Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บวรธรรมบพิธ รวมภาพ

บวรธรรมบพิธ รวมภาพ

Published by Naresuan University Archive, 2015-12-18 02:39:49

Description: บวรธรรมบพิธ รวมภาพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสังคปรินายก

Keywords: สมเด็จพระญาณสังวร,สมเด็จพระสังฆราชสังคปรินายก

Search

Read the Text Version

บวรธรรมบ ิพตร 50 ละเอยี ดลออ เอือ้ เฟอื้ เม่ือเสด็จออกบิณฑบาต หากทรงพบสามเณรกำ�ลังออก บิณฑบาตสวนทางกับพระองค์ ก็จะประทานอาหารที่รับมา ใสบ่ าตรสามเณร บางครงั้ เมอื่ กลบั ถงึ กฏุ แิ ลว้ กจ็ ะแบง่ สว่ นหนง่ึ ไว้แค่พอฉัน อีกสว่ นหนงึ่ ใหล้ กู ศิษยน์ �ำ ไปถวายเณร ด้วยเคยมีพระปรารภอยู่บ่อยคร้ังว่า “สงสารเณร! เกรงว่าจะบิณฑบาตไดไ้ มพ่ อฉัน” และมักจะทรงยา้ํ ใหพ้ ระช่วย ดแู ลเณร เพราะ “สามเณรไม่มีกจิ นิมนต์ ไม่มรี ายได”้ คราวหน่งึ เมื่อเสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงเหน็ เด็ก ผู้ชายคนหน่ึงนอนคุดคู้อยู่ท่ีข้างกำ�แพงพระวิหารพระศาสดา เม่ือถึงท่ีประทับ จึงโปรดให้ศิษย์รีบไปดูและนำ�ตัวมาท่ีตำ�หนัก เพื่อสอบถามถึงความเป็นมา คร้ันได้ความว่าเป็นเด็กท่ีหนี ออกจากบา้ น กไ็ ดป้ ระทานความชว่ ยเหลอื เปน็ เบอ้ื งตน้ และให้ คนพาไปมอบแกเ่ จา้ หน้าที่ตำ�รวจเพื่อให้ความช่วยเหลอื ต่อไป อกี ครงั้ หนง่ึ เปน็ ชว่ งทปี่ ระเทศก�ำ ลงั ประสบภาวะวกิ ฤติ เศรษฐกจิ ครง้ั ใหญ่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงปฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ชน่ เคย ออกพระต�ำ หนักให้คนเขา้ เฝ้าวนั ละสองช่วงเวลา

ประชาชนมากหน้าหลายตาทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ไม่เคยทรงเลือก บวรธรรมบ ิพตร 51ปฏิบัติ บางคนเสร็จธุระแล้วก็กลับ บางคนก็อยู่รอ น่ังฟังธรรมสากจั นาจนหมดเวลา หากกเ็ ปน็ ทส่ี งั เกตของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ อยหู่ ลายวนัมชี ายหนมุ่ คนหนง่ึ นง่ั อยทู่ เ่ี ดมิ ไมเ่ คยปรปิ ากวา่ มาดว้ ยธรุ ะอนั ใดเม่ือถึงเวลาท่ีคนกลับ เขาก็กลับ รุ่งข้ึนบ่ายอีกวัน ก็มาแล้วก็กลับไป จนวันหนึ่งพระองค์จึงได้ตรัสถามถึงกิจธุระ ก็ได้รับค�ำ ตอบว่า “ไมม่ ธี รุ ะอนั ใดหรอก พระคณุ เจา้ แตเ่ พราะตกงานอยู่จึงไม่รู้จะไปไหน เห็นหลายคนเดินมาท่ีน่ี ไม่รู้ว่ามาทำ�ไมเลยตามมาดวู า่ ท�ำ อะไร เมอื่ เหน็ แลว้ กไ็ มร่ วู้ า่ จะท�ำ อะไร แตก่ ลบัไปแลว้ มันสบายใจ” “เออหนอ ดีนะ ท่ีน่ียังไม่ทันจะทำ�อะไร ก็สบายใจเสียแล้ว” เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงรำ�พึงกบั องค์เอง

สตั วน์ ้อยใหญพ่ ลอยไดร้ บั พระเมตตา การเดินสำ�รวจตรวจตรารอบพระอาราม เป็นวัตรปฏิบัติที่ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงยึดถือมาโดยตลอด ด้วยทรงเห็นว่า เป็นทั้งการออกกำ�ลังกาย และเป็นการทรงงานไปพร้อมกัน คือเป็นโอกาสท่ีจะได้ตรวจดูเสนาสนะสงฆ์ อาคารสถานที่ เพื่อทราบความเป็นอยู่และสภาพท่ัวไปของวัด สิ่งที่ทรงพบเห็นเป็นประจำ�ระหว่างการตรวจตรา ก็คือ สุนัข จนเป็นที่โจษจันกันท่ัวไปว่า วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดที่มีสุนัขมาก บ้างเป็นสุนัขท่ีมีเจ้าของ บ้างจรจัด บางตวั น่ารกั ขเี้ ลน่ บางตัวเกรอะกรัง ขเี้ รื้อน ครง้ั ใดทพี่ บสนุ ขั ขเ้ี รอ้ื น กม็ กั จะตรสั ถามหาเจา้ ของวา่ อยคู่ ณะใด กฏุ ไิ หน เมอ่ื ทรงทราบแลว้ กจ็ ะโปรดใหบ้ อกแกภ่ กิ ษุ สามเณรในท่นี น้ั ให้ช่วยดูแลใหด้ ี ท้ังยงั ทรงกระเซา้ วา่ “คนตง้ั เยอะแยะยงั ดแู ลได้ สนุ ขั ตวั เดยี วท�ำ ไมดแู ลไมไ่ ด”้ ในคราวเย็นวันหนึ่ง เป็นทผ่ี ิดสังเกตวา่ ไม่มีสนุ ัขอยู่ เพ่นพ่านเหมือนเคย จึงตรัสถามบรรดาศิษย์ที่ตามเสด็จ “สุนัขหายไปทางไหนกันหมด” ต่างคนต่างเลิ่กล่ักละล่ําละลัก กราบทลู “ทางวดั ใหเ้ ทศบาลมาเกบ็ ... เอาไปเลย้ี ง” เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ จงึ มีรบั สง่ั ว่า “เออ! ก็บ้านเขาอยู่ท่ีนี่ จะให้เขาไปอยู่ท่ีไหน ไปเอาคืนมา” เท่าน้ันเอง วันรุ่งขึ้น เทศบาลจึงต้องนำ�สุนัข ของวัดมาคนื ไมค่ นื เปลา่ ด้วยนะ ยงั แถมมาให้อกี ตั้งหลายตัวบวรธรรมบ ิพตร 52

คราวหนง่ึ เมอื่ เสดจ็ ไปประทบั ตา่ งวดั หลงั จากเสวยภตั ตาหารในบาตรตามปกติ บวรธรรมบ ิพตร 53แล้ว ศิษย์คนหน่ึงก็นำ�บาตรไปล้าง ล้างแล้ว... ก็เทนํ้าล้างบาตรซึ่งยังมีเศษอาหารเหลอื อยลู่ งในโถสว้ ม เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ สงั เกต... ดว้ ยนา่ จะมบี างอยา่ งผิดปกต.ิ .. จึงตรัสถาม เอานาํ้ ล้างบาตรไปเทที่ใด? คร้นั ผู้เปน็ ศิษยท์ ลู ตอบตามความเป็นจริง ก็ไดร้ ับการต�ำ หน.ิ .. ตรงไปตรงมา... รนุ แรง “เจ้านี่! ทีหลังอย่าทำ�อย่างน้ี มันไม่ควรและสกปรก ควรเอาไปเททีท่ ส่ี ะอาด เผือ่ ว่าพวกมดแมงเขาจะไดก้ นิ เศษอาหาร จำ�ไว้! ทีหลังอยา่ ท�ำ ” เรอื่ งน้ี คนทวั่ ไปอาจเห็นวา่ เปน็ เรือ่ งธรรมดา แต่ความท่เี จ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นผมู้ คี วามละเอยี ดอ่อน และช่างสงั เกต แทบทุกการกระทำ�ของคนรอบขา้ ง จึงอยู่ในสายตาโดยตลอด และถา้ ทรงเหน็ วา่ สงิ่ ใดไมเ่ หมาะไมค่ วรแลว้ แม้เป็นเพียงเร่ืองเล็กๆ ก็ไม่เพิกเฉย แต่จะทรงแนะนำ�และตักเตือนด้วยพระเมตตา

บวรธรรมบ ิพตร 54 อ่อนนอ้ ม ถอ่ มพระองค์ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเปน็ กรรมการมหาเถรสมาคมมาตงั้ แต่ ทรงดำ�รงสมณศักด์ิที่พระสาสนโสภณ และทรงเป็นต่อเน่ือง มาต้ังแต่มีคณะกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรก จนถึงวาระ สดุ ท้ายแห่งพระชนมช์ ีพ ในทป่ี ระชมุ กรรมการมหาเถรสมาคม พระสาสนโสภณ มักจะเลือกท่ีน่ังท้ายๆ แถวอยู่เสมอ กระทั่งครั้งหนึ่ง สมเด็จ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺ ายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม ทรงสพั ยอกด้วยพระเมตตาวา่ “เจ้าคณุ สานง่ั ไกลนัก กลวั จะเป็นสมเดจ็ หรอื ไง” ในดา้ นการส่ังสอนธรรม เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ กไ็ ม่ได้ แสดงพระองค์ว่าเป็นผู้รอบรู้เช่ียวชาญ ไม่ว่าจะด้านปริยัติ หรือด้านปฏบิ ัติ หากมกั จะถ่อมพระองค์เสมอ โดยตรัสว่า “แนะนำ�ในฐานะผ้รู ่วมศึกษาปฏิบตั ดิ ว้ ยกนั ” บางครง้ั ทรงรา่ งพระธรรมเทศนาในงานส�ำ คญั ๆ แลว้ มกั จะรับสั่งกับพระผู้คอยถวายงานว่า “เอาไปดูซิ! มีอะไรจะ เพ่ิมเติมบ้าง” ด้วยทรงให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่น ไมไ่ ด้ถอื พระองค์วา่ ทรงรอบรู้เสยี ทกุ เรอ่ื ง บางคร้ังยงั ทรง เตอื นผู้ปฏิบตั ิสนองงานดว้ ยวา่ “อย่าแสดงตนวา่ รดู้ ี หรอื อวดรู้ คนอ่นื เขาจะหม่นั ไสเ้ อา” กลา่ วคอื แมบ้ างเรอื่ งจะเปน็ เรอื่ งจรงิ ทรี่ อู้ ยู่ แตก่ ห็ าควรทจี่ ะพดู กับทุกคนไม่ บางเรื่องหากไมถ่ กู ด้วย ‘กาละ’ คือ เวลา และ ‘เทศะ’ คือ สถานทแี่ ลว้ กไ็ มค่ วรพดู

บวรธรรมบพติ ร 55



อดทนอดกลนั้ เป็นทส่ี ุด บวรธรรมบ ิพตร 57ในวัยเยาว์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นเด็กข้ีโรคแมเ้ มอื่ บรรพชาแลว้ ความเจบ็ ปว่ ยกย็ งั ปรากฏอยเู่ นอื งๆแต่ด้วยความอดทน สามเณรเจริญ คชวัตร ยังคงประคับประคองผลการเรียนให้อยู่ในลำ�ดับท่ีหน่ึงมาได้โดยเกอื บตลอด ตอนเรยี นบาลที วี่ ดั เสนหา กต็ ดิ วณั โรคมาจากพระครสู งั วรวินยั (อาจ) เจา้ อาวาส เนอื่ งจากการเฝา้อุปัฏฐากพระอาจารย์อย่างใกล้ชิด ซ่ึงต่อมาไม่นานทา่ นพระครฯู กถ็ งึ แก่มรณภาพดว้ ยโรคน่นั เอง ถงึ คราวท่ีมาอยวู่ ัดบวรนเิ วศวิหารแล้ว ความเจบ็ ไขก้ ไ็ มเ่ คยไดห้ า่ งหาย ฝา่ ยสามเณรเลา่ กไ็ มย่ อมเปน็ฝ่ายพ่ายแพ้แก่สังขารเช่นกัน คงมุมานะต่อการเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมขาดสอบแม้ว่าวันน้ันจะต้องใช้ผ้าสักหลาดพันรอบอกหลายช้ัน เพ่ือไม่ให้เกิดอาการหนาวสั่นในเวลานง่ั สอบ ครั้งหน่ึงขณะที่ยังทรงเป็นพระมหาเปรียญพำ�นักอยู่ที่กุฏิหอเขียว ข้างตำ�หนักบัญจบเบญจมาที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ สุขภาพท่ีย่ําแย่และอิดโรยของภิกษุหนุ่ม ชวนให้สมเด็จฯ ท่านถึงกับ‘ปลงตก’ วันหนึ่งจึงได้ตรัสเชิงกระเซ้าด้วยพระเมตตาและหว่ งใยวา่ “ถ้าคุณมหาตาย กันจะทำ�ศพใหเ้ อง”

ดว้ ยจิตคารวธรรม ความเคารพในพระธรรมของเจ้าพระคุณ แมจ้ ะไหวว้ านผใู้ ดใหน้ �ำ ของไปใหแ้ ก่ ‘พระลกู วดั ’ สมเด็จฯ ก็คือ ทรงเคารพต่อพระคัมภีร์ หรือ ‘เณร’ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กจ็ ะตรัสวา่ และหนังสือธรรมะทุกประเภท ทั้งหมดนี้ ให้นำ�ไปถวาย ท้ังนี้ก็ด้วยเคารพในความเป็น จะต้องเก็บหรือวางไว้ในท่ีสูงอันควรเท่าน้ัน ผมู้ ีศลี อนั บวรของภกิ ษุสามเณร หากเหน็ ใครวางหนงั สอื ธรรมะไวบ้ นพน้ื กจ็ ะทรง นอกจากนแ้ี ลว้ พระองคย์ งั ปฏบิ ตั ติ อ่ ทักทว้ งทันที “นั้นพระธรรม อยา่ วางกบั พื้น” ภิกษุสามเณรด้วยการให้เกียรติเสมอ ไม่เคย แมเ้ มอื่ ถงึ คราวจ�ำ เปน็ ทจี่ ะตอ้ งรอ้ื ทงิ้ ท่ีจะเรียกใช้ประหน่ึงว่าเห็นเป็นเด็กหรือคน สมุด หนังสือ หรือเอกสารที่ไม่ใช้แล้ว ก็จะ รบั ใช้ หากส่ิงใดทพี่ อจะทำ�ไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง รับสั่งถามว่าเป็นกระดาษธรรมะหรือเปล่า กจ็ ะทรงท�ำ เอง ถงึ เปน็ พระภกิ ษทุ ม่ี หี นา้ ทป่ี ฏบิ ตั ิ ถ้าเป็นกระดาษท่ีเขียนธรรมะก็จะโปรดให้เผา รับใช้โดยตรงอยู่แล้ว ก็จะทรงเรียกหาหรือให้ เสีย ไม่ให้ทิ้งลงถังขยะ ด้วยเห็นว่าพระธรรม ช่วยเฉพาะในเรื่องที่จำ�เป็นเท่าน้ัน โดยเคย เป็นของสูง ไม่พึงถูกเหยียบยํ่า หรืออยู่ในที่ รับส่ังวา่ อนั ไม่ควร “พระเป็นผู้มีศีลเสมอกัน จึงเกรงใจ ณ พระตำ�หนักรับแขก เจ้าพระคุณ ไม่อยากใช้ใคร” สมเด็จฯ ได้ทรงเตือนผู้ปฏิบัติงานถวายอยู่ ส�ำ หรบั ความเคารพในพระกรรมฐาน เสมอว่า “หนังสือธรรมะให้มีไว้ อย่าได้ขาด” เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะถวายความเคารพ เพ่ือในเวลาแจกของที่ระลึก จะเป็นเหรียญ อย่างสูง ไม่ว่าพระกรรมฐานรูปน้ันจะมีอายุ หรือวัตถุมงคลใด ผู้รับก็จะได้รับแจกหนังสือ พรรษาเท่าไร ส่วนพระเถระผู้มีอายุพรรษา ธรรมะควบค่กู ันไปด้วย โดยทรงอธบิ ายวา่ มากกว่า พระองค์ก็จะถวายความเคารพ “ทน่ี แ่ี จกพระธรรม ไมไ่ ดแ้ จกของขลงั ” ตามพระวินัยตามควรแก่โอกาสและสถานท่ีบวรธรรมบ ิพตร 58 ส่วนความเคารพในพระสงฆ์นั้น หากประทับน่ังอยู่ก็จะโปรดให้ศิษย์จัดอาสนะ เหน็ ไดช้ ดั จากพระจรยิ วตั รทที่ รงมคี วามเคารพ ถวายให้พระเถระรูปนั้น และทรงกราบด้วย ในพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระองค์ เคารพ ความเคารพเสมอ ในความเปน็ ผมู้ ศี ลี ของพระภกิ ษสุ ามเณรทว่ั ไป

บวรธรรมบพติ ร 59

บวรธรรมบ ิพตร 60 บรรลุธรรม บรรลุสันติ ภาพของเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทเี่ จนตาคนทัว่ ไป คือ การทรงไว้ ซ่ึงพระอาการสงบนิ่ง สำ�รวมดว้ ยสายพระเนตรท่ที อดลงเบอื้ ง ล่างอยู่เป็นนิจ ในการเสด็จไปทรงปฏิบตั ิศาสนกจิ ในท่ีตา่ งๆ ไมว่ า่ จะ โดยรถยนต์หรือโดยเคร่ืองบิน ก็มักจะประทับหลับพระเนตร ในอาการของการเจริญสมาธิ เว้นไว้แต่ว่าจะทรงอ่านหนังสือ หรอื เอกสาร คราวหน่ึงของการเสด็จโดยรถยนต์ไปทรงปฏิบัติ ศาสนกิจ รถยนต์ท่ีประทับเกิดพลิกคว่ํา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซง่ึ กำ�ลงั เจริญสมาธอิ ยนู่ น้ั ทรงลมื พระเนตรขึน้ ดว้ ยพระอาการ สงบ และเสด็จออกจากรถยนต์ พร้อมรับส่ังถามทุกคนด้วย ความหว่ งใยวา่ “มใี ครเปน็ อะไรไหม” พรอ้ มทง้ั ยงั ทรงด�ำ เนนิ ไป ประทับรถตำ�รวจนำ�ขบวนเสด็จ เพ่ือไปประกอบศาสนกิจ ตามท่ไี ดร้ บั นิมนต์ไวแ้ ล้ว

อีกคร้ังหน่ึง เม่ือเสด็จจากวัดญาณสังวรารามไปทรง บวรธรรมบ ิพตร 61ปฏิบัติศาสนกิจในจังหวัดตราดโดยเฮลิคอปเตอร์ ขากลับเฮลิคอปเตอร์ท่ีประทับเกิดภาวะฉุกเฉินขณะลงจอด ด้วยบรรยากาศท่ีโพล้เพล้ นักบินจึงเข้าใจว่าสระน้ําภายในวัดน้ันเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ในขณะที่ฐานสกีของเครื่องแตะผิวน้ําจนนํ้าไหลท่วมเข้ามาในห้องโดยสารแล้วน้ัน ทันใดน้ันนักบินได้ใช้ความพยายามดึงเครื่องกลับข้ึนมา และน�ำ ลงจอดอยา่ งปลอดภยั ในทสี่ ดุ จนเปน็ ทอ่ี กสน่ั ขวญั หายทงั้ แกผ่ ตู้ ดิ ตามและผทู้ ม่ี ารอรบั เสดจ็ ศษิ ยท์ ตี่ ามเสดจ็ คนหนง่ึ เลา่ วา่ ดว้ ยความกลัวและตกใจ ตนจึงไม่รู้ว่าจะทำ�ประการใด คงได้แต่น่ังจ้องพระพกั ตรเ์ จ้าพระคณุ สมเด็จฯ อยูอ่ ยา่ งน้นั ในขณะทพ่ี ระองค์ทา่ นทรงประทบั หลับพระเนตรอยดู่ ว้ ยอาการสงบ ตราบเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดท่ีสนามแล้ว จึงลืมพระเนตรข้นึ แล้วรบั สงั่ ถามด้วยนํ้าเสยี งปกติวา่ “ถงึ แล้วหรอื !!”ละแลว้ โลกธรรม ๘ การได้รับสถาปนาข้ึนที่ ‘สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก’ สมณศักด์ิสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยเป็นเรื่องท่ีพุทธศาสนิกชนชาวไทยปีติยินดีย่ิง แต่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กลับทรงอุเบกขาย่ิง แม้ถึงวันที่เสด็จเข้าพระบรม-มหาราชวังเพ่ือรับการสถาปนา พระองค์ก็ทรงครองจีวรและเสด็จออกจากพระตำ�หนักท่ีประทับ ด้วยความเป็นปกตินิง่ สงบ ไม่แตกตา่ งจากทุกวนั ที่ทรงออกไปท�ำ พระภารกจิ อ่ืนๆ ชื่อเสยี ง เกยี รติยศ ลาภสกั การะ... ไมไ่ ดต้ อ้ งการ... จงึ ไมน่ �ำ พาใหล้ ุ่มหลงและยดึ ตดิ... ไมไ่ ดป้ รารถนา... จึงไมไ่ ดย้ ินดีรับร้เู พยี งว่าภาระหนา้ ท่ีเทา่ น้นั ทีเ่ พม่ิ ขึน้ ...หน้าที่ ‘พระของประชาชน’

