Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

Published by banchongmcu_surin, 2022-05-11 07:51:05

Description: 2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

Search

Read the Text Version

86 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๓. แนวคดิ เร่อื ง “ตรกี าย” หลกั ตรกี ายเป็นหลกั สำ� คญั ของมหายานทอ่ี ธบิ ายวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มี ๓ กายเป็นหลกั ร่วมกนั ของทกุ นิกาย พระสูตรต่าง ๆ ก็จะพูดถงึ ตรีกายอยู่เสมอ ก่อนอ่นื ควรทำ� ความเขา้ ใจว่า แรกเร่ิมพทุ ธศาสนา มหายานดง้ั เดมิ มหี ลกั คำ� สอนเร่อื งกายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไมต่ ่างจากเถรวาท กลา่ วคอื ถอื กนั วา่ พระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ มเี พยี ง ๒ กาย คอื ๑) นิรมาณกาย หรอื ทฝ่ี ่ายเถรวาท เรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ รูปกาย อนั หมายถงึ ทงั้ กายหยาบและ ละเอยี ดเหมอื นสตั วโลกทวั่ ไป ๒) ธรรมกาย คำ� ว่า ธรรมกายในวรรณกรรมมหายานดง้ั เดมิ มคี วามหมาย ๒ ประการ คือ ประการแรก ธรรมกายเป็นกายแหง่ ธรรม ประมวลขอ้ ปฏบิ ตั ิ คำ� สงั่ สอน ซง่ึ ช่วยเสรมิ พระบารมี อยูใ่ นฐานะพทุ ธคณุ อย่างหน่ึง และอกี ประการหน่ึง ธรรมกายเป็นตถาคตกาย ความเป็นอย่างนนั้ หลกั ความจริงอนั เป็นรากฐาน แห่งจกั รวาล22 ต่อมาในยุคของท่านอสงั คะและวสุพนั ธุ คณาจารยข์ องนิกายโยคาจาร จงึ มกี ารเพม่ิ กายเขา้ มาอกี หน่งึ กาย คอื สมั โภคกาย ทำ� ใหเ้กดิ เป็นแนวคดิ ตรกี ายข้นึ มา และธรรมกายกม็ คี วามหมายค่อนขา้ งไปทางเทวนยิ ม ดงั นน้ั พระกายทง้ั ๓ จงึ มคี วามหมาย ดงั น้ี ๑) ธรรมกาย หมายถงึ สภาวะอนั เป็นอมตะ เป็นสง่ิ ทไ่ี รร้ ูป ไมอ่ าจรบั รูไ้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั ไมม่ ี เบ้อื งตน้ และทส่ี ุด ทง้ั ไมม่ จี ดุ กำ� เนิดและผูส้ รา้ ง ดำ� รงอยู่ไดด้ ว้ ยตนเอง แมจ้ กั รวาลจะวา่ งเปลา่ ปราศจากทกุ สง่ิ แต่ธรรมกายจะยงั คงดำ� รงอยู่โดยไมม่ ที ส่ี ้นิ สุด และมหายาน ยงั มคี วามเช่อื วา่ พระธรรมกายน้ีเอง ทแ่ี สดงตน ออกมาในรูปของสมั โภคกายบนภาคพ้นื สวรรค์ และจากสมั โภคกายน้ีก็จะเเสดงตนออกมาในรูปนิรมาณกาย ทำ� หนา้ ทส่ี งั่ สอนสรรพสตั วใ์ นโลกมนุษย์ ๒) สมั โภคกาย หมายถงึ พระกายทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กายน้ีจะไมม่ กี ารแตกดบั อยู่ในสภาวะอนั เป็นทพิ ยอ์ ยู่ชวั่ นิรนั ดร์ และนอกจากน้ี มหายานยงั มคี วามเช่ือว่า สมั โภคกายสามารถท่จี ะ แสดงตนใหป้ รากฏแก่พระโพธิสตั วไ์ ด้ สามารถทจ่ี ะรบั ทราบคำ� สวดสรรเสริญและออ้ นวอนจากผูท้ เ่ี ลอ่ื มใสได้ และสมั โภคกายน้เี องทเ่ี นรมติ ตนลงมาเป็นนริ มาณกาย คอื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในโลกมนุษย์ เพอ่ื เป็นการสงั่ สอน สตั วโลก เพราะฉะนน้ั แมใ้ นบดั น้ีพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลายทเ่ี คยอบุ ตั ขิ ้นึ ในมนุษยโ์ ลกกย็ งั สถติ อยู่ในสภาวะ แห่งสมั โภคกายน้ี มไิ ดแ้ ตกดบั สูญส้นิ ไปเลย และพระโพธิสตั วท์ ง้ั หลายก็ยงั สามารถเห็นและรบั ค�ำสอนจาก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหลา่ น้ีได้ 22 พระมหาสมจินต์ สมมฺ าปญฺโ, พระพทุ ธศาสนามหายานในอนิ เดีย พฒั นาการและสารตั ถธรรม, (กรุงเทพ- มหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๑๐๐. 03. - 3 (70-110).indd 86 5/10/2022 12:56:39 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 87 ๓) นิรมาณกาย หมายถงึ กายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทย่ี งั ตกอยู่ในไตรลกั ษณ์ คอื ยงั มกี ารเกดิ แก่ เจบ็ และตาย เหมอื นมนุษยธ์ รรมดาทวั่ ไป มหายานมคี วามเชอ่ื วา่ นิรมาณกายน้ี แทจ้ รงิ แลว้ เป็นการเนรมติ มาจากสมั โภคกาย เพอ่ื เป็นอบุ ายในการสงั่ สอนสตั วโลก เพอ่ื สรรพสตั วท์ งั้ หลายจะไดไ้ มต่ กอยู่ในความประมาท และเร่งปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื มงุ่ สู่ความพน้ ทกุ ขโ์ ดยเรว็ กายแห่งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ ๓ น้ี ถอื วา่ เป็นแนวความคดิ และทศั นะในพระพทุ ธศาสนามหายาน โดยเฉพาะ และแทท้ ่จี ริงแลว้ กายเหล่าน้ีย่อมมคี วามเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทง้ั ส้นิ แตกต่างกนั เพยี งสภาวะ แห่งการแสดงออกเท่านน้ั โดยทน่ี ิรมาณกายเป็นการเนรมติ ตน มาจากสมั โภคกาย และสมั โภคกายก็เป็นการ เนรมติ ตนมาจากธรรมกายซ่งึ เป็นสง่ิ ท่ไี รร้ ูป อนั เป็นปรมตั ถภาวะ ถอื ว่าเป็นสภาวะท่เี ป็นอมตะ และอยู่เหนือ การอธบิ ายใด ๆ ในทางโลกยิ วสิ ยั จะเห็นไดว้ ่า การอธิบายภาวะของพุทธเจา้ ในรูปตรีกายเช่นน้ี มีวตั ถุประสงค์เพ่ือท่ีจะบอกว่า พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทเ่ี ป็นกายมนุษยน์ น้ั เป็นเพยี งภาคหน่ึงของธรรมกายอนั เป็นอมตะ ฉะนนั้ การทพ่ี ระสมั มา- สมั พุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานไป จึงเป็นเพียงการนิรมาณกายยอ้ นกลบั คืนสู่สภาวะดง้ั เดิมท่ีเรียกว่า สมั โภคกายเทา่ นนั้ ซง่ึ สมั โภคกายกห็ าใช่อะไร หากแต่หมายถงึ ภาคทเ่ี ป็นเทพของธรรมกายนนั่ เอง ดงั นนั้ ในทศั นะ ของมหายาน เวลาน้ีพระโคดมสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ก็ยงั ไมไ่ ดส้ ูญหายไปไหน แต่ทรงอยู่ในรูปสมั โภคกาย ณ ทใ่ี ด ทห่ี น่ึงในจกั รวาลน้ี ๔. แนวคดิ เร่อื งพทุ ธเกษตร พทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทเชอ่ื วา่ ในจกั รวาลหน่งึ ๆ จะมพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อบุ ตั ขิ ้นึ มากกวา่ หน่งึ พระองค์ ในเวลาเดยี วกนั ไม่ได้ แต่ฝ่ายมหายานเช่อื ต่างไปจากน้ีว่า ในจกั รวาลอนั เว้งิ วา้ งน้ี สามารถแบ่งเน้ือทอ่ี อกเป็น ส่วนย่อยลงไปอกี นบั จำ� นวนไมถ่ ว้ น อาณาเขตย่อย ๆ ของจกั รวาลแต่ละอาณาเขตน้ีเรยี กวา่ พทุ ธเกษตร (Pure Land) ในหน่ึงพทุ ธเกษตรจะมพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประทบั อยู่หน่ึงพระองค์ ดงั นน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในความเชอ่ื ของมหายานจงึ สามารถอบุ ตั ขิ ้นึ ในจกั รวาลพรอ้ มกนั ไดม้ ากกวา่ หน่งึ พระองค์ เมอ่ื เป็นดงั น้ี พระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ ท่อี ุบตั ิข้นึ เพ่อื ทำ� หนา้ ท่โี ปรดเวไนยสตั วใ์ นแต่ละจกั รวาลทงั้ ในอดีต ปจั จุบนั อนาคตจึงมจี ำ� นวน มากมายมหาศาลนบั ประมาณมไิ ดด้ จุ เมลด็ ทรายในคงคานท2ี 3 พระสมั มาสมั พุทธเจา้ แต่ละพระองค์ในแต่ละพุทธเกษตร ไม่ว่าจะอยู่ในภาคสมั โภคกายหรือ นริ มาณกาย ทง้ั หมดลว้ นแตกขยายออกมาจากธรรมกายอนั เดยี วกนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในแต่ละพทุ ธเกษตร อาจมลี กั ษณะและคุณสมบตั ิท่ผี ดิ แผกกนั ตามความเหมาะสม ในการโปรดสตั วใ์ นพทุ ธเกษตรนน้ั ๆ แต่นนั่ เป็นเพยี งความแตกต่างภายนอกเท่านน้ั โดยเน้ือแท้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ลว้ นมาจากธรรมกายเดยี วกนั ดจุ นำ�้ แมจ้ ะอยู่คนละสถานทก่ี ล็ ว้ นเป็นนำ�้ ทม่ี เี น้ือแทเ้ป็นชนดิ เดยี ว ฉนั นนั้ 23 สมภาร พรมทา, พทุ ธศาสนามหายาน นิกายหลกั , พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑๔๑-๑๔๒. 03. - 3 (70-110).indd 87 5/10/2022 12:56:39 PM

88 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พุทธเกษตรแต่ละแห่ง แตกต่างกนั ตามบารมีของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประจ�ำพุทธเกษตรนน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคใ์ ดสมยั ทเ่ี ป็นพระโพธสิ ตั วไ์ ดบ้ ำ� เพญ็ บารมไี วม้ าก อำ� นาจพระบารมนี น้ั จะส่งผลให้ พทุ ธเกษตรของพระองคร์ ุ่งเรืองมากกว่าพทุ ธเกษตรของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทบ่ี ำ� เพญ็ บารมธี รรมมานอ้ ยกว่า และพทุ ธเกษตรทก่ี ลา่ วกนั วา่ เป็นพทุ ธเกษตรทร่ี ุ่งเรอื งทส่ี ุด และเป็นทน่ี ยิ มมากทส่ี ุดในบรรดาพทุ ธเกษตรทง้ั หมด กค็ อื สุขาวดพี ทุ ธเกษตรอนั เป็นทอ่ี ยู่ของพระอมติ าภะ คนทวั่ ไปมกั จะเขา้ ใจวา่ สุขาวดเี ป็นช่อื หน่ึงของพระนิพพาน แต่ในความหมายของมหายาน สุขาวดนี น้ั ยงั ไม่ใช่นิพพาน เป็นเพยี งพทุ ธเกษตรหน่ึงเท่านนั้ แต่สุขาวดพี ทุ ธเกษตรต่างจากพทุ ธเกษตรท่เี ราอาศยั อยู่น้ี เพราะเป็นสถานท่ที ่นี ่าร่ืนรมยอ์ ย่างย่งิ ไม่มแี มแ้ ต่อบายภูมิ จึงสมบูรณ์ดว้ ยส่งิ อำ� นวยความสุขนานาประการ อกี ทงั้ อายุของผูท้ เ่ี กิดในดนิ แดนแห่งน้ีก็ยาวนานมาก ฉะนน้ั จงึ คลา้ ยกบั ว่าเป็นสถานทอ่ี ยู่อนั ถาวรไป แนวคิด เร่ืองพทุ ธเกษตรน้ี เช่ือว่ามาจากทศั นะของฝ่ายมหายานท่มี องว่า นิพพานไม่ใช่ส่งิ ท่คี นเราจะบรรลุไดง้ ่าย ๆ เป็นสง่ิ ทอ่ี ยู่ไกลเกินกว่าคนธรรมดาทวั่ ไปจะเอ้อื มถงึ นิพพานทต่ี อ้ งบรรลุถงึ ดว้ ยการปฏบิ ตั ศิ ีล สมาธิ ปญั ญา อย่างยง่ิ ยวด และตอ้ งใชเ้วลานาน จงึ ถกู ปรบั มาใหก้ ลายเป็นสง่ิ ทส่ี ามารถเขา้ ถงึ ไดด้ ว้ ยการทำ� บญุ ความศรทั ธา เชอ่ื มนั่ ในพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ของพทุ ธเกษตรนนั้ ๆ แลว้ สง่ ผลใหไ้ ปเกดิ ในดนิ แดนแหง่ หน่งึ เรยี กวา่ พทุ ธเกษตร ซ่งึ มเี งอ่ื นไขเอ้อื อำ� นวยแก่การเขา้ ถงึ นิพพานต่อไปโดยไม่ยากนกั โดยเฉพาะผูท้ ่ไี ปเกิดในสุขาวดพี ทุ ธเกษตร ก็ย่อมจะมโี อกาสเขา้ ถงึ นิพพานไดง้ า่ ยกว่าผูท้ ่เี กิดในพทุ ธเกษตรอ่นื ซ่งึ ยงั ไม่แน่ว่าจะเขา้ ถงึ นิพพานไดภ้ ายใน ชาตินน้ั แต่สำ� หรบั ผูท้ ่เี กิดในสุขาวดพี ทุ ธเกษตรแลว้ ทุกคนย่อมเป็นผูเ้ ท่ยี งแทต้ ่อนิพพาน คือจะตอ้ งเขา้ ถงึ นิพพานภายในชาตนิ น้ั ทกุ คน ๕. แนวคดิ เร่อื งพระโพธสิ ตั ว2์ 4 แนวคิดเร่ืองพระโพธิสตั ว์ (Bodhisattva) ถอื เป็นแกนกลางของคำ� สอนทง้ั หมดในคมั ภรี ม์ หายาน และเป็นอุดมคติอนั สูงส่งท่มี หายานม่งุ เนน้ โดยแนวคิดน้ีไดแ้ ยกเป็นเอกเทศจากความเช่ือเร่ืองพระพทุ ธเจา้ อย่างชดั เจน กลายเป็นการบรรลสุ ภาพอย่างหน่ึงทท่ี ำ� ใหผ้ ูบ้ รรลเุ ป็นผูป้ ระเสรฐิ ทม่ี หี นา้ ทส่ี ำ� คญั ในการช่วยเหลอื ดูแลชาวโลก และกลายเป็นเหลา่ เทพเจา้ ทส่ี ถติ ในสรวงสวรรค์ ในความเช่ือของมหายาน พระโพธิสตั วจ์ ะมคี วามใกลช้ ิดสรรพสตั วม์ ากกว่าพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และสามารถช่วยเหลอื สรรพสตั วไ์ ดอ้ ย่างมากมาย จึงเป็นผูค้ วรกราบไหวบ้ ูชาและเป็นท่ยี ึดเหน่ียวทางจิตใจ พระโพธสิ ตั วจ์ งึ มลี กั ษณะเป็นสอ่ื ระหวา่ งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในนิพพานกบั บรรดามวลมนุษย์ เป็นผูท้ ท่ี ำ� หนา้ ท่ี ช่วยเหลอื มนุษย์ มอี ำ� นาจพเิ ศษทส่ี ามารถจะช่วยเหลอื สรรพสตั วไ์ ดม้ าก ๆ 24 สุมาลี มหาณรงคช์ ยั , พทุ ธศาสนามหายาน, หนา้ ๔๗, พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโ, พระพทุ ธศาสนามหายาน ในอนิ เดีย พฒั นาการและสารตั ถธรรม, หนา้ ๕๑-๗๔. 03. - 3 (70-110).indd 88 5/10/2022 12:56:39 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 89 ถงึ แมว้ ่าพระโพธสิ ตั วท์ ง้ั หลายลว้ นตง้ั ความปรารถนาทจ่ี ะบรรลุพทุ ธภูมใิ หจ้ งไดแ้ ต่ท่านเหลา่ นน้ั ก็ยงั ไมข่ อเขา้ นพิ พานในทนั ที จะตอ้ งประพฤตติ ามหลกั คำ� สอนทเ่ี รยี กวา่ โพธสิ ตั วมรรค ไปจนกวา่ จะบรรลพุ ทุ ธภมู ิ คอื ๑) บารมี ๖ หมายถงึ คณุ ธรรมเป็นเหตใุ หถ้ งึ ฝงั่ คอื ความสำ� เรจ็ ต่าง ๆ ทบ่ี คุ คลไดต้ งั้ จดุ มงุ่ หมาย เอาไว้ ซง่ึ ตอ้ งบำ� เพญ็ ใหย้ ง่ิ ยวดตราบเท่าทย่ี งั มไิ ดบ้ รรลพุ ทุ ธภมู ิ เพอ่ื ช่วยเหลอื สรรพสตั ว์ ดงั นน้ั ทางฝ่ายมหายาน จงึ ย่อบารมี ๑๐ หรอื ทศบารมใี นฝ่ายเถรวาท ลงเหลอื เพยี งบารมี ๖ คอื - ทานปารมติ า หรอื ทานบารมี พระโพธสิ ตั วจ์ ะตอ้ งสละทรพั ย์ อวยั วะและชวี ติ เพอ่ื สตั วโ์ ลกได้ โดยไมอ่ าลยั - ศีลปารมติ า หรอื ศีลบารมี พระโพธสิ ตั วต์ อ้ งรกั ษาศีลอนั ประกอบดว้ ยอนิ ทรยี ส์ งั วรศีล กศุ ล- สงั คหศีล ขอ้ น้ีไดแ้ ก่การทำ� ความดสี งเคราะหส์ รรพสตั วท์ กุ กรณี สตั วสงั คหศีลคอื การช่วยสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ ทกุ ข์ - กษานตปิ ารมติ า หรอื ขนั ตบิ ารมี พระโพธสิ ตั วต์ อ้ งสามารถอดทนต่อสง่ิ กดดนั เพอ่ื โปรดสตั วไ์ ด้ - วริ ยิ ปารมติ า หรอื วริ ยิ บารมี พระโพธสิ ตั วไ์ มย่ ่อทอ้ ต่อพทุ ธภมู ิ ไมร่ ูส้ กึ เหน่อื ย-หน่ายระอาในการ ช่วยสตั ว์ - ธยานปารมิตา หรือฌานบารมี พระโพธิสตั วจ์ ะตอ้ งสำ� เร็จในฌานสมาบตั ิทุกชน้ั มีจิต ไมค่ ลอนแคลนเพราะเหตแุ ห่งอารมณ์ - ปรชั ญาปารมิตา หรือปญั ญาบารมี พระโพธิสตั วจ์ ะตอ้ งทำ� ใหแ้ จง้ ในปุคคลศูนยตาและ ธรรมศูนยตา ๒) อปั ปมญั ญา ๔ คอื การอบรมจติ ใหม้ คี ุณสมบตั อิ นั ประกอบดว้ ยเมตตา กรุณา มทุ ติ า และ อเุ บกขา ทำ� ใหค้ ุณสมบตั เิ หลา่ น้ีแผ่ไปในสรรพสตั วท์ งั้ ปวงไมม่ ปี ระมาณ ๓) มหาปณิธาน ๔ คอื ความตง้ั ใจอนั แน่วแน่มนั่ คงซง่ึ พระโพธสิ ตั วจ์ ะตอ้ งมี คอื - จะละกเิ ลสทง้ั หลายใหห้ มดส้นิ - จะศึกษาธรรมทงั้ หลายใหถ้ อ่ งถว้ น (คอื ศึกษาใหห้ มดและแตกฉาน) - จกั โปรดสตั วท์ ง้ั หลายใหห้ มด - จะตอ้ งบรรลอุ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ (บรรลพุ ทุ ธภมู )ิ ๔) อดุ มคติ ๓ คอื - หลกั มหาปญั ญา เป็นผูร้ ูแ้ จง้ ในสุญญตาทง้ั ๒ คอื ปคุ คลสุญญตา และธรรมสุญญตา พจิ ารณา เหน็ ความวา่ งในบคุ คลและธรรม ไมต่ กอยู่ในอำ� นาจกเิ ลส - หลกั มหากรุณา คอื มจี ติ ใจกรุณาต่อสตั วไ์ มม่ ขี อบเขต พรอ้ มทจ่ี ะเสยี สละตนเองทนทกุ ขแ์ ทน สรรพสตั ว์ เพอ่ื ช่วยสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ ทกุ ข์ - หลกั มหาอบุ าย คอื ตอ้ งมกี ศุ โลบายอนั ชาญฉลาด ในการแนะนำ� อบรมสงั่ สอนผูอ้ น่ื ใหพ้ น้ จาก ทกุ ขใ์ หเ้ขา้ ถงึ ธรรม 03. - 3 (70-110).indd 89 5/10/2022 12:56:39 PM

90 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา อดุ มคตขิ องพระโพธสิ ตั วท์ งั้ สามขอ้ น้ี นบั เป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ขอ้ แรกหมายถงึ การบำ� เพญ็ ประโยชนข์ องตนใหเ้พยี บพรอ้ มสมบูรณ์ ส่วนสองขอ้ หลงั เป็นการบำ� เพญ็ ประโยชนเ์ พอ่ื ผูอ้ น่ื เมตตา ช่วยผูอ้ น่ื ใหพ้ น้ ทกุ ข์ และเป็นการสบื อายุพระศาสนาพรอ้ มทงั้ เผยแผ่คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหแ้ พร่หลาย ในพระพทุ ธศาสนามหายาน ความเป็นพระอรหนั ตก์ ็ยงั นบั ว่าดอ้ ยกว่าพระโพธิสตั ว์ เพราะเป็นการ เอาตวั รอดแต่เพยี งผูเ้ดยี ว มไิ ดช้ ่วยเหลอื ผูอ้ น่ื ในระหวา่ งการบำ� เพญ็ เพยี รของตน แต่พระโพธสิ ตั วผ์ ูม้ งุ่ อนุตตร- สมั มาสมั โพธเิ ป็นผูท้ เ่ี สยี สละอย่างยง่ิ ไมย่ อมบรรลโุ พธใิ นทนั ทเี พราะอาศยั ความกรุณาเป็นทต่ี งั้ จงึ ปรารถนาทจ่ี ะ ช่วยเหลอื ผูอ้ น่ื ก่อน ความคดิ ทเ่ี นน้ การเสยี สละช่วยเหลอื แก่ผูอ้ น่ื โดยไมค่ ำ� นึงถงึ ความทกุ ขย์ ากลำ� บากของตวั เอง จงึ ทำ� ใหอ้ ดุ มคตพิ ระโพธสิ ตั วม์ คี วามโดดเด่นเหนอื กวา่ อดุ มคตพิ ระอรหนั ต์ และไดร้ บั ความนยิ มมากข้นึ เร่อื ย ๆ จนกลายเป็นแกนกลางคำ� สอนทง้ั หมดของฝ่ายมหายานในทส่ี ุด เมอ่ื พจิ ารณาจากหลกั การและความเชอ่ื ของมหายานทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ ทง้ั หมด เราจะเหน็ ภาพรวมของ คำ� สอนทม่ี ลี กั ษณะพเิ ศษอนั เป็นเอกลกั ษณข์ องฝ่ายมหายานโดยเฉพาะ หลกั คำ� สอนเหลา่ น้สี ำ� หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน ฝ่ายเถรวาทอาจมองวา่ เป็นเร่อื งทเ่ี ขา้ ใจไดย้ ากเพราะห่างไกลจากคำ� สอนดง้ั เดมิ ในฝ่ายเถรวาท ทงั้ ๆ ทจ่ี รงิ แลว้ กเ็ ป็นเร่อื งทเ่ี ก่ยี วเน่ืองสมั พนั ธก์ บั คำ� สอนของเถรวาททงั้ หมด การปรบั ปรงุ คำ� สอนใหเ้ขา้ กบั สงั คมและกาลสมยั ตามแนวทางของคณาจารยฝ์ ่ายมหายาน ถอื วา่ เป็นขอ้ เด่น ทเ่ี ป็นประโยชนใ์ นการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนา แต่อย่างไรกด็ ี ในประเดน็ น้ีมขี อ้ ทค่ี วรพจิ ารณาคอื 25 ๑) การปรบั พทุ ธพจน์ มหายานไดใ้ ชห้ ลกั จติ วทิ ยาท่เี หนือกว่าการจูงใจคนคือปรบั พทุ ธพจนใ์ หเ้ ขา้ กบั บุคคล ใหค้ นทวั่ ไป มคี วามรูส้ กึ วา่ พทุ ธภาวะนนั้ อยูแ่ ค่เอ้อื ม บคุ คลทกุ เพศทกุ วยั กอ็ าจบรรลพุ ทุ ธภาวะนนั้ ได้โดยไมต่ อ้ งอาศยั พธิ รี ตี อง หรือการปฏบิ ตั ิมาก เป็นการดงึ พทุ ธธรรมเขา้ หาบุคคลอย่างเหมาะเจาะ และเกิดความรูส้ กึ ว่าเป็นกนั เอง คือ พทุ ธธรรมอยู่ในวสิ ยั อยู่ในความสามารถของสามญั ชนทห่ี ยงั่ ถงึ ได้ โดยไมต่ อ้ งอาศยั พธิ กี ารอะไรใหย้ ุ่งยากนกั เมอ่ื เปรยี บเทยี บกนั อาจดูเหมอื นวา่ ฝ่ายเถรวาทจะตง้ั เป้าหมายและวธิ บี รรลเุ ป้าหมาย ไวส้ ูงส่งและ ยากเกนิ ไป และอาศยั ผูม้ ศี รทั ธาจรงิ ๆ จงึ จะกลา้ ดำ� เนินตามเป้าหมายและบรรลตุ ามเป้าหมาย ทำ� ใหส้ ามญั ชน โดยทวั่ ไปมองพระพทุ ธศาสนาในแงส่ ูงสุดเอ้อื ม จะเหน็ ไดง้ า่ ยๆ วา่ แมแ้ ต่พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ กย็ งั มี ความเหน็ วา่ เร่อื งการปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ เป็นเร่อื งของพระภกิ ษุเท่านนั้ ยง่ิ เมอ่ื พดู ถงึ การบรรลมุ รรคผลดว้ ยแลว้ ดูจะ เป็นสง่ิ ทเ่ี กนิ วสิ ยั และเป็นไปไมไ่ ดเ้ลยสำ� หรบั ฆราวาสผูท้ ย่ี งั ครองเรอื นจะบรรลธุ รรมได้ดงั นนั้ จงึ มกั คดิ วา่ ทางโลก และทางธรรมเป็นสง่ิ ทต่ี อ้ งแยกออกจากกนั และยากทจ่ี ะไปดว้ ยกนั ได้ เมอ่ื มองในอกี แงห่ น่ึง พระพทุ ธศาสนาเถรวาทมงุ่ ทป่ี จั เจกภาพเฉพาะบคุ คล คอื เร่มิ ทต่ี นก่อนแลว้ จงึ ไปหาผูอ้ น่ื แต่มหายานมงุ่ ทผ่ี ูอ้ น่ื แลว้ ดงึ เขา้ มาหาตนเอง กลา่ วงา่ ย ๆ คอื มหายานเอาปรมิ าณไวก้ ่อน เพราะถอื วา่ 25 กองวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นีย, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๙๑-๙๒. 03. - 3 (70-110).indd 90 5/10/2022 12:56:39 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 91 เมอ่ื คนทส่ี นใจธรรมะมมี ากข้นึ คนทร่ี ูแ้ จง้ ธรรมก็ย่อมจะมมี ากตามไปดว้ ยเป็นเงาตามตวั ดว้ ยเหตนุ ้ีพระพทุ ธ- ศาสนาแบบมหายานจึงไดร้ บั ความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็วและสามารถดึงดูดความสนใจของผูค้ น ไดม้ ากกวา่ ๒) ปญั หาท่เี กดิ จากการปรบั พทุ ธพจน์ อยา่ งไรกต็ าม แมว้ า่ การปรบั พทุ ธพจนจ์ ะทำ� ใหม้ หายานประสบความสำ� เรจ็ ในการเผยแผ่ แต่ถงึ กระนนั้ ก็ยงั ก่อใหเ้ กิดผลเสียท่ีเห็นไดช้ ดั เจนในแง่ท่ีว่า เม่อื มกี ารมองค�ำสอนหรือพระพุทธวจนะในแง่ปรชั ญา คือ มงุ่ พจิ ารณาในแงเ่ หตผุ ลมใิ ช่ในแงศ่ รทั ธา จงึ ปรากฏมคี ณาจารยม์ หายานตคี วามพระธรรมวนิ ยั ไปตามหลกั เหตผุ ล ทแ่ี ตกต่างกนั และเน่อื งจากเหตผุ ลกย็ อ่ มข้นึ อยูก่ บั ขอบเขตแหง่ แนวความคดิ ของบคุ คลแต่ละคนไมจ่ ำ� เป็นทบ่ี คุ คล อน่ื ๆ จะตอ้ งยอมรบั ดงั นน้ั นกิ ายย่อย ๆ ของมหายานจงึ เกดิ ข้นึ เร่อื ยมา เมอ่ื อยู่ทใ่ี ด สภาพแวดลอ้ มเปลย่ี นไป ความคดิ ทจ่ี ะปรบั ปรุงก็มอี ยู่ อย่างไรก็ตาม ถา้ บคุ คลมจี ติ ใจสูง พทุ ธพจนก์ ็ไมแ่ ปดเป้ือนมลทนิ มากนกั แต่ถา้ บคุ คลมจี ติ ใจตำ�่ พทุ ธพจนก์ พ็ ลอยมวั หมองไปดว้ ย ดว้ ยเหตนุ ้ี พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทจงึ มที ่าทใี นการรกั ษา พระธรรมวนิ ยั อยา่ งเคร่งครดั ซง่ึ มปี ระโยชนต์ ่อความมนั่ คงของพระพทุ ธศาสนาในระยะยาว ในขณะทฝ่ี ่ายมหายาน สนองความตอ้ งการทเ่ี หมาะในขณะนน้ั เท่านนั้ และเมอ่ื กาลเวลาผ่านไป มหายานก็ตอ้ งเปลย่ี นแปลงตวั เองอยู่ เร่อื ยไปอย่างหลกี เลย่ี งมไิ ด้ จงึ ปรากฏวา่ มนี กิ ายของมหายานมากมายเหลอื เกนิ ในปจั จบุ นั ๓.๔.๓ มหายานสองสายท่มี ีตน้ กำ� เนิดในอนิ เดีย พระพทุ ธศาสนามหายานในอนิ เดยี สามารถแบง่ เป็นนกิ ายใหญ่ ๆ ได้ ๒ นิกาย คอื นิกายมาธยมกิ ะ และ นิกายโยคาจาร ทง้ั สองนิกายเป็นทย่ี อมรบั กนั ทวั่ ไปในวงวชิ าการวา่ เป็นนิกายของฝ่ายมหายานทม่ี ตี น้ กำ� เนิดใน อนิ เดยี และต่างกม็ ปี รชั ญาคำ� สอนอนั ลกึ ซ้งึ ทช่ี วนใหน้ กั วชิ าการชาวตะวนั ตกทงั้ หลายท่มุ เทศึกษากนั อย่างจรงิ จงั ๑. นิกายมาธยมิกะ (Madhyamika) พทุ ธปรชั ญาสำ� นกั มาธยมกิ ะถอื กนั วา่ เป็นปรชั ญาชน้ั ยอด แสดงใหเ้หน็ ถงึ ลกั ษณะอนั แทจ้ รงิ แห่งสจั ธรรม ขนั้ สูงสุด ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงมงุ่ หมาย กลา่ วคอื ปรชั ญาน้ีช้ใี หโ้ ลกรูว้ า่ คำ� วา่ นิพพาน (นิรวาณ) ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงมงุ่ หมายนนั้ คอื อะไร ณ สภาพนิพพานน้ีแหละช้ใี หโ้ ลกรูว้ า่ ผูป้ ฏบิ ตั จิ ะบรรลสุ นั ตภิ าพถาวรขน้ั สุดทา้ ยซง่ึ เป็น ความหลดุ พน้ จากกองทกุ ข์ หยุดเกดิ และการเวยี นวา่ ยในวฏั สงสาร หลกั ปรชั ญาน้ีเกดิ จากหลกั การพ้นื ฐานของ พระพทุ ธศาสนาทว่ี า่ นิรฺวาณ ศานฺต26 นกิ ายน้ีถอื หลกั ปฏจิ จสมปุ บาททเ่ี รยี กวา่ มชั ฌมิ าปฏปิ ทาหรอื ทางสายกลาง เป็นหลกั ในการดำ� เนนิ จงึ ได้ มชี ่อื ว่า มาธยมิกะ และเพราะเหตทุ ก่ี ลา่ วถงึ ศูนยตาเป็นเร่อื งสำ� คญั จงึ มชี ่อื ว่า ศูนยวาท เมอ่ื พจิ ารณาจากช่อื เรียกแลว้ จะเหน็ ว่า นิกายมาธยมกิ ะมคี ำ� หลกั อยู่ ๒ คำ� คือคำ� ว่า ทางสายกลาง กบั คำ� ว่าศูนยห์ รือสูญ คำ� ว่า 26 อดศิ กั ด์ิ ทองบญุ . สำ� นกั พทุ ธปรชั ญา, ใน มหาจุฬาฯ วชิ าการ : ปรชั ญาบรุ พทศิ . ทรงวทิ ย์ แกว้ ศร,ี บรรณาธกิ าร (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗), หนา้ ๗๖. 03. - 3 (70-110).indd 91 5/10/2022 12:56:39 PM

92 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ทางสายกลางของมาธยมกิ ะถอื ความเป็นกลางระหวา่ งความมกี บั ความไมม่ ี ความเทย่ี งกบั ความไมเ่ ทย่ี ง อตั ตา กบั อนตั ตา กล่าวสน้ั ๆ นิกายน้ีแสดงว่าโลกน้ีมจี ริงก็ไม่ใช่ ไม่มจี ริงก็ไม่ใช่ เป็นแต่เพยี งความสบื เน่ืองกนั นอกจากน้ีแลว้ เมอ่ื กลา่ วถงึ นิกายมาธยมกิ ะ จำ� ตอ้ งกลา่ วถงึ ประวตั ขิ องผูต้ งั้ นิกายคอื นาคารชนุ ดว้ ย ประวตั พิ ระนาคารชนุ นาคารชนุ มชี วี ติ ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ - ๘๐๐ เป็นนกั ปรชั ญาอนิ เดยี เป็นผูก้ ่อตง้ั สำ� นกั มธั ยมกะ (ทางสายกลาง) ในนกิ ายมหายาน แหง่ พทุ ธศาสนา และนบั เป็นนกั คดิ ชาวพทุ ธทม่ี อี ทิ ธพิ ลสูงสดุ ถดั จากพระพทุ ธเจา้ เป็นทศ่ี รทั ธาและกลา่ วถงึ ในหมนู่ กั ศกึ ษาพทุ ธศาสนาชาวยโุ รปมาโดยตลอด ทา่ นเป็นนกั ปราชญท์ างพระพทุ ธศาสนา ทม่ี ผี ลงานโดดเด่นในดา้ นปรชั ญาและตรรกวทิ ยา นอกจากน้ี ท่านยงั เป็นนกั พทุ ธปรชั ญาผูม้ เี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตนโดดเด่น ไดส้ รา้ งสรรคย์ ุคใหมอ่ นั เจดิ จรสั ใหก้ บั ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนามหายาน โดยสถาปนาก่อตง้ั สำ� นกั พทุ ธปรชั ญามหายานสำ� นกั มาธยมกิ ะหรอื เรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ ศูนยวาท ข้นึ ในดนิ แดนของอนิ เดยี ตอนเหนอื 27 ผลงานสำ� คญั ของท่านคอื มาธยมกิ การกิ า (มาธยมกิ ศาสตร)์ อนั เป็นพ้นื ฐานสำ� คญั ของแนวคดิ ศูนยวาท ประกอบดว้ ยการกิ า ๔๐๐ การกิ า ใน ๒๗ ปรเิ ฉท หนงั สอื เลม่ น้ีไดร้ บั การยกย่องตลอดมา และเป็นทย่ี อมรบั กนั ว่านกั ตรรกวทิ ยาท่ยี ่งิ ใหญ่กว่าพระนาคารชุนไม่เคยมปี รากฏในโลก ศาสนิกชนมหายานทุกนิกายยกย่องท่าน ในฐานะคุรุผูย้ ง่ิ ใหญ่เสมอ อย่างไรกต็ าม ประวตั ขิ องท่านกลบั ไมช่ ดั เจนเท่าทค่ี วร ตามประวตั ทิ แ่ี ปลเป็นภาษาจนี โดยพระกุมารชวี ะเมอ่ื ประมาณ ค.ศ. ๔๐๕ ไดก้ ลา่ วว่า พระนาคารชนุ เป็นชาวอนิ เดยี ภาคใต้ เกดิ ในสกลุ พราหมณ์ แต่ขอ้ มลู ทบ่ี นั ทกึ โดยพระถงั ซำ� จงั๋ ระบวุ า่ ท่านเกดิ ในแควน้ โกศล ภาคใต,้ ท่านเป็นพระสหายทม่ี อี ายุไลเ่ ลย่ี กบั พระเจา้ ยชั ญศรเี คาตมบี ตุ ร (ค.ศ. ๑๖๖-๑๙๖) ประวตั ใิ นตอนตน้ ไมแ่ น่ชดั หลกั ฐานของทเิ บตกลา่ ววา่ ทา่ นออกบวชตง้ั แต่วยั เดก็ เน่อื งจากมผี ูท้ ำ� นายวา่ จะอายุสน้ั บา้ งกว็ า่ ในวยั เดก็ มารดาของท่านไดร้ บั คำ� ทำ� นายวา่ ท่านนาคารชนุ จะไมอ่ าจมบี ตุ ร ทางแกค้ อื ตอ้ งจดั พธิ เี ล้ยี งพราหมณ์ ๑๐๐ คน ครอบครวั ของท่านจงึ ตอ้ งจดั พธิ ีดงั กลา่ ว แต่หลงั จากนน้ั พราหมณ์ก็ยงั ทำ� นายว่าตอ้ งจดั พธิ ีเช่นน้ีอกี เน่ืองจาก ยงั ไมส่ ้นิ เคราะห์ กระทงั่ หลงั จากทม่ี ารดาทำ� พธิ เี ล้ยี งพราหมณเ์ ป็นครง้ั ทส่ี าม มารดาจงึ ตดั สนิ ใจใหท้ ่านออกบวช ขณะอายุยงั ไม่ครบ ๗ ปี และใหท้ ่านออกจาริกแสวงบญุ เพอ่ื แสวงหาผูท้ ส่ี ามารถช่วยชวี ติ ท่านใหร้ อดพน้ จาก ความตาย ท่านจารกิ มาจนถงึ นาลนั ทา ท่านไดพ้ บกบั ท่านราหลุ ภทั ระและไดร้ บั การศึกษาทน่ี นั่ 28 27 อภญิ วฒั น์ โพธ์สิ าน, ชีวติ และผลงานของนกั ปราชญพ์ ทุ ธ, (สารคาม : สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สารคาม, ๒๕๔๙), หนา้ ๑๔๑. 28 พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโญ, ปรชั ญามาธยมกิ ะ : โลกและชวี ติ จากมมุ ของนาคารชนุ , ใน รวมบทความทางวชิ าการ ทางพระพทุ ธศาสนาและปรชั ญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑๑๖-๑๑๗. 03. - 3 (70-110).indd 92 5/10/2022 12:56:39 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 93 แต่อกี ตำ� นานหน่ึงกลา่ ววา่ ท่านออกบวชในวยั หนุ่ม เหตเุ น่ืองจากท่านกบั สหายใชเ้วทมนตรล์ กั ลอบเขา้ ไป ในพระราชวงั และถกู จบั ได้ สหายท่านถกู จบั ประหารชวี ติ เน่ืองจากตวั ท่านอธษิ ฐานวา่ หากรอดพน้ จากการจบั กมุ ในครง้ั น้ีจะออกบวชในพระพทุ ธศาสนา หลงั จากอุปสมบทแลว้ ไดศ้ ึกษาพระไตรปิฎกเจนจบภายใน ๙๐ วนั มคี วามรอบรูใ้ นไตรเพทและศิลปศาสตรน์ านาชนดิ ประวตั ทิ า่ นปรากฏเป็นตำ� นานเชงิ อภนิ หิ ารในพทุ ธศาสนานกิ าย ต่าง ๆ จนยากจะหาขอ้ สรุป ตำ� นานเล่าว่าท่านไดล้ งไปยงั เมอื งบาดาลเพอ่ื อญั เชิญคมั ภรี ป์ รชั ญาปารมติ าสูตร ข้นึ มาจากนาคมณเฑยี ร และเป็นผูเ้ปิดกรุพระธรรมเรน้ ลบั ของมนตรยานซง่ึ พระวชั รสตั วบ์ รรจใุ ส่สถูปเหลก็ ไว้ ไดม้ กี ารอา้ งว่าท่านพำ� นกั อยู่ในสถานทห่ี ลายแห่งของอนิ เดยี เช่น ศรบี รรพตในอนิ เดยี ภาคใต้ ในคมั ภรี ท์ เิ บต กลา่ ววา่ ท่านใชเ้วลาช่วงหน่ึงอยู่ทน่ี าลนั ทาดว้ ย สำ� หรบั นามวา่ “นาคารชนุ ” นน้ั มที ม่ี าจากคำ� วา่ นาคะ กบั อรชนุ โดยทอ่ี รชนุ เป็นช่อื ของตน้ ไมซ้ ง่ึ เช่อื กนั วา่ เป็นทก่ี ำ� เนดิ ของท่าน บา้ งกอ็ ธบิ ายต่างไปวา่ นาคะหมายถงึ ปญั ญาญาณ แสดงถงึ สมรรถภาพทางสตปิ ญั ญา ของผูท้ ส่ี ามารถเอาชนะกิเลสาสวะลงได้ ดงั นน้ั ช่อื ของพระนาคารชนุ จงึ อาจเป็นช่อื จริงหรือนามฉายาทม่ี บี คุ คล ยกย่องข้นึ ในภายหลงั กไ็ ด้ และมขี อ้ สนั นิษฐานมากมายเกดิ ข้นึ เก่ยี วกบั เร่อื งน้ี อย่างไรกต็ าม มคี วามเป็นไปไดว้ า่ นกั ปราชญท์ ่มี นี ามว่านาคารชนุ นนั้ อาจมอี ยู่หลายคน ทำ� ใหบ้ ุคคลในชนั้ หลงั เกิดความสบั สนและเขา้ ใจผดิ ว่า เป็นบคุ คลคนเดยี วกนั ทำ� ใหม้ ตี ำ� นานเร่อื งราวปรากฏต่างกนั ออกไป เวลาดบั ขนั ธข์ องนาคารชุนไม่ปรากฏชดั ซำ�้ ยงั มลี กั ษณะเป็นตำ� นานไม่น่าเช่ือถอื เพราะขอ้ มูลบางแห่ง อา้ งวา่ นาคารชนุ มอี ายุยนื มากนบั ไดเ้ป็นรอ้ ย ๆ ปี ขอ้ มลู บางแห่งช้วี า่ ในปจั ฉิมวยั ท่านดบั ขนั ธล์ ง ณ มหาวหิ าร แหง่ หน่งึ ทเ่ี มอื งอมราวดใี นแควน้ อนั ธระ ปจั จบุ นั ในอนิ เดยี ทางใตย้ งั มโี บราณสถานแหง่ หน่งึ ซง่ึ มซี ากพระสถปู เจดยี ์ ช่อื วา่ นาคารชนุ โกณฑะ29 แนวคดิ ทางปรชั ญา พระนาคารชนุ อธบิ ายหลกั พทุ ธพจนบ์ นพ้นื ฐานของปรชั ญาศูนยตวาท ซง่ึ กลา่ วไวอ้ ย่างชดั เจนในงานเขยี น ของท่านคอื “มาธยมกิ ศาสตร”์ คำ� วา่ มาธยมกิ ะ หมายถงึ ทางสายกลาง เพราะฉะนนั้ แนวคดิ ของมาธยมกิ ะกค็ อื ปรชั ญาสายกลางระหว่างสสั สตทฏิ ฐิ (ความเหน็ ว่ามอี ยู่อย่างเทย่ี งแท)้ และอจุ เฉททฏิ ฐิ (ความเหน็ ว่าขาดสูญ) ตามทพ่ี ทุ ธปรชั ญาอธบิ ายวา่ สรรพสง่ิ ลว้ นองิ อาศยั กนั เกดิ ข้นึ ไมม่ สี ง่ิ ใดมสี วภาวะทด่ี ำ� รงอยู่ไดด้ ว้ ยตวั ของมนั เอง จงึ เรยี กวา่ ศูนยตา ทวา่ กไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ เป็นความวา่ งเปลา่ หรอื ขาดสูญแบบอจุ เฉททฏิ ฐิ หากหมายถงึ ไมม่ ี สาระในตวั เอง แต่เป็นเพราะเหตปุ จั จยั องิ อาศยั กนั เกดิ ข้นึ แบบปจั จยาการ สรรพสง่ิ ในโลกจงึ ลว้ นเป็นความสมั พนั ธ์ เช่นความสนั้ และความยาวเกิดข้นึ เพราะมกี ารเปรียบเทยี บกบั อกี ส่งิ หน่ึงเสมอ เพราะฉะนน้ั สาระอนั แทจ้ ริง ของความสนั้ และความยาวจงึ ไมม่ ี จงึ เป็นศูนยตา และทกุ สง่ิ โดยสภาพปรมตั ถแ์ ลว้ ลว้ นเป็นศูนยตา ปราศจาก แก่นสารใหย้ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ได้ แนวคิดของมาธยมกิ ะเป็นพฒั นาการทางตรรกวทิ ยาอนั สุขมุ ลุ่มลกึ ของมหายาน 29 อภชิ ยั โพธปิ ระสทิ ธศิ าสต,์ พระพทุ ธศาสนามหายาน, หนา้ ๑๖๐. 03. - 3 (70-110).indd 93 5/10/2022 12:56:40 PM

94 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เพอ่ื ใชเ้หตผุ ลทางตรรกะคดั คา้ นความเช่อื ในความมอี ยู่ของอตั ตา รวมทงั้ ปรมาตมนั ซง่ึ พราหมณแ์ ละลทั ธนิ อก พระพทุ ธศาสนาอน่ื ๆ เช่อื ถอื วา่ เป็นสง่ิ ทด่ี ำ� รงอยู่โดยตวั เอง ไมอ่ งิ อาศยั สง่ิ ใด และเป็นแก่นสารของสรรพสง่ิ แต่หลกั ปรชั ญาของพระพทุ ธศาสนาย่อมสอนใหเ้ขา้ ถงึ ความดบั รอบโดยแทจ้ รงิ แมท้ ง้ั ตวั ผูร้ ูแ้ ละสง่ิ ทร่ี ูย้ ่อมดบั ทงั้ ส้นิ กลา่ วคอื โดยปรมตั ถแ์ ลว้ ทง้ั พระนิพพานและผูบ้ รรลนุ ิพพานย่อมเป็นศูนยน์ นั่ เอง เพราะเมอ่ื ธรรมทงั้ ปวง เป็นอนตั ตา เกดิ จากเหตปุ จั จยั จงึ ปราศจากตวั ตน เมอ่ื ปราศจากแก่นสารตวั ตน แลว้ อะไรเลา่ ทเ่ี ป็นผูด้ บั กเิ ลส และบรรลุพระนิพพาน เราจะเหน็ ไดว้ ่าว่างเปลา่ ทงั้ ส้นิ ไม่มสี ตั วบ์ คุ คลมาตง้ั แต่แรก เป็นสกั แต่ช่อื เรยี กว่าสตั ว์ บคุ คลตวั ตนเราเขาเท่านน้ั สงั สารวฏั ลว้ นเป็นมายา โดยแทแ้ ลว้ หาไดม้ สี ภาวะใดเกดิ ข้นึ หรอื ดบั ไป เพราะฉะนนั้ จงึ กลา่ ววา่ ตวั ตนผูบ้ รรลนุ ิพพานไมม่ เี สยี แลว้ พระนพิ พานอนั ผูน้ น้ั จะบรรลจุ งึ พลอยไมม่ ไี ปดว้ ย ตวั อย่างในเร่ืองน้ีปรชั ญามาธยมกิ ไดใ้ ชอ้ ุปมาว่า30 เปรียบเหมอื นมายาบุรุษคนหน่ึงประหารมายาบุรุษ อกี คนหน่งึ การประหารของมายาบรุ ษุ ทงั้ สองยอ่ มเป็นมายาไปดว้ ยฉนั ใด ทง้ั ผูบ้ รรลนุ พิ พานและสภาวะแหง่ นพิ พาน ย่อมเป็นศูนยไ์ ปดว้ ยฉนั นนั้ หรอื เปรยี บก่งิ ฟ้าซง่ึ ไมม่ อี ยู่จรงิ สง่ิ ทแ่ี ขวนอยู่บนก่งิ ฟ้าก็ย่อมจะมไี มไ่ ด้ แลว้ เช่นน้ี จะมอี ะไรอกี สำ� หรบั ปญั หาการบรรลแุ ละไมบ่ รรลุ กลา่ วใหช้ ดั ข้นึ อกี คอื เมอ่ื ตวั ตน อตั ตา อาตมนั เป็นสง่ิ วา่ งเปลา่ ไม่มแี ก่นสารอยู่จริง เป็นสกั แต่คำ� พูด เป็นสมมติโวหารเท่านนั้ แลว้ การประหารกิเลสของส่งิ ท่ไี ม่มจี ริงนนั้ จะเป็นจรงิ ไดอ้ ย่างไร อน่ึง อปุ มาวา่ มายาบรุ ุษผูถ้ กู ประหารอนั เปรยี บดว้ ยกเิ ลสทง้ั หลาย กไ็ มม่ อี ยู่จรงิ เช่นน้ีแลว้ ถา้ เกดิ ความเขา้ ใจผดิ วา่ มสี ง่ิ อนั ตนประหาร หรอื มสี ง่ิ อนั ตนไดบ้ รรลถุ งึ (มรรค ผล นพิ พาน) แลว้ ไซร้จะหลกี เลย่ี ง ส่วนสุดทงั้ สองขา้ ง (เท่ยี งแท-้ ขาดสูญ) ไดอ้ ย่างไร มาธยมกิ ะแสดงหลกั ว่าทง้ั สงั ขตธรรมและอสงั ขตธรรม มสี ภาพเทา่ กนั คอื เป็นศูนยตา เพราะการมอี ยู่แหง่ สงั ขตะจงึ มอี สงั ขตะ หากสงั ขตธรรมเป็นมายาหามอี ยู่จรงิ ไมโ่ ดย ปรมตั ถแ์ ลว้ อสงั ขตธรรมอนั เป็นคู่ตรงขา้ มกย็ ่อมไมม่ ไี ปดว้ ย อปุ มาดงั่ ดอกฟ้ากบั เขากระต่าย หรอื นางหนิ มคี รรภ์ ซง่ึ เป็นสง่ิ ทไ่ี มเ่ คยมใี นโลก เช่นนน้ั แลว้ บตุ รอนั เกดิ จากนางหนิ มคี รรภจ์ ะมอี ย่างไรได้ แมแ้ ต่ความสูญเองก็เป็น มายาดว้ ยเช่นกนั แต่กระนนั้ ปรชั ญาศูนยวาทก็ยงั ยนื ยนั ในเร่ืองนิพพานและบญุ บาปว่าเป็นสง่ิ มอี ยู่ เพยี งแต่ คดั คา้ นส่ิงท่ีดำ� รงอยู่ดว้ ยตวั ของมนั เองเท่านนั้ เพราะสรรพส่ิงเป็นศูนยตานนั่ เอง คนทำ� กรรมดีย่อมไดด้ ี ทำ� กรรมชวั่ ย่อมไดช้ วั่ ปุถชุ นจึงบรรลุเป็นพระอริยะได้ หาไม่หากสรรพส่งิ เท่ยี งแทอ้ ยู่โดยตวั ของมนั เองแลว้ ย่อมไมแ่ ปรผนั เมอ่ื นนั้ มรรคผลนิพพานกจ็ ะมไี มไ่ ดด้ ว้ ย แนวคดิ หลกั ๆ แนวคดิ สำ� คญั ของมาธยมกิ ะคอื ศูนยตา ซง่ึ คำ� วา่ ศูนยตา หรอื สูญ มผี ูเ้ขา้ ใจผดิ กนั มาก คอื คนส่วนมาก เขา้ ใจไปว่า เป็นคำ� ปฏิเสธความจริงโดยส้ินเชิง เช่นว่า สูญเปล่าไม่มอี ะไรเหลอื ซ่ึงตรงกบั ทศั นะของพวก อจุ เฉททฏิ ฐทิ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงคดั คา้ น ดงั นนั้ ศูนยตาจะหมายความสูญเปลา่ อย่างนน้ั ไมไ่ ดแ้ น่ ศูนยตาตามทศั นะ ของท่านนาคารชนุ มี ๒ นยั คอื 30 เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ปรชั ญามหายาน, (กรุงเทพมหานคร : บรรณาคาร, ๒๕๒๒), หนา้ ๘๙. 03. - 3 (70-110).indd 94 5/10/2022 12:56:40 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 95 ๑. ปฏเิ สธสมมตสิ จั จะ โดยถอื วา่ สมมตสิ จั จะวา่ งจากสภาวะหรอื ลกั ษณะแทข้ องมนั หมายความวา่ สง่ิ ทง้ั หลายในโลกน้ีไมม่ ลี กั ษณะแทข้ น้ั ปรมตั ถ์ เพราะเป็นสง่ิ ทเ่ี กดิ ข้นึ โดยอาศยั เหตปุ จั จยั (ตรงกบั ความหมาย ของคำ� วา่ อนตั ตา ในบาล)ี ๒. ปฏเิ สธวาทะทุกรูปแบบท่ีพรรณนาปรมตั ถสจั จะ โดยถอื ว่าปรมตั ถสจั จะจะเป็นความจริงแท้ อยู่เหนอื ความต่างทง้ั หลาย อยู่เหนอื พทุ ธปิ ญั ญาหรอื ปญั ญาขนั้ เหตผุ ล (หมายถงึ นพิ พานซง่ึ ไมอ่ าจรูไ้ ดด้ ว้ ยตรรก) ฉะนน้ั ทฤษฎใี ด ๆ ทต่ี ง้ั ข้นึ เพอ่ื อธบิ ายสจั จะอยา่ งน้ี จงึ เป็นศูนยตาในความหมายวา่ วา่ งจากความจรงิ คอื ไมถ่ กู ตอ้ ง ครบถว้ น31 แนวคดิ หลกั ๆ ของนิกายมาธยมิกะ สรุปไดด้ งั น้ี ๑. นิกายมาธยมิกะ เสนอหลกั สุญญตาเพ่ือแยง้ แนวคิดในพระอภิธรรมปิฎกท่ียอมรบั แก่นแท้ ของธรรมทงั้ หลาย เช่น ธาตุ ๔ ปรมตั ถธรรม ๔ ว่ามอี ยู่จริง ซ่งึ ในอภธิ รรมปิฎกกล่าวว่า นามรูปทง้ั หลาย เป็นความจรงิ โดยสมมติ มเี พยี งขนั ธ์ ๕ เท่านน้ั ทม่ี อี ยู่ ตวั เราและสง่ิ รอบตวั เราเป็นมายา แต่ธรรมทก่ี ่อใหเ้กดิ มายาทง้ั หลายตอ้ งมอี ยู่เพอ่ื รบั รูส้ ง่ิ ทง้ั หลายวา่ ไมม่ จี รงิ จงึ กลา่ วไดว้ า่ ทงั้ รูปธรรม + นามธรรม = สมมตสิ จั จะ ไมม่ ี อะไรมสี ารตั ถะจรงิ แทใ้ นตวั เอง ไมม่ อี ะไรเกดิ ไดเ้องเป็นอสิ ระจากสง่ิ อน่ื ไมม่ อี ะไรเลยทม่ี อี ยู่เป็นเอกเทศ สามารถ คำ�้ จนุ หรอื เป็นเหตปุ จั จยั ใหก้ บั ตวั เองได้ ธรรมไมม่ แี ก่นแท้ เป็นสุญญตา นามธรรมและ รูปธรรม จงึ มลี กั ษณะ องิ อาศยั กนั และกนั ทเ่ี รยี กวา่ อญั ญมญั ญปจั จยั หรอื อยู่ในภาวสมั พทั ธ์ ๒. บทสรุปเก่ยี วกบั สง่ิ ทม่ี อี ยู่จรงิ พอจะเปรยี บเทยี บกนั ได้ ดงั น้ี ทศั นะอภธิ รรมของเถรวาท : นามรูปเป็นสุญญะ ส่วนธรรมทเ่ี ป็นฐานของนามรูปมอี ยู่จรงิ มลี กั ษณะ แน่นอนบางอย่าง มาธยมิกะ : ทง้ั นามรูป และธรรมทเ่ี ป็นฐานของนามรูปลว้ นสุญญะ ถา้ นิพพานมอี ยู่กม็ อี ยู่ในรูปของ สมั พทั ธเ์ ท่านน้ั ๓. สุญญตา ใชเ้ รียกภาวะท่สี ่งิ ทงั้ หลายไม่มลี กั ษณะแก่นสารในตวั เอง ไม่มภี าวะใดท่เี รียกไดว้ ่ามี อยู่จรงิ หรอื เป็นอสิ ระจากภาวะอน่ื ไมม่ ลี กั ษณะมลู ฐานทด่ี ำ� รงอยู่ลอย ๆ แยกขาดต่างหากจากลกั ษณะอน่ื ๔. ทกุ สง่ิ มอี ยู่โดยอาศยั เหตปุ จั จยั ปรุงแต่งความมอี ยู่ของสง่ิ ทงั้ หลาย จงึ เก่ยี วกบั ความมอี ยู่ของสง่ิ อน่ื อะไรกต็ ามทอ่ี าศยั ปจั จยั ทำ� ใหเ้กดิ ข้นึ สง่ิ นน้ั เป็นความวา่ ง (สุญญตา) ข้นึ อยู่กบั สมมตบิ ญั ญตั ิ ดงั นนั้ สงั ขตธรรม จงึ เป็นเป็นความวา่ ง สว่ นการเหน็ สงั ขตธรรม เป็นทางสายกลาง เพราะฉะนนั้ ธรรมทงั้ ปวงจงึ ไมม่ แี ก่นสาร กำ� หนด ตวั เองไมไ่ ด้ 31 อดศิ กั ด์ิ ทองบญุ , ปรชั ญาอนิ เดีย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๕๗-๑๕๘. 03. - 3 (70-110).indd 95 5/10/2022 12:56:40 PM

96 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๕. สุญญตา ไม่เป็นทศั นะความคิดหรือความเช่ือแบบใดแบบหน่ึง เป็นเพยี งคำ� ท่ใี ชเ้ รียกความไร้ แก่นสารของธรรมทง้ั ปวง ไมใ่ ช่ภาวะทม่ี อี ยู่จรงิ เป็นเอกเทศ เป็นทางสายกลางระหวา่ งความมอี ยู่ (อตั ถติ า) และ ความไมม่ อี ยู่ (นตั ถติ า) ๖. สุญญตา ๒ ลกั ษณะ คอื ๑) ในแงส่ มมตสิ จั จะ มนี ยั เชงิ ปฏเิ สธ คอื สมมตสิ จั จะวา่ งจากสวภาวะ เกดิ ข้นึ โดยอาศยั เหตปุ จั จยั ๒) ในแงป่ รมตั ถสจั จะปฏเิ สธวาทะทกุ รูปแบบ ทใ่ี ชอ้ ธบิ ายความจรงิ สูงสุด ดงั นน้ั สุญญตาจงึ ถกู ใชเ้ พอ่ื ปฏเิ สธทฤษฎที ง้ั หมด แต่ตวั มนั เองไม่ใช่ทฤษฎหี น่ึงทบ่ี ญั ญตั ขิ ้นึ เพอ่ื ลม้ ทฤษฎอี ่นื เป็นวถิ หี รือเป็นอบุ าย เพอ่ื ใชใ้ นการวพิ ากษ์ ไมใ่ ช่เป้าหมายหรอื มเี น้ือหาสาระใด ๆ ทง้ั ส้นิ ๒. นิกายโยคาจาร (Yogacara) นกิ ายน้สี งั กดั อยู่ในสายอสั ตวิ าทนิ ทกุ อย่างมอี ยู่จะต่างกแ็ ต่สำ� นกั น้ถี อื วา่ ทกุ อย่างนน้ั คอื จติ หรอื มาจากจติ นนั่ เอง ดงั นนั้ นกิ ายน้ีจงึ เรยี กวา่ วชิ ญาณวาทนิ หรอื วญิ ญาณวาทนิ ส่วนโยคาจารซง่ึ เป็นอกี ช่อื หน่ึงของนิกายน้ี ซง่ึ ประกอบดว้ ยศพั ท์ โยค+อาจาร ความประพฤติ จงึ มคี วามหมายรวมกนั วา่ การนำ� โยคะมาใชเ้ป็นหลกั เพอ่ื คน้ หา ความจรงิ ของจติ ใจ และความประพฤตดิ เี ขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื เป็นเคร่อื งมอื นำ� ไปสู่ความจรงิ สูงสุด32 เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ ติ จนรูแ้ จง้ สจั ธรรมขนั้ สูงสุดแลว้ จะพบวา่ (๑) สากลจกั รวาลหาใช่อะไรอน่ื ทแ่ี ยกออกไปจากจติ ไม่ (๒) ในสจั ธรรม ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง เช่น การเกดิ และการตาย (๓) ไมม่ สี ง่ิ หรอื วตั ถภุ ายนอกจติ ทม่ี อี ยู่จรงิ ๆ ผูก้ อ่ ตง้ั สำ� นกั น้พี ฒั นาเด่นข้นึ มากเ็ พราะทา่ นอสงั คะ ผูเ้ป็นพช่ี ายของทา่ นวสุพนั ธุ จงึ เชอ่ื กนั วา่ ทา่ น อสงั คะเป็นผูต้ ง้ั เมอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ แต่นกั ปราชญบ์ างท่านเชอ่ื วา่ ท่านไมตรยี นาถ ผูเ้ป็นอาจารยข์ องท่านอสงั คะเป็นผูต้ งั้ ตามหลกั ฐานทางธเิ บตกลา่ วไวว้ า่ ท่านไมตรยี นาถไดร้ จนาคมั ภรี ไ์ ว้ ๖ คมั ภรี ์ แต่ปรากฏชอ่ื อยู่ ๕ คมั ภรี น์ นั้ คอื (๑) สูตราลงั การ (๒) มธั ยานตวภิ งั ค์ (๓) ธรรมธรรมตาวภิ งั ค์ (๔) มหายานอตุ ตรตนั ตรศาสตร์ (๕) อภสิ มยา- ลงั การการิกา มชี ่อื อกี ช่อื หน่ึงว่า ปรชั ญาปาริโตปเทศศาสตร์ แต่มผี ูค้ ดั คา้ นว่า ท่านไมตรียนาถไม่ใช่เป็นผูต้ ง้ั เพราะเราพบวา่ วชิ ญาณวาทนนั้ ไดม้ อี ยู่ก่อนแลว้ ในคมั ภรี ล์ งั กาวตารสูตรและคมั ภรี ข์ องท่านอศั วโฆษ กลา่ ววา่ ท่านไมตรียนาถเป็นเพยี งผูอ้ ธิบายตามหลกั ปรชั ญาเท่านน้ั แต่ความคิดเห็นของท่านสบื ทอดไปสู่ท่านอสงั คะ ผูเ้ป็นศิษย3์ 3 แนวคดิ หลกั พระพทุ ธศาสนานกิ ายโยคาจารมหี ลกั ปรชั ญาวา่ “สรรพสง่ิ ในโลกลว้ นเป็นภาพสะทอ้ นออกไปจากดวงจติ เรยี กวา่ อาลยวญิ ญาณ” อาลยวญิ ญาณคอื ธาตรุ ู้ มหี นา้ ทอ่ี ยู่ ๓ ประการคอื (๑) มหี นา้ ทร่ี ูเ้กบ็ คอื เกบ็ เอาพลงั ของ 32 ฟ้ืน ดอกบวั , ปวงปรชั ญาอนิ เดีย, (กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๕), หนา้ ๓๑๓. 33 อดศิ กั ด์ิ ทองบญุ , ปรชั ญาอนิ เดีย, หนา้ ๑๒๒-๑๒๓. 03. - 3 (70-110).indd 96 5/10/2022 12:56:40 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 97 การกระทำ� ทกุ อย่างไม่ใหข้ าดตกบกพร่อง สง่ิ ต่าง ๆ ทถ่ี ูกนำ� มาเก็บไวใ้ นอาลยวญิ ญาณน้ีเรยี กว่า “พชี ะ” เช่น กศุ ลพชี ะ อกศุ ลพชี ะ อพั ยากตพชี ะ (๒) มหี นา้ ทร่ี ูก้ ่อ คอื ก่อสรา้ งอารมณต์ ่าง ๆ ออกมา เช่น อารมณ์ โลภ โกรธ หลง เป็นตน้ เป็นปรากฏการณข์ องอาลยวญิ ญาณทง้ั ส้นิ รวมทง้ั สง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาตเิ ช่น ภเู ขา แมน่ ำ�้ หว้ ย หนอง คลอง บงึ เป็นตน้ (๓) มหี นา้ ทป่ี รุง คอื ปรุงแต่งอารมณใ์ หว้ จิ ติ รพสิ ดารออกไป เป็นไปตามกระแสแห่ง ตณั หา ปรุงแต่งกรรมดบี า้ ง กรรมชวั่ บา้ ง ก่อใหเ้กดิ ผลวบิ าก ส่งผลเป็นพชี ะเขา้ ไปเก็บไวใ้ นอาลยวญิ ญาณอกี วนเวยี นอยู่อย่างน้ีจนกวา่ จะส้นิ ภพหมดชาต3ิ 4 สรุปไดว้ า่ นกิ ายโยคาจารเป็นพวกประเภท “จติ นยิ ม” (Idealism) เพราะนกิ ายน้ถี อื วา่ จติ เป็นสง่ิ สำ� คญั กวา่ ร่างกายหรอื วตั ถุ โดยสอนวา่ โลกวตั ถเุ ป็นเพยี งมโนภาพ เพราะเป็นสง่ิ ทถ่ี กู ปรุงแต่งออกไปจากพชี ะในจติ ถา้ ไมม่ ี อาลยวญิ ญาณเสยี แลว้ สง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวงก็ไมม่ ี เหมอื นกบั ดวงอาทติ ย์ ความจรงิ แลว้ มดี วงเดยี ว แต่ปรากฏ เป็นหลายดวงแก่คนตาพกิ าร เป็นตน้ มนั เป็นภาพสะทอ้ นออกไปจากพชี ะในจติ นนั่ เอง ถา้ จะมคี ำ� ถามวา่ เจา้ พชี ะนน้ั มาจากไหน ก็ตอบไดว้ า่ เจา้ ตวั พชี ะนน้ั เป็นอนมตคั คพชี ะคอื พชี ะทม่ี เี บ้อื งตน้ ท่ามและทส่ี ุดไม่มใี ครรูไ้ ด้ ถา้ จะถามต่อไปว่า ถา้ โลกทางวตั ถเุ ป็นเพยี งมโนภาพซง่ึ กระจายออกมาจากพชี ะใน อาลยวญิ ญาณแลว้ เรากส็ ามารถสรา้ งบอ่ นำ�้ มนั ข้นึ ในเมอื งไทย สรา้ งภเู ขานำ�้ แขง็ ในเมอื งไทยได้กต็ อบไดว้ า่ ไมไ่ ด้ เพราะส่งิ บางอย่างในโลกน้ีเกิดจากสหกรรมของมนุษยแ์ ละสตั วด์ ริ จั ฉานร่วมกนั ย่อมมกี ำ� เนิดแหล่งท่ชี ดั เจน จะมาสบั เปลย่ี นภายหลงั ตามความชอบใจของใครคนใดคนหน่ึงไมไ่ ดเ้ลย น้ีคอื ทศั นะของนกิ ายโยคาจาร แนวคดิ เก่ยี วกบั เร่อื งอาลยวญิ ญาณ (Store-Consciousness) คำ� วา่ อาลยวญิ ญาณ (มลู วญิ ญาณ) หมายถงึ วญิ ญาณอนั เปรยี บเสมอื นเรอื นคลงั อนั ทเ่ี กบ็ ทก่ี ่อ ทส่ี งั่ สม เมลด็ พนั ธุท์ ง้ั หลายทงั้ ปวง (สรรพพชี ะ) เมลด็ พนั ธุด์ งั กลา่ วน้ีก็คอื วาสนา (พฤตกิ รรมเคยชนิ ) และวบิ ากกรรม ต่าง ๆ ท่ไี ดก้ ระทำ� ลงไป ทงั้ ท่เี ป็นบุญและบาป กุศลและอกุศล สง่ิ ต่างๆ ทถ่ี ูกเก็บสะสมไวใ้ นเรือนคลงั แห่ง อาลยวญิ ญาณน้ี เปรยี บเสมอื นเมลด็ พชื นานาพนั ธุ์ พรอ้ มทจ่ี ะพฒั นาไปเป็นไมแ้ ห่งความทกุ ขใ์ นสงั สารวฏั ก็ได้ ไปเป็นไมแ้ ห่งความดบั ทุกขค์ ือนิพพานก็ได้ นกั วชิ าการบางท่านมองว่า อาลยวญิ ญาณ ของนิกายโยคาจาร แทท้ จ่ี รงิ กค็ อื ภวงั คจติ ของนิกายเถรวาทนนั่ เอง วญิ ญาณ ๓ ระดบั นกิ ายโยคาจาร มองวา่ จติ หรอื วญิ ญาณของคนเรามกี ารทำ� งาน ๓ ระดบั แต่ละระดบั มชี อ่ื เรยี กแตกต่างกนั ออกไป ดงั น้ี (๑) ระดบั ทเ่ี รยี กวา่ จติ คำ� น้ีหมายเอาจติ ระดบั ลกึ หรอื ระดบั มลู ฐาน ซง่ึ เรยี กวา่ อาลยวญิ ญาณ หรอื มลู วญิ ญาณ จติ ระดบั น้ีมหี นา้ ทเ่ี ก็บวบิ ากกรรมและวาสนาต่าง ๆ เสมอื นเป็นแหลง่ วตั ถดุ บิ สำ� หรบั สรา้ งสรรค์ สง่ิ ต่าง ๆ คลา้ ยกบั คำ� ทเ่ี รียกในภาษาทางจติ วทิ ยาว่า จติ ไรส้ ำ� นึก (unconscious mind) หรือ จติ ใตส้ ำ� นึก (subconscious mind) (๒) ระดบั ทเ่ี รยี กวา่ มนสั คำ� น้ีหมายเอาจติ ในแงท่ ท่ี ำ� หนา้ ทป่ี รุ่งแต่งสรา้ งสรรคโ์ ลกแห่ง 34 สุมาลี มหณรงคช์ ยั , พทุ ธศาสนามมหายาน, หนา้ ๑๑๒. 03. - 3 (70-110).indd 97 5/10/2022 12:56:40 PM

