คูม� อื ครรู ายวิชาเพิ่มเติม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท� ่ี คณติ ศาสตร� ๖ เลม� ๑ ตามผลการเรียนรู� กลม�ุ สาระการเรยี นร�ูคณิตศาสตร� (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ v= ds dt ฉบับเผยแพร พ.ค. 63
คมู อื ครู รายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ ๖ เลม ๑ ตามผลการเรียนรู กลมุ สาระการเรยี นรคู ณิตศาสตร (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ จดั ทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ
คาํ นาํ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) มีหนาที่ในการ พัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนรู การประเมินผล การจัดทําหนังสือเรียน คูมือครู แบบฝก ทักษะ กิจกรรม และสื่อการเรียนรูเพื่อใชประกอบการเรียนรูในกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตรแ ละคณิตศาสตรข องระดับการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี ๖ เลม ๑ นี้ จัดทําตาม ผลการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรคู ณิตศาสตร (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีเน้ือหาสาระ ขอเสนอแนะ เก่ียวกับการสอน แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน การวิเคราะหความสอดคลองของแบบฝกหัดทา ยบทกับจดุ มงุ หมายประจําบท ความรเู พิม่ เติม สําหรับครู ซึ่งเปนความรูท่ีครูควรทราบนอกเหนือจากเน้ือหาในหนังสือเรียน ตัวอยาง แบบทดสอบประจําบทพรอมเฉลย รวมท้ังเฉลยแบบฝกหัด ซ่ึงสอดคลองกับหนังสือเรียน รายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ ๖ เลม ๑ ทต่ี องใชค วบคกู ัน สสวท. หวังเปนอยางย่ิงวา คูมือครูเลมน้ีจะเปนประโยชนตอการจัดการเรียนรู และเปนสวนสําคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษากลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตร ขอขอบคุณผูทรงคณุ วุฒิ บคุ ลากรทางการศกึ ษา และหนว ยงานตาง ๆ ท่ีมีสว น เก่ียวของในการจดั ทําไว ณ โอกาสน้ี (ศาสตราจารยชกู จิ ลิมปจาํ นงค) ผูอ าํ นวยการสถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คําชแ้ี จง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําผลการ เรียนรูและสาระการเรียนรูเพิ่มเติม กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ โดยมจี ดุ เนนเพ่ือ ตองการพัฒนาผูเรียนใหมีความรูความสามารถทางคณิตศาสตรท่ีทัดเทียมกับนานาชาติ ดวยการลงมือปฏิบัติทํากิจกรรมและแกปญหาท่ีหลากหลายเพ่ือใหผูเรียนเกิดทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร รวมท้ังมีทักษะแหงศตวรรษที่ ๒๑ สสวท. จึงไดจัดทําคูมือครู ประกอบการใชหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๖ เลม ๑ ท่ีเปนไปตามมาตรฐานหลักสูตร เพื่อเปนแนวทางใหโรงเรียนนําไปจัดการเรียนการสอนใน ชัน้ เรยี น คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ ๖ เลม ๑ นี้ ประกอบดวย เน้ือหาสาระ ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน การ วัดผลประเมินผลระหวางเรียน การวิเคราะหความสอดคลองของแบบฝกหัดทายบทกับ จุดมุงหมายประจําบท ความรูเพ่ิมเติมสําหรับครูซ่ึงเปนความรูที่ครูควรทราบนอกเหนือจาก เนื้อหาในหนังสือเรียน ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทพรอมเฉลย รวมท้ังเฉลยแบบฝกหัด ซ่ึงครูผูสอนสามารถนําไปใชเปนแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรูใหบรรลุ จุดประสงคที่ตั้งไว โดยสามารถนําไปจัดกิจกรรมการเรียนรูไดตามความเหมาะสมและความ พรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมน้ี ไดรับความรวมมือเปนอยางดีย่ิงจาก ผูทรงคุณวุฒิ คณาจารย นักวิชาการอิสระ รวมทั้งครูผูสอน นักวิชาการ จากสถาบัน และ สถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคณุ มา ณ ทนี่ ้ี สสวท. หวังเปนอยางย่ิงวา คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษา ปท ่ี ๖ เลม ๑ น้ี จะเปน ประโยชนแกผสู อนและผทู ี่เกี่ยวของทุกฝา ย ทีจ่ ะชว ยใหจ ัดการศึกษา ดานคณิตศาสตรไดอยางมีประสิทธิภาพ หากมีขอเสนอแนะใดท่ีจะทําใหคูมือครูเลมน้ี มคี วามสมบูรณย่งิ ขึ้น โปรดแจง สสวท. ทราบดว ย จะขอบคณุ ยง่ิ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แนะนําการใชค มู อื ครู ในหนังสือเลมนี้แบงเปน 2 บท ตามหนังสือเรียนหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 โดยแตละบทจะมสี วนประกอบ ดงั น้ี ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรูแกนกลาง ตัวช้ีวัดระบุส่ิงที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได รวมทั้งคุณลักษณะของผูเรียนในแตละ ระดับช้ัน ซ่ึงสะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเปน รปู ธรรม นําไปใชใ นการกาํ หนดเนอ้ื หา จัดทาํ หนว ยการเรียนรู จัดการเรยี นการสอน และ เปน เกณฑสาํ คัญสาํ หรับการวัดประเมนิ ผลเพือ่ ตรวจสอบคณุ ภาพผเู รยี น จุดมุงหมาย เปา หมายท่ีนักเรียนควรไปถึงหลงั จากเรียนจบบทนี้ ความรูก อนหนา ความรูท ่ีนกั เรยี นจาํ เปนตอ งมีกอนท่ีจะเรียนบทนี้
ประเดน็ สําคัญเกย่ี วกบั เนือ้ หาและสิ่งท่ีควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน ประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาท่ีครูควรเนนย้ํากับนักเรียน ประเด็นเก่ียวกับเนื้อหาที่ครูควร ระมัดระวัง จุดประสงคของตัวอยางที่นําเสนอในหนังสือเรียน เน้ือหาที่ควรทบทวน กอนสอนเน้อื หาใหม และประเดน็ ท่ีครคู วรตระหนักในการสอน ความเขาใจคลาดเคลอื่ น ประเด็นทนี่ กั เรยี นมักเขา ใจผิดเกีย่ วกบั เนอ้ื หา ประเด็นสําคญั เกีย่ วกับแบบฝกหดั ประเด็นที่ครูควรทราบเกี่ยวกับแบบฝกหัด เชน จุดมุงหมายของแบบฝกหัด เนื้อหาทค่ี วรทบทวนกอ นทําแบบฝก หดั และเร่ืองทีค่ รคู วรใหความสาํ คญั ในการทํา แบบฝกหัดของนักเรยี น กิจกรรมในคมู ือครู กิจกรรมที่คูมือครูเลมนี้เสนอแนะไวใหครูนําไปใชในชั้นเรียน ประกอบดวย กิจกรรมนําเขาสูบทเรียน ท่ีใชเพื่อตรวจสอบความรูกอนหนาที่นักเรียนจําเปนตอง ทราบกอนเรียนเนื้อหาใหม และกิจกรรมท่ีใชสําหรับสรางความคิดรวบยอด ในเน้อื หา โดยหลงั จากทํากจิ กรรมแลว ครูควรเชื่อมโยงผลทีไ่ ดจากการทาํ กจิ กรรม กบั ความคิดรวบยอดที่ตองการเนน ท้งั นี้ ครูควรสงเสริมใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติ กจิ กรรมเหลา นด้ี วยตนเอง
กิจกรรมในหนงั สือเรียน กิจกรรมท่ีนักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมไดดวยตนเอง เพื่อชวยพัฒนาทักษะการ เรียนรูและนวัตกรรม (learning and innovation skills) ที่จําเปนสําหรับศตวรรษท่ี 21 อันไดแก การคิดสรางสรรคและนวัตกรรม (creative and innovation) การคิด แบบมีวิจารณญาณและการแกปญหา (critical thinking and problem solving) การส่ือสาร (communication) และการรว มมือ (collaboration) เฉลยกจิ กรรมในหนงั สือเรยี น เฉลยคําตอบหรือตวั อยางคาํ ตอบของกิจกรรมในหนังสือเรยี น แนวทางการจัดกิจกรรมในหนงั สือเรยี น ตัวอยางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน ที่มีขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ซงึ่ เปดโอกาสใหนักเรยี นไดใชแ ละพฒั นาทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร
สารบัญ บทท่ี 1 – 2 บทท่ี เน้ือหา หนา 1 บทท่ี 1 ลาํ ดบั และอนุกรม 1 1.1 เน้อื หาสาระ 3 ลําดบั และอนุกรม 1.2 ขอเสนอแนะเก่ยี วกบั การสอน 12 1.3 การวดั ผลประเมินผลระหวางเรยี น 47 d 49 1.4 การวิเคราะหแบบฝก หัดทายบท 53 2 1.5 ความรูเ พิ่มเติมสําหรบั ครู 71 1.6 ตวั อยา งแบบทดสอบประจําบท แคลคูลสั เบื้องตน และเฉลยตวั อยา งแบบทดสอบประจําบท บทที่ 2 แคลคลู สั เบอื้ งตน 84 2.1 เนอ้ื หาสาระ 86 2.2 ขอ เสนอแนะเกี่ยวกบั การสอน 98 2.3 แนวทางการจดั กิจกรรมในหนังสอื เรยี น 126 132 2.4 การวดั ผลประเมินผลระหวา งเรียน 134 2.5 การวเิ คราะหแบบฝกหัดทายบท 138 2.6 ความรเู พม่ิ เตมิ สาํ หรับครู 161 2.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจาํ บท และเฉลยตัวอยา งแบบทดสอบประจาํ บท
สารบัญ เนื้อหา หนา บทที่ เฉลยแบบฝกหัดและวธิ ีทําโดยละเอียด 174 บทที่ 1 ลําดับและอนุกรม 174 บทที่ 2 แคลคูลสั เบอื้ งตน 360 1 แหลง เรียนรเู พิ่มเติม 549 1 บรรณานกุ รม 550 552 คณะผจู ัดทาํ
บทที่ 1 | ลําดับและอนุกรม 1 คูมอื ครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 บทที่ 1 ลาํ ดับและอนกุ รม ความรูเกย่ี วกับลาํ ดบั และอนุกรมเปนพน้ื ฐานสําคัญทนี่ าํ ไปใชในการแกปญ หาตาง ๆ ในชวี ิตจริง เชน ปริมาณยาที่ลดลงในรางกาย การออมเงิน การผอนคาสินคา ซ่ึงในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 ไดนาํ เสนอเน้ือหา เรอื่ ง ความหมายของลําดับและการเขียน แสดงลําดับ ลําดับเลขคณิต ลําดับเรขาคณิต ลําดับฮารมอนิก ลิมิตของลําดับอนันต ความหมายของ อนุกรมและการเขียนแสดงอนุกรม อนุกรมเลขคณิต อนุกรมเรขาคณิต อนุกรมอนันต สัญลักษณ แสดงการบวก การประยกุ ตของลําดบั และอนุกรม โดยเฉพาะอยางย่ิงการประยุกตของลําดับและ อนุกรมในการแกปญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ยและมูลคาของเงิน ซึ่งเปนเนื้อหาสําคัญท่ีมีในหลักสูตร กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวช้ีวัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง บรรลุผลการเรียนรูตาม สาระการเรยี นรูเ พม่ิ เตมิ และบรรลจุ ดุ มงุ หมายดังตอไปน้ี ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรูแกนกลาง/ผลการเรยี นรแู ละสาระการเรยี นรเู พิม่ เติม ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู กนกลาง • เขาใจและนําความรเู กีย่ วกับลําดบั • ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต • อนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต และอนุกรมไปใช • ดอกเบีย้ • มลู คา ของเงนิ • เขาใจและใชค วามรูเกี่ยวกับดอกเบ้ีย • คา รายงวด และมูลคาของเงนิ ในการแกปญหา สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 2 คูมือครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ผลการเรียนรู สาระการเรียนรูเพม่ิ เตมิ • ระบไุ ดว าลําดับทก่ี ําหนดให • ลําดบั จํากดั และลําดับอนันต • ลําดบั เลขคณิตและลาํ ดับเรขาคณิต เปน ลาํ ดับลเู ขาหรือลูออก • ลมิ ิตของลําดบั อนันต • หาผลบวก n พจนแ รกของอนุกรม • อนุกรมจํากดั และอนุกรมอนนั ต • อนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต เลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต • ผลบวกอนกุ รมอนนั ต • การนาํ ความรเู กยี่ วกบั ลาํ ดบั และ • หาผลบวกอนกุ รมอนนั ต • เขา ใจและนําความรเู กยี่ วกับลําดับ อนุกรมไปใชในการแกปญหามลู คา ของเงนิ และคา รายงวด และอนุกรมไปใช จดุ มงุ หมาย 1. หาพจนตา ง ๆ ของลําดบั เลขคณิตและลาํ ดับเรขาคณติ 2. หาลมิ ิตของลําดับอนนั ตโดยใชทฤษฎบี ทเก่ยี วกบั ลมิ ติ 3. ระบุไดวา ลาํ ดับที่กาํ หนดใหเปนลําดบั ลูเขาหรือลําดับลูออก 4. หาผลบวก n พจนแรกของอนกุ รมเลขคณติ และอนุกรมเรขาคณิต 5. หาผลบวกของอนกุ รมอนนั ต 6. ระบุไดว า อนุกรมท่กี าํ หนดใหเ ปนอนุกรมลูเขาหรืออนกุ รมลอู อก 7. ใชความรูเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมในการแกปญหา ความรกู อ นหนา • เลขยกกาํ ลัง • ความสมั พนั ธแ ละฟง กช นั ipst.me/10550 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 3 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 1.1 เน้ือหาสาระ 1. บทนิยาม 1 ลาํ ดบั คือ ฟง กชันที่มีโดเมนเปนเซต {1, 2, 3, , n} หรอื มโี ดเมนเปนเซตของจาํ นวนเตม็ บวก 2. ในการเขียนแสดงลําดับ จะเขียนเฉพาะสมาชิกของเรนจเรียงกัน กลาวคือ ถา a เปน ลาํ ดบั ซ=งึ่ a(1) a=1, a(2) a=2, a(3) a3, =, a(n) an แลว เรยี ก a1 วา พจนท ่ี 1 ของลาํ ดับ เรียก a2 วา พจนท ่ี 2 ของลําดบั เรยี ก a3 วา พจนที่ 3 ของลําดับ และเรยี ก an วา พจนท ่ี n ของลาํ ดับ หรอื พจนท วั่ ไปของลาํ ดบั 3. ลาํ ดับทีม่ โี ดเมนเปน เซต {1, 2, 3, , n} เรยี กวา ลําดบั จํากัด และลาํ ดบั ทมี่ โี ดเมนเปน เซตของจาํ นวนเต็มบวก เรยี กวา ลาํ ดับอนนั ต กรณี a เปน ลาํ ดบั จาํ กัด เขียนแทนลําดับดว ย a1, a2, a3, , an กรณี a เปน ลาํ ดบั อนันต เขยี นแทนลําดับดวย a1, a2, a3, , an, 4. บทนิยาม 2 ลําดับเลขคณิต คือ ลําดับซึ่งมีผลตางท่ีไดจากการนําพจนที่ n +1 ลบดวยพจนท่ี n เปนคา คงตัวทเี่ ทากัน สําหรบั ทกุ จาํ นวนเต็มบวก n และเรยี กคา คงตัวที่เปน ผลตางน้ีวา ผลตา งรวม จากบทนิยาม ลําดับ a1, a2, a3, , an, จะเปนลําดับเลขคณิต ก็ตอเม่ือ มีคาคงตัว d ที่ an+1 − an =d สาํ หรับทกุ จํานวนเตม็ บวก n 5. บทนิยาม 3 ลําดับเรขาคณิต คือ ลําดับซ่ึงมีอัตราสวนของพจนท่ี n +1 ตอพจนท่ี n เปนคาคงตัวที่ เทา กัน สําหรบั ทุกจาํ นวนเต็มบวก n และเรยี กคา คงตัวที่เปน อตั ราสวนนวี้ า อัตราสว นรว ม จากบทนิยาม ลําดับ a1, a2, a3, , an, จะเปนลําดับเรขาคณิต ก็ตอเม่ือ มีคาคงตัว r ท่ี an+1 = r สาํ หรับทุกจํานวนเตม็ บวก n an สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 4 คูมอื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 6. บทนยิ าม 4 ลําดับฮารมอนิก คือ ลําดับ an ซ่ึงมีสมบัติวา ลําดับของสวนกลับ bn = 1 เปนลําดับ an เลขคณติ 7. บทนยิ าม 5 ให a1, a2, a3, , an, เปนลําดับอนันต ถา n มากข้ึนโดยไมมีที่สิ้นสุดแลว an เขาใกล หรือเทากับจํานวนจริง L เพียงจํานวนเดียวเทาน้ัน จะเขียน lim an = L (อานวา ลิมิตของ n→∞ ลําดับ an เมื่อ n มากข้ึนโดยไมมีท่ีส้ินสุด เทากับ L ) และจะเรียก L วา ลิมิตของ ลาํ ดับ และกลา ววา ลําดับนีม้ ลี ิมิตเทากบั L เรยี กลาํ ดบั อนันตท ่ีมลี มิ ิตวา ลําดบั ลเู ขา และ เรียกลาํ ดับอนนั ตท ี่ไมใ ชลาํ ดบั ลเู ขาวา ลําดับลูอ อก 8. ทฤษฎบี ท 1 ให r เปนจาํ นวนจรงิ บวก จะไดวา lim 1 =0 และ lim nr ไมม คี า n→∞ nr n→∞ 9. ทฤษฎบี ท 2 ให r เปนจาํ นวนจริง จะไดว า ถา r <1 แลว lim rn = 0 n→∞ ถา r >1 แลว lim rn ไมม ีคา n→∞ 10. ทฤษฎีบท 3 ให an, bn, tn เปนลําดับของจํานวนจริง A, B เปนจํานวนจริง และ c เปนคาคงตัวใด ๆ โดยท่ี lim an = A และ lim bn =B จะไดว า n→∞ n→∞ 1) ถา tn = c ทุกจาํ นวนเต็มบวก n แลว lni→m=∞tn li=m c c n→∞ 2) ln=i→m∞ can c=lni→m∞ an cA ( )3) lim an + bn =lim an + lim bn =A + B n→∞ n→∞ n→∞ ( )4) − =A − lim an − bn =lim an lim bn B n→∞ n→∞ n→∞ ( )5) lim an ⋅ bn = lim an ⋅ lim bn= AB n→∞ n→∞ n→∞ 6) ถา bn ≠ 0 ทุกจํานวนเต็มบวก n และ B ≠ 0 แลว lni→m∞= abnn ln=i→m∞ an A lim bn B n→∞ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 5 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 11. ทฤษฎบี ท 4 ให a1, a2, a3, , an, เปนลําดบั ซงึ่ an ≠ 0 สําหรบั ทุกจาํ นวนเตม็ บวก n ถา 1 = 0 แลว ลาํ ดบั a1, a2 , a3, , an , จะลอู อก lim an n→∞ 12. สาํ หรับลาํ ดับที่พจนท ่ัวไปอยใู นรูปเศษสวนของพหนุ าม • ถาดีกรขี องพหนุ ามทีเ่ ปนตวั สวนมากกวาดกี รีของพหนุ ามที่เปนตวั เศษแลว ลําดบั จะมี ลมิ ิตเปน ศนู ย • ถาดีกรีของพหุนามท่ีเปนตัวเศษเทากับดีกรีของพหุนามท่ีเปนตัวสวนแลว ลําดับจะ เปนลําดับลเู ขาท่ีมีลมิ ติ ไมเ ปน ศนู ย • ถาดีกรีของพหุนามท่ีเปนตัวสวนนอยกวาดีกรีของพหุนามที่เปนตัวเศษแลว ลําดับจะ เปน ลาํ ดบั ลูออก 13. ทฤษฎบี ท 5 ให an เปนลําดับของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับศูนย L เปนจํานวนจริง และ m เปนจาํ นวนเต็มทีม่ ากกวาหรอื เทา กบั สอง จะไดวา ถา แลวlim an = L lni=→m∞ m an m=lni→m∞ an m L n→∞ 14. ถา a1, a2, a3, , an เปนลําดับจํากัดที่มี n พจน จะเรียกการเขียนแสดงการบวกของ พจนทกุ พจนของลําดบั ในรปู a1 + a2 + a3 ++ an วา อนุกรมจํากดั เรยี ก a1 วา พจนท ี่ 1 ของอนกุ รม เรยี ก a2 วา พจนที่ 2 ของอนกุ รม เรียก a3 วา พจนท ี่ 3 ของอนกุ รม และเรียก an วา พจนท ่ี n ของอนกุ รม สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 6 คมู ือครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 15. ให Sn แทนผลบวก n พจนแ รกของอนุกรม นัน่ คือ S1 = a1 S=2 a1 + a2 S3 = a1 + a2 + a3 Sn = a1 + a2 + a3 + + an 16. อนกุ รมที่ไดจ ากลําดบั เลขคณติ เรยี กวา อนุกรมเลขคณติ 17. ให a1, a2, a3, , an เปนลําดับเลขคณิต ซง่ึ มี d เปน ผลตางรว ม ผลบวก n พจนแ รกของอนกุ รมเลขคณิต คอื =Sn n ( a1 + an ) หรอื S=n n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 2 18. อนกุ รมทไ่ี ดจากลําดับเรขาคณติ เรียกวา อนุกรมเรขาคณิต 19. ให a1, a2, a3, , an เปน ลาํ ดับเรขาคณติ ซ่งึ มี r เปนอตั ราสวนรวม ( )Sn ผลบวก n พจนแ รกของอนกุ รมเรขาคณติ คือ = a1 1− rn เมอ่ื r ≠1 1− r 20. ถา a1, a2, a3, , an, เปน ลําดับอนันต จะเรียกการเขยี นแสดงการบวกในรปู a1 + a2 + a3 + + an + วา อนุกรมอนนั ต เรียก a1 วา พจนท ่ี 1 ของอนกุ รม เรยี ก a2 วา พจนที่ 2 ของอนุกรม และเรยี ก an วา พจนท่ี n ของอนุกรม สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 7 คูมือครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 21. บทนิยาม 6 กาํ หนด a1 + a2 + a3 + + an + เปน อนกุ รมอนันต ให S1 = a1 S=2 a1 + a2 S3 = a1 + a2 + a3 Sn = a1 + a2 + a3 + + an เรียก Sn วา ผลบวกยอย n พจนแ รกของอนุกรม เม่อื n เปน จํานวนเตม็ บวก เรยี กลาํ ดบั อนันต S1, S2, S3, , Sn, วา ลาํ ดับของผลบวกยอ ยของอนุกรม 22. บทนยิ าม 7 กําหนดอนกุ รมอนันต a1 + a2 + a3 + + an + ให S1, S2, S3, , Sn, เปน ลําดบั ของผลบวกยอ ยของอนกุ รมน้ี ถา ลาํ ดับ Sn เปนลําดับลเู ขา โดย lim Sn =S เมอื่ S เปน จํานวนจริง n→∞ แลวจะกลาววาอนุกรม a1 + a2 + a3 ++ an + เปน อนุกรมลูเขา และเรียก S วา ผลบวกของอนุกรม ถา ลาํ ดับ Sn เปน ลาํ ดับลูอ อก จะกลา ววา อนกุ รม a1 + a2 + a3 ++ an + เปน อนกุ รม ลอู อก 23. การแสดงวา อนุกรมอนันตใ ดจะเปนอนุกรมลูเขาหรืออนุกรมลูออก ทาํ ไดดงั น้ี 1) พิจารณาลําดับของผลบวกยอยของอนุกรม และหาสูตรท่ัวไปของผลบวกยอย n พจนแรก (Sn ) ของอนุกรม 2) พิจารณาลิมิตของ Sn ถา lim Sn =S เม่ือ S เปนจํานวนจริง แลวอนุกรมนั้นเปน n→∞ อนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ S แตถา lim Sn ไมมีคา แลวอนุกรมน้ันเปน n→∞ อนกุ รมลอู อก สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนุกรม 8 คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 24. ทฤษฎีบท 6 กําหนดใหอ นุกรมเรขาคณิตมี a1 เปนพจนแรก และ r เปนอตั ราสวนรว ม ถา r <1 แลว อนกุ รมนเี้ ปนอนุกรมลูเขา และผลบวกของอนุกรมเทากับ a1 1− r ถา r ≥1 แลว อนกุ รมน้เี ปน อนกุ รมลอู อก 25. การเขียนอนุกรมเพื่อความสะดวกจะใชตัวอักษรกรีกตัวพิมพใหญ ∑ (อานวา ซิกมา) เปนสญั ลกั ษณแสดงการบวก กลาวคือ จะเขียนแทนอนุกรมจํากัด a1 + a2 + a3 + + an ดวยสัญลักษณ n ∑ ai i =1 (อานวา ซัมเมชัน ai เมื่อ i เทากับ 1 ถึง n) และเขียนแทนอนุกรมอนันต a1 + a2 + a3 + + an + ดวยสัญลักษณ ∞ (อานวา ซัมเมชัน ai เมื่อ i เทากับ 1 ∑ ai i =1 ถึง ∞) เรียกตัวแปร i ที่ปรากฏในสัญลักษณ n หรือ ∞ วา ดัชนี ซ่ึงอาจจะใช ∑ ai ∑ ai i=1 i=1 ตัวแปรอ่นื แทน i ได 26. ทฤษฎีบท 7 ให n เปนจาํ นวนเต็มบวกใด ๆ จะไดวา 1) n = nc เม่ือ c เปนคา คงตัว ∑c i =1 2) nn เมื่อ c เปนคาคงตวั ∑cai = c∑ ai =i 1=i 1 n nn 3) ∑(ai + bi )= ∑ ai + ∑bi =i 1 =i 1=i 1 n nn 4) ∑(ai − bi )= ∑ ai − ∑bi =i 1 =i 1=i 1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนุกรม 9 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 27. ทฤษฎบี ท 8 ให n เปน จาํ นวนเต็มบวกใด ๆ จะไดวา 1) n = n(n + 1) ∑i i=1 2 ∑2) n i 2= n(n +1)(2n +1) i=1 6 ∑ ∑==3) in1=i 3 =n (n2+ 1) 2 in1 i 2 28. ทฤษฎบี ท 9 ถาเริม่ ฝากเงินดวยเงินตน P บาท ไดรบั อัตราดอกเบ้ีย i% ตอป โดยคดิ ดอกเบี้ยแบบทบตน ทุกป (ปละครงั้ ) แลว เม่อื สนิ้ ปที่ n จะไดเ งินรวม P(1+ r)n บาท เม่ือ r = i 100 29. ทฤษฎบี ท 10 ถา เรม่ิ ฝากเงินดวยเงนิ ตน P บาท ไดรับอตั ราดอกเบ้ีย i% ตอ ป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตน ปล ะ k ครง้ั แลวเมอื่ ฝากเงินครบ n ป จะไดเงนิ รวม P 1 + r kn บาท เมือ่ r= i k 100 30. ถาลงทุน P บาท ไดรับอัตราดอกเบ้ีย i% ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตนปละ k ครั้ง เปนเวลา n ป กาํ หนดให r = i แลว เมือ่ ครบ n ป เงินรวมท่ีได คือ 100 =S P 1 + r kn k เรยี ก S วามูลคาอนาคตของเงนิ ตน P ในทางกลบั กนั จะเรียก P วามลู คา ปจ จบุ นั ของเงินรวม S ดงั นนั้ มลู คา ปจจุบัน P ของเงินรวม S คือ =P S 1 + r − kn k 31. การรบั หรอื จายคางวด มีลักษณะ 3 ประการ ดังน้ี 1) รับหรอื จา ยเทากนั ทุกงวด 2) รับหรือจายติดตอ กันทุกงวด 3) รบั หรอื จายตอนตนงวดหรือสนิ้ งวด สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนุกรม 10 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 32. คางวดที่รบั หรอื จา ยตอนตนงวด พิจารณาการรับหรือจายเงินแตละงวด โดยที่แตละงวดเปนเงิน R บาท ซ่ึงเริ่มรับหรือ จายเงินตอนตน งวด รวมท้งั หมด n งวด และอตั ราดอกเบ้ียแตละงวดเปน i% ให r = i 100 จะได แผนภาพแสดงคา งวดแตละงวด ดงั น้ี จะได เงนิ รวมเม่อื ส้นิ งวดท่ี n คอื R(1+ r) + R(1+ r)2 + + R(1+ r)n ซ่ึงเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี n พจน โดยพจนแรก คือ R(1+ r) และอัตราสวนรวม คือ 1+ r ดงั นั้น เงนิ รวมเมอ่ื สนิ้ งวดที่ n คอื ( )R(1+ r ) (1+ r )n −1 ซง่ึ เทากับ (1+ r ) −1 ( )R(1+ r ) (1+ r )n −1 r สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนกุ รม 11 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 33. คา งวดทีร่ บั หรือจายตอนส้ินงวด พิจารณาการรับหรอื จายเงนิ แตละงวด โดยท่ีแตละงวดเปนเงิน R บาท ซึง่ เรม่ิ รบั หรือจายเงินตอนสิน้ งวด รวมท้ังหมด n งวด และอตั ราดอกเบย้ี ตอ งวดเปน i% ให r = i 100 จะได แผนภาพแสดงคางวดแตล ะงวด ดังนี้ จะได เงนิ รวมเมื่อสิน้ งวดท่ี n คือ R + R(1+ r) + R(1+ r)2 + + R(1+ r)n−1 ซ่ึงเปนอนุกรมเรขาคณิตทมี่ ี n พจน พจนแ รก คอื R และอัตราสวนรว ม คอื 1+ r ดงั น้นั เงนิ รวมเมอื่ สิ้นงวดท่ี n คอื ( )R (1+ r )n −1 ซึ่งเทา กับ ( )R (1+ r )n −1 (1+ r ) −1 r สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 12 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกบั การสอน ลาํ ดบั ความหมายของลาํ ดับ กจิ กรรม : แนะนําลําดบั จุดมงุ หมายของกิจกรรม กิจกรรมน้ีใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ลําดับ เพ่ือใหนักเรียนเขาใจความหมายของ ลําดบั และการเขยี นแสดงลําดบั แนวทางการดําเนนิ กจิ กรรม 1. ครใู หนักเรยี นพิจารณาแบบรูปตอ ไปนี้ โดยสงั เกตจาํ นวนจุดในแตล ะรปู • แบบรปู ชดุ ท่ี 1 รปู ท่ี 1 รปู ที่ 2 รูปที่ 3 รูปที่ 4 รปู ท่ี 5 • แบบรปู ชดุ ท่ี 2 รปู ท่ี 1 รปู ท่ี 2 รปู ที่ 3 รูปที่ 4 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 13 คมู อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 2. ครูใหนักเรียนเขียนเซตของคูอันดบั จากแบบรูปชุดที่ 1 และ 2 โดยใหสมาชิกตัวหนาของ คูอันดับคือรูปท่ี และสมาชิกตัวหลังของคูอันดับคือจํานวนจุดในแตละรูป เชน แบบรูป ชุดท่ี 1 รูปที่ 1 มีจาํ นวนจดุ 1 จุด เขียนไดเปน (1, 1) แนวคาํ ตอบ • เซตของคอู นั ดบั จากแบบรูปชดุ ท่ี 1 คอื {(1, 1), (2, 3), (3, 6), (4, 10), (5, 15)} • เซตของคูอนั ดับจากแบบรูปชุดท่ี 2 คอื {(1, 4), (2, 9), (3, 16), (4, 25), } 3. จากคาํ ตอบทไ่ี ดในขอ 2 ครูใหนักเรียนพจิ ารณาวาเซตของคูอนั ดบั ท่ีไดในขอ 2 ตามแบบ รูปชุดที่ 1 และ 2 เปน ฟง กชนั หรือไม เพราะเหตใุ ด แนวคาํ ตอบ เซตของคูอันดับที่ไดในขอ 2 ตามแบบรูปชุดท่ี 1 และ 2 เปนฟงกชัน เน่ืองจาก สมาชิกตัวหนาของแตล ะคอู นั ดบั จับคกู บั สมาชิกตัวหลงั เพยี งตัวเดียวเทานนั้ 4. จากคําตอบที่ไดในขอ 3 ครูใหนักเรียนหาโดเมนและเรนจของฟงกชันที่ไดจากแบบรูป ชุดที่ 1 และ 2 แนวคําตอบ • ฟงกช นั ท่ีไดจ ากแบบรูปชุดท่ี 1 มโี ดเมน คอื {1, 2, 3, 4, 5} และเรนจ คือ {1, 3, 6, 10, 15} • ฟง กชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่ 2 มีโดเมน คือ {1, 2, 3, } และเรนจ คือ {4, 9, 16, } 5. จากคาํ ตอบที่ไดในขอ 4 ครชู แี้ นะใหนกั เรียนสังเกตวา โดเมนของฟง กชนั ท่ีไดจากแบบรูป ชุดที่ 1 เปนสับเซตของเซตของจํานวนเต็มบวก และโดเมนของฟงกชันท่ีไดจากแบบรูป ชุดที่ 2 เปนเซตของจํานวนเตม็ บวก จากนัน้ ครูใหน กั เรียนพิจารณาวา โดเมนของฟง กชัน ท่ไี ดจ ากแบบรูปแตล ะชุดเปนเซตจํากดั หรอื เซตอนันต แนวคาํ ตอบ • โดเมนของฟง กชนั ทไ่ี ดจากแบบรูปชดุ ท่ี 1 เปน เซตจํากัด • โดเมนของฟง กช ันที่ไดจากแบบรปู ชุดท่ี 2 เปนเซตอนันต 6. ครนู าํ เขาสูบ ทนยิ ามของลาํ ดับ (บทนยิ าม 1) และการเขียนแสดงลาํ ดบั สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 14 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 ประเด็นสาํ คญั เกย่ี วกบั เน้ือหาและสิง่ ท่คี วรตระหนักเกย่ี วกับการสอน • ครูควรเนนยํ้าใหนักเรียนเขาใจวา ลําดับเปนฟงกชันที่มีโดเมนเปนสับเซตของเซตของ จาํ นวนเตม็ บวกหรอื เซตของจํานวนเต็มบวก โดยในการเขยี นแสดงลําดบั จะเขยี นเฉพาะ สมาชิกของเรนจเรียงกัน และใชเคร่ืองหมายจุลภาค (,) ค่ันระหวางแตละตัว โดยไม เขียนโดเมน • หนังสือเรียนรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 ใชส ัญลักษณ an แทนท้งั พจนท ี่ n ของลําดับ และพจนทว่ั ไปของลําดบั • การเขียนแสดงลําดับโดยเขียนแจกแจงพจนของลําดับในหัวขอนี้ ตองเขียนพจนทั่วไป กํากับไวเสมอ เนื่องจากมีบางลําดับท่ีมีพจนแรก ๆ เหมือนกัน แตมีพจนท่ัวไปแตกตางกัน เชน เขียนแจกแจงพจนของลาํ ดับที่ an = 1 ไดเปน 1, 1 , 1 , n 23 เขยี นแจกแจงพจนของลําดับท่ี bn= 1 (n2 − 6n +11) ไดเปน 1, 1 , 1 , 6 23 จะเห็นวา ท้ังสองลําดับมีสามพจนแรกเหมือนกัน จึงอาจจะเขาใจผิดวาลําดับ an และ bn เปนลําดับเดียวกัน อยางไรก็ตามเมื่อพิจารณาพจนท่ี 4 จะไดวา a4 = 1 แต b4 = 1 4 2 นั่นคือ ลาํ ดบั an และ bn ไมใชลาํ ดับเดยี วกนั ดังนั้น การเขียนแจกแจงพจนของลําดับ an และ bn โดยเขียนพจนที่ n กํากับไว จะไดเ ปน 1, 1 , 1 , , 1 , และ 1, 1 , 1 , , 1 (n2 − 6n +11), ตามลาํ ดบั 23 n 23 6 • เนื่องจากการกําหนดพจนแรก ๆ แลวใหหาพจนท่ัวไปของลําดับนั้น นักเรียนอาจได พจนท่ัวไปท่ีแตกตางกัน ดังน้ัน หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ัน มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 หัวขอ 1.1.1 จึงกลาวถึงเฉพาะการหาพจนแรก ๆ จากพจน ทั่วไปท่ีกําหนดให โดยไมกลาวถึงการหาพจนท่ัวไปจากพจนแรก ๆ ที่กําหนดให สวน การหาพจนทั่วไปจากพจนแรก ๆ ท่ีกําหนดใหนั้น ไดกลาวถึงเฉพาะในกรณีท่ีศึกษา เก่ยี วกับลําดับเลขคณิตหรอื ลาํ ดบั เรขาคณิตเทาน้นั สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 15 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 • ลาํ ดบั ท่ี an = n + (−1)n n ในตวั อยางท่ี 2 สามารถเขยี นไดใ นอีกรูปแบบหน่ึง คอื เมื่อ เปนจาํ นวนคู เมือ่ เปนจํานวนคี่ ท้ังน้ี ในกรณีทีน่ กั เรยี นมีขอสงสยั สามารถอธิบายไดด งั น้ี ให n เปน จาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ กรณที ่ี n เปน จาํ นวนคูบวก จะไดว า มจี าํ นวนเตม็ บวก k ที่ทาํ ให n = 2k จาก an = n + (−1)n n เม่อื n = 2k จะได an = a2k = 2k + (−1)2k (2k ) = 2k + 2k = 4k = 2(2k ) = 2n กรณีที่ n เปนจาํ นวนคี่บวก จะไดว า มจี ํานวนเตม็ บวก k ท่ีทาํ ให =n 2k −1 จาก an = n + (−1)n n = a2k −1 เมอ่ื =n 2k −1 จะได an = (2k −1) + (−1)2k−1 (2k −1) = (2k −1) − (2k −1) =0 2n เมอ่ื n เปน จํานวนคู ดังนัน้ an = n + (−1)n n เขียนไดใ นรูป an = 0 เมอ่ื n เปน จํานวนคี่ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 16 คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 • ลําดับ bn ซ่ึง b1 =1 และ bn = nbn−1 เมื่อ n ≥ 2 ในตัวอยางท่ี 4 สามารถเขียนไดใน อกี รูปแบบหนึง่ คอื bn = n! ทง้ั น้ี ในกรณีที่นักเรียนมขี อสงสัยสามารถอธบิ ายไดดงั นี้ จาก ลาํ ดับ bn ซง่ึ b1 =1 และ bn = nbn−1 เมื่อ n ≥ 2 จะได b1 = 1 = 1! b2 = 2b1 = 2 ×1 = 2! = 3! b3 = 3b2 = 3× 2 ×1 = 4! b4 = 4b3 = 4 × 3× 2 ×1 bn = nbn−1 = n × (n −1) × (n − 2) ×× 3× 2 ×1 = n! ดังนน้ั ลาํ ดับ bn ซ่งึ b1 =1 และ bn = nbn−1 เมื่อ n ≥ 2 เขยี นไดใ นรูป bn = n! นอกจากนี้ การแสดงวาลาํ ดบั bn สามารถเขียนไดในอีกรปู แบบหนง่ึ คือ bn = n! นัน้ สามารถทําไดโดยใชว ธิ ีอปุ นัยเชิงคณติ ศาสตร ซงึ่ แสดงไวในความรเู พิ่มเตมิ สาํ หรับครู ลาํ ดับเลขคณิต ลําดบั เรขาคณิต และลาํ ดบั ฮารม อนกิ กจิ กรรม : แนะนําลาํ ดบั เลขคณติ จุดมงุ หมายของกิจกรรม กิจกรรมน้ีใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เร่ือง ลําดับเลขคณิต เพ่ือใหนักเรียนเขาใจความหมาย ของลาํ ดบั เลขคณิต แนวทางการดําเนนิ กจิ กรรม 2) 1, 4, 16, 64, , 4n−1 1. ครกู าํ หนดลําดบั ตอไปนี้ 4) 1, −1, 1, −1, 1, , ( )−1 n+1 , 1) 6, 10, 14, 18, , 4n + 2, 3) 2 , 4 , 2, 8 , , 2 n ( )6) 2, 4, 6, , − 2 n3 − 6n2 − 6 , 11 33 3 3 5) 10, 6, 2, − 2, , 10 − 4(n −1) สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 17 คูมือครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 2. จากแตละลําดับที่กําหนดใหในขอ 1 ครูใหนักเรียนหาผลตางของพจนที่อยูติดกัน โดย นําพจนท ่ีอยหู ลงั ลบดว ยพจนที่อยูกอ นหนา ทัง้ นี้ ครคู วรเนน ย้ําใหน กั เรยี นหาผลตา งของ พจนท ่ี n และ n −1 ดว ย แนวคําตอบ 1) a2 − a1 = 10 − 6 = 4 a3 − a2 = 14 −10 = 4 a4 − a3 = 18 −14 = 4 และ an − an−1= (4n + 2) − (4(n −1) + 2)= 4 2) a2 − a1 = 4 −1 = 3 a3 − a2 = 16 − 4 = 12 a4 − a3 = 64 −16 = 48 และ ( )an − an−1 = 4n−1 − 4(n−1)−1 = 3 4n−2 3) a2 − a1 = 4 − 2 = 2 3 3 3 a3 − a2 =2 − 4 = 2 3 3 a4 − a3 = 8 −2= 2 3 3 และ an − an−1 = 2 n − 2 (n −1) = 2 3 33 4) a2 − a1 =−1 −1 =−2 a3 − a2 = 1− (−1) = 1+1 = 2 a4 − a3 =−1 −1 =−2 a5 − a4 = 1− (−1) = 1+1 = 2 และ an − an−1 =(−1)n+1 − ( )−1 (n+1)−1 =−2(−1)n 5) a2 − a1 =6 −10 =−4 a3 − a2 =2 − 6 =−4 a4 − a3 =−2 − 2 =−4 และ ( )an − an−1 =(10 − 4(n −1)) − 10 − 4((n −1) −1) =−4 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 18 คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 6) a2 − a1 = 4 − 2 = 2 a3 − a2 = 6 − 4 = 2 ( ) ( )และ an − an−1 −2 2 = 11 n3 − 6n2 − 6 − − 11 (n −1)3 − 6(n −1)2 − 6 ( )= − 2 3n2 −15n + 7 11 3. จากคําตอบท่ีไดในขอ 2 ครูใหนักเรียนพิจารณาวาลําดับในขอใดท่ีมีผลตางของพจนที่ อยตู ิดกนั เปนคาคงตัวทีเ่ ทา กัน แนวคาํ ตอบ ลาํ ดบั ในขอ 1, 3 และ 5 มผี ลตา งของพจนที่อยตู ิดกนั เปน คา คงตัวทเี่ ทากัน 4. ครูนําเขาสูบทนิยามของลําดับเลขคณิต (บทนิยาม 2) โดยจากขอ 3 จะไดวาลําดับในขอ 1, 3 และ 5 ซง่ึ มผี ลตา งของพจนท ี่อยตู ิดกนั เปน คาคงตัวทเ่ี ทากัน เปน ลําดบั เลขคณิต ท้งั น้ี ครคู วรเนน ย้ําความสําคัญของการตรวจสอบผลตางของพจนท่ี n และพจนที่ n −1 ใน การพิจารณาวาลําดับที่กําหนดใหเปนลําดับเลขคณิตหรอื ไม เนื่องจาก อาจมีบางลําดับ ซ่ึงผลตางของพจนท ี่อยูติดกันพจนแรก ๆ เปนคา คงตวั ที่เทากัน แตไ มเทา กับผลตา งของ พจนท ่ี n และ n −1 (เชน ลําดับในขอ ที่ 6) หมายเหตุ • ครูอาจใหน กั เรียนทาํ กจิ กรรมนีเ้ ปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน • ครูสามารถใชกิจกรรมในลักษณะเดียวกับกิจกรรมน้ี เพ่ือนําเขาสูบทเรียน เร่ือง ลําดับ เรขาคณิต เพอ่ื ใหน กั เรียนเขา ใจความหมายของลาํ ดับเรขาคณิต สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 19 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 ประเด็นสําคัญเกย่ี วกบั เนอ้ื หาและส่ิงทีค่ วรตระหนักเก่ยี วกบั การสอน • ลําดับท่ีมีทุกพจนเปนจํานวนเดียวกันท่ีไมเปนศูนย จะเปนทั้งลําดับเลขคณิตที่มี d = 0 และลาํ ดบั เรขาคณติ ท่มี ี r =1 เชน 1, 1, 1, • ครูควรสนับสนุนใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบ ในการระบุวาลําดับท่ีกําหนดใหเปน ลําดับเลขคณติ หรือเปนลําดบั เรขาคณติ • ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนใชเคร่ืองคํานวณชวยในการคํานวณเกี่ยวกับลําดับ เชน ตัวอยา งที่ 14 และ 18 • จากบทนิยาม 4 จะเหน็ วา ไมม ีพจนใ ดของลาํ ดบั ฮารม อนกิ ทเ่ี ปน 0 ประเด็นสําคญั เก่ยี วกับแบบฝกหัด • การหาพจนท ่ีหายไปของลําดับเรขาคณติ ท่ีกําหนดใหในแบบฝกหดั 1.1.3 ขอ 10 ครูควร เนนย้ําใหนักเรียนหาอัตราสวนรวมกอน จึงจะหาพจนที่หายไป และสําหรับขอท่ีมี อัตราสวนรวมมากกวา 1 คา ครูควรกระตุนใหนักเรียนหาอัตราสวนรวมอื่น ๆ ที่ทําให ลําดับท่ีกําหนดใหเปนลําดับเรขาคณิต แลวจึงหาพจนที่หายไปอีกคร้ัง เชน ขอ 2) มี อตั ราสว นรว ม คือ 1 หรอื − 1 ทาํ ใหล ําดับเรขาคณติ ในขอนี้ คือ 2, 2 , 2 , 2 , 2 หรือ 33 3 9 27 81 2, − 2 , 2 , − 2 , 2 3 9 27 81 • เมื่อกําหนดให a เปนพจนท่ีอยูระหวาง 2 พจนที่กําหนดใหในแบบฝกหัด 1.1.3 ขอ 11 จะไดวา a เปนไดท ้ังจาํ นวนจริงบวกและจาํ นวนจริงลบ เนอื่ งจาก a2 เปนจาํ นวนจรงิ บวก สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 20 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 ลิมติ ของลาํ ดับอนนั ต กจิ กรรม : แนะนาํ ลิมิตของลําดับอนันต จุดมุงหมายของกิจกรรม กิจกรรมนี้ใชเพ่ือนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ลิมิตของลําดับอนันต เพ่ือใหนักเรียนมีความ เขาใจพน้ื ฐานเกย่ี วกับลมิ ิตของลาํ ดับอนนั ต แนวทางการดาํ เนินกจิ กรรม 1. ครูแจกกระดาษท่ีตัดเปนรูปส่ีเหล่ียมมุมฉากท่ีมีลักษณะดังรูปใหนักเรียนแตละคน โดย กาํ หนดใหก ระดาษนี้มพี ื้นท่ีเปน 1 ตารางหนวย 2. ครูใหนักเรียนพับคร่ึงกระดาษในขอ 1 ตามแนวนอนไปเร่ือย ๆ จนไดเปน 2, 4, 8 และ 16 สวน ท่ีเทากันตามลําดับ โดยในการพับแตละคร้ัง ใหพิจารณาวาพื้นท่ีของกระดาษ แตละสว นเปน เทาใด แลว เตมิ คําตอบลงในตารางตอไปนี้ การพบั จํานวนสวนของกระดาษ พ้ืนที่ของกระดาษแตละสวน กระดาษคร้ังที่ ทเี่ กิดจากการพับ (ตารางหนว ย) 12 24 38 4 16 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 21 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 แนวคําตอบ พื้นทีข่ องกระดาษแตล ะสว น การพบั จํานวนสวนของกระดาษ (ตารางหนว ย) กระดาษครั้งท่ี ท่ีเกดิ จากการพบั 1 12 2 1 24 4 38 1 4 16 8 1 16 3. จากขอ 2 ครูใหนักเรียนพิจารณาวา หากพับกระดาษตอไปเรื่อย ๆ พื้นที่ของกระดาษ แตละสว นจะเปน อยางไร แนวคําตอบ เม่ือพับกระดาษตอไปเร่ือย ๆ พื้นท่ีของกระดาษแตละสวนจะนอยลงเรื่อย ๆ จน เกอื บเปน 0 4. ครูใหนักเรียนเปดเว็บไซต ipst.me/11545 แลวปฏิบัติตามข้ันตอนและตอบคําถาม ตอไปนี้ 4.1 เล่ือนสไลเดอรเพ่ือปรับคา n สังเกตวาหนาจอจะปรากฏพื้นที่ของกระดาษแตละ สว นทไ่ี ดจากการพบั กระดาษ n ครง้ั 4.2 ตรวจสอบคําตอบในขอ 3 โดยเลอื่ นสไลเดอรเพื่อหาวา เมอ่ื n มีคา มากขึ้นเรื่อย ๆ พืน้ ทีข่ องกระดาษแตละสว นที่ไดจากการพบั กระดาษ n ครงั้ จะเปนอยางไร แนวคาํ ตอบ เมื่อ n มีคามากข้ึนเรื่อย ๆ พ้ืนที่ของกระดาษแตละสวนที่ไดจากการพับ แตล ะครัง้ จะนอยลงเรือ่ ย ๆ จนเกือบเปน 0 แตไ มเ ทากบั 0 5. ครูนําเขาสูบทนิยามเก่ียวกับลิมิตของลําดับอนันต ลําดับลูเขา และลําดับลูออก (บท นิยาม 5) สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 22 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 ประเด็นสาํ คญั เก่ยี วกบั เน้อื หาและสงิ่ ที่ควรตระหนกั เก่ียวกบั การสอน • ในการสอนเก่ียวกับลําดับลูเขาและลําดับลูออก ครูควรจัดกิจกรรมใหนักเรียนไดลงมือ เขียนกราฟของลําดับหลาย ๆ แบบ โดยอาจใชลําดับตามท่ีนําเสนอในหนังสือเรียน รายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 หรือในรปู แบบท่ใี กลเคยี งกัน • การเขยี นกราฟเพ่ือพิจารณาลิมติ ของลาํ ดับอนันต ไมมีขอกําหนดที่แนนอนวาตองเขียน กราฟของลาํ ดับกี่พจน แตต องเขียนใหเ หน็ แนวโนมของกราฟ เพื่อใหไ ดขอสรุปวาลําดับ อนนั ตทก่ี ําหนดเปน ลําดบั ลูเขาหรือลาํ ดบั ลอู อก • ทฤษฎบี ททนี่ าํ เสนอไวใ นหนงั สือเรียนรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 บทที่ 1 ลําดับและอนุกรม มีไวเพื่อใหนักเรียนนําไปใชไดโดยไมตองพิสูจน อยางไรกต็ าม ครูอาจเพม่ิ เตมิ การพิสจู นท ฤษฎีบทเหลา นีใ้ หนักเรยี นไดโดยพิจารณาตาม ความสามารถของนักเรยี น • การสอนทฤษฎีบท 1 และ 2 น้ัน ครูควรใหนักเรียนพิจารณาแนวโนมคาของ an เมื่อ n มากขึ้นโดยไมม ีทส่ี น้ิ สุด หรอื เขียนกราฟของลาํ ดับ แลว พจิ ารณาแนวโนมของกราฟ เชน o ใหนักเรียนพิจารณาลําดับที่ an = 1 (ดังแสดงในตัวอยางท่ี 21 ขอ 1) และ n2 an = 1 เพ่ือนําไปสูทฤษฎีบท 1 ที่วา lim 1 = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ nr 1 n→∞ n2 1 ทง้ั นี้ นักเรยี นควรสรุปไดวา เมอื่ n มากขนึ้ โดยไมม ีท่ีส้ินสุด n2 และ n2 จะมากขึ้น โดยไมม ที ่ีสิน้ สุดดวย ซึ่งทําให 1 และ 1 มคี า นอ ยลงและเขาใกล 0 n2 1 n2 o ใหนักเรียนพจิ ารณาลาํ ดับ an = n3 (ดงั แสดงในตวั อยางท่ี 21 ขอ 2) และ an 1 = n3 เพื่อนาํ ไปสูท ฤษฎบี ท 1 ที่วา lim nr ไมมคี า เม่ือ r เปนจํานวนจรงิ บวกใด ๆ ทั้งนี้ n→∞ 1 นักเรียนควรสรุปไดวา เมื่อ n มากขึ้นโดยไมมีท่ีส้ินสุด n3 และ n3 จะมากข้ึน โดยไมมีท่สี ้ินสุดดว ย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนกุ รม 23 คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 o ใหนักเรียนพิจารณาลําดับ an = 1 n และ an = − 1 n (ดังแสดงในตัวอยางที่ 22 3 2 ขอ 1) เพอ่ื นาํ ไปสูทฤษฎีบท 2 ท่ีวา lim rn = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r <1 n→∞ o ใหนักเรียนพิจารณาลําดับ an = − 5 n และ an = 2n (ดังแสดงในตัวอยางท่ี 22 4 ขอ 2 และ 3 ตามลําดับ) เพ่อื นาํ ไปสูทฤษฎีบท 2 ท่ีวา lim rn ไมม ีคา เมือ่ r เปน n→∞ จํานวนจริง และ r >1 • ทฤษฎีบท 2 อธิบายเก่ียวกับลิมิตของลําดับอนันตท่ีอยูในรูป rn เม่ือ r เปนจํานวนจริง และ r ≠1 แตใ นกรณที ี่ r =1 จะไดเปนลิมติ ของคา คงท่ี • เม่ือนักเรียนไดเรียนทฤษฎีบท 2 แลว ครูอาจแสดงใหนักเรียนเห็นวาการหาคาลิมิตของ ลําดับในตวั อยางที่ 22 สอดคลอ งกับทฤษฎบี ท 2 ดงั นี้ จาก จะได1)an = − 1 n lni→m∞=an lim − 1 n 2 2 n→∞ เนื่องจาก − 1 =1 ซง่ึ 1 <1 22 2 โดยทฤษฎบี ท 2 จะไดว า lim an =0 n→∞ จาก จะได2)an = − 5 n lni→m∞=an lim − 5 n 4 4 n→∞ เน่อื งจาก − 5 =5 ซงึ่ 5 >1 44 4 โดยทฤษฎบี ท 2 จะไดวา lim an ไมมคี า n→∞ 3) จาก an = 2n จะได lim an = lim 2n n→∞ n→∞ เนื่องจาก 2 = 2 ซึ่ง 2 >1 โดยทฤษฎบี ท 2 จะไดวา lim an ไมมีคา n→∞ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 24 คูมือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 • การหาลิมิตของลําดับโดยใชทฤษฎีบท 3 ตองมีเงื่อนไขเบ้ืองตนท่ีเปนจริงกอน เชน จะ ใชทฤษฎีบท lim an = lim an ไดเม่ือ lim an และ lim bn หาคาได และ lim bn ≠ 0 n→∞ n→∞ n→∞ n→∞ bn→∞ lim bn n n→∞ แตถามีเง่ือนไขเบ้ืองตนเง่ือนไขใดไมเปนจริง จะไมสามารถใชทฤษฎีบทดังกลาวได เชน เม่ือตอ งการหา lim 2n2 − 3n จะไมส ามารถใชทฤษฎีบท 3 ได เนือ่ งจาก (lim 2n2 − 3n) n→∞ 4n − 5 n→∞ และ lim(4n − 5) ไมมีคา n→∞ ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื น นักเรียนอาจเขาใจผิดเก่ียวกับลําดับลูเขา วาเปนลําดับอนันตที่มีลิมิตของลําดับเปน 0 เทานั้น เพ่ือแกไขความเขาใจผิดดังกลาว ครูควรเนนย้ํานักเรียนเกี่ยวกับบทนิยาม 5 วา ลําดับลูเขา คือ ลําดับอนันตท่ีเมื่อ n มากข้ึนโดยไมมีที่ส้ินสุดแลว an เขาใกลหรือเทากับ จํานวนจริง L เพยี งจาํ นวนเดยี วเทา น้นั พรอมกบั ยกตวั อยางลําดบั ลเู ขา อ่นื ๆ เพม่ิ เติม ทม่ี ี ลิมิตของลําดับเปนจํานวนจริงอ่ืนท่ีไมใช 0 เพ่ิมเติม เชน สําหรับลําดับท=ี่ an 1 n −1 2 จะไดว า lim an = lim 1 n 2 − 1 n→∞ n→∞ = lim 1 n − lim1 2 n→∞ n→∞ = 0–1 = −1 จะเห็นวา ลิมิตของลาํ ดับท=่ี an 1 n −1 เปน −1 น่นั คอื ลําดับน้ีเปน ลําดับลเู ขา 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 25 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 อนุกรม กิจกรรม : ผลบวก n พจนแรกของอนกุ รมเลขคณติ จุดมุงหมายของกจิ กรรม กิจกรรมนี้ใชเพ่ือสอนนักเรยี นเก่ียวกบั ท่ีมาของสูตรที่ใชในการหาผลบวก n พจนแรก ของอนกุ รมเลขคณิต แนวทางการดาํ เนินกิจกรรม แนวทางการดําเนินกจิ กรรมแบง เปน 3 สวน ดังนี้ สว นท่ี 1 การแนะนํากลวิธี 1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดยถามนักเรียนวา 1+ 2 + 3 + +10 มีคาเทาใด และหาไดอ ยางไร 2. ครูอธิบายวิธีการพิสูจนแบบใชรูปภาพเปนหลัก (Proof without word) ในการหาคาของ 1+ 2 + 3 + +10 2.1 ครูแทนจํานวน 1, 2, 3, , 9 และ 10 ดวยวงกลมสีดําจํานวน 1, 2, 3, , 9 และ 10 รูป ตามลําดับ เรียงตอ กันในแนวเสนตรง ดงั นี้ 1 แทนดวย เรียกวา รูปแทน 1 2 แทนดวย เรียกวา รูปแทน 2 3 แทนดวย เรยี กวา รปู แทน 3 4 แทนดว ย เรยี กวา รปู แทน 4 5 แทนดวย เรยี กวา รปู แทน 5 6 แทนดวย เรยี กวา รปู แทน 6 7 แทนดวย เรยี กวา รูปแทน 7 8 แทนดว ย เรียกวา รูปแทน 8 9 แทนดวย เรียกวา รปู แทน 9 10 แทนดว ย เรยี กวา รูปแทน 10 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 26 คมู อื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 2.2 ครูใหนักเรียนพิจารณาวาจะหาคาของ 1+ 2 + 3 + +10 โดยใชรูปแทน 1, 2, 3, , 9 และ 10 ทไ่ี ดในขอ 2.1 ไดอ ยา งไร แนวคําตอบ นักเรียนอาจตอบไดหลายแบบ แตครูตองช้ีแนะวาจะหาคําตอบโดยนํารูป แทน 1, 2, 3, , 9 และ 10 มาวางตอกันดงั นี้ แถวที่ 1 (รปู แทน 1) แถวท่ี 2 (รปู แทน 2) แถวที่ 3 (รูปแทน 3) แถวท่ี 4 (รูปแทน 4) แถวท่ี 5 (รูปแทน 5) แถวท่ี 6 (รูปแทน 6) แถวท่ี 7 (รูปแทน 7) แถวที่ 8 (รปู แทน 8) แถวที่ 9 (รปู แทน 9) แถวที่ 10 (รูปแทน 10) รปู ท่ี 1 จะไดว า • แถวที่ l จะมวี งกลมจาํ นวน l รูป เมอื่ l ∈{1, 2, 3, , 10} • คา ของ 1+ 2 + 3 + +10 เทา กบั จํานวนวงกลมสีดําในรปู ท่ี 1 2.3 ครูจําลองรูปท่ี 1 โดยเปล่ียนวงกลมสีดําเปนวงกลมสีขาว โดยเรียกวารูปท่ี 2 แลว สอบถามความเขาใจของนักเรียนวาจํานวนวงกลมสีขาวในรูปท่ี 2 สัมพันธกับ จาํ นวนวงกลมสีดาํ ในรูปท่ี 1 อยา งไร สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 27 คูมอื ครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 แนวคําตอบ แถวท่ี 1 แถวท่ี 2 แถวที่ 3 แถวท่ี 4 แถวท่ี 5 แถวที่ 6 แถวที่ 7 แถวท่ี 8 แถวท่ี 9 แถวท่ี 10 รปู ที่ 2 จะเห็นวา จํานวนวงกลมสีขาวในรูปท่ี 2 และจํานวนวงกลมสีดําในรูปท่ี 1 มี จาํ นวนเทากัน 2.4 ครหู มุนรูปที่ 2 ดวยมมุ 180 องศา ในทศิ ทางทวนเขม็ นาฬิกา ไดดังน้ี แถวที่ 10 แถวท่ี 9 แถวท่ี 8 แถวท่ี 7 แถวท่ี 6 แถวท่ี 5 แถวท่ี 4 แถวท่ี 3 แถวที่ 2 แถวที่ 1 รปู ที่ 3 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 28 คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 2.5 ครูนาํ รูปที่ 1 และ 3 มาตอกัน โดยนาํ แถวที่ 1 ในรปู ท่ี 1 มาตอ กับแถวที่ 10 ในรูปท่ี 3 ในแนวเสนตรงเดียวกัน โดยเรียกวารูปที่ 4 แลวสอบถามความเขาใจของนักเรียน วาในรปู ที่ 4 มีแถวใดหรือไม • ทีม่ ีวงกลมซอ นทบั กนั • ทมี่ วี งกลมไมเรยี งตอ กนั ในแนวเสนตรง แนวคําตอบ แถวที่ 1 แถวที่ 2 แถวท่ี 3 แถวท่ี 4 แถวท่ี 5 แถวที่ 6 แถวท่ี 7 แถวท่ี 8 แถวที่ 9 แถวที่ 10 รปู ที่ 4 จะไดว า • ไมมีแถวใดท่มี วี งกลมซอนทับกัน • ไมม ีแถวใดที่มวี งกลมไมเรยี งตอกนั ในแนวเสน ตรง หมายเหตุ ครูควรสรปุ วาการตอรูปตามท่ีกําหนดให ทาํ ใหไดร ปู ที่ตอกนั สนิทพอดี ไมมีแถว ใดทมี่ ีวงกลมซอ นทับกัน และไมมแี ถวใดทวี่ งกลมไมเ รยี งตอกันในแนวเสน ตรง สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 29 คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 2.6 ครูกระตุนใหนักเรียนพิจารณาวามีวิธใี ดบางท่ีสามารถหาจํานวนวงกลมทั้งหมดใน รูปที่ 4 ได แนวคาํ ตอบ (1) พิจารณาจํานวนวงกลมสีดําและสีขาวในแตละแถวในรูปท่ี 4 ดังน้ันจํานวน วงกลมท้ังหมดในรูปท่ี 4 เทากับผลบวกของจํานวนวงกลมสีดําและสีขาวใน แตละแถวในรูปท่ี 4 (2) เนื่องจากจํานวนวงกลมสีขาวในรูปที่ 3 เทากับจํานวนวงกลมสีดําในรูปที่ 1 และจํานวนวงกลมทั้งหมดในรูปที่ 4 เทากับผลบวกของจํานวนวงกลมสีดํา และสีขาว ดังน้ัน จํานวนวงกลมทั้งหมดในรูปที่ 4 เทากับ 2 เทาของจํานวน วงกลมสดี ําในรูปท่ี 1 หมายเหตุ ครคู วรกระตนุ ใหนกั เรยี นไดคาํ ตอบทั้งในขอ (1) และ (2) 2.7 จากแนวคําตอบ 2.6 (1) ครูใหนกั เรยี นพิจารณาหาจํานวนวงกลมสีดําและสขี าวใน แตละแถวในรปู ท่ี 4 แนวคาํ ตอบ จํานวนวงกลมท้ังหมดในแถวท่ี l หาไดจากจํานวนวงกลมสีดํา (ซ่ึงมาจาก แถวท่ี l ในรปู ท่ี 1) รวมกับจาํ นวนวงกลมสีขาว (ซึ่งมาจากแถวที่ 10 − (l −1) ใน รูปที่ 3) เม่ือ l ∈{1, 2, 3, , 10} เชน จํานวนวงกลมท้ังหมดในแถวท่ี 1 หาไดจาก จํานวนวงกลมสีดํา (ซ่ึงมาจากแถวที่ 1 ในรูปที่ 1) รวมกับจํานวนวงกลมสีขาว (ซึ่ง มาจากแถวที่ 10 − (1−1) ในรูปที่ 3) ไดเปน 1+ (10 − (1−1)) =1+10 =11 รูป 2.8 จากขอ 2.7 ครูใหน ักเรยี นหาจํานวนวงกลมทั้งหมดในรปู ท่ี 4 แนวคาํ ตอบ จาํ นวนวงกลมทั้งหมดในรปู ที่ 4 = (1+10) + (2 + 9) + (3 + 8) ++ (10 +1) = 11+11+11+ +11 = 10 ×11 = 10(10 +1) รูป สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 30 คูมอื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 2.9 จากแนวคําตอบ 2.6 (2) และขอ 2.8 ครูใหนักเรยี นหาจํานวนวงกลมสดี ําในรูปที่ 1 แนวคําตอบ จํานวนวงกลมสดี าํ ในรปู ท่ี 1 เทากบั 10(10 +1) รปู 2 3. จากขอ 2 ครูสรปุ วา 1+ 2 + 3 + + 10 10 (10 + 1) = 2 สว นที่ 2 การลงมือใชกลวิธี 1. ครูแบง นกั เรียนเปน กลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ 2. ครใู หนักเรยี นแตละกลุมใชวธิ ใี นสวนท่ี 1 ขอ 2 แตละกลุมหา • 1+ 2 + 3 + +18 +19 + 20 • 1+ 2 + 3 + + 24 + 25 + 26 • 1+ 2 + 3 + + 37 + 38 + 39 • 1+ 2 + 3 + + 48 + 49 + 50 • 1+ 2 + 3 + + 60 + 61+ 62 แนวคาํ ตอบ เมือ่ ใชวธิ ีในสวนที่ 1 ขอ 2 แลว จะไดว าคําตอบของแตล ะขอ เปนดงั น้ี • 1+ 2 + 3 + +18 +=19 + 20 20=(20 +1) 210 2 • 1+ 2 + 3 + + 24 +=25 + 26 26=(26 +1) 351 2 • 1+ 2 + 3 + + 37 +=38 + 39 39(=39 +1) 780 2 • 1+ 2 + 3 + + 48 +=49 + 50 50(=50 +1) 1, 275 2 • 1+ 2 + 3 + + 60 +=61+ 62 62(=62 +1) 1,953 2 3. ครใู หนกั เรียนพิจารณาวาคา 1+ 2 + 3 + + n เปนเทาใด 4. ครใู หน ักเรยี นดูคลิปวีดทิ ัศนในเวบ็ ไซต ipst.me/11561 5. ครสู รปุ วา 1+ 2 + 3 + + n =n(n +1) 2 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 31 คูมอื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 สว นท่ี 3 การหาขอสรปุ ในกรณขี องลาํ ดับเลขคณิต 1. ครูกําหนดให a1, a2, a3,, an เปนลําดับเลขคณิตท่ีมีพจนแรก คือ a1 และผลตางรวม คอื d แลวใหนักเรยี นเขยี น a2, a3 และ an ในรปู a1 และ d แนวคําตอบ a=2 a1 + d a=3 a2 + 2d an = a1 + (n −1) d 2. จากขอ 1 ครูใหนักเรียนหาคาของ a1 + a2 + a3 ++ an หรือหาคาของผลบวก n พจนแรกทไี่ ดจ ากลําดับเลขคณติ a1, a2, a3,, an ในรูปของ n, a1 และ an แนวคาํ ตอบ ( )a1 + a2 + a3 ++ an = a1 + (a1 + d ) + (a1 + 2d ) ++ a1 + (n −1) d n พจน = na1 + (d + 2d + 3d ++ (n −1) d ) (*) (**) = na1 + (1+ 2 + 3 ++ (n −1)) d (***) (n −1)n = na1 + 2 d = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 = n ( a1 + ( a1 + ( n − 1) d )) 2 = n ( a1 + an ) 2 หมายเหตุ • การเขียนบรรทัดท่ี (*) ใหอ ยใู นรปู ตามบรรทัดที่ (**) ครูอาจแนะนําใหน ักเรียน ใชส มบัตกิ ารแจกแจง ซง่ึ จะเห็นวาบรรทดั ที่ (*) มีตวั คณู รวม คือ d • การเขียนบรรทัดท่ี (**) ใหอยูในรูปตามบรรทัดที่ (***) ครูอาจแนะนําให นกั เรยี นใช 1+ 2 + 3 + + n =n(n +1) ซงึ่ ไดจ ากสวนท่ี 2 2 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 32 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 3. จากขอ 2 ครอู ธิบายวา จะแทน a1 + a2 + a3 ++ an ดว ยสัญลักษณ Sn จึงสรปุ ไดวา • Sn ในรปู n, a1 และ an เขยี นไดเปน =Sn n ( a1 + an ) 2 • Sn ในรูป n, a1 และ d เขยี นไดเปน S=n n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 ประเดน็ สําคญั เกย่ี วกับเน้ือหาและสิ่งท่ีควรตระหนกั เก่ียวกบั การสอน ( )Sn • การหาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิต โดยใช = a1 1− rn เม่ือ r ≠ 1 นั้น 1− r อาจจดั รูปใหมไ ดเปน Sn = ( )a1 rn −1 r −1 • ครูควรเปดโอกาสใหนักเรยี นใชเ ครอ่ื งคาํ นวณชว ยในการคํานวณเกย่ี วกบั อนกุ รม กจิ กรรม : อนุกรมอนันตและผลบวกยอย n พจนแ รกของอนุกรมอนนั ต จดุ มุงหมายของกจิ กรรม กจิ กรรมนี้ใชเพอ่ื สอน เรือ่ ง อนุกรมอนนั ตและผลบวกยอ ย n พจนแ รกของอนกุ รมอนนั ต แนวทางการดาํ เนินกิจกรรม 1. ครูแจกกระดาษขนาด A4 ใหนักเรียนแตละคน จากนั้นครูกําหนดใหพ้ืนท่ีทั้งหมดของ กระดาษ เปน 1 ตารางหนวย 2. ครใู หนักเรียนพับครึง่ ตามรูปแลวตัดกระดาษตามรอยพบั ออกเปน 2 สว น สว นท่ี 1 สว นท่ี 2 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนกุ รม 33 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 3. ครูใหนักเรียนหาพ้ืนท่ีของกระดาษแตละสวนที่ไดจากการตัด และเขียนคําตอบท่ีไดลง ในกระดาษสวนท่ี 