36 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ปสุสตั วแ์ ละมนุษย์ ต่อมาเปลย่ี นเป็น “การทรมานร่างกาย” นอกจาก ๓ ลทั ธิ ดงั กลา่ วแลว้ ยงั มลี ทั ธิ “โยคะ” (Yoka)8 โยคี (Yoki) หรอื “โยคาจาร” (Yokajara) คอื การบรหิ ารร่างกายและฝึกและฝึกหดั จติ ใหเ้ขม็ แขง็ ใหอ้ ยู่ ในขอบเขตทก่ี ำ� หนดหรืออยู่ในอำ� นาจทต่ี อ้ งการ มจี ดุ ม่งุ หมายเดยี วคือ การไดเ้ ขา้ ไปอยู่กบั พระพรหม นนั้ คือ เป้ าหมายสูงสุด ในสมยั พระเวท บุคคลผูท้ ่ที ำ� พธิ ีบูชาและสวดขบั กลุ่มสรรเสริญเทพเจา้ นิยมกระทำ� ดว้ ย “น้�ำโสม” จดุ ประสงคเ์ พอ่ื หวงั ใหเ้ทพเจา้ เหลา่ นนั้ โปรดปราน เป็นวธิ อี อ้ นวอนของความหวงั จากเทพเจา้ เพราะศาสนาพราหมณ์ สอนใหค้ นมคี วามเชอ่ื มนั่ ในความศกั ด์สิ ทิ ธ์แิ ละความละเอยี ดประณีตของพธิ กี รรม9 อาศรม (Hermitage) คอื สถานทเ่ี ป็นทอ่ี ยู่อาศยั อาศยั ของพรต นกั บวชในลทั ธศิ าสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู หรอื อาศรมบท (อาศรม+บท), คำ� วา่ “อาศรม” แปลวา่ ทอ่ี ยู่อาศยั ของนกั พรต, คำ� วา่ “บท” แปลวา่ ทางเป็น เคร่อื งดำ� เนินชวี ติ หรอื แนวทางในการดำ� เนนิ ชวี ติ หรอื ทางเป็นเคร่อื งถงึ นิวารณะ, นกั บวช เช่น ฤๅษี ชฏลิ เช่น เดยี วกบั กฏุ ิ เป็นทอ่ี ยู่ของพระภกิ ษุ เรยี กวา่ อาศรมบท กม็ ี เช่น อาศรมบทของพระเวสสนั ดร นอกจากน้ใี นลทั ธพิ ราหมณ-์ ฮนิ ดู ยงั มหี ลกั ปฏบิ ตั ทิ เ่ี รยี กวา่ อาศรม อกี ความหมายหน่งึ หมายถงึ ขน้ั ตอน หรอื ช่วงระยะการดำ� เนินชวี ติ ของชาวฮนิ ดู ทอ่ี ยู่ในวรรณะสูง หรอื พวกพราหมณใ์ นอนิ เดยี มี ๔ ขนั้ ตอน เรยี กวา่ อาศรม ๔ (Asramas) เป็นคำ� อธบิ ายของพราหมณเ์ ก่ยี วกบั ขน้ั ตอนของชวี ติ วา่ มี ๔ ส่วน หรอื ๔ วยั อนั ไดแ้ ก่ ๑. ช่วงศึกษาพระเวท ถอื พรหมจรรย์ ครองโสด (Virginity, Chastity) วยั น้ี เรยี กวา่ พรหมจารี วยั พรหมจารนิ (Brahmacharin) หรอื วยั เรยี น ๒. ช่วงอยู่ครองเรอื น วยั น้ีเรยี กวา่ คฤหสั ถ์ (Grihastha) ๓. ช่วงออกไปอยู่ป่า เรียกว่า วนปรสั ถ์ หรือ วยั วานปรสั ต์ (Vanaprastha) หรือ วยั อยู่ป่า, วยั ออกไปอยู่ป่า ในเมอ่ื ไดเ้หน็ หลาน ซง่ึ เป็นลูกของลูกแลว้ ๔. ช่วงสละทางโลก เท่ยี วภกิ ขาจาร ถอื ภาชนะขออาหารและหมอ้ นำ�้ เป็นสมบตั ิ มผี า้ นุ่งผนื เดยี ว เดนิ จาริกไปเร่ือย ๆ ไม่ยุ่งเก่ียวกบั ชาวโลก เรียกว่า สนั ยาถ,ี วยั สนั ยาสนิ หรือสนั ยาสี (Sannyasin) หรือ วยั แสวงหาความสงบ 8 ถอื กำ� เนดิ ในประเทศอนิ เดยี เมอ่ื หลายพนั ปีทแ่ี ลว้ (๒,๐๐๐ ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช) โยคะ เป็นการรวมกาย จติ และวญิ ญาณ ใหเ้ป็นหน่งึ เดยี ว การฝึกโยคะเป็นกระบวนการสำ� หรบั ฝึกกาย ฝึกการหายใจ และฝึกจติ ใหม้ คี วามจดจ่อกบั เรอ่ื งลมหายใจเขา้ ออก อนั จะนำ� ไปสู่การมสี มาธทิ ด่ี ขี ้นึ การฝึกโยคะมี ๔ ประเภท คอื กรรมโยคะ ภกั ตโิ ยคะ ญาณโยคะ ราชโยคะ และโยคะดงั้ เดมิ มสี ูตรของการฝึกโยคะ ๘ ประการ ฯลฯ 9 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๙. คำ� วา่ โสม (ออกเสยี ง โสม หรอื โสมะ) หรอื เหาม (ภาษาอเวสตะ) มรี ากศพั ทจ์ ากภาษาโปรโตอนิ เดยี -อหิ ร่าน sauma หมายถงึ เคร่อื งดม่ื ท่ี ใชใ้ นพธิ ีกรรมโบราณ นบั ว่ามคี วามสำ� คญั อย่างมากในวฒั นธรรมอนิ เดยี -อหิ ร่านยุคตน้ ๆ และภายหลงั ยงั มคี วามสำ� คญั ใน วฒั นธรรมเปอรเ์ ซยี และวฒั นธรรมพระเวท มกั จะกลา่ วถงึ เสมอในฤคเวท ซง่ึ มบี ทสวดหลายบทบรรยายถงึ คณุ สมบตั ขิ อง “โสม” วา่ เพอื่ ช่วยชูกำ� ลงั และทำ� ใหม้ นึ เมา ฯลฯ 02. - 2 (30-69).indd 36 5/10/2022 12:56:01 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 37 หลกั อาศรม ๔ หมายถงึ ขน้ั ตอนของชวี ติ หรอื ทางปฏบิ ตั เิ พอ่ื ยกระดบั ชวี ติ ใหส้ ูงข้นึ มี ๔ ประการ คอื พรหมจารี เป็นขนั้ ตอนของเด็กชายตระกูลพราหมณ์ทุกคน จะตอ้ งรบั การคลอ้ งดา้ ยศกั ด์ิสทิ ธ์ิ จากอาจารย์ พธิ คี ลอ้ งดา้ ยศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ เรยี กวา่ “ยชั โญปวตี ” เมอ่ื ไดร้ บั การคลอ้ งแลว้ เท่ากบั ประกาศตนเป็นพรหมจารี ถอื วา่ เป็นพราหมณ์ โดยสมบูรณ์ จากนนั้ จะตอ้ งศึกษาอยู่ในสำ� นกั ของอาจารยจ์ นสำ� เร็จการศึกษา, คฤหสั ถ์ หรือ ผูค้ รองเรอื น เมอ่ื สำ� เรจ็ การศึกษา แลว้ จะกลบั บา้ นเรอื นของตน เพอ่ื แต่งงาน และมบี ตุ ร, วานปรสั ถ์ เป็นช่วงเวลา ทพ่ี ราหมณป์ ฏบิ ตั ติ นเพอ่ื สงั คมและประเทศ เมอ่ื ครอบครวั เป็นปึกแผน่ และบตุ รไดอ้ อกเรอื นเป็นทเ่ี รยี บรอ้ ยแลว้ พราหมณผ์ ูเ้ป็นหวั หนา้ ครอบครวั จะออกป่า เพอ่ื แสวงหาความวเิ วกและฝึกจติ ของตน ซง่ึ อาจกระทำ� เป็นครงั้ คราว แลว้ กลบั สู่เรอื นกไ็ ด้ซง่ึ คลา้ ยกบั ชาวพทุ ธไทย ซง่ึ เมอ่ื แก่เฒ่าลง กจ็ ะหนั หนา้ เขา้ หาวดั และสนั ยาสี เป็นระยะเวลา ทพ่ี ราหมณ์ ทำ� เพอ่ื มนุษยชาตทิ งั้ ปวง เป็นการสละชวี ติ คฤหสั ถ์ ของผูค้ รองเรอื น เพอ่ื เขา้ ป่าออกบวช และเพอ่ื จดุ หมายสูงสุดของชวี ติ คอื โมกษะ ๒.๓ ลทั ธคิ วามเช่ือรว่ มสมยั พทุ ธกาล ลทั ธคิ วามเชอ่ื รวมสมยั พทุ ธกาล คอื ลทั ธคิ รูทง้ั ๖ ทรรศนะของครูทง้ั หกน้ี เป็นลทั ธนิ อกพระพทุ ธศาสนา เกดิ มาก่อน และร่วมสมยั กบั พระพทุ ธเจา้ ในสมยั พทุ ธกาล นอกจากศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู จะขดั แยง้ หรอื คอยปะทะกบั คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ กย็ งั มอี กี ๖ ลทั ธหิ รอื ทน่ี ยิ มเรยี กวา่ “ครูทงั้ ๖” เป็นลทั ธทิ ม่ี คี ำ� สอนตรงขา้ มกบั พระพทุ ธศาสนา และคอยปะทะ กบั พระพทุ ธเจา้ อยู่เสมอ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ลทั ธเิ หลา่ น้เี ป็นมจิ ฉาทฐิ ิ และหากยดึ ปฏบิ ตั ิ หรอื เชอ่ื ตามแลว้ จะเป็น อนั ตราย ในสมยั พทุ ธกาล มสี มณพราหมณเ์ จา้ ลทั ธติ ่าง ๆ จำ� นวนมาก แต่ทม่ี ชี ่อื เสยี งเป็นทย่ี อมรบั ของมหาชน มอี ยู่ ๖ ท่าน คอื “ปูรณกสั สปะ มกั ขลโิ คสาล อชติ เกสกมั พล ปกธุ กจั จายนะ สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร และนคิ รนถ์ นาฏบตุ ร เจา้ ลทั ธเิ หลา่ น้ี แมแ้ ต่พระราชามหากษตั รยิ ์ เช่น พระเจา้ อชาตศตั รู พระเจา้ ปเสนทโิ กศล กย็ งั หาโอกาส ไปสนทนาสอบถามปญั หาทางปรชั ญาดว้ ยครูแต่ละท่านมบี รษิ ทั บรวิ ารคนละหลายรอ้ ย และทงั้ ๖ ท่านน้ี ต่างก็ กลา่ ววา่ ตนเป็นพระอรหนั ตผ์ ูม้ ฤี ทธ์ิ แต่ถงึ กระนน้ั เมอ่ื ถกู ถามปญั หายาก ๆ และไมส่ ามารถแกป้ ญั หาไดค้ รูทง้ั ๖ ท่าน กย็ งั แสดงความโกรธ ความขดั เคอื ง และความไมพ่ อใจใหป้ รากฏอยู่สำ� หรบั ประวตั แิ ละคำ� สอนของครูทง้ั ๖ มดี งั ต่อไปน้ี เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๑ ปูรณะกสั สปะ พระพทุ ธโฆษาจารย์ กลา่ ววา่ ปูรณกสั สปะ เกดิ ในวรรณะพราหมณ์ วยั เดก็ ไดเ้ป็นคนรบั ใชใ้ นตระกูลหน่ึง ซ่งึ มคี นรบั ใชอ้ ยู่ ๙ คน รวมปูรณกสั สปะอีกคนหน่ึงเป็น ๑๐๐ คน ดว้ ยเหตุน้ีจึงทำ� ใหเ้ ขาไดช้ ่ือว่า ปูรโณ เพราะทำ� ใหท้ าสในเรือนครบ ๑๐๐ คน วนั หน่ึงเขาหนีออกจากเรือน ระหว่างทางพวกโจรชิงเอาผา้ ของเขาไป เขาเดนิ เขา้ ไปในบา้ นตำ� บลหน่งึ ทงั้ ๆ ทเ่ี ปลอื ยกาย พวกมนุษยเ์ หน็ เขาแลว้ คดิ วา่ สมณะน้เี ป็นพระอรหนั ต์ ผูม้ กั นอ้ ย 02. - 2 (30-69).indd 37 5/10/2022 12:56:01 PM
38 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ผูท้ จ่ี ะเสมอเหมอื นกบั สมณะน้ีไมม่ ี จงึ นำ� ของหวาน และของคาวเขา้ ไปสกั การะ ปูรณกสั สปะ คดิ วา่ เร่อื งน้ีเกดิ ข้นึ เพราะเราไมน่ ุ่งผา้ ตงั้ แต่นน้ั มาแมไ้ ดผ้ า้ มาก็ไมน่ ุ่ง เขาถอื เอาการไมน่ ุ่งผา้ นนั่ แหละเป็นบรรพชา ต่อมามกี ลุ บตุ ร มาเป็นศิษยจ์ ำ� นวนมาก ทรรศนะของครูปูรณะกสั สปะ10 “เมอ่ื บคุ คลทำ� เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ทำ� ตดั เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ตดั เบยี ดเบยี นเอง ใช้ ใหผ้ ูอ้ น่ื เบยี ดเบยี น ทำ� ใหเ้ศรา้ โศกเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ทำ� ใหเ้ศรา้ โศก ทำ� ใหล้ ำ� บากเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ทำ� ใหล้ ำ� บาก ด้นิ รนเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ ่นื ทำ� ใหด้ ้นิ รน ฆ่าสตั ว์ ถอื เอาสง่ิ ของท่เี จา้ ของเขาไม่ไดใ้ ห้ ตดั ช่องย่องเบา ปลน้ ทำ� โจรกรรมในบา้ น หลงั เดยี ว ดกั ซุ่มทท่ี างเปลย่ี ว เป็นชู้ พดู เทจ็ ผูท้ ำ� (เช่นนนั้ ) กไ็ มจ่ ดั วา่ ทำ� บาป แมห้ ากบคุ คลใชจ้ กั ร มคี มดุจมดี โกนสงั หารเหลา่ สตั วใ์ นปฐพนี ้ี ใหเ้ป็นดุจลานตากเน้ือ ใหเ้ป็นกองเน้ือ เดยี วกนั เขาย่อมไมม่ บี าปทเ่ี กดิ จากกรรมนนั้ ไมม่ บี าปมาถงึ เขา แมห้ ากบคุ คลไปฝงั่ ขวาแมน่ ำ�้ คงคา ฆ่าเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ฆ่า ตดั เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ตดั เบยี ดเบยี นเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื เบยี ดเบยี น เขาย่อมไมม่ บี าปทเ่ี กดิ จากกรรมนน้ั ไมม่ บี าปมาถงึ เขา แมห้ าก บคุ คลไปฝงั่ ซา้ ยแมน่ ำ�้ คงคา ใหเ้อง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื ให้ บูชาเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ น่ื บูชา เขาย่อมไมม่ บี ญุ ทเ่ี กดิ จากกรรมนน้ั ไมม่ บี ญุ มาถงึ เขา ไมม่ บี ญุ ทเ่ี กดิ จากการใหท้ าน จากการฝึกอนิ ทรยี ์ จากการสำ� รวม จากการพดู คำ� สตั ย์ ไมม่ บี ญุ มาถงึ เขา11 เมอ่ื พระเจา้ อชาตศิ ตั รูถามถงึ สามญั ผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ครูปูรณะกสั สปะ กลบั ตอบถงึ สง่ิ ทท่ี ำ� แลว้ ไมเ่ ป็น อนั ทำ� เปรยี บเหมอื นเขา ถามถงึ มะมว่ ง ตอบขนุนสำ� มะลอ หรอื เขาถามถงึ ขนุนสำ� มะลอ ตอบมะมว่ ง ดงั นน้ั เจา้ ลทั ธทิ ช่ี ่อื วา่ ปูรณะ กสั สปะ น้ี ไดช้ อ่ื วา่ อกริ ยิ ทฏิ ฐิ (View of the inefficacy of action) แปลวา่ ทฏิ ฐคิ อื ไมเ่ ป็นอนั ทำ� , การกระทำ� ไมม่ ผี ล, เป็นลทั ธทิ ม่ี คี วามเหน็ วา่ “เป็นลทั ธทิ ถ่ี อื วา่ การกระทำ� ทกุ อย่าง ไมม่ ผี ล ทำ� ดกี ไ็ มไ่ ดด้ ี ทำ� ชวั่ กไ็ มไ่ ดช้ วั่ เป็นความเหน็ ทป่ี ฏเิ สธกฎแห่งกรรม”12 หมายความวา่ จะทำ� อะไรกต็ าม กไ็ มเ่ ช่อื วา่ ทำ� เช่น บญุ -บาปไมม่ ี ความดี ความชวั่ ไมม่ ี สรุปแนวคดิ ปูรณะ กสั สปะ ศาสดาแห่งลทั ธนิ ้ี ประกาศคำ� สอนวา่ การทำ� ความด-ี ความชวั่ ไมม่ ผี ล ไมม่ ี อะไรเลย บญุ และบาปกไ็ มม่ ี เช่น ฆ่าสตั วต์ ดั ชวี ติ ไมบ่ าป การทำ� บญุ กไ็ มไ่ ดบ้ ญุ คำ� สอนน้ีจดั เป็น “อกริ ยิ าวาท”ี หมายถงึ กรรม (การกระทำ� ) ไมม่ ผี ล เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๒ มกั ขลโิ คศาล มกั ขลโิ คสาล เป็นบตุ รพราหมณช์ ่อื มกั ขลิ มารดาช่อื ภทั ทา อาศยั อยู่หมบู่ า้ นสาลวนั ใกลเ้มอื งสาวตั ถี พระพทุ ธโฆษาจารย์ กลา่ ววา่ คำ� วา่ โคสาละ แปลวา่ ผูเ้กดิ ในโรงโค วยั เดก็ เป็นคนรบั ใชใ้ นตระกูลหน่ึง วนั หน่ึง เขาถอื หมอ้ นำ�้ มนั เดินไปบนพ้นื ดินท่มี โี คลน นายบอกว่า อย่าลน่ื นะพ่อ เขาลน่ื ลม้ ลงดว้ ยความเผอเรอแลว้ 10 เจา้ ลทั ธชิ ่อื ปูรณะ กสั สปโคตร อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๑/๑๓๐. 11 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๖/๕๓๕๔. 12 ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๖/๑๔๕. 02. - 2 (30-69).indd 38 5/10/2022 12:56:01 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 39 วง่ิ หนไี ปเพราะกลวั นาย แต่นายวง่ิ ไปจบั ชายผา้ ไวท้ นั เขาจงึ ลดั ผา้ ท้งิ แลว้ หนีไป ขณะเดนิ เขา้ ไปในบา้ นตำ� บลหน่ึง ทง้ั ๆ ท่เี ปลอื ยกาย พวกมนุษยเ์ ห็นเขาแลว้ ก็มจี ิตศรทั ธาเช่นเดียวกบั กรณีของท่านปูรณกสั สปะ ภายหลงั มกั ขลโิ คสาล จงึ ตงั้ ลทั ธขิ ้นึ และมลี ูกศิษยจ์ ำ� นวนมากเช่นกนั ลทั ธิน้ีไม่ยอมรบั อาหารท่ีเขาเจาะจงถวาย ไม่รบั อาหารขณะมสี ุนขั อยู่ขา้ ง ๆ หรือแมลงวนั ตอมอยู่ เพราะถอื วา่ เป็นการแย่งความสุขของผูอ้ น่ื ไมร่ บั ประทานปลา เน้ือ ไมด่ ม่ื สุราและของมนึ เมา ไมส่ ะสมขา้ วปลา อาหารยามขา้ วยากหมากแพง มกั ขลิ โคศาล ศาสดาแห่งลทั ธนิ ้ีประกาศคำ� สอนวา่ สรรพสง่ิ ทง้ั หลายปราศจากเหตแุ ละผล ไมม่ เี หตแุ ห่ง ทกุ ขแ์ ละสุข จะเกดิ ข้นึ กเ็ กดิ ข้นึ โดยไมม่ เี หตุ คำ� สอนน้ีจดั เป็น “อเหตกุ วาท”ี หมายถงึ อตั ตาและโลกเกดิ ข้นึ เอง โดยไมม่ เี หตแุ ละปจั จยั อกี นยั หน่ึง บา้ งก็กลา่ ววา่ คำ� สอนน้ีเป็น “นตั ถกิ วาท” ลทั ธทิ ถ่ี อื วา่ ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั , ทรรศนะน้ีถอื วา่ ไมม่ เี หตปุ จั จยั ทท่ี ำ� ใหส้ ตั วบ์ รสิ ุทธ์หิ รอื เศรา้ หมอง ทรรศนะของครูมกั ขลโิ คศาล13 “ความเศรา้ หมองของสตั วท์ ง้ั หลาย ไม่มเี หตไุ ม่มปี จั จยั สตั วท์ งั้ หลาย เศรา้ หมองเอง ความบรสิ ุทธ์ขิ องสตั วท์ งั้ หลายไมม่ เี หตไุ มม่ ปี จั จยั สตั วท์ ง้ั หลายบรสิ ุทธ์เิ อง ไมใ่ ช่เพราะการกระทำ� ของตน และไมใ่ ช่เพราะการกระทำ� ของผูอ้ น่ื ไมใ่ ช่เพราะการกระทำ� ของมนุษย์ ไมม่ กี ำ� ลงั ไมม่ คี วามเพยี ร ไมม่ ี ความสามารถของมนุษย์ ไมม่ คี วามพยายามของมนุษย์ สตั ว์ ปาณะ ภตู ะ ชวี ะ14 ทง้ั ปวงลว้ นไมม่ อี ำ� นาจ ไมม่ ี กำ� ลงั ไมม่ คี วามเพยี ร ผนั แปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางสงั คมและตามลกั ษณะเฉพาะตน ย่อมเสวย สุขและทกุ ขใ์ นอภชิ าต15 ทง้ั ๖ เหลา่ น้ี ทค่ี นพาลและบณั ฑติ พากนั เทย่ี วเวยี นวา่ ยไปแลว้ จกั ทำ� ทส่ี ุดทกุ ขไ์ ดเ้อง ไมม่ คี วามสมหวงั ในความปรารถนาวา่ เราจกั อบรมกรรมทย่ี งั ไมใ่ หผ้ ลใหใ้ หผ้ ล หรอื สมั ผสั กรรมทใ่ี หผ้ ล แลว้ จกั ทำ� ใหห้ มดส้นิ ไปดว้ ยศีล พรต ตบะหรอื พรหมจรรยน์ ้ี ไม่มสี ุขทกุ ขท์ ท่ี ำ� ใหส้ ้นิ สุดลงได้ (จำ� นวนเท่านน้ั เทา่ น้)ี เหมอื นตวงดว้ ยทะนาน ไมม่ สี งั สารวฏั ทท่ี ำ� ใหส้ ้นิ สุดไปไดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี ไมม่ คี วามเสอ่ื มและความเจรญิ ไมม่ กี ารเลอ่ื นข้นึ สูงและเลอ่ื นลงตำ�่ พวกคนพาลและบณั ฑติ พากนั เทย่ี วเวยี นวา่ ยไปแลว้ ก็จกั ทำ� ทส่ี ุดทกุ ขไ์ ดเ้อง เหมอื นกลมุ่ ดา้ ยทถ่ี กู ขวา้ งไปย่อมคลห่ี มดไปไดเ้อง ฉะนนั้ ’”16 เจา้ ลทั ธทิ ช่ี อ่ื วา่ มกั ขลโิ คศาล น้ีไดช้ ่อื วา่ “อเหตกุ ทฏิ ฐ”ิ มคี วามเหน็ วา่ ไมม่ เี หต,ุ เหน็ วา่ สง่ิ ทง้ั หลายไมม่ เี หตุ ปจั จยั ) เป็นลทั ธทิ ม่ี ถี อื วา่ “ไมม่ เี หตปุ จั จยั ทท่ี ำ� ใหส้ ตั วบ์ รสิ ุทธ์หิ รอื เศรา้ หมอ”17 ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั สตั วท์ ง้ั หลาย 13 เจา้ ลทั ธชิ อ่ื มกั ขลิ ผูเ้กดิ ในโรงโค อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๒/๑๓๑. 14 สตั ว์ หมายถงึ สตั วช์ นั้ สูง เช่น อูฐ มา้ ลา, ปาณะ หมายถงึ สตั วท์ ม่ี ี ๑ อนิ ทรยี ์ ๒ อนิ ทรยี เ์ ป็นตน้ , ภตู ะ หมายถงึ สตั วท์ กุ จำ� พวกทงั้ ทเ่ี กดิ จากฟองไขแ่ ละเกดิ ในครรภม์ ารดา, ชีวะ หมายถงึ พวกพชื ทกุ ชนิด อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๘/๑๔๖. 15 อภชิ าติ คือ การกำ� หนดหมายชนชน้ั เช่น โจรเป็นกณั หาภชิ าติ (สดี ำ� ) นกั บวชเป็นนีลาภชิ าติ (สเี ขยี ว) นิครนถ์ เป็นโลหติ าภชิ าติ (สแี ดง) คฤหสั ถเ์ ป็นหลทิ ทาภชิ าติ (สเี หลอื ง) อาชวี กเป็นสุกกาภชิ าติ (สขี าว) นกั บวชทเ่ี คร่งวตั รปฏบิ ตั เิ ป็น ปรมสุกกาภชิ าติ (สขี าวยง่ิ นกั ) อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๘/๑๔๗. 16 ท.ี ส.ี (บาล)ี ๙/๖๘/๕๔-๕๖. 17 ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๘/๑๔๖. 02. - 2 (30-69).indd 39 5/10/2022 12:56:01 PM
40 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ในโลกน้ี จะไดด้ ี ไดช้ วั่ ไดส้ ุขหรอื ทกุ ข์ กไ็ ดเ้อง ไมใ่ ช่เพราะทำ� ดหี รอื ทำ� ชวั่ อน่ึง สตั วท์ ง้ั หลาย หลงั จากท่องเทย่ี ว ไปในสงั สารวฏั กลบั ไป กลบั มาแลว้ ในทส่ี ุดแลว้ ทง้ั คนโงแ่ ละคนฉลาดก็จะบรสิ ุทธ์ไิ ดเ้อง ดงั นนั้ ลทั ธนิ ้ีจงึ มชี ่อื เรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ “สงั สารสุทธ”ิ หรอื “สงั สารสุทธกิ วาท” ลทั ธิมกั ขลโิ คศาล น้ี ในทางอภปิ รชั ญาเรยี กว่า “ลทั ธินิยตั ินิยม” (นิ+ยตฺต+ิ นิยม) ถอื ว่า สง่ิ ทงั้ หลาย ในจกั รวาลเป็นไปตามกฎทต่ี ายตวั เจตจำ� นงเสรขี องมนุษยไ์ ม่เป็นไปโดยอสิ ระ แต่ถกู กำ� หนดโดยภาวะทางจติ และทางวตั ถุ เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๓ อชิตเกสกมั พล อชติ เกสกมั พล เป็นผูม้ ชี ่อื เสยี งก่อนพทุ ธกาลเลก็ นอ้ ย คำ� ว่า เกสกมั พล แปลว่า ผูม้ ผี า้ นุ่งผา้ ห่มทท่ี ำ� ดว้ ยผม เป็นผา้ ทห่ี ยาบและน่าเกลยี ด มแี นวความคดิ หนกั ไปในวตั ถนุ ิยมยง่ิ กวา่ ลทั ธใิ ด มแี นวคดิ รุนแรงคดั คา้ น คำ� สอนทกุ ลทั ธริ วมทงั้ พระพทุ ธศาสนาดว้ ย อชติ ะ เกสกมั พล ศาสดาแห่งลทั ธนิ ้ี ประกาศคำ� สอนวา่ สรรพสง่ิ ทง้ั ปวงเป็นส่วนประกอบของธาตทุ ง้ั ๔ ไดแ้ ก่ ดนิ นำ�้ ลม และไฟ เมอ่ื จบชวี ติ ลง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทม่ี าจากธาตใุ ดกต็ าม ย่อมกลบั คนื สู่ธาตนุ นั้ เช่น ผวิ สลายคนื สู่ธาตดุ นิ เลอื ดสลายคนื สู่ธาตนุ ำ�้ ลมหายใจสลายคนื สู่ธาตลุ ม ชวี ติ สลายคนื สู่ธาตไุ ฟ เป็นตน้ หมายความวา่ ตายแลว้ ไมม่ เี กดิ อกี ตายแลว้ ดบั สูญแมก้ ระทงั่ จติ คำ� สอนน้ีจดั เป็น “อจุ เฉทวาท”ี หมายถงึ เช่อื วา่ หลงั จากตายแลว้ อตั ตาดบั สูญ ทศั นะของครูอชติ ะ เกสกมั พล18 “ทานไมม่ ผี ล, การบูชาไมม่ ผี ล, การเซน่ สรวงไมม่ ผี ล, ผลวบิ ากแหง่ กรรม ทท่ี ำ� ดที ำ� ชวั่ ไมม่ ,ี โลกน้ไี มม่ ,ี โลกหนา้ ไมม่ ,ี มารดาไมม่ คี ณุ , บดิ าไมม่ คี ณุ , สตั วผ์ ูเ้กดิ ผดุ ข้นึ 19 ไมม่ ี สมณพราหมณ์ ผูด้ ำ� เนินชอบ ปฏบิ ตั ชิ อบ ซง่ึ กระทำ� โลกน้ีและโลกหนา้ ใหแ้ จง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง แลว้ สอนผูอ้ น่ื ใหร้ ูแ้ จง้ ไมม่ ี ในโลก มนุษยค์ อื ทป่ี ระชมุ แห่งมหาภตู รูป ๔ เมอ่ื ส้นิ ชวี ติ ธาตดุ นิ ไปตามธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ไปตามธาตนุ ำ�้ ธาตไุ ฟ ไปตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตามธาตลุ ม อนิ ทรยี ท์ งั้ หลายย่อมผนั แปรไปเป็นอากาศธาตุ มนุษยม์ เี ตยี งนอนเป็นท่ี ๕ นำ� ศพไป20 ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าชา้ กลายเป็นกระดูกขาวโพลน ดุจสนี กพริ าบ การเซ่นสรวงส้นิ สุดลงแค่ เถา้ ถา่ นคนเขลาบญั ญตั ทิ านน้ีไว้ คำ� ทค่ี นบางพวกยำ�้ วา่ มผี ลนน้ั วา่ งเปลา่ เทจ็ ไรส้ าระ เมอ่ื ส้นิ ชวี ติ ไมว่ า่ คนเขลา หรอื คนฉลาดย่อมขาดสูญไมเ่ กดิ อกี ’21 18 เจา้ ลทั ธชิ ่อื อชติ ะ ผูน้ ุ่งห่มผา้ ทท่ี ำ� ดว้ ยผมของมนุษย์ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๓/๑๓๑. 19 โอปปาตกิ ะ สตั วท์ เ่ี กดิ และเตบิ โตเตม็ ทท่ี นั ที และเมอ่ื จตุ ิ (ตาย) กห็ ายวบั ไป ไมท่ ้งิ ซากศพไว้เช่น เทวดาและสตั วน์ รก เป็นตน้ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๗๑/๑๔๙. 20 เวลาหามศพจะใชบ้ รุ ุษ ๔ คนเดนิ หามเตยี งนอนไป ฉะนนั้ จงึ ชอ่ื วา่ มเี ตยี งเป็นท่ี ๕ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๗๑/๑๕๐. 21 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๑/๕๖-๕๗. 02. - 2 (30-69).indd 40 5/10/2022 12:56:01 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 41 เมอ่ื พระเจา้ อชาตศิ ตั รูถามถงึ สามญั ผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ครูอชติ ะ เกสกมั พล กลบั ตอบถงึ ความขาดสูญ เปรยี บเหมอื นเขาถามถงึ มะมว่ ง ตอบขนุนสำ� มะลอ หรอื เขาถามถงึ ขนุนสำ� มะลอ ตอบมะมว่ ง เจา้ ลทั ธิ ทช่ี ่อื วา่ อชติ ะ เกสกมั พล น้ี ไดช้ อ่ื วา่ เป็นพวก คอื ลทั ธนิ ้ีมคี วามเหน็ วา่ ไมม่ ผี ล คอื การทำ� บญุ ทำ� ทาน การบูชาไมม่ ผี ล เจา้ ลทั ธชิ ่อื วา่ อชติ ะเกสกมั พลน้ี สอนเร่อื ง “อจุ เฉททฏิ ฐ”ิ (Annihilationism)22 ดว้ ย หรอื อจุ เฉทวาทะ = ลทั ธทิ ถ่ี อื วา่ หลงั จากตายแลว้ อตั ตาขาดสูญ23 คอื เหน็ วา่ สตั วท์ งั้ หลายตายแลว้ สูญ เป็นอภปิ รชั ญาของอชติ ะ เกสกมั พล ปรชั ญาของอชติ ะเกสกมั พล เป็นระบบอจุ เฉทวาท คอื เหน็ วา่ มนุษยเ์ มอ่ื ตายแลว้ กข็ าดสูญไมม่ กี ารเกดิ ใหม่ หรอื ภพหนา้ หากจะเรยี กตามแนวของปรชั ญาในสมยั ปจั จบุ นั กเ็ รยี กวา่ “ปรชั ญาฝ่ายวตั ถนุ ยิ ม” (Materialism) เพราะปรชั ญาสำ� นกั น้ียนื ยนั วา่ ความแทจ้ รงิ นนั่ คอื วตั ถคุ อื ธาตุ ๔ โดยถอื วา่ ธาตทุ ง้ั ๔ น้ี เป็นวตั ถธุ าตุ เมอ่ื มา รวมกนั อย่างไดส้ ดั ส่วนก็เป็นร่างกาย จติ วญิ ญาณก็เกดิ จากการรวมกนั เขา้ ของวตั ถธุ าตทุ ง้ั ๔ หรอื เป็นผลผลติ จากการรวมตวั กนั ของธาตุ ๔ ของตาย กค็ อื การทธ่ี าตทุ ง้ั ๔ แยกออกจากกนั ส่วนทเ่ี ป็นธาตดุ นิ กแ็ ยกกลบั คนื สู่ดนิ ธาตนุ ำ�้ กก็ ลบั คนื สู่นำ�้ ธาตลุ มกก็ ลบั คนื สู่ลม และธาตไุ ฟไมม่ อี ะไรเหลอื ใหร้ ูว้ า่ เป็นร่างกาย หรอื ร่างกายกไ็ ม่ ปรากฏใหเ้ ห็นอีกต่อไป ในส่วนท่ีเป็นจิต และความรูส้ ึกนึกคิดท่ีเกิดจากการรบั รูท้ างประสาทสมั ผสั ทง้ั ๕ กป็ ลาสนาการไปพรอ้ มกบั การดบั สลายของร่างกาย คอื ธาตุ ๔ ไมม่ เี หลอื อยู่เลยจติ หรอื วญิ ญาณหรอื อาตมนั ทเ่ี ชอ่ื กนั วา่ เป็นอมตะ เป็นสง่ิ แทจ้ รงิ เป็นสง่ิ ทด่ี ำ� รงอยู่ชวั่ นิรนั ดร และเป็นเอกเทศจากร่างกาย เมอ่ื ร่างกายดบั สลาย แต่วญิ ญาณหรืออาตมนั ยงั คงอยู่ และล่องลอยไปเพ่อื เขา้ อาศยั อยู่กบั ร่างใหม่นนั้ เป็นความเช่ือท่เี ลอ่ื นลอย และเหลวไหล เพราะจติ หรอื วญิ ญาณเป็นสง่ิ ทอ่ี าศยั กายเกดิ มขี ้นึ เมอ่ื ร่างกายดบั จติ หรอื วญิ ญาณกด็ บั และสลาย หายไปไมเ่ หลอื ไมม่ อี ะไรลอ่ งลอย อภปิ รชั ญาของอชติ ะเกสกมั พล มชี ่อื เรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ “นตั ถกิ ทฏิ ฐ”ิ (Nihilistic view; Nihilism)24 เพราะมที ศั นะวา่ “ไมม่ ”ี หมายถงึ โลกน้ีไมม่ ี โลกหนา้ ไมม่ ใี นความหมายของปรชั ญาของอชติ ะ เกสกมั พล คำ� วา่ “โลกน้ีไมม่ ”ี มไิ ดห้ มายความวา่ เขาปฏเิ สธวา่ โลกทางวตั ถทุ เ่ี ราอาศยั อยู่น้ีไมม่ ี แต่หมายความวา่ ตวั บคุ คลทแ่ี ทจ้ รงิ ในปจั จุบนั น้ีไม่มี เพราะทุกส่งิ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่งิ ท่มี ชี ีวติ หรือไม่มชี ีวติ ก็ลว้ นแต่เป็นเพยี งสภาพแห่งการ รวมตวั กนั ของวตั ถธุ าตุ ทงั้ ๔ ทง้ั ส้นิ เมอ่ื วตั ถธุ าตุ ทงั้ ๔ มกี ารรวมตวั กนั เมอ่ื ใด สง่ิ ต่าง ๆ กป็ รากฏข้นึ แต่เป็น สง่ิ ทไ่ี มแ่ ทจ้ รงิ และเมอ่ื ใดวตั ถดุ งั กลา่ วมนั แยกตวั ออกจากกนั ความเป็นสง่ิ นนั้ สง่ิ น้ีกไ็ มม่ อี กี ต่อไปสง่ิ ทเ่ี หลอื อยู่ 22 อจุ เฉททฏิ ฐิ คอื ความเหน็ วา่ ขาดสูญ, ความเหน็ วา่ อตั ตาและโลกซง่ึ จกั พนิ าศขาดสูญหมดส้นิ ไป อา้ งใน ส.ํ ข. (บาล)ี ๑๗/๑๗๙-๑๘๐/๑๒๐. 23 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๐/๕๖. 24 นตั ถกิ ทฏิ ฐิ (นตถฺ กิ +ทฏิ ฐฺ )ิ คอื ความเหน็ วา่ ไมม่ ,ี เหน็ วา่ ไมม่ กี ารกระทำ� หรอื สภาวะทจ่ี ะกำ� หนดเอาเป็นหลกั ได้ 02. - 2 (30-69).indd 41 5/10/2022 12:56:01 PM
42 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา กค็ อื ธาตุ ๔ คอื ดนิ นำ�้ ลม และไฟ เท่านน้ั ดงั นนั้ ตามทศั นะของปรชั ญาสำ� นกั น้ีจงึ ถอื วา่ โลกน้ีไม่ หมายถงึ โลกน้ีเป็นสง่ิ ทไ่ี มแ่ ทจ้ รงิ เพราะมกี ารเกดิ ข้นึ ดำ� รงอยู่ และสลายไปในทส่ี ุด เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๔ ปกธุ ะกจั จายนะ เลา่ กนั วา่ ปกธุ กจั จายนะ เกดิ ในตระกูลพราหมณ์ ในวยั เดก็ มคี วามสนใจทางศาสนาเป็นอย่างยง่ิ เมอ่ื โตข้นึ จงึ ออกบวชแสวงหาโมกขธรรม เมอ่ื คดิ วา่ ตนบรรลธุ รรมแลว้ กต็ ง้ั ตวั เป็นอาจารยส์ งั่ สอนประชาชน ปกธุ กจั จายนะเป็นผูห้ า้ มนำ�้ เยน็ แมจ้ ะถา่ ยอจุ จาระกไ็ มใ่ ชน้ ำ�้ เยน็ ลา้ งเขาใชเ้ฉพาะนำ�้ รอ้ นหรอื นำ�้ ขา้ วเท่านน้ั การเดนิ ผ่านแมน่ ำ�้ หรอื เดนิ ลยุ แอ่งนำ�้ บนถนนถอื วา่ ศีลขาด เมอ่ื ศีลขาดเขาจะก่อทรายทำ� เป็นสถปู แลว้ อธษิ ฐานศีล จากนนั้ จงึ ค่อยเดนิ ต่อไป ปกธุ ะ กจั จายนะ ศาสดาแห่งลทั ธนิ ้ีประกาศคำ� สอนวา่ สรรพสง่ิ มคี วามเทย่ี งจาก ธาตทุ งั้ ๗ ไดแ้ ก่ ดนิ นำ�้ ลม ไฟ สุข ทกุ ข์ และชวี ะ (ชวี ติ ) ธาตทุ ง้ั ๗ เป็นธาตทุ ม่ี สี ภาพเทย่ี งแท้ ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง มคี วามเป็นนริ นั ดร์ คำ� สอนน้ีจดั เป็น “สสั ตวาท”ี หมายถงึ เช่อื วา่ อตั ตาและโลกเทย่ี ง ทรรศนะของครูชอ่ื ปกธุ ะ กจั จายนะ25 สภาวะ ๗ กองน้ี ไมม่ ผี ูส้ รา้ ง ไมม่ ผี ูบ้ นั ดาล ไมม่ ผี ูเ้นรมติ ไมม่ ี ผูใ้ หเ้นรมติ ยงั่ ยนื มนั่ คงดจุ ยอดภเู ขา ดจุ เสาระเนยี ด ไมห่ วนั่ ไหว ไมผ่ นั แปร ไมก่ ระทบกระทงั่ กนั ไมก่ ่อใหเ้กดิ สุข หรอื ทกุ ข์ หรอื ทง้ั สุขและทกุ ขแ์ ก่กนั และกนั สภาวะ ๗ กองนน้ั คอื อะไรบา้ ง คอื กองแห่งธาตดุ นิ กองแห่งธาตนุ ำ�้ กองแห่งธาตไุ ฟ กองแห่งธาตลุ ม กองสุข กองทกุ ข์ กองชวี ะ สภาวะ ๗ กองเหลา่ น้ี ไมม่ ผี ูส้ รา้ ง ไมม่ ผี ูบ้ นั ดาล ไมม่ ผี ูเ้นรมติ ไมม่ ผี ูใ้ หเ้นรมติ ยงั่ ยนื มนั่ คงดุจยอดภูเขา ดุจเสาระเนียด ไม่หวนั่ ไหว ไม่ผนั แปร ไม่กระทบกระทงั่ กนั ไม่ก่อใหเ้ กิดสุขหรือทุกข์ หรอื ทงั้ สุขและ ทกุ ขแ์ ก่กนั และกนั ในสภาวะ ๗ กองนน้ั ไมม่ ผี ูฆ้ ่า ไมม่ ผี ูใ้ ชใ้ หค้ นอน่ื ฆ่า ไมม่ ผี ูฟ้ งั ไมม่ ผี ูใ้ ชใ้ หค้ นอน่ื ฟงั ไมม่ ผี ูร้ ู้ ไมม่ ผี ูท้ ำ� ให้ คนอ่นื รู้ ใครก็ตามแมจ้ ะเอาศสั ตราคมตดั ศีรษะใคร ก็ไม่ช่ือว่าปลงชีวติ ใครได้ เพราะเป็นเพยี งศสั ตราแทรก ผ่านไประหวา่ งสภาวะ ๗ กองเท่านน้ั เอง26 เมอ่ื พระเจา้ อชาตศตั รู ถามถงึ สามญั ผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ครูปกธุ ะ กจั จายนะ กลบั เอาเร่อื งอน่ื มาพยากรณ์ เปรยี บเหมอื นเขาถามถงึ มะมว่ งตอบ ขนุนสำ� มะลอ หรอื เขาถามถงึ ขนุนสำ� มะลอ ตอบมะมว่ ง ในทางอภปิ รชั ญา เรยี กวา่ “ลทั ธปิ รมาณูนิยม” (Atomism) ถอื วา่ สง่ิ ต่าง ๆ เกดิ จากการวมตวั ของปรมาณู ซง่ึ เป็นสว่ นย่อยทส่ี ุดและ แบง่ ออกไป ถา้ เขา้ ใจส่วนย่อยๆ แต่ละส่วนแลว้ กจ็ ะเขา้ ใจส่วนรวมได้ เจา้ ลทั ธทิ ช่ี อ่ื วา่ ปกธุ ะกจั จายนะ น้ีช่อื วา่ “นตั ถกิ ทฏิ ฐ”ิ (Nihilistic view; Nihilism) ความเหน็ วา่ ไมม่ ,ี ลทั ธทิ ถ่ี อื วา่ ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั ,27 หมายความวา่ ถอื วา่ ไมม่ กี ารกระทำ� หรอื สภาวะทจ่ี ะกำ� หนดเอาเป็นหลกั ได้ คอื เหน็ วา่ ทกุ สง่ิ ในโลก ไมม่ ี 25 เจา้ ลทั ธชิ อ่ื อชติ ะ ผูน้ ุ่งห่มผา้ ทท่ี ำ� ดว้ ยผมของมนุษย์ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๓/๑๓๑. 26 ท.ี ส.ี (บาล)ี ๙/๑๗๔/๕๗-๕๘. 27 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๓/๕๗. 02. - 2 (30-69).indd 42 5/10/2022 12:56:01 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 43 อีกนยั หน่ึง อาจารยบ์ างท่านบอกว่า ปกุธะกจั จายนะ สสั สตทิฏฐิ (Externalism)28 คือ ลทั ธิน้ี มคี วามเหน็ วา่ สง่ิ ทง้ั หลายเคยเกดิ อย่างไร กเ็ ป็นไปอย่างนน้ั เช่นโลกเทย่ี ง จติ เทย่ี ง สตั วท์ งั้ หลายเคยเกดิ อย่างไร ก็เป็นไปอย่างนนั้ ต่อไปตลอดกาล ดนิ นำ�้ ลม ไฟ เป็นของเทย่ี ง การฆ่ากนั นน้ั ไม่มใี ครฆ่าใคร เป็นเพยี งแต่ เอาศาสตราสอดเขา้ ไปในธาตคุ อื ร่างเท่านน้ั ซง่ึ ยงั่ ยนื ไมม่ อี ะไรทำ� ลายได้ เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๕ นิครนถน์ าฏบตุ ร นิครนถนาฏบตุ ร หรอื ศาสดามหาวรี ะ (Mahavira) เกดิ ทก่ี ณุ ฑคาม เมอื งไวสาลี แควน้ วชั ชขี องพวก เจา้ ลจิ ฉวี มหาวรี ะเป็นศิษยข์ องท่านปารศ์ วา ซง่ึ เป็นศาสดาองคท์ ่ี ๒๓ ในศาสนาเชนผูม้ อี ายุห่างจากท่านมหาวรี ะ ถงึ ๒๕๐ ปี ท่านมหาวรี ะ (นคิ รนถน์ าฏบตุ ร) เป็นศาสดาองคท์ ่ี ๒๔ ไดส้ งั่ สอนอยู่ ๓๐ ปี จงึ มรณภาพ ภายหลงั เมอ่ื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อบุ ตั ขิ ้นึ สาวกของนคิ รนถนาฏบตุ รจำ� นวนมาก ไดเ้ปลย่ี นมาเป็นพทุ ธสาวก ทรรศนะครูนิครนถน์ าฏบตุ ร “นิครนถใ์ นโลกน้ี สำ� รวมดว้ ยการสงั วร ๔ อย่าง คอื (๑) เวน้ นำ�้ ดบิ ทกุ อย่าง (๒) ประกอบกจิ ทเ่ี วน้ จากบาปทกุ อย่าง (๓) ลา้ งบาปทกุ อย่าง (๔) รบั สมั ผสั ทกุ อย่างโดยไมใ่ หเ้กดิ บาป, นิครนถ์ สำ� รวมดว้ ยการสงั วร ๔ อย่างน้ี ดงั นน้ั บณั ฑติ จงึ เรียกว่า เป็นผูม้ ตี นถงึ ท่สี ุดแลว้ มตี นสำ� รวมแลว้ มตี น ตง้ั มนั่ แลว้ ’29 เมอ่ื พระเจา้ อชาตศตั รู ถามถงึ สามญั ผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ครูนคิ รนถน์ าฏบตุ ร กลบั ตอบถงึ สงั วร ๔ ประการ เปรยี บเหมอื นเขาถามถงึ มะมว่ ง ตอบขนุนสำ� มะลอ หรอื เขาถามถงึ ขนุนสำ� มะลอ ตอบมะมว่ ง เจา้ ลทั ธิน้ี มชี ่ือว่านิครนถน์ าฏบุตร30 มแี นวปฏบิ ตั ิในลทั ธิตน ๒ แบบคือ อตั ตกิลมถานุโยค และ อเนกนั ตวาท ๑. อตั ตกลิ มถานุโยค31 คือ การประกอบความลำ� บากเดอื ดรอ้ นแก่ตนเอง, การบบี คนั้ ทรมานตน ใหเ้ดอื ดรอ้ น, เป็นลทั ธิทถ่ี อื ว่าการทรมานตนเองเป็นการเผากิเลส ฯ ลทั ธิน้ีส่วนใหญ่แลว้ เนน้ แนวปฏบิ ตั ิ คือ ถอื การทรมานกาย วา่ เป็นทางไปสู่ความพน้ ทกุ ข์ มคี วามเป็นอยู่เขม้ งวดกวดขนั ต่อร่างกาย เช่น อดขา้ ว อดนำ�้ ตากแดด ตากลม ไมน่ ุ่งห่มผา้ เช่น พวกนคิ รนถ์ ตวั อย่างเจา้ ลทั ธนิ ้ีคอื นิครนถน์ าฏบตุ ร หรอื ท่านศาสดามหาวรี ะ ศาสดาองคท์ ่ี ๒๔ ของศาสนาเชน ๒. อเนกานตวาท ในแงข่ องปรชั ญา เนน้ การมองความจรงิ ดว้ ยมมุ มองทห่ี ลากหลาย หรอื ทเ่ี รยี กวา่ อเนกนั ตวาท 28 สสั สตทฏิ ฐิ (Eternalism) คอื ความเหน็ วา่ เทย่ี ง, ความเหน็ วา่ อตั ตาและโลกเทย่ี งแทย้ งั่ ยนื คงอยู่ตลอดไป อา้ งใน ส.ํ ข. (บาล)ี ๑๗/๑๗๘-๑๘๐/๑๒๐. 29 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๘/๕๘-๕๙. 30 นิครนถ์ ผูเ้ป็นบตุ รของนกั ฟ้อน อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๖/๑๓๒. 31 ว.ิ ม. (บาล)ี ๔/๑๓/๑๘. 02. - 2 (30-69).indd 43 5/10/2022 12:56:02 PM
44 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา อภปิ รชั ญาของเชน มลี กั ษณะเป็นพหสุ จั นยิ ม (Pluralistic Realism) หรอื สมั พทั ธสจั นยิ ม (Relativistic Realism) ซง่ึ มที ฤษฎที ส่ี ำ� คญั เรยี กวา่ “อเนกนั ตวาท” หมายถงึ ทฤษฎที ว่ี า่ ดว้ ยความมากหลายแห่งสง่ิ แทจ้ รงิ ปรชั ญาเชนใหท้ ศั นะวา่ อนั ตมิ ะสจั จะ (Ultimate Reality) มโี ครงสรา้ งสลบั ซบั ซอ้ น การมองสภาพแทจ้ รงิ สูงสุด จำ� เป็นตอ้ งมองจากหลาย ๆ ดา้ น หลาย ๆ มมุ จงึ จะเขา้ ถงึ ธรรมชาตทิ แ่ี ทจ้ รงิ ของมนั ไดก้ ารมองปญั หาเพยี ง ดา้ นเดยี วหรอื มองดา้ นใดดา้ นหน่งึ ของสภาพแทจ้ รงิ โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ดา้ นอน่ื ๆ กเ็ ปรยี บเสมอื นคนตาบอดคลำ� ชา้ ง ปรชั ญาเชน กล่าวว่า สภาพแทจ้ ริง (Reality) คือ ความเป็นนิจนิรนั ดรท่ามกลาง ควรเปลย่ี นแปลง ความเป็นเอกลกั ษณ์ ท่ามกลางอเนกลกั ษณ์ และความเป็นเอกภาพ (Unity) ท่ามกลางคุณภาพ (Multiplicity) ปรชั ญาเชนไดใ้ หน้ ิยามคำ� ว่า “สภาพแทจ้ ริง” ไวว้ ่า สภาพแทจ้ ริง คือธรรมชาติของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ของการสาบสูญ และธรรมชาตขิ องความถาวร ทง้ั สามประการน้ีรวมกนั ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างในธรรมชาตจิ ะตอ้ งมี ลกั ษณะของทงั้ สามประการดงั กลา่ วแลว้ เจา้ ลทั ธคิ นท่ี ๖ สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร สญั ชยั เวลฏั ฐบุตรเป็นคณาจารยท์ ่ีมีช่ือเสียงท่านหน่ึงในสมยั พุทธกาล พระมหาโมคคลั ลานะและ พระสารีบุตร เมอ่ื ครงั้ ยงั เป็นอุปติสะและโกลติ มานพ ก็เคยศึกษาอยู่กบั ท่านซ่งึ เป็นเจา้ ลทั ธิของพวกปริพาชก ตงั้ สำ� นกั เผยแพร่อยู่ทเ่ี มอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ชาวมคธเป็นจำ� นวนมากต่างนบั ถอื ในเจา้ ลทั ธนิ ้ี แต่เมอ่ื อปุ ตสิ ะ และโกลติ มานพพรอ้ มบริวารจำ� นวนมากออกจากสำ� นกั ไปขอบวชกบั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร จงึ กระอกั เลอื ดจนถงึ แก่มรณกรรม ทรรศนะครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร32 “โลกน้ี โลกหนา้ ผลวบิ ากแห่งกรรม อย่างน้ีก็มใิ ช่, อย่างนน้ั ก็มใิ ช่, อย่างอน่ื กม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่ จะวา่ มใิ ช่ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่” สตั วต์ ายแลว้ เกดิ กม็ ใิ ช่ ไมเ่ กดิ กม็ ใิ ช่ เกดิ ดว้ ยไมเ่ กดิ ดว้ ย อย่างน้ีกม็ ใิ ช่, อย่างนน้ั กม็ ใิ ช่, อย่างอน่ื กม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่ จะวา่ มใิ ช่ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่” เมอ่ื พระเจา้ อชาตศิ ตั รูถามถงึ สามญั ผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ครูสญชยั เวลฏั ฐบตุ ร กลบั ตอบสา่ ยไป เปรยี บเหมอื น เขาถามถงึ มะมว่ ง ตอบขนุนสำ� มะลอ หรอื เขาถามถงึ ขนุนสำ� มะลอ ตอบมะมว่ ง พระเจา้ อชาตศิ ตั รูมคี วามดำ� รวิ า่ ในบรรดาสมณพราหมณเ์ หลา่ น้ี ครูสญชยั เวลฏั ฐบตุ รน้ี โงก่ วา่ เขาทง้ั หมด งมงายกวา่ เขาทง้ั หมด เจา้ ลทั ธนิ ้ีคอื สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร เป็นเจา้ ลทั ธทิ ม่ี วี าทะในการพดู ไมแ่ น่นอน ไมต่ ายตวั ด้นิ ไปมา ร่นื ไหล ด้นิ อยู่ไดต้ ลอดเวลา จงึ เรียกวาทะน้ีว่า “อมราวิกเขปวาท หรือ อมราวิกเขปิ กทิฏฐ”ิ ลทั ธิน้ี มคี วามคิดเหน็ ไมแ่ น่นอน ซดั ส่ายไหลลน่ื เหมอื นปลาไหล จงึ ไดช้ ่อื วา่ “วาทปลาไหล หรอื วาทะปลาไหลใส่สะเกด็ ” เพราะเหตุ หลายประการ เช่น เกรงจะพดู ปด เกรงจะเป็นการยดึ ถอื เกรงจะถกู ซกั ถาม เพราะโงเ่ ขลา จงึ ปฏเิ สธวา่ อย่างน้ี กไ็ มใ่ ช่ อย่างนน้ั กไ็ มใ่ ช่ ไมย่ อมรบั และไมย่ นื ยนั อะไรทง้ั หมด เพราะเกรงกลวั จะพดู ผดิ ไมม่ ใี ครเช่อื ถอื และให้ 32 เจา้ ลทั ธชิ อ่ื สญั ชยั ผูเ้ป็นบตุ รของช่างสาน อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๕๔/๑๓๒. 02. - 2 (30-69).indd 44 5/10/2022 12:56:02 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 45 ความเคารพในการพูดของตนน้ีแหละ อาจารยบ์ างท่าน เรยี กวาทะน้ี วา่ “อวริ ุทธกะ” กลา่ วคอื “เหตทุ ไ่ี มก่ ลา้ ยนื ยนั อะไรเพราะกลวั จะพดู เทจ็ , เกรงวา่ จะมผี ูเ้ชอ่ื ถอื อย่างจรงิ ๆ จงั ๆ, กลวั ถกู ซกั ถาม, และเพราะตนเองนนั้ ไมม่ อี ะไรจรงิ จงั กเ็ ลยไมย่ นื ยนั ไมม่ จี ดุ ยนื ” สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ถอื วา่ “มนุษยม์ คี วามรู้ กจ็ รงิ แต่ความรูบ้ างอย่างมนุษยไ์ มส่ ามารถเขา้ ถงึ ได้คอื รูไ้ มไ่ ด้ ดงั นนั้ สญั ชยั จงึ ไมก่ ลา่ วยนั ยนั เร่อื งใด” ในทางปรชั ญาเรยี กวา่ “ไญยนยิ ม” (Agnosticism) ตวั อย่างทฤษฎอี มราวกิ เขปวาทะ คอื ลทั ธทิ ล่ี บเลย่ี งไมแ่ น่นอน33 สำ� นวนปรชั ญา เรยี กวา่ “วาทปลาไหล ด้ินไดไ้ ม่ตายตวั ไหลร่ืนไปเร่ือย ๆ” หรือ อวิรุทธกะ แปลว่า กลวั ผดิ พลาด, กลวั พลง้ั พลาด ท่เี ป็นเช่นน้ี เพราะเหตทุ ไ่ี ม่กลา้ ยนื ยนั เพราะกลวั พูดผดิ กลวั ถกู ลา่ วหาว่าพูดเทจ็ , เพราะเกรงว่าจะมคี นเช่อื จรงิ จงั , กลวั ว่า จะถกู ซกั ถามแลว้ ตอบไมไ่ ด,้ กลวั วา่ จบั ถกู จบั ไดว้ า่ ตนเอง ไมร่ ูอ้ ะไรจรงิ เลย) มที ศั นะดงั น้ี “อย่างน้ีกม็ ิใช่, อย่างน้นั กม็ ิใช่, อย่างอน่ื กม็ ิใช่, จะว่าไม่ใช่กม็ ิใช่ จะวา่ มิใช่ไม่ใช่กม็ ิใช่” วาทะของศาสดาสญชยั เวลฏั ฐบตุ ร ทถ่ี กู พระเจา้ อชาตศตั รู ถามดงั น้วี า่ “โลกหนา้ มจี รงิ หรอื ? หากอาตมภาพ มคี วามเหน็ วา่ มจี รงิ , กจ็ ะทูลตอบวา่ มจี รงิ , แต่อาตมภาพ มคี วามเหน็ วา่ อย่างน้ีกม็ ใิ ช่, อย่างนน้ั กม็ ใิ ช่, อย่างอน่ื กม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่ จะวา่ มใิ ช่ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่” ถา้ ถามวา่ “โลกหนา้ ไมม่ หี รอื ? ฯลฯ โลกหนา้ มแี ละไมม่ หี รอื ? ฯลฯ โลกหนา้ จะวา่ มกี ม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมม่ กี ม็ ใิ ช่ หรอื ฯลฯ สตั วท์ ผ่ี ดุ เกดิ มจี รงิ หรอื ฯลฯ สตั วท์ ผ่ี ดุ เกดิ ไมม่ หี รอื ฯลฯ สตั วท์ ผ่ี ดุ เกดิ มแี ละไมม่ หี รอื ฯลฯ สตั วท์ ่ี ผดุ เกดิ จะวา่ มกี ม็ ใิ ช่ จะวา่ ไมม่ กี ม็ ใิ ช่หรอื ฯลฯ ผลวบิ ากแห่งกรรมดกี รรมชวั่ มจี รงิ หรอื ? ฯลฯ ผลวบิ าก แห่งกรรมดกี รรมชวั่ ไมม่ หี รอื ? ฯลฯ ผลวบิ าก แห่งกรรมดกี รรมชวั่ มแี ละไมม่ หี รอื ? ฯลฯ ผลวบิ ากแห่งกรรมดกี รรมชวั่ จะวา่ มกี ม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมม่ กี ม็ ใิ ช่หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคต34 เกดิ อกี หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคตไมเ่ กดิ อกี หรอื ? ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคตเกดิ อกี และไมเ่ กดิ อกี หรอื ? ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะวา่ เกดิ อกี กม็ ใิ ช่, จะว่าไม่เกิดอกี ก็มใิ ช่หรือ ? หากอาตมภาพมคี วามเหน็ ว่า หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะว่าเกิดอกี ก็มใิ ช่ จะว่า ไมเ่ กดิ อกี กม็ ใิ ช่ กจ็ ะทูลตอบวา่ หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะวา่ เกดิ อกี กม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมเ่ กดิ อกี กม็ ใิ ช่, แต่อาตมภาพ มคี วามเหน็ วา่ อย่างน้ีกม็ ใิ ช่, อย่างนนั้ กม็ ใิ ช่, อย่างอน่ื กม็ ใิ ช่, จะวา่ ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่ จะวา่ มใิ ช่ไมใ่ ช่ กม็ ใิ ช่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ หมอ่ มฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร กลบั ตอบหลบเลย่ี ง เปรยี บเหมอื นเขาถามเร่อื งมะมว่ งกลบั ตอบเร่อื งขนุนสำ� ปะลอ หรอื เขาถามเร่อื งขนุนสำ� ปะลอ กลบั ตอบเร่อื งมะมว่ ง หมอ่ มฉนั จงึ คดิ วา่ คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณผ์ ูอ้ ยู่ในราชอาณาเขตไดอ้ ย่างไรกนั 33 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๙/๕๘. 34 คำ� วา่ “ตถาคต” ในทน่ี ้เี ป็นคำ� ทล่ี ทั ธอิ น่ื ๆ ใชก้ นั มาก่อนพทุ ธกาล หมายถงึ อตั ตา (อาตมนั ) ไมไ่ ดห้ มายถงึ พระพทุ ธเจา้ อรรถกถาอธบิ ายวา่ หมายถงึ สตั ตะ (สตั วะ ปคุ คละ โปสะ ซง่ึ ในทน่ี ้ีหมายถงึ ความยดึ มนั่ วา่ เป็นสตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขานนั่ เอง) อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๖๕/๑๐๘. 02. - 2 (30-69).indd 45 5/10/2022 12:56:02 PM
46 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา หมอ่ มฉนั จงึ ไมช่ น่ื ชมไมต่ ำ� หนคิ ำ� กลา่ วของครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ รถงึ ไมช่ ่นื ชมไมต่ ำ� หนิ แต่กไ็ มพ่ อใจ และไมเ่ ปลง่ วาจาแสดงความไมพ่ อใจออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ ส่ใจคำ� กลา่ วนนั้ กไ็ ดล้ กุ จากทน่ี งั่ จากไป35 ศิษยเ์ ก่าของสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ทม่ี ชี ่อื เสยี งในสมยั พทุ ธกาล คอื อปุ ตสิ สปรพิ พาชก และโกลติ ปรพิ พาชก เขา้ ไปศึกษาลทั ธนิ กิ ายในสำ� นกั น้ี ผูท้ เ่ี คยเป็นธมั มาจารยเ์ ดมิ ของท่านพระโมคคลั ลานเถระ และพระสารบี ตุ รเถระ นนั่ เอง, สุปปิยปรพิ พาชก และทฆี นขปรพิ พาชก ผูเ้ป็นหลานของพระสารบี ตุ ร (แต่ฝ่ายมหายานบอกวา่ เป็นหลาน ของสญั ชยั ปรพิ พาชก) สำ� หรบั ทฆี นขปรพิ พาชก ผูน้ ้ีมนี ิสยั ขอบตะลบตะแลง บางครง้ั ยอมรบั ทกุ อย่าง บางครง้ั ไมย่ อมรบั อะไรเลยทง้ั ส้นิ ดงั บาลวี า่ “สพพฺ ํ เม นกขฺ มต”ิ ส่วน นคิ รนถน์ าฏบตุ ร ไดน้ ำ� วธิ ี “สยาทวาท”์ ของสญั ชยั เวลกั ฐบตุ ร ไปใช้ อน่ึงลทั ธขิ องสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ รน้ี ในทางอภปิ รชั ญาเรยี กวา่ “อไญยนิยม” (Agnosticism)36 โดยมที รรศนะวา่ “มคี วามรูบ้ างอย่าง ทม่ี นุษยไ์ มส่ ามารถเขา้ ถงึ ได้ คอื รูไ้ มไ่ ด”้ ดงั นน้ั สญั ชยั จงึ ไมก่ ลา่ วยนื ยนั ใน เร่อื งใด สรุปลทั ธคิ รูทงั้ ๖ ในสมยั นนั้ ประกาศตนเองวา่ “เป็นเจา้ หมู่ เจา้ คณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผูม้ ชี ่อื เสยี ง มเี กียรติยศ เป็นเจา้ ลทั ธิ คนจำ� นวนมากยกย่องกนั ว่าเป็นคนดี มปี ระสบการณ์มาก บวชมานาน มชี ีวติ อยู่ หลายรชั สมยั ล่วงกาลผ่านวยั มามาก”37 มชี ีวติ อยู่ก่อนพระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ และอยู่รวมสมยั กบั พระพทุ ธเจา้ เจา้ ลทั ธบิ างท่านเคยพบและเคยสนทนาและเปลย่ี นทศั นะกบั พระพทุ ธเจา้ ก็มี เจา้ ลทั ธทิ ง้ั ๖ เหลา่ น้ีไดส้ ้นิ ชวี ติ ก่อนพระพทุ ธเจา้ 38 ๒.๔ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงกอ่ นตรสั รู ้ ในหวั ขอ้ เก่ยี วกบั ประสูตเิ จา้ ชายสทิ ธตั ถะน้ี แบง่ หวั ขอ้ การนำ� เสนอเป็น ๖ เหตกุ ารณ์ ไดแ้ ก่ (๑) ความรู้ เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั พุทธประวตั ิ (๒) เหตุการณ์ก่อนประสูติ (๓) เหตุการณ์ช่วงประสูติสิทธตั ถะราชกุมาร (๔) เหตกุ ารณช์ วี ติ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ (๕) เหตกุ ารณท์ เ่ี ป็นสาเหตเุ จา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช และ (๖) เหตกุ ารณ์ ทท่ี รงผนวช ดงั น้ี 35 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๙-๑๘๑/๕๘-๖๐. 36 อไญยนิยม (agnosticism) เป็นมมุ มองทว่ี า่ ค่าความจรงิ ของการอา้ งบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การอา้ งเก่ยี วกบั การมอี ยู่หรอื ไมม่ อี ยู่ของพระเจา้ ใดๆ ตลอดจนการอา้ งอภปิ รชั ญา ศาสนาอน่ื ๆ สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ และเร่อื งเหนอื ธรรมชาตอิ น่ื ๆ วา่ “เป็ นส่งิ ท่ีมีอยู่หรอื ไม่มีอยู่ หรอื ไม่สามารถหยงั่ รูไ้ ด”้ ฯ ลทั ธอิ ไญยนิยม คือ ทศั นะทเ่ี ช่อื ว่ามนุษยเ์ ราไม่อาจรูห้ รอื พสิ ูจนไ์ ดว้ ่า พระเจา้ มจี รงิ หรอื ไม่ แต่ลทั ธิอไญยนิยมบอกว่าการทรงดำ� รงอยู่ของพระเจา้ พสิ ูจนไ์ ม่ได้ ดงั นนั้ มนั จงึ เป็นไปไม่ไดท้ เ่ี ราจะรูว้ ่า พระเจา้ ทรงมอี ยู่หรอื ไม่ พูดอกี อย่างคือ ลทั ธิอไญยนิยม เช่อื ว่าพระเจา้ อาจจะมหี รอื ไม่มกี ็ได้ ไม่ปกั ใจเช่อื ว่ามี และไม่ปกั ใจ เช่อื วา่ ไมม่ ี เน่ืองจากการเช่อื ความไมม่ อี ยู่ของพระเจา้ จงึ สอดคลอ้ งกบั ลทั ธซิ าตาน ในประเภทแบบเช่อื วา่ พระเจา้ ไมม่ อี ยู่จรงิ ซง่ึ มงุ่ เนน้ ความเป็นเอกบคุ คล และ อตั นิยมเช่นเดยี วกนั 37 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๑/๔๘. 38 ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๓/๗๙/๔๘. 02. - 2 (30-69).indd 46 5/10/2022 12:56:02 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 47 ๒.๔.๑ ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั พทุ ธประวตั ิ ในยุคบรรพกาลไดม้ ชี นเผ่าเช้ือสายอริยกะ หรืออารยนั อพยพเขา้ มาตงั้ รกรากและราชธานี ณเชิงเขา หมิ าลยั ซง่ึ เป็นชนเผ่าทอ่ี พยพเขา้ มาในภายหลงั ก่อนหนา้ นนั้ ดนิ แดนแถบน้ี เป็นทอ่ี ยู่อาศยั ของพวกมลิ กั ขะ ซง่ึ มี ความเจรญิ ทน่ี อ้ ยกวา่ พวกอรยิ กะหรอื อารยนั เป็นพวกทน่ี บั ถอื ในศาสนาพราหมณเ์ คร่งครดั และเชอ่ื ถอื ในระบบ วรรณะอยา่ งสดุ โต่ง โดยเชอ่ื วา่ วรรณะทงั้ ๔ ไมส่ ามารถทจ่ี ะแต่งงานร่วมกนั ไดถ้ า้ แต่งงานบตุ ร จะกลายเป็นจณั ฑาล ทนั ที ชนเผ่าทพ่ี วกเขาถอื วา่ ตนยง่ิ ใหญ่และบรสิ ุทธ์กิ วา่ สายเลอื ดอน่ื ๆ จงึ แต่งงานดว้ ยกนั เองภายในหมพู่ น่ี อ้ ง และวงศาคณาญาตซิ ง่ึ มอี ยู่ ๒ ตระกูล คอื ๑. ศากยวงค์ ๒.โกลยิ วงศ์ และ เพราะความถอื ตวั จดั น้ีเองทท่ี ำ� ให้ กรุงกบลิ พสั ดุถ์ ูกทำ� ลายอย่างย่อยยบั ดว้ ยอำ� นาจของพระเจา้ วฑิ ูฑภะโอรสพระเจา้ ปเสนทโิ กศลแห่งสาวตั ถี ซ่งึ พระเจา้ วฑิ ูฑภะเองก็ใช่อ่ืนไกลเป็นพระนดั ดาของพระเจา้ มหานามแห่งกรุงกบลิ พสั ดุน์ นั้ เอง พระองคถ์ ูก เหยยี ดหยามจากพระญาตถิ งึ ขนาดเอานำ�้ นมชำ� ระลา้ งสถานทท่ี กุ แหง่ ทพ่ี ระองคป์ ระทบั ในกรงุ กบลิ พสั ดคุ์ ราวเสดจ็ เยย่ี มพระญาติ โดยพวกศากยะกรุงกบลิ พสั ดุร์ งั เกยี จวา่ พระมารดาของพระองคไ์ มใ่ ช่คนวรรณะกษตั รยิ ์ แต่เป็น ทาสซี ง่ึ เป็นคนละวรรณะกบั พวกตน น่ีคอื ชนวนของการทำ� ลายลา้ งกรุงกบลิ พสั ดุใ์ นเวลาต่อมา39 แผนภมู ทิ ่ี ๒.๑ โครงสรา้ งศากยวงศแ์ ละโกลยิ วงศ4์ 0 39 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๖. 40 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๑๕. 02. - 2 (30-69).indd 47 5/10/2022 12:56:02 PM
48 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จากแผนภมู ทิ ่ี ๒.๑ แสดงใหเ้หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศากยวงศก์ บั สยิ วงศ์ ดงั น้ี ฝ่ายศากยวงศพ์ ระเจา้ ชยั เสนมพี ระราชโอรสและธดิ า ๒ พระองค์ คอื พระเจา้ สหี นุ และพระนางยโสธรา ฝ่ายโกลยิ วงศ์ มพี ระราชาทไ่ี มป่ รากฏนาม มโี อรส ๑ และธดิ า ๑ คอื พระเจา้ อญั ชนะและพระนางกาญจนา พระเจา้ สหี นุแห่งศากยวงศอ์ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางกาญจนาแห่งโกลยิ วงศ์ มพี ระโอรสและธดิ ารวม ๗ พระองค์ คอื พระเจา้ สุทโธทนะ, พระเจา้ สุกโกทนะ, พระเจา้ อมโิ ตทนะ, พระเจา้ โธโตทนะ, พระเจา้ ฆนโิ ตทนะ, พระนางปมติ า, พระนางอมติ า พระเจา้ อญั ชนะแหง่ โกลยิ วงศอ์ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางยโสธราแหง่ ศากยวงศ์ มพี ระโอรสและพระธดิ ารวม ๔ พระองค์ คอื พระเจา้ สุปปพทุ ธะ, พระเจา้ ทณั ฑปาณิ, พระนางสริ มิ หามายา, พระนางมหาปชาบดโี คตมี พระเจา้ สทุ โธทนะแหง่ ศากยวงศอ์ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางสริ มิ หามายาแหง่ โกลยิ วงศ์ มพี ระโอรส ๑ พระองค์ คือ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ และต่อมาหลงั จากพระนางสริ มิ หามายาสวรรคตพระเจา้ สุทโธทนะทรงคอ์ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางมหาปชาบดโี คตมี มพี ระโอรสและธดิ า ๒ พระองค์ คอื เจา้ ชายนนั ทะ, เจา้ หญงิ รูปนนั ทา พระเจา้ สุปปพทุ ธะแห่งโกลยิ วงศไ์ ดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางอมติ าแห่งศากยวงศม์ พี ระโอรสธดิ ารวม ๒ พระองค์ คอื เจา้ ชายเทวทตั , พระนางยโสธรา (พมิ พา) พระเจา้ สุกโกทนะแห่งศากยวงศอ์ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางกสิ าโคตมมี พี ระโอรส ๑ พระองค์ คอื เจา้ ชาย อานนท์ พระเจา้ อมโิ ตทนะแห่งศากยวงศ์ มพี ระโอรสธดิ ารวม ๓ พระองค์ คอื เจา้ ชายมหานาม, เจา้ ชายอนุรุทธะ เจา้ หญงิ โรหณิ ี พระเจา้ มหานามครองราชสมบตั ติ ่อจากพระเจา้ สุทโธทนะมพี ระธดิ าจากนางทาสี ๑ พระองค์ คอื พระนาง วาสภขตั ตยิ า ซง่ึ ต่อมาไดเ้ป็นพระมเหสขี องพระเจา้ ปเสนทโิ กศลแห่งสาวตั ถี มพี ระโอรส ๑ พระองค์ คอื พระเจา้ วฑิ ฑู ภะ จะเหน็ ไดว้ ่าตง้ั แต่พระเจา้ โอกกากราช ครองเมอื งอยู่แถบภูเขาหมิ าลยั พระองคไ์ ดใ้ หโ้ อรสธิดาไปสรา้ ง เมอื งใหม่ ซง่ึ ต่อมาคอื กรุงกบลิ พสั ดุ์ โอรสธดิ าเหลา่ น้ีไดแ้ ต่งงานกนั ภายในสกลุ และไดก้ ลายเป็นสายสกลุ โคตมะ ส่วนธดิ าทเ่ี ป็นเชษฐภคนิ ี ไดแ้ ต่งงานกบั พระเจา้ รามแห่งเมอื งเทวทหะ เป็นสกลุ อกี สกลุ หน่ึง เรยี กวา่ โกลยิ ะสกลุ ทงั้ สองสกลุ มคี วามสมั พนั ธก์ นั ทางการอภเิ ษกสมรสมายาวนานจนถงึ สมยั พระเจา้ สหี นุแห่งศากยะ เมอ่ื ส้นิ สมยั พระเจา้ สหี นุก็มาถงึ การครองราชยข์ องพระเจา้ สุทโธทนะ ซง่ึ ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั พระนางสริ ิมหามายาแห่งเมอื ง เทวทหะนคร มพี ระโอรส ๑ พระองค์ คอื เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ๒.๔.๒ เหตกุ ารณ์กอ่ นประสูติ ก่อนท่พี ระนางสริ ิมหามายา พระชายาของพระเจา้ สุทโธทนะจะทรงประสูติมเี ร่ืองเล่าว่า พระนางสริ ิ- มหามายา ไดท้ รงสุบนิ วา่ ไดเ้สดจ็ ประพาสป่าหมิ พานต์ และไดม้ ชี า้ งเผอื กนำ� ดอกบวั มาถวายพระนาง หลงั จากต่นื จากบรรทมแลว้ ดว้ ยความสงสยั ในพระสุบนิ จงึ รบั สงั่ ใหโ้ หราจารยท์ ง้ั หลายเขา้ มาทำ� นายความฝนั นนั้ และได้ 02. - 2 (30-69).indd 48 5/10/2022 12:56:02 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 49 ใจความวา่ พระนางจะไดพ้ ระโอรสผูม้ บี ญุ ญาธกิ ารมากมาอบุ ตั ขิ ้นึ ในพระครรภ์ เก่ยี วกบั เร่อื งน้ีมปี รากฏในคมั ภรี ์ พระสตุ ตนั ตปิฎก มกี ารกลา่ วถงึ กฎธรรมดาของพระโพธสิ ตั วท์ จ่ี ะทรงเสดจ็ ลงมาจตุ ยิ งั โลกมนุษยน์ น้ั จะมลี กั ษณะ ผดิ ไปจากปุถชุ นคนธรรมดาเน่ืองจากพระองศเ์ ป็นผูม้ บี ุญมาก เวลาท่พี ระโพธิสตั วเ์ สด็จลงสู่พระครรภข์ อง พระมารดา พระมารดาของพระองคไ์ มท่ รงมคี วามรูส้ กึ ทางกามารมณ์ เป็นผูท้ บ่ี รุ ุษผูม้ จี ติ กำ� หนดั ใด ๆ ไมส่ ามารถ ลว่ งเกนิ ได้ พระมารดาของพระองคไ์ มท่ รงมคี วามเจบ็ ป่วยใด ๆ ทรงมคี วามสุข ไมล่ ำ� บากพระวรกาย มองเหน็ พระโพธสิ ตั วอ์ ยู่ภายในพระครรภ์ มพี ระอวยั วะสมบูรณ์ มพี ระอนิ ทรยี ไ์ มบ่ กพร่อง มดี า้ ยสเี ขยี ว เหลอื ง แดง ขาว หรอื สนี วล รอ้ ยอยู่ขา้ งใน คนตาถงึ หยบิ แกว้ ไพฑรู ยน์ นั้ วางไวใ้ นมอื แลว้ พจิ ารณารูว้ า่ น้ี คอื แกว้ ไพฑรู ยอ์ นั งดงาม ตามธรรมชาติ มแี ปดเหลย่ี ม ทเ่ี จยี ระไนดแี ลว้ สุกใสเป็นประกายไดส้ ดั ส่วน มดี า้ ยสเี ขยี ว เหลอื ง แดง ขาว หรอื สนี วล รอ้ ยอยู่ขา้ งใน พระโพธสิ ตั วจ์ ตุ จิ ากสวรรคช์ น้ั ดุสติ เสดจ็ ลงสู่พระครรภข์ องพระมารดา แสงสวา่ งเจดิ จา้ หาประมาณมไิ ด้ ปรากฏข้นึ ในโลกพรอ้ มทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหม่สู ตั วพ์ รอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ล่วงเทวานุภาพของ เหล่าเทพ แมใ้ นช่องว่างระหว่างโลกซ่ึงไม่มอี ะไรคนั่ มสี ภาพมดื มดิ หรือท่ีท่ีดวงจนั ทร์ และดวงอาทติ ยซ์ ่งึ มฤี ทธ์ิมาก มอี านุภาพมากส่องแสงไปไม่ถงึ ก็มแี สงสว่างเจดิ จา้ หาประมาณมไิ ดป้ รากฏข้นึ ลว่ งเทวานุภาพของเหลา่ เทพ เพราะแสงสวา่ งนน้ั เหลา่ สตั วท์ เ่ี กดิ ในทน่ี นั้ ๆ จงึ รูจ้ กั กนั และกนั วา่ ‘ยงั มสี ตั วอ์ น่ื เกดิ ในทน่ี ้ีเหมอื นกนั ’ และ ๑๐ สหสั สโี ลกธาต4ุ 1 น้ีสนั่ สะเทอื นเลอ่ื นลนั่ ทงั้ แสงสวา่ ง เจดิ จา้ หาประมาณมไิ ดก้ ป็ รากฏ ข้นึ ในโลก ลว่ งเทวานุภาพของเหลา่ เทพ ขอ้ น้ีเป็นกฎธรรมดาในเร่อื งน้4ี 2 ๒.๔.๓ เหตกุ ารณ์ช่วงประสูตสิ ทิ ธตั ถะราชกมุ าร พระนางสริ มิ หามายาทรงครรภพ์ ระโพธ์ิสตั วไ์ ดค้ รบ ๑๐ เดอื น เมอ่ื ใกลก้ ำ� หนดประสูติ พระนางทูลขอ โอกาส เพ่อื จะเสด็จกลบั ไปสู่เมอื งเทวทหะ ตามธรรมเนียมประเพณีของอินเดียสมยั นน้ั พระเจา้ สุทโธทนะ ทรงเหน็ ชอบจงึ ตรสั สงั่ ใหต้ กแต่งถนนหนทางเสดจ็ จากเมอื งกบลิ พสั ดุไ์ ปจนถงึ เมอื งเวทวทหะ เชา้ วนั ประสูติ ครนั้ เสวยพระกระยาหารเสรจ็ แลว้ พระนางสริ มิ หามายาถวายบงั คมลา ข้นึ วอทอง ซง่ึ ราชบรพิ ารพาออกจากเมอื ง กบลิ พสั ดุ์ มงุ่ หนา้ ไปเมอื งเทวทหะตามพระประสงค์ ระหวา่ งทางเสดจ็ จากเมอื งกบลิ พสั ดกุ์ บั เมอื งเทวทหะ (ปจั จบุ นั อยูใ่ นเขตประเทศเนปาล) เหตกุ ารณใ์ นช่วงน้ี หนงั สอื พทุ ธประวตั มิ หายานกลา่ วไวว้ า่ “ตามระยะทางตอนหน่งึ เสดจ็ เขา้ เขตร่นื รมยท์ งั้ ๒ ขา้ งรมิ ทาง ผ่านมพี รรณพฤกษานานาพนั ธุ์ ทเ่ี ป็นไมด้ อกก็ออกดอกสะพรงั่ ทเ่ี ป็นไมใ้ บ ก็แตกใบสดขจี อนั เป็นธรรมดาในฤดูใบไมผ้ ลิ ขบวนเคลอ่ื นตามสบาย มไิ ดพ้ กั ในท่ใี ด ท่สี ุดเสด็จผ่านเขา้ สู่ อทุ ยานใหญ่อนั มชี ่อื ลมุ พนิ ี อทุ ยานนน้ั มสี าละ (ไมร้ งั ) ออกดอกสะพรงั่ แต่ตน้ ตลอดยอดยงั ดอกผลดาดไปตาม 41 คำ� วา่ “๑๐ สหสั สโี ลกธาต”ุ บางทใี ชว้ า่ โลกธาตุ ดงั ทป่ี รากฏในมหาสมยสูตร (บาล)ี ขอ้ ๓๓๑/๒๑๖ ตอนหน่ึง วา่ “ทสหิ จ โลกธาตูหิ เทวตา” หมายถงึ เหลา่ เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุ อน่ึง ๑๐ โลกธาตุ ในทน่ี ้ีเท่ากบั หมน่ื จกั รวาล ซง่ึ ตรงกบั ๑๐ สหสั สโี ลกธาตุ ในพระสูตรน้ี อา้ งใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๓๓/๒๙๓, และดูรายละเอยี ดใน อง.ฺ ตกิ .(ไทย) ๒๐/๘๑/๓๐๕-๓๐๗. 42 ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๗/๑๒. 02. - 2 (30-69).indd 49 5/10/2022 12:56:02 PM
50 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา สาขานอ้ ยใหญ่ มสี กุณชาติโผบนิ มาจบั กินผลไมก้ ็มี และเวยี นว่อนร่อนอยู่บนก่ิงไมก้ ็มี ส่งเสียงรอ้ งเรียก เพรยี กอยู่องึ ม่ี เหมอื นหน่ึงเสยี งดนตรที อ่ี ทุ ยานจติ รลดาในสวรรค์ ภาพตาม ๆ ในอทุ ยานทท่ี รงมองเหน็ ทำ� ให้ ทรงปรารถนาจะพกั ชมสกั ครู่หน่ึงยามหน่ึงเพอ่ื ความเบกิ บานพระทยั จงึ รบั สงั่ ใหร้ าชบริพารหยุดกระบวนใหญ่ พระนางเสด็จลงจากวอทอง เลอื กไดต้ น้ สาละมใี บใหญ่ สาขาปกคลุมเป็นท่รี ่มร่ืนตน้ หน่ึง ประทบั พกั อยู่ ณ โคนตน้ สาละนน้ั ลมฤดูใบไมผ้ ลพิ ดั ไม่แรงนกั ไม่อ่อนนกั สาขาของสาละทย่ี น่ื ออกมาแก่วงไกวไปตามแรงลม ขณะหน่ึงก่ิงสาละก่ิงหน่ึงถูกแรงลมพดั ยอ้ ยตำ�่ ลงมาพระนางมพี ระทยั ร่ืนเริงย่ิงนกั เสด็จลุกข้นึ ประทบั ยืนชู พระหตั ถข์ ้นึ ไขวค่ วา้ ก่งิ สาละนนั้ ”43 ขณะประทบั อยูใ่ นพระอทุ ยานพระนางสริ มิ หามายากท็ รงประชวรพระครรภ์ขา้ ราชบรพิ ารต่างผูกมา่ นแวดวง ภายใตร้ ่มไมร้ งั ถวายเป็นทป่ี ระสูติ พระนางยนื หนั หลงั องิ เขา้ กบั ลำ� ตน้ พระหตั ถข์ วาเหน่ยี วกง่ิ รงั แลว้ ทอดพระเนตร ไปทางทศิ ตะวนั ออก ครน้ั ไดเ้วลา ๑๑ นาฬกิ า พระโพธสิ ตั วก์ ป็ ระสูตจิ ากครรภพ์ ระมารดา วนั นน้ั ตรงกบั วนั พธุ ข้นึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๖ ปีจอ ตรงกบั วนั ท่ี ๑๘ พฤษภาคม อญั ชนั ศกั ราช ๖๘44 ขณะนนั้ ไดเ้กดิ เสยี งสนั่ สะเทอื น ไปทวั่ โลกจกั รวาล คนตาบอดกลบั มองเหน็ เป็นปกติ คนหูหนวกกลบั กลายไดย้ นิ เสยี ง นน้ั เป็นการแสดงใหเ้หน็ วา่ ตงั้ แต่น้ีต่อไป พระมหากรุณาธคิ ณุ พระปญั ญาธคิ ณุ พระวสิ ุทธคิ ณุ ของพระพทุ ธเจา้ และพระสจั จะธรรมคำ� สอน ของพระองค์ จะแผ่ไกลไปทวั่ โลก ผูเ้ป็นปถุ ชุ นคนมกี เิ ลสทงั้ หลาย แมแ้ ต่คนตาบอด คนหูหนวกเมอ่ื ไดส้ ดบั รบั ฟงั พระธรรมเทศนาแห่งองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ นำ� ไปประพฤติปฏบิ ตั ิตามก็จะหายจากการเป็นคน หูหนวกตาบอดกลายเป็นผูม้ ปี ญั ญารอบรูใ้ นหลกั สจั จะธรรมความจรงิ แทข้ องชวี ติ จนถงึ ความพน้ ทกุ ขไ์ ด้ ขณะท่ี ประสูติเจา้ ชายก็ไม่เปรอะเป้ือนมลทนิ มเี ทวบุตรมารบั ท่อนำ�้ รอ้ นนำ�้ เย็นท่ตี กจากอากาศเอามาสนานพระกาย เมอ่ื พระโพธสิ ตั วป์ ระสูตไิ ดค้ รู่หน่งึ ทรงยนื ไดอ้ ย่างมนั่ คงดว้ ยพระบาททง้ั สองทเ่ี สมอกนั ทรงผนิ พระพกั ตรไ์ ปทาง ทศิ เหนือ ทรงดำ� เนินไป ๗ กา้ ว ทรงเปลง่ พระอาสภวิ าจา (วาจาอย่างองอาจ) วา่ ‘เราคอื ผูเ้ลศิ ของโลก เราคอื ผูเ้จรญิ ทส่ี ุดของโลก เราคอื ผูป้ ระเสรฐิ ทส่ี ุดของโลก ชาตนิ ้ีเป็นชาตสิ ุดทา้ ยบดั น้ีภพใหมไ่ มม่ อี กี ’45 ๒.๔.๔ เหตกุ ารณ์เก่ยี วกบั ชีวติ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ หลงั จากทท่ี ราบขา่ ววา่ พระนางสริ มิ หามายาทรงประสูตพิ ระโอรสแลว้ พระเจา้ สทุ โธทนะกม็ รี บั สงั่ ใหพ้ ระนาง พรอ้ มบริวารเสดจ็ กลบั คืนสู่พระราชวงั เมอื งกบลิ พสั ดุท์ นั ที ในหนงั สอื พทุ ธประวตั ิมหายาน เสฐยี ร พนั ธรงั สี กลา่ วไวว้ า่ “พระเจา้ สุทโธทนะรบั สงั่ ใหจ้ ดั ขบวนใหญ่รบี เสดจ็ ออกไปตอ้ นรบั พระอคั รชายาและพระโอรส เมอ่ื ขบวน เขา้ สู่กรุงกบลิ พสั ดุแ์ ลว้ ใหม้ กี ารเฉลมิ ฉลองรบั ขวญั เป็นมหกรรม ทรงบรจิ าคไทยทานแก่พราหมณ์พฤฒาจารย์ และคนเขญ็ ใจทวั่ หนา้ ราชวงศศ์ ากยะทง้ั หลายต่างพากนั ช่นื ชมโสมนสั ร่วมเฉลมิ ฉลองรบั ขวญั กุมารเป็นการ 43 เสฐยี ร พนั ธรงั ษ,ี พทุ ธประวตั มิ หายาน, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พส์ ยาม, ๒๕๕๐), หนา้ ๙. 44 บรรจบ บรรณรุจ,ิ หนงั สอื ภาพประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ พรอ้ มคำ� บรรยาย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พธ์ รรมสภา, ม.ป.ป.), หนา้ ๑๕. 45 ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๑/๑๔. 02. - 2 (30-69).indd 50 5/10/2022 12:56:02 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 51 เอกิ เกรกิ มโหฬารส้นิ ๗ วนั ๗ คนื สมยั การประสูตแิ ห่งกมุ ารนนั้ เป็นช่วงระหวา่ งกาลทพ่ี ระเจา้ สุทโธทนะราชา ไดร้ บั เลอื กจากคณะของเจา้ ศากยะใหข้ ้นึ เป็นใหญ่ในกรุงกบลิ พสั ดุ์ พระกมุ ารจงึ ไดร้ บั ฐานนั ดรศกั ด์เิ ป็นเจา้ ชาย รชั ทายาท46 เจา้ ชายสทิ ธตั ถะประสูตไิ ด้ ๕ วนั ต่อมา พระราชบดิ าโปรดใหช้ มุ นุมพระราชวงศ์ และเชญิ พราหมณ์ ๑๐๘ คน มารบั ประทานอาหาร ทำ� พธิ รี บั ขวญั และขนานนามวา่ สทิ ธตั ถะ (แปลวา่ ผูม้ คี วามสำ� เรจ็ สมปรารถนา ทกุ ประการ) ในทป่ี ระชมุ นน้ั ใหเ้ลอื กสรรเอาพราหมณ์ ๘ คน ผูท้ รงคุณวทิ ยาประเสรฐิ กวา่ พราหมณท์ งั้ หมดนนั้ ใหน้ งั่ เหนืออาสนะอนั สูง แลว้ ใหเ้ ชิญพระราชโอรสไปยงั ท่ปี ระชุมพราหมณ์ ๘ คน นน้ั (คือ รามพราหมณ์ ลกั ษณพราหมณ์ ยญั ญพราหมณ์ ธุชพราหมณ์ โภชพราหมณ์ สุทตั ตพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และ โกณทญั ญพราหมณ์) ๗ คนขา้ งตน้ เวน้ โกณทญั ญพราหมณ์ พจิ ารณาเหน็ มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ บริบูรณ์จึงพยากรณ์ว่า มคี ติ ๒ อย่างเท่านน้ั ไม่เป็นอย่างอ่ืน คือ (๑) ถา้ อยู่ครองเรือนจะไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ผูท้ รงธรรม ครองราชยโ์ ดยธรรม ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นดนิ มมี หาสมทุ รทง้ั สเ่ี ป็นขอบเขตทรงไดร้ บั ชยั ชนะ มพี ระราชอาณาจกั รมนั่ คง สมบูรณด์ ว้ ยแกว้ ๗ และ (๒) ถา้ ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ จะไดเ้ป็น พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผูไ้ มม่ กี เิ ลสในโลก47 แต่โกณทญั ญพราหมณผ์ ูเ้ดยี ว ผูม้ อี ายนุ อ้ ย หนุ่มกวา่ พราหมณ์ ทงั้ ๗ คนนนั้ ไดพ้ จิ ารณาเห็นแลว้ มนั่ ใจว่ามคี ติเพยี งหน่ึงเดียวเท่านนั้ คือ พระราชกุมารจะตอ้ งไดต้ รสั รูเ้ ป็น พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อย่างแน่นอน เพราะพระราชกมุ ารบรบิ ูรณด์ ว้ ยพระมหาบรุ ุษมหาปรุ สิ ลกั ษณะโดยสว่ นเดยี ว จะอยู่ครองฆราวาสวสิ ยั มไิ ด้ จะเสดจ็ ออกบรรพชา และตรสั รูเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โดยแท้ พอลว่ งได้ ๗ วนั พระมารดาส้นิ พระชนม์ จงึ มอบหมายใหพ้ ระนางปชาบดผี ูน้ อ้ งสาวของพระนางสริ มิ หามายา ทรงเล้ยี งดูต่อมา เมอ่ื พระราชกมุ ารมพี ระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระเจา้ สุทโธทนะกไ็ ดท้ รงพระราชทานเคร่อื งทรง คอื จนั ท์ สำ� หรบั ทาโพกพระเศียร เคร่อื งฉลองพระองค์ และรบั สงั่ ใหข้ ดุ สระสำ� หรบั สนาน ๓ สระ คือ สระทป่ี ลูกอบุ ล บวั เขยี ว สระทป่ี ลูกปทมุ ชาตบิ วั หลวง สระทป่ี ลูกบณุ ฑรกิ บวั ขาวพระกมุ ารสทิ ธตั ถะไดร้ บั การทะนุถนอมเอาใจใส่ จากพระอาจารยท์ งั้ หลาย เป็นผูส้ งั่ สอนวชิ าใหก้ บั พระกมุ ารสทิ ธตั ถะ เจา้ ชายสทิ ธทั ถะกเ็ ร่มิ เจรญิ วยั ข้นึ มสี ุขภาพ อนามยั ดี มรี ูปร่างและลกั ษณะงดงามเป็นพเิ ศษ เป็นทร่ี กั แก่ผูป้ ระสบพบเหน็ พระบดิ าจงึ ไดส้ ่งออกไปเรยี นวชิ า ในสำ� นกั สำ� คญั แห่งหน่ึงมชี ่ือว่า วศิ วามติ ร โดยอาศยั การแนะนำ� ของครูอาจารยผ์ ูท้ ่เี ช่ียวชาญในวชิ าต่าง ๆ หลายท่าน เจา้ ชายสทิ ธตั ถะกไ็ ดศ้ ึกษาความรูท้ กุ อย่างอย่างรวดเรว็ เป็นอย่างดยี ง่ิ (จบศิลปศาสตรท์ ง้ั ๑๘ สาขา วชิ า) จนเป็นทน่ี ่าอศั จรรยใ์ จของคนทกุ คน เมอ่ื เจา้ ชายพระชนมายุ ๑๖ พรรษา จบการศึกษาแลว้ พระเจา้ สุทโธทนะมพี ระราชดำ� รวิ า่ พระราชโอรส สมควรจะไดอ้ ภเิ ษกสมรส จงึ โปรดใหส้ รา้ งปราสาทอนั วจิ ติ รงดงามข้นึ ๓ หลงั สำ� หรบั ใหพ้ ระราชโอรสไดป้ ระทบั อย่างเกษมสำ� ราญตามฤดูกาลทงั้ ๓ คอื ฤดูรอ้ น ฤดูฝน และฤดูหนาว แลว้ ตง้ั ช่อื ปราสาทนน้ั วา่ รมั ยปราสาท สุรมยปราสาท และ สุภปราสาท ตามลำ� ดบั และทรงสู่ขอพระนางพมิ พาหรอื ยโสธรา พระราชธดิ าของพระเจา้ 46 เสฐยี ร พนั ธรงั ษ,ี พทุ ธประวตั มิ หายาน, หนา้ ๑๐. 47 ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๙-๒๐๐/๑๕๙, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๔-๓๕/๑๖-๒๐. 02. - 2 (30-69).indd 51 5/10/2022 12:56:02 PM
52 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา สุปปพทุ ธะและพระนางอมติ า แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลยิ วงค์ ใหอ้ ภเิ ษกดว้ ย เจา้ ชายสทิ ธตั ถะไดเ้สวย สุขสมบตั ิ จนพระชนมายุมายุได้๒๙ พรรษา พระนางพมิ พายโสรธาจงึ ประสูตพิ ระโอรส พระองคม์ พี ระราชหฤทยั สเิ นหาในพระโอรสเป็นอย่างยง่ิ เมอ่ื พระองคท์ รงทราบถงึ การประสูตขิ องพระโอรส พระองคต์ รสั วา่ “ราหโุ ล ชาโต, พนฺธนํ ชาต”ํ แปลวา่ บว่ งเกดิ แลว้ เคร่อื งจองจำ� เกดิ แลว้ 48 ๒.๔.๕ เหตกุ ารณ์ท่เี ป็นสาเหตเุ จา้ ชายสทิ ธตั ถะเสด็จออกผนวช เจา้ ชายสิทธตั ถะบริบูรณ์ดว้ ยความสุขตง้ั แต่พระเยาว์ จนทรงพระเจริญวยั เห็นปานน้ีก็เพราะเป็น พระราชโอรสสุขมุ าลชาติ ยง่ิ พระราชบดิ าไดท้ รงฟงั คำ� ทำ� นายของอสติ ดาบสและพราหมณ์ ทง้ั ๘ ทว่ี า่ มคี ตเิ ป็นสอง คือ จะตอ้ งประสบอย่างใดอย่างหน่ึง ถา้ อยู่ครองสมบตั ิจกั ไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ หรือ ถา้ ออกบรรพชา จะไดเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นศาสดาเอกของโลก พระราชบดิ าปรารถนาใหพ้ ระกมุ ารอยู่ครองราชยส์ มบตั ิ ดว้ ยพระประสงคจ์ ะเปล้อื งความเป็นเมอื งข้นึ ของโกศล จงึ คิดอบุ ายรกั ษาผูกพนั พระกุมารไวใ้ หเ้พลดิ เพลนิ ใน กามสุขอย่างน้ี49 เจา้ ชายสทิ ธตั ถะไม่เคยประสบความทกุ ขเ์ ลยก็จรงิ อยู่ แต่ดว้ ยพระปรชี าญาณอนั สุขมุ ไดท้ รง พจิ ารณาเหน็ วา่ คนทงั้ หลายเกดิ มาแลว้ (ชาตะ) กม็ แี ก่ (ชรา) เจบ็ ป่วย (พยาธ)ิ และตาย ( มรณะ) เมอ่ื นำ� เขา้ มา เปรยี บกบั พระองคเ์ องแลว้ กเ็ กดิ ความสงั เวชสลดพระทยั เบอ่ื หน่ายโลกยี สุข แลว้ ทรงเหน็ วา่ การบรรพชาเป็นสง่ิ ทห่ี ่างจากอารมณ์อนั ลอ่ ใหเ้กิดความลุม่ หลงมวั เมา อาจสามารถหาอบุ ายเคร่ืองหลุดพน้ แกท้ กุ ขอ์ นั เกิดจากชรา พยาธิ มรณะ นน้ั ได5้ 0 ถา้ ยงั อยู่ในเพศฆราวาสคงจะแสวงหาไมไ่ ด้ เมอ่ื ทรงพระดำ� รอิ ย่างน้ีแลว้ กม็ พี ระอธั ยาศยั นอ้ มไปในทางบรรพชา51 ๒.๔.๖ เหตกุ ารณ์ท่ที รงผนวช52 เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงใชน้ ายฉนั นะ ไปเตรยี มมา้ ชอ่ื กณั ฑกะ แลว้ เสดจ็ ไปเยย่ี มดูพระโอรสและพระมารดา พระราหลุ ต่อมาคนื นน้ั กเ็ สดจ็ ไปพรอ้ มนานฉนั นะโดยราตรเี ดยี ว บรรลถุ งึ ฝงั่ แมน่ ำ�้ อโนมานทใี นทส่ี ุด ๓๐ โยชน์ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ลงจากหลงั มา้ แลว้ ตรสั เรียกนายฉนั นะมาตรสั ว่า เธอจงพาเอาอาภรณ์ และมา้ กณั ฐกะ 48 “ราหโุ ล ชาโต, พนฺธนํ ชาต”ํ แปลวา่ ราหุ (บว่ ง) เกดิ ข้นึ แลว้ พนั ธนาการเกดิ ข้นึ แลว้ หมายความวา่ พระกมุ ารทป่ี ระสูติ จะเป็นบ่วงรอ้ ยรึงพระองคไ์ วก้ บั ภริยาและชีวติ ฆราวาส ซ่งึ พระเจา้ สุทโธทนะทรงนึกว่าสทิ ธตั ถราชกุมารทรงตง้ั พระนามโอรส อย่างนน้ั จงึ ทรงขนานนามพระภาคิไนย (พระเจา้ หลาน) ว่า “ราหุล” อนั แปลว่า “บ่วง” อย่างไรก็ดี ตามพระวนิ ยั ของนิกาย สรวาสตวิ าทะ กลา่ วพระนาม “ราหลุ ” มไิ ดม้ าจากรากศพั ท์ “ราห”ุ ทแ่ี ปลวา่ บว่ ง แต่มาจากศพั ท์ “ราห”ุ ทแ่ี ปลวา่ “จนั ทรคราส” หรอื ทใ่ี นภาษาไทยวา่ “ราหู” อน่ึง ในอรรถกถาธรรมบท มตี อนหน่ึงวา่ ความปีตปิ ราโมทยท์ บ่ี รุ ุษไดร้ บั จากภรยิ าและบตุ ร คอื “ราห”ุ (แปลวา่ บว่ ง) ทร่ี อ้ ยรดั ชวี ติ ครอบครวั ผ่านประสบการณต์ ่าง ๆ ไมว่ า่ ทกุ ขห์ รอื สุข 49 พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ), พทุ ธประวตั ทิ ศั นศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตร แห่งประเทศไทยจำ� กดั , ๒๕๔๕), หนา้ ๒๗. 50 อรรถกถาชาดก เป็นตน้ กลา่ วถงึ สาเหตทุ อ่ี อกผนวชวา่ เป็นเพราะทรงเหน็ นิมติ คอื เทวทูต ๔ มี คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ พระกรุ าชจงึ มพี ระทยั อนั แน่วแน่เพอ่ื แสวงหาโมกขธรรมอนั เป็นทางพน้ ทกุ ข์ ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/๙๒. 51 วมิ ล จโิ รจนพ์ นธ,์ พทุ ธประวตั ,ิ (กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พแ์ สงดาว, ๒๕๔๘), หนา้ ๙๘. 52 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๘๐-๘๓, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๒-๙๖. 02. - 2 (30-69).indd 52 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 53 ของฉนั ไป ฉนั จกั บวช จงึ ทรงมอบอาภรณแ์ ละมา้ ใหแ้ ลว้ จงึ ทรงดำ� รวิ า่ เราจกั เอาพระขรรคต์ ดั ดว้ ยตนเอง แลว้ จงึ ตดั พระเกสาเหลอื ประมาณ ๒ องคลุ ี เวยี นขวาแนบตดิ พระเศียร พระเกสาเหลา่ นน้ั ไดม้ อี ยู่ประมาณนน้ั เท่านนั้ จนตลอดพระชนมช์ พี ครนั้ บวชแลว้ เสดจ็ เขา้ ไปยงั กรุงราชคฤหเ์ ทย่ี วบณิ ฑบาต53 พระนครทง้ั ส้นิ ไดถ้ งึ ความต่นื เตน้ เพราะได้ เห็นพระรูปโฉมของพระสิทธตั ถะ พระเจา้ พิมพิสารประทบั ยืนท่ีพ้ืนปราสาทไดท้ รงเห็นพระสิทธตั ถะ อศั จรรยพ์ ระหฤทยั ไมเ่ คยเป็น ทรงเลอ่ื มใสเฉพาะในอริ ยิ าบถ จงึ ทรงยกความเป็นใหญ่ทงั้ ปวงใหแ้ ก่พระสทิ ธตั ถะ พระสทิ ธตั ถะ ตรสั วา่ พระองคไ์ มม่ คี วามตอ้ งการดว้ ยวตั ถกุ ามหรอื กเิ ลสกาม พระองคป์ รารถนาพระอภสิ มั โพธญิ าณ อนั ยอดย่ิงจึงออกบวช พระเจา้ พิมพิสารแมจ้ ะทรงออ้ นวอนอย่างไรก็ไม่สำ� เร็จ ก็ไม่ทรงไดน้ ำ�้ พระทยั ของ พระสทิ ธตั ถะ จงึ ขอปฏญิ ญาวา่ “ถา้ หากไดเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กข็ อใหก้ ลบั มาของแควน้ ของพระองค”์ 54 ๒.๕ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงตรสั รู้ เหตุการณ์ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาช่วงตรสั รูน้ ้ี ๗ เหตุการณ์ คือ (๑) เหตุการณ์ช่วงแสวงหาอาจารย์ (๒) เหตกุ ารณช์ ่วงบำ� เพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า (๓) เหตกุ ารณป์ ญั จวคั คยี เ์ ฝ้าปรนนบิ ตั ิ (๔) เหตกุ ารณร์ บั ขา้ วมธุปายาส ก่อนตรสั รู้ (๕) เหตกุ ารณท์ รงเสย่ี งบารมลี อยถาด (๖) เหตกุ ารณท์ ท่ี รงชนะมาร และ (๗) เหตกุ ารณท์ ท่ี รงตรสั รู้ ดงั น้ี ๒.๕.๑ เหตกุ ารณ์ช่วงแสวงหาอาจารย์ ต่อมาพระสทิ ธตั ถะไดท้ รงศึกษาในสำ� นกั อาฬารดาบส กาลามโคตรและอทุ กดาบส รามบตุ ร เขา้ ไปหาท่าน อาฬารดาบส กาลามโคตร55 จากนน้ั ไมน่ านพระสทิ ธตั ถะเรยี นรูธ้ รรมไดอ้ ย่างรวดเร็ว ชวั่ ขณะทป่ี ิดปากจบการ สนทนาเท่านน้ั กก็ ลา่ วญาณวาทะและเถรวาทะได้สำ� เรจ็ สมาบตั ิ ๗ อาฬารดาบสกาลามโคตรทราบแลว้ ชกั ชวนให้ อยู่ร่วมกนั บรหิ ารคณะ แต่พระสทิ ธตั ถะคดิ วา่ ธรรมน้ีไมเ่ ป็นไปเพอ่ื ความตรสั รู้ จงึ ลาจากไป ต่อมาไดเ้ขา้ ไปหา อทุ กดาบส รามบตุ ร56 ทรงศึกษาในสำ� นกั น้ีจนสำ� เร็จถงึ ขน้ั สมาบตั ิ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ คือ เนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิครบสมาบตั ิ ๘ เมอ่ื ถามอาจารยถ์ งึ ธรรมอนั วเิ ศษข้นึ ไป พระดาบสอาจารย์ ไมส่ ามารถบอกไดเ้พราะหมดความรูเ้พยี งเท่านนั้ และไดย้ กย่องใหพ้ ระสทิ ธตั ถะเป็นอาจารยเ์ สมอตนใหช้ ่วยสอน ศิษยต์ ่อไป แต่พระสทิ ธตั ถะคิดว่า ทางปฏบิ ตั ิน้ีมใิ ช่ทางตรสั รูส้ ูพ้ ระโพธิญาณ จึงลาออกจากสำ� นกั อาจารย์ อทุ กดาบสไปสูต่ ำ� บลอรุ เุ วลาเสนานคิ มเพอ่ื ทรงพจิ ารณาหาทอ่ี นั เป็นสถานทน่ี ่ารน่ื รมยเ์ หมาะแก่การบำ� เพญ็ เพยี ร57 53 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๘๔-๘๕, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๘. 54 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๘๕-๘๖, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๙. 55 ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๗๗-๒๗๘/๓๐๐-๓๐๓. 56 ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๗๗-๒๗๘/๓๐๐-๓๐๓. 57 พระครูกลั ยาณสทิ ธวิ ฒั น์ (สมาน พรหมอยู่/กลฺยาณธมโฺ ม), พระพทุ ธประวตั ติ ามแนวปฐมสมโพธ,ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พส์ หธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๔๖), หนา้ ๖๒-๖๓. 02. - 2 (30-69).indd 53 5/10/2022 12:56:03 PM
54 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒.๕.๒ เหตกุ ารณ์ช่วงบำ� เพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า หลงั จากทรงผนวชแลว้ พระองคม์ งุ่ ไปทแ่ี มน่ ำ�้ คยา แควน้ มคธ ไดพ้ ยายามเสาะแสวงทางพน้ ทกุ ข์ ดว้ ยการ ศึกษาคน้ ควา้ ทดลองในสำ� นกั อาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เม่อื เรียนจบทงั้ ๒ สำ� นกั แลว้ ทรงเหน็ วา่ น่ียงั ไมใ่ ช่ทางพน้ ทกุ ข์ จากนน้ั พระองคไ์ ดเ้ สด็จไปท่แี ม่นำ�้ เนรญั ชรา58 ในตำ� บลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำ� เพญ็ ทุกรกิริยา “ดว้ ยการขบฟนั ดว้ ยฟนั กลนั้ หายใจ และอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม”59 แต่หลงั จากทดลองได้ ๖ ปี ทรงเหน็ ว่าน่ียงั ไม่ใช่ทางพน้ ทุกข์ จึงทรงเลกิ บำ� เพญ็ ทุกรกิริยา และหนั มาฉนั อาหารตามเดมิ ดว้ ยพระราชดำ� ริตามท่ี ทา้ วสกั กเทวราชไดเ้สดจ็ ลงมาดดี พณิ ถวาย ๓ วาระ คอื ดดี พณิ สายท่ี ๑ ขงึ ไวต้ งึ เกนิ ไปเมอ่ื ดดี กจ็ ะขาด ดดี พณิ วาระท่ี ๒ ซง่ึ ขงึ ไวห้ ย่อน เสยี งจะยดื ยาดขาดความไพเราะ และวาระท่ี ๓ ดดี พณิ สายสุดทา้ ยทข่ี งึ ไวพ้ อดี จงึ มเี สยี ง กงั วานไพเราะ ดงั นน้ั จงึ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ ทางสายกลาง (มชั ฌมิ าปฏปิ ทา) คอื ทางทไ่ี มต่ งึ เกนิ ไป และไมห่ ย่อน เกนิ ไป นนั่ คอื ทางทจ่ี ะนำ� สู่การพน้ ทกุ ข6์ 0 ๒.๕.๓ เหตกุ ารณ์ปญั จวคั คยี เ์ ฝ้ าปรนนิบตั ิ หลงั จากพระองคเ์ ลกิ บำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า หนั มาฉนั อาหารตามปกติ กลา่ วคอื ฉนั ขา้ วสุกและขนมกมุ มาส ทำ� ใหพ้ ระปญั จวคั คยี ท์ งั้ ๕ ไดแ้ ก่ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ า มหานามะ อสั สชิ ทม่ี าคอยรบั ใชพ้ ระองคด์ ว้ ยความ คาดหวงั วา่ เมอ่ื พระองคค์ น้ พบทางพน้ ทกุ ข์ จะไดส้ อนพวกตนใหบ้ รรลดุ ว้ ย เกดิ เสอ่ื มศรทั ธาทพ่ี ระองคล์ ม้ เลกิ ความตงั้ ใจ ทำ� ใหเ้กดิ วามเบอ่ื หน่ายจงึ จากไป จงึ พากนั เดนิ ทางกลบั ไปทป่ี ่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ตำ� บลสารนาถ เมอื งพาราณสี ดว้ ยความเขา้ ใจ “เจา้ ชายสทิ ธตั ถะโพธสิ ตั ว์เป็นคนมกั มาก คลายความเพยี ร เวยี นมาเป็นคนมกั มาก เสยี แลว้ ” ๒.๕.๔ เหตกุ ารณ์รบั ขา้ วมธุปาสกอ่ นตรสั รู้ นางสุชาดา (Sujātā : สุชาตา) ธดิ าของกฎมพี ชาวเสนานคิ ม ผูม้ งั่ คงั่ สมบูรณด์ ว้ ยโภคทรพั ย์ ครงั้ หน่ึง เธอตง้ั ความปรารถนาต่อรุกขเทวดา ผูส้ งิ อยู่ ณ ตน้ ไมแ้ ห่งหน่ึงว่า ถา้ ตนไปเรือนตระกูล (ไดส้ าม)ี ท่มี ชี าติ เสมอกนั หากตนไดบ้ ตุ รเป็นชายแลว้ ในครรภแ์ รก กจ็ ะกระทำ� พลกี รรมดว้ ยการบรจิ าคทรพั ยห์ น่ึงแสนแก่เทวดา เมอ่ื ความปรารถนาของนางสำ� เร็จ และเธอไดบ้ ุตรชายสมความปรารถนาแลว้ จึงทำ� บวงสรวงดว้ ยมธุปายาส อนั โอชะดว้ ยตนเอง ซง่ึ มขี น้ั ตอนการดำ� เนนิ การทซ่ี บั ซอ้ น ละเอยี ดอ่อนและใชเ้วลาในการจดั ทำ� มาก 58 แมน่ ำ�้ เนรญั ชรา (Niranjara River หรอื Nairanjana River) ปจั จบุ นั เรยี กวา่ Falgu River หรอื Phalgu River 59 ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๓-๓๓๔/๔๐๑-๔๐๔. ข.ุ ชา. (บาล)ี ๑/-/๑๐๐-๑๐๑. 60 “ทส่ี ุด ๒ อย่างน้ี บรรพชติ ไมพ่ งึ เสพ กลา่ วคอื (๑) กามสุขลั ลกิ านุโยคในกามทง้ั หลาย (การหมกมนุ่ อยู่ดว้ ยกามสุข ในกามทง้ั หลาย) เป็นธรรมอนั ทราม เป็นของชาวบา้ น เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ (๒) อตั ตกลิ มถานุโยค (การประกอบความลำ� บากเดอื ดรอ้ นแก่ตน) เป็นทกุ ข์ ไม่ใช่ของพระอรยิ ะ ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ ภกิ ษุทงั้ หลาย มชั ฌมิ าปฏปิ ทาไมเ่ อยี งเขา้ ใกลท้ ส่ี ุด ๒ อย่างนนั้ ตถาคตไดต้ รสั รูอ้ นั เป็นปฏปิ ทาก่อใหเ้กดิ จกั ษุ (ปญั ญาจกั ษุ คอื โสดาบนั ) ก่อใหเ้กดิ ญาณ เป็นไปเพอ่ื ความสงบ เพอ่ื ความรูย้ ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพอ่ื พระนิพพาน” อา้ งใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๑/๒๐. 02. - 2 (30-69).indd 54 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 55 เมอ่ื กำ� ลงั ปรุงอยู่ พระอนิ ทรไ์ ดน้ ำ� ทพิ ยอาหารอนั โอชะ มาโปรยลงในกระทะทอง ท่เี ธอกำ� ลงั กวนขา้ ว มธุปายาสอยู่ เพอ่ื ใหข้ า้ วมธุปายาสมรี สโอชะยง่ิ ข้นึ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ เธอกเ็ ตรยี มนำ� ขา้ วมธุปายาส ไปถวายรุกขเทวดา ตามความเช่อื ของตน ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ พระโพธสิ ตั วป์ ระทบั นงั่ ทโ่ี คนตน้ ไมน้ นั้ หญงิ รบั ใชเ้หน็ พระโพธสิ ตั ว์ ประทบั นงั่ ณ คดิ วา่ “วนั น้ี เทวดาเหน็ จะลงจากตน้ ไมม้ านงั่ คอยรบั พลกี รรมดว้ ยตนเอง” จงรบี มาบอกแก่นาง สุชาดา นางสุชาดา ทราบข่าวก็ดีใจย่ิงนกั จึงไดน้ �ำถาดทองราคาหน่ึงแสนมา เพ่ือบรรจุขา้ วมธุปายาสเต็ม ออกจากบา้ นม่งุ ไปสู่นิโครธพฤกษส์ ถาน พรอ้ มดว้ ยนางบรวิ ารเป็นอนั มาก เมอ่ื นางมาถงึ ณ ทน่ี นั้ แลว้ ไดเ้ หน็ พระมหาบรุ ุษประทบั อยู่ มบี คุ ลกิ ลกั ษณะ เป็นทน่ี ่าเลอ่ื มใสศรทั ธา นางสำ� คญั วา่ “พระมหาบรุ ุษน้ี เป็นรุกขเทวดา โดยแท้ จงึ นอ้ มนำ� ถาดขา้ วมธุปายาสเขา้ ไปถวาย พระมหาบรุ ุษทรงเหยยี ดพระหตั ถข์ วาออกรบั ขา้ วมธุปายาส” และทอดพระเนตรดูนาง นางทราบอาการเช่นนน้ั แลว้ จงึ กราบทูลว่า “ขา้ แต่พระผูเ้ป็นเจา้ ขา้ พเจา้ ขอถวายขา้ ว มธุปายาส พรอ้ มกบั ภาชนะทองอนั รองใส่ ขอพระผูเ้ ป็นเจา้ จงรบั ไปโดยควรแก่พระหฤทยั ปรารถนาเถดิ ” แลว้ นางกก็ ราบถวายบงั คมลากลบั สู่นิเวศนข์ องตน ๒.๕.๕ เหตกุ ารณ์ทรงเสย่ี งบารมีลอยถาด ก่อนทพ่ี ระมหาบรุ ษุ จะไดต้ รสั รู้เป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มเี รอ่ื งเลา่ วา่ เมอ่ื ทรงบำ� เพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า อยู่ ๖ พรรษา แลว้ ยงั ไมพ่ บทางตรสั รู้ ทรงแน่พระทยั วา่ ทกุ กรกริ ยิ านนั้ เป็นการทำ� ตนใหล้ ำ� บากเปลา่ ไมใ่ ช่ทาง ตรสั รู้ จงึ ทรงเลกิ ทกุ กรกริ ยิ า แลว้ แสวงหาโมกขธรรมทางมชั ฌมิ าปฏปิ ทา เร่มิ เสวยพระกระยาหารตามปกติ ในเชา้ ของวนั ตรสั รูน้ นั้ นางสุชาดาธดิ าของกฏมุ พชี าวเสนานคิ ม ไดน้ ำ� ขา้ วมธุปายาสมาถวาย พระมหาบรุ ุษ พระองคท์ รงรบั ไว้ และเสวยหมดแลว้ จงึ ไดเ้สดจ็ ไปรมิ ฝงั่ แมน่ ำ�้ เนรญั ชรา61 แลว้ เสย่ี งบารมวี า่ “ถา้ จะไดต้ รสั รู้ พระอนุตรสมั มาสมั โพธญิ าณ ขอใหถ้ าดลอยทวนกระแสนำ�้ ไป” ถาดกไ็ ดล้ อยทวนกระแสนำ�้ ไปดว้ ยแรงอธษิ ฐาน และไดจ้ มลงสู่นาคพภิ พแห่งพญากาฬนาคราช รวมกบั ถาดอีก ๓ ใบของอดีตพระพุทธเจา้ ในภทั ทกปั ป์น้ี มพี ระพทุ ธกกสุ นั โธ เป็นตน้ ครน้ั พระมหาบรุ ุษไดท้ อดพระเนตรเหน็ เป็นนิมติ อนั ดเี ช่นนน้ั กเ็ พม่ิ ความแน่พระทยั ว่า “จะไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระสพั พญั ญูสมั พทุ ธเจา้ โดยหาความสงสยั มไิ ด”้ ก็ทรงโสมนสั เสดจ็ มายงั สาลวนั รมิ ฝงั่ แม่นำ�้ เนรญั ชรา ประทบั พกั ท่ภี ายใตร้ ่มไมส้ าลพฤกษ์ พอเวลาสายนั หต์ ะวนั บ่าย ก็เสด็จออกจากหมู่ไมส้ าละ ทพ่ี กั กลางวนั เสดจ็ ดำ� เนินไปสู่ควงไมอ้ สั สตั ถะพฤกษ์ พบโสตถยิ ะพราหมณใ์ นระหวา่ งทาง โสตถยิ ะพราหมณ์ เลอ่ื มใส นอ้ มถวายหญา้ คา ๘ กำ� พระมหาบรุ ุษรบั หญา้ คาแลว้ เสดจ็ ไปร่มไมอ้ สตั ถะ นน้ั ณ ดา้ นปราจนิ ทศิ ทรงอธษิ ฐานวา่ “ถา้ จติ ของเรา ยงั ไมห่ ลดุ พน้ จากอาสวะทงั้ หลายดว้ ยความไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ตราบใด เราจกั ไมท่ ำ� ลายบลั ลงั ก์ ตราบนนั้ ”62 61 ธ.อ. (บาล)ี ๑/๗๗-๗๘. สญฺชยวตถฺ .ุ 62 สายณฺหสมเย โสตถฺ เิ ยน ทนิ ฺนํ ตณิ ํ คเหตวฺ า โพธมิ ณฺฑํ อารุยหฺ ตณิ านิ สนฺถรติ วฺ า “น ตาวมิ ํ ปลฺลงกฺ ํ ภนิ ฺทสิ ฺสาม,ิ ยาว เม อนุปาทาย อาสเวหิ จติ ตฺ ํ น วมิ จุ จฺ สิ ฺสตตี ิ ปฏญิ ฺํ กตวฺ า ปรตถฺ าภมิ โุ ข นิสที ิ ฯ อา้ งใน ธ.อ. (บาล)ี ๑/๗๗-๗๘. 02. - 2 (30-69).indd 55 5/10/2022 12:56:03 PM
56 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พระมหาบุรุษเสด็จข้นึ ประทบั รตั นบลั ลงั กแ์ กว้ ขดั สมาธิ ผนิ พระพกั ตรต์ รงไปยงั ปราจินทศิ หนั พระ ปฤษฎางค์ (หลงั ) ไปทางลำ� ตน้ โพธ์พิ ฤกษ์ ก่อนทจ่ี ะเร่มิ ทำ� ความเพยี รโดยสมาธจิ ติ ไดท้ รงตง้ั สตั ยาธษิ ฐานใน พระทยั วา่ “ถา้ เรายงั มไิ ดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ เพยี งใด แมพ้ ระโลหติ และพระมงั สะจะเหอื ดแหง้ ไป จะเหลอื แต่พระตจะ (หนงั ) พระนหารุ (เอน็ ) และพระอฏั ฐิ (กระดูก) กต็ ามที จะไมเ่ ลกิ ละความเพยี ร โดยเสดจ็ ลกุ ไปจากทน่ี ้”ี ครงั้ นน้ั เทพยดาทงั้ หลาย พากนั ชน่ื ชมโสมนสั มหี ตั ถท์ รงซง่ึ เครอ่ื งสกั การบูชาบบุ ผามาลยั มปี ระการ ต่าง ๆ พากนั มาสโมสรสนั นบิ าตหอ้ มลอ้ ม โหร่ อ้ งซอ้ งสาธุการบูชาพระมหาบรุ ุษ สุดทจ่ี ะประมาณ เตม็ ตลอดมงคล จกั รวาลน้ี ๒.๕.๖ เหตกุ ารณ์ท่ที รงชนะมาร ทรงผจญพระยามาร63 ขณะนนั้ ทา้ วปรนิมมติ วสวตั ตมี าร หรอื ทา้ ววสวตั ตี ฝ่ายมารผูม้ คี ดิ เป็นอกศุ ล คดิ วา่ สทิ ธตั ถกมุ ารตอ้ งการจะลว่ งพน้ อำ� นาจของเรา บดั น้ี เราจกั ไมใ่ หส้ ทิ ธตั ถกมุ ารนนั้ ลว่ งพน้ ไปได้ จงึ ไปยงั สำ� นกั ของพลมาร บอกเน้ือความนน้ั แลว้ เสนามารมอี ยู่ขา้ งหนา้ ของมาร ๑๒ โยชน์ ขา้ งขวาและขา้ งซา้ ยขา้ งละ ๑๒ โยชน์ ขา้ งหลงั ตงั้ อยู่จรดชายขอบเขตจกั รวาลสูงข้นึ เบ้อื งบน ๙ โยชน์ ซง่ึ เมอ่ื โห่รอ้ ง เสยี งโห่รอ้ งจะไดย้ นิ เหมอื นเสยี งแผ่นดนิ ทรุดตง้ั แต่พนั โยชนไ์ ป เทวบุตรมารขช่ี า้ งคิริเมขล์ สูงรอ้ ยหา้ สบิ โยชนน์ ิรมติ แขนหน่ึงพนั ถอื อาวธุ นานาชนดิ บรวิ ารของมารแมท้ เ่ี หลอื ตง้ั แต่สองคนข้นึ ไป จะเป็นเหมอื นคนเดยี วกนั ถอื อาวธุ อย่างเดยี วกนั หามไี ม่ ต่างมรี ูปร่างต่าง ๆ กนั มหี นา้ คนละอย่างกนั ถืออาวุธต่างชนิดกนั พากนั มาจู่โจมพระโพธิสตั ว์ ส่วนเทวดาในหมน่ื จกั รวาลกำ� ลงั ยนื กล่าวสดุดพี ระมหาสตั วอ์ ยู่ เมอ่ื พลมารเขา้ ไปใกลโ้ พธิมณั ฑ์ บรรดาเทพ เหลา่ นนั้ แมอ้ งคห์ น่ึงกไ็ มอ่ าจดำ� รงอยู่ได้ พระมหาบรุ ุษประทบั อยู่พระองคเ์ ดยี วเท่านน้ั อา้ งบารมี ๑๐ มาเป็นพยาน64 ฝ่ายพระโพธสิ ตั วม์ องทง้ั สามดา้ นไดเ้หน็ แต่ความวา่ งเปลา่ เพราะเทวดา ทงั้ ปวงพากนั หนไี ปหมด พระองคท์ รงเหน็ พลมารจู่โจมเขา้ มาทางดา้ นเหนอื อกี จงึ ดำ� รวิ า่ ชนมปี ระมาณเทา่ น้กี ระทำ� ความพากเพยี รใหญ่โต เพราะมงุ่ หมายเอาเราผูเ้ดยี ว ในทน่ี ้ีเราไมม่ บี ดิ า มารดา พน่ี อ้ งหรอื ญาตไิ ร ๆ อน่ื แต่บารมี ๑๐ น้ีเท่านนั้ เป็นเสมอื นบรวิ ารชนทเ่ี ราชบุ เล้ยี งไวต้ ลอดกาลนาน เพราะฉะนน้ั เราควรทำ� บารมเี ท่านน้ั ใหเ้ป็นยอด ของหมพู่ ล เอาศาสตราคอื บารมนี นั่ แหละประหาร กำ� จดั หมพู่ ลน้ีเสยี 63 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๑-๙๒, ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๑/-/๑๐๖-๑๐๗, ข.ุ พทุ ธ.อ. (บาล)ี -/-/๑๒, ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๕๓-๑๕๔/๗๙- ๘๐, ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๒/๑๗๙-๑๘๐/๑๕๐-๑๑๕๓. 64 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๒-๙๔, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๑๐๗-๑๐๘. บารมี ๑๐ ทศั น์ จงึ เรยี กวา่ ทศบารมี หรอื บารมี ๑๐ คือปฏปิ ทาอนั ยอดเย่ยี ม, คุณธรรมทป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ย่างย่งิ ยวด, คือความดที บ่ี ำ� เพญ็ อย่างพเิ ศษ ไดแ้ ก่ (๑) ทาน การให้ (๒) ศีล การรกั ษาศีลใหเ้ป็นปกติ (๓) เนกขมั มะ การออกจากกาม (๔) ปญั ญา ความรู้ (๕) วริ ิยะ ความเพยี ร (๖) ขนั ติ ความอดทนอดกลน้ั (๗) สจั จะ ความตง้ั ใจจรงิ เอาจรงิ จรงิ ใจ (๘) อธิษฐาน ความตง้ั ใจมนั่ ไม่เปลย่ี นแปลง (๙) เมตตา ความรกั ดว้ ยความปรานี (๑๐) อเุ บกขา ความวางเฉย ความวางใจเป็นกลาง 02. - 2 (30-69).indd 56 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 57 ทรงชนะพระยามาร65 เทวบุตรมารเม่อื ไม่สามารถทำ� ใหพ้ ระมหาบุรุษหนีไป จึงสงั่ บริษทั ของตนว่า พวกท่านจะหยุดอยู่ทำ� ไม จงจบั พระสทิ ธตั ถะกุมารน้ี จงฆ่า จงใหห้ นีไป แมต้ นเองก็นงั่ อยู่บนคอชา้ งคิรเิ มขล์ ถอื จกั ราวุธเขา้ ไปใกลพ้ ระมหาบุรุษแลว้ กล่าวว่า สทิ ธตั ถะ ท่านจงลุกข้นึ จากบลั ลงั กน์ ้ี บลั ลงั กน์ ้ีไม่ถงึ แก่ท่าน บลั ลงั กน์ ้ีถงึ แก่เรา พระมหาสตั วไ์ ดฟ้ งั คำ� ของเทวบุตรมารแลว้ ตรสั ว่า มาร ท่านไม่ไดบ้ ำ� เพญ็ บารมี อุปปารมี ปรมตั ถปารมี (คือไม่ไดบ้ ำ� เพญ็ บารมี ๑๐ ทศั ไม่ไดบ้ ำ� เพญ็ อุปบารมี ๑๐ ไม่ไดบ้ ำ� เพญ็ ปรมตั ถบารมี ๑๐ มหาบรจิ าค ๕ ก็ไมไ่ ดบ้ ำ� เพญ็ ท่านไมไ่ ดบ้ ำ� เพญ็ ญาตตั ถจรยิ า โลกตั ถจรยิ า พทุ ธตั ถจรยิ า ทงั้ หมดเราเท่านนั้ บำ� เพญ็ มาแลว้ ฉะนน้ั บลั ลงั กน์ ้ีจงึ ไม่ถงึ แก่ท่าน บลั ลงั กน์ ้ีถงึ แก่เราเท่านนั้ เทวบุตรมารโกรธ อดกลนั้ กำ� ลงั ของความโกรธไวไ้ มไ่ ด้จงึ ขวา้ งจกั ราวธุ ใส่พระมหาบรุ ุษ จกั ราวธุ เมอ่ื พระมหาบรุ ุษรำ� พงึ ถงึ บารมี ๑๐ ทศั อยู่นนั้ แล กลายเป็นเพดานดอกไมต้ ง้ั อยู่ส่วนเบ้อื งบนบูชาพระโพธสิ ตั ว์ หมพู่ ลของพระยามารแตกพา่ ยหนีไป66 ต่อจากนน้ั พระมหาบรุ ุษไดอ้ า้ งถงึ มหาปฐว6ี 7 คอื ภาวะทพ่ี ระองคใ์ หท้ านไวแ้ ลว้ มารถามวา่ ใครเป็นสกั ขพี ยาน พระมหาบรุ ุษ ตรสั ว่า เอาแค่ในภาวะท่เี ราดำ� รงอยู่ในอตั ภาพเป็นเวสสนั ดรแลว้ ไดใ้ หส้ ตั ตสดกมหาทานก่อน ปฐพอี นั ใหญ่น้ี แมจ้ ะไม่มจี ติ ใจก็เป็นสกั ขพี ยานได้ ต่อจากนน้ั มหาปฐพไี ดบ้ นั ลอื ข้นึ เหมอื นจะท่วมทบั พลมาร ดว้ ยรอ้ ยเสยี ง พนั เสยี ง แสนเสยี ง ๒.๕.๗ เหตกุ ารณ์ท่ที รงตรสั รู้ พระมหาบรุ ุษตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ68 พระองคท์ รงเจรญิ สมาธภิ าวนาจนจติ เป็นสมาธไิ ดฌ้ าน ท่ี ๔ แลว้ บำ� เพญ็ ภาวนาต่อไปจนไดฌ้ าน ๓ คอื ในยามทห่ี น่ึงของคนื นนั้ ทรงไดบ้ รรลปุ พุ เพนิวาสนุสตญิ าณ คอื ระลกึ ชาตปิ างก่อนของพระองคเ์ องได้ ในยามท่ี ๒ ทรงไดบ้ รรลจุ ตุ ูปปาตญาณ คอื มตี าทพิ ย์ สามารถเหน็ การจตุ ิ และอบุ ตั ขิ องสตั วท์ ง้ั หลาย และในยามสุดทา้ ย ทรงไดบ้ รรลุอาสวกั ขยญาณ69 คอื ไดร้ ูช้ ดั ตามความเป็นจรงิ วา่ น้ีทกุ ข์ น้ีทกุ ขสมทุ ยั น้ีทกุ ขนิโรธ น้ีทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา น้ีอาสวะ น้ีอาสวสมทุ ยั น้ีอาสวนิโรธ น้ีอาสวนโิ รธ- คามนิ ีปฏปิ ทา เมอ่ื เรารูเ้ หน็ อยู่อย่างน้ี จติ ไดห้ ลุดพน้ จากกามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ เมอ่ื จติ หลุดพน้ แลว้ กร็ ูว้ า่ หลดุ พน้ แลว้ รูช้ ดั วา่ ชาตสิ ้นิ แลว้ อยู่จบพรหมจรรยแ์ ลว้ 70 ทำ� กจิ ทค่ี วรทำ� เสรจ็ แลว้ ไมม่ กี จิ อน่ื เพอ่ื ความ เป็นอย่างน้อี กี ต่อไป เราไดบ้ รรลวุ ชิ ชาท่ี ๓ ในยามท่ี ๓ แหง่ ราตรี ความมดื มดิ คอื อวชิ ชาเรากำ� จดั ไดแ้ ลว้ แสงสวา่ ง คอื วชิ ชาไดเ้กดิ ข้นึ แก่เรา เปรยี บเหมอื นแสงสวา่ งเกดิ ข้นึ แก่บคุ คลผูไ้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายและใจ 65 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๔, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๑๐๙ 66 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๔-๙๕, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๑๐๙-๑๑๐. 67 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๓๔. 68 ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/-/๙๖-๙๗, ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๑/-/๑๑๒, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๖/๔๐๖-๔๐๗, ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๖, อภ.ิ ส.ํ อ. (บาล)ี -/-/๘๒. 69 ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๒-๑๔/๖-๗. 70 คำ� วา่ “พรหมจรรย”์ ในทน่ี ้หี มายเอาอรยิ มรรค คอื พระอรหนั ตอ์ ยู่ประพฤตอิ รยิ มรรคจบแลว้ สว่ นกลั ยาณปถุ ชุ น และ พระเสขะ ๗ พวก ยงั ตอ้ งอยู่ประพฤตมิ รรคพรหมจรรยต์ ่อไป อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๔/๑๖๙.? 02. - 2 (30-69).indd 57 5/10/2022 12:56:03 PM
58 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จากทก่ี ลา่ วมาจะเหน็ ไดว้ า่ สง่ิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูน้ นั่ กค็ อื อรยิ สจั ๔ ประการ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ในปจั ฉิมยาม (ยามท่ี ๓) แห่งราตรี ทเ่ี รยี กวา่ อาวสวกั ขยญาณ พระอาการแห่งการไดต้ รสั รูธ้ รรม71 ครนั้ ฉนั อาหารหยาบ คอื ขา้ วสุกและขนมกมุ มาส แลว้ ทำ� ใหร้ ่างกาย มกี ำ� ลงั สงดั จากกามและอกศุ ลธรรมทงั้ หลายแลว้ บรรลปุ ฐมฌานทม่ี วี ติ ก วจิ าร ปีตแิ ละสุขอนั เกดิ จากวเิ วกอยู่ เพราะวติ กวจิ ารสงบระงบั ไป บรรลทุ ตุ ยิ ฌานมคี วามผ่องใสในภายใน มภี าวะทจ่ี ติ เป็นหน่ึงผดุ ข้นึ ไมม่ วี ติ ก ไมม่ ี วจิ าร มแี ต่ปีตแิ ละสุขอนั เกดิ จากสมาธอิ ยู่ เพราะปีตจิ างคลายไป มอี เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะเสวยสุขดว้ ยนามกาย บรรลตุ ตยิ ฌาน ทพ่ี ระอรยิ ะทงั้ หลายสรรเสรญิ วา่ มอี เุ บกขา มสี ติ อยูเ่ ป็นสุข เพราะละสุขและทกุ ขไ์ ด้เพราะโสมนสั และโทมนสั ดบั ไปก่อนแลว้ บรรลจุ ตตุ ถฌาน ทไ่ี มม่ ที กุ ขไ์ มม่ สี ุขมสี ตบิ รสิ ุทธ์เิ พราะอเุ บกขาอยู่ เมอ่ื แรกตรสั รู้ ประทบั อยู่ ณ ควงตน้ โพธิพฤกษ์ ใกลฝ้ งั่ แม่นำ�้ เนรญั ชรา เขตตำ� บลอุรุเวลา ครง้ั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคไดป้ ระทบั นงั่ โดยบลั ลงั กเ์ ดยี ว เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขอยู่ ณ ควงตน้ โพธพิ ฤกษเ์ ป็นเวลา ๗ วนั ทนี นั้ พระผูม้ พี ระภาคทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาท72 โดยอนุโลมและปฏโิ ลมตลอด (ทรงหยงั่ พระญาณลงในปฏจิ จ- สมปุ บาททง้ั โดยอนุโลมนยั และปฏโิ ลมนยั ) และตรสั ต่อไปว่า สง่ิ ทต่ี รสั รูน้ ้ีมใิ ช่เร่อื งงา่ ย ๆ ทค่ี นทวั่ ไปจะรูไ้ ด้ ดงั พทุ ธพจนว์ า่ “ธรรมทเ่ี ราไดบ้ รรลแุ ลว้ น้ี ลกึ ซ้งึ เหน็ ไดย้ าก รูต้ ามไดย้ าก สงบ ประณีต ไมเ่ ป็นวสิ ยั แห่งตรรกะ ละเอยี ด บณั ฑติ จงึ จะรูไ้ ด้ สำ� หรบั หมปู่ ระชาผูร้ ่นื รมยด์ ว้ ยอาลยั ยนิ ดใี นอาลยั เพลดิ เพลนิ ในอาลยั 73 ฐานะอนั น้ี ย่อมเป็นสง่ิ ทเ่ี หน็ ไดย้ าก กลา่ วคอื หลกั อทิ ปั ปจั จยตา หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ถงึ แมฐ้ านะอนั น้ีกเ็ ป็นสง่ิ ทเ่ี หน็ ไดย้ าก นกั กลา่ วคอื ความสงบแห่งสงั ขารทง้ั ปวง ความสลดั อปุ ธทิ ง้ั ปวง ความส้นิ ตณั หา วริ าคะนิโรธ นิพพาน กถ็ า้ เรา จะพงึ แสดงธรรม และผูอ้ น่ื จะไมเ่ ขา้ ใจซ้งึ ต่อเรา ขอ้ นน้ั กจ็ ะพงึ เป็นความเหน็ดเหน่ือยเปลา่ แก่เรา จะพงึ เป็นความ ลำ� บากเปลา่ แก่เรา”74 ขอ้ ความดงั กลา่ วน้ี เป็นปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ข้นึ ในพระทยั ของพระพทุ ธองคห์ ลงั การตรสั รู้ ต่อไปจะไดก้ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณห์ ลงั ตรสั รูแ้ ลว้ ทรงทบทวนธรรมทไ่ี ดต้ รสั รูแ้ ลว้ ทรงประทบั โดยบลั ลงั กเ์ ดยี ว เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข บรเิ วณโดยรอบตน้ พระศรมี หาโพธิ ต่อไป 71 ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๖-๓๓๗/๔๐๖-๔๐๗. 72 มนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาท แปลวา่ พจิ ารณาโดยถว้ นถ่ี ใส่ใจโดยถว้ นถ่ี พจิ ารณาโดยแยบคายซง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาท คอื ธรรมทอ่ี าศยั กนั และกนั แลว้ ยงั ธรรมทเ่ี กดิ ร่วมกนั ใหเ้กดิ ข้นึ อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑/๓. 73 อาลยั คอื กามคุณ ๕ ทส่ี ตั วพ์ วั พนั ยนิ ดี เพลดิ เพลนิ อง้ ใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๗/๑๓, เป็นช่อื เรยี กกเิ ลส ๒ อย่างคอื กามคณุ ๕ และตณั หาวจิ รติ ๑๐๘ อา้ งใน สารตถฺ .ฏกี า. (บาล)ี ๓/๗/๑๘๔, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๗๓-๙๗๖/๖๒๒-๖๓๔. 74 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗/๑๑. 02. - 2 (30-69).indd 58 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 59 ๒.๖ เหตกุ ารณ์ภายหลงั การตรสั รู้ เหตุการณ์หลงั จากการตรสั รู้ จะไดก้ ล่าวถงึ ๓ เหตุการณ์สำ� คญั คือ (๑) เหตุการณ์บริเวณตน้ โพธ์ิ (๒) เหตกุ ารณเ์ ก่ยี วกบั การอาราธนาของพรหม และ (๓) เหตกุ ารณส์ ่งสาวกไปพระประกาศพระศาสนา ดงั น้ี ๒.๖.๑ เหตกุ ารณ์บรเิ วณตน้ โพธ์ิ เมอ่ื แรกตรสั รู้ ประทบั อยู่ ณ ควงตน้ โพธิพฤกษ์ ใกลฝ้ งั่ แม่นำ�้ เนรญั ชรา เขตตำ� บลอุรุเวลา ครง้ั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคได้ ประทบั นงั่ โดยบลั ลงั กเ์ ดียว75 เสวยวมิ ตุ ติสุขอยู่ (คือสุขอนั เกิดจากความหลุดพน้ ) ณ ควงตน้ โพธพิ ฤกษ์ แหลง่ ละ ๗ วนั เรยี กวา่ สตั ตมหาสถาน76 (สตตฺ + มหา + สถาน) หมายถงึ สถานทอ่ี นั สำ� คญั ยง่ิ ใหญ่ ๗ แห่ง ทพ่ี ระพทุ ธองคเ์ สวยวมิ ตุ ตสิ ุข ดงั น้ี77 สปั ดาหท์ ่ี ๑ ประทบั อยู่ ณ ควงตน้ โพธ์ิ : เหตกุ ารณใ์ นระหวา่ ง ๗ วนั แรกน้ี นงั่ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ทรงพจิ ารณา ปจั จยาการ อทิ ปั ปจั จยตา ปฏจิ จสมปุ บาท ในปฐมยามแห่งราตรวี า่ ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทโดยอนุโลม ดงั น้ี เพราะอวชิ ชาเป็นปจั จยั สงั ขารจงึ มี เพราะสงั ขารเป็นปจั จยั วญิ ญาณจงึ มี เพราะวญิ ญาณเป็นปจั จยั นามรูปจงึ มี เพราะนามรูปเป็นปจั จยั สฬายตนะจงึ มี เพราะสฬายตนะเป็นปจั จยั ผสั สะจงึ มี เพราะผสั สะเป็นปจั จยั เวทนาจงึ มี เพราะเวทนาเป็นปจั จยั ตณั หาจงึ มี เพราะตณั หาเป็นปจั จยั อปุ าทานจงึ มี เพราะอปุ าทานเป็นปจั จยั ภพจงึ มี เพราะภพเป็นปจั จยั ชาตจิ งึ มี เพราะชาตเิ ป็นปจั จยั ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสจงึ มี กองทกุ ขท์ ง้ั มวลน้ีมกี ารเกดิ ข้นึ ดว้ ยอาการอย่างน้ี ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทโดยปฏโิ ลม อน่ึง เพราะอวชิ ชาดบั ไปไมเ่ หลอื ดว้ ยวริ าคะ (วริ าคะ ในทน่ี ้ีหมายถงึ มรรค)78 สงั ขารจงึ ดบั เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณจงึ ดบั เพราะวญิ ญาณดบั นามรูปจงึ ดบั เพราะนามรูปดบั สฬายตนะจงึ ดบั เพราะสฬายตนะดบั ผสั สะจงึ ดบั เพราะผสั สะดบั เวทนาจงึ ดบั เพราะเวทนาดบั ตณั หาจงึ ดบั เพราะตณั หาดบั อปุ าทานจงึ ดบั เพราะอปุ าทานดบั ภพจงึ ดบั เพราะภพดบั ชาตจิ งึ ดบั เพราะชาตดิ บั ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสจงึ ดบั กองทกุ ขท์ งั้ มวลน้ีมกี ารดบั ดว้ ยอาการอย่างน้ี 75 นงั่ โดยบลั ลงั กเ์ ดยี ว หมายถงึ นงั่ ขดั สมาธโิ ดยไมล่ กุ ข้นึ เลยตลอด ๗ วนั อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑/๓. 76 ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑-๖/๑-๑๐. 77 ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔-๖/๘-๑๒, ข.ุ พทุ ธฺ .อ. (บาล)ี ๔๑๙-๔๒๐. 78 ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑/๔. 02. - 2 (30-69).indd 59 5/10/2022 12:56:03 PM
60 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พทุ ธอทุ านคาถาท่ี ๑ “เมอ่ื ใดแล ธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผูม้ คี วามเพยี ร เพง่ อยู่ เมอ่ื นนั้ ความสงสยั ทง้ั ปวงของพราหมณน์ น้ั ย่อมส้นิ ไป เพราะมารูธ้ รรมพรอ้ มทงั้ เหต”ุ 79 ลำ� ดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาทโดยอนุโลมและปฏโิ ลม ตลอดมชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรี วา่ แลว้ ทรงเปลง่ พทุ ธอทุ านท่ี ๒ “เมอ่ื ใดแล ธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผูม้ คี วามเพยี ร เพง่ อยู่ เมอ่ื นน้ั ความสงสยั ทงั้ ปวงของพราหมณน์ นั้ ย่อมส้นิ ไป เพราะไดร้ ูค้ วามส้นิ ไปแห่งปจั จยั ทง้ั หลาย” พทุ ธอทุ านท่ี ๒ น้ี เกดิ ข้นึ ดว้ ยอำ� นาจการทท่ี รงพจิ ารณานพิ พาน80 ต่อมาทรงเปลง่ พทุ ธอทุ านคาถาท่ี ๓ “เมอ่ื ใดแล ธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผูม้ คี วามเพยี ร เพง่ อยู่ เมอ่ื นน้ั พราหมณน์ นั้ ย่อมกำ� จดั มารและเสนาเสยี ได8้ 1 ดุจพระอาทติ ยอ์ ทุ ยั ข้นึ สาดส่องทอ้ งฟ้าใหส้ วา่ งไสว ฉะนนั้ พทุ ธอทุ านท่ี ๓ น้ี เกดิ ข้นึ ดว้ ยอำ� นาจการทท่ี รงพจิ ารณามรรค82 สปั ดาหท์ ่ี ๒ ประทบั อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของตน้ โพธ์ิ เรยี กวา่ อนมิ สิ สเจดยี ์ พระองคท์ รงยนื จอ้ งตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ โดยมไิ ดม้ ไิ ดก้ ระพรบิ พระเนตรเลยตลอดสปั ดาห์ เพอ่ื ทบทวนเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ข้นึ ตลอด ๗ วนั หลงั ตรสั รู้ สปั ดาหท์ ่ี ๓ เสดจ็ จงกรมไปมาระหว่างตน้ โพธ์ิกบั อนิมสิ สเจดยี ์ เรียกบริเวณนน้ั ว่า รตั นจงกรมเจดยี ์ เป็นการจงกรมกลบั ไปกลบั มาระหวา่ งทย่ี นื จอ้ งตน้ โพธ์กิ บั ทน่ี งั่ ตรสั รู้ (วชั รอาสน)์ ตลอด ๗ วนั หลงั ตรสั รู้ 79 พทุ ธอทุ านท่ี ๑ เกดิ ข้นึ ดว้ ยอำ� นาจการทท่ี รงพจิ ารณาปจั จยาการ หรอื ปฏจิ จสมปุ บาท อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓/๖. คำ� วา่ “ธรรมทง้ั หลาย” ในทน่ี ้ีหมายถงึ โพธปิ กั ขยิ ธรรมทใ่ี หส้ ำ� เรจ็ การตรสั รูป้ จั จยาการ (หรอื ปฏจิ จสมปุ บาท)โดยอนุโลม (และ ปฏโิ ลม) ฯ คำ� ว่า “พราหมณ์” ในทน่ี ้ีหมายถงึ พระขณี าสพผูล้ อยบาปธรรมเสยี ได้ คำ� ว่า “ธรรม” ในทน่ี ้ีหมายถงึ ธรรมคือ กองทกุ ขท์ ง้ั ส้นิ มสี งั ขารเป็นตน้ พรอ้ มทงั้ เหตคุ อื อวชิ ชาเป็นตน้ อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑/๕. 80 ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓/๖. 81 มารและเสนามาร ในทน่ี ้ีหมายถงึ กามทงั้ หลาย ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓/๖. 82 ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓/๖. 02. - 2 (30-69).indd 60 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 61 สปั ดาหท์ ่ี ๔ ประทบั อยู่ทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของตน้ โพธ์ิ เรียกบริเวณนนั้ ว่า รตั นฆรเจดีย์ ต่อจากนนั้ เทวดาทงั้ หลายนริ มติ เรอื นแกว้ ขนั้ ทางทศิ ประจมิ พระองคท์ รงนงั่ ขดั สมาธทิ เ่ี รอื นแกว้ ทรงพจิ ารณา อภธิ รรม คอื อนนั ตสมนั ตนยปฏั ฐาน83 โดยพสิ ดารตลอด ๗ วนั ใหส้ ปั ดาห์ ๑ ผ่านพน้ ไป สปั ดาหท์ ่ี ๕ ประทบั อยู่ ณ ตน้ อชปาลนิโครธ อยู่ห่างไกลออกไป ตงั้ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของตน้ โพธ์ิ ในสปั ดาหน์ ้ี ทรงไดส้ นทนากบั พราหมณช์ ่อื วา่ “หหุ กุ ชาต”ิ ผูท้ ต่ี งั้ คำ� ถามกบั พระองคว์ า่ “พราหมณเ์ ป็นคนเช่นไร” พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ “พราหมณใ์ ด ลอยบาปธรรมเสยี ไมต่ วาดผูอ้ น่ื วา่ หึ หึ ไมม่ กี เิ ลสดุจนำ�้ ฝาด สำ� รวมตน เรยี นจบพระเวท อยู่จบพรหมจรรย์ พราหมณน์ นั้ ไมม่ กี เิ ลสเคร่อื งฟูข้นึ ในอารมณไ์ หนๆ ในโลก ควรกลา่ ววาทะ วา่ เราเป็นพราหมณโ์ ดยธรรม”84 สปั ดาหท์ ่ี ๖ ประทบั อยู่ ณ ตน้ มจุ ลนิ ท์ อยู่ห่างไกลออกไป ตง้ั อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตข้ องตน้ โพธ์ิ ความตอนหน่ึงในวนิ ยั ปิฎก มหาวรรค85 ความว่า “ครน้ั ลว่ งไป ๗ วนั พระผูม้ พี ระภาคทรงออกจาก สมาธนิ นั้ แลว้ เสดจ็ จากควงตน้ อชปาลนิโครธไปยงั ควงตน้ มจุ ลนิ ท์ ครน้ั ถงึ แลว้ จงึ ประทบั นงั่ โดยบลั ลงั กเ์ ดยี ว เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขอยู่ ณ ควงตน้ มจุ ลนิ ทเ์ ป็นเวลา ๗ วนั ครงั้ นนั้ ไดบ้ งั เกดิ เมฆใหญ่ข้นึ ในสมยั มใิ ช่ฤดูกาล เป็นฝน เจอื ลมหนาวตกพรำ� ตลอด ๗ วนั ลำ� ดบั นน้ั พญานาคมจุ ลนิ ทไ์ ดอ้ อกจากทอ่ี ยู่ของตน ไปโอบรอบพระกายของ พระผูม้ พี ระภาคดว้ ยขนด ๗ รอบ แผ่พงั พานใหญ่ปกคลุมเหนือพระเศียร ดว้ ยหวงั ว่า ความหนาว อย่าได้ เบยี ดเบยี นพระผูม้ พี ระภาค ความรอ้ น อย่าไดเ้ บยี ดเบยี นพระผูม้ พี ระภาค สมั ผสั จากเหลอื บ ยุง ลม แดด สตั วเ์ ล้อื ยคลานอย่าไดเ้บยี ดเบยี นพระผูม้ พี ระภาค” ครนั้ ๗ วนั ผ่านไป พญานาคมจุ ลนิ ทร์ ูว้ ่า ฝนหายปลอดเมฆแลว้ จงึ คลายขนดออกจากพระกายของ พระผูม้ พี ระภาค จำ� แลงร่างของตนเป็นมาณพ ยนื ประนมมอื ถวายอภวิ าทอยู่เบ้อื งพระพกั ตร์ ลำ� ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบเน้ือความนนั้ แลว้ จงึ ทรงเปลง่ อทุ านน้ีในเวลานนั้ ทรงเปลง่ พทุ ธอทุ าน คาถาวา่ 83 ปฏั ฐาน เป็นช่อื คมั ภรี ห์ น่ึงในอภธิ รรมปิฎก คือคมั ภรี ป์ ฏั ฐาน, ปฏั ฐานทพ่ี ระองคป์ ระชมุ เป็นสมนั ตปฏั ฐาน ๒๔ เหลา่ น้ี คอื ปฏั ฐาน ๖ ในธรรมอนุโลม, ปฏั ฐาน ๖ ในธรรมปฏโิ ลม, ปฏั ฐาน ๖ ในธรรมอนุโลมปจั จนยี , ปฏั ฐาน ๖ ในธรรม ปจั จนยิ านุโลม ช่ือวา่ มหาปกรณ์ (ปกรณ์ใหญ่) ฯ ปฏั ฐานวา่ ดว้ ยการเปรยี บกบั สาคร บดั น้ี เพอ่ื การรูแ้ จง้ ถงึ ความทพ่ี ระอภธิ รรมน้ี เป็นธรรมลกึ ซ้งึ พงึ ทราบสาคร (ทะเล) ๔ คือ (๑) สงั สารสาคร (สาคร คือสงสาร) (๒) ชลสาคร (สาคร คือนำ�้ มหาสมทุ ร) (๓) นยสาคร (สาคร คอื นยั ) (๔) ญาณสาคร (สาคร คอื พระญาณ) ฯลฯ 84 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๔/๗. เน้ือหาในคาถาน้ี พระอรรถกถาจารย์ อธิบายว่า “หุหุกชาติ คือ ชอบตวาดผูอ้ ่นื ว่า หึ หึ พราหมณน์ ้ีมที ฏิ ฐวิ า่ “สง่ิ ทเ่ี หน็ แลว้ เป็นมงคล” ชอบเทย่ี วตวาดวา่ หึ หึ เพราะความถอื ตวั และเพราะความโกรธ อา้ งใน ข.ุ อ.ุ (บาล)ี ๒๕/๔/๙๖. คำ� วา่ “สำ� รวมตน” หมายถงึ มจี ติ มงุ่ มนั่ อยู่ในภาวนาหรอื สำ� รวมดว้ ยศีลสงั วร, คำ� วา่ “เรยี นจบพระเวท” หมายถงึ บรรลุมรรคญาณ ๔ (โสดาปตั ติมรรค, สกทาคามมิ รรค, อนาคามมิ รรค, อรหตั ตมรรค) หรือเรียนจบเวท ๓ (ฤคเวท, ยชรุ เวท,สามเวท), คำ� วา่ “อยู่จบพรหมจรรย”์ หมายถงึ จบมรรคพรหมจรรย์ อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔/๙. 85 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕/๘. 02. - 2 (30-69).indd 61 5/10/2022 12:56:03 PM
62 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา “ความสงดั 86 เป็นสุขของบคุ คลผูส้ นั โดษ ผูม้ ธี รรมปรากฏแลว้ ผูเ้หน็ อยู่ ความไมเ่ บยี ดเบยี น คอื ความสำ� รวมในสตั วท์ ง้ั หลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากราคะ คอื ความลว่ งกามทง้ั หลายได้ เป็นสุขในโลก ความกำ� จดั อสั มมิ านะ (ความถอื ตวั วา่ เป็นนนั่ เป็นน่ี) เสยี ไดเ้ป็นสุขอย่างยง่ิ ”87 สปั ดาหท์ ่ี ๗ ประทบั อยู่ ณ ตน้ ราชายตนะ (ตน้ เกด) อยู่ห่างไกลออกไป ตงั้ อยู่ทางทศิ ใตข้ องตน้ โพธ์ิ ราชายตนะ : ในสปั ดาหท์ ่ี ๗ สปั ดาหส์ ุดทา้ ยหลงั จากตรสั รูอ้ นุตรสมั มาสมั โพธญิ าณแลว้ พระพทุ ธองค์ ทรงเสดจ็ ประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ณ ใตต้ น้ เกด (ตน้ ราชายตนะ หรอื ตน้ ไมท้ อ่ี ยู่แห่งพระราชา) ซง่ึ อยู่ทางทศิ ใตข้ อง ตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ ตลอด ๗ วนั โดยไดท้ รงอดอาหารมาเป็นเวลา ๔๙ วนั ณ ตน้ ราชายตนะ น้ีเอง ไดม้ พี อ่ คา้ พานชิ ๒ พน่ี อ้ ง88 ชอ่ื “ตปสุ สะ” กบั “ภลั ลกิ ะ” นำ� เกวยี น ๕๐๐ เลม่ เดนิ ทางจากอกุ กลชนบท ผ่านมาทางตำ� บล พทุ ธคยา สถานท่ตี รสั รูข้ องพระพทุ ธเจา้ ไดพ้ บพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ขณะทรงประทบั เสวยวมิ ตุ ติสุขอยู่ใตต้ น้ ราชายตนะ มพี ระรศั มอี นั ผ่องใสงดงามยง่ิ นกั กบ็ งั เกดิ ความเลอ่ื มใส จงึ นำ� ขา้ วสตั ตผุ ง สตั ตกุ อ้ น ซง่ึ เป็นเสบยี ง เดนิ ทางของตนไปถวาย ขณะนนั้ พระพทุ ธองคย์ งั ไม่มบี าตร ทา้ วจตมุ หาราชทง้ั ๔ จงึ ไดน้ อ้ มนำ� บาตรมาถวาย องคล์ ะใบ พระพทุ ธองคท์ รงดำ� รวิ า่ ใบเดยี วกเ็ พยี งพอแก่เรา จงึ ทรงอธษิ ฐานใหบ้ าตรทงั้ ๔ ใบนนั้ ประสานเขา้ เป็น ใบเดยี วกนั แลว้ ทรงรบั ขา้ วสตั ตผุ ง สตั ตกุ อ้ นจากพอ่ คา้ พานิชทงั้ สอง หลงั จากพระพทุ ธองคเ์ สวยขา้ วสตั ตผุ ง สตั ตกุ อ้ นเสร็จแลว้ 89 ก็ทรงแสดงธรรมและประทานอนุโมทนา แก่พ่อคา้ พานิชทงั้ สอง เมอ่ื จบพระธรรมเทศนา พ่อคา้ พานิชทงั้ สองก็เปล่งวาจาถงึ พระพทุ ธเจา้ และพระธรรม เป็นสรณะตลอดชวี ติ ไมเ่ ปลง่ วาจาถงึ พระสงฆ์ เพราะขณะนน้ั ยงั ไมม่ พี ระสงฆ์ ประกาศตนเป็นอบุ าสก ผูถ้ งึ รตั นะ ๒ เป็นสรณะคู่แรก เรยี กวา่ “เทวฺ วาจกิ อบุ าสก” (ผูถ้ งึ รตั นะ ๒ คอื พระพทุ ธ กบั พระธรรม) พวกแรกในโลก90 ก่อนทจ่ี ะเดนิ ทางต่อไป พ่อคา้ พานิชทง้ั สองไดก้ ราบทูลขอสง่ิ ของทร่ี ะลกึ จากพระพทุ ธองคเ์ พอ่ื ใหน้ ำ� กลบั ไปบูชา สกั การะ91 86 ความสงดั (วเิ วก) ในทน่ี ้ีหมายถงึ ธรรมเป็นทส่ี งบระงบั สงั ขารทงั้ ปวง คอื นิพพานนนั่ เอง อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๕/๑๐. 87 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕/๙, ข.ุ อ.ุ (บาล)ี ๒๕/๑๑/๑๐๕. 88 อกุ กาลชนบท สนั นษิ ฐานกนั วา่ เป็นพอ่ คา้ พานชิ ชาวพมา่ ทเ่ี ดนิ ทางไปคา้ ขายในสมยั นนั้ 89 หมายเหตุ : ขา้ ว “สตั ตผุ ง” บาลเี รยี กว่า “มนั ถะ” คือ ขา้ วตากทต่ี ำ� ละเอยี ด ส่วนขา้ ว “สตั ตกุ อ้ น” บาลเี รยี กว่า “มธุบณิ ฑกิ ะ” คอื ขา้ วตากทผ่ี สมนำ�้ ผ้งึ แลว้ ปนั้ เป็นกอ้ นๆ 90 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖/๙. 91 นกั วชิ าการหลายท่านเขยี นไวต้ รงกนั วา่ พระพทุ ธองคท์ รงเอาพระหตั ถล์ ูบพระเศียร เสน้ พระเกศา ๘ เสน้ หลดุ ตดิ พระหตั ถม์ า จงึ ทรงประทานใหแ้ ก่พอ่ คา้ พานิชทงั้ สองไปเป็นการสนองความศรทั ธาของเขา พอ่ คา้ พน่ี อ้ งชาวพมา่ สองคนนน้ั ไดน้ ำ� พระเกศาธาตุ ๘ เสน้ นนั้ กลบั ไปยงั เมอื งย่างกงุ้ บา้ นเมอื งของตน ครนั้ พอถงึ ประเทศพมา่ ไดม้ พี ธิ สี มโภชพระเกศาธาตนุ ้ีหลายวนั หลายคนื และไดจ้ ดั สรา้ ง “พระมหาเจดยี ช์ เวดากอง” เพอ่ื บรรจพุ ระเกศาธาตุ มาจนถงึ ตราบเท่าทกุ วนั น้ี 02. - 2 (30-69).indd 62 5/10/2022 12:56:03 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 63 ๒.๖.๒ เหตกุ ารณ์เก่ยี วกบั คำ� อาราธนาของพรหม หลงั จากตรสั รู้ และพจิ ารณาทบทวนธรรมแลว้ พระพทุ ธองคท์ รงตดั สนิ พระทยั ว่า จะไม่แสดงธรรม เพราะถอื ว่าเป็นส่งิ ท่คี นทวั่ ไปจะเขา้ ใจไดอ้ ยาก ทรงนอ้ มพระทยั ไปเพ่อื ความขวนขวายนอ้ ย ดงั พทุ ธพจนว์ ่า “บดั น้ี เรายงั ไม่ควรประกาศธรรมทเ่ี ราไดบ้ รรลุดว้ ยความลำ� บาก เพราะธรรมน้ี ไม่ใช่สง่ิ ทผ่ี ูถ้ กู ราคะและโทสะ ครอบงำ� จะรูไ้ ดง้ า่ ย แต่เป็นสง่ิ พาทวนกระแส (หมายถงึ พาใหเ้ขา้ พงึ นพิ พาน) ละเอยี ด ลกึ ซ้งึ รูเ้หน็ ไดย้ าก ประณีต ผูก้ ำ� หนดั ดว้ ยราคะ ถกู กองโมหะหมุ้ ห่อไว้ จกั รูเ้หน็ ไมไ่ ด”้ เมอ่ื ทา้ วสหมั บดพี รหมทราบความดำ� รใิ นพระทยั นน้ั ดว้ ยใจของตน ไดม้ คี วามดำ� รวิ า่ “ท่านผูเ้จรญิ เอย๋ โลกจะพนิ าศหนอ เพราะพระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงนอ้ มพระทยั ไปเพอ่ื การขวนขวายนอ้ ย มไิ ดน้ อ้ มพระทยั ไปเพอ่ื ทรงแสดงธรรม” จงึ หายไปจากพรหมโลก มาปรากฏ ณ เบ้อื งพระพกั ตรพ์ ระผูม้ พี ระภาค เปรยี บประหน่ึงบรุ ุษมกี ำ� ลงั เหยยี ดแขนออก หรอื คูแ้ ขนเขา้ ฉะนนั้ แลว้ ห่มอตุ ตราสงคเ์ ฉวยี งบ่าขา้ งหน่ึงคุกเขา่ เบ้อื งขวาลงบนแผ่นดนิ ประนมมอื ไปทางทพ่ี ระผูม้ พี ระภาคประทบั พลางทูลว่า “พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขอพระผูม้ พี ระภาคไดโ้ ปรดแสดงธรรม ขอพระสุคตเจา้ ไดโ้ ปรดแสดงธรรม เพราะสตั วท์ ง้ั หลายผูม้ ธี ุลใี นตานอ้ ยมอี ยู9่ 2 สตั วเ์ หลา่ นน้ั ย่อมเสอ่ื มเพราะไมไ่ ดส้ ดบั ธรรม เพราะจกั มผี ูร้ ูธ้ รรม”93 ทา้ วสหมั บดพี รหมไดท้ ูลอาราธนาดงั น้ี แลว้ ไดท้ ูลเป็นประพนั ธคาถาต่อไปว่า “ในกาลก่อน ธรรมทไ่ี ม่บริสุทธ์ิ อนั คนทม่ี มี ลทนิ 94 คดิ คน้ ไวป้ รากฏในแควน้ มคธพระองค์ โปรดทรงเปิดประตูอมตธรรมนน้ั เถดิ ขอเหลา่ สตั ว์ จงฟงั ธรรมทพ่ี ระสมั พทุ ธเจา้ ผูป้ ราศจากมลทนิ ไดต้ รสั รูแ้ ลว้ ตามลำ� ดบั ”95 ทา้ วสหมั บดพี รหมไดอ้ าราธนาถงึ ๓ ครงั้ เมอ่ื พระองคท์ รงพจิ ารณาตามทพ่ี รหมอาราธนาอย่างละเอยี ด ถ่ถี ว้ นแลว้ จงึ ทรงรบั คำ� อาราธนาของพรหม และเพราะทรงอาศยั ความกรุณาในหมู่สตั ว์ ทรงตรวจดูโลกดว้ ย พทุ ธจกั ษุ96 เมอ่ื ทรงตรวจดูโลกดว้ ยพทุ ธจกั ษุ ไดเ้หน็ สตั วท์ ง้ั หลายผูม้ ธี ุลใี นตานอ้ ย มธี ุลใี นตามาก (ตา ในทน่ี ้ี คอื ปญั ญาจกั ษุ) มอี นิ ทรยี แ์ ก่กลา้ มอี นิ ทรยี อ์ ่อน สอนใหร้ ูไ้ ดง้ า่ ย สอนใหร้ ูไ้ ดย้ าก บางพวกมกั เหน็ ปรโลกและโทษ ว่าน่ากลวั ก็มี บางพวกมกั ไม่เหน็ ปรโลกและโทษว่าน่ากลวั ก็มี มอี ุปมาเหมอื นในกออุบล ในกอปทุม หรือใน กอบณุ ฑริก บางดอกทเ่ี กิดในนำ�้ เจริญในนำ�้ ยงั ไม่พน้ นำ�้ จมอยู่ในนำ�้ เมอ่ื พจิ ารณาดงั นนั้ แลว้ จงึ ทรงตดั สนิ พระทยั แสดงธรรม ดงั พทุ ธพจนท์ ต่ี รสั ตอบทา้ วสหมั บดพี รหมวา่ “สตั วท์ งั้ หลายเหลา่ ใด จะฟงั จงปลอ่ ยศรทั ธา มาเถดิ เราไดเ้ปิดประตูอมตธรรมแก่สตั วท์ งั้ หลายเหลา่ นน้ั แลว้ ท่านพรหม เพราะเราสำ� คญั ว่าจะลำ� บากจงึ มไิ ด้ แสดงธรรมทป่ี ระณีตคลอ่ งแคลว่ ในหมมู่ นุษย”์ 97 92 หมายถงึ มธี ุลคี อื ราคะ โทสะ โมหะ ปิดบงั ดวงตาปญั ญาเบาบาง อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๗๘-๙/๑๔-๑๕. 93 เหตกุ ารณน์ ้ีเป็นทม่ี าแห่งพธิ อี าราธนาพระสงฆแ์ สดงธรรม อา้ งใน ข.ุ พทุ ธ. (บาล)ี ๓๓/๑/๔๓๕. 94 คนทม่ี มี ลทนิ ในทน่ี ้ีหมายถงึ ครูทง้ั ๖ มปี ูรณกสั สปะเป็นตน้ อา้ งในว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘/๑๔. 95 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘/๑๒. 96 พทุ ธจกั ษุ หมายถงึ (๑) อนิ ทริยปโรปริยตั ตญิ าณ คือ ปรีชาหยงั่ รูค้ วามย่งิ และความหย่อนแห่งอนิ ทรียข์ องสตั ว์ ทง้ั หลาย คอื รูว้ า่ สตั วน์ น้ั ๆ มศี รทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา แค่ไหน เพยี งใดมกี เิ ลสมาก กเิ ลสนอ้ ย มคี วามพรอ้ ม ทจ่ี ะตรสั รู้ หรอื ไม่(๒) อาสยานุสยญาณ คอื ปรชี าหยงั่ รูอ้ ธั ยาศยั ความมงุ่ หมาย สภาพจติ ทน่ี อนอยู่ อา้ งใน ข.ุ ป. (บาล)ี ๓๑/๑๑๑/๑๒๔,๑๑๓/๑๒๖. 97 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔-๑๕. 02. - 2 (30-69).indd 63 5/10/2022 12:56:04 PM
64 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒.๖.๓ เหตกุ ารณ์สง่ สาวกไปพระประกาศพระศาสนา เมอ่ื พระองคท์ รงตดั สนิ พระทยั แสดงธรรมแลว้ ทรงดำ� รวิ า่ จะแสดงแก่ใครก่อน ทจ่ี ะรูไ้ ดฉ้ บั พลนั จงึ เสดจ็ ไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร พระองคก์ ไ็ ดเ้กดิ ญาณข้นึ วา่ “อาฬารดาบส กาลามโคตร ไดท้ ำ� กาละ ๗ วนั แลว้ ” จงึ ทรงดำ� รวิ า่ “อาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นผูม้ คี วามเสอ่ื มนานหนอ98 เพราะถา้ เธอไดฟ้ งั ธรรมน้ี กจ็ ะพงึ รูไ้ ด้ ฉบั พลนั ” ต่อทรงดำ� รติ ่อไปถงึ อทุ ทกดาบส รามบตุ รน้เี ทวดาผูไ้ มป่ รากฏกายมาทูลพระผูม้ พี ระภาควา่ อทุ ทกดาบส รามบตุ ร ไดท้ ำ� กาละเมอ่ื วานน้ี ต่อจากนนั้ จงึ ทรงดำ� รถิ งึ ปญั จวคั คยี ์ ผูม้ อี ปุ การะแก่เรามากทไ่ี ดเ้ฝ้าปรนนิบตั เิ ราผูม้ งุ่ หนา้ บำ� เพญ็ เพยี รมา ถา้ กระไร เราจะพงึ แสดงธรรมแก่ภกิ ษุปญั จวคั คยี ก์ ่อน เมอ่ื ทรงทราบทอ่ี ยู่แลว้ เสดจ็ ไปยงั ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสี อนั เป็นทอ่ี ยู่ของปญั จวคั คยี ์ และทรงแสดงธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรใหฟ้ งั จนอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม (เป็นพระโสดาบนั ) และขออปุ สมบทดว้ ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ต่อจากนน้ั ทรงประทานโอวาท สงั่ สอนแก่ปญั จวคั คียท์ ่เี หลอื และทูลขออุปสมบท และเมอ่ื ทรงอนตั ตลกั ษณะใหฟ้ งั ทง้ั หมดก็ไดบ้ รรลุอรหนั ต์ (ครง้ั นน้ั มพี ระอรหนั ตใ์ นโลก ๖ รูป)99 ต่อมามกี ลุ บตุ รชอ่ื ยสะ เป็นลูกเศรษฐเี ป็นผูส้ ุขมุ าลชาติ มปี ราสาท ๓ หลงั คอื หลงั หน่ึงสำ� หรบั ฤดูหนาว หลงั หน่งึ สำ� หรบั ฤดูรอ้ น มกี ารบำ� เรอดว้ ยดนตรี ไมม่ บี รุ ุษเจอื ปน ตลอด ๔ เดอื น อยู่บนปราสาทฤดูฝน ไมล่ งมายงั ปราสาทชน้ั ลา่ ง คนื วนั หน่ึง เมอ่ื ยสกลุ บตุ รไดร้ บั การบำ� เรออม่ิ เอมเพยี บพรอ้ มดว้ ยกามคุณ ๕ ไดห้ ลบั ไปก่อน ฝ่ายบริวารชนไดห้ ลบั ภายหลงั ตะเกียงนำ�้ มนั ถูกจุดสว่างทง้ั คืน คืนนน้ั ยสกุลบุตรต่ืนข้นึ ก่อน เหน็ บริวารชน ของตนกำ� ลงั หลบั บางนางมพี ณิ อยู่ใกลร้ กั แร้ บางนางมตี ะโพนอยู่ขา้ งคอ บางนางมโี ปงมางอยู่ทอ่ี ก บางนาง สยายผม บางนางนำ�้ ลายไหล บางนางละเมอเพอ้ ไปต่าง ๆ ปรากฏดุจป่าชา้ ผดี บิ เพราะไดเ้หน็ โทษจงึ ปรากฏแก่ ยสกุลบุตร จิตตงั้ อยู่ในความเบ่อื หน่าย พอตอนยำ�่ รุงจึงไดเ้ ดินไปยงั อิสปิ ตนมฤคทายวนั จึงเปล่งอุทานข้นึ ในขณะนน้ั วา่ “ทน่ี ่วี นุ่ วายหนอ ทน่ี ่ขี ดั ขอ้ งหนอ” ขณะพระผูม้ พี ระภาคไดเ้สดจ็ ลกุ ข้นึ จงกรม ไดย้ นิ เสยี งจงึ ตรสั กบั ยสกลุ บตุ รนน้ั ดงั น้ีวา่ “ยสะ ทน่ี ่ี ไมว่ ุน่ วาย ทน่ี ่ี ไมข่ ดั ขอ้ ง มาเถดิ ยสะ จงนงั่ ลง เราจกั แสดงธรรมแก่เธอ” พอยสกลุ บตุ รไดย้ นิ คำ� ดงั กลา่ วกร็ ่าเรงิ เบกิ บานใจ จงึ ถอดรองเทา้ ทองเขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ไดถ้ วายอภวิ าท แลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร พระองคไ์ ดต้ รสั อนุปพุ พกิ ถา คอื ทรงประกาศ (๑) ทานกถา (เร่อื งทาน) (๒) สลี กถา (เร่อื งศีล) (๓) สคั คกถา (เร่อื งสวรรค)์ (๔) กามาทนี วกถา (เร่อื งโทษ ความตำ�่ ทราม ความเศรา้ หมอง แห่งกาม) (๕) เนกขมั มานิสงั สกถา (เร่อื งอานิสงสแ์ ห่งการออกจากกาม) เมอ่ื ทรงทราบวา่ ยสกลุ บตุ รมจี ติ ควร 98 มคี วามเสอ่ื มนานหนอ หมายถงึ มคี วามเสอ่ื มมาก เพราะเสอ่ื มจากมรรคและผลทจ่ี ะพงึ บรรลุ เพราะเกดิ ในอกั ขณะ คอื อาฬารดาบสตายไปเกดิ ในอากญิ จญั ญายตนภพ ส่วนอทุ ทกดาบสตายไปเกดิ ในเนวสญั ญานาสญั ญายตนภาพ อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๐/๑๖. 99 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๔/๓๐. 02. - 2 (30-69).indd 64 5/10/2022 12:56:04 PM
บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 65 อ่อน ปราศจากนิวรณ์ เบกิ บานผ่องใส จงึ ทรงประกาศสามกุ กงั สกิ ธรรมเทศนา100 ของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย คอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ธรรมจกั ษุอนั ปราศจากธุลปี ราศจากมลทนิ ไดเ้กดิ แก่ยสกลุ บตุ ร ณ อาสนะนนั้ แลวา่ “สง่ิ ใดสง่ิ หน่ึงมคี วามเกดิ ข้นึ เป็นธรรมดา สง่ิ นน้ั ทงั้ ปวงมคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา” เปรยี บเหมอื นผา้ ขาวสะอาด ปราศจากมลทนิ ควรรบั นำ�้ ยอ้ มไดเ้ป็นอย่างดี ครงั้ รุ่งเชา้ เมอ่ื มารดาข้นึ ไปบนปราสาทไม่เจอบตุ รชาย จงึ ไปบอก แก่สามี จงึ ช่วยออกเดนิ ตามหาทวั่ ทง้ั ๔ ทศิ ส่วนเศรษฐคี หบดอี อกเดนิ ไปตามหาทางป่าอสิ ติ นมฤคทายวนั และไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ พระองคไ์ ดแ้ สดงอนุปพุ พกิ ถาและอรยิ สจั ๔ ใหฟ้ งั เมอ่ื ฟงั จบกข็ อประกาศตนเป็นอบุ าสก ทถ่ี งึ พระรตั นตรยั เป็นสรณะ ไดเ้ป็น “เตวาจกิ อบุ าสก” คนแรกในโลก101 ขณะทพ่ี ระผูม้ พี ระภาคทรงแสดงธรรม โปรดบดิ าของยสกลุ บตุ รอยู่ จติ ของยสกลุ บตุ รผูพ้ จิ ารณาภมู ธิ รรมตามทไ่ี ดเ้หน็ ตามทไ่ี ดร้ ู้ กห็ ลดุ พน้ จากอาสวะ ทงั้ หลายเพราะไมถ่ อื มนั่ และทูลขออปุ สมบทดว้ ยเอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา (ครงั้ นนั้ มพี ระอรหนั ตใ์ นโลก ๗ รูป)102 เมอ่ื ตอนเชา้ พระยสะเป็นปจั ฉาสมณะเขา้ ไปยงั นเิ วศนข์ องเศรษฐคี หบดี มารดาและภรรยาเก่าไดจ้ ดั ภตั ราหารถวาย เมอ่ื ไดฟ้ งั อนุปพุ พกิ ถาและสามกุ กงั ธรรมเทศนาแลว้ ก็ไดป้ ระกาศตนเป็น “เตวาจกิ อบุ าสกิ า” คู่แรกในโลก103 ต่อมา สหายคฤหสั ถข์ องท่านพระยสะ ๔ คน คอื วมิ ละ สุพาหุ ปณุ ณชิ ควมั ปติ เป็นบตุ รของตระกูลเศรษฐี ใหญ่นอ้ ยในกรุงพาราณสไี ดท้ ราบขา่ วว่า “ยสกลุ บตุ รโกนผมและหนวดนุ่งห่มผา้ กาสายะออกจากเรอื นบวชเป็น บรรพชติ แลว้ ” จงึ ไดม้ คี วามคดิ ดงั น้ีวา่ “ธรรมวนิ ยั และบรรพชาทย่ี สกลุ บตุ รโกนผมและหนวดนุ่งห่มผา้ กาสายะ ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ นน้ั คงจะไมต่ ำ�่ ทรามเป็นแน่” จงึ ไดพ้ ากนั เขา้ ไปหาท่านพระยสะเพอ่ื ใหพ้ าเขา้ เฝ้า พระผูม้ พี ระภาค พระองคก์ ไ็ ดแ้ สดงธรรมโปรดจนเลอ่ื มใสขออปุ สมบท และไดบ้ รรลอุ รหนั ต์ (ครงั้ นน้ั มพี ระอรหนั ต์ เกดิ ข้นึ ในโลก ๑๑ รูป)104 ต่อมา สหายคฤหสั ถข์ องทา่ นพระยสะจำ� นวน ๕๐ คน เป็นชาวชนบท เป็นบตุ รของตระกูลเศรษฐใี หญ่นอ้ ย ไดท้ ราบขา่ ววา่ “ยสกลุ บตุ รโกนผมและหนวดนุ่งห่มผา้ กาสายะออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ แลว้ ” จงึ ไปหาเพอ่ื ใหพ้ าไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค พระองคก์ แ็ สดงธรรมโปรดจนไดบ้ รรลอุ รหนั ต์ ครง้ั นน้ั มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้นึ ในโลก ๖๑ รูป105 ครง้ั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคไดร้ บั สงั่ กบั ภกิ ษุเหลา่ นน้ั ว่า “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราพน้ แลว้ จากบ่วงทง้ั ปวง (บ่วง ในทน่ี ้ีคอื โลภะ) ทง้ั ทเ่ี ป็นของทพิ ย์ ทง้ั ทเ่ี ป็นของมนุษย์ แมพ้ วกเธอกพ็ น้ แลว้ จากบว่ งทงั้ ปวง ทง้ั ทเ่ี ป็นของทพิ ย์ 100 สามกุ กงั สกิ ธรรมเทศนา หมายถงึ พระธรรมเทศนาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย ทรงตรสั รูด้ ว้ ยพระองคเ์ องทรงเหน็ ดว้ ย สยมั ภูญาณ ไม่ทวั่ ไปแก่ผูอ้ ่นื คือมไิ ดร้ บั คำ� แนะนำ� จากผูอ้ ่นื ทรงตรสั รูล้ ำ� พงั พระองคเ์ องก่อนใครในโลก อา้ งใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๙๓/๑๘๑, สารตถฺ .ฏกี า. (บาล)ี ๓/๒๖/๒๓๗, ท.ี ส.ี ฏกี า อภนิ ว. (บาล)ี ๒/๒๙๘/๓๕๐. 101 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๗/๓๔. 102 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๘/๓๖. 103 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๙/๓๗. 104 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๐/๓๘. 105 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๑/๓๙-๔๐. 02. - 2 (30-69).indd 65 5/10/2022 12:56:04 PM
66 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ทงั้ ทเ่ี ป็นของมนุษย์ ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอจงจารกิ ไป เพอ่ื ประโยชนส์ ุขแก่ชนจำ� นวนมาก เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลก เพอ่ื ประโยชนเ์ ก้อื กูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปโดยทางเดยี วกนั สองรูป จงแสดงธรรมมคี วาม งามในเบ้อื งตน้ มคี วามงามในท่ามกลาง และมคี วามงามในท่ีสุด จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทง้ั อรรถ และพยญั ชนะบริสุทธ์ิบริบูรณ์ครบถว้ น สตั ว์ ทงั้ หลายทม่ี ธี ุลใี นตานอ้ ย มอี ยู่ ย่อมเสอ่ื มเพราะไม่ไดฟ้ งั ธรรม จกั มผี ูร้ ูธ้ รรม ภกิ ษุทง้ั หลาย แมเ้รากจ็ กั ไปยงั ตำ� บลอรุ ุเวลาเสนานคิ มเพอ่ื แสดงธรรม”106 ดงั นน้ั นบั ไดว้ า่ เป็นจดั เร่มิ ตน้ ทพ่ี ระพทุ ธองคส์ ่งพระอรหนั ต์ ๖๐ รูป ไปประกาศศาสนา เหตผุ ลสำ� คญั ท่ี พระพทุ ธองคท์ รงตดั สนิ พระทบั ประกาศคำ� สอน ดว้ ยอาศยั เหตุ ๒ ประการคอื เพราะอาศยั พระมหากรุณาธคิ ุณ และเพราะทรงปรารถนาใหห้ มสู่ ตั วไ์ ดพ้ น้ จากทกุ ขใ์ นวฏั ฏะ สรุปทา้ ยบท การศึกษาประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ทำ� ใหผ้ ูเ้รยี นรูไ้ ดท้ ราบถงึ ความเป็นมาของเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในอดตี เป็นการพสิ ูจนท์ ราบขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี า่ นการจดจำ� และการบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรมาหลาย ชวั่ อายุคน ดินแดนชมพูทวเี ป็นดินแดนแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นำ�้ สนิ ธุ ท่กี ่อกำ� เนิดมาจากคนสองกลุ่มใหญ่ คือ ดราวเิ ดียน หรือมลิ กั ขะ ชนเผ่าดงั่ เดิม และอารยนั หรืออริยกะ ท่ีอพยพเขา้ มายึดครองในภายหลงั แลว้ กระจดั กระจายไปตงั้ ถน่ิ ฐานทวั่ ไปในชมพูทวหี รอื อนิ เดยี ปจั จบุ นั สงั คมอนิ เดยี เป็นสงั คมทม่ี ชี นชนั้ วรรณะ ตามหลกั ความเช่อื ของศาสนาพราหมณท์ ม่ี มี าก่อนศาสนาพทุ ธหลายพนั ปี เนน้ ความศกั ด์ิสทิ ธ์แิ ละการประกอบ พธิ กี รรมต่าง ๆ นอกจากน้ียงั มลี ทั ธคิ ำ� สอนอน่ื ๆ ทม่ี มี าก่อนพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ เตม็ ไปดว้ ยเจา้ ลทั ธิ นกั ปรชั ญา จำ� นวนมาก ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อความเชอ่ื และวถิ ชี วี ติ ของคนในสงั คมอนิ เดยี ในยุคนนั้ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะกเ็ กดิ ในตระกูลทบ่ี รรพบรุ ุษนบั ถอื พราหมณ์ ไดร้ บั การปรนเปรอดูแลเป็นอย่างดตี ามคติ ความเช่ือของพราหมณ์เพ่อื ใหไ้ ดเ้ สวยราชสมบตั ิต่อจากพระราชบดิ า เมอ่ื พระพทุ ธองคแ์ สดงออกผนวชแลว้ ก็ทดลองวธิ ีปฏบิ ตั ิต่าง ๆ จนไดบ้ รรลุพระสพั พญั ญุตญาณ เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ (ผูต้ รสั รูช้ อบไดด้ ว้ ย พระองคเ์ อง) เมอ่ื ตรสั รูแ้ ลว้ มาประกาศสจั ธรรมกต็ อ้ งตู่สูก้ บั แนวคดิ ลทั ธเิ ก่าดงั้ เดมิ ทค่ี นส่วนใหญ่เคารพนบั ถอื แมพ้ ระญาตขิ องพระองคก์ ท็ รงปฏเิ สธในเบ้อื งตน้ พระองคท์ รงประกาศสจั ธรรมทไ่ี ดต้ รสั รูจ้ นไดพ้ ระสาวกจำ� นวน ๖๐ รูปแรกในโลก แลว้ ส่งออกไปพระกาศพระศาสนา จนทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาแผ่ขยายไปยงั นานาประเทศ ตราบเท่าทกุ วนั น้ี 106 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. 5/10/2022 12:56:04 PM 02. - 2 (30-69).indd 66
คำ� ถามทา้ ยบท คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๑ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ ทำ� ทกุ ขอ้ ดงั น้ี ๑. จงอธบิ ายความเชอ่ื ทางศาสนาของคนในชมพทู วปี ก่อนพทุ ธกาล ๒. ในสงั คมชมพทู วปี มกี ารแบง่ ชนชน้ั ในทางสงั คมอย่างไร จงอธบิ าย ๓. พฒั นาการของคมั ภรี พ์ ระเวทมเี ป็นมาอย่างไร จงอธบิ าย ๔. ศาสนาพราหมณม์ หี ลกั ความเช่อื อย่างไร จงอธบิ าย ๕. ศาสนาพราหมณม์ หี ลกั ปฏบิ ตั อิ ย่างไร จงอธบิ าย ๗. จงอธบิ ายและวเิ คราะหล์ ทั ธคิ รูปูรณะกสั สปะ และมกั ขคลโิ คศาล ๘. จงอธบิ ายและวเิ คราะหล์ ทั ธคิ รูนิครนถน์ าฏบตุ ร และสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ๙. จงเลา่ ประวตั เิ หตกุ ารณข์ องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะตดั สนิ พระทยั เสดจ็ ออกผนวช ๑๐. จงอธบิ ายเหตกุ ารณก์ ารกระทำ� ทกุ กรกริ ยิ ามาพอเขา้ ใจ คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๒ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบปรนยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ เลอื กกากบาท X ทบั ในขอ้ ท่ถี กู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดียว ดงั น้ี ๑. อาณาบรเิ วณของชมพทู วปี ในอดตี ถา้ เป็นกลมุ่ ประเทศในปจั จบุ นั ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ ง ก. ธเิ บต ข. เนปาล ค. ปากสี ถาน ง. บงั คลาเทศ ๒. การกลา่ วถงึ อารยธรรมแมน่ ำ�้ สนิ ธุ เป็นการเทยี บไดก้ บั อารยธรรมในโลก ก. อารยธรรมหวงโฮ ข. อารยธรรมลมุ่ นำ�้ โขง ค. อารยธรรมอยี ปิ โบราณ ง. อารยธรรมแมน่ ำ�้ ไนล์ ๓. เมอื งฮารปั ปา (Harappay) จดั วา่ เป็นแหลง่ อารยธรรมใด ก. อารยธรรมหวงโฮ ข. อารยธรรมแมน่ ำ�้ สนิ ธุ ค. อารยธรรมอยี ปิ โบราณ ง. อารยธรรมแมน่ ำ�้ ไนล์ ๔. วรรณะสูทร พราหมณเ์ ชอ่ื กนั วา่ เกดิ มาจากส่วนใดของพระพรม ก. เช่อื วา่ เกดิ มาจากพระพาหา ข. เชอ่ื วา่ เกดิ มาจากพระอทุ ร ค. เชอ่ื วา่ เกดิ มาจากพระโอษฐ์ ง. เชอ่ื วา่ เกดิ มาจากพระบาท ๕. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของคำ� วา่ “ฤคเวท” ไดถ้ กู ตอ้ งตามความเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ์ ก. บทสวดสรรเสรญิ ข. บทสวดออ้ นวอนบูชายญั ค. บทเพลงขบั บูชายญั ง. บทคาถาไสยเวทย์ 02. - 2 (30-69).indd 67 5/10/2022 12:56:04 PM
68 ๖. เจา้ ลทั ธทิ ม่ี แี นวคดิ เร่อื ง “สุขารมณน์ ยิ ม” (hedonism) คอื เจา้ ลทั ธคิ นใด ก. มกั ขลโิ คศาล ข. นิครนถน์ าฏบตุ ร ค. สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ง. ปูรณกสั สปะ ๗. เจา้ ลทั ธทิ ม่ี แี นวคดิ เร่อื ง “อรริ ุทกะ” หรอื “อมราวกิ เขปะ” คอื เจา้ ลทั ธคิ นใด ก. มกั ขลโิ คศาล ข. นคิ รนถน์ าฏบตุ ร ค. สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ง. ปูรณกสั สปะ ๘. สถานทป่ี ระสูตเิ จา้ ชายสทิ ธตั ถะ ปจั จบุ นั อยู่ในเขตประเทศใด ก. อนิ เดยี ข. ปากสี ถาน ค. เนปาล ง. บงั คลาเทศ ๙. คำ� วา่ “สทิ ธตั ถะ” ขอ้ ใดใหค้ วามหมายถกู ตอ้ งทส่ี ุด ก. ผูเ้ป็นทร่ี กั ข. ผูเ้ตม็ ไปดว้ ยแรงบนั ดาลใจ ค. ผูท้ จ่ี ตุ มิ าจากดสุ ติ ง. ผูม้ คี วามสำ� เรจ็ สมปรารถนา ๑๐. พระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาอภธิ รรม หรอื สมนั ตปฏั ฐาน ณ สถานทใ่ี ด ก. ภายใตต้ น้ โพธ์ิ ข. อนมิ มสิ เจดยี ์ ค. รตนฆรเจดยี ์ ง. รตนจงกรมเจดยี ์ 02. - 2 (30-69).indd 68 5/10/2022 12:56:04 PM
เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรุง. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. บรรจบ บรรณรุจ.ิ หนงั สอื ภาพประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ พรอ้ มคำ� บรรยาย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พธ์ รรมสภา, ม.ป.ป.. พระครูกลั ยาณสทิ ธวิ ฒั น์ (สมาน พรหมอยู่/กลฺยาณธมโฺ ม). พระพทุ ธประวตั ติ ามแนวปฐมสมโพธ.ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พส์ หธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๔๖. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. . กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ด่านสุทธาการพมิ พ,์ ๒๕๕๒. พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). พทุ ธประวตั ทิ ศั นศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทยจำ� กดั , ๒๕๔๕. มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๓๕. . พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๓๙. . อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬาอฏกฺ ถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ญิ ญาณ. ๒๕๓๒- ๒๕๓๔. . ฎกี าภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬาฎกี า. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ญิ ญาณ. ๒๕๓๙-๒๕๔๕. วมิ ล จโิ รจนพ์ นธ.์ พทุ ธประวตั .ิ กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พแ์ สงดาว, ๒๕๔๘. เสถยี ร พนั ธรงั ส.ี พทุ ธประวตั มิ หายาน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พส์ ยาม, ๒๕๕๐. 02. - 2 (30-69).indd 69 5/10/2022 12:56:04 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดียหลงั พทุ ธกาล ผศ.ดร.เสฐยี ร ทงั่ ทองมะดนั ผศ.ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูป้ ระจำ� บท เมอ่ื ศึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายการจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาได้ ๒. อธบิ ายประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน ๕๐๐ ปีได้ ๓. อธบิ ายประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุค พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ ปีได้ ๔. วเิ คราะหพ์ ระพทุ ธศาสนาในยุคเสอ่ื มจากอนิ เดยี ได้ ขอบข่ายเน้ือหา ความนำ� การจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๕๐๐ ปี ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุค พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุคเสอ่ื มจากอนิ เดยี 03. - 3 (70-110).indd 70 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 71 ๓.๑ ความน�ำ การจดั ลำ� ดบั เหตุการณ์ในประวตั ิของพระพุทธศาสนา ใชก้ ารดำ� รงพระชนมช์ ีพอยู่ของพระพุทธเจา้ เป็นเกณฑใ์ นการแบง่ กลา่ วคอื ช่วงทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมช์ พี อยู่ตลอด ๘๐ พรรษา หรอื นบั เฉพาะช่วงท่ี เผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ก็เรยี กวา่ เป็นยุคพทุ ธกาล เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานไปแลว้ พระสงฆไ์ ดท้ ำ� สงั คายนา รวบรวมจดั หมวดหมู่คำ� สอน ก็เรียกว่าเป็นยุคหลงั พทุ ธกาล ไม่ว่าจะเป็นยุคพทุ ธกาลหรือหลงั พทุ ธกาล ก็มี เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ มากมายเกดิ ข้นึ ในพระพทุ ธศาสนา เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ เหลา่ น้ี มที ง้ั เป็นความเจรญิ ของพระพทุ ธ- ศาสนา และเป็นทง้ั ความเสอ่ื มของพระพทุ ธศาสนา ในบทน้ี จะไดก้ ลา่ วรายละเอยี ดเกย่ี วกบั ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ในช่วงหลงั พทุ ธกาล โดยมรี ายละเอยี ดเก่ยี วกบั การจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา หลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน ๕๐๐ ปี ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุค พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุคเสอ่ื ม จากอนิ เดยี ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วไปโดยลำ� ดบั ดงั น้ี ๓.๒ การจดั ลำ� ดบั ยคุ คำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา การจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา สามารถพจิ ารณาไดเ้ป็น ๒ ยุคหรอื ๒ ช่วงคอื ๑) ช่วงสมยั พุทธกาล ค�ำสอนสมยั พุทธกาลตอนตน้ : ในเบ้อื งตน้ พระพุทธเจา้ ทรงทรงจำ� คำ� สอน ดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงเป็นพระอุปชั ฌายใ์ หอ้ ุปสมบทกุลบุตรดว้ ยพระองคเ์ อง เรียกว่า “เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา” เรียกคำ� สอนของพระองคว์ ่า “พระธรรมวนิ ยั ” หรือ “พรหมจรรย”์ ทรงอบรมสงั่ สอนและถ่ายทอดพระธรรม คำ� สอนแก่พระสาวกดว้ ยพระองคเ์ อง วธิ กี ารถา่ ยทอดคำ� สอนใชว้ ธิ กี ารแสดงธรรมเทศนาบา้ ง อบรมสงั่ สอนเป็น รายบุคคลบา้ ง โดยใชร้ ะบบมขุ ปาฐะในการถ่ายทอด พระสาวกจะเลอื กเรียนและทรงจำ� คำ� สอนตามท่ตี นเอง ถนดั เช่น พระอบุ าลี มคี วามทรงจำ� เป็นเลศิ ในพระวนิ ยั พระอานนทท์ รงจำ� ชำ� นาญในพระธรรม (พระสูตร)และ พระสารบี ตุ รทรงจำ� เช่ยี วชาญดา้ นพระอภธิ รรม1 คำ� สอนสมยั พทุ ธกาลตอนกลาง : หลงั จากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงส่งสาวกไปประกาศพระพทุ ธศาสนาและ ทรงอนุญาตใหพ้ ระสาวกเป็นพระอปุ ชั ฌายบ์ วชกลุ บตุ รแลว้ การทรงจำ� และสบื ทอดคำ� สอนทงั้ พระวนิ ยั พระธรรม (พระสูตร) และพระอภธิ รรมนอกจากพระองคจ์ ะทรงเทศนาสงั่ สอนดว้ ยพระองคเ์ องแลว้ พระสาวกทไ่ี ดร้ บั อนุญาต ใหเ้ป็นพระอปุ ชั ฌายบ์ วชกลุ บตุ รกป็ ฏบิ ตั หิ นา้ ทอ่ี บรมสงั่ สอนศิษยข์ องตนเองเช่นกนั เช่น พระอบุ าลี เป็นอาจารย์ สงั่ สอนพระวนิ ยั มลี ูกศิษยท์ ป่ี รากฏชอ่ื คอื พระทาสกะ พระอานนทท์ รงจำ� พระธรรม (พระสูตร) จากพระพทุ ธเจา้ โดยตรง หลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน จงึ มโี อกาสได้ ๒ เป็นอาจารยส์ งั่ สอนศิษยพ์ ระสารบี ตุ ร เป็นอาจารยอ์ บรมสงั่ สอน พระอภธิ รรม มลี ูกศิษยท์ ป่ี รากฏช่อื คอื พระภทั ทชิ 1 สุชพี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปิฎกสำ� หรบั ประชาชน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑๖. 03. - 3 (70-110).indd 71 5/10/2022 12:56:38 PM
72 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา คำ� สอนสมยั พทุ ธกาลตอนปลาย : ในสมยั พทุ ธกาลตอนกลางนน้ั นอกจากพระพทุ ธเจา้ ทรงเทศนาสงั่ สอน ดว้ ยพระองคเ์ องแลว้ ก็ยงั มพี ระสาวกเป็นอาจารยส์ อนพระวนิ ยั พระสูตรและพระอภธิ รรม มพี ระภกิ ษุสาวก เลา่ เรยี นคำ� สอนแบง่ เป็นกลมุ่ พระวนิ ยั กลมุ่ พระสูตรและกลมุ่ พระอภธิ รรม (มหาวภิ งั ค์ สงั ฆาทเิ สสขอ้ ท่ี ๗) สมยั พทุ ธกาลตอนปลาย ก่อนเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานนน้ั พระพทุ ธองคไ์ มท่ รงแต่งตงั้ พระภกิ ษุรูปใดรูปหน่งึ เป็นศาสดา ปกครองคณะสงฆแ์ ทนพระองคแ์ ต่ทรงประทานปจั ฉิมโอวาทเป็นแนวทางไวว้ ่า “ธรรมและวนิ ยั ทเ่ี ราแสดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แก่เธอทง้ั หลาย หลงั จากเราลว่ งลบั ไป กจ็ ะเป็นศาสดาของเธอทงั้ หลาย”2 ทรงเรยี กคำ� สอนทง้ั หมดวา่ “พระธรรมวนิ ยั หรอื พระธรรมพระวนิ ยั ” คอื พระธรรมและพระวนิ ยั ทพ่ี ระองคท์ รงตรสั แนะนำ� สงั่ สอนนนั่ เอง ๒) ช่วงสมยั หลงั พทุ ธกาล : หลงั พทุ ธปรินิพพาน ชาวพทุ ธถอื เอาพระธรรมวนิ ยั เป็นเสมอื นศาสดา ตวั แทนของพระพทุ ธเจา้ แต่ในสมยั พทุ ธกาลนนั้ การทรงจำ� พระธรรมคำ� สอนอยู่ในระบบการท่องจำ� (มขุ ปาฐะ) พระธรรมวนิ ยั จึงอาจมกี ารสูญหายไดบ้ า้ ง สมยั หลงั พทุ ธปรินิพพาน คณะสงฆจ์ ึงไดก้ ำ� หนดมาตรการในการ เกบ็ รกั ษาพระธรรมวนิ ยั ข้นึ เรยี กวา่ “การสงั คายนา” หมายถงึ การประชมุ สงฆจ์ ดั ระเบยี บหมวดหมพู่ ระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไว้ ๓.๓ พระพทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๕๐๐ ปี ในมหาปรนิ ิพพานสูตร มขี อ้ ความตอนหน่ึงกลา่ วถงึ โอวาททพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั กบั พระอานนทว์ า่ “อานนท์ บางทพี วกเธออาจจะคดิ วา่ ปาพจนม์ พี ระศาสดาลว่ งลบั ไปแลว้ พวกเราไมม่ พี ระศาสดา ขอ้ น้ีพวกเธอไมพ่ งึ เหน็ อย่างนน้ั ธรรมและวนิ ยั ทเ่ี ราแสดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แก่เธอทง้ั หลาย หลงั จากเราลว่ งลบั ไป กจ็ ะเป็นศาสดาของ เธอทงั้ หลาย”3 พระพุทธดำ� รสั น้ีเป็นส่ิงยืนยนั อย่างชดั เจนว่า พระผูม้ พี ระภาคทรงใหค้ วามสำ� คญั กบั ธรรมและวนิ ยั ท่ีพระองคไ์ ดท้ รงแสดงไวด้ ีแลว้ อย่างสูงย่ิง ทรงยกธรรมและวินยั นนั้ ไวใ้ นฐานะศาสดาแทนพระองคเ์ อง นนั่ หมายความวา่ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานไปแลว้ ธรรมและวนิ ยั ถอื เป็นสง่ิ แทนพระศาสดา และเป็นตวั พระศาสนาทแ่ี ทจ้ รงิ ทพ่ี ทุ ธบรษิ ทั จะตอ้ งช่วยกนั รกั ษาใหด้ ำ� รงคงอยู่สบื ไป การปรารภทจ่ี ะสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั นน้ั เร่มิ มมี าแลว้ ตงั้ แต่สมยั พทุ ธกาล ในปาสาทกิ สูตร4 กลา่ ววา่ ภายหลงั จากท่นี ิครนถนาฏบุตรผูเ้ ป็นศาสดาของศาสนาเชนไดส้ ้นิ ชีวติ สานุศิษยไ์ ดท้ ะเลาะกนั ขนานใหญ่จน แตกแยกนกิ ายกนั พระพทุ ธองคท์ รงปรารภเหตนุ ้ี ตรสั แนะนำ� ใหพ้ ระสงฆท์ งั้ ปวงร่วมกนั สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ไวเ้พอ่ื ใหพ้ รหมจรรยค์ อื พระศาสนาน้ดี ำ� รงอยู่ไดน้ าน และเพอ่ื ประโยชนแ์ ละความสุขแก่มหาชน ทงั้ น้เี พราะไมท่ รง ปรารถนาใหส้ าวก ทงั้ หลายตอ้ งแตกแยกทะเลาะววิ าทกนั เหมอื นอย่างสาวกของศาสนาเชนทต่ี ่างท่มุ เถยี งกนั ว่า 2 ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. 3 ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. 4 ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๖๔/๑๒๕. 03. - 3 (70-110).indd 72 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 73 ก่อนน้ีศาสดาของตนไดส้ อนไวอ้ ย่างไร ฉะนนั้ ในเวลาต่อมา พระสารบี ตุ รจงึ ไดแ้ สดงวธิ กี ารสงั คายนารอ้ ยกรอง พระธรรมวนิ ยั ไวเ้ ป็นแบบแผน โดยท่านไดร้ วบรวมคำ� สอนท่พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวเ้ ป็นขอ้ ธรรม ต่าง ๆ มาแสดงตามลำ� ดบั หมวด ตงั้ แต่หมวดหน่ึงถงึ หมวดสบิ มตี วั อย่างดงั ปรากฏในสงั คตี สิ ูตร5 สงั คายนา (Bฺ uddhist Council) หรอื สงั คตี ิ มาจากคำ� วา่ สํ (พรอ้ มกนั ) + คตี ิ (การสวด) ซง่ึ แปลตาม ตวั อกั ษรวา่ การสวดพรอ้ มกนั แปลตามรูปศพั ทว์ า่ รอ้ ยกรอง คอื ประชมุ สงฆจ์ ดั ระเบยี บหมวดหมพู่ ระพทุ ธวจนะ แลว้ รบั ทราบทวั่ กนั ในทป่ี ระชมุ นน้ั วา่ ตกลงกนั อย่างน้ี แลว้ กม็ กี ารท่องจำ� สบื ต่อกนั มา แต่เดมิ นนั้ การสงั คายนาปรารภเหตคุ วามมนั่ คงแห่งพระพทุ ธศาสนา จงึ จดั ระเบยี บหมวดหม่พู ระพทุ ธ- วจนะไว้ในครงั้ ต่อ ๆ มา ปรากฏวา่ มกี ารถอื ผดิ ตคี วามหมายผดิ กม็ กี ารชำ� ระวนิ จิ ฉยั ขอ้ ทถ่ี อื ผดิ หรอื ตคี วามหมาย ผดิ นน้ั ช้ขี าดวา่ ทถ่ี กู ควรเป็นอย่างไร แลว้ กท็ ำ� การสงั คายนา โดยการทบทวนระเบยี บเดมิ บา้ ง เพม่ิ เตมิ ของใหม่ อนั เป็นทำ� นองบนั ทกึ เหตุการณ์บา้ ง จดั ระเบยี บใหม่ในบางขอ้ บา้ ง ในชนั้ หลงั ๆ เพยี งการจารึกลงในใบลาน การสอบทานขอ้ ผดิ ในใบลาน กเ็ รยี กกนั วา่ สงั คายนา ไมจ่ ำ� เป็นตอ้ งมเี หตกุ ารณถ์ อื ผดิ หรอื เขา้ ใจผดิ เกดิ ข้นึ 6 สำ� หรบั การสงั คายนาทเ่ี กดิ ข้นึ ในประเทศอนิ เดยี นน้ั มดี ว้ ยกนั ๔ ครง้ั การสงั คายนาทเ่ี ป็นทย่ี อมรบั กนั ของทกุ นิกาย คอื การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ และครง้ั ท่ี ๒ ส่วนการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ยอมรบั กนั เฉพาะฝ่ายเถรวาท ส่วนมหายานและหนิ ยานนิกายอ่นื ไม่มกี ารกลา่ วถงึ การสงั คายนาครง้ั น้ี สำ� หรบั การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ ทท่ี ำ� กนั ในอนิ เดยี ภาคเหนือโดยมพี ระเจา้ กนิษกะทรงอุปถมั ภน์ นั้ เป็นการสงั คายนาของพระพทุ ธศาสนานิกายสรวาสติ ฝ่ายเถรวาทใชภ้ าษาบาลี ส่วนฝ่ายมหายานใชภ้ าษาสนั สกฤต ในทน่ี ้ีจงึ ขอกลา่ วถงึ เฉพาะการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑-๓ ซง่ึ เป็นทย่ี อมรบั กนั ในฝ่ายเถรวาทเท่านนั้ ๑) การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ปฐมสงั คายนา : หลงั จากพทุ ธปรนิ ิพพาน ๓ เดอื น ประธานสงฆ์ : พระมหากสั สปเถระ มพี ระอบุ าลเี ป็นผู ้เรยี บเรยี งสวดพระวนิ ยั พระอานนทเ์ ป็นผูเ้รยี บเรยี งสวดพระธรรม ผูเ้ขา้ ร่วมประชมุ สงั คายนา : พระอรหนั ตขณี าสพจำ� นวน ๕๐๐ รูป องคอ์ ปุ ถมั ภ์ : พระเจา้ อชาตศตั รู เหตใุ นการทำ� สงั คายนา : พระสุภทั ทะกลา่ วจว้ งจาบพระธรรมวนิ ยั สถานทป่ี ระชมุ ทำ� สงั คายนา : ถำ�้ สตั ตบรรณคูหา ขา้ งภเู ขาเวภารบรรพต เมอื งราชคฤห์ ระยะเวลาในการประชมุ : กระทำ� อยู่ ๗ เดอื นจงึ สำ� เรจ็ 7 5 ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๙๖-๓๔๙/๒๔๗-๓๖๖. 6 สุชพี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบบั สำ� หรบั ประชาชน, หนา้ ๖-๗. 7 ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๓๗-๔๔๕/๓๗๕-๓๙๒. 03. - 3 (70-110).indd 73 5/10/2022 12:56:38 PM
74 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา บนั ทกึ เหตกุ ารณ์สำ� คญั : หลงั จากทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว้ ไดเ้พยี ง ๗ วนั เหลา่ พระสาวกทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ รรลุ พระอรหนั ต์ ต่างมคี วามเศรา้ โศกเสียใจเป็นอนั มาก แต่มพี ระภิกษุรูปหน่ึงช่ือว่า สุภทั ทะ กลบั ดีใจพูดว่า “พระพทุ ธเจา้ นิพพานเสยี แลว้ กด็ ี ต่อไปจะไดไ้ มม่ ใี ครมาคอยกลา่ ววา่ สง่ิ น้ีควรทำ� สง่ิ น้ีไมค่ วรทำ� ” พระมหากสั สปะไดฟ้ งั ดงั นน้ั กบ็ งั เกดิ ความสลดใจวา่ “พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานเพยี งไมก่ ่วี นั ยงั มผี ูก้ ลา่ ว ถอ้ ยคำ� ทไ่ี มส่ มควรเช่นน้ี ถา้ ไมจ่ ดั การอะไรลงไป ปลอ่ ยไวใ้ หเ้น่ินนานเสยี ก็จะนำ� ความเสอ่ื มเสยี มาสู่พระพทุ ธ- ศาสนา ส่ิงท่ีไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วนิ ยั จกั เจริญ ส่ิงท่ีเป็นธรรมเป็นวนิ ยั จะเส่ือมกำ� ลงั พวกอธรรมวาทีจกั เจริญ พวกธรรมวาทจี กั เสอ่ื มถอย” ดงั นน้ั เมอ่ื ถวาย พระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะเสร็จแลว้ ท่านจงึ ชกั ชวนภกิ ษุทงั้ หลาย ใหม้ าร่วมทำ� สงั คายนา ในระหวา่ งสงั คายนา พระอานนทไ์ ดแ้ จง้ ใหท้ ป่ี ระชมุ สงฆท์ ราบวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตวา่ ถา้ สงฆเ์ หน็ สมควรกส็ ามารถเพกิ ถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยได้ แต่ทป่ี ระชมุ มคี วามเหน็ ไมต่ รงกนั วา่ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย หมายความถงึ สกิ ขาบทใดบา้ ง พระมหากสั สปะจงึ สรปุ วา่ จะไมเ่ พกิ ถอนสกิ ขาบททพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิ ไวแ้ ลว้ และจะไมบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบททพ่ี ระองคไ์ มไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ ซง่ึ ทป่ี ระชมุ สงฆก์ ร็ บั รองเป็นเอกฉนั ท์ จงึ เป็นหลกั ปฏบิ ตั ติ ่อพระวนิ ยั ของคณะสงฆม์ าจนถงึ ปจั จบุ นั โดยเฉพาะคณะสงฆเ์ ถรวาท หลงั จากการทำ� สงั คายนาผ่านไปไมน่ านนกั มพี ระเถระรูปหน่ึงช่อื วา่ ปรุ าณะ พรอ้ มดว้ ยบรวิ ารประมาณ ๕๐๐ รูป อยู่จำ� พรรษาทท่ี กั ขณิ าครี ชี นบท เมอ่ื ท่านทราบวา่ การสงั คายนาเสรจ็ ส้นิ แลว้ ท่านและบรวิ ารจงึ ไดเ้ขา้ สู่ กรุงราชคฤห์ พระสงั คตี กิ าจารยท์ ร่ี ่วมในการทำ� สงั คายนาไดเ้ขา้ ไปแจง้ ใหท้ ่านทราบวา่ พระสงฆไ์ ดท้ ำ� สงั คายนา กนั แลว้ ขอใหท้ ่านยอมรบั มตดิ ว้ ย พระปุราณะกลบั กลา่ วว่า “ท่านทง้ั หลาย พระเถระทงั้ หลายไดท้ ำ� สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั กนั เรียบรอ้ ย ก็ดแี ลว้ แต่ขา้ พเจา้ ไดฟ้ งั มาเฉพาะพระพกั ตรข์ องพระพทุ ธเจา้ พระองคต์ รสั ว่าอย่างไร ขา้ พเจา้ ก็จกั ถอื ปฏบิ ตั ิ ตามนน้ั ” เมอ่ื ไดช้ ้แี จงกนั พอสมควรแลว้ ปรากฏว่าพระปรุ าณะมคี วามเหน็ ตรงกบั พระสงั คีตกิ าจารยส์ ่วนมาก แต่กม็ คี วามเหน็ ขดั แยง้ กนั ในเร่อื งวตั ถุ ๘ ประการ ซง่ึ เป็นพทุ ธานุญาตพเิ ศษทท่ี รงอนุญาตใหภ้ กิ ษุทำ� ไดใ้ นคราว เกดิ ทพุ ภกิ ขภยั แต่เมอ่ื ภยั เหลา่ นนั้ ระงบั กท็ รงบญั ญตั หิ า้ มมใิ หก้ ระทำ� อกี สำ� หรบั วตั ถุ ๘ ประการนน้ั คอื ๑. อนั โตวฏุ ฐะ เกบ็ ของทเ่ี ป็นยาวกาลกิ คอื อาหารไวใ้ นทอ่ี ยู่ของตน ๒. อนั โตปกั กะ ใหม้ กี ารหงุ ตม้ อาหารในทอ่ี ยู่ของตน ๓. สามปกั กะ พระลงมอื หงุ ปรุงอาหารดว้ ยตนเอง ๔. อคุ คหติ ะ คอื การหยบิ เอาเองซง่ึ ของเค้ยี วของฉนั ทย่ี งั มไิ ดป้ ระเคน ๕. ตโตนหี ตะ ของทน่ี ำ� มาจากทน่ี ิมนต์ ซง่ึ เป็นพวกอาหาร 03. - 3 (70-110).indd 74 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 75 ๖. ปเุ รภตั ตะ การฉนั อาหารก่อนเวลาภตั ตาหาร ในกรณีทต่ี นรบั นมิ นตไ์ วใ้ นทอ่ี น่ื แต่ฉนั อาหารอน่ื ก่อนอาหารทต่ี นจะตอ้ งฉนั ในทน่ี ิมนต์ ๗. วนฏั ฐะ ของทเ่ี กดิ หรอื ตกอยู่ในป่า ซง่ึ ไมม่ ใี ครเป็นเจา้ ของ ๘. โปกขรณฏั ฐะ ของทเ่ี กดิ ในสระ เช่น ดอกบวั เหงา้ บวั วตั ถทุ ง้ั ๘ ประการ เป็นพทุ ธานุญาตพเิ ศษในคราวเกดิ ทพุ ภกิ ขภยั ๒ คราว คอื ทเ่ี มอื งเวสาลแี ละทเ่ี มอื ง ราชคฤห์ แต่เมอ่ื ทพุ ภกิ ขภยั ผา่ นพน้ ไปแลว้ ทรงหา้ มมใิ หภ้ กิ ษุกระทำ� พระปรุ าณะและบรวิ ารของทา่ นคงจะไดท้ ราบ เฉพาะเวลาทท่ี รงอนุญาต จงึ ปฏบิ ตั ไิ ปอย่างนน้ั เน่ืองจากการอยู่กนั กระจดั กระจายคนละทศิ ละทาง การตดิ ต่อ บอกกลา่ วอาจไมถ่ งึ กนั ซง่ึ จะวา่ ท่านด้อื รน้ั กค็ งไมใ่ ช่ เพราะท่านถอื ตามทท่ี ่านไดส้ ดบั มาจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหมอื นกนั เม่อื พระสงั คีติกาจารยช์ ้ีแจงใหท้ ่านฟงั ท่านปุราณะก็มคี วามเห็นว่า “พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรง มพี ระสพั พญั ญุตญาณไมส่ มควรทจ่ี ะบญั ญตั หิ า้ มแลว้ อนุญาต อนุญาตแลว้ กลบั บญั ญตั หิ า้ มมใิ ช่หรอื ” เมอ่ื เป็น ดงั น้ี ความแตกต่างในทางขอ้ ปฏิบตั ิ (สีลสามญั ญตา) จึงเกิดข้นึ ตง้ั แต่ครง้ั นน้ั แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำ� ใหเ้ กิด การแตกแยกเป็นนกิ าย ๒) การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ทตุ ยิ สงั คายนา : ประมาณ พ.ศ.๑๐๐ ประธานสงฆ์ : พระยสกากณั ฑกบตุ รเถระ ผูถ้ าม : พระเรวตะ ผูต้ อบ : พระสพั พกามี ผูเ้ขา้ ร่วมประชมุ สงั คายนา : พระอรหนั ตขณี าสพจำ� นวน ๗๐๐ รูป องคอ์ ปุ ถมั ภ์ : พระเจา้ กาฬาโศกราช เหตใุ นการทำ� สงั คายนา : วตั ถุ ๑๐ ประการ สถานทป่ี ระชมุ ทำ� สงั คายนา : วาลกิ าราม เมอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี ระยะเวลาในการประชมุ : กระทำ� อยู่ ๘ เดอื นจงึ สำ� เรจ็ 8 บนั ทกึ เหตกุ ารณ์สำ� คญั : การทำ� สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ปรารภเร่อื งวตั ถุ ๑๐ ประการทภ่ี กิ ษุชาววชั ชนี ำ� ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ โดยถอื วา่ ไมผ่ ดิ ธรรมไมผ่ ดิ วนิ ยั ซง่ึ มใี จความดงั น้ี ๑. ภกิ ษุชาววชั ช:ี ภกิ ษุเกบ็ เกลอื ไวใ้ นเขนงแลว้ นำ� ไปฉนั ปนกบั อาหารได้ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามี โตต้ อบวา่ : การเกบ็ เกลอื ไวใ้ นเขนง โดยตง้ั ใจวา่ จะใส่ลงในอาหารฉนั นน้ั เป็นอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะเป็นการสะสม อาหารตามโภชนสกิ ขาบท) 8 ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๖-๔๕๘/๓๙๓-๔๑๙. 03. - 3 (70-110).indd 75 5/10/2022 12:56:38 PM
76 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒. ภกิ ษุชาววชั ชี: ภกิ ษุจะฉนั อาหารหลงั จากตะวนั บ่ายผ่านไปเพยี ง ๒ องคุลกี ็ไดไ้ ม่เป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : ภกิ ษุฉนั โภชนะในเวลาวกิ าล เมอ่ื ตะวนั บา่ ยคลอ้ ยไปแลว้ ๒ องคลุ ี ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะฉนั โภชนะในเวลาวกิ าล) ๓. ภกิ ษุชาววชั ชี : ภกิ ษุฉนั ภตั ตาหารในวดั เสร็จแลว้ ฉนั เสร็จแลว้ เขา้ ไปสู่บา้ น จะฉนั อาหารทไ่ี ม่ เป็นเดนและไมไ่ ด้ ทำ� วนิ ยั กรรมได้ ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : ภกิ ษุฉนั อาหารเสรจ็ แลว้ คดิ วา่ จกั ฉนั อาหาร เขา้ ไปในบา้ นแลว้ ฉนั โภชนะทเ่ี ป็นอนตริ ติ ตะ (ไมเ่ ป็นเดน) ผดิ เป็นอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะฉนั อาหารท่ี ไมเ่ ป็นเดนภกิ ษุไข)้ ๔. ภกิ ษุชาววชั ช:ี ในอาวาสเดยี วกนั มสี มี าใหญ่ ภกิ ษุจะแยกทำ� อโุ บสถได้ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามี โตต้ อบว่า: ภกิ ษุจะแยกกนั ทำ� อุโบสถสงั ฆกรรมไม่ได้ ผดิ หลกั ท่ที รงบญั ญตั ิไวใ้ นอุโบสถขนั ธกะ ใครขนื ทำ� ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ) ๕. ภกิ ษุชาววชั ช:ี ในเวลาทำ� อโุ บสถ แมว้ า่ พระจะเขา้ ประชมุ ยงั ไมพ่ รอ้ มกนั จะทำ� อโุ บสถไปก่อนกไ็ ด้ โดยใหผ้ ูม้ าทหี ลงั ขออนุมตั เิ อาเองได้ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : สงฆท์ ำ� สงั ฆกรรมดว้ ยคดิ วา่ ใหพ้ วก มาทหี ลงั อนุมตั ิ ทงั้ ทส่ี งฆย์ งั ประชมุ ไมพ่ รอ้ มหนา้ กนั ผดิ หลกั ทท่ี รงบญั ญตั ไิ วใ้ นจมั เปยยขนั ธกะ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ) ๖. ภกิ ษุชาววชั ช:ี การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระอปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ ไมว่ า่ จะผดิ หรอื ถกู พระวนิ ยั กต็ าม ย่อมเป็นการกระทำ� ทส่ี มควรเสมอ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ดว้ ยเขา้ ใจวา่ อปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ ของเราเคยประพฤตมิ าอย่างน้ี ไมเ่ ป็นสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ ง เพราะท่านเหลา่ นน้ั อาจประพฤตผิ ดิ หรอื ถกู กไ็ ด้ ตอ้ งยดึ หลกั พระวนิ ยั จงึ จะเป็นสง่ิ สมควร) ๗. ภกิ ษุชาววชั ช:ี นมสม้ ทแ่ี ปรมาจากนมสดแต่ยงั ไมก่ ลายเป็นทธิ (นมสม้ ) ภกิ ษุฉนั อาหารเสรจ็ แลว้ จะฉนั นมนน้ั ทงั้ ทย่ี งั ไมไ่ ดท้ ำ� วนิ ยั กรรมหรอื ทำ� ใหเ้ป็นเดนตาม พระวนิ ยั กไ็ ด้ ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบ วา่ : นมสม้ ทล่ี ะความเป็นนมสดไปแลว้ แต่ยงั ไมก่ ลายเป็นทธิ ภกิ ษุฉนั ภตั ตาหารแลว้ หา้ มภตั รแลว้ จะดม่ื นมนนั้ อนั ไมเ่ ป็นเดนภกิ ษุไข้ หรอื ยงั ไมไ่ ดท้ ำ� วนิ ยั กรรม ไมค่ วร ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะฉนั อาหารทเ่ี ป็นอนตริ ติ ตะ) ๘. ภกิ ษุชาววชั ช:ี สุราทท่ี ำ� ใหมๆ่ ยงั มสี แี ดงเหมอื นสเี ทา้ นกพริ าบ ยงั ไมเ่ ป็นสุราเตม็ ท่ี ภกิ ษุจะฉนั กไ็ ด้ ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : การดม่ื สุราอยา่ งอ่อนทม่ี สี เี หมอื นสเี ทา้ นกพริ าบ ซง่ึ ยงั ไมถ่ งึ ความเป็นนำ�้ เมา ไมค่ วร เป็นอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะดม่ื สุราและเมรยั ) ๙. ภกิ ษุชาววชั ช:ี ผา้ ปูนงั่ นสิ ที นะอนั ไมม่ ชี าย ภกิ ษุจะบรโิ ภคใชส้ อยกไ็ ด้ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามี โตต้ อบวา่ : ผา้ นสิ ที นะทไ่ี มม่ ชี าย ภกิ ษุจะใช้ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ซ์ ง่ึ จะตอ้ งตดั เสยี จงึ จะแสดงอาบตั ติ ก) ๑๐. ภกิ ษุชาววชั ช:ี ภกิ ษุรบั และยนิ ดใี นเงนิ ทองทเ่ี ขาถวาย ไมเ่ ป็นอาบตั ิ (พระสพั พกามโี ตต้ อบวา่ : การรบั เงนิ หรอื ยนิ ดซี ง่ึ เงนิ และทองทเ่ี ขาเกบ็ ไวเ้พอ่ื ตนเองไมส่ มควรเป็นอาบตั ิ นสิ สคั คยี ปาจติ ตยี )์ 03. - 3 (70-110).indd 76 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 77 ฝ่ายพระวชั ชบี ตุ รเมอ่ื ไมไ่ ดก้ ารยอมรบั จากสงฆจ์ งึ เสยี ใจ แลว้ พรอ้ มใจกนั ไปทำ� สงั คายนาต่างหากทเ่ี มอื ง ปาฏลบี ตุ ร มผี ูเ้ขา้ ร่วมถงึ ๑๐,๐๐๐ รูป เรยี กตนเองวา่ มหาสงั คตี หิ รอื มหาสงั ฆกิ ะ เพราะเหตทุ ม่ี พี วกมาก ในทส่ี ุด สงฆจ์ งึ ไดแ้ ตกออกเป็น ๒ ฝ่าย คอื ฝ่ายพระสพั พกามเี ถระ และภกิ ษุชาววชั ชที เ่ี รยี กตนเองวา่ มหาสงั คตี ิ และ ในกาลต่อมา จงึ แตกออกเป็น ๑๘ นิกาย โดย ๗ นิกายทแ่ี ตกจากมหาสงั ฆกิ ะ เกิดเมอ่ื ปี พ.ศ.๑๐๐-๒๐๐ ส่วน ๑๑ นิกายทแ่ี ตกจากเถรวาท เกดิ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๐๐ เป็นตน้ มา การสงั คายนาในครง้ั น้ี หลกั ฐานฝ่ายเถรวาทระบวุ ่าเป็นการปรารภเหตเุ พอ่ื ระงบั ความแตกแยกทางการ ปฏบิ ตั สิ ลี สามญั ญตา (ความเสมอกนั ดว้ ยศลี ) ในกรณีของพระภกิ ษุชาววชั ชที ป่ี ระพฤตนิ อกพระธรรมวนิ ยั ดงั กลา่ ว แต่ในปกรณส์ นั สกฤตของฝ่ายมหายานทม่ี ชี ่อื วา่ เภทธรรมตจิ กั รศาสตร์ กลบั ช้ปี ระเดน็ ไปทเ่ี ร่อื งความวบิ ตั แิ ห่ง ทฏิ ฐสิ ามญั ญตาแห่งคณะสงฆ์ มเี ร่อื งเลา่ วา่ วนั หน่ึงเป็นวนั อโุ บสถ พระมหาเทวะเป็นผูส้ วดปาฏโิ มกข์ แต่ท่านผูน้ ้ี เป็นฝ่ายอธรรมวาที ไดเ้สนอมติ ๕ ขอ้ ต่อทป่ี ระชมุ สงฆ์ ซง่ึ มใี จความดงั น้ี ๑. พระอรหนั ตอ์ าจถกู มารยวั่ ยวนจนอสุจเิ คลอ่ื นในเวลาหลบั ได้ ๒. พระอรหนั ตอ์ าจมอี ญั ญาณคอื ความไมร่ ูใ้ นบางสง่ิ ได้ ๓. พระอรหนั ตอ์ าจมกี งั ขาคอื ความลงั เลสงสยั ในบางสง่ิ ได้ ๔. ผูจ้ ะรูว้ า่ ตนไดบ้ รรลมุ รรคผลชน้ั ใด จำ� ตอ้ งอาศยั การพยากรณจ์ ากคนอน่ื ๕. บคุ คลจะบรรลพุ ระอรหนั ตไ์ ดด้ ว้ ยการเปลง่ วาจาวา่ ทกุ ขห์ นอๆ ฝ่ายธรรมวาทจี งึ คดั คา้ นประกาศทง้ั ๕ ขอ้ ของพระมหาเทวะวา่ เป็นมจิ ฉาทฐิ ิ มจิ ฉาวาจา แต่ฝ่ายธรรมวาที มจี ำ� นวนนอ้ ย ฝ่ายเขา้ ขา้ งพระมหาเทวะมจี ำ� นวนมากกวา่ และเมอ่ื หาขอ้ ยุตไิ มไ่ ด้ พระเจา้ กาฬาโศกจงึ ตอ้ งเสดจ็ มาหา้ มดว้ ยพระองคเ์ อง แต่พระองคก์ ไ็ มร่ ูจ้ ะทำ� อย่างไร จงึ ตรสั ถามพระมหาเทวะ พระมหาเทวะถวายความเหน็ ใหต้ ดั สนิ ดว้ ยวธิ ีเสยี งขา้ งมาก หรอื เยภยุ ยสกิ าอธิกรณสมถวธิ ี ปรากฏว่าชยั ชนะตกเป็นของฝ่ายพระมหาเทวะ พระเจา้ กาฬาโศกจึงประกาศใหส้ งฆป์ ฏบิ ตั ิตามคติของพระมหาเทวะ สงฆฝ์ ่ายธรรมวาทซี ่งึ มจี ำ� นวนนอ้ ยกว่า จงึ พากนั จารกิ ไปสู่แวน่ แควน้ อน่ื ๓) การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ตตยิ สงั คายนา : ประมาณ พ.ศ.๒๓๖ ประธานสงฆ์ : พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระ ผูเ้ขา้ ร่วมประชมุ สงั คายนา : พระอรหนั ตขณี าสพจำ� นวน ๑,๐๐๐ รูป องคอ์ ปุ ถมั ภ์ : พระเจา้ อโศกมหาราช เหตใุ นการทำ� สงั คายนา : เดยี รถยี ป์ ลอมเขา้ มาบวชในพทุ ธศาสนา สถานทป่ี ระชมุ ทำ� สงั คายนา : อโศการาม เมอื งปาฏลบี ตุ ร ระยะเวลาในการประชมุ : กระทำ� อยู่ ๙ เดอื นจงึ สำ� เรจ็ 9 9 ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ อ.(ไทย) ๑/๔๙-๑๓๑. 03. - 3 (70-110).indd 77 5/10/2022 12:56:38 PM
78 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา บนั ทกึ เหตกุ ารณ์สำ� คญั : การทำ� สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ น้ี เกิดข้นึ โดยปรารภท่มี พี วกเดียรถยี ป์ ลอมเขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา เป็นจำ� นวนมาก เน่ืองจากพระพทุ ธศาสนารุ่งเรืองข้นึ มลี าภสกั การะเกิดข้นึ มาก จึงมเี ดียรถยี ท์ ่มี ่งุ แสวงหา ลาภสกั การะปลอมมาบวช แต่ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั ทำ� ใหส้ งฆท์ ป่ี ฏบิ ตั ชิ อบเกดิ ความรงั เกยี จแยกพระจรงิ พระปลอมไมอ่ อกพระสงฆจ์ งึ ไมท่ ำ� สงั ฆกรรมร่วมกนั เป็นเวลาถงึ ๗ ปี ต่อมา ความทราบไปถงึ พระเจา้ อโศกมหาราช พระองคไ์ ดร้ บั สงั่ ใหอ้ ำ� มาตยค์ นหน่ึงไปอาราธนาใหพ้ ระ ทำ� สงั ฆกรรมร่วมกนั เมอ่ื พระเหลา่ นน้ั ไมย่ นิ ยอม อำ� มาตยถ์ อื วา่ พระสงฆข์ ดั พระบรมราชโองการ จงึ ตดั คอพระ มรณภาพไปหลายรูป พระติสสเถระซ่ึงเป็นพระอนุชาของพระเจา้ อโศกเห็นไม่ไดก้ ารจึงรีบเขา้ ไปขดั ขวางไว้ พวกอำ� มาตยไ์ ม่กลา้ ฆ่าพระอนุชา จึงนำ� ความไปกราบทูลใหพ้ ระเจา้ อโศกมหาราชทรงทราบ พระเจา้ อโศก ทรงตกพระทยั มาก กลวั วา่ บาปกรรมจะตกมาถงึ พระองคด์ ว้ ย แมว้ า่ อำ� มาตยจ์ ะทำ� ไปโดยพลการกต็ ามที พระองค์ จงึ ไปเรยี นถามพระเถระทงั้ หลาย ปรากฏว่าท่านเหลา่ นน้ั ตอบไม่ตรงกนั ในทส่ี ุดไดร้ บั คำ� แนะนำ� ใหไ้ ปอาราธนา พระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระมาวนิ ิจฉยั ให้ พระเถระไดถ้ วายวนิ ิจฉยั ขอ้ ขอ้ งพระทยั ว่า เมอ่ื พระองคไ์ ม่มคี วาม ประสงคจ์ ะใหอ้ ำ� มาตยไ์ ปฆ่าภกิ ษุ บาปนนั้ จงึ ไมม่ แี ก่พระองค์ และใหพ้ ระราชาทรงมนั่ พระทยั ในพทุ ธภาษติ ทว่ี า่ “ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลาย เรากลา่ วเจตนาวา่ เป็นกรรม บคุ คลคดิ แลว้ จงึ กระทำ� กรรมดว้ ยกาย วาจา ใจ” หลงั จากพระเจา้ อโศกทรงสบายพระทยั เพราะไดฟ้ งั คำ� วนิ ิจฉยั ของพระเถระแลว้ พระเถระจงึ ใหพ้ ระเจา้ อโศกทรงศึกษาสจั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา จนสามารถแยกแยะไดว้ ่าอะไรเป็นคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา และอะไรเป็นคำ� สอนของเจา้ ลทั ธนิ อกพระพทุ ธศาสนา พระเจา้ อโศกมหาราชจงึ ตรสั เรยี กภกิ ษุทงั้ หลายมาสอบถาม ดว้ ยพระองคเ์ องวา่ กึ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ = พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มปี กตติ รสั วา่ อย่างไร ถา้ พระรูปใดตอบวา่ วภิ ชฺชวาที = มปี กตจิ ำ� แนก กถ็ อื วา่ เป็นพระทแ่ี ทจ้ รงิ ท่านทต่ี อบเป็นอย่างอน่ื ถอื วา่ เป็นพวกเดียรถยี ป์ ลอมเขา้ มาบวช รบั สงั่ ใหแ้ จกผา้ ขาวใหก้ บั พวกเหล่านน้ั ใหส้ กึ ออกไปเสยี เป็นจำ� นวนมาก ในสมนั ตปาสาทกิ าบอกวา่ มถี งึ ๖๐,๐๐๐ รูป เมอ่ื ชำ� ระสงั ฆมณฑลใหห้ มดจดบรสิ ุทธ์ไิ ดแ้ ลว้ พระเจา้ อโศกมหาราช จงึ ไดอ้ าราธนาใหพ้ ระสงฆท์ ำ� สงั ฆกรรมกนั ตามปกติ มขี อ้ น่าสงั เกตในเร่อื งน้ี ๒ ประการคอื ๑. การแยกระหวา่ งพระจรงิ และพระปลอมโดยการตงั้ คำ� ถาม ใครตอบถกู ถอื วา่ เป็น พระจรงิ ใครตอบ ไมถ่ กู ถอื วา่ เป็นพระปลอม แลว้ ใหจ้ บั สกึ น่าจะมใิ ช่วธิ กี ารทด่ี ี เพราะสมมตุ ถิ า้ ใชว้ ธิ กี ารอยา่ งน้กี บั พระสงฆใ์ นปจั จบุ นั พระจรงิ ทไ่ี มไ่ ดศ้ ึกษามามาก อาจตอบผดิ ถกู จบั สกึ แต่พระไมด่ แี ต่ฉลาด อาจตอบถกู เป็นประเภทถงึ รูแ้ ต่ก็ ไม่ปฏบิ ตั ิ เพราะคนมคี วามรู้ ไม่ใช่หมายความว่า จะตอ้ งเป็นคนดเี สมอไป ในทางกลบั กนั คนมคี วามรูน้ อ้ ย แต่อาจเป็นผูป้ ฏิบตั ิดีก็ได้ หรือเหมือนการหาคนผิดโดยการถามขอ้ กฎหมาย ถา้ ตอบถูกก็ถือว่าเป็นคนดี ถา้ ตอบผดิ กถ็ อื วา่ เป็นคนรา้ ย กน็ ่าจะไมใ่ ช่วธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ ง 03. - 3 (70-110).indd 78 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 79 ๒. คมั ภรี ข์ องพระพทุ ธศาสนานิกายอ่นื ทง้ั หมดทง้ั หนิ ยานและมหายาน ไม่มกี ลา่ วถงึ การสงั คายนา ครงั้ ท่ี ๓ น้ีเลย มกี ลา่ วถงึ แต่เฉพาะคมั ภรี ข์ องเถรวาทเท่านนั้ จงึ ทำ� ใหน้ กั วชิ าการพระพทุ ธศาสนาจำ� นวนไมน่ อ้ ย ตงั้ ขอ้ สงสยั ถงึ การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ น้ี วา่ อาจเป็นการสงั คายนาย่อยภายในของนกิ ายเถรวาท ไมเ่ ก่ยี วกบั นิกายอน่ื ซง่ึ กค็ งตอ้ งอาศยั การศึกษาคน้ ควา้ หาความจรงิ กนั ต่อไป ในการทำ� สงั คายนาครง้ั น้ี พระโมคคลั ลบี ตุ รไดแ้ ต่งคมั ภรี ก์ ถาวตั ถุ ซง่ึ เป็นคมั ภรี ใ์ นอภธิ มั มปิฎกเพม่ิ ข้นึ ดว้ ย เป็นเร่อื งคำ� ถามคำ� ตอบเก่ยี วกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา มคี ำ� ถาม ๕๐๐ คำ� ตอบ ๕๐๐ และเมอ่ื ทำ� สงั คายนา เสรจ็ แลว้ พระเจา้ อโศกกไ็ ดส้ ่งคณะทูตไปประกาศพระพทุ ธศาสนาในแควน้ และประเทศต่าง ๆ รวมทงั้ หมดมี ๙ สายดว้ ยกนั คอื ๑. พระมชั ฌนั ติกเถระ ไปแควน้ กศั มรี แ์ ละคนั ธาระ อยู่ทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซง่ึ ไดแ้ ก่แควน้ แคชเมยี รใ์ นปจั จบุ นั น้ี ๒. พระมหาเทวเถระ ไปมหสิ สกมณฑล อยู่ทางทศิ ใตข้ องแมน่ ำ�้ โคธาวารี ซง่ึ ไดแ้ ก่ไมซอร์ ในปจั จบุ นั (อยู่ทางทศิ ใตข้ องอนิ เดยี ตดิ กบั เมอื งมทั ราส) ๓. พระรกั ขติ เถระ ไปวนวาสปี ระเทศ อยู่ในเขตกนราเหนอื ภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ ๔. พระโยนกธมั มรกั ขติ เถระ ไปปรนั ตชนบทอยู่รมิ ฝงั่ ทะเลอาระเบยี นทศิ เหนือของ บอมเบย์ ๕. พระมหาธมั มรกั ขติ เถระ ไปทแ่ี ควน้ มหาราษฎร์ ภาคตะวนั ตกไมห่ ่างจากบอมเบยใ์ นปจั จบุ นั ๖. พระมหารกั ขติ เถระ ไปโยนกประเทศไดแ้ ก่ เขตแดนแบคเทยี ในเปอรเ์ ซยี ปจั จบุ นั ๗. พระมชั ฌมิ เถระ ไปหมิ วนั ประเทศไดแ้ ก่เนปาล ซง่ึ อยู่ตอนเหนือของอนิ เดยี ๘. พระโสณเถระ และพระอตุ ตรเถระ ไปสุวรรณภมู ิ ไดแ้ ก่ ไทย พมา่ และมอญทกุ วนั น้ี ๙. พระมหนิ ทเถระผูเ้ป็นโอรสพระเจา้ อโศกมหาราชไดน้ ำ� พระพทุ ธศาสนาไปประดษิ ฐานทเ่ี กาะสงิ หล หรอื ประเทศศรลี งั กาเป็นครง้ั แรก10 ๓.๔ พระพทุ ธศาสนาในยคุ พ.ศ. ๕๐๐-๑๐๐๐ ในขณะทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมชพี อยู่ หรือแมแ้ ต่หลงั จากเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ใหม่ ๆ รูปแบบของนิกายมหายานยงั ไมไ่ ดเ้กดิ ข้นึ ถงึ แมใ้ นตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒ พระพทุ ธศาสนาจะเร่มิ แยกเป็น ๒ นิกาย คอื เถรวาท (หรอื สถวรี วาทนิ ) และอาจารยิ วาท (หรอื มหาสงั ฆกิ ะ) หรอื แมแ้ ต่ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาจะไดแ้ ตกออกเป็น ๑๘ นิกาย แลว้ กต็ าม แต่กย็ งั ไมถ่ อื วา่ เป็นนิกายมหายานแต่อย่างใด เพยี งแต่ ถอื ว่าเป็นความคิดของคณาจารยท์ ่ไี ม่ตรงกนั แต่ก็ยอมรบั ว่าคงมกี ารก่อตวั ท่เี ป็นมหายานในช่วงน้ี จนเม่อื พทุ ธศตวรรษ ท่ี ๖ (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ เศษ ๆ) พระอศั วโฆษ (Ashvagosa) ภกิ ษุชาวเมอื งสาเกต ในสมยั 10 ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๕๘-๖๔. 03. - 3 (70-110).indd 79 5/10/2022 12:56:38 PM
80 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พระเจา้ กนษิ กะแต่งคมั ภรี ศ์ รทั โธตปาทศาสตรข์ ้นึ นิกายมหายานซง่ึ เป็นกระแสทค่ี ่อย ๆ ก่อตวั ข้นึ เป็นเวลานาน จงึ ปรากฏรูปร่างชดั เจนข้นึ ในพทุ ธศตวรรษน้ีและมพี ฒั นาการต่อไปอย่างรวดเรว็ 11 ๓.๔.๑ รอ่ งรอยและบ่อเกดิ ของนิกายมหายาน12 เมอ่ื พจิ ารณาถงึ บอ่ เกดิ ของพทุ ธศาสนามหายานแลว้ พบวา่ มสี าเหตหุ ลกั อยู่ ๒ ประการ ไดแ้ ก่ สาเหตุ ภายในพระพทุ ธศาสนา คอื การแตกเป็นนกิ ายต่าง ๆ และสาเหตภุ ายนอกพระพทุ ธศาสนา คอื การรุกรานของ ศาสนาพราหมณ์ ๑) สาเหตภุ ายในพระพทุ ธศาสนา การแตกเป็นนิกายต่างๆ มจี ดุ เร่มิ ตน้ มาจากการแตกความสามคั คกี นั ในหมสู่ งฆด์ ว้ ยเหตุ ๒ ประการ คอื (๑) แตกกนั ดว้ ยทฏิ ฐสิ ามญั ญตา มคี วามเหน็ ไมต่ รงกนั ในเร่อื งธรรม (๒) แตกกนั ดว้ ยสลี สามญั ญตา มคี วาม เคร่งครดั ในการรกั ษาพระวนิ ยั ไมเ่ ท่ากนั ซง่ึ แมเ้มอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ก็เคยเกดิ ข้นึ มาแลว้ หากแต่ระงบั ลงไดใ้ นทส่ี ุด ดงั เช่นกรณีการทะเลาะววิ าทของภกิ ษุเมอื งโกสมั พี ซง่ึ แยกเป็นสองฝกั สองฝ่าย คอื ฝ่ายพระวนิ ยั ธร ๕๐๐ รูป และฝ่ายพระธรรมกถกึ ๕๐๐ รูป เกดิ การขดั แยง้ กนั เก่ยี วกบั เร่อื งทเ่ี ป็นอาบตั แิ ละ ไมเ่ ป็นอาบตั ิ เร่อื งมอี ยู่วา่ พระธรรมกถกึ เหลอื นำ�้ ชำ� ระไวใ้ นวจั จกฎุ ี พระวนิ ยั ธรเหน็ เขา้ จงึ บอกวา่ “เป็นอาบตั ”ิ ครนั้ พระธรรมกถกึ จะปลงอาบตั ิ พระวนิ ยั ธรกลบั บอกวา่ “ถา้ ไมม่ เี จตนากไ็ มเ่ ป็นอาบตั ”ิ แต่พอลบั หลงั พระวนิ ยั ธร กลบั บอกพวกศิษยข์ องตนว่า “พระธรรมกถกึ ตอ้ งอาบตั ิ ก็ไม่รูว้ ่าเป็นอาบตั ”ิ พระธรรมกถกึ ทราบเร่ืองจงึ เกิด การทะเลาะววิ าทกนั 13 จะเหน็ วา่ แมป้ ระเดน็ เลก็ ๆ แต่ต่างฝ่ายต่างถอื ทฏิ ฐวิ า่ ตนเองถกู อกี ฝ่ายผดิ และโจมตกี นั ก็อาจนำ� ไปสู่การแตกแยก เป็นผลเสยี ต่อพระพทุ ธศาสนาอย่างใหญ่หลวงได้ หรืออย่างกรณีของพระเทวทตั ทม่ี คี วามคดิ แปลกแยก คดิ ตงั้ ตนเป็นใหญ่ดว้ ยการปกครองคณะสงฆเ์ สยี เอง จงึ ไดต้ ง้ั กฎทภ่ี กิ ษุจะตอ้ งประพฤติ ๕ ขอ้ เรยี กวา่ ปญั จวตั ถุ ประกาศใหบ้ รษิ ทั ของตนประพฤตแิ ลว้ นำ� เหลา่ สานุศิษยเ์ ขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ ทูลขอใหอ้ อก พระพทุ ธบญั ชา เป็นกฎสำ� หรบั พระภกิ ษุทกุ ๆ รูป คอื ๑. ภกิ ษุพงึ เป็นผูอ้ ยู่ป่าเป็นวตั รตลอดชวี ติ รูปใดไปสู่ละแวกบา้ น รูปนนั้ มโี ทษ ๒. ภกิ ษุพงึ ถอื เทย่ี วบณิ ฑบาตเป็นวตั รตลอดชวี ติ รูปใดรบั นมิ นต์ รูปนนั้ มโี ทษ ๓. ภกิ ษุพงึ ถอื การนุ่งห่มผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั รตลอดชวี ติ รูปใดรบั ผา้ จากคฤหบดี รูปนน้ั มโี ทษ ๔. ภกิ ษุพงึ ถอื การอยู่โคนไมเ้ป็นวตั รตลอดชวี ติ รูปใดเขา้ สู่ทม่ี งุ ทบ่ี งั รูปนนั้ มโี ทษ ๕. ภกิ ษุไมพ่ งึ ฉนั ของสดคาว มปี ลา เน้ือ เป็นตน้ ตลอดชวี ติ รูปใดฉนั รูปนน้ั มโี ทษ 11 ประยงค์ แสนบรุ าณ, พระพทุ ธศาสนามหายาน, (กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๙), หนา้ ๖๕. 12 กองวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นีย, ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, (ปทุมธานี : มหาวทิ ยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นีย, ๒๕๕๐), หนา้ ๗๘-๘๓. 13 ดูรายละเอยี ดใน ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๔๙-๖๐. 03. - 3 (70-110).indd 80 5/10/2022 12:56:38 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 81 แต่พระบรมศาสดาทรงเหน็ ว่าเป็นการประพฤตเิ คร่งเกนิ ไป จงึ ไม่ทรงอนุญาตตามทข่ี อทรงประสงค์ ใหภ้ กิ ษุปฏบิ ตั ไิ ดตั ามอธั ยาศยั ภกิ ษุปฏบิ ตั ไิ ดก้ ็เป็นการดี ถา้ ไม่ประสงคก์ ็สามารถปฏบิ ตั ติ ามทเ่ี หน็ สมควรแก่ สมณะ นบั แต่นนั้ มา พระเทวทตั กบั บรวิ ารกแ็ ยกทำ� สงั ฆกรรมอกี ส่วนหน่ึง ไมร่ ่วมกบั ใคร ๆ ภายหลงั เมอ่ื สำ� นกึ ผดิ จงึ ไดก้ ลบั มาขอขมาต่อพระบรมศาสดา แต่มายงั ไมท่ นั ถงึ กม็ รณภาพเสยี ก่อน14 เม่อื พจิ ารณาสภาพความเป็นอยู่ของภกิ ษุสงฆ์ ซ่งึ มกี ารจดั แบ่งเป็นกลุ่มเป็นสำ� นกั อาจารยต์ ่าง ๆ ตามอธั ยาศยั ของตน ดงั นนั้ โอกาสทจ่ี ะแตกแยกกนั กย็ ่อมจะมมี ากเป็นธรรมดา แต่ทวา่ ในยุคสมยั พทุ ธกาลนนั้ นอกจากจะมพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นผูป้ กครองดูแลสงฆท์ ง้ั หมดแลว้ ยงั มพี ระอคั รสาวกทง้ั สองคอื พระสารบี ตุ ร และพระโมคคลั ลานะ รวมทงั้ เหลา่ สาวกองคส์ ำ� คญั เช่น พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระมหากสั สปะ พระมหา กจั จายนะ เป็นตน้ คอยกำ� กบั ดูแลเหลา่ ลูกศิษยข์ องตน (สทั ธิวหิ าริกและอนั เตวาสกิ ) และประการสำ� คญั คือ เหลา่ พระสาวกสาวกิ าในยุคนนั้ มผี ูท้ บ่ี รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตก์ นั เป็นจำ� นวนมาก ดงั นนั้ แมว้ ่าจะเกดิ การแตก ความสามคั คขี ้นึ บา้ ง เหตกุ ารณเ์ หลา่ นน้ั ก็สามารถสงบลงไดโ้ ดยเร็ว และจะไมบ่ านปลายใหญ่โตถงึ ข้นึ ทจ่ี ะตอ้ ง แบง่ แยกเป็นนกิ ายแต่อย่างใด แต่ภายหลงั จากทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานแลว้ ความสมคั รสมานสามคั คใี นหมสู่ งฆ์ ก็มอี นั เปลย่ี นแปลงไป ทง้ั น้ีเป็นเพราะภกิ ษุสงฆม์ รี ะดบั สภาวธรรมทต่ี ่างกนั มพี ้นื ฐานครอบครวั สงั คม ภาษา การศึกษาทแ่ี ตกต่างกนั รวมถงึ อาศยั อยู่ในสถานทอ่ี นั ต่างภมู ปิ ระเทศและต่างวฒั นธรรมกนั 15 ดว้ ยพ้นื ฐานทต่ี ่างกนั ดงั กลา่ ว จงึ ทำ� ใหค้ ณะสงฆม์ คี วามแตกต่างกนั ในหลาย ๆ ดา้ น ทง้ั ในทางความเหน็ (ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา) และขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ (สลี สามญั ญตา) ความแตกต่างกนั น้ี เกิดข้นึ ตงั้ แต่ครงั้ ทเ่ี หลา่ ภกิ ษุสงฆ์ ไดก้ ระทำ� การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครงั้ แรก โดยมพี ระมหากสั สปะเป็นประธาน และพระปรุ าณะไม่ยอมรบั ในสกิ ขาบท ๘ ขอ้ ทเ่ี ก่ยี วกบั การขบฉนั ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ แมว้ า่ พระมหากสั สปะจะทกั ทว้ งอย่างไร แต่พระปรุ าณะ และเหลา่ บรวิ ารกไ็ มย่ อมรบั ยงั คงประพฤตติ ามทต่ี นไดร้ ูไ้ ดร้ บั ฟงั มาจากพระพทุ ธองคเ์ ท่านน้ั เม่อื กาลล่วงไป ๑๐๐ ปีหลงั พทุ ธปรินิพพาน การขดั แยง้ ก็เร่ิมปรากฏใหเ้ ห็นชดั เจนเป็นรูปธรรม จากกรณีภกิ ษุแตกกนั ออกเป็น ๒ ฝ่าย อนั เน่ืองจากความเหน็ ขดั แยง้ กนั ในเร่อื งวตั ถุ ๑๐ ประการ โดยพวกหน่ึง เหน็ วา่ วตั ถุ ๑๐ ประการน้ีชอบดว้ ยพระธรรมวนิ ยั ส่วนอกี พวกหน่ึงเหน็ วา่ ไมช่ อบดว้ ยพระธรรมวนิ ยั จงึ เกดิ การ โตเ้ถยี งกนั อย่างรุนแรง อนั เป็นมลู เหตใุ หเ้กดิ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ขณะทอ่ี กี ฝ่ายทไ่ี มย่ อมรบั การทำ� สงั คายนา ไดแ้ ยกตวั เป็นอิสระไปทำ� สงั คายนาในท่ีแห่งหน่ึงต่างหาก เหตุการณ์น้ีส่งผลต่อพระพุทธศาสนาโดยตรง เพราะทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาแตกแยกออกเป็น ๒ นิกายอย่างเป็นทางการเป็นครง้ั แรก คือ เถรวาท (หรือ สถวรี วาทนิ ) และอาจารยิ วาท (หรอื มหาสงั ฆกิ ะ) 14 ดูรายละเอยี ดใน ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑๒๔-๑๔๐. 15 เกษมสุข ภมรสถติ , พทุ ธศาสนา พทุ ธปรชั ญา เถรวาท มหายานและหนิ ยาน, (กรุงเทพมหานคร : Homemade Pocket Book , ๒๕๔๑), หนา้ ๖. 03. - 3 (70-110).indd 81 5/10/2022 12:56:38 PM
82 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา การแตกแยกในครง้ั น้ไี ดต้ อกยำ�้ ใหเ้หน็ ถงึ เคา้ โครงของการแบง่ พระพทุ ธศาสนาเป็นเถรวาทและมหายาน ชดั เจนข้นึ โดยหลงั จากนน้ั ไมน่ าน ในช่วงสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนากแ็ บง่ ออกเป็น ๑๘ นกิ ายอยา่ งชดั เจน และต่อมาไดพ้ ฒั นามาเป็นนกิ าย ๓ สายหลกั คอื สายหนิ ยาน สายมหายาน และสายวชั รยาน ๒) สาเหตภุ ายนอกพระพทุ ธศาสนา ในสมยั พทุ ธกาลนน้ั การประกาศศาสนาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดร้ บั การต่อตา้ นจากพวกคณาจารย์ เจา้ ลทั ธติ ่าง ๆ เช่น ลทั ธคิ รูทงั้ ๖ เป็นตน้ มหี ลายครงั้ ทเ่ี กดิ การโตว้ าทะของพระพทุ ธองคก์ บั เจา้ ลทั ธหิ รอื เหลา่ สานุศิษยล์ ทั ธติ ่าง ๆ โดยเฉพาะจากศาสนาพราหมณ์ เพราะในสมยั นนั้ ประชาชนนบั ถอื ศาสนาพราหมณก์ นั เป็น ส่วนใหญ่ ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนากลายเป็นทส่ี นใจของประชาชน และมผี ูห้ นั มายอมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนากนั มากมายและขยายศรทั ธาออกไปในวงกวา้ ง สรา้ งความสนั่ สะเทอื นจนถงึ ขน้ั รากฐานกบั ศาสนาพราหมณ์และ เจา้ ลทั ธทิ งั้ หลาย พระพทุ ธศาสนาจงึ ถกู ต่อตา้ นโจมตแี ละบอ่ นทำ� ลายอยู่ตลอดเวลา ดว้ ยเหตผุ ลสำ� คญั ทเ่ี ป็นแรง จูงใจ ดงั น้ี ๑. พระพทุ ธศาสนาไมย่ อมรบั คมั ภรี พ์ ระเวท (อไวทกิ วาทะ) ๒. พระพทุ ธศาสนามคี ำ� สอนและแนวทางปฎบิ ตั ทิ เ่ี นน้ ศลี สมาธิ ปญั ญา ทำ� ใหผ้ ปู ้ ฏบิ ตั สิ ามารถเขา้ ถงึ สจั ธรรมความจรงิ ไดด้ ว้ ยตนเอง แตกต่างไปจากทพ่ี วกพราหมณแ์ ละคณาจารยท์ ง้ั หลายสอนกนั อยู่ในสมยั นนั้ ๓. พระพทุ ธเจา้ ปฏเิ สธระบบวรรณะทพ่ี วกพราหมณบ์ ญั ญตั ขิ ้นึ ไมย่ อมรบั ฐานะของพวกพราหมณ์ ทใ่ี คร ๆ ต่างยกย่องวา่ สูงส่ง ๔. การเจรญิ เตบิ โตอย่างรวดเรว็ ของพระพทุ ธศาสนา16 ดงั นน้ั พวกพราหมณ์ไดพ้ ยายามทุกวถิ ที างในการบ่อนทำ� ลายพระพุทธศาสนาเพ่อื หาทางดึงศาสนิก กลบั คนื แต่ผลปรากฏวา่ ไมป่ ระสบความสำ� เรจ็ เน่อื งจากพระพทุ ธศาสนาไดเ้ผยแผไ่ ปอยา่ งกวา้ งขวางเป็นทย่ี อมรบั ของประชาชน และไดร้ บั การอุปถมั ภจ์ ากกษตั ริยอ์ ย่างดโี ดยเฉพาะอย่างย่งิ ในสมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งราชวงศเ์ มารยะหรอื โมรยิ ะ แต่ครน้ั เมอ่ื ราชวงศเ์ มารยะดบั สูญ อำ� มาตยป์ ุษยมติ รแห่งราชวงศศ์ ุงคะก็ไดป้ กครองอนิ เดยี สบื ต่อมา กษตั รยิ พ์ ระองคน์ ้ีทรงเลอ่ื มใสในศาสนาฮนิ ดูมากเพราะทรงเป็นพราหมณม์ าก่อน ดงั นนั้ คนในวรรณะพราหมณ์ จงึ มโี อกาสไดข้ ้นึ เป็นใหญ่ ศาสนาพราหมณซ์ ง่ึ รอจงั หวะทจ่ี ะทำ� ลายพระพทุ ธศาสนาอยู่แลว้ จงึ ถอื โอกาสอาศยั อำ� นาจทางการเมอื งทำ� ลายพระพทุ ธศาสนาและฟ้ืนฟูลทั ธศิ าสนาของตนเป็นการใหญ่ แมแ้ ต่พระเจา้ ปษุ ยมติ รเอง ก็แสดงพระองคว์ ่าเป็นปฏปิ กั ษต์ ่อพระพทุ ธศาสนาอย่างเต็มท่ี ถงึ กบั มกี ารกวาดลา้ งพระพทุ ธศาสนา ทำ� รา้ ย คณะสงฆแ์ ละทำ� ลายวดั วาอารามของพระพทุ ธศาสนา โดยตงั้ รางวลั ใหแ้ ก่ผูต้ ดั ศีรษะพระภกิ ษุ ฟ้ืนฟูการบูชายญั โดยโปรดใหท้ ำ� พธิ อี ศั วเมธ (การฆ่ามา้ บูชายญั ) เพอ่ื จูงใจใหป้ ระชาชนมานบั ถอื ศาสนาพราหมณเ์ พม่ิ มากข้นึ 16 เสรี วฒุ ธิ รรมวงศ,์ ผ่าปมปญั หาพทุ ธ-ฮนิ ดู, (กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ., ๒๕๔๐), หนา้ ๓-๔. 03. - 3 (70-110).indd 82 5/10/2022 12:56:39 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 83 การพยายามกวาดลา้ งพระพทุ ธศาสนาของพระเจา้ ปษุ ยมติ ร แมไ้ มอ่ าจทำ� ลายพระพทุ ธศาสนาใหห้ มดไป แต่กท็ ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนามอิ าจรุ่งโรจนอ์ ยู่ ณ ศูนยก์ ลางเดมิ แต่ไปรุ่งเรอื งอยู่บรเิ วณทางตอนเหนือของอนิ เดยี ในแควน้ สวสั (Swat Valley) แควน้ มถรุ า (Mathura) และแควน้ คนั ธาระ (Candara) เป็นตน้ ศาสนาพราหมณจ์ งึ ใชว้ ธิ กี ารใหม่ คอื การกลนื พระพทุ ธศาสนาไวภ้ ายใตร้ ะบบศาสนาฮนิ ดู (Assimilation) หรอื กลา่ วงา่ ย ๆ วา่ พยายามเปลย่ี นพระพทุ ธศาสนาทงั้ หมดใหเ้ป็นศาสนาฮนิ ดูนนั่ เอง ตวั อย่างทเ่ี หน็ เด่นชดั คอื การแต่งมหากาพยข์ ้นึ ๒ เรอ่ื ง คอื มหาภารตะและรามายณะ จนเป็นทแ่ี พร่หลายและไดร้ บั ความนยิ มของประชาชน เป็นอนั มาก โดยเฉพาะเรอ่ื งราวจากคมั ภรี ภ์ ควทั คตี า17 มหากาพยท์ งั้ สองน้สี ามารถดงึ ดูดผูค้ นใหม้ าศรทั ธาเลอ่ื มใส ใน พระผูเ้ป็นเจา้ และทำ� ใหศ้ าสนาพราหมณเ์ ผยแพร่เขา้ สู่มวลชนไดอ้ ย่างรวดเรว็ นอกจากน้ี พวกพราหมณย์ งั ไดพ้ ฒั นาความเช่อื ดา้ นต่าง ๆ อกี หลายอย่าง เช่น การสรา้ งตรมี รู ตใิ หเ้ป็นท่ี พง่ึ สูงสุดตามอย่างพระรตั นตรยั การสรา้ งวหิ าร การสรา้ งเทวาลยั สำ� คญั เป็นตน้ เป็นเหตใุ หศ้ าสนาพราหมณ์ ยุคใหมห่ รอื ศาสนาฮนิ ดู ยง่ิ ขยายวงกวา้ งออกไปเป็นศาสนาทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อวถิ ชี วี ติ ของชาวอนิ เดยี อย่างยง่ิ จากเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ข้นึ ทำ� ใหค้ ณาจารยค์ นสำ� คญั ในสมยั นน้ั มอิ าจน่ิงดูดายอยู่ไดต้ ่างเหน็ ความจำ� เป็นท่ี ตอ้ งทำ� การปฏริ ูปวธิ กี ารเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเสยี ใหม่ เพอ่ื ใหค้ ำ� สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นสง่ิ ทนั สมยั ทนั เหตกุ ารณ์ สามารถทจ่ี ะแขง่ กบั ศาสนาพราหมณใ์ หมท่ ก่ี ำ� ลงั เฟ่ืองฟูอยู่ในขณะนน้ั ได้ พระพุทธศาสนามหายานจึงไดก้ ่อตวั ข้นึ โดยมกี ลุ่มสำ� คญั ท่ีเป็นตน้ กำ� เนิดของมหายาน คือ นิกาย มหาสงั ฆิกะและก่ิงของกลุ่มของนิกายมหาสงั ฆิกะ ซ่งึ เรียกรวมว่าคณะอนั ธกะ มศี ูนยก์ ลางใหญ่อยู่ตอนใต้ ของอนิ เดยี ในแวน่ แควน้ อนั ธระ18 การก่อกำ� เนิดเป็นนิกายมหายานดงั กล่าว เป็นการเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการเหน็ พอ้ งกนั จาก คณะสงฆน์ ิกายมหาสงั ฆิกะ ผสมกบั ชาวพุทธหนุ่มสาวในขณะนน้ั ท่ีมีความเห็นว่าจะตอ้ งปรบั ปรุงวิธีการ เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเสยี ใหม่ โดยการปรบั ปรุงแกไ้ ขคติธรรมในพระพทุ ธศาสนาข้นึ หลายประการเพ่อื ให้ พระพทุ ธศาสนาเขา้ ถงึ หมชู่ นสามญั โดยทวั่ ไป ดงั นนั้ นิกายมหายานจึงไดร้ บั การทำ� นุบำ� รุงอยู่ภายใตอ้ าณาจกั รของกษตั ริยร์ าชวงศศ์ าตวาหนะแห่ง อนั ธระ กษตั รยิ ท์ กุ พระองคใ์ นราชวงศน์ ้ีเป็นมติ รกบั พระพทุ ธศาสนาและหลายพระองคท์ รงทำ� นุบำ� รุงพระพทุ ธ- ศาสนาอย่างจริงจงั เร่ือยมา จนในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ นิกายมหายานก็ไดป้ รากฏใหเ้ หน็ เด่นชดั เป็นนิกาย ใหญ่ ๆ ๒ นิกาย คอื นิกายมาธยมกิ ะและโยคาจาร 17 เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๘๗-๘๙. 18 อภชิ ยั โพธปิ ระสทิ ธศิ าสต,์ พระพทุ ธศาสนามหายาน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๘๓. 03. - 3 (70-110).indd 83 5/10/2022 12:56:39 PM
84 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๓.๔.๒ แนวคดิ และความเช่ือพ้นื ฐานของนิกายมหายาน แนวคดิ และความเช่อื พ้นื ฐานในพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ประกอบดว้ ยเร่อื งทเ่ี ป็นหลกั สำ� คญั ดงั ต่อไปน้ี ๑. แนวคดิ เร่อื ง “ตรยี าน” ตามหลกั คำ� สอนของมหายาน กลา่ วถงึ ยาน ๓ ประการ ซง่ึ เป็นทางหรือวธิ ีสู่ความหลุดพน้ ไดแ้ ก่ สาวกยาน ปจั เจกยาน และโพธสิ ตั วยาน ๑) สาวกยาน หมายถงึ ทางของพระสาวกทห่ี วงั เพยี งบรรลุอรหตั ภูมิ ดว้ ยการรูแ้ จง้ อรยิ สจั ๔ เพอ่ื ขา้ มพน้ วฏั สงสารเทา่ นน้ั ไมไ่ ดห้ วงั พทุ ธภมู แิ ต่อย่างใด มหายานจงึ ถอื วา่ สาวก-ยานเป็นการทำ� ประโยชนเ์ ฉพาะ ตนในวงแคบและช่วยเหลอื สรรพสตั วไ์ ปไดน้ อ้ ย และท่สี ำ� คญั พระสาวกท่จี ะหลุดพน้ ไดจ้ ะตอ้ งอาศยั คำ� ช้ีแนะ สงั่ สอนจากพระพทุ ธเจา้ ก่อน เพราะไมอ่ าจหลดุ พน้ ไดด้ ว้ ยความสามารถของตนเพยี งลำ� พงั ๒) ปจั เจกยาน หมายถึง ทางของพระปจั เจกพุทธเจา้ ผูส้ ามารถรูแ้ จง้ ดว้ ยตนเอง แต่เม่ือ หลุดพน้ แลว้ ก็ไม่อาจแสดงธรรมสงั่ สอนผูอ้ ่นื ใหร้ ูแ้ จง้ เหน็ จรงิ ตามตนเองได้ เพราะมไิ ดส้ งั่ สมจรติ ในการโปรด สรรพสตั วอ์ น่ื ๓) โพธิสตั วยาน หมายถงึ ทางของพระโพธิสตั วผ์ ูม้ จี ติ ใจกวา้ งขวาง กอปรดว้ ยมหากรุณาใน สรรพสตั วท์ งั้ หลาย ตงั้ จติ บำ� เพญ็ บารมเี พอ่ื ม่งุ หมายพทุ ธภูมซิ ง่ึ กา้ วลว่ งอรหตั ภูมโิ พธิสตั วยานจงึ เป็นการสรา้ ง เหตอุ นั มพี ทุ ธภมู เิ ป็นผล หรอื กลา่ วไดว้ า่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ฝ่ายมหายานนนั้ คอื เหลา่ พระโพธสิ ตั วท์ ไ่ี ดส้ รา้ ง บารมมี าดว้ ยการช่วยเหลอื สรรพสตั วใ์ หพ้ น้ จากความทกุ ขน์ นั่ เอง ในบรรดายานทงั้ สามอยา่ งน้ี แมว้ า่ จะมเี ป้าหมายอนั เดยี วกนั คอื การหลดุ พน้ จากกเิ ลสอาสวะ แต่อยา่ งไร กต็ าม สำ� หรบั พทุ ธศาสนกิ ชนฝ่ายมหายานยงั คงถอื วา่ โพธสิ ตั วยานเป็นทางทส่ี ำ� คญั ทส่ี ุด และควรยกย่องไวใ้ น ฐานะ “มหายาน” หรอื ยานทย่ี ง่ิ ใหญ่กวา้ งขวาง และควรยกย่องวา่ เป็น “อนุตตรยาน” หรอื ยานทป่ี ระเสรฐิ สูงสุด โดยมขี อ้ อปุ มาทน่ี ่าฟงั วา่ เหมอื นสตั ว์ ๓ ตวั คอื กระต่าย มา้ และชา้ ง ทก่ี ำ� ลงั วา่ ยขา้ มแมน่ ำ�้ คงคา กระต่ายไมอ่ าจ หยงั่ ถงึ พ้นื ดนิ ไดจ้ งึ ลอยนำ�้ ขา้ มไป ส่วนมา้ บางขณะกห็ ยงั่ ถงึ บางขณะกห็ ยงั่ ไมถ่ งึ ส่วนชา้ งนนั้ ย่อมหยงั่ ถงึ พ้นื ดนิ แม่นำ�้ คงคาเปรียบไดก้ บั ปฏจิ จสมปุ บาทซ่งึ เป็นธรรมอนั ลกึ ซ้งึ วธิ ีขา้ มไปของกระต่ายเปรียบไดก้ บั สาวกยาน มา้ ขา้ มเปรยี บไดก้ บั ปจั เจกยาน ส่วนชา้ งขา้ มเปรยี บไดก้ บั โพธสิ ตั วยาน ซง่ึ เป็นยานของพระตถาคตเจา้ ทง้ั หลาย19 แนวคดิ เร่อื งตรยี าน สะทอ้ นใหเ้หน็ รากฐานความเชอ่ื ของมหายานทม่ี องวา่ ทางหลดุ พน้ สายเดมิ หรอื สายเถรวาทนน้ั เป็นทางแคบท่มี ่งุ เนน้ เฉพาะคนบางกลุ่ม กล่าวคือผูท้ ่จี ะหลุดพน้ ดว้ ยสาวกยานไดจ้ ะตอ้ งเป็น พระอรหนั ตผ์ ูม้ ปี ญั ญาและประกอบความเพยี รมาแลว้ อย่างยง่ิ ยวดเทา่ นนั้ อกี ทงั้ ผลสำ� เรจ็ ทเ่ี กดิ จากความหลดุ พน้ ดงั กลา่ ว กเ็ ป็นไปเพอ่ื ประโยชนแ์ ก่บคุ คลผูน้ นั้ เพยี งผูเ้ดยี ว ฉะนน้ั จงึ ดูเหมอื นวา่ ไดล้ ะเลยคนสว่ นใหญ่ทย่ี งั ด้นิ รน อยู่ในโลกไปเสยี ในขณะทโ่ี พธสิ ตั วยานของฝ่ายมหายานกลบั เป็นเหมอื นพาหนะใหญ่ทส่ี ามารถรบั คนทกุ ประเภท 19 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๐. 03. - 3 (70-110).indd 84 5/10/2022 12:56:39 PM
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี หลงั พทุ ธกาล 85 ทกุ ชนชน้ั วรรณะ ทกุ เพศทกุ วยั ทกุ สาขาอาชพี โดยไมเ่ คยปฏเิ สธ หรอื จำ� กดั วา่ เป็นผูใ้ ด20 ดงั นน้ั จงึ ควรยกย่อง วา่ เป็นยานอนั สูงสุดเพราะสามารถช่วยเหลอื สรรพสตั วไ์ ปไดม้ ากทส่ี ุดนนั่ เอง ๒. แนวคดิ เร่อื ง “พระพทุ ธเจา้ ๓ ประเภท”21 พระพทุ ธศาสนาในฝ่ายมหายานไดแ้ บง่ พระพทุ ธเจา้ ออกเป็น ๓ ประเภท คอื ๑) พระอาทิพทุ ธเจา้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทเ่ี รียกว่าพระอาทพิ ทุ ธะน้ี เป็นผูเ้กิดข้นึ มาเองก่อน สง่ิ ใดทงั้ หมด (พระสยมั ภูพทุ ธเจา้ ) อนั จะหาเบ้อื งตน้ และเบ้อื งปลายมไิ ด้ เป็นผูใ้ หก้ ำ� เนิดพระพทุ ธเจา้ ประเภท อน่ื ๆ ทง้ั หมด เป็นผูใ้ หก้ ำ� เนดิ พระโพธสิ ตั วท์ ง้ั หลายและใหก้ ำ� เนดิ สรรพสง่ิ ต่าง ๆ ทงั้ มวลทม่ี อี ยู่ในสกลจกั รวาลน้ี หรอื อาจกลา่ วอกี นยั หน่ึงวา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างในอนนั ตจกั รวาลน้ี ลว้ นถอื กำ� เนิดมาจากองคพ์ ระอาทพิ ทุ ธะน้ีทงั้ ส้นิ ๒) พระธยานิพทุ ธเจา้ เป็นผูท้ เ่ี กดิ มาจากอำ� นาจแหง่ ฌานของพระอาทพิ ทุ ธะเพอ่ื ปกครองอาณาจกั ร และอาณาจกั รย่อย ๆ ทเ่ี รยี กวา่ พทุ ธเกษตร ดงั นนั้ ในแต่ละพทุ ธเกษตรจะมี พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอยทำ� หนา้ ท่ี โปรดเวไนยสตั วอ์ ยู่หน่งึ พระองค์ และสภาพแต่ละพทุ ธเกษตร อาจจะมคี วามแตกต่างกนั ไปบา้ งตามความเหมาะสม ของการโปรดสตั วใ์ นพทุ ธเกษตรนน้ั ๆ ๓) พระมานุษิพทุ ธเจา้ เป็นผูท้ ่ถี อื กำ� เนิดมาจากพระธยานิพทุ ธเจา้ โดยแสดงตนออกมาในรูป ของมนุษยธ์ รรมดาและอบุ ตั ขิ ้นึ มาในโลกมนุษย์ ทงั้ น้ีเพอ่ื เป็นอบุ ายแห่งการสงั่ สอนสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย เพอ่ื ใหเ้ร่ง ปฏบิ ตั ธิ รรมดว้ ยความไมป่ ระมาท การแบ่งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ออกเป็น ๓ ประเภทนน้ั เน่ืองมาจากความเช่อื ทว่ี า่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยอ่ มมตี รกี าย หรอื พระกาย ๓ กาย กายทห่ี น่งึ เรยี กวา่ ธรรมกาย เป็นภาวะแหง่ การรูแ้ จง้ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อนั เป็นกายท่เี กิดข้นึ เอง อนั หาเบ้อื งตน้ และเบ้อื งปลายมไิ ด้ ธรรมกายน้ีก็คือ องคพ์ ระอาทพิ ทุ ธะ ส่วนกาย ท่สี องเรียกว่า สมั โภคกาย คือกายท่เี ป็นทพิ ย์ มรี ศั มรี ุ่งเรือง เกิดข้นึ มาในรูปของโอปปาติกะ ซ่งึ กายน้ีก็คือ พระธยานพิ ทุ ธะ และกายทส่ี ามเรยี กวา่ นริ มาณกาย เป็นกายทเ่ี นรมติ บดิ เบอื นข้นึ ใหอ้ ยู่ในรูปของร่างกายมนุษย์ ซง่ึ กไ็ ดแ้ ก่พระมานุษพิ ทุ ธะ หรอื อาจจะกลา่ วอกี นยั หน่ึงวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั สามประเภทน้ี ความจรงิ แลว้ ถอื วา่ เป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั เพยี งแต่แสดงตนออกมาในภาวะทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป เพอ่ื ความเหมาะสมต่อการ สงั่ สอนเวไนยสตั วใ์ นแต่ละสถานการณ์ ดงั นน้ั พระมานุษพิ ทุ ธเจา้ ในฝ่ายมหายาน อนั ไดแ้ ก่ พระทปี งั กรพทุ ธเจา้ พระกสั สปพทุ ธเจา้ พระโคตม- พทุ ธเจา้ พระเมตไตรยพทุ ธเจา้ และพระไภสชั ชคุรุพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคจ์ งึ ลว้ นมพี ระกายเป็น ๓ หรอื มภี าวะ แตกต่างกนั เป็น ๓ ในพระองคเ์ ดยี ว ซง่ึ จะเหน็ ไดจ้ ากพระประธานในโบสถข์ องมหายาน ทจ่ี ะตอ้ งมี ๓ พระองค์ เสมอ ทงั้ น้ีมไิ ดห้ มายความว่าพระพทุ ธเจา้ มี ๓ องค์ แต่หมายถงึ พระมานุษพิ ทุ ธะหรือพระศากยมนุ ีพทุ ธะ พระองคเ์ ดยี ว แต่มพี ระกายเป็น ๓ น้ีเป็นลกั ษณะพระรตั นตรยั ของมหายาน 20 สุมาลี มหณรงคช์ ยั , พทุ ธศาสนามหายาน, (กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๑. 21 เสฐยี ร พนั ธรงั ษ,ี พทุ ธศาสนามหายาน, (กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ, ๒๕๔๓), หนา้ ๗๐. 03. - 3 (70-110).indd 85 5/10/2022 12:56:39 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421