98 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ความทกุ ข์ หรอื โลกแห่งมายาภาพข้นึ มา โดยอาศยั เมลด็ พนั ธุท์ เ่ี กบ็ ไวใ้ นอาลยวญิ ญาณนนั่ เองเป็นวตั ถดุ บิ สำ� หรบั คดิ ปรุงแต่ง เน่ืองจติ ระดบั น้ีทำ� งานบนฐานของความไมร่ ูห้ รอื อวชิ ชา จงึ ตามมาดว้ ยความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในตวั ตน สรา้ งโลกแหง่ ความเป็นคู่ (ทวภิ าวะ) ระหวา่ งตวั กู (อหงั การ) กบั ของกูข้นึ มา (มมงั การ) (๓) ระดบั ทเ่ี รยี กวา่ วญิ ญาณ หมายถงึ วญิ ญาณทร่ี บั รูอ้ ารมณท์ างตา ทางหู ทางจมกู ทางล้นิ ทางกาย และทางใจ เรยี กอกี อย่างวา่ วถิ วี ญิ ญาณ หรอื ปวตั ตวิ ญิ ญาณ อาศยั การแยกอธบิ ายวญิ ญาณออกเป็น ๓ ระดบั น้ีเอง จงึ ทำ� ใหเ้กดิ ทฤษฎวี ญิ ญาณ ๘ ข้นึ ใน นิกายโยคาจาร คือ (๑) วญิ ญาณทางตา (๒) วญิ ญาณทางหู (๓) วญิ ญาณทางจมูก (๔) วญิ ญาณทางล้นิ (๕) วญิ ญาณทางกาย (๖) วญิ ญาณทางใจ (๗) มนสั (๘) อาลยวญิ ญาณ หรอื มลู วญิ ญาณ หลกั คำ� สอนอย่างหน่ึงทม่ี คี วามสำ� คญั มากในพระพทุ ธศาสนานกิ ายโยคาจาร คอื อาลยวญิ ญาณ ซง่ึ ไดร้ บั การพฒั นาต่อมาโดยท่าน อสงั คะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๙) ท่านอสงั คะแบ่งวญิ ญาณขนั ธซ์ ่งึ เป็นหน่ึงในขนั ธ์ ๕ ออกเป็น ๓ ลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั คอื จติ มนสั และ วญิ ญาณ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาของเถรวาท คำ� วา่ จติ มนสั และวญิ ญาณ เป็นคำ� ไวพจนก์ นั (Synonyms) หมายถงึ สง่ิ เดยี วกนั ในนกิ ายสรวาสตวิ าทกใ็ ชค้ ำ� เหลา่ น้ี เป็นคำ� ไวพจนก์ นั เช่นเดยี วกนั แมแ้ ต่ในคมั ภรี ล์ งั กาวตารสูตร ซง่ึ เป็นถอื วา่ เป็นคมั ภรี ม์ หายานแท้ ๆ ก็ใชค้ ำ� วา่ จติ มนสั และ วญิ ญาณ เป็นพระสูตรน้ีจะกล่าวถงึ การทำ� หนา้ ท่ที ่แี ตกต่างกนั ของคำ� เหล่าน้ีก็ตาม ในคมั ภรี ์ วงิ ศตกิ วชิ ญปั ตมิ าตรตาสทิ ธิ ท่านวสุพนั ธุ์ ไดใ้ ชค้ ำ� เหลา่ น้ีเป็นไวพจนก์ นั เหมอื นกนั อย่างไรกต็ าม เน่ืองจากคำ� วา่ จติ มนสั และวญิ ญาณ เป็นตวั แทนลกั ษณะแต่ละดา้ นของวญิ ญาณขนั ธ์ ๓.๕ พระพทุ ธศาสนาในยคุ เสอ่ื มจากอนิ เดีย35 ๓.๕.๑ การเผยแพรข่ องลทั ธพิ ทุ ธตนั ตรยาน นิกายพทุ ธตนั ตระ (Tantric Buddhism) เช่อื ว่าแนวทางของตนถอื กำ� เนิดมาตง้ั แต่สมยั พทุ ธกาลโดย คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ กลา่ วกนั ว่า พระศากยมนุ ีพทุ ธไดจ้ ดั ใหม้ กี ารประชมุ ข้นึ ทเ่ี มอื งศรีธานยกฏกะและ ทรงสงั่ สอนเก่ียวกบั ทางล้ลี บั หรือทางลดั (Esoteric path) ทเ่ี ป็นธรรมละเอยี ดลกึ ซ้งึ ซง่ึ ไม่ทรงเปิดเผยทวั่ ไป แก่สาธารณชน แต่จะทรงแสดงใหฟ้ งั เฉพาะคนท่ีสติปญั ญาเฉลยี วฉลาดเท่านน้ั ดงั นน้ั คำ� สอนน้ีจึงเรียกว่า รหสั ยานหรอื คยุ หยาน ซง่ึ แปลวา่ ลกึ ลบั เช่นเดยี วกบั ทพ่ี ระองคเ์ คยทรงสงั่ สอนวถิ ที างใหแ้ ก่นกิ ายมหายานมาก่อน ทเ่ี ขาคชิ ฌกูฏ คตคิ วามเชอ่ื ดงั กลา่ วน้ไี ดร้ บั การสนบั สนุนโดยนกั ประวตั ศิ าสตรช์ าวทเิ บตและนกั ปราชญช์ าวอนิ เดยี บางท่านก็เห็นคลอ้ ยตามว่า พระพุทธเจา้ ไดส้ อนหลกั ปฏิบตั ิแบบตนั ตระ มนตร์ มทุ รา และธารณี ใหแ้ ก่ พทุ ธศาสนิกชนดว้ ย โดยอา้ งวา่ ผูท้ ฉ่ี ลาดอย่างพระพทุ ธองคค์ งจะไมท่ รงละเวน้ ทจ่ี ะนำ� เอาหลกั ปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั เวทมนตรค์ าถา มารวมไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื ดงึ ดูดพทุ ธศาสนิกชนใหม้ คี วามศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา มากข้นึ 35 กองวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นยี , ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๙๖-๑๐๖. 03. - 3 (70-110).indd 98 5/10/2022 12:56:40 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 99 จากร่องรอยทางประวตั ิศาสตร์ นกั ปราชญช์ าวอินเดียไดส้ บื อายุของนิกายพทุ ธตนั ตระไปจนถงึ สมยั ของทา่ นเมไตรยนาถและอสงั คะแหง่ สำ� นกั โยคาจาร ซง่ึ อยู่ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ อนั เป็นช่วงทศ่ี าสนาฮนิ ดูกำ� ลงั เฟ่ืองฟูอย่างมาก พระพทุ ธศาสนาในขณะนน้ั จงึ อยู่ในภาวะทต่ี อ้ งแขง่ ขนั ต่อสูก้ บั ศาสนาฮนิ ดู ดงั นน้ั เพอ่ื ความ อยู่รอดของพระพทุ ธศาสนา คณาจารยฝ์ ่ายมหายานจงึ ตดั สนิ ใจทจ่ี ะใชว้ ธิ ปี ระนปี ระนอมระหวา่ งกลมุ่ ชน ๒ ฝ่าย คือ กลุม่ ชาวพทุ ธยุคใหม่ และกลุม่ ชาวฮนิ ดูทน่ี บั ถอื พระศิวะ (ไศวนิกาย) เพอ่ื ใหป้ ระชาชนหนั กลบั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาดงั เดมิ คณาจารยฝ์ ่ายมหายานทงั้ หลายเหน็ วา่ ลำ� พงั พระธรรมแท้ ๆ ยากทจ่ี ะทำ� ใหช้ าวบา้ นเขา้ ถงึ ได้ จงึ คดิ แกไ้ ข ใหเ้หมอื นศาสนาฮนิ ดู คอื กลบั ไปยกย่องเร่อื งเวทมนตร์ อาคมขลงั พธิ หี าลาภ พธิ เี สกเป่า ลงเลขยนั ตต์ ่าง ๆ จนในทส่ี ุดนิกายพทุ ธตนั ตระจงึ ระคนปนเประหว่างมหายานนิกายโยคาจารกบั ศาสนาฮนิ ดูจนแทบแยกไม่ออก พระสงฆเ์ องกต็ อ้ งทำ� หนา้ ทเ่ี หมอื นพราหมณท์ กุ อย่าง ลทั ธนิ ้จี งึ เรยี กวา่ มนตรยาน (Mantrayana) หรอื ตนั ตรยาน (Tantrayana) เพราะนบั ถอื พธิ กี รรมและการทอ่ งบน่ สาธยายเวทมนตรอ์ าคมเป็นสำ� คญั โดยทเ่ี วทมนตรแ์ ต่ละบท เรยี กวา่ ธารณี (Dharani) มอี านสิ งสค์ วามขลงั ความศกั ด์สิ ทิ ธ์พิ รรณนาไวว้ จิ ติ รลกึ ลำ�้ นกั หนา ธารณีมนตเ์ หลา่ น้ี มที ง้ั ประเภทยาวขนาดหนา้ สมดุ และประเภทสน้ั เพยี งคำ� สองคำ� ซง่ึ เรยี กวา่ หวั ใจคาถาหรอื หวั ใจธารณี สามารถ ทำ� ใหผ้ ูส้ าธยายพน้ จากทุกขภ์ ยั นานาชนิด และใหไ้ ดร้ บั ความสุขสวสั ดมิ งคลและโชคลาภตามความปรารถนา ฉะนนั้ เป็นธรรมดาอยู่ ท่ลี ทั ธิน้ีจะไดร้ บั การตอ้ นรบั จากพทุ ธศาสนิกชนผูย้ งั เป็นปุถชุ นอยู่ ดว้ ยสามญั ปุถชุ น ย่อมแสวงหาทพ่ี ง่ึ ไวป้ ้องกนั ภยั ศาสนาพราหมณ์อา้ งเอาอานุภาพของพระเป็นเจา้ ปกป้อง ลทั ธิพทุ ธมนตรยาน จึงแต่งมนตรอ์ า้ งอานุภาพของพระรตั นตรยั และอา้ งอานุภาพของพระโพธิสตั วต์ ลอดจนอานุภาพของเทพเจา้ ทง้ั หลายซง่ึ นบั ถอื กนั ว่าเป็นธรรมบาล รวมเอาเทพเจา้ ในศาสนาพราหมณเ์ ขา้ ไวด้ ว้ ยก็มี แลว้ สงั่ สอนแพร่หลาย ในหมพู่ ทุ ธศาสนิกชน นกิ ายพทุ ธตนั ตระมวี ธิ สี อนแตกต่างจากมหายานยคุ ตน้ ๆ อยา่ งชดั เจน มหายานสอนหลกั ธรรมในพระสูตร และศาสตรต์ ่าง ๆ ทใ่ี คร ๆ กส็ ามารถหาอ่านได้และเป็นหนงั สอื ทค่ี นทวั่ ไป พอจะทำ� ความเขา้ ใจได้แต่ตรงกนั ขา้ ม คมั ภรี เ์ ลม่ ใหมอ่ นั ยดื ยาวของนกิ ายตนั ตระสงวนไวส้ ำ� หรบั บคุ คลทไ่ี ดร้ บั การคดั เลอื กแลว้ เพยี งไมก่ ่คี น และบคุ คล เหลา่ นน้ั จะตอ้ งไดร้ บั การสอนจากครูโดยตรง นอกจากนนั้ คมั ภรี ย์ งั เขยี นไวด้ ว้ ยภาษาทล่ี กึ ลบั เขา้ ใจยาก และ คลุมเครอื ชวนใหส้ งสยั อกี ดว้ ย ทงั้ ไม่ยอมอา้ งว่าคมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั เป็นคำ� สอนของพระศากยมนุ ีพทุ ธเจา้ แต่กลบั บอกวา่ เป็นของพระพทุ ธเจา้ องคอ์ น่ื ซง่ึ กลา่ วกนั วา่ พระองคไ์ ดท้ รงสอนคมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั ตงั้ แต่อดตี กาลอนั ไกลโพน้ แมว้ ่าจุดม่งุ หมายของนิกายตนั ตระยงั เป็นพทุ ธภาวะเช่นเดียวกบั นิกายมหายาน แต่มใิ ช่เป็นส่งิ ท่จี ะไดบ้ รรลุ ในอนาคตอนั ไกลแสนไกลนานแสนนานอย่างแต่ก่อน หากแต่พทุ ธภาวะนน้ั มอี ยู่ในร่างกายของเราน่ีเอง และใน ชวั่ ขณะจติ ตปุ บาททเ่ี กดิ ข้นึ เดยี๋ วน้ีเอง ซง่ึ เราบรรลไุ ดด้ ว้ ยวธิ กี ารทใ่ี หมเ่ อย่ี ม รวดเรว็ ทนั ใจและงา่ ย ๆ อย่างน่า อศั จรรยท์ เี ดยี ว 03. - 3 (70-110).indd 99 5/10/2022 12:56:40 PM

100 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา การเกิดข้นึ ของนิกายตนั ตระดำ� รงอยู่นานถงึ ๓ สมยั ดว้ ยกนั คือ สมยั แรกมชี ่ือเรียกว่า มนตรยาน (Mantrayana) ซง่ึ ไดเ้รม่ิ ตน้ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ แต่เพง่ิ จะมกี ารเผยแพร่คำ� สอน อยา่ งจรงิ จงั หลงั จากพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๐ นิกายน้ีไดก้ ่อใหเ้กดิ เวทมนตรค์ าถาต่าง ๆ ข้นึ มากมาย โดยมคี วามมงุ่ หมายทจ่ี ะใหเ้วทมนตรค์ าถาเหลา่ นนั้ เขา้ ช่วยใหก้ ารแสวงหาพระโพธญิ าณทำ� ไดง้ า่ ยยง่ิ ข้นึ ดงั นนั้ ในพทุ ธศาสนาจงึ มมี นตร์ มมี ทุ ระ มมี ณั ฑละ และ เทพเจา้ องคใ์ หมเ่ กดิ ข้นึ ทง้ั ทม่ี ใี นตำ� ราและนอกตำ� รามากมาย และพอหลงั จาก พ.ศ. ๑๒๙๓ นกิ ายตนั ตระน้ี กไ็ ดร้ บั การจดั ระบบใหมข่ ้นึ มา มชี อ่ื เรยี กวา่ วชั รยาน ซง่ึ ก็ ยงั มสี ่วนเก่ียวขอ้ งกบั คำ� สอนดงั้ เดมิ อยู่ในเร่ืองพระเจา้ ๕ พระองค์ (Five Tathagatas) นิกายย่อยท่ไี ดร้ บั ความสนใจเป็นพเิ ศษในช่วงนนั้ คอื นกิ ายสหชยาน ซง่ึ เนน้ หนกั ไปในทางการทำ� สมาธแิ ละเจรญิ วปิ สั สนา อกี ทงั้ สอน โดยใชป้ รศิ นาปญั หาธรรมและภาพปรศิ นาต่าง ๆ และหลกี เลย่ี งการใชร้ ะบบการเรยี นการสอนทก่ี ำ� หนดตายตวั เมอ่ื ถงึ พทุ ธวรรษท่ี ๑๕ นิกายกาลจกั รก็เกดิ ข้นึ ซง่ึ กาลจกั รน้ีเป็นเคร่อื งหมายแสดงใหเ้หน็ วา่ นิกายน้ีไดข้ ยาย ขอบเขตแห่งคำ� สอนกวา้ งขวางยง่ิ ข้นึ และเนน้ หนกั ไปทางโหราศาสตรด์ ว้ ย นกิ ายดงั กลา่ วน้เี องไดเ้จรญิ ข้นึ ในอนิ เดยี ตง้ั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็นตน้ มา นกั บวชในนกิ ายน้ไี มเ่ รยี กวา่ ภกิ ษุ แต่เรยี กวา่ สทิ ธะ (Siddha) หรอื ผูว้ เิ ศษ ซง่ึ กไ็ มแ่ ตกต่างอะไรนกั จากพระโพธสิ ตั ว์ แต่กลา่ วกนั วา่ หลงั จาก ทส่ี ทิ ธะไดบ้ รรลถุ งึ ภมู ทิ ่ี ๘ แลว้ ก็จะมฤี ทธานุภาพต่าง ๆ ครบถว้ น สทิ ธะเป็นบคุ คลทเ่ี ป็นแบบฉบบั ซง่ึ จดั วา่ เป็นอรยิ ะ ต่อมานิกายพทุ ธตนั ตระไดแ้ ตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น ๒ พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือ พทุ ธตนั ตระฝ่ายซา้ ย พวกน้ปี ระพฤตเิ ลอ่ื นเป้ือนไมร่ กั ษาพรหมจรรย์ มลี กั ษณะเป็นหมอผมี ากข้นึ คอื อยู่ในป่าชา้ ใชก้ ะโหลกหวั ผเี ป็นบาตร และมภี าษาลบั พดู กนั เฉพาะพวกเรยี กวา่ “สนธยาภาษา” ถอื การเสพกามคุณเป็นการ บรรลวุ โิ มกข์ เกณฑใ์ หพ้ ระพทุ ธเจา้ และพระโพธสิ ตั วม์ ี “ศกั ต”ิ (Shakti) คอื ชายาคู่บารมี พระพทุ ธปฏมิ ากม็ รี ูป อมุ้ กอดศกั ติ การบรรลนุ ิพพานตอ้ งทำ� ใหธ้ าตชุ ายธาตหุ ญงิ มาสมานกนั ธาตชุ ายเป็นอบุ าย ธาตหุ ญงิ เป็นปรชั ญา เมอ่ื อบุ ายรวมกบั ปรชั ญาจงึ ไดผ้ ลคอื นพิ พาน นอกจากน้ี ยงั มคี วามเชอ่ื วา่ พระพทุ ธองคม์ พี ระกายท่ี ๔ เรยี กวา่ วชั รสตั ว์ ซง่ึ ทำ� เป็นรูป พระพทุ ธนิรนั ดร กำ� ลงั สวมกอดนางตารามเหสขี องพระองคใ์ นท่าร่วมสงั วาส (ยบั ยุม) พระพทุ ธรูปแบบน้ีและปฏมิ ากรรมทค่ี ลา้ ย กนั น้ี มใี นพพิ ธิ ภณั ฑข์ องประเทศเนปาลมาก และพระในลทั ธนิ ้ีตอ้ งทำ� พธิ เี สพเมถนุ กบั หญงิ อยู่เร่อื ย ๆ เพอ่ื แสดง ความเคารพต่อพระพทุ ธองคก์ บั นางตารา และยงั มคี วามเชอ่ื กนั อกี ดว้ ยวา่ ความเป็นพทุ ธะตงั้ อยูใ่ นอวยั วะสบื พนั ธุ์ ของหญงิ หรอื โยนี ในขณะทอ่ี กี พวกหน่ึงเรยี กว่า พวกทกั ษณิ จารี หรอื พทุ ธตนั ตระฝ่ายขวา พวกน้ียงั ประพฤตธิ รรมวนิ ยั ถา้ เป็นพระยงั รกั ษาพรหมจรรย์ เขา้ ใจตคี วามใหเ้ป็นธรรมโดยกลา่ ววา่ สญั ลกั ษณเ์ หลา่ นน้ั จะถอื เอาตรงตวั ไมไ่ ด้ เช่น ในคมั ภรี ส์ าธนมาลาของท่านอนงั ควชั ระ ซง่ึ เป็นสทิ ธาจารยค์ นหน่ึงในนิกายน้ี ไดก้ ลา่ ววา่ “สาธุ” (Sadhu) หมายถงึ นกั บวชควรไดร้ บั การบำ� เรอจากสตรีเพศ เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ สวยมหามธุรา ขอ้ ความเช่นน้ีเป็นสนธยาภาษา 03. - 3 (70-110).indd 100 5/10/2022 12:56:40 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 101 จะตอ้ งไขความวา่ สตรเี พศในทน่ี ้ีท่านใหห้ มายเอาปญั ญา สาธุเป็นเพศชาย จะตอ้ งสรา้ งอบุ ายเพอ่ื รวมเป็นหน่ึง (เอกภี าพ) เมอ่ื เป็นเช่นน้ีกไ็ ดพ้ ระนิพพาน แต่พวกวามจารนี นั้ หาคดิ เช่นนน้ั ไม่ พวกเขาไดถ้ อื เอาตามตวั อกั ษรเลย ทเี ดยี ว ถงึ กบั สอนวา่ ผูใ้ ดมอบสตรใี หส้ ทิ ธะจะไดก้ ศุ ล จะเหน็ วา่ พทุ ธตนั ตระสอนใหค้ นกลบั ไปสูก่ เิ ลส สอนใหค้ นเชอ่ื ของขลงั และอาคม และสอนใหบ้ ำ� เพญ็ ตบะ แต่ไม่ตอ้ งทำ� อย่างลำ� บากยากเย็นอะไร คือธรรมชาติประสงคใ์ หม้ นุษยท์ ำ� อย่างไรก็ใหอ้ นุโลมทำ� ไปตามนนั้ พวกตนั ตระมพี ธิ กี รรมเรยี ก จกั รบูชา และทำ� กนั อยา่ งในลทั ธศิ กั ติ คอื ผูช้ ายกบั ผูห้ ญงิ จำ� นวนเทา่ ๆ กนั ไปพบกนั ในทล่ี บั ตาเวลามดื คำ�่ แลว้ นงั่ ลอ้ มเป็นวงเขา้ เอาเทพที เ่ี คารพบูชาตง้ั กลาง หรอื ไม่ก็ใชเ้ คร่อื งหมายโยนีของหญงิ ตงั้ ไวบ้ ูชา บางทกี ใ็ หห้ ญงิ เปลอื ยกาย หญงิ พวกน้ีโดยมากเป็นภรรยาของพระ จดุ หมายในการทำ� พธิ นี ้ี อยู่ทก่ี าร บูชาโยนเี ป็นสำ� คญั ในพธิ มี กี ารเสพสุรา กนิ ปลา กนิ เน้ือ ขา้ วตากกนั แลว้ เสพเมถนุ การกระทำ� ๕ อย่างน้ี คอื ดม่ื สุรา (มทั ยะ) กนิ เน้ือ (มงั สา) กนิ ปลา (มตั สะ) กนิ ขา้ ว (มทุ ระ) และเสพเมถนุ (เมถนุ ะ) เรยี กวา่ ตตั ตวะทง้ั ๕ (Pancha Tattva) แต่พวกทกั ษณิ จารตี คี วาม “ม” ทง้ั ๕ วา่ ไดแ้ ก่ ปญั จขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ถา้ ว่ากนั โดยตน้ กำ� เนิดแลว้ นิกายตนั ตรยานน้ีไดม้ วี วิ ฒั นาการมาจากปฏกิ ิริยาเพอ่ื ต่อตา้ นภยนั ตรายท่ี คกุ คามพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี สมยั นน้ั ซง่ึ กำ� ลงั ขยายตวั อยา่ งเพม่ิ ข้นึ เรอ่ื ย ในระยะแรกปรากฏวา่ คณาจารยช์ าวพทุ ธ ประสบความสำ� เรจ็ ในการพฒั นาตนั ตระลำ�้ หนา้ พวกฮนิ ดูมาก เพราะมนตรยานมอี ทิ ธพิ ลในทางเขา้ เรา้ อารมณใ์ ห้ เลอ่ื มใสงา่ ย และมพี ธิ กี รรมอนั สวยสดงดงาม ส่วนสหชั ยานมอี ทิ ธพิ ลในดา้ นการปฏบิ ตั สิ มาธอิ ย่างลกึ ซ้งึ แต่เม่อื เร่ิมมเี ร่ืองเลอะเทอะผดิ ธรรมวนิ ยั เขา้ มาปะปนมากข้นึ และมกี ารแกไ้ ขละท้งิ ธรรมวนิ ยั ดงั้ เดิม มากข้นึ พระพทุ ธศาสนาทแ่ี ทจ้ รงิ จงึ ค่อยๆ เสอ่ื มไป โดยถกู อทิ ธพิ ลศาสนาพราหมณก์ ลนื ไปทลี ะเลก็ ละนอ้ ยในรูป ของลทั ธิตนั ตรยานน้ีเอง หลงั จากนน้ั มา คณะสงฆบ์ างกลุม่ ก็ถูกเบย่ี งเบนความคิดดว้ ยลทั ธิตนั ตระทพ่ี ฒั นา ถงึ ขดี สุด จนเชอ่ื วา่ ชวี ติ ทางเพศไปกนั ไดก้ บั ภกิ ษุภาวะ ทงั้ ๆ ทก่ี ่อนนนั้ ทศั นะเรอ่ื งประพฤตพิ รหมจรรยไ์ มข่ อ้ งเกย่ี ว ดว้ ยกามารมณ์ยงั ดำ� รงอยู่อย่างมนั่ คงในหมู่คณะสงฆ์ จนเมอ่ื ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ จึงมหี ลกั ฐานว่า ในแควน้ กษั มริ ะ มภี กิ ษุแต่งงาน และตงั้ แต่พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ เป็นตน้ มา นกิ ายตนั ตระกย็ อมรบั รองการแต่งงาน ของภกิ ษุตามหมบู่ า้ นทน่ี ิกายน้ีขยายออกไป น่ีคอื สภาพการพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ยุคปลายทเ่ี ขา้ สู่ภาวะเสอ่ื ม กระทงั่ สูญส้นิ ไปในเวลาต่อมา ๓.๕.๒ พระพทุ ธศาสนาภายใตก้ ารอปุ ถมั ภข์ องฝ่ ายอาณาจกั ร ในบรรดาลทั ธศิ าสนานิกายต่าง ๆ ของอนิ เดยี โบราณซง่ึ มอี ยู่ดาษดน่ื จะเหน็ วา่ มแี ต่เพยี งสาวกของเชน เท่านน้ั ท่ยี งั หลงเหลอื ในปจั จุบนั ทงั้ ท่หี ลกั คำ� สอนไม่ใคร่สอดคลอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงของสงั คมนกั ทงั้ น้ี เป็นเพราะวา่ บรรดาสาวกของเชนเหลา่ นน้ั มพี วกพอ่ คา้ ทม่ี ฐี านะมงั่ คงั่ รวมอยู่ดว้ ยเป็นอนั มาก และคอยใหค้ วาม อปุ ถมั ภแ์ ก่นกั บวชนน้ั อย่างเตม็ ท่ี จงึ ทำ� ใหอ้ ยู่รอดมาได้เพราะชมุ นุมชนของศาสนาเชนตงั้ อยู่ทา่ มกลางนกั บวชกบั คฤหสั ถ์ 03. - 3 (70-110).indd 101 5/10/2022 12:56:40 PM

102 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา แต่สำ� หรบั พระพทุ ธศาสนาโดยทวั่ ไปอาศยั พระเจา้ แผ่นดนิ ทรงอปุ ถมั ภ์ และทใ่ี ดทข่ี าดการอปุ ถมั ภจ์ าก พระมหากษตั ริย์ ท่นี นั่ พระพทุ ธศาสนาก็จะประสบความลำ� บากเสมอ เม่อื ผูป้ กครองเฉยเมยต่อดินแดนท่มี ี พระสงฆอ์ ยู่ประจำ� ไมไ่ ดใ้ หก้ ารสนบั สนุนกนั เท่าทค่ี วร พระสงฆ์ ก็ไมอ่ าจอยู่ในถน่ิ นนั้ ๆ ตามปกตไิ ด้ จำ� ตอ้ ง ละท้งิ ทน่ี น้ั ไป เพราะไมอ่ าจปฏบิ ตั ติ ามวนิ ยั และศาสนกจิ ตามทค่ี วรได้ในขณะทศ่ี าสนาเชนยนื หยดั อยู่กบั ถน่ิ ทอ่ี ยู่ ของตน ในบน้ั ปลายทง้ั ฮนิ ดูและเชนต่างกย็ งั รอดมาไดใ้ นดนิ แดนดง้ั เดมิ ของตน ในสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากกษตั รยิ ผ์ ูป้ กครองรฐั ต่าง ๆ เช่น พระเจา้ พมิ พสิ าร พระเจา้ ปเสนทโิ กศล พระเจา้ จณั ฑปชั โชต และพระเจา้ อเุ ทน ทรงยอมรบั พระพทุ ธศาสนา หลงั จากพทุ ธกาล พระพทุ ธศาสนากไ็ ดข้ ยายตวั ไปตามลำ� ดบั และ ๒๐๐ ปีเศษหลงั พทุ ธกาล พระพทุ ธศาสนาไดห้ ยงั่ รากลกึ ลงไปใน อนิ เดยี ในยุคของพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งราชวงศโ์ มริยะ พระเจา้ กนิษกะแห่งราชวงศก์ ุษาณะ และพระเจา้ หรรษวรรธนะ เป็นตน้ กษตั ริยเ์ หล่าน้ีทรงส่งเสริมความกา้ วหนา้ ของพระพุทธศาสนาทงั้ ในอินเดียและใน ต่างประเทศ โดยเฉพาะพระเจา้ อโศกมหาราช พระองคเ์ ป็นคนแรกทท่ี ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนากลายเป็นศาสนาของโลก ทรงแผ่ขยายพระศาสนาไปจนทวั่ ทกุ ทศิ ของอนิ เดยี และนำ� ไปยงั ลงั กา กษั มริ ะ และคนั ธาระ ทงั้ ยงั ส่งสมณทูต ไปยงั กษตั รยิ กรกี ในสมยั ของพระองคอ์ กี ดว้ ย ภายหลงั จากท่ีพระเจา้ อโศกมหาราชสวรรคตไปแลว้ ๕๐ ปี ราชวงศ์โมรยะของพระองคก์ ็ล่มสลาย พระพทุ ธศาสนาจงึ ตกอยู่ในสภาพไรก้ ษตั รยิ อ์ ปุ ถมั ภ์ และกลบั มาสู่ยุคทองอกี ครง้ั ในปี พ.ศ. ๖๒๑ ซง่ึ ตรงกบั สมยั ของพระเจา้ กนิษกะ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๗๐๐ ราชวงศก์ ษุ าณะของพระเจา้ กนษิ กะหมดอำ� นาจในการปกครอง อนิ เดยี กงลอ้ แหง่ พระพทุ ธศาสนาจงึ หมนุ กลบั มาสูส่ ภาพไรร้ าชูปถมั ภอ์ กี ครงั้ เมอ่ื ราชวงศค์ ปุ ตะมอี ำ� นาจปกครอง แควน้ มคธ กษตั รยิ ร์ าชวงศน์ ้นี บั ถอื ศาสนาพราหมณ์ กระทงั่ มาถงึ ยคุ ของกษตั รยิ ผ์ ูจ้ งรกั ภกั ดแี ละเป่ียมดว้ ยศรทั ธา ต่อพระพทุ ธศาสนาองคส์ ุดทา้ ยคอื พระเจา้ หรรษวรรธนะ ทรงครองราชสมบตั เิ มอ่ื ราวปี พ.ศ. ๑๑๐๐ พระเจา้ หรรษวรรธนะแผ่อำ� นาจครองแผ่นดนิ ภาคเหนือทงั้ หมด พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตในราวปี พ.ศ. ๑๑๙๐ จากนนั้ เป็นตน้ มา พระพทุ ธศาสนาจงึ โดดเด่ยี วอยู่ท่ามกลางศตั รูคู่แคน้ คือศาสนาฮินดู ตกอยู่ในภาวะไรร้ าชูปถมั ภ์ ไม่มผี ูป้ กป้องผองภยั เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาสูญส้นิ ราชูปถมั ภ์ กษตั รยิ ต์ ่างศาสนาจงึ ใชอ้ ำ� นาจมหาศาลทต่ี นมอี ยู่ เขา้ ทำ� ลายลา้ งผลาญโดยไมย่ ง้ั มอื ความร่งุ เรอื งและอบั เฉาของพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ข้นึ อยูก่ บั วา่ ในยคุ ใดสมยั ใด กษตั รยิ ใ์ หค้ วามอปุ ถมั ภ์ สนบั สนุน ยุคนนั้ สมยั นนั้ พระพทุ ธศาสนาก็จะเจรญิ รุ่งเรอื ง แต่ยุคใดเป็นไปในทำ� นองตรงกนั ขา้ ม คอื หากขาด ความอปุ การะจากผูท้ รงอำ� นาจในแผ่นดนิ ยุคนน้ั พระพทุ ธศาสนากจ็ ะประสบกบั ภาวะซบเซา 03. - 3 (70-110).indd 102 5/10/2022 12:56:40 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 103 ๓.๕.๓ สาเหตทุ ่ที ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มจากอนิ เดีย ทง้ั ทพ่ี ระพทุ ธศาสนาถอื กำ� เนิดในประเทศอนิ เดยี แต่ต่อมาในขณะทพ่ี ระพทุ ธศาสนาแผ่ขยายและเจรญิ รุ่งเรอื งไปในดนิ แดนต่าง ๆ ทวั่ โลก พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี เองกลบั เสอ่ื มลง จนในยุคหน่ึงกลา่ วไดว้ า่ แทบไมม่ ี ชาวพทุ ธหลงเหลอื อยู่เลย ทเ่ี ป็นเช่นน้ีน่าจะมาจาก ๒ สาเหตหุ ลกั ดงั ต่อไปน้ี ๑. ปจั จยั ภายใน พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาซง่ึ มพี ระภกิ ษุสงฆเ์ ป็นผูน้ ำ� โดยมวี ดั เป็นศูนยก์ ลาง ในแงก่ ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื ม่งุ สู่นิพพานนน้ั พระภกิ ษุสงฆค์ ือผูท้ ส่ี ละโลก ตง้ั ใจปฏบิ ตั ธิ รรมขดั เกลากิเลส ถอื เป็นแบบอย่างของชาวพทุ ธ โดยทวั่ ไป และในแงก่ ารเผยแผ่ศาสนา พระภกิ ษุสงฆก์ ็อยู่ในฐานะของครูผูส้ อน โดยสาธุชนทวั่ ไปเป็นผูร้ บั ฟงั คำ� สอนแลว้ นำ� ไปปฏบิ ตั ิ และทำ� บญุ ใหก้ ารสนบั สนุนในการดำ� รงชพี และการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ของพระภกิ ษุสงฆ์ ในระยะแรกพระภกิ ษุสงฆท์ ่ีบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตม์ อี ยู่เป็นจำ� นวนมาก ปฏบิ ตั ิตนเป็นผูน้ ำ� เป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุสงฆอ์ ่ืนในการเผยแผ่พระศาสนา พระภิกษุสงฆส์ ่วนใหญ่ต่างมคี วามศรทั ธาใน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อย่างแน่นแฟ้น เป้าหมายการบวชในสมยั นนั้ คอื บวชเพอ่ื มงุ่ พระนพิ พานกนั จรงิ ๆ ใหค้ วาม สำ� คญั ทง้ั การศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมและการปฏบิ ตั ธิ รรมควบคู่กนั ไป นอกจากน้ยี งั ทำ� หนา้ ทเ่ี ผยแผส่ งั่ สอนประชาชน ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามต่อไป พระพทุ ธศาสนาจงึ เจรญิ รุ่งเรอื งข้นึ อย่างรวดเรว็ ต่อมาผูบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตม์ จี ำ� นวนนอ้ ยลง ในหมู่พระภกิ ษุสงฆก์ ็มที ง้ั ผูท้ ่มี ใี จรกั มคี วาม เช่ยี วชาญทางดา้ นพระปรยิ ตั ธิ รรมและผูท้ เ่ี ช่ยี วชาญในดา้ นธรรมปฏบิ ตั ิ แต่เน่ืองจากการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม เป็นส่งิ ท่สี ามารถวดั ความรูไ้ ด้ สามารถจดั การศึกษาเป็นระบบและใหว้ ุฒิการศึกษาได้ ในขณะท่ธี รรมปฏบิ ตั ิ เป็นสง่ิ ทร่ี ูเ้ฉพาะตน เป็นของละเอยี ด วดั ไดย้ าก และเน่ืองจากพระภกิ ษุสงฆผ์ ูเ้ชย่ี วชาญดา้ นธรรมปฏบิ ตั ิ มกั มใี จ โนม้ เอยี งไปในทางแสวงหาความสงบสงดั มกั ไม่ชอบการคลุกคลดี ว้ ยหมู่คณะ เมอ่ื เป็นเช่นน้ี หลงั จากเวลา ผ่านไป พระภกิ ษุสงฆผ์ ูม้ คี วามเช่ยี วชาญดา้ นพระปรยิ ตั ธิ รรมจงึ ข้นึ มาเป็นผูบ้ รหิ ารคณะสงฆไ์ ปโดยปรยิ าย เมอ่ื ผูบ้ ริหารการคณะสงฆเ์ ป็นผูเ้ ช่ียวชาญทางดา้ นปริยตั ิธรรม ก็เป็นธรรมดาอยู่เองท่กี ารส่งเสริม การศึกษาของสงฆจ์ ะเนน้ หนกั ในดา้ นพระปรยิ ตั ธิ รรมเป็นหลกั เพราะเป็นสง่ิ ทค่ี ุน้ เคย และชำ� นาญ แมจ้ ะเหน็ ความสำ� คญั ของธรรมปฏบิ ตั ิ แต่เมอ่ื ตนไมค่ ุน้ เคย ไมม่ คี วามชำ� นาญการสนบั สนุนกท็ ำ� ไดใ้ นขอบเขตหน่ึงเท่านนั้ พระภกิ ษุสงฆร์ ุ่นใหม่ ๆ จงึ มกั ไดร้ บั การฝึกอบรมในดา้ นพระปรยิ ตั ธิ รรมเป็นหลกั ส่วนธรรมปฏบิ ตั กิ ็ค่อย ๆ ลดนอ้ ยถอยลง การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมในยุคแรก ๆ กศ็ ึกษาเพอ่ื เนน้ ใหเ้ขา้ ใจในพทุ ธพจนค์ ำ� สงั่ สอนของพระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ เพอ่ื นำ� มาใชใ้ นการประพฤติปฏบิ ตั ิ แต่ต่อมาเมอ่ื ศึกษามากเขา้ ๆ ก็มพี ระภกิ ษุสงฆท์ ่เี ป็นนกั คิด นกั ทฤษฎจี ำ� นวนหน่ึง ทนการทา้ ทายจากนกั คดิ นกั ปรชั ญาของศาสนาอน่ื ๆ ไมไ่ ด้ เมอ่ื ถกู ตง้ั คำ� ถามเก่ยี วกบั เร่อื ง อภปิ รชั ญา เช่น โลกน้ีโลกหนา้ วา่ มจี รงิ หรอื ไม่ จติ มกี ารรบั รูไ้ ดอ้ ย่างไร โลกเป็นอยู่อย่างไร มจี รงิ หรอื ไม่ เป็นตน้ จงึ พยายามหาเหตผุ ลทางทฤษฎตี ามแนวคดิ ในทางพระพทุ ธศาสนาและใชก้ ารใหเ้หตผุ ลทางตรรกศาสตรม์ าอธบิ าย 03. - 3 (70-110).indd 103 5/10/2022 12:56:41 PM

104 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ปญั หาเหลา่ น้ี ทงั้ ๆ ทค่ี ำ� ถามเหลา่ น้เี ป็นคำ� ถามทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไมท่ รงพยากรณ์ เพราะถอื วา่ ไมเ่ กดิ ประโยชน์ มแี ต่จะเป็นเหตุใหถ้ กเถยี งทะเลาะเบาะแวง้ กนั ทรงอบรมสงั่ สอนแต่ในส่ิงท่ีน�ำไปสู่การขดั เกลากิเลส ม่งุ สู่ พระนิพพาน ซง่ึ เมอ่ื ถงึ จดุ นนั้ แลว้ ผูป้ ฏบิ ตั กิ ย็ ่อมจะเขา้ ใจสง่ิ เหลา่ น้ีไดเ้อง หลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ นเขา้ ถงึ แลว้ ผูป้ ฏบิ ตั ยิ ่อมเหน็ ตรงกนั เป็นภาวนามยปญั ญา (ความรูแ้ จง้ ทเ่ี กดิ จากความเหน็ แจง้ ) แต่เมอ่ื พยายามพสิ ูจนด์ ว้ ยความคดิ ทางตรรกศาสตร์ ดว้ ยจนิ ตมยปญั ญา (ความรูค้ ดิ ) ไมไ่ ดร้ ูแ้ จง้ ดว้ ยตนเองเพราะไมเ่ หน็ แจง้ ย่อมมคี วามคดิ แตกต่างหลากหลาย ผลก็คอื นกั ทฤษฎขี อง พระพทุ ธศาสนาเองกม็ คี วามเหน็ ไมต่ รงกนั ทะเลาะถกเถยี งกนั เอง เกดิ เป็นแนวคดิ ของสำ� นกั ต่าง ๆ และแตกตวั เป็นนกิ ายต่าง ๆ ในทส่ี ุด มนี กั ทฤษฎใี นพระพทุ ธศาสนาทม่ี ชี ่อื เสยี งเกดิ ข้นึ จำ� นวนมาก เช่น นาคารชนุ อสงั คะ วสุพนั ธุ ทนิ นาคะ ภาววเิ วก ธรรมกรี ติ ศานตรกั ษติ ะ เป็นตน้ แนวคดิ ของพระนกั ทฤษฎเี หลา่ น้ีมคี วามลกึ ซ้งึ มาก จนแมน้ กั วชิ าการทางตะวนั ตกปจั จบุ นั มาเหน็ เขา้ ยงั ต่นื ตะลงึ แต่ผลทเ่ี กดิ กค็ อื เกดิ ความขดั แยง้ แตกแยกในหมชู่ าวพทุ ธ และพระพทุ ธศาสนาไดก้ ลายเป็นศาสนา ทม่ี หี ลกั คำ� สอนสลบั ซบั ซอ้ น จนชาวบา้ นฟงั ไมเ่ ขา้ ใจ ประหน่งึ วา่ พระพทุ ธศาสนากลายเป็นศาสนาของพระภกิ ษุสงฆ์ เท่านนั้ แต่กม็ พี ระภกิ ษุสงฆเ์ พยี งจำ� นวนนอ้ ยทร่ี ูเ้ร่อื ง และกย็ งั คดิ เหน็ ไมต่ รงกนั อกี ส่วนชาวพทุ ธทวั่ ไปกลายเป็น ชาวพทุ ธแต่ในนามไปวดั ทำ� บญุ ตามเทศกาลตามประเพณีเท่านนั้ ขณะเดยี วกนั ก็มพี ระภกิ ษุสงฆอ์ กี กลุ่มหน่ึง ซ่งึ มจี ำ� นวนมากกว่า ไดห้ นั ไปปฏบิ ตั ิตามใจชาวบา้ น ซง่ึ ตอ้ งการพง่ึ พาอำ� นาจลกึ ลบั และสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ จงึ มกี ารเลน่ เคร่อื งรางของขลงั เวทมนตรค์ าถาต่าง ๆ วตั รปฏบิ ตั ิ ย่อหย่อนลง จนถงึ จุดหน่ึงเกิดเป็นนิกายตนั ตระ ซ่งึ เลยเถดิ ไปถงึ ขนาดถอื ว่า การเสพกามเป็นหนทางสู่การ ตรสั รูธ้ รรม การดม่ื สุราเป็นสง่ิ ดี เป็นตน้ เมอ่ื เกิดความแตกแยกภายในพระพทุ ธศาสนา ทง้ั ในเร่ืองของแนวคิดทฤษฎที ่ที ะเลาะเบาะแวง้ กนั ไมจ่ บส้นิ จนถงึ การแตกเป็นกลมุ่ เวทมนตรค์ าถาซง่ึ ฉีกแนวทางไปอย่างสุดโต่ง ในขณะทธ่ี รรมปฏบิ ตั อิ นั เป็นหวั ใจ ของพระพทุ ธศาสนากลบั ถกู ละเลยไป พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี จงึ อ่อนแอลง ๒. ปจั จยั ภายนอก ในอนิ เดยี นอกจากพระพทุ ธศาสนาแลว้ กย็ งั มศี าสนาอน่ื ๆ อกี มาก โดยศาสนาพราหมณม์ อี ทิ ธพิ ล มากทส่ี ุด เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รุ่งเรอื งข้นึ คนหนั มานบั ถอื มาก ศาสนาพราหมณก์ ็ลดบทบาทลง ผูน้ ำ� ของ ศาสนาพราหมณก์ พ็ ยายามหาทางดงึ ศาสนิกกลบั คนื อยู่ตลอดเวลา โดยการโจมตพี ระพทุ ธศาสนาบา้ ง พยายาม หยบิ ยกเอาคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนาไปดดั แปลงเป็นคำ� สอนของตนบา้ ง ปรบั เปลย่ี นเพม่ิ เตมิ เทพเจา้ ทน่ี บั ถอื อยูบ่ า้ ง จนทส่ี ดุ ไดก้ ลายเป็นศาสนาฮนิ ดูดงั ตำ� ราเรยี นเรอ่ื งศาสนา เมอ่ื กลา่ วถงึ ศาสนาฮนิ ดู กม็ กั จะมคี ำ� วา่ พราหมณ์ ควบคู่กนั ไปเสมอ 03. - 3 (70-110).indd 104 5/10/2022 12:56:41 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 105 เมอ่ื ถงึ เวลาทพ่ี ระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มลงเน่ืองจากความแตกแยกภายในแลว้ ก็ไดม้ กี ารเปลย่ี นวธิ ีการ จากการโจมตพี ระพทุ ธศาสนา มาเป็นการผสมกลมกลนื โดยมปี ราชญใ์ หญ่ชอ่ื ศงั กระ (ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๘๐) เป็นผูน้ ำ� ในการปฏริ ูปศาสนาฮนิ ดู มกี ารเลยี นแบบวดั ในพระพทุ ธศาสนา สรา้ งทพ่ี กั นกั บวชในศาสนาฮนิ ดูเรยี กวา่ สมถะ เป็นศูนยก์ ลางในการเผยแผ่ศาสนาฮินดูข้นึ เป็นครง้ั แรก ทงั้ ยงั มกี ารปรบั เปลย่ี นเนือง ๆ อกี มากมาย ถงึ ขนาดมกี ารปรบั คำ� สอนบอกวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอื องคอ์ วตารปางท่ี ๙ ของพระวษิ ณุ แลว้ นบั เอาผูท้ เ่ี คารพ นบั ถอื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เขา้ เป็นชาวฮนิ ดูทง้ั หมด ทางดา้ นของพระพทุ ธศาสนาเอง เมอ่ื มปี ญั หาความแตกแยกภายในประกอบกบั ชาวพทุ ธโดยทวั่ ไปไมม่ ี ความรูใ้ นพระธรรมอย่างถ่องแท้ เมอ่ื พบกบั ยุทธวธิ ขี องศาสนาฮนิ ดูเขา้ เช่นน้ี ชาวพทุ ธก็ยง่ิ สบั สน แยกไมอ่ อก ระหว่างพระพทุ ธศาสนากบั ศาสนาอ่นื ทง้ั ทเ่ี ป็นชาวพทุ ธ ก็เคารพนบั ถอื กราบไหวพ้ ระพรหม เทพเจา้ เจา้ พ่อ เจา้ แมต่ ่าง ๆ ดว้ ย พระภกิ ษุสงฆเ์ อง บางส่วนกห็ นั ไปเอาใจชาวบา้ น เหน็ เขานบั ถอื เทพเจา้ เจา้ แมต่ ่าง ๆ กเ็ อา รูปปน้ั ของเทพเหลา่ นนั้ มาไวใ้ นวดั ใหช้ าวบา้ นกราบไหวบ้ ูชา ทส่ี ุดชาวบา้ นจงึ แยกไมอ่ อก คดิ วา่ พระพทุ ธศาสนา กบั ศาสนาฮนิ ดูคอื สง่ิ เดยี วกนั ชาวพทุ ธแต่เดมิ กก็ ลายเป็นชาวฮนิ ดูไปค่อนตวั และต่อมาเมอ่ื เจอเหตกุ ระทบครงั้ ใหญ่คอื ตง้ั แต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐ กองทพั มสุ ลมิ บกุ เขา้ ยดึ อนิ เดยี ไลม่ าจากทางตอนเหนือและประกาศทำ� ลายพระพทุ ธศาสนา พวกมสุ ลมิ ภายใตก้ ารนำ� ของกทุ บดุ ดนิ นายพลของ สุลต่าน โมฮมั เหมด็ โมฆี เขา้ มารุกรานอนิ เดยี จากทศิ เหนอื ลงมาทศิ ใต้เมอ่ื พบปูชนียสถานโบราณวตั ถขุ องศาสนา อน่ื ในทใ่ี ด กใ็ ชอ้ าวธุ เป็นเคร่อื งทำ� ลายลา้ งวตั ถนุ น้ั ๆ โบสถว์ หิ าร ศาลาการเปรยี ญ สงั ฆารามของพระพทุ ธศาสนา และไมเ่ วน้ แมเ้ทวาลยั ของพราหมณก์ ถ็ กู ทำ� ลายลงในคราวนน้ั เป็นอนั มาก กองทพั มสุ ลมิ มอี คตเิ ป็นพเิ ศษต่อพระภกิ ษุผูเ้ผยแผ่พระพทุ ธศาสนา กองทพั มสุ ลมิ จงึ พากนั เผาวดั ทกุ วดั ในพระพทุ ธศาสนาราบเป็นหนา้ กลอง ฆ่าพระภกิ ษุทกุ รูปทอ่ี ยู่ในวดั นน้ั ๆ จนเลอื ดแดงฉานนองแผ่นดนิ ทงั้ มกี ารใหร้ างวลั แก่ผูท้ ต่ี ดั ศีรษะพระภกิ ษุสงฆม์ าส่งให้พระภกิ ษุสงฆจ์ งึ ตอ้ งสกึ มฉิ ะนน้ั กต็ อ้ งอพยพหลบหนไี ป สถูปเจดยี จ์ ำ� นวนมหาศาลถูกทำ� ลาย ถูกปลน้ สดมภ์ และปล่อยใหร้ กรา้ งไป บา้ งก็ถูกขโมยอฐิ ไป สรา้ งบา้ น ไปทำ� ถนน กองเถา้ ถา่ น ซากพระพทุ ธปฏมิ าทถ่ี กู ไฟเผา โครงกระดูกนบั ไมถ่ ว้ น เหลก็ ไม้ หนิ สุมเป็น กองใหญ่ ส่งิ เหล่าน้ีทง้ั หมดหลงเหลอื ใหน้ กั โบราณคดีเห็นเป็นประจกั ษพ์ ยาน มใิ ช่การเผาทำ� ลายครง้ั เดียว แต่เกดิ ข้นึ นบั ครงั้ ไมถ่ ว้ น ไมใ่ ช่แต่เพยี งมสุ ลมิ เท่านน้ั ทท่ี ำ� ลายลา้ งพระพทุ ธศาสนา ในเวลาเดยี วกนั ศาสนกิ และ พวกโยคีของฮนิ ดู ก็ฉวยโอกาสน้ีซำ�้ เติมใหห้ นกั ข้นึ ไปอกี ทง้ั น้ีเหน็ จะเป็นเพราะว่าพระพทุ ธศาสนาไดเ้ คยเป็น คู่แขง่ สำ� คญั ทต่ี ่อสูข้ บั เค่ยี วกบั ศาสนาฮนิ ดูมาแต่ตน้ การทำ� ลายลา้ งยงั ไมห่ ยุดยง้ั บรเิ วณทถ่ี กู ทำ� ลายมากทส่ี ุดคอื แควน้ อตุ ตรประเทศ และแควน้ พหิ ารอนั เป็นแหลง่ ใหญ่ของพทุ ธศาสนา พวกมสุ ลมิ พากนั เขา้ ใจผดิ วา่ มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทาคือป้อมปราการของชาวพทุ ธจึงไดเ้ ข่นฆ่าพระภกิ ษุ ทุกรูปในวดั โดยการคิดว่าพระภกิ ษุเหล่านนั้ คือ ทหาร มพี ระภกิ ษุจำ� นวนนอ้ ยมากทร่ี อดพน้ จากกองทพั มสุ ลมิ พระพทุ ธศาสนาซง่ึ ขณะนนั้ มเี พยี งพระภกิ ษุสงฆ์ 03. - 3 (70-110).indd 105 5/10/2022 12:56:41 PM

106 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จำ� นวนนอ้ ยท่รี ูจ้ ริงในคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา ส่วนชาวพทุ ธทวั่ ไปนน้ั ขาดความรูค้ วามเขา้ ใจอย่างถูกตอ้ ง ดงั นน้ั เมอ่ื พระภกิ ษุสงฆห์ มด พระพทุ ธศาสนากห็ มดจากประเทศอนิ เดยี ในทส่ี ุด ไมน่ ่าเช่อื วา่ พระพทุ ธศาสนาทเ่ี คยรุ่งเรอื งถงึ ขดี สูงสุด เมอ่ื กาลผ่านพน้ ไป กค็ ่อย ๆ รบิ หร่ลี งดว้ ยแรง ปะทะของศาสนาฮนิ ดู ทา้ ยสุดเมอ่ื เขา้ สู่ยุคมดื กต็ อ้ งมอี นั ปิดฉากลงดว้ ยกองทพั มสุ ลมิ คลงั่ ศาสนา เหตกุ ารณน์ ้ี นบั เป็นปรากฏการณท์ ท่ี ำ� ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนเจบ็ ปวดมากทส่ี ุด จากบทเรยี นทเ่ี กดิ ข้นึ ในอนิ เดยี ดงั กลา่ ว เราอาจสรปุ ไดว้ า่ ความมนั่ คงของพระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งประกอบ ดว้ ยปจั จยั ทส่ี ำ� คญั คือ ชาวพทุ ธตอ้ งเป็นชาวพทุ ธทแ่ี ทจ้ รงิ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา อย่างถูกตอ้ ง โดยตอ้ งศึกษาทง้ั ปริยตั ิและปฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหเ้ กิดปฏเิ วธ คือผลของการปฏบิ ตั ิ น�ำหลกั ธรรมมาใช้ ในการดำ� เนินชวี ติ จริง และปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ย่งิ อกี ประการหน่ึงก็คือ ชาวพทุ ธจะตอ้ งมคี วามสามคั คีกนั เวน้ จาก การใหร้ า้ ยกนั พระพทุ ธศาสนาจงึ จะมนั่ คงอยู่ไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ สรุปทา้ ยบท ในบทน้ีกล่าวถงึ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี สมยั หลงั พทุ ธกาล สรุปใจความไดว้ ่า การแบ่งยุคสมยั ของ พระพทุ ธศาสนา ถอื เอาดำ� รงพระชนมช์ พี ของพระพทุ ธเจา้ เป็นเกณฑใ์ นการแบง่ คำ� สอนทพ่ี ระองคไ์ ดส้ งั่ สอนใน ช่วงมพี ระชนมช์ พี อยู่ เรยี กวา่ พระธรรมวนิ ยั เมอ่ื พระองคป์ รนิ พิ พานไปแลว้ พระสงฆส์ าวกไดท้ ำ� สงั คายนา รวบรวม จดั หมวดหมคู่ ำ� สอน การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ในอนิ เดยี ซง่ึ ยอมรบั กนั ในฝ่ายเถรวาทมี ๓ ครง้ั คอื ภายหลงั จาก พทุ ธปรนิ พิ พานได้ ๓ เดอื น พระมหากสั สปะกป็ รารภเหตทุ ม่ี ภี กิ ษุกลา่ วจว้ งจาบพระธรรมวนิ ยั จงึ ชกั ชวนภกิ ษุ สงฆใ์ หท้ ำ� การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครงั้ แรก ซง่ึ นบั เป็นครง้ั ทส่ี ำ� คญั ทส่ี ุด เพราะไดร้ วบรวมพทุ ธวจนะมาทรงจำ� รกั ษาไวเ้ป็นแบบแผนและสบื ทอดดว้ ยมขุ ปาฐะ ต่อมาในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ซง่ึ ปรารภเหตภุ กิ ษุชาววชั ชปี ระพฤติ นอกพระธรรมวนิ ยั ภกิ ษุวชั ชบี ตุ รไมย่ อมรบั มติ จงึ แยกไปทำ� สงั คายนาต่างหากและเรยี กตวั เองวา่ มหาสงั ฆกิ ะ จงึ ทำ� ใหส้ งฆแ์ ตกออกเป็น ๒ ฝ่ายและในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ สมยั พระเจา้ อโศกซง่ึ ปรารภเหตเุ ดยี รถยี ป์ ลอมบวช ในพระศาสนา จงึ ปรากฎวา่ คณะสงฆไ์ ดแ้ ยกเป็น ๑๘ นกิ ายแลว้ อย่างชดั เจน การเกดิ ข้นึ ของนิกายมหายานในอนิ เดยี ดำ� เนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเนน้ การปรบั ปรุงวธิ เี ผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาเสยี ใหม่ ทงั้ ยงั ปฏริ ูปเปลย่ี นแปลงคำ� สอนดง้ั เดมิ เพอ่ื ให้ สามารถแขง่ กบั ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ทก่ี ำ� ลงั เฟ่ืองฟูอยู่ในขณะนนั้ ได้โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การมงุ่ เนน้ อดุ มคตพิ ระโพธสิ ตั วโ์ ดยการอทุ ศิ ตนเพอ่ื ช่วยเหลอื ผูอ้ น่ื ถอื วา่ เป็นแกนกลางของคำ� สอน ทง้ั หมดในฝ่ายมหายาน และยกย่องวา่ โพธสิ ตั วยานเป็นหนทางอนั สูงสุด เพราะสามารถช่วยเหลอื สรรพสตั ว์ ไปไดม้ ากท่สี ุด ภายหลงั มหายานยงั ไดแ้ ตกเป็นนิกายย่อย ๆ อกี ไดแ้ ก่ นกิ ายมาธยมกิ ะ และนกิ ายโยคาจาร พระพทุ ธศาสนาไดผ้ ่านการเปลย่ี นแปลงอย่างต่อเน่ือง นบั ตงั้ แต่พระพทุ ธศาสนาดง้ั เดมิ ในยุคพทุ ธกาล ซ่งึ ต่อมาไดแ้ บ่งออกเป็น ๒ สาย คือ เถรวาทอนั เป็นนิกายท่ยี ดึ มนั่ รกั ษาสบื ทอดแก่นคำ� สอนดงั้ เดมิ ไวอ้ ย่าง 03. - 3 (70-110).indd 106 5/10/2022 12:56:41 PM

บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 107 เหนียวแน่น อกี สายหน่ึงคือ มหายานทป่ี รบั เปลย่ี นคำ� สอนไปตามความจำ� เป็นของยุคสมยั และต่อมาเกดิ เป็น พทุ ธตนั ตระหรอื วชั รยานทผ่ี สมผสานลทั ธฮิ นิ ดูมกี ารขอ้ งแวะเร่อื งเพศ จนแทบจะไมเ่ หลอื ตน้ เคา้ ของพระพทุ ธ- ศาสนาแบบดง้ั เดมิ ไวเ้ลย สาเหตุท่ที ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาตอ้ งสูญส้นิ ไปจากอนิ เดยี สรุปได้ ๒ ประการคือ ประการแรกเกิดจาก สาเหตุภายใน คือความอ่อนแอของพทุ ธบริษทั เอง เร่ิมตน้ จากความประพฤติย่อหย่อนต่อพระธรรมวนิ ยั ของ พระภกิ ษุสงฆ์ จนละเลยการปฏบิ ตั ธิ รรมอนั เป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา ความขดั แยง้ แตกแยกทางความคดิ ของหมู่สงฆท์ ่เี นน้ การโตแ้ ยง้ กนั ในเชิงทฤษฎมี ากกว่าการปฏบิ ตั ิ ไดก้ ่อใหเ้ กิดการแตกความสามคั คีกนั ในหมู่ ชาวพทุ ธ ซง่ึ ถอื วา่ เป็นสาเหตทุ ส่ี ำ� คญั เสยี ยง่ิ กวา่ สาเหตภุ ายนอก คอื ภยั จากการผสมกลมกลนื ของศาสนาฮนิ ดู ซง่ึ เป็นคู่แข่งสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาตลอดมา รวมถงึ ภยั จากศาสนาอสิ ลามทเ่ี ขา้ ทำ� ลายลา้ งพระพทุ ธศาสนา อย่างถอนรากถอนโคน 03. - 3 (70-110).indd 107 5/10/2022 12:56:41 PM

คำ� ถามทา้ ยบท คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๑ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ ทำ� ทกุ ขอ้ ดงั น้ี ๑. การจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาแบง่ ออกเป็นก่ชี ่วง ๒. จงกลา่ วถงึ รายละเอยี ดการทำ� สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ มาโดยละเอยี ด ๓. หลงั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ มเี หตกุ ารณส์ ำ� คญั อะไรเกดิ ข้นึ บา้ ง ๔. วตั ถุ ๑๐ ประการ เป็นมลู เหตสุ ำ� คญั ในการทำ� สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ อย่างไร ๕. วตั ถุ ๘ ประการ มอี ะไรบา้ ง เก่ยี วขอ้ งกบั การสงั คายนาครงั้ ทเ่ี ท่าไร ๖. หลงั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ มกี ารส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาก่สี าย มสี ายใดบา้ ง ๗. พระพทุ ธศาสนาในยุค พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ มลี กั ษณะสำ� คญั อย่างไร ๘. จงกลา่ วถงึ ร่องรอยทเ่ี ป็นบอ่ เกดิ ของพระพทุ ธศาสนามหายานมาพอเขา้ ใจ ๙. จงกลา่ วถงึ สาระสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนามหายานนิกายมาธยมกิ ะ ๑๐. สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มไปจากอนิ เดยี คอื อะไร คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๒ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบปรนยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ เลอื กกากบาท X ทบั ในขอ้ ท่ี ถกู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดียว ดงั น้ี ๑. การแบง่ ยุคคำ� สอนในสมยั พทุ ธกาล เรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ อะไร ก. ยุคพระไตรปิฎก ข. ยุควรรณคดบี าลี ค. ยุคพระธรรมวนิ ยั ง. ยุคการสงั คายนา ๒. พระพทุ ธเจา้ ตรสั ใหภ้ กิ ษุถอื ธรรมวนิ ยั เป็นศาสดา ปรากฏอยู่ในสุตรใด ก. ปาสาทกิ สูตร ข. มหาปรนิ ิพพานสูตร ค. สงั คตี สิ ูตร ง. ทสุตตรสูตร ๓. สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ ใชเ้วลาทำ� ก่เี ดอื นจงึ สำ� เรจ็ ก. ๓ เดอื น ข. ๔ เดอื น ค. ๖ เดอื น ง. ๗ เดอื น ๔. วตั ถุ ๑๐ ประการ ใครเป็นผูป้ ระพฤติ ก. ภกิ ษุชาวเมอื งวชั ช ี ข. พระเทวทตั และบรวิ าร ค. ภกิ ษุฉพั พคั คยี ์ ง. ภกิ ษุสตั ตรสวคั คยี ์ ๕. สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ทำ� ข้นึ ทไ่ี หน ก. วาลกุ าราม ข. อโศการาม ค. เชตวนาราม ง. เทวสงั ฆาราม 03. - 3 (70-110).indd 108 5/10/2022 12:56:41 PM

109 ๖. พระพทุ ธศาสนาแตกเป็น ๑๘ นิกาย หลงั สงั คายนาครงั้ ทเ่ี ท่าไร ก. ครง้ั ท่ี ๑ ข. ครง้ั ท่ี ๒ ค. ครงั้ ท่ี ๓ ง. ครง้ั ท่ี ๔ ๗. ขอ้ ใดมใิ ช่พระพทุ ธศาสนาทแ่ี ยกออกเป็น ๓ นกิ าย ก. มนั ตรยาน ข. เถรวาท ค. มหายาน ง. วชั รยาน ๘. บรรดายาน ๓ ของพระพทุ ธศาสนามหายาน ยานไหนสำ� คญั ทส่ี ุด ก. พทุ ธยาน ข. สาวกยาน ค. โพธสิ ตั วยาน ง. เถรยาน ๙. ขอ้ ใดมใิ ช่ประเภทของพระพทุ ธเจา้ ตามทศั นะของมหายาน ก. อาทพิ ทุ ธะ ข. ธยานิพทุ ธะ ค. มานุษพิ ทุ ธะ ง. สมั มาสมั พทุ ธะ ๑ ๐. คำ� สอนสำ� คญั ของนิกายมาธยมกิ ะคอื เร่อื งอะไร ก. อาลยวญิ ญาณ ข. โพธจิ ติ ค. ศูนยตา ง. จติ ตมาตร 03. - 3 (70-110).indd 109 5/10/2022 12:56:41 PM

เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท กองวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นีย. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นยี , ๒๕๕๐. เกษมสุข ภมรสถติ . พทุ ธศาสนา พทุ ธปรชั ญา เถรวาท มหายานและหนิ ยาน. กรุงเทพมหานคร : Homemade Pocket Book, ๒๕๔๑. ประยงค์ แสนบรุ าณ. พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๙. พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ , ปรชั ญามาธยมกิ ะ : โลกและชวี ติ จากมมุ ของนาคารชนุ , ใน รวมบทความทางวชิ าการ ทางพระพทุ ธศาสนาและปรชั ญา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐. . พระพทุ ธศาสนามหายานในอนิ เดยี พฒั นาการและสารตั ถธรรม. กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓. ฟ้ืน ดอกบวั . ปวงปรชั ญาอนิ เดีย. กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๕. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. สมภาร พรมทา. พทุ ธศาสนามหายาน นิกายหลกั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐. สุชพี ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปิฎกสำ� หรบั ประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. สุมาลี มหณรงคช์ ยั . พทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๖. เสรี วฒุ ธิ รรมวงศ.์ ผ่าปมปญั หาพทุ ธ-ฮนิ ดู. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ. ๒๕๔๐. เสฐยี ร พนั ธรงั ษ.ี พทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ, ๒๕๔๓. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ปรชั ญามหายาน. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าบรรณาคาร, ๒๕๒๒. อดศิ กั ด์ิ ทองบญุ . สำ� นกั พทุ ธปรชั ญา, ใน มหาจุฬาฯ วชิ าการ : ปรชั ญาบรุ พทศิ . ทรงวทิ ย์ แกว้ ศร,ี บรรณาธกิ าร กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗. . ปรชั ญาอนิ เดีย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๖. อภชิ ยั โพธปิ ระสทิ ธศิ าสต.์ พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. อภญิ วฒั น์ โพธ์สิ าน. ชีวติ และผลงานของนกั ปราชญพ์ ทุ ธ. สารคาม : สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สารคาม, ๒๕๔๙. 03. - 3 (70-110).indd 110 5/10/2022 12:56:41 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชียใต้ พระครูธรรมธรศิริวฒั น์ สริ ิวฑฺฒโน, ผศ.ดร รศ.ดร.เทพประวณิ จนั ทรแ์ รง วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจำ� บท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถทจ่ี ะอธบิ ายไดด้ งั น้ี ๑. อธบิ ายพระพทุ ธศาสนาในประเทศสหพนั ธส์ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเนปาลได้ ๒. อธบิ ายพระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั อนิ เดยี ได้ ๓. อธบิ ายพระพทุ ธศาสนาในประเทศราชอาณาจกั รภฏู านได้ ๔. อธบิ ายพระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศได้ ๕. อธบิ ายพระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั สงั คมนิยมประชาธปิ ไตยศรลี งั กาได้ ขอบข่ายเน้ือหา  ความนำ�  พระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั อนิ เดยี  พระพทุ ธศาสนาในประเทศสหพนั ธส์ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเนปาล  พระพทุ ธศาสนาในประเทศราชอาณาจกั รภฏู าน  พระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ  พระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั สงั คมนิยมประชาธปิ ไตยศรลี งั กา 04. - 4 (111-151).indd 111 5/10/2022 12:57:10 PM

112 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๔.๑ ความน�ำ เขตพ้นื ทโ่ี ลกตามลกั ษณะภูมศิ าสตร์ เมอ่ื กลา่ วถงึ ทวปี ทงั้ ๗ ทวปี ไดแ้ ก่ “ยุโรป เอเชยี อเมรกิ าเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลยี แอฟริกา และแอนตารก์ ติก สำ� หรบั ทวปี เอเชียเป็นทวปี ท่ใี หญ่ท่สี ุดในโลก มคี วาม หลากหลายทงั้ ภมู ศิ าสตร์ ภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศ ประชากร ศาสนา วฒั นธรรม และสงั คมเป็นแหลง่ อารยธรรม ทส่ี ำ� คญั ของโลก เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมยี ปจั จบุ นั อยู่ในประเทศอริ กั และบรเิ วณแมน่ ำ�้ ฮวงโหในประเทศจนี มมี นุษยต์ งั้ ถน่ิ ฐานอยู่อาศยั ก่อนบรเิ วณอน่ื ๆ ของเอเชยี เมอ่ื ประมาณก่อน พ.ศ. ๒,๔๐๐ – ๒,๖๐๐ ปี มาแลว้ 1 สำ� หรบั ภมู ภิ าคเอเชยี แบง่ พ้นื ทอ่ี อกเป็น เอเชยี เหนอื เอเชยี กลาง เอเชยี ใต้ เอเชยี ตะวนั ออก เอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ และเอเชยี ตะวนั ตกเฉียงใต”้ 2 จากภมู ศิ าสตรท์ ก่ี ลา่ วมาน้ีทำ� ใหท้ ราบถงึ ประวตั แิ ละความเป็นมาของการ เผยแผ่ของพทุ ธศาสนาไปยงั พ้นื ทต่ี ่าง ๆ ทจ่ี ะศึกษาในบทน้ีจะกลา่ วเฉพาะสถานการณข์ องพทุ ธศาสนาทเ่ี ผยแผ่ เขา้ ไปในภมู ภิ าคเอเชยี ใตเ้ท่านนั้ ๔.๑.๑ ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั เอเชียใต้ เอเชยี ใต้หรอื ชมพทู วปี หรอื อนุทวปี เป็นทวปี ทอ่ี ยู่ทางใตข้ องทวปี เอเชยี เป็นตน้ กำ� เนดิ ของศาสนาสำ� คญั ของโลก เช่น ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู พระพทุ ธศาสนา ศาสนาเชนและศาสนาซกิ ข์ เป็นตน้ เอเชยี ใตม้ พี ้นื ท่ี ประมาณ ๕,๑๘๐,๐๐๐ ตารางกโิ ลเมตร หรอื รอ้ ยละ ๑๐ ของทวปี เอเชยี ภมู ภิ าคน้ียงั เป็นภมู ภิ าคทม่ี ปี ระชากร อาศยั อยู่มากแห่งหน่ึงของโลกมจี ำ� นวนประชากรมากกวา่ ๑ พนั ลา้ นคนอาศยั อยู่ในภมู ภิ าคน้ี ซง่ึ คดิ เปรยี บเทยี บ เป็นสดั ส่วนเท่ากบั ๑ ใน ๓ ของชาวเอเชยี ทง้ั หมด หรอื ๑ ใน ๕ ของประชากรโลก อตั ราความหนาแน่นของ ประชากรเท่ากบั ๓๐๕ คน ต่อพ้นื ท่ี ๑ ตารางกโิ ลเมตร คดิ เป็นสดั ส่วนทส่ี ูงกวา่ อตั ราความหนาแน่นโดยเฉลย่ี ของ ประชากรโลกถงึ ๗ เท่า ประชากร เอเชยี ใตม้ ปี ระชากรประมาณ ๑,๕๑๗.๗ ลา้ นคน ประเทศอนิ เดยี มปี ระชากร มากทส่ี ุด และประเทศมลั ดฟี สม์ ปี ระชากรนอ้ ยทส่ี ุด ซง่ึ ประชากรส่วนมากอาศยั อยู่ในบรเิ วณดนิ ดอนสามเหลย่ี ม ปากแมน่ ำ�้ คงคา ดา้ นวฒั นธรรม มวี ฒั นธรรมทห่ี ลากหลาย ส่วนใหญ่ปฏบิ ตั ติ ามขนมธรรมเนยี มประเพณีดง้ั เดมิ และในดา้ นของศาสนา ประชากรส่วนใหญ่ทน่ี บั ถอื ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ไดแ้ ก่ประเทศอนิ เดยี เนปาล รองลงมา คอื ศาสนาอสิ ลาม มผี ูน้ บั ถอื มากในประเทศปากสี ถานและบงั กลาเทศ ส่วน พระพทุ ธศาสนามผี ูน้ บั ถอื ในประเทศ ศรลี งั กา ภฏู าน อนิ เดยี และ เนปาล3 เป็นตน้ สำ� หรบั คำ� วา่ เอเชยี ใต้ เป็นคำ� ศพั ทใ์ หมท่ เ่ี ร่มิ ใชก้ นั หลงั จากสงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ซง่ึ ใชเ้รยี กกลมุ่ ประเทศ ท่ตี ง้ั อยู่ทางตอนใตข้ องทวปี เอเชีย ตง้ั อยู่ระหว่างภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตก้ บั ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ตก 1 ฝ่ายวชิ าการ พบี ซี ,ี ทวปี เอเชีย, (กรุงเทพมหานคร : พบิ ซี ,ี ๒๕๕๒), หนา้ ๕. 2 วกิ พี เี ดยี สารานุกรมเสร,ี “เอเชียใต”้ [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki [๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 3 ศุภกร พลู เผ่าว์ (มกราคม ๒๕๖๔), เอเชียใต,้ [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://asia.tech.blog [๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 112 5/10/2022 12:57:10 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 113 เฉียงใต้ ภมู ศิ าสตรข์ องภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ ตง้ั อยู่ระหวา่ งละตจิ ูดท่ี ๕–๓๖ เหนือ และระหวา่ งลองตจิ ูดท่ี ๖๑–๙๐ ตะวนั ออก ทต่ี ง้ั อยูร่ ะหวา่ งเทอื กเขาหมิ าลยั ทะเลอาหรบั อ่าวเบงกอลและมหาสมทุ รอนิ เดยี มเี น้อื ทร่ี วมกนั ทงั้ หมด ประมาณ ๔.๕ ลา้ นตารางกโิ ลเมตร ประกอบดว้ ยประเทศต่าง ๆ ๗ ประเทศ ไดแ้ ก่อนิ เดยี เนปาล บงั กลาเทศ ภฏู าน เนปาล ปากสี ถาน ศรลี งั กาและมลั ดฟี ส4์ ในดา้ นความเช่อื และการนบั ถอื ศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ในภมู ภิ าคน้ี นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูเป็นอนั ดบั หน่ึง รองลงมาศาสนาอสิ ลาม และพระพทุ ธศาสนา ๔.๑.๒ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในเอเชียใต้ การศึกษาประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้เป็นการสบื คน้ เร่อื งราวพระพทุ ธศาสนาในกลมุ่ ประเทศแถบ เทอื กเขาหมิ าลยั ไดแ้ ก่ อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล ภฏู านและบงั กลาเทศ รวมทง้ั ประเทศในมหาสมทุ รอนิ เดยี ไดแ้ ก่ ศรลี งั กาและมลั ดฟี ส ์ ประเทศเหลา่ น้ีเดมิ เป็นฐานทม่ี นั่ ของพระพทุ ธศาสนาในยุคแรก โดยเฉพาะประเทศ อนิ เดยี - เนปาล ซ่งึ เป็นแหล่งกำ� เนิดของพระพทุ ธศาสนาท่เี กิดข้นึ ท่ามกลางสงั คมอนิ เดยี โบราณ ท่มี คี วาม หลากหลายทางดา้ นศาสนา วฒั นธรรม พธิ กี รรมและความเช่อื ต่อมาไดแ้ ผ่ขยายเขา้ ไปสู่นานาประเทศโดยรอบ ภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ สำ� หรบั หวั ขอ้ น้ีจะนำ� เสนอประวตั ขิ องพระพทุ ธศาสนาในภมู ภิ าคเอเชยี ใตเ้พยี ง ๕ ประเทศ คอื เนปาล อนิ เดยี ภฏู าน บงั กลาเทศ และศรลี งั กา ดงั มรี ายละเอยี ดต่อไปน้ี ๔.๒ ประวตั พิ ระพ­ ทุ ธศาสนาในประเทศสหพนั ธส์ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเนปาล ประเทศเนปาลเป็นประเทศเลก็ ๆ ทอ่ี ยู่ทางทศิ ตะวนั ตกของประเทศอนิ เดยี เคยเป็นส่วนหน่ึงของอนิ เดยี มาก่อนในสมยั พทุ ธกาล มคี วามหลากหลายทางดา้ นภมู ศิ าสตร์ พ้นื ทส่ี ่วนใหญ่จะเป็นภเู ขา อยู่บรเิ วณเทอื กเขา หมิ าลยั หรอื เทอื กเขาเอเวอเรสต์ อกี ทง้ั ยงั มคี วามหลากหลายทางดา้ นชวี วทิ ยา ประเทศเนปาลถอื วา่ เป็นประเทศ ทม่ี คี วามสำ� คญั ต่อพระพทุ ธศาสนาอย่างมาก เพราะเป็นดนิ แดนหรอื สถานทป่ี ระสูตขิ ององคส์ มเดจ็ พระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ โดยเฉพาะทบ่ี รเิ วณสวนรมุ มนิ เดหรอื ลมุ พนิ เี ป็นสถานทท่ี ส่ี ำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตร์ เพราะเป็นดนิ แดน มาตภุ มู ขิ องพระพทุ ธเจา้ ชาวพทุ ธทวั่ โลกรูจ้ กั และไปสกั การะบูชายงั สถานทแ่ี ห่งน้ีเป็นจำ� นวนมากจงึ ทำ� ใหเ้กดิ การ เดนิ ทางเพอ่ื ไปแสวงบญุ สำ� หรบั พระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาลประกอบดว้ ยนิกายเถรวาทและนิกายมหายาน ผสมผสานอยู่รวมกนั นอกจากนน้ั ยงั ประกอบดว้ ยศาสนาฮนิ ดูและศาสนาอ่นื ๆอกี ดว้ ย ประเทศเนปาลยงั ถอื ไดว้ ่าเป็นแหล่งมรดกทางวฒั นธรรมท่อี งคก์ รสหประชาชาติไดย้ กย่องใหเ้ ป็นมรดกโลกอยู่หลายแห่ง ดงั นน้ั การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาลจงึ มคี วามสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะไดท้ ราบถงึ องคค์ วามรูเ้กย่ี วกบั พระพทุ ธ- ศาสนาและบอ่ เกดิ ทางศิลปวฒั นธรรม และวถิ ชี วี ติ ของชาวเนปาลไดเ้ป็นอย่างดี 4 เอกรนิ ทร์ สม่ี หาศาลและวโิ รจน์ เอย่ี มเจรญิ , หนงั สอื เรยี นสงั คมศึกษา ทวปี ของเรา, (กรุงเทพมหานคร : อกั ษร เจรญิ ทศั น์ จำ� กดั , ๒๕๓๓), หนา้ ๙๗. 04. - 4 (111-151).indd 113 5/10/2022 12:57:10 PM

114 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๔.๒.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของเนปาล ๑) ภมู ิศาสตรข์ องประเทศ ประเทศเนปาล ตง้ั อยู่บนทร่ี าบสูงทางทศิ ใตข้ องเทอื กเขาหมิ าลยั บรเิ วณเสน้ ละตจิ ูดท่ี ๒๘ องศาเหนือ เสน้ ลองตจิ ูดท่ี ๘๔ องศาตะวนั ออก มพี ้นื ท่ี ๑๔๗,๑๘๑ ตร.กม. ไมม่ ที างออกทะเล อาณาเขตความยาวของ เสน้ พรมแดนทง้ั หมด ๓,๑๕๙ กม. ทศิ เหนือตดิ กบั ทเิ บต และจนี (๑,๓๘๙ กม.) ทศิ ใต้ ทศิ ตะวนั ออกและ ทศิ ตะวนั ตกติดกบั อนิ เดยี (๑,๗๗๐ กม.) ส่วนภูมปิ ระเทศทางตอนใตเ้ ป็นท่รี าบ มแี ม่นำ�้ คงคาไหลผ่านทาง ตอนกลางและเหนือเป็นเทอื กเขาท่สี ำ� คญั ไดแ้ ก่ เทอื กเขาหมิ าลยั ภูมอิ ากาศของเนปาลมคี วามหลากหลาย แตกต่างกนั ตามระดบั ความสูง ๕ เขต ไดแ้ ก่ ระดบั ความสูงตำ�่ กว่า ๑,๒๐๐ ม. จะมภี ูมอิ ากาศแบบเขตรอ้ น ระดบั ความสูง ๑,๒๐๐-๒,๔๐๐ ม. มอี ากาศเยน็ ระดบั ความสูง ๒,๔๐๐-๓,๖๐๐ ม. มอี ากาศหนาว ระดบั ความสูง ๓,๖๐๐-๔,๔๐๐ ม. มอี ากาศคลา้ ยเขตอารก์ ตกิ และระดบั ความสูง ๔,๔๐๐ ม.ข้นึ ไป มสี ภาพอากาศ แบบอารก์ ตกิ ระดบั ความสูงทแ่ี ตกต่างกนั มผี ลกระทบต่อระดบั นำ�้ ฝน โดยทางภาคตะวนั ออกมปี รมิ าณนำ�้ ฝน ปีละประมาณ ๒,๕๐๐ มม. ขณะทใ่ี นกาฐมาณฑมุ ปี รมิ าณนำ�้ ฝน ๑,๔๒๐ มม. และทางภาคตะวนั ตกมปี รมิ าณ นำ�้ ฝนปีละประมาณ ๑,๐๐๐ มม. ภมู อิ ากาศของเนปาลแบง่ เป็น ๔ ฤดูดงั น้ี (๑) ก่อน มรสุมฤดูรอ้ น เร่มิ ตงั้ แต่ เม.ย.- พ.ค. ในบริเวณพ้นื ท่รี าบมอี ากาศรอ้ นประมาณ ๔๐ องศาเซลเซยี ส ขณะท่ใี นเขตภูเขามอี ากาศเย็น (๒) มรสมุ ฤดูรอ้ น เรม่ิ ตงั้ แต่ ม.ิ ย.- ก.ย. โดยลมมรสมุ นำ� ความช้นื จากภาคตะวนั ตกเฉียงใตพ้ ดั ผา่ น (๓) หลงั มรสมุ ฤดูรอ้ น เร่มิ ตงั้ แต่กลาง ต.ค.- ธ.ค. อากาศเร่มิ เยน็ ข้นึ และแหง้ แลง้ และ (๔) มรสุมฤดูหนาว เร่มิ ตงั้ แต่ ธ.ค.- ม.ี ค. โดยมลี มมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือพดั ผ่าน ในเขตทร่ี าบตำ�่ จะมฝี นลดลง และในเขตภเู ขาสูงจะมอี ากาศหนาว และหมิ ะตก ภยั ธรรมชาตทิ เ่ี นปาลประสบอยู่เป็นประจำ� ไดแ้ ก่ นำ�้ ท่วม ดนิ ถลม่ และ ความแหง้ แลง้ 5 ๒) ความเช่ือในเร่อื งศาสนา ความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ในสมยั พทุ ธกาล ชาวเนปาลนบั ถอื ศาสนาพราหมณม์ าก่อน จากหลกั ฐานทางพทุ ธประวตั ิ พระเจา้ สุทโธทนะพทุ ธบดิ าไดอ้ ญั เชิญพรามหณ์ ๑๐๘ มาทำ� นายพทุ ธลกั ษณะของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะในครง้ั นน้ั อกี ประการหน่ึงดนิ แดนแห่งน้ี เป็นสถานท่ปี ระสูติของพระพทุ ธเจา้ ณ สวนลุมพนิ ีอยู่ในเขตประเทศเนปาล ในปจั จบุ นั ต่อมาพระศาสนาพทุ ธเขา้ สู่ประเทศเนปาล โดยการนำ� ของพระพทุ ธเจา้ และเหลา่ สาวก เพอ่ื เสดจ็ ไป โปรดพทุ ธบดิ า พระประยูรญาตแิ ละพระบรมวงศานุวงค์ ณ กรุงกบลิ พสั ดุ์ หลงั จากไดร้ บั ฟงั พระธรรมเทศนา จากพระพทุ ธเจา้ พระประยูรญาติและพระบรมวงศานุวงศไ์ ดห้ นั มาออกบวชและนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเป็น จำ� นวนมาก เม่อื พระพทุ ธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานไปแลว้ พระอานนทไ์ ดก้ ลบั มาเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ในบรเิ วณน้ี จากเหตกุ ารณท์ ก่ี ลา่ วมาแสดงวา่ ชาวเนปาลสว่ นหน่งึ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนามาตงั้ แต่สมยั พทุ ธกาลแลว้ 5 ขอ้ มลู พ้นื ฐานต่างประเทศ, สหพนั ธส์ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเนปาล [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.nia.go. th/newsnow/almanac-files/static/pdf [๒๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔.] 04. - 4 (111-151).indd 114 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 115 ในสมยั ท่ชี าวมสุ ลมิ เขา้ รุกรานแควน้ พหิ าร และเบงกอล ในประเทศอนิ เดยี พระภกิ ษุจากอนิ เดยี ตอ้ ง หลบหนีภยั เขา้ ไปอาศยั ในเนปาล ซง่ึ ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ก็ไดน้ ำ� คมั ภรี อ์ นั มคี ่ามากมายไปดว้ ย และมกี ารเก็บรกั ษาไว้ เป็นอย่างดีจนถงึ ทุกวนั น้ี และเม่อื มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา (ในประเทศอินเดีย) ถูกทำ� ลายทำ� ใหศ้ าสนาพุทธ เสอ่ื มสูญไปจากประเทศอนิ เดยี แลว้ กส็ ง่ ผลใหพ้ ระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาลพลอยเสอ่ื มลงดว้ ย ต่อมาอทิ ธพิ ล ของฮนิ ดูแผ่เขา้ มาสูป่ ระเทศเนปาล ประชาชนเนปาลมสี ดั สว่ นการนบั ถอื ศาสนาดงั น้ี นบั ถอื ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู รอ้ ยละ ๘๑ ศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาทและมหายานรอ้ ยละ ๑๑ ศาสนาอสิ ลามรอ้ ยละ ๔.๒ และศาสนาครสิ ต์ รอ้ ยละ ๑.๔6 ๓) วฒั นธรรมประเพณีในประเทศเนปาล ประเทศเนปาลเป็นประเทศทม่ี คี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมและเช้อื ชาติ มจี ารีตประเพณีและความ แปลกใหมม่ ากมาย ตามทก่ี ษตั รยิ ป์ ฤถวิ ี นารายนั ชาห์ (Prithivi Narayan Shah) ระบวุ า่ ประเทศเนปาลเป็น จดุ ศูนยร์ วมของ ๔ วรรณะ และกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ๓๖ กลมุ่ ทผ่ี ูค้ นอาศยั อยู่ในความสามคั คแี ละสนั ตสิ ุข มาหลาย ศตวรรษ และมนั่ คงไม่เกินจริงท่จี ะเรียกเนปาลว่าเป็นแหล่งหลอมรวมของเผ่าพนั ธุแ์ ละชนเผ่าท่หี ลากหลาย ศิลปวฒั นธรรมและศาสนาเป็นส่วนหน่ึงของชีวติ ชาวเนปาล ตามท่พี วกเขาแสดงออกมาใหเ้ หน็ ในหลากหลาย รูปแบบ เช่น ศาสนา เทศกาล อาหาร เคร่อื งดม่ื ภาษา ดนตรี การเตน้ รำ� ความเชอ่ื วรรณกรรม และปรชั ญา7 นอกจากนนั้ เนปาลจะมเี ทศกาลต่าง ๆ เป็นส่วนสำ� คญั ของวถิ ชี ีวติ มคี ำ� กล่าวว่าส่งิ ก่อสรา้ งในทุกย่างกา้ วของ เนปาลนน้ั เป็นสถานทศ่ี กั ด์สิ ทิ ธ์แิ ละในทกุ ๆ วนั เทศกาลทางศาสนานนั้ จะจดั ใหเ้ป็นไปตามปฏทิ นิ ทางจนั ทรคติ ส่วนงานเทศกาลประจำ� ปีจะมกี ำ� หนดวนั ทต่ี ายตวั เทศกาลทส่ี ำ� คญั ๆ8 ของชาวเนปาลมมี ากมายจะยกมาเป็น ตวั อย่างเทศเทศกาลทส่ี ำ� คญั ดงั ต่อไปน้ี นววรรษ (Navarsha) จดั ข้นึ ราวเดอื นเมษายน เป็นเทศกาลฉลองวนั ข้นึ ปีใหมข่ องชาวเนปาล มกั ตรงกบั สปั ดาหท์ ่ี ๒ ของเดอื นเมษายน ซง่ึ กค็ อื วนั แรกของงานไพสขั ปูรณิมาวนั น้ีถอื เป็นวนั หยุดแห่งชาติ ผูค้ นจะทำ� พธิ ี ฉลองกนั อย่าง เอกิ เกรกิ และมกี ารแสดงทย่ี ง่ิ ใหญ่ ไพสขั ปูรณิมา หรอื วนั วสิ าขบูชา (Baisakh Poorima) จดั ข้นึ ราวเดอื นเมษายนในฐานะทป่ี ระเทศเนปาล เป็นสถานทป่ี ระสูตขิ ององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผูค้ นต่างฉลองพธิ นี ้ีดว้ ยการแสดงความเคารพต่อพระพทุ ธรูป ของพระพทุ ธเจา้ ตามสถานทต่ี ่าง ๆ เช่น สวะยมั ภนู าถ โพธนิ าถ และลมุ พนิ ี 6 เพจศาสนาวทิ ยา (๒๙ เมษายน ๒๕๕๘), “ความเช่ือของเนปาล ว่าดว้ ยศาสนาพทุ ธ-ฮนิ ดู”, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://news.mthai.com/social-news/๔๔๐๐๗๔.htm [๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 7 ๑๐ สง่ิ ท่นี ่าสนใจเกย่ี วกบั ประเทศเนปาล, (๗ ตลุ าคม ๒๕๖๓), [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.nepal101. net/th/interesting-things-about-nepal/ [๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 8 โอเซยี นสไมล,์ งานประเพณีเนปาล,[ออนไลน]์ ,แหลง่ ทม่ี า : http://www.oceansmile.com/nepal/FestivalNepal. htm [๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 115 5/10/2022 12:57:11 PM

116 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา คยะ ยาตรา หรอื เทศกาลววั (Gai Jatra or Cow Festival) จดั ข้นึ ราวเดอื นกรกฎาคมหรอื เดอื นสงิ หาคม เป็นงานเฉลมิ ฉลองทก่ี นิ เวลาถงึ ๘ วนั โดยจดุ เด่นของงานน้ีคอื การเตน้ รำ� การรอ้ งเพลง การเลน่ ตลก และการ ละเลน่ ใด ๆ กต็ ามทส่ี รา้ งความเบกิ บานใจ กฤษณะสตามิ (Krishnastami) จดั ราวเดอื นกรกฎาคมหรอื เดอื นสงิ หาคม เป็นวนั ประสูตขิ องพระกฤษณะ (Lord Krishami) ในวนั น้ีจะมกี ารจดั พธิ เี ฉลมิ ฉลองทว่ี ดั กฤษณะในเมอื งปะฏนั และทฉ่ี างคุ นารายณั มหาศิวะราตรี (Maha Shivaratri) จดั ข้นึ ในเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ เทศกาลศิวราตรหี รอื คำ�่ คนื แห่งพระศิวะนนั้ มขี ้นึ ระหวา่ งเดอื นกมุ ภาพนั ธถ์ งึ เดอื นเมนาคม เป็นเทศกาลทม่ี กี ารเฉลมิ ฉลองเพอ่ื แสดงความเคารพต่อพระศิวะ ท่วี ดั ปศุปฏนิ าถ โดยมกี ารจดั พธิ ีทางดา้ นศาสนาผูค้ นมากมายจากทวั่ ทง้ั เนปาลและอนิ เดยี มารวมตวั กนั ท่วี ดั เพอ่ื ทำ� การกราบไหวพ้ ระศิวะ ๔.๒.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สูป่ ระเทศเนปาล ประเทศเนปาลแมจ้ ะเป็นสถานท่ปี ระสูติของพระพทุ ธเจา้ แต่พระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาลไดร้ บั มาจากประเทศอนิ เดยี อกี ทอดหน่ึง เพราะพระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รูแ้ ละเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในทอ้ งถน่ิ ซง่ึ อยู่ ประเทศอนิ เดยี เสยี เป็นส่วนใหญ่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ผยแผ่เขา้ มาสู่ใน เนปาล มหี ลกั ฐานปรากฏดงั น้ี ๑. ในสมยั พุทธกาล หลกั ฐานปรากฏท่ีชดั เจนในพุทธประวตั ิ ตอนท่ีประพุทธเจา้ เสด็จไปโปรด พทุ ธบดิ า พระประยูรญาตแิ ละพระบรมวงศานุวงศ์ ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ มาเผยแผ่ในดนิ แดนแห่งน้ี ๒. หลกั ฐานท่ีแสดงถึงพระพุทธศาสนาในประเทศเนปาลเพ่ิงจะปรากฏชดั เจนในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราชในพทุ ธศตวรรษท่ี ๓ โดยมตี ำ� นานเลา่ วา่ พระเจา้ อโศกมหาราชไดเ้สดจ็ ไปยงั เนปาลเพอ่ื ปราบกบฏ ตง้ั แต่ยงั ทรงเป็นพระราชกุมาร หลงั จากเสดจ็ ข้นึ ครองราชยแ์ ลว้ คราวหน่ึงไดเ้สดจ็ มายงั ลุมพนิ ี เพอ่ื นมสั การ สถานทป่ี ระสูตขิ องพระพทุ ธเจา้ และทรงประดษิ ฐานหลกั ศิลาจารกึ ไวเ้ป็นอนุสรณ์ ณ ทน่ี นั้ ดว้ ย นอกจากนนั้ พระราชธดิ าของพระเจา้ อโศกพระนามวา่ จารุมตี ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั ขนุ นางชาวเนปาลท่านหน่ึง โดยสรา้ งสถปู และวดั ไวห้ ลายแห่งยงั ปรากฏซากอยู่จนทกุ วนั น้ี9 ๓. ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ การทำ� นุบำ� รุงและเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาอย่างจรงิ จงั ใน ประเทศเนปาล ปรากฏหลกั ฐานทช่ี ดั เจน ในรชั สมยั ของพระเจา้ องั สุวรมนั โดยพระองคไ์ ดพ้ ระราชทานพระราชธิดาใหอ้ ภเิ ษก สมรสกบั พระเจา้ สรองสนั คมั โปผูเ้ป็นกษตั รยิ ข์ องประเทศทเิ บต ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเร่มิ เผยแพร่เขา้ ไปในทเิ บต และปรากฏวา่ มบี ณั ฑติ ชาวเนปาลร่วมงานแปลคมั ภรี ์ ภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาทเิ บตในราชสำ� นกั ทเิ บตดว้ ย ๔. ในประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ สมยั ของพระศานตรกั ษติ ไดเ้ชอ่ื มความสมั พนั ธท์ างพระพทุ ธศาสนา และวฒั นธรรม ระหวา่ งประเทศเนปาลและทเิ บต ใหเ้จรญิ รุ่งเรอื งยง่ิ ข้นึ 9 พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๗๘. 04. - 4 (111-151).indd 116 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 117           ๕. ประเทศเนปาลไดก้ ลายมาเป็นศูนยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนาแบบตนั ตระและไดม้ นี กิ ายพทุ ธปรชั ญา สำ� นกั ใหญ่ ๆ เกดิ ข้นึ ๔ นกิ าย คอื สวาภาวกิ ะ ไอศวรกิ ะ การมกิ ะ และยาตรกิ ะ แต่ละนิกายกแ็ ตกย่อยออกไป อีกหลายสาขาและนิกายต่าง ๆ แสดงใหเ้ ห็นความผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั ของกระแสความคิดทางปรชั ญา หลายแบบหลายแนวเท่าทเ่ี กดิ ข้นึ ในประเทศอนิ เดยี และทเิ บตดว้ ยอทิ ธพิ ลของศาสนาฮนิ ดูและพระพทุ ธศาสนา สำ� หรบั การฟ้ืนฟูการศึกษาพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทข้นึ ในเนปาล สมาคมแห่งหน่ึงช่อื “ธรรโมทยั สภา” ไดอ้ ปุ ถมั ภใ์ หพ้ ระภกิ ษุจากลงั กา หรอื พระภกิ ษุเนปาลทไ่ี ดร้ บั การศึกษาอบรมในลงั กา ไปทาํ งานเผยแผอ่ ยา่ งจรงิ จงั และไดพ้ มิ พค์ าํ แปลพระสูตรจากภาษาบาลเี ป็นภาษาถ่นิ ออกเผยแพร่หลายสูตร10 เพ่อื ใหช้ าวเนปาลท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาไดศ้ กึ ษาหลกั คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้งึ และเป็นการรกั ษาไวซ้ ง่ึ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหด้ ำ� รงอยู่สบื ต่อไป ๔.๒.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ชาวเนปาลส่วนหน่ึงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนามานานแต่ครงั้ พทุ ธกาลแลว้ เป็นพระพทุ ธศาสนาแบบดง้ั เดมิ หรอื แบบเถรวาทต่อมาเถรวาทเสอ่ื มสูญไป เนปาลไดก้ ลายเป็นศูนยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนามหายานนกิ ายตนั ตระ ซง่ึ ใชค้ าถาอาคมและพธิ กี รรมแบบไสยศาสตร์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ สมเดจ็ พระวนั รตั (ปณุ ณสริ มิ หาเถระ) พรอ้ มดว้ ยคณะสงฆแ์ ละเจา้ หนา้ ทก่ี รมการศาสนา จากประเทศไทยไดไ้ ปเยอื นกรุงกาฐมนั ฑเุ ป็นคณะสงฆไ์ ทยชดุ แรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ พระสาสนโสภณ (สุวฑฒฺ นมหาเถระ) ไดเ้ยอื นเนปาล เป็นครง้ั แรก เพอ่ื สานสมั พนั ธไมตรี ทางพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระญาณสงั วร สกลสงั ฆปรนิ ายกไดเ้สดจ็ ประกอบ พธิ ีบรรพชา อปุ สมบทกลุ บตุ รชาวเนปาลจำ� นวน ๗๓ คน องคก์ ารพทุ ธศาสนานกิ สมั พนั ธแ์ ห่งโลกไดท้ ำ� โครงการพฒั นาลมุ พนิ ี โดยมพี ระองคเ์ จา้ พนู พสิ มยั ดศิ กลุ และ ศาสตราจารยส์ ญั ญา ธรรมศกั ด์ิ เป็นประธาน นอกจากนนั้ รฐั บาลไทย ไดส้ รา้ งวดั ไทยลมุ พนิ ี ณ สถานทป่ี ระสูตขิ องพระพทุ ธเจา้ ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ แลว้ สง่ พระธรรมทตู ไปปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ อยา่ งเป็นทางการในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ปจั จบุ นั พระสงฆ์ ในประเทศเนปาลมปี ระมาณ ๑๒๕ รูป ไดร้ บั การศึกษาพระพทุ ธศาสนามาจากประเทศต่าง ๆ คอื ศรลี งั กา พมา่ และไทย ปจั จบุ นั เนปาล ไดม้ กี ารฟ้ืนฟพู ระพทุ ธศาสนาเถรวาทข้นึ ใหม่ โดยสง่ พระภกิ ษุสามเณรไปศึกษาในประเทศ ต่าง ๆ เช่น ศรลี งั กา พมา่ และไทย เมอ่ื กลบั มาเนปาลแลว้ กอ็ อกเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาอย่างจรงิ จงั มกี ารจดั ตง้ั โรงเรยี นพระพทุ ธศาสนาวนั เสารช์ ่อื ว่า “เนปาลพทุ ธปรยิ ตั ศิ ึกษา” การเรยี นการสอนพระพทุ ธศาสนาในวนั เสาร์ ซง่ึ เป็นวนั หยุดราชการน้ีดำ� เนินมานานถงึ ๓๒ ปี โดยมรี ะดบั การเรยี น ๓ ชน้ั คอื ชนั้ สูงสุดใชเ้วลาเรยี น ๑๐ ปี 10 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๗๙. 04. - 4 (111-151).indd 117 5/10/2022 12:57:11 PM