2 แลว นํากระดาษสว นนใ้ี สไ วในกลอง สวนที่ 1 สว นท่ี 2 4. นํากระดาษสว นท่ี 1 มาทาํ ซา้ํ ตามข้ันตอนในขอที่ 2 และ 3 อกี 4 ครง้ั หมายเหตุ กระดาษที่ไดจากการตัดกระดาษครั้งที่ 2, 3, 4 และ 5 ที่ตองนําไปใสไวใน กลอ ง มพี ้นื ที่ 1 , 1 , 1 และ 1 ตารางหนวย ตามลําดับ 4 8 16 32 5. ครูใหนักเรียนหาวาพ้ืนท่ีของกระดาษสวนที่นําไปใสในกลองหลังจากการตัดครั้งที่ n เทา กบั เทา ใด แนวคําตอบ 1 ตารางหนว ย 2n หมายเหตุ ครูอาจช้ีแนะใหนักเรียนพิจารณาจากพ้ืนท่ีของกระดาษสวนที่นําไปใสใน กลอ งหลังจากการตัดครงั้ ท่ี 1, 2, 3, 4 และ 5 ซง่ึ นักเรียนจะเห็นวา หลงั จากการตดั คร้งั ท่ี พนื้ ท่ขี องกระดาษสว นท่ีนําไปใสกลอง (ตารางหนวย) 1 1= 1 2 21 2 1= 1 4 22 3 1= 1 8 23 4 1=1 16 24 5 1=1 32 25 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 34 คมู อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 6. ครูใหนักเรียนพิจารณาวา ถาการตัดกระดาษในรูปแบบนี้สามารถดําเนินการตอไปได เร่ือย ๆ แลวใหนักเรียนเขียนแสดงพ้ืนที่ของกระดาษสวนที่นําไปใสในกลองหลังจาก การตดั โดยเรยี งตามลําดับการตดั แนวคําตอบ 1, 1, 1, 1, 1 , , 1 , 2 4 8 16 32 2n หมายเหตุ ในการตอบคําถามขอน้ี ครูควรเนนยํ้าใหนักเรียนเขียนพจนที่ n กํากับไว เสมอ เนื่องจากมบี างลําดับที่มพี จนแรก ๆ เหมอื นกนั แตม พี จนทว่ั ไปแตกตา งกนั 7. ครูสรปุ วา คําตอบท่ีไดใ นขอ 6 เปน ลาํ ดบั อนนั ต 8. ครใู หนักเรียนเติมขอมลู ลงในตารางตอ ไปนใ้ี หส มบรู ณ หลังจากการตัดครง้ั ที่ พนื้ ทรี่ วมของกระดาษท่อี ยูในกลอง (ตารางหนวย) 1 2 3 4 5 แนวคําตอบ พืน้ ทรี่ วมของกระดาษทีอ่ ยใู นกลอง หลงั จากการตัดครงั้ ท่ี (ตารางหนว ย) 11 2 2 1 + 1 =3 244 3 1 + 1 + 1 =7 2488 4 1 + 1 + 1 + 1 =15 2 4 8 16 16 5 1 + 1 + 1 + 1 + 1 =31 2 4 8 16 32 32 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 35 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 9. ครูใหน กั เรยี นหาพืน้ ที่รวมของกระดาษที่อยใู นกลองหลังจากการตดั คร้ังท่ี n แนวคําตอบ พนื้ ที่รวมของกระดาษทอี่ ยใู นกลองหลงั จากการตดั คร้งั ที่ n เทากับ 1 + 1 + 1 +1 + 1 + + 1 =2n −1 =1 − 1 ตารางหนวย 2 4 8 16 32 2n 2n 2n หมายเหตุ ในการหาคําตอบของขอน้ี ครูควรสนับสนุนใหนักเรียนเขียนพื้นที่รวมของ กระดาษท่ีอยูในกลองหลังจากการตัดคร้ังท่ี n ใหอยูในรูป 2n −1 ได โดยอาจพิจารณา 2n จากแบบรปู ของพนื้ ท่รี วมของกระดาษท่ีอยูในกลองที่ไดในขอ 8 หรือความรอู ื่นกอนหนานี้ สําหรับ 1− 1 มาจากการพิจารณาพ้ืนที่กระดาษทั้งหมดลบดวยพ้ืนท่ีกระดาษ 2n สว นท่ี 1 หลงั จากการตดั ครงั้ ท่ี n 10. จากขอ 9 ครูใหนักเรียนพิจารณาหาพื้นท่ีรวมของกระดาษที่อยูในกลองเมื่อสามารถ ดําเนินการตดั กระดาษตามรปู แบบขางตน ตอไปเรื่อย ๆ ได โดยเขียนในรูปผลบวก แนวคําตอบ 1 + 1 + 1 + 1 + 1 ++ 1 + 2 4 8 16 32 2n 11. ครสู รุปวา • คําตอบทไ่ี ดในขอ 10 ซ่งึ คือ 1 + 1 + 1 + 1 + 1 + + 1 + เรียกวา อนุกรม 2 4 8 16 32 2n อนนั ต • คําตอบทีไ่ ดใ นขอ 9 ซ่งึ คือพ้ืนที่รวมของกระดาษท่อี ยูใ นกลองหลังจากการตัดคร้ัง ท่ี n เรียกวา ผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมอนันต แทนดวยสัญลักษณ Sn น่ันคือ Sn = 1 + 1 + 1 +1 + 1 ++ 1 2 4 8 16 32 2n สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 36 คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 • คําตอบท่ีไดในขอ 8 จะไดวา พ้ืนที่รวมของกระดาษที่อยูในกลองหลังจากการตัด ครงั้ ที่ 1 คือ S1 ซึง่ เทากับ 1 ในทาํ นองเดียวกนั จะไดว า 2 S2= 1+1 24 S3 = 1 + 1 + 1 2 4 8 S4 = 1 + 1 + 1 + 1 2 4 8 16 S5 = 1 + 1 + 1 +1 + 1 2 4 8 16 32 12. ครูอธบิ ายสรปุ เก่ียวกับอนุกรมอนนั ตและบทนยิ าม 6 ประเดน็ สาํ คญั เกยี่ วกับเน้อื หาและสง่ิ ทคี่ วรตระหนักเกี่ยวกับการสอน ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 การพิจารณาวา อนกุ รมท่ีกําหนดใหเ ปนอนุกรมลูเ ขาหรืออนุกรมลูออก จะทาํ ไดจ ากการพจิ ารณาลําดับของ ผลบวกยอ ยของอนุกรม เชน การพิจารณาอนุกรม 1+1+1+ +1n−1 + ทําไดดังนี้ จากสูตร =Sn n ( a1 + an ) 2 จะได Sn = n (1+1)= n 2 นนั่ คอื lim Sn = lim n n→∞ n→∞ จากทฤษฎบี ท 1 จะได lim n ไมมีคา n→∞ ดงั นนั้ อนุกรม 1+1+1+ +1n−1 + เปน อนกุ รมลูอ อก สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 37 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 ความเขาใจคลาดเคล่อื น นักเรียนอาจเขาใจผิดวา “ทุกอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตเปนอนุกรมลูออก” ทั้งน้ี ครูควรยกตัวอยางอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิต แตเปนอนุกรมลูเขา เชน อนุกรม เลขคณติ ท่มี ี=a1 0=, d 0 จะไดวา Sn = 0 ดงั นั้น lim Sn =0 n→∞ ประเดน็ สําคัญเก่ยี วกบั แบบฝก หัด จากแบบฝก หัด 1.3.3 ขอ 1 • ในการสรุปวาอนุกรมที่กําหนดใหเปนอนุกรมเลขคณิตหรืออนุกรมเรขาคณิตน้ัน ครู ควรเนนยํ้าใหนักเรียนตรวจสอบวาพจนที่ n ในอนุกรมท่ีกําหนดให เปนพจนที่ n ของอนุกรมเลขคณิตหรืออนุกรมเรขาคณิตจริง เชน จากขอ 4) จะไดวาเปนอนุกรม เลขคณิตที่มี a1 = 2 และ d = −3 จะเห็นวาพจนที่ n ของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 2 + (n −1)(−3) =5 − 3n ซึ่งเทากับพจนท่ี n ในอนุกรมทีโ่ จทยก ําหนด • ในการหาลําดับของผลบวกยอยของอนุกรมที่กําหนดให ครูอาจใหนักเรียน เปรียบเทียบ S1, S2 และ S3 ที่หาไดจากผลบวก 1, 2 และ 3 พจนแรกของอนุกรมท่ี กาํ หนด กับทห่ี าไดจากสตู รการหาผลบวกยอย n พจนแรกของอนกุ รม สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 38 คมู อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 สญั ลกั ษณแสดงการบวก ประเดน็ สาํ คญั เกี่ยวกบั เน้ือหาและสงิ่ ทีค่ วรตระหนกั เกีย่ วกบั การสอน • ครอู าจแนะนาํ สญั ลกั ษณ ∑ ไปพรอมกบั การสอน เรอื่ ง อนกุ รมอนันต ไดเ ลย หากพจิ ารณา แลว วา สอดคลอ งกบั แนวทางการจัดการเรียนรทู ีป่ ฏบิ ตั อิ ยู • การเขียนแสดงการบวกดวยสัญลักษณ ∑ อาจเขียนไดหลายรูปแบบ โดยดัชนีไมจําเปน ตองเร่ิมจาก 1 เชน ในตัวอยางที่ 51 นอกจากเขียนแสดง 2x + 4x2 + 6x3 + 8x4 +10x5 ไ ด เ ป น 5 แ ล ว อ า จ เ ขี ย น ไ ด เ ป น แ บ บ อื่ น ท่ี ดั ช นี ไ ม เ ร่ิ ม จ า ก 1 เ ช น ∑ 2ixi i =1 6 หรือ 7 ∑ 2(i −1) xi−1 ∑ 2(i − 2) xi−2 i=2 i=3 • การจดั รูป 4 ในตัวอยา งท่ี 60 ทําไดดงั นี้ (4i − 3)(4i +1) ให ( 4i − 4 4i=+ 1) A+B นน่ั คือ =4 A(4i +1) + B (4i − 3) 4i − 3 4i + 1 3)( เมื่อ i = 3 จะได A =1 4 เม่ือ i = − 1 จะได B = −1 4 ดงั น้ัน ( 4i − 4 4i=+ 1) 1 −1 4i − 3 4i + 1 3)( เรียกการจัดรปู โดยวธิ ีนี้วาการแยกเศษสว นยอ ย (Partial fraction decomposition) ประเด็นสําคญั เกยี่ วกับแบบฝกหัด การหาผลบวก n พจนแ รก และผลบวก 20 พจนแ รกของอนกุ รมท่กี ําหนดใหในแบบฝกหัด 1.4 ขอ 8 นัน้ นกั เรยี นอาจจัดรปู อนุกรมท่กี ําหนดใหในทํานองเดียวกับตวั อยางที่ 60 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 568
Pages: