Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
บวรธรรมบพติ ร*พระประวัติสมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายกพมิ พ์โดยเสดจ็ พระราชกุศลในพระราชพธิ ีพระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกณ พระเมรุวัดเทพศริ นิ ทราวาส ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘จำ�นวน ๕๐,๐๐๐ เล่มISBN : 978-616-406-203-0บรรณาธิการทป่ี รกึ ษา ออกแบบปกสมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท์ พรฺ หมฺ คุตฺโต) คุณภเู ลศิ สวุ รรณสขุ โรจน์พระเทพปรยิ ตั วิ มิ ล (แสวง ธมฺเมสโก) อุปถมั ภก์ ารออกแบบคณะบรรณาธกิ าร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์พระศากยวงศว์ ิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจ้าคณุ ทหารลาดกระบังศาสตราจารยพ์ ิเศษธงทอง จนั ทรางศุรองศาสตราจารย์สเุ ชาวน์ พลอยชุม ผพู้ ิมพถ์ วาย มลู นธิ ิส�ำ นักงานทรัพยส์ ินสว่ นพระมหากษตั ริย์ผู้ชว่ ยบรรณาธิการคุณพจมาลย์ เกยี รตธิ ร ผู้จดั พิมพ์ วดั บวรนเิ วศวหิ ารภาพถ่ายประกอบสำ�นักหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ข้อมูลบรรณานกุ รมของสำ�นักหอสมุดแห่งชาติมลู นิธมิ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ พระศากยวงศว์ ิสทุ ธ์.ิคุณพชิ ัย ยินดนี อ้ ย บวรธรรมบพติ ร พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายกศลิ ปกรรมและการออกแบบ -- กรงุ เทพฯ : วดั บวรนเิ วศวหิ าร, ๒๕๕๘. ๓๖๘ หนา้คุณจรัสรวี รัตยนั ตรกร ๑. ศาสตราจารยพ์ ิเศษธงทอง จันทรางศุบริษัทรักลกู เอด็ ดเู ทก็ ซ์ จำ�กัด ๒. รองศาสตราจารย์สเุ ชาวน์ พลอยชมุ *สร้อยพระราชทนิ นามของ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ในพระสุพรรณบัฏ ที่พระราชทานในพระราชพธิ ี สถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราช มคี วามหมายวา่ “ทรงเปน็ เจา้ ทางพระธรรมอนั ประเสรฐิ ”4
6
7
คำ�ปรารภ เจา้ พระคุณสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก (เจริญ สุวฑฒฺ โน) สน้ิ พระชนมเ์ มอ่ื วนั พฤหสั บดที ่ี ๒๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๙ นาฬกิ า ๓๐ นาที ณ ตกึ วชริ ญาณ สามัคคพี ยาบาร โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย สริ ิพระชนมายุได้ ๑๐๐ พรรษา ๒๑ วนั คร้ันวนั ศกุ ร์ท่ี ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๓ นาฬกิ า ได้เชญิ พระศพมายงั พระตำ�หนกั เพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำ�เนินแทนพระองค์มาถวายน้ำ�สรง พระศพ และทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทานพระโกศกดุ น่ั ใหญ่ ประดษิ ฐานพระศพ พระโกศประดษิ ฐาน ใต้เศวตฉัตร ๓ ชั้น บนพระแท่นแว่นฟ้าปิดทองประดับกระจก แวดล้อมด้วยฉัตรเครื่องสูง ๓ คู่ ประดับพุ่มตาดทอง ดอกไม้แจกัน และ เทียนไฟฟ้ารายรอบพระโกศบนพระแท่นแว่นฟ้าทั้งสองชั้น เบือ้ งหน้าต้งั พานพระภษู าโยงซ่ึงทอดมาจากพระโกศ เช่อื มกับด้ายสุก�ำ อนั ประชุมทีเ่ บ้อื งพระเศยี รของ พระศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมถวายพระศพ ท้ังกลางวนั กลางคืน และมีประโคมย่ำ�ยามเปน็ เวลา ๗ วัน ทรงพระกรุณาโปรดบ�ำ เพ็ญพระราชกุศล สตั ตมวาร ปัญญาสมวาร และสตมวาร ถวายพระศพมาโดยล�ำ ดับ นบั แตว่ นั ประดษิ ฐานพระโกศพระศพ ณ พระต�ำ หนกั เพช็ ร วดั บวรนเิ วศวหิ าร เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นตน้ มา ผู้น�ำ ประเทศ ทูตานทุ ตู ผ้นู ำ�องค์กรศาสนา หนว่ ยราชการ ผนู้ �ำ องคก์ รต่าง ๆ คณะสงฆแ์ ละพุทธศาสนกิ ชนท้ังภายในประเทศและตา่ งประเทศ ได้มาถวายสักการะเคารพพระศพ และ ได้ร่วมเป็นเจา้ ภาพบำ�เพ็ญกศุ ลถวายพระศพอยา่ งตอ่ เน่อื ง พระศพเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ ประดิษฐาน ณ พระต�ำ หนักเพ็ชร วดั บวรนิเวศวิหาร แตว่ นั ท่ี ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถงึ วันท่ี ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นเวลา ๗๘๒ วนั หรือ ๒ ปี กบั ๕๒ วัน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำ�หนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร ในวนั ท่ี ๑๕-๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณา โปรดให้พิมพ์หนังสือพระราชทานถวายเป็นพระอนุสรณ์ และถวายพระราชกุศลแด่เจ้าพระคุณสมเด็จ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก จ�ำ นวน ๔ เลม่ คอื ๑. ธรรมบรรยายทางวิทยุ อ.ส. ระหว่างกาลทรงพระผนวช พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา ภมู ิพลอดลุ ยเดช ๒. พระไตรรัตนคุณ : พระธรรมบรรยายแนวฝึกหัดอบรมจิตที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงแสดง ณ ตึก สว ธรรมนิเวศ วดั บวรนิเวศวหิ าร8
๓. พระธรรมเทศนาในการทรงบำ�เพ็ญพระราชกุศลการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพและการพระราชพธิ ีพระราชทานเพลงิ พระศพ ณ พระเมรุมาศ พระเมรุ ทอ้ งสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๕๕๕ ๔. โคลงสภุ าษิตประจำ�ภาพในพระอโุ บสถ วดั พระศรีรตั นศาสดาราม (ฉบับถอดความ) ทรงตง้ั พระราชหฤทยั อทุ ศิ พระราชกศุ ลทง้ั ปวงอนั จะพงึ มแี ตว่ ทิ ยาทานนถ้ี วายสมเดจ็ พระญาณสงั วรสมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ผทู้ รงเปน็ คารวสถานปชู นยี เจดยี แ์ หง่ พระองค์ พระบรมวงศานวุ งศ์พุทธบรษิ ัท และอาณาประชาราษฎร์ท่ัวไป เนือ่ งในการนี้ รฐั บาลได้พิมพห์ นังสือโดยเสด็จพระราชกุศลในพระราชพธิ ีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก จ�ำ นวน ๓ เล่ม คือ ๑. คัมภรี ์ลลติ วิสตระ พระพทุ ธประวตั ฝิ ่ายมหายาน ภาษาสนั สกฤต ๒. คมั ภีร์ลลิตวสิ ตระ พระพุทธประวตั ฝิ า่ ยมหายาน ภาษาไทย ๓. การบรหิ ารทางจิตสำ�หรบั ผู้ใหญ ่ นอกจากน้ี คณะสงฆ์ องคก์ ร และบุคคลตา่ งๆ ได้จดั พมิ พ์หนังสอื โดยเสดจ็ พระราชกศุ ลน้อมถวายเป็นพระอนสุ รณแ์ ละน้อมถวายพระกุศลอกี จ�ำ นวนหนง่ึ วดั บวรนเิ วศวหิ ารขอพระราชทานถวายพระพรถวายพระราชกศุ ลแดส่ มเดจ็ บรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ทท่ี รงพระกรณุ าโปรดพระราชทานพระบรมราชานเุ คราะห์ในการทง้ั ปวงอนั เนอ่ื งด้วยการพระศพเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกมาโดยตลอดตงั้ แต่วันสิน้ พระชนม์จนถึงการพระราชพธิ ีพระราชทานเพลิงพระศพเป็นทส่ี ดุ ขออนโุ มทนาอำ�นวยพรรฐั บาล คณะสงฆ์ องค์กร คณะบุคคล และเอกชนทง้ั ปวง ทไี่ ด้โดยเสด็จพระราชกศุ ลในการพระศพเจา้ พระคณุ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกมาตง้ั แตต่ น้ จนตลอดการพมิ พห์ นงั สอื โดยเสดจ็ พระราชกศุ ลในการพระราชพธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพ ขอพระราชกศุ ลทส่ี มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ตง้ั พระราชหฤทยัทรงบ�ำ เพญ็ พระราชทานอทุ ศิ ถวายในการครง้ั น้ี และขอกศุ ลบญุ ราศที ร่ี ฐั บาล คณะสงฆ์ องคก์ ร คณะบคุ คลและเอกชนทั้งหลายท้ังปวง ได้ต้ังใจกระทำ�บำ�เพ็ญนอ้ มอทุ ิศถวาย จงสัมฤทธเิ์ ปน็ อดิเรกปุญญวบิ ากแดเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ตามควรแกพ่ ระคตวิ สิ ยัจงทกุ ประการ เทอญ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ 9
คำ�นำ� เจา้ พระคณุ สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก (เจรญิ สุวฑฒฺ โน) สน้ิ พระชนมเ์ มอ่ื วนั พฤหสั บดที ่ี ๒๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๙.๓๐ น. ณ ตกึ วชริ ญาณ สามคั คพี ยาบาร โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริพระชนมายุได้ ๑๐๐ พรรษา ๒๑ วัน ครนั้ วนั ศุกร์ท่ี ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๓.๐๐ น. ไดเ้ ชิญพระศพมายงั พระตำ�หนกั เพช็ ร วัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร เสดจ็ พระราชดำ�เนินแทนพระองคม์ าถวายนำ�้ สรงพระศพ และ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ ประดิษฐานพระศพ พระโกศประดิษฐานใต้เศวตฉัตร ๓ ชน้ั บนพระแทน่ แวน่ ฟา้ ปิดทองประดับกระจก แวดลอ้ มดว้ ยฉตั รเครอ่ื งสูง ๓ คู่ ประดับพมุ่ ตาดทอง ดอกไม้แจกัน และ เทียนไฟฟ้ารายรอบพระโกศบนพระแท่นแว่นฟ้าทั้งสองชั้น เบื้องหน้าตั้งพานพระภูษา โยงซงึ่ ทอดมาจากพระโกศ เชือ่ มกับดา้ ยสุก�ำ อนั ประชุมทเ่ี บอื้ งพระเศยี รของพระศพ พระศพเจา้ พระคณุ สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ไดป้ ระดิษฐาน ณ พระตำ�หนกั เพ็ชร วดั บวรนเิ วศวหิ าร แต่วนั ท่ี ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึง วันท่ี ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นเวลา ๗๘๒ วนั หรือ ๒ ปี กับ ๕๒ วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำ�หนดการพระราชพิธี พระราชทานเพลงิ พระศพ ณ พระเมรุ วดั เทพศริ นิ ทราวาส กรงุ เทพมหานคร ในวนั ท่ี ๑๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ อนึ่ง ทางรฐั บาลได้กำ�หนดให้มกี ารจดั พิธีถวายดอกไมจ้ ันทนส์ �ำ หรบั ประชาชนทั่วไป เพ่ือให้ประชาชน ท่ัวไปท้ังในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดได้มีโอกาสร่วมถวายดอกไม้จันทน์ในพระราชพิธีพระราชทาน เพลิงพระศพครั้งนโ้ี ดยทั่วถงึ โดยได้กำ�หนดให้จดั สถานท่ีส�ำ หรบั ถวายดอกไมจ้ ันทน์ ดงั นี้ ในกรงุ เทพมหานคร ใหจ้ ดั พิธีถวายดอกไม้จันทนเ์ ปน็ ๒ สว่ น คือ ๑. จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร และวดั เทพศิรินทราวาส ๒. จดั พธิ ถี วายดอกไมจ้ นั ทนต์ ามวดั ตา่ ง ๆ ในพน้ื ทส่ี �ำ นกั งานเขต ๔๖ เขต ยกเวน้ ส�ำ นกั งานเขตพระนคร สำ�นักงานเขตดุสิต สำ�นักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย สำ�นักงานเขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณ วัดบวรนิเวศวิหาร และวัดเทพศริ นิ ทราวาส ในสว่ นภมู ภิ าค ใหจ้ ดั พธิ ถี วายดอกไมจ้ นั ทนท์ กุ จงั หวดั และทกุ อ�ำ เภอ โดยใหจ้ งั หวดั และอ�ำ เภอพจิ ารณา เลือกวดั หรอื สถานท่ีท่เี หมาะสม จังหวัดและอำ�เภอละ ๑ แห่ง สว่ นอ�ำ เภอเมืองจดั พธิ รี ว่ มกับจังหวัด เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ทรงเจริญพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษากบั ๒๑ วนั ทรงด�ำ รงอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ๘๖ ปี ทรงดำ�รงตำ�แหน่ง เจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวหิ าร ๕๒ ปี ทรงเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ๕๐ ปี ทรงเปน็ เจ้าคณะใหญค่ ณะ ธรรมยตุ ๒๕ ปี ทรงดำ�รงต�ำ แหนง่ สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๒๔ ปี จะเห็นไดว้ ่าตลอด อายกุ าลอนั ยาวนานหน่ึงศตวรรษแห่งพระชนมชพี นัน้ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงรับภาระธรุ ะทางพระศาสนา10
เพมิ่ ทวคี ูณข้นึ เปน็ ล�ำ ดับ ยากท่จี ะหาพระเถระพระองค์ใดเทยี บเทยี ม ทัง้ ในด้านเวลาและหน้าทรี่ บั ผดิ ชอบ ด้วยกรอบของเวลาอันยาวนานและภาระหนา้ ท่ีอนั มากมาย แทนท่จี ะกลายเป็นภาระหนัก หรอื เปน็ทมี่ าของความเหนด็ เหน่ือย แต่กลบั เป็นโอกาสใหเ้ จ้าพระคุณสมเด็จฯ ไดท้ รงด�ำ รแิ ละสร้างสรรคผ์ ลงานอันเปน็ คุณประโยชน์แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเปน็ อนันต์ ไม่มีที่จะทรงเอื้อนเอ่ยคำ�ว่า “เหน่ือย” หรือ “ยาก” ให้ได้ยนิ และดูเหมือนว่ามแี ต่ค�ำ ว่า “ควร” ท�ำ อะไรอย่ใู นพระทยั เทา่ น้ัน แล้วก็ทรงท�ำ ไปตามทที่ รงเหน็ วา่ ควรท�ำ และก็ทรงทำ�ไปจนส�ำ เรจ็ ทกุ เร่อื งตามท่ีทรงเหน็ วา่ “ควร” เพราะฉะน้ัน ในพระชนมชีพของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ จงึ ทรงท�ำ สิ่งที่ควรทำ�ไวเ้ ปน็ อันมาก ทง้ั นกี้ ็ด้วยพระด�ำ ริท่ีทรงปรารภอยู่เสมอไมว่ ่าจะทรงทำ�เรื่องใดคอื “เปน็ ประโยชน์แกค่ นท่ัวไป” แมก้ ระทั่งเรื่องราวในพระประวัติของพระองคเ์ อง กเ็ คยรับสง่ั กบั ผู้ใกลช้ ิดว่า “เรื่องทไ่ี ม่เปน็ ประโยชน์แกค่ นทว่ั ไป ก็ไม่ตอ้ งพูด” หนงั สอื บวรธรรมบพติ ร พระประวตั สิ มเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกเล่มน้ี กเ็ กิดขึ้นโดยพยายามเดินตามแนวพระดำ�รขิ องเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ดังกล่าวข้างตน้ หลกั การในการน�ำ เสนอพระประวตั เิ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เลม่ น้ี กค็ อื ประมวลพระจรยิ วตั รและพระศาสนกจิตลอดท้งั ผลงานในดา้ นตา่ ง ๆ ของพระองค์ท่านมานำ�เสนอให้ท่านผู้อ่านไดพ้ จิ ารณาเท่าท่เี หน็ ว่าเป็นเร่ืองที่“ควร” และเปน็ “ประโยชน”์ แกค่ นทว่ั ไป โดยการจดั เนอ้ื หา ขอ้ มลู และรปู ลกั ษณ์ในแบบทผ่ี อู้ า่ นจะอา่ นไดง้ า่ ย ความสวยงามของหนงั สือ บวรธรรมบพิตร เล่มนี้ สำ�เร็จเรยี บรอ้ ยด้วยพลงั ศรทั ธาและกศุ ลเจตนาของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ดำ�เนินการออกแบบจนสำ�เร็จเรียบรอ้ ย เพ่ือนอ้ มถวายพระกศุ ล เทิดพระเกยี รติแด่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสงั วรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน) ด้วยกตญั ญูกตเวทิตาธรรม มลู นธิ สิ �ำ นกั งานทรพั ยส์ นิ สว่ นพระมหากษตั รยิ ์ไดจ้ ดั พมิ พโ์ ดยเสดจ็ พระราชกศุ ลในพระราชพธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ณ พระเมรวุ ดั เทพศริ นิ ทราวาสวันท่ี ๑๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ มูลนิธิสำ�นักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขอน้อมถวายกุศลบุญราศีอันจะพึงบังเกิดมีแก่การจัดพมิ พห์ นงั สอื บวรธรรมบพติ ร นแ้ี ดเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ พระญาณสงั วร พระองคน์ น้ั ขออตเิ รกปญุ ญวบิ ากนจ้ี งสมั ฤทธิแด่เจา้ พระคุณสมเดจ็ พระญาณสงั วรพระองค์นน้ั ตามควรแกพ่ ระคติวสิ ยั จงทกุ ประการเทอญ (นายจริ ายุ อศิ รางกูร ณ อยุธยา) ประธานกรรมการมลู นิธิสำ�นักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษตั ริย์ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ 11
บวรธรรมบพิตร สารบัญ ๓๔ ๘ คำ�ปรารภ ๘๐ ๑๐ ค�ำ นำ� ๔๘ ปรยิ ัตินำ�สปู่ ฏบิ ตั ิ ๑๖ ปฐมบท ๖๐ การวัด ๒๔ เปน็ สามเณร ๗๐ การศึกษาของคณะสงฆ์ ๓๐ วดั บวรนิเวศวหิ าร ๘๐ การบริหารคณะสงฆ์ ๓๔ เข้ากรุง ๘๗ ทรงรับสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระสังฆราช ๔๐ เม่อื แรกอยู่วดั บวรนเิ วศวิหาร ๙๒ พระราชพธิ ีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ๑๐๒ พระมหากรณุ า12
บวรธรรมบพิตร สารบญั ๓๐๘พระพุทธเจา้ ทรงสงั่ สอนอะไร ๒๒๘วิธปี ฏตบิ าตั มติ ธนรใรหมถ้ ะกู ต้อง ๒๙๐ ศลี สนั โดษ อวชิ ชาอักโกสกสตู รและขันติ พรหมวหิ าร ๔๑๓๐ สกลมหาสงั ฆปริณายก ๒๖๔ พระคณุ ธรรม๑๓๘ พระกรณียกิจด้านตา่ งประเทศ ๒๘๑ พระปฏปิ ทาแบบอย่าง๒๑๐ งานพระธรรมทูต ๒๙๐ พระกิตตคิ ุณ๒๒๘ ญาณสงั วร ๓๐๘ สิน้ พระชนม์๒๓๔ พระนิพนธ์ ๓๔๘ พระราชทานเพลิงพระศพ๒๔๐ พระประวตั ิด้านการก่อสรา้ ง ๓๕๔ หมายกำ�หนดการ๒๕๔ พระเคร่อื งในเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ๓๖๒ มรดกช้นิ เอก 13
14
15
ปฐมบท เราทา่ นทง้ั หลายยอ่ มเคยไดย้ นิ ส�ำ นวนไทยทว่ี า่ “ชา้ งเผอื กเกดิ ขน้ึ ในปา่ ” กนั มาบา้ งแลว้ ส�ำ นวนนม้ี คี วามหมายวา่ คนดมี วี ชิ าความรแู้ ละมเี กยี รตคิ ณุ รงุ่ เรอื งจ�ำ นวนไมน่ อ้ ยจงั หวัดกาญจนบรุ ี มไิ ดเ้ ปน็ ผทู้ ถ่ี อื ก�ำ เนดิ ขน้ึ ในพระนคร หากแตม่ กั จะมชี าตภิ มู มิ าจากหวั บา้ นหวั เมอื งตา่ งๆ เปรยี บไดก้ บั ชา้ งเผอื กซง่ึ เปน็ ชา้ งส�ำ คญั คพู่ ระบารมขี องพระมหากษตั รยิ เ์ จา้ ทไ่ี หนเลยจะพบพาน ได้ในพระมหานคร ชา้ งส�ำ คญั เหลา่ นน้ั ลว้ นแตม่ ถี น่ิ ก�ำ เนดิ ในปา่ ดงพงไพรทง้ั สน้ิ ถอ้ ยค�ำ ส�ำ นวนขา้ งตน้ นถ้ี า้ น�ำ มาพนิ จิ พเิ คราะห์ใหเ้ ชอ่ื มโยงกบั ชาตภิ มู หิ รอื ถน่ิ ก�ำ เนดิ ของ พระมหาเถระทเ่ี ปน็ หลกั ของคณะสงฆ์ไทยมาแตไ่ หนแตไ่ รเราจะพบวา่ มไิ ดผ้ ดิ ไปจาก ความเปน็ จรงิ เทา่ ไรนกั ในบรรดาพระมหาเถระทเ่ี ปน็ ศรขี องพระศาสนาและ ทรงพระเกยี รตคิ ณุ ยง่ิ พระองคห์ นง่ึ ทเ่ี พง่ิ เสดจ็ ลบั ลว่ งไป คอื สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก กท็ รงอย่ใู นฐานะทท่ี รงเปน็ “ชา้ งเผอื ก” จากตา่ งจงั หวดั เชน่ เดยี วกนั จงั หวดั ทว่ี า่ นน้ั คอื จงั หวดั กาญจนบรุ ี จงั หวัดกาญจนบุรี อยหู่ ่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันตก พ ร ะดุจดังอบุ ัติมาเพอื่ เป็น ราว ๑๒๘ กโิ ลเมตร ในอดตี กาญจนบรุ เี ปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นทส่ี �ำ คญั ของไทยเป็นเสมือนปราการด้านตะวันตกของราชอาณาจกั ร เปน็ ดนิ แดนที่กองทัพ ณปากแพรก ซง่ึ รจู้ กั ในเวลาตอ่ มาวา่ ต�ำ บลปากแพรก อำ�เภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี นี้เอง ชีวิตน้อยๆ ท้งั ฝา่ ยไทยและฝา่ ยพมา่ ยาตราผา่ นไปและผา่ นมาอย่มู ไิ ด้ขาด ชวี ิตหน่งึ ไดอ้ บุ ตั ใิ นครอบครวั ของนายน้อย และนางกมิ น้อย กาญจนบุรจี งึ เปน็ ชยั ภมู ทิ ี่ส�ำ คัญแห่งหนึ่งของไทยท่ีพระมหากษตั ริย์ไทย คชวตั ร เมอ่ื วนั ศกุ ร์ ขน้ึ ๔ ค�ำ่ เดอื น ๑๑ ปฉี ลู เวลาประมาณ หลายพระองค์ไดเ้ คยเสดจ็ ไปประทับ ทงั้ ในยามศกึ และในยามสงบ ๑๐ ทุ่มมีเศษ (๐๔.๐๐ น. เศษ) ของคืนวันที่ ๓ ตุลาคม นบั แต่แรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นว่า พ.ศ. ๒๔๕๖ (นับอยา่ งปจั จบุ นั เป็นวันท่ี ๔ ตุลาคม) นน่ั คือ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช เคยเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ อุบัติกาลของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ยกทพั หลวงไปตง้ั คา่ ยทป่ี ากแพรก อนั เปน็ จดุ ทแ่ี มน่ �ำ้ นอ้ ย (แควนอ้ ย) กบั สกลมหาสงั ฆปริณายก (เจริญ สวุ ฑฺฒโน)แมน่ �ำ้ ศรสี วสั ด์ิ (แควใหญ)่ ไหลมารวมกนั เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของแมน่ �ำ้ แมก่ ลอง ครน้ั ในรชั กาลที่ ๓ แผ่นดินพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยหู่ วัเมอ่ื เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี ยกทพั ไปปราบจลาจลเมอื งญวน ได้ครอบครัวญวนส่งเขา้ มาถวายตามธรรมเนยี มการศึกในครัง้ นน้ั กท็ รง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้พวกญวนที่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาเหลา่ น้ี ไปตั้งครอบครัวอยทู่ เ่ี มืองกาญจนบุรี เมื่อปลายปมี ะเมยี พ.ศ.๒๓๗๒ เพอ่ื รักษาปอ้ มเมอื ง เรียกวา่ “ญวนครัว” ครั้นล่วงมาถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื งกาญจนบรุ ี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ “ไทรโยค” กเ็ ปน็ ท�ำ เลทอ่ งเทย่ี วท่ีโปรดปรานยง่ิ นกั ไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ มายงั กาญจนบรุ หี ลายครง้ั หลายคราวในรชั กาลนน้ั16
บรรพชนของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ บรรพชนสายญวนนน้ั กค็ อื พวกญวนครวั พวกญวนทไ่ี ปตง้ั ครอบครวั อยทู่ เ่ี มอื งกาญจนบรุ ีมคี วามเปน็ มานา่ สนใจไมน่ อ้ ย กลา่ วคอื ในแผ่นดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดส้ รา้ งวัดญวนขึ้นทเ่ี มืองกาญจนบรุ วี ัดหนึ่งมาจาก ๔ ทิศทาง ชื่อวดั ค้ันถ่อตอื่ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รชั กาลท่ี ๕ ได้พระราชทาน• โยมบิดาน้นั มเี ชอื้ สายมาจากกรงุ เกา่ นามวดั วา่ “วัดถาวรวราราม”อยตู่ ดิ กบั วัดเทวสังฆารามส่วนบรรพชนสายจนี นัน้ ตามที่เลา่ กนัทางหนง่ึ มาจากปกั ษ์ใต้ทางหนงึ่ มาวา่ ได้โดยสารเรือสำ�เภามาจากเมอื งจนี แต่ไม่ปรากฏรายละเอยี ดวา่ มาจากเมืองใด เรือที่• โยมมารดามีเชื้อสายมาจากญวน โดยสารมาอบั ปางกอ่ นถงึ ฝง่ั เมอื งไทย แตบ่ รรพชนทา่ นนน้ั กร็ อดชวี ติ มาขน้ึ ฝง่ั เมอื งไทยได้ และทางหนงึ่ จากจนี ทางหน่ึง ได้ไปตัง้ หลักฐานทำ�การค้าอยู่เมืองกาญจนบุรีหต้นลสวกลุงคพชพิวตั ิธรภกั ดี ตามท่ีเลา่ กันมานน้ั หลวงพพิ ิธภักดีเปน็ ชาวกรุงเกา่ เขา้ มารับราชการในกรงุ เทพฯ ไดอ้ อกไปเป็นผู้ชว่ ยราชการอยู่ทเ่ี มอื งไชยาคราวหน่งึ และเป็นผู้หน่ึงทีพ่ ระบาทสมเด็จ พระนั่งเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๓ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ไปคุมเชลยท่ีเมือง พระตะบองคราวหน่ึง หลวงพิพธิ ภกั ดีไปไดภ้ ริยาชาวเมอื งไชยาสองคน ชือ่ ทบั คนหนึ่งช่อื นุน่ คนหน่งึ และได้ภรยิ าเป็นชาวเมอื งพมุ เรยี งซงึ่ อยู่ใกล้กันกับเมอื งไชยาอีกคนหน่ึง ชื่อแต้ม ตอ่ มาเม่อื คร้ังพวกแขกยกเข้าตีเมืองตรัง เมืองสงขลาของไทย เม่ือ พ.ศ. ๒๓๘๑ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยาศรพี พิ ัฒน์ (ทัด ต่อมาเปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพิชยั ญาติ ในรัชกาลที่ ๔) เป็นแม่ทพั ยกออกไปปราบปราม หลวงพพิ ธิ ภกั ดไี ดไ้ ปในราชการทพั ครง้ั นน้ั ดว้ ย และไปไดภ้ รยิ าชอ่ื จนี ซง่ึ เปน็ ธดิ าของพระปลดั เมอื งตะกว่ั ทงุ่ (สน) เปน็ หลานสาวพระตะกั่วทุ่ง หรือ พระยาโลหภมู พิ สิ ัย (ขนุ ด�ำ ชาวเมืองนครศรีธรรมราช) มีเรอื่ งราวดังปรากฏในจดหมายหลวงอดุ มสมบตั ิ ซงึ่เปน็ บนั ทึกของข้าราชการทา่ นหนึ่งในยุคสมัยนนั้ จดไว้ทำ�นองจดหมายเหตุของราชการ หลวงพิพธิ ภักดีได้พา จีน ภริยาจากตะกว่ั ทงุ่ มาตั้งครอบครัวอยู่ในกรงุ เทพฯ และได้รับภริยาเดมิ ชื่อแตม้ จากพุมเรียงมาอยู่ด้วย (สว่ นภรยิ าชาวเมอื งไชยาอีก ๒ คน ได้ถงึ แกก่ รรมไปก่อนแลว้ ) เวลานั้น พีช่ ายของหลวงพิพิธภกั ดี เปน็ ท่ี พระพิชยั สงครามเจ้าเมืองศรสี วัสดิ์ กาญจนบรุ ี และพระยาประสิทธสิ งคราม (ขำ�) เจา้ เมอื งกาญจนบุรีครงั้ น้นั ก็เปน็ อาของหลวงพพิ ธิ ภกั ดีดว้ ย ต่อมาหลวงพพิ ิธภกั ดีพาภรยิ าทัง้ สองไปตัง้ ครอบครวั อยทู่ ี่เมืองกาญจนบุรี เลา่ กันมาว่า หลวงพิพธิ ภกั ดเี ป็นคนดุ เมอื่ รบัราชการเป็นผู้ชว่ ยราชการเมอื งไชยา เคยเฆ่ยี นนักโทษตายท้งั คา เปน็ เหตุให้หลวงพพิ ิธภักดีสลดใจลาออกจากราชการ แต่บางคนกลา่ ววา่ ตอ้ งออกจากราชการเพราะเกดิ ความขน้ึ เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั จนี หลานสาวพระตะกว่ั ทงุ่ เมอ่ื อพยพมาอยทู่ เ่ี มอื งกาญจนบรุ แี ลว้พระพชิ ยั สงครามผพู้ ช่ี ายจะใหเ้ ขา้ รบั ราชการอกี ครง้ั หนง่ึ แตห่ ลวงพพิ ธิ ภกั ดปี ฏเิ สธ และสมคั รใจทจ่ี ะท�ำ นาเลย้ี งชพี และมลี กู หลานสืบเชือ้ วงศต์ อ่ มาถงึ นายน้อย คชวัตร ผเู้ ปน็ โยมบิดาของเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ 17
ตระกลู ฝา่ ยพระชนก *เชอื้ สายชาวปักษ์ใต้ พระยาถลางจอมร้าง + หม่าเสี้ยพระยาถลาง ท้าวเทพกระษตั รี ทา้ วศรีสนุ ทร หมา พระถลาง พระปลัด (อาด) (เรือง)จ้าวจอมมารดาทอง หลวงยกกระบตั ร แม่ก่ิม พระปลัดสน ในรัชกาลท่ี ๑ (จุย้ ) (พระเพชรครี ีศรพี ิไชยสงคราม)พระองค์เจ้าหญงิ อุบล เมืองตะก่ัวทงุ่ นาค (ญ.) จนี (ญ.) หลวงพพิ ิธภกั ดี สุ่น (ญ.) (นาค บุณยษั เฐยี ร) (ตน้ สกุลคชวัตร)อารีย์รกั ษ์ + ทรัพย์ (ญ.) บวั (ช.) เล็ก (ช.) สุด (ช.) แดงอม่ิ (พระครสู ิงคิบรุ คณาจารย)์ เทศน์ (ญ.) น้อย (ช.) กิมน้อย (ญ.) เจริญ คชวัตร คือ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สวุ ฑฒฺ นมหาเถร)18
สาแหรกตระกูลเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ พระยาโลหภูมิพสิ ยั + คณุ ชีอินพระยาบรสิ ุทธโิ ลหภูมนิ ทราธิบดี พระปลดั สน พระเพชรคีรศี รพี ิไชยสงคราม เมอื งตะก่ัวทุ่ง (พระเพชรครี ศี รพี ิไชยสงคราม) (เหม็น) เมืองตะกวั่ ทงุ่ อาของหลวงพพิ ิธภักดี : พระยาประสทิ ธสิ งคราม (ข�ำ ) เจ้าเมืองกาญจนบรุ ี*เช้อื สายกรุงเก่าอยุธยา พี่ชายของหลวงพพิ ิธภักดี ตระกูลฝา่ ยพระชนนี พระพชิ ัยสงคราม เจ้าเมอื งศรีสวสั ดิ์ *เชื้อสายจนี *เช้อื สายญวนครัว จ.กาญจนบุรี สขุ รุง่ สว่าง (ช.) เฮงเล็ก แซต่ น๊ั (ช.) ทองคำ� (ญ.) ถึงแกก่ รรม ครอบครวั สามีใหมน่ างทองค�ำ และบตุ รชาย ๔ คนหลังจากนางทองค�ำ กมิ น้อย (ญ.) เสยี ม (ช.) เดมิ (ช.) แถม (ช.) ทองดี (ช.) มลี ูกสาว ๒ คน กมิ เฮง (ญ.) (หรอื ปา้ เฮ้ง)(ญ.) ถึงแกก่ รรม จ�ำ เนียร (ช.) สมทุ ร (ช.)ต้ังแต่ยังไมต่ ัง้ ชื่อ ถึงแกก่ รรม ถึงแก่กรรม 19
พระชนก พระชนนี • นายนอ้ ย คชวตั ร • นางกมิ น้อย คชวตั ร เปน็ บุตรนายเล็กและ เปน็ บตุ รนายเฮงเล็ก นางแดงอิม่ เปน็ หลานปู่ หลานย่าของหลวงพพิ ิธภกั ดี แซ่ตัน๊ (เชอื้ สายจีน) และ และนางจีน เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ� เดือนยี่ ปีวอก นางทองคำ� (เช้อื สายญวน) ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ได้เรียนหนังสือ เกดิ เมอ่ื วนั จันทร์ แรม ๖ ค�่ำ ตลอดจนถงึ ไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษอุ ยู่ ๒ พรรษา ในส�ำ นกั เดอื น ๑๑ ปีจอ ตรงกบั วันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ พระครูสิงคิบุรคณาจารย์ (สุด) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม ท่ตี �ำ บลบ้านเหนอื อำ�เภอเมอื ง จังหวัดกาญจนบรุ ี มชี ่ือ (วดั เหนอื ) ซ่ึงเป็นวัดใกลบ้ า้ น พระครูสงิ คบิ ุรคณาจารย์ เป็น เรียกเมอื่ เปน็ เด็กว่า “กมิ นอ้ ย” แปลวา่ เข็มน้อย คำ�วา่ บุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดีและนางจีน เป็นอาคนเล็ก “กิม” เปน็ ค�ำ ญวน แปลวา่ เข็ม นางกิมนอ้ ยแต่งงานกบั ของนายน้อย คชวัตรเอง เมือ่ นายน้อยลาสิกขาแลว้ ได้เขา้ รบั นายนอ้ ย คชวัตร เม่ืออายุ ๒๕ ปี และใชช้ ื่อเม่ือแต่งงานแล้ว ราชการ เริม่ แตเ่ ป็นเสมียนสงั กดั กระทรวงมหาดไทยทเ่ี มอื ง ตามท่ีพบในสมุดบนั ทกึ ของนายนอ้ ยวา่ “แดงแกว้ ” แต่ กาญจนบุรี และได้แต่งงานกับนางกิมนอ้ ย เมอื่ อายุนายนอ้ ย ตอ่ มากลบั มาใชช้ อ่ื วา่ “กมิ นอ้ ย” หรอื “นอ้ ย” ตามเดมิ ได้ ๒๗ ปี นางกมิ นอ้ ย พดู ญวนไดแ้ ละอา่ นเขยี นภาษาไทยไดเ้ ลก็ นอ้ ย ชีวิตของครอบครัวของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความสุขน้อย ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ นัน้ เอง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เนื่องมาจากความเจ็บป่วยและความมีอายุสั้นของหัวหน้าครอบครัว กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไดเ้ สดจ็ ตรวจการคณะสงฆ์ ตามประวัติราชการ นายน้อย คชวัตร ได้เป็นเสมียนอำ�เภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ขณะประทับที่วัดเทวสังฆาราม กาญจนบรุ ี เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๕ จนเปน็ ผรู้ ง้ั ปลดั ขวา เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้โปรดใหข้ า้ ราชการและชาวบา้ นน�ำ บตุ รหลานเลก็ ๆ ตอ่ มาได้ไปตรวจราชการทอ้ งทก่ี ลบั มาปว่ ยเปน็ ไขอ้ ยา่ งแรงตอ้ ง เขา้ เฝา้ นายนอ้ ย คชวตั ร กไ็ ดน้ �ำ บตุ รคนโตอายุ ๒ ขวบ ออกจากราชการคราวหน่ึง หายป่วยแลว้ จงึ กลบั เข้ารบั ราชการใหม่ คอื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ หรอื เดก็ ชายเจรญิ เขา้ เฝา้ ดว้ ย และได้ใหก้ �ำ เนดิ บตุ รคนโต คอื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นปลดั ขวา อำ�เภอวังขนาย ซึ่งอยู่ในพ้ืนทจ่ี ังหวดั กาญจนบรุ ีน้นั เอง แต่ในเวลานนั้ ยังไม่มผี ู้ใดเฉลยี วใจว่า ในปีต่อมา ได้สมัครเป็นสมาชิกเสือป่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ เหตุการณว์ นั นัน้ มคี วามหมายยิ่งส�ำ หรบั ในศกนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ วงการคณะสงฆ์ไทยเพราะเปน็ โอกาสเดยี ว เสดจ็ พระราชดำ�เนนิ ไปทรงซอ้ มรบเสอื ป่าทบี่ า้ นโปง่ และนครปฐม ท่สี มเดจ็ พระมหาสมณเจ้าฯ กบั เจา้ พระคณุ นายนอ้ ยกไ็ ดม้ โี อกาสไปร่วมซ้อมรบดว้ ย สมเด็จฯ ซึง่ ทัง้ สองพระองค์ตา่ งเป็น สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกท้ังคูท่ รงได้พบกัน20
“ป้ า เ ฮ้ ง”• กมิ เฮง้ พีส่ าวคนเดยี วของนางกมิ นอ้ ยซ่ึงรักใคร่สนิทสนมกนั มาก เม่ืออายไุ ด้ราว ๑๓ - ๑๔ ปี กิมเฮ้งป่วยดว้ ยโรคอสี ุกอใี สอนั เปน็ เหตใุ หก้ มิ เฮง้ ตาบอดทง้ั ๒ ขา้ งมาแตค่ รง้ั นน้ั กมิ เฮง้ ซง่ึ ญาตพิ น่ี อ้ งเรยี กกนั วา่ “ปา้ เฮง้ ” จงึ ด�ำ รงชวี ติ เปน็ โสดมาตลอดอายุเมอ่ื นอ้ งสาวคือ นางกมิ น้อย แต่งงาน ปา้ เฮง้ จึงไดต้ กลงกับนอ้ งสาววา่ ถ้ามีลูกคนแรกเป็นชาย จะขอเอาไปเลย้ี งเป็นลกู ครั้นน้องสาวมลี ูกคนแรกกป็ รากฏว่าเป็นลกู ชายจรงิ ๆ ป้าเฮง้ ดีใจมากที่ได้หลานชายคนแรกมาเลย้ี งเป็นลกู และด้วยเหตุท่หี ลานคนแรกเกิดมาเปน็ ชายสมความปรารถนา ทำ�ใหค้ ิดวา่ หลานชายคนนคี้ งเกิดมาเพอื่ ความสขุ ความเจริญ ของพอ่ แมแ่ ละครอบครวั เปน็ แน่ ปา้ เฮง้ จงึ ต้งั ช่อื หลานรักว่า “เจริญ” และได้เล้ียงดเู จ้าพระคุณสมเด็จฯ มาแต่เยาว์วัย ป้าเฮ้งแม้จะตาบอดทั้ง ๒ ข้าง แต่เป็นคนมีความสามารถทำ�งานต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว เม่อื เจ้าพระคณุ สมเด็จฯเติบโตขน้ึ ปา้ เฮ้งรู้สกึ ว่าล�ำ พังตนคนเดยี วซ่งึ เป็นคนตาบอดคงจะเลยี้ งดูหลานรกั ได้ไม่เตม็ ที่ จงึ ได้ขอใหน้ ้องชายคนหนงึ่ ช่ือเสยี ม มาช่วยเลย้ี งดเู จ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ขณะทรงพระเยาวด์ ว้ ย๑ สามเณรเจรญิ (ยนื แถวหลัง ที่ ๒ จากซา้ ย) กบั เพื่อนสามเณรและน้องชายท้ังสองคน๒ น้าชายทงั้ ส่ี (จากซ้าย) เสียม เติม แถม ทองดี๓ นายสุข รุ่งสวา่ ง คณุ ตาของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ต่อมานายนอ้ ย คชวัตร ได้ยา้ ยไปเป็นปลัดอำ�เภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม แลว้ ป่วยเปน็ โรคเน้อื รา้ ยงอกข้ึนเม่ืออาการมากได้กลับมารักษาตวั ทบี่ า้ นกาญจนบรุ ีและถงึ แกก่ รรมเม่อื พ.ศ. ๒๔๖๕ ขณะมีอายเุ พยี ง ๓๘ ปี ท้งิ บตุ ร๓ คนซึ่งยังมอี ายุนอ้ ยๆ ให้อยูใ่ นอปุ การะของภรยิ า 21
เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ น้นั ซงึ่ โยมปา้ เฮ้งไดข้ อไป บนวา่ ถ้าหายจะให้บวชแก้บน ขอ้ นีเ้ ปน็ เหตหุ น่งึ ทีท่ �ำ ให้ เล้ยี งต้ังแตเ่ ลก็ ๆ และได้อยกู่ บั โยมป้าเรือ่ ยมา แม้เม่ือ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ บวชเณรในเวลาต่อมา โยมมารดาย้ายไปอยู่จงั หวดั สมุทรสงคราม กห็ าได้นำ� เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าโรงเรียนประถมศึกษา เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ไปด้วยไม่ เพราะเกรงใจโยมป้าซง่ึ เมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๘ พรรษา ท่โี รงเรียนประชาบาลวดั รกั เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ มาก โยมปา้ เลยี้ งเอาใจเด็กชาย เทวสังฆาราม เรียนในศาลาวดั จบประถม ๓ เทา่ กับ เจรญิ มากเสียจนใคร ๆ พากันวา่ เลยี้ งตามใจเกนิ ไปจะ จบประถมศึกษาเมื่อครั้งกระนั้น ถ้าจะเรียนต่อชั้น ทำ�ให้เสียเดก็ ภายหลงั แต่โยมปา้ กเ็ ถยี งว่า “ไมเ่ สยี ” มัธยมศึกษาก็ต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพล ซึ่งบัดนี้กาลเวลาก็ได้พิสจู นแ์ ล้วว่า ถอ้ ยคำ�ของโยมปา้ ชนะสงคราม (วดั ใต)้ ซงึ่ เป็นโรงเรียนประจำ�จงั หวดั แต่ เปน็ จรงิ ทุกประการ ครโู รงเรยี นวัดเทวสงั ฆาราม ชวนใหเ้ รียนช้นั ประถม ๔ ชวี ติ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เมอ่ื ทรงพระเยาวก์ อ่ นบวช ซ่ึงจะเปิดสอนตอ่ ไป เท่ากบั ชน้ั มัธยมปที ี่ ๑ และจะเปดิ นั้นมที งั้ สุขและทกุ ข์มีทงั้ ทางดแี ละทางเสยี คนภายนอก ช้นั ประถม ๕ เท่ากบั ช้นั มัธยมปีที่ ๒ ต่อไปอีก เพยี งแต่ มกั จะเหน็ วา่ ทรงเปน็ เดก็ ออ่ นแอขอ้ี าย สขุ กค็ อื มโี ยมปา้ ท่ี ไมม่ กี ารเรยี นการสอนวชิ าภาษาองั กฤษเทา่ นน้ั จงึ ตกลง คอยพะนอเอาใจ ทกุ ขก์ ค็ อื ความพลดั พรากขดั ขอ้ งทต่ี อ้ ง เรียนท่วี ดั เทวสงั ฆารามต่อไป ขณะท่ีมเี พื่อนนกั เรียนรุ่น พบมาตง้ั แตเ่ ล็กๆ และรา่ งกายอ่อนแอจรงิ เจบ็ ป่วยอยู่ เดยี วกนั หลายคนไปเรยี นชน้ั มธั ยมทโ่ี รงเรยี นวดั ชยั ชมุ พลฯ เสมอ คราวหนง่ึ เจบ็ มากถึงกับผู้ใหญ่คิดว่าไม่หาย และ แล้วไปเรยี นตอ่ ทกี่ รงุ เทพฯ ชอบ เล่น เป็น พระ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีพระอุปนิสัยใฝ่พระทัยทางพระศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ กล่าวคือ ทรงชอบเล่นเป็นพระ ท�ำ คัมภีร์ส�ำ หรบั เทศนข์ นาดเลก็ ทรงประดิษฐ์พดั ยศขนาดเลก็ จ�ำ ลองตามแบบ ทท่ี อดพระเนตรเหน็ คอื พดั ยศของพระครอู ดลุ ยสมณกจิ เจา้ อาวาสวดั เทวสงั ฆาราม ซง่ึ อย่ใู นละแวกบา้ น ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเก็บหินมาทำ�ภูเขา มีถ้ำ� ทำ�เจดีย์เล็กบนยอดเขา เล่นทอดกฐินผ้าป่า เลน่ ท้ิงกระจาดและท�ำ รปู ยมบาลขนาดเลก็ ด้วยกระดาษแบบพิธที งิ้ กระจาดทว่ี ดั ญวน จนเกิดป่วยไข้ขน้ึ เปน็ เหตุใหผ้ ู้ใหญต่ อ้ งนำ�รปู ยมบาลนน้ั ไปเผาทิง้ เสยี บางคราวท่ี โยมปา้ ต้องตื่นแต่เช้ามดื ออกไปท�ำ งาน โยมป้าก็ต้องให้เทียนไว้ส�ำ หรับ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ซ่ึงไม่ยอมนอน จะได้จุดเทยี นน้นั และนัง่ ดเู ล่น22
ลูกเสอื เอก เจริญ คชวัตร ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ลกู เสอื ทกุ คนของจงั หวดั กาญจนบรุ ี รวมท้ังเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ได้เตรยี มการฝกึ ซอ้ มอย่างหนัก ในระหวา่ งเปน็ นกั เรยี น เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดส้ มคั ร โดยใชพ้ ลองแทนอาวธุ ปนื ของทหารเพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั ฐานะ เปน็ ลกู เสอื ไดเ้ รยี นวชิ าลกู เสอื จนสอบไดเ้ ปน็ ลกู เสอื เอก ของลูกเสือ เพราะมีแผนการว่าจะได้เข้าร่วมสมทบใน มีเอกสารทเี่ ปน็ ลายพระหตั ถเ์ กา่ แกช่ ิน้ หน่งึ ท่ีทรงจดไว้ การซอ้ มรบเสอื ปา่ ตามพระราชนิยมในรชั กาลท่ี ๖ ซงึ่ มี เมื่อทรงเป็น “ลูกเสือเอก เจริญ” ขณะทรงมีอายุ ก�ำ หนดวา่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะเสดจ็ ราวสิบปเี ศษ มเี นือ้ ความเลา่ รายละเอียดของงานพธิ ี พระราชด�ำ เนนิ ไปทรงซอ้ มรบเสือปา่ ท่นี ครปฐม บา้ นโป่ง ถอื น้�ำ พระพิพฒั น์สตั ยา น่าสังเกตว่าทรงจดรายละเอียด และจะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหล้ กู เสอื จากกาญจนบรุ ี ของพิธีการรวมตลอดถึงถ้อยคำ�สาบานในพิธีได้ เขา้ รว่ มการซอ้ มรบดว้ ย แตก่ ็ไดเ้ สดจ็ สวรรคตเสียกอ่ นใน ครบถว้ น เอกสารชน้ิ นฉ้ี ายใหเ้ หน็ แววพระปรชี าสามารถ เดือนพฤศจกิ ายน ศกนน้ั เอง เรอ่ื งการซ้อมรบเสอื ป่าและ และพระอัธยาศัยท่ีทรงช่างจดช่างจำ�มาต้ังแต่พระชันษา ลกู เสือจงึ เป็นอนั ถกู ยกเลกิ ไป ยงั น้อย และไดท้ รงปฏิบัตติ อ่ เนือ่ งมาตลอดพระชนมชพี อนึ่ง สมควรกล่าวด้วยว่า ขณะเป็นนักเรียนอยู่นั้น เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ เคยรับเสดจ็ เจ้านายหลายครง้ั เชน่ คร้ังหนึ่ง สมเดจ็ พระราชปติ ลุ าบรมพงศาภมิ ขุ เจ้าฟ้าภาณุ รงั ษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช พระปิตลุ า (อา) ในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัว ได้เสดจ็ ประพาสเมืองกาญจนบุรี และได้เสด็จเยี่ยมโรงเรียนวัด เทวสังฆาราม เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งทรงเป็นนักเรียน ในโรงเรยี นดังกล่าวกไ็ ด้รว่ มรับเสดจ็ ดว้ ย ยอ้ นกลบั มากล่าวถึงเร่อื งการศึกษา เม่ือเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงเรยี นถึงช้ันประถม ๕ ก็ทรงเรมิ่ รูส้ ึกวา่ มาถึง ทางตัน เพราะเมื่อจบช้นั ประถม ๕ ซงึ่ เป็นช้นั สงู สุดของ โรงเรยี นวดั เทวสงั ฆารามแลว้ กไ็ มร่ วู้ า่ จะไปเรยี นตอ่ ไดท้ ไ่ี หน เพราะในขณะนั้นไม่ทรงมีโยมบิดาที่จะเป็นผู้นำ�และชี้แนะ ข้างฝ่ายโยมมารดาและป้าเฮ้งก็ไม่มีความสันทัดในเรื่อง เช่นนี้ อีกท้งั ขณะทรงพระเยาว์ก็รูส้ ึกพระองค์เองว่าขลาด กลัวที่จะต้องสมาคมกับหมู่คนท่ีไม่คุ้นเคยหรือเพ่ิงเร่ิมรู้จัก ทำ�ให้ไมท่ รงกลา้ ตัดสนิ ใจไปเรยี นต่อทอี่ ่นื ความคดิ ความรู้สกึ ทว่ี า่ ไดม้ า “ถงึ ทางตนั ” น้นั ท�ำ ใหท้ รงรูส้ กึ วา่ บัดนีไ้ ด้ทรงเดนิ มาถึง “ทางแยก” ที่ส�ำ คัญของชีวติ นน่ั เองลายพระหัตถเ์ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เรื่องพิธีถอื นำ้�พระพิพัฒน์สตั ยาเมอ่ื ครงั้ ทรงเป็น “ลกู เสอื เอกเจรญิ คชวัตร” 23
เป็นสามเณร มีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ล้มป่วยอยู่บ่อย ๆ ดังทเี่ ล่ามาแล้วว่าท่าน ผู้ใหญ่ในครอบครัวจงึ บนบานสิง่ ศักดส์ิ ทิ ธขิ์ อให้หายปว่ ย หากหาย ท่ีกล่าวมาแล้วว่าเมื่อใกล้จะสำ�เร็จการศึกษาชั้นประถม ปว่ ยจรงิ กจ็ ะใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ บวชเปน็ สามเณร การบนบานจากโรงเรยี นวัดเทวสังฆาราม เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงรสู้ ึก เรอ่ื งน้ีไดผ้ ลดี โยมมารดาและโยมป้าเฮ้งจงึ ชกั ชวนให้เจ้าพระคณุว่าเดินมาถึงทางตันและจะต้องตัดสินใจเลือกทางเดินสำ�หรับ สมเด็จฯ บวชเป็นสามเณรเพื่อแก้บนตามที่ไดส้ ัญญาไวเ้ สยี ในคราวชีวิตในวันข้างหน้า “ทางตัน” ทางโลกที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เดียวกัน การบรรพชาเป็นสามเณรครั้งนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงพบในวันน้ันทำ�ให้คนไทยทั้งชาติมีวาสนาท่ีจะได้ชมบุญ มพี ระชนมายุเข้า ๑๔ พรรษา พระครูอดลุ ยสมณกจิ (ดี พทุ ฺธโชติ)เจ้าพระคุณสมเด็จฯ บนเส้นทางเดินสายใหม่คือการดำ�เนิน เจา้ อาวาสวดั เทวสังฆารามท่ีเรยี กกนั ทว่ั ไปวา่ “หลวงพ่อวัดเหนอื ”ตามรอยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้ทรง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ)ประกาศเส้นทางอันนำ�ไปสู่ความสุขสงบที่แท้จริงมาช้านานกว่า เจา้ อาวาสวดั ศรอี ปุ ลาราม ทเ่ี รยี กกนั วา่ “หลวงพอ่ วดั หนองบวั ” เปน็สองพันปแี ล้ว พระอาจารย์ใหส้ รณะและศลี บวชแลว้ จ�ำ พรรษาอยทู่ ว่ี ดั เทวสงั ฆาราม ก่อนที่จะทรงบรรพชาเปน็ สามเณร เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ซึ่งเปน็ พระอารามฝ่ายมหานิกายไม่เคยอยู่วัด และไม่คุ้นเคยกับหลวงพ่อหรือพระภิกษุรูปใดเป็นพิเศษ ทท่ี รงเข้าออกนอกในกับวดั เทวสังฆาราม ก็เป็นแต่ มีเร่อื งเล่ากนั สืบมาว่า เมือ่ ทรงพระเยาว์เพียงไปเรียนหนงั สือในวัด และไปบำ�เพ็ญกุศลตามเทศกาล เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ อยกู่ บั โยมปา้ เฮง้ ไมเ่ คยแยกจากกนัตา่ ง ๆ ในวดั บางคราวเคยตามโยมปา้ ไปฟงั เทศน์ตอนค่ำ� มอี ยู่ นอกจากเวลาไปแรมคนื เมอ่ื เปน็ ลกู เสอื บางครง้ั เทา่ นน้ัพรรษาหนง่ึ ทางวดั จดั ใหม้ เี ทศนช์ าดกตดิ ตอ่ กนั ทกุ คนื ตลอดพรรษา คนื วนั สดุ ทา้ ยกอ่ นบรรพชาเปน็ สามเณร โยมปา้ เฮง้ พดู วา่เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ตดิ ใจเร่งโยมป้าใหพ้ าไปฟงั นทิ านทุกคนืแตถ่ า้ ถึงตอนทเ่ี ปน็ เทศน์ธรรมะ ฟังไมเ่ ข้าใจก็เร่งให้กลบั บ้าน “คืนนีเ้ ปน็ คนื สุดท้ายท่ีจะอยูด่ ว้ ยกนั ” ในต้นพรรษา พ.ศ. ๒๔๖๙ ซง่ึ เปน็ ปแี รกในรัชกาล ซ่งึ วันเวลาตอ่ มาก็ได้พสิ จู นแ์ ลว้ วา่ เปน็ ความจรงิพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั แลว้ มีน้าของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ จะออกบวชเป็นพระภิกษทุ ่วี ดั เทวสังฆารามสองคน เพราะทง้ั สองไดแ้ ยกจากกนั ตง้ั แตว่ นั นัน้ มาคือนา้ แถมกบั นา้ ทองดี ก่อนหน้านน้ั ไม่นานเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ จนอวสานแหง่ ชวี ิตของโยมป้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗24
ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ห ลั ก ก า ร ที่ สำ � คั ญ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ หรือชาวบ้านทว่ั ไป ก็ศกึ ษาเรื่องศลี คอื ศกึ ษาเรียนรูเ้ รือ่ งศลีประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา อันหมายถงึ การฝกึ หดั ควบคุมพฤตกิ รรมทางกาย ทางวาจา ให้มปี กติอยใู่ นกรอบคือการศึกษา พระพุทธศาสนานั้น ของความถกู ตอ้ งดงี าม ศึกษาเร่อื งจติ หรอื สมาธิ อนั หมายถึงการฝึกหัดควบคมุเรียกได้ว่าเป็นศาสนาแห่งการศึกษา ความคิดจิตใจให้มีความสงบมั่นคงพร้อมที่จะทำ�การงานหน้าที่ต่าง ๆ ของชีวิตเพราะการเริ่มต้นชีวิตทางศาสนาใน ไดอ้ ย่างมัน่ คงถกู ต้อง ศกึ ษาเร่ืองปญั ญา กค็ อื ฝึกหดั พฒั นาปญั ญา ความรคู้ วามพระพทุ ธศาสนานน้ั เรม่ิ ดว้ ยการศกึ ษา สามารถในอันทีจ่ ะท�ำ ให้รู้ผดิ ชอบชวั่ ดี ส�ำ หรับเป็นเครื่องชน้ี ำ�ชีวติ ให้ด�ำ เนินไปในไม่ว่าจะเป็น ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ ทางทถี่ กู ตอ้ งดีงาม การศึกษาดงั กลา่ วเรยี กว่า สีลสิกขา จติ ตสิกขา ปญั ญาสกิ ขาคือผู้ที่ยังดำ�เนินชีวิตในทางโลกทั่วไป หรือเขยี นและออกเสียงแบบไทยๆ ว่า ศีลศกึ ษา จิตศกึ ษา ปญั ญาศกึ ษาหรือเป็นอนาคาริกหรือบรรพชิต คือ สำ�หรับบรรพชติ หรอื นกั บวชในพระพุทธศาสนาที่เรียกวา่ พระภิกษสุ ามเณรพระภิกษุสามเณรหรือเรียกว่านักบวช ก็จะต้องศึกษาให้ยิ่งขึ้นและเพิ่มขึ้นกว่าฆราวาส ในเรื่องสีลสิกขา ก็จะต้องเป็นก็จะต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษาตาม อธิสีลสิกขา ในเรื่องจิตตสิกขา ก็จะต้องเป็นอธิจิตตสิกขา และในเรื่องปัญญาหลักการศึกษาในพระพุทธศาสนาที่ สิกขา ก็จะต้องเป็นอธิปัญญาสิกขา และยังมีสิกขา หรือการศึกษาที่จะต้องเพิ่มเรยี กวา่ ไตรสกิ ขาอนั ไดแ้ ก่การศกึ ษา ขึ้นอีก ได้แก่สิกขาบท หรือพระวินัยบัญญัติ ที่เรียกกันทั่วไปว่าศีลของพระ ซึ่งในหลักสำ�คัญสามประการ คอื ศกึ ษา เปน็ ข้อก�ำ หนดทีจ่ ะพงึ ศึกษาเพมิ่ ขนึ้ จากการศึกษาของคฤหสั ถอ์ กี เปน็ จ�ำ นวนมากเร่ืองศลี ศกึ ษาเร่ืองจิต หรอื เรอื่ งสมาธิ แต่โดยสรุปแลว้ ไม่ว่าจะเปน็ สกิ ขาสำ�หรับคฤหสั ถห์ รอื สิกขาส�ำ หรับบรรพชิตและศึกษาเรื่องปัญญา หรือพระภิกษุสามเณร ก็ล้วนเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตให้มีความสมบูรณ์ยิ่ง ขึน้ ตามล�ำ ดับ หรอื ตามข้ันตอนของการศกึ ษา พระพทุ ธศาสนาใหค้ วามส�ำ คัญแก่ การศึกษาเปน็ อันดบั แรก และเปน็ แกนกลางของการพัฒนาชวี ติ และยกยอ่ งบคุ คล ผู้ ใคร่ในการศึกษาว่าเป็นบุคคลพิเศษที่คนท่ัวไปควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่าง เรียกว่า เอตทัคคะ ที่แปลว่า เป็นเลิศในทางนั้น พุทธสาวกที่พระพุทธองค์ทรง ยกย่องว่าเป็นเลิศในทางใคร่การศึกษาหรือว่าเป็นเยี่ยงอย่างในทางการศึกษา ที่ เรยี กว่า สกิ ขากามะ กค็ ือพระราหุล พระพทุ ธศาสนาได้แสดงใหเ้ ห็นวา่ การศกึ ษาคือการพฒั นาชีวติ ใหเ้ จริญก้าวหน้า ทัง้ ในด้านพฤติกรรม ความคดิ จติ ใจ และสตปิ ัญญาความสามารถ ชีวติ ที่ขาดการศึกษา จงึ เป็นชีวติ ที่ขาดการพัฒนา และชีวติ ทข่ี าดการพัฒนา ก็คือชวี ติ ปราศจากความเจรญิ 25
พระประวัตขิ องเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ แสดงใหเ้ ห็น วา่ ทรงเปน็ ผู้ใครใ่ นการศึกษามาตั้งแต่ต้น แมเ้ มือ่ ยัง ทรงพระเยาว์กท็ รงใครค่ รวญถงึ การศกึ ษา ซงึ่ ยังผล ใหท้ รงรสู้ กึ วา่ พระองคม์ าถงึ ทางตนั คอื ไมร่ จู้ ะไปเรยี น ตอ่ ทไ่ี หน แตก่ ม็ แี รงผลกั ดนั บางอยา่ งมาท�ำ ใหพ้ ระองค์ ทรงพบทางออกที่จะทำ�ให้พระองค์มีโอกาสศึกษา ต่อไปได้ นั่นคือ การบรรพชาเป็นสามเณรนั่นเอง เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงบรรพชาเปน็ สามเณร เมอื่ พระชนมายยุ า่ งเขา้ ปที ่ี ๑๔ ดงั กลา่ วมาแลว้ อนั ทจ่ี รงิ การบวชเณรของพระองค์ กเ็ ปน็ เพยี งการบวช แกบ้ น โดยทว่ั ไป การบวชแกบ้ นกบ็ วชกนั ไมก่ ว่ี นั กส็ กึ แตก่ ารบวชเณรของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ นน้ั มเี รอ่ื ง ส�ำ คญั ทท่ี �ำ ใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ลมื ความรู้สกึ วา่ ทรงบวชแกบ้ น สง่ิ นน้ั กค็ อื การเรยี นนน่ั เอง ทรงเลา่ ในภายหลงั วา่ ในพรรษาแรกนน้ั “หลวงพอ่ วดั เหนอื ” หรอื หลวงพอ่ ดี ผเู้ ปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ได้ใหพ้ ระองค์ ทอ่ งสามเณรสกิ ขา (คอื วตั รปฏบิ ตั ทิ ส่ี ามเณรจะตอ้ ง ศึกษา) ท่องท�ำ วัตรสวดมนต์ตา่ งๆ ทสี่ ำ�คญั คอื ทอ่ งจำ�เทศนท์ งั้ กณั ฑต์ ามค�ำ บอกของหลวงพ่อดี จนท่องจำ�ได้ทง้ั กัณฑ์ กลา่ วคอื เมอ่ื เขา้ ไปท�ำ อปุ ชั ฌายวตั รทกุ คนื ทา่ นอา่ นน�ำ ใหฟ้ งั เปน็ ตอน ๆ แลว้ ใหท้ อ่ งตามทลี ะวรรค คนื ละตอนจนจ�ำ ไดท้ ง้ั กณั ฑ์ แลว้ ใหข้ น้ึ เทศน์ ปากเปลา่ แกพ่ ทุ ธบรษิ ทั ในคนื วนั พระคนื หนง่ึ กณั ฑเ์ ทศนท์ ท่ี รงจ�ำ ไดเ้ ปน็ ประเดมิ น้ี คอื เทศนเ์ รอ่ื งอรยิ ทรพั ย์ ๗ ประการ ซง่ึ มใี จความส�ำ คญั วา่ อรยิ ทรพั ยเ์ จด็ ประการ ไดแ้ ก่ สทั ธา ศลี หริ ิ โอตตปั ปะ สตุ ะ จาคะ และปญั ญา ทรพั ยเ์ หลา่ นม้ี อี ยแู่ กบ่ คุ คล ผู้ใด บณั ฑติ กลา่ ววา่ ผนู้ น้ั เปน็ ผู้ไมจ่ นและชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องผนู้ น้ั ไมเ่ สยี เปลา่ กล่าวไดว้ า่ ผทู้ ่มี าทะลทุ างตนั ของเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ไปสู่ทางสวา่ งของชวี ติ กค็ ือ หลวงพอ่ ดี หรอื ทคี่ นท่วั ไปเรยี กกันวา่ หลวงพ่อวัดเหนือน่ันเอง และหลวงพอ่ เองกน็ ่าจะมองเหน็ แววในทางการศกึ ษาในตวั เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ขณะเมอ่ื ทรงเปน็ สามเณร จากการทดลองให้ท่องจ�ำ สามเณรสิกขา ท่องจำ�ทำ�วัตรสวดมนต์ และท่องจำ�เทศน์ท้ังกณั ฑ์ไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว เพราะ นี่คือกระบวนการเรียนขั้นต้นในพระพุทธศาสนา และคงจะเป็นที่ถูกกับพื้น พระอัธยาศยั ของเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ซง่ึ มีความโน้มเอยี งมาทางพระศาสนา อยแู่ ลว้ จงึ ทำ�ให้เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ เมอ่ื ยงั ทรงพระเยาว์นั้น ลมื การบวชแก้บน ฉะนน้ั เมื่อออกพรรษาแล้ว สามเณรเจริญทบี่ วชแก้บนกย็ งั ไมม่ ที ีท่าว่าจะสกึ หรอื ลาสกิ ขาแต่อยา่ งใด26
หลวงพอ่ ดีคงเหน็ แววในทางการศกึ ษาของเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ เม่อื ยงั เป็นสามเณร เจ้าพระคุณสมเด็จฯดงั กล่าวมาแลว้ หลวงพอ่ จงึ ได้ชักชวนสามเณรให้ไปเรียนบาลที ่วี ดั เสนหา นครปฐม ซ่ึงมีพระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร) เป็นเจ้าอาวาสและเป็นสำ�นักเรียนบาลีที่มีชื่อเสียง เม่ือขณะยังเป็นสามเณรเปน็ การทดสอบดกู อ่ น พร้อมทั้งได้วาดฝนั ใหแ้ ก่สามเณรในขณะน้ันว่า “ตอ่ ไปจะได้กลบั ได้ทรงบันทึกเหตุการณ์มาสอนท่วี ัดเหนอื แลว้ จะสร้างโรงเรยี นไว้ให”้ เกี่ยวกับการไปเรียนบาลี สมควรกลา่ วด้วยว่าในช่วงเวลาทเี่ จ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงศกึ ษาภาษาบาลีอยู่ ที่ วั ด เ ส น ห า ใ น ค รั้ ง นั้ นทวี่ ัดเสนหาน้นั พระครสู งั วรวนิ ัย (อาจ ชตุ นิ ฺธโร) ไดอ้ าพาธเปน็ วณั โรคถึงมรณภาพ ไว้อย่างน่าสนใจยิง่ ดงั น้ีพระปลดั หอ้ ย (ตอ่ มาเป็นพระครสู ังวรวินยั ) เปน็ เจ้าอาวาสสืบตอ่ มา เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯไดจ้ �ำ พรรษาอย่ทู ่วี ดั เสนหาเรียนแปลธรรมบทตอ่ ไปใน พ.ศ. ๒๔๗๒ อีกหนง่ึ พรรษา 27
จ ด ห ม า ย เ ห ตุ จากบนั ทกึ แสดงใหเ้ หน็ บรรยากาศการเรยี น และความกา้ วหนา้ ในการเรยี นบาลขี องเจา้ พระคณุ วนั ท่ี ๒๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๐ (วนั จนั ทร์ แรม ๖ ค�ำ่ เดอื น ๗ ปเี ถาะ) ทา่ น สมเดจ็ ฯ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สง่ิ ทเ่ี หน็ ไดจ้ ากบนั ทกึ ของพระครอู ดลุ ยสมณกจิ น�ำ ขา้ พเจา้ ไปวดั เสนหา จงั หวดั นครปฐม นายเตมิ รงุ่ สวา่ งไปสง่ ดว้ ย พระองคก์ ็คือ พระอปุ นสิ ัยในทางเปน็ คนละเอียดออกจากวดั เหนอื เวลา ๑๒ น. เศษ ถงึ วดั เสนหาเวลาเยน็ ทา่ นพระครอู ดลุ ยฯ ไดพ้ าขา้ พเจา้ ละออ มรี ะเบยี บ ชา่ งสงั เกต และชา่ งจดจ�ำ อนั นบัขน้ึ ฝากกบั ทา่ นพระครสู งั วรวนิ ยั เจา้ อาวาส ใหศ้ กึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม การมาเรยี นครง้ั นม้ี า ว่าเป็นพระอปุ นสิ ัยที่เป็นพื้นฐานของการพฒั นาโดยความพรอ้ มเพรยี งของญาตทิ ง้ั หลาย ครน้ั วนั แรม ๙ ค�ำ่ ทา่ นพระครอู ดลุ ยฯ กลบั ชวี ิตของพระองค์ไปตลอดพระชนมชีพขา้ พเจา้ รสู้ กึ เหงามาก จนทา่ นสมหุ เ์ คลอื บออกปากวา่ คงเรยี นไมส่ �ำ เรจ็ กระมงั ตอ่ ๆ มาเปน็ ปกติ และจากบนั ทกึ ของพระองค์ เมอ่ื ณ วนั แรม ๑๐ ค�ำ่ เดอื น ๗ วนั ท่ี ๒๒ มถิ นุ ายน วนั พฤหสั บดเี วลาบา่ ย แสดงให้เห็นวา่ ทรงมีเรม่ิ ทอ่ งเลม่ นามแลอพั ยยศพั ท์ ทอ่ งจบเมอ่ื วนั ขน้ึ ๘ ค�ำ่ เดอื น ๘ วนั นน้ั เอง เรม่ิ ทอ่ งเลม่ ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นสมาสแลตทั ธติ ทอ่ งจบเมอ่ื ณ วนั แรม ๑๒ ค�ำ่ เดอื น ๘ คือเรยี นได้เรว็ เมอ่ื ณ วนั ขน้ึ ๑ ค�ำ่ เดอื น ๙ วนั ท่ี ๘ สงิ หาคม เรม่ิ ทอ่ งเลม่ อาขยาตแลกติ ก์ และสอบไดท้ ่ี ๑ ทกุ คร้ัง วนั ที่ ๑ กรกฎาคม ไปโรงเรยี นเปน็ วนั แรก โรงเรยี นไดเ้ ปดิ สอนกอ่ นหลายวนัแลว้ สอนถงึ ภควนตฺ ศุ พั ท์ พระมหาภกั ด์ิ ศกั ดเ์ิ ฉลมิ วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม ออกมาเปน็ ครูเวลานน้ั ขา้ พเจา้ ทอ่ งหนงั สอื ไดถ้ งึ ตอนสงั ขยา เรยี นภควนตฺ ศุ พั ทเ์ ปน็ คราวแรก วนั ท่ี ๑ สงิ หาคม สอนจบเลม่ นามแลอพั ยยศพั ท์ วนั ท่ี ๒ สงิ หาคม (๕ฯ๙) สอบ ขา้ พเจา้ ไดท้ ่ี ๑ ไดร้ บั รางวลั คอื กระดาษฟสุ แกฟ๊๑ โหล ดนิ สอด�ำ ตราดาว ๑๐ แทง่ ซองจดหมาย ๑๐ ซอง ปากกา ๖ ตวั วนั ท่ี ๖ สงิ หาคม เรม่ิ เรยี นเลม่ สมาสแลตทั ธติ วนั ท่ี ( ๑๒ฯ๘ ) สอนจบเลม่ วนั ท่ี ๘ กนั ยายนสอบ แลว้ เรม่ิ เรยี นเลม่ อาขยาตแลกติ ก์ วนั ท่ี ( ฯ ) ครบ ๑๐๐ วันนับแต่วันถึงมรณกรรมของโยมตาสขุ ร่งุ สว่าง(ซึง่ เรยี กกันวา่ หมอสขุ ) ข้าพเจา้ กลบั ไปบ้านเนื่องในงานทำ�บญุ ๑๐๐ วนั เสยี ๗ วนัในระหว่างเร่มิ เรียนเลม่ อาขยาตแลกิตกน์ นั้ สอนจบเลม่ แล้ว สอบ ณ วันที่ ๘ ตุลาคมแล้วเรม่ิ เรยี นเล่มสมัญญาภธิ านแลสนธิ จบแลว้ แปลอภุ ยั ภาคทง้ั ๒ เล่ม ฉะเพาะแปลมคธเปน็ ไทย สอนจบเลม่ แลว้ ไมม่ กี ารสอบประจ�ำ เลม่ วนั ที่ ๒๐ ตลุ าคม สอบรวมคร้งั ใหญ่ เม่ือเรียนไวยากรณ์จบแล้ว รสู้ ึกเบิกบานใจมาก วันที่ ๒๑ ตลุ าคม เวลาเชา้ ส.ณ.ออ่ นเป็นหัวหน้าปรงุ กบั เขา้ มแี กงเน้อื ขา้ พเจ้าอยใู่ นแผนกปรงุ ของหวาน ดูเหมอื นแกงบวชฟกั ทอง ส.ณ.เสถียรหุงเขา้ ทา่ นมหาภกั ดิ์เป็นผู้อปุ การจัดหาสงิ่ ของเหลา่ นั้น เพน เล้ียงระวางครแู ลนกั เรยี น เนอ่ื งในการปดิโรงเรียน โดยความพร้อมเพรยี งกนั28
รายนามนกั เรยี นแลผลของการสอบ ความก้าวหน้าในการเรียนของเจ้าพระคุณ น.อ. ส.ต. อ.ก. สอบใหญ่ สมเดจ็ ฯ ดงั กล่าวย่อมเปน็ ทพ่ี อใจของหลวงพอ่ ดีซ่ึงพระประยงค์ (สทุ ธฺ กิ าร)ี ไดท้ ่ี ๓ คอยติดตามดูแลเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อยูต่ ลอดเวลาพระควร (จนทฺ าโร) ตก แมค้ รูผู้สอนเองกม็ ีความพอใจในเจา้ พระคณุ สมเด็จฯส.ณ.ออ่ น ตรสี วุ รรณศริ ิ มากถึงกบั ชักชวนเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ให้ไปเรยี นต่อส.ณ.เสถยี ร หรอื ชน้ื เหรยี ญทอง ตก ทว่ี ดั มกฏุ กษตั รยิ าราม อนั เปน็ ส�ำ นกั เดมิ ของครผู สู้ อนส.ณ.เจรญิ คชวตั ร ไดท้ ่ี ๑ ไดท้ ่ี ๑ ไดท้ ่ี ๑ ไดท้ ่ี ๑ (คือ พระมหาภักดิ์ ศักดเ์ิ ฉลมิ ) พรอ้ มทั้งไดต้ ดิ ต่อกับส.ณ.เออ้ื น ปญั ญาอตั ถ ์ ไดท้ ่ี ๔ ทางวดั มกฏุ กษตั รยิ ฯ์ ไว้ใหเ้ รยี บรอ้ ยดว้ ย เมอ่ื เจา้ พระคณุส.ณ.ปนุ่ นอ้ ยศริ ี ตก ตก ตก ตก สมเดจ็ ฯ น�ำ เร่อื งน้ีไปแจ้งให้หลวงพ่อทราบ หลวงพอ่ส.ณ.ชว้ั ตก มไิ ดเ้ ขา้ สอบอกี เพราะเลกิ เรยี น ท่านไม่เห็นชอบดว้ ย เพราะหลวงพ่อท่านต้ังใจไวแ้ ลว้ส.ณ.จรญุ เพยี งมาฟงั ๆ ครน้ั ขาดสอบเลม่ นามแลอพั ยยศพั ท์ ว่าจะพาไปฝากให้เรยี นตอ่ ทีว่ ัดบวรนิเวศวิหาร แลว้ เลกิ เรยี นจงึ มไิ ดเ้ ขา้ สอบทง้ั ๔ ครง้ัด.ช.นอ้ ม สวุ สิ ทุ ธ ์ิ ตกด.ช.เนอ่ื ง สขุ พลู ไดท้ ่ี ๒ด.ช.ชลอ ตกด.ช.สม้ เกลย้ี ง ทองหยวก ตกความหมายของอกั ษรยอ่ :น.อ. = นามและอพั ยยศพั ท,์ ส.ต. = สมาสและตทั ธติ , อ.ก. = อาขยาตแลกติ ก์ หลวงพ่อดีเองเมื่อบวชพรรษาแรกๆ ก็เคยคิดที่จะมาอยู่เรียนบาลีที่กรุงเทพฯ จึงได้มาอยู่ที่วัดรังษีสุทธาวาส ซงึ่ อยตู่ ิดกบั วดั บวรนิเวศวิหาร (ภายหลังเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๖ รวมเขา้ กบั วัดบวรนเิ วศวหิ ารและเรยี กวา่ คณะรงั ษี) แตม่ ีเหตขุ ัดข้องบางประการ ท่านจึงไมไ่ ด้เรยี นบาลีตามทตี่ ัง้ ใจไว้แตเ่ ดมิ แต่ถึงกระนน้ั ทา่ นกพ็ �ำ นักอยู่วัดรงั ษสี ุทธาวาสหลายพรรษาจึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อรู้จักคุ้นเคยกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์(พระนามเดิม ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์) มาตั้งแต่ทรงเป็นพระราชาคณะที่ พระสุคุณคณาภรณ์หลวงพ่อจงึ ได้ตัดสนิ ใจท่จี ะพาเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ มาถวายตวั ต่อสมเด็จพระสงั ฆราชเจ้าฯเพอ่ื ศึกษาบาลีตอ่ ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร เมอ่ื ตกลงทจ่ี ะมาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารแลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้ กลบั จากวดั เสนหามาอยวู่ ดั เทวสงั ฆารามชว่ั คราว เพอ่ื เตรยี มตวั เข้า กรุงเทพฯ โดยไม่มีใครเลยสักคนในเวลานั้นที่จะหยั่งรู้ว่า การเดินทางเขา้ มาศกึ ษาหาความรใู้ นสำ�นักวัดบวรนิเวศวหิ ารของ สามเณรเจริญ คชวัตร คราวนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วสามารถ พดู ได้อยา่ งเตม็ ปากว่าเปน็ วาระส�ำ คญั ทชี่ ้างเผอื กเข้ากรุงโดยแท้ 29
วัดบวรนิเวศวิหาร เพอ่ื ความสมบูรณ์ของเนื้อเรือ่ ง ประกอบกับเพอ่ื ท่ีจะไดเ้ ข้าใจได้ถ่องแทว้ า่ เพราะเหตใุ ด พระครูอดุลยสมณกิจ หรือหลวงพอ่ ดี จงึ ตดั สินใจทจ่ี ะพาเจา้ พระคุณสมเด็จฯ เขา้ มาศึกษาเลา่ เรียน ท่ีวดั บวรนิเวศวิหาร นอกเหนือจากความสนิทสนมคุ้นเคยท่ีหลวงพอ่ ดีใกล้ชดิ กบั พระเถรานุเถระในวัดบวรนิเวศวิหาร มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มาแตเ่ ดิมแลว้ วดั บวรนเิ วศวหิ ารนเี้ องกย็ ังเปน็ พระอารามคู่บา้ นคู่เมอื ง ท่ีส�ำ คัญมาแต่โบราณกาล กล่าวได้เต็มปากวา่ เปน็ พระอารามหลวงท่มี ีเกียรตคิ ณุ และเปน็ สำ�นักเรียนภาษาบาลี ทีเ่ รืองนามมาแตไ่ หนแตไ่ ร จึงนา่ จะได้ยอ้ นกล่าวถงึ ประวตั ขิ องวัดบวรนเิ วศวิหาร ไวพ้ อสังเขป ดังต่อไปน้ี30
ตามต�ำ นานมีหลักฐานวา่ วดั บวรนิเวศวิหารน้ี สมเดจ็ พระบวร เม่ือสมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้นทรงสถาปนาวัดบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลในรัชกาล นิเวศวิหารข้ึนแล้ว ทา่ นผู้ใดเป็นอธบิ ดสี งฆพ์ ระอารามนี้ และมีที่ ๓ ทรงสรา้ งขนึ้ ในปใี ดปหี น่ึงระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๖๗ ถึง พ.ศ. พระสงฆ์จำ�นวนมากน้อยเท่าไรกไ็ ม่ปรากฏ มีหลกั ฐานแตเ่ พียงวา่๒๓๗๕ แรกทเี ดยี วยงั มไิ ด้ปรากฏนามพระอารามชัดเจน หากแต่ เมอ่ื สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๗๕ชาวบา้ นทว่ั ไปเรียกกันโดยลำ�ลองวา่ “วัดใหม่” บา้ ง “วดั บน” บ้าง แล้ว กอ่ น พ.ศ. ๒๓๗๙ ไมน่ าน พระอารามนมี้ พี ระเทพโมลี “สนิ ”สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ พระองคน์ น้ั ไดท้ รงเชญิ พระพทุ ธรปู องค์ใหญ่ เป็นเจา้ อาวาส มีพระสงฆล์ ูกวดั เพียง ๕ รูป ต่อมาพระเทพโมลีท่ีปรากฏนามในบดั นีว้ ่า พระพทุ ธสุวรรณเขต มาจากวดั สระตพาน (สิน) ลาสิกขา เป็นอันว่าวัดบวรนิเวศวิหารนี้ไม่มีพระราชาคณะเมอื งเพชรบรุ ี มาประดษิ ฐานเปน็ พระประธานในพระอโุ บสถ และตอ่ มา ผู้ใหญป่ กครองดแู ล พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ โปรดอกี ไม่นานกไ็ ดท้ รงเชิญพระพุทธชินสหี ์ ซงึ่ เปน็ พระพุทธรูปสำ�คัญ ใหอ้ าราธนาสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ มงกฏุ สมมตุ เิ ทวาวงศ์องคห์ นงึ่ ของหวั เมอื งฝ่ายเหนือ และมีพุทธลักษณะงามวิเศษจาก (ต่อมาคือพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ) ซ่งึ ทรงผนวช และประทับอยู่ที่วัดสมอรายหรอื วัดราชาธวิ าส ใหเ้ สดจ็ มาอยู่และ ทรงครองวดั บวรนเิ วศวหิ ารนี้พระพทุ ธสุวรรณเขต (องค์หลงั ) และพระพุทธชนิ สีห์ (องคห์ นา้ ) ทศั นยี ภาพวดั บวรนเิ วศวหิ าร สมยั รชั กาลท่ี ๔ (ดา้ นถนนบวรนเิ วศน์ในปจั จบุ นั )ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสพระวิหารทว่ี ัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมอื งพษิ ณโุ ลก มาประดษิ ฐาน ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีท่ีมุกหลังของพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารด้วยอีกองค์หน่ึง สุริเยนทราบรมราชนิ ี เสดจ็ พระราชสมภพเมือ่ วนั ท่ี ๑๘ ตลุ าคมต่อมาในยุคที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครอง พ.ศ. ๒๓๔๗ ในรัชกาลท่ี ๑ ครัน้ พระชนมายุได้ ๒๑ พรรษาก็ทรงวัดได้อัญเชิญย้ายมาประดิษฐานท่ีมุกหน้าของพระอุโบสถ ผนวชเป็นพระภกิ ษุตามโบราณราชประเพณี มีพระราชสมณฉายาเบื้องหน้าพระพทุ ธสุวรรณเขต ดังที่เหน็ อยู่ทกุ วนั นี้ ว่า “วชิรญาโณ” เมื่อทรงพระผนวชได้เพียงไม่กี่วัน สมเด็จ พระบรมชนกนาถก็เสด็จสวรรคต โดยยงั มทิ นั ได้ทรงมอบหมาย ราชสมบตั ใิ หแ้ กผ่ ้หู นึง่ พระองค์ใดเป็นการเฉพาะ เมือ่ เจ้านายและ ข้าราชการทั้งหลายกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระ นง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงครองราชย์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยที่จะเสด็จอยู่ในภิกขุภาวะต่อไปเพื่อ ทรงศึกษาพระพุทธศาสนา ทั้งด้านคันถธุระ คือการเรียนคัมภีร์ ปริยัติ และด้านวิปัสสนาธุระ ซึ่งเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระภิกษุมาได้ ระยะหนึง่ ไดท้ รงศกึ ษาภาษาบาลจี นเช่ยี วชาญแลว้ เปน็ เหตใุ ห้ทรง พิจารณาพระไตรปิฎกโดยถ่องแท้แล้วทรงเห็นว่าวัตรปฏิบัติของ 31
เม่ือพระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัวโปรดให้อาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั มาทรงครองวดั บวรนเิ วศวหิ ารและน่าจะเป็นโอกาสน้เี องที่พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระราชทานชอื่พระอารามวัดบวรนิเวศวหิ าร ให้ใกล้เคยี งกันกับนามพระราชวังบวรสถานมงคลซง่ึ เปน็ “วังหนา้ ” หรอื เปน็ วังส�ำ หรบั ต�ำ แหนง่ พระมหาอปุ ราช พระสงฆ์ในเวลานัน้ ยอ่ หยอ่ นนัก ทรงรู้สกึ สลดสงั เวชพระราชหฤทยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ใหท้ รงลาผนวช เพอ่ื มาเถลงิ ถึงกับทรงเห็นว่ารากเหง้าเค้ามูลแห่งการบรรพชาอุปสมบทจะ ถวลั ย์ในราชสมบตั เิ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ องค์ใหม่ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ เสือ่ มสญู เสยี แลว้ ขณะทท่ี รงพระปริวิตกดังนน้ั พอดีไดท้ รงพบกบั ในล�ำ ดบั ท่ี ๔ ของพระมหาจกั รบี รมราชวงศ์ พระเถระชาวรามัญรูปหนึ่ง ชื่อ ซาย “พุทฺธวงฺโส” เวลานั้นอยู่ที่ ในยุคท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครอง วดั บวรมงคลและเปน็ พระราชาคณะทพ่ี ระสเุ มธมนุ ี ไดท้ รงสอบทาน วัดบวรนิเวศวิหารอยู่นานถึงสิบกว่าปีนั้น ได้ทรงทำ�นุบำ�รุงวัตร วัตรปฏิบัติของพระเถระรูปดังกล่าว และคณะสงฆ์รามัญทั้งปวง ปฏิบัติของพระสงฆ์ในพระอารามให้เจริญขึ้นจนมีผู้เลื่อมใสและ แล้วทรงเห็นว่าสอดคล้องต้องกันกับพระพุทธพจน์ตามพระบาลี สรรเสริญว่าพระสงฆ์สำ�นักวัดบวรนิเวศวิหารของพระองค์ปฏิบัติ จงึ ทรงเลอ่ื มใสและทรงขออปุ สมบทซ�ำ้ ทเ่ี รยี กวา่ การท�ำ ทฬั หกี รรม เคร่งครัดดีเป็นเหตุให้มีคนเข้ามาบวชมากขึ้น ในตอนปลายสมัย ในคณะสงฆ์รามญั อีกคร้ังหน่งึ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖๘ และได้ทรงเริม่ ต้น ทีท่ รงครองวัดมีพระสงฆ์จำ�พรรษาจ�ำ นวน ๑๓๐ รูปข้ึนไป บางปมี ี ปรับปรุงวัตรปฏิบัติของตนเองตลอดจนพระภิกษุผู้เป็นศิษย์ที่มา จ�ำ นวนมากถงึ ๑๕๐ รปู กม็ ี ทรงท�ำ นบุ �ำ รงุ การเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม ถวายตวั ดว้ ยความเคารพเลอ่ื มใสและมจี �ำ นวนมากขน้ึ ทกุ ที จนเกดิ ใหร้ งุ่ เรอื ง ทรงบอกปรยิ ตั ธิ รรมเอง ภกิ ษสุ ามเณรทเ่ี ปน็ ศษิ ยเ์ ขา้ แปล เป็นคณะสงฆ์ทีเ่ รียกวา่ “คณะธรรมยุตกิ นกิ าย” หรอื ท่เี รยี กสั้น ๆ ในสนามหลวง ได้เปน็ เปรียญประโยคสงู ถึงประโยค ๙ ซึง่ เปน็ วา่ ธรรมยุติกา ข้นึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๒ โดยแรกทีเดียวทรงมีส�ำ นกั ชัน้ สงู สุดกม็ หี ลายรูป พระภกิ ษทุ ี่อยู่วดั หรอื สำ�นกั อื่นมาขอเรยี น อยทู่ ีว่ ัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส แตส่ มควรกลา่ วไว้ด้วยวา่ ใน สมทบบา้ งกม็ ี ทรงเปน็ หลกั อยใู่ นการไลห่ นงั สอื พระองคห์ นง่ึ ของคณะ เวลาที่ประทับอยูท่ ี่วัดสมอรายนน้ั มที ้งั พระภกิ ษทุ ีเ่ ปน็ ธรรมยุติกา สงฆ์ไทย ในวดั บวรนเิ วศวหิ ารมพี ระเปรยี ญทพ่ี ดู ภาษามคธไดค้ ลอ่ ง และที่มิได้เป็นธรรมยุติกาอยู่รวมกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระ มีพระภิกษุจากลังกาเข้ามาติดต่อเร่ืองการพระศาสนาอยู่เสมอ น่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้อาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า จนตอ้ งมคี ณะหรอื ทพ่ี กั ทจ่ี ดั ไวเ้ ฉพาะพระภกิ ษจุ ากลงั กา ทว่ี ดั บวร เจา้ อยู่หัวมาทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร และน่าจะเปน็ โอกาสน้ีเอง นเิ วศวหิ ารเรยี กวา่ คณะลงั กา บางคราวกท็ รงแตง่ สมณทตู ไปลงั กา ท่พี ระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระราชทานชื่อพระอาราม พร้อมกันน้ันในส่วนพระองค์เองก็ได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจาก วดั บวรนเิ วศวหิ าร ให้ใกลเ้ คยี งกนั กบั นามพระราชวงั บวรสถานมงคล มชิ ชนั นารผี เู้ ขา้ มาสอนศาสนา ไดท้ รงตง้ั โรงพมิ พท์ เ่ี ปน็ ของคนไทย ซึ่งเป็น “วังหน้า” หรือเป็นวังสำ�หรับตำ�แหน่งพระมหาอุปราช ข้ึนเป็นแห่งแรกภายในวัดบวรนิเวศวิหารแทนการจารลงใน เขา้ ใจวา่ เปน็ วธิ ที รงด�ำ เนนิ พระบรมราโชบายเหมอื นอยากจะประกาศ ใบลานอย่างแต่ก่อน โรงพิมพ์นี้ได้พิมพ์หนังสือสวดมนต์บ้าง ให้ได้รู้ท่ัวกันว่าทรงเทียบพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์พระปาฏิโมกข์บ้าง พระราชกรณียกิจเหล่านี้เป็นเหตุให้วัด ไว้ในฐานะกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ทรงพระกรณุ าพระราชทาน บวรนิเวศวิหารมีชื่อเสียงและเกียรติคุณวิเศษ เป็นที่พอใจของ เกยี รตยิ ศเปน็ พเิ ศษ ถงึ กบั โปรดใหเ้ สดจ็ เขา้ ไปเลอื กของในพระราชวงั พทุ ธศาสนกิ ชนจำ�นวนมาก บวรสถานมงคล หากมีพระราชประสงค์สิ่งใด พระราชทาน ตามประวัติท่ีได้เล่ามาเช่นน้ีย่อมเห็นได้ในเบื้องต้นว่าวัดบวร พระบรมราชานุญาตใหน้ �ำ มาได้ อาทิ พระไตรปฎิ กฉบับวงั หน้าทีม่ ี นเิ วศวหิ ารมคี วามส�ำ คญั มาชา้ นานในประวตั ศิ าสตร์ และกลา่ วเฉพาะ กรอบเปน็ ทองค�ำ ลงยากม็ ี เปน็ ถมตะทองกม็ ี เปน็ งาสลกั กม็ ี อนั เปน็ ขา้ งฝา่ ยการของคณะสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารกเ็ ปน็ พระอารามของ ของปราณตี เกนิ กวา่ ทจ่ี ะสรา้ งขน้ึ ส�ำ หรบั วดั ทว่ั ไป การทท่ี รงยา้ ยมาอยู่ คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกาเป็นพระอารามแรก แม้พ้นยุคสมัยที่ ท่ีวดั บวรนิเวศวิหารเช่นนี้ เป็นเหตุใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัดไปแล้ว เจ้าอย่หู ัวได้ทรงวางระเบียบวัดบวรนิเวศวิหารให้เป็นพระอารามฝ่าย วัดบวรนิเวศวิหารก็ยังคงเป็นพระอารามท่ีข้ึนช่ือในเร่ืองแบบแผน ธรรมยตุ กิ าทง้ั พระอารามเปน็ วดั แรก ครน้ั ตอ่ มา เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ การปฏิบัติท่เี คร่งครัดและเป็นสำ�นักเรียนภาษาบาลีท่ขี ้นึ หน้าข้นึ ตา พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ เจ้านาย เปน็ ท่นี ยิ มกันโดยทั่วไปว่าในแต่ละปี มพี ระภกิ ษุและสามเณรจาก และข้าราชการทั้งปวงเห็นพร้อมกันให้กราบบังคมทูลอัญเชิญ ส�ำ นกั บวรนเิ วศวหิ ารสอบไลใ่ นสนามหลวงได้ในจ�ำ นวนทน่ี า่ พงึ พอใจ32
๑ ll ๒ l ๓๔ ๕ หลังจากท่พี ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวทรงลาผนวชแล้วมเี จา้ อาวาสทไ่ี ดค้ รองวัดบวรนิเวศวิหารสบื มาจนถงึ ปัจจบุ นั ตามล�ำ ดับดงั นีค้ ือ ๑. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวดั ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๕ ๒. สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๔ ๓. สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๔ ถงึ พ.ศ. ๒๕๐๑ ๔. พระพรหมมนุ ี (สวุ โจ ผนิ ป.ธ.๖) ครองวดั ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๔๕. สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวนั เวลาท่หี ลวงพ่อดนี �ำ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ มาศึกษาเลา่ เรียนภาษาบาลีทส่ี ำ�นักวัดบวรนิเวศวิหารเป็นสมัยที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงครองวัด แม้เวลานั้นยังไม่ได้ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจา้ ทรงมีสมณศักดิเ์ ปน็ แตเ่ พยี งสมเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ์ แต่กท็ รงมพี ระเกยี รตคิ ณุเปน็ ทร่ี �ำ่ ลอื และเปน็ เหตจุ งู ใจใหห้ ลวงพอ่ ดนี �ำ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เขา้ มาพง่ึ พระบารมี และเปน็ การพลกิ โฉมวถิ ชี วี ติ ของเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ไปสู่ความเจริญสมดงั พระนามเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ 33
เข้ากรุง ครนั้ วนั ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ หลวงพ่อไดพ้ าเจา้ พระคุณสมเด็จฯ เดินทางจาก วัดเทวสงั ฆาราม กาญจนบุรี เขา้ สกู่ รงุ เทพฯ โดยทางรถไฟ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ซ่งึ ทรงมี พระอุปนสิ ยั ชอบจดบันทึก ไดท้ รงบนั ทึกเหตกุ ารณก์ ารเดนิ ทางเขา้ มาอยวู่ ัดบวรนเิ วศวิหาร คร้ังนน้ั ไวอ้ ย่างละเอยี ดแม้จะยาวความอยู่สักหนอ่ ย แต่กเ็ ปน็ เรือ่ งนา่ ร้นู า่ สนใจ เพราะแสดง รายละเอยี ดของการเดินทางไวค้ รบถ้วน ตัง้ แตเ่ ร่ิมออกเดนิ ทางจากวดั เทวสังฆารามจนถงึ วัดบวรนเิ วศวิหาร ดงั น้ี วนั ที่ ๘ ตอนเพนไปฉนั ท่บี ้าน วนั น้ีทว่ี ัดมีการอปุ สมบทดว้ ย เวลาเย็นเยี่ยมคณุ ยา่ เพยี ร ผ้มู ีบุญคุณมาก วันท่ี ๙ ทตี น้ วา่ จะไปเชา้ แต่ไม่ทัน เพราะตอ้ งการให้ทนั รถ ๑๑ กท.บ้านโปง่ ตกลงไปเพนแล้ว น้าทติ ย์เติมไปหารถท่ตี ลาด เวลา ๑๒.๐๓ นาฬกิ า ออกจากวัดเทวสังฆาราม มีท่านอาจารยห์ ังและ พระบางรูปส่งทใี่ นวัด เพราะรถไปรับถึงบรรไดกฏุ ิ (เกอื บๆ ถงึ ) ทางบ้านมีแม่ใหญ่ (คอื ยายทองคำ�) แลย่าเพยี ร แลโยมกับนอ้ งชาย ๒ คนมาสง่ ทวี่ ัด แลดรู ู้สกึ คดิ ถงึ วัด คอื พวกพอ้ งมาก ครน้ั ทา่ นพระครู ทา่ นให้ไปไหว้พระพุทธรปู ในห้องท่าน จึงคอ่ ยคลาย ไปทางหนา้ บ้านผา่ นปา้ ไป รสู้ ึกคดิ ถึงมาก ถึงบา้ นโปง่ เวลา ๑๓.๔๐ นาฬิกาได้ ตอ้ งรอรถจนถึงเวลา ๑๔.๕๘ นาฬิกา จงึ ได้ขึ้นรถ ถึงนครปฐมเวลา ๑๕.๕๕ นาฬิกา ตอนผา่ นวัดเสนหาท�ำ ใหห้ วนนกึ ถึงเรอื่ งอันเปนไปแล้วในอดตี ให้รสู้ กึ สลดใจมาก ผ่านโรงเรียนไป เวลานนั้ เขากำ�ลงั เรยี นกนั เมอ่ื กอ่ นเราเคยอยูว่ ดั เสนหา เวลาโน้นต้องพลัดพลากกลบั บา้ น เวลานกี้ ลับพลัดบา้ นเขา้ กรุงเทพฯ อีก เปนของอนิจฺจแํ ทท้ ีเดียว เวลา ๑๗.๕๗ นาฬิกา ถงึ กรงุ เทพฯ ลงที่บางกอกน้อย ข้ามเรอื จ้างท่ที า่ พระจนั ทร์ ถงึ วัดบวรราว ๖ โมงเศษ มาท่กี ุฏพิ ระครูพทุ ธมนต์ ไมพ่ บทา่ น เลยไปหาสมเดจ็ วชริ ญาณ ทีเดยี ว เดชบุญทา่ นก็รับโดยดี มิได้มีซกั ไซ้ถามถึงเรื่องท่ีขาด ไปคราวนม้ี ีท่านพระครอู ุปชั ฌาย์ และนา้ ทติ ย์เตมิ ไปส่ง นายเลก็ เปนลูกศษิ ย์ ท่านพระครไู ป ทา่ นพระครูน�ำ ไปฝาก คนื นี้ตกลงพักทคี่ ณะเขยี ววัดบวรซ่ึงอยใู่ นความปกครองของพระครูพทุ ธมนต์ ท่านพระครู พักท่ีกฏุ ิท่านมหาอุ่น ๕ ประโยค ซงึ่ ภายหลังเปนครูของขา้ พเจ้า ข้าพเจา้ พกั ทีก่ ฏุ ทิ ่านแนบ รูส้ กึ วา่ ท่านมอี ชั ฌาสยั ดีผู้หนง่ึ34
เปน็ อันวา่ เวลาเย็นของวันท่ี๙มถิ ุนายนพ.ศ.๒๔๗๒เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯไดก้ ราบสกั การะสมเดจ็ พระสังฆราชเจา้กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขณะเม่อื ยังทรงด�ำ รงสมณศักดิเ์ ปน็ ทีส่ มเดจ็ พระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวหิ ารซงึ่ เป็นพระอารามเกา่ แก่ของคณะธรรมยุติกนกิ าย มาตั้งแตร่ ัชกาลพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยหู่ วั เพือ่ ถวายตัวเปน็ ศษิ ย์ในสำ�นัก เมื่อสมเด็จพระสงั ฆราชเจ้าฯ ทรงรบั เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เข้าอยใู่ นสำ�นกั วัดบวรนิเวศวหิ ารแล้ว โปรดให้เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ อย่ใู นความปกครองของพระครูพุทธมนตป์ รีชา (ปญญฺ าวโุ ธ เฉลิม โรจนศริ ิ ป.ธ.๓) และได้จัดให้อยทู่ ค่ี ณะเขยี วบวร อนั เปน็ ธรรมเนยี มประเพณใี นวดั นท้ี จ่ี ะแบง่ เสนาสนะออกเปน็ คณะตา่ ง ๆ มชี อ่ื เรยี กตา่ งกนั ออกไปแต่ละคณะมีพระเถระรูปหนึ่งรับธุระเป็นเจ้าคณะปกครอง รวมทั้งสิ้นในปัจจุบัน ๑๒ คณะ ได้แก่ คณะเหลืองรังษีคณะแดงรังษี คณะเขียวรงั ษี (สามคณะนี้ตั้งอยูใ่ นพน้ื ทเ่ี ดิมที่เป็นวัดรังษสี ุทธาวาส ซึ่งบดั นีร้ วมเขา้ มาเปน็ สว่ นหนึง่ ของวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว) คณะแดงบวร คณะขาบบวร คณะเขียวบวร คณะบัญจบเบญจมา คณะสูง (ลออ) คณะสูง(รามเดชะ) คณะสงู (นานาชาติ) คณะต�ำ หนัก และคณะกุฏิ 35
(บน) สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ (ซา้ ย) พระครนู วิ ฐิ สมาจาร (เหรยี ญ สวุ ณณฺ โชต)ิ เจา้ อาวาสวดั ศรอี ปุ ลาราม (ขวา) พระครอู ดลุ ยสมณกจิ (ดี พทุ ธฺ โชต)ิ เจา้ อาวาสวดั เทวสงั ฆาราม (บน) พระรตั นธชั มนุ ี (จู อสิ สฺ รญาโณ) (ขวา) พระปลดั หรงุ เจา้ อาวาสวดั ทงุ่ สมอ (ลา่ ง) พระครพู ทุ ธมนตป์ รชี า (ปญญฺ าวโุ ธ เฉลมิ โรจนสริ ิ ป.ธ.๓) (บน) โรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั เทวสงั ฆาราม (ซา้ ยลา่ ง) โรงเรยี นวดั เสนหา (กลางและขวาลา่ ง) เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เมอ่ื ครง้ั ยงั เปน็ สามเณร36
เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดท้ รงบนั ทกึ พระครพู ทุ ธมนตฯ์ เปน็ คนมวี าจาออ่ นหวาน ใจแขง็ รจู้ กั กาละเทศะ ควรไมค่ วรเกยี่ วกับพระครพู ุทธมนต์ปรชี าไวว้ า่ มีเชาวน์ในสัปปุริสธรรม แม้จะสนิทสนมกับสมเด็จฯ๑ สมเด็จเชื่อฟังจริง ๆ ก็ตาม แตเ่ มอื่ เขา้ หาท่านคราวไร แสดงอาการกายวาจาอ่อนน้อมเต็มที่ ไม่มี อาการก�ำ เรบิ แสดงว่ากลวั เกรง เข้าใจกราบเรียนให้สมเดจ็ ฯ เช่อื ฟงั เม่ือถงึ คราวตอ้ งเปน็ หัวหน้าจัดการงาน วางตนเป็นผู้ใหญ่เต็มท่ีทง้ั อาการกายวาจา สมเป็นหัวหน้า รู้การงานว่าควรจะจัดทำ�ให้ดีโดยประการใด ฉลาดในการ ปฏสิ นั ฐาน เมื่อเวลาทำ�งานออกหนา้ ศิษยท์ ีท่ ่านไมไ่ ว้ใจวา่ จะทำ�ไดด้ ีท่านไมใ่ ช้ เพราะเกรงความเสียหายจะเกิดแก่ศษิ ย์ พดู ถึงพวกแลว้ ช่วยเตม็ ท่ี แต่คนอื่นปัด เต็มที่เหมือนกนั เข้าใจพดู แกต้ ัว วันหนึง่ เห็นข้าพเจ้าเดนิ เคียงกบั ม.ร.ว.พระจเร ท่านจึงสอนภายหลงั ว่าไมค่ วร พระในกรุงเทพฯ มีหลายชั้น ควรแสดงความนบั ถือและกายวาจาใหพ้ อเหมาะ อยา่ ตีเสมอ ท่านมีอาจารยฐานทเี่ ด่น ประการหน่งึ คอื ยกย่องศษิ ยใ์ ห้ปรากฏใน เพื่อนฝูง ถึงคราวเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ ถึงคราวเป็นเด็ก เป็นเด็ก ถึงคราว แสดงอย่างกันเอง ก็เป็นกันเอง ถึงคราวแสดงอย่างเอาการเอางาน ก็แสดง อยา่ งเอาการเอางาน ถงึ คราวดุ กด็ ุ ดว้ ยการทท่ี า่ นมใี จและเชาวนเ์ ฉยี บอยเู่ ชน่ น้ี จึงทำ�ให้เป็นคนมีอำ�นาจโตอยู่ในวัดบวรนิเวศ..........ควรเอาเยี่ยงในการรักษาตัว ในวธิ ีท�ำ ใหผ้ ้ใู หญ่โปรดไวว้ างใจ” ตามธรรมเนียมของวดั บวรนเิ วศวิหาร สามเณร ๑ทรงหมายถงึ สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์จะต้องทอ่ งสามเณรสิกขาและเสขิยวตั รให้ได้ เมอื่ ท่องได้แลว้ พระอปุ ชั ฌายก์ จ็ ะประทานนามฉายาให้ สำ�หรับ โดยวนั หนง่ึ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ เสดจ็ ลงท�ำ วตั รค�ำ่ ในใช้ขานในเวลาท�ำ วัตรค�่ำ เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ เมือ่ อยู่ พระอโุ บสถ ทรงไดย้ นิ ขานชอ่ื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เปน็ ชอ่ื ไทย คอืวดั บวรนิเวศวิหารได้ไมถ่ งึ เดอื น ก็ได้รับประทานนาม สามเณรเจรญิ จงึ รบั สง่ั ถามวา่ ทอ่ งสามเณรสกิ ขาและเสขยิ วตั รฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชเจา้ ฯ ไดแ้ ลว้ หรอื ยงั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กท็ ลู วา่ ทอ่ งไดแ้ ลว้ จงึ รบั สง่ั ถามตอ่ ไปวา่ นามสกลุ วา่ อยา่ งไร เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กท็ ลู วา่ คชวตั ร สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงประทานนามฉายาใหว้ า่ “สวุ ฑฒฺ โน” ในระยะแรก เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ อยูท่ ค่ี ณะเขยี วบวร ครั้นต่อมาเม่อื พระครพู ทุ ธมนต์ปรชี าย้ายไปอยูก่ ฏุ ปิ าลิตในคณะเหลอื งรังษี เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ย้ายตามอาจารย์ไปอย่คู ณะเหลอื งรงั ษดี ว้ ย เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงอยูใ่ นความปกครองของพระครูพุทธมนตป์ รีชา (เฉลมิ ) ราว ๓ ปี พระครูพทุ ธมนต์ฯ กล็ าสกิ ขา สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ ฯจงึ โปรดใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไปอยใู่ นความ เม่อื พระครพู ทุ ธมนตฯ์ สึกแลว้ปกครองของพระมหาอู นสิ ฺสโภ เจ้าพระคุณ สมเด็จฯ ให้พระมหาอไู ปอยกู่ ุฏปิ าลติ มอบให้สมเด็จฯ ได้ทรงบนั ทึกเก่ยี วกบั เหตุการณ์ใน เปน็ ผู้ปกครองข้าพเจ้า และรับส่งั ลอ้ ข้าพเจา้ วา่ชวี ติ ของพระองคต์ อนน้ีไว้ว่า ใหค้ ุมไวใ้ ห้ดี อย่าให้สึกเสยี อกี นา่ แปลกใจไม่นอ้ ยทีต่ ่อมาไมน่ านปรากฏวา่ พระมหาอกู ็ลาสกิ ขาไปอีกรูปหน่ึง (ภายหลงั ลาสิกขามีชอื่ ว่า โสรสั มสี วรรค์) 37
ยอ้ นกลบั ไปอา่ นจากบนั ทกึ สว่ นพระองค์ ข้าพเจา้ เรมิ่ แปลกใจอกี ท่ีไม่นกึ มาแตบ่ ้านนอกว่าจะเหน็ ไดว้ า่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงมคี วาม จะพบค�ำ วา่ ‘พวก’ ในวัด จรงิ อยู่ กรงุ เทพฯ เปน็ สถานท่ไี มก่ ร่อยละเอยี ดละออและชา่ งสงั เกต ฉะนน้ั พระองค์ วัดบ้านนอกรู้สกึ วา่ วัดกร่อยกว่ากรุงเทพฯ การประชมุ กนั ไหว้พระสวดมนต์จึงมิได้ศึกษาแต่พระปริยัติธรรมหรือภาษา หรือพธิ ีส�ำ คญั ตา่ งๆ ในวนั ส�ำ คญั แห่งพระพุทธศาสนาเปน็ ไปพร้อมเพรยี งบาลเี ทา่ นน้ั แตพ่ ระองค์ไดท้ รงศกึ ษาคนรอบๆ เต็มอกเตม็ ใจ ทง้ั จ�ำ นวนพระเณรมาก เด็กทกุ ขนาดมาก รจู้ กั กนั ง่ายตวั ไปพร้อมกนั ด้วย ดังจะเห็นได้จากบนั ทึก หมายความว่ารู้จักพดู จากนั แตพ่ ระเณรโดยมากสว่ นพระองคเ์ มอ่ื ครง้ั มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร หายอมสนทิ สนมโดยฐานเปน็ กันเองงา่ ยๆ แลทัว่ ไปไม่ระยะแรกๆ อกี ตอนหนึง่ วา่ เมอื่ ขา้ พเจา้ เร่ิมมาอยู่นั้น มคี วามเข้าใจอยา่ งบ้านนอก เหน็ ว่าเมื่อเป็นพระเณรแลว้ ควรสนิทสนมกัน มีสีหนา้ แลปากแลใจตรงกัน การไปมาหาสู่ระวางเพือ่ นรว่ มวดั รว่ มวยั รว่ มเรยี น โดยฐานเพื่อน ดว้ ยเจตนาบรสิ ุทธิ์อย่างเดก็ ๆ ซ่อื ๆ ค่อนข้างโง่ของข้าพเจ้า จงึ มักถกู สวนกลับ ดว้ ยอาการแลสายตาชนดิ เดยี วกนั กับข้าพเจา้ ในบางพวกบางคน ได้รับตรงกันข้ามจากบางพวกบางคน เรม่ิ สะกดิ หวั ใจข้าพเจ้าเป็นลำ�ดบั มา จนคอ่ ยรู้ช้ันเชงิ ของกรงุ เทพฯ บ้าง และอกี ตอนหน่ึงในบันทึกส่วนพระองค์ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ไดท้ รงบันทกึ สำ�หรับการศึกษาพระปริยัติธรรมของความรู้สึกอันเป็นความรู้ใหม่ของพระองค์เมื่อมาอยู่วัดบวรนเิ วศวิหารใหมๆ่ วา่ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น ปรากฏว่าในปีแรก ท่มี าอยวู่ ัดบวรนเิ วศวหิ าร (พ.ศ. ๒๔๗๒) นนั้ ขา้ พเจา้ รู้สึกแปลกว่า พวกกรงุ เทพฯรูจ้ ักกนั ง่าย มาอยไู่ ด้ ๒-๓ วนั ทรงสอบได้นักธรรมช้ันตรี ร้จู ักกนั ท่ัวคณะ จึงไม่เหงาเลย ไมเ่ หมอื นคราวไปอยู่วัดเสนหา ดูเหมือนความก้าวหน้าในการศึกษาของ เหงาไปเกอื บตลอดพรรษา แตก่ ารรู้จกั กันท่ีกรุงเทพฯ ชอบพอกันแล้ว เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ นน้ั ท�ำ ใหห้ ลวงพอ่ ดยี งิ่ มี มักตเี สมอกัน แมไ้ ม่ถงึ ขนาดชอบพอก็หายอมเป็นผูน้ อ้ ยแก่กนั ง่ายๆ ไม่ ความมั่นใจในเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มากยิ่งขึ้น การร้จู กั กนั น้นั หาอ�ำ นวยการตักเตอื นให้ประพฤติดงี ามตามวินัยไม่ ตามที่เคยให้คำ�มั่นกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไว้ มกั อ�ำ นวยอยา่ งอ่ืน เรื่องนีเ้ ร่ิมรูส้ กึ เม่อื อยู่ได้สัก ๒-๓ วนั คือ เมื่อคร้ังชักชวนให้ไปเรียนบาลีที่วัดเสนหาว่า ไดย้ นิ พระครพู ุทธมนต์ฯ พูดกับพระสริ ธิ รรมมุนี ผู้มีพรรษาเกนิ อปุ ัชฌายมัตต์ “จะสรา้ งโรงเรยี นไว้ให”้ ฉะนน้ั หลงั จากหลวงพอ่ ขา้ พเจา้ ยังไมเ่ คยพบเห็นอยา่ งน้ี เพราะบ้านนอกนับถอื พรรษากันเป็นประมาณ พาเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารได้ อย่มู าอีก จึงไดค้ วามรใู้ หม่ว่า ในกรงุ เทพฯ พรรษาไมส่ ูเ้ ป็นประมาณ ๑ ปี หลวงพอ่ กไ็ ดส้ รา้ งโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม นอกจากบางครงั้ ยศ ประโยคท่มี หี นา้ ท่ี อ�ำ นาจเป็นประมาณ ขน้ึ ทว่ี ดั เทวสงั ฆาราม ใน พ.ศ. ๒๔๗๓ เรยี กวา่ เว้นประมาณเหล่านีเ้ สยี เณร พระนวกะ พระมัชฌมิ ะ พระมหัลลกะ หรอื ปนู เถระ โรงเรยี นเทวานกุ ลู เพอ่ื รอใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ดูตีเสมอกนั โดยยกตนขน้ึ ไปบา้ ง ลดตนลงมาบา้ ง จะวา่ เปน็ ความผดิ ของใครไมถ่ นัด กลบั ไปสอนบาลตี ามความคาดหวงั ของหลวงพอ่ มักยกใหโ้ ตเตม็ ทีอ่ ยูแ่ ต่สมเด็จฯ๑ ยศทำ�เสียโดยไม่รสู้ กึ เพราะผู้ตัง้ ให้มอี ำ�นาจอดุ หนนุ อยูโ่ ดยฉะเพาะ ๑หมายถึงสมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ และใน พ.ศ. ๒๔๗๓ น้นั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ก็สอบ ร้สู ึกว่าเป็นสุขใจสุขกายมาก ไม่มปี ใี ดในระวางปี ได้นักธรรมโทและเปรียญธรรม ๓ ประโยค เม่อื พระชนมายุ ท่กี อ่ นอุปสมบท หรืออุปสมบทแล้วได้ ๒ พรรษา หรอื ๑๗ พรรษา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงบันทกึ ความรูส้ กึ ของ จนถึงเขยี น จ.ม.เหตุ น้ี สง่ ความสขุ กายใจใหแ้ ก่ขา้ พเจ้า พระองคเ์ มื่อสอบเปรยี ญธรรม ๓ ประโยคได้ไว้ว่า มากเหมือนในระยะท่ีสอบ ป.ธ. ๓ ได้38
“โรงเรยี นสรา้ งเสรจ็ แลว้ นะ”“จะไมท่ �ำใหพ้ ระอาจารย์ผดิ หวงั !” และผู้ท่นี ่าจะมคี วามสุขไมน่ ้อยไปกว่าเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ อกี คนหนึ่งกค็ ือ หลวงพ่อดีนนั่ เองเพราะความสำ�เร็จขนั้ ต้นในการเรียนบาลีของเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯดังกลา่ วน้ีคงท�ำ ให้หลวงพอ่ รู้สึกว่า ความมุ่งมั่นในอันที่จะสรา้ งการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมขึน้ ทวี่ ัดเทวสงั ฆารามถงึ กบั เตรยี มสรา้ งโรงเรยี นไวร้ อเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กลบั มาสอนนน้ั คงจะเปน็ จรงิ ขน้ึ ในไมช่ า้ เรื่องการสร้างการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรมท่ีวัดเทวสังฆารามน้นั ดเู หมือนหลวงพอ่ ดีมีความมงุ่ มน่ั มากและได้ฝากความหวงั ไวท้ ่เี จา้ พระคุณสมเด็จฯ อยา่ งเต็มที่ ดงั ที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเล่าว่า เมื่อมาอยูว่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารนั้น มไิ ดบ้ วชแปลงเปน็ สามเณรธรรมยุตเพราะหลวงพ่อดีมีความประสงค์จะให้กลับไปอุปสมบทอยู่ช่วยท่านสอนพระปริยัติธรรมท่ีวัดเทวสังฆาราม และเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ก็ได้ท�ำ ใหค้ วามม่งุ ม่นั ของหลวงพ่อสมประสงค์ 39
เมื่อแรกอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร เมอ่ื แรกเขา้ มาอยทู่ ว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เก่ียวข้อง เพราะว่าทา่ นเป็นแตเ่ พยี งสามเณรนอ้ ย ท่านจึงมี มอี ายเุ พยี ง ๑๖ พรรษา การเป็นสามเณรนอ้ ยจากวดั ตา่ ง เวลาใหก้ ับการศกึ ษาได้เต็มที่ ดงั จะเห็นผลสำ�เร็จเบอื้ งต้นได้ จังหวัดแล้วเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของพระอารามหลวงท่ี จากการท่ีท่านสอบได้นักธรรมโทและเป็นสามเณรเปรียญ มปี ระวัติความเปน็ มาเก่าแก่ภายในพระนคร ตอ้ งถอื ว่าเปน็ สามประโยคดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ เมอ่ื ทรงสอบไลไ่ ดเ้ ปรยี ญ โอกาสสำ�คัญในวถิ ชี ีวติ ของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ภาระหนา้ ที่ สามประโยคเช่นนนั้ แลว้ ตามปกติกต็ ้องเปน็ การเตรียมความ ของท่านในเวลาน้ันยังไม่มีการคณะสงฆ์หรือการวัดเข้ามา พร้อมเพือ่ เขา้ สอบไล่ในประโยค ๔ ตามลำ�ดบั ชัน้ ต่อไปการสอบไลป่ ระโยค ๔ ของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ปรากฏผลเป็นทน่ี ่าประหลาดใจและเปน็ บทเรยี นสอนพระทยั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ครง้ั ส�ำ คญั เพราะทรงสอบตกเปรยี ญ ๔ ดว้ ยความประมาท ทง้ั ๆ ทใ่ี นเวลาเขา้ สอบ ทรงมน่ั ใจเตม็ ทว่ี า่ จะทรงสอบได้ เพราะรสู้ กึ วา่ ขอ้ สอบงา่ ย แตผ่ ลสอบปรากฏออกมาตรงกันข้าม เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงบันทึกถงึ ความประมาทคร้งั น้นั วา่ ใครๆ เกง็ กนั วา่ ขา้ พเจา้ ไมส่ อบตก เป็นเยยี่ ม ในพวกนักเรยี นดว้ ยกนั ใจเกดิ ก�ำ เรบิ ไว้ใจเสาะหาประโยค เกง็ ไว้มากมาย ถึงคราวสอบหาออกประโยคเกง็ ไม่ ออกประโยค อิมินา ทฺวาทสวเิ ธน ฯเปฯ สัณโดศ ประโยคน้ีเคยผา่ นมาสักเดอื นเศษ เวลาประชุมพลกิ ผา่ นไปหมด เพราะเห็นว่างา่ ย ไมค่ ่อยมีสาระ ไมอ่ อกแน่ ใครๆ ก็วา่ อยา่ งน้ี คร้ันออกมาแล้วยังนกึ เสยี ใจว่า ออกประโยค ไม่สมภูมิเราเลย ประโยคเช่นนี้ถึงได้ก็ไม่มีชื่อเสียงอะไรเพราะง่ายมาก เขยี นอยา่ งยม้ิ เยย้ ประโยค ๔ อยตู่ ลอดเวลา เสรจ็ ชมุ่ หวั ใจมาก โปรง่ มาก แต่อนจิ จา ขา้ พเจ้าตกอยา่ งไมม่ ีคะแนนติดอยูเ่ ลย ได้สูญ น้แี ลเปน็ ผลของ ความประมาท และไดท้ รงบนั ทกึ ไวต้ อ่ ไปความวา่ จากบทเรยี น และในการเตรยี มตัวสอบนกั ธรรมเอกนัน้ เอง มี คร้ังน้ัน ท�ำ ใหพ้ ระองคท์ รงเลกิ เตรยี มตวั สอบแบบ วิชาเกีย่ วกับพระปาติโมกขค์ ือพระวนิ ัยทพ่ี ระภกิ ษสุ งฆ์ เกง็ ขอ้ สอบ คอื สนั นษิ ฐานวา่ ขอ้ สอบจะออกเรอ่ื งใด ต้องฟังสวดเพื่อทรงจำ�ให้แม่นยำ�ทุกวันอุโบสถ คือ ให้แปลประโยคใด นอกจากที่ทรงเก็งว่าจะออก วนั พระใหญท่ ม่ี กี �ำ หนดเดอื นละสองครัง้ ก�ำ หนดว่าจะ สอบแล้วก็ทรงศึกษาแต่เพียงข้ามๆ ไป แต่ทรง ตอ้ งออกสอบด้วย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงทรงท่องจ�ำ เปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบทำ�ความรู้ความเข้าใจ พระปาตโิ มกขต์ ง้ั แตต่ น้ จนจบเสยี เลยทเี ดยี ว การทอ่ งจ�ำ ให้ชัดเจนในเน้ือหาของวิชาท่ีเรียนตลอดทุกเร่ือง พระปาตโิ มกขซ์ ง่ึ มคี วามยาวและตอ้ งใชเ้ วลาสวดตดิ ตอ่ ทกุ ประเดน็ ด้วยความไม่ประมาท กป็ รากฏว่าในปี กนั โดยไมห่ ยดุ พกั นานถงึ ประมาณ ๔๐ นาที เจา้ พระคณุ ตอ่ มาคอื พ.ศ. ๒๔๗๕ ทรงสอบไดท้ ง้ั นกั ธรรมเอก สมเดจ็ ฯ ทรงใช้เวลาทรงจ�ำ เพยี ง ๙ วนั เทา่ นน้ั จงึ เป็น และเปรียญธรรม ๔ ประโยค อนั วา่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงจ�ำ พระปาตโิ มกข์ไดต้ ง้ั แต่ ทรงเป็นสามเณร และทรงจำ�ไดค้ ล่องแคลว่ จนตลอด พระชนมชพี ของพระองค์40
(ซา้ ย) พระฉายาบตั ร เมอ่ื ไดร้ บั การอปุ สมบท ทว่ี ดั เทวสงั ฆาราม (ขวาบน) กบั หลวงพอ่ ดี (ขวาลา่ ง) ทห่ี นา้ อโุ บสถ วดั เทวสงั ฆาราม ในปตี อ่ มาคอื พ.ศ. ๒๔๗๖ ทรงมพี ระชนมายคุ รบอปุ สมบท การอปุ สมบททว่ี ัดเทวสังฆารามคราวน้นั เปน็ การอุปสมบทเป็นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทำ�ให้ความตั้งใจของหลวงพ่อดีผู้มี พระภกิ ษใุ นฝา่ ยมหานกิ าย ตา่ งนกิ ายกนั กบั คณะสงฆข์ องวดั บวรนเิ วศวหิ ารพระคณุ ยง่ิ ของทา่ นสมั ฤทธผ์ิ ล กลา่ วคอื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้ ซึ่งเปน็ ธรรมยตุ กิ นิกาย และเปน็ พระอารามท่ีเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ต้ังเดนิ ทางกลบั ไปอปุ สมบท ณ วดั เทวสงั ฆาราม จงั หวดั กาญจนบรุ ี พระทยั จะทรงพ�ำ นักเพื่อศึกษาเลา่ เรียนและบ�ำ เพญ็ สมณธรรม ดงั นั้นเมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยหลวงพอ่ คอื พระครู เมือ่ ออกพรรษาแล้ว เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ จงึ ไดก้ ลับมาท�ำ ทัฬหกี รรมอดลุ ยสมณกิจ (ภายหลังไดเ้ ป็นท่ีพระเทพมงคลรงั ษี) เปน็ พระ คอื อปุ สมบทซ�ำ้ ทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารอกี ครง้ั หนง่ึ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ กมุ ภาพนั ธ์อปุ ชั ฌาย์ หลวงพอ่ วดั หนองบวั คอื พระครนู วิ ฐิ สมาจาร(ภายหลงั ได้ ศกเดยี วกนั (ขณะยงั นบั เดอื นเมษายนเปน็ ตน้ ป)ี โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้เปน็ ทพ่ี ระโสภณสมาจาร) เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระปลดั หรงุ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขณะทรงดำ�รงสมณศักดิ์เป็นที่สมเด็จพระเจา้ อาวาสวดั ทงุ่ สมอ เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ อปุ สมบทแลว้ ทรง วชริ ญาณวงศ์ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ พระรตั นธชั มนุ ี (จู อสิ สฺ รญาโณ) ขณะเปน็จ�ำ พรรษา ณวดั เทวสงั ฆาราม ๑ พรรษา เพอ่ื สอนพระปรยิ ตั ธิ รรม ทพ่ี ระเทพเมธี เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ แมก้ ลบั มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารณ โรงเรยี นเทวานุกลู ท่ีหลวงพอ่ สรา้ งรอไวต้ ง้ั แต่ พ.ศ.๒๔๗๓ แล้ว เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ก็ยังเทียวไปเทยี วมาเพ่อื ชว่ ยหลวงพอ่ ดสี อนสมความประสงคข์ องหลวงพอ่ ดีผเู้ ป็นพระอปุ ชั ฌาย์ พระปรยิ ัตธิ รรมที่วัดเทวสงั ฆารามอยู่อีกสองปี 41
พ.ศ. ๒๔๗๒ พ.ศ. ๒๔๗๓ พ.ศ. ๒๔๗๔๑๖ พรรษา ๑๗ พรรษา พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อย่หู วั ได้เสดจ็มาอยู่วัดบวรนิเวศวหิ าร สอบได้นักธรรมช้นั โท พระราชดำ�เนนิ ถวายผา้ พระกฐินสอบไดน้ กั ธรรมชัน้ ตรี และเปรยี ญธรรม ๓ ประโยค ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ขณะน้ันมีการพระราชทาน ผา้ ไตรแก่พระภกิ ษสุ ามเณรเปรียญทัง้ วัด เจา้ พระคุณสมเด็จฯ เป็นสามเณรเปรียญรูปเดียว ในศกนนั้ ที่ได้เขา้ ไปรบั พระราชทานผา้ ไตร จากพระราชหตั ถ์ ปีตอ่ จากน้นั กง็ ด มีเหลอื แต่ ไตรสดบั ปกรณ์เพียง ๓๐ ไตร กระทัง่ ปจั จุบันพ.ศ. ๒๔๗๖ พ.ศ. ๒๔๗๕ พ.ศ. ๒๔๘๔๒๐ พรรษา ๑๙ พรรษา ๒๘ พรรษากลบั ไปอปุ สมบทท่วี ัดเทวสงั ฆาราม สนองเจตนา สอบได้นักธรรมช้ันเอก สอบไดเ้ ปรียญธรรมหลวงพอ่ ดี และจ�ำ พรรษาอยชู่ ว่ ยสอนพระปรยิ ัติธรรม และเปรยี ญธรรม ๔ ประโยค ๙ ประโยคสนองคุณท่านหน่งึ พรรษาออกพรรษาแลว้ กลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงท�ำ ทัฬหกี รรมอกี คร้งั หน่งึ พ.ศ. ๒๔๘๑และสอบไดเ้ ปรียญธรรม ๕ ประโยค ๒๕ พรรษา สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยคพ.ศ. ๒๔๗๗ พ.ศ. ๒๔๗๘๒๑ พรรษา ๒๒ พรรษาสอบไดเ้ ปรียญธรรม สอบได้เปรียญธรรม๖ ประโยค ๗ ประโยค ผทู้ ส่ี อบไดเ้ ปรยี ญธรรม ๙ ประโยคใน พ.ศ. ๒๔๘๔ (ปเี ดยี วกนั กบั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ) มี ๘ รปู คอื ๑) พระมหาเขยี น ติ สโี ล ภสู าหสั วัดบวรนิเวศวิหาร ๒) พระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน คชวัตร วัดบวรนิเวศวิหาร ๓) พระมหาเชื่อม มหาวีโร มหาวีระ วัดพระเชตุพนฯ ๔) พระมหาสวสั ด์ิ ธมมฺ ชฺชารี พินจิ จันทร์ วดั มหาธาตุ ๕) พระมหาปรง่ั อิงฺคาโภ บญุ ศิริ วัดมหาธาตุ ๖) พระมหาสุด ติ วีโร พิลาวุฒิ วดั แก้วแจม่ ฟา้ ๗) พระมหาปลอด กมทุ โฺ ท งามสะอาด วดั สระเกศ ๘) พระมหาจบั ติ ธมฺโม สุนทรมาศ วดั โสมนัสวหิ าร42
นอกเหนือจากการศึกษาพระปริยัติธรรม และทรงเขา้ ตกึ มนษุ ยนาควิทยาทานในอดตีสอบไลใ่ นสนามหลวง จนทรงไดร้ บั วฒุ กิ ารศกึ ษาเปรยี ญธรรม๙ ประโยค ซง่ึ เปน็ ชน้ั สงู สดุ ดงั กลา่ วแลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯยงั มพี ระอธั ยาศยั สนพระทยั ใฝร่ ู้ในดา้ นภาษาตา่ งๆ เชน่ ภาษาอังกฤษ ภาษาสนั สกฤต เปน็ ต้น ความสนพระทัยเชน่ น้ีมมี าต้งั แต่ครง้ั ทรงเปน็ สามเณรแล้ว โดยทรงเล่าว่าผู้ทีท่ ำ�ให้ทรงสวามี สตั ยานันทบุรี สนพระทัยเรียนภาษาอังกฤษคอื คุณภกั ด์ิ ฉวีสขุ ขณะเม่อื คณุ ภกั ดฯ์ิ บวชเปน็ นวกะภิกษุทว่ี ดั บวรนิเวศวหิ าร และเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ยัง เปน็ แตเ่ พียงสามเณร แต่ได้ทรงมีโอกาสเรม่ิ เรยี นภาษาอังกฤษอย่าง จริงจังก็ต่อเมื่อทรงเป็นพระเปรียญ ๖ - ๗ ประโยคแล้ว โดยครู ของทา่ นคือ สวามี สัตยานันทปรุ ี นักบวชชาวฮินดทู ่เี ขา้ มาพำ�นักใน ประเทศไทยระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๗๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๕> สวามี สัตยานันทปุรี สำ�เร็จการศึกษา > ทา่ นสวามไี ดเ้ ผยแพรค่ วามรดู้ า้ นปรชั ญา > นอกจากการสอนหรอื แสดงปาฐกถาเกย่ี วกบั ปรชั ญาระดับมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และศาสนาแกช่ าวไทยโดยการแสดงปาฐกถา และศาสนาแล้ว ทา่ นสวามียังสอนภาษาสนั สกฤตและและมคี วามรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ปรัชญา และ สถานทีท่ ีท่ า่ นแสดงปาฐกถาก็คอื หอสมดุ ภาษาองั กฤษใหแ้ กพ่ ระภกิ ษสุ ามเณรรวมทง้ั เจา้ พระคณุอกั ษรศาสตรเ์ ปน็ อยา่ งดีรวมทง้ั ความรดู้ า้ น ของมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั สถาบนั การศกึ ษา สมเดจ็ ฯ ซงึ่ ไดเ้ ป็นศิษย์ของท่านดว้ ย ท่านสอนภาษาภาษาอกี หลายภาษา เชน่ บาลี สันสกฤต ระดับสงู ของคณะสงฆฝ์ า่ ยธรรมยุติกา ซึ่ง สนั สกฤตทต่ี กึ มนษุ ยนาควทิ ยาทานในวดั บวรนเิ วศวหิ ารอังกฤษ ฝรง่ั เศส และละตนิ ทา่ นสวามีได้ ต้ังอยู่ท่หี นา้ วัดบวรนิเวศวิหาร (ปจั จุบันเปน็ สว่ นภาษาองั กฤษไปสอนทต่ี กึ สามคั คธี รรมทานซง่ึ เปน็เดนิ ทางเข้ามาประเทศไทยตามค�ำ แนะน�ำ ท่ีต้ังสำ�นักงานแม่กองธรรมสนามหลวง) โรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมของวดั บวรนเิ วศวหิ าร (ปจั จบุ นัของท่านระพินทรนาถ ฐากูร กวีเอกของ แ ล ะ เ มื่ อ มี ผู้ ส น ใ จ ม า ก ข้ึ น ก็ ไ ด้ ต้ั ง เ ป็ น ร้อื ลงแล้วสร้างตึก สว. ธรรมนเิ วศ ขึน้ แทน)อินเดยี ซึง่ เคยเดนิ ทางมาเยอื นไทยก่อน “ธรรมาศรม” คลา้ ยกับจะเปน็ ศนู ยเ์ ผยแพร่ > ตอ่ มาภายหลังท่านสวามี สตั ยานันทปรุ ี เดนิ ทางไปหน้าน้ัน เม่อื เขา้ มาอยู่ในประเทศไทยแลว้ วัฒนธรรมอนิ เดยี ตอ่ มากไ็ ด้ขยายกิจการ ญป่ี นุ่ โดยเครอ่ื งบนิ และปรากฏวา่ เครอ่ื งบนิ ทท่ี า่ นโดยสารท่านสวามีก็เรียนภาษาไทย ใช้เวลาเรียน เป็น อาศรมวัฒนธรรมไทยภารต ขึน้ เมอื่ ไปนั้น ตกที่เกาะอิเซ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๒๔อยรู่ าว ๖ เดอื นเทา่ นน้ั ทา่ นกส็ ามารถแสดง พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านสวามีนับว่าเปน็ ผทู้ ีท่ �ำ ให้ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทา่ นถงึ แก่กรรมขณะมอี ายุปาฐกถาเป็นภาษาไทยได้ ชาวไทยร้จู ักวชิ าปรชั ญาเปน็ ครงั้ แรก ๔๐ ปีเศษ รวมเวลาทีพ่ �ำ นกั อยู่ในประเทศไทย ๑๐ ปี 43
การเรียนภาษาอังกฤษกับท่านสวามีของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อเมรกิ าบา้ งในเวลากลางคนื และฟงั แผน่ เสยี งชดุ ลงิ กวั โฟนบา้ งนน้ั ไมค่ อ่ ยมคี วามตอ่ เนอ่ื งนกั เพราะขณะทท่ี รงตอ้ งพระประสงค์ จนท�ำ ใหพ้ ระองคส์ ามารถใชภ้ าษาองั กฤษไดด้ ี ทง้ั พดู อา่ น เขยี นจะเรยี นภาษาองั กฤษกบั ทา่ นสวามี เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ตอ้ งทรง คมู่ อื การศึกษาคน้ ควา้ ภาษาองั กฤษทท่ี รงใช้เป็นประจ�ำ สม�ำ่ เสมอเปน็ ครสู อนบาลขี องส�ำ นกั เรียนวดั บวรนิเวศวิหารดว้ ย แตเ่ วลา คือพระไตรปิฎกแปลเป็นภาษาอังกฤษ ฉบับของสมาคมบาลีสอนหนังสือกับเวลาเรียนภาษาอังกฤษมักจะตรงกันคือในเวลา ปกรณ์ (The Pali Text Society) พรอ้ มตำ�ราภาษาองั กฤษท่ีบ่าย ตอ่ เม่ือทรงว่างจากการสอนหนังสอื เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงมีไว้ใกล้พระองค์เสมออีกเล่มหนึ่งคือ พจนานุกรมภาษาจงึ จะไดม้ ีเวลาเรียนภาษาองั กฤษ หรือไมเ่ ช่นนัน้ หลังจากท่ีทรง อังกฤษ ฉบบั Oxford Advance Learner’s Dictionary ofเลกิ สอนหนังสือแล้ว หากชนั้ เรยี นของทา่ นสวามยี ังไม่เลิกสอน Current English นอกจากน้ันหากทรงอ่านหนังสอื เล่มใดแล้วเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ กจ็ ะไปสมทบเรียนกบั เขา ทรงพบถอ้ ยค�ำ สำ�นวนท่ไี พเราะ หรือขอ้ ความภาษาองั กฤษท่ีมี เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงเรียนภาษาองั กฤษกับท่านสวามี ความหมายงดงามลึกซึง้ ก็จะทรงจดจ�ำ ไว้ใชเ้ ป็นแบบอย่าง ทรงอยู่ราวสองปีก็เลิกเรียน เพราะท่านสวามีเองเลิกสอน จากนั้น ใช้ทงั้ วิธบี นั ทกึ ลงสมุดและดว้ ยการทรงจำ� เมอื่ ทรงพบถอ้ ยคำ�พระองคก์ ท็ รงเรียนตอ่ ไปด้วยตนเอง สำ�นวนดี ๆ เกย่ี วกบั ธรรมะ หรือค�ำ แปลบาลเี ปน็ ภาษาองั กฤษ ส�ำ หรบั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ นน้ั หลงั จากเลกิ เรยี นภาษาองั กฤษ ก็จะทรงท่องจ�ำ ไว้ใช้ประกอบการพดู หรอื การเขียนของพระองค์กับสวามี สตั ยานันทปรุ ี แล้ว พระองค์กท็ รงฝกึ ฝนภาษาองั กฤษ เช่น เคยรับสง่ั แก่ผู้ใกล้ชิดวา่ “เลม่ น้ีส�ำ นวนธรรมของเขาดีมากดว้ ยตนเองตอ่ ไป โดยการอา่ นหนงั สอื ภาษาองั กฤษ อา่ นหนงั สอื พมิ พ์ ทน่ี ่ียังเคยจำ�เอาไปใช้” (ค�ำ ว่า “ทน่ี ”่ี เป็นสรรพนามบุรษุ ที่ ๑ภาษาองั กฤษ ฟังรายการภาษาองั กฤษทางวิทยบุ บี ีซบี ้าง เสยี ง เมื่อรบั ส่ังถึงพระองค์เอง) ตวั อยา่ งหนงั สอื ทรงอา่ นของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ44
อนึ่ง นอกจากจะได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากท่าน ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ท่ีตำ�หนกั ที่ประทับของพระองคด์ ว้ ยสวามีในช้ันต้นและได้ทรงศึกษาต่อเนื่องมาด้วยพระองค์เอง การสอนเช่นน้ีทำ�ให้ต้องทรงเตรียมคำ�สอนเป็นภาษาอังกฤษในภายหลังแล้ว สมควรกลา่ วดว้ ยวา่ ใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะเมื่อ ด้วยพระองค์เองเปน็ ส่วนใหญ่ เวน้ กแ็ ต่บางคราวทท่ี รงขอให้เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ พ่ี ระสาสนโสภณ เจา้ อาวาส พระภิกษุชาวต่างประเทศท่ีบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารวัดบวรนเิ วศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงพระกรุณา ชว่ ยบรรยายแทนบา้ ง ในสว่ นของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ เมอ่ื ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ นางโยเซฟนี สแตนตนั ภรยิ าของนายเอดวนิ เอฟ เตรียมคำ�บรรยายเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ทรงนำ�มาอ่านให้สแตนตนั อดตี เอกอคั รราชทตู สหรฐั อเมรกิ าประจ�ำ ประเทศไทย นางสแตนตันฟงั กอ่ นรอบหน่งึ เพื่อฝึกฝนการออกเสียงภาษาคนแรกยุคหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ มาศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา อังกฤษให้ถูกต้อง นางสแตนตันจึงได้ชื่อว่าเป็นครูสอนภาษากบั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯและชว่ ยฟน้ื ฟภู าษาองั กฤษของเจา้ พระคณุ อังกฤษของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ อกี ผู้หน่งึ ด้วยสมเดจ็ ฯ ไปพรอ้ มกนั ดว้ ย นางสแตนตนั มาสนทนากบั เจา้ พระคณุสมเด็จฯ ด้วยภาษาอังกฤษสปั ดาห์ละ ๒ - ๓ วนั ในระยะแรกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทา่ นผูห้ ญิงสุประภาดา เกษมสนั ต์นางสนองพระโอษฐ์ในสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถผู้มีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีและเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษมากอ่ น มาท�ำ หน้าทล่ี า่ มเพื่อช่วยการส่อื สาร แต่ต่อมาไม่นานก็ทรงสามารถสนทนากับนางสแตนตันได้ด้วยพระองค์เอง ทรงตั้งพระทัยฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังข้างฝา่ ยนางสแตนตนั ก็ท�ำ หนา้ ที่ครทู ดี่ ี ได้ช่วยแนะน�ำ ความรู้ภาษาองั กฤษแกเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ อยา่ งแขง็ ขนั ประจวบกบั ในระยะนน้ั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เปดิ ชน้ั เรยี นเรยี กวา่ DhammaClassเพื่อสอนพระพุทธศาสนาและสอนกรรมฐานแก่ชาวต่างประเทศ (ซา้ ย) เอกสารเตรยี มการสอน DHAMMA CLASS (ขวา) ลายพระหตั ถเ์ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงบนั ทกึ เปน็ ภาษาองั กฤษ 45
ลายพระหตั ถเ์ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ นอกจากจะทรงบนั ทกึ เปน็ ภาษาองั กฤษแลว้ ยงั ทรงบนั ทกึ ฝกึ ฝนการเขยี นอกั ษร และการออกเสยี งภาษาตา่ ง ๆ เพอ่ื การศกึ ษาสว่ นพระองค์ เชน่ อกั ษรบาลี อกั ษรพราหมี ภาษาสนั สกฤต ภาษาเนปาล อกั ษรจนี ฯลฯ ดว้ ยความสนพระทยั ในเรอ่ื งภาษาเปน็ อยา่ งยง่ิ46
นอกจากภาษาสนั สกฤตและภาษาอังกฤษแลว้เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ยังสนพระทัยศึกษาภาษาอื่นๆ เชน่• ทรงศึกษาภาษาฝร่ังเศสกับนายแพทยห์ ลวงสุรยิ พงศ์พสิ ุทธแิ พทย์ (กระจา่ ง บนุ นาค) ซง่ึ มีความช�ำ นาญหลายภาษา• ทรงเรียนภาษาเยอรมันกับคุณเกษมจิต อัศวจนิ ดาผูเ้ คยบวชเป็นพระนวกะทว่ี ดั บวรนิเวศวิหาร• ทรงเรียนภาษาจีนกับคณุ สริ ิ ศรสงคราม ระหว่างท่ีบวชเป็นพระนวกะท่วี ดั บวรนเิ วศวิหาร• ส�ำ หรบั ภาษาอื่นๆ เนอื่ งจากไม่ไดท้ รงฝกึ ฝนต่อเน่ืองมาในระยะหลงั จงึ ได้ทิง้ ไป 47
ปริยัตินำ�สู่ปฏิบัติ ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่าการศึกษาที่สำ�คัญทางพระพุทธศาสนา ขณะเดยี วกนั กท็ รงใฝ่พระทัยศึกษาภาษาองั กฤษเพอ่ื เป็นประกอบด้วยสองส่วนที่เกื้อกูลกัน มักเรียกกันโดยย่อว่า ปริยัติ และ เครื่องมือในการเสาะแสวงหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ขนึ้ อีกด้วยปฏิบัติ โดยมีจุดหมายปลายทางที่เรียกว่า ปฏิเวธ คือความหลุดพ้นจากสงั สารวัฏ อันไดแ้ กก่ ารเวียนวา่ ยตายเกิด การศกึ ษาฝ่ายปรยิ ตั ินัน้ ในชว่ งเวลาท่เี จ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เริ่มสนพระทัยเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงศึกษามาโดยลำ�ดับชั้นทั้งฝ่ายธรรมศึกษา ในการเรยี นภาษาต่างๆ น้ันเอง วันหนงึ่และฝา่ ยเปรยี ญธรรม ซง่ึ เปน็ การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาตามคตจิ ารตี นยิ ม สมเด็จพระสังฆราชเจา้ ฯ โปรดให้หาและรับสัง่ วา่ของไทย จนทรงส�ำ เร็จการศกึ ษาช้ันสูงสดุ คือเปรียญธรรม ๙ ประโยค “กำ�ลังเรียนใหญห่ รือ อย่าบ้าเรียนให้มากนกั หัดท�ำ กรรมฐานเสียบา้ ง” รบั สง่ั ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ดงั กลา่ วเชน่ นเ้ี อง เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงถอื วา่ เปน็ เสมอื นพระบญั ชาและเปน็ เหตใุ หพ้ ระองค์ทรงสนพระทยั ในการปฏิบตั กิ รรมฐานตง้ั แตบ่ ัดน้ันเป็นต้นมา และทรงถอื ว่า สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงเป็นครูกรรมฐานพระองค์แรกของพระองค์ ประเพณปี ฏิบตั ิ การปฏิบัตกิ รรมฐาน เปน็ คตนิ ิยมในพระสงฆ์คณะธรรมยุตกิ าท่สี ืบเน่ือง มาแตค่ ร้ังพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ยงั ทรงผนวชอยู่ คอื เก่งปรยิ ตั ิ เคร่งครดั วินัย ใส่ใจกรรมฐานขณะเม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ ท้ังนี้เพราะทรงถือปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาท่ีว่าได้ทรงรื้อฟื้นคตินิยมนี้ขึ้น ด้วยการเอาพระราชหฤทัยใส่ใน พระภกิ ษุสามเณรมธี รุ ะคอื หน้าทที่ พี่ งึ ปฏิบัติ ๒ อย่าง คอืการศึกษาพระปริยัติธรรมโดยเฉพาะ คือ พระไตรปิฎก ทรง • คันถธุระ คือการศึกษาเล่าเรียนพระคมั ภีร์ เพือ่ ใหม้ ีความรู้เนน้ การปฏิบัติสมณวัตรใหเ้ คร่งครดั ตามพระธรรมวนิ ัย และ พระธรรมวนิ ยั คอื ค�ำ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ เพอ่ื เปน็ แบบแผนเอาพระราชหฤทยั ใสใ่ นการศกึ ษาวปิ สั สนาธรุ ะ คอื การฝกึ ปฏบิ ตั ิ ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ละสำ�หรับแนะนำ�สง่ั สอนผู้อ่ืนตอ่ ไปอบรมจิตใจ และทรงแนะนำ�ศิษยานุศิษย์ให้เอาใจใส่ศึกษา • วิปสั สนาธุระ คือการศกึ ษาอบรมจิตใจ ตามหลกั สมถะและปฏบิ ัตเิ ชน่ กนั วปิ สั สนา เพ่อื ให้รแู้ จ้งในธรรมและก�ำ จดั กิเลสออกจากจิตใจนอกจากจะทรงปฏบิ ตั พิ ระองคเ์ ปน็ แบบอยา่ งใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆ์ ฉะน้ัน พระสงฆธ์ รรมยุติกาจึงถือเป็นประเพณีปฏิบัติสบื มาแต่ในคณะธรรมยตุ กิ าไดเ้ หน็ เปน็ แนวทางแลว้ บรรดาศษิ ยห์ ลวงเดมิ ท่ี ครง้ั นน้ั วา่ ตอ้ งศกึ ษาคันถธรุ ะและวปิ ัสสนาธุระ กล่าวคือเปน็ ตน้ วงศข์ องคณะธรรมยตุ กิ ากโ็ ดยเสดจ็ ตามพระราชนยิ มดว้ ย • ในเวลาเขา้ พรรษากอ็ ยูศ่ กึ ษาคันถธุระในส�ำ นกั ของตนดว้ ยตวั อยา่ งเชน่ สมเดจ็ พระวนั รตั น (พทุ ธฺ สริ ิ ทบั ) ซง่ึ ภายหลงั โปรด ความหมนั่ เพยี รให้ไปครองวดั โสมนสั วหิ ารเปน็ ปฐมเจา้ อาวาส กเ็ ปน็ พระเถระทม่ี ี • เมือ่ ออกพรรษาแล้ว ก็จาริกธดุ งค์ไปตามปา่ เขาเพ่อื หาท่ีชอ่ื เสยี งเกยี รตคิ ุณเด่นชัดในการปฏบิ ัตกิ รรมฐาน วิเวกสำ�หรบั จะได้ศกึ ษาปฏิบัตวิ ิปัสสนาธรุ ะแมพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวเอง ขณะเม่อื ยังทรงผนวชอยู่กท็ รงถือปฏิบัติเชน่ น้ีมาโดยตลอด ดังปรากฏในพระราชประวตั วิ า่ ไดเ้ สด็จจารกิ ไปตามหัวเมืองตา่ งๆ อย่างสม่ำ�เสมอ ประเพณปี ฏบิ ตั ดิ งั กลา่ วนไ้ี ดเ้ จรญิ แพรห่ ลายในหมพู่ ระสงฆธ์ รรมยตุ กิ าสบื มาจวบจนปจั จบุ นั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในภาคอสี าน ความนยิ มในการศกึ ษา ปฏิบัติกรรมฐานมิไดจ้ ำ�กัดอย่เู ฉพาะในหมพู่ ระสงฆ์ธรรมยุตกิ าเท่าน้ัน แต่ได้แพรห่ ลายไปในหมู่พระภกิ ษุสามเณรทัว่ ไปตลอดถงึ พทุ ธศาสนิกชน ทง้ั หญงิ ชาย เปน็ ทท่ี ราบกนั วา่ มสี �ำ นกั กรรมฐานเกดิ ขน้ึ ในภาคอสี านทว่ั ไปและมบี รู พาจารยท์ างกรรมฐานเกดิ ขน้ึ มากมายสบื เนอ่ื งกนั มาไมข่ าดสาย ที่ปรากฏเกียรตคิ ุณเป็นท่ีรู้จกั กันท่ัวไปกเ็ ชน่ พระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย์ (จันทร์ สริ จิ นฺโท) พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสโี ล พระอาจารยม์ น่ั ภูริทตโฺ ต พระอาจารย์ดูลย์ อตโุ ล พระอาจารยเ์ ทสก์ เทสรํสี พระอาจารย์ฝ้นั อาจาโร พระอาจารย์ชา สภุ ทโฺ ท เป็นตน้ พระบรู พาจารย์ดังกล่าวนีล้ ้วนสืบ สายมาจากสทั ธวิ หิ ารกิ คือศิษย์หลวงเดิมของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ขณะเม่อื ยงั ทรงผนวชอยู่ท้ังนัน้48
สำ�หรับพระภกิ ษุสามเณรผู้สนใจในการปฏบิ ตั ิกรรมฐานแตไ่ มม่ โี อกาสที่จะอยู่ในสำ�นกั วดั ปา่กส็ ามารถปฏิบัติได้โดยปฏบิ ัติตามหลกั คำ�สอนของพระพุทธเจ้าทีว่ ่า “แมจ้ ะอยู่ในบ้านในเมือง ก็ให้ท�ำ สัญญาคอื ทำ�ความรสู้ กึกำ�หนดหมายในใจวา่ อยู่ในป่า อยู่ในทีว่ า่ ง อยู่ในท่สี งบ ก็สามารถท�ำ จิตใจใหว้ ่างให้สงบได”้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แม้เป็นพระภิกษุที่อยู่ในเมือง คือ วดั บวรนเิ วศวหิ าร แตก่ ไ็ ดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระองคต์ ามหลกั ดงั กลา่ วน้ี โดยทรงปฏิบัติพระองค์เสมือนหนึ่งเป็นพระกรรมฐานในเมือง กลา่ วคือทรงตน่ื บรรทมตีสาม แล้วทรงไหว้พระสวดมนต์ ทรง ทบทวนพระปาตโิ มกขว์ นั ละตอนๆ แลว้ ทรงท�ำ สมาธิ จนถงึ เวลา รงุ่ อรณุ กเ็ สดจ็ ออกบณิ ฑบาต และเสวยมอ้ื เดยี วราว ๘ โมงเชา้ เสวยในบาตร และเมือ่ ทรงมโี อกาสกเ็ สดจ็ จารกิ ไปประทับตาม ส�ำ นกั วัดป่าในภาคอีสานชวั่ ระยะเวลาหนึ่งเสมอมา 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369