118 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ “ปรยิ ตั สิ ทั ธรรมโกวทิ ” ชนั้ กลางใชเ้วลาเรยี น ๖ ปี เรยี กวา่ “ปรยิ ตั สิ ทั ธรรมปาลกะ” และชนั้ ตน้ จำ� นวน ผูเ้ขา้ เรยี นจนถงึ ปจั จบุ นั มปี ระมาณ ๖,๑๐๒ คน ครูสอนเป็นพระ แมช่ ี และฆราวาสภายนอก การเรยี นการสอน กม็ อี ปุ สรรคบา้ ง เพราะขาดแคลนผูท้ รงคุณวฒุ แิ ละรฐั บาลเนปาลกย็ งั ไมไ่ ดร้ บั รองระบบการศึกษาน้ี จงึ มผี ูส้ นใจ เรยี นลดนอ้ ยลงไปเรอ่ื ย ๆ แต่พระสงฆก์ ไ็ ดพ้ ยายามทำ� การสอนจนสามารถขยายศูนยก์ ารศึกษาไดม้ ากถงึ ๓๒ แหง่ ชาวเนปาลยงั คงรกั ษาวฒั นธรรมประเพณีทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาควบคู่กบั ศาสนาพราหมณ์ (ฮนิ ดู) พทุ ธศาสนาเถรวาท มบี ทบาทในเนปาลมากข้นึ ซ่ึงชาวพุทธส่วนใหญ่เป็นมหายาน พระภิกษุสามเณรชาวเนปาลไปศึกษาต่อใน ต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย เช่น วดั บวรนิเวชวหิ าร วดั มหาธาตุยุวราชรงั สฤษฏ์ิ และวดั อ่นื ๆ ในประเทศไทย ส่วนสถาบนั การศึกษาในระดบั อุดมศึกษาไปศึกษาต่อ ในมหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เพอ่ื กลบั มาพฒั นาองคก์ รของตน ทำ� ใหค้ ณะสงฆป์ ระเทศเนปาล มกี ารศึกษา และทำ� ใหพ้ ระนกั วชิ าการเนปาลมโี อกาสไปประชมุ ทางวชิ าการพระพทุ ธศาสนานานาชาตมิ ากข้นึ ๔.๒.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในเนปาล ๑) อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในเนปาล จากการศึกษาพระพทุ ธศาสนาในเนปาลจะทราบไดว้ า่ ในยุคแรกของพระพทุ ธศาสนาในเนปาลเป็นนกิ าย เถรวาท ต่อมาเมอ่ื เสอ่ื มสูญไป เนปาลกลายเป็นศูนยก์ ลางของมหายานนกิ ายตนั ตระ ซง่ึ ใชค้ าถาอาคมและพธิ กี รรม ทางไสยศาสตร์ นอกจากน้ียงั มพี ทุ ธปรชั ญาสำ� นกั ใหญ่ ๆ เกดิ ข้นึ อกี ๔ นิกาย คอื วาภาวภิ ะ ไอศวรกิ ะ การมกิ ะ และยาตรกิ ะซง่ึ แต่ละนกิ ายยงั แยกย่อยออกไปอกี นิกายต่าง ๆ เหลา่ น้ี แสดงใหเ้หน็ ถงึ การผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั ของความคดิ ทางปรชั ญาหลาย ๆ อย่าง ชาวเนปาลไดร้ กั ษาสบื ทอดพทุ ธปรชั ญาเหลา่ น้ีมาจนถงึ ปจั จบุ นั 11 ดงั้ นนั้ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายานในประเทศเนปาลยอ่ มสง่ ผลต่อการวถิ ชี วี ติ ของชาวเนปาลทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา โดยนำ� คำ� สอนมาเป็นท่ยี ึดเหน่ียวทางจิตใจและเป็นบ่อเกิดของวฒั นธรรมประเพณีสำ� หรบั การดำ� เนนิ ชวี ติ ตง้ั แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั อทิ ธพิ ลดา้ นการศึกษา เนปาลไดก้ ลายเป็นสถานศึกษาท่สี ำ� คญั ของลทั ธิน้ีเกิดนกั ปราชญเ์ นปาลจำ� นวน มากท่มี คี วามสามารถ ในการตีความตามคติ วชั รยาน และเนปาลในช่วงน้ีไดก้ ลายเป็นแหล่ง ศึกษาพระพุทธศาสนาจากทิเบต เพราะนกั ปราชญช์ าวเนวารม์ คี วามสามารถในการสอน เร่อื งต่าง ๆ อาทิ พระสูตร ศาสตรา ตรรกศาสตรต์ นั ตระ และเป็นยุคทม่ี กี ารแปลพระคมั ภรี ม์ ากทส่ี ุด มกี ารแปลจากภาษาสนั สกฤต เป็นภาษาทเิ บตและเนวาร1์ 2 สำ� หรบั ศาสนาพทุ ธแบบเนวาร (Newar Buddhism) คอื พทุ ธศาสนานิกายวชั รยานรูปแบบหน่ึงทป่ี ฏบิ ตั ใิ นหมชู่ าวเนวาร ชาตพิ นั ธุท์ ต่ี งั้ ถน่ิ ฐานบรเิ วณหุบเขากาฐมาณฑใุ นประเทศเนปาล ซง่ึ พฒั นากลมกลนื เป็นส่วนหน่ึงในวถิ ขี องชาว 11 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๐ 12 พระปลดั วชั รพงษ ์ วชิรปญฺโญ, “ววิ ฒั นาการพระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาล”, วิทยาลยั แสงธรรม, ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑, (มกราคม – มถิ นุ ายน ๒๕๖๓) : ๙ 04. - 4 (111-151).indd 118 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 119 เนวาร มเี อกลกั ษณพ์ เิ ศษคอื ไมม่ สี งั คมสงฆ์ มกี ารจดั ชน้ั วรรณะและมลี ำ� ดบั การสบื สายบดิ าตามแบบชาวเนวาร แมศ้ าสนาพทุ ธแบบเนวารจะไมม่ พี ระสงฆแ์ ต่จะมปี โุ รหติ ทเ่ี รยี กวา่ ครุ ชุ เุ ป็นสอ่ื กลางในการประกอบพธิ กี รรม บคุ คล ทม่ี าจากตระกูลวชั ราจารยะหรอื พชั ราจารยะ (Vajracharya, Bajracharya) จะประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา แก่ผูอ้ ่นื และตระกูลศากยะ (Shakya) จะประกอบพธิ ีกรรมท่สี ่วนใหญ่มกั ทำ� ภายในครอบครวั โดยศาสนา จะไดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากคนวรรณะอรุ าย (Uray) และคนในวรรณะดงั กลา่ วยงั อปุ ถมั ภศ์ าสนาพทุ ธแบบทเิ บต นกิ ายเถรวาท หรอื แมแ้ ต่นกั บวชญป่ี ่นุ ดว้ ย13 อทิ ธพิ ลดา้ นเศรษฐกจิ ดา้ นการท่องเทย่ี วเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ประเทศเนปาลเป็นสถานทส่ี ำ� คญั ของชาวพทุ ธ เป็นหน่ึงในสงั เวชนีย- สถาน คอื สถานทป่ี ระสูตขิ องพระพทุ ธเจา้ อยู่ทเ่ี มอื งลมุ พนิ ี สำ� หรบั ประเทศเนปาลมพี ้นื ท่ี ตดิ ชายแดนประเทศ อนิ เดยี ทางเหนือเมอื งโคราฆปรุ ะ ห่างจากเมอื งตเิ ลาราโกต (นครกบลิ พสั ดุ)์ ทางทศิ ตะวนั ออก ๑๑ กโิ ลเมตร และห่างจากสทิ ธารถนคร (นครเทวทหะ) ทางทศิ ตะวนั ตก ๑๑ กโิ ลเมตร ซง่ึ ถกู ตอ้ งตามตาํ ราพระพทุ ธศาสนา ทก่ี ลา่ วว่าลุมพนิ ีวนั สถานทป่ี ระสูติ ตงั้ อยู่ระหว่างเมอื งกบลิ พสั ดุแ์ ละเมอื งเทวทหะ ปจั จบุ นั ลุมพนิ ีวนั มเี น้ือท่ี ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่ ทางการเรยี กสถานทน่ี ้ีวา่ รุมมนิ เด มสี ภาพเป็นชนบทมผี ูอ้ าศยั อยู่ไมม่ าก มสี ง่ิ ปลูกสรา้ ง เป็นพทุ ธสถานเพยี งเลก็ นอ้ ย แต่มวี ดั พทุ ธอยูใ่ นบรเิ วณน้หี ลายวดั รวมทง้ั วดั ไทยลมุ พนิ ี ลมุ พนิ วี นั ไดร้ บั การยกยอ่ ง จากองคก์ ารยูเนสโกใหเ้ป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวฒั นธรรม ตงั้ แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และยงั มเี มอื งสำ� คญั ต่าง ๆ อย่างเมอื งกบลิ พสั ดทุ์ เ่ี ป็นเมอื งพทุ ธบดิ า และกรุงเทวะทะหะเมอื งพทุ ธมารดา ลว้ นแต่อยู่ในประเทศเนปาล ทง้ั นน้ั นบั ไดว้ า่ มปี ระวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั พทุ ธศาสนาอยู่เป็นอนั มาก ดงั นนั้ แต่ละปีจะมนี กั ท่องเทย่ี วทเ่ี ป็น ชาวพทุ ธจากทวั่ โลก เขา้ มากราบสกั การะแหลง่ สงั เวชนียสถานตลอดไม่ขาดสาย ทำ� ใหแ้ ต่ละปี ประเทศเนปาล มรี ายไดจ้ ากการท่องเทย่ี วเขา้ สู่ประเทศเนปาลเป็นจำ� นวนมาก ๒) แนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในประเทศเนปาล หลงั จากท่ีประเทศเนปาลยกเลกิ ระบบการปกครองแบบพระมหากษตั ริยซ์ ่ึงจะการสนบั สนุนเฉพาะ ศาสนาฮินดูเป็นหลกั เมอ่ื มกี ารเปลย่ี นระบบการปกครองเป็นแบบระบบประชาธิปไตยทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนา แบบเถรวาทกบั มหายานไดร้ บั การสนบั สนุนจากรฐั บาล ทง้ั ดา้ นการศึกษา ศาสนสถาน ศาสนพธิ ีและการ ท่องเทย่ี วเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ แนวโนม้ ในอนาคตมคี วามเป็นไปไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาทง้ั ๒ นกิ ายดงั กลา่ ว จะมี ความเจริญรุ่งเรืองมากข้นึ อีกประการหน่ึงท่จี ะเป็นปจั จยั หลกั ท่สี ำ� คญั คือการสนบั สนุนจากองคก์ รชาวพทุ ธ ต่างประเทศเขา้ มามสี ่วนร่วมสนบั สนุนกิจกรรมของพระพุทธศาสนาในดา้ นต่าง ๆ ใหม้ คี วามเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะการจดั ระบบการศึกษาของพระสงฆใ์ หท้ ่านเหล่านน้ั มอี งคค์ วามรูเ้ พอ่ื จะพฒั นาตนและเป็นผูน้ �ำดา้ น จติ วญิ ญาณนำ� พาพทุ ธศาสนกิ ชนใหด้ ำ� เนินชวี ติ ไปตามหลกั คำ� สอนทางพระพทุ ธศาสนาสบื ต่อไป 13 สารานุกรมเสรี (๒๐ ตลุ าคม ๒๕๖๔), ศาสนาพทุ ธแบบเนวาร, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/ wiki/ [๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 119 5/10/2022 12:57:11 PM

120 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๔.๓ ประวตั พิ ระพ­ ทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั อนิ เดีย ประเทศอนิ เดยี เป็นประเทศทม่ี คี วามย่งิ ใหญ่ตงั้ แต่ในอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั เพราะอนิ เดยี เป็นประเทศทม่ี ี ความหลากหลายทางวฒั นธรรมทงั้ ดา้ นศาสนา ภาษา และเช้อื ชาตทิ เ่ี กดิ ข้นึ มามากมาย อกี ทงั้ อนิ เดยี ในสมยั โบราณ เป็นแหลง่ ทางวฒั นธรรมอารยธรรมเก่าแก่ในราบลมุ่ แมน่ ำ�้ สนิ ธุซง่ึ ไดพ้ ฒั นาการมาเป็นอารยธรรมของคนอนิ เดยี อนิ เดยี ไดช้ อ่ื วา่ เป็นชมพทู วปี คำ� วา่ “ชมพ”ู หมายถงึ “ตน้ หวา้ ” ซง่ึ เป็นตน้ ไมป้ ระจำ� ทวปี น้ี แต่ในสายตาของคน นอกศาสนาและวฒั นธรรมไมไ่ ดม้ องเช่นนนั้ คำ� วา่ ชมพทู วปี ทช่ี าวฮนิ ดูใชเ้รยี กโลก จงึ กลายเป็นคำ� ทห่ี มายถงึ เฉพาะ อาณาเขตอนิ เดยี เท่านนั้ ซง่ึ ชมพทู วปี น้ี มคี วามเช่อื ในเร่อื งทเ่ี ก่ยี วกบั ศาสนา วฒั นธรรม และลกั ษณะทางสงั คม ทโ่ี ดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์ เป็นบอ่ เกดิ ของวฒั นธรรมทส่ี ่งผลต่อชนชาตติ ่าง ๆ มากมาย เช่น พระพทุ ธศาสนาทม่ี ี ผูค้ นนบั ถอื ในภมู ภิ าคต่าง ๆ ของโลกเป็นจำ� นวนมาก14 ๔.๓.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของอนิ เดีย ๑) ภมู ิศาสตรข์ องประเทศ ประเทศอนิ เดยี อยู่ในภมู ภิ าคเอเชยี ใตพ้ ้นื ทป่ี ระมาณ ๓,๒๘๗,๒๖๓ ตร.กม. อาณาเขตทศิ เหนือ และ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตดิ ปากีสถาน จนี เนปาล ภูฏาน และเมยี นมา ทศิ ตะวนั ออก และตะวนั ออกเฉียงใต้ ตดิ บงั กลาเทศ เมยี นมา และอ่าวเบงกอล ทศิ ใต้ใกลศ้ รลี งั กา ทศิ ตะวนั ตก และตะวนั ตกเฉียงเหนอื ตดิ ปากสี ถาน ภมู ปิ ระเทศอนิ เดยี ประกอบดว้ ย ๔ ลกั ษณะ คอื ๑) เขตภเู ขาสูงตอนเหนือ (เทอื กเขาหมิ าลยั ) เป็นเขตเทอื กเขาสูง เป็นแนวยาวตะวนั ตก-ตะวนั ออก เรม่ิ ตน้ จากเขตแดนอฟั กานสิ ถานกนั้ ชายแดนดนิ แดนสหภาพจมั มแู ละแคชเมยี ร์ ของอนิ เดยี ทางตอนเหนอื จนถงึ ชายแดนจนี และเมยี นมาทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒) เขตลุม่ นำ�้ คงคา พรหมบตุ ร และลุม่ นำ�้ สนิ ธุลุม่ นำ�้ คงคาและพรหมบตุ รเป็นเขตลุม่ นำ�้ ขนาดใหญ่ ในแนวตะวนั ตก-ตะวนั ออกของประเทศ ตน้ นำ�้ เกดิ จากเทอื กเขาหมิ าลยั และแยกเป็นสาขาอกี หลายสาย เป็นพ้นื ท่ี อดุ มสมบูรณท์ ส่ี ุดของประเทศ ส่วนลมุ่ นำ�้ สนิ ธุ ตน้ นำ�้ อยู่ในทเิ บต ไหลในแนวจากเหนือไปตะวนั ตกเฉียงใตพ้ ้นื ท่ี ส่วนใหญ่อยู่ในเขตปากสี ถาน แต่มแี มน่ ำ�้ สาขา หลายสายอยู่ในเขตอนิ เดยี ๓) เขตพ้นื ทท่ี ะเลทราย (ทะเลทราย Thar) อยู่ทางตะวนั ตกเฉียงเหนือของประเทศ เขตรฐั ราชสถาน ต่อเน่ืองปากสี ถาน สภาพภมู ปิ ระเทศเป็นทร่ี าบตำ�่ สูงจากระดบั นำ�้ ทะเลประมาณ ๒๐๐ ม. แหง้ แลง้ มภี เู ขาหนิ ปูน กระจายทวั่ ไป ๔) เขตพ้นื ท่ีคาบสมทุ รตอนใตเ้ ป็นพ้นื ท่ีส่วนใหญ่ของประเทศ ซ่ึงย่ืนเขา้ ไปในมหาสมทุ รอินเดีย รายลอ้ มดว้ ยเทอื กเขาสลบั ซบั ซอ้ นหลายเทอื ก ตอนกลางพ้นื ทค่ี าบสมทุ รเป็นเขตทส่ี ูง เรยี กวา่ ทร่ี าบสูง Deccan 14 สงั คมชมพทู วปี , [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com /learning/detail/๓๔๗๕๗, [๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 120 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 121 (Deccan Plateau) มเี ทอื กเขา Ghats ขนาบอยู่ทงั้ ดา้ นตะวนั ออกและดา้ นตะวนั ตก ปลายเทอื กเขา ๒ เทอื กน้ี ไปบรรจบกนั ในทางตอนใตท้ เ่ี ทอื กเขานิลครี 1ี 5 ๒) ความเช่ือในเร่อื งศาสนา อนิ เดยี เป็นแหลง่ กำ� เนดิ ของศาสนาสำ� คญั คอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชน และซกิ ข์ นอกจากน้ียงั มศี าสนาอ่นื ๆ ทไ่ี ดแ้ พร่หลายเขา้ มาในอนิ เดยี ในลกั ษณะดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ ศาสนาอสิ ลาม และ ศาสนาคริสต์ ประชากรส่วนใหญ่ของอนิ เดยี นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท่มี ปี รชั ญาฮินดูม่งุ สอนมนุษย์ ใหย้ อมรบั นบั ถอื ความเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วของเทพวญิ ญาณ พระเวทเป็นคมั ภรี เ์ ก่าแก่ดงั้ เดมิ ทส่ี ุดในโลก ศาสนา พราหมณ์ - ฮนิ ดู เป็นตน้ กำ� เนิดของศาสนาอ่นื ๆ อกี สามศาสนาคือศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชนและศาสนาซกิ ข์ ศาสนาพทุ ธและศาสนาเชนเกิดร่วมสมยั เดยี วกนั ส่วนศาสนาซกิ ขเ์ กิดในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ศาสนาอสิ ลาม เขา้ มาสูอ่ นิ เดยี พรอ้ มกบั การรุกรานเขา้ มาทางดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ตกของอนิ เดยี ไดน้ ำ� วฒั นธรรมเปอรเ์ ซยี จนเป็นผลใหเ้กดิ ประดษิ ฐกรรมทางดา้ นสถาปตั ยกรรม จติ รกรรมและดนตรที ส่ี ำ� คญั มากมายสบื ต่อมา การนบั ถอื ศาสนาของชาวอนิ เดยี มจี ำ� นวนประชากรท่นี บั ถอื ศาสนาต่างเช่น ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ประมาณรอ้ ยละ ๗๙.๘ ศาสนาอสิ ลามประมาณรอ้ ยละ ๑๔.๒ ศาสนาครสิ ตร์ อ้ ยละ ๒.๓ ศาสนาซกิ ขร์ อ้ ยละ ๑.๗ ศาสนาพทุ ธรอ้ ยละ ๐.๗ และศาสนาเชนรอ้ ยละ ๐.๓๗16 อทิ ธพิ ลของศาสนากบั ความเช่อื เก่ยี วกบั ระบบวรรณะในคมั ภรี พ์ ระเวทมาตงั้ แต่สมยั โบราณ จดั ระบบไว้ ๔ วรรณะ คอื ๑. วรรณะพราหมณ์ ไดแ้ ก่ นกั บวช ๒. วรรณะกษตั รยิ ์ ไดแ้ ก่ นกั รบ ชนชน้ั ผูน้ ำ� และผูป้ กครอง ๓. วรรณะแพศย์ ไดแ้ ก่ พอ่ คา้ นกั ธุรกจิ ๔. วรรณะศูทร  ไดแ้ ก่  ผูใ้ ชแ้ รงงาน ชาวนา กรรมกร อย่างไรก็ตาม ความรูส้ กึ ดา้ นวรรณะยงั คงฝงั รากลกึ อยู่ในจิตใจ ซ่ึงสะทอ้ นออกมาในดา้ นความคิด วฒั นธรรมและการบริหาร17 เร่ืองของวรรณะเป็นปญั หาของสงั คมอินเดียท่ีมาตงั้ แต่สมยั พุทธกาล แมว้ ่า พระพุทธเจา้ จะทรงพยายามกำ� จดั ทำ� ลายดว้ ยวธิ ีการท่ีหลากหลายมกี ารบรรพชาอุปสมบทเป็นตน้ แต่ก็ยงั ไมส่ ามารถทำ� ลายกำ� แพงวรรณะน้หี ายไปไดเ้ลย18 หลวงวจิ ติ รวาทการ ไดก้ ลา่ ววา่ “ลทั ธศิ าสนาพราหมณจ์ ะเปลย่ี น 15 ขอ้ มลู พ้นื ฐานต่างประเทศ, สาธารณรฐั อนิ เดีย, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.nia.go.th/newsnow/ almanac-files/static/pdf/๒๕๖๔ [๒๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 16 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๓. 17 วฒั นธรรมอนิ เดีย (๑๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙) [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://pridenoname.wordpress.com/ [๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 18 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระพทุ ธศาสนาเถรวาท, (พระนครศรีอยุธยา: โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐), หนา้ ๕. 04. - 4 (111-151).indd 121 5/10/2022 12:57:11 PM

122 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา รูปไปอย่างไรก็ตามที เร่อื งวรรณะเป็นเร่อื งทเ่ี ปลย่ี นไมไ่ ด”้ 19 แมก้ าลเวลาจะเปลย่ี นผ่านมาแลว้ กวา่ ๒,๕๐๐ ปี แต่ความเช่อื เก่ยี วกบั ศาสนาของสงั คมอนิ เดยี ยงั มรี ูปแบบทเ่ี หน็ กนั อยู่ตราบจนทกุ วนั น้ี ๓) วฒั นธรรมประเพณีในอนิ เดีย อนิ เดยี เป็นประเทศหน่ึงทม่ี คี วามหลากหลายทางศาสนา วฒั นธรรม ภาษาและเช้อื ชาตมิ าก วฒั นธรรม ทเ่ี ก่ยี วกบั วถิ ชี วี ติ ของผูค้ นสงั คมในอนิ เดยี เป็นการสะทอ้ นอทิ ธพิ ลของศาสนาต่าง ๆ ซง่ึ มปี ระเพณีและเทศกาล ทส่ี ำ� คญั ดงั ต่อไปน้ี เทศกาลตวิ าลี เทศกาลดวิ าลจี ดั ข้นึ ในช่วงปีใหม่ตามปฏทิ นิ ฮนิ ดู คือเดอื นแห่งอศั วนิ นั ท์ หรือกฤษณปกั ษ์ (ช่วงปลาย เดอื นตลุ าคม – ตน้ เดอื นพฤศจกิ ายน) ถอื เป็นวนั ทส่ี ำ� คญั ทส่ี ุดของเทศกาล เป็นวนั แห่งการบูชาเจา้ แม่ลกั ษมี หรอื เจา้ แมก่ าลใี นบางพ้นื ทข่ี องอนิ เดยี เชอ่ื กนั วา่ ในวนั น้เี จา้ แมล่ กั ษมี ซง่ึ ชาวฮนิ ดูถอื วา่ เป็นเทพเจา้ แหง่ ความรำ�่ รวย จะโปรยพรใหม้ นุษยม์ แี ต่ความมงั่ คงั่ และอดุ มสมบูรณ์ เทศกาลสาดสี (holy) เทศกาลโฮลี นน้ั เป็นเทศกาลของชาวฮินดู ซ่ึงจดั เป็นประจำ� ทุกปี ปีละ ๒ วนั ในช่วงเดือนมนี าคม โดยเทศกาลน้ีเรียกอีกอย่างว่า “เทศกาลแห่งสีสนั ” โดยกิจกรรมในงานก็คือ ทุกคนจะสาดผสีใส่กนั อย่าง สนุกสนาน หรอื อาจจะสาดนำ�้ ใส่กนั โดยโบราณไดแ้ ฝงเอาธรรมชาตบิ ำ� บดั โรค เอามาซ่อนไวใ้ นความสนุกสนาน โดยใชผ้ งสจี ากพชื และพชื สมนุ ไพรธรรมชาตไิ มว่ า่ จะเป็นสแี ดง สเี หลอื ง สคี ราม สเี ขยี ว มาโปรยใส่กนั ทำ� นอง กายบำ� บดั เพอ่ื สรา้ งภมู ติ า้ นทานใหก้ บั ร่างกาย เทศกาลบูชาพระคเณศ คเณศจตรุ ถึ คอื เทศกาลแหง่ การบูชาพระพฆิ เนศ เป็นช่วงเวลาของการบูชาและขอพรในโอกาส วนั ประสูติ ของพระพฆิ เนศเช่ือว่าพระพฆิ เนศจะเสด็จลงมาสู่โลกมนุษยเ์ พอ่ื ประธานพรอนั ประเสริฐแก่ผูศ้ รทั ธาพระองค์ ในอนิ เดยี เทศกาลน้ีจะมพี ธิ บี ูชาเฉลมิ ฉลองเป็นจำ� นวนมาก เทศกาลมหากมุ ภะ เมลา เป็นเทศกาลการอาบนำ�้ ของชาวฮนิ ดู “มหากมุ ภะ เมลา” (Maha Kumbh Mela Festival) จะจดั ข้นึ ในช่วง เดอื นมกราคมต่อกบั กมุ ภาพนั ธเ์ ป็นพธิ อี าบนำ�้ ลา้ งบาปตามความเช่อื ของชาวฮนิ ดูทย่ี ง่ิ ใหญ่ทส่ี ุดในโลก นอกนนั้ สำ� หรบั ชาวอนิ เดยี ทวั่ ไป ถอื เป็นเทศกาลสำ� คญั ท่ญี าติพน่ี อ้ งและเพอ่ื นฝูงจะไดส้ วดมนตข์ อพรและเดนิ ทางไป แสวงบญุ ร่วมกนั โดยต่างเต็มใจเผชญิ ความยากลำ� บากไม่ว่าจะเป็นการเบยี ดเสยี ดกบั ฝูงชน เสยี งตะคอกของ ตำ� รวจนบั พนั นายคอยท่ดี ูแลความสงบเรียบรอ้ ยภายในพธิ ี รวมถงึ สภาพอากาศท่หี นาวจดั ในเดอื นมกราคม เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ป็นส่วนหน่ึงของพธิ ชี ำ� ระลา้ งบาปในแมน่ ำ�้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ 19 หลวงวจิ ติ รวาทการ, ศาสนาสากล, (กรุงเทพมหานคร : ลูก ส.ธรรมภกั ด,ี ๒๕๔๖), หนา้ ๒๖๘. 04. - 4 (111-151).indd 122 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 123 เทศกาลพทุ ธชยนั ต”ี หรอื “Buddha Jayanti” พทุ ธชยนั ตี หรอื สมั พทุ ธชยนั ตี (Sambuddha jayanthi) เป็น เทศกาลสำ� คญั ทางพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ทม่ี คี วามเก่ยี วเน่อื งกบั วนั วสิ าขบูชา คำ� วา่ พทุ ธชยนั ตี มาจากศพั ท์ พทุ ธ+ชยนั ตี (जयंती) ทแ่ี ปลวา่ วนั ครบรอบ (Anniversary) ในภาษาสนั สกฤต พทุ ธชยนั ตีจึงแปลว่า การครบรอบวนั เกิดของพระพทุ ธเจา้ พทุ ธชยนั ตี เป็นคำ� ทใ่ี ชท้ วั่ ไปในประเทศ ศรลี งั กา อนิ เดยี พมา่ และผูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาในประเทศอน่ื ๆ บางประเทศ โดยใชค้ ำ� น้ีในการจดั กจิ กรรมวสิ าขบูชา โดยวตั ถปุ ระสงคข์ องพทุ ธชยนั ตใี นประเทศต่าง ๆ มงุ่ การจดั กจิ กรรม เป็นวาระพเิ ศษตลอดทงั้ ปีนนั้ เช่น การจดั กิจกรรมพทุ ธบูชา การปฏบิ ตั ธิ รรม และการจดั กิจกรรมเพอ่ื สงั คม เพอ่ื เฉลมิ ฉลองในโอกาสครบรอบวนั ทเ่ี กดิ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ของพระพทุ ธเจา้ ในวนั วสิ าขบูชานนั่ เอง เทศกาลการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะของชาวพทุ ธใหม่ในอนิ เดีย เทศกาลการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะของชาวพทุ ธใหมใ่ นอนิ เดยี ของทา่ นอมั เบดการไ์ ดน้ ำ� ชาววรรณะศูทร ปฏญิ าณตนเป็นพทุ ธมามกะทเ่ี มอื งนาคปูร์ ในการปฏญิ าณตนเป็นชาวพทุ ธครง้ั แรกจำ� สวน ๕ แสนคน เมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๙ มพี ระภกิ ษุอยู่ในพธิ ี ร่วมเป็นสกั ขพี ยานดว้ ย ๓ รูป คือ ท่านพระสงั ฆรตั นเถระ (Ven. M. Sangharatana Thera) พระสทั ธราตสิ สะเถระ (Ven. S. Saddratissa Thera) และพระปญั ญา- นนั ทะเถระ (Ven. Pannanand Thera) ในพธิ ีมกี ารประดบั ธงธรรมจกั รและสายรุง้ อย่างงดงาม ในพธิ ีนน้ั ผูป้ ฏญิ าณตนไดก้ ลา่ วคำ� ปฏญิ าณตนเป็นพทุ ธมามกะ และคำ� ปฏญิ ญา ๒๒ ขอ้ จะมพี ธิ แี สดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ทกุ ๆ ปี ในเมอื งนาคปูร์ พธิ บี ูชาไฟหรอื พธิ อี ารตี พธิ บี ูชาไฟหรอื พธิ อี ารตี เป็นพธิ กี รรมเพอ่ื ขอพรจากพระผูเ้ป็นเจา้ เพอ่ื มอบความสุขและความโชคดใี หแ้ ก่ ผูท้ บ่ี ูชา เคร่อื งสงั เวยทใ่ี ชใ้ นการบูชาไฟ ประกอบดว้ ย นำ�้ นม เมลด็ ขา้ ว เนยแขง็ เหลา้ (กลนั่ จากตน้ ไม)้ ดอกไม้ และหญา้ คาทเ่ี ช่อื ว่าเป็นอาสนะทป่ี ระทบั ของพระศิวะบนเขาไกรลาส เมอ่ื เร่ิมทำ� พธิ ีกรรมพรามณ์ก็จะนำ� อาหาร เหลา่ น้ีใส่ลงไปในกองไฟ พรอ้ มสวดสรรเสรญิ พระเป็นเจา้ ๔.๓.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย พระพทุ ธศาสนาไดอ้ บุ ตั ขิ ้นึ ท่ามกลางสงั คมอนิ เดยี ทมี คี วามหลากหลายดา้ นความเชอ่ื ศาสนา ลทั ธติ ่าง ๆ ท่อี ุบตั ิข้นึ ก่อนพระพทุ ธศาสนา และท่เี กิดข้นึ ไล่เลย่ี กนั ตลอดจนลทั ธิท่เี กิดข้นึ มาภายหลงั อกี มากมาย แมว้ ่า พระพทุ ธศาสนาจะเกดิ ข้นึ มาในดนิ แดนชมพทู วปี หรอื อนิ เดยี เหมอื นกบั ลทั ธศิ าสนาต่าง ๆ เหลา่ นนั้ แต่พทุ ธศาสนา มลี กั ษณะพเิ ศษทแ่ี ตกต่างจากลทั ธศิ าสนาต่าง ๆ ไดแ้ ก่การอบุ ตั ขิ ้นึ มาพรอ้ มกบั การปฏริ ูปสงั คมอนิ เดยี เสยี ใหม่ คอื พทุ ธศาสนาไดเ้สนอหลกั ทฤษฎใี หม่ ซง่ึ หกั ลา้ งกบั ความเช่อื ดง้ั เดมิ ของชาวอนิ เดยี ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ หลกั การทแ่ี ตกต่างจากศาสนาพราหมณโ์ ดยส้นิ เชงิ 04. - 4 (111-151).indd 123 5/10/2022 12:57:11 PM

124 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เมอ่ื ภายหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน พระพทุ ธศาสนาไดม้ คี วามเจรญิ รุ่งเรอื งไปในแควน้ ต่าง ๆ ไดม้ นี ิกายต่าง ๆ เกิดข้นึ ทงั้ นิกายดงั้ เดิมและนิกายใหม่ ทำ� ใหพ้ ทุ ธศาสนาแพร่หลายไปพรอ้ มกบั ความเส่อื มท่ตี ามมากบั ความ แพร่หลายนนั่ เอง ดว้ ยเหตุผลหลายประการท่ที ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเส่อื มจากอนิ เดยี จะไดก้ ล่าวไวต้ อนหลงั ซง่ึ นบั วา่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้จรญิ ร่งุ เรอื งมาตงั้ แต่ครงั้ พทุ ธกาล จนถงึ ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ ตงั้ แต่บดั นน้ั มา พระพทุ ธศาสนาก็ไดเ้ ส่อื มจากอนิ เดยี โดยถูกครอบงำ� จากอทิ ธิพลของศาสนาฮินดู ระยะกาลอนั ยาวนานของ พทุ ธศาสนาทม่ี ตี ่อวถิ ชี วี ติ คนอนิ เดยี กวา่ ๑ พนั ปี จะเหน็ วา่ พทุ ธศาสนามบี ทบาทต่อสงั คมอนิ เดยี ในสมยั ต่าง ๆ ดงั น้ี เมอ่ื พทุ ธศตวรรษท่ี ๒ ในรชั สมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช ทรงศรทั ธาเลอ่ื มใสในพทุ ธศาสนาเถรวาทมาก ทรงทำ� นุบำ� รุงพระพทุ ธศาสนาและปกครองบา้ นเมอื งใหส้ งบร่มเยน็ ประชาชนอยู่กนั อย่างสงบสุข บทบาทสำ� คญั ของพระเจา้ อโศกมหาราชทม่ี ตี ่อพระพทุ ธศาสนาคอื ทรงอปุ ถมั ภก์ ารสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครงั้ ท่ี ๓ ขจดั ภยั รา้ ย ของพระพทุ ธศาสนาดว้ ยการขจดั พวกเดยี รถยี ป์ ลอมบวช และส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พทุ ธศาสนา ในดนิ แดน ประเทศต่าง ๆ รวมถงึ ๙ สายดว้ ยกนั เมอ่ื ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๙ - ๑๑ ราชวงศค์ ปุ ตะทางอนิ เดยี ตอนเหนือเจรญิ รุ่งเรอื ง ในสมยั ราชวงศน์ ้ี ไดช้ อ่ื วา่ เป็นยุคทองทางศาสนา วรรณคดี ศิลปกรรม และปรชั ญา แมว้ า่ พระเจา้ แผ่นดนิ ในราชวงศน์ ้ีจะเป็นฮนิ ดู ส่วนมาก แต่ก็ทรงอปุ ถมั ภค์ ุม้ ครองพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฝ่ายมหายาน จนเจรญิ รุ่งเรอื งไปสู่ ประเทศใกลเ้คยี ง กษตั รยิ ท์ ม่ี บี ทบาทสำ� คญั ไดแ้ ก่ พระเจา้ จนั ทรคุปต์ พระเจา้ สมทุ รคุปต์ พระเจา้ วษิ ณุคุปต์ และพระเจา้ สกนั ธคปุ ต์ ในยุคน้ี พระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานไดร้ จนาคมั ภรี ข์ ้นึ มากมาย ดา้ นศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนามคี วาม เจรญิ รุ่งเรอื งอย่างมาก เช่น ศาสนสถาน และศาสนวตั ถุ ไดส้ รา้ งข้นึ อย่างงดงาม พระพทุ ธรูปศิลปะสมยั คปุ ตะ มหี ลายขนาด หลายปาง แมพ้ ระพทุ ธรูปสมยั ทวาราวดกี ไ็ ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากศิลปะสมยั คุปตะ ส่วนดา้ นปรชั ญา ไดม้ นี กั ปรชั ญาทางพทุ ธศาสนาหลายท่าน เช่นท่านนาคารชนุ ท่านอสงั คะ และท่านวสุพนั ธ์ ท่านเหลา่ น้ีประกาศ ในดา้ นการศึกษาพระพทุ ธศาสนา ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ การศึกษาทางพทุ ธศาสนาไดก้ า้ วหนา้ ไปมาก ถงึ กบั ขยายการจดั การศึกษาไปเป็นรูปแบบมหาวทิ ยาลยั จงึ ไดเ้กดิ มหาวทิ ยาลยั แห่งแรกในโลกข้นึ คือมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา และมหาวทิ ยาลยั อน่ื ๆ ขยายตามมาอกี คอื มหาวทิ ยาลยั วลั ภี มหาวทิ ยาลยั วกิ รมศิลา มหาวทิ ยาลยั โสมบรุ ี และมหาวทิ ยาลยั ชคทั ทละ มหาวทิ ยาลยั เหลา่ น้ีไดก้ ระจายอยู่ในอนิ เดยี ตอนเหนอื มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา ไดม้ คี ณาจารยส์ งั่ สอนธรรมมถี งึ ๑,๕๐๐ ท่าน นกั ศึกษาจำ� นวนนบั หมน่ื มที ง้ั ชาวอนิ เดยี และชาวต่างชาติ เช่น จนี ธเิ บต อนิ โดนเี ซยี เตอรกี ทง้ั บรรพชติ และคฤหสั ถ์ ทง้ั ฝ่ายมหายานและเถรวาท และศาสนาอน่ื ๆ การศึกษา พระพทุ ธศาสนาจงึ เป็นไปอย่างกวา้ งขวาง 04. - 4 (111-151).indd 124 5/10/2022 12:57:11 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 125 พ.ศ. ๑๑๐๐ พระเจา้ หรรษวรรธนะ (พระเจา้ ศีลาทติ ย)์ ราชวงศว์ รรธนะ แหง่ วรรณะแพศย์ ไดก้ ำ� จดั อำ� นาจ ราชวงศค์ ุปตะแห่งวรรณะพราหมณ์ลงได้ และข้นึ ครองราชเป็นมหาราชท่ยี ่งิ ใหญ่ ทรงเลอ่ื มใสในพทุ ธศาสนา มหายาน ไดท้ ำ� นุบำ� รุงพระพทุ ธศาสนาและอปุ ถมั ภบ์ ำ� รุงมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทาดว้ ย จนทำ� ใหช้ าวฮนิ ดูขดั เคอื งวา่ บำ� รุงพทุ ธศาสนามากกว่าฮนิ ดู จงึ วางแผนปลงพระชนมพ์ ระเจา้ หรรษะจนสำ� เร็จ ในยุคน้ีไดม้ พี ระภกิ ษุชาวจนี ท่านหน่ึงช่อื หลวงจนี เห้ยี นจงั หรอื ยวนฉาง (พระถงั ซมั จงั๋ ) ไดจ้ ารกิ สู่ชมพทู วปี นอกจากท่านมาศึกษาพระพทุ ธ- ศาสนาและแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจนี เพอ่ื นำ� ไปยงั ประเทศจนี แลว้ ท่านยงั ไดเ้ขยี นจดหมายเหตไุ วเ้พอ่ื บนั ทกึ เร่ืองราวและสภาพของสงั คมดา้ นพุทธศาสนาไวม้ ากมาย ซ่ึงเป็นประโยชนต์ ่อการศึกษาพระพุทธศาสนาใน ภายหลงั หลงั จากพระเจา้ ศีลาทติ ยส์ วรรคตแลว้ อนิ เดยี ไดเ้ขา้ สู่ความระสำ�่ ระสายเป็นเวลาประมาณ ๑ ศตวรรษ พระพทุ ธศาสนาไดเ้สอ่ื มถอยจากอนิ เดยี ตามลำ� ดบั นบั ตงั้ แต่หลงั ราชวงศว์ รรธนะ การฟ้ืนตวั ของพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ในปจั จบุ นั กลมุ่ ชาวพทุ ธในอนิ เดยี ไดแ้ ก่ ชาวพทุ ธทเิ บตทล่ี ้ภี ยั การเมอื งอยู่ธรรมศาลาในประเทศอนิ เดยี นำ� โดยท่านดาไลลามะองคท์ ่ี ๑๔ กลมุ่ ชาวพทุ ธทเ่ี มอื งจติ กอง ประเทศ บงั คลาเทศ และกลุม่ ของ ดร.เอมเบดการ์ ผูส้ ามารถดงึ คนเขา้ สู่พทุ ธศาสนาหลายลา้ นคน โดยเฉพาะกลุม่ ชน ชนั้ ลา่ งสุดของชาวอนิ เดยี หนั กลบั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา นอกจากน้ชี าวพทุ ธทวั่ โลกทงั้ สายเถรวาทและมหายาน ใหค้ วามสนใจกอบกูแ้ ละเฝ้าดูแลรกั ษาสถานทส่ี ำ� คญั ๆ ทางดา้ นพระพทุ ธศาสนา รวมทง้ั การสรา้ งวดั เพอ่ื ฟ้ืนฟู พทุ ธศาสนาในอนิ เดยี สภาพการณป์ จั จบุ นั พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี เร่มิ ทจ่ี ะเจรญิ รุ่งเรอื ง20 ๔.๓.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดีย การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี นน้ั ในยุคแรกไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพระสงฆศ์ รลี งั กาโดยการนำ� ของท่านอนาคารกิ ธมั มปาละและพระภกิ ษุกลมุ่ หน่ึงไดม้ าสรา้ งวดั ศรลี งั กาทพ่ี ทุ ธยา บรเิ วณใกลๆ้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้และต่อมาไดก้ ่อตง้ั สมาคมมหาโพธ์ิ เป้าหมายเพอ่ื ฟ้ืนฟพู ระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี เพอ่ื ใหค้ นอนิ เดยี ไดศ้ ึกษาคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาและนำ� มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ จนทำ� ใหม้ ผี ูท้ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนามเี พม่ิ ข้นึ จำ� นวน มากเพ่มิ อีกทงั้ ผูท้ ่เี ขา้ มาบวชเป็นสามเณรและพระสงฆก์ ็เพ่มิ จำ� นวนเพ่มิ ข้นึ คณะสงฆใ์ นขณะนน้ั ไดร้ บั การ สนบั สนุนจากสมาคมมหาโพธ์ทิ ม่ี พี ระสงฆช์ าว ศรลี งั กาเป็นผูใ้ หก้ ารสนบั สนุนและค่อยอปุ ถมั ภบ์ ทบาทและกจิ กรรม ต่าง ๆ ของคณะสงฆใ์ นอนิ เดยี ในระยะเวลาต่อมา ดร.อมั เบดการ์ ซง่ึ เป็นชาวฮนิ ดูหนั กลบั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ไดน้ ำ� ชาวอนิ เดยี วรรณะศูทร จำ� นวนมากกว่า ๕ แสนคน มาปฏญิ าณแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะทเ่ี มอื งนาคปูร์ โดยมตี วั แทนคณะสงฆจ์ ำ� นวน ๓ รูป ไดแ้ ก่ พระสงั ฆรตั นเถระ พระสทั ธราตสิ สะ และพระปญั ญานนั ทเถระ ทำ� ให้ จำ� นวนผูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาเพม่ิ มากข้นึ ทวั่ ประเทศอนิ เดยี หลงั จากทท่ี า่ นดร.อมั เบดการ์ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา 20 การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สูอ่ นิ เดีย, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : http://www.dhammathai.org/thailand/ missionary/india.php [๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 125 5/10/2022 12:57:12 PM

126 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ไดไ้ มน่ าน ทา่ นกไ็ ดอ้ ปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุ จงึ ทำ� ใหช้ าวอนิ เดยี วรรณศูทรหนั มาบรรพชาและอปุ สมบทเพม่ิ จำ� นวน มากข้นึ หลงั จากนนั้ กม็ พี ระสงฆฝ์ ่ายเถรวาทจากศรลี งั กา พมา่ ลาว กมั พชู า เขา้ ไปช่วยเผยแผ่และใหค้ ำ� แนะนำ� แก่องคก์ รคณะสงฆอ์ นิ เดยี ในการฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนา และต่อมา พระสุเมธาธบิ ดี หวั หนา้ พระธรรมทูตไทย สายอนิ เดยี ไดน้ มิ นตค์ ณะสงฆอ์ นิ เดยี มาประชมุ กนั ทว่ี ดั ไทยพทุ ธคยา เพอ่ื หาแนวทางในการฟ้ืนฟูและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ตลอดจนถงึ แนวทางการจดั ตงั้ องคก์ ร ปกครองคณะสงฆ์ โดยท่ปี ระชุมมมี ติให้ พระเถระ ดร.เจ กสั สปะ เป็นสงั ฆนายกคนแรกและตงั้ ช่ือองคก์ ร คณะสงฆอ์ นิ เดยี โดยมชี ่อื ภาษาองั กฤษวา่ (All India Bhikkhu Sangh) ทำ� ใหพ้ ระสงฆใ์ นอนิ เดยี มคี วามเป็น ปึกแผ่นเพม่ิ มากข้นึ ต่อมา ศาสตราจารย์ ดร.พระสตั ยปาลเถระ หวั หนา้ ภาควชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั เดลี ท่านไดจ้ ดั ทำ� ทำ� เนียบคณะสงฆใ์ นประเทศอนิ เดยี ทงั้ หมด และนิมนตพ์ ระเถระในอนิ เดยี มาประชมุ กนั ทกุ ปี โดยมกี ารผดั เปลย่ี นสถานท่ปี ระชุมทวั่ ประเทศอินเดีย เพ่อื ใหพ้ ระสงฆอ์ ินเดียร่วมมบี ทบาทในการปกครอง คณะสงฆ์ ดา้ นการศึกษา ดา้ นสาธารณะสงเคราะห์ ดา้ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ดำ� เนินรอยตาม สมาคมมหาโพธ์ิ โดยมกี ิจกรรมต่างๆร่วมกนั เช่น กิจกรรมวนั วสิ าขบูชาอกิจกรรมบวชสามเณรภาคฤดูรอ้ น กจิ กรรมปาฐกถาธรรม ตพี มิ พว์ ารสารของคณะสงฆอ์ นิ เดยี เป็นตน้ ทำ� ใหอ้ งคก์ รคณะสงฆม์ บี ทบาทเพม่ิ มากข้นึ ส่วนบทบาทของพระสงฆฝ์ ่ายมหายานทม่ี สี ่วนช่วยในการฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี นำ� โดย องคด์ าไล ลามะ ผูน้ ำ� จติ วญิ ญาณของชาวธิเบต ทพ่ี ำ� นกั อยู่ทธ่ี รรมศาลา ในรฐั หมิ าจลั ประเทศ พรอ้ มกบั ชาว ธิเบตจำ� นวนหน่ึง มสี ่วนสนบั สนุนและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาร่วมกบั สมาคมมหาโพธ์ิ ในดา้ นการศึกษาและ ดา้ นกจิ กรรมต่าง ๆ ของชาวพทุ ธในอนิ เดยี จนทำ� ใหม้ ผี ูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานในอนิ เดยี เพม่ิ มากข้นึ ชาวอนิ เดยี และชาวต่างประเทศเป็นจำ� นวนมาก ๔.๓.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย ๑) อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดีย พระพทุ ธศาสนามคี วามสำ� คญั มากในประเทศอนิ เดยี ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื พระพทุ ธศาสนาเป็นบอ่ เกดิ อารยธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎเกณฑ์ กฎหมาย ค่านิยม วถิ ชี วี ติ ของชาวอนิ เดยี ทง้ั ในดา้ นสงั คม ศาสนา ความเชอ่ื การศกึ ษา วรรณกรรม วรรณคดี ศลิ ปกรรม สถาปตั ยกรรม การเมอื งการปกครอง และเศรษฐกจิ วดั เป็นศูนยก์ ลาง การศกึ ษา ศูนยก์ ลางสงั คม และวฒั นธรรม พระสงฆม์ บี ทบาทต่อชนทกุ ชน้ั นบั ตงั้ แต่ผูป้ กครอง คอื พระมหากษตั รยิ ์ ลงมาถงึ ชนชน้ั ลา่ งคอื สามญั ชน โดยเฉพาะชนชนั้ ผูป้ กครองจะตอ้ งไมท่ ำ� การใด ๆ อนั มผี ลกระทบกระเทอื นถงึ สถาบนั สงฆ์ เพราะไม่เช่นนน้ั จะเป็นผลรา้ ยต่อการปกครองและมผี ลกระทบต่อความมนั่ คงของตำ� แหน่งหนา้ ท่ี ราชการ และของราชบลั ลงั กด์ ว้ ย ร่องรอยแห่งอารยธรรมท่ีรุ่งเรืองดว้ ยอิทธิพลจากพุทธศาสนาท่ีมตี ่อประเทศอินเดียนน้ั ไม่สามารถ เลอื นหายไปจากประวตั ศิ าสตรข์ องโลกได้ ตง้ั แต่อดตี จวบจนปจั จบุ นั เมอ่ื กลา่ วถงึ ลทั ธิ ประเพณี อารยธรรม วถิ ชี ีวติ ของชาวพทุ ธ ก็ย่อมมองเห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองเหล่าน้ี ท่มี พี ระพทุ ธศาสนาเป็นรากฐาน 04. - 4 (111-151).indd 126 5/10/2022 12:57:12 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 127 มคี วามสำ� คญั ย่งิ เป็นระยะเวลา ๒,๐๐๐ กว่าปี พระพทุ ธศาสนามอี ทิ ธิพลต่อประเทศอนิ เดยี ประมวลเป็นดา้ น ใหญ่ ๆ ดงั น้ี ดา้ นสงั คม ๑. ความเช่ือเร่ืองระบบวรรณะไดถ้ ูกปฏเิ สธ และเสนอหลกั การท่หี กั ลา้ งระบบวรรณะโดยส้นิ เชิง พทุ ธศาสนายกเลกิ ระบบวรรณะในหมู่สงฆแ์ ละพทุ ธศาสนิกชนทวั่ ไป ทำ� ใหแ้ นวคิดน้ีแพร่หลายไปในบุคคล กลมุ่ ต่าง ๆ จนถงึ มกี ารจารกึ ลงในรฐั ธรรมนูญแห่งอนิ เดยี ไว้ โดยใหย้ กเลกิ ระบบวรรณะในอนิ เดยี แนวคดิ เร่อื ง ความเสมอภาพของมนุษย์ ทเ่ี ชอ่ื วา่ มนุษยม์ คี ณุ ค่าหรอื ไรค้ ่าอยู่ทก่ี ารกระทำ� มใิ ช่มาจากชาตติ ระกูล ๒. ดา้ นการศึกษา ไดม้ กี ารจดั การศึกษาข้นึ ในวดั เช่นมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา ซง่ึ เป็นการใหก้ ารศึกษา แก่กุลบตุ ร กุลธิดา ทงั้ บรรพชติ และคฤหสั ถท์ วั่ ไป ไม่จำ� กดั ศาสนา เช้อื ชาตใิ ด ๆ เป็นการจดั การศึกษาแบบ ใหเ้ปลา่ จากการบนั ทกึ ของพระภกิ ษุเห้ยี นจงั วา่ เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. ๑๐๐๐ การศกึ ษามคี วามเจรญิ มาก มนี กั ศกึ ษา จำ� นวนนบั หมน่ื ท่าน ๓. ดา้ นศิลปกรรม ไดม้ กี ารสรา้ งวดั วาอารามและพระพทุ ธรูปมากมาย ลว้ นเป็นศิลปะยุคราชวงศ์ คปุ ตะ ทจ่ี ดั วา่ เป็นยุคทเ่ี กดิ ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนามากมาย ๔. ดา้ นวฒั นธรรม อนิ เดยี เป็นเมอื งทม่ี วี ฒั นธรรมอารยธรรมเก่าแก่ พทุ ธศาสนามอี ทิ ธพิ ลต่ออนิ เดยี ทง้ั ทเ่ี ป็นวฒั นธรรมทางวตั ถแุ ละทางจติ ใจ ไดม้ สี ถาปตั ยกรรม และปตมิ ากรรมทางพทุ ธศาสนาเกดิ ข้นึ มากมาย ลว้ นมคี ุณค่าทางประวตั ิศาสตร์ เช่นสงั เวชนียสถานอนั เป็นสถานท่สี ำ� คญั ท่ชี าวพทุ ธทวั่ โลกไปกราบนมสั การ ส่วนวฒั นธรรมทางจติ ใจนน้ั มอี ทิ ธพิ ลต่อชาวอนิ เดยี อยู่ไมน่ อ้ ย เช่นความเชอ่ื เร่อื งอหงิ สา เป็นตน้ ๕. ดา้ นสาธารณูปการและสงั คมสงเคราะห์ คำ� สอนทางพทุ ธศาสนาไดส้ อนถงึ หลกั การสงเคราะห์ ช่วยเหลอื กนั และกนั ตามสงั คหวตั ถุ ๔ พระเจา้ อโศกมหาราชทรงเป็นพระมหากษตั รยิ ท์ เ่ี ป็นนกั สงั คมสงเคราะห์ หลงั จากทพ่ี ระองคห์ นั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาทรงทำ� การปฏวิ ตั กิ ารปกครองบา้ นเมอื ง และจดั สาธารณูปโภค ใหแ้ ก่ประชาชนอย่างทวั่ ถงึ เช่นขดุ บอ่ นำ�้ สระนำ�้ สรา้ งถนน คูคลอง สรา้ งโรงพยาบาลคนและโรงพยาบาลสตั ว์ ปลูกสมนุ ไพร เพอ่ื ความผาสุกแก่ประชาชน ในครง้ั พทุ ธกาลก็ไดม้ อี บุ าสกอบุ าสกิ าผูเ้ลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ไดส้ งเคราะหป์ ระชาชนคนยากไรอ้ ยู่หลายท่าน เช่นเศรษฐอี นาถบณิ ฑกิ ะ หรอื สุทตั ตเศรษฐี เป็นตน้ 21 ๒) แนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดียในอนาคต พระพทุ ธศาสนามโี อกาสทจ่ี ะเจรญิ รุ่งเรอื งและเพม่ิ จำ� นวนพทุ ธศาสนิกชนมากยง่ิ ข้นึ เร่มิ ตงั้ แต่การก่อตง้ั สมาคมมหาโพธ์ิ นำ� ดว้ ยท่านอานาคารกิ ะธมั มปาละและคณะสงฆส์ งฆช์ าวศรลี งั กาไดเ้ดนิ ทางมาเผยแผ่และฟ้ืนฟู พระพทุ ธศาสนาสู่ประเทศอนิ เดยี ทำ� ใหผ้ ูค้ นทน่ี บั ถอื ศาสนาฮนิ ดูและศาสนาอน่ื หนั มาใหค้ วามสนใจย่อมรบั ใน หลกั คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ เช่น ดร.เอม็ เบด็ กา้ ร์ (Ambedkar) เป็นตน้ เป็นผูน้ ำ� 21 เทพประวณิ จนั ทรแ์ รง, พระพทุ ธศาสนาเถรวาท, (เชยี งใหม่ : โรงพมิ พพ์ งษส์ วสั ดกิ ารพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๙๕. 04. - 4 (111-151).indd 127 5/10/2022 12:57:12 PM

128 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ชาวพทุ ธใหม่ทท่ี ำ� ใหผ้ ูค้ นในประเทศอนิ เดยี หนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะเพม่ิ จำ� นวน ประชากรทเ่ี ป็นชาวพทุ ธมากข้นึ ทกุ ปี อกี ประการหน่ึงคณะสงฆใ์ นประเทศอนิ เดยี ยงั ไดร้ บั การสนบั สนุนกจิ กรรม ต่าง ๆ ทางพระพทุ ธศาสนาจากพระสงฆแ์ ละรฐั บาลต่างประเทศ เช่น ประเทศพม่า ศรีลงั กา ญ่ปี ่นุ และไทย รวมถงึ ชาวพทุ ธต่างประเทศทวั่ โลก ดา้ นการศึกษามหาวทิ ยาลยั และแหลง่ การศึกษาต่าง ๆ ในประเทศอนิ เดยี ยงั เพม่ิ หลกั สูตรและสาขาวชิ า ท่เี ก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนาทงั้ เถรวาทและมหายาน จงึ ทำ� ใหช้ าวพทุ ธต่างประเทศเขา้ ไปศึกษาพระพทุ ธศาสนา เป็นจำ� นวนมาก เช่น มหาวทิ ยาลยั เดลี มหาวทิ ยาลยั พาราณสี เป็นตน้ ดา้ นการท่องเท่ยี วเชิงประวตั ิศาสตร์ ยงั มแี หล่งสงั เวชนียสถานและโบราณสถานเป็นท่แี สวงบุญของ ชาวพทุ ธนานาชาติ เพอ่ื เขา้ ไปสกั การะบชู าสถานทส่ี ำ� คญั ทางพระพทุ ธศาสนา และสรา้ งมติ รภาพสมั พนั ธภาพระหวา่ ง ชาวพทุ ธในอนิ เดยี กบั ชาวพทุ ธต่างประเทศ แนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี ในอนาคตจะเจริญรุ่งเรืองเพม่ิ ข้นึ ทุกดา้ น และเป็นไปไดว้ ่า จะกลบั มาเจรญิ รุ่งเร่อื งเฉกเช่นในอดตี อกี ครงั้ ๔.๔ พระพทุ ธศาสนาในประเทศราชอาณาจกั รภฏู าน พระพทุ ธศาสนาเขา้ สูป่ ระเทศภฏู านประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๗ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนามหายาน แบบทเิ บตซง่ึ มคี วามเช่อื ในหลกั การทเ่ี ก่ียวกบั พระโพธิสตั ว์ ทำ� ใหบ้ ทบาทของพระสงฆไ์ ดร้ บั การทำ� นุบำ� รุงจาก พระมหากษตั รยิ ใ์ นดา้ นต่าง ๆ พระสงฆล์ ามะในประเทศภฏู าน มบี ทบาทสำ� คญั ในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา และยงั ไดร้ บั การแต่งตงั้ ใหเ้ป็นผูช้ ่วยในการบรหิ ารแผ่นดนิ เช่น เป็นทป่ี รกึ ษาแก่พระมหากษตั รยิ ใ์ นการปกครอง ประเทศ เป็นตน้ สว่ นพระสงฆล์ ามะทเ่ี ป็นพระอาวโุ สยงั ไดร้ บั แต่งตงั้ อกี สถานภาพหน่งึ คอื เป็นผูป้ กครองฝ่ายสงฆ์ ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาประเทศภฏู านมคี วามสำ� คญั ทง้ั ทางดา้ นจติ วญิ ญาณของคนในชาตแิ ลว้ ยงั เป็น ผูท้ ถ่ี า่ ยทอดความรูเ้ก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนาใหค้ นภฏู านนสบื ต่อมาจนถงึ ปจั จบุ นั ๔.๔.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของภฏู าน ๑) ภมู ิประเทศของประเทศของภฏู าน ประเทศภฏู าน ตงั้ อยู่ในภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ อยู่ระหวา่ งจนี และอนิ เดยี บรเิ วณเสน้ ละตจิ ูดท่ี ๒๗ องศา ๓๐ ลปิ ดาเหนอื เสน้ ลองจจิ ูดท่ี ๙๐ องศา ๓๐ ลปิ ดาตะวนั ออก มเี น้ือท่ี ๓๘,๓๙๔ ตร.กม. อาณาเขตความยาวของ เสน้ พรมแดนทง้ั หมด ๑,๑๓๖ กม ทศิ เหนอื ตดิ กบั จนี แนวชายแดนยาว (๔๗๗ กม.) ทศิ ตะวนั ออก ทศิ ตะวนั ตก และทศิ ใต้ ตดิ กบั อนิ เดยี แนวพรมแดนยาว (๖๕๙ กม.) ภมู ปิ ระเทศภฏู านไมม่ ที างออกสูท่ ะเล เป็นภเู ขาสูงสลบั ซบั ซอ้ น มที ร่ี าบและทงุ่ หญา้ ระหวา่ งหบุ เขา มแี มน่ ำ�้ หลายสายทไ่ี หลลงมาจากยอดเขาหมิ าลยั ตดั ผา่ นประเทศจากเหนอื ลงใต้นาํ ความอดุ มสมบูรณม์ าสูภ่ าคกลางและ ภาคใต้ จงึ ส่งผลใหช้ าวภฏู านส่วนใหญ่อาศยั อยู่บรเิ วณหบุ เขาตอนกลางของประเทศ (ระดบั ความสูง ๑,๑๐๐- 04. - 4 (111-151).indd 128 5/10/2022 12:57:12 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 129 ๒,๖๐๐ ม.) และบรเิ วณตอนใต้ (ระดบั ความสูง ๓๐๐-๑,๖๐๐ ม.) โดยมเี ทอื กเขาสูงชนั จากเหนอื ไปใต้ ทล่ี ดหลนั่ ลงมาจากเทอื กเขาหมิ าลยั เป็นกาํ แพงกนั้ ระหวา่ งหบุ เขาตอนกลางต่างๆ ทต่ี ดั ขาดชมุ ชนออกจากกนั ท้งิ ใหห้ มบู่ า้ น ส่วนใหญ่อยู่อย่างโดดเดย่ี วและการไปมาหาสู่ระหวา่ งกนั ค่อนขา้ งลาํ บาก ภมู ปิ ระเทศของภฏู าน สามารถแบง่ ได้ เป็น ๓ ลกั ษณะ คอื เทอื กเขาสูงตอนเหนือทเ่ี ป็นส่วนหน่ึงของเทอื กเขาหมิ าลยั ทล่ี าดเชงิ เขาในตอนกลางของ ประเทศ และทร่ี าบทางตอนใตข้ องประเทศมแี มน่ ำ�้ พรหมบตุ รไหลผ่าน22 ๒) ความเช่ือในเร่อื งศาสนา ศาสนาประจำ� ชาตภิ ฏู านเป็นศาสนาพทุ ธนิกายมหายาน นบั ถอื พระพทุ ธเจา้ ในภาคของ พระศากยมนุ ีและ พระโพธสิ ตั ว์ ศาสนาพทุ ธของชาวภฏู าน เรยี กวา่ Drukpa Kagyu หรอื Kagyupa เป็นศาสนาทม่ี ลี ามะเช่นเดยี ว กบั ทเิ บต ชาวภฏู านนบั ถอื ศาสนาพทุ ธรอ้ ยละ ๗๕ (ส่วนใหญ่เป็นชนเช้อื ชาติ Sharchops และ Ngalops) และ นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดูรอ้ ยละ ๒๕ (ส่วนใหญ่เป็นชนเช้อื ชาติ Lhotshams) ศาสนาพทุ ธทช่ี าวภฏู านนบั ถอื เป็นลทั ธลิ ามะแบบทเิ บต ซง่ึ เชอ่ื เร่อื งการกลบั ชาตมิ าเกดิ ชาวภฏู านมคี วาม ยดึ มนั่ ในศาสนาอย่างแน่นแฟ้นกบั ทงั้ ใหค้ วามเคารพนบั ถอื พระ ทม่ี บี ทบาทและอทิ ธพิ ลมากในชวี ติ ความเป็นอยู่ ของชาวภฏู าน จะตอ้ งบวชลูกชายทอ่ี ายุครบ ๑๐ ขวบทกุ คน เพอ่ื จะไดเ้รยี นรูค้ ำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา บางคน ทม่ี ศี รทั ธาแก่กลา้ กต็ ดั สนิ ใจบวชเป็นพระไปตลอดชวี ติ นอกจากนน้ั พระของชาวภฏู านยงั มอี ทิ ธพิ ลและเก่ยี วขอ้ ง กบั การเมอื งการปกครองมาตงั้ แต่ในอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ดา้ นการบรหิ ารประเทศคณะรฐั มนตรขี องภฏู านนนั้ กำ� หนด ใหม้ พี ระลามะมตี ำ� แหน่งอยู่ในคณะรฐั มนตรถี งึ ๑๐ ทน่ี งั่ ดงั นน้ั นโยบายการบรหิ ารประเทศของภฏู านจงึ เนน้ ไปท่ี ศาสนาและศีลธรรมของประชาชนเป็นหลกั ประมขุ ของศาสนาพทุ ธในประเทศภฏู านคอื พระสงั ฆราช เรยี กวา่ เจเคนโป พระพทุ ธรูปสำ� คญั ทป่ี ระชาชน ชาวภูฏานเคารพนบั ถอื คือ พระศากยมนุ ี (Sakyamuni) นอกจากน้ี ยงั มพี ระโพธิสตั วป์ ทั มสมั ภวะ หรือกูรู รนิ โปเช (Padmasambhava หรอื Guru Rinpoche) พระอรยิ เมตไตรย หรอื พระจมั ปา (Maitreya หรอื Jampa) พระโพธิสตั วม์ ญั ชศุ รี (Manjushri) พระอวโลกิเตศวร (Avalokiteshvara) และพระวชั รปาณี (Vajrapani หรอื Channa Dorji) สำ� หรบั พระลามะนนั้ ชาวภฏู านใหค้ วามเคารพบูชาอย่างสูงในท่านลามะ ซบั ดรุง รนิ โปเช (Shabdrung Rinpoche, ค.ศ.๑๕๙๔-๑๖๕๑) ในฐานะพระนกั บญุ คนสำ� คญั ผูเ้ป็นตน้ กำ� เนดิ ประเพณีการเตน้ รำ� สวมหนา้ กาก (เซซู) ประเพณีศกั ด์สิ ทิ ธ์ขิ องศาสนาพทุ ธในภฏู าน (คำ� วา่ รนิ โปเช หมายถงึ ลามะทก่ี ลบั ชาตมิ า เกดิ ใหม)่ นอกจากน้ยี งั เชอ่ื ในสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ศาสนา เช่น มงคล ๘ ประการ ทถ่ี อื เป็นปรศิ นาธรรม ทท่ี ำ� ใหอ้ ยู่เยน็ เป็นสุข คอื (๑) กลดสุวรรณ ใชก้ น้ั เกศ ปกป้องความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ เฉกธรรมะทป่ี กป้องจติ 22 ราชอาณาจกั รภฎู าน, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.nia.go.th/newsnow/almanac-files/pdf ขอ้ มลู ต่างประเทศ ๒๕๖๓ [๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 129 5/10/2022 12:57:12 PM

130 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา วญิ ญาณ (๒) ปลาทอง ปลาจะลมื ตาเมอ่ื อยู่ในนำ�้ เพอ่ื มองเหน็ อปุ สรรค ปญั หาและเป้าหมายต่าง ๆ ของตน เฉกธรรมในใจทช่ี ่วยใหค้ นเรา เคลอ่ื นไหวในโลกยี โ์ ลก ดว้ ยวถิ ที ถ่ี กู ตอ้ ง (๓) เปลอื กหอย สงั ขส์ ขี าว พระพทุ ธองค์ ทรงเป่าสงั ขส์ ขี าวทท่ี วย เทพประทานแก่พระองคก์ ่อนทรงแสดงปฐมเทศนา ณ กรุงพาราณาสี หวั สงั ขท์ เ่ี วยี น ไปขาว เป็นสลี กั ษณะการแผ่ขยายของธรรมะไปในทศิ ทางทถ่ี กู ตอ้ ง (๔) ดอกบวั เป็นสญั ลกั ษณข์ องการไมย่ ดึ ตดิ โดยเฉพาะดอกบวั สขี าว ซง่ึ ไมแ่ ปลกเป้ือนดว้ ยโคลนตม ประดจุ ตดิ กนั จติ อนั หลดุ พง่ึ จากสงั สารวฏั (๕) คนโท มหาสมบตั ิ เป่ียมประดจุ คนโท บรรจมุ หาสมบตั ิ อนั ไดแ้ ก่ ความดงี าม ช่อื เสยี งและความรุ่งเรอื ง ซง่ึ ดลบนั ดาล ใหค้ วามมงุ่ มาดปรารถนาของผูเ้ชอ่ื มนั่ ในธรรมะเป็นจรงิ (๖) บว่ งแห่งนริ นั ดร ไดแ้ ก่เสน้ ทางสู่ความสำ� เรจ็ ในทาง โลกอนั ยงั่ ยนื ถอื เป็นสญั ลกั ษณแ์ ห่งความรกั (๗) ทวิ ธงแห่งชยั ชนะ ทวิ ธงทพ่ี ร้วิ สะบดั ประกาศกอ้ งถงึ ชยั ชนะ ของธรรมะเหนืออธรรม (๘) ธรรมจกั ร พระพทุ ธองคท์ รงหมนุ กงลอ้ แห่งธรรมะ เมอ่ื ทรงแสดงปฐมเทศนา ณ กรุงพาราณสี และถอื เป็นหนา้ ทข่ี องพทุ ธศาสนิกชนทต่ี อ้ งช่วยกนั หมนุ ธรรมจกั รใหเ้คลอ่ื นไป เพราะหากหยุดน่ิง ชวี ติ และสง่ิ ทด่ี งี ามต่าง ๆ กจ็ ะหยุดน่ิงชะงกั ไปดว้ ย23 ๓) วฒั นธรรมประเพณีในประเทศภฎู าน ชาวภฏู านสว่ นใหญ่นบั ถอื และเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ความเชอ่ื และการดำ� เนนิ ชวี ติ ของผูค้ นจงึ เป็นไป ตามพระธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนาอยา่ งเคร่งครดั โดยเฉพาะพระสงฆแ์ ละผูส้ ูงอายุ มกั จะสวดภาวนาคาถา “โอม มณี ปทั เม หมุ ” อยู่เสมอในชวี ติ ประจำ� วนั นอกจากนน้ั การภาวนาสวดมนตน์ บั ลูกประคำ� แลว้ เขาจะพากนั มาทำ� ตงุ โดยตงุ ของภูฏานนน้ั จะเป็นผา้ หรือไหม ใชแ้ ม่พมิ พไ์ มก้ ดตวั อกั ษรเขยี นเป็นบทสวดมนต์ ตรึงไวก้ บั ไมย้ าว ๆ แลว้ ปกั ไวบ้ รเิ วณวดั หรอื ยอดเขาสูง โดยตงุ เหลา่ น้จี ะผา่ นการปลกุ เสกโดยลามะก่อนนำ� ไปปกั หรอื แขวน ชาวภูฏานมคี วามเช่ือว่า เวลาลมพดั จะพามนตท์ ่ีจารึกไว้ ลอยข้นึ ไปบูชาพระพุทธเจา้ เบ้อื งบนคลา้ ยกบั การ สวดมนต2์ 4 นอกจากนน้ั แลว้ ชาวภฏู านจะเป็นชาวพทุ ธทส่ี ุภาพ อ่อนนอ้ ม มนี ำ�้ ใจ และนบั ถอื ผูอ้ าวุโส ทง้ั ยงั เป็น มติ รและยนิ ดใี หค้ วามช่วยเหลอื คนแปลกหนา้ ชวี ติ ความเป็นอยู่ของชาวภฏู านสมถะและเรยี บงา่ ย แมจ้ ะไดช้ ่อื วา่ เป็นประเทศยากจน แต่ชาวภฏู านกม็ คี วามสุขและอยู่อย่างมศี กั ด์ศิ รี ไมน่ ิยมการเบยี ดเบยี นหรอื รบกวนผูอ้ น่ื ๔.๔.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สูป่ ระเทศภฏู าน ประเทศภฏู านมลี กั ษณะการปกครองเป็นแบบกง่ึ ศาสนากง่ึ อาณาจกั รคลา้ ยกบั ทเิ บต แต่มคี วามต่างกนั บา้ ง คือทเิ บตมอี งคท์ ะไลลามะเป็นผูน้ ำ� ทงั้ ทางศาสนาและอาณาจกั ร ส่วนภูฏานมกี ษตั ริยป์ กครองประเทศ และมี พระสงฆผ์ ูม้ สี มณศกั ด์สิ ูงสุด เรยี กวา่ เจ เคนโป (Je Khenpo) เป็นประมขุ สงฆแ์ ละช่วยบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ดว้ ย เจ เคนโป มฐี านะเทยี บเท่ากษตั รยิ ์ 23 เสฐยี รพงษ์ วรรณปก, ความ (ไม่) รูเ้ ร่อื งพระพทุ ธศาสนาในภฏู าน, (กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทร์ พร้นิ ต้งิ แอนด์ พบั ลชิ ช่งิ , ๒๕๔๐), หนา้ ๓๔. 24 พสิ มยั จนั ทวมิ ล, ภฏู านมนตเ์ สน่หใ์ นออ้ มกอดหมิ าลยั , พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทร์ พร้นิ ต้งิ แอนด์ พบั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๔๙), หนา้ ๕๘. 04. - 4 (111-151).indd 130 5/10/2022 12:57:12 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 131     พระพทุ ธศาสนาในภฏู านมลี กั ษณะแบบเดยี วกบั ทเิ บต โดยท่านคุรุปทั มสมั ภวะเป็นผูน้ ำ� พระพทุ ธศาสนา ตนั ตระมาเผยแผ่ครง้ั แรกในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ ต่อมา ในปี พ.ศ.๑๗๖๓ ลามะทเิ บตช่อื ปาโช ดรุกอมชโิ ป (Phajo Drugom Shigpo) เดนิ ทางมาเผยแผ่นิกายดรุกปะกาจู (Drukpa Kagyupa) ซง่ึ พระลามะในนิกายน้ี สามารถมภี รรยาได้ในระหวา่ งทล่ี ามะปาโชเดนิ ทางไปเมอื งทมิ พู ทา่ นไดแ้ ต่งงานกบั นางโซนมั พอลดอน มบี ตุ รสาว ๑ คน บตุ รชาย ๔ คน ลามะปาโชเป็นทเ่ี คารพนบั ถอื ของชาวภฏู านมาก เป็นผูน้ ำ� ทงั้ ศาสนจกั รและอาณาจกั ร เช่นเดยี วกบั ทเิ บต ต่อมาบตุ รชายทงั้ ๔ คน ไดค้ รองเมอื งคนละเมอื ง นกิ ายดรุกปะกาจูไดเ้ป็นนิกายทส่ี ำ� คญั ของ ประเทศภฏู านจนถงึ ปจั จบุ นั       ในช่วงแรก ๆ ภฏู านรบั แบบอย่างการปกครองมาจากทเิ บต คอื ผูน้ ำ� ประเทศจะเป็นผูน้ ำ� ทางศาสนาดว้ ย ต่อมาภายหลงั ไดเ้ปลย่ี นแปลงคอื กษตั รยิ ท์ ำ� หนา้ ทป่ี กครองฝ่ายบา้ นเมอื งสว่ นพระสงั ฆราชหรอื เจ เคนโป ปกครอง สงฆเ์ ป็นหลกั แต่กม็ สี ่วนในการปกครองประเทศดว้ ยโดยพระสงฆม์ ี ๑๐ ทน่ี งั่ ในสภา ผูว้ างรากฐานการปกครอง น้ีคอื ลามะชบั ดรุง งาวงั นมั เยล (Shabdrung Ngawang Namgyel; พ.ศ. ๒๑๓๗-๒๑๙๔) การปกครอง ระบอบน้ีใชก้ ฎหมาย ๒ ฉบบั คอื โล ทรมิ มิ ลุ ทรมิ คอื กฎหมายทางใจ และซา ลงุ มิ ลุ ลงุ คอื กฎหมาย ทางโลก       ต่อมาวนั ท่ี ๑๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ พระราชาธิบดจี กิ มี ซงิ เย วงั ชุก ทรงประกาศเปลย่ี นแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชยไ์ ปสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยมพี ระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ ภายใตร้ ฐั ธรรมนูญ และมคี ณะองคมนตรเี ป็นทป่ี รกึ ษา ภาแห่งชาตขิ องภฏู านเรยี กวา่ Tsongdu ทำ� หนา้ ทใ่ี นการ ออกกฎหมาย ประกอบดว้ ยสมาชกิ ๑๕๑ คน จำ� นวน ๑๐๖ คน มาจากการเลอื กตง้ั ของประชาชน และอกี ๕๕ คน มาจากการแต่งตง้ั ของพระมหากษตั รยิ 2์ 5 ๔.๔.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ปจั จุบนั ภูฏานมพี ระสงฆใ์ นความอุปถมั ภข์ องทางการอยู่ราว ๘,๐๐๐ รูป โดยทงั้ หมดจะอยู่ภายใต้ การปกครองของ เจเค็มโป (สมเดจ็ พระสงั ฆราช) ผูเ้ป็นประมขุ ขององคก์ รสงฆด์ ราซงั เฮ็นซก เจเค็มโปทรงมี โลเป็น ชน้ั สูง เป็นผูช้ ่วยอยู่ส่ีท่าน ไดแ้ ก่ โดรจ์ ีโลเป็น (รบั ผิดชอบดูแลหลกั คำ� สอนทางศาสนาทงั้ หมด) ดราเปโลเป็น (พระครูดา้ นไวยากรณ์ ดูแลการศึกษาดา้ นอกั ษรศาสตร)์ ยงั ปีโลเป็น (พระครูดา้ นดนตรีและ พธิ ีสวดมนต)์ และ เซนยีโลเป็น (พระครูดา้ นปรชั ญา) ส่วนผูช้ ่วยระดบั รองลงมานนั้ จะมอี ยู่สองท่าน คือ คลิ โลรโ์ ลเป็น (พระครูดา้ นศิลปะ) และ ซปี ีโลเป็น (พระครูดา้ นโหราศาสตร)์ นอกจากน้ีอารามแต่ละแห่งยงั มี อุมเซ (อาจารยค์ ุมการรอ้ งประสานเสยี ง) และ คูดุน (อาจารยค์ ุมวนิ ยั ) ประจำ� อยู่ดว้ ย โดยท่านหลงั จะถอื สายประคำ� งากบั แสต้ ดิ มอื อยู่ตลอดเวลา 25 พระมหามติ ร ฐติ ปญฺโญ, พระพทุ ธศาสนามหายาน, (ขอนแก่น : คลงั นานาวทิ ยา, ม.ป.ป.), หนา้ ๑๕๘. 04. - 4 (111-151).indd 131 5/10/2022 12:57:12 PM

132 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ปจั จยั ขน้ั พ้นื ฐานนนั้ ทางการจะเป็นผูจ้ ดั หามาไวใ้ ห้ ส่วนเงนิ ทไ่ี ดม้ าจากการประกอบพธิ ถี อื เป็นทรพั ยส์ นิ ส่วนตวั ของพระ พระเหล่าน้ีมหี นา้ ท่ีประกอบวตั รปฏิบตั ิประจำ� วนั และทำ� พธิ ีสำ� คญั ท่ีมมี าเพ่มิ มาเป็นพเิ ศษ ตามกำ� หนดของป้อมและวดั วาอารามแต่ละแห่ง รวมทง้ั รบั นมิ นตไ์ ปประกอบพธิ ตี ่าง ๆ ตามวดั หรอื ตามบา้ นเรอื น ของศาสนกิ ชนดว้ ย ผูท้ เ่ี ขา้ ร่วมกาสาวพสั ตรน์ น้ั มที ง้ั เณรและพระ ซง่ึ ตอ้ งครองเพศพรหมจรรย์ ตอ้ งละเวน้ จากการสูบบหุ ร่ี และด่มื นำ�้ เมา แต่ยงั ฉนั เน้ือสตั วไ์ ด้ พระภูฏานนนั้ ฉนั ไดก้ ระทงั่ ม้อื เย็นต่างจากพระแถบเอเซยี อาคเนยท์ ่ตี อ้ ง งดม้อื เยน็ อย่างเดด็ ขาด พระท่เี พง่ิ มาบวชเอาตอนรุ่นหนุ่มก็พอมอี ยู่บา้ ง แต่ตอ้ งนบั ว่านอ้ ยมาก พระสามารถ สกึ ออกไปมคี รอบครวั ไดท้ ุกเมอ่ื (แต่จะตอ้ งเสยี ค่าปรบั ) คนจะเรียกพระท่สี กึ ออกว่า กีเตร การสกึ ออกไป ครองเรอื นน้ี สงั คมไมต่ ำ� หนหิ รอื ถอื วา่ เป็นตราบาปแต่อย่างใด พระส่วนใหญ่ในภฏู านเป็นพระในนิกายดรุก๊ ปะ แต่พระในกกิ ายญงิ มาปะกม็ อี ยู่เช่นกนั พระทไ่ี มไ่ ดอ้ ยู่ใน อปุ ถมั ภข์ องทางการ แต่มชี าวบา้ นเป็นอปุ ฏั ฐากแทน มอี ยู่ราว ๓,๐๐๐ รูป พระทผ่ี ่านพธิ อี ปุ สมบทมาเรยี บรอ้ ยแลว้ เรยี กวา่ เก-ลง จะใชช้ วี ติ อยู่ในซอง (ป้อม) หรอื วดั ครองผา้ สี แดงเขม้ ในแบบฉบบั อนั เป็นเอกลกั ษณ์ และมกั ถกู ส่งตวั มาอยู่วดั ตง้ั แต่อายุ ๕-๖ ขวบ เพอ่ื เป็นหนา้ เป็นตาและ เป็นการสรา้ งกศุ ลใหก้ บั ครอบครวั พระเหลา่ น้ีจะไดเ้ลา่ เรยี นเขยี นอ่านวชิ าความรูพ้ ้นื ฐานอนั เก่ยี วเน่ืองกบั ศาสนา (เป็นการศึกษารูปแบบเดยี วท่จี ะหาไดใ้ นสมยั โบราณ) หลงั ผ่านไปไดส้ ามส่ปี ีก็จะเปลย่ี นมาศึกษาเฉพาะสาขา ตามความสามารถหรอื ความถนดั ของแต่ละบคุ คล โดยอาจเป็นวชิ าศาสนวทิ ยาขน้ั สูง หรอื ศาสนศิลป์แขนงใด แขนงหน่ึง (นาฏศิลป์ คตี ศิลป์ จติ รกรรม หรอื การตดั เยบ็ ฯลฯ) ตรุลกู หรอื รนิ โปเซ คอื นิกายของพระอรยิ สงฆอ์ งคส์ ำ� คญั ๆ ผูก้ ลบั ชาตมิ าเกดิ หลายครง้ั จนกลายเป็น สายวงศใ์ หส้ บื ยอ้ นไปไดเ้หมอื นลำ� ดบั วงศต์ ระกูลกระนน้ั นิรมาณกายทกุ รุ่นจะใชช้ ่อื เดยี วกนั หมดไลล่ งมาเป็น รุ่น ๆ คนทวั่ ไปจะเรยี กพวกท่านวา่ ตรุลกู หมายถงึ “ร่างทแ่ี บง่ ภาคมาเกดิ ” แต่เวลาสนทนากบั ท่านจะยกย่อง ดว้ ยการเรยี กขานวา่ รนิ โปเซ แปลวา่ “อาจารยผ์ ูท้ เ่ี ป็นทเ่ี คารพและเทดิ ทูนยง่ิ ” ตรุลกูบางท่านเป็นพระทผ่ี ่านพธิ ี อุปสมบทครองสมณเพศและละเวน้ ประเวณีตามพระธรรมวนิ ยั อย่างเคร่งครดั บางท่านก็แต่งงานครองเรือน เยอ่ี งฆราวาสทวั่ ไป แต่กย็ งั เป็นทเ่ี คารพนบั ถอื ของชาวบา้ น ทส่ี ำ� คญั เมอ่ื ไดร้ บั การประกาศใหเ้ป็นตรุลกูกจ็ ะเป็นไป ชวั่ ชวี ติ ถงึ แมจ้ ะใชช้ วี ติ ขอ้ งเก่ยี วกบั โลกยี วสิ ยั แทนการมงุ่ สู่เสน้ ทางธรรมกต็ าม การเป็นตรุลกูจะสบื ทอดเร่อื ยไป ในทกุ ๆ ชาติ เหมอื นหน่ึงเป็นลกั ษณะทางพนั ธุกรรมกระนนั้ ชาวภฏู านจะนิยมไปสกั การะขอพรจากตรุลกูองค์ สำ� คญั ๆ ท่ไี ดศ้ ึกษาหลกั ธรรมคำ� สอนทางศาสนาอย่างเขม้ งวดจริงจงั และมศี กั ด์ฐิ านอนั สูงส่งในศาสนาจกั ร มาตง้ั แต่ยงั เยาวว์ ยั กนั เป็นพเิ ศษ กมเซน็ (พระบา้ น) เป็นองคป์ ระกอบทางศาสนาทค่ี ่อนขา้ งพเิ ศษ คอื เป็นฆราวาสทท่ี ำ� หนา้ ทแ่ี ทนพระ สงั กดั อยู่ในกิกายญงมาปะ กมเซน็ จะอาศยั อยู่กบั บา้ น แต่งงานมคี รอบครวั และมงี านมกี ารทำ� เป็นอาชพี ไลต่ ง้ั แต่ การทำ� งานทำ� ไร่ไปจนถงึ งานราชการ กมเซน็ ไดร้ บั การศึกษาทางศาสนาจนสามารถประกอบพธิ ตี ่าง ๆ ใหช้ าวบา้ นได้ 04. - 4 (111-151).indd 132 5/10/2022 12:57:12 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 133 กมเซน็ จะสวมชดุ โกเหมอื นฆราวาสทวั่ ไป แต่จะยาวกวา่ ปกติ บางครง้ั จะรวบผมขมวดไปเป็นหางมา้ และใชก้ บั เนะ สแี ดงเขม้ คลา้ ยจวี รพระ กมเซน็ มบี ทบาทหนา้ ทท่ี ส่ี ำ� คญั ยง่ิ ในหมบู่ า้ นอนั รกรา้ งห่างไกล เพราะเป็นผูป้ ระกอบพธิ ี ทจ่ี ำ� เป็นแทนพระไดท้ งั้ หมด ลามะ คำ� ว่า ลามะ แปลว่า “อาจารยท์ างศาสนา” ลามะอาจเป็นไดท้ งั้ พระท่ผี ่านพธิ ีอุปสมบทมาโดย สมบูรณแ์ ลว้ หรอื อาจเป็นฆราวาสทค่ี รองเรอื นอยู่ จะเป็นเก-ลง หรอื กมเซน็ หรอื ตรุลกูไดท้ งั้ นน้ั โดยสองอย่าง หลงั น้ีจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ไดเ้ ช่นกนั คำ� ว่า “ลามะ” เป็นเคร่ืองสะทอ้ นสถานะทางศาสนาของบุคคล เป็นคำ� เรียกหาเพอ่ื ยกย่องบุคคลท่มี สี ติปญั ญาและความรอบรูใ้ นเร่ืองทางศาสนามากกว่าฐานะทางสงั คมและ ส่วนใหญ่จะมกี ารสบื ทอดจากพอ่ สู่ลูก26 ๔.๔.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในภฏู าน ๑) อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในภฏู าน ภูฏานเป็นเพยี งประเทศเดียวในโลก ท่ียอมรบั นบั ถือพุทธศาสนามหายานแบบตนั ตระ เป็นศาสนา ประจำ� ชาตอิ ย่างเป็นทางการ ซง่ึ ก็จะมหี ลกั ธรรมพ้นื ฐานคลา้ ยกบั นิกายอน่ื แต่จะนบั ถอื บรรดาเทพเจา้ และเหลา่ พระโพธิสตั ว์ บางครงั้ คนก็จะจำ� แนกพุทธศาสนาแบบภูฏานว่าเป็นนิกายลามะ เหมอื นกบั ทิเบต ท่ีรวมเอา ความเช่ือเร่ืองวญิ ญาณ การบูชาธรรมชาติ การนบั ถอื เทพเจา้ ประจำ� ทอ้ งถ่นิ เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ดงั นน้ั อทิ ธิพล ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ ความสำ� คญั กบั วถิ ชี วี ติ ชาวภฏู านในดา้ นต่าง ๆ อทิ ธพิ ลดา้ นการปกครอง การปกครองในระบบพระมหากษตั ริย์ ช่วยทำ� นุบำ� รุงพระพุทธศาสนทุกนิกายในประเทศภูฏาน พระพทุ ธ-ศาสนาทำ� ใหน้ โยบายของประเทศมงุ่ เนน้ การสรา้ งความสุขของประชาชนเป็นหลกั เนน้ ความสุขทางใจ จงึ เนน้ กจิ กรรมทเ่ี สรมิ สรา้ งความสุข ซง่ึ เป็นกจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนาในทกุ ๆ ดา้ น ตลอดจนถงึ การอนุรกั ษ์ ประเพณีวฒั นธรรมและพธิ กี รรมต่าง ๆ ใหด้ ำ� รงคงอยู่คู่สงั คมชาวพทุ ธภฏู านแบบอนุรกั ษน์ ิยม อทิ ธพิ ลดา้ นศิลปะ ประเพณีระบำ� หนา้ กาก หรอื “ระบำ� หนา้ กาก” (Mask Dance) อนั เป็นงานใหญ่ประจำ� ปีในวดั หรอื “ซอง” (Dzong) ใจกลางเมอื งธมิ พอู นั เป็นเมอื งหลวง “ระบำ� หนา้ กาก” เป็นพธิ กี รรมทางศาสนาทม่ี วี ตั ถปุ ระสงค์ หลกั เพอ่ื เป็นการบชู าพระพทุ ธเจา้ และพระโพธสิ ตั วท์ งั้ หลายตามคตคิ วามเชอ่ื ของชาววชั รยาน และเพอ่ื ใหป้ ระชาชน ไดค้ ุน้ เคยกบั “หนา้ กาก” ชนิดต่าง ๆ ซง่ึ เช่อื กนั วา่ เป็น “ใบหนา้ ” ของพระโพธสิ ตั วท์ แ่ี ปลงร่างมาในรูปของสตั ว์ หรอื เทพเจา้ หนา้ ตาต่าง ๆ เผอ่ื วา่ เวลาตายไปจะไดไ้ มต่ กใจเมอ่ื พบกบั พระโพธสิ ตั วเ์ หลา่ นนั้ ผูท้ จ่ี ะนำ� พาวญิ ญาณ ผูต้ ายไปสู่สุขคติ ผูท้ ป่ี ระกอบพธิ เี ตน้ “ระบำ� หนา้ กาก” ลว้ นแลว้ แต่เป็นพระสงฆ์ ทต่ี อ้ งเตน้ อยู่อย่างนนั้ ตดิ ต่อกนั หลายวนั (บางครงั้ เป็นเวลาหลายสบิ วนั ในวดั ทเ่ี คร่งครดั บางแห่ง) โดยมเี วลาพกั เป็นระยะ ๆ เพยี งสนั้ ๆ เท่านน้ั 26 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๕๙ 04. - 4 (111-151).indd 133 5/10/2022 12:57:12 PM

134 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ในงานใหญ่ประจำ� ปี ชาวเมอื งทมิ พแู ต่งตวั สวยสดงดงามตามประเพณี ต่างพากนั มาชมพธิ กี ารเตน้ “ระบำ� หนา้ กาก” กนั อย่างเนืองแน่นแทบว่าจะมากนั คร่ึงเมอื งค่อนเมอื งกนั เลยทเี ดยี ว สะทอ้ นใหเ้หน็ ถงึ ศรทั ธาอนั เป่ียมลน้ ของ ชาวภฎู านทม่ี ตี ่อพทุ ธศาสนาอย่างมนั่ คง พทุ ธศาสนาฝ่ายวชั รยานนน้ั รุ่งเรอื งอยู่ในภฎู าน ทเิ บต และมองโกเลยี ทุกวนั น้ีภูฎานไดก้ ลายเป็นปราการหรือท่มี นั่ สุดทา้ ยของพทุ ธศาสนานิกายท่วี จิ ิตรพสิ ดารและเรน้ ลบั น้ีในโลก ปจั จบุ นั อทิ ธพิ ลดา้ นวถิ ชี ีวติ ตามวฒั นธรรมพทุ ธของชาวภฎู านนนั้ พอ่ แมม่ กั นยิ มใหล้ ูกหลานในครอบครวั ไดบ้ รรพชา เป็นสามเณร ตง้ั แต่อายุยงั นอ้ ย (สามเณรบางรูปมอี ายุเพยี งแค่ ๒-๓ ขวบ เท่านน้ั ) เมอ่ื สามเณรเหลา่ นนั้ มอี ายุครบ ๒๐ ปี ตอ้ งตดั สนิ ใจครง้ั สำ� คญั ในชวี ติ ดว้ ยตนเอง กลา่ วคอื จะอปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุ เพอ่ื สบื ทอดพระพทุ ธศาสนา หรอื จะลาสกิ ขาบทเพอ่ื ไปใชช้ วี ติ แบบฆราวาส ถา้ เลอื กหนทางแรกกจ็ ะตอ้ งเป็นพระภกิ ษุไปตลอดชวี ติ เพราะการบวช ในฝ่ายวชั รยานหรอื มหายานนนั้ ไมม่ กี ารบวช ชวั่ คราวหรอื การสกึ อย่างวฒั นธรรมพทุ ธในประเทศไทย ถา้ เลอื ก หนทางท่ีสองก็กลบั มาใชช้ ีวิตแบบคฤหสั ถต์ ามปรกติ แต่ชาวเมืองภูฎานก็ยงั คงใหค้ วามเคารพยกย่องอยู่ โดยบุคคลเหล่าน้ียงั คงทำ� หนา้ ท่ีเป็นผูน้ ำ� ทางจริยธรรมหรือศาสนา (lay monk) ใหแ้ ก่หมู่บา้ นหรือชุมชน (คลา้ ยมคั คทายก ของไทย) แต่ถา้ เป็นพธิ สี งฆก์ ต็ อ้ งนิมนตพ์ ระสงฆเ์ ขา้ มาประกอบพธิ ี อทิ ธพิ ลดา้ นเศรษฐกจิ แมว้ ่าพทุ ธมหายานแบบตนั ตระ หรอื วชั รยาน จะเป็นศาสนาหลกั อนั เป็นทส่ี ุดของคนภูฏาน แต่คน ภฏู านกเ็ หมอื นกบั คนไทย คนพมา่ ลาว และเขมรทน่ี บั ถอื ศาสนาผอี นั เป็นความเช่อื ในเร่อื งวญิ ญาณเป็นศาสนา รองลงมา ไม่ว่าแหลง่ นำ�้ โขดหนิ หรอื ใตร้ ่มเงาไมใ้ หญ่ โดยเฉพาะตน้ ไซปรสั มกั มศี าลเลก็ ๆ หรอื แท่นบูชา มธี งปกั มแี ท่งหนิ หรอื กอ้ นหนิ แสดงใหเ้หน็ วา่ เป็นทส่ี ถติ ของอำ� นาจศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ปจั จบุ นั คนภฏู านกำ� ลงั เปลย่ี นแปลง เขา้ สู่กระแสโลกาภวิ ตั นอ์ ย่างหลกี เลย่ี งไม่ได้ แต่ก็เต็มไปดว้ ยสตทิ แ่ี ลเหน็ ว่าการพฒั นาทางเศรษฐกิจเพอ่ื ความ รำ�่ รวยจากรายไดป้ ระชาชาตนิ น้ั เป็นหนทางทน่ี ำ� ไปสู่ความหายนะมากกว่าความสุขทม่ี นุษยช์ าตพิ งึ มี พระมหา- กษตั ริยข์ องภูฏานจึงไดก้ ำ� หนดใหก้ ารมคี วามสุขประชาชาติเป็นอุดมการณ์ของชาติ เพ่ือต่อรองกบั กระแส โลกาภวิ ตั นท์ เ่ี นน้ รายไดป้ ระชาชาตเิ ป็นเร่ืองใหญ่ ดงั นนั้ ประเทศภูฏานมนี โยบายการนำ� เศรษฐกิจพอเพยี งจาก ประเทศไทยไปประยุกตใ์ ชใ้ นการการเกษตรเชงิ พทุ ธ ตามแนวทางพออยู่ พอดี พอกนิ พอเพยี งตามหลกั ของ พระพทุ ธศาสนา ๒) แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศภฏู านในอนาคต พระพทุ ธศาสนาในประเทศภฏู าน ในอนาคต มแี นวโนม้ ทจ่ี ะรกั ษารูปแบบดงั่ เดมิ ของมหายานนกิ ายดรกุ ปะ วงจู ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลต่อวถิ ชี วี ติ คนภฏู าน ในรูปแบบของหลกั คำ� สอน ความเช่อื พธิ กี รรม และพทุ ธศิลปกรรมและ อ่นื ๆ ในขณะเดยี วกนั การศึกษาคณะสงฆใ์ นอดตี ท่ผี ่านมา จะศึกษาเฉพาะในประเทศ ต่อมา มนี โยบาย เปิดประเทศเพอ่ื ส่งเสรมิ การท่องเทย่ี ว และเปิดความสมั พนั ธร์ ะดบั นานาชาตกิ บั ต่างประเทศ จงึ ทำ� ใหน้ โยบาย 04. - 4 (111-151).indd 134 5/10/2022 12:57:12 PM

บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ใต้ 135 ทางดา้ นพระพทุ ธศาสนาเปลย่ี นแปลง เช่น พระสงฆจ์ ะเดนิ ทางไปศึกษาและร่วมประชมุ สมั มนาระดบั นานาชาติ เพม่ิ มากข้นึ แต่ถงึ อย่างไรก็ตาม ภูฏานก็ยงั รกั ษารูปแบบดงั่ เดมิ ไว้ และยงั ค่อยพฒั นาตนเองเป็นอย่างยงั่ ยนื เพอ่ื ใหม้ วลรวมของประชาชนภฏู านนมคี วามสุข ๔.๕ พระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ ประเทศบงั กลาเทศ ณ ดินแดนเมอื งจิตตะกอง มคี วามอุดมสมบูรณ์ดว้ ยธรรมชาติป่าเขาอนั งดงาม เป็นทพ่ี ำ� นกั ของสตั วป์ ่าและฝูงนกนานาชนิด อดุ มดว้ ยลำ� หว้ ย ธารนำ�้ ตก อนั เป็นตน้ กำ� เนดิ ของแมน่ ำ�้ สำ� คญั ทไ่ี หล หล่อเล้ยี งประเทศ ระหว่างหุบเขาต่าง ๆ มที ่รี าบเป็นท่ตี งั้ ของแควน้ ต่าง ๆ ของชาวผวิ เหลอื งแต่ละเผ่าเช่น เผ่าจกั มา เผ่ามางและเผ่าโบมางซง่ึ ดำ� รงชพี ดว้ ยการเกษตรและเก็บของป่า ปจั จบุ นั น้ี รฐั บาลบงั คลาเทศไดแ้ บง่ เขตปกครองดนิ แดนน้ีออกเป็น ๓ อำ� เภอ หรอื ๓ เมอื ง ไดแ้ ก่ รงั คมรติ ขคั ราโจรแี ละพนั ทรพนั ในบรรดาชนเผ่าต่าง ๆ ปจั จบุ นั น้ี ชนเผ่าจกั มามจี ำ� นวนพลเมอื งมากทส่ี ุด อดตี เคยมกี ษตั รยิ ป์ กครอง บา้ นเมอื งเป็นของตนเอง รองลงไปคือชนเผ่ามาง และโบมาง ซง่ึ ปจั จบุ นั ยงั มรี าชาเป็นประมขุ ของเผ่าทร่ี ฐั บาล บงั กลาเทศรบั รอง ชนเผ่าทงั้ ๓ น้ีนบั ถอื พทุ ธศาสนาและมคี วามเจรญิ ยง่ิ กวา่ เผ่าอน่ื ๆ มคี ณะสงฆอ์ นั มสี งั ฆนายก เป็นหวั หนา้ ๔.๕.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของบงั คลาเทศ ๑) ภมู ิประเทศประเทศ บงั กลาเทศตงั้ อยู่ทางตะวนั ออกของอนุทวปี เอเชยี ใต้บรเิ วณเสน้ ละตจิ ูดท่ี ๒๔ องศาเหนอื เสน้ ลองตจิ ูดท่ี ๙๐ องศาตะวนั ออก มพี ้นื ท่ปี ระมาณ ๑๔๘,๔๖๐ ตร.กม อาณาเขต ความยาวของเสน้ พรมแดนทงั้ หมด ๔,๔๑๓ กม. ทศิ เหนือ ตะวนั ออก ตะวนั ตก ตดิ กบั อนิ เดยี (๔,๑๔๒ กม.) ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ตดิ กบั เมยี นมา (๒๗๑ กม.) ทศิ ใต้ ตดิ กบั อ่าวเบงกอล (๕๘๐ กม.) พ้นื ทท่ี างตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นทร่ี าบเชงิ เขาขนาดใหญ่ ส่วนทางตะวนั ออกเฉียงใตเ้ ป็นเทอื กเขาสูง สำ� หรบั ภูมอิ ากาศของประเทศนนั้ เป็นแบบเขตรอ้ น โดยบริเวณ ภาคตะวนั ออกจะรอ้ นช้ืนตลอดทงั้ ปี ภาคกลางและตะวนั ตกจะรอ้ นช้ืนสลบั แลง้ ส่วนภาคเหนือจะก่ึงรอ้ น ฝนตกชกุ ภมู อิ ากาศของบงั กลาเทศแบง่ เป็น ๓ ฤดู ไดแ้ ก่ ฤดูหนาวเร่มิ ตงั้ แต่ ต.ค.-ม.ี ค. อณุ หภมู อิ ยู่ระหวา่ ง ๑๑-๒๙ องศาเซลเซยี ส ฤดูรอ้ นเร่มิ ตง้ั แต่ ม.ี ค.-ม.ิ ย. อณุ หภมู อิ ยู่ระหวา่ ง ๒๑-๓๔ องศาเซลเซยี ส และฤดูฝน เร่มิ ตง้ั แต่ ม.ิ ย.-ต.ค. ภยั ธรรมชาตทิ บ่ี งั กลาเทศประสบอยู่เป็นประจาํ ไดแ้ ก่ ความแหง้ แลง้ และพายุไซโคลน บงั กลาเทศประสบปญั หาพายุไซโคลนพดั เขา้ ทาํ ลายทง้ั บา้ นเรอื นและชวี ติ ประชากรปีละหลายครง้ั 27 27 สาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.nia.go.th/newsnow/almanac-files/pdf [๓๐พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔] 04. - 4 (111-151).indd 135 5/10/2022 12:57:12 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook