ฯ ๔ ค่ำ ( วันพุธ เดือน ๔ แรม ๖ ค่ำ ) เพลาเช้า เสด็จขึ้นไปช่วยสั่งให้ ทหารอาจารยฝ์ พี ายทนายเลอื กเขา้ รบ ถา้ เหน็ หนกั ไหนจง่ึ เสดจ็ ไปชว่ ย ครน้ั เพลาสองโมงเหน็ วา่ ขา้ ศกึ ถอยแล้วก็เสด็จมา ณ พระตำหนักค่ายโคกกะต่าย ขณะนั้นเกิดพายุมหาเมฆตั้งมืดไปทั้งสี่ทิศ เดชะอานุภาพทรงพระอธิษฐาน มหาเมฆเกลื่อนไปไม่ตกที่ค่ายพม่า วงพาดเกลือ่ นไปตกที่อื่น วัน ๖ ๘ฯ ๔ ค่ำ (วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๘ ค่ำ) พม่านายทัพค่ายวงพาดใช้พม่าตัวนาย ออกมา ๗ คน เจรจาความเมอื งดว้ ยพระเจา้ หลานเธอวา่ ถา้ กรณุ าชว่ ยทลู ขอชวี ติ ไวไ้ ดจ้ ะชวนกนั ออกมาถวายบงั คม จง่ึ สง่ั ใหว้ า่ แกพ่ ระพมา่ วา่ เราจะทลู ขอใหร้ อดชวี ติ จงพากนั ออกมาเถดิ ใหป้ ลอ่ ย เขา้ ไป ๒ คน เอาไว้ ๔ คน ๑ วา่ ครง้ั กอ่ นลวงวา่ จะออกมา ใหเ้ ราเทจ็ ตอ่ พระเจา้ อยหู่ วั ครง้ั หนง่ึ แลว้ ถ้าเท็จอีกครั้งนี้เราจะช่วยไม่ได้ ครั้นเพลาเที่ยงกองทัพพญานครราชศรีมา พญาละว้า ๑,๙๐๐ ยกมาตั้งอยู่โคกกระต่าย ตรัส คาดโทษว่ามาช้ากว่ากองทัพทั้งปวง พญานครราชศรีมากราบทูลว่า เลกขึ้นหัวเมืองซึ่งประทาน ให้ขุนหมื่นกรมม้าเกณฑ์เข้ากองทัพเชียงใหม่แล้วหนีมา ข้าพเจ้าจับตัวมาด้วยชายหญิง ๙๖ คน ตรัสว่าเลกหนีตาทัพจะเอาไว้มิได้ ให้ตัดศีรษะเสียให้สิ้นทั้งบุตรภรรยา ณ ริมทางนอกค่ายโคกกะต่าย อนึ่งพระเจ้าหลานเธอรามลักษ พญาพิพัด หลวงมหาเทพมัดเอาอุตะมะสีห์จ่อจั่วแลพม่าตัวนาย ๑๓ คน มาถวายให้การว่า ขา้ พเจา้ ปรกึ ษาพร้อมกนั จงึ่ เอาเครื่องศตั ราวุธออกมาถวายบังคม ถา้ ทรง พระกรุณาพระราชทานชีวิตแล้วจะขอถือน้ำพระพัฒ ตรัสว่ากูจะให้จำจองไว้กว่าจะได้ครอบครัวมา ถ้าเอ็งสวามิภักดิ์จริง แม้นสำเร็จราชการจะให้รั้งเมืองอางวะ แล้วให้พญารามัญข้าหลวงมีชื่อ คุมขึ้นไปร้องเรียกพม่านายทัพให้ออกมา พม่านายทัพนายกองซึ่งอยู่ในค่ายนั้นว่าจะประชุม ปรึกษากันก่อน แลอุตะมะสิงห์จ่อจั่วออกมาเจรจาด้วยนายทัพนายกองครั้งนั้น จะได้ไหว้ผู้ใด หามิได้ มาถวายบังคมแต่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว จึ่งตรัสสรรเสริญว่ามิเสียทีเป็นทหาร น้ำใจองอาจนัก วนั ๗ ๙ฯ ๔ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๔ แรม ๙ คำ่ ) พญานครราชศรมี ายกทพั ขน้ึ ไปตง้ั คา่ ย ประชิดล้อมพม่า ณ เขาเชิงงุ้ม ให้ปลูกร้านปืนใหญ่ขึ้นยิง ในวันนั้นดำรัสให้มหาดเล็กคุมเอา อตุ ะมะสงิ หะจอจั่วไปเรียกงุยอคงหวุ้นพม่าในทัพค่ายวงพาดว่าออกมาเถิด พระเจ้าทรงธรรมไม่ฆ่าเสีย ๑ ควรจะเปน็ เอาไว้ ๕ คน
๓๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ พระราชทานเสื้อผ้าแลเครื่องอุปโภคแก่เราเป็นอันมาก อย่าสงสัยเลย งุยอคงหวุ้นร้องตอบออกมาว่า เราให้ไปทั้งนายแลไพร่หลายคน ผู้ใดจะได้มาบอกว่าตายเป็นประการใดหามิได้ แต่ตัวมายืนร้อง อยู่ฉะนี้จะเชื่อยังมิได้ อุตะมะสิงหะจอจั่วว่าพม่าซึ่งออกมาแต่ละคน ๆ นั้น พระเจ้าทรงธรรม เอาตวั ไว้ ถา้ หนหี ายใหใ้ ช้ ๑๐ คน ถา้ แลเราจะใหเ้ ขา้ ไป ทา่ นมใิ หอ้ อกมากด็ ฆี า่ เสยี กด็ เี ราจะได้ พม่าที่ไหนมาใช้ พระเจ้าทรงธรรมก็จะฆ่าเสีย เหตุฉะนี้จึ่งมิให้เข้าไป งยุ อคงหวุน้ นายทพั รอ้ งตอบวา่ ปลอ่ ยเขา้ มาเถดิ ถา้ เราฆา่ เสยี แลมใิ หอ้ อกไปกด็ ี ใหอ้ าวธุ ซง่ึ ลอ้ มอยนู่ ส้ี งั หารชวี ติ เราเถดิ อุตะมะสิงหะ จอจั่วจึ่งให้แยละแยของจอเข้าไปในค่ายว่าทรงพระเมตตาหาฆ่าเสียไม่ งุยอคงหวุ้นว่าผู้น้อยแลไพร่ ไม่ตาย อันตัวเราเป็นผู้ใหญ่เห็นจะตายมั่นคง แล้วพากันกลับมากราบทูล จึ่งตรัสว่าจะคิดอ่านให้ ออกมาเห็นไม่ได้หรือ ทูลว่าเห็นขัดสนอยู่แล้ว ถ้าเอาปืนลูกไม้ยิงซ้ำเข้าไปอีก พม่ากลัวนักเห็น จะออกมาสน้ิ จง่ึ ตรสั วา่ อนั ฆา่ ใหต้ ายนน้ั งา่ ย แต่จะเป็นบาปกรรมหาวิเศษไม่ ครั้นเพลาทุ่มเศษสั่งให้คุมอุตะมะสิงหะจอจัวซึ่งอยู่ ณ ตะรางมาเฝ้า ตรัสถามว่ากองทัพพม่า ซึ่งมารบอยู่แต่เท่านี้แล้วหรือ ๆ ว่าจะยกหนุนลงมาอีก อุตะมะสิงห์จอจัวกราบทูลว่าทัพอะแล่ร่วนกี้ เป็นวงศ์กับเจ้ามังหลอง พระเจ้าอังวะตั้งให้เป็นทัพหลวง ตั้งอยู่เมืองเมาะตะหมะ ถือพล ๕,๐๐๐ ยงั จดั เมอื งอยู่ ถา้ มองจา่ ยดิ นายทพั ปากแพรกบอกขน้ึ ไปประการใด เหน็ วา่ อะแสร่ ว่ นก้ี จะยกหนนุ ลงมา ครั้นได้ทรงฟังจึ่งทรงแต่งร่างตราให้หากองทัพ แล้วปรึกษาพญายมราช ๆ ปรึกษาว่าอันทัพ เมืองฝ่ายใต้ ๔ เมืองนั้นระยะทางไกลนักจะมามิทัน ถึงว่าอะแส่ร่วนกี้จะยกหนุนมาแต่ทัพ เมืองเหนือกับกองทัพซึ่งรบอยู่บัดนี้เห็นว่าจะต้านทานไว้ได้พระเจ้าอยู่หัวก็เห็นด้วย แต่ว่าเมืองฝ่ายใต้ ยงั มไิ ดท้ ำการสงครามกบั พมา่ บดั นข้ี า้ วฉางหลวงขดั สน ใหเ้ กณฑเ์ อาขา้ วสารเมอื งละคร ๖๐๐ เกวยี น เมอื งพทั ลงุ ไชยยา จนั ทบรู รณ์ ๔๐๐ เกวยี น ถา้ ขดั สนใหส้ ง่ เงนิ คดิ ราคาขา้ วเปลอื กเกวยี นละ ห้าตำลึง ข้าวสารเกวียนละสิบตำลึงเข้ามาตามรับสั่ง แล้วให้หมายบอกนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ถา้ พมา่ เลกิ หนไี ปอย่าให้ตาม เกลือกจะซุ่มซ่อนพลไว้โจมตี ด้วยข้าศึกมิได้แตกฉาน ถ้าจะแต่ง กองทัพตามให้ก้าวสกัดเอาปากแพรกทีเดียว วนั ๕๑ฯ๔๔ คำ่ (วนั พฤหสั บดี เดอื น ๔ แรม ๑๔ คำ่ ) อาจารยท์ หารพญารามญั คมุ เอา อุตะมะสีห์จ่อจั่วกลับมาเฝ้ากราบทูลว่า งุยอคงหวุ้นว่าท่านจะเข้ามามัดก็มัดเอาเถิด จะฆ่าก็ฆ่าเสียเถิด
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๕๕ จะนิ่งตายอยู่ในนี้แล้ว จึ่งทรงแต่งเป็นหนังสืออุตะมะสิหะจ่อจั่วเขียนอักษรพม่าใจความว่า ถ้า จะออกมาถวายบังคมก็ให้เร่งออกมา ถ้ามิออกมาพระเจ้าทรงธรรมจะแต่งทหารเข้าไปฟันเสียให้สิ้น แลว้ เสดจ็ ไปยง้ั อยนู่ อกคา่ ยวงพาด ใหพ้ มา่ ถอื หนงั สอื เขา้ ไปถงึ งยุ อคงหวนุ้ ครั้นเพลาเย็น งุยอคงหวุ้นนั้นส่งสิ่งของคนทั้งปวงออกไปสิ้นแล้วยังแต่ตัว ว่าพรุ่งนี้ อุตะมะสิหะจอจั่วมารับข้าด้วย วนั ๖๑ฯ๕๔ คำ่ (วนั ศกุ ร์ เดอื น ๔ แรม ๑๕ คำ่ ) ใหค้ มุ อตุ ะมะสหิ ะจอจว่ั ขน้ึ ไป กองทหารหวนุ้ แลพม่ามีชื่อตัวนายออกมา ๑๒ คน จึ่งพระราชทานข้าวปลาอาหารเลี้ยงหน้าพระที่นั่งอิ่มหนำ ทุกคนแล้ว กองทหารหวุ้นกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามาทำการสงครามเสียท่วงทีล้อมขังไว้ได้ถึงแก่ ความตายสน้ิ ขาดจากเปน็ ขา้ พระเจา้ องั วะ บดั นพ้ี ระราชทานชวี ติ ไว้ ขา้ พเจา้ จะขออาสาทำราชการ กว่าจะสิ้นชีวิต แล้วทูลว่าจะขอพม่านอกวงค่าย ๒ คนกับข้าพเจ้า ๒ คน จะเข้าไปว่ากล่าว เอาตวั งยุ อคงหวนุ้ ออกมาใหไ้ ด้ พระเจา้ อยหู่ วั กต็ รสั บญั ชาตาม ครน้ั เพลาบา่ ยไดต้ วั งยุ อคงหวนุ้ แลพมา่ มีชื่อตัวนายกับหญิงสองคนออกมาจากค่าย ประทานโภชนาหารเลี้ยงดูแล้ว งุยอคงหวุ้นทูลถวาย สง่ิ ของทง้ั ปวง ตรัสว่าเราทำการสงครามจะปรารถนาเอาทรัพย์สินสิ่งใดหามิได้ ตั้งพระทัยบำรุง พระศาสนาให้คนทั้งปวงอยู่ในสัตย์ในธรรม แลลอ้ มพมา่ บางนางแกว้ ไวค้ รง้ั นน้ั เดอื นสาม ขน้ึ ๑๓ คำ่ พมา่ อดขา้ วหนอี อกจากคา่ ยทกุ วนั มาถงึ เดอื นส่ี แรม ๑๕ คำ่ ออกมาสน้ิ ทง้ั สามคา่ ย เปน็ ๑,๓๒๘ คน ได้สุวรรณหิรัญวัตถาแลสรรพศัสตราวุธนี้เป็นอันมาก เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรในค่ายพม่า สง่ั ใหก้ องทพั พญารามญั ๑,๐๐๐ หนง่ึ เขา้ อยู่ ใหแ้ หแ่ ลรอ้ งเรยี กภาษาพกุ ามใหเ้ พอ่ื นกนั พะวงอยแู่ ลว้ จง่ึ จะคิดอ่านล้อมพม่าเขาเชิงงุ้มอีกกองหนึ่ง แลบ่อน้ำในค่ายซึ่งพม่าขุดไว้หาน้ำมิได้ ก็บันดาล มีน้ำขึ้นเป็นอัศจรรย์ วัน ๗ ๑ฯ ๕ ค่ำ (วันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้นค่ำ) ศักราช ๑๑๓๗ ปีมะแมสัปตศก ใหพ้ ระอะนชุ ดิ ราชาเป็นนายทัพหนึ่ง ยกไปตีพม่าปากแพรกทางริมน้ำฟากตะวันตก หลวงมหาเทพ กองหนึ่งยกไปทางริมน้ำฟากตะวันออก ครั้นเพลาประมาณ ๒ ยามเศษ พม่าเขาเชิงงุ้มยก ค่ายปิหลั่นออกมา ๑,๐๐๐ เข้าปล้นค่ายมหาส่งคราม กองหน้าได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ พมา่ เอาคบเผาคา่ ยขน้ึ คนในคา่ ยถอยยน่ ออกจาคา่ ย พญายมราชผวู้ า่ ทส่ี มหุ นายกไปชว่ ยฟนั ทหารเสยี สองคนคืนชิงเอาค่ายได้ แลหน้าที่พญาพิจิตรมหาดเล็กนั้น พม่าเอาค่ายปิหลันแลแตะทับขวากเข้า กรกู นั ออกมาแหกคา่ ยตอ้ งปนื เจบ็ ลำบากลม้ ตายมาก กลบั เขา้ ไปอยปู่ ระมาณ ๒ - ๓ วนั พมา่ กแ็ ตก
๓๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ออกจากค่าย กองทัพไทยไล่ฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก จะคุมกันเข้ามิได้เรี่ยรายไปจนปากแพรก ปะกองทพั ไทยตง้ั สกดั อยกู่ ็ไล่ขยี้แทงฟันตายเป็นอันมาก ที่เหลือไปแว่นแคว้นกรุงอังวะได้น้อยนัก ครั้นพระเจ้าอยู่หัวมีชัยวิชิต เสด็จกลับยังกรุงธนบูรีย [ จบเล่ม ๒๙ ] แล้วจึ่งตั้ง พระเจ้าลูกเธอเป็นกรมขุนอินทรภีทักษ์ พระเจ้าหลานเธอรามลักษเป็นกรมขุนอนุรักษ์สงคราม แล พระราชทานบำเหน็จแก่ข้าทูลละอองโดยความชอบ แล้วให้แต่งการถวายพระเพลิงสมเด็จพันปีหลวง กรมพระเทภามาตุ ครั้น ณ เดือน ๑๐ ดำรัสให้เจ้าพญาสรศรีเป็นแม่ทัพยกไปกระทำเมืองเชียงแสนได้ กองทัพ ยงั มกิ ลบั ขณะนน้ั พระเจา้ องั วะให้อะเซร่ ว่ นกถ้ี อื อาชญาสทิ ธ์เิ ปน็ จอมพลทพั หลวง ตะแคงมะระหนอ่ ง เป็นทัพหน้ายกตามมอญขบถเข้ามาทางระแหง ทัพหลวง ณ บ้านกงธานี แล้วแบ่งทหาร เขา้ ทำการตดิ เมอื งสวรรคโ์ ลกย์ เมอื งโศกโขไทย เมอื งพไิ ชย เมอื งพศิ นโุ ลกย์ กองทพั กรงุ ตา้ นทาน ก็แตกพ่าย จึ่งดำรัสให้เจ้าพญาจักรขี ึ้นไปจัดการป้องกันเมืองพิศนุโลกย์ ฝ่ายเจ้าพญาศรศรีรู้เหตุนั้น ก็ถอยทัพมาจากเมืองเชียงแสน ออกตั้งรับทัพพม่า ณ บ้านไตรยปาแฝกได้รบกันเป็นสามารถ พา่ ยเขา้ เมอื งพศิ นโุ ลกย์ กองทพั พมา่ ก็ติดตามเข้ามาตั้งค่ายประชิด ครน้ั ณ วนั ๓๑ฯ๑๒ คำ่ (วนั องั คาร เดอื นย่ี แรม ๑๑ คำ่ ) จลุ ศกั ราช ๑๑๓๗ ยกพยหุ โยธา ทพั หลวง พลทหาร ๑๒,๒๗๐ สรรพดว้ ยเครอ่ื งสรรพาวธุ ทรงพระทน่ี ง่ั กราบยาว ๑๓ วา เสดจ็ โดย สถลมารค ๑ แรมพระตำหนกั หนา้ ฉนวนวงั หลวง หมน่ื ศกั บรบิ าลเอาขา่ วราชการมากราบทลู วา่ พญา โศกโขไท พญาพิไชยสงคราม พญาอักษรวงษ์ ซึ่งตั้งประชิด ณ บ้านกงธานีนั้นถอยแล้ว ณ วัน ๓ฯ๓๓ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ) อัศจรรย์ท้องฟ้ามืดคลุ้มไป ไม่เห็น ดวงอาทิตย์สิ้นวันยังค่ำ ณ วนั ๗ ฯ๗๓ คำ่ (วนั เสาร์ เดอื น ๓ ขน้ึ ๗ คำ่ ) ถงึ พระตำหนกั คา่ ยปากนำ้ พง่ึ ฟากตะวนั ออก ให้พญาราชสุภาวดียกขึ้นไปตั้งค่าย ณ บ้านบางซายรายตามริมน้ำขึ้นไป ให้เจ้าพญาอินทอะไภย ขึ้นไปตั้งค่ายบ้านท้าวโรง พญาราชภักดีตั้งค่ายบ้านกระดาษ จมื่นเสมอใจราชตั้ง ณ วัดจุลามุนี ๑ ทถ่ี กู ควรเปน็ ชลมารค
พระราชพงศาวดารกรงุ สยามฯ ๓๕๗ ตระเวนบรรจบกัน พญาณครสวรรค์ตั้งค่ายรายชักปีกกากันแต่วัดจันโอบค่ายพม่าขึ้นไปถึงเมือง พิศนุโลกย์ แล้วให้พระศรีไกรลาดคุมไพร่ ๕๐๐ ทำทางหลวงแต่พระตำหนักค่ายปากน้ำพึ่ง ขึ้นไปถึงเมืองพิศนุโลกย์ วัน ๓๑ฯ๐๓ ค่ำ (วันอังคาร เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ) หลวงกำเกีงไปสืบข่าวราชการมา กราบทลู วา่ พม่ารายลงมาฟากตะวันตกรบค่ายพญาราชภักดี ทำอาการประหนึ่งว่าจะตั้งค่ายประชิด แล้วเลาะล่วงค่ายเจ้าพญาอินทอะไภยมาถึงค่ายพญาราชสุภาวดี ครั้นเพลาค่ำถอยไป จึ่งดำรัสให้ พญาวิจิตรนาวี หลวงกำเกีง หลวงรักษาโยธา หลวงภักดีสงคราม คุมเอาปืนใหญ่รางเกวียน ๓๔ บอก ขึ้นไปค่ายหลวงบางซาย ครั้นเพลาค่ำพม่ามาตั้งค่ายประชิดลงหน้าวัดจุลามุนฟี ากตะวนั ตก ๓ คา่ ย จึ่งให้พญารัตน์พิมล พญาธรรมไตรยโลกย์ พญาชลบูรีย์อยู่รักษาค่ายปากน้ำพึ่ง ณ วัน ๕๑ฯ๒๓ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ) ยกพลพยุหบาตราทัพหลวงขึ้นไป ประทับ ณ ค่ายมั่นวัดบางซายฟากตะวันออก ครั้นเพลาค่ำพม่าเข้ารบค่ายเจ้าพญาอินทอะไภย ฟากตะวันตก จง่ึ ใหห้ ลวงกำเกงี ยกเอาเกนหดั ขน้ึ ไปชว่ ย ๒๐๐ พมา่ เลกิ ไป ครน้ั เพลาเชา้ เสดจ็ ขา้ มไป ทอดพระเนตรค่ายพระโหราธิบดีฟากตะวันตก เห็นผิดด้วยพระราชดำริ ตั้งอยู่แต่ริมน้ำ เอาตน้ ไมใ้ หญไ่ วน้ อกคา่ ย ถา้ ศตั รเู ขา้ มาแฝงตน้ ไมย้ งิ กไ็ ด้ ขน้ึ ตน้ ไมย้ งิ ปรำลงมากจ็ ะเสยี ทว่ งที สั่งให้ รื้อเสียขยับถอยโอบต้นไม้ใหญ่เขา้ ไวใ้ หก้ วา้ งขวางออกไป ในวนั นน้ั พญารามญั วงษข์ น้ึ ไปตง้ั คา่ ยประชดิ พมา่ เหนอื เมอื งพศิ นโุ ลกยฟ์ ากตะวนั ออก พมา่ ออกรบ ถูกปืนตายลำบากไปเป็นอันมาก รามัญตั้งค่ายลงได้ เพลาค่ำเจ้าพญาศรศรีขุดกำแพงเมือง ฟากตะวนั ออก ไปตง้ั คา่ ยประชดิ พมา่ ๆ ยกออกรบชงิ เอาคา่ ยได้ เจา้ พญาสรศรยี กหนนุ เขา้ ไปฟนั ทหาร เสียคนหนึ่งรบเอาค่ายคืนได้ พม่าล้มตายลำบากไปเป็นอันมากแตกถอยเข้าค่าย แต่บรรดาค่ายราย ซง่ึ ประชดิ กนั อยนู่ น้ั พมา่ ขดุ อโุ มงคเ์ ขา้ มารบทกุ คา่ ย ฝา่ ยทหารไทยกข็ ดุ ออกไปรบในอโุ มงค์ พมา่ ลม้ ตาย เป็นอันมาก เจ้าพญาจักรี ให้ทหารตัดศีรษะพม่าหามมาถวายเป็นอันมาก จึ่งพระราชทาน ปืนใหญ่รางเกวียน ๒๐ บอกขึ้นไปยิงทลายค่าย อนึ่งเจ้าพญานครสวรรค์แต่งไปลาดตระเวน จับได้ไทยเชลยพม่า ๒ คน ให้การว่ายกมาครั้งนี้หมื่นหนึ่ง ทัพหลวงอะแซ่ร่วนกี้ตั้งอยู่กงธานี ทัพหน้ามาติดเมืองพิศนุโลกย์ ตะแคงมะระหน่องคนประมาณ ๖,๐๐๐ ตแคงตองอูคนประมาณ ๗,๐๐๐ เป็นนายทัพพม่า ทำการไปขัดสนนักเห็นอาการจะหนี
๓๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๒ ณ วัน ๓ ฯ๒๓ คำ่ (วนั องั คาร เดือน ๓ แรม ๒ ค่ำ) เพลาสี่ทุ่ม ทัพหลวงขึ้นไปพระตำหนัก ค่ายมั่นวดั จนั ครน้ั เพลา ๑๑ ทมุ่ พญานครสวรร พญานครราชศรมี า พญายมราช พระพไิ ชยสงคราม แลนายทัพซึ่งเข้าประชิดค่ายวัดจันนั้น ก็จุดปืนใหญ่ทลายค่ายพม่าตามสัญญา แล้วยกออกปล้น ทุกหน้าที่ ค่ายพม่าหนุนกันทุกหน้าที่มารบจนเพลาจวนรุ่งจะเอามิได้ นายทัพทั้งปวงก็ถอยเข้าค่ายสิ้น ณ วัน ๔ ฯ๓๓ ค่ำ (วันพุธ เดือน ๓ แรม ๓ ค่ำ ) ตรัสปรึกษาว่าทัพหลวงตั้งมั่นอยู่นี้ เห็นจะช้าราชการ จะถอยลงไปตั้งอยู่ถ้าโรงแล้ว จะเกณฑ์กองทัพไปฟากตะวันตกให้ประชิดโอบหลัง พมา่ ไว้ มุขมนตรีทั้งปวงก็เห็นด้วย เพลา ๔ ทุ่มเศษจึ่งถอยทัพหลวงมาตั้งตามดำรินั้น วัน ๕ ๔ฯ ๓ ค่ำ (วันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ) ให้หากองเจ้าพญานครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ ณ วดั จนั แลพระโหราธบิ ดี พญากลางเมอื งซง่ึ ตง้ั วดั บางซาย ยกมาแลว้ ใหพ้ ญามหามนเทยี น เปน็ ทพั หลวงถือพลทหาร ๕,๐๐๐ ให้เจ้าพญาณครสวรรเป็นทัพหน้า หลวงกำเกงี หลวงรักษ์โยธา คุมทหารกองนอกกองในกองเกนหัด ๓,๔๐๐ พระราชทานอาชญาสิทธิ์ให้ไปตั้งค่ายรายซุ่มขึ้นไป ดูเชิงข้าศึก ถ้าไม่ลงมาติดจึ่งยกขน้ึ ไปติดเข้า แล้วสั่งพระราชสง่ ครามให้ลงไปเอาปนื พญาราชปกั ษี ปนื ฉดั ไชย ณ * วัน ๗ ฯ๖๓ ค่ำ (วันเสาร์ ** เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ) พญาโศกโขไทยบอกมาให้กราบทูลว่า พม่าตั้งค่าย ณ บ้านกง ๕ ค่ายแล้วยกข้ามน้ำไปฟากตะวันตก จึ่งตรัสว่าพม่าจะไปวกหลัง ตีเสบียง ให้ยกเอากองพญาราชภักดีไปช่วยราชการพญาราชาเสรีฐ ณ ค่ายเมืองณครสวรรค์ กบั หมน่ื พพิ ทั โกษา ให้พญาธรมายกหนนุ เจา้ พญานครสวรรคข์ น้ึ ไปประชดิ พมา่ ณ วัดจันฟากตะวนั ตก ครน้ั เพลายำ่ ฆอ้ ง เจา้ พญาศรศรใี หเ้ อาไมท้ ำคบ เอาผา้ ชบุ นำ้ มนั ยางจดุ เพลงิ ใสใ่ นบอกปนื เขา้ ไปเผา ค่ายพม่า ซึ่งประชิดเมืองฟากตะวันตกไหม้ขึ้นค่ายหนึ่ง หอรบสองหอ พม่าออกมาดับไฟ ยิงตายลำบากไปเป็นอันมาก วัน ๖๑ฯ๓๓ ค่ำ ( วันศุกร์ เดือน ๓ แรม ๑๓ ค่ำ *** ) ขุนพัศดีถือหนังสือบอกมากราบทูลว่า พม่ายกเข้ามาตีเมืองกุย เมืองปราน ๆ ต้านทานมิได้จึ่งเข้ามาตั้งอยู่ฉะอ่ำ แล้วพม่าถอยไป พระเจา้ หลานเธอกรมขนุ อะนรุ กั ษส์ งครามไดแ้ ตง่ ทหารมาขดั ทพั อยชู่ อ่ งแคบ จง่ึ ตรสั ให้เจา้ ประทมุ ไพจติ ร * พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ เมอื งนนบรุ ี ** พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ) วา่ วนั องั คาร *** ควรเปน็ แรม ๑๒ คำ่ เพราะแรม ๑๓ คำ่ เปน็ วนั เสาร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433