Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Published by inno vation, 2021-04-15 07:03:27

Description: นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Search

Read the Text Version

หนงั สือชดุ 1เลม‹ ท่ี การบร�หารจดั การ งานวจ� ยั สกว. ศาสตราจารย นพ.สุทธพิ ันธ จต� พ�มลมาศ บรรณาธิการ TRFManRaegseemarecnht

หนงั สือชดุ การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั สกว. ช่ือหนงั สอื นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจัย บรรณาธกิ าร ศาสตราจารย์ นพ.สทุ ธพิ ันธ์ จติ พิมลมาศ กองบรรณาธกิ าร รองศาสตราจารย์ ดร.จนั ทร์จรสั เรี่ยวเดชะ รองศาสตราจารย์มยุรี จัยวัฒน์ อาจารยอ์ รพรรณ บัญชเสนศิริ นางสาวนภสั นนั น์ กลา้ วกิ ย์การ นางสาวสจุ ารี สอนงา่ ย นางสาวกฤษณา ตรีศิลปว์ เิ ศษ นางสาวสชุ าวลี ชเู อน นางสาววรรณนสุ รณ์ วงศป์ ระเสรฐิ นางสาวชัชฎาภรณ์ กองตุ้ย นางสาวพัชยา มาสมบูรณ์ นางสาวชมพนู ทุ สวนกระต่าย พิมพค์ ร้ังท่ี 1 สงิ หาคม 2561 จ�ำนวนพมิ พ์ 1,000 เลม่ ราคาจำ� หนา่ ย 350 บาท ผพู้ มิ พ/์ จัดจำ� หนา่ ย ส�ำนกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย (สกว.) ช้นั 14 อาคารเอส เอม็ ทาวเวอร์ เลขท่ี 979/17-21 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพมหานคร 10400 โทรศพั ท์: 0 2278 8200 (อตั โนมัติ) โทรสาร: 0 2298 0476 E-mail: [email protected] Homepage: https://www.trf.or.th ออกแบบและพิมพ์ท่ ี บริษัท ซโี น พบั ลิชช่งิ แอนด์ แพคเกจจงิ้ จำ� กัด โทรศัพท์: 0 2511 5715 โทรสาร: 0 2511 5719 ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมดุ แห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.) นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวิจยั .-- กรงุ เทพฯ :ส�ำนักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.), 2561. 312 หนา้ .--(การบริหารจัดการงานวิจยั สกว.) 1. วิจัย. I. ชอ่ื เร่อื ง 001.4 ISBN 978-616-417-093-3

คำ� นำ� สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) มงุ่ มน่ั “สรา้ งสรรคป์ ญั ญาเพอื่ พฒั นาประเทศ” โดยให้การสนับสนุนทุนวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้พร้อม ๆ ไปกับการสร้างคนคุณภาพและองค์ความรู้ ท่ีจ�ำเป็น ย่ีสิบห้าปีของการด�ำเนินงาน สกว. ได้พัฒนาโครงสร้าง ระบบ กลไก และเครื่องมือ ด้านการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ และเกิดผลกระทบท่ีสามารถสร้างการเปล่ียนแปลง ใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรม การพฒั นารปู แบบการสนบั สนนุ การวจิ ยั แบบใหม่ ๆ จงึ เกดิ ขน้ึ อยา่ งต่อเน่ือง การทบทวนหลักคิด สะท้อนวิธีบริหารงานของ สกว. มีมาทุกยุคสมัย ท�ำให้เกิดการเรียนรู้ วิธีบริหารจัดการแบบพลวัตของ สกว. ตั้งแต่เริ่มก่อต้ังจนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ไม่ว่าการปรับเปล่ียน จะเกดิ ขนึ้ มากนอ้ ยเพยี งใด และในรปู แบบใด อนั เกดิ จากการเปลยี่ นแปลงของบรบิ ท จะเหน็ วา่ สกว. ยังคงรักษาตำ� แหนง่ หนว่ ยงานท่มี ี “นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การ” ไว้ไดเ้ ป็นอยา่ งดี การจัดท�ำเอกสารบันทึกความรู้ กลยุทธ์ และการปรับโครงสร้างรองรับการบริหารจัดการ งานวจิ ัยใหม่ของ สกว. ครั้งน้ี จะเกิดประโยชนท์ ้งั ต่อสว่ นรวม องคก์ ร และผบู้ ริหารงานวจิ ัย รวมถงึ นกั วิจยั ทกุ ระดบั สำ� หรบั เรยี นรู้ และปรับใชเ้ พือ่ สร้างความส�ำเร็จตอ่ ไป ขอขอบคณุ รองศาสตราจารย์ ดร.จนั ทรจ์ รสั เรย่ี วเดชะ อดีตรองผูอ้ ำ� นวยการ สกว. ดา้ นการ น�ำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ หัวหน้าโครงการ “โครงการจัดท�ำหนังสือบริหารจัดการงานวิจัย” และ รองศาสตราจารย์มยุรี จัยวัฒน์ อดีตผู้ช่วยผู้อ�ำนวยการ สกว. ด้านส่ือสารสังคมที่รับสานต่อ เจตนารมณ์ของ สกว. ออกแบบการด�ำเนินงาน คัดเฟ้นหาผู้นิพนธ์แต่ละบท ประสานงานและ บรหิ ารจดั การต้นฉบับจนสำ� เรจ็ เรยี บร้อย สกว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ส�ำหรับผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจจะนำ� ไปปรับใชใ้ นการบรหิ ารจัดการงานวิจัยในทุกวาระและโอกาส ศาสตราจารย์ นพ.สทุ ธิพันธ์ จติ พิมลมาศ ผอู้ ำ� นวยการ ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย

บทบรรณาธกิ าร ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ก่อตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุน การวิจัย พ.ศ. 2535 และเป็นหน่วยงานในกำ� กบั ของสำ� นกั นายกรัฐมนตรี มีภารกจิ ในการสนบั สนุน ทนุ วจิ ัยเพื่อ “สร้างสรรคป์ ญั ญา พัฒนาประเทศ” เปน็ หนว่ ยงานแรกของประเทศไทยทใี่ ช้รปู แบบ การสนบั สนนุ การวจิ ยั แบบชดุ โครงการ (Program-based Research Management) พรอ้ ม ๆ ไปกบั การสนับสนุนการสร้างผลงานและบุคลากรวิจัยผ่านทุนในฝ่ายวิชาการ และโครงการปริญญาเอก กาญจนาภเิ ษก (คปก.) ในรปู แบบโครงการวจิ ยั เดย่ี ว (project) นอกจากนยี้ งั มรี ปู แบบการสนบั สนนุ ทุนวิจัยระดับชุมชน (Community-based Research) ระดับพ้ืนที่ (Area-based Research) และอีกหลากหลายรปู แบบ ยส่ี บิ หา้ ปผี า่ นไป สกว. ไดพ้ ฒั นาโครงสรา้ ง ระบบ กลไก และเครอ่ื งมอื ดา้ นการบรหิ ารจดั การ เพอื่ ใหเ้ กดิ ผลลพั ธ์ (outcome) ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม รวมถงึ การสรา้ งผลกระทบ (impact) จากผลงานวจิ ยั กว่า 20,000 โครงการ โดยพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการวิจัยแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการพฒั นานกั วจิ ยั และงานวจิ ยั เพอ่ื อตุ สาหกรรม (พวอ.) โครงการพฒั นาเครอื ขา่ ยวจิ ยั นานาชาติ (พคน. หรือ IRN) การวิจยั เชิงยทุ ธศาสตร์ (Strategic Research Issue หรือ SRI) งานวจิ ยั มุ่งเปา้ (Targeted Research Issue หรอื TRI) โครงการยกระดับอตุ สาหกรรมเปา้ หมายด้วยการวิจัยและ พัฒนา (S-Curve and New S-Curve) จึงอาจกล่าวได้ว่า สกว. สนับสนุนการวิจัยครอบคลุม ท้ังระดบั function, area และ agenda การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธท์ พี่ งึ ประสงคเ์ ปน็ เรอ่ื งละเอยี ดออ่ น ตอ้ งใชท้ ฤษฎแี ละ วธิ กี ารบรหิ ารจดั การหลากหลายรปู แบบทม่ี คี วามจำ� เพาะกบั ชนดิ โจทย์ เปา้ หมาย และผใู้ ชป้ ระโยชน์ สกว. จงึ เหน็ สมควรถอดบทเรยี น วเิ คราะหค์ วามรดู้ า้ นการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั และจดั ทำ� เอกสาร บนั ทกึ ความรู้ กลยุทธ์ และวธิ บี ริหารจดั การงานวิจัยของ สกว. เพื่อประโยชนท์ งั้ ต่อส่วนรวม องค์กร และผบู้ ริหารงานวิจัย รวมถึงนกั วิจยั ทกุ ระดบั ส�ำหรับเรยี นร้แู ละปรับใช้เพอื่ สรา้ งความส�ำเร็จตอ่ ไป หนังสอื เล่มนเ้ี กิดข้ึนจากความคิดริเร่มิ ของศาสตราจารย์ นพ.ไกรสทิ ธ์ิ ตันติศริ ินทร์ ประธาน คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย (เมษายน 2552-เมษายน 2561) ผู้เห็นคุณค่า ของการเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการงานวิจัยของ สกว. และได้จุดประกายสร้างสรรค์งาน รวบรวม สรรพก�ำลังด้านความคิดและประสบการณ์ของทีมผู้บริหาร สกว. (ผู้อ�ำนวยการฝ่าย/โครงการ) ถอดบทเรียนที่ส่ังสมมาท้ังจากงานเดิมท่ีเคยท�ำ งานท่ีก�ำลังด�ำเนินการ และงานที่จะพัฒนาต่อไป

ในอนาคต เพอื่ ถา่ ยทอดและเผยแพรส่ ปู่ ระชาคมวจิ ยั โดยมกี ารเชอ่ื มโยงระหวา่ งความเปน็ มา ฐานคดิ เปา้ หมาย วธิ กี ารสเู่ ปา้ หมาย และการปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารบรหิ ารจดั การตามบรบิ ททเี่ ปลยี่ นแปลง หรอื คาดว่าการเปลย่ี นแปลงอาจเกดิ ขึ้น โยงไปสกู่ ารปฏิรูประบบวจิ ัยตามยุทธศาสตรว์ จิ ยั และนวตั กรรม แหง่ ชาติ 20 ปี รวมทง้ั การจัดตัง้ สภานโยบายวจิ ัยและนวัตกรรมแหง่ ชาตดิ ้วย การทบทวนหลักคิด สะท้อนวิธีบริหารงานโดยการต้ังเป้าหมายที่ชัดเจน น�ำไปสู่การหา วิธดี �ำเนนิ การทถ่ี ูกต้อง มีมาตงั้ แต่เริม่ ก่อตั้ง สกว. จากการใหส้ ัมภาษณข์ องอดีตผูอ้ ำ� นวยการ สกว. ท้ังสามท่าน ที่ได้เปิดต�ำนานการบริหารจัดการองค์กรสนับสนุนทุนวิจัยขณะด�ำรงต�ำแหน่ง ท�ำให้ เหน็ ภาพวิธีการบริหารจดั การในแต่ละยุคสมัยของ สกว. ในช่วง 20 ปีหลงั กอ่ ตั้ง สร้างการเรียนรู้วธิ ี บรหิ ารจดั การแบบ “พลวตั ” ของ สกว. ต้งั แตแ่ รกเร่ิมจนเขา้ สูย่ ุคปัจจบุ นั ซ่ึงไม่ว่าการปรับเปลยี่ น จะเกดิ ขนึ้ มากนอ้ ยเพียงใด และในรูปแบบใดบนเหตผุ ลการเปลี่ยนแปลงของบริบท จะเห็นว่า สกว. ยงั คงรกั ษาต�ำแหน่ง “นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการ” ไวไ้ ด้อยา่ งดี การเปลย่ี นแปลงทก่ี ำ� ลงั เกดิ ขน้ึ ใน สกว. คอื ยทุ ธศาสตรท์ เ่ี นน้ การสนบั สนนุ งานวจิ ยั ในประเดน็ ท่ีจะท�ำให้เกิดผลกระทบ (impact) จากงานวิจัยสู่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ รวมทั้งองค์ความรู้ในเชิงวิชาการเพ่ือต่อยอดสู่นวัตกรรมในหลาย ๆ ด้าน การส่งมอบผลงานวิจัย สู่การใช้ประโยชนจ์ ะเกดิ แรงสง่ ดา้ นการจัดการ (user management) มีกระบวนการเปลี่ยนแปลง งานวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ (research utilization process) เกดิ ผลกระทบทง้ั 2 ดา้ น คอื supply side และ demand side เกิดนวัตกรรมจากนักวิจัยสู่การผลิต เกิดผลลัพธ์เป็นนวัตกรรมพึงประสงค์ ของสังคม โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อเกิดความร่วมมือขององค์กรสนับสนุนทุนวิจัยจนเกิดเครือข่าย การท�ำงานร่วมกัน (Funding Research Agency Network) จะท�ำให้การบริหารงานวิจัยของ ประเทศมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล บรรลเุ ปา้ หมาย ตอบโจทยค์ วามตอ้ งการของประเทศมากขนึ้ หนงั สอื การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั (RM) เลม่ น้ี เปน็ เลม่ ท่ี 1 ในจำ� นวน 3 เลม่ ของ ชดุ หนงั สอื การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั สกว. ชอื่ “นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ” เนน้ ระบบและกลไก การบรหิ ารงานของฝา่ ย/โครงการ รวม 11 เรอื่ ง ตามลำ� ดบั ของกลมุ่ งานท่ี สกว. สรา้ งขน้ึ มกี ารพฒั นา และปรบั แตง่ เพอื่ สนบั สนนุ ความสำ� เรจ็ ของงานเดมิ และงานทพี่ ฒั นาขนึ้ มาใหม่ สนองความตอ้ งการ ในการพฒั นาประเทศและสังคมตามยคุ สมยั แยกเปน็ 3 กลุ่มงาน

กลุ่มงานเมื่อแรกเร่ิมและด�ำเนินการต่อเนื่อง เป็นงานด้ังเดิมที่มีมาตั้งแต่ต้น ให้ทุนต่อเน่ือง มายาวนาน มีการจัดการรูปแบบท่ีมีพัฒนาการตามเงื่อนไขปัจจัยท่ีอาจมีการเปล่ียนแปลงเล็กน้อย รวม 3 งาน/โครงการ/กลมุ่ ไดแ้ ก่ งานวิชาการ โครงการปรญิ ญาเอกกาญจนาภิเษก (ปจั จบุ นั เปน็ คปก. ระยะที่ 2: 2560-2579) และกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาซ่ึงยังด�ำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มกี ารขยายงานเพมิ่ ขน้ึ เพือ่ ตอบโจทยเ์ ฉพาะและเรง่ ด่วนของประเทศ กลมุ่ ที่ 2 เป็นกลุม่ ที่พฒั นาขนึ้ ในระยะกลาง ตอ่ เนื่องจากฐานงานเดิม ความรู้ ข้อคน้ พบและ ประสบการณ์บริหารจัดการ มกี ารบรู ณาการภายใน สกว. เพื่อขยายการเรยี นรแู้ ละตอบโจทย์ใหญ่ ขน้ึ ทง้ั แนวดง่ิ และระนาบ มลี กั ษณะเฉพาะ และเนน้ ตอบโจทยผ์ ใู้ ชป้ ระโยชน์ รวม 5 งาน/โครงการ/ ฝ่าย ไดแ้ ก่ งานวจิ ัยเพือ่ ท้องถิน่ (CBR) งานวจิ ยั เพื่อพัฒนาเชงิ พน้ื ที่ (ABC) โครงการพฒั นานักวจิ ัย และงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) โครงการพัฒนาเครือข่ายวิจัยนานาชาติ (พคน. หรือ IRN) และฝ่ายมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ งาน CBR และ ABC เป็นการขยายงาน ในกลมุ่ วิจยั และพฒั นา แตง่ าน พวอ. และ พคน. ต้งั ขน้ึ เพื่อสนับสนนุ ความส�ำเร็จในการสร้างนกั วิจัย ระดับยอดเย่ียมร่วมกับโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก ส่วนฝ่ายมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ แม้จะเป็นฝ่ายที่ตั้งขึ้นล่าสุด แต่ สกว. ได้สร้างผลงานจากการสนับสนุน ทุนวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ระดับโครงการมาต้ังแต่ช่วงแรกของการด�ำเนินงาน ซึ่งต่อมาขยายเป็น ระดบั กลุ่มงาน และเปน็ ระดบั ฝา่ ยในท่สี ดุ กลุ่มท่ี 3 เป็นกลุ่มงานท่ีสร้างใหม่ รวม 3 งาน/โครงการ บางงานเคยมีอยู่แต่ปรับรูปแบบ การบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด ไดแ้ ก่ งานวจิ ัยเชิงยทุ ธศาสตร์ (SRI) และงานตอบโจทย์แบบมุง่ เป้า ตามความตอ้ งการของประเทศแบบรบี ดว่ น อกี 2 งาน ไดแ้ ก่ งานวจิ ยั แบบมงุ่ เปา้ (TRI) และโครงการ ยกระดบั อตุ สาหกรรมเป้าหมายดว้ ยการวจิ ัยและพฒั นา (S-curve and new S-curve) “ปฏิรูประบบวิจัยและก้าวต่อไปของ สกว.” ในปัจฉิมบท กล่าวถึงการปฏิรูประบบวิจัย ทั้งประเทศต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยย่อ พัฒนาการของ สกว. การประเมินผลกระทบของ การปฏิรูประบบวจิ ยั ทจ่ี ะส่งผลต่อการด�ำเนินงานของ สกว. เป็นเหตผุ ลใหต้ อ้ งปรับยทุ ธศาสตร์ใหม่ ออกแบบระบบและกลไกการบรหิ ารทนุ และองคก์ รในแนวใหม่ สามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการ ที่หลากหลายและใหญ่ขึ้นของผู้ใช้ประโยชน์ (users and customers) แต่จะยังคงความเป็น “นวัตกรรม” ทั้งน้ี เพ่ือให้ผู้เก่ียวข้องเห็นทิศทางการท�ำงานที่ต้องปรับเปลี่ยนจากอดีตสู่ความ แปลกใหม่ของ สกว. ทงั้ ในปัจจุบนั และอนาคต

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้อ่านระดับผู้บริหาร และผู้ก�ำกับงานวิจัยระดับนโยบาย สามารถ เรียนรู้และใช้เป็นคู่มือในการออกแบบองค์กรและสนับสนุนทุนวิจัย สามารถปฏิบัติเพื่อให้เกิด ผลลัพธ์/ผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ ทผี่ ู้รบั ผดิ ชอบไดอ้ อกแบบไว้ หนังสอื การบรหิ ารจัดการงานวิจยั อกี 2 เลม่ ทเี่ ป็นผลผลติ ของ “โครงการการจัดท�ำหนงั สอื เร่ือง“การบริหารจัดการงานวิจัย” คือ “การบริหารจัดการงานวิจัยเพ่ือสร้างผลลัพธ์และผล กระทบ” (ชดุ หนงั สอื การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั สกว. เลม่ ที่ 2) เปน็ การบรหิ ารจดั การทเ่ี จาะลกึ ลงใน ชุดโครงการวิจยั (program) เน้นทั้งระดบั นโยบายและการก�ำกับทศิ ทางด�ำเนินงาน เหมาะส�ำหรบั ผู้อ่านกลุ่มบริหารงานวิจัยชุดโครงการขนาดใหญ่ เช่น หน่วยงานวิจัยหรือรองอธิการบดีที่ก�ำกับ เรอื่ งการวจิ ยั ของสถาบนั การศกึ ษา หรอื กลมุ่ ทตี่ อ้ งการนำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นทางปฏบิ ตั ิ สว่ นชดุ หนงั สอื การบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั สกว. เลม่ ท่ี 3 “จบั โจทยม์ นั่ จดั การแมน่ ” เปน็ การรวมเรอ่ื งสนั้ อา่ นงา่ ย ได้ความรู้เร่ืองเครื่องมือการจัดการงานวิจัยที่หลากหลาย เหมาะส�ำหรับผู้อ่านท่ีต้องการเรียนลัด ตามรอยนักจดั การงานวิจยั ของ สกว. ขอขอบพระคณุ ศาสตราจารย์ นพ.ไกรสทิ ธ์ิ ตนั ตศิ ริ นิ ทร์ ผจู้ ดุ ประกายการจดั ทำ� ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช ศาสตราจารย์ ดร.ปยิ ะวตั ิ บญุ -หลง และศาสตราจารย์ ดร.สวสั ด์ิ ตันตระรตั น์ อดตี ผอู้ �ำนวยการ สกว. ทั้งสามทา่ น ท่ีให้ความอนุเคราะหย์ อ้ นอดตี เปดิ ต�ำนานการบริหารจดั การ องค์กรสนับสนุนทุนวิจัยของ สกว. สร้างหลักคิดการบริหาร ให้ผู้บริหารและทีมงานรุ่นต่อมา ได้ศึกษา ทบทวน เชื่อมโยงสูก่ ารบรหิ ารในปจั จบุ นั และวาดฝันสกู่ ารบริหารในอนาคต ขอขอบคณุ ผ้นู ิพนธ์ทกุ ทา่ นทรี่ ่วมอดุ มการณ์ ถอดบทเรยี นประสบการณ์การบรหิ ารงานวจิ ัย สู่การเรียนร้ขู องสาธารณชนผู้สนใจ สกว. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ี และอีกสองเล่มในชุดเดียวกัน จะเป็นคัมภีร์ส�ำหรับ นกั บรหิ ารจัดการงานวจิ ัยทกุ ระดบั ผ้กู �ำกบั งานวจิ ยั ระดับนโยบาย และผูว้ จิ ยั รวมทงั้ เป็นประโยชน์ สำ� หรับผูอ้ า่ นท่จี ะนำ� ไปปรบั ใช้ในการบริหารจัดการงานวจิ ยั ในทุกวาระและโอกาส ศาสตราจารย์ นพ.สทุ ธิพนั ธ์ จิตพมิ ลมาศ บรรณาธิการ

สารบญั TRF Research Management 04 บทบรรณาธกิ าร ศาสตราจารย นพ.สุทธพิ ันธ จ�ตพม� ลมาศ 10 เปด ตำนานการบร�หารจัดการงานวจ� ยั สกว.ของอดีตผนŒู ำองคก ร 11 ศาสตราจารย นพ.ว�จารณ พานิช 31 ศาสตราจารย ดร.ปยะวัติ บญุ -หลง 38 ศาสตราจารย ดร.สวัสดิ์ ตันตระรตั น กล‹ุมงานเม่อื แรกเรม� และดำเนินการตอ‹ เนอ่ื ง 49 ฝ†ายวช� าการ: สรŒางงานวจ� ยั พน้� ฐาน สรŒางฐานประเทศ 50 ศาสตราจารย ดร.สมปอง คลŒายหนองสรวง โครงการปรญ� ญาเอกกาญจนาภเิ ษก (คปก.) 77 ศาสตราจารย ดร.ประมวล ต้งั บร�บรู ณรตั น การบรห� ารจดั การงานว�จัยและพฒั นา 99 รองศาสตราจารย ดร.พ�รเดช ทองอำไพ

129 กลุม‹ งานพฒั นาจากฐานงานเดิม เพ�มบรู ณาการ 130 การบรห� ารจัดการงานวจ� ยั เพ�่อทŒองถ�ิน 155 ผูŒช‹วยศาสตราจารย ดร.ชูพกั ตร สทุ ธสิ า 171 180 ถอดความรูŒงานว�จยั เพอ�่ การพฒั นาเชงิ พ�้นที่ 196 ดร.กติ ติ สัจจาวฒั นา โครงการพัฒนานกั ว�จัยและงานวจ� ยั เพ�อ่ อตุ สาหกรรม รองศาสตราจารย ดร.ประเสร�ฐ ภวสนั ต โครงการพฒั นาเครอ� ข‹ายว�จยั นานาชาติ รองศาสตราจารย ดร.วรัญญา ว‹องวท� ย และ น.ส.ณภาภัช จนั ทรอดุ ม ฝา† ยมนุษยศาสตร: สรŒางศาสตรใหเŒ ปนš สาธารณศลิ ปŠ รองศาสตราจารย ดร.ณัฐมา พงศไพโรจน 209 กล‹มุ งานใหม/‹ ปรบั รูปแบบ 210 การวจ� ยั เชิงยุทธศาสตร รองศาสตราจารย ดร.ปท˜ มาวดี โพชนกุ ูล รองศาสตราจารย ดร.ประภาพร ขอไพบูลย รองศาสตราจารย ดร.ชนาธิป ผาร�โน 240 นวัตกรรมงานวจ� ัยแบบมงุ‹ เป‡า ดร.จันทรวภ� า ธนะโสภณ และ ผชูŒ ว‹ ยศาสตราจารยสภุ าวดี โพธยิ ะราช 265 โครงการยกระดบั อตุ สาหกรรมเป‡าหมายดวŒ ยการวจ� ยั และพัฒนา (S-Curve and New S-Curve) รองศาสตราจารย ดร.พงศพนั ธ แกวŒ ตาทิพย 289 ปจ˜ ฉิมบท 290 ปฏิรูประบบวจ� ัยและกาŒ วตอ‹ ไปของสกว. ศาสตราจารย นพ.สุทธพิ ันธ จต� พม� ลมาศ

อดตี ผูŒนำองคก ร TRFManRaegseemarecnht

ศาสตราจารย์ นพ.วจิ ารณ์ พานิช ผู้อำ� นวยการ สกว. คนแรก (พ.ศ. 2536-2544) ถ้าหาทนุ วิจัยจากตา่ งประเทศไดแ้ ล้ว จะต้ังกองทนุ นี้ทำ� ไม...? กองทุนนต้ี ง้ั มาเพราะ หาจากการ “ขอ” ตา่ งประเทศไมไ่ ด้ ถา้ จะหาได้ ก็ต้องเปน็ “ความร่วมมือ” เพราะประเทศไทยเราใกลเ้ จริญแลว้ เราไม่ไดเ้ ป็นประเทศยากจนอกี ตอ่ ไป สำ� นักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย (สกว.) ไดร้ บั การก่อต้ังในปี 2535 ในรัฐบาลนายอานนั ท์ ปนั ยารชุน มีการออกแบบให้เป็นองค์กรในก�ำกับส�ำนักนายกรัฐมนตรี สามารถบริหารงานได้อย่างคล่องตัวกว่า ระบบราชการ มพี ันธกิจสนับสนุนการวิจัย (granting agency) เพื่อตอบโจทย์ประเทศด้านการขาดแคลน นักวิจัยและงานวิจัยใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งเพ่ือสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยหนุนให้มีการสร้างองค์ความรู้ สรา้ งนวัตกรรม ทำ� ใหป้ ระเทศไทยเปลยี่ นจากประเทศทีเ่ คยทำ� มาหากินแบบพนื้ ๆ แขง่ ขันกับใครไม่ได้ มาเป็น ประเทศผูผ้ ลติ ผลิตภณั ฑท์ ม่ี ีคณุ คา่ สูง (high value) และคณุ ภาพสูง (high quality) บนฐานความรู้ และ มีขีดความสามารถในการแข่งขันสงู ดว้ ยปณธิ าน “สรา้ งสรรค์ปญั ญาเพอื่ พัฒนาประเทศ” สำ� นักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 11

12 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวจิ ยั มาแบบมุ่งมัน่ ตั้งใจ และจริงใจ ปีท่ีมีการก่อต้ังส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ผมเป็นรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดูแลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย มีเงื่อนไขท�ำงานบริหารครึ่งเวลา และอีกคร่ึงเวลาขอท�ำงานวิจัย ผมจึงต้องติดตามและรอคอย สกว. แหล่งทุนใหม่ เม่ือทราบจาก ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยทุ ธวงศ์ (หนง่ึ ในสีผ่ ู้ก่อตั้ง สกว.) ว่า สกว. ยังไมม่ ีการใหท้ นุ และก�ำลังรบั สมคั รผอู้ ำ� นวยการ ผมจงึ ลงสมคั ร (วนั สดุ ทา้ ย) เปน็ คนที่ 59 จำ� ไดว้ า่ ตอนเขยี น CV ใสผ่ ลงานลงไปหมด ผมตีพิมพบ์ ทความไว้มาก เคยทำ� งานหลายตำ� แหน่ง ใบสมัครหนาถงึ 30 หน้า อาจเปน็ เหตุผลหน่งึ ที่ท�ำให้ได้รับการพิจารณาเป็นหน่ึงในส่ีคนของรอบสุดท้ายที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ วันสัมภาษณ์เป็น ช่วงท่ี วปอ. ไปภาคอีสานและจะข้ามไปฝั่งลาว ผมจึงต้องน่ังเคร่ืองบินจากเลยมาลงพิษณุโลก แล้วต่อเที่ยวบินจากพิษณุโลกมาที่ดอนเมือง แล้วรีบไปสัมภาษณ์ พอไปถึงก็เจอคนหนึ่งน่ังรออยู่ อีกคนหน่ึงก�ำลังถูกสัมภาษณ์ ตามคิวผมต้องเป็นคนที่ 3 ถ้าต้องรอสัมภาษณ์ตามคิว ผมต้อง ตกเครื่องบินแน่ ผมเลยขอท่านท่ีเป็นคิว 2 ขอเข้าสัมภาษณ์ก่อน ช่วงที่รอสัมภาษณ์รู้สึกนานมาก ได้ยินเสียงหัวเราะลอดออกมาเป็นระยะ ๆ ผมเร่ิมคิดว่าผมคงไม่ได้แน่ เพราะคนก่อนหน้าเก่งชนิด หาตัวจบั ยาก ผมก็ทำ� ใจ สบายใจ และไม่คาดหวัง ถึงเวลาเข้าไปให้สัมภาษณ์ มีค�ำถามว่า “ถ้าคุณหมอเป็นผู้อ�ำนวยการกองทุนวิจัย (ชื่อ สกว. ขณะนั้น) คุณหมอจะหาทุนจากต่างประเทศได้ยังไง” ผมบอก “หาไม่ได้ครับ” กรรมการตกใจบอกวา่ “อ้าว... หาไม่ได้ แลว้ จะเป็นผู้อำ� นวยการได้ยงั ไง” ผมก็ตอบตรง ๆ ว่า “ถ้าหาได้แล้วจะต้ังกองทุนน้ีท�ำไม กองทุนน้ีต้ังมาเพราะหาจากการ “ขอ” ต่างประเทศ ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าจะหาได้ก็ต้องเป็น “ความร่วมมือ” เพราะประเทศไทยเราใกล้เจริญแล้ว เราไม่ได้เป็นประเทศยากจนอีกต่อไป” ตอนหลังมีคนบอกว่าสาเหตุหนึ่งท่ีกรรมการให้ คะแนนเพราะมีการเช็กประวัติแล้ว ทราบว่าผมเคยท�ำงานบริหาร และบริหารเงินขนาดใหญ่ (อยา่ งโปรง่ ใส) มาแลว้ (สกว. เดมิ จะเปน็ กองทนุ มลู คา่ หมน่ื ลา้ น เพอ่ื จะเอาดอกผลปลี ะพนั ลา้ น มาใช้ คนจะบรหิ ารตอ้ งซอื่ สตั ย์ ไว้ใจได)้ แมเ้ รอ่ื งวจิ ยั ผมไมไ่ ดเ้ กง่ มาก แตผ่ มไดเ้ ปน็ ผอู้ ำ� นวยการ เพราะผมผา่ นสัมภาษณ์

หลายคนคิดว่าผมบริหารงานได้ดี เกิดผลงานรวดเร็วมาก จริง ๆ แล้วเป็นการเข้าใจผิด หนึ่งปีผ่านไป ผลประเมินออกมา “ไม่ผ่าน ไม่มีผลงาน” แต่ด้วยความเมตตาของบอร์ดท่านหน่ึง คือ ท่านอาจารยห์ มออารี (ศาสตราจารย์เกียรติคณุ นายแพทย์ ดร.อารี วัลยะเสวี ปูชนียบุคคลของ วงการแพทย์ หนึ่งในกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ชุดที่ 1) ท่านรักผม ท่านถามวา่ “สู้ไหม?” ผมตอบอย่างมนั่ ใจ “ไมส่ ูไ้ ดไ้ งครบั ผมอตุ ส่าห์มาจาก ปักษ์ใต้ สู้ครับ ผมต้องสู้” ท่านก็บอกว่า “โอเค ท่าทางตอนต้ังท่าดูน่าจะดี แต่ตอนนี้ยังไม่มี ผลงาน....ให้ลองดูอีกปี” เวลาผ่านไปครบ 3 ปีก็มีการประเมินใหญ่ คณะผู้ประเมินได้สรุปว่า “สง่ิ ทค่ี ณุ หมอทำ� จะเกดิ ผล เกดิ ประโยชนต์ อ่ ไปในวนั ขา้ งหนา้ อยา่ งมหาศาล ตอนนกี้ เ็ หน็ ชดั แลว้ ” บอร์ดไม่รีรอรีบต้ังผมให้เป็นผู้อ�ำนวยการวาระสองทันที ไม่ถามสักค�ำ ไม่ถามใครท้ังสิ้น ไม่ได้ ประกาศรับสมัคร (ถ้าเป็นสมัยน้ีคงถูกเล่นงานกันท้ังทีม สมัยน้ันประธานบอร์ดคือ ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ท่านเป็นท่ีเคารพของคนทั้งประเทศ) ชีวิตผมช่างผกผัน ปีแรกเขาจะไล่ออก แต่พอปีทีส่ ามกลบั ถกู ตะครบุ ตวั เก็บไว้ ให้ทำ� หน้าท่ตี ่อไป ต้องศกึ ษาใหม้ ัน่ ใจกบั พนั ธกิจใหญ่ของ สกว. เมอื่ เขา้ รบั ต�ำแหน่งในเดอื นมนี าคม 2536 ผมใชเ้ วลาตีความเร่ืองการเป็น granting agency ของ สกว. ถึงคร่ึงปี พยายามท�ำความเข้าใจและรื้อเอกสารก่อนที่จะเกิดเป็นร่าง พ.ร.บ. มาอ่าน ผมอา่ นเยอะมาก พยายามอา่ นระบบวจิ ยั ตา่ งประเทศดว้ ย เพอ่ื ทำ� ความเขา้ ใจ และผมตอ้ งตคี วามใหม่ ทงั้ หมดเอง ผมตคี วามวา่ สกว. ในฐานะผสู้ นบั สนนุ การวจิ ยั และเปน็ กลไกของการสรา้ งสรรคป์ ญั ญา เพอ่ื พฒั นาประเทศนนั้ ชดั ๆ คอื หาวธิ หี นนุ ใหม้ กี ารสรา้ งความรู้ สรา้ งนวตั กรรมขนึ้ มา และตอ้ งเปน็ วิธีท่ีเม่ือเสร็จแล้วต้องเกิดเป็นประโยชน์ท่ีท�ำให้ประเทศเราปรับเปล่ียนจากประเทศที่คุ้นเคยกับ การท�ำมาหากินแบบพื้น ๆ แข่งขันกับใครก็ไม่ได้ ให้ก้าวไปสู่ความเป็นประเทศท่ีมีความสามารถ ท�ำมาหากินในลักษณะที่มี High Value, High Quality และมีความสามารถในการแข่งขัน นค่ี อื พันธกจิ ใหญข่ อง สกว. ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจยั (สกว.) 13

14 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจยั หลังจากศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศแล้ว เม่ือถึงเวลาบริหารงานจริงก็ต้องลอง ผมเสนอ บอรด์ เชงิ ตง้ั เปา้ วา่ การสนบั สนุนการวจิ ยั ของ สกว. ควรมีเปา้ อะไรบ้าง เม่อื มเี ปา้ ก็จะมีวธิ บี รหิ าร จัดการ ช่วงแรกได้แยกเป็นสองส่วน คือ วิจัยแบบ Basic Research (ฝ่ายสนับสนุนงานวิจัยเชิง วิชาการ) เพอ่ื สร้างองคค์ วามรใู้ หม่ ๆ สกว. ไมเ่ ก่งพอทจ่ี ะประเมนิ เอง ต้องอาศยั Editorial Board ของวารสารเปน็ ผพู้ จิ ารณา ผลงานทผ่ี า่ นการยอมรบั ใหเ้ ผยแพรจ่ งึ ตอ้ งเปน็ งานใหม่ สรา้ งความรใู้ หม่ ไม่ใช่เรอื่ งพ้นื ๆ หรือเรอื่ งทเี่ คยรกู้ นั อยูแ่ ลว้ เรอื่ งน้ีผลงานของ สกว. จัดอยใู่ นระดับดี อกี สว่ นหนึง่ เป็นงานวิจัยและพัฒนาเพ่ือเอามาใช้ประโยชน์ ซ่ึงมีงาน 3 ฝ่าย (ฝ่าย 1 สนับสนุนการวิจัยด้าน ความสัมพันธ์ข้ามชาติและทางเลือกในการพัฒนา ฝ่าย 2 สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยเี พอื่ การผลิต การตลาดและการบรกิ าร และฝ่าย 3 สนบั สนุนการวิจยั ดา้ นวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ดุลยภาพส่ิงแวดล้อม และสวัสดิการสาธารณะ) โดยทีมบริหารต้องบริหารจัดการต้ังแต่เร่ิมต้ังโจทย์ มีกระบวนการตั้งโจทย์ มีกระบวนการชักชวน ผใู้ ช้และนกั วิจยั มาคยุ กัน มีการบริหารจัดการกนั คนละแบบ หลัง 5 ปีจึงเกดิ ฝา่ ยสนบั สนุนงานวิจัย ทอ้ งถน่ิ ซง่ึ เปน็ การบรหิ ารจดั การอกี รปู แบบหนง่ึ (หลงั จากผมออกมานานแลว้ นา่ จะมอี กี หลากหลาย สารพัดแบบ) หลังสร้างความชัดเจนในวิธีการท�ำงาน การจัดรูปแบบองค์กร และการจัดหาทีมงาน มาชว่ ยบรหิ าร สกว. จงึ เรม่ิ ประกาศเชญิ ชวนนกั วจิ ยั สง่ ขอ้ เสนอโครงการประเภทงานวจิ ยั และพฒั นา โดยคาดหวังวา่ จะเปน็ กลมุ่ งานแรกทผ่ี ลวิจยั จะถกู นำ� ไปใช้ประโยชน์ได้อยา่ งเป็นรูปธรรม สกว. คิดเร่ืองการเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ต้ังแต่วันแรกท่ีเร่ิมต้น เราภูมิใจในเร่ืองน้ี เพราะเราเชญิ ผ้จู ะใช้ประโยชน์มาร่วมดว้ ย ชดุ โครงการวิจัยแรก ๆ ของ สกว. คือ งานวจิ ัยเรื่องววั นม ซึ่งอาจารย์จรัญ (ศาสตราจารย์ ดร.จรัญ จันทลักขณา ต่อมาเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ประธานคณะกรรมการติดตามและประเมินผล การสนับสนุนการวิจัย สกว.) จะประชุมหารือ โดยมีการรีวิวงานมาก่อน แล้วเชิญนักวิชาการมา ครง่ึ หนงึ่ กบั คนเลยี้ งววั นมทคี่ ยุ กนั รเู้ รอ่ื งอกี ครง่ึ หนงึ่ พอประชมุ กนั เสรจ็ ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ กบ็ อกผมวา่ “จะเอาความรู้เรอ่ื ง... ทพ่ี ูดกนั วนั นไี้ ปใช”้ คอื ยังไมต่ อ้ งเรมิ่ วจิ ยั แค่ทบทวนความรทู้ ี่มอี ยู่ ฝา่ ยผูใ้ ช้ ก็น�ำบางส่วนไปใช้ประโยชน์ได้แล้ว ผมจ�ำได้แม่นย�ำ เราไม่เคยนึกถึงเร่ืองแบบน้ีมาก่อน แค่เชิญมา คุยกันแค่น้ีก็สามารถเอางานวิจัยท่ีท�ำออกมาแล้วหลายปี เอามาปะติดปะต่อและท�ำให้ชัดเจนขึ้น ฝ่ายวิชาการดีใจถึงกับบอกว่า “มาถึงวันน้ีคุ้มแล้ว ต่อไปข้างหน้าจะย่ิงดีใหญ่” จะเห็นว่า สกว. ค�ำนึงถึง downstream management หรือส่วนของงานวิจัยเพ่ือน�ำไปใช้ประโยชน์มาต้ังแต่ วนั แรกของการเรม่ิ ทำ� งาน ผลวิจยั สมยั นนั้ (25 ปีมาแลว้ ) ไม่ดีเท่าสมยั นี้ ซึง่ พฒั นาขึ้นอย่างมโหฬาร สง่ิ ที่ สกว. ในปจั จบุ นั จะตอ้ งพฒั นาทกั ษะความรคู้ วามเขา้ ใจและวธิ กี าร มนั คนละเรอ่ื งกบั สมยั ผมมาก

หาทมี บรหิ ารทมี่ ีฝีมือยังตอ้ งมเี ปา้ ความเป็นแพทย์ของผมกลายเป็นจุดอ่อน เพราะคิดเป็นระบบไม่เก่งเหมือนคนจบ วิศวกรรมศาสตร์ ผมจึงอยากได้วิศวกรสักคนมาเป็นทีม เพราะผมคิดว่าวิศวกรคิดเป็นระบบ ผมเสาะหาและถามผูร้ ู้หลายคน จนรแู้ ลว้ ว่าตอ้ งไดอ้ ย่างอาจารยป์ ิยะวตั ิ (ศาสตราจารย์ ดร.ปิยะวัติ บญุ -หลง มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม)่ เราไมเ่ คยรจู้ กั กนั เลย ครง้ั แรกทผี่ มโทรศพั ทไ์ ปชวน อาจารยป์ ยิ ะวตั ิ ปฏิเสธ พอดีมีรุ่นพี่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล่าให้ผมฟังว่า ทลี่ ำ� ปางมโี รงงานเครอ่ื งปนั้ ดินเผา 200 กว่าแห่ง หลายแห่งทำ� ทา่ จะเลกิ กิจการ ก�ำลงั จำ� เป็นต้องใช้ งานวิจัยและพัฒนา (R&D) เข้าไปช่วย ผมจึงชวนอาจารย์ปิยะวัติไปดู ผมน่ังเคร่ืองบินไปเชียงใหม่ ยืมรถและคนขับจาก มช. ไปดูโรงงาน ผมไม่เข้าใจและไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย ผมคุยวา่ เราอยากจะ สนับสนุนการวิจัยเร่ืองน้ี แต่อาจารย์ปิยะวัติก็ยังไม่ตกลง ผมจึงเสนอให้อาจารย์ปิยะวัติทดลอง ท�ำงานนี้ 6 เดือน หากไม่สามารถท�ำให้อาจารยส์ นุกกับงานได้ก็สามารถกลบั ไปสอนหนงั สอื ที่ มช. ต่อได้ พูดเสร็จผมก็ท�ำหนังสือขอยืมตัวอาจารย์มาร่วมงานที่ สกว. และอาจารย์ก็อยู่กับพวกเรา เรอ่ื ยมา การเรยี นรคู้ รงั้ นท้ี ำ� ใหผ้ มรวู้ า่ ถา้ เรามเี ปา้ หมายชดั เจน เราตอ้ งหาวธิ กี ารไปหาเปา้ หมายจนได้ อาจารย์ปิยะวัติไม่เคยรู้จักผม หากไม่มีสิ่งที่น่าสนใจร่วมกันคืองานวิจัยที่อุตสาหกรรมต้องการ อาจารย์ปยิ ะวัติคงไมย่ อมท้ิงงานสอนท่มี หาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่ีสำ� คัญคอื อาจารย์ตง้ั ครอบครวั อยู่ที่ เชียงใหม่ด้วย ผมเป็นคนท�ำงานแบบรุกไปข้างหน้า หลังบ้านจึงต้องการคนมีฝีมือมาช่วย ท้ังเรื่องเงินทอง กต็ อ้ งช่วยดแู ลใหด้ ี ผมได้อาจารยว์ ฒุ ิพงศ์ (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ วฒุ ิพงศ์ เตชะดำ� รงสิน มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์) ซ่ึงทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เพอร์เฟกต์” ส�ำหรับงานน้ี แต่กว่าจะได้ อาจารย์วุฒิพงศ์มาก็ไม่ง่ายเลย เร่ิมต้นด้วยการขอคร่ึงเวลาก่อน ผมบอกท่านด้วยว่า “คร่ึงเวลาน่ี ชวั่ คราวนะครบั เปา้ หมายเราคอื เตม็ ตวั ชวั่ คราวตลอดไปไมเ่ อานะครบั ” แตเ่ นอ่ื งจากเราตอ้ งการ อาจารย์จรงิ ๆ อาจารยจ์ งึ ยอมมาชว่ ยคร่ึงเวลากอ่ น อาจารย์เป็นคนขี้เกรงใจ และติดใชท้ นุ คนื มอ. เพราะเอาทุนไปเรียนเมืองนอกนาน อาจารย์ก็จะต้องอยู่จนกระท่ังใช้ทุนหมด อาจารย์อยู่ครึ่งเวลา ท่ี สกว. ได้ระยะหน่ึงจนใกล้เวลาท่ีจะใช้ทุนหมด ผมจึงไปเจรจากับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และขอใหอ้ าจารยว์ ุฒิพงศม์ าใชท้ นุ ตอ่ ที่ สกว. ทา่ นก็ยอมมา และช่วยดแู ลงานบรหิ ารสว่ นกลางให้ สกว. อยา่ งดเี ยยี่ มตลอดมากว่า 20 ปี จนทา่ นจากเราไปอย่างนิรันดร์ สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) 15

16 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั เราต้องร้จู ุดออ่ นของเรา... และหาคนท่ีจะมาปดิ จุดออ่ นเราให้ได้ ผมดใี จท่ีได้อศั วินคู่ใจท้งั ซา้ ยและขวา ท้งั อาจารย์ปยิ ะวตั ิ และอาจารย์วฒุ พิ งศ์ ต่างก็เขา้ มาปดิ จดุ ออ่ นของผมและช่วยผมไดม้ าก เป็นทีมงานท่ีแข็งแกร่ง โดยเฉพาะชว่ งบกุ เบกิ ทผ่ี มเอง กต็ ้องลอง ทำ� ไป เรยี นรู้ไป นอกจากสองทา่ นนี้ ผมยงั มอี าจารยบ์ ญุ รักษ์ บญุ ญะเขตมาลา อีกคนหน่ึง ทา่ นช่วยท�ำงานดา้ นความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ ทา่ นเป็นนักวารสารศาสตร์ ทา่ นเป็นคนชว่ ยผมตั้งชื่อฝ่ายต่าง ๆ ของ สกว. และช่อื ทีต่ งั้ ขึ้นกย็ ังใช้อยู่จนปัจจบุ นั นี้ สง่ิ ทเ่ี รียนร้จู ากวิธีหาทีมงาน... ไมต่ า่ งจากหวั ใจการบริหารจัดการงานวจิ ยั คือ การตง้ั เป้าใหช้ ัด และหาวธิ ีท�ำ หลายครั้งผมเองก็ไม่แน่ใจ ไมร่ ้ถู ูกหรอื ผิด ส่วนใหญ่คนเรามกั จะเอาวธิ ีการเปน็ ตัวตงั้ และดงึ เป้าใสเ่ ข้าไป แต่วธิ กี ารทำ� งานของ สกว. น้นั เนอ่ื งจากเราไม่มีอะไรเปน็ ตัวกำ� หนดเลย เพราะฉะนน้ั ตอ้ งตง้ั เปา้ และเสนอวิธกี ารท�ำงานของเราเขา้ บอร์ดเพื่ออนมุ ตั ิ (เฉพาะเรอ่ื งใหญ่ งานใหญท่ ต่ี อ้ งการคำ� ปรึกษาและการสนบั สนุน) จากนั้นจงึ หาวิธีทำ� ให้สำ� เรจ็ ให้ได้ ทำ� งานนีส้ นกุ ทีส่ ดุ ซงึ่ ทจี่ ริงกต็ รงกบั การเป็นนักวิจยั คือต้องต้งั เปา้ หรอื สมมตฐิ าน แลว้ หาวธิ ที ำ� เพอื่ ตอบโจทย์ให้ไดเ้ ชน่ กนั บางทีกย็ งั ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ จะใช้ได้หรอื ไม่

นักบริหารต้องกล้าตัดสนิ ใจ การบริหารจัดการงานวิจยั ตอ้ งกล้า สมัยนีค้ นไมค่ อ่ ยกล้าท�ำเพราะมีรัฐบาล หรือส�ำนกั งาน หรอื หนว่ ยก�ำกบั เขา้ มาควบคมุ มากเกินไป สมัยนน้ั ยังไมม่ ี อาจยงั งงกันอยู่ เลยไมม่ ีคนเขา้ มาควบคมุ พอ สกว. ประกาศว่าจะให้ทุนเมธีวิจัย 30 ทุน นักวิจัยก็เสนอขอทุนเข้ามา รุ่นแรกร้อยกว่าคน คัดได้ 33 คน 3 คนหลังไม่มั่นใจว่าจะท�ำได้จริงหรือไม่ แต่หัวข้อดี แนวคิดดี ผมตัดสินใจให้ แต่บอกผู้ขอทนุ ไปว่า “วธิ ีที่เสนอมายังไม่คอ่ ยถกู ตอ้ ง ไปหาวิธปี รับก่อน และท�ำใหส้ �ำเรจ็ ใหไ้ ด้” เวลาผา่ นไป 2 ปี ปรากฏว่าโครงการส�ำเรจ็ แบบนถี้ ือว่าเปน็ ความกล้า แตก่ ล้าแบบมวี ิธีการ หากผมเป็นผู้อ�ำนวยการ สกว. ช่วงน้ี ผมอาจจะไม่ท�ำ เพราะสถานการณ์ไม่เอ้ือแล้ว มหี นว่ ยงานเขา้ มาควบคมุ มากขน้ึ เยอะ ตอนนน้ั สำ� นกั งานการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ (สตง.) เรมิ่ เขา้ มาตรวจ ผมกช็ วนคุย ทำ� ความเขา้ ใจว่า สตง. มหี น้าทต่ี รวจสอบ จึงเปน็ เรื่องดี แต่ตอ้ งไม่ลมื ว่า สกว. ไม่ได้ยดึ ตามกตกิ าของราชการ เรามี พ.ร.บ. กำ� กับการทำ� งาน เม่อื จะตรวจสอบ สกว. ต้องตรวจตาม พ.ร.บ. และกฎกตกิ าทค่ี ณะกรรมการนโยบายฯ กำ� หนดไว้ และตามไปตรวจสอบผไู้ ดร้ บั ทนุ ดว้ ย แตอ่ ยา่ องิ กฎ ระเบียบ ราชการ ซงึ่ ตอนนคี้ งทำ� แบบนน้ั ไม่ไดแ้ ล้ว ทเ่ี ล่าเพ่อื ให้เหน็ วา่ สมยั นนั้ มีการพูดกันชัดเจน สกว. อยู่ใตส้ ำ� นกั นายกรัฐมนตรี ปลดั สำ� นกั นายกรฐั มนตรี (ทา่ นอภลิ าศ โอสถานนท)์ เคยพดู วา่ “ เราเลอื กคณุ หมอมาเปน็ ผอู้ ำ� นวยการ สกว. เพราะเชอ่ื วา่ คณุ หมอเคยเปน็ ผบู้ รหิ ารระดบั สงู กล้าตัดสินใจและรับผิดชอบ เราต้องการให้คุณหมอท�ำงานแบบ strong executive สิ่งที่ควรริเร่ิมด�ำเนินการหากบอร์ดไม่เคยห้ามไว้ ให้ท�ำได้ ไม่ใช่ยึดปฏิบัติแบบราชการ (bureaucracy) ที่ท�ำตามหน้าที่ตามท่ีระบุในกฎหมายตามตัวอักษรเท่าน้ัน ซ่ึงถ้าท�ำ ผดิ พลาด คณุ หมอในฐานะผอู้ ำ� นวยการ สกว. กต็ อ้ งรบั ผดิ ชอบ เรอื่ งทว่ั ไปคณุ หมอตดั สนิ เองได้ แต่บางเร่อื งต้องผ่านการอนุมตั จิ ากบอรด์ ” เวลาประชมุ ผ้เู ชี่ยวชาญ มคี นเกง่ ๆ มาชว่ ยดโู ครงการ เสนอความเห็น แตพ่ ออภิปรายกัน ไปสักพกั อาจารย์มหาวทิ ยาลัยมกั ขอลงมติ ผมก็จะบอกไปวา่ “อาจารยไ์ มต่ อ้ งลงมติ อาจารย์ให้ ความเห็นเถอะครับ เด๋ียวพวกเราจะน�ำเข้ากระบวนการไปจัดการต่อเอง” ผมบอกตัวเองและ บอกทมี งานดว้ ยว่า หากคณะกรรมการฯ เปน็ ผตู้ ัดสินใจจะหาคนรับผดิ ชอบไมไ่ ด้ แตถ่ ้าผมตดั สนิ ใจ แปลวา่ “ผมรบั ผดิ ชอบ” กอ่ นตดั สนิ ใจผมจะปรกึ ษาแลว้ ปรกึ ษาอกี เพอื่ ใหแ้ นใ่ จวา่ มกี ารใชเ้ งนิ ภาษี อากรของราษฎรอย่างคุ้มค่าจริง ๆ แตต่ อนนนั้ กบั ตอนน้ตี ่างกนั ต้องเหน็ ใจผูบ้ รหิ าร สำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) 17

18 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ัย สกว. ตั้งมาเพื่อทำ� นวตั กรรม หากต้องสร้างนวัตกรรม เราต้องท�ำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครท�ำมาก่อน เราอาจเคยท�ำสิ่งท่ี เป็นนวัตกรรมมานานแล้ว ในยุคน้ันอาจเป็นนวัตกรรม แต่ต่อมาอาจยังต้องการแต่ไม่เหมือนเดิม ต้องเป็นอีกมิติหน่ึง ปรับยังไงก็ต้องให้เห็นตัวนวัตกรรมให้ได้ การปรับโครงสร้างใหม่ก็เช่นกัน จะเปน็ นวตั กรรมตอ้ งไม่เหมือนคนอ่นื ตอ้ งมที ่ีมาทไี่ ป ตัวอย่างเช่น ฝ่ายวิชาการ มี “เมธีวิจัยอาวุโส” เพื่อส่งเสริมคนเก่งท่ีพิสูจน์ผลงานแล้ว ใหเ้ กิดแรงบันดาลใจอยากสรา้ งคน สรา้ งนักวิจัย ร่วมกับ สกว. โครงการปรญิ ญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ก็เอาแนวคิดนี้มาใช้ (เพราะเป็นของใหม่) แต่ท�ำใหญ่กว่า ท�ำเพื่อ สนับสนุนการสร้างนักวิจัยระดับปริญญาเอกท่ีมีคุณภาพสูง ซึ่งจะเกิดเป็นกลุ่มนักวิจัยคุณภาพ ที่เราผลิตเองได้ ในยุคนั้นมหาวิทยาลัยไทยมีขีดความสามารถด้านอุดมศึกษาต�่ำมาก ทั้งประเทศ ผลติ ดษุ ฎีบณั ฑิต (Ph.D.) ไดป้ ีละไมถ่ ึงร้อยคน หรือเกือบร้อยคน ซึ่งเกอื บคร่งึ หนึ่งเป็นดษุ ฎบี ณั ฑิต ด้านศึกษาศาสตร์ ท่ีคุณภาพยังไม่ดี คปก. จึงเน้นให้เกิดดุษฎีบัณฑิตคุณภาพสูง และเกิดระบบ สร้างปริญญาเอกคุณภาพมาตรฐานสากลได้เองภายในประเทศ การบริหารจัดการ คปก. จึงเป็น อกี แบบหน่ึงท่ีไมเ่ หมอื นฝา่ ยท่ตี ้ังไว้ตอนแรก ทั้งสองเร่ืองนี้ผมไม่ได้คิดเอง ผมฟังคนโน้น ฟังคนนี้แล้วปะติดปะต่อเรื่อง เหตุนี้เอง ผมจึงบอกว่า ผมงง ๆ อยู่นานถึงหกเดือน จนมีคนมาทักและแซวว่า “หมอวิจารณ์เมื่อไหร่จะให้ ทุนวิจัยซักที” ผมก็ว่า “จะมาขอทุนวิจัยก็ต้องจับเป้าก่อนซิ จับเจอหรือยัง” การก�ำหนด เปา้ หมาย ควรมาจากการปรกึ ษาหารอื กนั มาจากการพดู คยุ กนั หลาย ๆ ครง้ั ในกลมุ่ คนทำ� งานดว้ ยกนั อาจารยพ์ รชยั (ศาสตราจารย์ ดร.พรชยั มาตงั คสมบตั ิ อดตี คณบดคี ณะวทิ ยาศาสตร์ อดตี อธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลยั มหิดล) มกั พูดใสห่ ูผมเสมอก่อนต้งั คปก. วา่ “ควรเรียกใช้คนเกง่ ใช้ใหถ้ กู เรอ่ื ง ถกู คน เพ่ือให้มี ‘แม่ไก’่ (อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา) ทส่ี ามารถฟกั ‘ลกู ไก’่ (ดุษฎบี ัณฑิต) ได้” ประเด็นส�ำคัญคือ เราต้องต้ังเป้าให้ชัด แล้วต้ังค�ำถามเพ่ือให้บรรลุเป้าน้ัน เราจะบริหาร จัดการสนับสนุนทุนวิจัยอย่างไรจึงจะได้เป้าตามน้ัน ก่อนท�ำจะมีการหารือกันก่อนหลายครั้ง ทำ� แล้วก็เฝ้าติดตาม และประเมินกนั เอง (monitoring) ภายใน สกว. คุยกันทกุ เดอื น ท�ำไปเรยี นรู้ไป เกดิ กลไกใหม่ ๆ จากการเรยี นรภู้ ายในกระบวนการทำ� งานเหลา่ นน้ั ทมี ผบู้ รหิ ารจะประชมุ รว่ มกนั กอ่ น แลว้ จงึ แยกยา้ ยกนั ไปทำ� เอาเรอ่ื งของการตงั้ เปา้ และเอาผลจากการเฝา้ สงั เกตมาคยุ กนั เกดิ การเรยี นรู้ เพม่ิ ข้นึ อกี มากมาย

ชุดโครงการความหลากหลายทางชวี ภาพท่ีหลายคนให้ความส�ำคญั มาก ผมตดิ ตอ่ เพ่ือนรว่ ม รุ่น ศาสตราจารย์ วสิ ทุ ธ์ิ ใบไม้ ผูก้ อ่ ตงั้ “โครงการพัฒนาองค์ความรูแ้ ละศกึ ษานโยบายการจัดการ ทรพั ยากรชวี ภาพในประเทศไทย (Biodiversity Research and Training Program หรอื BRT)” บอกไปว่า สกว. ไม่เคยบริหารจัดการเรื่องพวกน้ี ไม่เคยมีแนวคิดท่ีจะท�ำเร่ืองใหญ่ขนาดน้ี รีวิวให้ ผมฟังหน่อยได้ไหม วิสุทธ์ิก็เฉยและเงียบหายไป ผมบอกใครต่อใคร และบอกวิสุทธิ์ด้วยว่า “ผมจบี สาวทวี่ า่ ยาก กย็ งั งา่ ยกวา่ จบี วสิ ทุ ธมิ์ ารวี วิ เรอ่ื ง biodiversity” แตใ่ นทส่ี ดุ เรากไ็ ดห้ นงั สอื มาเล่มหนึ่ง และสุดท้ายก็ได้โครงการชุดใหญ่มากคือ “ชุดโครงการ Biodiversity Research and Training Program” ท�ำกันมาประมาณ 20 ปี ทำ� รว่ มกับ ไบโอเทค ของ สวทช. ในลกั ษณะ co-funding คือให้ทุนร่วมกนั ปรากฏผลเป็นความส�ำเรจ็ เกดิ ผลลพั ธม์ ากมายทงั้ สรา้ งคน (นกั วจิ ยั ) สรา้ งองค์ความรู้ หนงั สอื และสอื่ ต่าง ๆ ท่ีส�ำคญั คอื การปรับเปล่ยี นพฤติกรรมการเรยี นรู้ของสังคม การทำ� งานแบบน้ี เราไม่เกง่ ไมช่ �ำนาญ และไมเ่ คยมีการทำ� มาก่อนจงึ จดั เป็น “นวัตกรรม” เมอื่ ทำ� ไดแ้ ล้วจะมวี ธิ ที ำ� งานใหมท่ ีเ่ กดิ จากการเรียนรู้ หลังผมหมดวาระจาก สกว. (2 วาระ รวม 8 ปี ด้วยความสมัครใจ อยากให้ได้คนใหม่ ไอเดียใหม่ วิธีการใหม่ มาบริหารต่อ ท้ัง ๆ ท่ีไม่มีระบุใน พ.ร.บ. ว่าการด�ำรงต�ำแหน่งของผู้อ�ำนวยการท�ำได้ติดต่อกันก่ีวาระ) แล้วมาท�ำเรื่องการบริหาร จัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM) ผมจึงรู้ว่ากิจกรรมที่ท�ำกันอยู่ คือ KM เปน็ การสรา้ งความรจู้ ากการเอาประสบการณ์ จากการปฏบิ ตั ิ และจากการสงั เกต มาตคี วามรว่ มกนั เพ่ือเกิดเป็นความรู้ใหม่ แนวคดิ ใหม่นี้ท่จี รงิ กไ็ ม่ใช่ของใหม่ คนอ่ืนอาจรกู้ ันแล้ว ทำ� ให้เรมิ่ เขา้ ใจ และ ทำ� งานไดด้ ขี น้ึ จากการตคี วามความรแู้ บบน้ี ผมเขยี นหนงั สอื เขยี นบลอ็ ก “GotoKnow” นำ� มาแชร์ ใหไ้ ดร้ ู้และไดอ้ า่ นกนั การไปทำ� งานท่อี น่ื อยา่ งอ่นื ก็สามารถนำ� ไปใชไ้ ด้ดว้ ย สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) 19

20 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย โครงสรา้ งและทมี งานด.ี .. ส�ำเรจ็ ไปกว่าครึง่ สมัยเมื่อผมอายุน้อย (อายุ 34-35) หมอที่รับราชการเกือบท้ังหมดเปิดคลินิกรักษาคนไข้ ซง่ึ ไดร้ ายไดม้ ากกวา่ เงนิ เดอื นราชการ แตใ่ นทส่ี ดุ ผมตดั สนิ ใจทมุ่ เทสมองและเวลาทำ� ราชการอยา่ งเดยี ว เป็นอาจารย์ ท�ำวิจยั ดว้ ย สอนหนังสอื ดว้ ย บริหารบา้ ง ไม่เปดิ คลนิ กิ ผมเข้าใจผลของการทมุ่ เทเวลา และความคิดต่อเร่ืองเดียว จากประสบการณ์ในชีวิตของตนเอง ผมได้น�ำวิธีพุ่งความสนใจไปท่ี เป้าหมายเดียว (focus attention) มาใช้ในการบริหารงานของ สกว. ตอนที่อาจารย์ปิยะวตั ิ เปน็ ผ้อู ำ� นวยการ สกว. ต้งั ผมเป็นทป่ี รกึ ษา ผมช่วยไดไ้ ม่นานเทา่ ไหร่ ก็แยกมาท�ำ KM และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเร่ืองการท�ำงานของ สกว. เพราะผมเชื่อว่าต้องมีการ เปลี่ยนแปลง แล้วก็เชื่อว่าการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อม เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมของ ประเทศ เทคโนโลยขี องโลก การแขง่ ขนั ตา่ ง ๆ อะไรทงั้ หลาย จะเปน็ ปจั จยั ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลง ความเช่ือของผมอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องแบบน้ีต้องได้ข้อมูลภายในมากพอในการตัดสินใจ พอเรา ถอยออกมา เราก็ไม่มีข้อมูลภายในแล้ว นอกจากนั้น ผมเช่ือในวิธีการพุ่งความสนใจสู่เป้าหมาย ในการพนิ จิ พิเคราะห์ ท�ำความเข้าใจกับเร่อื งน้นั ๆ อย่างลกึ ซ้ึงเอาจริงเอาจงั พอผมถอยออกมาแล้ว ผมไปท�ำอย่างอื่น สนุกกับอย่างอ่ืน ผมก็จะไม่เข้าใจรายละเอียดของ สกว. อีกเลย ดังน้ันช่วงที่ อาจารยป์ ิยะวัติเปน็ ผอู้ ำ� นวยการ เปน็ ชว่ งทผ่ี มไม่ร้อู ะไรมากเทา่ ไหร่ ถึงแมว้ ่าจะไม่หา่ งมาก กย็ งั ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ลึกซึ้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่พุ่งความสนใจสู่เป้าหมายและไม่มีข้อมูลเพ่ือการวางแผน เราใหค้ วามเหน็ ได้ แตค่ วามเหน็ เรากจ็ ะกลาง ๆ กวา้ ง ๆ ไมเ่ ฉพาะเจาะจง และไมน่ ำ� ไปสกู่ ารตดั สนิ ใจ พอถึงช่วงอาจารย์สวัสด์ิ (ศาสตราจารย์ ดร.สวัสด์ิ ตันตระรัตน์) ท้ังท่ีบางเรื่องเราก็เข้า ไปชว่ ยแต่ก็เปน็ เรือ่ งเลก็ ๆ เฉพาะเรื่องเทา่ นั้น ยิง่ ตอนนผี้ มย่ิงห่างใหญ่เลย นาน ๆ จะเข้าไปสกั คร้ัง เขา้ ไปดงู านของอาจารยส์ ุวไิ ล (ศาสตราจารย์ ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ โครงการทวิภาษา (มลายู-ไทย) นำ� ร่องเพอื่ เยาวชนในสี่จงั หวัดชายแดนภาคใต้) บ้าง หลาย ๆ เร่ือง ผมมีความเหน็ และแนวคดิ ไดใ้ น มมุ กว้างเท่าน้ัน

ส่วนเรือ่ งบอร์ด (คณะกรรมการนโยบายกองทนุ สนับสนุนการวิจัย) ซง่ึ เป็นผ้กู ำ� กบั หรอื คมุ นโยบายการบริหารของ สกว. ช่วงที่ผมบรหิ ารงาน ผมโยงสู่ประเดน็ เปา้ หมายทต่ี อ้ งการท�ำ เราจะใช้ บอร์ดเป็นเสียงสะท้อนช่วยบอกว่า ท่ีเราคิดเหมาะสมหรือไม่ มีปฏิสัมพันธ์เฉพาะกับเร่ืองใหญ่ ๆ เร่ืองส�ำคัญ ๆ มีเหมือนกันท่ีประธานบอร์ดบางท่านเต็มใจมาเป็นท่ีปรึกษาให้ตามค�ำเชิญ งานที่มี ความส�ำคัญมาก หรือเป็นแนวนโยบายผมก็ซาวเสียง ขอความเห็นจากท่านก่อน โครงการใหญ่ ที่ตอ้ งเข้าบอรด์ เชน่ เมธวี ิจยั อาวโุ ส เขา้ บอร์ดเพยี งขอความเหน็ โดยมีหลักการอย่างน้ี จะทำ� แบบนี้ ส่วนจะเลือกใครเป็นการตดั สินใจของผูอ้ �ำนวยการ ตอนผมชวนคนมาท�ำงานท่ี สกว. เราพิถีพิถันมาก ต้องได้คนที่ caliber สูง ต้องมีจิตใจ เชิงสาธารณะสูง และท�ำงานเป็นทีมได้ ต้ังวงเรียนรู้กันได้ ผมบอกทุกท่านด้วยว่า “เราต้องการ สมองท่าน” ไม่ได้คิดคนเดียว มาคิดด้วยกัน ค่าตอบแทนตอนนั้นสามเท่าของราชการ ทุน คปก. ใหท้ ุนเปน็ เงินเดือน ต้ังแต่ปี 2540 เงินเดอื นราชการ 9,000 บาท เราให้ 10,000 บาท ตอนนั้นเรา ต้องการดึงคน เราจึงให้สูงกว่าระบบราชการ แต่ตอนนี้ถ้ารับราชการได้ 15,000 บาท ของเราให้ 17,000 บาท สกว. ต้องมีพลวัตตามความเปล่ียนแปลงให้ทัน เพ่ือจะได้คน high caliber, high devotion, high teamwork มาร่วมทมี ทำ� งาน ทำ� วิจยั หรอื รบั ทนุ ก็ตอ้ งหาแรงดงึ ดดู ใจใหไ้ ด้ สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.) 21

22 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั บรหิ ารการวจิ ยั เปน็ งานทตี่ อ้ งเรยี นรตู้ ลอดเวลา การบริหารจัดการงานวิจยั มีหลากหลายรปู แบบ หลากหลายมิติ แต่ทีต่ ้องมคี ือ “กระบวน การเรียนรู้” จากการปฏิบัติอยู่เรื่อยไป... ไม่จบส้ิน ตอนหลังยังมีคนถามถึง “เวที” แบบที่ สกว. เคยท�ำ หายไปไหน ? ถ้าหายไปจริงผมถือว่า “น่าเสียดาย” เพราะผมเช่ือว่าการบริหาร งานวิจัยน้ันเป็นงานท่ีไม่หยุดน่ิง แต่มี dynamic อยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยลืมว่าตอนอยู่ สกว. ตัวบ่งช้ีขีดความสามารถ หรือการจัดอันดับของวงการวิจัยไทยไม่ดีเหมือนปัจจุบันซึ่งก้าวหน้า ไปกว่าเดิมมาก และในขณะเดียวกันปริมาณความต้องการก็สูงกว่าสมัยก่อนเยอะมากด้วย ส่วนที่ เรียกว่า “โจทย์ หรือความต้องการ (demand)” ก็ซับซ้อน (sophisticate) ขึ้นเยอะ เพราะฉะน้นั ต้องเรยี นรู้ตลอดเวลา ปจั จบุ นั ภาคเอกชนเปลยี่ นไปมาก สกว. มี forum หรอื มพี น้ื ทสี่ ำ� หรบั การเรยี นรกู้ บั ภาคเอกชน มากแค่ไหน capture มาได้แค่ไหน เร่ืองนี้ผมประสบมาโดยบังเอิญ ขณะท่ี สวทน. ให้ผมไปน่ัง เป็นประธานในกรรมการเล็ก ๆ ชุดหน่ึง ผมได้พบกับ น.สพ.รุจเวทย์ ทหารแกล้ว (ผู้อ�ำนวยการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเครือเบทาโกร) พอคุยกันเร่ืองน้ีแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าภาคเอกชนต้องเปล่ียน และปรับตวั อยา่ งมากกว่าจะมาถงึ จดุ นี้ได้ ถา้ ไม่เปลยี่ นก็ไปไม่รอด หน่วยงานบรหิ ารงานวิจัยจงึ ตอ้ ง เรยี นรแู้ ละติดตามอยา่ งใกล้ชดิ ตอ้ ง capture skill จากเอกชนให้ได้ แลว้ หาทางน�ำมาใช้ประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็หาชอ่ งทางทำ� ความรว่ มมอื ให้เกดิ ขึ้นใหไ้ ด้ ข้อมูลส�ำรวจปี 2559 สวทน. เผยแพร่ตัวเลขออกมาในปี 2560 เห็นชัดเลยว่า งบวิจัย และพัฒนาของประเทศรวมแล้วอยู่ที่ 0.78 เปอร์เซนต์ของ GDP และเกือบ 3 ใน 4 เป็นของ ภาคเอกชน ดังนั้น ถ้า สกว. ให้ค�ำจ�ำกัดความว่า ต้องเป็นผู้ท่ีรู้และเข้าใจเรื่องการบริหารงานวิจัย ส่ิงท่ี สกว.ตอ้ งหาค�ำตอบใหไ้ ดค้ ือ จะ capture และต่อยอดความเข้มแข็งของภาคเอกชนไดอ้ ยา่ งไร โดย สกว. จะเขา้ ไปหนุน หรือเขา้ ไปเชือ่ มต่อไดอ้ ยา่ งไร และทเ่ี ราใหท้ ุนอยู่ในขณะน้ี สว่ นใหญเ่ ปน็ มหาวิทยาลัย ท�ำอย่างไรจึงจะดึงให้กลุ่มนี้ไปท�ำงานร่วมกัน (synergy) แล้วเกิดผลดีข้ึน เป็นส่ิงที่ สกว. น่าจะหาทางศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจอย่างยิง่ เลยในสายตาผม ซง่ึ มองแบบคนนอก

จากสดั ส่วนการลงทนุ วิจยั และพัฒนาของภาคเอกชนตอ่ ภาครฐั (73 : 27) เปน็ เร่อื งน่ายนิ ดี และเป็นแนวโน้มที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 แต่น่ันเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ส่ิงที่ส�ำคัญกว่าคือ “ข้อมูลเชิงคุณภาพ” ท่ีช่วยตอบค�ำถามว่า การลงทุนวิจัยและพัฒนาของ ประเทศไทยก่อผลที่ต้องการมากน้อยเพียงใด เพราะรู้กันทั่วไปว่า การลงทุนให้ผลสองแบบ คือ “คมุ้ คา่ ” กบั “สญู เปลา่ ” วงการจดั การงานวจิ ยั และพฒั นาตอ้ งชว่ ยกนั ทำ� ใหเ้ งนิ ลงทนุ คมุ้ คา่ สว่ นท่ี เอกชนลงทุน 82,701 ล้านบาทน้ัน ไม่น่าห่วง เพราะภาคเอกชนไวต่อการบริหารผลลัพธ์และ ผลกระทบอยแู่ ล้ว ทนี่ ่าหว่ งคือเงินลงทุนวจิ ัยและพัฒนาภาครัฐ 30,826 ลา้ นบาท จะเปน็ ส่วนที่ให้ ผลลัพธ์และผลกระทบสูงกับส่วนที่สูญเปล่าหรือค่อนข้างสูญเปล่าในสัดส่วนเท่าไร สวทน. น่าจะ ลงแรงทำ� วิจยั ประเดน็ น้โี ดยไมไ่ ดม้ เี ป้าหมายจับผิด แต่เพื่อน�ำมาเป็น feedback ปรับปรุงวธิ จี ัดการ ทุนวิจยั ให้เปน็ การลงทุนทก่ี ่อผลกระทบสงู สรา้ งความน่าเช่อื ถือในสังคม ซ่งึ จะสรา้ งกระแสสงั คม ใหภ้ าครฐั ลงทุนวจิ ยั และพฒั นามากยงิ่ ข้นึ โอกาสเคลือ่ นส่ปู ระเทศไทย 4.0 ก็จะสูงข้ึน การลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐ ควรมีการจัดการอย่างมียุทธศาสตร์ ท่ีจะท�ำให้ ประเทศไทยมีการผลิต การท�ำงานแบบมีนวัตกรรม มีบรู ณาการ และมกี ารสร้างคุณคา่ และมูลค่าสงู เม่ือก�ำหนดยุทธศาสตร์และมีการด�ำเนินมาตรการแล้ว ต้องมีการเก็บข้อมูล และติดตามผล เพื่อประเมินว่า ก่อผลลัพธ์และผลกระทบอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพหรือไม่ ส�ำหรับเป็น feedback การปรับปรงุ ระบบตอ่ ไป ข้อมูลท่ีน่าช่ืนใจอีกตัวหน่ึง คือจ�ำนวนนักวิจัย ที่พบว่ามี 112,400 คน คิดเป็น 17 คน ต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งสูงกว่าเป้า (15 คนต่อประชากร 10,000 คน) ซึ่งผมก็มีข้อวิพากษ์ ในเชิงคุณภาพเช่นเดยี วกนั สรุปสั้น ๆ learning หรือกระบวนการเรียนรู้จากการท�ำงาน การบริหารงานวิจัยที่ ประสบความส�ำเร็จ ต้องมีโครงสร้างและทีมงานดี มีการเรียนรู้ร่วมกันตลอดเวลา และกลไกสร้าง การเรยี นรอู้ ย่างดคี ือ การเปลย่ี นแปลงต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้น ไมม่ วี นั จบสิน้ สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย (สกว.) 23

24 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ทำ� งานหนกั ตอ้ งมี “คาถาวิเศษ” ทีเ่ ลา่ มาข้างต้น ภารกจิ ของผบู้ ริหารองค์กรสนับสนนุ การวจิ ัยดเู ปน็ เร่อื งหนกั ท้ังยุง่ ยากและ ซับซ้อน ต้องใช้สมองคิด ต้องหากลยุทธ์ กลวิธีตลอดเวลา และต้องวิ่งตามบริบทที่เปลี่ยนแปลง ท้ังระดับประเทศและระดับคนปฏิบัติ และคนรับผลกระทบ อาจท�ำให้ท้อแท้ในบางครั้งเม่ือพบ อุปสรรคหนกั ๆ ส�ำหรับผม ท�ำงานไม่เคยท้อ ผมท้อไม่ได้ แค่มันยาก ผมเคยท�ำงานยากมาแล้ว สมัยเป็น คณบดีคณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผมไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง มีคณบดีก่อนหน้าสี่คน ผมเป็นคนท่ีห้า การเปิดโรงพยาบาลของ มอ. ช้ากว่าก�ำหนด 5 ปี เป็นช่วงที่คณะแพทย์ส่ังสม ปญั หาไว้เต็มทเี่ พราะอนั้ มานาน เมอ่ื เปิดโรงพยาบาลไม่ได้ ผู้คนก็ระส�่ำระสาย ทะเลาะกันบ้างและ เนอื่ งจากเปน็ ทใ่ี หม่ คงพอจะนกึ กนั ออกวา่ งบประมาณมาก เกดิ ความกงั วลตา่ ง ๆ นานา โดยเฉพาะ เร่ืองการจัดซ้ือจัดจ้างอาจมีผลประโยชน์กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พอผมจะไปเป็นคณบดี (คงมีคน ไมอ่ ยากไดผ้ ม แตไ่ มร่ จู้ ะเลอื กใคร) คณะกรรมการฯ ถามผมตอนนนั้ วา่ “สไู้ หม” ผมกบ็ อก “สสู้ คิ รบั ผมอุตส่าห์ย้ายมาจากกรุงเทพฯ ผมไม่ได้ติดทุนใครท้ังสิ้น ผมมาที่น่ีก็ต้ังใจมาท�ำงาน” ถามผม ต่อว่า “ท�ำไดไ้ หม” ผมก็ตอบไปวา่ “ท�ำได้ แต่ยาก” และก็ยากแสนเขญ็ จริง ๆ กวา่ จะทำ� ไดส้ ำ� เรจ็ สิ่งท่ีชว่ ยชีวิตผมงา่ ย ๆ (เหมอื นตอนอยู่ สกว. เลย) คือ “ออกก�ำลงั กาย” จอ๊ กกิ้งตอนเช้า 30-40 นาทีทุกวัน ตอนน้ัน สกว. อยู่ตึกมหานครยิบซั่ม ผมก็วิ่งในซอยรางน้�ำ วนอยู่แถวน้ัน วนออกไปอนเุ สาวรยี บ์ า้ ง ไปประตนู ้�ำบา้ ง ให้ได้ 30-40 นาที จนเหง่อื ทว่ มตัว ไปถึงที่ท�ำงานตอน เช้ามดื แอร์ยังไม่เปดิ พอหกโมงผมกเ็ ร่ิมท�ำงาน เปดิ พดั ลม สง่ิ น้ที ำ� ใหจ้ ติ ใจผ่องใส ทำ� ให้แข็งแกร่ง และผมท�ำจนทุกวันนี้ อายุขนาดน้ีก็ยังแข็งแรง เพราะคาถาวิเศษนี้แหละ ช่วงนี้ผมว่ิงไม่ได้แล้ว เพราะเขา่ เสอ่ื ม ผมใช้วิธเี ดนิ แทน เดินทุกวนั ใหไ้ ด้เหงอ่ื มนุษย์เราต้องมี life saving method ของตัวเอง แลว้ แต่จะชอบแบบไหน ผมซ้ือลู่ว่ิงสายพานไว้ท่บี ้าน เดินไดส้ องวนั ผมวางทิ้งไว้ เพราะ ไมช่ อบ ชอบเดินเห็นนกเห็นไม้ ไดย้ ินเสยี งนกรอ้ งตอนเชา้ เห็นพระจันทร์ เห็นพระอาทติ ย์ ข้นึ และ ตก ทำ� ใหม้ คี วามสขุ ถา้ ใหอ้ ยแู่ ตใ่ นบา้ นหรอื อยแู่ ตใ่ นหอ้ งทำ� งาน ผมคงอยไู่ มไ่ ด้ จะเหน็ ไดว้ า่ ทกุ อยา่ ง เชอื่ มตอ่ กนั หมด ไมใ่ ชแ่ คเ่ รอ่ื งภารกจิ วชิ าการ แตเ่ ปน็ เรอื่ งของการคดิ หรอื ทำ� ใหจ้ ติ ใจและรา่ งกาย แขง็ แรง แขง็ แกรง่ ในขณะเดียวกันใหม้ ปี ฏสิ มั พันธก์ ับผู้อ่นื ดว้ ย ตอนท�ำงานที่ สกว. ก็หนักและยาก แต่เพราะมีทีมปรึกษาเยอะ และมีกลุ่มคนนอกเข้ามา ช่วยด้วย ผมกลา้ คิด กลา้ ลอง และกล้าทำ� งานทุกอย่างทีว่ า่ ยากกง็ า่ ยขน้ึ และผ่านไปดว้ ยดี

ผมแทรกเรื่องราวของผมก่อนหน้า และขณะท�ำงานปฏิบัติภารกิจที่ สกว. เพ่ือให้ผู้อ่าน ได้ผ่อนคลาย และจะขอเล่าต่อเร่ืองที่ก�ำลังจะเกิดข้ึนในวงการวิจัย ท่ีเก่ียวข้องและจะมีผลกระทบ มาถงึ สกว. ดว้ ย อกี สัก 3 เรอื่ ง เพอ่ื แชรใ์ ห้เกิดประโยชนใ์ นการเปน็ ฐานข้อมลู (ทนั สมยั ) ส�ำหรับ การเตรียมตัวรับภารกิจท่ียิ่งใหญ่ (กว่าสมัยผม) เร่ืองต่อไปนี้ผมเขียนใน GotoKnow แล้ว เผอ่ื หลายท่านยังไม่ได้เขา้ ไปอา่ น หวั ข้อ วพิ ากษย์ ทุ ธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแหง่ ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ซ่งึ มีหลายตอน เลือกอา่ นไดต้ ามความสนใจ ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวตั กรรมแห่งชาติ 20 ปี วันท่ี 22 มิถุนายน 2560 ผมมีบุญได้ไปประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบตัวช้ีวัด และการติดตามพัฒนาการของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่ือยกระดับการแข่งขัน ของประเทศ คร้ังท่ี 2/2560 ท่ี สวทน. โดยในการประชุมมีการน�ำเสนอเร่ืองยุทธศาสตร์การวิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวนช.) เป็นผู้ก�ำหนด ส�ำหรับเป็นข้อมูลประกอบ การคิดตัวชี้วัด เป้าหมายของยุทธศาสตร์น้ี กเ็ พื่อหนุนการพัฒนาประเทศไทย ส่ปู ระเทศไทย 4.0 ผมได้เรียนรู้เรื่อง “เทคโนโลยพี ลิกโฉมฉับพลนั ” (disruptive technology) 12 รายการ ที่เสนอโดย McKinsey Global Institute คือ mobile internet, the internet of things, advanced robotics, automation of knowledge work, cloud technology, autonomous and near-autonomous vehicles, next-generation genomics, advanced materials, advanced oil and gas exploration and recovery, 3D printing, energy storage, renewable energy ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) 25

26 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย ผมประทับใจหลกั การ 5 ขอ้ ของการเปล่ียนแปลงกิจกรรม วทน. (วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม) ของประเทศ ท่ีเสนอโดย ท่าน รมช. ดร.สวุ ิทย์ เมษิณทรีย์ ดังนี้ การวจิ ยั และนวตั กรรม การวจิ ยั และนวัตกรรม ที่มาจาก supply side ทีม่ าจาก demand side หวั ข้อวิจยั เป็นช้ิน วาระการวิจัยเร่ืองใหญ่ ๆ ที่ชัดเจน แตะทุกเรอ่ื ง แตไ่ ม่เกง่ สักเรอ่ื ง เกง่ บางเรื่องท่ีสำ� คญั แต่เก่งสุด ๆ เนน้ พัฒนาความเปน็ เลศิ ทางเทคโนโลยี เนน้ การพฒั นาและ ต่างคนตา่ งคิด การใช้เทคโนโลยที ี่เหมาะสม สร้างเครือขา่ ยการพัฒนานวัตกรรม และการวจิ ยั อย่างเปน็ ระบบ โดยมีวิสัยทัศน์ของระบบวิจัยและนวัตกรรม ดังน้ี “การวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เข้มแข็ง เป็นกลไกส�ำคญั ในการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ เศรษฐกจิ และสงั คมไทย ส่ปู ระเทศทพ่ี ัฒนา แล้วด้วยความม่นั คง มง่ั ค่งั ยงั่ ยนื ” เพือ่ บรรลวุ ิสัยทัศนด์ งั กล่าว ก�ำหนดให้มี 4 ยทุ ธศาสตร์ คือ การวิจัยและนวตั กรรมเพ่ือตอบโจทยค์ วามมัง่ คั่งทางเศรษฐกจิ การวิจยั และนวตั กรรมเพอ่ื ตอบโจทย์ประเดน็ ทา้ ทายทางสงั คม การวิจัยและนวัตกรรมเพ่ือตอบโจทยก์ ารสร้างองคค์ วามรู้พนื้ ฐานของประเทศ การสรา้ งบุคลากร พฒั นาระบบนิเวศและเครอื ขา่ ยการวิจัยและนวตั กรรมท่เี ขม้ แขง็ ที่น่าชื่นชมคือ มีการยกร่าง Spearhead R&I Program โฟกัสเรื่องส�ำคัญมาเป็นตุ๊กตา ซงึ่ กรรมการทม่ี าจากภาคเอกชนทเี่ ปน็ ผรู้ จู้ รงิ บอกวา่ ตอ้ งโฟกสั บบี แคบลงไปอกี โดยใชค้ วามตอ้ งการ ของภาคธรุ กิจเอกชนเป็นฐาน

ทน่ี ่าสนใจอกี ประเด็นหนง่ึ คอื การก�ำหนดให้มี ODU (Outcome Delivery Unit) ทำ� หนา้ ที่ จัดการโปรแกรม R&I เชิงยุทธศาสตร์ ซ่ึงยังไม่ชัดว่าจะมีสถานภาพอย่างไร มีคนถามว่า เมื่อเกิด ODU แลว้ สกว. ทำ� อะไร ผมช่วยตอบว่า สกว. และหน่วยงานจัดการทนุ วจิ ัยอื่น ๆ กจ็ ัดตงั้ ODU ของตนข้ึนมาเสนอตัวท�ำหน้าที่บริหารบางโปรแกรม มหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนก็สามารถ เสนอ ODU ของตนเข้าท�ำหน้าท่ีได้ ไม่ควรจัดต้ังหน่วยงานในลักษณะองค์การมหาชนขึ้นมาท�ำ หน้าที่นี้ ซ่ึงตรงกับแนวทางที่ทีมของ สวทน. เตรียมไว้เสนอ สวนช. พอดี ฟังแล้วน่าช่ืนชมว่า วางหลักการไว้ดีมาก แต่จะได้ผลในทางปฏิบัติแค่ไหนขึ้นอยู่กับการจัดการ ช่วงเช้าก่อนเข้าประชุม มีนักวิจัยจาก Science and Technology Policy Institute (STPI) ของเกาหลีมาเล่า ผลการวิจัยเร่ือง Impact Evaluation of R&D Investment และเล่าว่าข้อจ�ำกัดของเกาหลีคือ กระทรวงตา่ ง ๆ ท�ำงานแบบ “ไซโล” เป็นการเตือนสตเิ ราว่า เงอ่ื นไขสำ� คัญอย่างหนง่ึ ในการบรรลุ Thailand 4.0 คอื กระทรวงตา่ ง ๆ ต้องไม่ท�ำงานแบบไซโล แผนบรู ณาการ “การวจิ ัยและนวตั กรรม” วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 มีการประชุมคณะกรรมการกล่ันกรองแผนงานภายใต้ แผนบูรณาการ “การวิจัยและนวัตกรรม” ประจ�ำปีงบประมาณ 2562 คร้ังที่ 2/2561 สาระ ของการประชุม ช่วยให้ผมสังเคราะห์เป็นหัวข้อบันทึกใน GotoKnow ตอน วิพากษ์ยุทธศาสตร์ การวจิ ยั และนวตั กรรมแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) : นโยบายหรู ปฏิบตั หิ ว่ ย ดังน้ี รัฐบาลต้ังเป้าประเทศไทย 4.0 ออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วย “นวัตกรรม บรู ณาการ และการสรา้ งสรรคค์ ณุ คา่ และมลู คา่ (value creation)” มกี ารรบั ลกู ดว้ ยหลากหลาย มาตรการ อย่างหน่ึงคือ ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ไดร้ ับอนมุ ตั ิจาก สวนช. เรียบรอ้ ยแล้ว หนว่ ยงานทร่ี บั มาดำ� เนินการคือ วช. กับ สวทน. ทาง สวทน. ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองแผนงานภายใต้แผนบูรณาการการวิจัยและนวัตกรรมขึ้นมาช่วยให้ ความเห็นช่วยแนะน�ำเจ้าหน้าที่ท่ีท�ำงานกันอย่างแข็งขัน และอย่างมีความรู้ เพราะเขาเรียนกันมา ทางด้านนโยบายวิจัยและนวัตกรรม ผมจับพลัดจับผลูไปเป็นประธาน จึงได้เรียนรู้วิธีการท�ำงาน สรา้ งนวตั กรรมใหแ้ กร่ ะบบวจิ ยั และนวัตกรรมของประเทศ ท�ำให้ผมได้ขอ้ สรุปตามหัวข้อบนั ทกึ นี้ สำ� นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 27

28 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั เพ่ือบรรลุเป้าหมายประเทศไทย 4.0 และวางฐานระบบการผลิตมูลค่าสูง มีการคิดกลไก ลงทุนวิจัยและนวัตกรรมในรูปแบบใหม่และในตัวเงินที่สูงข้ึน เพ่ือผลักดันให้ภาคเอกชนลงทุนวิจัย และนวัตกรรม เพอ่ื ผลิตสินคา้ คุณภาพมูลค่าสงู ในปงี บประมาณ 2562 ทก่ี ระบวนการงบประมาณ ก�ำลังด�ำเนินการอยู่ในขณะน้ี มีการตกลงกันในเบ้ืองต้นภายใต้แผนบูรณาการการวิจัยและ นวตั กรรมวา่ กรอบวงเงนิ งบประมาณ 36,900 ลา้ นบาท ภายใต้ 4 เปา้ หมาย 1) เปา้ หมายสรา้ งความ ม่ังคั่งทางเศรษฐกิจ 2) เป้าหมายพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม 3) เป้าหมายสร้างองค์ความรู้ พื้นฐานของประเทศ 4) เปา้ หมายพฒั นาโครงสรา้ งพน้ื ฐาน บคุ ลากร และระบบวจิ ัยและนวตั กรรม ของประเทศ 11 แผนงาน ต่อมาในวันท่ี 23 มกราคม 2561 วช. และ สวทน. ประชุมร่วมกับส�ำนักงบประมาณ ได้รับแจ้งจากส�ำนักงบประมาณให้ปรับวงเงินลงเหลือ 17,000-24,000 ล้านบาท เท่ากับวงเงิน ลดลงไปเท่าปกี อ่ น ๆ วันท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ 2561 ประชุมร่วมกับ รมต. ประจ�ำส�ำนกั นายกรัฐมนตรี (นายกอบศักด์ิ ภูตระกูล) มีมติให้ความส�ำคัญต่อแผนงานท่ีมีผลกระทบชัดเจนในวงกว้างต่อ ประชาชน ไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และให้ล�ำดับความส�ำคัญเฉพาะโครงการท่ีผลการประเมินได้ 4-5 ดาว ผมเอามาเล่าไว้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริหารประเทศในอนาคต หาทางบริหารงบประมาณ แผน่ ดนิ ใหพ้ งุ่ เปา้ มากยงิ่ ขนึ้ เอาชนะความเคยชนิ เดมิ ๆ ใหจ้ งได้ ผมไดช้ ใ้ี หท้ ปี่ ระชมุ เหน็ วา่ ในบา้ นเมอื ง ของเรา (ซึ่งการวิง่ เต้นมพี ลังกว่าขอ้ มลู หลกั ฐาน) การจดั ล�ำดับความสำ� คัญเพื่อหนนุ งานคณุ ภาพสงู ซ่งึ เปน็ สว่ นนอ้ ย มกั จะพา่ ยแพ้ฝา่ ยคณุ ภาพกลาง ๆ ซึ่งเปน็ สว่ นใหญ่ นคี่ อื หลุมพรางขวากหนามของ การขบั เคลื่อนสปู่ ระเทศไทย 4.0 นวตั กรรมการสนับสนุนงานวจิ ยั นวัตกรรมในการสนับสนุนการวิจัยเพ่ือสนองเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ เป็นการริเร่ิม ที่น่าช่ืนชม และจะส่งผลสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของประเทศแบบ กา้ วกระโดด คอื แผนงานยทุ ธศาสตรเ์ ปา้ หมาย (Spearhead Program) ซงึ่ หมายถงึ การสนบั สนนุ โครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจได้จริง ในสาขาเป้าหมายของประเทศ หรือก่อผลทางสังคม ชุมชน เพ่ือลดความเหล่ือมล้�ำ สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ ผมตีความว่า เปน็ การยกระดบั การวจิ ยั ของประเทศ ใหม้ กี ารวจิ ยั แบบมเี ปา้ หมายทเ่ี ปน็ ความตอ้ งการของประเทศ มีการท�ำวิจัยจริงจัง และได้รับการสนับสนุนจริงจัง เป็นการวิจัยแบบ High expectation, high support, high impact ทีจ่ ะหนุนให้ประเทศไทยบรรลปุ ระเทศไทย 4.0 ได้

โครงการวิจัยแบบ Spearhead Program คือ แผนงาน/โครงการวิจัยและนวัตกรรม ขนาดใหญ่ท่ีสร้างมูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจได้จริงในสาขาเป้าหมายของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และวัดผลได้ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ เน้นท่ีประเด็นวิจัย 5 หมวดคือ 1) อาหาร เกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์ 2) เศรษฐกิจดิจิทัลและข้อมูล 3) ระบบโลจิสติกส์ 4) การบริการมูลค่าสูง และ 5) พลังงาน หรือ แผนงาน/โครงการวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่ ทีจ่ ะใช้ประโยชน์ทางดา้ นสงั คม ชมุ ชน เพื่อลดความเหลือ่ มล้�ำ เงอ่ื นไข 9 ประการของ Spearhead Program ด้านเศรษฐกจิ คอื 1) มีความเป็นไปได้ ทางการตลาด 2) มีความเป็นไปได้ด้านเทคโนโลยี การผลิตและมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 3) มีผู้ประกอบการที่พร้อมจะลงทุนให้เกิดการผลิตและจ�ำหน่าย 4) งานที่จะด�ำเนินการจะต้อง อยู่ใน Technology Readiness Level ข้ันต�่ำที่ Level 5 5) มีผลลัพธ์/ผลผลิตที่ชัดเจน เม่อื ดำ� เนินโครงการไปแลว้ ภายใน 2 ปี (3 ปี สำ� หรับด้านการแพทย)์ 6) เมอื่ สนิ้ สดุ การด�ำเนนิ งาน จะต้องเกิดผลงานที่พร้อมใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ 7) หน่วยงานร่วมด�ำเนินการ ประกอบด้วยเอกชนอย่างน้อย 1 รายและหน่วยงานวิจัยที่สามารถรับงบประมาณจากภาครัฐ ไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 1 หนว่ ยงาน มรี ายละเอยี ดงบประมาณ ทป่ี ระสงคจ์ ะขอรบั การสนบั สนนุ จากรฐั บาลรายปี การบริหารจัดการโปรแกรม ขอ้ ตกลงเรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของและการใช้ประโยชน์จากทรัพยส์ นิ ทางปัญญาร่วมกับภาคเอกชน ผลงานและการตรวจรับ 8) ภาคเอกชนร่วมลงทุนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของมูลค่าแผนงาน โดยเป็น in-cash อย่างน้อยร้อยละ 10 ของมูลค่าแผนงาน และ ตอ้ งมีเอกสารยืนยันจากภาคเอกชน 9) มมี ลู คา่ 50-100 ลา้ นบาทตลอดท้งั แผนงาน โดยกำ� หนด ระยะเวลาดำ� เนนิ การ 1-3 ปี หากจ�ำเปน็ สามารถขยายเปน็ 5 ปี ได้ ในปีงบประมาณ 2562 มีข้อเสนอโครงการ spearhead ท่ีผ่านการกลั่นกรองตามเกณฑ์ ดงั กลา่ ว 35 โครงการ เปน็ เงนิ รวม 2,521.46 ลา้ นบาท จาก 12 หน่วยงาน ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) 29

30 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวจิ ยั บทสง่ ท้าย โจทยก์ ารบริหารงานวิจัย ใหท้ นุ วิจัย เพ่ือไปหนนุ Thailand 4.0 เปน็ เรื่องใหญ่มาก ถา้ ไม่ ระมัดระวังจะเกิดผลเสียหายตามมา โครงการ Spearhead เป็นการจับมือกับอุตสาหกรรม ทค่ี อ่ นขา้ งใหญ่ แลว้ อตุ สาหกรรมคอ่ นขา้ งเลก็ หรอื SME ซง่ึ เปน็ “ไทยแท”้ จะทำ� อยา่ งไร นค่ี อื โจทย์ ผมกไ็ ดแ้ ต่ตัง้ โจทย์ คดิ แต่ตอบไมไ่ ด้ สำ� หรับนวัตกรรมของ สกว. ในอนาคต ประเด็นงานเชิงสาธารณะเปน็ งานส�ำคญั เราอาจจะ ยังไม่ค่อยเก่งตรง platform ในการท�ำงานวิจัยเพื่อหนุนภาคการผลิตเชิงอุตสาหกรรม คงต้อง ตงั้ คำ� ถามต่อไปว่าประเดน็ วิจัยเชิงยุทธศาสตรต์ ้องทำ� อยา่ งไร ปัจจุบันที่ สกว. ก�ำลังทำ� มี 12 และ ก�ำลังจะเป็น 15 ประเดน็ ซง่ึ ดี แตต่ ้องดวู า่ บริหารจัดการอยา่ งไร ที่เคยท�ำตง้ั แตส่ มัยอาจารย์ปยิ ะวัติ สกว. ได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง อะไรบ้างท่ี “ไม่ควรท�ำ” และต้องเติมอะไรบ้างจึงจะท�ำให้ส�ำเร็จ ปัญหาคือ “เป้าไม่ชัด” มาตั้งแต่ต้น เช่นค�ำว่า “อาหาร” กว้างมาก อะไรท่ีเหมาะกับเมืองไทย ปีนี้ (2561) อีก 5 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นอะไร ลองหยิบมาสัก 1-2 เร่ืองว่าคืออะไร ผลคืออะไร ตอ้ งการตอบอะไร ต้องลงให้ชัดกวา่ น้ี ถ้ามีบทเรยี นจากการเรียนรู้ สามารถน�ำไปใชใ้ น spearhead program ได้ ผู้บริหารจัดการคนเดียวอาจยังไม่พอ ส่ิงท่ีขาดคือกลไกการเรียนรู้ (mechanism for learning) และสิง่ ทตี่ ้องพฒั นาคือ การเรยี นรูท้ ่ีเพ่มิ ขนึ้ (learning curve) สบิ กวา่ ปที ผี่ า่ นมานี้ เป็นอย่างไร ตอ้ งตอบไดเ้ ป็นฉาก ๆ อาจเขียนหนังสือไดอ้ ีกหลายเลม่ “การเขียนบนั ทึกเปน็ เร่ืองจำ� เปน็ และเปน็ สิ่งจ�ำเปน็ ส�ำหรบั การเรยี นร”ู้

ศาสตราจารย์ ดร.ปิยะวัติ บญุ -หลง ผอู้ ำ� นวยการ สกว. คนทสี่ อง (2544-2552) พวกเรา...คดิ เพียงอย่างเดยี ว ในขณะน้ัน คือ ใชง้ านวจิ ัย ชว่ ยให้สงั คม มีปญั ญา มสี ติ มที ศิ ทางที่เหมาะสมในการด�ำเนิน และดำ� รงอยดู่ ้วยตวั เอง โดยรูเ้ ท่าทนั สภาพแวดลอ้ มและ สงิ่ กระทบตา่ ง ๆ จากภายนอก และ เติบโตไดอ้ ยา่ งมีศกั ยภาพ ชว่ งแรกของผมในองค์กรใหม่ ตอนทผี่ มเขา้ มาเรมิ่ งานท่ี สกว. ศาสตราจารย์ นพ.วจิ ารณ์ พานชิ เปน็ ผอู้ ำ� นวยการ ทา่ นไปชวน ผมมาจากเชยี งใหม่โดยไมร่ จู้ กั กนั มากอ่ น และมอบหมายให้ผมดูแลฝา่ ยวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพื่อการผลิต การตลาด และการบริการ ความท้าทายในช่วงนั้นอยู่ที่การริเร่ิมงานใหม่ ได้ท�ำงาน ในแบบทผี่ มคิดว่าควรจะเป็น แต่ยงั ไม่มใี นประเทศไทย เชน่ ทุนวิจยั เพ่ือการพฒั นา (R&D) เราตง้ั เง่ือนไขวา่ ตอ้ งมีผู้ใชป้ ระโยชน์ (user) รวมอยู่ในแผนงานวจิ ยั ด้วย ไมใ่ ชท่ ำ� เสร็จแล้วมขี อ้ เสนอแนะ สง่ ท้ายวา่ ควรจะไปใชท้ ไี่ หน ในการนนี้ กั วจิ ยั จำ� เปน็ จะตอ้ งรจู้ กั ผใู้ ชก้ อ่ น ตอ้ งหารอื กบั ผใู้ ชใ้ นระหวา่ ง การพัฒนาข้อเสนอโครงการ เพื่อให้เข้าใจว่าเขาจะใช้งานวิจัยน้ันอย่างไร แล้วจะได้ตั้งโจทย์วิจัย ใหส้ อดคลอ้ ง ซงึ่ เป็นหลักการทำ� งานของฝา่ ย R&D ทงั้ หมดในระยะต่อมา ส�ำนกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจัย (สกว.) 31

32 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวจิ ยั นับเป็นความโชคดีของผมท่ีท่านอาจารย์วิจารณ์ปล่อยให้ผมท�ำงานอย่างอิสระ โดยไม่ต้อง กังวลวา่ จะต้องไปชีแ้ จงกบั ใคร ผมอายุ 40 เปน็ “วัยมงุ าน” ผมจงึ ทำ� เต็มที่ กินนอนอยทู่ สี่ �ำนักงาน บ่อย ๆ นั่งคิดนั่งท�ำ ไปหานักวิจัยเก่ง ๆ เข้ามาช่วยพัฒนาระบบและสร้างเครือข่าย (ซึ่งต่อมา หลายทา่ นก็กลายเป็นผู้บริหาร สกว.) ปรบั รปู แบบการจดั การทุนวิจยั เพอ่ื มุ่งสู่การน�ำไปใช้ประโยชน์ ซงึ่ ก่อนหน้าน้ันยังไมม่ ีใครทำ� ผมมีโอกาสเจาะลกึ ในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายให้เป็นผ้ดู ูแล ไดเ้ ข้าไปหา นกั วจิ ยั ไดเ้ ขา้ ไปหา users แบบ “จบั เขา่ คยุ ” สรา้ งความคนุ้ เคยและเปน็ กนั เองแบบไมม่ อี ะไรกดดนั ท�ำให้ได้แนวคิดท่ีจะเร่ิมต้นหลายเรื่องชัดเจนและเห็นเป็นรูปธรรม ปัจจุบันน่าจะมีคนท�ำงานแนวน้ี ได้เก่งกว่าผมอีกจ�ำนวนมาก แต่ความสนุกแบบท่ีผมได้รับคงต่างกัน ในช่วงนั้นผมได้อ่านหนังสือ พวก management เยอะ อ่านแล้วไดน้ �ำมาใช้จึงสนุกเพม่ิ ข้ึนเป็นหลายเทา่ การน�ำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เป็นประเด็นส�ำคัญ เพราะ พ.ร.บ. กองทุนสนับสนุน การวจิ ยั เขยี นไวช้ ดั เจนว่าให้ สกว. มีภารกิจสนบั สนนุ การวิจัยเพอ่ื ใช้ประโยชนใ์ นการพฒั นาประเทศ ในด้านต่าง ๆ วธิ กี ารคุยกบั user ตงั้ แตก่ ารตั้งโจทย์ทำ� ใหก้ ระบวนการนำ� ผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ถูกผนวกอย่างกลมกลืนอยู่ในโครงการ เป็นแบบไร้รอยต่อ ไม่ได้แยกออกมาเป็นข้ันตอนต่างหาก จึงท�ำให้นกั วจิ ัยกบั user ใกล้ชดิ กันมาก หากจะแยกก็เป็นส่วนของการขยายผลไปสู่ users อนื่ ๆ ในภายหลังเท่าน้ัน ในส่วนของการขยายผลนี้ผมถือเป็นหน้าท่ีของ สกว. ในการบริหารจัดการ หาจังหวะ วิธีการ และช่องทางท่ีเหมาะสมให้ได้ แต่การท�ำให้ user รายแรกได้ใช้ผลงานน้ัน เป็นหน้าที่โดยตรงของนกั วิจัยฝา่ ย R&D ซง่ึ ตอ้ งระบมุ าในขอ้ เสนอโครงการ การแบ่งงานใน สกว. ซึ่งตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2536 ก่อนท่ีผมจะเข้ามา ผมขอชื่นชมท่านผู้ตั้งชื่อ ฝ่ายต่าง ๆ ว่าเก่งมาก ย้อนดูอีกสบิ ปตี อ่ มา ชื่อทีท่ ่านตั้งไว้นั้น “ใช่เลย” เพราะมองเหน็ เป้าหมาย เห็นเคร่ืองมือ และเห็นนักวิจัยว่าอยู่ที่ไหนด้วย เช่นฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการผลิต การตลาด และการบริการ และฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพ่ือส่ิงแวดล้อมและทรัพยากร ธรรมชาตินั้น เน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างชัดเจน ท�ำให้การต้ังโจทย์วิจัยและ ผลงานวชิ าการทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ชดั เจนตามไปดว้ ย และฝา่ ยนวตั กรรมสถาบนั (Institutional Innovation) ซงึ่ ตอ้ งการสนบั สนนุ การวจิ ยั เพอื่ ปฏริ ปู องคก์ รตา่ ง ๆ กเ็ ปน็ แนวคดิ ทใี่ หมม่ ากในสมยั นน้ั แตก่ ารตง้ั ชอ่ื ในระยะหลัง เช่น ฝ่ายอุตสาหกรรมและฝ่ายชุมชนน้ัน เน้นกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์เป็นหลัก ไม่ได้เน้น วิธีการอีก คงเป็นเพราะช่วงต่อมาการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจยังไม่พอ เมื่อต้องท�ำงานแก้ปัญหาในสภาพจริงเราต้องการงานด้านสังคมด้วย ก็มีข้อดีในแง่การตอบสนอง ต่อปัญหาจริงของผู้ใช้ แตก่ ็มขี อ้ เสยี ที่ focus ของความใหมท่ างวชิ าการอาจจะอ่อนลง

เน่ืองจากนักวิจัยยังไม่คุ้นกับเป้าหมายของทุนวิจัยประเภทใหม่ ๆ น้ี การให้ทุนในช่วงนั้น ฝ่าย R&D จึงต้องใช้เวลานานพอควรในการสื่อสารและพัฒนาทีมวิจัยต่าง ๆ ให้มีความพร้อมที่จะ รับทุน ซ่ึงไม่เหมือนกับฝ่ายวิชาการที่มีกลุ่มนักวิจัยที่เข้มแข็งรออยู่แล้ว นอกจากนี้ เรายังคิดถึง กลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ที่เราอยากให้เข้าถึงกระบวนการวิจัยและทรัพยากรที่ สกว. มีอยู่ด้วย เช่น เกษตรกร ชุมชนท้องถ่ิน ข้าราชการ ผู้ประกอบการรายย่อย ศิลปินพื้นบ้าน นิสิตนักศึกษา และ สื่อมวลชน เป็นต้น เพราะแต่เดิมเรายึดติดอยู่กับการสนับสนุนทุนกับกลุ่มนักวิจัยในแบบแผน (traditional researchers) เป็นหลัก เพราะง่ายดี มีวิธีการทเี่ ป็นสากลอย่แู ลว้ เชน่ มีการประกาศ รับข้อเสนอโครงการ มีการพิจารณาโดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ มีระเบียบวิธีวิจัย และเมื่อท�ำวิจัย เสร็จแล้วกต็ อ้ งเขยี นผลงานเพอ่ื ตพี ิมพ์ในวารสารวิชาการ เปน็ ต้น แตท่ ่ีจรงิ ยงั มีอกี หลายกลุ่มที่ควร ดงึ เขา้ มา เพอื่ ใหเ้ ขาทำ� วจิ ยั เอง ไดพ้ ฒั นาความรใู้ นเงอ่ื นไขของเขา และใหเ้ ขาเหลา่ นน้ั เปน็ สว่ นสำ� คญั ในสังคมท่ีใช้ปัญญาความร้ตู ่อไป แต่ละกลุ่มนี้ สกว. ก็ต้องหาวิธีการท่ีเหมาะสมกับเขา ต้ังแต่วิธีการเสนอโครงการ วิธีการ ให้ทุน วิธีท�ำวิจัย และวิธีประเมินคุณภาพงานวิจัย เพื่อให้เขาใช้กระบวนการวิจัยได้ เรื่องนี้ก็เป็น เรอื่ งใหม่ ทตี่ อ้ งยอ้ นกลับไปนิยามคำ� วา่ “วิจัย” ว่าจรงิ ๆ แล้วหมายถึงอะไร เราเชอ่ื วา่ การวจิ ยั คอื “การสร้างความรู”้ และในฝา่ ย R&D นั้นเราเน้นความรู้เพื่อการใชง้ าน (practical knowledge) ดังนั้นกระบวนการสร้างความรู้น้ีก็ต้องกระท�ำในเงื่อนไขจริงของผู้ใช้ ต้ังแต่การเสนอข้อเสนอ โครงการ ซึง่ อาจจะมาจาก user แทนทจี่ ะมาจากนักวิจยั ไปจนถงึ การประเมนิ คุณภาพของผลงาน ซ่ึงอาจประเมินโดยกลมุ่ user ดว้ ยกันเอง โดยไม่จ�ำเปน็ ตอ้ งตพี ิมพ์ในวารสารวชิ าการกไ็ ด้ ท้งั หมดนี้ เปน็ สงิ่ ที่ สกว. พยายามทำ� ตลอดมาต้งั แต่ยุคแรก บางกลุ่มกไ็ ปได้ดี เจรญิ เติบโตมาถงึ ปจั จุบนั เช่น งานวิจัยเพ่ือท้องถิ่น ท่ีชาวบ้านเป็นผู้ท�ำวิจัย บางกลุ่มก็เพิ่งจุดติดในช่วงหลัง เช่น งานวิจัยกับ อุตสาหกรรม แต่บางกลุ่มเราก็ยังหาวิธีการที่เหมาะสมไม่ได้ เช่น งานวิจัยนโยบาย หรืองานวิจัย ยุทธศาสตร์ระดับชาติ เป็นต้น สำ� นักงานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) 33

34 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวจิ ยั สกว. ต้องอยู่ในใจของทุกคน ตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าท�ำงาน ความฝันท่ีผมเคยเสนอท่านอาจารย์วิจารณ์ คือ อยากให้ สกว. เป็น “หน่วยงานในดวงใจ” หรือ First Class Research Funding Agency ของทุกฝ่าย ในสังคม การมอง สกว. เป็น First Class น้ัน ไมใ่ ชน่ ่ังมองดว้ ยตัวเอง แตเ่ ปน็ การมองดว้ ยสายตาของ คนภายนอกหรือ stakeholders (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) กลุ่มต่าง ๆ ท่ีหลากหลาย เช่น นักวิจัย ก็ต้องมองว่า สกว. เป็นแหล่งทุนวิจัยท่ีต้องนึกถึงก่อนถ้ามี proposal ดี ๆ ที่จะเสนอ และจะมี ความรูส้ กึ ภูมใิ จเมื่อได้รับทุนวจิ ัยจาก สกว. ส่วน users ก็ตอ้ งมองวา่ สกว. เปน็ องค์กรท่ีมคี วามรู้ ระดับแนวหน้าท่ีจะแก้ปัญหาให้เขาได้ ถ้ามีข้อสงสัยที่หาค�ำตอบจากท่ีอื่นไม่ได้ ต้องมาหา สกว. สอ่ื มวลชนกเ็ ชน่ เดยี วกนั ถา้ มเี หตกุ ารณอ์ ะไรเกดิ ขนึ้ ทสี่ รปุ ไมไ่ ดว้ า่ อะไรเปน็ อะไร กต็ อ้ งใหน้ กั วจิ ยั สกว. อธิบายด้วยเหตุผลทางวิชาการ และผู้บริหารนโยบายก็ต้องมีความเชื่อม่ันว่า ผลงานจากกลุ่มวิจัย ของ สกว. สามารถใช้ชี้น�ำหรือปรับปรุงนโยบายได้ เพราะเป็นงานที่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยัน ไม่มีอคติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นต้น เพราะหน้าที่ของ สกว. อย่างหนึ่งคือท�ำให้เกิดนโยบายท่ีดี ให้ได้ด้วย ปัจจุบันเราไปรับนโยบายมาแล้วสนับสนุนทุนตามน้ันโดยเราไม่มีบทบาทในการสร้าง นโยบายเท่าไรนกั แต่ทจ่ี รงิ เรามคี วามรู้ในด้านต่าง ๆ อยู่มากพอทจี่ ะริเรม่ิ หรอื ปรับเปลยี่ นนโยบาย ให้มีประสทิ ธผิ ลและประสทิ ธิภาพมากข้นึ ได้ เพ่ือให้เปน็ ประโยชน์กับประเทศ เรอ่ื งเหลา่ นเ้ี ปน็ บทบาททส่ี ำ� คญั อยา่ งมากของ สกว. เปน็ การสรา้ งคณุ คา่ เพม่ิ (value-added) จากโครงการวจิ ยั เพราะ สกว. ไม่ใช่เพยี ง “หน่วยงานให้ทนุ วิจัย” เทา่ น้นั แต่เป็น “หนว่ ยงาน สนับสนุนการวิจัย” ตาม พ.ร.บ. ซ่ึงมีภารกิจท�ำให้สังคมเห็นความส�ำคัญและคุณค่าของการวิจัย ได้ใช้งานวิจัย และเข้าร่วมในกระบวนการวิจัยมากขึ้นด้วย อันเป็นฐานรากของการ “สร้างสรรค์ ปญั ญา เพอ่ื พฒั นาประเทศ” ตามคำ� ขวญั ของ สกว. ทใี่ ช้มาโดยตลอด นวตั กรรมการจดั การงานวจิ ยั เม่ือเรามองหางานวิจัยใหม่ ๆ กับกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ เราก็ต้องหาวิธีจัดการแบบใหม่ ๆ (innovative management) ด้วย การน�ำวิธีการสนับสนุนการวิจัยแบบมาตรฐานหรือด้ังเดิม ไปใช้ในทุกกลุ่มน้ัน ผมว่ากลายเป็นข้อจ�ำกัด ท�ำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ไม่ได้ จึงมี ความจ�ำเป็นที่เราต้องคิดเชิงนวัตกรรมในการให้ทุนด้วย เราต้องสร้างวิธีการใหม่ เครื่องมือใหม่ รวมไปถึงการประเมินคุณภาพโครงการดว้ ยกเ็ ชน่ กัน เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั เง่อื นไขของกลุ่มเปา้ หมาย และในขณะเดียวกันเหมาะสมกบั การสรา้ งความรู้ท่เี ราอยากได้

การสร้างนวัตกรรมแบบนี้น้ัน เม่ือคิดขึ้นแล้วต้องมีคนสานต่อ ซ่ึงมีรายละเอียดซับซ้อน มากมาย เราจงึ จำ� เปน็ ทตี่ อ้ งมผี ปู้ ระสานงานเกง่ ๆ ทร่ี เู้ นอื้ หาของเรอ่ื ง จดั การระบบเปน็ และสามารถ กำ� หนดเงอ่ื นไขตา่ ง ๆ ทจี่ ะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลงานวจิ ยั ในแนวทตี่ อ้ งการ ตวั อยา่ งเชน่ ในทนุ วจิ ยั ระดบั ปรญิ ญาโท ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผู้ประสานงานคือ ศาสตราจารย์ ปราณี กุลละวณิชย์ และ ศาสตราจารย์ ธีระพนั ธ์ เหลอื งทองค�ำ กำ� หนดเงื่อนไขว่าจะใหท้ ุนวจิ ยั เปน็ กลมุ่ ๆ ละ 2-3 โครงการ และใหอ้ าจารยท์ ปี่ รกึ ษาเปน็ ผสู้ งั เคราะห์ (synthesize) ผลงานเหลา่ นนั้ ขนึ้ มาเปน็ ความรอู้ กี ชดุ หนง่ึ ซึ่งท�ำให้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ได้ท�ำวิจัยและสร้างผลงานวิจัยร่วมกัน แต่เป็นคนละระดับ แทนที่จะเป็นผลงานของนักศึกษาอย่างเดียว เงื่อนไขเหล่าน้ีเป็นเรื่องส�ำคัญมากท่ีผู้ประสานงาน ตอ้ งคดิ ขึ้นมา และทดสอบกอ่ นลงมือท�ำ งานวิจัยจงึ จะลึกและมคี ณุ ค่าในทางวิชาการ Innovative Research Management จงึ ต้องเร่มิ ตงั้ แตค่ วามคดิ ใหม่ มีกลมุ่ เปา้ หมายใหม่ มเี งือ่ นไขใหม่ และ มีนักบริหารวชิ าการทีม่ ีบารมพี อ เป็นผู้ประสานงาน ซ่ึงรู้เน้อื หาดแี ละรจู้ ักนกั วิชาการในวงการด้วย และเป็นผู้เติมเง่ือนไขใหม่ ๆ เข้าไปเป็นระยะ ๆ เพ่ือให้ชุดโครงการมีความตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ใช่ บริหารแบบงานประจำ� (routine) นอกจากนี้ การบริหารนวัตกรรมการวิจัยในแนวใหม่ต้องคล่องตัว และเร็วทันเหตุการณ์ ตัวอย่าง เช่น ทุนวิจัยส�ำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี (Industry Research Program for Undergraduate Students) นั้น ผมจ�ำได้ว่าครั้งหนึ่ง อ.สุธีระ (รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์) มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ และผู้อ�ำนวยการฝา่ ยอตุ สาหกรรมของ สกว. ในขณะน้นั ) จดั ประชมุ ผู้ประสานงานฝ่ายอุตสาหกรรม มีการเสนอว่าควรดึงนักศึกษาระดับปริญญาตรีเข้ามาท�ำงาน วิจัยร่วมกับอุตสาหกรรม โดยให้นักศึกษาท�ำงานเป็น senior project ในเทอมสุดท้าย เพื่อให้ คุ้นเคยกับโจทย์และวิธีท�ำงานของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาอาจารย์ท่ีปรึกษาให้ มีความเช่ียวชาญในการแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมในระยะยาวด้วย ผู้ประสานงานท่านหนึ่งคือ อาจารยว์ โิ รจน์ (ศาสตราจารย์ ดร.วิโรจน์ บุญอ�ำนวยวิทยา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบรุ )ี ค�ำนวณวา่ ต้องใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทในปแี รก เพ่อื ให้ทนุ ประมาณ 100 โครงการ กับ ทัง้ อาจารย์และนักศึกษา โดยเป็นทุนขนาดเล็ก ทนุ ละไม่เกนิ 50,000 บาท อ. สุธีระหนั มาถามผมวา่ “สกว. มเี งินสบิ ล้านไหม” ผมตอบวา่ “ม”ี เพียงแคน่ โ้ี ครงการ IRPUS ก็เรมิ่ ตน้ ได้ ซงึ่ เมือ่ ประกาศ ออกไปก็มีผู้สมัครล้นหลาม ต่อมาในระยะหลังมีนักศึกษาได้รับทุนปีละเกือบหน่ึงพันคน มีอาจารย์ ทีป่ รึกษาหลายรอ้ ยคน และมีการแสดงผลงานทกุ ปีทีศ่ ูนยก์ ารคา้ สยามพารากอน เป็นโครงการท่ีใช้ เงินน้อยแตส่ ร้างความต่ืนตัวในวงการมหาวทิ ยาลยั อยา่ งมาก โครงการ IRPUS นีเ้ ป็นฐานของทุนใน ระดับสูงขนึ้ ในเวลาต่อมา ตง้ั แต่ปรญิ ญาโท ปริญญาเอก และ postdoc จนกลายเปน็ โครงการ พวอ. (โครงการพัฒนานักวจิ ยั และงานวิจัยเพื่ออตุ สาหกรรม) สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.) 35

36 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวิจัย อาจพดู ไดว้ า่ กลมุ่ งานวจิ ยั ท่ี สกว. สรา้ งขน้ึ ใหม่ หรอื นวตั กรรมงานวจิ ยั สกว. ตา่ ง ๆ นนั้ ตอ้ ง ท�ำให้ผู้คนในวงการนั้น ๆ มีความเชื่อว่างานวิจัยจะช่วยเขาได้ โดยส่ิงท่ีเราเสนอและส่ิงท่ีพวกเขา อยากเห็นต้องไปด้วยกันได้ มีเป้าหมายร่วม แต่มีความยืดหยุ่นในวิธีการ และเขาต้องร่วมลงมือ ทำ� ดว้ ย ไมใ่ ชร่ อให้ สกว. ทำ� แลว้ นำ� มาเสนอ หรอื ให้ สกว. เปน็ เพยี งแหลง่ เงนิ เทา่ นน้ั จงึ มคี วามจำ� เปน็ ที่ผู้บริหาร สกว. ต้องท�ำงานร่วมกับเขาอย่างสม�่ำเสมอ เช่น ไปเย่ียมโครงการ ไปร่วมงานประชุม หรอื นทิ รรศการ ใหก้ ำ� ลงั ใจ เปน็ กองหนนุ ชว่ ยแกไ้ ขเมอื่ เกดิ ปญั หา เปน็ ตน้ ตราบใดทอี่ ยากไดง้ านวจิ ยั ระดบั First Class ผูน้ �ำองค์กรต้องท�ำแบบน้ี เพราะเราทำ� กันเองไมไ่ ด้ ผลงานวจิ ยั ระดบั First Class ย่อมเกิดจากนักวจิ ัยระดับ First Class และผู้บรหิ ารงานวิจยั ระดับ First Class ดว้ ย นอกจากน้ี ยังมีบางเรื่องซ่งึ ผมเริ่มไวแ้ ต่ยงั ไปไม่ถึงไหน เพราะกระบวนการนิยามโจทยไ์ ม่ชดั และไม่มียทุ ธวิธที ด่ี ีพอ เชน่ งานวจิ ัยประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Research Issues) บางเรอื่ ง หัวเรื่องท่ีก�ำหนดไว้กว้างเกินไป นักวิจัยเข้าใจไม่ตรงกัน จึงไม่มี strategic approach ท่ีจะ แก้ปญั หา และไดโ้ ครงการท่ไี ปคนละทางสองทาง ยากเกนิ กวา่ จะเดนิ ต่อให้ส�ำเรจ็ ได้ (ผมเพง่ิ เข้าใจ เรอื่ งนห้ี ลงั จากทไี่ ดอ้ า่ นหนงั สอื ขงจอื๊ ของ ศาสตราจารย์ สวุ รรณา สถาอานนั ท์ ขงจอื๊ สอนวา่ หากจะ ทำ� งานใหญ่ ตอ้ ง “ทำ� นามใหเ้ ที่ยง” กอ่ น) ท่เี ลา่ มาทง้ั หมด... เป็นเรือ่ งราวการบรหิ ารคนรนุ่ กอ่ นแบบคนรนุ่ ก่อน ซงึ่ อาจไม่เหมาะสมกับการบริหารคนร่นุ ใหมใ่ นปัจจบุ ัน คนรนุ่ ใหมน่ อี้ าจจะ focus เฉพาะงานในหน้าที่ของเขา เฉพาะในเรือ่ งของเขา โดยคาดหวังว่าระบบรอบ ๆ ตัว ตอ้ งท�ำงานตามที่ควรจะเปน็ เราจึงต้องสร้างระบบและวิธีการใหม้ ีอิทธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการทำ� งานของเขา ให้เขาท�ำงานรว่ มกบั คนอ่ืน ซงึ่ ในองค์กรใหญ่ ๆ ทางธรุ กจิ เขากท็ �ำได้ สกว. ก็ควรทำ� ได้เชน่ กัน แตก่ ต็ ้องใหค้ นรนุ่ ใหม่ เปน็ คนคดิ ระบบ ท้งั หมดนี้ รวมทง้ั ผวู้ ิจัย ผบู้ รหิ าร และผปู้ ระสานงานด้วย

บทส่งทา้ ย อีกเรื่องหน่ึงที่ผมอยากพูดถึงคือ ในยุคน้ีสังคมรวมท้ังรัฐบาลมักมองงานวิจัย (ไทย) เป็น เครอื่ งมอื ตอบโจทยท์ กุ เรอ่ื งทร่ี ฐั ยงั หาคำ� ตอบไมไ่ ด้ ซงึ่ ไมเ่ ปน็ จรงิ เชน่ นน้ั ในงานวจิ ยั ใหญ่ ๆ หลายเรอื่ ง ประเทศไทยยงั ไม่มกี ลุ่ม (mass) ของนักวจิ ัยท่มี ีคณุ ภาพเพยี งพอที่จะแก้ปัญหาได้ หรือในบางเร่อื ง เรามีนักวิจัยพื้นฐานจ�ำนวนมากแต่ยังตอบโจทย์ประเภท development ไม่ได้ แต่ในประเทศอ่ืน อาจจะมอี ย่แู ล้ว เราจึงควรมองหาความรจู้ ากนอกประเทศเพม่ิ เติม ซง่ึ รวมถึงการให้ทุนนักวจิ ัยจาก ต่างประเทศด้วย โดยเราเป็นผู้ก�ำหนดโจทย์และผลลัพธ์ท่ีต้องการเอง เร่ืองน้ี ก่อนหน้าน้ีเรายัง ไมก่ ลา้ ทำ� ทงั้ ๆ ทเ่ี คยมกี ารหารอื หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ วา่ สกว. สามารถใหท้ นุ นกั วจิ ยั ตา่ งประเทศ ได้โดยตรง หากเราท�ำเช่นน้ีได้ ความรู้ที่น�ำมาใช้จะมีความหลากหลาย ไม่น�ำมาจากแหล่งเดียว แต่ในการนี้ เราก็ตอ้ งปรับปรงุ ระบบจัดการงานวจิ ัยให้เป็นสากลมากขน้ึ รวมท้ังการใชภ้ าษาอังกฤษ เป็นสื่อกลางในการพิจารณาโครงการ ซ่ึงจะขยาย pool ของนักวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิออกไปให้ กว้างขวางข้ึนอีกหลายเท่า เป็นประโยชน์กับประเทศโดยรวม ผมดีใจท่ี สกว. ได้เร่ิมท�ำแล้วโดย ตอ่ ยอดงานผลติ ดษุ ฎบี ณั ฑติ พรอ้ มผลงานวจิ ยั คณุ ภาพสงู ของ “โครงการปรญิ ญาเอกกาญจนาภเิ ษก (คปก.) ไปสู่ “โครงการพฒั นาเครอื ขา่ ยวจิ ยั นานาชาติ (IRN)” อย่างไรก็ตาม...ผมคิดวา่ ไมค่ วรสร้างความคาดหวังท้ังหมดทนี่ ักวจิ ัยไทย แม้จะมบี างคนไปรับสมอ้างวา่ ทำ� ได้ เรามีทางเลือกอ่นื อีกมาก มเี ครอื ขา่ ย มคี วามรูจ้ ากทางอื่น รวมท้ังความรทู้ ี่ไม่ต้องมาจากงานวิจัย ซึง่ จดั หาได้โดยการซอื้ บ้าง แลกเปลยี่ นบา้ ง ไมต่ อ้ งมาเริม่ ตน้ จากศนู ย์ หรอื เรม่ิ จาก basic research ทกุ อยา่ ง ส�ำนกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 37

38 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวจิ ยั ศาสตราจารย์ ดร.สวสั ด์ิ ตนั ตระรัตน์ ผอู้ �ำนวยการ สกว. คนท่สี าม (2552-2556) เสน้ ทางการบรหิ ารองคก์ ร ลว้ นต้องกา้ วผา่ นอปุ สรรค มากบา้ ง น้อยบ้าง หากเรามองเห็น เป็นความท้าทายสู่จุดหมาย ตามวัตถปุ ระสงค์ ในแง่บวก การเดนิ ทางน้ัน ก็จะกอปรไปด้วยรูปแบบการพฒั นาและ ปรบั ปรุงมุง่ สเู่ ปา้ ประสงค์ แตห่ ากเรามองเห็นทกุ สิง่ เบื้องหนา้ คือ ปญั หาและอปุ สรรคทตี่ ้องฟันฝา่ ระหวา่ งทางเดินส่เู ป้าหมายนั้น เราอาจท้อ หรอื หมดแรงกันไปกอ่ นก็ได้ คงเปน็ ความโชคดขี องผมทเ่ี ขา้ มาบรหิ าร สกว. องคก์ รทม่ี ภี ารกจิ สนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั เพอื่ สรา้ ง ปญั ญาและความรมู้ งุ่ สกู่ ารพฒั นาประเทศ ในขณะที่ สกว. มกี ารวางฐานราก โครงสรา้ ง และระบบไว้ อย่างดีจากผู้บริหารสองท่านก่อนหน้า การบริหารงานจึงค่อนข้างราบร่ืน แม้มีอุปสรรคบ้าง ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ ผมจึงไม่ได้มองปัญหาเป็นแบบอุปสรรค แต่มองปัญหาว่าอาจเป็น “พรท่แี ฝงตวั มา (blessing in disguise)”

ก่อนรับหน้าท่ีผู้น�ำ สกว. ผมรู้จักเฉพาะโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) และ ฝา่ ยวชิ าการ ชว่ งแรกจงึ เปน็ ชว่ งเวลาแหง่ การเรยี นรทู้ กุ ๆ ฝา่ ย ยง่ิ เรยี นยง่ิ รู้ ความเขา้ ใจองคก์ รคอ่ ย ๆ เพ่ิมพูน ยิ่งนานวันย่ิงมีเรื่องให้เรียนรู้มากข้ึนเรื่อย ๆ เม่ือเห็นผลงานเป็นท่ีประจักษ์และชัดเจนขึ้น ในแต่ละฝ่ายจากการตามไปดูชุดโครงการต่าง ๆ เห็นความสามารถของผู้อ�ำนวยการแต่ละฝ่าย ซงึ่ นอกจากตอ้ งคดิ วางแผนอยา่ งนกั บรหิ ารทม่ี เี ปา้ หมายแลว้ ทกุ คนตา่ งมวี ธิ จี ดั การทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ด้วยความมุ่งม่ันและทุ่มเท ผมจึงแทบไม่ได้ปรับเปล่ียนโครงสร้างขององค์กร แม้คนท่ัวไปอาจ มองวา่ สกว. เปน็ องคก์ รทีม่ ีความคลอ่ งตวั สามารถปรับเปลีย่ นโครงสรา้ งและระบบการบรหิ ารงาน ได้โดยงา่ ย จึงช่วยให้ สกว. สามารถสรา้ งสิง่ ใหม่ ๆ เชน่ องค์ความรู้ วิธีแกป้ ญั หาสงั คมถกู ทถ่ี ูกเวลา แต่จะมีปัจจยั แรงหนนุ หรือขอ้ จำ� กดั ตา่ ง ๆ ทง้ั ภายในและภายนอกท่ที �ำใหส้ ามารถหรือไมส่ ามารถ ด�ำเนนิ การตามท่ีตอ้ งการได้ วิกฤตคือโอกาส ในวันแรกท่ีผมเข้ามาท�ำงานท่ี สกว. (8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552) มีรายงานบนโต๊ะว่า งบประมาณท่ีจะเริ่มในเดือนตุลาคม (งบประมาณปี 2553) นั้น ถูกตัดลดลงจากงบประมาณ ปี 2552 กวา่ 300 ล้านบาท หรอื กว่า 20 เปอร์เซน็ ต์ เม่ือเทียบกบั งบประมาณปี 2552 เหตุการณ์น้ี กระทบกับท้ังองค์กรแน่นอน ทุกฝ่าย และทุกคน เป็นปัญหาช้ินใหญ่ชิ้นแรกที่ผมต้องบริหาร จัดการ เพื่อให้องค์กรด�ำเนินกิจกรรมต่อภายใต้งบประมาณที่ถูกตัดลดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการของผมช่วงนั้น คือ 1) พิจารณายุติโครงการใหญ่ที่มองไม่เห็นแน่ชัด ว่าจะสามารถน�ำผลงานไปใช้ได้ หันไปผลักดันโครงการวิจัยที่ใช้งบประมาณน้อยกว่าแต่มีศักยภาพ ชัดเจน ซ่ึงเป็นไปตามแนวนโยบายและค�ำปรึกษาของบอร์ดที่ดูแลด้านนโยบายของ สกว. เพ่ือให้ สามารถต่อยอดผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว 2) ปรับลด ค่าใช้จ่ายด้านบริหารลง 3) ปรับงบประมาณการสนับสนุนโครงการวิจัยของแต่ละฝ่าย 4) ขอให้ มหาวทิ ยาลยั รว่ มทนุ ในบางโครงการ สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) 39

40 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย การก้าวผ่านวิกฤตคร้ังน้ันต้องให้เครดิตผู้ร่วมงานร่วมคิดอย่าง ผศ.วุฒิพงศ์ เตชะด�ำรงสิน ซึง่ ได้ช่วยผนู้ �ำ สกว. บริหารงานอยา่ งท่มุ เทมาตงั้ แตส่ มัยเร่ิมกอ่ ตั้ง และเปน็ รองผู้อ�ำนวยการ สกว. ในขณะนั้นด้วย ท่านท้ังช่วยคิด ช่วยวางแผน และร่วมสร้างความเข้าใจกับผู้มีผลกระทบ ท�ำให้ ผบู้ รหิ ารระดบั รองลงมา คอื ผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยรว่ มมอื รว่ มใจสรา้ งผลงานอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แมต้ อ้ งทำ� งาน อยา่ งประหยดั และรอบคอบแตง่ านหนกั เทา่ เดมิ ทำ� ใหร้ สู้ กึ ขอบคณุ ผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยทกุ ฝา่ ยทม่ี คี วาม เข้าใจ ไม่โวยวายแม้งบประมาณถูกตัด ผมจึงคิดว่าปัจจัยท่ีช่วยสร้างความส�ำเร็จและความโดดเด่น ขององคก์ รไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่ความเป็นอิสระขององคก์ ร แตเ่ ป็น “คนขององค์กร” ท่ตี อ้ งเขา้ ใจบทบาทและ พันธกิจขององค์กร ภักดีต่อองค์กร และพร้อมลงเรือล�ำเดียวกันเพื่อมุ่งสู่ฝั่งอย่างปลอดภัยตาม เป้าหมาย งบประมาณท่ีลดลงจึงช่วยสร้างผลเชิงบวกในแง่การเพ่ิมประสิทธิภาพและความร่วมแรง รว่ มใจของทุกคน ท�ำให้ สกว. เขม้ แข็งข้ึน อนั นีเ้ ปน็ ตวั อย่างของความหมาย “พรทีแ่ ฝงตวั มา” ความเป็น “องค์กรในกำ� กบั ” หลายคนอาจคิดว่าในวาระการท�ำงานของผม ท�ำไมผมไม่ใช้ความเป็น “องค์กรในก�ำกับ” ใหเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นการปรบั โครงสรา้ งหรอื ระบบ แตผ่ มกลบั คดิ วา่ ในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว เปน็ ชว่ งเวลาท่ี ผลการด�ำเนนิ งานของ สกว. ก�ำลงั เบ่งบาน เป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลและส่อื สารใหส้ ังคมไดร้ บั รู้ รบั ทราบเพอ่ื เลอื กนำ� ไปใชป้ ระโยชนม์ ากกวา่ หากมกี ารปรบั องคก์ ร จะทำ� ใหเ้ กดิ ชว่ งทง่ี านจะชะลอตวั เพ่ือปรับสู่สภาวะใหม่ งาน “มหกรรมวิชาการ สกว. วิจัยตามรอยพระยุคลบาท: สร้างสรรค์ ปญั ญาเพอ่ื พฒั นาประเทศ” ในปี 2555 ซงึ่ เปน็ ปที ี่ สกว. กอ่ ตงั้ ครบ 20 ปี แสดงใหส้ งั คมเหน็ ผลงาน ของ สกว. ท่ีผ้เู ขา้ ชมรับว่าจัดไดด้ ีมากนน้ั เป็นเหตุผลท่ีสนับสนนุ ว่า สกว. เป็นองคก์ รขนาดเล็กก็จรงิ แต่มีผลงานวิจัยในแต่ละปีมากกว่าพันโครงการในวงเงินงบประมาณเพียง 1,000 ล้านบาทเศษ (ท่ีผ่านมาและขณะนั้น) และสามารถสร้างผลงานท่ีมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการ ของสังคมได้เกือบทุกมิติ ท้ังสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาซ่ึงเป็นกลุ่มท่ีมีผลงานกว่าร้อยละ 80 บรรลุเป้าหมายการน�ำไปใช้ ประโยชน์ ความส�ำเร็จส่วนหน่ึงมาจากการท่ี สกว. มีวิธีบริหารจัดการงานวิจัยท่ีต่างจากองค์กร อืน่ ๆ (ท่านสามารถตดิ ตามไดใ้ นบทตอ่ ๆ ไป) เมอ่ื ครงั้ ทผี่ มบรหิ ารงานทส่ี ถาบนั เทคโนโลยนี านาชาตสิ ริ นิ ธร ซงึ่ กอ่ ตง้ั โดยสภาอตุ สาหกรรม แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจญ่ีปุ่นและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ออกแบบให้เป็นสถาบันเทียบเท่าคณะท่ีมีการด�ำเนินงานเป็นอิสระ อยู่นอกระบบราชการ และ เลี้ยงตัวเองโดยไม่รับงบประมาณจากรัฐเลย มีระเบียบท่ีออกโดยสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีคณะกรรมการอำ� นวยการ (บอร์ด) เปน็ ผ้กู ำ� หนดนโยบาย อาจารยไ์ ดร้ บั คา่ ตอบแทนสงู แตต่ ้อง

มผี ลงานตามสญั ญา การดำ� เนนิ งานเปน็ ไปดว้ ยดี มเี งนิ เหลอื สะสมในกองทนุ ของสถาบนั เพมิ่ ขนึ้ ทกุ ปี ต่อมามหาวิทยาลัยเร่ิมมีกฎระเบียบมาก้าวก่ายเพ่ิมข้ึน ท�ำให้ความคล่องตัวลดลงเร่ือย ๆ ผมตั้ง ข้อสังเกตว่า นี่เป็นปรากฏการณ์ของสังคมแบบไทย ๆ ท่ีไม่ค่อยยอมรับความแตกต่าง แม้จะเป็น ส่ิงดี กล่าวคือ องค์กรที่ดีอยู่แล้ว ผู้มีอ�ำนาจจะค่อย ๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวและปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ จนในทสี่ ดุ ก็ถูกดดู เขา้ ไปส่รู ะบบเดมิ ๆ การปรับเปลีย่ นมกั มาจากภายนอก ใครทแ่ี ปลกและแตกตา่ ง ในระยะยาวมักอยู่ไมไ่ ด้ จะมกี ฎเกณท์มาจดั การจนเข้ารปู แบบเดิมจนได้ กฎเกณฑ์เหล่านั้นจะน�ำมา บงั คบั ใชโ้ ดยอำ� นาจทม่ี เี หนือกวา่ จงึ ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ สกว. ก�ำลังเปลี่ยนแปลงในท�ำนองเดียวกัน เมื่อตอนก่อตั้ง สกว. นับเป็นองค์กรในก�ำกับ แห่งแรกที่บริหารงานในลักษณะกองทุน เร่ิมแรกมีความคิดว่ารัฐบาลจะเพ่ิมเงินในกองทุน ให้มากพอ แล้วน�ำดอกผลของกองทุนมาใช้ในการสนับสนุนโครงการวิจัย แต่รัฐก็ให้เงินประเดิมมา คร้ังเดียวจ�ำนวนเพียงหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งไม่สามารถสร้างดอกผลท่ีเพียงพอ อย่างไรก็ดี รัฐได้จัด งบประมาณด�ำเนินการให้เป็นรายปี โดยเป็นเงินอุดหนุนที่ให้ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ภายใต้การก�ำกับของคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการติดตามและประเมินผล ต่อมา ประเทศกม็ กี ฎหมายมหาชน ทำ� ใหเ้ กดิ องคก์ รมหาชนหลายแหง่ กระทรวงการคลงั จงึ เขา้ มาประเมนิ องค์กรเหล่านี้ (รวม สกว. ดว้ ย) และไดท้ ราบมาว่าระยะหลัง สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ก.พ.ร.) กไ็ ด้เข้ามาประเมินหน่วยงานเหล่าน้อี กี ดว้ ย แม้ว่าหนว่ ยงานเหล่าน้อี ยนู่ อกระบบ ราชการ จงึ มคี ำ� ถามวา่ มคี วามจำ� เปน็ หรอื มเี หตผุ ลอะไรทอี่ งคก์ รตอ้ งถกู ประเมนิ โดยหลายหนว่ ยงาน ซ่ึงเป็นการสร้างภาระงานโดยไม่จ�ำเป็น ในส่วนของงบประมาณท่ีรัฐจัดสรรให้นั้น เมื่อเวลาผ่านไป จะเร่ิมระบุรายละเอียดปลีกย่อยเป็นรายโครงการหรือชุดโครงการมากข้ึนท�ำให้ความคล่องตัว ในการบริหารจัดการลดลงไปมาก นอกจากนี้ การมีจ�ำนวนองค์กรท่ีมีกองทุนเพิ่มมากข้ึน เม่ือน�ำ กองทุนเหล่านั้นมารวมกันเป็นเงินหลายแสนล้านบาท ท�ำให้รัฐบาลมีความคิดให้น�ำเงินในกองทุน มาฝากกบั รฐั โดยรฐั จะคดิ ดอกเบย้ี ให้ เพอื่ รฐั จะไดน้ ำ� เมด็ เงนิ จากกองทนุ เหลา่ นน้ั ไปลงทนุ หรอื ใชจ้ า่ ย โดยไม่ต้องไปกู้จากท่ีอ่ืน การท่ีรัฐคิดเช่นน้ีไม่ใช่เร่ืองผิด แต่เราไม่มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะน�ำ เงินก้อนนี้ซึ่งได้มาโดยง่ายไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ม่ันใจว่าเราจะสามารถเบิกเงินก้อนมา ใช้ได้ในเวลาที่มีความจ�ำเป็น ส่ิงเหล่านี้ท�ำให้ความคล่องตัวของ สกว. ลดน้อยลง ในที่สุดอาจจะ ถกู เปลยี่ นไปจนเหมอื นระบบราชการ สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.) 41

42 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั ในระยะเริ่มต้น สกว. สามารถตั้งค่าตอบแทนพนักงาน (ในกรอบความเห็นชอบของคณะ กรรมการนโยบาย) ในระดบั ทสี่ ามารถดงึ ดดู ผมู้ คี วามสามารถสงู มารว่ มงานกบั สกว. ได้ แตเ่ มอ่ื เวลา ผ่านไปกว่า 20 ปี เงินเดือนของข้าราชการ ค่าตอบแทนของอาจารย์มหาวิทยาลัย ของพนักงาน รัฐวิสาหกิจและเอกชนเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าค่าตอบแทนของ สกว. ท�ำให้ปัจจุบันค่าตอบแทน ของพนักงาน สกว. ไม่แตกตา่ งจากหนว่ ยงานอืน่ ๆ ของรัฐมากนกั และท�ำให้การสรรหาคนเก่ง ๆ มาร่วมงานยากขึ้น แรงจูงใจจากผลตอบแทนไม่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีความสามารถให้ เขา้ มาปฏบิ ตั งิ านไดเ้ หมอื นเคย ในอนาคตอนั ใกลอ้ าจเปน็ อปุ สรรคอยา่ งหนง่ึ ทที่ ำ� ใหก้ ารบรหิ าร สกว. ตกอยู่ในฐานะทีไ่ ม่สามารถแขง่ ขนั ได้ เรอื่ งคา่ ตอบแทน แมจ้ ะเปน็ ดลุ ยพนิ จิ ของฝา่ ยบรหิ ารในระดบั หนง่ึ แตห่ ากเพดานคา่ ตอบแทน ของผบู้ รหิ ารองคก์ รไมไ่ ดเ้ ปลย่ี นแปลงมาเปน็ เวลานาน ผลจงึ กระทบกบั ทมี งานในทกุ ระดบั โดยเฉพาะ ระดับปฏิบัติงาน ความท้าทายของ สกว. จึงกลับไปอยู่ที่การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และ การสรา้ งแรงจงู ใจด้านอื่นท่ไี ม่ใช่ตวั เงิน อยา่ งไรก็ตาม บคุ ลากรของ สกว. กย็ งั คงทุ่มเทให้กบั องค์กร ทำ� งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ความโปรง่ ใสในการบรหิ ารงาน ผลสมั ฤทธท์ิ เี่ กดิ ขนึ้ และอน่ื ๆ ทำ� ให้ สกว. ได้รบั คดั เลือกใหเ้ ป็นองคก์ รดีเดน่ โดยกรมบญั ชกี ลาง กระทรวงการคลงั โดยได้รางวลั ทุนหมนุ เวยี น ดีเด่นครั้งแรกในปี 2555 (รับรางวัลในปี 2556 ปีสุดท้ายที่ผมอยู่ สกว.) ซึ่งต่อมา สกว. ก็ได้รับ รางวัลน้ีอีกทุกปีจนถึงปัจจุบัน ผมคิดว่ารางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลสะสม สะท้อนผลงานองค์กร ตลอดเวลา 25 ปที ดี่ ำ� รงอยู่ และแสดงถงึ ความโดดเดน่ ของหนว่ ยงาน ความสามารถของผบู้ รหิ ารและ บุคลากร จงึ เป็นความภมู ิใจของชาว สกว. ทุกคน พฒั นาคนเพอ่ื ผลของงาน ในขณะท่ียุทธศาสตร์ชาติเร่งรัดให้เกิด “นวัตกรรม” จากผลงานวิจัย งบวิจัยจึงเพ่ิมขึ้น ในรูปแบบต่าง ๆ จากประวัติผลงานดีของ สกว. ท�ำให้เกิดโอกาสรับงบประมาณวิจัยเพิ่มข้ึนอีก ในหลายช่องทาง ปริมาณงานบริหารท่ีเพิ่มข้ึนอาจไม่สมดุลเมื่อเทียบกับค่าตอบแทน เราจึงต้อง ปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ท�ำอย่างไรให้ สกว. สามารถด�ำเนินการต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเดมิ และดีมากข้ึนกวา่ เดิม การบริหารและพัฒนา สกว. ใหเ้ ป็นองค์กรทสี่ ามารถแข่งขนั กับองคก์ ร อ่ืน ๆ สามารถเชื่อมกลไกภาครัฐ และกลไกตลาดงานวิจัยได้ การพัฒนายกระดับบุคลากรในทุก ระดับช้ันจึงมีความส�ำคัญ กลยุทธ์ในการบริหารแบบให้อิสระในการคิดและการท�ำงาน ไม่ใช้วิธี ก�ำกบั สัง่ การ เพียงเฝ้าดู แตใ่ ห้ค�ำแนะนำ� และมสี ่วนร่วม คือส่ิงทผ่ี ้บู ริหารองค์กรพึงปฏบิ ัติ

ส่ิงท่ีผมเคยคิดจะท�ำเพราะคิดว่าหากท�ำแล้ว สกว. จะสามารถเพ่ิมศักยภาพได้ น่ันคือการ สลับสับเปล่ียนพนักงาน “ฟันเฟืองตัวจริง” ของ สกว. ท่ีเรียกอย่างเป็นทางการว่า “เจ้าหน้าที่ บริหารโครงการ” ระหว่างฝ่าย เพราะ สกว. มีการท�ำงานหลากสไตล์และหลายด้าน โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ในปจั จุบัน ผบู้ ริหารระดับฝ่ายมักอยู่กบั สกว. ไมน่ าน แต่เจา้ หน้าทบี่ ริหารโครงการอยนู่ าน และเปน็ หลกั บางคนอยมู่ าตงั้ แตต่ น้ สงั่ สมความรแู้ ละประสบการณไ์ วม้ าก ไดท้ ำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ “สะพาน เชื่อมยุค” ให้กับผู้บริหารหน้าใหม่ได้เรียนรู้งานได้เร็วขึ้น การสลับสับเปล่ียนระหว่างฝ่ายจึงเป็น ช่องทางหน่ึงท่ีท�ำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามฝ่าย ท้ังด้านความรู้และประสบการณ์ น�ำข้อดี ที่แต่ละคนเคยได้จากการท�ำงานฝ่ายหนึ่งไปปรับใช้ในอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อให้เกิดการสร้างและประสาน ประโยชน์ รวมท้งั เกิดความร่วมมือและความสามคั คีระหว่างกันได้มากขึน้ อุปสรรคในช่วงนั้นที่ท�ำให้ไม่สามารถท�ำได้ คือ งานเอกสารจ�ำนวนมากจากโครงการปีละ กว่าพันเรื่อง มีท้ังที่ก�ำลังเริ่มต้น มีทั้งรายงานความก้าวหน้า และการขอส่งผลงานเพื่อปิดโครงการ รวมทั้งการที่จะต้องช่วยคิด ช่วยหาวิธีส่งมอบงานให้ผู้จะใช้ประโยชน์ การติดต่อประสานงานกับ นักวิจัย งานดังกล่าวเป็นภาระที่เขาเหล่าน้ันต้องช่วยผู้อ�ำนวยการฝ่ายในการจัดการ จนท�ำให้ ไม่สามารถแยกตัวออกจากภาระงานประจ�ำ ไม่สามารถขยับขยายหรือย้ายไปช่วยงานใครได้เลย ทสี่ ำ� คญั ไมม่ เี วลาในการสรา้ งนวตั กรรมการเรยี นรู้ หรอื ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หม่ ๆ อยา่ งไรกต็ าม สกว. ยังมีจุดแข็งที่ฝ่าย IT มีความสามารถสูง มีการพัฒนาโปรแกรมช่วยงานหลายโปรแกรม สามารถ แก้ปัญหา ลดภาระงานมาได้เป็นลำ� ดับ สว่ นท่ีทำ� ไดใ้ นตอนนั้น คือการจดั แลกเปล่ยี นเรียนรภู้ ายใน องค์กร หากปรมิ าณภาระงานดา้ นเอกสารเพมิ่ ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ ในขณะทจี่ ำ� นวนทมี ปฏบิ ตั งิ านไมไ่ ดเ้ พม่ิ ขน้ึ ในอัตราส่วนท่ีเหมาะสม ระบบไม่ได้ปรับเปล่ียนให้ลดข้ันตอนที่ไม่จ�ำเป็น หรือไม่ได้ปรับใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศใหม้ ากขนึ้ องคก์ รจะขาดความสมดลุ ในการจดั การ และในระยะยาวอาจกอ่ ให้ เกิดความตึงเครียด ขาดความสุขในการท�ำงาน ท�ำให้องค์กรกลายเป็นองค์กรสุขภาพไม่ดี หรือ Unhealthy Organization ในที่สดุ และน�ำมาสตู่ วั เร่งอัตราการลาออกของพนักงานอกี ด้วย ส�ำนักงานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) 43

44 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวจิ ัย โจทย์งานวจิ ยั ที่ทา้ ทาย งานวจิ ยั ทางด้านวชิ าการท่ีผ่านมาในประเทศไทยมักตอบโจทยเ์ ปน็ เรอื่ ง ๆ และผลงานวิจัย วัดด้วยจ�ำนวนบทความท่ีได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ วัตถุประสงค์ถึงปลายทางของผู้ใช้ ประโยชน์จากงานวิจัยจึงยังไม่ชัดเจนเหมือนงานวิจัยในกลุ่มวิจัยและพัฒนา การต่อยอดเพื่อน�ำ ไปใช้งานมักจะไม่ถึงเป้าหมาย อาจเน่ืองมาจากไม่มีการก�ำหนดการใช้ประโยชน์ไว้ในวัตถุประสงค์ ตง้ั แตข่ อ้ เสนอโครงการ นอกจากนน้ั นกั วจิ ยั หลายคนไมน่ ยิ มทำ� งานระยะยาว ทำ� วจิ ยั เพยี งตอบโจทย์ แต่ละขอ้ วา่ ทำ� ได้ แลว้ เปลยี่ นไปทำ� เรอื่ งอ่นื ที่ไมใ่ ชง่ านวิจยั ต่อยอด เรื่องน้อี าจจะโทษทง้ั สองฝ่าย คือ นักวิจัย ท�ำเสร็จโครงการหน่ึงก็เลิกกันไป ไม่ได้ท�ำต่อไปจนใช้งานได้ อย่างน้ีมีเยอะมาก อีกฝ่าย คือ ผู้จะให้ทุน มองโจทย์ไม่ครบ ไม่ได้มองจุดปลายทางไว้ ผลงานก็ชะงักตามนักวิจัย อย่างไรก็ดี ในประเดน็ น้ี ผู้อ�ำนวยการหลายฝา่ ยของ สกว. เก่งมาก มีความสามารถพฒั นาโจทย์วิจัยชุดใหญ่ ๆ ท่ีเป็นการสร้างฐานความรู้ของสังคม และน�ำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเห็นรูปธรรม ที่ส�ำคัญคือ สามารถชวนคนเก่งมาช่วยกันท�ำงานท้ังผู้ประสานงานและนักวิจัย (ติดตามได้จากชุดหนังสือ การบรหิ ารจัดการวจิ ัย สกว. เล่มที่ 2) ผมมองอนาคตงานวิจัยว่า “ควรคิดและท�ำเพื่อตอบโจทย์ของประเทศ” ต้องคิดก่อนว่า จะท�ำอะไร เพื่ออะไร โดยอาจมองจากแนวนโยบายของประเทศ หรือมองส่ิงจ�ำเป็นต่อประเทศ ในการพฒั นา ซงึ่ ถอื เป็นหน่งึ ในหน้าท่ีของนักวจิ ยั ในการคดิ และค้นหาโจทยว์ ิจยั ทีค่ รบวงจร เพอ่ื ให้ งานวิจัยน้ันมีคุณค่าอย่างแท้จริง ทั้งต่อนักวิจัยและต่อประเทศ โดยอาจจะระดมสมอง เพ่ือหา โจทย์วิจัยร่วมกันท่ีเป็น National Interest ท่ีสามารถน�ำผลงานวิจัยที่มีคุณค่าไปใช้ประโยชน์ ได้ดว้ ย ไม่ใช่แค่ Academic Interest เท่านัน้ หลงั จากได้ผลงานวจิ ยั ในเบอ้ื งต้น เช่น ใน 3-5 ปี และ ตีพิมพ์เผยแพรแ่ ล้ว ปีตอ่ ๆ ไป เช่น ปที ่ี 4-5 ควรต่อยอดงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ทีผ่ า่ นมา เมอื่ ได้ ตีพิมพ์แล้ว กลับกลายเป็นต่างประเทศท่ีมาเก็บงานวิจัยไปต่อยอด ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้น�ำ ผลวิจัยมาพฒั นาตอ่ มีบางท่านเคยถามผมวา่ ผมมพี ้ืนฐานทางสายวทิ ยาศาสตร์ แตท่ ำ� ไมให้ความสำ� คัญมากกบั งานวจิ ัยทางมนุษยศาสตร์ เช่น เร่อื งจริยธรรมวิชาชพี ธรรมาภิบาล คอร์รปั ชนั่ ผมคิดวา่ เรอ่ื งเหล่านี้ มีความส�ำคัญมาก และหน่วยงานสนับสนุนวิจัยด้านน้ียังมีน้อย นักวิจัยที่เก่ง ๆ ด้านน้ีก็มีไม่มาก ไม่เหมือนสายวทิ ยาศาสตร์ แต่ขอ้ มูลทีไ่ ด้จะช่วยคน ช่วยสงั คม และช่วยประเทศไดม้ าก มนุษยเ์ รา ตอ้ งมีจติ สำ� นกึ ที่ดี หากขาดส่ิงน้ีจะท�ำใหส้ งั คมเสอ่ื มลง

ส�ำหรบั เรื่อง “คอร์รปั ช่ัน” นน้ั ผมมองวา่ เปน็ เรอ่ื งวิกฤตของประเทศ จากผลงานวิจัยของ สกว. จะเห็นได้ชัดว่าสังคมรับรู้และตระหนักเรื่องคอร์รัปชั่นมากข้ึน รัฐบาลแทบทุกชุดก็จะ ชูความส�ำคัญในเรื่องน้ี แต่เอาเข้าจริงมักจะเป็นเพียงลมปากและไม่ได้ท�ำอย่างจริงจัง ผมดีใจที่ ปัจจุบนั สกว. ยกระดับงานวจิ ยั ดา้ นมนุษยศาสตร์ขึ้นเป็นฝา่ ย ซ่ึงจะสามารถสรา้ งผลงานได้มากขึน้ แต่ในทางปฏิบัติ การจะท�ำใหเ้ กดิ ผลตอ้ งอบรมเรอ่ื งเหล่านตี้ ั้งแต่ระดบั เด็ก โดยการปลกู ฝังจิตสำ� นกึ ท่ีดีและถูกต้อง น่ีเป็นอีกเรื่องหน่ึงที่อยากขอฝากให้นักวิจัยช่วยคิดหาวิธีอบรมหรือสอนเด็กให้ ครบกระบวนตั้งแต่ระดับโรงเรียนถึงระดับครอบครัว อาจเป็นการน�ำผลงานวิจัยแทรกเข้าไป ในรายวิชาต่าง ๆ ท�ำให้เกดิ การสรา้ ง Social Values ทด่ี ี อาจต้องให้ทุนทีมวิจยั เพ่ือศกึ ษาวธิ กี าร และทำ� สอ่ื ช่องตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ในประเด็นของการน�ำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์นั้น โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ได้เร่ิมการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยระดับปริญญาเอกที่น�ำปัญหาของภาคอุตสาหกรรม เป็นโจทย์วิจัย ในขณะที่ฝ่ายอุตสาหกรรมก็ได้สนับสนุนการวิจัยระดับปริญญาโทท่ีร่วมมือ กับภาคอุตสาหกรรม สกว. เห็นว่าเป็นแนวทางท่ีดีที่จะน�ำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง อีกท้ังความจ�ำเป็นของภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องมีงานวิจัยเพื่อเพ่ิมความสามารถในการแข่งขัน และสร้างนวัตกรรมของตนเอง ซ่ึงจ�ำเป็นที่จะต้องมีนักวิจัย ดังนั้น เพ่ือสร้างนักวิจัยให้เพียงพอ และสร้างผลงานท่ีจะใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้โดยตรง ในปี 2555 สกว. จึงได้น�ำความคิดนี้ เสนอเป็นโครงการระยะยาว 15 ปี เพอ่ื สร้างนักวิจยั ระดับปริญญาโทและเอก อยา่ งละ 11,400 คน และ 10,500 คนตามล�ำดับ เรียกว่า “โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพ่ืออุตสาหกรรม (พวอ.)” ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีงบประมาณรวมประมาณ สองหมื่นเก้าพันล้านบาท โครงการได้เริ่มด�ำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นมา ด้วย งบประมาณทนี่ อ้ ยกว่าในแผน สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 45

46 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวจิ ัย ก้าวแรกส่กู ารปฏิรปู ระบบวจิ ัย ในอดตี ความร่วมมอื ระหว่างหน่วยงานสนับสนนุ ทุนวิจัยมีน้อยมาก ท�ำให้นกั วิจยั หลายคน เสนอโครงการวิจัยเดียวกันให้หน่วยงานพิจารณามากกว่าหนึ่งแห่ง เกิดความซ�้ำซ้อนของการ สนับสนุนโครงการวิจัย ต่อมาในปี 2553-2554 มีความพยายามร่วมกันพัฒนาระบบวิจัยของ หนว่ ยงานสนับสนนุ ทุนวิจยั ของรัฐ ซึ่ง สกว. เป็น 1 ใน 6 องคก์ รเครอื ขา่ ยทป่ี ระกอบดว้ ย สำ� นักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ส�ำนักงานพัฒนา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (สวทช.) สำ� นกั งานพฒั นาการวจิ ยั การเกษตร (สวก.) สำ� นกั งาน คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมแหง่ ชาติ (สวทน.) สถาบันวิจยั ระบบ สาธารณสขุ (สวรส.) และส�ำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (สกอ.) ทัง้ 6 หนว่ ยงานตอ้ งการ เห็นความร่วมมือ ความส�ำเร็จของการน�ำงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ตอบโจทย์ตรงประเด็นปัญหา ระดบั ประเทศ โดย วช. ทำ� หนา้ ทแ่ี กนนำ� ในการบรู ณาการภารกจิ เดยี วกนั ของ 6 องคก์ ร สรา้ งเอกภาพ และลดความซำ�้ ซอ้ นในการใหท้ นุ วจิ ยั เอากลมุ่ ประเดน็ สนิ คา้ หรอื บรกิ ารเปน็ ตวั ตง้ั สรา้ งประเดน็ ทชี่ ดั มกี ระบวนการบริหารจัดการดี น�ำระบบไอทมี าช่วยในการท�ำงาน สร้างฐานข้อมูลของโครงการวิจัย และนกั วจิ ยั สรา้ งโปรแกรมพฒั นาระบบคดั กรองขอ้ เสนอโครงการ เพอ่ื คดั แยกขอ้ เสนอโครงการวจิ ยั ให้ตรงกบั แหล่งทุนและคัดโครงการซ้ำ� ซ้อนออก คอบช. หรือเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ เป็นเครือข่ายความร่วมมือใหม่ ที่ก่อต้ังได้ส�ำเร็จ แม้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2555 มีการจัดสรรงบประมาณ “วิจัยแบบ มุง่ เปา้ ” แตใ่ นปีงบประมาณ 2554 ซงึ่ อย่รู ะหวา่ งการกอ่ ตัง้ คอบช. นั้น สกว. ได้น�ำร่องรบั บรหิ าร การจัดสรรทนุ วิจยั แบบม่งุ เป้าชดุ โครงการโลจิสตกิ ส์และโซอ่ ปุ ทาน ซง่ึ สกว. มปี ระสบการณ์อยูแ่ ล้ว เปน็ ตน้ แบบ หลงั จากนน้ั สกว. ได้รบั มอบหมายภารกิจให้บรหิ ารทุนวิจยั แบบมงุ่ เปา้ ตลอดมาจนถึง ปจั จบุ นั รวม 8 ชดุ โครงการภายใตก้ ารบรหิ ารจดั การของฝา่ ยอตุ สาหกรรม 5 ชดุ โครงการ (โลจสิ ตกิ ส์ และโซ่อปุ ทาน การทอ่ งเที่ยว ยางพารา ออ้ ยและนำ�้ ตาล และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ฝ่ายชุมชนและสังคม 1 ชุดโครงการ (ด้านการศึกษา) ฝ่ายมนุษยศาสตร์ 1 ชุดโครงการ (ด้าน มนษุ ยศาสตร์) และฝา่ ยนโยบายชาตแิ ละความสมั พันธ์ข้ามชาติ 1 ชดุ โครงการ (ประชาคมอาเซยี น) จุดเด่นของทุนวิจัยแบบมุ่งเป้าคือ องค์กรท่ีได้รับมอบหมายภารกิจให้บริหารไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเร่ืองใดก็ตาม ต้องปรับรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ให้สามารถตอบสนองเป้าหมายทุนวิจัย แบบมุ่งเป้า ตามความตอ้ งการและนโยบายประเทศ ใชน้ ักวจิ ยั มีคุณภาพ ใช้เวลาวิจยั สั้น เหน็ ผลงาน วจิ ยั ชัดเจน และถูกน�ำไปใช้ได้อยา่ งรวดเรว็

ความร่วมมอื ในปี 2553-2554 น่าจะเปน็ กา้ วแรกสกู่ ารปฏิรูประบบวจิ ยั ของประเทศท่กี �ำลงั ด�ำเนินการในปัจจุบนั ผลงานเด่น สกว. ในทุก ๆ ปี สำ� นักงานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ (วช.) ไดใ้ ห้รางวัลนกั วิจัยดเี ด่นแหง่ ชาติ ในแต่ละสาขา มีการจัดงานท่ียิ่งใหญ่ มีการประชาสัมพันธ์มาก สังคมรับรู้มาก แต่การให้รางวัล ผลงานวิจัยเด่นของ สกว. มีวัตถุประสงค์หลักคือ ให้ก�ำลังใจกับนักวิจัยที่ทุ่มเทให้กับงานวิจัยที่ได้ รับทุนสนับสนุนจาก สกว. มีผลงานที่มีการน�ำไปใช้ประโยชน์ (สร้างผลลัพธ์) และเกิดผลกระทบ (impact) แล้ว หรอื อาจยงั ไมเ่ กิดแต่มศี ักยภาพสูงที่จะเกิดประโยชน์ การจัดแสดงผลงานวิจัยเด่นของ สกว. ท่ีผ่านมา เป็นการรวมสรรพผลงานเด่นไว้ด้วยกัน หลากหลาย ไม่มคี วามเฉพาะในด้านใดดา้ นหนงึ่ จึงไมม่ กี ลุ่มเปา้ หมายเฉพาะ การจัดงานอาจไม่เป็น ที่ดึงดูดความสนใจ เราอาจต้องคิดกันใหม่ว่าจะให้ “เวที” น้ีสะท้อนองค์กรอย่างไร จะให้องค์กร เป็นที่รู้จักระดับไหน รูปแบบการส่ือสารประชาสัมพันธ์ยังน้อยไปหรือไม่ หรือยังไม่ชัดเจนกับกลุ่ม เป้าหมาย ควรมีการคัดสรรผลงานแบบใหม่หรือไม่ และจะลงทุนในการท�ำสื่อประชาสัมพันธ์ให้ กระจายในวงกว้างและตรงกลุ่มเป้าหมายอยา่ งไร อกี ช่องทางหน่งึ คือ การน�ำผลงานเด่นแตล่ ะเรื่อง ไปคุยกับผู้ที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้โดยตรง จะสามารถท�ำได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย แบบนี้จะได้ผล มากกวา่ หรอื ไม่ ผมทราบวา่ ปจั จบุ นั สกว. มหี นว่ ยงานนำ� ผลการวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชนแ์ ละสอื่ สารสงั คม จงึ คาดวา่ สกว. จะสามารถน�ำส่งผลงานวิจัยตอ่ ยังผใู้ ชไ้ ด้อยา่ งดีและมปี ระสทิ ธิภาพยงิ่ ขึน้ ตามความรู้สึกของผม ผลงานเด่นของ สกว. ยังไม่สะท้อนผลงานขององค์กรได้ท้ังหมด ทผี่ า่ นมาคนภายนอกไมค่ อ่ ยตน่ื เตน้ เมอื่ สกว. ประกาศผลงานวจิ ยั เดน่ ของปี ผมไมค่ าดหวงั ขนาดทวี่ า่ ภาคเอกชนจะรอคอยดวู า่ มผี ลงานเดน่ อะไรบา้ ง เพราะเรายงั ไมไ่ ดค้ ดิ จะใชเ้ วทนี ใ้ี นแบบนน้ั และ สกว. กใ็ ชเ้ วทเี ลก็ ทท่ี ำ� คขู่ นานไปดว้ ยอยแู่ ลว้ โดยการนำ� ผลงานแตล่ ะเรอื่ งหรอื กลมุ่ เรอื่ งไปคยุ กบั เอกชนหรอื ผู้ใช้ประโยชน์โดยตรงเพื่อตอ่ ยอดซึ่งจะได้ผลมากกว่า ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) 47

48 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจยั บทส่งท้าย ท่ผี ่านมา ดว้ ยวสิ ัยทศั น์ ความม่งุ มัน่ ตงั้ ใจของบคุ ลากรของ สกว. ทุกระดับ และความ พยายามในการปรบั เปลยี่ นระบบและกลไกการทำ� งานของทมี บรหิ าร สกว. ในทกุ รปู แบบ เพอ่ื มงุ่ สู่ เปา้ หมายใหผ้ ลงานวจิ ยั ไดร้ บั การนำ� ไปใชป้ ระโยชนเ์ ตม็ ที่ สามารถตอบโจทยส์ งั คมไดต้ งั้ แตร่ ะดบั รากหญ้าจนถึงระดับประเทศ และเพ่ือเป็นส่วนหนึ่งของการน�ำองค์ความรู้ที่เกิดข้ึนไปพัฒนา ประเทศ การปรบั เปลยี่ นภายในองคก์ รไดห้ นนุ เสรมิ ใหก้ ารบรหิ ารจดั การภายใน สกว. ยงั คงความ เปน็ นวตั กรรมตลอดมา...และจะตลอดไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook