336 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา แผ่นดนิ เหมอื นในรชั กาลท่ี ๑ การดำ� เนินพระราชกรณียกจิ ดา้ นศาสนา ไดแ้ ก่ การสรา้ งวดั การฟ้ืนฟูประเพณี ทางพระพุทธศาสนา จดั ใหม้ กี ารบำ� เพ็ญกุศลวนั มาฆบูชา บำ� เพ็ญพระราชกุศลวสิ าขบูซาข้นึ โดยกำ� หนดพธิ ี สามวนั โดยมแี นวพระราชดำ� ริ ดงั น้ี “ศุภมสั ดุ ๑๑๗๙ ศก ... พระบาทสมเดจ็ บรมธรรมมกิ มหาราชารามาธริ าช บรมนาถบรมพติ รพระพุทธเจา้ อยู่หวั ... ทรงพระราชศรทั ธาจะยกร้ือวสิ าขบูชามหายญั พธิ ีอนั ขาดประเพณี มานน้ั ใหก้ ลบั คืนเจยี รฐติ กิ าลปรากฏสำ� หรบั แผ่นดนิ สบื ไป จะใหเ้ป็นอตั ตตั ถประโยชนแ์ ละปรมตั ถประโยชน์ ทรงพระราชศรทั ธาจะใหส้ ตั วโ์ ลก ขา้ มขอบขณั ฑเสมาทง้ั ปวง จำ� เรญิ อายุ และอยู่เยน็ เป็นสุข ปราศจากทกุ ขภ์ ยั ใน ชวั่ น้ี แลชวั่ หนา้ ...”43 ทรงหว่ งใยพระพทุ ธศาสนาทงั้ ภายในประเทศและเชอ่ื มสมั พนั ธพ์ ระพทุ ธศาสนาในลงั กาทวปี นอกจากน้ีทรงปรบั ปรุงการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม โปรดฯ ใหแ้ กไ้ ขวธิ กี ารสอบใหม่ โดยประสงคใ์ หม้ คี วามรูย้ ง่ิ ข้นึ จงึ กำ� หนดการสอบเป็น ๙ ประโยค ไดแ้ ก่ เปรยี ญ ๓ ประโยค จดั เป็นเปรยี ญตร,ี เปรยี ญ ๔–๕–๖ ประโยค จดั เป็นเปรยี ญโท และ เปรยี ญ ๗–๘–๙ ประโยค จดั เป็นเปรยี ญเอก ตงั้ แต่ ๓ ประโยคข้นึ ไป จงึ มนี ติ ยภตั และ เปรยี ญ ๗ ประโยค เรยี กกนั วา่ เอก. ส. คอื เอกสามญั เปรยี ญ ๘ ประโยคเรยี กนั วา่ เอก. ม. คอื เอกมชั ฌมิ า เปรยี ญ ๙ ประโยคเรยี กวา่ เอก. อ.ุ คอื เอกอดุ ม เป็นลำ� ดบั มาจวบปจั จบุ นั น้4ี 4 กลา่ วโดยสรุปความสมั พนั ธร์ ะหว่างอาณาจกั รกบั ศาสนจกั ร ในรชั สมยั รชั กาลท่ี ๑ และ ๒ เนน้ ความ สำ� คญั ของผูน้ ำ� คอื องคพ์ ระมหากษตั รยิ ค์ ู่กบั สถาบนั พระพทุ ธศาสนาสม ดงั พระบาลวี า่ “ราชา มขุ ํ มนุสฺสานํ” พระราชาเป็นประมขุ ของสตั วท์ งั้ หลาย “สพฺพํ รฏฺ ํ สขุ ํ โหติ ราชา เจ โหตุ ธมมฺ ิโก” ถา้ พระราชาเป็นผูท้ รงธรรม ราษฎรทง้ั ปวงย่อมกเ็ ป็นสุข45 ข. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๓๖๗ – พ.ศ. ๒๓๙๔) และ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๓๗๔ – พ.ศ. ๒๔๑๑) การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๓ และ ๔ นบั วา่ เป็นยุคสมยั แห่งการพฒั นาปรบั ปรุงรวมทงั้ ได้ ช่อื วา่ เป็นยุคการปฏริ ูปพระศาสนา กว็ า่ ได้ มรี ายละเอยี ดพงึ ศึกษาตามลำ� ดบั ดงั น้ี พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ ฯ ทรงเป็นพระมหากษตั ริยผ์ ูท้ รงมพี ระทยั มนั่ คงในพระพทุ ธศาสนาเป็น อยา่ งยง่ิ ทรงสบื ทอดพระราชปณิธานในรชั กาลท่ี ๑ และ ๒ ทรงยำ�้ ความเกย่ี วขอ้ งเรอ่ื งลกั ษณะของ ... พระเจา้ อยูห่ วั ธรรมกิ กะมหาราชาธริ าชเจา้ กบั ความปรารถนาพระโพธญิ าณ ทรงพระราชศรทั ธาเป็นพทุ ธศาสนูปถมั ภกพระศาสนา ทรงบำ� เพญ็ ทาน ศีล สมาธิ การบำ� เพญ็ ทานและการทำ� นุบำ� รุงพระภกิ ษุสามเณร พระองคป์ ฏบิ ตั โิ ดยไมก่ ระทบ กระเทอื นงบประมาณแผ่นดนิ ทรงสรา้ งและบูรณปฏสิ งั ขรณว์ ดั วาอารามเตม็ ท่ี ทำ� ใหก้ รุงรตั นโกสนิ ทร์ สมบูรณ์ ดว้ ยเจดยี สถาน เท่าเทยี มกบั กรุงศรอี ยุธยา ครงั้ บา้ นเมอื งดี ดงั ปณิธานของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าฯ 43 แนวพระราชดำ� รเิ กา้ รชั กาล อา้ งใน สุทธวิ งศ์ ตนั ตยาพศิ าลสุทธ์,ิ ศาสนาประจำ� ชาต,ิ (กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั งาน ส่งเสรมิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมฯ ๒๕๕๒), หนา้ ๒๕. 44 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๔๑. 45 อง.ฺ จตกุ กฺ . (บาล)ี ๒๑/๗๐/๘๐, อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๖. 10. - 10 (314-381).indd 336 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 337 การคณะสงฆ์ นนั้ พระสงฆไ์ ดร้ บั การเอาใจใสจ่ ากพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยมานานแลว้ เป็นประเพณี แมบ้ รรดา ขนุ นางก็ปฏบิ ตั ิต่อพระสงฆเ์ ช่นเดยี วกบั ท่ปี ฏบิ ตั ิต่อพระมหากษตั ริย์ เช่น การท่พี ระองคท์ รงบาตรและนิมนต์ พระมาฉนั เพลทกุ วนั จดั ใหม้ กี ารเทศนาเป็นประจำ� ทำ� ใหข้ า้ ราชการชน้ั ผูน้ อ้ ยผูใ้ หญ่ปฏบิ ตั ติ ามดว้ ย การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๓ น้ี ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ วมพระอารามหลวงและอารามราษฎร์ ในกรงุ เทพฯ ทง้ั หมดทเ่ี คยข้นึ กบั คณะเหนอื และคณะใต้เขา้ เป็นคณะใหมอ่ กี คณะหน่งึ ต่างหากเรยี กวา่ คณะกลาง จงึ แบง่ เขตการปกครองคณะสงฆอ์ อกเป็น ๔ คณะ ประกอบดว้ ย 46 (๑) คณะเหนอื (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายซา้ ย) (๒) คณะอรญั วาส ี (คงเดมิ ) (๓) คณะใต ้ (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายขวา) (๔) คณะกลาง (เพม่ิ เขา้ มาใหม)่ มอี ำ� นาจ หนา้ ทป่ี กครองคณะสงฆใ์ นกรุงเทพฯ ทงั้ หมด การปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั สูงสุดมสี มเดจ็ พระสงั ฆราชทรงเป็นประมขุ ระดบั ตำ�่ ลงมาแยกเป็น ๔ คณะ มเี จา้ คณะเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบ และระดบั ตำ�่ ลงไปอกี จนถงึ ระดบั วดั กจ็ ะมเี จา้ คณะเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบลดหลนั่ กนั ลงไป ตามลำ� ดบั จนถงึ ระดบั พระอธิการประจำ� วดั แต่คณะสงฆท์ งั้ หมดทวั่ ประเทศจะตอ้ งข้นึ ตรงต่อพระมหากษตั รยิ ์ ซง่ึ เป็นองคพ์ ระประมขุ ของประเทศเช่นเดยี วกบั ในรชั สมยั ก่อน ๆ ทผ่ี ่านมาแลว้ ค. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๓๖๗ – พ.ศ. ๒๓๙๔) และในสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๓๗๔ – พ.ศ. ๒๔๑๑) รูปแบบการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๓ น้ี มรี ูปแบบการปกครองคณะสงฆอ์ อกเป็น ๔ คณะ ประกอบดว้ ย ๑. คณะเหนือ (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายซา้ ย) มอี ำ� นาจหนา้ ทป่ี กครองคณะสงฆใ์ นภาคเหนือและภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒. คณะอรญั วาส ี (คงเดมิ )มอี ำ� นาจหนา้ ทป่ี กครองคณะสงฆท์ วั่ ประเทศ เฉพาะวดั ทม่ี งุ่ เนน้ หนกั ในดา้ น การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากมั มฏั ฐานเป็นหลกั ๓. คณะใต ้ (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายขวา) มอี ำ� นาจหนา้ ทป่ี กครองคณะสงฆใ์ นภาคใตท้ งั้ หมด ๔. คณะกลาง (เพม่ิ เขา้ มาใหม)่ มอี ำ� นาจหนา้ ทป่ี กครองคณะสงฆใ์ นกรุงเทพฯ ทงั้ หมด คณะสงฆท์ งั้ หมดทวั่ ประเทศจะตอ้ งข้นึ ตรงต่อพระมหากษตั ริย์ ซ่ึงเป็นองคพ์ ระประมขุ ของประเทศ การบรหิ ารการปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั สูงสุดมสี มเดจ็ พระสงั ฆราชทรงเป็นประมขุ ระดบั ตำ�่ ลงมา มเี จา้ คณะ เป็นผูร้ บั ผดิ ชอบ และระดบั ตำ�่ ลงไปอกี จนถงึ ระดบั วดั กจ็ ะมเี จา้ คณะเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบลดหลนั่ กนั ลงไปตามลำ� ดบั โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั (พ.ศ. ๒๓๖๗–พ.ศ. ๒๓๙๔) และในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๓๗๔–พ.ศ. ๒๔๑๑) 46 สมศกั ด์ิ บญุ ปู่ , พระสงฆก์ บั การศึกษาไทย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๑๕. 10. - 10 (314-381).indd 337 5/10/2022 1:00:17 PM
338 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๓ น้ี มโี ครงสรา้ งการบรหิ ารการปกครองคณะสงฆ์ สมเด็จพระสงั ฆราช (สมเด็จพระอรยิ วงศญาณ) สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ คณะเหนอื คณะอรญั ญวาสี คณะใต ้ คณะกลาง พระราชาคณะ ไมม่ ใี นสงั กดั วดั พระราชาคณะ พระราชาคณะ หวั เมอื งเหนือ หวั เมอื งใต้ วดั ในกรุง ภาพท่ี ๑๐.๖ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รชั กาลท่ี ๓47 จากโครงสรา้ งดงั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๓ มปี รบั ปรุงการปกครอง คณะสงฆโ์ ดยเพม่ิ เป็น ๔ คณะ ไดแ้ ก่ ๑. คณะเหนอื ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะเหนอื ปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี กครอง ดูแลบรหิ ารกจิ การคณะสงฆภ์ ายในคณะซง่ึ ประกอบดว้ ยพระราชาคณะ หวั เมอื งเหนอื บรหิ ารปกครองวดั ในเขต หวั เมอื งเหนือ ๒. คณะอรญั วาสปี ระกอบดว้ ยสมเดจ็ พระราชาคณะเป็นเจา้ คณะใหญ่คณะอรญั วาสี คณะอรญั วาสี มเี พยี งตำ� แหน่งเจา้ คณะเท่านนั้ เป็นคณะทไ่ี มม่ วี ดั ในสงั กดั ปกครองบงั คบั บญั ชา ๓. คณะใต้ ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะใต้ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี กครอง ดูแลบริหารกิจการคณะสงฆภ์ ายในคณะซ่งึ ประกอบดว้ ยพระราชาคณะหวั เมอื งใต้ บริหารปกครองวดั ในเขต หวั เมอื งใต้ ๔. คณะกลาง ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะกลาง ปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี กครอง ดูแลบริหารกิจการคณะสงฆภ์ ายในคณะซ่ึงประกอบดว้ ยพระราชาคณะ คณะกลาง บริหารปกครองวดั ทง้ั พระอารามหลวงและอารามราษฎรใ์ นกรุง ทงั้ น้ี สายบงั คบั บญั ชา ๔ คณะ เจา้ คณะใหญ่แต่ละคณะมอี ำ� นาจปกครองดูแลภายในกจิ การคณะสงฆ์ ในคณะของตน คณะสงฆย์ งั คงมเี อกภาพรวมกนั ภายใตก้ ารบงั คบั บญั ชาของสมเดจ็ พระสงั ฆราชองคเ์ ดยี วกนั โดยเจา้ คณะใหญ่ทุกรูปตอ้ งข้นึ ตรงต่อสมเด็จพระอริยวงศญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช ผูเ้ ป็นประมขุ สงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร 47 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, (พระนครศร-ี อยุธยา : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ๑๑๓. 10. - 10 (314-381).indd 338 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 339 กาลต่อมา ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ น้ี มคี ณะสงฆใ์ หมเ่ กดิ ข้นึ มาอกี คอื คณะธรรมยตุ กิ นิกาย ผูก้ ่อตงั้ นิกาย คอื พระวชริ ญาณภกิ ขุ (เจา้ ฟ้ามงกฎุ ) ขณะผนวชอยู่ โดยพยายามแยกตวั เป็นอสิ ระจากคณะทงั้ ๔ แต่เน่ืองครง้ั แรก ๆ มจี ำ� นวนนอ้ ย จงึ ใหร้ วมอยู่ภายใตก้ ารปกครองของเจา้ คณะกลางตลอดสมยั รชั กาลท่ี ๓ และรชั กาลท่ี ๔ ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ น้ี พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั นบั ไดว้ า่ ทรงเป็นปราชญท์ างศาสนาทส่ี ำ� คญั พระองคห์ น่ึง ทรงมคี วามรูค้ วามสามารถแตกฉานในในภาษาบาลี สนั สกฤต ภาษาองั กฤษและทรงแตกฉาน ในพระธรรมวนิ ยั ดว้ ยทรงอยู่ในเพศบรรพชติ ถงึ ๒๗ พรรษา ทรงใชเ้วลาสว่ นหน่งึ จารกิ ธุดงค์ ทำ� ใหท้ รงสนทิ สนม คนุ้ เคยกบั ราษฎร แต่ในขณะเดยี วกนั กท็ รงคนุ้ เคยกบั เจา้ นาย พระเจา้ แผน่ ดนิ และขา้ ราชการชน้ั ผูใ้ หญ่ในประเทศ ทางยุโรป เช่น องั กฤษ ฝรงั่ เศส เป็นตน้ เมอ่ื พระองคข์ ้นึ ครองราชยแ์ ลว้ กเ็ ป็นทป่ี รวิ ติ กวา่ จะเกดิ การเปลย่ี นแปลง ขนาดใหญ่ในเร่ืองสงฆม์ หานิกายกบั ธรรมยุติ แต่ปรากฏว่าพระองคก์ ็ยงั คงยดึ รูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ เป็นแบบเดมิ จากสมยั รชั กาลท่ี ๓ คอื คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะอรญั วาสี แต่ท่าทขี องธรรมยุตกิ นิกาย มกี ารพฒั นาเจรญิ เตบิ โตและมผี ูเ้ลอ่ื มใสศรทั ธามากข้นึ โดยลำ� ดบั และมอี สิ ระและสทิ ธ์ิขาดในการบรหิ าร กจิ การคณะสงฆภ์ ายในของตน โดยไมม่ กี ารแทรกแซงของเจา้ คณะกลางในสมยั นน้ั แต่อย่างใด เป็นการปกครอง ลกั ษณะพเิ ศษ เชอ่ื วา่ ไดร้ บั พระราชทานพรจากรชั กาลท่ี ๔ ใหม้ อี ำ� นาจปกครองกนั เอง48 สว่ นโครงสรา้ งการปกครอง คณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๔ น้ี มโี ครงสรา้ งการบรหิ ารการปกครองคณะสงฆด์ งั น้ี สมเด็จพระมหาสงั ฆปรณิ ายก สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ สมเดจ็ พระราชาคณะ คณะเหนอื คณะกลาง คณะใต ้ คณะอรญั ญวาสี พระสงั ฆปาโมกข์ พระสงั ฆปาโมกข์ พระสงั ฆปาโมกข์ วดั หวั เมอื งเหนือ วดั หวั เมอื งใต้ คณะวดั บวรนิเวศ คณะวดั มหาธาตุ คณะวดั พระเชตพุ น ภาพท่ี ๑๐.๗ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รชั กาลท่ี ๔49 48 แถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ๒ (พระนคร : โรงพมิ พก์ รุงเทพฯ เดลเิ มล,์ ๒๔๕๗), หนา้ ๗๑. 49 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๑๑๕. 10. - 10 (314-381).indd 339 5/10/2022 1:00:17 PM
340 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จากโครงสรา้ งดงั กลา่ ว มปี ระเดน็ ทค่ี วรศึกษา ดงั น้ี ๑. มกี ารเปลย่ี นราชทนิ นามสมเดจ็ พระสงั ฆราชจากสมเดจ็ พระอรยิ วงศญาณ เป็นสมเดจ็ พระอรยิ - วงศาคตญาณ เป็นครงั้ แรก50 หรอื เรยี กวา่ สมเดจ็ พระอรยิ วงศใ์ นตำ� แหน่งสมเดจ็ พระมหาสงั ฆปรณิ ายก หรอื เรยี ก โดยตำ� แหน่งวา่ สมณุตมหาสงั ฆปรณิ ายก เป็นประธานสงฆท์ วั่ พระราชอาณาจกั ร กลา่ วคอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช นนั่ เอง ๒. คณะเหนอื ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะเหนอื ปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี กครอง ดูแลบรหิ ารกจิ การคณะสงฆภ์ ายในคณะซง่ึ ประกอบดว้ ยพระสงั ฆปาโมกข์ หวั เมอื งเหนือ บรหิ ารปกครองบงั คบั บญั ชาอธกิ ารวดั ในเขตหวั เมอื งเหนือ ลงไปอกี ทอดหน่ึง ๓. คณะกลาง เป็นคณะท่ใี หญ่ข้นึ จึงไดแ้ บ่งการปกครองย่อยออกไปอีก ๓ คณะประกอบดว้ ย (๑) คณะทข่ี ้นึ ตรงต่อวดั บวรนิเวศวหิ าร คอื คณะธรรมยุตกิ นิกายทงั้ หลาย (๒) คณะทข่ี ้นึ ตรงต่อวดั มหาธาตุ ซง่ึ อยู่ในบงั คบั บญั ชาของเจา้ คณะกลาง (๓) คณะทข่ี ้นึ ตรงต่อวดั พระเชตพุ น ซง่ึ มวี ดั ข้นึ อยู่แลว้ จำ� นวนมาก ๔. คณะใต้ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะใต้ปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี กครองดูแล บรหิ ารกจิ การคณะสงฆภ์ ายในคณะซง่ึ ประกอบดว้ ยพระสงั ฆปาโมกข์ หวั เมอื งใต้ บรหิ ารปกครองบงั คบั บญั ชา อธกิ ารในเขตหวั เมอื งใต้ ลงไปอกี ทอดหน่ึง ๕. คณะอรญั วาสปี ระกอบดว้ ยสมเดจ็ พระราชาคณะเป็นเจา้ คณะใหญ่คณะอรญั วาสี คณะอรญั วาสี เป็นคณะกติ ตมิ ศกั ด์ไิ มม่ วี ดั ในปกครองเป็นคณะ มเี พยี งตำ� แหน่งเจา้ คณะเท่านน้ั การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๔ มกี ารแบง่ การปกครองคณะสงฆภ์ ายในสงั ฆมณฑลยงั คงรูปแบบ เดมิ ไวเ้ป็น ๔ คณะ แต่เวลาออกหมายประกาศและหมายในทางราชการ คงกลา่ วแต่เพยี ง ๓ คณะใหญ่เท่านน้ั ไม่ไดก้ ล่าวถงึ คณะอรญั วาสี เพราะเป็นคณะกิตติมศกั ด์ิพเิ ศษ ไมมวี ดั ในบงั คบั บญั ชา ส่วนในทางปฏบิ ตั ิท่ี แทจ้ รงิ นนั้ ไดม้ กี ารแบง่ มอบคณะบงั คบั บญั ชากนั เป็นสดั ส่วนชดั เจน แบง่ เป็นคณะต่าง ๆ มคี ณะกลางไดแ้ บง่ เป็นก่งิ เป็นคณะอกี ๓ คณะ เมอื รวมทง้ั หมดจงึ มี ๕ คณะดงั ทป่ี รากฏในโครงสรา้ ง โดยเจา้ คณะใหญ่แยกกนั บงั คบั บญั ชาเป็นอสิ ระในแต่ละคณะ จนตลอดรชั กาล ส่วนอำ� นาจการบงั คบั บญั ชาเป็นส่วนรวมหรอื ทวั่ ไปตลอด ทวั่ ทงั้ สงั ฆมณฑล โดยเจา้ คณะใหญ่ทุกรูปตอ้ งข้นึ ตรงต่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระมหา- สงั ฆปรณิ ายก สมเดจ็ พระสงั ฆราช ผูเ้ป็นประมขุ สงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร ฆ. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั (พ.ศ.๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๕๓) การปกครองคณะสงฆ์ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ น้ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงจดั ระเบยี บ การปกครองคณะสงฆ์ ดว้ ยการปรบั ปรุงใหม้ รี ะเบยี บแบบแผนทด่ี ี เพอ่ื สบื ทอดพระบรมราโชบายของพระบาท สมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ทจ่ี ะทำ� นุบำ� รงุ พระสงฆธ์ รรมยตุ กิ นกิ ายกบั มหานกิ ายเสมอกนั ประจวบกบั ตำ� แหน่ง (สมเดจ็ 50 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๖๖. 10. - 10 (314-381).indd 340 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 341 พระมหาสงั ฆปรณิ ายก) หรอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช ยงั คงวา่ งอยู่ กท็ รงปลอ่ ยใหต้ ำ� แหน่งวา่ งอยู่ สว่ นสมเดจ็ พระราชา คณะชน้ั เจา้ คณะใหญ่ต่างกป็ กครองหมคู่ ณะของตนภายใตก้ ารปกครองของฝ่ายราชอาณาจกั ร พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ ทรงโปรดใหส้ ถาปนาสมณศกั ด์ขิ องสมเดจ็ พระราชาคณะโดยมไิ ดถ้ อื นกิ ายเป็นเกณฑ์ การทท่ี รงสถาปนาดงั น้นี บั เป็นพระบรมราโชบายสำ� คญั ทางศาสนาเพอ่ื ใหส้ มณศกั ด์หิ มนุ เวยี นกนั ไดไ้ มจ่ ำ� กดั วา่ ตอ้ งเป็นของสงฆน์ ิกายใด รูปแบบการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๕๕๓) ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ ทรงสถาปนาพระองคเ์ จา้ มนุษยนาคมานพ ซง่ึ ทรงผนวชทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารทรงรบั กรม เป็นกรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส และทรงตงั้ เป็นเจา้ คณะรองธรรมยตุ กิ นิกายเป็นครง้ั แรก เท่ากบั คณะธรรมยุตกิ นิกาย ไดร้ บั การรบั รองเป็นคณะใหญ่ในครงั้ น้ี โดยมกี รมหมน่ื ปวเรศวริยาลงกรณ์ ซ่งึ ทรงไดร้ บั การสถาปนา ข้นึ เป็นพระมหาสมณะกรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ซง่ึ ทรงโปรดฯใหท้ ำ� พธิ มี หาสมณุตมาภเิ ษก ใน พ.ศ. ๒๔๓๔ เป็นเจา้ คณะใหญ่ฝ่ ายธรรมยตุ ิ และยงั น่าจะหมายถงึ วา่ ไดแ้ ยกตงั้ ข้นึ เป็นคณะอสิ ระออกมาจากคณะกลาง ซง่ึ ข้นึ พระอฐั สิ มเดจ็ พระปรมานุชติ ชโิ นรส การปกครองคณะสงฆใ์ นช่วงน้จี งึ แบง่ ออกเป็น ๕ คณะ มรี ูปแบบการปกครอง โดยแบง่ เขตการปกครองคณะสงฆอ์ อกเป็น ๕ คณะ ประกอบดว้ ย51 (๑) คณะเหนือ (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายซา้ ย) (๒) คณะอรญั วาส ี (คงเดมิ ) (๓) คณะใต ้ (เดมิ คอื คามวาสฝี ่ายขวา) (๔) คณะกลาง (เพม่ิ เขา้ มาใหม่ ในสมยั รชั กาลท่ี ๓) (๕) คณะธรรมยุตกิ นกิ าย (ตงั้ ข้นึ เป็นคณะใหม่ แยกเป็นอสิ ระออกมาจากคณะกลาง) โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๔๑๑ - พ.ศ. ๒๔๔๓) โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๕ น้ี ในช่วงปี พ.ศ.๒๔๓๔ มโี ครงสรา้ งการบรหิ ารการ ปกครองคณะสงฆ์ ดงั น้ี มหาสงั ฆปรณิ ายก คณะเหนือ คณะกลาง คณะใต ้ คณะธรรมยุตกิ า คณะอรญั วาสี ภาพท่ี ๑๐.๘ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รชั กาลท่ี ๕ ในปี พ.ศ.๒๔๓๔52 51 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๗๙. 5/10/2022 1:00:17 PM 52 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๒๗๙. 10. - 10 (314-381).indd 341
342 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จากโครงสรา้ งดงั กลา่ ว มปี ระเดน็ ทค่ี วรศึกษา ดงั น้ี ๑. ใน พ.ศ.๒๔๓๔ โปรดใหต้ งั้ พระราชพธิ ีมหาสมณุตมาภิเษก เล่อื นกรมพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ข้ึนเป็นสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสมณศกั ด์ิเป็นสมเด็จพระมหา- สงั ฆปรณิ ายกทวั่ พระราชอาณาจกั ร มพี ระอสิ รยิ ยศเช่นเดยี วกบั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส ทกุ ประการ เป็นประธานสงฆท์ วั่ พระราชอาณาจกั รกลา่ วคอื สมเดจ็ พระสงั ฆราชนนั่ เอง ๒. คณะเหนอื คณะใต้ คงไวต้ ามเดมิ ประกอบดว้ ย สมเดจ็ พระราชาคณะ เป็นเจา้ คณะใหญ่ปฏบิ ตั ิ หนา้ ท่ีปกครองดูแลบริหารกิจการคณะสงฆภ์ ายในคณะซ่ึงประกอบดว้ ยพระสงั ฆปาโมกขบ์ ริหารปกครอง บงั คบั บญั ชาอธกิ ารวดั ในเขตหวั เมอื ง ลงไปอกี ทอดหน่ึง ๓. ใหแ้ ยกคณะกลางออกต่างหาก ข้นึ อฐั กิ รมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ออกเป็นคณะหน่ึงอกี ต่างหาก ๔. คณะอรญั วาสี ประกอบดว้ ยสมเดจ็ พระราชาคณะเป็นเจา้ คณะใหญ่คณะอรญั วาสี คณะอรญั วาสี เป็นคณะกติ ตมิ ศกั ด์ไิ มม่ วี ดั ในปกครองเป็นคณะ มเี พยี งตำ� แหน่งเจา้ คณะเท่านนั้ ๕. คณะธรรมยุตกิ นิกาย ตง้ั ข้นึ เป็นคณะใหม่ แยกเป็นอสิ ระออกมาจากคณะกลาง ไดร้ บั การรบั รอง เป็นคณะใหม่ในครง้ั น้ี โดยมกี รมหม่นื ปวเรศวริยาลงกรณ์ ซ่งึ ทรงไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็นพระมหาสมณะ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ซง่ึ ทรงโปรดฯ ใหท้ ำ� พธิ มี หาสมณุตมาภเิ ษก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ เป็นเจา้ คณะใหญ่ ฝ่ ายธรรมยตุ ิ องคแ์ รก ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ไดท้ รงสถาปนาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณข้นึ เป็นท่ีสมเด็จพระสงั ฆราช นบั ว่า เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราชองคแ์ รกในรชั กาลท่ี ๕ และเป็นภกิ ษุในธรรมยุตกิ นิกายดว้ ย การทท่ี รงสถาปนาสมเดจ็ พระสงั ฆราชครงั้ น้ี นบั ไดว้ า่ พระองคท์ รงยนิ ยอมใหเ้ป็นไปตามประเพณีการแต่งตงั้ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ทเ่ี ป็นมา แต่ก่อนสมยั รชั กาลท่ี ๔ ข้นึ มาใหม่อกี ครงั้ หน่ึง นอกจากน้ียงั ไดท้ รงสถาปนาพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื - วชริ ญาณวโรรส ข้นึ เป็นเจา้ คณะใหญ่ธรรมยุติกนิกายแทนสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวริยา- ลงกรณ์ ในขณะเดยี วกนั ในสมยั น้ีมกี ารแต่งตง้ั เจา้ คณะรองประจำ� คณะต่าง ๆ อกี ดว้ ย ตลอดทงั้ มกี ารจดั ระเบยี บ สมณศกั ด์ิ เพม่ิ เตมิ จากตำ� แหน่งสมเดจ็ พระราชาคณะ (สุพรรณบฏั ) พระราชาคณะสามญั แลว้ ทรงเพม่ิ ชน้ั หริ ญั บฏั ชนั้ ธรรม ชน้ั เทพ ชนั้ ราช ส่วนตำ� แหน่ง “สงั ฆราชา” ในรชั กาลท่ี ๔ เดมิ กท็ รงเปลย่ี นเป็นสงั ฆปาโมกขเ์ ทยี บยศ เท่าพระครูโดยมาก ถา้ บางเมอื งทรงตง้ั เป็นราชาคณะก็ใหใ้ ชร้ าชทนิ นามตามสมณศกั ด์ใิ นกรุงเทพฯ มแี ปลกแต่ เจา้ คณะใหญ่กรงุ เก่าเป็นตำ� แหน่งพระธรรมราชาแต่ครง้ั ตง้ั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เหน็ จะเอาแบบในทำ� เนยี บครง้ั สุโขทยั มาตง้ั เพราะกรงุ เก่าเป็นราชธานเี ดมิ เหมอื นกบั กรงุ สุโขทยั เป็นราชธานใี นครง้ั กรงุ เก่า สว่ นพระครูสงั ฆราช ทป่ี ระจำ� เมอื งหลายเมอื ง และพระครูเจา้ คณะใหญ่เมอื งใดทไ่ี มม่ รี าชทนิ นามประจำ� ตำ� แหน่งอยูใ่ นทำ� เนยี บ กม็ ามรี าชทนิ นาม ทวั่ ไปแทบทกุ เมอื งในรชั กาลท่ี ๕53 53 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๘๑. 10. - 10 (314-381).indd 342 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 343 ง. การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๒ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๕ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆร์ .ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) การปกครองคณะสงฆ์ ก่อนหนา้ น้ีไดอ้ าศยั ประกาศพระบรมราชโองการบา้ ง ออกเป็นกฎหมาย พระสงฆบ์ า้ ง เพอ่ื อดุ หนุนพระพทุ ธบญั ญตั ใิ หผ้ ูล้ ะเมดิ ตอ้ งรบั โทษทางฝ่ายราชอาณาจกั รอกี ส่วนหน่ึงดว้ ย ทรงตงั้ คฤหสั ถใ์ หม้ หี นา้ ทป่ี กครองสงฆ์ ชำ� ระอธกิ รณแ์ ต่งตง้ั และถอดถอนอปุ ชั ฌายะ54 การทร่ี ชั กาลท่ี ๕ ทรงพระกรุณา โปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ีข้นึ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ.๑๒๑) และไดป้ ระกาศใช้ พระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ีข้นึ เมอื ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ นบั ไดว้ า่ ทรงปฏริ ูปการปกครองคณะสงฆค์ รง้ั ยง่ิ ใหญ่ ข้นึ ในประเทศไทยเป็นครง้ั แรก แต่เมอ่ื ไดต้ รา พ.ร.บ. ลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ข้นึ ใชใ้ น หลกั การใหญ่ซง่ึ เป็นทย่ี อมรบั กนั โดยทวั่ ไป คือ พระสงฆเ์ ร่ิมมบี ทบาทไดร้ บั อำ� นาจใหป้ กครองกนั เองโดยตรง ซง่ึ มอี สิ ระมากกวา่ สมยั ก่อนเป็นอนั มาก ยกเวน้ ในบางกรณีเท่านน้ั ซง่ึ ฝ่ายราชอาณาจกั รยงั สงบอำ� นาจไวบ้ า้ ง เช่น การแต่งตง้ั สมณศกั ด์แิ ละเจา้ คณะระดบั ต่าง ๆ รวมทง้ั การบรหิ ารคณะสงฆโ์ ดยส่วนรวม การปฏริ ูปการปกครองคณะสงฆใ์ นครง้ั น้ี รชั กาลท่ี ๕ ทรงกระทำ� ภายหลงั ทฝ่ี ่ายราชอาณาจกั รไดแ้ กไ้ ข แบบแผนการศกึ ษาและการปกครองจนเกอื บจะเรยี บรอ้ ยแลว้ โดยทรงจดั ตงั้ กระทรวง ทบวง กรม ข้นึ ไวใ้ นราชการ ส่วนกลาง กบั ไดท้ รงจดั มณฑล เมอื ง อำ� เภอ ตำ� บล และหมบู่ า้ นข้นึ ในส่วนภมู ภิ าค ทงั้ น้ีอาจกลา่ วไดว้ า่ ทรงกระทำ� ใหร้ าชอาณาจกั รมคี วามมนั่ คงแขง็ แรงเสยี ก่อน จะไดส้ ามารถใหค้ วามเก้ือหนุนแก่ศาสนจกั รไดเ้ต็มท่ี เมอ่ื การ ปกครองสงั ฆมณฑลดำ� เนนิ ไปตามแบบแผนซง่ึ ไดท้ รงจดั วางข้นึ ใหมแ่ ลว้ พระพทุ ธศาสนากจ็ ะรุ่งเรอื งและยงั สรา้ ง ความเจรญิ แก่ฝ่ายพระราชอาณาจกั รอกี ดว้ ย ใน พ.ร.บ. ลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) อนั เป็นกฎหมายทร่ี องรบั การปฏริ ูป การศาสนาของรชั กาลท่ี ๕ น้ี มบี ทบญั ญตั ทิ ง้ั ส้นิ ๔๕ มาตรา แบง่ ออกเป็น ๘ หมวด คอื (๑) วา่ ดว้ ยนามและ กำ� หนดใชพ้ ระราชบญั ญตั ิ (๒) วา่ ดว้ ยเจา้ คณะใหญ่ (๓)วา่ ดว้ ยวดั (๔) วา่ ดว้ ยเจา้ อาวาส (๕) วา่ ดว้ ยคณะแขวง (๖) วา่ ดว้ ยคณะเมอื ง (๗) วา่ ดว้ ยคณะมณฑล (๘) วา่ ดว้ ยอำ� นาจ สาระสำ� คญั ของ พ.ร.บ. ฉบบั น้ีมดี งั น้5ี 5 ๑. คณะสงฆแ์ ต่เดมิ มอี ยู่ ๓ นิกายคอื (๑) มหานิกาย ไดแ้ ก่ คณะสงฆท์ ม่ี อี ยู่ก่อน (๒) ธรรมยุตกิ นิกาย คอื คณะสงฆท์ แ่ี ยกออกมาจากคณะมหานิกาย โดยไดร้ บั อปุ สมบทในคณะรามญั นิกาย เป็นการอปุ สมบทใหม่ เรยี กวา่ ทฬั หกิ รรม คอื ทำ� ใหม้ นั่ ข้นึ (๓) รามญั นกิ าย พระสงฆท์ ส่ี บื มาจากประเทศรามญั ส่วนมากแลว้ กจ็ ะเป็น พวกรามญั เองทง้ั ๓ นกิ ายน้ีจดั เป็นพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาท นอกจากน้ีกม็ พี วกพมา่ เขา้ มาอยู่ในเมอื งไทย มพี ระญวณ พระจนี ทเ่ี รยี กวา่ อานมั นิกาย และพระจนี ใน จนี นกิ าย จดั เป็นฝ่ายพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน 54 มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ประวตั ิการปกครองคณะสงฆไ์ ทย และลกั ษณะการปกครองคณะสงฆไ์ ทย โดยสงั เขป, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๑), หนา้ ๖๐. 55 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๘๒ – ๒๘๓. 10. - 10 (314-381).indd 343 5/10/2022 1:00:17 PM
344 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ตามพระราชบญั ญตั ิ พ.ศ. ๒๔๔๑ ใหร้ บั รองนกิ ายสงฆท์ ว่ี า่ มเี พยี ง ๒ นกิ าย คอื ธรรมยุตกิ นกิ าย และ มหานิกาย เพราะในตวั บทกฎหมายมไิ ดก้ ล่าวถงึ นิกายฝ่ายเหนือ คือ พระญวน พระจนี ซ่งึ ถอื เป็นนกั พรต ไมน่ บั เขา้ เป็นคณะสงฆ์ ในส่วนกิจและเฉพาะลกั ษณะในนิกายใดใหส้ งั ฆนายกนิกายนน้ั บงั คบั บญั ชาตามเดิม หมายถึงว่า พระธรรมยุติซ่งึ เคยไดร้ บั พระบรมราชานุญาตใหป้ กครองกนั ตามลำ� พงั ทงั้ น้ีไม่ว่าวดั ธรรมยุติในหวั เมอื งหรือ ในกรุงข้นึ ต่อเจา้ คณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ มติ อ้ งข้นึ ต่อเจา้ คณะใหญ่อน่ื ่ใดเป็นพระบรมราชานุญาตพเิ ศษมาแต่เดมิ และ พ.ร.บ. น้ี ใหร้ บั รองต่อไป ๒. คณะสงฆท์ ม่ี าข้นึ กบั กระทรวงธรรมการ ร.ศ. ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) คอื (๑) คณะเหนอื (๒) คณะใต้ (๓) คณะธรรมยุตกิ นิกาย (๔) คณะกลาง (๕) คณะอรญั วารี (๖) คณะรามญั (๗) คณะอนมั นกิ าย (๘) คณะจนี นิกาย ถา้ กำ� หนดโดยนิกายสงฆ์ แบง่ เป็น ๕ นิกาย คอื (๑) มหานกิ าย (รวมคณะเหนือ คณะใต้ คณะกลางและ คณะอรญั วาล)ี (๒) ธรรมยุตกิ นกิ าย (๓) รามญั นิกาย (๔) อนมั นิกาย (๕) จนี นิกาย การปกครองสงั ฆมณฑลจดั เป็น ๔ คณะใหญ่ คอื (๑) คณะเหนอื (๒) คณะใต้ (๓) คณะธรรมยุตกิ นกิ าย (๔) คณะกลาง และคณะอรญั วาสี สองคณะหลงั ใหร้ วมเป็นคณะใหญ่คณะหน่ึง ส่วนคณะรามญั ใหร้ วมอยู่ใน คณะใหญ่คณะใดคณะหน่ึง คณะอนมั นิกายและจนี นิกา ข้นึ อยู่ในกระทรวงธรรมการ ยงั ไมข่ ้นึ กบั คณะใหญ่ ตามพระราชบญั ญตั ิ รศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ไดก้ ำ� หนดใหม้ เี จา้ คณะใหญ่เท่านน้ั คณะอรญั วาสี ซง่ึ เดมิ เป็นคณะกติ มิ ศกั ด์ติ งั้ แต่โบราณนน้ั มไิ ดเ้อ่ยช่อื คณะไวใ้ น พ.ร.บ. แต่อย่างใดในเวลาทอ่ี อก พ.ร.บ.น้ี สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ เจา้ คณะอรญั วาสี ไดม้ าเป็นเจา้ คณะใหญ่แหง่ คณะกลาง ฉะนนั้ คณะใหญ่ ตามท่ี พ.ร.บ. น้ี ใหก้ าร รบั รองจงึ มเี พยี ง ๔ คณะ คอื คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุตกิ าย ๓. การตงั้ มหาเถรสมาคม จากการยกตำ� แหน่งสมเดจ็ พระราชาคณะ กบั เจา้ คณะใหญ่ทง้ั ๔ คอื คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง คณะธรรมยุติกา กบั เจา้ คณะรองทงั้ ๔ เป็นมหาเถรท่ที รงปรึกษาเร่ืองการพระศาสนา การปกครองสงั ฆมณฑลทวั่ ไป พระมหาเถรทงั้ ๘ ตำ� แหน่งน้ี จดั เป็นมหาเถรสมาคม ทำ� ใหอ้ ำ� นาจหลายอย่างท่ี ฝ่ายบา้ นเมอื งและพระเจา้ แผ่นดนิ เคยทรงตดั สนิ ถูกโอนมาทม่ี หาเถรสมาคม ตดั สนิ กิจในส่วนพระศาสนาเป็น สทิ ธ์ขิ าด เป็นการเปล้อื งพระราชภาระลงไปไดม้ าก และยงั ไดพ้ ระราชทานอำ� นาจบางส่วนใหส้ งฆไ์ ดเ้ร่มิ มบี ทบาท ปกครองกนั เองอกี ดว้ ย ในมาตรา ๔ ไดบ้ ญั ญตั วิ า่ ขอ้ ภารธุระในพระศาสนาหรอื สงั ฆมณฑล ถา้ หากวา่ โปรดให้ มหาเถรสมาคมประชมุ วนิ จิ ฉยั โดยมอี งคป์ ระชมุ ตงั้ แต่ ๕พระองคข์ ้นึ ไปแลว้ คำ� ตดั สนิ ของมหาเถรสมาคมถอื เป็น เด็ดขาด จะอุธรณ์โตแ้ ยง้ ต่อไปอีกไม่ได้ ส่วนการปกครองสงฆบ์ ริษทั ไดจ้ ดั วางแบบอนุโลมตามวธิ ีปกครอง พระราชอาณาจกั ร คอื มเี จา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง และอธกิ ารหมวด บงั คบั บญั ชาสงั มณฑล ในมนฑล ในเมอื ง และอำ� เภอ ตำ� บล ข้นึ ต่อกนั โดยลำ� ดบั และกำ� หนดหนา้ ท่อี ธิการวดั และกิจการท่จี ะรกั ษา ประโยชนข์ องพระศาสนาของสงฆบ์ รษิ ทั ตลอดจนของพระอารามไวโ้ ดยพศิ ดาร 10. - 10 (314-381).indd 344 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 345 ในพระราชบญั ญตั นิ ้ี ตามฐานานุศกั ด์ทิ ก่ี ำ� หนดไว้ เจา้ คณะมณฑลเป็นตำ� แหน่งพระราชาตงั้ ฐานานุกรมได้ ๖ รูป คอื พระปลดั ๑ พระครูวนิ ยั ธร ๑ พระครูวนิ ยั ธรรม ๑ พระสงั ฆรกั ษ์ ๑ พระสมหุ ์ ๑ พระใบฎกี า ๑ เจา้ คณะเมอื ง เป็นพระราชาคณะหรอื พระครู ตงั้ ฐานานุกรมได้ ๕ คอื พระปลดั ๑ พระวนิ ยั ธร ๑ พระวนิ ยั ธรรม ๑ พระสมหุ ์ ๑ พระใบฎกี า ๑ เจา้ คณะแขวง โดยปรกติมสี มณศกั ด์เิ ป็นพระครูตง้ั ฐานานุกรมได้ ๒ รูป คือ พระสมหุ ร์ ูป ๑ พระใบฎกี ารูป ๑ ถา้ ไดร้ บั พระราชทานสญั ญาบตั รมรี าชทนิ นามตง้ั ฐานานุกรมตำ� แหน่งปลดั ได้ อกี รูป ๑ ในจงั หวดั กรุงเทพฯ มพี ระราชาคณะเป็นผูก้ ำ� กบั แขวงและมผี ูช้ ่วยตามสมควร อน่ึง ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ นน้ั ทรงพระราชดำ� รเิ หน็ วา่ พระสงฆน์ ิกายฝ่ายเหนือ คอื พระญวน พระจนี มมี ากข้นึ จงึ พระราชทานสมณฐานนั ดรศกั ด์แิ ก่พระซง่ึ เป็นหวั หนา้ ทงั้ ๒ นิกายนน้ั นิกายญวน ผูเ้ป็นหวั หนา้ ตำ� แหน่งพระครู รองลงมาเป็นปลดั รองปลดั และผูช้ ่วย สองตำ� แหน่งขา้ งหลงั น้ีเทยี บทำ� นองสมหุ ์ ใบฎกี า แต่พระราชทานสญั ญาบตั รมรี าชทนิ นามทุกตำ� แหน่ง นิกายฝ่ายจนี หวั หนา้ เป็นตำ� แหน่งพระอาจารยร์ องลงมา เป็นผูช้ ่วยมสี ญั ญาบตั รและราชทนิ นามเหมอื นกนั พระสงฆน์ ิกายญวนและจนี น้ี เดมิ ข้นึ กรมท่าซา้ ย ภายหลงั จงึ ยา้ ยมาข้นึ กระทรวงธรรมการในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ในสมยั น้ี แมจ้ ะมมี หาเถรสมาคมทำ� การวนิ จิ ฉยั ต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ แต่อำ� นาจการปกครองทแ่ี ทจ้ รงิ กย็ งั อยู่ทพ่ี ระเจา้ แผ่นดนิ โดยมมี หาเถรสมาคมเป็นทป่ี รกึ ษา แต่ก็ช่วยใหก้ ารคณะสงฆด์ กี วา่ สมยั ก่อน เพราะก่อน การใชพ้ ระราชบญั ญตั นิ ้ี แมจ้ ะมสี งั ฆราชและเจา้ คณะต่างๆ กม็ ไิ ดป้ กครองสงฆโ์ ดยตรง ผูป้ กครองคอื เสนาบดี กระทรวงธรรมการ ดำ� เนนิ การทกุ อย่างทงั้ การแต่งตง้ั สมณศกั ด์ิ การชำ� ระอธกิ รณ์ การถอดถอนพระสงฆอ์ อกจาก ตำ� แหน่งต่าง ๆ เป็นตน้ เมอ่ื มมี หาเถรสมาคมข้นึ อำ� นาจก็โยกมาทม่ี หาเถรสมาคม ส่วนการแต่งตง้ั สมณศกั ด์ิ เจา้ คณะระดบั ต่าง ๆ นนั้ พระเจา้ แผ่นดนิ ทรงแต่งตงั้ อำ� นาจในการบงั คบั บญั ชาคณะสงฆน์ น้ั สว่ นใหญ่ยงั อยู่ในมอื เสนาบดกี ระทรวงธรรมการ ดงั ปรากฏในมาตรา ๒๕ วา่ “ใหเ้ป็นหนา้ ทข่ี องเสนาบดกี ระทรวงธรรมการทจ่ี ะรกั ษา การใหเ้ป็นไปตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี”56 ๔. ใน พ.ร.บ. ฉบบั น้ี ไม่มบี ทบญั ญตั เิ ก่ียวกบั ตำ� แหน่งและอำ� นาจหนา้ ทข่ี องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ หรอื สมเดจ็ พระสงั ฆราชข้นึ ไว้ทง้ั น้ีเพราะนบั แต่สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา) ไดส้ ้นิ พระชนมล์ งใน พ.ศ. ๒๔๒๒ แลว้ กม็ ไิ ดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหส้ งฆอ์ งคใ์ ดข้นึ แทนตำ� แหน่งจนตลอดรชั กาลท่ี ๕ การปกครองคณะสงฆแ์ ต่ละคณะจงึ อยู่ ในความดูแลของเจา้ คณะใหญ่ ซง่ึ ต่างมไิ ดข้ ้นึ ต่อกนั พระมหากษตั รยิ ใ์ นฐานะองคเ์ อกอคั รศาสนูปถมั ภก จงึ ทรง บริหารการคณะสงฆเ์ ป็นส่วนรวมดว้ ยพระองคเ์ อง และกำ� หนดใหม้ หาเถรสมาคมเป็นท่ีทรงปรึกษาในการ พระศาสนา ดงั นนั้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ฝ่ายราชอาณาจกั รกบั ศาสนจกั รไดม้ สี ว่ นปกครองร่วมกนั และยงั ไดเ้ปิดโอกาส ใหพ้ ระสงฆไ์ ดม้ สี ว่ นปกครองกนั เองในบางเรอ่ื งบางระดบั อกี ดว้ ยนแต่ถา้ จะกลา่ วโดยรวมกต็ อ้ งนบั วา่ อำ� นาจทวั่ ไป ในการปกครองบงั คบั บญั ชาคณะสงฆต์ าม พ.ร.บ.ฉบบั น้ีส่วนใหญ่ยงั อยู่ในมอื เสนาบดกี ระทรวงธรรมการซง่ึ เป็น 56 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๘๕. 10. - 10 (314-381).indd 345 5/10/2022 1:00:17 PM
346 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ผูร้ บั พระบรมราชโองการจากพระมหากษตั ริยอ์ กี ทอดหน่ึง และฐานะของเสนาบดกี ระทรวงธรรมการคลา้ ยกบั ผูร้ ง้ั ตำ� แหน่งพระสงั ฆราช ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั มผี ูท้ รงดำ� รงตำ� แหน่งสมเดจ็ พระสงั ฆราชจำ� นวน สององคค์ อื สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชครงั้ ยงั ทรงสมณศกั ด์ เป็นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ วดั บวรนิเวศวหิ าร (พ.ศ. ๒๔๓๔-พ.ศ. ๒๔๓๕) พระชนมายุ ๘๓พรรษา และสมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา) วดั ราชประดษิ ฐ์ (พ.ศ. ๒๔๓๖-พ.ศ. ๒๔๔๒) พระชนมายุ ๘๘ พรรษา นอกจากน้ียงั ไดท้ รงพระกรุณาพระราชทานสมณศกั ด์ิ บรรพชติ จนี และญวนข้นึ คณะสงฆฝ์ ่ายมหายาน ทงั้ ๒ คณะน้ี คณะญวนไดเ้ขา้ มาตงั้ ในพระนครตง้ั แต่ปลายกรุงธนบรุ ใี นสมยั รชั กาลท่ี ๔ มพี ระญวนองคห์ น่ึง ช่อื องคฮ์ งึ มคี วามรอบรูพ้ ระธรรมวนิ ยั เป็นทค่ี ุน้ เคยของสมเดจ็ พระจอมเกลา้ องคฮ์ งึ มสี ำ� นกั อยู่ทว่ี ดั ตลาดนอ้ ย คือ วดั อภุ ยั ราษฎรบ์ ำ� รุงเดยี๋ วน้ี สมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ โปรดใหพ้ ระญวนทำ� พธิ ีกงเต็กข้นึ เป็นครง้ั แรกในงาน พระศพเจา้ นายองคส์ ำ� คญั มาถงึ รชั กาลท่ี ๕ มพี ระราชปรารภเหตนุ ้ี จงึ โปรดใหต้ งั้ องคฮ์ งึ เป็นพระครูสมณานมั สมณาจารย์ ตำ� แหน่งเจา้ คณะใหญ่ฝ่ ายญวนและมฐี านานุกรมทรงสมณศกั ด์ิคือ พระครูบริหารอนมั พรต เป็นเจา้ คณะรอง องคส์ รภาณมธุรส ปลดั ขวา องคส์ ุตบทบวร ปลดั ซา้ ย องคพ์ จน์สุนทร รองปลดั ขวา องคพ์ จนกรโกศล รองปลดั ซา้ ย องคอ์ นนั ตส์ รภญั ญ์ เทยี บสมหุ ์ วดั ของญวนในกรุงเทพฯ มวี ดั อภุ ยั ราชบำ� รุง กศุ ลสมาคร วดั โลกานุเคราะห์ วดั ชยั ภมู กิ าราม วดั มงคลสมาคม ต่างจงั หวดั มวี ดั ถาวรวราราม ทก่ี าญจนบรุ ี ๕. เจา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง เป็นอำ� นาจท่พี ระเจา้ อยู่หวั ทรงพระราชดำ� ริแต่งตง้ั แต่ในกรุงเทพฯ จึงทรงตง้ั พระราชาคณะเป็นผูก้ ำ� กบั คณะแขวงละรูป ส่วนเจา้ คณะแขวงในหวั เมอื งยอมใหม้ กี ารเลอื กตงั้ จาก เจา้ อาวาสในแขวงนนั้ โดยเจา้ คณะเมอื งเป็นผูค้ ดั เลอื กเสนอต่อเจา้ คณะมณฑล อย่างไรก็ตาม เจา้ คณะมณฑล จะตง้ั เจา้ คณะแขวงไดต้ อ้ งใหข้ า้ หลวงใหญ่ (เทศาภบิ าล) ประทบั ตราเหน็ ชอบดว้ ย สรุปแลว้ การแต่งตง้ั พระสงฆท์ ่ีมอี ำ� นาจหนา้ ท่ีทางปกครองหมู่คณะในทุกระดบั จำ� เป็นตอ้ งใหฝ้ ่าย ราชอาณาจกั รรบั รูแ้ ละยนิ ยอมดว้ ย สำ� หรบั พระมหากษตั รยิ ท์ รงพระราชอำ� นาจสทิ ธ์ขิ าดในการแต่งตงั้ พระสงฆ์ เพ่อื ทำ� หนา้ ท่ีปกครองบงั คบั บญั ชาหมู่คณะตามนยั ของ พ.ร.บ. ฉบบั น้ีไดท้ ุกระดบั ชน้ั เวน้ แต่จะไม่ทรงใช้ พระราชอำ� นาจในการแต่งตง้ั ๖. เมอ่ื ไดอ้ อก พ.ร.บ.ลกั ษณะการปกครองคณะสงฆข์ ้นึ ใชบ้ งั คบั นนั้ เจา้ คณะมณฑลว่าการทง้ั คณะ (ปกครอง) และการศกึ ษาข้นึ ตรงต่อกระทรวงธรรมการมาจนตลอดรชั กาลท่ี ๕ ในทน่ี ้นี ่าจะหมายถงึ วา่ คณะมณฑล มไิ ดข้ ้นึ ตรงต่อเจา้ คณะใหญ่ทงั้ ๔ ๗. ก่อนออก พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (กรมหมน่ื วชิรญาณวโรรส พระยศขณะนน้ั ) ไดถ้ วายคืนการจดั การศึกษาวดั ในหวั เมอื งเพราะทรงหมดภาระ หนา้ ทล่ี งแลว้ ก็ตาม แต่ไม่มบี ทบญั ญตั ขิ อง พ.ร.บ. น้ีก็ยงั ไดก้ ำ� หนดหนา้ ทข่ี องเจา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง 10. - 10 (314-381).indd 346 5/10/2022 1:00:17 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 347 เจา้ คณะแขวง รวมถงึ เจา้ อาวาสดว้ ยวา่ นอกจากจะตอ้ งทำ� นุบำ� รุงพระศาสนาแลว้ ยงั ตอ้ งบำ� รุงการศึกษาตามวดั ในเขตรบั ผดิ ชอบดว้ ย ดงั นนั้ ฝ่ายศาสนจกั รจึงยงั คงมหี นา้ ท่ใี นเร่ืองช่วยการศึกษาโดยส่วนรวมของชาติอีก ต่อไปดว้ ย ดงั นน้ั พ.ร.บ.ลกั ษณะปกครองสงฆฉ์ บบั น้ี นอกจากจะมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ปฏิรูปการปกครอง ในฝ่ายศาสนจกั รแลว้ ยงั ไดม้ ่งุ หวงั กำ� ลงั จากพระสงฆใ์ หช้ ่วยเหลอื ฝ่ายราชอาณาจกั รในดา้ นการศึกษาของชาติ อกี ทางหน่ึงดว้ ย เพราะบรรดาพระราชาคณะ เจา้ คณะมณฑลซง่ึ ไดท้ รงแต่งตงั้ ข้นึ ๑๔ รูป เท่าจำ� นวนมณฑล ๑๔ มณฑลทป่ี ระกาศใหใ้ ช้ พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ นน้ั หลายรูปเป็นพระเถระซง่ึ เคยเป็น ผูอ้ ำ� นวยการศึกษาในหวั เมอื งมาแต่ก่อน ๘. ขอบเขตการใช้ พ.ร.บ. ลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ น้ีรชั กาลท่ี ๕ มไิ ดท้ รงประกาศให้ บงั คบั ใชใ้ นคราวเดยี วกนั ทวั่ ทงั้ ประเทศในพ.ศ.๒๔๔๕ คงใหบ้ งั คบั ใชใ้ นปีแรกเพยี ง ๑๔ มณฑลข้นึ ก่อนตามท่ี ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ มที น่ี ่าสงั เกต คือ มไิ ดท้ รงรีบด่วนใหป้ ระกาศใช้ พ.ร.บ. ในเขตมณฑลอดุ ร (มณฑล ลาวพวนเดมิ ) จนกระทงั่ ถงึ ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ (ร.ศ. ๑๒๗) เหตทุ ท่ี รงใชบ้ งั คบั ลา่ ออกเป็น น่าจะสนั นิษฐานได้ ประการหน่ึงวา่ เป็นเพราะวตั รปฏบิ ตั ขิ องพระสงฆใ์ นมณฑลนนั้ อาจใกลเ้คยี งไปทางพระลาว บา้ นเมอื งยงั มภี าษา และขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีแตกต่างไปจากภาคกลางอยู่มาก จำ� เป็นตอ้ งรอใหฝ้ ่ ายราชอาณาจกั รเขา้ ไป ปูพ้นื ฐานการศึกษาใหเ้ รียบรอ้ ยก่อน และปรบั ระดบั ใหใ้ กลเ้คียงกบั สยามในส่วนกลางข้นึ เสยี ก่อน หาไม่แลว้ การทค่ี ดิ จะเขา้ ไปทำ� นุบำ� รุงอาจกลายเป็นการไปสรา้ งความเดอื ดรอ้ นกเ็ ป็นได้ ดงั นน้ั จงึ น่าเชอ่ื ไดว้ า่ การบงั คบั ใชใ้ นมณฑลอดุ รลา่ ชา้ ออกไป คงเน่อื งมาจากพระบรมราโชบายของรชั กาล ท่ี ๕ อนั ลกึ ซ้งึ ย่งิ ในการปฏริ ูปการศาสนาครงั้ น้ี เพราะโดยขอ้ เทจ็ จริงพระองคท์ รงตระหนกั ในพระราชหฤทยั เป็นอย่างดวี า่ ดนิ แดนแถบนน้ั มคี วามใกลช้ ดิ สนิทสนมกบั ประเทศลาวอย่างยง่ิ มาแต่เดมิ ทง้ั น่าจะไดร้ บั อทิ ธพิ ล วฒั นธรรมของลาวอยู่ค่อนขา้ งมาก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดท้ รงใชร้ ะยะเวลาหน่ึงเพอ่ื เตรียมการในดา้ นการศึกษาและ การพระศาสนามาก่อนหนา้ น้ี จนถงึ ขน้ั ทเ่ี หน็ วา่ เมอ่ื ใช้ พ.ร.บ. น้ีแลว้ จะไดผ้ ลสมตามพระราชประสงคอ์ ย่างใน มณฑลอน่ื ๆ ทไ่ี ดท้ รงกระทำ� มาแลว้ อย่างไรกด็ ี สำ� หรบั มณฑลพายพั (มณฑลลาวเฉียง) มที น่ี ่าสงั เกตคอื มไิ ดป้ ระกาศใช้ พ.ร.บ. ลกั ษณะ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ไดท้ นั ในรชั กาลท่ี ๕ สนั นิษฐานวา่ คงเน่ืองจากคณะสงฆเ์ ดมิ ทอ่ี ยู่ในแวน่ แควน้ ลา้ นนา มวี ตั รปฏบิ ตั แิ ตกต่างอย่างมากกบั ภกิ ษุในภาคกลาง ตลอดจนภาษาและตวั หนงั สอื ทจ่ี ารกึ ลงในคมั ภรี ์ ต่าง ๆ พระพทุ ธศาสนาในมณฑลพายพั อาจกลา่ วไดว้ ่าสงั่ สมกนั มานานจนมคี วามมนั่ คงแขง็ แรงเป็นตวั ของ ตวั เอง ไมแ่ พพ้ ระพทุ ธศาสนาทภ่ี าคกลางหรอื ภาคใต้ ฉะนนั้ การทจ่ี ะข้นึ ไปปฏริ ูปโดยใชเ้จา้ คณะมณฑลซง่ึ เป็น ภกิ ษุในภาคกลาง และใหเ้ป็นทย่ี อมรบั นบั ถอื เอาเป็นแบบฉบบั นนั้ น่าจะตอ้ งใชเ้ วลานานมาก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงตระหนกั ถงึ ขอ้ ขดั ขอ้ งต่าง ๆ เหลา่ น้ีเป็นอย่างดี จงึ มไิ ดท้ รงประกาศใช้ พ.ร.บ. ดงั กล่าวข้นึ ในมณฑลพายพั ในระหว่างรชั กาลของพระองคแ์ ละตลอดมาจนกระทงั่ ถงึ ปลายสมยั ในรชั กาลท่ี ๖ 10. - 10 (314-381).indd 347 5/10/2022 1:00:17 PM
348 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ดงั มตี วั อย่าง เฉพาะเมอื งลำ� ปาง สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิ ิรญาณวโรรส ก็ไดท้ รงใหเ้ จา้ คณะ เมอื งลำ� ปางคอยปรบั ปรุงการพระศาสนาในเมอื งลำ� ปางโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ไปพลางก่อน เพราะสภาพประเพณีแตกต่างจากภาคกลางเป็นอนั มาก ดงั เช่น ภกิ ษุสามเณรช่วยบดิ ามารดาทำ� ไร่ ไถนา เล้ยี งววั ควาย การเทย่ี วออกบณิ ฑบาต ธรรมเนียมเมอื งไม่มี การลงอโุ บสถแสดงปาฏโิ มกขแ์ สดงเพยี ง สงั ฆาทเิ ลสเท่านนั้ การเทศนใ์ นพรรษาเดมิ มกั เทศกเ์ ร่ืองรามเกียรต์ิ ในกิจของสงฆท์ แ่ี ตกต่างอย่างมากเหลา่ น้ี ตอ้ งทรงใชเ้วลาปรบั ปรุงอยู่นานถงึ ๑๐ ปี จงึ ไดป้ ระกาศใช้พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ สำ� หรบั มณฑลพายพั ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ ปลายรชั กาลท่ี ๖ พทุ ธจกั ร ราชอาณาจกั ร มหาเถรสมาคม พระมหากษตั รยิ ์ คณะธรรมยุตกิ า กระทรวงธรรมการ คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง เจา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง เจา้ อาวาส ภาพท่ี ๑๐.๙ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๒ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕)57 หมายเหตุ : การปกครองคณะสงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร มมี หาเถรสมาคมประกอบดว้ ย เจา้ คณะใหญ่ทง้ั ๔ ตำ� แหน่ง จดั เป็นการปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลาง : การปกครองคณะสงฆ์ ระดบั มณฑล เมอื ง แขวง วดั จดั เป็นการปกครองคณะสงฆส์ ่วนภมู ภิ าค 57 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๘๘. 10. - 10 (314-381).indd 348 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 349 จากโครงสรา้ งดงั กลา่ ว แสดงใหเ้หน็ วา่ การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๕ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๕ (รศ. ๑๒๑) น้ี มกี ารบรหิ ารการปกครองคณะสงฆด์ งั น้ี โดยใน พ.ศ. ๒๔๔๕ ไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั กิ ารปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ข้นึ ใชเ้ป็นครงั้ แรก กำ� หนดใหม้ มี หาเถรสมาคม ประกอบดว้ ยพระราชาคณะ เจา้ คณะใหญ่ ๔ ตำ� แหน่ง และพระราชาคณะ เจา้ คณะรองอกี ๔ ตำ� แหน่ง เป็นท่ปี รึกษาของพระเจา้ แผ่นดนิ เร่ืองศาสนา พระราชบญั ญตั ิน้ีไม่ไดร้ ะบุเร่ือง ตำ� แหน่งพระสงั ฆราชไว้ เน่ืองจากขณะท่ีตราพระราชบญั ญตั ิ ตำ� แหน่งพระสงั ฆราชยงั ว่างอยู่ แต่มสี มเด็จ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ครงั้ ทรงพระอสิ รยิ ยศเป็นกรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส เจา้ คณะใหญ่ ธรรมยุตกิ นิกายทรงปฏบิ ตั หิ นา้ ทแ่ี ทน จะเหน็ ไดว้ า่ พระเจา้ แผ่นดนิ มไิ ดท้ รงถอื สทิ ธ์ขิ าดในการปกครองคณะสงฆ์ เพยี งพระองคเ์ ดยี ว เพราะทรงมมี หาเถระสมาคมเป็นทป่ี รกึ ษาและมกี ระทรวงธรรมการดูแลอยู่ดว้ ย มกี ารแบง่ เขตการปกครอง เป็นการปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลาง และการปกครองคณะสงฆส์ ่วนภมู ภิ าค โดยมสี าระสำ� คญั ดงั น้ี การปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลาง หมายถงึ การปกครองคณะสงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร มมี หาเถรสมาคม ประกอบดว้ ย เจา้ คณะใหญ่ทงั้ ๔ ตำ� แหน่ง คือเจา้ คณะใหญ่คณะเหนือเจา้ คณะใหญ่คณะใต้ เจา้ คณะใหญ่ คณะกลาง และเจา้ คณะใหญ่คณะธรรมยุตกิ นกิ าย กบั พระราชาคณะทเ่ี ป็นรองเจา้ คณะทงั้ ๔ คณะ ทงั้ หมด ๘ รูป มหี นา้ ทถ่ี วายคำ� ปรกึ ษาในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆแ์ ด่พระมหากษตั รยิ ์ การประชมุ วนิ ิจฉยั คดี ในทป่ี ระชมุ มหาเถรสมาคมตง้ั แต่ ๕ รูปข้นึ ไปใหถ้ อื เป็นเดด็ ขาด ผูใ้ ดจะอทุ ธรณห์ รอื โตแ้ ยง้ ต่อไปไมไ่ ด้ การปกครองคณะสงฆส์ ว่ นภมู ิภาค คือ การแบ่งส่วนคณะสงฆเ์ ป็นสงั ฆมณฑล ทพ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รง แต่งตงั้ จากพระราชาคณะเป็นผูป้ กครองดูแลกิจการคณะสงฆใ์ นมณฑล เจา้ คณะเมอื งหรือเจา้ คณะ ปกครอง ดูแลกจิ การคณะสงฆร์ ะดบั จงั หวดั รองจากเจา้ คณะเมอื ง คอื เจา้ คณะแขวงหรอื อำ� เภอเป็นผูป้ กครองเจา้ อาวาสวดั ต่าง ๆ ในมาตรา ๔ ของพระราชบญั ญตั นิ ้ีกลา่ วถงึ เจา้ คณะใหญ่คณะธรรมยุติ อนั แสดงวา่ คณะธรรมยุตทิ เ่ี คยข้นึ กบั คณะกลางของฝ่ายมหานิกายในรชั กาลท่ี ๔ ไดแ้ ยกเป็นอสิ ระ มเี จา้ คณะใหญ่ปกครองกนั เอง เจา้ คณะใหญ่ ฝ่ายมหานกิ ายไมม่ อี ำ� นาจบงั คบั บญั ชาอกี พระราชบญั ญตั นิ ้เี ป็นการรบั รองการแบง่ นกิ ายของคณะสงฆไ์ ทยออกเป็นมหานกิ าย และธรรมยุตกิ นกิ าย ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอาณาจกั รกบั ศาสนจกั ร มีสาระสำ� คญั ตามพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) พอประมวลสรุปไดด้ งั ต่อไปน้ี ๑. การปกครองคณะสงฆส์ ว่ นกลาง หมายถงึ การปกครองดูแลกิจการคณะสงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร เป็นอำ� นาจหนา้ ทข่ี องพระมหากษตั รยิ แ์ ละมหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๔ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ หเ้จา้ คณะใหญ่ทง้ั ๔ ตำ� แหน่ง คอื เจา้ คณะใหญ่คณะเหนือ เจา้ คณะใหญ่คณะใต้ เจา้ คณะใหญ่คณะกลาง และเจา้ คณะใหญ่ธรรมยุตกิ นิกาย กบั พระราชาคณะทเ่ี ป็นรองเจา้ คณะทงั้ ๔ คณะทง้ั หมดรวม ๘ รูป เป็นมหาเถรสมาคม มหี นา้ ทถ่ี วายคำ� ปรกึ ษา ในการพระศาสนา และการปกครองคณะสงฆแ์ ดพ่ ระมหากษตั รยิ ์การประชมุ วนิ จิ ฉยั คดใี นทป่ี ระชมุ มหาเถรสมาคม 10. - 10 (314-381).indd 349 5/10/2022 1:00:18 PM
350 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ตง้ั แต่ ๕ รูปข้นึ ไปใหถ้ อื เป็นสทิ ธิขาด ผูใ้ ดจะอุทธรณ์หรือโตแ้ ยง้ ต่อไปอกี ไม่ได้ และพระราชบญั ญตํ ิน้ีไม่ได้ กล่าวถงึ ตำ� แหน่งสมเด็จพระสงั ฆราช เน่ืองจากช่วงน้ี ตำ� แหน่งพระสงั ฆราชว่างลง ภายหลงั การส้นิ พระชนม์ ของสมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ ฺสเทว) ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ การปกครองของคณะสงฆแ์ ต่ละคณะอยู่ในความดูแล ของคณะใหญ่ พระมหากษตั ริยผ์ ูท้ รงเป็นเอกอคั รศาสนูปถมั ภกทรงบริหารการคณะสงฆ์ โดยส่วนรวมของ ประเทศดว้ ยพระองคเ์ อง และทรงปฏบิ ตั ิหนา้ ท่สี มเด็จพระสงั ฆราชดว้ ย โดยมมี หาเถรสมาคม สำ� หรบั เป็นท่ี ทรงปรึกษาในการพระศาสนา และเสนาบดกี ระทรวงธรรมการทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นศูนยก์ ลาง การตดิ ต่อประสานงาน ระหวา่ งพระมหากษตั รยิ ก์ บั มหาเถรสมาคม ๒. การปกครองคณะสงฆส์ ว่ นภมู ิภาค จดั ระเบยี บการปกครองคณะสงฆส์ ่วนภมู ภิ าค ควบขนานไปกบั การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ สว่ นภมู ภิ าค มกี ารแบง่ การปกครองคณะสงฆอ์ อกเป็นสงั ฆมณฑล เจา้ คณะสงั ฆมณฑล เทยี บเท่ากบั ขา้ หลวงเทศาภบิ าล ผูท้ ำ� หนา้ ทป่ี กครองประชาชน เรียกไดว้ ่าอนุโลมตามวธิ ีการปกครองทางฝ่าย อาณาจกั รดว้ ย เปรยี บเทยี บความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศาสนจกั รกบั อาณาจกั ร ดงั แผนภมู ติ ่อไปน้ี พระมหากษตั รยิ ์ ศาสนูปถมั ภก ประมขุ ฝ่ายบา้ นเมอื ง สมเดจ็ พระสงั ฆราช คณะเสนาบดี มหาเถรสมาคม กระทรวงต่าง ๆ เจา้ คณะมณฑล ขา้ หลวงเทศาภบิ าลมณฑล เจา้ คณะเมอื ง ผูว้ า่ ราชการเมอื ง (จงั หวดั ) เจา้ คณะแขวง นายอำ� เภอแขวงหรอื ตำ� บล เจา้ อาวาส กำ� นนั พระภกิ ษุสามเณร ผูใ้ หญ่บา้ น ชาวบา้ น ภาพท่ี ๑๐.๑๐ ความสมั พนั ธท์ างดา้ นการปกครองระหวา่ งอาณาจกั รกบั ศาสนจกั ร หมายเหตุ : สมเดจ็ พระสงั ฆราช, มหาเถรสมาคม = เป็นการบรหิ ารคณะสงฆส์ ่วนกลาง : เจา้ คณะมณฑล, เจา้ คณะเมอื ง = เป็นการบรหิ ารคณะสงฆส์ ่วนภมู ภิ าค 10. - 10 (314-381).indd 350 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 351 จ. การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๒ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๓ – พ.ศ. ๒๔๖๘) ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) พระบาทสมเดจ็ พระมงกฏเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๖ เสดจ็ ข้นึ ครองราชยส์ มบตั แิ ลว้ ปรากฎวา่ เป็นยุคท่ี บา้ นเมอื งตง้ั อยู่ในความสงบและไดก้ า้ วสู่ยุคแห่งความเจริญทางศิลปวทิ ยาการสมยั ใหม่ สบื เน่ืองมาจากการ วางรากฐานอนั มนั่ คงไวใ้ นรชั กาลก่อน ๆ การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั น้ี ยงั คงถอื ตามแบบอย่างการจดั ระเบยี บ การปกครองคณะสงฆ์ และการปรบั ปรุงใหม้ รี ะเบยี บแบบแผนทด่ี ี ดงั ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงวางแบบไว้ การปกครองคณะสงฆ์ ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ น้ี เมอ่ื พระองคเ์ สดจ็ ข้นึ ครองราชยแ์ ลว้ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดฯ ใหส้ ถาปนาพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส โดยทรงรบั พระมหาสมณุตมาภเิ ษกเป็นมหาสงั ฆปรณิ ายก ประธานาธบิ ดสี งฆ์ ซง่ึ หมายถงึ ทรงดำ� รงพระยศฝ่ายสมณศกั ด์ิ เป็นเจา้ คณะใหญ่แหง่ พระสงฆท์ งั้ กรงุ เทพฯ และหวั เมอื งทวั่ พระราชอาณาเขต นอกจากน้ยี งั ทรงมอบพระราชภาระ ทางบรหิ ารการคณะสงฆโ์ ดยส่วนรวม ถวายอำ� นาจแก่สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ซง่ึ เรยี กวา่ ผูบ้ ญั ชาการคณะสงฆ์ ไดท้ วั่ ไป มหาเถรสมาคมซง่ึ ทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นทป่ี รกึ ษาของพระมหากษตั รยิ ์ ตามความในมาตรา ๔ จงึ เป็นอนั งดไปโดย นติ นิ ยั และอำ� นาจหนา้ ทบ่ี ญั ชาการของสมเดจ็ พระสงั ฆราช เป็นไปอย่างกวา้ งขวาง เพราะทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ ไดโ้ ดยลำ� พงั พระองคเ์ อง ส่วนมหาเถรสมาคมยงั คงทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นทป่ี รกึ ษาของสมเดจ็ พระสงั ฆราชเท่านนั้ 58 รูปแบบการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๒ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั สมยั รชั กาลท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๓ – พ.ศ. ๒๔๖๘) ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕)59 ในรชั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั แมจ้ ะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานนกั แต่งานการ พระศาสนาไดร้ บั ความสนพระทยั ส่งเสรมิ สนบั สนุนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ กค็ อื ดา้ นการสรา้ งจติ สำ� นกึ ใหบ้ คุ คลมองเหน็ คณุ ค่าของพระพทุ ธศาสนาในฐานะทเ่ี ป็นศาสนาประจำ� ชาติ ไดท้ รงแสดงไวใ้ นทต่ี ่าง ๆ โดยเฉพาะ อย่างย่งิ ก็คือ ในเทศนาเสอื ป่า เป็นพระราชดำ� รสั ท่พี ยายามตอกยำ�้ ใหค้ นไทยเกิดความสำ� นึกเหน็ คุณค่าของ พระพทุ ธศาสนา ส่วนการปกครองคณะสงฆน์ น้ั มรี ูปแบบทพ่ี งึ ศึกษา ดงั น้ี ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ เสดจ็ ข้นึ ครองราชยแ์ ลว้ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดฯ ใหส้ ถาปนาพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื วชิรญาณวโรรส โดยทรงรบั พระมหาสมณุตมาภเิ ษกเป็นมหาสงั ฆ- ปรณิ ายก ประธานาธบิ ดสี งฆ์ ซง่ึ หมายถงึ ทรงดำ� รงพระยศฝ่ายสมณศกั ดเ์ิ ป็นเจา้ คณะใหญแ่ หง่ พระสงฆท์ ง้ั กรงุ เทพฯ 58 สมศกั ด์ิ บญุ ปู่, พระสงฆก์ บั การศึกษาไทย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๔๘. 59 อธั ยา โกมลกาญจน, พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หนา้ ๒๙๒–๒๙๓. 10. - 10 (314-381).indd 351 5/10/2022 1:00:18 PM
352 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา และหวั เมอื งทวั่ พระราชอาณาเขต นอกจากน้ยี งั ทรงมอบพระราชภาระทางบรหิ ารการคณะสงฆโ์ ดยสว่ นรวม ถวาย อำ� นาจแก่สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ซง่ึ เรยี กวา่ ผูบ้ ญั ชาการคณะสงฆไ์ ดท้ วั่ ไป การทค่ี ณะสงฆข์ าดประมขุ สงฆม์ า เป็นเวลาถงึ ๑๑ ปี ย่อมไมเ่ ป็นผลดใี นดา้ นการปกครอง ดงั นนั้ เมอ่ื มปี ระมขุ สงฆข์ ้นึ มาใหม่ ย่อมทำ� ใหว้ งการสงฆ์ โดยทวั่ ไปตน่ื ตวั และพรอ้ มทจ่ี ะรบั การนำ� ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ แต่พระองคเ์ ดยี ว เป็นการทส่ี งฆไ์ ดป้ กครอง กนั เองอย่างใกลช้ ิด ลดอำ� นาจคฤหสั ถใ์ นการปกครองสงฆล์ งไปมากจากเดิมท่ีตอ้ งผ่านกระทรวงธรรมการ ทำ� ใหง้ านลา่ ชา้ หรอื บางครง้ั หนา้ ทก่ี ารงานทก่ี ำ� หนดโดยฝ่ายคฤหสั ถก์ ็อาจทำ� ใหส้ งฆไ์ ม่สะดวกใจ ในระยะเวลา ทผ่ี ่านมาเมอ่ื อำ� นาจสงฆอ์ ยู่ในปกครองของคฤหสั ถ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเป็นเพยี งตำ� แหน่งทไ่ี ดร้ บั การยกย่องเป็น ทเ่ี คารพทวั่ ไป เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั สมยั ทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราชทรงมอี ำ� นาจเดด็ ขาดแลว้ การคณะสงฆก์ ร็ ุ่งเรอื งข้นึ เพราะสมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงปรบั ปรุงแกไ้ ขกจิ การต่าง ๆ ไดร้ วดเรว็ และกา้ วหนา้ ข้นึ ใน พ.ศ. ๒๔๕๕ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงแกท้ ำ� เนียบสมณศกั ด์คิ รง้ั รชั กาลท่ี ๕ เสยี ใหม่ จดั จำ� แนก ออกเป็น ๒ อย่างคอื ฐานนั ดร (ยศ) อย่างหน่ึง กบั ตำ� แหน่งหนา้ ทอ่ี ย่างหน่ึง กลา่ วไดว้ า่ ยศทเ่ี รยี กวา่ สมณศกั ด์นิ นั้ หมายถงึ ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานแต่งตงั้ ใหเ้ป็นพระราชคณะและพระครู เป็นตน้ ส่วนตำ� แหน่ง หมายถงึ หนา้ ท่ี ทม่ี อบหมายในการปกครองคณะสงฆ์ เช่น เจา้ อาวาส เจา้ คณะหมวด เจา้ คณะแขวง เจา้ คณะจงั หวดั เป็นตน้ ในสว่ นทเ่ี ป็นตำ� แหน่งหนา้ ทย่ี งั ไดท้ รงจดั เทยี บไวเ้ป็น ๒ อย่างคอื ฝ่ายบรหิ ารสำ� หรบั ปกครองคณะ และฝ่ายปรยิ ตั ิ สำ� หรบั การศึกษาในพระศาสนา ทง้ั น้ีเพอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษุผูด้ ำ� รงตำ� แหน่งหนา้ ทต่ี ่างกนั แต่สามารถเทยี บชนั้ กนั ก็ได้ ดงั เช่นตำ� แหน่งเจา้ คณะมณฑลในฝ่ายบรหิ ารเทยี บเท่ากบั พระคณาจารยเ์ อกในตำ� แหน่งของฝ่ายปรยิ ตั ิ เรอ่ื งพระสงฆน์ กิ ายฝ่ายเหนอื ทม่ี อี ยูใ่ นไทย คอื อานมั นกิ าย และจนี นกิ าย เดมิ ในรชั กาลท่ี ๕ ข้นึ ในกระทรวง ธรรมการ แต่ในรชั กาลท่ี ๖ ไดโ้ ปรดใหข้ ้นึ ในคณะสงฆ์ อาจไดร้ บั อำ� นาจตาม พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ เช่น มอี ำ� นาจในฐานะเจา้ อาวาส หรอื เป็นคณะ นอกจากน้ียงั มกี ารรวมวดั ในกรุงเทพฯ และหวั เมอื ง มณฑลกรุงเทพฯ ใหเ้ขา้ ในคณะกลาง อยู่ในบงั คบั บญั ชาของเจา้ คณะกลาง และวางระเบยี บเจา้ คณะมณฑลเป็น ๔ ชน้ั ไดแ้ ก่ เจา้ คณะมณฑลชน้ั เอก ไดแ้ ก่ พระราชาคณะชนั้ ธรรม เจา้ คณะมณฑลชนั้ โท ไดแ้ ก่ พระราชาคณะชนั้ เทพ เจา้ คณะมณฑลชน้ั ตรี ไดแ้ ก่ พระราชาคณะชนั้ ราช เจา้ คณะมณฑลชน้ั เทยี บ ไดแ้ ก่ พระราชาคณะทม่ี สี มณศกั ด์ริ องจากชน้ั ราชลงมา มกี ารจดั ประเภทอธิกรณ์ทจ่ี ะใหฎ้ กี าไดห้ รือไม่เป็นบรรทดั ฐานข้นึ ไว้ เพราะแต่เดมิ ทางฝ่ายสงฆย์ งั ไม่มี ขอ้ กำ� หนดเหมอื นทางฝ่ายราชอาณาจกั ร ทำ� ใหต้ อ้ งเสยี เวลาเรยี กประชมุ มหาเถรสมาคม 10. - 10 (314-381).indd 352 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 353 การบรหิ ารงานอน่ื ๆ ท่คี วรทราบในยคุ น้ี ๑. มกี ารวางหลกั เกณฑใ์ นการตงั้ พระอปุ ชั ฌายะข้นึ ใหมเ่ พอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครอง พระสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ กบั ไดม้ กี ารช้ีโทษผูท้ ่ไี ม่ควรใหอ้ ุปสมบท เช่น ผูร้ า้ ย คนหลบหนีราชการ คนสูบฝ่ิน คนกนิ เหลา้ เป็นตน้ ๒. วางระเบยี บการครองผา้ ของพระมหานิกาย ๓. วางหลกั เกณฑใ์ นการจดั ระเบยี บพระอารามหลวงทง้ั ในกรุงเทพฯ และหวั เมอื งต่างจงั หวดั เป็น พระอารามหลวงชน้ั เอก โท ตรี แบง่ เป็นชนดิ ราชวรมหาวหิ าร ราชวรวหิ าร วรมหาวหิ าร วรวหิ ารและชนดิ สามญั ๔. ไดม้ กี ารตงั้ ตำ� แหน่งสมณศกั ด์ขิ ้นึ ใหม่คือ สมเด็จพระมหาวรี วงษ์ ตำ� แหน่งพระโพธิวงษาจารย์ ยกข้นึ เสมอชนั้ ธรรม และตำ� แหน่งพระรชั มงคลและพระราชเวที กบั พระราชสุธี ไดท้ รงตงั้ ข้นึ ใหมใ่ นรชั กาลน้ี พระมหาสงั ฆปรณิ ายก (สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ) เจา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง เจา้ อาวาส ภาพท่ี ๑๐.๑๑ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทรช์ ่วงท่ี ๒ ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ ยุคตน้ 60 ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ครนั้ เมอ่ื สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ส้นิ พระชนมใ์ น พ.ศ. ๒๔๖๔ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอกรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ ข้นึ เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ การปกครองคณะสงฆก์ ็คงเดนิ ตามแบบแผนของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ทไ่ี ด้ ทรงวางแนวทางไว้ แต่การปกครองคณะสงฆส์ ่วนใหญ่กลบั มาใชอ้ ำ� นาจมหาเถรสมาคม เช่นเดมิ ดงั โครงสรา้ ง ต่อไปน้ี 60 คณาจารย์ มจร., การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๑๔๐. 5/10/2022 1:00:18 PM 10. - 10 (314-381).indd 353
354 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พระมหาสงั ฆปรณิ ายก (สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ) คณะเหนือ มหาเถรสมาคม คณะธรรมยุตกิ า คณะใต ้ เจา้ คณะมณฑล คณะกลาง เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง เจา้ อาวาส ภาพท่ี ๑๐.๑๒ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ยุคปลาย (พ.ศ. ๒๔๖๔)61 โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รชั กาลท่ี ๖ ยคุ ปลาย (พ.ศ.๒๔๖๔)ยงั คงเป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิ ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) แต่ภายหลงั พระเจา้ วรวงศเ์ ธอกรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ แลว้ กม็ กี ารปรบั เปลย่ี นการปกครองคณะสงฆส์ ว่ นใหญ่โดยกลบั มาใชอ้ ำ� นาจมหาเถรสมาคม มคี ณะ ๔ คณะ คอื คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลางและคณะธรรมยุตกิ า พระมหาสงั ฆปรณิ ายกเป็นประมขุ สงฆ์ เป็นผูม้ อี ำ� นาจปกครองคณะสงฆโ์ ดยนติ นิ ยั และมมี หาเถรสมาคม ทำ� หนา้ ทด่ี า้ นบรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ ในมหาเถรสมาคม แต่งตง้ั โดยตำ� แหน่งสมเดจ็ พระราชาคณะ ทเ่ี ป็นเจา้ คณะ ใหญ่ทง้ั ๔ คอื คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง คณะธรรมยุตกิ า กบั เจา้ คณะรองทง้ั ๔ เป็นมหาเถรทท่ี รงปรกึ ษา เร่อื งการพระศาสนา การปกครองสงั ฆมณฑลทวั่ ไป พระมหาเถรทงั้ ๘ ตำ� แหน่งน้ี จดั เป็นมหาเถรสมาคม ทำ� ให้ อำ� นาจหลายอย่างทฝ่ี ่ายบา้ นเมอื งและพระเจา้ แผน่ ดนิ เคยทรงตดั สนิ ถกู โอนมาทม่ี หาเถรสมาคม ตดั สนิ กจิ ในสว่ น พระศาสนาเป็นสทิ ธ์ิขาด เป็นการเปล้อื งพระราชภาระลงไปไดม้ าก และยงั ไดพ้ ระราชทานอำ� นาจบางส่วนให้ สงฆไ์ ดเ้ร่มิ มบี ทบาทปกครองกนั เองอกี ดว้ ย เช่นในมาตรา ๔ แห่งพระราชบญั ญตั ไื ดบ้ ญั ญตั วิ า่ ขอ้ ภารธุระใน พระศาสนาหรอื สงั ฆมณฑล ถา้ หากวา่ โปรดใหม้ หาเถรสมาคมประชมุ วนิ จิ ฉยั โดยมอี งคป์ ระชมุ ตง้ั แต่ ๕ พระองค์ ข้นึ ไปแลว้ คำ� ตดั สนิ ของมหาเถรสมาคมถอื เป็นเดด็ ขาด จะอทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ ต่อไปอกี ไมไ่ ด้ ส่วนการปกครองสงฆ์ บรษิ ทั ไดจ้ ดั วางแบบอนุโลมตามวธิ ปี กครองพระราชอาณาจกั ร คอื มเี จา้ คณะมณฑล บงั คบั บญั ชาสงั มณฑลใน มณฑล เจา้ คณะเมอื ง บงั คบั บญั ชาสงั มณฑลในเมอื ง เจา้ คณะแขวง บงั คบั บญั ชาสงั มณฑลในแขวง และอำ� เภอ 61 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๑๔๓. 10. - 10 (314-381).indd 354 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 355 บงั คบั บญั ชาสงั มณฑลในอำ� เภอ ตำ� บลบงั คบั บญั ชาสงั มณฑล ในตำ� บล และอธกิ ารหมวดกำ� หนดหนา้ ทอ่ี ธกิ ารวดั (เจา้ อาวาส) และกจิ การทจ่ี ะรกั ษาประโยชนข์ องพระศาสนาของสงฆบ์ รษิ ทั ตลอดจนของพระอาราม ส่วนความสมั พนั ธใ์ นส่วนรวมภายในคณะสงฆน์ น้ั นบั ตงั้ แต่หลงั การประกาศใช้ พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ จนถงึ ในรชั กาลท่ี ๗ กลา่ วไดว้ า่ มสี กลมหาสงั ฆปรณิ ายกเป็นประมขุ สงฆ์ และมมี หาเถรสมาคม ทำ� หนา้ ท่ดี า้ นบริหารกิจการคณะสงฆ์ เป็นผูม้ อี ำ� นาจปกครองคณะสงฆโ์ ดยนิตินยั ในมหาเถรสมาคมมสี งฆ์ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และสงฆฝ์ ่ายมหานิกายซ่งึ ดูเหมอื นจะเป็นนอ้ ย ส่วนสงฆท์ ่มี ตี ำ� แหน่งทางปกครอง เช่น เจา้ คณะมณฑล ส่วนใหญ่เป็นพระธรรมยุตโิ ดยเฉพาะพระวนิ ยั ธร ซง่ึ ทำ� หนา้ ทช่ี ำ� ระอธกิ รณส์ งฆน์ น้ั เป็นพระสงฆ์ ฝ่ายพระธรรมยุตทิ ง้ั ส้นิ เพราะฉะนนั้ ถา้ จะว่ากนั ในทางพฤตนิ ยั พระสงฆฝ์ ่ายมหานิกายอยู่ใตก้ ารปกครองของ พระธรรมยุตติ ลอดมาในรชั กาลท่ี ๖ และรชั กาลท่ี ๗ ฉ. การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ช่วงท่ี ๒ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั สมยั รชั กาลท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘ – พ.ศ. ๒๔๗๗) ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๗ น้ี ยงั คงเป็นเช่นเดยี วกนั ในรชั กาลท่ี ๖ ในฝ่ายคณะสงฆก์ ไ็ ดย้ ดึ ถอื ตามแนวทส่ี มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไดท้ รง วางหลกั ไว้ นอกจากในเร่อื งปลกี ย่อยบางประการ ซง่ึ ตอ้ งปรบั ปรุงแกไ้ ขตามเหตกุ ารณ์ เช่นในพ.ศ. ๒๔๗๑ ไดม้ ี การวางระเบยี บปฏบิ ตั ขิ องคณะสงฆข์ ้นึ ไวด้ งั น้ี (๑) ประกาศกำ� หนดเวลาใหภ้ กิ ษุสามเณรผูเ้ป็นโจทยห์ รอื จำ� เลย ทราบถงึ อายุอทุ ธรณ์ ตงั้ แต่ของเจา้ อาวาสจนถงึ คณะมณฑลและเจา้ คณะใหญ่วา่ มกี ำ� หนดเวลาอทุ ธรณช์ น้ั ไหน กำ� หนดเวลาเท่าใดจงึ จะหมดอายุ (๒) ประกาศพระภกิ ษุสามเณร ไมใ่ หบ้ วชหญงิ เป็นบรรพชติ เพราะในขณะนนั้ นายนรนิ ทรก์ ลงึ ไดบ้ วชลูกสาวเป็นสามเณรทว่ี ดั นารวี งศ์ จงั หวดั นนทบรุ ี (๓) วางระเบยี บการใหภ้ กิ ษุสามเณรให้ สมั ภาษณห์ นงั สอื พมิ พ์ (๔) กำ� หนดหลกั เกณฑก์ ารเนรเทศภกิ ษุต่างดา้ ว รูปแบบการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๒ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั สมยั รชั กาลท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘ – พ.ศ. ๒๔๗๗) ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ในสมยั รชั กาลท่ี ๗ การปกครองคณะสงฆก์ ย็ งั คงเป็นไปตามพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ และกลบั มาใชอ้ ำ� นาจจากมหาเถรสมาคม ซง่ึ มรี ูปแบบการปกครองดงั น้ี ๑. มหาเถรสมาคม มกี ารมกี ารประชมุ มหาเถรสมาคมตาม พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ จงึ คงเรยี ก ประชมุ และทรงบญั ชากิจการในท่ปี ระชมุ มหาเถรสมาคม ทำ� ใหก้ ิจการปกครองหมู่คณะเป็นไปอย่างเรียบรอ้ ย และกวา้ งขวางยง่ิ กวา่ ในสมยั ก่อน เร่อื งทท่ี รงนำ� เขา้ ในทป่ี ระชมุ มหาเถระสมาคมเพอ่ื ขอมติ ปกตเิ ป็นเร่อื งวนิ ิจฉยั อธกิ รณต์ ่าง ๆ บางเร่อื งกเ็ ป็นระเบยี บแบบแผนขนบธรรมเนยี มเน่ืองดว้ ยการปกครอง 10. - 10 (314-381).indd 355 5/10/2022 1:00:18 PM
356 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒. เจา้ คณะมณฑล บรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ หรอื ปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั มณฑล ๓. เจา้ คณะเมือง หรอื จงั หวดั มอี ำ� นาจหนา้ ทบ่ี รหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ หรอื ปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั จงั หวดั ๓. เจา้ คณะแขวง มอี ำ� นาจหนา้ ทบ่ี รหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ หรอื ปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั แขวง ๔. เจา้ อาวาส มอี ำ� นาจหนา้ ทบ่ี รหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ หรอื ปกครองคณะสงฆใ์ นระดบั วดั ภายหลงั การเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เม่อื ฝ่ายราชอาณาจกั รไดป้ ระกาศยุบมณฑล ต่าง ๆ ลง ใหค้ งไวแ้ ต่จงั หวดั และมาข้นึ ตรงกบั กระทรวงมหาดไทย ทางฝ่ายพทุ ธจกั รจงึ ตอ้ งอนุโลมตามการจดั การ ปกครองของฝ่ายบา้ นเมอื งโดยจดั ข้นึ ใหมเ่ ป็น ๔ คณะ ดงั น้ี ๑. คณะกลาง มมี ณฑลข้นึ ๔ มณฑล เรยี กเป็นคณะ ๆ คอื คณะกรุงเทพ คณะมณฑล อยุธยา คณะ มณฑลราชบรุ ี และคณะมณฑลปราจนี บรุ ี ๒. คณะเหนือ มมี ณฑล ๔ มณฑล คือ คณะมณฑลพษิ ณุโลก คณะมณฑลพายพั คณะมณฑล นครราชสมี า และคณะมณฑลอดุ ร ๓. คณะใต้ มมี ณฑล ๒ มณฑล คอื คณะมณฑลนครศรธี รรมราช และคณะมณฑลภเู กต็ ๔. คณะธรรมยุตกิ นกิ าย คณะน้ไี มม่ มี ณฑลข้นึ พระสงฆใ์ นคณะน้ขี ้นึ ตนต่อคณะของตนในกรุงเทพฯ สำ� หรบั การเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขใน พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ นนั้ หลงั การเปลย่ี นแปลง การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ไดม้ กี ารแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ข้นึ อกี เลก็ นอ้ ยคอื (๑) การพระราชทานวสิ ุงคามสมี าใหอ้ อกเป็น พระราชบญั ญตั แิ ละประกาศในราชกจิ จานุเบกษา (๒) ทว่ี ดั และทธ่ี รณีสงฆ์ ผูใ้ ดผูห้ น่ึง จะโอนกรรมสทิ ธ์นิ น้ั ไมไ่ ด้ เวน้ แต่อาศยั อำ� นาจตามกฎหมายโดยเฉพาะ ในระยะตน้ หลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครองเขา้ สู่ยุคประชาธิปไตย ประชาชนไดร้ บั เสรีภาพมากข้นึ และใชเ้สรภี าพกนั อย่างฟ่มุ เฟือยเกนิ ขอบเขตอยู่บอ่ ยครง้ั ในทำ� นองเดยี วกนั ในวงการคณะสงฆก์ ไ็ ดเ้กดิ เหตถุ งึ กบั ทำ� ใหเ้กดิ ความไมเ่ รยี บรอ้ ยข้นึ โดยมภี กิ ษุบางวดั บางคณะ ดว้ ยความรูเ้ท่าไมถ่ งึ การณไ์ มไ่ ดถ้ อื ธรรมวนิ ยั ก่อการ คุมกนั เป็นคณะเพ่ือบงั คบั เจา้ อาวาสใหอ้ ยู่ในอำ� นาจโดยประสงคจ์ ะใหม้ ีอิสระเสรีภาพทดั เทียมกนั ในการ บรกิ ารคณะทางมหาเถรสมาคม โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราช ตอ้ งทรงออกประกาศเมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ตกั เตอื นไปวา่ การปกครองคณะสงฆไ์ มไ่ ดเ้ปลย่ี นแปลงเป็นอย่างอน่ื คงยดึ ถอื ตามพ.ร.บ. ลกั ษณะการปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ และบญั ญตั แิ ห่งประมขุ สงฆท์ ถ่ี อื ปฏบิ ตั กิ นั มา ซง่ึ ถา้ มกี ารฝ่าฝืนจะตอ้ งไดร้ บั โทษ 10. - 10 (314-381).indd 356 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 357 พระมหาสงั ฆปรณิ ายก (สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ) คณะเหนือ มหาเถรสมาคม คณะธรรมยุตกิ า คณะใต ้ เจา้ คณะมณฑล คณะกลาง เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง เจา้ อาวาส ภาพท่ี ๑๐.๑๓ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นรชั กาลท่ี ๗ ก่อนการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕62 โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รชั กาลท่ี ๗ ยงั คงมโี ครงสรา้ งการปกครองต่อเน่ืองจากสมยั รชั กาล ท่ี ๖ ซง่ึ เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) แต่ภายหลงั พระเจา้ วรวงศเ์ ธอกรมหมน่ื ชินวรสริ ิวฒั น์ ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็นสมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ แลว้ ก็มกี ารปรบั เปลย่ี น การปกครองคณะสงฆส์ ่วนใหญ่โดยกลบั มาใชอ้ ำ� นาจมหาเถรสมาคม มคี ณะ ๔ คณะ คอื คณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุตกิ า พระมหาสงั ฆปรณิ ายก (สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ) มหาเถรสมาคม คณะเหนอื คณะใต ้ คณะกลาง คณะธรรมยุตกิ า คณะมณฑล คณะมณฑลนครศรธี รรมราช คณะกรุงเทพฯ พษิ ณุโลกคณะ คณะมณฑลภเู กต็ คณะมณฑลอยุธยา มณฑลพายพั คณะมณฑลราชบรุ ี คณะมณฑลปราจนี บรุ ี ภาพท่ี ๑๐.๑๔ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นรชั กาลท่ี ๗ หลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕63 62 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ๑๕๐. 63 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๕๑. 10. - 10 (314-381).indd 357 5/10/2022 1:00:18 PM
358 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา จากโครงสรา้ งดงั กล่าว แสดงใหเ้ ห็นว่าการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๗ ช่วง ภายหลงั การ เปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ นนั้ เมอ่ื ฝ่ายราชอาณาจกั รไดป้ ระกาศยุบมณฑลต่าง ๆ ลง ใหค้ งไวแ้ ต่ จงั หวดั และมาข้นึ ตรงกบั กระทรวงมหาดไทย ทางฝ่ายพทุ ธจกั รจงึ ตอ้ งอนุโลมตามการจดั การปกครองของฝ่าย บา้ นเมอื งโดยจดั ข้นึ ใหมเ่ ป็น ๔ คณะ ดงั น้ี ๑. คณะกลาง มมี ณฑลข้นึ ๔ มณฑล เรยี กเป็นคณะ ๆ คอื คณะกรุงเทพ คณะมณฑลอยุธยา คณะ มณฑลราชบรุ ี และคณะมณฑลปราจนี บรุ ี ๒. คณะเหนอื มมี ณฑล ๔ มณฑล คอื คณะมณฑลพษิ ณุโลก คณะมณฑลพายพั คณะมณฑลนครราชสมี า และคณะมณฑลอดุ ร ๓. คณะใต้ มมี ณฑล ๒ มณฑล คอื คณะมณฑลนครศรธี รรมราช และคณะมณฑลภเู กต็ ๔. คณะธรรมยุตกิ นกิ าย คณะน้ีไมม่ มี ณฑลข้นึ พระสงฆใ์ นคณะน้ีข้นึ ตนต่อคณะของตนในกรุงเทพฯ โดยมสี กลมหาสงั ฆปรณิ ายกเป็นประมขุ สงฆ์ และมมี หาเถรสมาคมทำ� หนา้ ทด่ี า้ นบรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ เป็นผูม้ อี ำ� นาจปกครองคณะสงฆโ์ ดยนิตินยั ผ่านไปยงั คณะต่าง ๆ โดยแต่ละคณะมอี ำ� นาจบริหารปกครอง คณะสงฆภ์ ายในคณะของตน เพอ่ื ใหค้ วามสงบเรยี บรอ้ ยแห่งหมสู่ งฆ์ ช. การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั อานนั ทมหดิ ล รชั กาลท่ี ๘ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ.๒๔๗๗ - พ.ศ.๒๔๘๙) เมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ คณะราษฎรไดด้ ำ� เนินการเปลย่ี นแปลงระบอบการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไดส้ ่งผลกระทบต่อไปอย่างไม่หยุดยงั้ บรรดา พระภกิ ษุทส่ี งั่ อยูใ่ นคณะสงฆฝ์ ่ายมหานกิ าย ซง่ึ ต่างกป็ ระจกั ษแ์ ก่ใจกนั มาเป็นอยา่ งดวี า่ ตลอดระยะเวลาอนั ยาวนาน คอื ตงั้ พ.ศ. ๒๓๙๗ เป็นตน้ มา คณะสงฆฝ์ ่ายมหานกิ ายถกู แทรกแซงและกดดนั หลายรูปแบบใหต้ กอยู่สภาพ เสยี เปรียบมาโดยตลอด ไดเ้ ร่ิมรวมตวั ปรึกษาหารือกนั เพอ่ื ทางเปลย่ี นแปลงรูปแบบการปกครองคณะสงฆใ์ ห้ เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป วนั ท่ี ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗ บรรดาพระภกิ ษุหนุ่มฝ่ายมหานกิ าย ซง่ึ อยู่ในวยั กำ� ลงั ศึกษาเลา่ เรยี น จากวดั มหาธาตฯุ วดั พระเชตพุ น วดั อรุณราชวราราม วดั สุทศั นเทพวราราม วดั เบญจมบพติ ร เป็นตน้ จำ� นวน ๓๐๐ รูปเศษ ไดเ้ ดินทางไปประชุมร่วมกนั ท่ีบา้ นภทั รวิธม ซ่ึงเป็นบา้ นของคหบดีท่านหน่ึง ตง้ั อยู่ในเขต อำ� เภอบางรกั พระนคร โดยเปิดประชมุ เมอ่ื เวลา ๒๐.๑๕ น. สาระสำ� คญั ทส่ี ุดทย่ี กข้นึ มาประชมุ ปรกึ ษาหารอื กนั ในครงั้ น้ีมี ๓ ประการคอื (๑) การปกครองคณะสงฆใ์ นขณะน้ี ใหค้ วามเสมอภาคแก่คณะสงฆฝ์ ่ายมหานิกาย ไม่เสมอภาคกนั กลา่ วคือ เจา้ คณะผูเ้ป็นธรรมยุตปิ กครองสงฆฝ์ ่ายมหานิกายได้ แต่เจา้ คณะผูเ้ป็นมหานิกาย ปกครองสงฆฝ์ ่ายธรรมยุตไิ มไ่ ด้ ฉะนนั้ จงึ ขอใหร้ ฐั บาลหรอื มหาเถรสมาคมแกไ้ ขเปลย่ี นแปลง พ.ร.บ. ปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ใหไ้ ดม้ กี ารบรหิ ารโดยสทิ ธอิ นั เสมอกนั (๒) เพอ่ื ใหไ้ ดม้ กี ารร่วมสมานสงั วาสในระหวา่ งสงฆ์ 10. - 10 (314-381).indd 358 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 359 ฝ่ายลทั ธมิ หานิกายและธรรมยุตกิ นิกาย เช่น ใหไ้ ดม้ กี ารร่วมอโุ บสถกรรมดว้ ยกนั ได้ (๓) ตำ� แหน่งหนา้ ท่ี ทง้ั ใน การศึกษาและการปกครองหรอื อำ� นาจสูงสุดในกากรปกครองสงั ฆมณฑล พระภกิ ษุในลทั ธิมหานิกาตอ้ งมสี ทิ ธิ ในตำ� แหน่งหนา้ ทน่ี น้ั ดว้ ย64 นอกจากน้ี บรรดาพระภกิ ษุทเ่ี ขา้ ร่วมประชมุ ทง้ั หมด ไดต้ กลงใหจ้ ดั ตงั้ กลุม่ ข้นึ ดำ� เนินงานโดยใหช้ ่อื ว่า คณะปฏสิ งั ขรณก์ ารพระศาสนา และกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคไ์ ว้ ๕ ประการ เรยี กชอ่ื อกี อย่างหน่ึงวา่ เบญจกลั ยาณี คอื (๑) ประสานสามคั คแี ห่งพระสงฆไ์ ทย (๒) ประสาทมหาวทิ ยาลยั ฝ่ายพระศาสนา (๓) ประกาศพทุ ธปรชั ญา โปรดวเิ ทศชน (๔) ประสทิ ธมิ หาสากลสงั ฆสภา (๕) ประโคมสญั ญาแห่งศานตภิ าพ สาระสำ� คญั ๓ ประการ ทบ่ี รรดาพระภกิ ษุหนุ่มฝ่ายมหานิกายยกข้นึ มาเป็นประเดน็ หลกั ของการประชมุ ปรึกษาหารอื กนั ในคืนวนั นน้ั ลว้ นเป็นเร่ืองทบ่ี รรดาพระมหาเถรานุเถระ และพระภกิ ษุสามเณรฝ่ายมหานิกาย ต่างประจกั ษแ์ ก่ใจเป็นอย่างดวี า่ คณะสงฆฝ์ ่ายมหานิกายถกู แทรกแซง และถกู บบี คนั้ บนั่ รอนหลากหลายรูปแบบ ใหต้ กอยู่ในสภาพเสยี เปรยี บตดิ ต่อกนั มาเป็นเวลาอนั ยาวนานถงึ ๘๐ ปี โดยไมอ่ าจวพิ ากษว์ จิ ารณห์ รอื คดั คา้ น อย่างเปิดเผยไดเ้ลย เพราะนบั แต่ พ.ศ. ๒๓๙๗ มาจนถงึ ปจั จบุ นั (พ.ศ. ๒๔๗๗) พระมหาเถระฝ่ายมหานิกาย แมจ้ ะมอี ายุพรรษาความรูค้ วามสามารถและคณุ สมบตั อิ น่ื ๆ เหมาะสมเพยี งใดกต็ าม แต่ไมเ่ คยไดร้ บั การสถาปนา ข้นึ เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราชเลย ตรงขา้ มกบั พระมหาเถระฝ่ายธรรมยุตกิ นิกาย กลบั ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็น สมเดจ็ พระสงั ฆราชตดิ ต่อกนั มาถงึ ๔ พระองค์ กลา่ วคอื ๑) สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ วดั บวรนิเวศวหิ าร ไดร้ บั สถาปนาข้นึ เป็น สมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๗ – ๒๔๓๕ ๒) สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (สา ปสุ ฺสเทวมหาเถร) วดั ราชประดษิ ฐ์ ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๔๔๒ ๓) สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส วดั บวรนิเวศวหิ าร ทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ ในนามสมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๒ – ๒๔๕๓ ๔) สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงชินวรสิริวฒั น์ วดั ราชบพิธ ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ เป็นสมเด็จ พระสงั ฆราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๔ – ปจั จบุ นั (พ.ศ. ๒๔๗๗)65 แมต้ ำ� แหน่งทางการปกครองคณะสงฆร์ ะดบั ล่างลงมา เม่อื เทยี บจำ� นวนวดั ของคณะสงฆท์ งั้ สองฝ่าย ในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๘ แลว้ คณะสงฆฝ์ ่ ายธรรมยุติกนิกายมีวดั อยู่ทวั่ ประเทศเพียง ๒๖๐ วดั เท่านนั้ ส่วนคณะสงฆฝ์ ่ายมหานิกายมวี ดั อยู่ทวั่ ประเทศเป็นจำ� นวนถงึ ๑๗,๓๐๕ วดั แต่พระเถระฝ่ายธรรมยุตกิ นิกาย กลบั ไดร้ บั การแต่งตง้ั ใหด้ ำ� รงตำ� แหน่งเป็นเจา้ คณะปกครองมากกวา่ เช่น ตำ� แหน่งเจา้ คณะใหญ่ ๔ คณะ ปรากฏ 64 แสวง อดุ มศร,ี การปกครองคณะสงฆไ์ ทย, หนา้ ๑๔๓-๑๔๔. 65 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๔๔. 10. - 10 (314-381).indd 359 5/10/2022 1:00:18 PM
360 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา วา่ พระเถระฝ่ายธรรมยุตกิ นิกาย เป็นเจา้ คณะใหญ่ถงึ ๓ ตำ� แหน่ง ส่วนพระเถระฝ่ายมหานกิ ายดำ� รงตำ� แหน่ง เจา้ คณะใหญ่เพยี ง ๑ ตำ� แหน่ง นอกจากน้ีในระดบั มณฑลซ่งึ แบ่งออกเป็น ๑๐ มณฑล ปรากฏว่าพระเถระ ฝ่ายธรรมยุตกิ นิกาย ดำ� รงตำ� แหน่งเจา้ คณะมณฑลถงึ ๖ ตำ� แหน่ง ส่วนพระเถระฝ่ายมหานิกายดำ� รงตำ� แหน่ง เจา้ คณะมณฑลเพยี ง ๔ ตำ� แหน่งเท่านนั้ รูปแบบการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั อานนั ท- มหดิ ล รชั กาลท่ี ๘ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๘๙) มกี ารเปลย่ี นแปลงการปกครองคณะสงฆใ์ หเ้ ป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ เพราะตอ้ งการใหก้ ารปกครองสงฆเ์ ป็นรูปแบบเดยี วกบั การปกครองบา้ นเมอื ง เร่มิ จากการมสี มเดจ็ พระสงั ฆราช เป็นประมขุ ทำ� นองเดียวกบั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ใหม้ คี ณะบริหารเรียกว่าสงั ฆมนตรี มสี งั ฆนายก เป็นหวั หนา้ ในการบริหารคณะสงฆ์ เหมอื นนายกรฐั มนตรี แบ่งการบริหารออกเป็นลกั ษณะคลา้ ยกระทรวง ๔ ฝ่าย คอื เรยี กวา่ “องคก์ าร” ตำ� แหน่งบรหิ ารประจำ� องคก์ รเรยี กวา่ สงั ฆมนตรวี า่ การองคก์ าร ประกอบดว้ ย (๑) องคก์ ารปกครอง (๒) องคก์ ารศึกษา (๓) องคก์ ารเผยแพร่ (๔) องคก์ ารสาธารณูปการ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี ไดบ้ ญั ญตั ิตำ� แหน่งสมเด็จพระสงั ฆราชไวด้ ว้ ย ในมาตรา ๖ ระบุว่า “สมเด็จ พระสงั ฆราชทรงดำ� รงตำ� แหน่งสกลมหาสงั ฆปรณิ ายกและทรงบญั ชาการคณะสงฆโ์ ดยบทแห่งพระราชบญั ญตั นิ ้ี” โดยแยกอำ� นาจเป็น ๓ ฝ่าย ตามมาตรา ๗, ๘ และ ๙ กลา่ ววา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงบญั ญตั สิ งั ฆาณตั โิ ดย คำ� แนะนำ� ของ สงั ฆสภาทรงบริหารคณะสงฆท์ างคณะสงั ฆมนตรี และทรงวนิ ิจฉยั อธิกรณ์ทางคณะวนิ ยั ธร เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั การปกครองพระราชอาณาจกั รสมยั ทม่ี รี ฐั ธรรมนูญ จะเหน็ ไดว้ า่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงใชอ้ ำ� นาจ นิตบิ ญั ญตั ทิ างรฐั สภา ทรงใชอ้ ำ� นาจบรหิ ารทางรฐั มนตรแี ละทรงใชอ้ ำ� นาจตลุ าการทางศาล หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ ตามพระราชบญั ญตั ฉิ บบั ใหมน่ ้ีสมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงเป็นประมขุ ฝ่ายพระพทุ ธจกั ร ในขณะเดยี วกนั ทพ่ี ระเจา้ แผ่นดนิ ทรงเป็นประมขุ ฝ่ายพระราชอาณาจกั รในการปกครองระบอบรฐั ธรรมนูญ เน่ืองจากการปกครองคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั ิน้ีมลี กั ษณะคลา้ ยกบั การปกครองฝ่ายพระราช อาณาจกั รดงั กลา่ วแลว้ ฉะนนั้ อำ� นาจของสมเดจ็ พระสงั ฆราชจงึ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั อำ� นาจของพระเจา้ แผ่นดนิ เช่นพระเจา้ แผ่นดนิ ทรงแต่งตงั้ นายกรฐั มนตรแี ละคณะรฐั มนตรเี พอ่ื บรหิ ารงานฝ่ายพระราชอาณาจกั ร ในขณะ ทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราชทรงแต่งตงั้ พระราชาคณะระดบั ต่าง ๆ เพอ่ื บรหิ ารงานในคณะสงฆ์ อำ� นาจหนา้ ทข่ี องสมเดจ็ พระสงั ฆราชแตกต่างจากสมยั ทใ่ี ชพ้ ระราชบญั ญตั ิ ร.ศ. ๑๒๑ กลา่ วคอื สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงมพี ระอำ� นาจบริหารคณะสงฆไ์ ด้ แต่โดยบทแห่งพระราชบญั ญตั นิ ้ีซง่ึ แยกอำ� นาจเป็น ๓ ฝ่าย เพอ่ื เป็นการถ่วงดุลแห่งอำ� นาจ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงบญั ชาการคณะสงฆด์ ว้ ยวธิ ีอ่นื ตามลำ� พงั พระองคไ์ ม่ได้ เพราะตามพระราชบญั ญตั ิใหม่น้ีมสี ภาซ่งึ มอี ำ� นาจสูงสุดในฝ่ายบริหารคณะสงฆ์ ดงั นน้ั สมเด็จพระสงั ฆราช จงึ มอี ำ� นาจอยู่ในขอบเขตจำ� กดั 10. - 10 (314-381).indd 360 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 361 รูปแบบการปกครองตามพระราชบญั ญตั กิ ารปกครองคณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ เป็นการปกครอง คณะสงฆโ์ ดยอนุโลมตามระบอบการปกครองบา้ นเมอื งเทา่ ทไ่ี มข่ ดั กบั พระธรรมวนิ ยั ซง่ึ มสี าระสำ� คญั ตามโครงสรา้ ง ก็คือ พระมหากษตั ริยท์ รงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราช และสมเด็จพระสงั ฆราชทรงบญั ชาการคณะสงฆโ์ ดย ลำ� พงั พระองคเ์ องไม่ได้ พระองคท์ รงบญั ญตั ิสงั ฆาณัติโดยคำ� แนะน�ำของสงั ฆสภา ทรงบริหารคณะสงฆ์ ทางสงั ฆมนตรี และทรงพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั อธกิ รณท์ างคณะวนิ ยั ธร อำ� นาจการบรหิ ารและการปกครองถกู แบง่ เป็น ๓ ฝ่าย เพอ่ื ถ่วงดุลอำ� นาจตามแบบอย่างการปกครองของฝ่ายบา้ นเมอื ง โดยมสี าระสำ� คญั ของพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ มี ๒ บท ๘ หมวด ๖๐ มาตรา ดงั น้ี66 บททวั่ ไป จำ� นวน ๔ มาตรา หมวด ๑ สมเดจ็ พระสงั ฆราช จำ� นวน ๖ มาตรา หมวด ๒ สงั ฆสภา จำ� นวน ๑๗ มาตรา หมวด ๓ คณะสงั ฆมนตรี จำ� นวน ๑๐ มาตรา หมวด ๔ วดั จำ� นวน ๘ มาตรา หมวด ๕ ศาสนสมบตั ิ จำ� นวน ๔ มาตรา หมวด ๖ คณะวนิ ยั ธร จำ� นวน ๓ มาตรา หมวด ๗ บทกำ� หนดโทษ จำ� นวน ๔ มาตรา หมวด ๘ บทเบด็ เตลด็ จำ� นวน ๓ มาตรา บทเฉพาะกาล จำ� นวน ๑ มาตรา (ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี ๕๘ ตอนท่ี ๗๒ หนา้ ๑๓๙๑ วนั ท่ี ๑๔ ตลุ าคม ๒๔๘๔) 66 พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔, หนา้ ๓. 5/10/2022 1:00:18 PM 10. - 10 (314-381).indd 361
362 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ภาพท่ี ๑๐.๑๕ รูปแบบการปกครองคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔67 สมเดจ็ พระสงั ฆราชอำ� นาจบญั ชาการคณะสงฆ์ (อำ� นาจบญั ญตั สิ งั ฆาณัต)ิ (อำ� นาจบรหิ ารคณะสงฆ)์ (อำ� นาจวนิ ิจฉยั อธกิ รสงฆ)์ สงั ฆสภา คณะสงั ฆมนตรี คณะวนิ ยั ธร ส่วนกลาง สมาชกิ สงั ฆสภา ชน้ั ตน้ ชนั้ กลาง ชน้ั ฎกี า ๑. พระเถระชน้ั ธรรมข้นึ ไป ๑. องคก์ ารปกครอง ๒. พระคณาจารย์ ๒. องคก์ ารศึกษา ๓. พระเปรยี ญเอก ๓. องคก์ ารเผยแผ่ รวมกนั ไมเ่ กนิ ๔๕ รูป ๔. องคก์ ารสาธารณูปการ ส่วนภมู ภิ าค คณะตรวจการภาค คณะกรรมการสงฆจ์ งั หวดั ๑. องคก์ ารปกครอง ๒. องคก์ ารศึกษา องคก์ ารเผยแผ่ องคก์ ารสาธารณูปการ คณะกรรมการสงฆอ์ ำ� เภอ ๑. องคก์ ารปกครอง ๒. องคก์ ารศึกษา องคก์ ารเผยแผ่ องคก์ ารสาธารณูปการ คณะตำ� บล เจา้ อาวาส 67 คะนงึ นติ ย์ จนั ทบตุ ร, การเคลอ่ื นไหวของยวุ สงฆไ์ ทยรุน่ แรก พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๔, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๒๘), หนา้ ๑๙๙. 10. - 10 (314-381).indd 362 5/10/2022 1:00:18 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 363 ภาพท่ี ๑๐.๑๔ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นรชั กาลท่ี ๗ หลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕68 โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นยุคน้ีมโี ครงสรา้ งแบบประชาธิปไตย ตามแบบรฐั ธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย ทฝ่ี ่ายอาณาจกั รใชเ้ป็นแมบ่ ทในการปกครองประเทศอยู่ในขณะนนั้ ดงั น้ี69 สมเด็จพระสงั ฆราช สงั ฆสภา คณะสงั ฆมนตรี คณะวนิ ยั ธร การบรหิ ารส่วนกลาง การบรหิ ารส่วนภมู ภิ าค ชนั้ ฎกี า องคก์ ารปกครอง ภาค ชนั้ อทุ ธรณ์ องคก์ ารศึกษา จงั หวดั ชน้ั ตน้ องคก์ ารเผยแผ่ อำ� เภอ องคก์ ารสาธารณูปการ ตำ� บล วดั ภาพท่ี ๑๐.๑๖ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔70 จากโครงสรา้ ง ตามพระราชบญั ญตั ิฉบบั ใหม่น้ี ระบุตำ� แหน่งพระสงั ฆราชไวว้ ่าทรงดำ� รงตำ� แหน่ง สงั ฆปรณิ ายก และทรงปกครองคณะสงฆโ์ ดยแบ่งอำ� นาจเป็น ๓ ฝ่าย คือทรงบญั ญตั สิ งั ฆาณตั โิ ดยคำ� แนะนำ� ของสงั ฆสภา ทรงบรหิ ารคณะสงฆท์ างคณะสงั ฆมนตรี และทรงวนิ ิจฉยั อธกิ รณท์ างคณะวนิ ยั ธร ซง่ึ อำ� นาจของ พระสงั ฆราชลดนอ้ ยลงกวา่ จากการทใ่ี ชพ้ ระราชบญั ญตั ิ ร.ศ. ๑๒๑ คอื จะทรงบรหิ ารคณะสงฆโ์ ดยวธิ อี น่ื ตามลำ� พงั พระองคไ์ มไ่ ด้ ตอ้ งทรงบญั ชาการคณะสงฆท์ างสงั ฆสภา สงั ฆมนตรี และคณะวนิ ยั ธร แลว้ แต่กรณี โดยช่อื วา่ เป็นการปกครองคณะสงฆแ์ บบประชาธปิ ไตย ตามแบบรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย ทฝ่ี ่ายอาณาจกั รใชเ้ป็น แมบ่ ทในการปกครองประเทศอยู่ในขณะนน้ั ประกอบดว้ ย71 68 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๕๑. 69 พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต), ระเบยี บการปกครองคณะสงฆไ์ ทย, หนา้ ๖๒. 70 พระวสิ ุทธโิ สภณ(สำ� รวม ปิยธมโฺ ม), การปกครองคณะสงฆไ์ ทย, หนา้ ๘๗. 71 พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต), ระเบยี บการปกครองคณะสงฆไ์ ทย, หนา้ ๖๒. 10. - 10 (314-381).indd 363 5/10/2022 1:00:19 PM
364 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๑. สมเด็จพระสงั ฆราช ทรงเป็นประมุขของคณะสงฆใ์ นฐานะทรงเป็นองคส์ กลมหาสงั ฆปรินายก เพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกบั พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุขของประเทศไทยในระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย สมเด็จพระสงั ฆราชทรงบญั ชาการคณะสงฆภ์ ายใตบ้ ทบญั ญตั ิของพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทรงบญั ญตั ิสงั ฆาณัติโดยคำ� แนะนำ� ของสงั ฆสภา ทรงบริหารคณะสงฆท์ างคณะสงั ฆมนตรี และทรงวนิ ิจฉยั อธิกรณ์ทางคณะวนิ ยั ธร อำ� นาจการบญั ชาคณะสงฆม์ ลี กั ษณะแยกออกจากกนั อย่างชดั เจน และถว่ งดุลกนั ไปในตวั ประกอบดว้ ย ๒. สงั ฆสภา สงั ฆสภาเทียบไดร้ บั รฐั สภาของฝ่ ายบา้ นเมอื ง มอี ำ� นาจหนา้ ท่ีในการบญั ญตั ิสงั ฆาณตั ิ หรอื กฎระเบยี บสำ� หรรบั ใชใ้ นการบรหิ ารและการปกครองคณะสงฆ์ สงั ฆสภาประกอบดว้ ยสมาชกิ ไมเ่ กนิ ๔๕ รูป (มาตรา ๑๑) โดยพจิ ารณาคดั เลอื กพระเถระทม่ี คี ุณสมบตั ิ ๓ ประการคือ (๑) พระราชาคณะชน้ั ธรรมข้นึ ไป (๒) พระคณาจารยเ์ อก (๓) พระเปรยี ญเอก ๓. คณะสงั ฆมนตรี คณะสงั ฆมนตรเี ทยี บไดก้ บั คณะรฐั มนตรขี องฝ่ายอาณาจกั รคือทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นคณะ รฐั บาลบรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ คณะสงั ฆมนตรปี ระกอบดว้ ยสงั ฆนายก หน่ึงรูป และสงั ฆมนตรอี กี ไมเ่ กนิ ๙ รูป (มาตรา ๒๘-๒๙) และสงั ฆมนตรแี บ่งงานภายใตค้ วามรบั ผดิ ชอบออกเป็น ๔ องคก์ าร เทยี บไดก้ บั กระทรวง และแต่ละองคก์ ารมสี งั ฆมนตรีว่าการและสงั ฆมนตรีช่วยว่าการเป็นผูป้ กครองดูแลรบั ผดิ ชอบ (ตามความใน มาตรา ๓๓) ประกอบดว้ ย ก. สว่ นกลางประกอบดว้ ย ๔ องคก์ าร ไดแ้ ก่ (๑) องคก์ ารปกครอง (๒) องคก์ ารศึกษา (๓) องคก์ าร เผยแผ่ (๔) องคก์ ารสาธารณูปการ องคก์ ารมสี งั ฆมนตรวี า่ การรูปหน่ึง จะมสี งั ฆมนตรชี ่วยวา่ การกไ็ ด้ ข. สว่ นภมู ิภาค ใหเ้ป็นไปตามทก่ี ำ� หนดไวใ้ นสงั ฆาณตั ิ และมเี จา้ คณะตรวจการในภาคต่าง ๆ ตามท่ี กำ� หนดไวใ้ นสงั ฆาณตั ิ ฉะนนั้ จงึ มเี จา้ คณะเป็นลำ� ดบั ลงไปจนถงึ เจา้ อาวาส นบั ต่อจากคณะสงั ฆมนตรี ดงั น้ี (๑) เจา้ คณะตรวจการ (๒) เจา้ คณะจงั หวดั (๓) เจา้ คณะอำ� เภอ (๔) เจา้ คณะตำ� บล (๕) เจา้ อาวาส ๔. คณะวนิ ยั ธร คอื ศาลของพระสงฆ์ มอี ำ� นาจหนา้ ทใ่ี นการพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั คดคี วามหรอื อธกิ รณ์ ตคี วาม กฎหมาย สงั ฆาณตั แิ ละระเบยี บคณะสงฆต์ ่าง ๆ ตามความในมาตรา ๘ ความวา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงวนิ ิจฉยั อธกิ รณท์ างคณะวนิ ยั ธร ซง่ึ แบ่งเป็น ๓ ชน้ั คือ ชน้ั ตน้ ชน้ั อทุ ธรณ์ และชน้ั ฎกี า72 ในส่วนของคณะวนิ ยั ธร เป็นไปตามสงั ฆาณตั ิ (ซง่ึ แบง่ เป็นคณะวนิ ยั ธรชน้ั ตน้ ชน้ั อทุ ธรณ์ และชน้ั ฎกี า) ตามระบอบน้ีมพี ระสงั ฆปรณิ ายก ๔ รูป คอื (๑) สมเดจ็ พระสงั ฆราช (๒) ประธานสงั สภา (๓) สงั ฆนายก (๔) ประธานคณะวนิ ยั ธรชน้ั ฎกี า ระเบยี บบรหิ ารตามทก่ี ำ� หนดไวใ้ นส่วนภมู ภิ าค มคี ณะกรรมการสงฆจ์ งั หวดั คณะกรรมการสงฆอ์ ำ� เภอ (เทยี บกบั กรรมการจงั หวดั กรรมการอำ� เภอ) มคี ณะวนิ ยั ธร ชน้ั ฎกี า ๑ คณะ, อทุ ธรณ์ ๑ คณะ ส่วนคณะวนิ ยั ธร จงั หวดั มที กุ จงั หวดั 72 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๖๐-๖๒ 10. - 10 (314-381).indd 364 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 365 ขอ้ ทน่ี ่าสงั เกตกค็ อื พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ น้ี ไดย้ ุบเลกิ มหาเถรสมาคม และจำ� กดั อำ� นาจของสมเดจ็ พระสงั ฆราชดา้ นการบรหิ ารคณะสงฆ์ โดยทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราชมอี ำ� นาจแต่เพยี งในนามตามบท แห่งพระราชบญั ญตั ิ และไดว้ างลูท่ างทจ่ี ะรวมนกิ ายสงฆท์ แ่ี ตกแยกกนั อยู่น้ใี หเ้ป็นนกิ ายเดยี วกนั ตามคำ� เรยี กรอ้ ง ของคณะปฏสิ งั ขรณ์การพระศาสนา โดยกำ� หนดบทเฉพาะกาลไวใ้ นมาตรา ๖๐ ว่า “ก่อนทจ่ี ะไดท้ ำ� สงั คายนา พระธรรมวนิ ยั ใหค้ รบถว้ น แต่อย่างชา้ ตอ้ งไม่เกินแปดปี นบั แต่วนั ใชพ้ ระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี หา้ มมใิ หอ้ อก สงั ฆาณตั กิ ตกิ าสงฆ์ พระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช กฎกระทรวงหรอื ระเบยี บใด ทจ่ี ะบงั คบั ใหต้ อ้ งเปลย่ี นลทั ธิ อนั ไดน้ ยิ มนบั ถอื และปฏบิ ตั กิ นั มาเป็นเวลาชา้ นานแลว้ ” ฌ. การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภมู ิพล- อดลุ ยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๔) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภูมิพลเสด็จข้ึนเถลิงถวลั ยร์ าชสมบตั ิเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยแห่ง กรุงรตั นโกสนิ ทรเ์ ป็นรชั กาลท่ี ๙ พระองค์ ไดเ้ สด็จเขา้ สู่พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษกเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทย โดยสมบูรณใ์ นวนั ท่ี ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ส่วนการบริหารการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั น้ียงั คงเป็นตามพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ แต่การดำ� เนนิ การหาไดด้ ำ� เนินไปดว้ ยดแี ต่ประการใดไม่ เน่ืองจากความขดั แยง้ กนั ระหวา่ งมหานกิ ายกบั ธรรมยุตกิ นิกาย ทม่ี มี าก่อนน้ีแลว้ แต่ยงั ไม่ไดร้ บั การแกไ้ ข ถงึ แมจ้ ะมกี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ จนกระทงั่ ถงึ พ.ศ. ๒๔๙๒ แลว้ กต็ าม สงั ฆมนตรสี ่วนใหญ่ลว้ นมาจากคณะธรรมยุตกิ นิกาย จนมกี ารรอ้ งเรยี นถงึ นายกรฐั มนตรี ความขดั แยง้ เหลา่ น้ีทำ� ใหเ้กดิ ความวุน่ วายในคณะสงฆอ์ ย่างรุนแรง จนทำ� ให้ กลายเป็นขอ้ อา้ งของฝ่ายอาณาจกั ร ทใ่ี ชเ้ ป็นเหตผุ ลสรา้ งความชอบธรรมแก่รฐั บาลในการทจ่ี ะเขา้ ไปแทรกแซง และเปลย่ี นแปลงการบรหิ ารคณะสงฆเ์ สยี ใหม่ การยกเลกิ ในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆแ์ ต่ละครง้ั ลว้ นแลว้ แต่เป็นผลท่ี เกิดจาการริเร่ิมและความพยายามของอำ� นาจรฐั คณะสงฆจ์ ึงมปี กติคลอ้ ยตามรูปแบบการปกครองของฝ่าย อาณาจกั ร หรอื คลอ้ ยตามกฎหมายบา้ นเมอื ง ทงั้ น้ี เพราะมพี ทุ ธพจนท์ ส่ี นบั สนุนไวว้ า่ “อนุชานามิ ภกิ ขฺ เว ราชูนํ อนุวตตฺ ติ ”ํุ ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนุญาตใหค้ ลอ้ ยตามพระราชา”73 พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ หากพจิ ารณาตามทศั นของคณะสงฆท์ งั้ สองฝ่าย คือ ทงั้ ฝ่ ายมหานิกาย และธรรมยุติกนาย แลว้ จะเห็นไดว้ ่า ต่างมีทศั นะท่ีแตกต่างกนั มหานิกายมีทศั นะว่า พระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ีดกี ว่าพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ตรงท่วี ่ามคี วามเป็น สงั ฆาธิปไตย มกี ารถ่วงดุลอำ� นาจและแบ่งแยกอำ� นาจในการบริหารหรือปกครอง โดยแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ไดแ้ ก่ สงั ฆสภา สงั ฆมนตรแี ละคณะวนิ ยั ธร ซง่ึ ไมร่ วมศูนยอ์ ำ� นาจในการบรหิ ารอยู่ทส่ี ่วนกลาง 73 ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๖/๒๙๕. 10. - 10 (314-381).indd 365 5/10/2022 1:00:19 PM
366 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ส่วนทศั นะของคณะสงฆธ์ รรมยุตกิ นิกาย เหน็ ว่าพระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ีไม่เหมาะสมและสง่ิ ทถ่ี กู วพิ ากษ์ วจิ ารณ์มากท่สี ุดก็คือ การมสี งั ฆสภา ซ่งึ ทำ� หนา้ ท่คี ลา้ ยกบั สภาผูแ้ ทนราษฎร มกี ารถกเถยี งกนั ในท่ปี ระชุม ซง่ึ ไมเ่ หมาะสมกบั สมณเพศ และยง่ิ ไปกวา่ นน้ั การปกครองคณะสงฆก์ ไ็ มค่ วรทจ่ี ะแบง่ แยกหรอื มกี ารถว่ งดลุ อำ� นาจ เช่นการปกครองของฝ่ายบา้ นเมอื ง รูปแบบการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภมู พิ ล อดลุ ยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๔) รูปแบบการบรหิ ารการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ น้ี ยงั คงเป็นตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ มลี กั ษณะอนุโลมตามกฎหมาย บา้ นเมอื ง แบง่ อำ� นาจบญั ชาการคณะสงฆอ์ อกเป็น ๓ อำ� นาจคอื (๑) อำ� นาจบญั ญตั สิ งั ฆาณตั ิ (เทยี บไดก้ บั อำ� นาจ นติ บิ ญั ญตั )ิ (๒) อำ� นาจบรหิ ารการคณะสงฆ์ (เทยี บไดก้ บั อำ� นาจบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ) (๓) อำ� นาจคณะวนิ ยั ธร (เทยี บไดก้ บั อำ� นาจตลุ าการ) สมเด็จพระสงั ฆราชท่ีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นผูส้ ถาปนา ทรงดำ� รงตำ� แหน่งสกลมหาสงั ฆปริณายก (ประชมุ สงฆเ์ ทยี บไดก้ บั พระมหากษตั รยิ )์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงบญั ญตั สิ งั ฆาณตั โิ ดยคำ� แนะนำ� ของสงั ฆสภา (เทยี บไดก้ บั สภาผูแ้ ทน) ทรงบรหิ ารการคณะสงฆท์ รงคณะสงั ฆมนตรี (เทยี บไดก้ บั คณะรฐั มนตร)ี ทรงวนิ ิจฉยั อธกิ รณ์ (คด)ี ทางคณะวนิ ยั ธร (เทยี บไดก้ บั ตลุ าการหรอื ศาล) ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ีทำ� ใหส้ มเดจ็ พระสงั ฆราช ทรงอยู่เหนือการบญั ชาการคณะสงฆ์ ทรงเป็นประมขุ สงฆแ์ ละเป็นท่เี คารพสกั การะของคณะสงฆโ์ ดยเฉพาะ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เน่ืองจากใน พระราชบญั ญตั ิ พ.ศ. ๒๔๘๔ ไดเ้กดิ ปญั หาในการบรหิ าร คณะสงฆแ์ ละปญั หาในดา้ นอน่ื ๆ รฐั บาลในขณะนนั้ จงึ ดำ� เนินการเปลย่ี นแปลงเป็นพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ โดยเปลย่ี นเขา้ ไป ใกลเ้ คียงกบั พระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ คือ สมเด็จพระสงั ฆราชทรงเป็นประธาน มหาเถรสมาคม ทรงอยู่ในฐานะประมขุ สงฆ์ เป็นสกลมหาสงั ฆปรณิ ายก มกี รรมการมหาเถรสมาคม ทำ� หนา้ ท่ี ดา้ นนิตบิ ญั ญตั ิ ดา้ นบรหิ ารและตลุ าการสูงสุด จากนน้ั กเ็ ป็นเจา้ คณะหน ไดแ้ บง่ เป็นหนกลาง หนเหนือ หนใต้ หนตะวนั ออกเฉียงเหนอื และคณะธรรมยุติ ต่อไปกเ็ ป็นภาค ๑๘ จากเจา้ คณะภาคเป็นเจา้ คณะจงั หวดั เจา้ คณะ อำ� เภอ เจา้ คณะตำ� บล เจา้ อาวาส จงั หวดั ใดทม่ี พี ระธรรมยุตดิ ว้ ย ใหม้ เี จา้ คณะจงั หวดั ๒ องค์ คอื เจา้ คณะจงั หวดั มหานิกายและเจา้ คณะจงั หวดั (ธรรมยุต)ิ แยกการปกครองกนั ในตอนลา่ ง จากเจา้ คณะภาคลงไป แต่มารวมกนั ทม่ี หาเถรสมาคมทกุ นกิ าย แมแ้ ต่อานมั นิกาย และจนี นิกาย โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภมู พิ ล อดุลยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๔) 10. - 10 (314-381).indd 366 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 367 โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ ช่วงท่ี ๓ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภมู พิ ล อดลุ ยเดชมหาราช รชั กาลท่ี ๙ ภายใตพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๔) ในยุคน้มี โี ครงสรา้ งแบบประชาธปิ ไตย ตามแบบรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย ทฝ่ี ่ายอาณาจกั รใชเ้ป็นแมบ่ ท ในการปกครองประเทศอยู่ในขณะนนั้ เช่นเดียวกนั กบั ในสมยั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั อานนั ทมหิดล รชั กาลท่ี ๘ ทกุ ประการ จนกระทงั่ ถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ก่อนมกี ารเปลย่ี นแปลงการปกครองเป็นตามพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ๑๐.๘ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จุบนั รูปแบบการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จุบนั เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบบั น้ี เกดิ จากความตอ้ งการของรฐั บาลในสมยั นนั้ ซง่ึ มี จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ เป็นนายกรฐั มนตรี ทต่ี อ้ งการ ปรบั เปลย่ี นรูปแบบการปกครองคณะสงฆใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายการปกครองประเทศ ท่มี ลี กั ษณะการรวม อำ� นาจการตดั สนิ ใจเด็ดขาดไวก้ บั ผูน้ ำ� เพยี งคนเดยี ว เพราะท่านนายกรฐั มนตรีเหน็ ว่าการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ทก่ี ำ� หนดใหม้ กี ารถ่วงดุลอำ� นาจกนั นน้ั เป็นสาเหตใุ หเ้กดิ ความลา่ ชา้ ในการปฏบิ ตั งิ าน และขาด ประสทิ ธิภาพของงาน โดยเฉพาะรูปแบบการปกครองคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่แี ยกอำ� นาจการบญั ชาการคณะสงฆอ์ อกเป็น ๓ อำ� นาจ คือ สงั ฆสภา คณะสงั ฆมนตรี และคณะวนิ ยั ธร นายกรฐั มนตรสี มยั นนั้ มองว่า เป็นระบบการบรหิ ารทม่ี ผี ลบนั่ ทอนประสทิ ธิภาพในการดำ� เนินกิจการคณะสงฆ์ ก่อใหเ้กดิ ปญั หาอปุ สรรคและความลา่ ชา้ 74 ดงั นนั้ รฐั บาล จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ จงึ ถอื เอาวกิ ฤตเิ ป็นโอกาส คอื ถอื เป็นความชอบธรรมในการยกเลกิ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ และประกาศใช้ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๐๕75 และแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕76 ส่วนอำ� นาจการปกครองคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั ิ พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นไปตามโครงสรา้ งการปกครอง คณะสงฆฉ์ บบั นน้ั ซง่ึ มแี ผนภมู ดิ งั น้ี 74 พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต), การปกครองคณะสงฆไ์ ทย, หนา้ ๕๐. 5/10/2022 1:00:19 PM 75 ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๗๙ ตอน ๑๑๕ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๐๕ 76 ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๐๙ ตอนท่ี ๑๖ วนั ท่ี ๔ มนี าคม ๒๕๓๕ 10. - 10 (314-381).indd 367
368 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา สมเด็จพระสงั ฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม เจา้ คณะใหญ่ เจา้ คณะภาค เจา้ คณะจงั หวดั เจา้ คณะอำ� เภอ เจา้ คณะตำ� บล เจา้ อาวาส ภาพท่ี ๑๐.๑๗ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕77 จากโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั ตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จะมอง เห็นภาพรูปแบบการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จุบนั ไดจ้ ดั เจนว่า สมเด็จพระสงั ฆราชทรงดำ� รงตำ� แหน่ง สองตำ� แหน่ง คอื ตำ� แหน่งสกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ และตราพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช โดยไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย พระธรรมวนิ ยั และกฎมหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๘ และทรงดำ� รงตำ� แหน่ง ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๙ การออกกฎมหาเถรสมาคม ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั คำ� สงั่ เป็นตน้ กจ็ ะตอ้ งผา่ นมตคิ วามเหน็ ชอบจากกรรมการ มหาเถรสมาคม เพราะมหาเถรสมาคมเป็นองคก์ รบริหารสูงสุดของคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จุบนั โดยมกี ารจดั รูปแบบองคก์ ร78 ไวด้ งั น้ี 77 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๙ 78 พระธรรมปรยิ ตั โิ สภณ (วรวทิ ย์ คงคฺ ปญฺโญ), การพฒั นาพระสงั ฆาธกิ าร ภาค ๒ ภาคการปฏบิ ตั กิ าร, (กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕), หนา้ ๘-๙. 10. - 10 (314-381).indd 368 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 369 องคก์ รปกครอง สว่ นกลาง สว่ นภมู ิภาค มหาเถรสมาคม ภาค จงั หวดั เจา้ คณะใหญ่ อำ� เภอ ตำ� บล วดั ภาพท่ี ๑๐.๑๘ โครงสรา้ งองคก์ รการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั ตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ จากโครงสรา้ งองคก์ รปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั จะเหน็ ว่า วดั ซง่ึ เป็นองคก์ ร ตำ�่ สุด และเป็น องคก์ รหลกั เป็นหน่วยงานบริหารจดั กิจการคณะสงฆ์ และพระพทุ ธศาสนาโดยตรง นบั ว่าเป็นส่วนสำ� คญั ย่งิ ของการปกครองคณะสงฆ์ เมอ่ื มอี งคก์ รบรหิ ารแต่ละระดบั เช่นน้ี คณะสงฆโ์ ดยมหาเถรสมาคม จงึ กำ� หนดไวใ้ น กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๔ พ.ศ. ๒๕๔๑ วา่ ดว้ ย การแต่งตง้ั ถอดถอนพระสงั ฆาธกิ าร ใหม้ ผี ูบ้ งั คบั บญั ชาการ ในแต่ละระดบั ภายใตช้ อ่ื “พระสงั ฆาธกิ าร” ซง่ึ หมายถงึ พระภกิ ษุผูด้ ำ� รงตำ� แหน่งปกครองคณะสงฆ7์ 9 และพระสงั ฆาธกิ ารตาม กฎมหาเถรสมาคมฉบบั น้ี แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท คอื พระสงั ฆาธกิ ารระดบั วดั ไดแ้ ก่ เจา้ อาวาส รองเจา้ อาวาส ผูช้ ่วยเจา้ อาวาส และพระสงั ฆาธกิ าร ระดบั เจา้ คณะ นบั จากระดบั เจา้ คณะใหญ่ ลงมาจนถงึ เจา้ คณะระดบั ตำ� บล เป็นผูบ้ งั คบั บญั ชา บรหิ ารกจิ การคณะสงฆใ์ หเ้ป็นไปโดยถกู ตอ้ งตามกฎหมาย และพระธรรมวนิ ยั ทงั้ น้ีเพอ่ื ใหค้ ณะสงฆท์ ำ� งานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๐ คณะสงฆต์ อ้ งอยู่ภายใตก้ ารปกครองของมหาเถรสมาคม การจดั ระเบยี บการปกครองคณะสงฆใ์ หเ้ ป็นไปตามท่กี ำ� หนดในกฎมหาเถรสมาคมโดยมสี มเด็จพระสงั ฆราชซ่งึ ทรง ดำ� รงตำ� แหน่งสกลมหาสงั ฆปริณายกทรงบญั ชาคณะสงฆแ์ ละทรงตราพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราชโดยไม่ขดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย พระธรรมวนิ ยั และกฎมหาเถรสมาคม 79 กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๔ พ.ศ. ๒๕๔๑. อา้ งใน แถลงการณ์คณะสงฆ์ เลม่ ๘๖ ฉบบั พเิ ศษ ๓ ตลุ าคม ๒๕๔๑ 10. - 10 (314-381).indd 369 5/10/2022 1:00:19 PM
370 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ดงั นนั้ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ซง่ึ ดำ� รงตำ� แหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำ� แหน่ง และมอี ธบิ ดี กรมการศาสนา เป็นเลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมโดยตำ� แหน่ง และใหก้ รมการศาสนาทำ� หนา้ ท่ี สำ� นกั งานเลขาธกิ าร มหาเถรสมาคมการปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลางและส่วนภูมภิ าคใหม้ คี ณะใหญ่ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ใี นเขตปกครอง คณะสงฆ์ การปกครองคณะสงฆส์ ่วนภมู ภิ าคใหจ้ ดั แบง่ เขตปกครอง (๑) ภาค (๒) จงั หวดั (๓) อำ� เภอ (๔) ตำ� บล โดยใหม้ พี ระภกิ ษุเป็นผูป้ กครองตามขน้ั ลำ� ดบั (๑) เจา้ คณะภาค (๒) เจา้ คณะจงั หวดั (๓) เจา้ คณะอำ� เภอ (๔) เจา้ คณะตำ� บล ส่วนการแต่งตงั้ ถอดถอนพระอปุ ชั ฌาย์ เจา้ อาวาส รองเจา้ อาวาส ผูช้ ่วยเจา้ อาวาส พระภกิ ษุอนั เก่ยี วกบั ตำ� แหน่งปกครองคณะสงฆต์ ำ� แหน่งอ่นื ๆ และไวยาวจั กรใหเ้ป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการทก่ี ำ� หนดในกฎ มหาเถรสมาคม ดงั นน้ั การปกครองคณะสงฆป์ จั จุบนั เป็นหนา้ ท่ขี องมหาเถรสมาคมซ่งึ มสี มเด็จพระสงั ฆราชทรงเป็น ประธานกรรมการโดยตำ� แหน่ง และมฆี ราวาส คอื อธบิ ดกี รมการศาสนาเป็นเลขาธกิ ารโดยตำ� แหน่ง และทำ� หนา้ ท่ี สำ� นกั งานเลขาธิการมหาเถรสมาคม หรอื เรยี กอกี อย่างหน่ึงก็ฝ่ายธุรการเท่านนั้ เองเพยี งคนเดยี ว การปกครอง คณะสงฆไ์ มม่ ใี ครไปกา้ วลว่ งไดแ้ ละกเ็ กดิ การยอมรบั เสมอมาทง้ั ฝ่ายพทุ ธจกั รและอาณาจกั ร พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ในมาตรา ๗ ทร่ี ะบุ ว่า พระมหากษตั ริยท์ รงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชองคห์ น่ึง ในกรณีตำ� แหน่งสมเด็จพระสงั ฆราชว่างลงให้ นายกรฐั มนตรโี ดยความเหน็ ชอบของมหาเถรสมาคมเสนอสมเดจ็ พระราชาคณะผูม้ อี าวุโสสูงสุด โดยสมณศกั ด์ิ ข้นึ ทูลเกลา้ ฯ เพ่อื ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสงั ฆราช และในกรณีท่สี มเด็จพระราชาคณะผูม้ อี าวุโสสูงสุด โดยสมณศกั ด์ไิ มอ่ าจปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ด้ ใหน้ ายกรฐั มนตรโี ดยความเหน็ ชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเดจ็ พระราชาคณะรูปอ่นื ผูม้ อี าวุโส โดยสมณศกั ด์ิ รองลงมาตามลำ� ดบั และสามารถปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ไี ด้ ข้นึ ทูลเกลา้ ฯ เพอ่ื ทรงสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราช มาตรา ๘ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงดำ� รงตำ� แหน่งสกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ทรงบญั ชาคณะสงฆแ์ ละทรงตรา พระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช โดยไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย พระธรรมวนิ ยั และกฎมหาเถรสมาคม ๑๐.๙ ทศิ ทางปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต ปญั หา และสาเหตขุ องปญั หารวมถงึ แนวทางแกไ้ ขปญั หาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยปจั จบุ นั คณะสงฆ์ ประสบปญั หาโครงสรา้ งการปกครอง ปญั หาการขาดประสทิ ธภิ าพในการปกครอง ปญั หาหลกั เกณฑก์ ารแต่งตงั้ ของพระสงฆท์ ่จี ะไดร้ บั สมณศกั ด์ิ สาเหตุปญั หาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในปจั จุบนั มสี าเหตุมาจากปญั หา โครงสรา้ งการปกครองเพราะคณะสงฆท์ ถ่ี กู ควบคมุ โดยรฐั ผา่ นพระราชบญั ญตั กิ ารปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบบั ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๓๕) สาเหตตุ ่อมาคอื การขาดประสทิ ธภิ าพในการปกครองมาจากสาเหตทุ ร่ี วมศูนยอ์ ำ� นาจ การตดั สนิ ใจไวท้ ่ผี ูป้ กครองสงฆร์ ะดบั สูง ซ่งึ มอี ำ� นาจและอิทธิพลต่อการปกครองสงฆจ์ ำ� นวนมากซ่งึ ดอ้ ยใน 10. - 10 (314-381).indd 370 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 371 ประสทิ ธภิ าพการทำ� งานเพราะชราภาพ และยงั ดอ้ ยความรูค้ วามสามารถในการปกครองสงฆส์ บื เน่ืองจากระบบ กลไกคณะสงฆไ์ ม่มกี ารพฒั นาประสิทธิภาพผูป้ กครองคณะสงฆ์ ต่อมาสาเหตุของหลกั เกณฑข์ องพระสงฆ์ ท่จี ะไดร้ บั สมณศกั ด์นิ น้ั จำ� เพาะเจาะจงไวท้ ่ตี ำ� แหน่งทางปกครองคณะสงฆ์ และมกี ารกำ� หนดหลกั เกณฑผ์ ่าน จำ� นวนเงนิ เพอ่ื การสรา้ งศาสนวตั ถุ ในการแกไ้ ขปญั หาโครงสรา้ งการปกครอง มแี นวทางการแยกรฐั ออกจากศาสนา กบั การปรบั ปรุงโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ หม่ ส่วนแนวทางการแกไ้ ขปญั หาการขาดประสทิ ธภิ าพในการ ปกครอง รวมอยู่ในแนวทางการปรบั ปรุงโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆแ์ ลว้ และต่อมาคือ การแกไ้ ขปญั หา หลกั เกณฑข์ องพระสงฆท์ จ่ี ะไดร้ บั สมณศกั ด์ิ โดยแยกสมณศกั ด์อิ อกจากตำ� แหน่งการปกครอง การใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั มสี ่วนร่วมในการวางกฎเกณฑ์ และการกำ� หนดหลกั เกณฑข์ องพระสงฆท์ จ่ี ะไดร้ บั สมณศกั ด์ิ โดยคำ� นึงถงึ การ สรา้ งศาสนวตั ถุท่ีจำ� เป็นต่อการใชส้ อยและตามฐานะของวดั และกำ� หนดหลกั เกณฑโ์ ดยการเนน้ การสรา้ ง ศาสนวตั ถทุ เ่ี ป็นส่วนหน่ึงของชมุ ชน รูปแบบและกลไกในการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต ซง่ึ จะมพี ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆฉ์ บบั ปรบั ปรุง แกไ้ ขใหม่ และใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิอุปถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนาในอนาคตมารองรบั กอรปกบั ให้ พทุ ธศาสนิกชนทกุ ภาคส่วน ทง้ั ในระดบั รฐั บาล และประชาชนทวั่ ไป ไดใ้ หก้ ารสนบั สนุนส่งเสรมิ พระราชบญั ญตั ิ ทง้ั สองฉบบั ดงั กลา่ ว ซง่ึ รูปแบบกลไกของการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต เป็นดงั น้ี80 เพอ่ื เทดิ ทูนสมเดจ็ พระสงั ฆราชใหท้ รงอยู่ในฐานะเป็นทส่ี กั การบูชา ผูใ้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ ยกฐานะมหาเถร สมาคมเป็นคณะทป่ี รกึ ษา องคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราช ใหอ้ ยู่ในฐานะพระมหาเถระผูเ้ป็นรตั ตญั ญู แต่ยงั มอี ำ� นาจ ในการควบคุม กำ� กบั ดูแลบริหารงานคณะสงฆใ์ หม้ มี หาสงั ฆสมาคมเป็นท่ปี ระชุมสงฆจ์ ากทวั่ ประเทศมหี นา้ ท่ี ออกสงั ฆาณตั ิ เพอ่ื กำ� หนดแนวทางการบรหิ ารงานคณะสงฆต์ ามพระธรรมวนิ ยั ใหม้ มี หาคณิสสร เป็นฝ่ายบรหิ าร และมหี นา้ ทบ่ี รหิ าร การคณะสงฆ์ ใหเ้ป็นไปตามสงั ฆาณตั ิ เนน้ การบรหิ ารเป็นรายกองงานครอบคลมุ กจิ การของ คณะสงฆท์ กุ ดา้ นทง้ั ใน และต่างประเทศโดยใหม้ มี หาวนิ ยั ธร เป็นฝ่ายศาล มหี นา้ ทพ่ี จิ ารณาวนิ ิจฉยั นิคหกรรม ตามหลกั พระธรรมวนิ ยั ใหพ้ ระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆเ์ ป็นกลไกสำ� คญั ในการบริหารงานคณะสงฆภ์ ายใตก้ รอบ พระธรรมวนิ ยั ใหอ้ ำ� นาจการตดั สนิ ใจเร่ืองต่าง ๆ อยู่กบั ท่ปี ระชมุ สงฆต์ าพระธรรมวนิ ยั ม่งุ ส่งเสริมการศึกษา และปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั โดยเคร่งครดั ตามหลกั ไตรสกิ ขาม่งุ ส่งเสรมิ ใหค้ ณะสงฆ์ ไดป้ ระชมุ กนั เนืองนิตย์ ตามหลกั อปริหานิยธรรม ๗ ม่งุ ส่งเสริมใหก้ ารคณะสงฆ์ สามารถพจิ ารณาอธิกรณ์ของพระภกิ ษุซ่งึ ละเมดิ พระธรรมวนิ ยั ใหจ้ บเสร็จอย่างรวดเร็ว มปี ระสทิ ธิภาพ จะม่งุ ส่งเสริมใหค้ ณะสงฆท์ วั่ ไป มสี ่วนร่วมในการ บริหารงาน การคณะสงฆส์ ่งเสริมใหพ้ ุทธศาสนิกชนในทุกภาคส่วนมสี ่วนร่วมในการอุปถมั ภแ์ ละคุม้ ครอง พระพทุ ธศานาม่งุ เหน็ การป้องกนั และลงโทษผูป้ ระพฤตผิ ดิ ละเมดิ พระวนิ ยั อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ส่งเสริมใหน้ ำ� 80 คณะกรรมาธกิ ารศาสนา ศิลปะและวฒั นธรรม สภาผูแ้ ทนราษฏร, แนวทางอปุ ถมั ภแ์ ละคมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๕. 10. - 10 (314-381).indd 371 5/10/2022 1:00:19 PM
372 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พทุ ธธรรมไวแ้ กป้ ญั หาและอุปสรรค เพ่อื ใหป้ ระชาชนมคี ุณภาพชีวติ ท่สี มบูรณ์ ตง้ั อยู่ในศีลธรรม โดยรวม พระธรรมวนิ ยั ไดร้ บั การคุม้ ครอง จากการถูกละเมดิ และลบหลูพ่ ระสงฆม์ ศี ิลาจารวตั รงดงาม เป่ียมดว้ ยสมาธิ และปญั ญาพระสงฆไ์ ม่ว่าอยู่วดั ป่าหรือวดั บา้ นมสี ่วนร่วมอย่างแทจ้ ริง ในการบริหารงานคณะสงฆ์ เพราะไม่มี การเลอื กทร่ี กั มกั ทช่ี งั หรอื เลน่ พรรคเลน่ พวกอกี ต่อไป ส่วนผูพ้ ระประพฤตไิ ม่ดจี ะนอ้ ยลงและหมดไปในทส่ี ุด พระสงฆด์ ี ๆ มคี วามรู้ เช่น พระนกั ปฏิบตั ิพระนกั พฒั นาสงั คม จะมบี ทบาทในการบริหารงานคณะสงฆ์ พระสงฆด์ ี ๆ มคี วามรู้ จะไปอยู่วดั ในชนบทมากข้นึ เพราะพระสงฆใ์ นต่างจงั หวดั จะมโี อกาสกา้ วหนา้ ในหนา้ ท่ี การงานไมแ่ พพ้ ระสงฆใ์ นกรุงเทพฯ การบรหิ ารงานคณะสงฆ์ จะเป็นระบบคณุ ธรรมอย่างแทจ้ รงิ คณะสงฆจ์ ะเป็น ทย่ี อมรบั ในสงั คม และไดร้ บั การอปุ ถมั ภใ์ หท้ ำ� หนา้ ทอ่ี ย่างมศี กั ด์ศิ รี มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งและสถติ สถาพรมนั่ คง ในพระพทุ ธศาสนาอยู่คู่กบั สงั คมไทยตลอดไป สมเด็จพระสงั ฆราช พระมหากษตั ริยท์ รงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชองคห์ น่ึงในกรณีท่ีตำ� แหน่ง สมเดจ็ พระสงั ฆราชว่างลงใหน้ ายกรฐั มนตรี โดยความเหน็ ชอบของเถรสมาคมเสนอนามสมเดจ็ พระราชาคณะ รูปหน่ึงข้นึ ทูลเกลา้ ฯ เพอ่ื ทรงสถาปนาเป็สมเดจ็ พระสงั ฆราช มหาเถรสมาคม ประกอบดว้ ยสมเดจ็ พระราชาคณะทกุ รูปเป็นกรรมการโดยตำ� แหน่งและพระราชาคณะ ชน้ั หริ ณั ยบฏั ซง่ึ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงแต่งตงั้ อกี จำ� นวนไม่เกนิ เจด็ รูป ใหก้ รรมการมหาเถรสมาคมอปโลกน์ สมเดจ็ พระราชาคณะรูปหน่ึงเป็นประธานมหาเถรสมาคม และสมเดจ็ พระราชาคณะอกี รูปหน่ึงเป็นรองประธาน การแต่งตงั้ ประธานและรองประธานมหาเถรสมาคม ใหก้ ระทำ� โดยพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช และใหป้ ระกาศ ในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ มหาสงั ฆสมาคม ประกอบดว้ ยสมาชิกซ่งึ มาจากการอปโลกนข์ องคณะสงฆท์ วั่ ประเทศโดยอนุวตั ตาม วธิ กี ารในพระธรรมวนิ ยั จงั หวดั ใดจะมสี มาชกิ มหาสงั ฆสมาคมจำ� นวนเท่าใด ใหเ้ป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม โดยคำ� นึงถงึ พระภกิ ษุในแต่ละจงั หวดั แต่ละจงั หวดั ตอ้ งมสี มาชกิ มหาสงั ฆสมาคมอย่างนอ้ ยหน่ึงรูป ใหส้ มาชกิ มหาสงั ฆสมาคมอปโลกนส์ มาชิกรูปหน่ึงเป็นประธานและสมาชิกอีกรูปหน่ึงเป็นรองประธานมหาสงั ฆสมาคม การแต่งตง้ั ประธานและรองประธานมหาสงั ฆสมาคมใหก้ ระทำ� โดยพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช และใหป้ ระกาศ ในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ มหาคณิสสรคณะหน่ึง ประกอบดว้ ย ประธาน รองประธาน และมหาคณิสสรอน่ื อกี ไมน่ อ้ ยกวา่ ยส่ี บิ รูป แต่ไม่เกินสามสบิ รูป ซ่งึ สมเด็จพระสงั ฆราชทรงแต่งตง้ั จาก พระราชาคณะโดยคำ� แนะนำ� ของมหาเถรสมาคม การแต่งตง้ั มหาคณิสสร ใหก้ ระทำ� โดยพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช และใหป้ ระกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ทรงแต่งตงั้ มหาวนิ ยั ธร โดยคำ� แนะนำ� ของมหาเถรสมาคมประกอบดว้ ย ประธาน รองประธาน และมหาวนิ ยั ธรอ่นื อกี ไม่นอ้ ยกว่าหา้ รูป แต่ไม่เกนิ สบิ เอด็ รูปมอี ำ� นาจในการพจิ ารณาและวนิ ิจฉยั นิคหกรรมชนั้ สูงสุด คำ� วนิ ิจฉยั ของมหาวนิ ยั ธรใหเ้ป็นทส่ี ุด มหาวนิ ยั ธร มอี ำ� นาจออกกฎ ขอ้ บงั คบั ระเบยี บ 10. - 10 (314-381).indd 372 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 373 คำ� สงั่ หรือประกาศโดยไม่ขดั หรือแยง้ กบั พระธรรมวนิ ยั กฎหมาย และสงั ฆาณตั ิ เม่อื สมเด็จพระสงั ฆราช ทรงลงพระนาม และประกาศในแถลงการณใ์ นคณะสงฆแ์ ลว้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั ได้ คณะกรรมการอปุ ถมั ภแ์ ละคมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนา ประกอบดว้ ย นายกรฐั มนตรี หรอื รองนายกรฐั มนตรี ซ่งึ นายกรฐั มนตรีมอบหมายเป็นประธาน พระภกิ ษุซ่งึ เป็นผูแ้ ทนคณะสงฆจ์ ำ� นวนหา้ รูป ขา้ ราชการ ซ่งึ เป็น พทุ ธศาสนิกชนจากสำ� นกั นายกรฐั มนตรี กระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพฒั นาสงั คมและ ความมนั่ คงของมนุษย์ กระทรวงวฒั นธรรม อธิการบดมี หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั อธิการบดี มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ผูท้ รงคุณวุฒทิ างพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ เป็นผูแ้ ทนพทุ ธศาสนิกชนจำ� นวนสค่ี น เป็นกรรมการ ผูอ้ ำ� นวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ คุณสมบตั ิ วาระ การดำ� รงตำ� แหน่ง การพน้ จากตำ� แหน่ง หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารไดม้ าซง่ึ ผูท้ รงคณุ วฒุ ทิ างพระพทุ ธศาสนาใหเ้ป็นไป ตามกฎกระทรวง ใหด้ ำ� เนินการจดั ตงั้ สำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ เป็นส่วนราชการ มฐี านะเป็นนิตบิ คุ คลอยู่ในกำ� กบั ของนายกรฐั มนตรีและมผี ูอ้ ำ� นวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ซ่งึ นายกรฐั มนตรีแต่งตงั้ โดยความ เห็นชอบของมหาเถรสมาคมเป็นผูบ้ งั คบั บญั ชาขา้ ราชการและรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั ิการต่อนายกรฐั มนตรี และมหาเถรสมาคม และจะใหม้ รี องผูอ้ ำ� นวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ หรือผูช้ ่วยผูอ้ ำ� นวยการ สำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติดว้ ยก็ได้ การแต่งตง้ั ผูอ้ ำ� นวยการพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ จะแต่งตง้ั จาก ขา้ ราชการในสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ หรอื จากบคุ คลภายนอกซง่ึ เป็นหรอื มไิ ดเ้ป็นขา้ ราชการ แต่เป็น ผูส้ ำ� เร็จการศึกษาเป็นเปรียญธรรมตง้ั แต่หกประโยคข้นึ ไป หรือปริญญาตรีทางพระพทุ ธศาสนา และจะตอ้ ง จบปริญญาโทสาขาใดสาขาหน่ึงดว้ ย บุคคลภายนอกซ่งึ มไิ ดเ้ ป็นขา้ ราชการ ตอ้ งมคี ุณสมบตั ิ ความสามารถ ประสบการณอ์ น่ื ๆ ตามทก่ี ำ� หนดในกฎกระทรวง การแบง่ ส่วนราชการภายในสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ใหท้ ำ� เป็นกฎกระทรวงแต่ตอ้ งคำ� นึงถงึ ความจำ� เป็นทต่ี อ้ งการใหอ้ ปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนาทง้ั ในระดบั จงั หวดั อำ� เภอ และตำ� บล การบรรจุ การแต่งตงั้ การดำ� รงตำ� แหน่ง การพน้ จากตำ� แหน่ง การไดร้ บั ค่าตอบแทน และอำ� นาจหนา้ ทข่ี องผูอ้ ำ� นวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ ใหเ้ป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทก่ี ำ� หนด ในกฎกระทรวง คณะกรรมการกองทนุ พระพทุ ธศาสนา ประกอบดว้ ยพระภกิ ษุ ซง่ึ เป็นผูแ้ ทนคณะสงฆเ์ ป็นจำ� นวนสามรูป เป็นท่ปี รึกษา ผูอ้ ำ� นวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติเป็นประธาน ผูแ้ ทนกระทรวงการคลงั ผูแ้ ทน สำ� นกั งบประมาณ ผูแ้ ทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผูแ้ ทนปลดั สำ� นกั งานนายกรฐั มนตรี ผูท้ รงคุณวุฒิทาง พระพทุ ธศาสนาจำ� นวนสค่ี นเป็นกรรมการและผูจ้ ดั การกองทุนเป็นกรรมการและเลขานุการ คุณสมบตั ิ วาระ การดำ� รงตำ� แหน่ง การพน้ จากตำ� แหน่ง หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารไดม้ าซง่ึ ผูท้ รงคณุ วฒุ ทิ างพระพทุ ธศาสนาใหเ้ป็นไป ตามระเบยี บสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ 10. - 10 (314-381).indd 373 5/10/2022 1:00:19 PM
374 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ทศิ ทางการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต จำ� เป็นอย่างยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารปรบั ปรุงแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆฉ์ บบั ใหม่และใหม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั อิ ปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนาข้นึ เพอ่ื ใหเ้กิดความ มนั่ คงและเป็นปึกแผน่ มารองรบั ทง้ั น้ี เพอ่ื เทดิ ทูลสมเดจ็ พระสงั ฆราช องคส์ กลมหาสงั ฆปรนิ ายก ประมขุ สงฆไ์ ทย ใหท้ รงอยู่ในฐานะเป็นทส่ี กั การบูชา ผูใ้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ พรอ้ มกบั ยกฐานะขององคก์ รมหาเถรสมาคม เป็นคณะ ทป่ี รกึ ษาองคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราช ใหอ้ ยู่ในฐานะพระมหาเถระผูเ้ป็นรตั ตญั ญู ใหม้ มี หาสงั ฆสมาคม เป็นทป่ี ระชมุ สงฆจ์ ากทวั่ ประเทศ และมหาคณิสสรเป็นฝ่ายบรหิ ารพรอ้ มทงั้ ใหม้ มี หาวนิ ยั ธร เป็นฝ่ายตลุ าการ วนิ จิ ฉยั อธกิ รณ์ และนคิ คหกรรม โดยยดึ หลกั พระธรรมวนิ ยั เป็นปทฏั ฐาน (Norms) ดงั โครงสรา้ ง สมเด็จพระสงั ฆราช มหาสงั ฆสมาคม มหาเถรสมาคม มหาวนิ ยั ธร สงั ฆสมาคมจงั หวดั มหาคณิสสร วนิ ยั ธรจงั หวดั กองงาน ภาค จงั หวดั อำ� เภอ ตำ� บล วดั คกก.อปุ ถมั ภแ์ ละคมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนา สำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ กองทนุ พระพทุ ธศาสนา ภาพท่ี ๑๐.๑๙ โครงสรา้ งของการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต81 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอาณาจกั รกบั ศาสนจกั ร พระพทุ ธศาสนาไดก้ ลายเป็นศาสนาทส่ี ำ� คญั ศาสนาหน่ึง ในแถบเอเชยี ความชอบธรรมในสงั คม เท่าทป่ี รากฏตามหลกั การในทางพระพทุ ธศาสนา ผูป้ กครองบา้ นเมอื ง ตอ้ งมที ศพธิ ราชธรรมในการปกครองบา้ นเมอื ง มลี กั ษณะการสนบั สนุนส่งเสรมิ ดว้ ยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ ดยี วกนั คอื 81 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง, หนา้ ๒๓๒. 10. - 10 (314-381).indd 374 5/10/2022 1:00:19 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 375 การนำ� สนั ตสิ ุขมาสู่สงั คม เพอ่ื ใหส้ งั คมดำ� รงอยู่ร่วมกนั อย่างสงบสุข ซง่ึ ฝ่ายอาณาจกั ร จะอปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครอง พระพทุ ธศาสนาอย่างเป็นระบบ ปกป้องคุม้ ครองพระธรรมวนิ ยั และสาระสำ� คญั อ่นื ของพระพทุ ธศาสนาอย่าง เคร่งครดั มใิ หถ้ กู บดิ เบอื นเลยี นแบบหรอื ละเมดิ ใหอ้ ปุ ถมั ภก์ ารบรหิ ารการคณะสงฆ์ ตามหลกั ทศพศิ ราชธรรม ทงั้ ในดา้ นการงบประมาณ และอน่ื ๆ เพอ่ื ใหเ้กดิ ความปลอดภยั แก่คณะสงฆ์ โดยการปฏบิ ตั ธิ รรม และการปฏบิ ตั ิ ศาสนกจิ ส่งเสรมิ เครอื ขา่ ยองคก์ ารพทุ ธศาสนิกชน ใหม้ คี วามเขม้ แขง็ และมสี ่วนร่วมในการอปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครอง พระพทุ ธศาสนา ส่งเสริมใหม้ กี ารเรียนการสอนพระพทุ ธศาสนาของกระทรวงศึกษาธิการ ในระบบการศึกษา ของชาติ สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหห้ น่วยงานของภาครฐั ซง่ึ มหี นา้ ทโ่ี ดยตรงในการอปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธ- ศาสนา ทำ� หนา้ ทไ่ี ดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล การตง้ั กองทนุ พระพทุ ธศาสนาและพฒั นาเป็นสถาบนั การเงนิ เพอ่ื การอปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา การทำ� นุบำ� รุงศาสนสถาน และศาสนวตั ถใุ หอ้ ยู่ในสภาพ ทน่ี ่าเลอ่ื มใสศรทั ธา ส่งเสรมิ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนทกุ หมเู่ หลา่ มโี อกาสเดนิ ทางไปนมสั การ ณ สงั เวชนียสถานแดน พทุ ธภมู ิ ประเทศอนิ เดยี โดยใหภ้ าครฐั เป็นผูใ้ หก้ ารสนบั สนุน คณะกรรมการอุปถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา โดยใหว้ างนโยบายและกำ� หนดแนวทางอุปถมั ภ์ และคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา ส่งเสริมและสนบั สนุนการบริหารงานคณะสงฆต์ ามกฎหมายว่าดว้ ยคณะสงฆ์ อย่างเคร่งครดั กำ� กบั ดูแลประเมนิ ผลการดำ� เนินงานของสำ� นกั พระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ใหม้ สี ำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ เพอ่ื ทำ� หนา้ ทส่ี นองงานของสมเดจ็ พระสงั ฆราช มหาเถรสมาคม และองคก์ รอ่ืน ๆ ของคณะสงฆต์ ามกฎหมายว่าดว้ ยคณะสงฆ์ ดำ� เนินการเพ่อื ใหไ้ ดง้ บประมาณสนบั สนุน การบริหารงานคณะสงฆ์ ตามกฎหมายว่าดว้ ยคณะสงฆ์ ดำ� เนินการเพ่อื ใหไ้ ดง้ บประมาณเพ่อื การอุปถมั ภ์ และคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา จดั ทำ� และปฏบิ ตั ิตามแผนและโครงการ อุปถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา อำ� นวยความสะดวกดา้ นธุรการ การเงนิ และดา้ นอ่นื ๆ สำ� หรบั การบริหารงานคณะสงฆต์ ามกฎหมายว่าดว้ ย คณะสงฆด์ ำ� เนนิ การเก่ยี วกบั งานพระราชพธิ ี งานพระราชกศุ ล และงานรฐั พธิ ี กำ� กบั ดูแลการบรหิ ารจดั การกองทนุ พระพทุ ธศาสนา ส่งเสริมใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนทกุ หม่เู หลา่ มสี ่วนร่วมในการอปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา และนำ� พทุ ธธรรมไปแกป้ ญั หาและเพม่ิ คุณภาพชวี ติ ของประชาชน สรุปทา้ ยบท การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พทุ ธกาลนน้ั แบง่ ออกเป็น ๓ ระยะ คอื ระยะแรก พระพทุ ธเจา้ ทรงปกครอง ดว้ ยพระองคเ์ อง ระยะทส่ี อง ทรงมอบอำ� นาจใหพ้ ระสาวกทเ่ี ป็นพระเถระผูเ้ป็นอปุ ชั ฌายป์ กครองดูแลตกั เตอื น ศิษยข์ องตนเอง ภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั โดยมพี ระพทุ ธองคท์ รงเป็นประธาน และระยะสุดทา้ ย ทรงมอบอำ� นาจให้ คณะสงฆด์ ูแลกนั เองภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั โดยมพี ระพทุ ธองคท์ รงเป็นประธาน 10. - 10 (314-381).indd 375 5/10/2022 1:00:19 PM
376 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา การปกครองในสมยั พุทธกาล ในระยะเร่ิมตน้ พระพุทธเจา้ เป็นผูด้ ูแลทงั้ หมดตง้ั แต่การบวชดว้ ยวธิ ี เอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทา การรบั ไตรสรณะคมน์ ปญั หาพยากรณอุปสมั ปทา ทูเตนอุปสมั ปทา รวมถงึ การบวชท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงบวชใหเ้อง ทกุ ประเภทอนุโลมเขา้ ในการบวชดว้ ยเอหภิ กิ ขอุ ปุ สมปทาทง้ั หมด ต่อมาการบวชดว้ ย ติสรณคมนูปสมั ปทา ทรงอนุญาตใหพ้ ระสาวกดำ� เนินการ และการบวชท่มี อบใหพ้ ระสงฆเ์ ป็นใหญ่ในการให้ การอปุ สมบทคอื ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา อนั เป็นการบวชแบบเดยี วทย่ี งั ใชก้ นั มาจนถงึ ปจั จบุ นั อน่งึ เมอ่ื มผี ูบ้ วชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนามากข้นึ กต็ อ้ งมกี ฎระเบยี บขอ้ บงั คบั เพอ่ื ความเรยี บรอ้ ยของสงฆ์ พระสารบี ตุ รจงึ ทูลขอใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท แต่พระองคท์ รงปฏเิ สธ ต่อเมอ่ื เกดิ ความไมด่ ไี มง่ ามข้นึ ในสงฆ์ จงึ มกี ารบญั ญตั สิ กิ ขาบทข้นึ คอื พระธรรมวนิ ยั ต่อมากไ็ ดเ้ป็นรูปแบบการปกครองของสงฆต์ ง้ั แต่ตน้ จนถงึ ปจั จบุ นั โดยไมม่ ใี ครเป็นผูป้ กครองสงฆแ์ ทนพระองคแ์ ต่ใชพ้ ระธรรมวนิ ยั เป็นศาสดาแทน สำ� หรบั การปกครองคณะสงฆไ์ ทย มคี วามแตกต่างจากการปกครองในสมยั พทุ ธกาล เพราะมกี ารออก กฎระเบยี บคำ� สงั่ ต่าง ๆ อนุวตั รหรือคลอ้ ยตามการปกครองฝ่ายอาณาจกั ร คณะสงฆไ์ ดป้ กครองโดยอาศยั พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ ๒ ฉบบั คอื พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ และ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในยุครฐั บาลจอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ และภายหลงั มกี ารปรบั ปรุงแกไ้ ขเพม่ิ เป็นพระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชกำ� หนดแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ การปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั ตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ทำ� ใหม้ องเหน็ ภาพ รูปแบบการปกครองไดจ้ ดั เจนว่า สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงดำ� รงตำ� แหน่งสองตำ� แหน่ง คือ ตำ� แหน่งสกลมหา- สงั ฆปรณิ ายก ทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ และตราพระบญั ชาสมเดจ็ พระสงั ฆราช โดยไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย พระธรรมวนิ ยั และกฎมหาเถรสมาคม และทรงดำ� รงตำ� แหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมการออกกฎ มหาเถรสมาคม ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั คำ� สงั่ เป็นตน้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอาณาจกั รกบั ศาสนจกั ร เป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงฆ์ ผูป้ กครอง และประชาชน เป็นความสมั พนั ธส์ ามเสา้ ทม่ี คี วามสำ� คญั อย่างยง่ิ ต่อพทุ ธศาสนา แมว้ า่ ในอดตี พระสงฆจ์ ะอยู่ไดด้ ว้ ยการอปุ ถมั ภ์ ของประชาชนเป็นหลกั แต่พทุ ธศาสนาก็เหน็ ความสำ� คญั ของผูป้ กครองในฐานเป็นปจั จยั ใหเ้กดิ สภาพแวดลอ้ ม ทเ่ี อ้อื อำ� นวยต่อชวี ติ ทด่ี งี ามตามหลกั ธรรม รูปแบบและกลไกระบบการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต และการมพี ระราชบญั ญตั ิอุปถมั ภแ์ ละ คุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา กเ็ พอ่ื เทดิ ทูนสมเดจ็ พระสงั ฆราชใหท้ รงอยู่ในฐานะเป็นทส่ี กั การบูชาผูใ้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ พรอ้ มจะยกฐานะมหาเถรสมาคมเป็นคณะท่ปี รึกษาองคส์ มเด็จพระสงั ฆราชใหอ้ ยู่ในฐานะพระมหาเถระเป็นผู ้ รตั ตญั ญู แต่ยงั มอี ำ� นาจในการควบคุม กำ� กบั ดูแลบรหิ ารคณะสงฆโ์ ดยใหม้ มี หาสงั ฆสมาคมเป็นทป่ี ระชมุ สงฆ์ จากทวั่ ประเทศมหี นา้ ท่อี อกสงั ฆาณตั ิ เพ่อื กำ� หนดแนวทางการบริหารงานคณะสงฆต์ ามพระธรรมวนิ ยั อย่าง เคร่งครดั ดว้ ยการใหม้ มี หาคณิสสร เป็นฝ่ายบรหิ าร มหี นา้ ทบ่ี รหิ ารงานคณะสงฆใ์ หเ้ป็นไปตามสงั ฆาณตั เิ นน้ การ 10. - 10 (314-381).indd 376 5/10/2022 1:00:20 PM
บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย 377 บรหิ ารเป็นรายกองงานครอบคลมุ กจิ การของคณะสงฆท์ กุ ดา้ น ทงั้ ในและต่างประเทศ และจดั ตงั้ ใหม้ มี หาวนิ ยั ธร เป็นฝ่ายศาล มหี นา้ ทพ่ี จิ ารณาวนิ จิ ฉยั อธกิ รณแ์ ละนคิ หกรรมตามหลกั พระธรรมวนิ ยั อยา่ งเคร่งครดั โดยปราศจาก การแทรกแซงในทกุ องคก์ ร พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆฉ์ บบั ปรบั ปรุงใหมแ่ ละการตราพระราชบญั ญตั อิ ปุ ถมั ภค์ มุ้ ครองพระพทุ ธศาสนา ทงั้ สองฉบบั น้ี มกี ารจดั วางรูปแบบทศิ ทางการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต และระบบโครงสรา้ งการปกครอง คณะสงฆไ์ ทยในอนาคต พรอ้ มกำ� หนดสถานะความสมั พนั ธร์ ะหว่างรฐั กบั ทศิ ทางการปกครองคณะสงฆไ์ ทย ในอนาคตดงั กลา่ ว ดงั นน้ั ทศิ ทางการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต มคี วามจำ� เป็นตอ้ งปรบั ปรุงพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ ฉบบั ใหม่และใหร้ ฐั ตราพระราชบญั ญตั อิ ปุ ถมั ภแ์ ละคุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา กอรปกบั ออกกฎหมายประกอบ พระราชบญั ญตั แิ นวทางการอปุ ถมั ภค์ ุม้ ครองพระพทุ ธศาสนา กฎหมายกำ� หนดมาตรการใหช้ ดั เจนข้นึ มารองรบั เพอ่ื ใหร้ ฐั บาลอปุ ถมั ภค์ ุม้ ครองพระพทุ ธศาสนาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การคุม้ ครองหลกั พระธรรม วนิ ยั และสาระสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนามใิ หถ้ กู บดิ เบอื นเลยี นแบบหรอื ละเมดิ ใหร้ ฐั บาลอปุ ถมั ภก์ ารบรหิ าร การคณะสงฆท์ งั้ ในดา้ นงบประมาณ บุคลากรและอ่ืนๆ จดั ใหม้ กี ารปรบั ปรุงแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ ฉบบั ใหม่ เพ่อื เสริมสรา้ งพลงั เขม้ แขง็ และใหม้ คี วามกระตือรือรน้ ในการบริหารการคณะสงฆ์ การศึกษาของ คณะสงฆท์ เ่ี ขม้ แขง็ ในอนาคต เพม่ิ ประสทิ ธิภาพต่อการฝึกฝนอบรมพระภกิ ษุและสามเณรใหเ้ป็นศาสนทายาท ท่มี คี ุณภาพ มปี ฏปิ ทางดงาม น่าเลอ่ื มใสศรทั ธา และหมนั่ เจริญในศีล สมาธิ ปญั ญา เสริมสรา้ งจริยธรรม ศีลธรรมและคณุ ธรรมใหก้ บั สงั คมแบบพทุ ธโดยรวมในอนาคตต่อไป 10. - 10 (314-381).indd 377 5/10/2022 1:00:20 PM
คำ� ถามทา้ ยบท คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๑ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ ทำ� ทกุ ขอ้ ดงั น้ี ๑. จงอธบิ ายลกั ษณะการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พทุ ธกาลวา่ มอี ย่างไร อะไรบา้ ง ๒. จงอธบิ ายจดุ ประสงคห์ รอื เจตนารมณใ์ นการบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ วา่ พระองคท์ รงมงุ่ หวงั อะไร จงึ บญั ญตั พิ ระวนิ ยั ๓. จงอธบิ ายลกั ษณะการปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั หลงั พทุ ธกาลวา่ มอี ย่างไร อะไรบา้ ง ๔. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั สุโขทยั มรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๕. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั อยุธยามรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๖. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั ธนบรุ มี รี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๗. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๑ และ ๒ มรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๘. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๕ และ ๖ มรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๙. การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั รชั การท่ี ๗ และ ๘ มรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย ๑๐. ท่านคดิ วา่ ทศิ ทางและโนม้ การปกครองคณะสงฆใ์ นอนาคตมรี ูปแบบอย่างไร และมโี ครงสรา้ งอย่างไร จงอธบิ าย คำ� ช้ีแจง ตอนท่ี ๒ : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบปรนยั มีทง้ั หมด ๑๐ ขอ้ ใหน้ ิสติ เลอื กกากบาท X ทบั ในขอ้ ท่ี ถกู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดียว ดงั น้ี ๑. อยากทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั ปกครองแลว้ มชี ่อื วา่ อย่างไร ก. พระสมณโคดม ข. พระธรรมราชา ค. พระโลกเชฏฐ์ ง. พระโลกบาล ๒. คำ� วา่ “สงฆ์ ๔ รูป” ถา้ กลา่ วตามภาษาบาลขี อ้ ใดกลา่ วไดถ้ กู ตอ้ ง ก. สงฆจ์ ตวุ รรค ข. สงฆป์ ญั จวรรค ค. สงฆท์ สวรรค ง. สงฆว์ สี ตวิ รรค ๓. พระเถระรูปใด ไดช้ อ่ื วา่ เป็น “ธรรมเสนาบด”ี ก. พระอานนท์ ข. พระโมคคลั ลานะ ค. พระสารบี ตุ ร ง. พระมหากสั สปะ ๔. การปกครองคณะสงฆใ์ นยุคใด ท่จี ดั ไดว้ ่า ส่วนใหญ่แลว้ เป็นการปกครองต่างหากข้นึ อยู่กบั แต่ละสำ� นกั เป็นแบบปกครองดูแลกนั เองเป็นส่วนใหญ่ ก. ในสมยั สุโขทยั ข. ในสมยั อยุธยา ค. ในสมยั ธนบรุ ี ง. ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ น้ ตน้ 10. - 10 (314-381).indd 378 5/10/2022 1:00:20 PM
379 ๕. ตำ� แหน่งพระครูหวั เมอื ง มขี ้นึ ครงั้ แรกในสมยั ใด ก. ในสมยั สุโขทยั ข. ในสมยั อยุธยา ค. ในสมยั ธนบรุ ี ง. ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ น้ ตน้ ๖. คณะสงฆป์ ่าแกว้ เกดิ ข้นึ ในสมยั ใด ก. ในสมยั สุโขทยั ข. ในสมยั อยุธยา ค. ในสมยั ธนบรุ ี ง. ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ น้ ตน้ ๗. คำ� วา่ “คณะสงฆฝ์ ่ายเหนือ และ คณะสงฆฝ์ ่ายใต”้ เกดิ ข้นึ ครง้ั แรกในสมยั ใด ก. ในสมยั สุโขทยั ข. ในสมยั อยุธยา ค. ในสมยั ธนบรุ ี ง. ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ น้ ตน้ ๘. คำ� วา่ “เขตปกครองมณฑลพษิ ณุโลก” มปี รากฏในยุคการปกครองคณะสงฆ์ ในรชั สมยั ใด ก. รชั การท่ี ๕ ข. รชั กาลท่ี ๖ ค. รชั กาลท่ี ๗ ง. รชั กาลท่ี ๘ ๙. พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) กำ� เนิดข้นึ ในรชั กาลใด ก. รชั การท่ี ๓ ข. รชั กาลท่ี ๔ ค. รชั กาลท่ี ๕ ง. รชั กาลท่ี ๕ ๑๐. คำ� วา่ “คณะสงั ฆมนต”ี และ “สงั ฆสภา” มปี รากฏในรชั กาลใด ก. รชั การท่ี ๕ ข. รชั กาลท่ี ๖ ค. รชั กาลท่ี ๗ ง. รชั กาลท่ี ๘ 10. - 10 (314-381).indd 379 5/10/2022 1:00:20 PM
เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท กฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๑. คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง. กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖. คะนึงนิตย์ จนั ทบุตร. การเคล่ือนไหวของยุวสงฆไ์ ทยรุ่นแรก พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๔. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๒๘. เฉลมิ พล โสมอินทร.์ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาและการปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพมหานคร : สูตรไพศาล, ๒๕๔๖. แถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ๒. พระนคร : โรงพมิ พก์ รุงเทพฯ เดลเิ มล,์ ๒๔๕๗. ดนยั ไชยโยธา. การเมืองการปกครองของไทย. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๘. พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ. ตำ� นานคณะสงฆ.์ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒ- ธากร, ๒๔๖๖. พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบณั ฑติ . พจนานุกรมเพ่อื การศึกษาพทุ ธศาสน์ ชุดคำ� วดั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเชยี ง, ๒๕๕๖. พระธรรมปรยิ ตั โิ สภณ (วรวทิ ย์ คงคฺ ปญฺโญ). การพฒั นาพระสงั ฆาธกิ าร ภาค ๒ ภาคการปฏบิ ตั กิ าร. กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พระไตรปิฎก สง่ิ ท่ชี าวพทุ ธตอ้ งรู.้ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๙. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั พมิ พส์ วย จำ� กดั , ๒๕๔๙. . พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ (ช�ำระ- เพม่ิ เตมิ ช่วงท่ี ๑). พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต). ระเบยี บการปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓. . การปกครองพระสงฆไ์ ทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๙. กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ พิ ทุ ธธรรม, ๒๕๓๙. พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ิตาโณ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : ศิวพร, ๒๕๒๘. พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี มหาจฬุ าเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๐๐. 10. - 10 (314-381).indd 380 5/10/2022 1:00:20 PM
381 . พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย และลกั ษณะการปกครองคณะสงฆไ์ ทย โดยสงั เขป. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๑. เสนาะ ผดงุ ฉตั ร. เอกสารประกอบการสอน ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั พระไตรปิฎก. กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙. แสวง อดุ มศร.ี การปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙. สมบูรณ์ สุขสำ� ราญ. พทุ ธศาสนากบั การเปลย่ี นแปลงทางการเมืองและสงั คม. กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗. สมศกั ด์ิ บญุ ปู่. พระสงฆก์ บั การศึกษาไทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗. สุทธวิ งศ์ ตนั ตยาพศิ าลสุทธ์.ิ ศาสนาประจำ� ชาต.ิ กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั งานส่งเสรมิ คุณธรรม จรยิ ธรรม, ๒๕๕๒. สุรพล สุยะพรหม. การเมืองกบั การปกครองของไทย. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าบรรณาคาร, ๒๕๔๘. อธั ยา โกมลกาญจน. พระพทุ ธศาสนาบนแผ่นดินไทย. กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น,์ ๒๕๔๕. ราชกจิ จานุเบกษา. พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๑๕๖๑. [ออนไลน]์ . แหลง่ ทม่ี า : https://shorturl. asia/UN32b [๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔]. 10. - 10 (314-381).indd 381 5/10/2022 1:00:20 PM
เฉลยคำ� ถามปรนยั ทา้ ยบททง้ั ๑๐ บท บทท่ี ๑ ๑. ก ๒. ข ๓. ค ๔. ง ๕. ง ๖. ก ๗. ข ๘. ค ๙. ง ๑๐. ง บทท่ี ๒ ๑. ก ๒. ค ๓. ข ๔. ง ๕. ก ๖. ง ๗. ค ๘. ค ๙. ง ๑๐. ค บทท่ี ๓ ๑. ค ๒. ข ๓. ง ๔. ก ๕. ข ๖. ข ๗. ก ๘. ค ๙. ง ๑๐. ค บทท่ี ๔ ๑. ข ๒. ง ๓. ก ๔. ง ๕. ก ๖. ข ๗. ข ๘. ก ๙. ง ๑๐. ง บทท่ี ๕ ๑. ง ๒. ข ๓. ค ๔. ง ๕. ง ๖. ก ๗. ข ๘. ค ๙. ง ๑๐. ง ๑๑. ก ๑๒. ข บทท่ี ๖ ๑. ง ๒. ก ๓. ค ๔. ข ๕. ค ๖. ก ๗. ง ๘. ข ๙. ค ๑๐. ง บทท่ี ๗ ๑. ง ๒. ข ๓. ง ๔. ข ๕. ข ๖. ค ๗. ข ๘. ค ๙. ข ๑๐. ค บทท่ี ๘ ๑. ก ๒. ข ๓. ค ๔. ง ๕. ง ๖. ก ๗. ข ๘. ค ๙. ง ๑๐. ง บทท่ี ๙ ๑. ข ๒. ข ๓. ค ๔. ข ๕. ข ๖. ก ๗. ข ๘. ค ๙. ก ๑๐. ข บทท่ี ๑๐ ๑. ข ๒. ก ๓. ค ๔. ก ๕. ก ๖. ข ๗. ค ๘. ค ๙. ค ๑๐. ง 11. (382---).indd 382 5/10/2022 1:00:37 PM
บรรณานุกรม กรมการศาสนา. ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาแหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, พ.ศ. ๒๕๒๕. กรมศิลปากร. กฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๑. . จารกึ สมยั สโุ ขทยั , กรุงเทพมหานคร, กองวรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ กรุณา–เรอื งอไุ ร กศุ ลาลยั .อโศกมหาราช และขอ้ เขียนคนละเร่อื งเดียวกนั . พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พส์ ยาม, ๒๕๓๘. กองวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นีย. ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นยี , ๒๕๕๐. เกษมสุข ภมรสถติ . พทุ ธศาสนา พทุ ธปรชั ญา เถรวาท มหายานและหนิ ยาน. กรุงเทพมหานคร : Homemade Pocket Book , ๒๕๔๑. แกว้ ชดิ ตะขบ. ประวตั ิความสำ� คญั ของการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ ำ� นกั งาน พระพทุ ธศาสนาแห่งชาต,ิ ๒๕๕๓. คณะกรรมการจดั พมิ พห์ นงั สอื , กฎบตั รสมชั ชาพทุ ธศาสนาแหง่ โลก, การประชมุ สดุ ยอดผูช้ าวพทุ ธเพอ่ื การเผยแผ่ พทุ ธศาสนาแห่งโลก ครงั้ ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓. คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . การปกครองคณะสงฆไ์ ทย ฉบบั ปรบั ปรุง. กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖. . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรงุ . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. . ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. . พระพทุ ธศาสนาเถรวาท. พระนครศรอี ยุธยา: มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. คนงึ นติ ย์ จนั ทบตุ ร. สถานะและบทบาทของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย.กรุงเทพมหานคร : หจก.ภาพพมิ พ,์ ๒๕๓๒. คะนึงนิตย์ จนั ทบุตร. การเคล่ือนไหวของยุวสงฆไ์ ทยรุ่นแรก พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๔. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๒๘. จำ� นงค์ ทองประเสริฐ (ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ) ราชบณั ฑติ . ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนย,์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั สหธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๕๔. 11. (382---).indd 383 5/10/2022 1:00:37 PM
384 จติ ร ภมู ศิ กั ด์.ิ ตำ� นานแหง่ นครวดั , พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พอ์ มรนิ ทร,์ ๒๕๕๔ จนิ ดา จนั ทรแ์ กว้ . ศาสนาปจั จุบนั . กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. . องคก์ รสงฆใ์ นปจั จุบนั . กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. เจน โฮป. สายธรรมพระพทุ ธเจา้ . แปลโดย ภทั รารตั น์ สุวรรณวฒั นา. กรุงเทพมหานคร : โครงการสรรพสน์ สำ� นกั พมิ พม์ ลู นิธเิ ดก็ , ๒๕๕๓. ฉตั รสุมาลย์ กบลิ สงิ ห.์ พระพทุ ธศาสนาในประเทศเพอ่ื นบา้ น. กรุงเทพมหานคร : เรอื นแกว้ การพมิ พ,์ ๒๕๒๖. เฉลมิ เขอ่ื นทองหลาง. ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒. นครราชสมี า : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครราชสมี า, ๒๕๔๕. (อดั สำ� เนา) . เอกสารแบบบรรยาย ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๑. นครราชสมี า : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครราชสมี า, ๒๕๔๕. (อดั สำ� เนา) เฉลมิ พล โสมอินทร.์ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาและการปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพมหานคร : สูตรไพศาล, ๒๕๔๖. ชลสิ า เดซูช่า. ภฎู านหบุ เขาแหง่ ความฝนั . กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทรพ์ ร้นิ ต้งิ แอนดพ์ บั ลง่ิ ซง่ิ , ๒๕๔๙. ดนยั ไชยโยธา. การเมืองการปกครองของไทย. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๘. แถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ๒. พระนคร : โรงพมิ พก์ รุงเทพมหานคร เดลเิ มล,์ ๒๔๕๗. ทววี ฒั น์ ปณุ ฑรกิ ววิ ฒั น.์ พทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมืองในอษุ าคเนย.์ ใน สุเจน กรรพฤทธ์แิ ละสทิ ธา เทพประวณิ จนั ทรแ์ รง. พระพทุ ธศาสนาเถรวาท. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม,่ ๒๕๖๓. นวม สงวนทรพั ย.์ เมธตี ะวนั ตกชาวพทุ ธ เลม่ ๑. กรุงเทพมหานคร: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔. นิตยสารอกั ษรสาร ฉบบั เดือนมกราคม ๒๕๕๒. บรรจบ บรรณรุจ.ิ หนงั สอื ภาพประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ พรอ้ มคำ� บรรยาย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พธ์ รรมสภา, ม.ป.ป.. ประยงค์ แสนบรุ าณ. พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๙. ประยูร ป้อมสุวรรณ์. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระพทุ ธศาสนาในโลกปจั จุบนั . กรุงเทพมหานคร : วทิ ยาลยั พทุ ธศาสตรแ์ ละปรชั ญา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร, ๒๕๕๔. ปรานี วงษเ์ ทศ. สงั คมและวฒั นธรรมในอษุ าคเนย.์ กรุงเทพมหานคร : ศิลปวฒั นธรรม, ๒๕๔๓. ปิยนาถ (นิโครธา) บนุ นาค. ประวตั ศิ าสตรแ์ ละอารยธรรมของศรลี งั กา สมยั โบราณถงึ กอ่ นสมยั อาณานิคมและ ความสมั พนั ธท์ างวฒั นธรรมระหวา่ งศรลี งั กากบั ไทย. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔. 11. (382---).indd 384 5/10/2022 1:00:37 PM
385 ฝ่ายวชิ าการ พบี ซี .ี ทวปี เอเชีย. กรุงเทพ : พบิ ซี ,ี ๒๕๕๒. พนติ า องั จนั ทรเ์ พญ็ . มนตข์ ลงั ลงั กา. กรุงเทพมหานคร : โอเอสปร้นิ ต้งิ เฮา้ ส.์ ม.ป.ป. พระกววี รญาณ (จำ� นง ทองประเสรฐิ ชตุ นิ ฺธโร). ประสบการณ์รอบโลก. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔ พระนครศรอี ยุธยา : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๒. พระครูกลั ยาณสทิ ธวิ ฒั น์ (สมาน พรหมอยู่/กลฺยาณธมโฺ ม). พระพทุ ธประวตั ติ ามแนวปฐมสมโพธ.ิ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ หธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๔๖. . เอตทคั คะในพระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ บรษิ ทั สหธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๔๔. พระครูปรยิ ตั กิ ติ ตธิ รรมวงศ.์ เอกสารการสอน พระพทุ ธศาสนาในโลกปจั จบุ นั . ขอนแก่น : เอม็ ม่ี กอ๊ ปป้ีเซน็ เตอร์ (Emmy Copy Center), ๒๕๖๐. พระครูปรยิ ตั กิ ติ ตธิ ำ� รง, รศ.ดร.(ทองขาว กติ ตฺ ธิ โร). พฒั นาการพระพทุ ธศาสนาเพอ่ื สงั คม. โรงพมิ พจ์ รลั สนทิ วงศ์ การพมิ พ.์ กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๖๓. . พฒั นาพระพุทธศาสนากบั การพฒั นาสงั คม. โรงพิมพจ์ รลั สนิทวงศ์การพิมพ.์ กรุงเทพ- มหานคร : ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๖๓. พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ. ตำ� นานคณะสงฆ.์ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ โสภณพพิ รรฒ- ธากร, ๒๔๖๖. พระเทพดลิ ก (ระบบ ติ าโณ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ - ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘. พระเทพเวที (ประกอบ ธมมฺ เสฎโฺ ฐ). พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆแ์ ละกฎมหาเถรสมาคม. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พบ์ รษิ ทั สหธรรมกิ จำ� กดั , ๒๕๔๑. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยฺตฺโต). พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑. พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต). วสิ าขบูชาวนั สำ� คญั สากลของโลก. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗. พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบณั ฑติ . พจนานุกรมเพ่อื การศึกษาพทุ ธศาสน์ ชุดคำ� วดั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเชยี ง, ๒๕๕๖. พระธรรมปรยิ ตั โิ สภณ (วรวทิ ย์ คงคฺ ปญฺโญ). การพฒั นาพระสงั ฆาธกิ าร ภาค ๒ ภาคการปฏบิ ตั กิ าร. กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจำ� ชาต.ิ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๐. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๔๓. 11. (382---).indd 385 5/10/2022 1:00:37 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421