สบื สาน งานการศึกษา และสงเคราะห์บวรธรรมบ ิพตร 62

บวรธรรมบพติ ร 63

บวรธรรมบพติ ร 64

ธำ� รงประเพณีปฏบิ ัติ บวรธรรมบ ิพตร 65ธรรมเนียมปฏิบัติท่ีสืบทอดกันมาของวัดบวรนิเวศวิหารตง้ั แตค่ รงั้ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงผนวชและทรงเป็นเจ้าอาวาส คือ การที่พระอุปัชฌาย์มีหน้าท่ีในการอบรมส่ังสอนศิษย์ให้มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวนิ ัยท้งั ในดา้ นปริยตั ิและด้านปฏิบัติ เม่ือเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงดำ�รงตำ�แหน่งเจ้าอาวาส เม่ือปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ ตั้งแต่ครั้งยังดำ�รงสมณศักด์ิท่ี พระสาสนโสภณ ก็ได้ปฏิบัติหน้าท่ีน้ีโดยเครง่ ครดั โดยทรงใชเ้ วลาในชว่ งบา่ ยวนั ละ ๑ ชว่ั โมง ใหก้ ารศกึ ษาดา้ นปรยิ ตั ธิ รรม ครน้ั ถงึ วนั พระและหลงั วนั พระหนง่ึ วนักโ็ ปรดใหพ้ ระนวกะและสามเณรไดเ้ รยี นรกู้ ารปฏบิ ตั สิ มาธ-ิกรรมฐาน โดยจะทรงแสดงธรรมในตอนคํ่า และทรงนำ�ปฏิบตั กิ รรมฐานตอ่ เน่ืองกนั ไป คราวละประมาณ ๑๕-๒๐นาที ทงั้ นยี้ งั ไดเ้ ปดิ โอกาสใหอ้ บุ าสก อบุ าสกิ า และผสู้ นใจทั่วไปเข้าร่วมฟังและฝึกปฏิบัติด้วย ดังนั้นในแต่ละคร้ังจงึ มผี เู้ ขา้ รว่ มนบั เปน็ จ�ำ นวนรอ้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในชว่ งเข้าพรรษา การสอนกรรมฐานที่วัดน้ี เริ่มข้ึนในสมัยที่พระพรหมมุนี (ผิน สวุ โจ) ครองวดั กลา่ วคือ ในชว่ งคํา่หลังจากทพ่ี ระภิกษสุ ามเณร และพุทธศาสนกิ ชนทงั้ หลายทำ�วัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว เจ้าอาวาสก็จะเร่ิมอบรมธรรมปฏบิ ัติ จบแล้ว พระสงฆ์ ๔ รปู สวดพระสูตรทแ่ี สดงหลักปฏิบัติทางสมถะและวิปัสสนา สวดทั้งภาคบาลีและแปลไทย เพ่ือประกอบการพิจารณาคราวละตอน จากน้นัเจ้าอาวาสจะนำ�การฝึกปฏิบัติจนครบตามเวลาท่ีกำ�หนดแลว้ จงึ สวดบททพ่ี งึ พจิ ารณาเนอื งๆ คอื อภณิ หปจั จเวกขณ์และปิดท้ายดว้ ยการแผ่ส่วนกศุ ลผลบุญ

บวรธรรมบ ิพตร 66 หลักการสอนกรรมฐาน ส�ำ หรบั หลกั การสอนกรรมฐานนนั้ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ทรงดำ�เนินตามหลักสติปัฏฐาน คือการกำ�หนดจิตพิจารณาอยู่ในกาย เวทนา จิตและธรรม วิธีหนงึ่ คอื การหยุดจติ ให้อยู่ใน ตำ�แหน่งใดตำ�แหน่งเดียว ไม่วอกแวกไปคิด เรื่องอ่ืน เช่น กำ�หนดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หรือท่ีเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ อีกวิธีหนึ่งคือ การพจิ ารณาไปในกาย แยกกายใหเ้ หน็ เปน็ สว่ นๆ หรือเปน็ อาการตา่ งๆ เช่น อาการ ๓๒ เป็นต้น ทง้ั นไ้ี ดท้ รงยา้ํ อยบู่ อ่ ยครง้ั วา่ จดุ หมาย หลักของการฝึกปฏิบัติสมาธิ อยู่ที่การมุ่ง ‘เอาชนะ’ อารมณ์และกิเลส ณ ปัจจุบนั ขณะ จติ ใจทเ่ี ศรา้ หมอง ขุ่นมัวด้วยความรัก ความ ปรารถนา ความกลัว ความโกรธ หรือเหตุ อืน่ ใด ล้วน ‘สงบระงับ’ ไดโ้ ดยดว้ ยสมาธิ แม้ไม่มีเหตุอ่ืนใดที่ก่อให้เกิดความ เศร้าหมอง ขุ่นมัว การฝึกปฏิบัติอย่าง สมํ่าเสมอก็เพียรกระทำ� เพราะจะทำ�ให้จิตใจ มี ‘พลัง’ เกิดความต่ืนรู้และต้ังม่ัน เฉกเช่น การออกกำ�ลังกายท่ีฝึกเพาะกล้ามเนื้อให้ แขง็ แรง นัน่ เอง พระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เกยี่ วกบั หลกั ปฏบิ ตั กิ รรมฐานนม้ี อี ยหู่ ลายเลม่ อาทิ หลักการทำ�สมาธิเบ้ืองต้น แนวปฏิบัติ ในสติปัฏฐาน การปฏิบัตทิ างจิต อนุสสติและ สติปัฏฐาน หลักธรรมสำ�หรบั การปฏบิ ตั อิ บรม จติ เปน็ ตน้

กรรมฐาน คือ งานหลกั บวรธรรมบ ิพตร 67การ ‘เข้าถงึ ’ พระพทุ ธศาสนา คือ การ ‘เข้าให้ถงึ ’ ภาคปฏบิ ัติเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเหน็ ความส�ำ คญั ของเรอ่ื งนเ้ี ปน็ อยา่ งยง่ิจงึ มกั กล่าวไว้ในหลายวาระโอกาสว่าข้อสำ�คัญอยู่ที่การปฏิบัติทางจิตใจ เม่ือจิตใจมีความสงบมคี วามบรสิ ทุ ธ์ิ กท็ �ำ ใหค้ วามประพฤตทิ างกาย ทางวาจาบรสิ ทุ ธิ์ไปดว้ ย ฉะนนั้ การปฏบิ ตั ทิ างกรรมฐานจงึ เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ทบี่ รรดาผู้นับถือพระพุทธศาสนาท้ังหลาย ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต คือผู้บวช ไม่วา่ จะเป็นฆราวาส สมควรจะประพฤติปฏบิ ตั กิ นั ยงิ่ ถา้ เปน็ พระภกิ ษหุ รอื สามเณรดว้ ยแลว้ ยงิ่ ตอ้ งใสใ่ จในกรรมฐาน การงานของพระ คือ กรรมฐาน กรรมฐานเป็นอบุ ายสงบใจ ท�ำ สมาธิ หดั นง่ั สมาธิ โดยปฏบิ ตั ใิ นบทกรรมฐาน ...เมอ่ืบวชเข้ามาแล้วก็ต้องมีงานทำ� การงานที่ขาดไม่ได้ ก็คืองานกรรมฐาน ควรจะต้องทำ�อยู่เสมอ ถ้าย่ิงว่างจากการงานว่างจากการเรียน ต้องทำ�กรรมฐาน ถ้าทิ้งกรรมฐานเสียแล้วใจเตม็ ไปด้วยกามตณั หาแล้วกร็ ้อน แลว้ กอ็ ยไู่ ม่ได้ บุคคลที่ทำ�กรรมฐาน ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส จะปกครองตนเองให้ดำ�เนินไปในทางท่ีดีที่ชอบได้โดยงา่ ย ปกครองคนอ่ืนก็ไดด้ ้วย เพราะมี ‘ธรรม’ เป็นเครื่องคุม้ กัน

บวรธรรมบ ิพตร 68 ภกิ ษุตา่ งชาตกิ ็ตอ้ งปฏิบตั ิ แม้พระภิกษุต่างชาติที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ให้เน้นการฝึกปฏิบัติด้วยเช่นกัน ขันติปาโลภิกขุ (Khantipalo Bhikkhu นามเดมิ วา่ Laurence Mills) และพระราชสเุ มธาจารย์ (Robert Sumedho) ล้วนเปน็ ‘ประจักษ์พยาน’ สำ�คญั พระขันติปาโล ภิกษุชาวอังกฤษ บวชเป็นสามเณรมาจากบ้านเกิด แล้วเดินทางมาอยู่ที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อได้อุปสมบทเป็น พระภกิ ษแุ ล้ว จึงเข้ามาศกึ ษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พำ�นักอยู่ ณ วดั บวรนิเวศวิหาร ต้งั แต่ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๐๖ ตอ่ มาไดอ้ ุปสมบทซํ้าเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ระหว่างน้ันเองเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จัดทำ�โครงการสอน สมาธกิ รรมฐานแกช่ าวตา่ งประเทศ ทง้ั ทเ่ี ปน็ พระภกิ ษสุ ามเณรและคฤหสั ถท์ ว่ั ไป ซ่ึงโดยส่วนมากแลว้ ทรงเป็นผู้สอนดว้ ยพระองค์เอง ขันติปาโลภิกขุ ได้อยู่จำ�พรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลานาน ต่อมาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ส่งไปเป็นพระธรรมทูตปฏิบัติศาสนกิจเผยแผ่ พระพุทธศาสนาประจำ�อยู่ท่ีวัดพุทธรังษี นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับพระธรรมทตู ไทยอกี ๑ รูป นบั เปน็ พระธรรมทตู ร่นุ แรกที่น�ำ พระพุทธ- ศาสนาเถรวาทไปสู่ทวีปออสเตรเลีย และประดิษฐานไว้อย่างมั่นคงมาจนทุก วนั น้ี อกี ทงั้ ผลงานการตพี มิ พเ์ กยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนาของพระขนั ตปิ าโล กเ็ ปน็ อีก ‘สื่อ’ หนึ่งทที่ ำ�ใหช้ าวยโุ รปหนั มาสนใจศึกษาและนับถือพุทธศาสนามากขึ้น สว่ น พระราชสเุ มธาจารย์ ภกิ ษชุ าวอเมรกิ นั ในระหวา่ งทเ่ี ตรยี มความ พรอ้ มกอ่ นบวชนนั้ กเ็ คยไดเ้ รยี นสมาธภิ าวนากบั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ โดยกลา่ ว ไวต้ อนหน่ึงว่า “ท่านสมเด็จพระญาณสังวรมีความสามารถท่ีจะอธิบายให้ ชาวต่างประเทศเข้าใจคำ�สอนของพุทธศาสนาได้อย่างลึกซ้ึง เรามศี รทั ธาในวธิ กี ารสอนของทา่ นสมเด็จฯ เพราะตรงและถกู กบั จรติ ของเรา” หลงั จากนน้ั กไ็ ดอ้ ปุ สมบทและศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรม ณ วดั หนองปา่ พง ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คญั อีกท่านหน่งึ ท่ีมีบทบาทในการเผยแผพ่ ทุ ธธรรมแกช่ าวตา่ งประเทศ

จัดการศกึ ษาช้นั สูงแกค่ ณะสงฆ์ บวรธรรมบ ิพตร 69การจัดการศึกษาชั้นสูงสำ�หรับพระภิกษุ จะเป็นประโยชน์ต่อการส่ังสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต ...เป็นญาณทัศนะอันกว้างไกลของเจ้าพระคุณสมเด็จฯต้ังแตค่ ร้ังยังทรงเป็นพระมหาเปรยี ญ ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๘ พระมหาเจริญ เป็นผู้หนึ่งท่ีได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง ‘สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย’ ต่อมาได้รับเลือกใหเ้ ปน็ กรรมการสภาการศกึ ษาฯ ชดุ แรก มหี นา้ ทก่ี �ำ กบั ดแู ลการจดั การศึกษาแกพ่ ระภิกษุ สามเณร และเป็นอาจารย์ผู้สอน รายวิชาพระสูตรหรอื พระสตุ ตันตปิฎก ท้งั นด้ี ว้ ยความตระหนกั ว่า การศึกษาทางโลกเปน็ สง่ิ ทค่ี วรสนบั สนนุ เปน็ การใหแ้ สงสวา่ ง หากกต็ อ้ งรกั ษาทางธรรมไว้ให้เขม้ แข็ง ปัญญาทางธรรมกบั ทางโลกนัน้ ต้องควบคูก่ ันไป การทีไ่ ดม้ ี สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ) และมหาจฬุ าลงกรณ- ราชวิทยาลัยขึ้น ก็เพ่ือท่ีจะประสานปัญญาทางธรรมกับ ปัญญาทางโลก พระภิกษุจะได้พูดกับชาวโลกเขารู้เรื่อง แต่ว่าต้องการวิธีการดำ�เนินการให้เหมาะสม และก็ต้องไม่ ละทง้ิ การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั อันเป็นหลกั ของพระศาสนาแม้ในขณะท่ีเป็นประธานกรรมการอำ�นวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ‘เจ้าคุณสา’ หรือ ‘พระสาสนโสภณ’ ก็เป็นผู้เสนอโครงการการจัดการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง โดยบรรจุหลักสูตรพระธรรมทูตไปต่างประเทศไว้เป็นสว่ นหนงึ่ ด้วย แตเ่ น่ืองจากความไม่พรอ้ มในหลายๆ ด้านของสถาบันดงั กล่าว โครงการนี้จึงจ�ำ ต้องถกู ‘แขวน’ ไว้ หากท้ายที่สุดกส็ ำ�เรจ็ ได้ในอกี ๒๐ ปตี อ่ มา โดยไม่ละท้งิ การศึกษาพระธรรมวินยั อนั เป็นหลักของพระศาสนา”

บวรธรรมบ ิพตร 70 ยกระดับ ‘สถานภาพ’ สองมหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ปญั หาส�ำ คญั ประการหนง่ึ ทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นามหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ทงั้ มหามกฏุ - ราชวทิ ยาลยั และมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอื ‘สถานภาพ’ ทเี่ ปรยี บเสมอื น เป็นสถาบันการศกึ ษาท่ีด�ำ เนินการโดยเอกชนทค่ี ณะสงฆ์ไมใ่ ห้การรับรอง พระสาสนโสภณ ประธานกรรมการอ�ำ นวยการฝกึ อบรมพระธรรมทูต ไปตา่ งประเทศ จงึ ไดเ้ สนอมหาเถรสมาคมใหร้ บั รองมหาวทิ ยาลยั สงฆท์ ง้ั สองแหง่ เปน็ ‘การศึกษาของคณะสงฆ’์ เมอ่ื ไดพ้ จิ ารณาแลว้ มหาเถรสมาคมจงึ ไดใ้ หก้ ารรบั รองมหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ทงั้ สองแหง่ ‘เปน็ การศกึ ษาของคณะสงฆ’์ เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๒ และได้มีการตั้งสภาการศึกษาของคณะสงฆ์ขึ้นในศกเดียวกัน เพ่ือเป็น ศูนย์กลางสำ�หรับส่งเสริมควบคุมนโยบายการศึกษาทั้งปวงในฝ่ายสังฆมณฑล และสำ�หรับประสานงานระบบการศึกษาทุกสาขาของคณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสองแห่ง จึงได้เติบโต ผลิดอกออกผล และแผ่ ขยายก่งิ ก้านสาขาเรอื่ ยมาตราบจนถึงวนั น้ี รวบรวมสร้างสรรค์ จดั การความรู้ มลู นธิ มิ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ เปน็ องคก์ ร ที่ถูกจัดตั้งและกำ�หนดไว้ให้เป็นหน่วยงานท่ีส่งเสริมพระพุทธ- ศาสนาทัง้ ในด้านการศกึ ษาและการเผยแผ่ ขณะที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงดำ�รงตำ�แหน่งนายก สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย และประธานมูลนิธิมหา มกุฏราชวิทยาลัยฯ ได้ทรงเอ้ืออำ�นวยให้เกิดคุณูปการหลาย สถานต่อ ‘องค์ความรู้’ และการเผยแผ่แก่สาธารณชน อาทิ การแปลตำ�รานักธรรมชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก ซึ่งเป็นการ ศึกษาข้ันพน้ื ฐานของคณะสงฆ์ไทย เป็นภาษาอังกฤษ การแปลพระไตรปฎิ กพรอ้ มทง้ั อรรถกถาเปน็ ภาษาไทย ซึ่งจากเดิมนั้นเคยมีการแปลอยู่แล้ว เฉพาะในส่วนของพระ ไตรปฎิ ก จำ�นวน ๔๕ เล่ม เมอ่ื รวม ‘อรรถกถา’ หรอื คำ�อธิบาย

เพิ่มข้ึนด้วย จึงทำ�ให้พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลฉบับ บวรธรรมบ ิพตร 71 มหามกฏุ ราชวิทยาลัย มจี �ำ นวนรวม ๙๑ เลม่ จัดพิมพ์ขน้ึ เปน็ ครง้ั แรก เนอ่ื งในงานสมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๕ และกลายเปน็ หนงั สอื อา้ งองิ ส�ำ คญั ทใี่ ชก้ นั โดยแพรห่ ลาย ในเวลาตอ่ มา นอกจากน้ี ยังโปรดให้ต้ัง ‘แผนกหนังสือพระพุทธ- ศาสนาภาษาต่างประเทศ’ ข้ึน เพื่อเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา ส�ำ หรบั การศกึ ษาและคน้ ควา้ ต�ำ ราดา้ นพระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ยบุ ก เ บิ ก ก า ร ส อ น ส ม า ธิ ภ า ว น า ใ น ส ถ า บั นการศึกษาทางโลกเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงเปน็ พระเถระรูปแรกที่ได้รบั อาราธนาให้เป็น ‘อาจารยพ์ เิ ศษ’ สอนในรายวชิ าทางพระพทุ ธศาสนาในสถาบนั อุดมศกึ ษาของรัฐหลายแห่ง เช่น ‘สมถะและวปิ ัสสนา’(หรือ ‘ฝึกสมาธิตามแนวพุทธศาสนา’) ให้แก่นิสิตภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้นิสิตได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่บรรจุวิชา ‘สมถะและวิปัสสนา’ และรายวิชาด้านพระพุทธศาสนาอีกหลายรายการไว้ในหลักสูตรการศึกษา ท้ังยังทำ�ให้สถาบันการศึกษาอ่ืนๆทุกระดับ หันมาให้ความสนใจกับการสอนการฝึกหัดทำ�สมาธิตามหลกั คำ�สอนของพระพทุ ธศาสนามากขึน้ นอกจากน้ีการที่พระองค์ท่านได้รับอาราธนาจากสถาบนั การศึกษา หนว่ ยงานราชการ และองค์กรตา่ งๆ ให้ไปทรงบรรยายหรือแสดงธรรมอยู่เนืองๆ ก็เป็นส่วนช่วย ‘จุดประกาย’ ความสนใจในการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกรรมฐานในเหลา่ พุทธศาสนกิ ชนทุกระดบั โดยถ้วนท่ัว

บวรธรรมบ ิพตร 72 สงเคราะห์โลก สงเคราะห์คน ทรงยึดมั่นในพระพุทธโอวาทท่ีว่า “เธอท้ังหลายจงจาริกไป เพ่ือประโยชน์ เพือ่ ความสุขแกพ่ หูชน เพือ่ อนุเคราะห์โลก” พระเมตตาตอ่ สัตว์โลกท่ีร่วมเกิดแก่เจ็บตายมาหลาย ชาติภพ ตลอดจนผู้ยากไร้ ด้อยโอกาส และด้วยความรำ�ลึก ในบุญคณุ ของแผน่ ดินถิ่นเกดิ บิดา มารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ ท�ำ ใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงงานดา้ นการสงเคราะห์ มาตลอดพระชนมช์ พี ทง้ั การประทานทนุ การศกึ ษาแกพ่ ระภกิ ษุ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศกึ ษาอยา่ งไม่มีเง่ือนไข ไมม่ ีวาระ โอกาส การจัดสร้างอาคารเรยี น หอ้ งสมุด โรงพยาบาลในถน่ิ ทุรกันดารหลายแห่ง ในยามทป่ี ระชาชนประสบภยั พบิ ตั ติ า่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ นาํ้ ท่วม ไฟไหม้ โรคระบาด ภัยร้อน ภยั แล้ง ภยั หนาวต่างๆ ก็จะทรงขวนขวายในทนั ทีทง้ั ด้านปัจจัยสี่ ทงั้ การเยยี วยาจติ ใจ และบำ�รุงขวัญด้วยธรรมะ เพ่ือเก้ือกูล ผ่อนหนักให้บรรเทา เบาลง ท้ังที่พระองค์เองก็ใช่ว่าจะมีพระพลานามัยท่ีสมบูรณ์ นัก แต่ละวันถูกรุมเร้าด้วยพระศาสนกิจ ตั้งแต่เช้าจรดคํ่า บางคราวตอ้ งเสดจ็ ไปกจิ นมิ นตไ์ กลโพน้ ขา้ มจงั หวดั ทวา่ กไ็ มเ่ คย แสดงอาการอ่อนล้า คร้ันผู้ถวายงานใกล้ชิดกราบทูลให้ทรง ผอ่ นคลายหรอื ละเวน้ เสยี บา้ ง กจ็ ะทรงพระสรวลแตเ่ บาๆ พลาง รับสัง่ ตอบ “เออ! จะท�ำอยา่ งไรได้... ทน่ี เี่ ป็นพระของประชาชน”

ก่อดอกออกผล บวรธรรมบ ิพตร 73โรงเรียนสมเดจ็ พระปยิ มหาราชรมณยี เขต ณ บา้ นทงุ่ ก้างยา่ งอ�ำ เภอไทรโยค จงั หวดั กาญจนบรุ ี เป็นหนงึ่ ในดอกผลทางการศกึ ษาทผี่ ลิบานและงดงาม นับเป็นโรงเรียนท่ีเจ้าพระคุณสมเด็จฯ โปรดให้สร้างข้ึนเป็น ‘โรงเรียนประจำ�’ จัดการศึกษาต้ังแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา เพื่อรับเด็กเรียนดีแต่ยากจนจากท่ัวประเทศมาอยแู่ ละศกึ ษาฟรตี ลอดหลกั สตู ร รบั นกั เรยี นรนุ่ แรก ๑๒๐ คนพร้อมกับทรงจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์เพ่ือการศึกษา จัดสร้างโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียงเพื่ออำ�นวยความสะดวกด้านสุขอนามัย และโปรดให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาท-สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพอ่ื เปน็ พระบรมราชานสุ รณ์ทไ่ี ดเ้ สดจ็ ประพาสบรเิ วณนห้ี ลายครงั้ และเปน็ เครอ่ื งเตอื นใจให้พสกนิกรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระ-ปยิ มหาราช ประสิทธิผลทางการศึกษาจากโรงเรียนขนาดเล็กในวันวาน กลายเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ในปัจจุบัน มีการจัดการเรยี นการสอนตง้ั แตร่ ะดบั ประถมศกึ ษาถงึ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖รวม ๒๑ หอ้ งเรยี น เนน้ การเรยี นการสอนทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ ตามแนวทางของสถาบนั การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) อนั ทำ�ใหน้ ักเรียนได้รับการพัฒนาส่งเสริมกจิ กรรมทางวชิ าการเป็นพเิ ศษกว่านกั เรียนในโรงเรียนทัว่ ไป …สง่ ผลติ ผลคนคณุ ภาพออกสสู่ งั คม รนุ่ แลว้ รนุ่ เลา่ ...

ปกครองสงฆ์ และบรหิ าร กจิ การพระศาสนาบวรธรรมบ ิพตร 74

คฤหัสถ์ปกครองพระ ณ กาลคร้งั หนง่ึ บวรธรรมบ ิพตร 75ด้วยความศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ไทยทกุ พระองคจ์ งึ ทรงถอื เปน็ พระราชภาระทจ่ี ะตอ้ งพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ “ปกปักรักษา มิให้ใครๆ ท้ังภายในภายนอกมาทำ�อนั ตรายต่อพระพทุ ธศาสนา” การปกครองสงฆใ์ นสมยั โบราณ ‘คฤหสั ถป์ กครองพระ’คือพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งต้ังเจ้านายหรือขุนนางช้ันสูงใหป้ กครองดแู ลพระภกิ ษตุ า่ งพระเนตรพระกรรณ โดยสามารถท่ีจะทำ�หน้าที่แต่งตั้ง ถอดถอน วินิจฉัยอธิกรณ์ได้ทั้งส้ินภกิ ษรุ ปู ใดประพฤตผิ ดิ คดิ มชิ อบ และละเมดิ พระวนิ ยั กจ็ กั ตอ้ งไดร้ ับโทษทางบา้ นเมืองอกี สว่ นหน่ึงด้วย จนในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วัทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการตรา ‘พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑’ ข้ึน เพื่อจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์แบบใหม่ตามแนวพระดำ�ริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทว่าหลักการยงั คงเดมิ คอื พระมหากษตั รยิ ท์ รงปกครองคณะสงฆ์ เพยี งแตม่ ี‘มหาเถรสมาคม’ ซง่ึ ประกอบดว้ ยเจา้ คณะใหญแ่ ละรองเจา้ คณะใหญ่รวม ๘ รูป ทำ�หนา้ ทเี่ ป็น ‘ทป่ี รกึ ษา’ ใหค้ ำ�ช้ีแนะเกยี่ วกบักิจการพระศาสนาและการปกครอง ลุล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า-อยหู่ วั ทรงถวายมหาสมณตุ มาภเิ ษกแดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมทั้งได้ทรงมอบ ‘กิจทางพระศาสนาและการปกครองสงฆ์ทั้งปวงให้เป็นธุระ’ ด้วยสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส จงึ ทรงเปน็สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่ได้ทรงปกครองคณะสงฆ์อย่างแท้จริง และทรงเป็นผู้ที่ทำ�ให้พระสงฆ์ได้ปกครองกันเองเป็นครง้ั แรกในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย

บวรธรรมบพติ ร 76

หลงั เปลยี่ นแปลงการปกครอง บวรธรรมบ ิพตร 77ภายหลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ มาเปน็ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์เป็นประมุข อำ�นาจอธปิ ไตยมาจากปวงชนชาวไทย ‘รัฐธรรมนูญ’ จึงเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศรัฐบาลในยุคน้ันประสงค์ที่จะอนุวัติการปกครองฝ่ายศาสนจักรให้เป็นไปในแบบเดียวกบั ฝา่ ยอาณาจักร จงึ ไดต้ รา ‘พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔’ ขน้ึ ในการนี้ สมเด็จพระสังฆราชจะต้องบัญญัติสังฆาณัติโดยคำ�แนะนำ�ของสงั ฆสภา (อ�ำ นาจนติ ิบญั ญัต)ิ ทรงบริหารการคณะสงฆ์ทางคณะสงั ฆมนตรี(อำ�นาจบริหาร) และทรงวินิจฉัยอธิกรณ์ทางคณะวินัยธร (อำ�นาจตุลาการ)โดยจัดระเบียบการบริหารคณะสงฆ์เป็น ๔ องค์การ คือ องค์การปกครององค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ ให้สังฆนายกรับผิดชอบในการบรหิ ารคณะสงฆ์ แตล่ ะองค์การมีสงั ฆมนตรวี า่ การรับผิดชอบ๒ รปู เชน่ เดียวกบั คณะรัฐมนตรใี นการบริหารประเทศ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เข้ามาเป็น ‘สมาชิกสังฆสภา’ ต้ังแต่ระยะแรกเร่ิมของการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ในฐานะท่ีเป็นพระภิกษุเปรยี ญธรรม ๙ ประโยค ด้วยพระชนมายเุ พยี ง ๒๘ พรรษา ประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบบั ใหม่ การบงั คับใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ก่อใหเ้ กดิ ความขัดข้องและข้อขัดแย้งในการปกครองสงฆ์เรื่อยมาเป็นลำ�ดับ ตราบจนถงึ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๐๕ ในสมยั ทจ่ี อมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ประกาศยกเลิก และให้ใช้ ‘พระราช- บญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕’ แทน โดยสาระส�ำ คญั หลกั อยทู่ ก่ี าร ยดึ รปู แบบการปกครองแบบเดมิ ทป่ี รากฏในพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ คือ ให้สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถร- สมาคม ตามอ�ำ นาจกฎหมาย และพระธรรมวินยั เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขณะพระชนมายุ ๕๐ พรรษา ทรงเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และทรงเป็นเร่อื ยมาตลอดพระชนม์ชีพ

บวรธรรมบ ิพตร 78 เยีย่ มเยยี นคณะสงฆ์ การเย่ียมเยียนวัดและพุทธศาสนิกชนในพื้นท่ีต่างๆ ทั่วทุก ภมู ภิ าค ทง้ั อยา่ งเปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ เปน็ พระภารกจิ ทเ่ี จ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงถือปฏิบตั ิมาโดยตลอด ดว้ ยพระสติ ก�ำ ลงั ทเ่ี ตม็ เปย่ี มตามหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบทสี่ งู ขนึ้ แมใ้ นพน้ื ท่ี น้ันจะห่างไกลจากศูนย์กลาง และทุรกันดารด้วยการคมนาคม เช่น หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ก่อให้เกิดความปล้ืมปีติ เป็นขวัญและกำ�ลังใจให้แก่ พระภิกษุ สามเณร และพทุ ธศาสนิกชน ณ ทีน่ ั้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนย้ี งั เปน็ การรอื้ ฟนื้ ธรรมเนยี มตรวจการคณะสงฆข์ นึ้ มา อีกคร้งั หน่ึงดว้ ย หลังจากทีห่ า่ งหายไปชัว่ ระยะแล้ว แตล่ ะคราวครง้ั ของการเยย่ี มเยยี น พระองคม์ กั จะแสดง ธรรมกถาบ้าง สมั โมทนียกถาบ้าง ท้งั ยงั ได้แสดงแนวพระด�ำ ริ ในการบรหิ ารพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆไ์ ปพรอ้ มกนั ด้วยว่า ทรงดำ�เนินตามแนวพระราชดำ�ริในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ครง้ั ทย่ี งั ทรงผนวช ดงั บทพระราช- นพิ นธท์ วี่ ่า ฐาตุ จิรํ สตํ ธมโฺ ม ธมมฺ ธรา จ ปุคคฺ ลา สงฺโฆ โหตุ สมคโฺ ค ว อตฺถาย จ หติ าย จ ขอพระสัทธรรม จงดำ�รงอยนู่ าน ขอบุคคลท้ังหลายผูท้ รงธรรม จงดำ�รงอยู่นาน ขอพระสงฆ์ จงพร้อมเพรยี งกัน เพือ่ ประโยชน์ เก้ือกูล เพ่ือความสขุ ดังนี้

บวรธรรมบพติ ร 79

บวรธรรมบ ิพตร 80 หลกั การบรหิ ารพระศาสนา ในการบริหารกจิ การพระศาสนา เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงยดึ หลักการส�ำ คัญอยา่ งนอ้ ย ๓ ประการ ฐาตุ จิรํ สตํ ธมโฺ ม หมายถงึ การจัดการศกึ ษาให้พระ ภกิ ษุ สามเณร และอบุ าสกอบุ าสกิ าไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นพระธรรม วินัย ผู้บริหารพระศาสนาจำ�เป็นจะต้องรักษาพระธรรมวินัย ไว้เป็นหลัก แต่ก็ต้องผ่อนไปในทางโลกด้วย โดยให้ได้รับการ ศกึ ษาทางโลกบ้างตามสมควร ธมฺมธรา จ ปุคฺคลา หมายถึง การท่ีต้องให้มีผู้ ทรงธรรม ทรงวินัย ท้งั การจำ� และการปฏิบตั โิ ดยให้มีผปู้ ฏิบัติ พระธรรมวินยั ใหม้ ีพระธรรมวนิ ยั ขึน้ ในตน สงโฺ ฆ โหตุ สมคโฺ ค ว หมายถงึ การบรหิ ารใหพ้ ระสงฆ์ มีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันโดยธรรมวินัย ภายใต้หลัก สาราณยี ธรรม ๖ ทง้ั นไี้ ดท้ รงยาํ้ อยเู่ สมอวา่ “ตอ้ งพยายามรกั ษา ความสามคั คี ความพรอ้ มเพรยี งกนั ในระหวา่ งนกิ าย อยา่ ใหเ้ ปน็ ศตั รกู นั แตใ่ หเ้ ปน็ มติ รกนั และชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั เพอื่ ชว่ ย กันรักษาพระศาสนา” กล่าวโดยสรุป หัวใจของการบริหารกิจการศาสนา คอื ‘3 ส : สรา้ งโรงเรยี น สร้างคน และสร้างความสามคั คี’

จัดระเบียบวัด บวรธรรมบ ิพตร 81วัดเป็นสถานท่ีสำ�หรับการบำ�เพ็ญศาสนกิจแห่งภิกษุ สามเณรอุบาสก อุบาสิกา และสาธุชนผู้ใฝ่หาความสุขสงบ ดังนั้นศิษย์วัดที่ติดตามมาคอยปฏิบัติวัตรฐากพระอุปัชฌาย์อาจารย์หรอื มาอาศยั วดั เปน็ ทพี่ ง่ึ ทอ่ี าศยั กค็ วรทจี่ ะตอ้ งไดร้ บั การอบรมบ่มเพาะทงั้ คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนกิริยามรรยาทการอยู่ร่วมกัน ใหเ้ ปน็ ทชี่ ืน่ ชมแก่ญาติโยมท่มี าถอื ศลี ปฏบิ ตั ิธรรม ดว้ ยสายพระเนตรทเ่ี ลง็ เหน็ วา่ ‘เดก็ วดั ’ หรอื ‘ศษิ ยว์ ดั ’ที่มีเป็นจำ�นวนมากข้ึนน้ี หากไม่มีการจัดระเบียบเสียแล้วก็จะปกครองยาก เป็นเหตุให้วัดเสื่อมเสีย หรือเป็นที่ตำ�หนิติเตียนได้ พระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารในครั้งน้ัน จึงได้กำ�หนดให้มีระเบียบเพื่อปกครองศิษย์วัดขึ้นอยา่ งเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเปน็ ครง้ั แรก เมอ่ื ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๐๗ ในแทบทกุ เย็นท่วี า่ งจากภารกิจ ท่านสมภารกจ็ ะเดินตรวจตราอาณาบรเิ วณโดยรอบพระอาราม เพอ่ื ใหเ้ หน็ ทงั้ ความเป็นไปและความเป็นอยู่ของพระภิกษุ สามเณร และศิษย์วัดในสภาพทเ่ี ปน็ จรงิ หากพบเหน็ เสนาสนะหรอื สงิ่ ใดทค่ี วรแกก่ ารบรู ณะซ่อมสร้าง ก็จะรีบสั่งให้ดำ�เนินการโดยทนั ที หากพบเหน็ พฤตกิ รรมใดอนั ไมเ่ หมาะควร กจ็ ะทรงน�ำไปว่ากล่าวตักเตือนด้วยพระเมตตาในที่ประชุมสงฆ์ หลังจากการฟังพระปาติโมกข์ หรือหากมีเรื่องราวและเหตุการณ์ใดๆท่ีพระภิกษุสามเณรควรทราบ เพ่ือประโยชน์ต่อการประพฤติปฏิบัติหรือการพัฒนาตนเอง ก็จะทรงนำ�มาบอกกล่าวด้วยความห่วงใย

รักษาพระธรรมวินยั ยิ่งชพี ตลอดวาระของการปกครองหมู่สงฆ์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไดต้ ดิ ตาม เฝา้ ระวงั และแสดงความหว่ งใยในสถานการณอ์ นั เปน็ เส้ียนหนามต่อพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ทั้งยังได้ขอให้ พระสังฆาธกิ ารทุกระดับ พระราชาคณะช้ันต่างๆ ชว่ ยกนั ระงับ เหตุอันไมถ่ กู ควร และหาข้อยุตใิ หไ้ ดเ้ สยี แตใ่ นเบือ้ งตน้ โดยยึด พระธรรมวนิ ยั ท่ปี รากฏในพระไตรปิฎกเป็นสำ�คัญ ดงั พระโอวาททีป่ ระทานในการประชมุ คณะการกสงฆ์ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ความตอนหนึ่งว่า หร “ือกจาะรจไปะอปา้ ฏงิบวา่ัตพิผริดะพไตรระปวฎิ ินกัยผบดิ ัญหรญอื ัตบิหกพรือรอ่ธงรนรมน้ั ไม่ได้ ทปี่ รากฏอยใู่ นพระวนิ ยั ทปี่ รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ กฉบบั ที่ไทยเรารับรองแล้วน้ี โดยอ้างว่าของตนถูก แต่พระ ไตรปฎิ กนน้ั ผดิ ดังน้ีไม่ได้ เป็นไทยไม่ได้ ไม่ควรจะอย่ใู น เมืองไทย”บวรธรรมบ ิพตร 82 อกี ทง้ั พระองคย์ งั ทรงใหข้ อ้ คดิ วา่ การโคน่ ลม้ ตน้ ตออนั เปน็ เสย้ี น หนามโดยยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักน้ัน ถือว่าเป็นการกระทำ� อนั กอปรดว้ ยความเมตตา มใิ ชด่ ว้ ยความโกรธขงึ้ หรอื เคยี ดแคน้ เปน็ เมตตาทีถ่ ูกต้องในการนคิ คหะ คอื การข่ม การปราบดว้ ย เมตตา หากว่าไม่ข่ม ไม่กำ�ราบแล้ว ผู้นั้นก็จะทำ�ผิดเร่ือยไป จนอาจเป็นความผิดถึงขั้นอนันตริยกรรมหรือมหันตกรรม อันจักเปน็ โทษภัยแก่ตัวบคุ คลน้นั เอง การเมตตาเช่นนี้จึงเท่ากับการเปิดโอกาสให้บุคคล ไดก้ ลบั มาประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบดว้ ยพระธรรมวินยั

เตือนสติใหค้ ิด... แมม้ ใิ ชก่ จิ โดยตรง บวรธรรมบ ิพตร 83ในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับความขัดแย้งทางความคิด จนนำ�ไปสู่ความรุนแรงเมอ่ื ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๑๖ นน้ั กอ่ นทเ่ี หตกุ ารณจ์ ะวกิ ฤตถิ งึ ขน้ั ปะทะและนองเลอื ดเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่อาจทนน่ิงเฉยอยู่ได้ จงึ ร่าง ‘สาร’ ข้ึนฉบับหนงึ่ ดว้ ยพระองค์เอง ใชช้ ่อื ว่า ‘จากคณะสงฆไ์ ทย’และโปรดให้นำ�ไปทำ�เป็นใบปลิวเพ่ือแจกจ่าย ‘เตือนสติ’ แก่ทุกฝ่าย ใจความส�ำ คัญคือ การขอให้ทกุ คนน�ำ ‘สัมมาสติ’ กลบั มา ด้วยการต้งั คำ�ถามเพ่อื การระลึกและทบทวนตนเองว่า ... เราทงั้ หลายเปน็ อะไรกนั ... หากระลกึ ไดว้ า่ เราทงั้ หลายเปน็ พเ่ี ปน็น้องกัน ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ร่วมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เดยี วกนั ไม่ใช่ใคร ทีไ่ หน หากระลึกได้อย่างนีจ้ ะทำ�ใหจ้ ติ ใจอ่อนโยน ปรองดองและสมัครสมานกันมากข้นึ ... เราทง้ั หลายกำ�ลังจะทำ�อะไรให้แก่กนั ... หากระลึกได้ เราก็จะรจู้ ักการผ่อนปรน ผอ่ นความตอ้ งการของตนลงเสยี ครึง่ หน่งึ และเรียนรทู้ ีจ่ ะเอาใจเขามาใส่ใจเราอีกคร่ึงหนึ่ง การผ่อนปรน ประนีประนอม และความสามัคคีก็จะเกดิ ข้นึ ... เราทัง้ หลายก�ำ ลังมุ่งอะไร เพือ่ อะไร ... หากระลกึ ได้ เราก็จะนำ�ประโยชนโ์ ดยรวมของประเทศชาตเิ ป็นท่ีตั้ง มิไดค้ �ำ นึงเพยี งแค่ประโยชนเ์ ฉพาะตน เฉพาะกลมุ่ เท่านน้ั แตอ่ นจิ จา! เกินกวา่ จะหยุดร้งั ... หลายคน หลายฝ่ายจึง ‘เหน็ หากกไ็ มเ่ ห็น’ และ ‘ฟังอยู่ หากก็ไม่ได้ยิน’



เผยแผพ่ ระธรรมอนั ล้ำ�เลิศ ...สู่โลกหลา้

บวรธรรมบ ิพตร 86 ปกั หมดุ ธรรม...คำ้ �จุนเนปาล นานนบั ศตวรรษทเี ดยี วทพ่ี ระพทุ ธศาสนาไดก้ ลายเปน็ เพยี ง ‘ต�ำ นาน’ หรอื เรอ่ื ง เล่าขานทางประวัติศาสตร์ คงมกี ็แต่ ‘ดวงตาแหง่ พทุ ธะ’ ศิลปะพน้ื เมืองทส่ี ถติ อยู่ ณ สถปู เจดีย์ และพระพทุ ธรปู ปางต่างๆ นั่นกระมังท่ีเป็นดั่งประจกั ษพ์ ยาน ของความร่งุ เรืองในอดีต ณ แดนดินถิน่ พุทธภูมิ ราวปีพุทธศักราช ๒๔๗๒ แสงแห่งพระธรรมเริ่มสว่างไสว เม่ือพระ มหาปรัชญานันทะ พระภกิ ษุรปู แรกทีไ่ ปบรรพชาอปุ สมบท ณ ประเทศอนิ เดยี ไดก้ ลบั มาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทในบา้ นเกดิ จดุ ประกายใหเ้ หลา่ กลุ บตุ ร ออกบวชกนั มากข้ึน บ้างไปบวชท่พี มา่ บา้ งลังกา และบา้ งอนิ เดีย กลับมาแลว้ ก็ช่วยกันสืบสานและเผยแผ่พระธรรมคำ�ส่ังสอนต่อไป ช่วงเวลาน้ันจึงนับเป็น ชว่ งเวลาสำ�คัญของการต่นื รแู้ ละเริ่มพลิกฟืน้ พระพุทธศาสนา การเสด็จเยือนเนปาล เม่ือปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ ของเจ้าพระคุณ สมเด็จฯ เม่ือคร้ังท่ีเป็น ‘พระสาสนโสภณ’ นับเป็นการเปิดศักราชครั้งสำ�คัญ ท้ังด้านการหย่ังรากลึกในพระไตรปิฎก ท้ังด้านการบ่มเพาะ ‘หน่ออ่อน’ และ ‘ต้นกลา้ ’ ใหเ้ ตบิ ใหญ่ จนจรรโลงพระพทุ ธศาสนามาไดอ้ ยา่ งม่ันคงถึงวนั นี้

การสนทนากนั ระหวา่ งพระสาสนโสภณ กบั พระอมฤตานนั ทะ ประธาน บวรธรรมบ ิพตร 87ธรรโมทยสภา ของคณะสงฆ์เนปาล กลายเป็นจุดเร่ิมต้นของสัมพันธภาพที่ดีระหว่างประเทศ และการค้ําจนุ สบื สานกจิ การงานพระศาสนา ด้วยสายตาอันยาวไกล การหารือของสองพระมหาเถระจึงได้มาถึงข้อสรุปของการอนุเคราะห์พึ่งพาในเรื่องทุนการศึกษาสำ�หรับพระภิกษุสามเณรและการสง่ พระธรรมทตู ไปช่วยวางรากฐาน เม่ือกลับมาแล้ว เจ้าคุณสาสนโสภณ ในฐานะผู้อำ�นวยการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลยั ฯ ก็มไิ ด้นง่ิ นอนใจ อนมุ ัตทิ นุ การศกึ ษาต่อให้แก่พระภกิ ษุสามเณรชาวเนปาล ในปีถัดมา สามเณรลักษมัน สโุ สภโณ (ศากยะ) ในฐานะผรู้ บั ทนุ จงึ ไดเ้ ขา้ มาศกึ ษาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ณ สภาการศกึ ษามหามกฏุ ราช-วทิ ยาลยั วดั บวรนิเวศวหิ าร หลังจากสามเณรลักษมันแล้ว ก็ยังปรากฏความเคลื่อนไหวในการเดินทางเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทยของนักบวชชาวเนปาลอย่างต่อเน่ือง กระจายอยู่ในอารามต่างๆ ท้ังกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด …สามเณรชาวเนปาลในครงั้ นน้ั มาถงึ วนั นไ้ี ดเ้ จรญิ อายพุ รรษาเปน็ ‘พระราชาคณะ’ที่รู้จักกันดีในสมณศักด์ิท่ี ‘พระศากยวงศ์วิสุทธ์ิ’ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย)ผู้สืบสานรอยธรรมและสร้างคณุ ปู การยิ่งใหญใ่ หแ้ ก่ ‘สองแผ่นดนิ ’ หลายปีต่อมา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เสด็จเยือนเนปาลอีกครั้งเป็นค�ำ รบสอง ตามการอาราธนาของคณะสงฆเ์ นปาลทไี่ ดด้ �ำ รจิ ดั การบรรพชากลุ บตุ รศากยะจ�ำ นวน ๗๓ คน เพื่อนอ้ มถวายเปน็ พระกศุ ลแดพ่ ระองค์ ในวาระเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา อกี ท้งั เปน็ การแสดงออกซึง่ กตเวทิตาธรรม เน่ืองจากทีไ่ ด้ทรงฟื้นฟพู ระพทุ ธศาสนา และเกือ้ กลู คณะสงฆ์มาโดยตลอด การเปน็ พระอปุ ชั ฌายใ์ นครง้ั นน้ั นบั วา่ เปน็ การปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ครง้ั ส�ำ คญัในฐานะพระธรรมทูต ด้วยเป็นคร้ังแรกของการบรรพชาหมู่ ท้ังในระหว่างการพ�ำ นกั อยู่ ณ ท่ีนน้ั พระองค์กไ็ ดป้ ระทานพระโอวาทอบรมสงั่ สอนสามเณรใหม่ทกุ วนั ดง่ั เปน็ การวางหลกั สตู ร และแนวทางเปน็ แบบอยา่ งใหแ้ กพ่ ระภกิ ษเุ นปาลท่ีจะมาทำ�หน้าท่ีน้ีต่อไปว่า ควรจะอบรมส่ังสอนผู้ที่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ใหม่ในเรอื่ งใดบา้ ง และอยา่ งไร ทง้ั ไดท้ รงน�ำ สามเณรใหมอ่ อกเดนิ บณิ ฑบาต ยงั ความเป็นบุญตาและก่อให้เกิดศรัทธายิ่งแก่ชาวบ้านที่อยู่รายรอบวัดศรีกีรติวิหารแห่งน้ัน

บวรธรรมบพติ ร 88

ประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาเถรวาทในอนิ โดนีเซยี บวรธรรมบ ิพตร 89เปน็ เวลากวา่ ๕๐๐ ปที พ่ี ระพทุ ธศาสนาไดเ้ สอ่ื มสญู ไปจากอนิ โดนเี ซยี เหลอื เพยี ง‘บุโรพุทโธมหาสถูป’ ที่กลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวสำ�คัญ นำ�รายได้เข้าประเทศปีละไมน่ ้อย พระชินรักขิต พระภิกษุเถรวาทรูปแรกชาวอินโดนีเซีย เชื้อสายจีนที่ไปบรรพชาอุปสมบทท่ีประเทศพม่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำ�คัญในการฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนา แตด่ ว้ ยภมู ปิ ระเทศทเี่ ตม็ ไปดว้ ยเกาะนอ้ ยใหญ่ ดว้ ยประชากรทอ่ี ยอู่ ยา่ งกระจัดกระจาย และด้วยคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม พราหมณ์ ฮินดูจึงทำ�ให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นไปด้วยความยากลำ�บาก ท้ังพระภิกษุกม็ อี ยู่เพียงนอ้ ย ซํ้าส่วนใหญย่ งั ขาดความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการเผยแผ่ธรรม การเสด็จเยือนอินโดนีเซียคร้ังแรกของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คร้ังท่ียังเปน็ ‘พระสาสนโสภณ’ เมือ่ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๑๑ จึงเป็นโอกาสของการสรา้ งเครอื ขา่ ยความรว่ มมอื ในการฟนื้ ฟพู ระพทุ ธศาสนาอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ เปน็ ผลให้ในปีถัดมารัฐบาลไทยจัดส่ง ‘พระธรรมทูต’ รุ่นแรกท่ีผ่านการฝึกอบรมไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ ประเทศอินโดนีเซีย โดยมี พระราชวราจารย์ (วิญญ์วิชาโน) คร้งั ยงั เปน็ พระครูปลัดอรรถจรยิ านกุ จิ เป็นหวั หนา้ คณะ ในปถี ดั มา เจา้ คณุ สาสนโสภณกไ็ ดร้ บั การอาราธนาไปเปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ให้การอุปสมบทหมู่ ‘คณะสงฆ์เถรวาท’ จงึ ไดถ้ ือกำ�เนิดข้ึนมาแตค่ ราวนั้น “สาธ.ุ ..” เสียงอนุโมทนาสาธุการ ดงั แซซ่ อ้ งไปทว่ั ทง้ั พระมหาสถูปบุโรพุทโธ จากวนั นน้ั วนั ทพ่ี รอ้ มดว้ ยดวงแกว้ ทง้ั สามแหง่ พระรตั นตรยั จนถงึ วนั นี้คณะสงั ฆเถรวาทแหง่ อนิ โดนเี ซยี ไดเ้ ตบิ ใหญเ่ ปน็ ‘เนอ้ื นาบญุ ’ ทมี่ บี ทบาทส�ำ คญัในการจรรโลงจติ วญิ ญาณ การประดิษฐานพระพุทธศาสนาเถรวาทในอินโดนีเซียในคร้ังนั้นเปน็ การประดษิ ฐานทส่ี ถิตสถาพรยิ่งแล้ว

ปลดลอ็ ก ‘ตฮู ัน’บวรธรรมบ ิพตร 90 ขณะทพ่ี ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดร้ บั การเลอ่ื มใส น�ำ เรยี นเรอื่ งนต้ี อ่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ในฐานะ ศรทั ธาในหมชู่ นคนอนิ โดนเี ซยี มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ นน้ั ป ร ะ ธ า น ก ร ร ม ก า ร อำ � น ว ย ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ชาวเมืองกลุ่มหนึ่งกลับจับตามองด้วยความ พระธรรมทูตไปต่างประเทศและเป็นผู้กำ�กับ แคลงใจ เมอ่ื ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ จงึ ไดร้ อ้ งเรยี น ดูแลพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียเพื่อ ตอ่ รฐั บาลวา่ ไมค่ วรใหม้ กี ารจดั พธิ บี รรพชาหมู่ พิจารณาแกไ้ ข อกี ตอ่ ไป เพราะวา่ พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนา พระเดชพระคุณ จงึ ไดท้ รงอาราธนา ทขี่ ดั ตอ่ ‘หลกั ปญั จสลี ะ’ รฐั บาลจงึ ไดม้ หี นงั สอื พระเถรานเุ ถระและผเู้ กยี่ วขอ้ งมารว่ มพจิ ารณา ถงึ องคก์ รพระพทุ ธศาสนาในอนิ โดนเี ซยี เพอ่ื ขอ ศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื จดั ท�ำ ค�ำ ชแ้ี จง และเมอ่ื แลว้ เสรจ็ ให้ช้แี จงกรณีดังกลา่ ว ก็ได้โปรดให้คณะทำ�งานจัดทำ�เอกสารขึ้น หลกั ปญั จสลี ะ คอื ปรชั ญาการปกครอง ฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Concerning Theravada ของอินโดนีเซีย ประกอบด้วย ความเช่ือใน Buddhism and The Indonesian State พระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว ความเป็น Philosophy of Panca-Sila เนื้อหาภายใน มนุษยชาติผู้มีความยุติธรรมและอารยธรรม เปน็ เรอื่ งการตคี วาม ‘ความหมาย’ ของ Tuhan ชาตินิยมแห่งความเป็นอินโดนีเซีย หลักแห่ง ในปรชั ญาการปกครองของอนิ โดนเี ซยี พรอ้ มทง้ั ประชาธปิ ไตยทอ่ี �ำ นาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชน บทวเิ คราะหต์ า่ งๆ เชอ่ื มโยงกบั พระพทุ ธศาสนา และความยุติธรรมในสังคมสำ�หรับชาวอินโด- เถรวาท อนั นำ�ไปสขู่ อ้ สรุปว่า นเี ซยี ท้งั ปวง พระธรรม คอื Tuhan ในพระพทุ ธ- เพยี งเพราะว่า ค�ำ สอนในพระพุทธ- ศาสนาเถรวาท ศาสนา ไม่ปรากฏความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า เมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียได้พิจารณา หรือที่เรียกว่า ‘ตูฮัน’ (Tuhan) ตามหลัก แล้ว ก็ยอมรับโดยดุษณีว่า พระพุทธศาสนา ปรัชญาปัญจสีละขอ้ แรก เถรวาทไม่ขัดต่อปรัชญาการปกครองข้อที่ การร้องเรียนน้ี นับว่ามีผลกระทบ ว่าด้วย Tuhan และให้ทำ�การเผยแผ่ต่อไปได้ โดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพระธรรมทูต ทั้งต่อมายังประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็น และมีผลกระทบรุนแรงต่อการฟื้นฟูพระพุทธ- วันหยุดราชการอีกด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการ ศาสนาเถรวาทในอนิ โดนเี ซยี หากคณะสงฆไ์ ทย รับรองพระพทุ ธศาสนาอยา่ งเป็นทางการ ไมส่ ามารถแกไ้ ขหรอื ชแี้ จงได้ การฟนื้ ฟกู ค็ งตอ้ ง เลกิ ลม้ ไป พระธรรมทตู ไทยในอนิ โดนีเซยี จงึ ได้

ร่วมฉัฏฐสงั คายนา ณ กรุงยา่ งกุ้ง บวรธรรมบ ิพตร 91การสงั คายนาพระไตรปฎิ กคร้งั ท่ี ๖ เมอ่ื ปพี ุทธศักราช ๒๔๙๗พมา่ มงุ่ หวงั ทจี่ ะสรา้ งพระไตรปฎิ กฉบบั สากล เพอื่ พมิ พเ์ ผยแพร่ไปท่ัวโลกในภาษาต่างๆ คือ พม่า ฮินดี เทวนาครี โรมันและอังกฤษ หากทง้ั น้ีจะตอ้ งอาศัยผู้รจู้ าก ๕ ประเทศ คอื ไทยลาว พม่า ลงั กา และเขมร มารว่ มกันท�ำ ภายใตข้ ้อตกลงท่ีจะไม่ท้ิงหรือท�ำ ลายพระไตรปฎิ กฉบับเดมิ ของแต่ละประเทศ ตามแผนการดำ�เนินงานข้ันแรก มีแต่ประเทศไทยและศรีลังกาเท่าน้ัน ที่ได้ชำ�ระพระไตรปิฎกของตนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยและสง่ ใหฝ้ ่ายเจา้ ภาพทนั ตามเวลาทกี่ ำ�หนด พระไตรปิฎกฉบับนั้นของไทย ก็คือ ฉบับสยามรัฐนั่นเอง คร้ันถงึ แผนการขัน้ ท่สี อง เจ้าภาพไดด้ ำ�เนินการดว้ ยตัวเอง โดยไม่ได้เชิญผู้แทนจากทุกประเทศมาร่วมกันวินิจฉัยพระไตรปฎิ กฉบับร่าง ตามแผนที่ก�ำ หนด เสรจ็ แล้วกจ็ ัดพมิ พ์เปน็ รปู เล่มเรียบร้อย เพ่ือประกอบพธิ รี ับรองยนื ยัน เจา้ คณุ โศภนคณาภรณ์ เปน็ หนึ่งในคณะสงฆไ์ ทยทีไ่ ด้เข้าร่วมประชมุ เพอ่ื ให้การรบั รองยนื ยัน กลับมาแล้ว ท่านก็เลา่ว่า “เป็นเพียงไปฟังการอ่านพระไตรปิฎกท่ีเขาจัดพิมพ์มาเรยี บรอ้ ยแล้วเทา่ นน้ั ... โดยมพี ระพม่าคณะหน่ึงสวดเปน็ หลักพระชาวต่างประเทศก็สวดไปตามเขา สวดได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะพระแต่ละประเทศมีวิธีสวดไม่เหมือนกัน ออกเสียงไม่เหมือนกัน”

บวรธรรมบ ิพตร 92 สมโภชพระบรมสารีรกิ ธาตุ ณ กรงุ พนมเปญ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ คราวที่ประเทศกัมพูชาได้รับพระบรม- สารีริกธาตุ พร้อมท้ังพระอรหันตธาตุ จากสมาคมมหาโพธิ ประเทศอินเดีย พระโศภนคณาภรณ์ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่ง ในคณะผู้แทนไทยไปร่วมสมโภชพระบรมสารีริกธาตุและ พระอรหนั ตธาตุ ณ กรงุ พนมเปญ อันเป็นการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือ ในการสืบสานพระพุทธศาสนาธรรมยุติกนิกายให้แน่นแฟ้น มากขนึ้ มาจนถึงทกุ วนั นี้ เปิดวัดพุทธปทปี ... วดั ไทยแหง่ แรกในยโุ รป กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ได้มดี �ำ รทิ ่จี ะสร้างวดั ไทยในกรงุ ลอนดอน ขึ้น เพื่อเป็นหลักธรรมนำ�ใจให้แก่นักเรียนไทยและคนไทย เริ่มจากการส่ง พระราชสิทธิมุนี หรือเจ้าคุณโชดก และพระมหาวิจิตร ติสฺสทตฺโต จากวัด มหาธาตุ เปน็ พระธรรมทูตชุดแรกออกไปปฏิบัตศิ าสนกจิ ต่อมาจงึ ไดม้ โี ครงการสร้าง ‘วัดพระพทุ ธศาสนา’ ขึ้น ณ กรุงลอนดอน เสร็จแล้วจึงได้รับพระราชทานนามว่า ‘วัดพุทธปทีป’ เป็นวัดไทยแห่งแรก ในสหภาพยโุ รป วนั ท่ี ๑ สิงหาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ได้เสด็จพระราชดำ�เนินมาทรงเปิดวัดพุทธปทีป อย่างเป็นทางการ โดยเจ้าคุณสาสนโสภณได้ถวายพระธรรมเทศนาเรื่อง ‘พทุ ธปทปี กถา’ แสดงถงึ ความส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนา อนั น�ำ มาซงึ่ ความสขุ ในชีวิตประจำ�วนั แก่ผู้นอ้ มนำ�พระธรรมไปปฏบิ ตั ิ

บวรธรรมบพติ ร 93

กำ�เนิดวัดไทยในออสเตรเลยี ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ พระสาสนโสภณ พระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ผอู้ �ำ นวยการมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ฯ และคณะ พระราชทานนามวา่ ‘วดั พุทธรังษี’ ไดม้ โี อกาสเดนิ ทางไปเยอื นนครซดิ นยี ์ ประเทศ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ออสเตรเลยี และไดไ้ ปเยย่ี มสหพนั ธพ์ ทุ ธสมาคม ๒๕๑๘ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จงึ ทราบวา่ มผี นู้ บั ถอื และสนใจพระพทุ ธศาสนา สยามมกฎุ ราชกมุ าร ไดเ้ สดจ็ เปน็ องคป์ ระธาน อยู่ไม่นอ้ ย พทุ ธศาสนกิ ชนกลุ่มหนึง่ ได้รวมตัว ฝ่ายคฤหัสถ์ ส่วนเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กันขอความอนุเคราะห์ให้ดำ�เนินการจัดตั้ง ขณะดำ�รงสมณศกั ด์ทิ ่ี ‘สมเดจ็ พระญาณสังวร’ สำ�นักสงฆ์ และขออาราธนาพระสงฆ์ไทย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีเปิดวัด มาชว่ ยสง่ เสริม เผยแผ่ธรรม พทุ ธรังษี ในนามของมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ คณุ ปู การในเรอ่ื งนน้ี บั ไดว้ า่ เจา้ พระคณุ ท่านเจ้าคุณฯ ได้หารือกับเอกอัครราชทูตไทย สมเด็จฯ เป็นผู้นำ�พระพุทธศาสนาเถรวาท ประจำ�ออสเตรเลียขณะนั้นและบุคคลอีก ไปประดษิ ฐานในทวีปออสเตรเลยี และในเวลา หลายฝ่าย ร่วมกันจัดต้งั โครงการก่อตง้ั วดั ไทย ตอ่ มา ไดแ้ ผข่ ยายไปถงึ ประเทศนวิ ซแี ลนดด์ ว้ ย ภายใต้เงินกองทุนก้อนใหญ่ของ นางละมูน นั บ ไ ด้ ว่ า เ ป็ น ผู้ ที่ ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น ค ณ ะ ส ง ฆ์บวรธรรมบ ิพตร 94 มีนะนันท์ ทไี่ ด้ปวารณาบริจาคไวเ้ พ่ือซอื้ ที่ดนิ ธรรมยุติกนิกายให้สถาพรสืบมาจนถึงปัจจุบัน บ้านสองชั้นบนเน้ือท่ีประมาณ ด้วยวัดพุทธรังษีนี้จึงเป็นเหตุให้มีการสร้างวัด ๑๓๐ ตารางวา จึงกลายเป็น วดั ไทยแห่งแรก ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทตามมาอีกเป็น ในออสเตรเลีย ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จ- จำ�นวนมาก

ตามเสดจ็ เยือนลงั กา บวรธรรมบ ิพตร 95ไทยกับลังกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในทางศาสนามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กระท่ังถึงปลายสมัยอยุธยาเป็นราชธานีพุทธศาสนาในลังกาก็ถึงคราเสื่อมส้ิน เหลือแต่ ‘สามเณร-สรณงั กร’ เพยี งรูปเดียว กษัตริย์ลังกาในคร้ังน้ันได้ส่งราชทูตมาขอพระสงฆ์จากกรงุ ศรอี ยธุ ยาไปประดษิ ฐาน ‘สมณวงศ’์ ขนึ้ ใหมเ่ ปน็ เหตใุ ห้ลงั กากลับมคี ณะสงฆ์ขึน้ อกี ครง้ั หนึ่ง ในนาม ‘สยามวงศ’์ หรอื‘อุบาลวี งศ์’ สบื มาจนทุกวนั นี้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยก็ได้จัดส่งสมณทตู ไปสบื ขา่ วพระศาสนา ณ ทวปี ลงั กาหลายครงั้ ฝา่ ยพระสงฆล์ งั กาเองกไ็ ดเ้ ดนิ ทางมายงั ราชอาณาจกั รไทยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เมอื่ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ พระสาสนโสภณ ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม ได้ตามเสด็จสมเด็จพระอริยวงศา-คตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺ ายี) ไปเยือนลังกาจึงได้มีโอกาสสนทนาด้วยศรัทธาปสาทะกับพระภิกษุหลายรูปที่แม้ตา่ งกนั ด้วยเชอ้ื ชาติ หากกป็ ระหน่งึ ญาตทิ ่ีคนุ้ เคย

บวรธรรมบพติ ร 96

กระชับสัมพนั ธไ์ ทย-จีน บวรธรรมบ ิพตร 97… ฟืน้ ฟพู ระพุทธศาสนาเม่ือปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ พร้อมคณะไดเ้ สดจ็ เยอื นประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี ตามค�ำ กราบทลูอาราธนาของรัฐบาลเจียง เจ๋อหมิน ตลอดเวลา ๑๓ วันของการพำ�นัก ได้มีโอกาสเสด็จเย่ียมวัด โบราณสถานและสถานที่สำ�คัญหลายแห่ง ทั้งยังได้ทรงสนทนาใกล้ชิดกับประธานาธิบดี และผู้นำ�ระดับสูงอีกหลายท่าน อันนับได้ว่าเป็นคร้ังแรกของการสถาปนาประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับความสมั พนั ธ์ไทย-จนี ในด้านการพระศาสนา การกราบทูลอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในฐานะองค์พระประมุขของพระพุทธศาสนาของไทย โดยถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ในระดับเดยี วกบั สมเดจ็ พระบรม-โอรสาธิราชฯ หมายถงึ การประกาศอยา่ งเปน็ ทางการใหโ้ ลกรู้วา่ สาธารณรฐั ประชาชนจนี ซง่ึ ปกครองดว้ ยระบอบคอมมวิ นสิ ต์ทปี่ ฏเิ สธศาสนามาโดยตลอดนน้ั ได้ ‘เปดิ ใจ’ ยอมรบั พระพทุ ธ-ศาสนาแลว้ ... เป็นศาสนาแรก ท้ังเป็นคร้ังแรกท่ีประชาชนชาวจีนได้เห็นภาพของพระภิกษุแห่งองค์สมณโคดมอย่างเต็มตา โดยเพิ่งได้ทราบว่าพระสงฆไ์ ดร้ บั การเคารพและยกยอ่ งจากบรรดาพทุ ธศาสนกิ ชนมากเพยี งไร ในการน้ีเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้ทรงถือโอกาสแห่งความเปน็ มติ รไมตรี ฝากฝงั รฐั บาลจนี ชว่ ยอปุ ถมั ภค์ าํ้ จนุ รอ้ื ฟนื้พระพทุ ธศาสนาใหก้ ลบั มารงุ่ เรอื งในผนื แผน่ ดนิ จนี อกี ครงั้ ดงั ท่ีเคยเปน็ มาในอดีต



สนองพระราชกรณียกิจ องค์บรมบพติ ร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook