148 การจัดทำและทดลองใช้หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะให้มีประสิทธิภาพ มีรายละเอียดของ การดำเนนิ การในแตล่ ะข้ันตอน ดังน้ี ขัน้ ตอนที่ 1 เตรยี มความพร้อมในการจดั ทำหลักสตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ 1) แต่งตง้ั คณะกรรมการ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยแต่งตั้งคณะบุคคลท่ีมีหนา้ ที่รับผิดชอบ การดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้ที่ยอมรับ ในหลกั การของหลักสตู รฐานสมรรถนะและพร้อมเปลยี่ นแปลง 2) จดั ทำขอ้ มูลความต้องการจำเปน็ ตามบริบทของสถานศึกษา ชุมชน ท้องถนิ่ และสถานการณ์ ปจั จุบนั จัดทำข้อมูลความต้องการจำเป็นของผู้เรียนแต่ละระดับ และจุดเน้นตามบริบทของ สถานศึกษา ชุมชนและท้องถิ่น เนื่องจากหลักสูตรฐานสมรรถนะให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้ผู้เรียนนำ สิ่งที่ได้เรียนรูไ้ ปใช้ได้จริงในการดำเนินชีวิต บริบทของสถานศึกษาจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้เรียน ทั้งส่วนที่เปน็ สถานการณ์ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือการใช้ชีวิตในอนาคตของผู้เรียน รวมทั้งสถานการณ์ของ ประเทศและโลกปัจจบุ นั ที่บ่งบอกถงึ สมรรถนะท่ีผเู้ รยี นตอ้ งมีเพ่ือการใช้ชวี ิตในอนาคต 3) ศกึ ษาการจดั การศกึ ษาฐานสมรรถนะ ศึกษาการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ ซ่งึ ประกอบด้วย 1) หลกั สูตรฐานสมรรถนะ 2) การจัด การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ และ 3) การวัดและประเมินผลฐานสมรรถนะ ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบ มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันตลอดแนว เพื่อทำความเข้าใจในหลักการของหลักสูตรฐานสมรรถนะ อนั จะนำมาสูก่ ารจดั ทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ 4) ศึกษา (รา่ ง) กรอบหลักสูตรการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช .... ศึกษา (ร่าง) กรอบหลักสูตรฯ ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ วิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะหลัก 6 ด้าน และสาระการเรียนรู้ ซึ่งในช่วงชั้นที่ 1 ประกอบด้วย 7 สาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ศิลปะ สุขศึกษาและพลศึกษา สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ หน้าท่พี ลเมอื ง และศีลธรรม และวิทยาศาสตรแ์ ละระบบธรรมชาติ
149 ขนั้ ตอนที่ 2 ร่างหลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ และตรวจสอบคณุ ภาพหลักสตู ร จัดทำ (ร่าง) หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะ และรายละเอียดของหลกั สูตร ตรวจพจิ ารณาคณุ ภาพหลักสูตร เสนอคณะกรรมการสถานศกึ ษา และคณะกรรมการขบั เคลอื่ นพื้นทนี่ วัตกรรมการศกึ ษา พจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบ 1) จัดทำ (ร่าง) หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ และรายละเอียดของหลักสูตร ได้แก่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ สมรรถนะหลัก คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สาระการเรียนรู้ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา คำอธิบายรายวิชา/ กิจกรรม การวัดและประเมินผลและเกณฑ์การจบการศึกษา พร้อมทั้งจัดทำเอกสาร ระเบียบการวัดและประเมนิ ผล ใหต้ รงตามเปา้ หมายของ (รา่ ง) กรอบหลกั สูตรฯ ท่กี ำหนด ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1.1) วิเคราะห์เชื่อมโยงผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 1 ของ (ร่าง) กรอบหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช .... กับบริบทของสถานศึกษาที่ดำเนินการไว้ขั้นตอนที่ 1 เพื่อปรับ หรือเพิ่มเติม ผลลัพธ์การเรียนรู้ ช่วงชั้นที่ 1 ให้สอดคล้องกับสภาพบริบท จุดเน้น ความพร้อม และความต้องการของ สถานศึกษา และความถนดั ความสามารถ ความสนใจ และความตอ้ งการของผู้เรียน 1.2) กำหนดโครงสร้างหลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ โดยศกึ ษากรอบโครงสร้างเวลาเรียนของ (ร่าง) กรอบหลักสูตรฯ สมรรถนะหลัก และผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 1 ตามสาระการเรียนรู้ แล้วพิจารณา จัดทำรายวชิ า และเวลาเรยี น ให้สอดคลอ้ งกบั บริบทและจดุ เนน้ ของสถานศึกษา กรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช .... ไดก้ ำหนดแนวการจัดโครงสร้างเวลาเรียน ของสถานศึกษา ในลกั ษณะการกำหนดชว่ งเวลาทย่ี ืดหย่นุ เพ่อื ให้สถานศกึ ษาไดพ้ จิ ารณากำหนดโครงสรา้ งเวลา ในการจัดการเรยี นรูท้ ีเ่ ออ้ื ตอ่ การพฒั นาผู้เรยี นให้บรรลุสมรรถนะตามกรอบหลักสูตรฯ และตามผลการวิเคราะห์ บริบทและจุดเน้นของสถานศึกษา สถานศึกษาสามารถนำโครงสร้างต่อไปนี้ ไปพิจารณาและดำเนินการจัด โครงสรา้ งหลกั สูตรสถานศึกษา โดยมหี ลกั การ ดงั นี้ 1. ยึดสมรรถนะหลกั และผลการวิเคราะห์บริบทและจดุ เน้นของสถานศึกษาเป็นเป้าหมาย ของการพฒั นาผเู้ รียนและการจัดเวลาในการเรียนรู้ 2. พัฒนาผู้เรียนตามความสามารถ ความต้องการ ความสนใจและเส้นทางการเรียนรู้ ของผู้เรียน 3. ยืดหยุน่ ตามบรบิ ทและระบบนิเวศทางการศึกษา (Ecosystem) ของแต่ละโรงเรียน 4. บูรณาการการจดั การเรียนรู้ ทัง้ ภายในสาระการเรยี นรู้และข้ามสาระการเรียนรู้ 5. พัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามจุดเน้นของช่วงวัยและจุดเน้นการจัดการศึกษา ช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3) มีจุดเน้นของช่วงวัย ได้แก่ อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น มีทักษะการคิด
150 ขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวติ ทักษะการสอ่ื สารอย่างสรา้ งสรรคต์ ามชว่ งวัย และจดุ เน้นของการจัดการศึกษาเพ่ือเป็น ฐานการเรยี นรแู้ ละสร้างสขุ ภาวะของผูเ้ รียน สาระการเรยี นรู้/ กิจกรรม เวลาเรียน ช่วงชั้นท่ี 1 (ป.1 – 3) เวลาเรยี น เวลาเรยี นบรู ณาการ เวลาเรียนรวม รายสาระการเรยี นรู้ ข้ามสาระการเรียนรู้ • สาระการเรียนรู้ 15 – 20% 25 – 45% 45 – 55% 15 – 20% 35 – 45% - ภาษาไทย 15 – 20% - คณติ ศาสตร์ 10% - ภาษาอังกฤษ ไมเ่ กิน 10% - ศลิ ปะ 10% - สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา - สงั คมศกึ ษา ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และศลี ธรรม - วิทยาศาสตร์ และระบบธรรมชาติ • กิจกรรมเพิ่มเติมตามจดุ เนน้ และบรบิ ท ของสถานศกึ ษา และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น (กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรยี น และ กจิ กรรมเพ่อื สังคมและสาธารณประโยชน์ หรือ ใช้เสรมิ เวลาในสาระการเรียนรูท้ ี่ต้องการเน้น) รวมเวลาเรียนทัง้ หมด ไม่เกนิ 800 ช่ัวโมง/ ปี หมายเหตุ สถานศึกษาสามารถปรับเวลาเรียนแตล่ ะสาระการเรยี นรไู้ ดต้ ามบริบทและความเหมาะสม โดยคำนงึ ถงึ การบรรลผุ ลลัพธ์การเรยี นรขู้ องสาระการเรยี นรู้
151 การกำหนดรายวชิ าในแต่ละชั้นปี สามารถกำหนดรายวิชาตามสาระการเรียนรู้เปน็ ๗ รายวิชา หรือสามารถจดั รายวชิ าบรู ณาการสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั ได้ เชน่ ตวั อย่างรายวิชา ตัวอยา่ งที่ ๑ ตัวอย่างที่ ๒ • ภาษาไทย • ภาษาไทย • คณิตศาสตร์ • คณิตศาสตร์ • ภาษาอังกฤษ • ภาษาองั กฤษ • ศิลปะ • ชีวติ และสงั คม (บูรณาการสุขศึกษาและพลศึกษา • สุขศกึ ษาและพลศึกษา ศลิ ปะ สงั คมศกึ ษา ประวัตศิ าสตร์ • สงั คมศึกษา ประวตั ิศาสตร์ หน้าท่ีพลเมือง หน้าทพี่ ลเมืองและศลี ธรรม) และศลี ธรรม • ธรรมชาติรอบตัว (สขุ ศึกษา ศิลปะ • วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ และระบบธรรมชาต)ิ สร้างรายวิชา สร้างรายวิชา ตามโครงสร้างรายวิชาตามกรอบหลกั สตู รฯ บรู ณาการสาระการเรยี นรตู้ ่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั 1.3) กำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ของรายวิชา การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ของรายวิชา กำหนดจากข้อมูล - ความต้องการจำเปน็ ของผู้เรยี นในชน้ั ปี - จุดเน้นตามบริบทของสถานศึกษาทไ่ี ด้จดั ทำในข้ันตอนที่ 1 - คำบรรยายพฤตกิ รรมระดบั การพฒั นาของสมรรถนะหลักที่เกี่ยวข้อง ในส่วนนี้ให้พิจารณาจากสมรรถนะหลักท่ีแสดงไว้ในตารางความสัมพันธ์ระหว่าง สมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะ เช่น วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา กำหนดสมรรถนะหลักท่ีเกี่ยวข้องไว้ 6 สมรรถนะ แล้วจึงไปเลือกคำบรรยายพฤติกรรมจากสมรรถนะหลักที่เกี่ยวข้อง สถานศึกษาสามารถกำหนด ระดับการพัฒนาได้ตามความพร้อมของผู้เรียน เช่น ผู้สอนที่รับผิดชอบจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 สามารถใช้พฤตกิ รรมบ่งช้ีหลกั ในระดบั ท่ี 1 ถึง 3 หรอื มากกว่าน้ัน - ผลลพั ธ์การเรียนรู้ชว่ งชนั้ ท่ี 1 ของสาระการเรยี นรู้ทเ่ี กยี่ วข้อง - ผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ชว่ งช้ันที่ 1 ของสาระการเรียนรูท้ เ่ี กีย่ วข้อง ความตอ้ งการ จุดเนน้ ตาม ระดับการพฒั นา ผลลพั ธ์การเรยี นรชู้ ว่ งชนั้ ท่ี ๑ จำเปน็ ของ บริบทของ ของสมรรถนะ สาระการเรยี นรู้ ... สถานศึกษา ที่เกย่ี วข้อง ผู้เรียน 0 ผลลัพธ์การเรยี นรู้รายวชิ า ป.๑ ผลลัพธ์การเรยี นร้รู ายวชิ า ป.2 ผลลัพธก์ ารเรยี นรรู้ ายวิชา ป.3
152 ผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา เป็นความคาดหวังว่าผู้เรียนจะกระทำได้ โดยระบุสมรรถนะหลัก ท่ีเก่ียวขอ้ ง สมรรถนะเฉพาะ (ความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลักษณะทีเ่ ชือ่ มโยงกัน) และสถานการณ์ การบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้เมื่อจบช่วงชั้นที่ ๑ กำหนดให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนภายใน ๓ ปี ซึ่งสถานศึกษาสามารถจะกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้แต่ละปี ไต่ลำดับจากง่ายไปยาก หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ เหมือนกันในแต่ละปี แต่มีความเข้มข้นของสมรรถนะเฉพาะ ระดับการพัฒนาสมรรถนะหลัก และสถานการณ์ ทหี่ ลากหลายและซับซ้อนมากขน้ึ 1.4) จดั ทำคำอธบิ ายรายวชิ า จัดทำคำอธิบายรายวิชา โดยนำผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชาชั้นปี มาเขียนเป็นคำอธิบาย รายวชิ า ซง่ึ สามารถเขยี นได้หลายลักษณะ มอี งค์ประกอบทสี่ ำคัญ ดังน้ี 1.4.1) ชื่อรายวิชา สำหรับชื่อรายวิชา สถานศึกษาสามารถกำหนดได้ตาม ความเหมาะสม ทง้ั น้ี ตอ้ งส่อื ความหมายไดช้ ดั เจน สอดคลอ้ งกบั ผลลพั ธ์การเรียนร้ชู ัน้ ปี 1.4.2) เวลาเรยี น 1.4.3) ข้อความที่เป็นการระบุรายละเอียดของความรู้ ทักษะ เจตคติและค่านิยม ที่ผู้เรียนต้องใช้ร่วมกันเพื่อให้บรรลุความสามารถที่คาดหวังดังกล่าวมาเขียนเรียบเรียงเป็นคำอธิบายรายวิชา ซ่ึงประกอบด้วย - ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่แสดงรายละเอียดพฤติกรรมบ่งชี้ของสมรรถนะหลัก โดยระบวุ า่ ผเู้ รยี นทำอะไรได้ อย่างไร ในระดบั ใด ในเง่ือนไขใด สถานการณ์ใด - สมรรถนะเฉพาะ ซึง่ ประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะทเี่ ชือ่ มโยงกัน - สถานการณ์และบริบทการเรียนรู้ ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ผ่านรูปแบบ ส่ือ วธิ ีการทีห่ ลากหลายอยา่ งเหมาะสม ทั้งนี้ อาจมีการกำหนดรายละเอียดอื่น ๆ ที่สถานศึกษาเห็นว่าสำคัญจำเป็น เช่น แนวทางการวัดและประเมินผลที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ และเครื่องมือ นอกจากนี้ การคำอธิบายรายวิชา ควรเขียนให้มีความกระชับ อาจแบ่งย่อหน้า หรือไม่แบ่งย่อหน้าก็ได้ แต่ต้องมีความชัดเจนเพียงพอในการนำไป ออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ และแผนการจดั การเรียนรู้ 2) ตรวจพิจารณาคุณภาพหลกั สูตร เมื่อจัดทำร่างหลักสูตรสถานศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรมีการพิจารณาคุณภาพ ความถูกต้อง เหมาะสม โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ หรือการรับฟังความคิดเห็นจาก ผทู้ ี่เกี่ยวขอ้ ง เพือ่ นำข้อมลู ทไี่ ด้มาพิจารณาปรบั ปรุงแก้ไขใหส้ มบรู ณ์ย่งิ ข้ึน 3) เสนอคณะกรรมการสถานศึกษา และคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบ นำเสนอ (ร่าง) หลักสูตรสถานศึกษา และระเบียบการวัดและประเมินผล ต่อคณะกรรมการ สถานศึกษา และคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ หากมี ข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการ ให้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) หลักสูตรสถานศึกษา ใหม้ คี วามเหมาะสมและชัดเจนยิง่ ขนึ้ ก่อนการอนมุ ัตใิ ชห้ ลกั สูตร และเมื่อได้รบั ความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการ สถานศึกษา และคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ แล้ว ให้จัดทำเป็นประกาศ หรือคำสั่ง เรื่อง ให้ใช้หลักสูตร สถานศกึ ษา โดยผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและประธานกรรมการสถานศึกษาเปน็ ผูล้ งนาม หรือผ้บู รหิ ารสถานศึกษา เป็นผลู้ งนามเพยี งผูเ้ ดยี ว หรือตามท่ีคณะกรรมการขบั เคลอื่ นฯ เหน็ ชอบ
153 ข้ันตอนท่ี 3 นำหลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะไปใช้ และปรบั ปรุงการจดั การเรียนรู้ 1) นำหลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะไปใช้ นำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะซึ่งได้กำหนดคำอธิบาบรายวิชาไว้แล้วไปจัดทำ โครงสร้างรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามเป้าหมาย โครงสร้างหลกั สูตรสถานศึกษา รายวชิ า คำอธิบายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวิชา หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ 1.1) จัดทำโครงสร้างรายวชิ า จัดทำโครงสร้างรายวิชา เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของรายวิชาประกอบด้วย ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ และเวลาเรยี นของแตล่ ะหน่วย โดยมีขอ้ คำนึงในการจัดทำโครงสรา้ งรายวชิ า ดังน้ี ⚫ การจัดลำดับหน่วยการเรียนรู้ ให้พิจารณาจากลำดับของการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะ ให้มีความต่อเนื่องจากง่ายไปยาก จากใกล้ตัวไปไกลตัวเพื่อให้ผู้เรียนได้สั่งสม ความรู้ ทักษะ เจตคติ/ ค่านิยม และนำสิ่งที่ได้รับมาพัฒนาสมรรถนะหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นการประเมินเพื่อพัฒนาความก้าวหนา้ โดยคำนึงถึงพัฒนาการ ศักยภาพ และธรรมชาติของผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ พึงตระหนักว่าการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะมุง่ ให้ผู้เรียนค้นพบตัวเอง ซง่ึ ผู้เรียนแต่ละคนอาจมีศักยภาพ ความถนัด หรือความต้องการจำเป็น แตกต่างกัน การจัดลำดับหน่วยการเรียนรู้ที่ดี จะทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามลำดับขั้นได้จริ ง แต่การให้ ความชว่ ยเหลอื ผู้เรียนเทา่ ทจ่ี ำเป็นตามความแตกต่างของผู้เรยี นแตล่ ะคนก็มคี วามสำคัญอยา่ งยิ่ง เพราะจะทำให้ ผู้เรียนสามารถบรรลุสมรรถนะหลักที่เป็นเป้าหมายได้ แม้จะใช้เวลาเรียน หรือวิธีการที่แตกต่างกัน และ ลดความเส่ียงของการสูญเปลา่ ทางการเรยี นรู้ทจ่ี ะหยุดชะงักลงเมอ่ื ผู้เรียนยงั ไมบ่ รรลผุ ลลัพธ์การเรียนรู้ที่จำเป็น ต่อการเรยี นรู้ในขน้ั ตอ่ ไป ⚫ ความเชือ่ มโยงของหน่วยการเรียนรู้ทจี่ ัดข้นึ วา่ มีความเกีย่ วเนื่องเช่อื มโยงกันอย่างไร เป็นลำดับขั้นตอนหรือไม่ หรือสามารถเรียนรู้แบบแยกส่วนได้ รวมทั้งหลักฐานการเรียนรู้ของรายวิชา มีความสัมพันธ์กับหน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยที่จัดขึ้นหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะนำมาสู่การจัดการเรียนรู้ ที่มีความหมาย และกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเกดิ ความคดิ เชือ่ มโยงและบูรณาการอย่างเป็นระบบ ⚫ การกำหนดเวลาเรียนของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ พิจารณาจากเวลา ความเข้มข้น ของผลลัพธ์การเรยี นรู้เชงิ สมรรถนะ โดยเวลาเรียนที่กำหนดขึน้ อาจต้องพิจารณาวา่ นอกจากจะเป็นเวลาเรยี น ในห้องเรียนที่กำหนดตามโครงสร้างเวลาเรียนแล้ว อาจมีความจำเป็นที่นักเรียนจะต้องการศึกษาด้วยตนเอง นอกห้องเรียน หากเป็นเช่นนั้นครูผู้สอนจะต้องพิจารณาว่านักเรียนจะเป็นต้องใช้มีความเหมาะสมแล้ว ท้ังในรายวชิ าของตนเอง และตอ้ งพิจารณารว่ มกับครูผสู้ อนคนอนื่ ทีร่ บั ผดิ ชอบจัดการเรยี นรู้ในระดับช้ันเดียวกัน ด้วยวา่ เพ่ิมภาระให้กบั ผู้เรยี นจนลดประสิทธภิ าพการเรยี นรหู้ รือไมอ่ กี ดว้ ย
154 ⚫ เมื่อนักเรียนเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้สุดท้ายจบลง นักเรียนต้องบรรลุจุดมุ่งหมาย ของรายวชิ า กล่าวคอื นักเรียนควรได้รบั การพฒั นาจนมีศักยภาพทีจ่ ะต่อยอดความชำนาญไปใช้ในสถานการณ์ หรอื บรบิ ททท่ี ้าทาย และใกลเ้ คียงกับชีวติ จริง หลงั จากออกแบบหน่วยการเรยี นรู้แลว้ ครูผสู้ อนสามารถกำหนด ชื่อหน่วยการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหา หรือกิจกรรมภายในหน่วยการเรียนรู้ โดยอาจกำหนดให้เป็นชื่อ ท่เี รา้ ความสนใจ และท้าทายความสามารถของผู้เรยี น 1.2) จดั ทำหน่วยการเรียนรู้ จัดทำหน่วยการเรียนรู้ โดยพิจารณาผลลัพธ์การเรียนรู้รายปี สมรรถนะหลัก และ สมรรถนะเฉพาะทั้งด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ที่เชื่อมโยงและเกี่ยวข้องเป็นเร่ืองเดียวกนั มาบูรณาการ เป็นหน่วยการเรียนรู้ และจัดการเรียนการสอนในลักษณะองค์รวม ซึ่งสามารถจัดการเรียนการสอนบูรณาการ กบั สาระการเรียนรู้อน่ื ๆ ได้ เพือ่ พฒั นาผู้เรียนใหม้ ีสมรรถนะ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ (Learning) ควบคู่ กับการประเมินเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามจุดประสงค์การเรียนรู้ เชิงสมรรถนะ (Objective) ซง่ึ เป็นเปา้ หมายการเรยี นรู้ โดยมรี ายละเอียด ดงั ต่อไปนี้ 1. การกำหนดจุดประสงค์การเรยี นรูเ้ ชิงสมรรถนะ สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ คือ การกำหนดจุดประสงค์ การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ ซึ่งมีความสำคัญในการออกแบบการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินการเรียนรู้ ใหส้ อดคล้องกนั จุดประสงคก์ ารเรยี นรเู้ ชงิ สมรรถนะมีความแตกตา่ งจากจดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ่ัวไป ดังนี้ ข้อแตกต่างของจดุ ประสงค์การเรยี นรู้เชงิ สมรรถนะกบั จุดประสงค์การเรียนร้แู บบเดิม ประเด็น จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ การแสดงความรู้ ทกั ษะ เชิงสมรรถนะ เจตคติ แต่ละข้อ ระบุความรู้ ทกั ษะ เจตคติ จดุ ประสงคจ์ ะแสดงคำสำคญั สถานการณ/์ บรบิ ท/ การแกป้ ัญหา ท่ีเชอ่ื มโยงกนั ซ่งึ อาจกำหนด ดา้ นความรู้ ทักษะ เจตคติ การแสดงพฤติกรรม ความรู้เชอื่ มโยงกับทกั ษะ หรือ ซ่งึ อาจจะอยใู่ นข้อเดียวกนั ความรูเ้ ช่อื มโยงกับเจตคติ หรือ หรือแยกขอ้ ทกั ษะเชื่อมโยงกบั เจตคติ ระบุสถานการณ/์ บรบิ ท/ อาจระบสุ ถานการณ์/บรบิ ท/ การแก้ปัญหา การแกป้ ัญหา หรือไม่ระบุกไ็ ด้ แสดงพฤติกรรมท่ีแสดงถึงการใช้ แสดงพฤตกิ รรมด้านใดดา้ นหน่งึ การใชค้ วามรู้ ทักษะ เจตคติ หรือหลายดา้ นทีเ่ กิดจาก ทส่ี ะท้อนถงึ สมรรถนะตามระดับ กระบวนการเรียนร้ซู ่ึงอาจเป็น การพัฒนาของสมรรถนะหลัก ในระดับห้องเรยี น หรอื ในชวี ิตจริง จุดประสงค์การเรียนร้เู ชิงสมรรถนะจะประกอบดว้ ยองค์ประกอบสำคญั 3 ประการ คอื 1. การแสดงความรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะ ทสี่ ำคญั และจำเป็นสำหรบั การพัฒนาผูเ้ รียนทเ่ี ชอื่ มโยงกัน 2. งาน/ สถานการณ์/ บริบท /การแก้ปัญหา ท่ีผู้เรียนต้องใช้การบูรณาการความรู้ ทักษะ และ คณุ ลกั ษณะ 3. การแสดงพฤตกิ รรม ที่แสดงออกถึงสมรรถนะของผู้เรียน
155 การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ วิเคราะห์จากผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา พฤติกรรมบ่งชี้ ของสมรรถนะหลักตามช่วงชั้นที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนและสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของผู้เรียน และ สมรรถนะเฉพาะ (ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะทเ่ี ชอ่ื มโยงกัน) สำหรับพฤติกรรมบ่งชี้ของสมรรถนะหลักนั้นผู้สอนที่รับผิดชอบจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 สามารถใช้พฤตกิ รรมบ่งชี้หลักในระดบั ที่ 1 ถึง 3 หรอื มากกว่าน้ัน ผลลพั ธ์การเรยี นร้รู ายวชิ า พฤติกรรมบง่ ชี้ สมรรถนะเฉพาะ ของสมรรถนะหลกั ตามระดับการพฒั นา (ความรู้ ทักษะ และ คุณลักษณะท่ีเช่ือมโยงกนั ) จุดประสงค์การเรยี นรูเ้ ชิงสมรรถนะ 2. การกำหนดการประเมินการเรียนรู้ และหลกั ฐานการเรียนรู้ เมือ่ กำหนดจุดประสงค์การเรียนรูเ้ ชงิ สมรรถนะ ส่ิงทตี่ อ้ งดำเนินต่อไป คือ กำหนด หลักฐานการเรียนรู้ ท่ีสามารถใชป้ ระเมินระดับความชำนาญของผู้เรียน และใหข้ อ้ มลู ป้อนกลับในการพัฒนา ผู้เรียน (Assessment as Learning) ช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ กำกับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตนให้พัฒนาในระดับที่สูงขึ้น โดยเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนแสดงสมรรถนะผ่านหลักฐานการเรียนรู้ได้หลากหลายวธิ ีตามความถนดั ความชอบและศักยภาพ ในรปู แบบของตนเอง ตัวอย่าง แบบบนั ทกึ ความกา้ วหนา้ ในการเรียนรูข้ องผู้เรียนรายบุคคล (Formative Assessment) วชิ า ............................................................................................................................... ชนั้ ป. .............. ช่ือ - สกุล........................................................................................................................ เลขท่ี .............. คร้ังท่ี ชอ่ื งาน เกณฑ์ ผลการ การ การให้ การ ผลการ การ ประเมนิ สะท้อนคิด ขอ้ มูล สนับสนุน ประเมินซ้ำ/ ประเมิน ของ นร. ป้อนกลับ ช่วยเหลือ ต่อยอด
156 แบบบนั ทกึ สรุปความกา้ วหน้าในการเรยี นรู้ของผู้เรียนรายหอ้ ง (Formative Assessment) วชิ า …………………………………………………………………………………………………………. ชั้น ป. ........................ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ......... ชื่อหน่วย ............................................................................................................. การประเมนิ คร้ังที่ ............ : ช่อื งาน .............................................. เลขที่ ชอ่ื -สกุล ผลการประเมินระดบั การพฒั นาสมรรถนะ ครัง้ ท่ี 1 คร้ังที่ 2 ครัง้ ที่ 3 คร้ังที่ 4 ครัง้ ท่ี ... แบบบันทกึ สรปุ ผลการพฒั นาของผเู้ รียนรายบคุ คล (Summative Assessment) วชิ า ................................................................................................................................ ช้นั ป. ............. ชอ่ื - สกลุ ........................................................................................................................ เลขท่ี .............. ครง้ั ท่ี ช่ืองาน เกณฑ์ ผลการ การ การให้ การ ผลการ การ ประเมนิ สะท้อนคดิ ขอ้ มูล สนับสนนุ ประเมนิ ซ้ำ/ ประเมนิ ของ นร. ป้อนกลบั ชว่ ยเหลือ ตอ่ ยอด
157 แบบบนั ทึกสรปุ ผลการพัฒนาของผูเ้ รยี นรายห้อง (Summative Assessment) วชิ า …………………………………………………………………………………………………………. ชั้น ป. ........................ หน่วยการเรียนรู้ที่ ......... ชื่อหนว่ ย ............................................................................................................. การประเมนิ ครง้ั ท่ี ............ : ชื่องาน .............................................. เลขที่ ชื่อ-สกุล ผลการประเมินระดบั การพัฒนาสมรรถนะ ครงั้ ที่ 1 คร้ังที่ 2 หมายเหตุ ในการประเมนิ ฐานสมรรถนะ ผเู้ รียนสามารถประเมินซำ้ ได้ท้งั การประเมนิ ความก้าวหน้าในการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น (Formative Assessment) และการประเมนิ สรปุ ผลการพัฒนาของผู้เรียน (Summative Assessment) 3. การกำหนดการจัดการเรยี นรู้ หลังจากที่ผู้สอนกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ และหลักฐาน การเรียนรู้สำหรับการประเมินเพื่อพัฒนา และหลักฐานการเรียนรู้สำหรับการประเมินสรุปผลการพัฒนาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคอื การออกแบบการจัดการเรยี นรู้ โดยให้มีการประเมินเพอื่ พฒั นาควบคู่ไปดว้ ย การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนควรวิเคราะห์ผู้เรียนใน 3 ด้าน ดังน้ี 1) ด้านความพร้อมของนักเรียน ครูจำเป็นต้องประเมินความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ หรือระดับ ความเชี่ยวชาญในการแสดงสมรรถนะของนักเรียนก่อนว่า มีความพร้อมในระดับใด เพื่อต่อยอดให้สอดคล้อง กับระดับการพัฒนา 2) ด้านความสนใจของนักเรียน พิจารณาได้จากแรงบันดาลใจ สำรวจความชอบ ความสนใจเพื่อจัดการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน และ 3) ด้านข้อมูลลักษณะการเรียนรู้ ของผเู้ รียน เชน่ จดุ แข็งและขอ้ จำกัดในการเรยี นรู้ ธรรมชาตแิ ละลลี าในการเรยี นรขู้ องนกั เรียน ข้อควรคำนึงในการจัดการเรียนรู้ คือ ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของ ความถนัด ความสนใจ เส้นทางการเรียนรู้ และรวมถึงจังหวะในการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ ผู้สอนจะต้อง วิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อ การพัฒนาผูเ้ รยี นทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั รวมถงึ การเลอื กทรัพยากรและส่ือในการเรยี นรู้ที่หลากหลาย การจดั บทเรียนและแบบฝึกหัดเพิ่มเติม สำหรบั กลุ่มผู้เรยี นท่เี รียนร้เู ร็ว - ช้า แตกตา่ งกนั
158 ผู้สอนควรทำความเข้าใจใหช้ ัดเจนว่าจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะตอ้ งการ ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์เรียนรู้อะไร แล้วจึงเริ่มคิดออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ มาเชื่อมโยงกับงาน หรือ สถานการณท์ จี่ ะให้ผเู้ รยี นได้ปฏบิ ัตเิ พอ่ื ให้ผู้เรียนบรรลจุ ดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ที่กำหนด ผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาสมรรถนะเฉพาะซึ่งเป็น การพัฒนาทั้งความรู้ ทักษะและคุณลักษณะไปด้วยกัน แตกต่างจากการสอนแบบเดิมที่แยกพัฒนาความรู้ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะ รวมท้งั ยงั ไมไ่ ด้จัดสถานการณ์ใหผ้ เู้ รียนนำความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลักษณะไปใชใ้ นชีวิต การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ผู้สอนสามารถเลือกที่จะเริ่มที่การพัฒนา ความรู้เชื่อมโยงกับทักษะ ความรู้เชื่อมโยงกับคุณลักษณะ หรือคุณลักษณะเชื่อมโยงกับความรู้ หรือพัฒนา ทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะเชื่อมโยงกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ หลังจากที่ผู้เรียนมีสมรรถนะเฉพาะซึ่งประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ และสมรรถนะหลัก ตามระดับพฤติกรรมแล้ว จึงจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนฝึกฝนนำความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ไปใช้ผ่านงาน หรือกิจกรรม หรือสถานการณ์ที่หลากหลาย สอดคล้องกับชีวิตจริง เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญ และ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งระหว่างการจัดการเรียนรู้ และการฝึกฝนของผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องจัด การประเมินเพื่อพัฒนาสมรรถนะเฉพาะและสมรรถนะหลักของผู้เรียนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับ แก่ผู้เรียน อันจะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะ เมื่อผู้เรียนมีสมรรถนะเฉพาะและสมรรถนะหลัก ตามจุดประสงค์เชิงสมรรถนะข้อนั้น ๆ แล้ว ผู้เรียนก็พร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะตามจุดประสงค์ เชงิ สมรรถนะข้ออ่ืนต่อไป จดั การเรยี นรู้ ฝึกฝนนำความรู้ พัฒนา ให้ผเู้ รยี นเกิดสมรรถนะเฉพาะ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะ สมรรถนะอน่ื (ความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลักษณะ ไปใช้ในสถานการณ์ ต่อไป อย่างเชือ่ มโยงกัน) ตา่ ง ๆ ประเมนิ เพ่ือพัฒนาสมรรถนะเฉพาะและสมรรถนะหลกั ใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลบั เพ่ือพัฒนาผู้เรียน ให้มีสมรรถนะท่สี ูงข้ึน โดยสรปุ หนว่ ยการเรียนรมู้ อี งค์ประกอบดงั นี้ ๑. ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ และเวลาเรยี น ๒. ผลลัพธก์ ารเรียนรู้รายวชิ าช้ันปี ๓. สมรรถนะหลักทเี่ กย่ี วขอ้ ง (ตามระดับการพฒั นา) ๔. สมรรถนะเฉพาะ (ทั้งดา้ นความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่เี ช่อื มโยงกัน) ๕. จุดประสงค์การเรียนรูเ้ ชิงสมรรถนะ ๖. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างจดุ ประสงค์เชิงสมรรถนะ กบั หลักฐานการเรยี นรู้ ๗. การจดั การเรียนรู้ ๘. เกณฑก์ ารประเมิน
159 ดงั แสดงในภาพแผนตอ่ ไปน้ี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ และเวลาเรยี น ผลลัพธก์ ารเรียนรรู้ ายวชิ าชั้นปี สมรรถนะหลกั ที่เก่ียวข้อง สมรรถนะเฉพาะ (ตามระดบั การพฒั นา) (ทั้งดา้ นความรู้ ทักษะ และคุณลกั ษณะ ที่เช่อื มโยงกัน) จดุ ประสงค์การเรียนรูเ้ ชงิ สมรรถนะ การจัดการเรียนรู้ หลักฐานการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมิน 2) ระบบการจัดการเรยี นรู้ควบคกู่ ารประเมินเพื่อพฒั นาสมรรถนะผู้เรียน ดังทไ่ี ด้กลา่ วถึงข้างต้น การประเมินเป็นส่วนหนง่ึ ท่ีบรู ณาการอยใู่ นกระบวนการเรียนรู้ การจัด การเรียนรู้ควบคู่การประเมินเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนจึงเป็นระบบที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้าง ที่มีองค์ประกอบที่หลากหลาย ที่แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับการประเมิน ตลอดแนว ดังน้ี 1. การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ ออกแบบการเรียนรู้ และออกแบบ การประเมนิ เป็นขั้นตอนแรกของการเตรียมการจัดการเรียนรู้ การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ พิจารณาให้เหมาะสมตามสมรรถนะหลักและระดับสมรรถนะ ผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา/ ช่วงชั้น/ รายปี และ สมรรถนะเฉพาะ โดยบ่งบอกระดับสมรรถนะท่ีนำมาใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยทั่วไประดับ สมรรถนะจะมีการแบ่งให้เหมาะสมกับช่วงช้ัน ซึ่งนำมากำหนดเป็นผลลัพธ์การเรียนรูร้ ายวิชา/ ช่วงชั้น/ รายปี และสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ กำหนดสมรรถนะเฉพาะจากความรู้และสมรรถนะที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งครูผู้สอน สามารถนำมาใชใ้ นการกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการจดั การเรียนรู้ได้ หลังจากกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะแล้ว ครูผู้สอนดำเนินการออกแบบ การจัดการเรียนรู้ และการประเมินไปพร้อมกัน กล่าวคือ ครูออกแบบการจัดการเรียนรู้ ทั้งในลักษณะ หน่วยการเรียนรู้ หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ตามดุลยพินิจของครูและความเหมาะสมกับความต้องการ
160 ของผู้เรียน การออกแบบการจัดการเรียนรู้ควรระบุพฤติกรรมบ่งชี้ที่แสดงถึงการบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ เชิงสมรรถนะ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือแสดงว่ามีสมรรถนะตามจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว สามารถพิจารณาได้จากหลักฐานการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น การออกแบบการประเมินควบคู่กับการเรียนรู้ควรให้ความสำคัญกับการประเมิน เพือ่ ความก้าวหน้าเมื่อกำหนดหลักฐานการเรียนรู้ได้แล้ว ครูสามารถกำหนดวิธกี ารในการเก็บรวบรวมหลักฐาน การเรียนรู้ดังกล่าวด้วยเครื่องมือและช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมและ เชื่อมโยงการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะการเรียนรู้ หลักฐานการเรียนรู้ในแต่ละช่วงของ การเรยี นรใู้ นหน่วยการเรยี นรู้หรือแผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เหน็ ความก้าวหน้าในการ เรียนรู้ของผู้เรียน ก่อนที่จะไปถึงการทำผลงาน หรือชิ้นงานที่แสดงการมีสมรรถนะในตอนท้ายของการเรียนรู้ โดยครอบคลุมทุกช่วงเวลาของกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานที่แสดง พฤตกิ รรมบ่งชไ้ี ดท้ นั ท่วงที
การเรยี นรู้ควบคู่การประเมนิ เพื่อพฒั นา วงจรของการปฏบิ ัติการประเมินเพอ่ื การเรยี นร กาหนดจุดประสงค์ ออกแบบ ประเมินวินจิ ฉัย/ จัดการเร การเรียนรู้ และออกแบบการประเมิน ศกึ ษาพืน้ ฐานเดมิ การประเม ตามสมรรถนะหลกั ; ตคี วามและบ และระดับสมรรถนะ พฤตกิ รรม รายบคุ ค ตามผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ รายวชิ า/ ชว่ งช้ัน/ รายปี ผู้เรยี นสะท และกากับกา ตามสมรรถนะเฉพาะ
161 รู้ ประเมนิ ซ้า พฒั นาตอ่ ยอด ตามความต้องการ ตามลาดับการเรียนรู้ รียนรูค้ วบคู่ มินเพ่อื พฒั นา บันทึก ใหข้ ้อมลู ไดร้ บั มบ่งช้ี ป้อนกลบั การสนับสนุน คล ช่วยเหลือ ท้อนคิด ารเรยี นรู้
162 2. วงจรการปฏบิ ตั ิการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ วงจรนส้ี ำคัญอยา่ งยิ่ง แสดงให้เหน็ กจิ กรรมการประเมินที่บรู ณาการกบั กระบวนการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้ครูสามารถเริ่มด้วยการประเมินวินิจฉัยเพื่อศึกษาพื้นฐานความรู้เดิม หรือจุดอ่อนจุดแข็ง ของผู้เรยี นทมี่ ีอยูเ่ ดิมก่อนเรยี น หรอื การเรียนรู้ หรือสมรรรถนะเดมิ ก่อนเรียนของผูเ้ รียน ซึง่ ช่วยให้ครูออกแบบ การเรียนรู้ หรอื ปรับการจัดการเรยี นรูใ้ ห้เหทมาะสมกบั ความตอ้ งการของผูเ้ รยี นรายบุคคลได้ จากนั้นครูอธิบายเป้าหมายการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจ ทั้งจุดประสงค์การเ รียนรู้ เชิงสมรรถนะของการเรียนรูใ้ นแต่ละหน่วยการเรียนรู้/ แผนการจัดการเรียนรู้/ ครั้ง รวมทั้งภาพความคาดหวงั ของผลงาน หรอื ชิ้นงาน หรือพฤติกรรมท่ีผู้เรียนต้องนำมาแสดงให้ผู้เรียนทราบ ซงึ่ จะเป็นการกำหนดมาตรฐาน การประเมินการเรียนรู้ให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้เรียนทั่วไปทุกคน และทำให้ผู้เรียนทราบเป้าหมายและเกิด ความรบั ผิดชอบในการเรียนรูข้ องตนเอง หลังจากที่เข้าใจภาพความคาดหวังของการเรียนรู้ตรงกันแล้ว จึงเริ่มดำเนินการจัดการ เรียนรู้ควบคู่การประเมินเพื่อพัฒนา หมายความว่าในระหว่างการจัดการเรียนรู้ ครูและผู้เรียนติดตาม การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นระยะ ๆ ด้วยวิธีการประเมินความก้าวหน้า (Formative Assessment) ที่ใช้ทั้ง การประเมินโดยครู เพื่อน และการประเมินตนเองของผู้เรียน การประเมินความก้าวหน้าทำให้ได้หลักฐาน การเรียนรู้ที่แสดงความก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นลำดับ มีการให้ข้อมูลป้อนกลับและการสนับสนุนช่วยเหลือ ผู้เรียนตามความตอ้ งการที่วิเคราะห์จากหลักฐานการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันผู้เรียนจะกำกับตดิ ตามการเรยี นรู้ ของตนเองได้ โดยไม่ต้องรอใหถ้ ึงการประเมินในช่วงท้ายของการเรียนรู้ ข้อมูลที่แสดงความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละช่วงหรือจุดสำคัญ (Key Point) ควรได้รับการบันทึกลงในแบบแบบฟอร์มอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ครู ผู้เรียน หรือผู้เกี่ยวข้อง เห็นพัฒนาการในการเรียนรู้ของผู้เรียน ครู หรือผู้เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือตามความต้องการ ของผู้เรียนจากพัฒนาการที่เห็นได้ และผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ของตนเองจากการได้เห็นเส้นทาง การเรยี นรูข้ องตนเองไดช้ ดั เจนขึ้น หากผู้เรียนได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือในระหว่างทางอย่างเหมาะสม และเมื่อต้อง ประเมินสรปุ ผล (Summative Assessment) เพ่อื ตัดสนิ วา่ ผ้เู รียนมีสมรรถนะตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้หรือไม่ ผู้เรียนจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ แต่หากผู้เรียนยังไม่บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ สามารถ ปรับปรุงแก้ไขผลงาน หรือชิ้นงาน โดยได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือที่เหมาะสมและมีคุณภาพยิ่งขึ้น และ ประเมนิ ซำ้ ได้ หรอื แม้กระท่ังผู้เรยี นทบี่ รรลุสมรรถนะแล้ว หากตอ้ งการตอ่ ยอดการเรียนรูข้ องตนเองให้บรรลุใน ระดับทสี่ ูงขึ้นก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการประเมินความก้าวหน้า ข้อมูลการประเมินสรุปผลควรได้รับการบันทึก เพื่อให้เห็นระดับการบรรลุสมรรถนะของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ต่าง ๆ และสามารถรวม เปน็ แฟ้มสะสมงานของผู้เรียนได้ ซึ่งหากต้องการให้มคี วามละเอยี ดสามารถนำข้อมลู การประเมนิ ความก้าวหน้า มาใส่ในแฟ้มสะสมงานได้ด้วย 3. การพฒั นาต่อยอด เมื่อผู้เรียนมีสมรรถนะตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้แล้ว จะพัฒนาต่อเนื่องตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้อื่นต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ออกแบบการจัด การเรียนรู้และการประเมิน และวงจรการปฏิบัติการประเมินเพื่อการเรียนรู้ควบคู่การเรียนรู้ เป็นวงจร ต่อเน่ืองกนั ทำใหก้ ารเรียนรู้เกิดเป็นเส้นทางการเรยี นร้ขู องผู้เรียนรายบคุ คลตอ่ ไป
163 8. การประเมนิ การเรียนรู้ การประเมินการเรยี นรมู้ ีจุดมงุ่ หมายหลักเพื่อพัฒนาผู้เรียน การประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรียนตั้งอยู่ บนหลักการที่สำคัญว่า การประเมินเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความหมาย สร้างแรงจูงใจ และ ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน สามารถดำเนินการได้ตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงและนำไปใชป้ ระโยชน์ต่อได้ การประเมินเปน็ ประสบการณก์ ารเรียนรู้ทเ่ี ป็นบวกสง่ เสริมให้ผู้เรียน แสดงออกถึงการพัฒนาสมรรถนะตามเกณฑ์การปฏิบัติ (Performance Criteria) ที่กำหนดเป็นการวัด อิงเกณฑ์ ประเมินความก้าวหน้าตามอัตราตนเองเมื่อผู้เรียนพร้อมตามศักยภาพของตนเอง ผู้เรียน ได้รับทราบเกณฑ์การประเมินและข้อมูลพัฒนาการของตนเองที่ชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลป้อนกลั บในการ พัฒนาสมรรถนะ ผู้เรียนสามารถเลื่อนระดับการพัฒนาได้ (Advancement) หากแสดงถึงหลักฐาน หรือ รอ่ งรอยการปฏิบัติ (Evidence) ท่ีบ่งบอกความชำนาญ (Mastery) ของผเู้ รียน หากไม่ผา่ นผู้เรียนจะได้รับ ความช่วยเหลอื อย่างทันท่วงทีเพื่อพฒั นาส่รู ะดบั สมรรถนะขนั้ ถัดไป การประเมินบูรณาการอยู่ในการเรียนรู้ การประเมินไม่เน้นที่ปลายทางของการจัดการเรียนรู้ แต่ให้ ความสำคัญระหว่างทางของการจัดการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ปรับปรุงพัฒนาเพื่อให้มีสมรรถนะ ตามผลลัพธก์ ารเรียนรู้ กระบวนการประเมินเน้นการรวบรวมหลักฐานการเรียนรู้เพื่อให้ได้สารสนเทศเก่ียวกับ พัฒนาการของผู้เรยี นท้ังในดา้ นสมรรถนะเฉพาะและสมรรถนะหลัก เพอ่ื ใช้เป็นสารสนเทศสำหรับผู้เก่ียวข้อง ในการพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนดำเนินการทั้งการประเมินเพื่อพัฒนา และการประเมินเพื่อสรุปผล ด้วยวิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับวัยและความต้องการจำเป็นของ ผเู้ รียน และธรรมชาติของศาสตร์ การประเมนิ เพ่ือพฒั นา การประเมินเพื่อพัฒนาเป็นจุดเน้นหลักของหลักสูตรฐานสมรรถนะและมีบทบาทสำคัญในการ ขับเคลื่อนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเฉพาะในระหว่างการจัดการเรียนรู้ เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง การสอนและการเรียนรู้ มีการเก็บรวบรวมหลักฐาน วิเคราะห์ แปลความหมาย และใช้สารสนเทศในเวลา ที่เหมาะสม ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าของผู้เรียน และใช้ในการปรับการเรียนการสอนอย่างทันท่วงที และตอ่ เนอ่ื ง การประเมินเพื่อพัฒนาให้ความสำคัญกับสมรรถนะเฉพาะซึ่งครอบคลุมความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ และเจตคติ และสมรรถนะหลักซึ่งเน้นกระบวนการ ผ่านผลลัพธ์การเรียนรู้ การประเมินเพื่อพัฒนา มีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในการเรียนรู้โดยใช้ระดับสมรรถนะเป็นฐานในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ และมีการส่งต่อข้อมูลให้กบั ผเู้ ก่ยี วข้องอยา่ งต่อเนื่องเพ่ือหนุนเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนสู่ระดบั ทสี่ ูงขึ้น การประเมินที่มีจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นกระบวนการที่ต่อเนือ่ ง โดยเก็บรวบรวมหลักฐานและเทียบกับเกณฑ์การประเมินความก้าวหน้า (Formative Assessment Rubric) เพ่ือระบคุ วามก้าวหน้าในการเรยี นรู้ของผู้เรียน เปรียบเทยี บพฒั นาการของผเู้ รียนกับผลงาน หรือ ความสำเร็จที่ผ่านมาของตนเอง ให้ข้อมูลป้อนกลบั ที่อธิบายจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และข้อเสนอแนะ สำหรับกิจกรรมในอนาคตที่ส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนอย่างแม่นยำในเวลาท่ีเหมาะสม รวมทั้งการวางแผน
164 เป้าหมายและเส้นทางการเรียนรู้ในลำดับต่อไป และให้การสนับสนุนช่วยหลือรวมทั้งชิ้นงานที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานะและความต้องการของผู้เรยี น ชิ้นงานของผู้เรียนสะท้อนการใช้ข้อมูลป้อนกลับในการ ปรับปรุงพฒั นางานของผเู้ รียน ในระหว่างบทเรียน ผู้เรียนควรได้รับข้อมูลป้อนกลับทางวาจาหรือทางการเขียนเกี่ยวกับความรู้ และทักษะที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ (ประกอบด้วยสมรรถนะหลัก สมรรถนะเฉพาะ และผลลัพธ์ การเรียนรู้ ในช่วงชั้นและในชั้นปีนั้น) ครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือผู้อื่นที่ทำงานในด้านการเรียนรู้ และการศึกษาควรใหข้ อ้ มลู ปอ้ นกลับตลอดปีการศึกษา เพอื่ สง่ เสริมสมรรถนะของผเู้ รียน ผู้เรียนควรได้รับการฝึกและโอกาสในการประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งมีส่วนร่วมในการ ประเมินตนเองและเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาทักษะในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ และ เพอ่ื วิเคราะห์การเรียนรู้ รวมท้งั เพื่อเพม่ิ แรงจงู ใจและกำกับการเรยี นรู้ของตนเอง เครอ่ื งมือสำคัญในการประเมินเพ่ือพฒั นาคือแฟ้มสะสมงาน ซง่ึ เป็นบันทึกของการเรียนรู้และบรรจุ ชิ้นงานของผู้เรียน รวมทั้งผลการวิเคราะห์และข้อมูลป้อนกลับของชิ้นงาน แฟ้มสะสมงานอาจจัดทำ ตามสาระการเรียนรู้และสมรรถนะหลัก เพอื่ เอื้อต่อการติดตามความกา้ วหน้าและการใช้สารสนเทศในการ พฒั นาการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน การประเมนิ สรปุ ผล การประเมินเพื่อสรุปผลเป็นการพิจารณาสมรรถนะเฉพาะและสมรรถนะหลักเพื่อทำการตัดสินใจ ในหลายลักษณะ ทั้งการตัดสินผลการเรียน การเล่ือนชั้น และการจบการศึกษา การประเมินสรุปผล ได้มาจากการประเมินเพื่อพัฒนา โดยพิจารณาหลักฐานที่เกิดจากการเรียนรู้ที่มีบทบาทของการประเมิน เพ่ือพัฒนา เทียบกบั เกณฑ์ การประเมินสรุปผลสมรรถนะเฉพาะประเมินผา่ นผลลัพธ์การเรียนรู้เม่ือผู้เรียน พร้อมหรอื เมือ่ จบหน่วยการเรยี นรู้ สว่ นการประเมนิ สมรรถนะหลักประเมินเม่อื จบปีการศึกษา เพอ่ื สะท้อน ภาพการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรยี นตลอดแนว
ภาคผนวก ระดบั การพฒั นา 10 ระดับของสมรรถนะหลัก 6 ดา น
166 1. สมรรถนะดานการจัดการตนเอง (Self-Management: SM) นยิ าม การรูจัก รัก เห็นคุณคาในตนเองและผูอื่น การพัฒนาปญญาภายใน ตั้งเปาหมายในชีวิต และกำกับตนเองในการเรียนรูและใชชีวิต การจัดการอารมณและความเครียด รวมถึงการจัดการปญหาและ ภาวะวกิ ฤต สามารถฟน คืนสูสภาวะสมดุล (Resilience) เพ่อื ไปสูความสำเรจ็ ของเปาหมายในชวี ิต มสี ุขภาวะทด่ี ีและ มสี มั พันธภาพกับผูอ ่ืนไดด ี องคป ระกอบ 1. การเห็นคุณคาในตนเอง : การรูจัก รัก เห็นคุณคาในตนเอง รูจุดเดน ขอจำกัด ความสนใจ ความสามารถ ความถนัด และภาคภูมิใจในตนเอง มั่นใจในตนเอง เห็นอกเห็นใจ ใหเกียรติและเคารพสิทธิ ตนเองและผอู นื่ มคี วามรบั ผิดชอบในตนเอง 2. การมีเปาหมายในชีวิต : การตั้งเปาหมายในชีวิต มีวินัยในตนเอง สามารถบริหารจัดการเวลา ทรพั ยากร สามารถพึ่งพาและกำกับตนเองใหไปสเู ปาหมายในชีวติ และมสี ขุ ภาวะทด่ี ี 3. การจัดการอารมณและความเครียด : การรับรู เขาใจ รูเทาทัน อารมณ ความรูสึก ความคิด และความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตนเอง เขาใจสาเหตุและสามารถจัดการอารมณ ความรูสึก และ ความคิดของตนเอง 4. การจัดการปญหาและภาวะวิกฤต : การรูเทาทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปญหาและภาวะ วิกฤต สามารถฟน คนื สสู ภาวะสมดลุ ได สามารถเตรยี มการ ปองกัน และแกไข เพอื่ ใหเ กดิ ความปลอดภัยในชีวิต และทรพั ยส ิน
167 ระดบั สมรรถนะการจดั การตนเอง ระดับการพัฒนา ป.1-3 ระดับความสามารถ ม.4-6 ระดับ คำบรรยายระดับ เร่มิ ตน ป.4-6 ม.1-3 1 รจู กั ตนเอง (Knowing Self) ทางดานกายภาพ ความชอบ ความสนใจ จัดการชวี ติ ประจำวนั ของตนเอง รับรแู ละจัดการอารมณและความรูสกึ พืน้ ฐาน ปฏบิ ัตติ นตามบรรทัดฐาน ทางสังคมภายใตก ารดูแลของผูอ่ืน 2 รจู กั ตนเองในจุดเดน จุดควรพัฒนา มีวินัยในการดูแลจัดการชีวิตประจำวนั ของตนเอง รบั รู กำลัง และจัดการอารมณและความรสู ึกพนื้ ฐาน รถู ูกผิดในการปฏิบัติตนตามบรรทดั ฐานทางสังคม พฒั นา ภายใตก ารดูแลของผอู ืน่ ตระหนกั รูในสถานการณท เ่ี ปน ปญ หาในชวี ิตประจำวัน 3 รูจกั ความสามารถของตนเอง มวี ินยั ในการดูแลจดั การชีวติ ประจำวนั ของตนเอง รับรแู ละ สามารถ เริ่มตน จัดการอารมณแ ละความเครียด แยกแยะสง่ิ ถกู ผิด หลีกเลี่ยงการนำพาตัวเองเขา ไปสภู าวะเสี่ยง ตามคำแนะนำ อดทนตอ ปญหาในชวี ติ ประจำวนั และการเรยี น 4 รจู กั ความสามารถของตนเอง มีวนิ ยั ในการดูแลจดั การชวี ติ ประจำวันของตนเอง รับรู เหนอื กำลัง และจัดการอารมณและความเครยี ด ตระหนักรผู ิดชอบช่วั ดี จัดการปญหาชีวิตประจำวนั ความ พฒั นา และการเรียนตามคำแนะนำ พรอมเผชญิ และยอมรับปญหาที่เกดิ ขึ้น คาดหวัง มมี โนทัศนเ กีย่ วกับตวั เอง (Self Concept) ที่ถูกตอง สามารถตดั สินใจและมุงม่นั ที่จะจดั การ สามารถ เร่มิ ตน 5 สง่ิ ท่จี ำเปน สำหรบั ชีวิตและการเรียนของตนเอง รบั รแู ละจัดการอารมณแ ละความเครยี ด ละเวน การกระทำที่ไมควรทำ รทู นั การเปล่ียนแปลงทีเ่ กิดขนึ้ จดั การปญหาชีวิตประจำวัน และการเรยี นตามคำแนะนำ มคี วามมนั่ ใจและภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) สามารถตัดสินใจและวางแผนเก่ียวกบั เหนอื กำลงั ความ พฒั นา 6 ชีวิตและการเรยี นของตนเอง มีวนิ ยั และจงู ใจตนเองใหไปสูเปาหมาย รับรูและจัดการอารมณ คาดหวงั และความเครยี ด มีจดุ ยืนและความเชอ่ื ของตวั เอง ปรับตัวรับการเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ และสามารถฟนคนื จากสภาพปญ หาเมือ่ เผชิญภาวะวิกฤตตามคำแนะนำ มีความภาคภูมใิ จในตนเอง มกี รอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) สามารถกำกับ สามารถ เริ่มตน 7 ตนเองใหล งมือทำตามแผนเกยี่ วกับชีวิตและการเรียนของตนเอง รบั รแู ละจดั การอารมณ และความเครียด แสดงออกตามความเชอ่ื และจุดยืนของตัวเอง แกไ ขปญ หา มคี วามรับผิดชอบ ในผลของการกระทำของตนเอง และฟน คืนจากสภาพปญ หาเมอื่ เผชญิ ภาวะวิกฤตตามคำปรึกษา มกี รอบความคดิ แบบเติบโต สามารถกำกบั ตนเองใหล งมือทำตามแผนเกย่ี วกับชีวิต เหนอื กำลัง ความ พัฒนา 8 และการเรียนของตนเอง และสะทอนความกาวหนา ของตนเอง รทู นั และจดั การอารมณ คาดหวงั และความเครียด มีความรับผดิ ชอบในผลของการกระทำของตนเอง วางแผนปอ งกันปญ หา และความเส่ยี ง และฟน คืนจากสภาพปญหาเมอื่ เผชญิ ภาวะวิกฤต มีภาพอนาคตของตนเอง (Ideal Self) ทต่ี อ งการจะเปน มองเหน็ ขอ จำกดั และแนวทาง สามารถ 9 การพัฒนาตนเอง กำหนด ลงมอื ทำ ปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรม คา นยิ ม และความเช่อื ของตนเอง ตามแผนพัฒนาตนเอง รทู ันและจดั การอารมณแ ละความเครยี ด และสามารถฟน คืน จากสภาพปญ หาไดดว ยตนเองเมอ่ื เผชิญภาวะวิกฤต 10 มีความสขุ กบั ชวี ิตทีต่ นเองเปน อยู มงุ ม่ันเพอ่ื ความสำเรจ็ แมตองเผชญิ ความทา ทายที่เขา มา เหนอื ในชีวติ รทู ันและจัดการอารมณและความเครียด สามารถสรางมุมมอง คา นยิ มใหม ใหกับตนเอง ความ และสามารถฟน คืนจากสภาพปญ หาเม่อื เผชญิ ภาวะวิกฤต คาดหวงั
พฤตกิ รรมบง ชต้ี ามระด ระดบั คำบรรยายระดบั 1. การเหน็ คณุ คา ในตนเอง 1 รจู กั ตนเอง (Knowing Self) ทางดานกายภาพ ความชอบ ความสนใจ จดั การชวี ิตประจำวันของ - บอกความชอบ ความสนใจ ตนเอง รับรูแ ละจดั การอารมณแ ละความรูสึก และเพศสภาพของตนเองได พื้นฐาน ปฏิบตั ติ นตามบรรทดั ฐานทางสังคม ภายใตการดูแลของผอู ่ืน 2 รูจักตนเองในจุดเดน จุดควรพฒั นา มวี ินัย - บอกสงิ่ ทตี่ นและเพ่ือน ในการดูแลจัดการชีวติ ประจำวนั ของตนเอง รบั รู ทำไดด ี และจัดการอารมณแ ละความรูสึกพืน้ ฐาน รถู กู ผิดใน การปฏิบตั ติ นตามบรรทดั ฐาน ทางสังคมภายใตการดูแลของผอู น่ื ตระหนักรู ในสถานการณที่เปน ปญหาในชวี ติ ประจำวนั 3 รจู กั ความสามารถของตนเอง มีวินัย - ระบุความสามารถของตนเอ (จบ ป.3) ในการดูแลจัดการชีวติ ประจำวันของตนเอง รับรู และเพือ่ นได และจดั การอารมณแ ละความเครียด แยกแยะสิง่ ถกู ผิด หลีกเลีย่ งการนำพาตวั เองเขา ไปสูภ าวะ - บรรยายกจิ กรรม/ งาน เส่ยี งตามคำแนะนำ อดทนตอปญหาใน ที่ตนเองและเพื่อน ชีวติ ประจำวนั และการเรียน อาจตอ งการความชว ยเหลือ เพื่อทำใหส ำเรจ็
168 ดบั สมรรถนะการจดั การตนเอง พฤตกิ รรมบง ช้ี 2. การมีเปา หมาย 3. การจดั การอารมณ 4. การจดั การปญ หาและ ในชวี ติ และความเครยี ด ภาวะวิกฤต จ - ทำกจิ วัตรประจำวนั - บอกและเรียกอารมณ ด ท้ังการเรยี น เลน กนิ และความรูสึกพ้ืนฐาน - ปฏบิ ตั ิตนตามขอตกลงของ ชวยทำงาน พกั ผอ น ใชเ งิน ของตนเองทง้ั ทางบวกและ สังคม อยา งพอดี ภายใต ทางลบ คำแนะนำของผอู น่ื - บอกทางเลอื กและตดั สินใจ เกีย่ วกับกิจวตั รประจำวนั - สามารถควบคุมตนเอง - บอกสถานการณท ที่ ำใหเกดิ - ระบุทางเลือกที่อาจกอ ใหเกิด ในการปฏบิ ตั กิ จิ วตั ร อารมณแ ละความรสู กึ ปญหาในกิจวัตรประจำวัน ประจำวนั ภายใตการดแู ล พ้ืนฐาน - บอกไดว าสถานการณใ ด ของผูอืน่ - บอกวธิ ีการควบคมุ /จัดการ เปนปญ หาและเกดิ จาก กบั อารมณ และความรสู กึ สาเหตใุ ด ของตนเอง อง - สามารถควบคมุ ตนเอง - แสดงออกถงึ - สามารถรับรูไดถึงสถานการณ ในการปฏบิ ัติกิจวตั ร การควบคมุ อารมณ ท่ีเปน ปญ หาหรือกอใหเกิด ประจำวัน ภายใต และความรสู กึ พ้ืนฐาน ปญหา การติดตามของผูอนื่ บา ง ทเ่ี กิดขนึ้ - บอกผลของทางเลือก ที่ตัดสนิ ใจ ที่อาจเกดิ ขึน้ ในแงบวกและแงลบกับ ตนเองและผอู ืน่
ระดบั คำบรรยายระดบั 1. การเห็นคณุ คา ในตนเอง 4 รูจกั ความสามารถของตนเอง มีวินยั ในการดูแล จดั การชีวิตประจำวนั ของตนเองรับรแู ละจัดการ - เลือกกจิ กรรมทเี่ หมาะ อารมณและความเครียด ตระหนักรูผดิ ชอบชว่ั ดี กบั ตนเอง จดั การปญ หาชีวิตประจำวันและการเรียน ตามคำแนะนำ พรอ มเผชญิ และยอมรับปญหา - ยอมรบั ความแตกตา ง ทเี่ กดิ ขนึ้ ในความชอบ ความสนใจ และเพศวถิ ขี องผูอื่น 5 มมี โนทศั นเ ก่ียวกับตัวเอง (Self Concept) - บอกลักษณะนิสยั จดุ แขง็ (จบ ป.6) ทีถ่ กู ตอ ง สามารถตดั สินใจและมงุ ม่ันทีจ่ ะจัดการ และสิ่งทา ทายของตนเอง สิ่งท่จี ำเปน สำหรับชีวิตและการเรียนของตนเอง ในดา นวชิ าการ รบั รแู ละจัดการอารมณแ ละความเครยี ด ละเวน สถานการณท างสังคม การกระทำทีไ่ มควรทำ รูท ันการเปล่ยี นแปลง ที่เกิดขนึ้ จัดการปญ หาชีวติ ประจำวนั - บรรยายทกั ษะและ และการเรยี นตามคำแนะนำ ความสนใจของตน ทต่ี อ งการพัฒนา
169 พฤติกรรมบง ชี้ 2. การมีเปาหมาย 3. การจดั การอารมณ 4. การจดั การปญ หาและ ในชีวติ และความเครยี ด ภาวะวิกฤต - สามารถควบคมุ ตนเอง - บอกระดับความรุนแรง ในการปฏบิ ัตกิ ิจวตั ร ของอารมณ และความรูสึก - บอกผลกระทบของทางเลอื ก ประจำวันอยางสมำ่ เสมอ ทางลบ ท่ีตดั สนิ ใจ ที่อาจเกดิ ขึน้ - สามารถสือ่ สาร ในแงบ วกและแงล บ ขอความชวยเหลือ กับตนเองและผอู น่ื ในการจดั การความเครยี ด - ระบสุ ถานการณที่เพอื่ น มีแรงกดดันตอ การตัดสนิ ใจ ของตนเอง - ใชท างเลอื กและรับผิดชอบ ในผลท่ีเกดิ ข้นึ จากการ ตัดสนิ ใจ - กระตอื รือรน และเกาะติด - บอกวิธกี ารควบคมุ /จดั การ - บอกความเปล่ียนแปลง กบั งาน และการเรยี น อารมณ และความรสู ึก ท่ีเกิดขึน้ ทสี่ งผลตอ การ ของตนเอง ดำเนนิ ชวี ิต - บอกกลวธิ ีในการควบคมุ หรือบรรเทาความเครียด - สามารถสะทอนผล ของทางเลือกท่มี ีตอตนเอง - บรรยายขอบเขตของอารมณ และผอู น่ื ในมิติของ และสถานการณทเี่ ปน ประโยชน ความเปนธรรม สาเหตขุ องอารมณและ หรอื ผลกระทบที่เกิดข้ึน ความเครยี ด
ระดบั คำบรรยายระดบั 1. การเห็นคณุ คา ในตนเอง 6 มีความมั่นใจและภาคภมู ิใจในตนเอง (Self Esteem) - บอกคณุ ลกั ษณะทางบวก สามารถตัดสนิ ใจและวางแผนเกยี่ วกับชีวติ จดุ ยนื และความเชอื่ ของ และการเรยี นของตนเอง มีวนิ ัยและจงู ใจตนเอง ตนเอง ใหไ ปสเู ปาหมาย รับรแู ละจัดการอารมณ - แสดงออกถึงความเชอ่ื และความเครยี ด มีจดุ ยืนและความเชอ่ื ของตวั เอง ทางบวกในความสามารถ ปรับตวั รับการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ และสามารถ ของตัวเองท่ีจะประสบ ฟนคืนจากสภาพปญหาเมือ่ เผชิญภาวะวกิ ฤต ความสำเร็จ ตามคำแนะนำ - มีสวนรวมตงั้ คำถาม อยางกระตอื รือรน 7 มคี วามภาคภูมใิ จในตนเอง มกี รอบความคิด - มคี วามรสู ึกที่ดีเกย่ี วกบั ตนเอ แบบเตบิ โต (Growth Mindset) สามารถกำกับตนเอง - เขา รวมกจิ กรรมใหม ๆ (จบ ม.3) ใหล งมอื ทำตามแผนเก่ยี วกบั ชีวิตและการเรียน ของตนเอง รบั รแู ละจดั การอารมณและความเครยี ด ท่ีไมคุน เคย แสดงออกตามความเช่ือและจดุ ยืนของตวั เอง - ยอมรับคำวิจารณหรือ แกไ ขปญหา มีความรบั ผดิ ชอบในผลของการกระทำ ของตนเอง และฟน คืนจากสภาพปญ หาเมอ่ื เผชิญ ความไมร ูของตนเอง ภาวะวกิ ฤตตามคำปรกึ ษา - แสดงพฤตกิ รรมตามความเชือ่ และจดุ ยนื ของตนเอง
170 พฤตกิ รรมบง ช้ี 2. การมเี ปา หมาย 3. การจดั การอารมณ 4. การจดั การปญ หาและ ในชวี ิต และความเครยี ด ภาวะวกิ ฤต - บอกเปา หมายและแนวทาง - บอกวิธกี ารในการจดั การ - ระบุความหลากหลาย ในการไปสูเ ปาหมายชวี ติ ความเครยี ด อารมณ ของปญ หาและการตัดสนิ ใจ และการเรียนของตนเอง และความรสู กึ ทางลบ ท่ีมผี ลตอ ชวี ติ ของตนเอง - จัดการเวลา ใชท รพั ยากร - แสดงออกถึงความสามารถ - อธิบายลักษณะของ และปฏบิ ตั ิตามข้ันตอน ในการจดั การสถานการณ สถานการณท ี่ปลอดภัย ท่ีจะนำไปสเู ปาหมาย ที่เปน สาเหตขุ องความเครียด และไมป ลอดภยั รวมถงึ ความปลอดภัยทางออนไลน และภัยพบิ ตั ิ - สามารถเผชญิ กบั ความผิดหวัง หรือความเปลี่ยนแปลง ที่เกดิ ขึ้นในชวี ติ อง - แสดงออกถึงความสามารถ - ตระหนักและสอ่ื สารอารมณ - ยอมรบั ผลทเ่ี กิดขึน้ ที่จะรเิ ร่ิมสรางสรรคแ ละ ไปยังผอู ื่นอยา งเหมาะสม จากการกระทำหรือ ทำงานดวยตัวเอง - สามารถบอกกลวิธี ทางเลอื กในการแกปญ หา - ตดิ ตามและประเมนิ ผล ในการสง เสริมสุขภาวะ - บอกวธิ ฟี น คืนจากภาวะวิกฤต การดำเนนิ การตามขน้ั ตอน ทางจติ ของตน อ
ระดบั คำบรรยายระดบั 1. การเหน็ คณุ คา ในตนเอง 8 มกี รอบความคิดแบบเตบิ โต สามารถกำกบั ตนเอง - แสดงออกถึงความเชือ่ ใหล งมอื ทำตามแผนเกีย่ วกบั ชวี ิตและการเรยี น ทางบวกในความสามารถ ของตนเอง และสะทอ นความกาวหนาของตนเอง ของตนเองทจ่ี ะประสบ รูท นั และจัดการอารมณแ ละความเครยี ด ความสำเร็จ มีความรบั ผดิ ชอบในผลของการกระทำของตนเอง - ประเมนิ จดุ แขง็ และ วางแผนปองกนั ปญหาและความเส่ียง และฟนคนื ขอจำกัดของตนเอง จากสภาพปญ หาเม่ือเผชิญภาวะวิกฤต ทจ่ี ะประสบความสำเร็จได 9 มีภาพอนาคตของตนเอง (Ideal Self) - บอกลักษณะของบุคคล (จบ ม.6) ทตี่ องการจะเปน มองเหน็ ขอจำกัดและ ท่ีตองการยึดเปน แบบอยางได แนวทางการพัฒนาตนเอง กำหนด ลงมือทำ ปรับเปล่ยี นพฤติกรรม คานยิ ม และความเช่ือ - มภี าพอนาคตของตนเอง ของตนเอง ตามแผนพฒั นาตนเอง รูทันและ ที่ตอ งการพัฒนาไปใหถ ึง จัดการอารมณและความเครยี ด และสามารถฟน คืน จากสภาพปญหาไดดว ยตนเองเมื่อเผชิญภาวะวิกฤต - ระบขุ อจำกดั และแนวทาง การพัฒนาตนเอง
171 พฤติกรรมบง ช้ี 2. การมเี ปา หมาย 3. การจัดการอารมณ 4. การจดั การปญ หาและ ในชีวิต และความเครยี ด ภาวะวิกฤต - ยอมรบั ขอผิดพลาด - สรปุ ไดวา ความคิด อารมณ - ประเมนิ สถานการณ วาเปนสว นหน่ึงของ และความเครยี ด มีผลตอ ความเสย่ี งหรอื ปญหา การเรียนรู พฤตกิ รรมอยา งไร ทอ่ี าจเกิดข้นึ - สะทอนกระบวนการและ - บงชี้กลวิธีในการปรบั - บอกแนวทางการแกป ญ หา ผลลัพธของการตั้งเปา หมาย กรอบความคิดและ ใหตนเองอยูในภาวะสมดลุ และปรบั ใชเพอื่ ไปสู พฤตกิ รรมของตนเอง เมื่อเผชิญสถานการณวิกฤต ด ความสำเร็จ - รเิ ร่ิมแนวทางในการแกป ญ หา หรือความเส่ียง - สรา งแบบจำลอง - แสดงออกถงึ กลวิธี - ใชมุมมองท่ีหลากหลาย ด ความสามารถท่ีจะนำมาใช ในการจัดการอารมณ ในการบง ชีป้ ญ หาและ เพอื่ เอาชนะอุปสรรค และความเครียด การแกปญ หา - เลือกเคร่ืองมอื ท่จี ำเปน - มองเห็นประโยชน - ริเริม่ และสรางทางเลือกใหม ง เพ่อื ปรับใชใ นการทำงาน จากความเครยี ด ทหี่ ลากหลาย ในการแกป ญหา ใหเ สรจ็ สมบรู ณ ระดบั เล็กนอย ในภาวะวิกฤต - สามารถปรับกรอบความคิด - อธิบายแนวทางและวธิ ีการ และพฤติกรรมของตนเอง แกป ญ หาของตนเองกลับสู เพื่อใหม สี ุขภาวะทางจติ ภาวะสมดุลไดเม่ือเผชญิ และทางกาย ความผิดหวงั และภาวะ วกิ ฤต
ระดบั คำบรรยายระดับ 1. การเห็นคณุ คา ในตนเอง 10 มคี วามสขุ กบั ชีวติ ทีต่ นเองเปน อยู มงุ มัน่ - บรรยายลกั ษณะการใชช วี เพ่อื ความสำเร็จแมต อ งเผชญิ ความทา ทายท่ีเขา มา ท่มี ีความสุขของตนเอง ในชวี ติ รทู นั และจัดการอารมณและความเครยี ด สามารถสรางมุมมอง คา นยิ มใหม ใหกับตนเอง และสามารถฟน คืนจากสภาพปญ หาเมื่อเผชญิ ภาวะวกิ ฤต
172 พฤตกิ รรมบง ช้ี 2. การมีเปาหมาย 3. การจัดการอารมณ 4. การจัดการปญ หาและ ในชวี ิต และความเครยี ด ภาวะวิกฤต วติ - ตงั้ เปา หมายการใชชีวิต - สามารถจัดการกับอารมณ - อธิบายแนวทางและวิธีการ ท่มี ีความสุขของตนเอง ความรูส ึกทางลบและ แกปญ หาของตนเองกลบั สู - บอกสง่ิ จำเปน ที่จะใช ความเครียดไดอ ยา ง ภาวะสมดุลไดเ ม่ือเผชิญ เพื่อเอาชนะความทาทาย เหมาะสม ความผิดหวงั และภาวะ หรอื อปุ สรรคท่ีเขามา - ตระหนกั และเขา ใจอารมณ วิกฤต ในชีวติ ความรูสกึ ของผอู ื่น - สามารถใชแนวทาง/ วิธกี าร - แสดงออกถงึ ความต้งั ใจ - รับฟง และแสดง แกปญหาของตนเองกลบั สู รับผิดชอบ เพียรพยายาม ความเห็นอกเห็นใจผอู ื่นได ภาวะสมดุลไดเ มื่อเผชิญ ทจี่ ะทำตามเปา หมายชีวติ ความผดิ หวงั และภาวะ ของตนเอง วกิ ฤต
173 อภธิ านศพั ท มโนทัศนเกี่ยวกับตัวเอง (Self Concept) หมายถึง ความคิดหรือการรับรูเกี่ยวกับตนเองวามีลักษณะ ประจำตัว ความรู ความสามารถ เจตคติ ที่ตนเองเชื่อวาเปนสิ่งที่อธิบายตัวตนของตนวาเปนใคร เปนอะไร เปนอยา งไร ซงึ่ อาจตรงหรือไมตรงกบั ขอ เทจ็ จริงหรือภาพทค่ี นอ่ืนมองตนเอง ปญหาและภาวะวิกฤต หมายถึง สถานการณหรือเหตุการณที่ไมปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตอาจเกิดจาก การสะสมทางอารมณและหรือความรูสึก หรือเกิดขึ้นอยางฉับพลัน ซึ่งบุคคลไมสามารถคาดการณหรือ ควบคุมไดโดยการเผชิญสถานการณหรือเหตุการณสงผลกระทบตอพฤติกรรม อารมณ และความรูสึก อยางรุนแรง การฟนคืนสูสภาวะสมดุล หมายถึง ความเขมแข็งในการกลับคืนสูการใชชีวิตตามปกติ หลังจากเผชิญ ปญ หาหรอื ภาวะวกิ ฤต อารมณและความรูสึกพื้นฐาน หมายถึง อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เชน หิว รอน ดีใจ เสยี ใจมคี วามสุข กังวล สงสัย ตื่นเตน เปน ตน กรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) หมายถึง ทัศนคติ วิธีคิด และความเชื่อของแตละคน ที่มีความยืดหยุน รักในการเรียนรู พัฒนาตนเอง เชื่อวาปญหาและอุปสรรคเปนสวนหนึ่งที่สำคัญของ กระบวนการเรียนรู และทุกคนมคี วามสามารถหรือสตปิ ญ ญาของบคุ คลสามารถพฒั นาไดต ลอดเวลา คา นยิ มใหม หมายถึง ความคดิ และความเชอื่ ใหม ๆ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ การปรบั เปล่ยี นรปู แบบการดำเนินชีวิต ใหแตกตา งจากการปฏิบตั แิ บบเดมิ ทั้งนี้ คา นยิ มใหม อาจเกดิ จากการตั้งคำถามกบั สถานการณปจ จบุ นั รว มมอื กันและคิดแกไขปญ หาโดยใชว ธิ กี ารคดิ นอกกรอบ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ณ วนั ท่ี 27 พฤศจิกายน 2563
174 2. ระดบั สมรรถนะการคิดขนั้ สงู (Higher Order Thinking : HOT) นิยาม สามารถคิดวิเคราะห สังเคราะห และตัดสินใจอยางมีวิจารญาณบนหลักเหตุผลอยางรอบดาน โดยใช คุณธรรมกำกับการตัดสินใจไดอยางมีวิจารณญาณ มีความสามารถคิดอยางเปนเหตุเปนผลดวยความเขาใจถึง ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยูรวมกันอยางเปนระบบ ใชจินตนาการและความรูสรางทางเลือกใหม เพื่อ แกปญหาที่ซบั ซอนไดอ ยา งมีเปาหมาย องคประกอบ 1. การคิดอยางมีวิจารณญาณ (Critical Thinking : HOT-CTC) หมายถึง กระบวนการคิด ที่พิจารณาไตรตรองอยางมีเหตุผล มีจุดประสงคเพื่อตัดสินวาสิ่งใดควรเชื่อหรือควรกระทำ โดยมีหลักฐาน สนับสนุนซึ่งเปนผลมาจากการตีความ ประเมิน วิเคราะห สรุปความ และอธิบายตามหลักฐาน แนวคิด วิธีการ กฎเกณฑ หรือบริบทตาง ๆ ที่เกี่ยวกับขอมูลที่รวบรวมหรือขอมูลจากการสังเกต ประสบการณ การใชเหตุผล การสะทอนคิด การสื่อสาร และการโตแยง นำไปพิจารณารวมกับขอมูลดานอื่น ๆ เชน ความเหมาะสม ตามหลกั กฎหมาย ศีลธรรม คณุ ธรรม คา นยิ ม ความเชอ่ื และบรรทดั ฐานทางสงั คมและวฒั นธรรม 2. การคิดเชิงระบบ (System Thinking : HOT-STM) หมายถึง กระบวนการคิดที่มองเห็น ภาพรวมโครงสรางทั้งหมดที่เชื่อมโยงสัมพันธกันเปนหนึ่งเดียวกันอยางเปนระบบ ภายใตบริบท/ปจจัย ของสิ่งแวดลอมที่เกิดสถานการณนั้น ๆ โดยมองสถานการณใหลึกลงไปกวาเหตุการณที่เกิดขึ้น เห็นแบบแผน หรือรูปแบบที่เกิดขึ้น เห็นรากเหงาของสถานการณและปจจัยตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับสถานการณนั้น ๆ จนเกิด ความเขาใจอยางลึกซึ้งในสถานการณนั้น นำไปสูการออกแบบระบบ เปรียบเทียบแบบจำลองความคดิ ทำนาย ผลลัพธข องการแทรกแซงระบบ และประเมินระบบได 3. การคิดสรางสรรค (Creative Thinking : HOT-CRT) หมายถึง กระบวนการคิดที่หลากหลาย ริเริ่ม ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาตอยอดความคิด เพื่อการแกปญหาหรือสรางทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ การสรางความกาวหนาในความรู หรือการแสดงออกอยางสรางสรรค โดยอาศัยจินตนาการและทักษะพื้นฐาน ดานการคิดริเริ่ม คิดคลอง คิดยืดหยุน คิดละเอียดลออ คิดหลากหลาย คิดวิเคราะหและสังเคราะห เพื่อใหได สิ่งใหมที่ดีกวา แตกตางไปจากเดิม มีประโยชน และมีคุณคาตอตนเอง ผูอื่น และสังคมมากกวาเดิม ซึ่งสิ่งใหม ในที่นี้อาจเปนการปรับหรือประยุกตสิ่งเดิมใหอยูในรูปแบบใหม หรือเปนการตอยอดจากสิ่งเดิม หรือเปนการ รเิ รม่ิ สง่ิ ใหมข ึน้ มาท้ังหมด 4. การคิดแกปญหา (Problem Solving Thinking : HOT-PRB) หมายถึง กระบวนการคิดที่ใช ในการแกปญหาไดอยางมีประสิทธิภาพ ดวยการกำหนดปญหา เขาใจเหตุและผลของปญหา วางแผน การแกปญหาโดยรวบรวมขอมูลเพื่อแกปญหา ออกแบบวิธีการแกปญหาที่หลากหลาย และเลือกวิธีการ แกปญหาที่ดีที่สุด ดำเนินการแกไขปญหาตามแผนที่วางไวอยางเปนลำดับขั้นตอน เก็บ และวิเคราะหขอมูล เพ่อื ประเมนิ และตรวจสอบผลของการแกปญหา ปรบั ปรุง จนปญ หาไดร ับการแกไ ข
175 ระดับสมรรถนะการคดิ ขนั้ สูง ป.1-3 ระดบั ความสามารถ ม.4-6 เริม่ ตน ป.4-6 ม.1-3 ระดบั การพัฒนา กำลัง เริ่มตน ระดบั คำบรรยายระดบั พัฒนา กำลงั ตั้งคำถามหรือระบุปญหาอยางงายจากการสังเกตสิ่งตาง ๆ รอบตัวสถานการณ หรือปรากฏการณ สามารถ พัฒนา 1 ในชีวิตประจำวัน สังเกต จำแนก สำรวจ วางแผน รวบรวมขอมูลหรือทรัพยากร สรุปขอมูล และเสนอ เหนอื สามารถ เรม่ิ ตน แนวทางแกปญหาอยางงายได สามารถจินตนาการและเสนอความคิดไดอยางอิสระ ตลอดจนสามารถ ความ ผลิตผลงานอยางงา ยโดยอาศยั ตนแบบ คาดหวงั เหนือ ตั้งคำถามหรือระบุปญหาอยางงายจากการสังเกตสิ่งตาง ๆ รอบตัว สถานการณ หรือปรากฏการณ ความ กำลงั ในชีวิตประจำวัน สังเกต จำแนก หรือระบุความสัมพันธของสิ่งที่เกี่ยวของกับปรากฏการณหรือ คาด พัฒนา หวัง 2 สถานการณนั้น ๆ ได สามารถสำรวจ วางแผน รวบรวมขอมูลหรือทรัพยากร สรุปขอมูล และเสนอ แนวทางแกปญหาอยางงายได พรอมแสดงเหตุผลและประเมินความเหมาะสมของคำตอบ สามารถ จินตนาการและเสนอความคิดไดอยางคลองแคลว หลายประเภทและหลายทิศทาง ตลอดจน สามารถผลติ ผลงานอยา งงา ยโดยอาศยั ตน แบบ ตงั้ คำถามหรอื ระบปุ ญหาอยางงา ยจากการสังเกตส่งิ ตา ง ๆ รอบตัว สถานการณ หรือปรากฏการณ ในชีวิตประจำวัน สังเกต จำแนก หรือระบุความสัมพันธของสิ่งที่เกี่ยวของกับปรากฏการณหรือ 3 สถานการณนั้น ๆ ได สามารถสำรวจ วางแผน รวบรวมขอ มูลหรือทรพั ยากร แปลความหมายขอมูล ดวยหลักฐานเชิงประจักษ และสรุปขอมูล เพื่อเปรียบเทียบ ประเมิน ตัดสินใจ หรือเสนอแนวทาง แกปญหาอยางงายได พรอมแสดงเหตุผล โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของการออกแบบวิธีการ แกปญหา สามารถจินตนาการและเสนอความคิดไดอยางคลองแคลว หลากหลาย โดยใชความคิด ทีแ่ ปลกใหมท ไ่ี มซ ำ้ ใคร ตลอดจนสามารถผลิตผลงานตามจินตนาการโดยอาศัยตนแบบ ตั้งคำถามหรือระบุปญหาอยา งงายจากการสังเกตส่งิ ตา ง ๆ รอบตัว สถานการณ หรือปรากฏการณ ในชีวิตประจำวันโดยละเอียด ระบุความสัมพันธของสิ่งที่เกี่ยวของกับปรากฏการณหรือสถานการณ 4 นั้น ๆ ได สามารถวางแผนและดำเนินการสำรวจตรวจสอบ เลือกวิธีการเก็บรวบรวมขอมูล แปลความหมายขอมูลดวยหลักฐานเชิงประจักษ และสรุปขอมูล พรอมทั้งประเมินความถูกตอง และขอ จำกัดของขอมูล เพือ่ เปรยี บเทียบ ประเมนิ ตัดสนิ ใจ หรอื เสนอแนวทางแกป ญหาอยา งงา ยได สามารถจินตนาการและเสนอความคิดไดอ ยางคลอ งแคลว หลากหลาย โดยใชความคดิ ท่แี ปลกใหม ท่ไี มซ้ำใคร หรือพฒั นาตอ ยอดจากของเดมิ ตั้งคำถามหรือระบุปญหาที่ซับซอน จากการสังเกตสิ่งตาง ๆ สถานการณ หรือปรากฏการณ ในชวี ติ ประจำวนั โดยละเอียด สามารถวางแผนและดำเนนิ การการสำรวจตรวจสอบ เลือกวธิ ีการเก็บ 5 รวบรวมขอมูล วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล เพื่อสรางขอสรุปที่แมนยำและนาเชื่อถือ พรอมนำเสนอและเปรียบเทียบขอสรุปที่เหมือนหรือแตกตางกับขอสรุปของตน สามารถพัฒนา ชิ้นงานหรือวิธีการ โดยใชความคดิ ทีแ่ ปลกใหม ที่ไมซ้ำใครหรือพัฒนาตอยอดจากของเดิม วิเคราะห องคป ระกอบของชน้ิ งานหรือวิธีการเพื่อสรางแบบจำลองอยา งงา ย ตั้งคำถามหรือระบุปญหาหรือสถานการณที่ซับซอน จากการสังเกตสิ่งตาง ๆ สถานการณหรือ ปรากฏการณในชีวิตประจำวัน ระบุสาเหตุของปญหา แยกปญหาเปนปญหายอย ๆ สามารถ วางแผนและดำเนินการการสำรวจตรวจสอบ เลือกวิธีการเก็บรวบรวมขอมูล เปรียบเทียบ 6 แหลงขอมูลและขอเท็จจริงได วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล ลงขอสรุปไดอยางถูกตอง นำเสนอขอ สรุปรวมทง้ั เปรียบเทยี บและประเมนิ ขอสรปุ ท่แี ตกตางหรือตรงกันขา มกบั ขอ สรปุ ของตน และสามารถปรับปรุงขอสรุปของตนตามขอมูลและหลักฐานใหมสรางแบบจำลองเพื่อแสดง โครงสรางของปญหาหรือสถานการณได พัฒนาชิ้นงานหรือวิธีการโดยใชความคิดที่แปลกใหม ทีไ่ มซ ้ำใคร หรือพฒั นาตอ ยอดจากของเดมิ ใหเหมาะสมตอการใชงานจริง สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ณ วันที่ 27 พฤศจกิ ายน 2563
176 ระดบั สมรรถนะการคิดขน้ั สงู (ตอ ) ป.1-3 ระดับความสามารถ ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6 ระดบั การพัฒนา ระดบั คำบรรยายระดบั สามารถ เริ่มตน ตง้ั คำถามหรือระบุปญหาหรอื สถานการณท ่ียากและซับซอน จากการสงั เกตสิ่งตาง ๆ สถานการณ เหนอื กำลงั หรือปรากฏการณในชีวติ ประจำวนั ระบุสาเหตุของปญหา แยกปญหาเปนปญหายอย ๆ สามารถ ความ พฒั นา วางแผนและดำเนินการการสำรวจตรวจสอบโดยใชเครื่องมือหรือเทคโนโลยี เลือกวิธีการเก็บ คาดหวัง 7 รวบรวมขอมูล วิเคราะหขอมูลเพื่อสรางขอสรุปที่แมนยำและนาเชื่อถือ เปรียบเทียบแหลงขอมูล สามารถ และขอเท็จจริงได สามารถลงขอสรุปไดอยางถูกตอ ง เปรียบเทียบและประเมินขอสรุปที่แตกตาง หรือตรงกันขามกับขอสรุปของตนโดยใชเหตุผลและหลักฐานที่หลากหลายและสามารถปรับปรุง เหนือ ขอสรุปของตนตามขอมูลและหลักฐานใหม สรางแบบจำลองเพื่อแสดงโครงสรางของปญหาหรือ สถานการณได พัฒนาชิ้นงาน วิธีการหรือนวัตกรรม โดยใชความคิดที่แปลกใหมที่ไมซ้ำใคร ความ หรอื พฒั นาตอ ยอดจากของเดิมใหเ หมาะสมตอการใชง านจริง คาดหวงั ตั้งคำถามหรอื ระบุปญ หาหรือสถานการณท ่ียากและซบั ซอน จากการสงั เกตสิง่ ตา ง ๆ สถานการณ หรือปรากฏการณในชีวิตประจำวัน ประเมินคำถามวาสามารถสำรวจตรวจสอบไดหรือไม ระบุ สาเหตุของปญหา แยกปญหาเปนปญหายอย ๆ สามารถวางแผนและดำเนินการการสำรวจ 8 ตรวจสอบ เลือกวิธีการเก็บรวบรวมขอมูล วิเคราะหขอมูลเพื่อสรางขอสรุปที่แมนยำ และนาเชื่อถือ เปรียบเทียบแหลงขอมูลและขอเท็จจริงได นำเสนอขอสรุปรวมทั้งเปรียบเทียบ และประเมินขอสรุปที่แตกตางหรือตรงกันขามกับขอสรุปของตน โดยใชเหตุผลและหลักฐาน ที่หลากหลายและสามารถปรับปรุงขอสรุปของตนตามขอมูลและหลักฐานใหม สรางแบบจำลอง ความคิด เพื่ออธิบายแนวคิดที่ใชในการออกแบบระบบได สามารถพัฒนาชิ้นงาน วิธีการหรือ นวัตกรรม โดยใชความคดิ ที่แปลกใหมที่ไมซ้ำใคร หรือพัฒนาตอยอดจากของเดิมใหเหมาะสมตอ การใชง านจริง ต้ังคำถามหรือระบุปญหาหรอื สถานการณที่ยากและซบั ซอน จากการสงั เกตส่ิงตาง ๆ สถานการณ หรือปรากฏการณในชีวิตประจำวันหรอื จากผลท่ไี มคาดคดิ มากอน เพอื่ หาขอมูลเพิม่ เติม ประเมิน คำถามวาสามารถสำรวจตรวจสอบไดหรือไม ระบุสาเหตุของปญหา สามารถแยกปญหาเปน ปญหายอย ๆ สามารถวางแผนและดำเนินการการสำรวจตรวจสอบ เลือกวิธีการเก็บรวบรวม ขอมูล พรอมทั้งประเมินความถูกตอง วิเคราะหขอมูลเพื่อสรางขอสรุปที่แมนยำและนาเชื่อถือ 9 เปรียบเทยี บแหลงขอมูลและขอเทจ็ จริงได ประเมนิ ผลกระทบของปญหาโดยใชว ิธีการทเ่ี หมาะสม และครอบคลุมทุกมิติ นำเสนอขอสรุปรวมทั้งเปรียบเทียบและประเมินขอสรุปที่แตกตางหรือ ตรงกันขามกับขอสรุปของตน โดยใชเหตุผลและหลักฐานที่หลากหลายและสามารถปรับปรุง ขอสรุปของตนตามขอมูลและหลักฐานใหม สามารถสรางแบบจำลองความคิดเพื่ออธิบายแนวคิด ที่ใชในการออกแบบการแกปญหา สามารถทำนายผลลัพธที่เกิดขึ้นเมื่อมีการปจจัยอื่นเขามา ในระบบ พัฒนาชิ้นงาน วิธีการหรอื นวตั กรรม โดยใชความคิดที่แปลกใหมที่ไมซ ้ำใคร หรือพัฒนา ตอยอดจากของเดิมใหเหมาะสมตอการใชงานจริง เขียนสะทอนความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาและ กระบวนการเรียนรู ตง้ั คำถามหรือระบุปญ หาหรือสถานการณที่ยากและซบั ซอน จากการสงั เกตสิ่งตา ง ๆ สถานการณ หรือปรากฏการณในชีวิตประจำวันหรือจากผลที่ไมคาดคิดมากอน เพื่อหาขอมูลเพิ่มเติมและหา ความสัมพันธของสิ่งตาง ๆ รวมทั้งประเมินคำถามวาสามารถสำรวจตรวจสอนไดหรือไม ระบุ สาเหตุของปญหา แยกปญหาเปนปญหายอย ๆ สามารถวางแผนและดำเนินการการสำรวจ ตรวจสอบ เลือกวิธีการเก็บรวบรวมขอมูล พรอมทั้งประเมินความถูกตองและขอจำกดั ของขอมูล 10 วิเคราะหขอมูลเพื่อสรางขอสรุปที่แมนยำและนาเชื่อถือรวมทั้งพิจารณาขอจำกัดของการ วิเคราะหและตีความหมายขอมูล สามารถเปรียบเทียบแหลงขอมูลและขอเท็จจริงได นำเสนอ ขอสรุปรวมทั้งเปรียบเทียบและประเมินขอสรุปที่แตกตางหรือตรงกันขามกับขอสรุปของตน โดยใชเหตุผลและหลักฐานที่หลากหลายและสามารถปรับปรุงขอสรุปของตนตามขอมูลและ หลักฐานใหม สรางแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวคิด ทำนายหรือประเมินผลลัพธ พัฒนาชิ้นงาน วิธีการหรือนวัตกรรม โดยใชความคิดที่แปลกใหมที่ไมซ้ำใคร หรือพัฒนาตอยอดจากของเดิมให เหมาะสมตอการใชงานจริงและสงผลดีตอสังคม เขียนสะทอนความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาและ กระบวนการเรียนรู และระบุสิ่งที่ตองสิ่งที่จะทำในอนาคตเพื่อพัฒนาการเรียนรูของตนเองและ พัฒนาสังคม
พฤติกรรมบง ช้ตี ามระ ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดานการคดิ ด 1 ตัง้ คำถามหรอื ระบุปญ หาอยา งงา ย อยางมวี ิจารณญาณ จากการสังเกตสง่ิ ตาง ๆ รอบตัว สถานการณ หรอื ปรากฏการณใน - สรปุ ความเขา ใจของ - อธิบา ชวี ิตประจำวัน สังเกต จำแนก สำรวจ วางแผน รวบรวมขอ มลู ตน เกีย่ วกับเรือ่ งน้ันได ทเ่ี ก่ยี หรอื ทรัพยากร สรุปขอมลู และ เสนอแนวทางแกปญหาอยา งงา ย จากการตั้งคำถาม การ สถาน ได สามารถจนิ ตนาการและเสนอ ความคิดไดอยางอิสระ ตลอดจน ฟง/ อานขอมลู ทสี่ าม สามารถผลติ ผลงานอยา งงายโดย อาศยั ตนแบบ เรอ่ื งราว อยา ง - อธบิ ายเหตุผล และอ ในการตดั สนิ ใจ ความ ในเรือ่ งตาง ๆ ระหว ในชวี ติ ประจำวนั องคป ของตน โดยก แผน แผน เคลื่อ
ะดับสมรรถนะการคดิ ขนั้ สงู พฤตกิ รรมบงช้ี ดา นการคิด ดา นการคดิ สรา งสรรค ดา นการคดิ แกปญ หา เชงิ ระบบ ายองคป ระกอบ - บอกเลาความคดิ ของ - ระบุปญ หา อยางงาย ยวของกบั ตนเองหรอื จนิ ตนาการ อธิบายลักษณะของปญหา นการณ ทแ่ี ปลกใหม ออกแบบวิธีแกปญหา มารถสังเกตได ไปจากสิง่ รอบตัว ไดหลาย และลงมือแกป ญ หา งชดั เจน ความคิดและรวดเรว็ ดว ยตนเองจนปญ หาไดรับ อธบิ าย - ทำผลงานทเี่ ปน ชิ้นงาน การแกไ ขภายใตคำการ มสมั พันธ โดยอาศัยตน แบบ และ/ ดูแลของผูใ หญ วา ง หรือ แตกตา งจาก ประกอบ ตนแบบ ภายใตเ งือ่ นไข การพดู เขียน งา ย ๆ ใหร ายละเอียด นภาพหรอื ของงานหรอื ความคดิ นผัง วาดภาพ อยางงายได อนไหวรา งกาย 177
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดา นการคดิ ด อยา งมีวิจารณญาณ 2 ต้งั คำถามหรอื ระบปุ ญหาอยาง - อธิบา งา ยจากการสังเกตส่งิ ตาง ๆ - สรปุ ความเขา ใจของ ทีเ่ กยี่ รอบตวั สถานการณ หรือ ตน และแสดงความ สถาน ปรากฏการณใ นชวี ติ ประจำวัน คิดเหน็ เกย่ี วกบั เร่ือง ทสี่ าม สังเกต จำแนก หรอื ระบุ นน้ั ได จากการตัง้ อยาง ความสัมพันธข องสิ่งท่เี กี่ยวขอ ง และอ กบั ปรากฏการณหรือสถานการณ คำถาม การฟง / อา น ความ นัน้ ๆ ได สามารถสำรวจ วางแผน ระหว รวบรวมขอ มลู หรือทรัพยากร ขอ มูลเรอ่ื งราว องคป สรุปขอ มูล และเสนอแนวทาง โดยก แกป ญหาอยางงา ยได พรอมแสดง - อธิบายเหตุผล แผน เหตุผลและประเมินความ วาดภ เหมาะสมของคำตอบ สามารถ ในการตดั สนิ ใจ รา งก จนิ ตนาการและเสนอความคิดได อยางคลองแคลว หลายประเภท ในเรอ่ื งตาง ๆ ใน และหลายทศิ ทาง ตลอดจน สามารถผลติ ผลงาน ชีวติ ประจำวันของตน อยางงายโดยอาศยั ตนแบบ
พฤตกิ รรมบงช้ี ดา นการคิด ดา นการคดิ สรา งสรรค ดานการคิดแกปญ หา เชิงระบบ ายองคประกอบ - บอกเลาความคิดของ - ระบปุ ญหา ยวของกับ ตนเองหรอื จนิ ตนาการ อยางงา ย นการณ ทแ่ี ปลกใหม หาสาเหตขุ องปญ หาและ มารถสังเกตได ไปจากส่ิงรอบตวั ไดอยา ง วิธีการแกไขปญ หา งชัดเจน หลากหลาย ออกแบบวธิ ีแกป ญ หา อธิบาย และรวดเร็ว และลงมอื แกป ญ หา มสัมพนั ธ ในเวลาทีก่ ำหนด ดว ยตนเอง วาง - ทำผลงานที่เปนชิน้ งาน จนปญหาไดร บั การแกไข ประกอบ หรอื วิธกี ารโดยอาศัย ภายใต การพดู เขยี น ตนแบบ และ/หรือ การแนะนำ นภาพหรือแผนผงั แตกตางจากตนแบบ ของผใู หญ ภาพ เคลอ่ื นไหว ภายใตเ งื่อนไขงาย ๆ กาย ใหร ายละเอยี ด ของงานหรอื ความคิด อยางงายได และสามารถ นำไปใชจรงิ ใน ชีวิตประจำวนั 178
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดานการคดิ ด 3 ต้งั คำถามหรือระบปุ ญหาอยาง อยา งมีวจิ ารณญาณ งา ยจากการสงั เกตสิง่ ตาง ๆ รอบตวั สถานการณ หรอื - สรุปความเขา ใจของ - อธิบา ปรากฏการณ ในชีวติ ประจำวนั สังเกต จำแนก ตน และแสดงความ ทีส่ าม หรือระบุความสัมพนั ธของสงิ่ ท่ี เก่ยี วขอ งกบั ปรากฏการณห รอื คดิ เหน็ อยางมีเหตผุ ล อยาง สถานการณนน้ั ๆ ได สามารถ สำรวจ วางแผน รวบรวมขอ มูล เกยี่ วกบั เร่อื งนั้นได ขอเท หรอื ทรพั ยากร แปลความหมาย ขอมลู ดว ยหลกั ฐานเชิงประจักษ จากการตั้งคำถาม การ และค และสรุปขอมลู เพ่อื เปรยี บเทียบ ประเมนิ ตดั สินใจ หรอื เสนอ ฟง/ อานขอมูล ระหว แนวทางแกป ญหาอยางงา ยได พรอมแสดงเหตุผล โดยคำนึงถึง เรื่องราว องคป ความเหมาะสมของการออกแบบ วธิ ีการแกปญ หา สามารถ - อธบิ ายเหตุผล ที่เก่ยี และความเหมาะสม สถาน ในการตดั สินใจ โดยก ในเร่อื งตาง ๆ แผน ในชีวิตประจำวนั วาดภ ของตน รา งก
พฤตกิ รรมบงช้ี ดา นการคิด ดานการคดิ สรา งสรรค ดา นการคิดแกปญหา เชงิ ระบบ ายองคประกอบ - บอกเลา ความคดิ ของ - ระบุปญ หา มารถสังเกตได ตนเองหรอื จนิ ตนาการ อยา งงา ย งชัดเจนตาม ทแ่ี ปลกใหม หาสาเหตุของปญ หาและ ทจ็ จรงิ ท่มี ี ไปจากส่ิงรอบตัว ไดอยา ง วธิ กี ารแกไขปญหา ความสมั พนั ธ หลากหลายและรวดเรว็ ออกแบบวิธแี กปญหาที่มี วา ง ในเวลาท่กี ำหนด ความเปน ไปไดจรงิ ในทาง ประกอบ - ทำผลงานทเ่ี ปนชิ้นงาน ปฏิบตั ิ ยวของกบั หรอื วธิ ีการ และลงมือแกป ญ หา นการณ ทีม่ ีรายละเอยี ด ดวยตนเอง จนปญ หาไดร ับ การพูด เขียน โดยใชก ารดดั แปลงจาก การแกไ ข ภายใต นภาพหรอื แผนผัง ความคดิ เดมิ การติดตาม ภาพ เคลอ่ื นไหว สิ่งท่ีมอี ยู หรอื นำสง่ิ อ่นื ของผใู หญ กาย มาทดแทน ส่ิงทข่ี าดได ในเวลาที่กำหนด และสามารถ นำไปใชจรงิ ในชีวติ ประจำวนั 179
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดานการคดิ ด อยางมีวิจารณญาณ จินตนาการและเสนอความคิดได อยา งคลองแคลว หลากหลาย - สรปุ ความเขา ใจของ - สามา โดยใชความคิดที่แปลกใหม ทไ่ี มซ ำ้ ใคร ตลอดจนสามารถ ตนและแสดงความ ปจจยั ผลติ ผลงานตามจนิ ตนาการ โดยอาศยั ตนแบบ คดิ เห็นอยางมีเหตุผล สถาน 4 ต้งั คำถามหรอื ระบปุ ญ หาอยาง งายจากการสงั เกตสิ่งตาง ๆ เกีย่ วกบั สามา รอบตัว สถานการณ หรือ ปรากฏการณ เร่อื งนัน้ จากการ ปจจัย ในชีวติ ประจำวันโดยละเอยี ด ระบคุ วามสัมพันธข องสิง่ ท่ี ต้งั คำถาม ทเี่ ก่ีย เกี่ยวของกบั ปรากฏการณหรือ สถานการณนนั้ ๆ ได สามารถ การฟง /อา นขอมูล หรือส วางแผนและดำเนนิ การสำรวจ ตรวจสอบ เลอื กวิธกี ารเกบ็ เรื่องราว วิเคราะหเ พื่อ สามา รวบรวมขอมลู แปลความหมาย ขอมลู ดว ยหลกั ฐานเชิงประจักษ ประเมินความ จดั ห เหมาะสมของขอ มลู กำหน ในการลงขอ สรปุ ได ทีเ่ กยี่ อยา งถกู ตอ ง หรือส
พฤติกรรมบง ชี้ ดานการคิด ดานการคิดสรา งสรรค ดานการคิดแกป ญหา เชงิ ระบบ ารถวิเคราะห - แสดงความคดิ - ระบปุ ญหา ท่ซี ับซอน ยในระบบหรอื วางแผน การแกปญหา นการณ และ ในเรอื่ งตาง ๆ ดวยการวเิ คราะหและ ารถรวบรวม จัดลำดับสาเหตุของปญหา ยอน่ื ๆ บอกเลาความคดิ หาวธิ ีการแกไ ขปญหาที่ ยวของกบั ระบบ หลากหลายเปนไปไดจ ริง สถานการณ โดย จินตนาการหรอื ในทางปฏบิ ตั ิ คาดเดา ารถเชื่อมโยง ผลท่จี ะเกิดขน้ึ หมวดหมหู รือ ความคดิ ของ จากวธิ ีการแกไขปญหา นดตวั แปร เหลานนั้ เลอื กวิธกี าร ยวของกบั ระบบ ตนเองท่ีแปลก แกป ญหาโดยระบุขอด/ี สถานการณ โดย ขอ เสีย ลงมือแกปญหาดว ย ใหมไ ปจาก สิ่งรอบตัวของ 180 ตนเองและบริบท และตอ ยอด ความคดิ ของ
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดา นการคดิ ด อยางมีวิจารณญาณ และสรปุ ขอ มลู พรอมท้งั ประเมนิ การพ ความถกู ตอ งและขอจำกัดของ และ/หรอื ตดั สนิ ใจ แผนภ ขอ มลู เพือ่ เปรยี บเทียบ ประเมิน เลอื ก วาดภ ตัดสินใจ หรอื เสนอแนวทาง ทางใดทางหนึ่ง โดย รา งก แกป ญ หาอยา งงา ยได สามารถ ระบุหลกั ฐาน จนิ ตนาการและเสนอความคดิ ได สนบั สนนุ ความคดิ ได อยา งคลองแคลว หลากหลาย อยางนอยหนึง่ โดยใชค วามคดิ ท่แี ปลกใหม แหลงขอมูล ที่ไมซ ้ำใคร หรอื พฒั นาตอยอด - อธบิ ายเหตุผล จากของเดิม ของการตดั สนิ ใจ ในเร่ืองตา ง ๆ ในชีวิตประจำวันของ ตน และบอกไดว าการ ตัดสนิ ใจ ของตนมี ความเหมาะสม โดยระบหุ ลักฐาน สนบั สนุนความคิดได
พฤติกรรมบง ชี้ ดา นการคิด ดา นการคดิ สรา งสรรค ดานการคิดแกปญหา เชงิ ระบบ ตนเอง เก็บและวเิ คราะห พดู เขียน ตนเองให ขอ มลู เพอื่ ประเมินและ ตรวจสอบผลของการ ภาพหรือแผนผงั แตกตา ง แกป ญ หา ปรบั ปรุง จน ปญหาไดร บั การแกไ ข ภาพ เคล่อื นไหว ไปจากเดมิ กาย - ทำและพัฒนาผลงานที่ เปน ช้ินงานหรือวธิ กี ารท่มี ี รายละเอยี ด โดยการ ดดั แปลงจากความคิดเดิม สงิ่ ทมี่ อี ยู หรือนำสง่ิ อน่ื มา ทดแทนสงิ่ ทขี่ าด ไดอ ยาง หลากหลายและรวดเรว็ ใน เวลา ทกี่ ำหนด และ สามารถนำไปใชจ รงิ ใน ชีวติ ประจำวัน โดย ตอบสนอง ความตองการ จำเปน หรอื สภาพ ปญหาในบรบิ ท 181
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดานการคิด ด อยา งมีวจิ ารณญาณ 5 ต้งั คำถามหรือระบุปญ หาท่ี - สรุปความเขา ใจ - สามา ซบั ซอน จากการสงั เกตสง่ิ ตา ง ๆ ของตนและแสดงความ ปจ จ สถานการณ หรอื ปรากฏการณ คดิ เหน็ อยางมเี หตผุ ล หรือส ในชีวติ ประจำวนั โดยละเอียด เกยี่ วกบั เร่อื งน้นั และส สามารถวางแผนและดำเนนิ การ จากการ ตัง้ คำถาม ปจจัย การสำรวจตรวจสอบ เลือกวิธกี าร การฟง /อานขอ มูล เก่ียว เกบ็ รวบรวมขอมูล วเิ คราะห เร่ืองราวท่หี ลากหลาย หรอื ส ขอมูล แปลความหมายขอ มูล เพือ่ วเิ คราะห ตคี วามเพือ่ สามา สรางขอสรปุ ทแ่ี มนยำและ ประเมนิ ความ ปจ จ นาเชือ่ ถือ พรอมนำเสนอและ เหมาะสมของขอมลู หรือส เปรยี บเทยี บขอ สรุปทีเ่ หมือนหรือ ในการลงขอสรปุ ได สามา แตกตา งกับขอสรุปของตน อยา งถูกตอง ความ สามารถพฒั นาช้ินงานหรือวิธีการ และ/หรือ ตดั สินใจ เชิงเห โดยใชค วามคดิ ที่แปลกใหม ท่ีไม เลือกทางใดทางหน่ึง ของร ซ้ำใครหรอื พัฒนาตอ ยอดจาก โดยระบหุ ลักฐาน ดว ยข ของเดมิ วิเคราะหอ งคป ระกอบ สนับสนุนความคดิ ได สญั ล ของช้นิ งานหรือวธิ ีการเพอ่ื สราง อยางนอยหน่งึ แบบ แบบจำลองอยางงา ย แหลง ขอ มลู อยา ง
พฤติกรรมบงช้ี ดานการคดิ ดานการคดิ สรา งสรรค ดานการคิดแกปญ หา เชงิ ระบบ ารถวเิ คราะห - แสดงความคดิ - ระบุปญหา ที่ซบั ซอ น จัยในระบบ ในเร่อื งตา ง ๆ วางแผน การแกป ญหา สถานการณ บอกเลาความคดิ ดว ยการประเมิน สามารถรวบรวม จินตนาการหรอื ความคิด ความสำคญั ยอ่นื ๆ ท่ี ของตนเองที่แปลกใหมไ ป ของปญ หา วิเคราะหและ วขอ งกบั ระบบ จากสง่ิ รอบตัวของตนเอง จัดลำดับสาเหตุ สถานการณ และบริบท และตอยอด ของปญ หา หาวิธีการ ารถวิเคราะห ความคดิ ของตนเองให แกไ ขปญ หาทหี่ ลากหลาย จยั ในระบบ แตกตาง เปน ไปไดจริงในทางปฏบิ ัติ สถานการณ ไปจากเดมิ คาดเดาผลทจ่ี ะเกดิ ข้นึ จาก ารถวเิ คราะห - ทำและพฒั นาผลงานท่ี วิธีการแกไขปญหาเหลา นน้ั มสมั พันธ เปนช้ินงานหรือวธิ กี ารทม่ี ี เลอื กวิธกี ารแกปญหา หตแุ ละผล การคิดแจกแจง โดยระบุขอดี/ขอเสยี ลงมอื ระบบ รายละเอียดโดยการ แกป ญหา ดวยตนเอง ขอ ความ ผสมผสานจากหลาย เกบ็ และวเิ คราะหข อ มูล ลกั ษณ แผนภาพ ความคิด และดัดแปลง เพื่อประเมนิ และ บจำลอง จากความคิดเดิมส่งิ ที่มอี ยู ตรวจสอบผลของการ งงาย หรือนำสง่ิ อ่นื มาทดแทน 182
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดา นการคิด ด อยา งมวี จิ ารณญาณ - อธิบายเหตุผลของ การตดั สนิ ใจในเรอื่ ง ตาง ๆ ในวิตประจำ วันของตน และบอกได วา การตัดสนิ ใจ ของตนมีความ เหมาะสม โดยระบุหลกั ฐาน สนบั สนนุ ความคดิ ได 6 ตง้ั คำถามหรือระบปุ ญ หาหรือ - สรุปความเขา ใจ - สาม สถานการณท ซ่ี ับซอ น จากการ ของตน และแสดง ปจ จ สังเกตสงิ่ ตา ง ๆ สถานการณห รือ ความคิดเห็นอยางมี หรอื ส ปรากฏการณในชวี ติ ประจำวัน เหตผุ ลเกีย่ วกับ ท่ยี าก ระบุสาเหตขุ องปญ หา แยกปญ หา เร่อื งน้นั ไดจ ากการตงั้ สามา เปนปญหายอ ย ๆ สามารถ คำถาม การฟง /อา น ความ วางแผนและดำเนินการการ ขอ มลู เรือ่ งราวท่ี เชงิ เห สำรวจตรวจสอบ เลือกวธิ ีการเกบ็ หลากหลาย วิเคราะห ของร รวบรวมขอมลู เปรยี บเทยี บ มองเ
ดานการคิด พฤตกิ รรมบง ช้ี ดานการคิดแกปญหา เชงิ ระบบ ดานการคดิ สรา งสรรค แกปญ หา ปรบั ปรุงจน ปญหาไดร บั การแกไ ข ส่งิ ท่ขี าด ไดอยา ง หลากหลายและรวดเร็ว ในเวลาทกี่ ำหนด และ สามารถนำไปใชจ รงิ ใน ชีวติ ประจำวัน โดยตอบสนองความ ตองการจำเปน หรอื สภาพ ปญหาในบริบท มารถวิเคราะห - แสดงความคดิ - ระบปุ ญหาทซี่ ับซอ น วาง จยั ในระบบ ในเรือ่ งตา ง ๆ แผนการแกปญ หาดว ยการ สถานการณ บอกเลาความคิด ประเมนิ ความสำคัญและ กและซบั ซอ น จนิ ตนาการหรอื ผลกระทบ ารถวิเคราะห ความคิดของตนเอง ของปญ หา วเิ คราะหและ มสมั พนั ธ ทแ่ี ปลกใหมไ ปจาก จดั ลำดับสาเหตุ หตแุ ละผล สง่ิ รอบตัวของ ของปญหา หาวธิ กี ารแกไข ระบบ และ ตนเองและบรบิ ท ปญ หาท่หี ลากหลายเปนไป เหน็ แบบแผน ไดจริงในทางปฏิบตั ิ 183
ระดบั คำนยิ ามบรรยายระดบั ดา นการคิด ด อยา งมีวจิ ารณญาณ แหลง ขอมลู และขอเท็จจรงิ ได ของพ วเิ คราะหข อ มูล แปลความหมาย ตคี วาม แปลความ และอ ขอ มลู ลงขอ สรุปไดอยา งถูกตอง สังเคราะห ของอ นำเสนอขอสรุปรวมทงั้ เปรียบเทยี บ เพื่อประเมิน ๆ ใน และประเมนิ ขอ สรุปทีแ่ ตกตาง ความเหมาะสมของ สถาน หรือตรงกนั ขามกับขอสรุปของตน ขอมลู ในการลง และร และสามารถปรบั ปรงุ ขอสรปุ ของ ของพ ตนตามขอ มลู และหลักฐานใหม ขอสรุปไดอยางถกู ตอง และอ สรา งแบบจำลองเพอ่ื แสดง และ/หรือ ตดั สนิ ใจ ของอ โครงสรางของปญหาหรอื เลอื ก ทางใดทางหนงึ่ ๆ ใน สถานการณได พฒั นาชน้ิ งานหรอื สถาน วิธกี ารโดยใชค วามคดิ ทแ่ี ปลกใหม โดยสามารถระบุ สรา ง ที่ไมซำ้ ใคร หรอื พัฒนาตอ หลกั ฐานสนับสนุน อยา ง ยอดจากของเดิม ใหเ หมาะสมตอ ความคิดไดมากกวา การใชง านจรงิ หนง่ึ แหลงขอมลู - ชแ้ี จงเหตุผล ของการตดั สินใจ ในเร่อื งตาง ๆ ในชวี ิตประจำวันของ ตน และบอกไดว า การ ตัดสินใจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316