เรอ่ื งทค่ี ณะกรรมาธกิ าร พิจารณาเสร็จแล้ว ครง้ั ที่ 7-8 (สมยั สามัญประจาปีครั้งที่สอง) วันที่ 2-3 ธันวาคม 2563
รายงานการพิจารณาศกึ ษา เรือ่ ง “แนวทางการแก้ไขปญั หาการละเมดิ สิทธิมนษุ ยชน และการลอบประทุษรา้ ยประชาชน” ของ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั พิจารณาศึกษาและแกไ้ ขปัญหา การละเมิดสทิ ธมิ นุษยชน และการลอบประทษุ ร้ายประชาชน สภาผแู้ ทนราษฎร กลมุ่ งานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุตธิ รรมและสิทธิมนษุ ยชน สานกั กรรมาธิการ ๒ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร
ก คานา ตามท่ที ่ปี ระชมุ สภาผู้แทนราษฎร ชดุ ท่ี ๒๕ ปีท่ี ๑ คร้ังที่ ๑๓ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังท่ีสอง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ได้พิจารณาญัตติด่วน เร่ือง ขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพ่ือตรวจสอบและศึกษา ติดตามการทางานของหน่วยงานภาครัฐ ต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและ ถูกประทุษร้ายของประชาชน (นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร แต่งต้งั คณะกรรมาธิการวิสามญั เพ่ือศึกษาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้มาใช้สิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ (นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญเพ่ือสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการลอบประทุษร้ายนักกิจกรรมทางการเมือง (นายปิยบุตร แสงกนกกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ญัติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงในการดาเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐท่ีเก่ียวข้อง กรณีประชาชนที่ถูกทาร้าย และสูญหาย (นายอันวาร์ สาและ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการ วิสามัญเพ่ือพิจารณาและศึกษาการสูญหาย ตาย บาดเจ็บ เนื่องจาก สันนิษฐานว่าเกิดจากการกระทาของ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ (นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาและยุติการใช้ความรุนแรง ในสังคมทุกรูปแบบ (นางผ่องศรี แซ่จึง และนางมุกดา พงษ์สมบัติ เป็นผู้ เสนอ) ญัตติ เรื่อง ขอให้ สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการดาเนินการของเจ้าหน้าที่ท่ีส่งผล กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นายนิรามาน สุไลมาน เป็นผู้เสนอ) ญัตติ เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเขตการปกครองพิเศษพื้นท่ี จังหวัดชายแดนใต้ (นายสัญหพจน์ สุขศรีเมือง เป็นผู้เสนอ) และญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตง้ั คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญพจิ ารณากาหนดหลักเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการบังคับใช้พระราชกาหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อประกอบการพิจารณาการบังคับใช้หรือขอขยายระยะเวลา การบังคับใช้พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และกาหนดหลักเกณฑ์ การประเมนิ ผลการบงั คบั ใชพ้ ระราชบัญญตั กิ ฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ (นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ เป็นผู้เสนอ) และท่ีประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิด สิทธมิ นุษยชน และการลอบประทุษรา้ ยประชาชน เพื่อเพ่ือพิจารณาศึกษา นนั้ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้ายประชาชน ได้พิจารณาศึกษาญัตติดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถสรุป สาระสาคัญแห่งการแก้ปัญหาดังกล่าว ซ่ึงสามารถสังเคราะห์ได้ตามหลักการว่าด้วยกฎหมาย กระบวนการ ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน อันจะนามาซ่ึงการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การดูแลและปูองกัน ประชาชนถูกทาร้ายและสูญหาย การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การใช้กฎหมายพิเศษ และสถานการณ์สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ชาติพันธุ์ ตลอดจนการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีการละเมิดสิทธิ มนุษยชน และได้พิจารณาศึกษาเร่ืองดังกล่าวจากกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง รวมถึงได้เชิญ หน่วยงานต่าง ๆ มาให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาและได้รวบรวมความคิดเห็นข้อเสนอแนะ และข้อสังเกต คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงได้จัดทารายงานฉบับน้ี โดยจาแนกประเด็นท่ีสาคัญเพ่ือให้คณะรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาเพ่ือแก้ปัญหา ความเดือดรอ้ นของประชาชนไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริงและย่ังยนื ต่อไป โดยมรี ายละเอยี ดดังน้ี
ข ๑. การละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชน สิทธิมนุษยชน ถือเป็นหลักสากลท่ีประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสาคัญ ดังนั้น เมื่อประเทศไทยเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ และเคยเป็นประธานคณะมนตรี สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ ก็เท่ากับไทยได้เข้าไปร่วมรับผิดชอบการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนท่ัวโลกแล้ว โดยไทยจะต้องเป็นตัวอย่างของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และควรปฏิบัติตามคาม่ันด้านสิทธิมนุษยชนท่ีได้ให้ไว้ กับประชาคมโลกอย่างจริงจงั โดยไมส่ ามารถหลีกเลี่ยงได้ในฐานะสมาชิกที่มีความรับผิดชอบของสหประชาชาติ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั จึงมีขอ้ เสนอแนะและข้อสังเกตในแก้ปัญหาดงั กลา่ ว ดงั นี้ ๑.๑ กรณีความรนุ แรงและการละเมิดสิทธิมนษุ ยชนร้ายแรงจากความขัดแย้งทางการเมือง รฐั บาลควรปอู งกันมใิ หม้ ีการกระทารฐั ประหารในอนาคต และมีการปฏิรปู กระบวนการยตุ ธิ รรม ๑.๒ รัฐสภาควรพิจารณาดาเนินการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีบทบัญญัติให้การ รับรองข้อบทในอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี พร้อมทั้งบัญญัติให้ศาล รับรองข้อบทต่าง ๆ ตามอนุสัญญาฯ เพ่ือให้ประชาชนสามารถอ้างข้อบทตามอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ในศาลกรณีเกดิ การละเมดิ สทิ ธิเสรภี าพของประชาชน ๑.๓ กรณีการประทุษร้ายนักกิจกรรมทางการเมือง รัฐบาลต้องดาเนินการทุกวิถีทาง ในการอานวยความยุติธรรม เปิดเผยความจริง พร้อมรับผิดชอบ (accountability) และนาผู้กระทาผิด มาลงโทษตามกระบวนการยุตธิ รรมโดยไมเ่ ลือกปฏบิ ัติ ๑.๔ รัฐบาล และรัฐสภาควรดาเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ รวมถึงกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๖ เพื่อมิให้มีการนามา ฟอู งรอ้ งเพอื่ คกุ คามนกั สทิ ธิมนุษยชนและนกั กิจกรรมทางการเมือง และควรปรับปรุงพระราชบัญญัติการชุมนุม สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อบทที่ ๒๑ และควรนาความเห็นท่ัวไป ที่ ๓๗ (General Comment No. 37) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติมาใช้ในการคุ้มครองการชุมนมุ โดยสงบของประชาชน ๑.๕ รัฐบาลและรัฐสภา ควรเร่งรัดการตรากฎหมายว่าด้วยการทรมานและการบังคับ บุคคลใหส้ ญู หาย ท่ีสอดรับกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Person from Enforced Disappearance – ICPPED) และให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคน จากการหายสาบสญู โดยถูกบงั คบั ของสหประชาชาติ ๑.๖ กรณีพลเมืองไทยท่ีถูกบังคับสูญหายในต่างประเทศ เพ่ืออานวยความยุติธรรมให้แก่ ผเู้ สียหายและครอบครัว พนกั งานสอบสวนควรนาสง่ พยานหลักฐานทางคดีที่ปรากฏ โดยประสานความร่วมมือกับ สานักงานอัยการสูงสุด ตามหลักการช่วยเหลือคดีความทางอาญา (MLAT) ตามสนธิสัญญาว่าด้วย ความช่วยเหลอื ซึง่ กันและกันในเรื่องทางอาญาในภูมภิ าคอาเซียน ๑.๗ ให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรมเร่งกาหนดมาตรการแก้ไขปัญหา การใช้กระบวนการฟูองร้องดาเนินคดีเพ่ือตอบโต้การทางานของนักปกปูองสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม ด้านประชาธิปไตยและการเมือง หรือที่เรียกว่า “การดาเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วม ในกจิ การสาธารณะ (Strategic Lawsuits Against Public Participation - SLAPPs)” เพ่ือให้มีเกิดการแก้ไข กฎหมายเพ่ือปูองกนั ปญั หาการฟอู งคดโี ดยไม่สุจรติ หรอื เพ่อื กลั่นแกลง้ รวมถึงการใหม้ หี รือการบัญญัติกฎหมาย ฉบับใหมท่ ี่มีเนอ้ื หาในการเพือ่ ปอู งกนั การดาเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ
ค ของประชาชน (Anti – SLAPPs Law) และควรแก้ไขระเบียบกองทุนยุติธรรม ใหส้ อดคล้องกับรัฐธรรมนูญและ หลักสทิ ธิมนษุ ยชนสากล เพื่อให้ประชาชนเขา้ ถงึ ง่าย ๑.๘ รัฐบาลควรจัดอบรมให้ความรู้เก่ียวกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเป็นภาคีแก่เจ้าหน้าท่ีรัฐทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้มีความรู้ ความเขา้ ใจหลักสิทธิมนุษยชนสากล และเพ่อื ปูองกันมิใหม้ ีการละเมดิ สิทธเิ สรภี าพของประชาชน ๑.๙ สานักงานตารวจแห่งชาติ ควรจดั ให้มพี นกั งานสอบสวนหญิงท่ีเพยี งพอในทุกสถานีตารวจ และจัดให้มีสถานท่ีเฉพาะในการร้องเรียนและการสอบสวนด้านความรุนแรงท่ีเกี่ยวกับเพศสภาพ และควรจัด ให้มีการอบรมความรู้เก่ียวกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุ กรูปแบบ (International Convention on Elimination All form of Discrimination) รวมถึงเร่ืองเก่ียวกับ ความอ่อนไหวทางเพศสภาพ (gender sensitivity) ในโรงเรียนตารวจ และพนักงานสอบสวน มีการ ตรากฎหมายเพื่อเป็นการควบคมุ ดูแล ปัญหาต่าง ๆ ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ๑.๑๐ กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานหลักตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและ ครอบครัวและวธิ พี จิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ควรดาเนินการออกกฎกระทรวงเพ่ือรองรับ การดาเนินการนารูปแบบการทางานของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเด็กที่เคยก้าวพลาดในชีวิต เพ่ือปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของเด็ก ทเ่ี คยก่ออาชญากรรมใหส้ านกึ ผดิ และกลับตวั เปน็ ผ้ทู าประโยชน์ต่อประเทศชาติ ๑.๑๑ กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนท่ีเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ควรให้มีหน่วยงานกลาง ที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนร่วมในการสืบสวนสอบสวน รัฐสภาควรปรับปรุงรัฐธรรมนูญและ พระราชบัญญัติศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ กรณีท่ีพลเรือนเป็นผู้เสียหาย ควรอยู่ภายใต้อานาจศาลพลเรือน รวมไปถึงปรับปรงุ กฎหมายพเิ ศษต่าง ๆ ทีใ่ หอ้ านาจเจา้ หนา้ ทต่ี ้องโดยไมต่ อ้ งรบั ผิด ๑.๑๒ คณะรัฐมนตรีและกระทรวงยุติธรรม ควรยกร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดต้ัง ศาลสทิ ธิมนุษยชน แห่งประเทศไทย หรอื TCHR (Thailand Court on Human Rights) ข้ึนเพื่อเป็นการสร้าง หลกั ประกันสูงสุดในการที่ประชาชนพลเมอื งจะไดม้ ีหลกั ประกนั สมบูรณ์ในด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ให้เป็นศาลชานาญการพิเศษเฉพาะด้านสทิ ธเิ สรีภาพและสทิ ธิมนุษยชน ๑.๑๓ รัฐสภาควรตราพระราชบัญญัติการชดเชยและเยียวยากลาง กรณีผ้เู สยี หายจากการ ชุมนุมทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง พ.ศ. .... รวมไปถึงนาแนวคิดการเยียวยาท่ีไม่ใช่ ค่าสินไหมทดแทนมาใช้ เช่น การคืนศักดิ์ศรี การขอโทษสาธารณะ (public apology) การเยียวยา ทางกฎหมาย (judicial remedy) การสร้างสถานที่ราลึก (memorization) การปฏิรูปกฎหมาย หรือการ ปฏริ ูปหน่วยงานความมน่ั คง เป็นตน้ ๒. การบงั คับใช้กฎหมายความมนั่ คงในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นความ ขัดแย้งท่ีมีความทับซ้อนของสาเหตุปัญหาและสั่งสมมาเป็นเวลานานหลายปี ส่งผลให้ภาครัฐจาต้องใช้ มาตรการทางกฎหมายหรือกฎหมายพิเศษ เป็นเครื่องมือให้หน่วยงานของรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่และ แก้ปัญหาความมั่นคงในพ้ืนที่ได้ อย่างไรก็ตาม ผลของการบังคับใช้กฎหมายพิเศษกลับทาให้พบผู้เสียหายจาก กรณีการละเมิดสิทธิและการกระทาความรุนแรงอย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน จึงเป็นส่ิงที่สะท้อนให้เห็นว่าปมปัญหา ความขัดแย้งในพ้ืนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงมีข้อเสนอแนะ และขอ้ สงั เกตในแก้ปัญหาดังกล่าว ดังน้ี
ง ๒.๑ รัฐบาลควรทบทวนกฎหมายความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่บังคับใช้อยู่ใน ปัจจุบัน เช่น แยกกฎหมายความมั่นคงทางการเมือง ออกจากความม่ันคงหรือภัยสาธารณะในทางเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ พร้อมทั้งวางหลักนิติธรรมเป็นมาตรฐานกากับระบบกฎหมายความม่ันคงทั้งระบบไว้ใน รัฐธรรมนูญ การปรับปรุงระบบกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญ และการปรับปรุงระบบกฎหมายในระดับ พระราชบัญญตั ิ ๒.๒ รัฐบาลควรทบทวนการบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงตามหลักการสากล เช่น พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ และพระราชบญั ญัติการรักษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๓ รัฐสภาควรมีบทบาทสาคัญในการประกาศและกากับดูแลสถานการณ์ฉุกเฉิน และพฤติการณ์ที่นาไปสู่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานภาวะฉุกเฉินท่ี “คุกคาม ความอย่รู อดของชาติ” ตามท่กี าหนดไว้ใน ICCPR และหลกั สากล ๓. กฎหมายกลางเร่อื งการเยยี วยาผู้เสียหายจากกรณกี ารละเมดิ สิทธิมนษุ ยชน เพื่อให้เกิดมาตรการหรือมาตรฐานสากลของการคุ้มครองผู้เสียหายกรณีมีการละเมิด สิทธิมนุษยชนท้ังผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและที่เกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจูงใจ ทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันประชาชนผู้ตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาที่อาจมี แรงจูงใจทางการเมืองจึงไม่อาจได้รับการช่วยเหลือประการใดจากภาครัฐ เพราะยังไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีอาญา ดงั น้ัน ขอบเขตความเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายไทยยังไม่อาจทาให้ผู้เสียหายในอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นโดยตรง หรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจทางการเมืองได้รับการคุ้มครองสิทธิได้ คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงมีข้อเสนอแนะ และขอ้ สังเกตในแกป้ ัญหาดงั กล่าว ดังนี้ - คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาควรมีการตรากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติเพ่ือคุ้มครอง ผู้ได้รับความเสียหายกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นการเฉพาะ โดยการตรากฎหมายกลางเพื่อการ เยียวยาผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ต้องมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้การดาเนินการเยียวยา และฟื้นฟูบุคคล สังคม องค์กร และสถาบันที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงท้ังในระยะสั้น และระยะยาว เป็นไปตามแนวทางความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และความยุติธรรมทางสังคม เพ่ือส่งเสริม ใหเ้ กดิ ความปรองดองและปูองกันมใิ ห้เกิดความรนุ แรงและ ความสูญเสียข้ึนอีกในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมน้ัน การดาเนินการเยยี วยาและฟ้นื ฟู บคุ คล สังคม องค์กรและสถาบันทไี่ ด้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ท้ังในระยะสั้นและ ระยะยาว ตามแนวทางความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และความยุติธรรมทางสังคม เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ ความปรองดองและปูองกันมิให้เกดิ ความรุนแรงและความสูญเสียข้ึนอีกในอนาคตอย่างเป็น รูปธรรม ๔. สถานการณ์สทิ ธิชนเผ่าพ้ืนเมือง ชาตพิ นั ธุ์ และความคุ้มครองทางกฎหมาย การส่งเสริมและคุ้มครองชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลุ่มชาติพันธ์ุ ควรที่จะเริ่มต้นจากปัญหา และความต้องการของประชาชนกลุ่มท่ีจะได้รับผลของการบังคับใช้กฎหมาย ดังน้ัน การทบทวนกฎหมาย และการอนวุ ตั ิกฎหมายใหเ้ ป็นไปตามพันธกรณรี ะหว่างประเทศ จะประโยชนอ์ ย่างยิ่งในการพัฒนากลไกในการ บังคบั ใชห้ รอื ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย และกลไกเหล่าน้ีต้องมีหน้าที่และอานาจในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ๑) การส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลุ่มชาติพันธ์ุ ที่จะต้องส่งเสริมสิทธิในการจัดการตนเอง (Self- Determination) ในรูปของสภาทั้งในระดับท้องถ่ินและระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้การคุ้มครอง
จ นักปกปอู งสทิ ธมิ นุษยชน มาตรการในการส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมือง ๒) การส่งเสริมการพัฒนาเขตพื้นท่ี วฒั นธรรมพิเศษหรอื เขตพื้นท่ีคมุ้ ครองทางวัฒนธรรมที่ผนวกรวมพ้ืนที่ทางจิตวิญญาณหรือพื้นท่ีศักด์ิสิทธ์ิเข้าไว้ด้วย พร้อมไปกับอานาจในการเพิกถอนออกจากพ้ืนท่ีคุ้มครองที่เป็นปุาอนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ และหน้าท่ีในการ กากบั ติดตามการดาเนินงานตามกฎหมาย การกาหนดบทลงโทษการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเลือกปฏิบัติ ทางเช้ือชาติในทุกรูปแบบของชนเผ่าพ้ืนเมือง และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากการละเมิดสิทธิของ ชนเผ่าพ้ืนเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีการรวบรวมกรณีตัวอย่างท้ังในด้านกฎหมาย นโยบาย กลไก และ วิธีดาเนินการจากประเทศอ่ืน ๆ ท่ีมีประสบการณ์ท่ีดีในกิจการเกี่ยวกับชนเผ่าพ้ืนเมือง เพ่ือใช้เป็นข้อมูล ประกอบการพิจารณาการยกร่างกฎหมาย คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกต ในแก้ปัญหาดงั กลา่ ว ดังนี้ ๔.๑ รัฐบาล ควรจดั สรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องเพ่ือให้สามารถปฏิบัติตาม กฎหมายนี้ได้จริง แต่งตั้งคณะกรรมการพหุภาคีระดับชาติและระดับจังหวัดเพื่อทาหน้าที่เอื้อและหนุนเสริม ให้การปฏิบัติตามกฎหมายน้ีของหน่วยงานต่าง ๆ มีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ จัดสรรงบประมาณ สนบั สนนุ การดาเนินงานของสภาชนเผา่ พ้ืนเมอื งแห่งประเทศไทย และติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ โดยประหยดั และกาหนดกลไกของรฐั ในการประสานความร่วมมอื กับสภาชนเผ่าพน้ื เมืองแห่งประเทศไทย ๔.๒ กระทรวงวัฒนธรรม ควรร่วมกับสภาชนเผ่าพื้นเมืองพัฒนาแผนปฏิบัติการเพ่ือการ ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมืองทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขึ้นทะเบียนจารึกมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และเลือกสรรเพ่ือนาขึ้นจารึกเป็นมรดก ทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ UNESCO พร้อมกับพัฒนามาตรการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมที่ได้ข้ึนทะเบียนแล้วท่ีปฏิบัติได้จริง จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ เป็นประจาทุกปี ร่วมกับสภาชนเผ่าพ้ืนเมืองพัฒนาสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมที่มีการควบคุมคุณภาพ รวมท้ังการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และโดยความร่วมมือกับการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย สนับสนุน งบประมาณช่วยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง และพัฒนาสื่อเพื่อการเผยแพร่ และประชาสมั พันธ์คณุ ค่าของการเปน็ สังคมพหวุ ัฒนธรรมผา่ นชอ่ งทางสื่อประเภทต่าง ๆ รวมถึงการเสริมสร้าง พน้ื ท่ีแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ทางวฒั นธรรมชนเผา่ พื้นเมืองในระดบั ภาค ระดบั ประเทศ และระดับระหว่างประเทศ ๔.๓ กระทรวงศึกษาธิการ ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาของรัฐร่วมกับชุมชน ชนเผ่าพ้ืนเมืองพัฒนาหลักสูตรวิถีวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมือง และการสนับสนุนครูภูมิปัญญาของท้องถ่ิน โดยให้การเรยี นร้ขู องนักเรยี นตามหลักสตู รดังกลา่ วเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาน้ัน สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาส่ือการเรียนรู้ตามหลักสูตรวิถีวัฒนธรรมชนเผ่าพ้ืนเมือง รวมทั้งการพัฒนาส่ือ ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพ่ือใช้ในการเรียนรู้ของนักเรียน พัฒนานโยบายส่งเสริมการศึกษาทวิภาษา/พหุภาษา ในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้เก่ียวกับการศึกษาสิทธิมนุษยชน (Human Rights Education) และสง่ เสริมและสนบั สนนุ ใหช้ มุ ชนชนเผา่ พนื้ เมืองจดั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐานดว้ ยตนเองในท้องถน่ิ ๔.๔ กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม ควรสนับสนุนงบประมาณ ให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาหลักสูตรเก่ียวกับชาติพันธุ์สัมพันธ์ การศึกษาพหุวัฒนธรรม และสนับสนุนให้ องค์กรชนเผา่ พ้นื เมอื งท่มี ีศักยภาพพัฒนาสถาบันการศึกษาระดับอดุ มศึกษาด้วยตนเอง ๔.๕ กระทรวงมหาดไทย ควรจัดทาแผนและดาเนินการเร่งรัดแก้ไขภาวะคนไร้รัฐ/ ไร้สัญชาติโดยความร่วมมือกับองค์กรเอกชนที่เก่ียวข้อง และจัดหน่วยบริการเคล่ือนที่เข้าสู่พ้ืนที่ของชนเผ่า พ้นื เมอื งเพอ่ื ให้บริการทางทะเบียนราษฎร์
ฉ ๔.๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ควรเร่งทบทวนและปรับปรุงกฎหมาย เก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการประชาพิจารณ์ อยา่ งกวา้ งขวางโดยเน้นกลุม่ ผทู้ ่จี ะไดร้ บั ผลของกฎหมายเป็นสาคัญ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ในการกาหนดนโยบาย การวางแผน การดาเนินงาน การกากับติดตามและการประเมินผลแผนงานและ โครงการเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เน้ือหาและสาระสาคัญของ สนธิสญั ญาและข้อตกลงระหวา่ งประเทศท่ีประเทศไทยเข้าร่วมให้แกส่ าธารณชนผ่านสอื่ ประเภทต่าง ๆ ๔.๗ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรส่งเสริมเกษตรกร กลุ่มและเครือข่ายเกษตรกร ย่ังยืนในรูปแบบต่าง ๆ เพ่ือการผลิตภัณฑ์เกษตรท่ีสะอาดและปลอดภัยกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค พัฒนานโยบายและมาตรการส่งเสริมพันธุ์พืชพ้ืนบ้านที่มีความหลากหลาย และการจัดตั้งธนาคารพันธ์ุพืช ระดับชุมชนเพื่อการรวบรวมและการแพร่ขยายพันธุ์ และสนับสนุนการจัดการด้านการตลาดให้แก่กลุ่ม และเครอื ข่ายสตรชี นเผ่าพน้ื เมือง รวมท้งั การสนับสนนุ พืน้ ทีค่ า้ ขายในระดบั ทอ้ งถิ่น และระดบั จังหวดั ๔.๘ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรส่งเสริมและสนับสนุน การพัฒนาเครือข่ายเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายสตรีชนเผ่าพ้ืนเมือง เครือข่ายผู้สูงอายุและ ผไู้ ร้ความสามารถท่ีเป็นชนเผ่าพื้นเมือง และสนับสนุนการพัฒนาอาชีพนอกการเกษตรให้แก่กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการชนเผา่ พื้นเมอื ง ๔.๙ กระทรวงยุติธรรม ควรจัดให้มีหน่วยฝึกอบรมเคล่ือนที่เพื่อออกเผยแพร่ความรู้และ ให้คาปรึกษาแนะนาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องและอยู่ในความสนใจของชุมชน จัดให้มีระบบล่ามแปลภาษา สาหรับผู้ใช้ภาษาแม่ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จัดให้มีกลไกรับเร่ืองราวร้องเรียน/ ร้องทุกข์ในเร่ืองท่ีมีประเด็นทางกฎหมายสาหรับชนเผ่าพื้นเมืองและบุคคลทั่วไป และจัดให้มีการเยียวยา ผเู้ สียหายหรอื ผู้เคราะห์รา้ ยทเี่ ปน็ ชนเผ่าพืน้ เมอื งจากการกระทาของผอู้ ืน่
สารบัญ หน้า คานา ก สารบญั ๑. รายนามคณะกรรมาธกิ าร ๑ ๒. รายนามท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญ ๓ ๓. รายนามผู้ช่วยเลขานกุ ารในคณะกรรมาธกิ าร ๓ ๔. รายนามคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๔ ๕. หน่วยงานผู้มาช้ีแจงในคณะกรรมาธิการวิสามัญ ๖ ๖. การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ๖ ๗.ผลการพจิ ารณาศึกษาของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญ ๗.๑ ประเดน็ การพิจารณาท่ี ๑ ๘ รายงานการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชน และการลอบประทุษรา้ ยประชาชน กรณกี ารละเมิดสทิ ธิทางด้านการเมือง และละเมดิ สทิ ธดิ า้ นอื่น ๘ บทท่ี ๑ กลไกสากลกบั การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๘ บทท่ี ๒ ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนษุ ยชน ตามรฐั ธรรมนญู ๒๔ บทท่ี ๓ ประเทศไทย: ภาพรวมสถานการณก์ ารเมอื งและความรนุ แรง ๓๙ บทที่ ๔ การประทษุ รา้ ยและการใชค้ วามรนุ แรงต่อนักกิจกรรมทางการเมือง ภายหลงั รัฐประหาร ๒๕๕๗ ๔๒ บทท่ี ๕ การบงั คับบคุ คลสูญหาย (Enforced Disappearance) ๕๔ - บริบททวั่ ไป ๕๔ - กรอบกฎหมายระหว่างประเทศเก่ียวกับการบังคบั บคุ คลใหส้ ูญหาย ๕๖ - นโยบายของรฐั ที่ทาใหเ้ กดิ การบังคบั สญู หาย ๕๗ - การเสยี ชวี ติ และบังคบั สญู หายของนักสิทธมิ นุษยชน และนกั กจิ กรรมทางการเมือง ๖๑ - การสูญหายของนักกิจกรรมทางการเมอื งทีแ่ สวงหาท่ีพกั พิงในประเทศเพ่ือนบา้ น ๖๔ บทท่ี ๖ การดาเนนิ คดเี ชงิ ยทุ ธศาสตรเ์ พ่อื ปิดก้นั การมสี ว่ นร่วมสาธารณะ (Strategic Lawsuit Against Public Participation -SLAPPs) ๗๑ บทที่ ๗ ความรนุ แรงเชิงโครงสร้างทางสังคม ๘๑ - บรบิ ทท่วั ไป ๘๑ - ความรนุ แรงในครอบครวั และความรนุ แรงทางเพศในสถานศึกษาและในสังคม ๘๑ - การล้อเลียน การด้อยค่า การสรา้ งความเกลยี ดชังนกั สิทธิมนษุ ยชนหญงิ ทางสื่อโซเชียล (Cyber Bullying) ๘๖ - อุบัตภิ ัยท่ีสร้างความรุนแรงและคุกคามชีวิตและทรพั ย์สินของประชาชน ๘๘ - ปญั หาความรนุ แรงท่ีเกดิ จากของเยาวชน ๘๘ บทที่ ๘ การชดเชยเยยี วยาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ (Rights to Effective Remedies) ๙๑
สารบญั (ตอ่ ) บทท่ี ๙ หลักนิติธรรมและความเป็นอิสระของศาล ๙๘ - หลักนิติธรรม ๙๘ - ความเปน็ อสิ ระของศาล ๙๙ - ศาลทหาร ๑๐๒ - การจดั ต้ังศาลสิทธิมนษุ ยชน ๑๐๖ บทท่ี ๑๐ ปญั หาความรนุ แรงจากการละเมิดสทิ ธมิ นุษยชนและ ๑๐๘ อุปสรรคในการเขา้ ถงึ ความยุติธรรม ๗.๒ ประเด็นการพจิ ารณาที่ ๒ ๑๒๒ รายงานการศึกษาและแกไ้ ขปัญหาการละเมดิ สิทธใิ นพืน้ ท่ใี นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ และการบังคบั ใช้กฎหมายพเิ ศษดา้ นความม่ันคง ๑๒๒ บทที่ ๑ บทนา ๑๒๒ ๑.๑ สรปุ สถานการณก์ ารบังคับใชก้ ฎหมายความมั่นคงในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ๑๒๘ ๑.๒ มาตรการพเิ ศษภายใต้กฎหมายความมัน่ คง ๑๓๕ บทที่ ๒ สภาพการบงั คบั ใชแ้ ละผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ ในพน้ื ท่ี ๑๓๕ ๒.๑ กรณมี กี ารต่ออายุการประกาศภาวะฉุกเฉนิ ต่อเน่อื งยาวนาน ๑๓๖ ๒.๒ ประเด็นการควบคุมตวั โดยเจ้าหนา้ ท่ีรัฐภายใต้กฎหมายพิเศษ ๒.๓ ประเด็นการเสยี ชีวิตระหว่างควบคมุ ตวั ๑๓๙ และการสงั หารนอกกระบวนการยุตธิ รรม ๑๔๑ ๒.๔ ประเด็นการจดั เกบ็ ตวั อยา่ งสารพนั ธกุ รรม (ดีเอ็นเอ) ของประชาชนในพน้ื ท่ี ๑๔๔ ๒.๕ ประเด็นการตัดสัญญาณซิมการ์ด ๑๔๗ ๒.๖ ประเดน็ การอายดั ตัวบุคคล ๑๔๘ ๒.๗ ประเดน็ การเยียวยา ๑๔๘ ๒.๘ กรณอี ื่น ๆ (การดาเนนิ คดคี วามกับโรงเรยี นสอนศาสนา) ๑๕๐ บทที่ ๓ วเิ คราะหส์ ภาพปญั หา ๓.๑ การบญั ญัติเหตแุ หง่ การประกาศใช้กฎหมายความมน่ั คงอย่างเปิดกว้าง ๑๕๐ ซ้าซอ้ นกันหลายฉบับ ๓.๒ การตดั กลไกตรวจสอบถ่วงดุลการประกาศและขยายระยะเวลาบังคบั ใช้ ๑๕๒ กฎหมายความม่ันคง ๓.๓ การใหอ้ านาจกว้างขวางแก่กองทัพและมีอานาจพเิ ศษ ๑๕๓ ตามกฎหมายความมนั่ คงหลายฉบบั ๑๕๕ ๓.๔ การตัดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อานาจทางปกครอง ๑๕๖ ๓.๕ การจากดั ความรบั ผิดทางแพ่งและทางอาญา
สารบญั (ตอ่ ) ๗.๓ ประเดน็ การพจิ ารณาที่ ๓ ๑๖๒ รายงานการศึกษาและแกไ้ ขปัญหาการละเมิดสทิ ธิชนเผา่ พ้ืนเมอื ง ชาติพันธุ์ และความคุ้มครองทางกฎหมาย ๑๖๒ บทท่ี ๑ บทนา ๑๖๒ ๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ๑๖๓ ๑.๒ วัตถุประสงคข์ องการศกึ ษา ๑๖๔ ๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา ๑๖๔ ๑.๔ วธิ ีการศึกษา ๑๖๔ ๑.๕ ระยะเวลาในการศึกษา ๑๖๔ ๑.๖ ผลผลิต ๑๖๔ ๑.๗ ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ ๑๖๕ บทที่ ๒ การทบทวนข้อมูลพ้ืนทฐ่ี านทเ่ี กี่ยวข้อง ๑๖๕ ๒.๑ แนวคิดและข้อเท็จจรงิ ท่ีเก่ียวขอ้ ง ๑๖๘ ๒.๒ พนั ธกรณรี ะหวา่ งประเทศ ๑๗๑ ๒.๓ กฎหมายของประเทศไทย ๑๗๔ ๒.๔ ขอ้ สังเกตต่อกฎหมายท่ีเกยี่ วกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ ๑๗๗ บทท่ี ๓ สภาพปญั หาและอปุ สรรคของชนเผา่ พนื้ เมืองและกลุ่มชาตพิ ันธุใ์ นประเทศไทย ๑๗๘ ๓.๑ ขอ้ มูลจากการลงพื้นทีภ่ าคสนาม ๑๗๙ ๓.๒ ข้อมูลกรณศี ึกษาจากการประชุมเสวนา ๓.๓. สรุปสถานการณ์ละเมดิ สทิ ธมิ นษุ ยชนชนเผ่าพนื้ เมือง ๑๘๔ และกลุม่ ชาติพันธใ์ุ นประเทศไทย ๑๘๗ บทท่ี ๔ แนวทางเสรมิ สรา้ งความคมุ้ ครองทางกฎหมาย ๑๘๘ ๔.๑ มติคณะรฐั มนตรี วนั ที่ ๒ มถิ นุ ายน ๒๕๕๓ ๑๘๙ ๔.๒ การจดั ทาพระราชบญั ญัติส่งเสริมและอนุรักษว์ ถิ ีชวี ิตกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ๔.๓ แนวทางเสรมิ สร้างกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมือง/ ๑๙๑ กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ๔.๔ การระดมแผนการขบั เคล่อื นงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพน้ื เมอื ง/ ๑๙๒ กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ ๑๙๔ ๔.๕ ภาพรวมสถานการณ์ด้านสิทธมิ นุษยชนของชนเผ่าพื้นเมอื ง/กลุ่มชาติพันธุ์ ๑๙๕ ๔.๖ ร่างกฎหมายเพอื่ สิทธิของชนเผ่าพน้ื เมืองและกลุ่มชาติพนั ธุ์ ๑๙๗ ๔.๗ การประมวลสรปุ ผลในภาพรวม ๑๙๘ บทที่ ๕ บทสรปุ ๑๙๘ ๕.๑ ทด่ี ิน เขตแดนและทรัพยากร
สารบัญ (ตอ่ ) ๒๐๓ ๗.๔ ประเด็นการพิจารณาท่ี ๔ ๒๐๓ รายงานข้อเสนอในการดาเนนิ การใหม้ ีกฎหมายกลางเร่ืองการเยียวยาผเู้ สยี หาย ๒๐๔ จากกรณีการละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชน ๒๐๔ บทท่ี ๑ บทนา ๒๐๕ ๑.๑ วัตถุประสงค์การศึกษา ๑.๒ ขอบเขตการศกึ ษา ๒๐๖ ๑.๓ วธิ กี ารศกึ ษาทางเอกสาร ๒๐๖ บทที่ ๒ ทฤษฎี แนวคดิ กฎหมาย มาตรการ กลไกภายในประเทศ ระหว่างประเทศและมาตรฐานสากลที่เกย่ี วข้องกับการชว่ ยเหลอื ๒๑๖ ผู้เสียหายในกรณกี ารละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชนและผู้เสยี หายในคดีอาญา ๒๒๙ ๒.๑ ทฤษฎีแนวคิด มาตรฐานสากลทเ่ี กย่ี วข้อง ๒.๒ ประเทศไทยกบั การคุม้ ครองทางกฎหมายและรัฐธรรมนญู ๒๒๙ กรณีคุ้มครองสทิ ธิผเู้ สียหายในคดอี าญาในปัจจุบนั บทท่ี ๓ สภาพปญั หาและอุปสรรคตลอดจนการดาเนินงานในการช่วยเหลอื ๒๓๓ ผเู้ สียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและท่เี กดิ ข้ึนโดยตรงหรือ กระทาท่ีอาจมแี รงจงู ใจทางการเมือง ๒๓๗ ๓.๑ การเขา้ ถงึ การคุ้มครองสิทธขิ องผู้เสียหายหรือ ๒๓๘ ผเู้ สยี หายจากอาชญากรรมธรรมดา ๒๓๙ ๓.๒ การเขา้ ถงึ การคุ้มครองสิทธิของผ้เู สียหายหรือ ๒๔๐ ผเู้ สยี หายจากอาชญากรรมทีเ่ กดิ ข้นึ โดยตรง ๒๔๒ หรอื กระทาที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ๒๔๖ ๘.ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ าร ๒๕๑ ๘.๑ กรณคี วามรนุ แรงและการละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชนรา้ ยแรง จากความขัดแย้งทางการเมือง ๘.๒ กรณีการบงั คับบุคคลสูญหาย ๘.๓ กรณีการดาเนินคดเี ชงิ ยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมสาธารณะ ๘.๔ กรณคี วามรุนแรงเชงิ โครงสร้างและความรนุ แรงทเ่ี กีย่ วกับเพศสภาพ ๘.๕ กรณีการละเมิดสิทธใิ นพื้นทใี่ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ๘.๖ กรณกี ารละเมิดสิทธชิ นเผา่ และชาติพันธุ์ ๘.๗ กรณกี ารดาเนินการใหม้ ีกฎหมายกลางเรื่องการเยยี วยาผเู้ สียหาย จากกรณีการละเมิดสทิ ธิมนุษยชน บรรณานุกรม
สารบัญ (ตอ่ ) ภาคผนวก ภาคผนวก ก สถานการณก์ ารลอบทาร้ายร่างกายนักกจิ กรรมเพ่ือประชาธิปไตยและ สทิ ธมิ นุษยชนภายหลังรฐั ประหาร ๒๕๕๗ ภาคผนวก ข เคา้ โครงโดยสงั เขปของรา่ งพระราชบัญญัติชนเผ่าพนื้ เมือง แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ภาคผนวก ค กรอบรา่ งพระราชบญั ญตั ิสง่ เสรมิ และอนรุ ักษ์วถิ ีชีวติ กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ พ.ศ. .... (ฉบับยกร่าง โดย ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร) ภาคผนวก ง กรอบร่างพระราชบญั ญัติสง่ เสรมิ และคุ้มครองวิถีชีวิตกลุม่ ชาตพิ ันธุ์ พ.ศ. .... (ฉบบั ยกรา่ ง โดยคณะอนุกรรมาธกิ ารเพื่อพจิ ารณาศกึ ษาดา้ นผสู้ งู อายุ ผู้พิการ และกลมุ่ ชาติพนั ธ)ุ์
รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามญั พจิ ารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธมิ นษุ ยชน และการลอบประทุษรา้ ยประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ตามท่ีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ คร้ังที่ ๑๓ (สมัยสามัญประจาปีครั้งท่ีสอง) วันพฤหัสบดีท่ี ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ท่ีประชุมได้พิจารณาญัตติด่วน เร่ือง ขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพ่ือตรวจสอบและศึกษา ติดตามการทางานของหน่วยงานภาครัฐ ต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและ ถูกประทุษร้ายของประชาชน (นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรแต่งต้ัง คณะกรรมาธิการวิสามัญเพ่ือศึกษาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้มาใช้สิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ (นายสมมุติ เบ็ญ จลักษณ์ เป็นผู้เสนอ) ญั ตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้ ง ค ณ ะ ก ร ร ม า ธิ ก า ร วิ ส า มั ญ เพื่ อ สื บ ส ว น ข้ อ เท็ จ จ ริ ง ก ร ณี ก า ร ล อ บ ป ร ะ ทุ ษ ร้ า ย นั ก กิ จ ก ร ร ม ท า งก า ร เมื อ ง (นายปิยบุตร แสงกนกกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อเท็จจรงิ ในการดาเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐท่ีเก่ียวข้อง กรณีประชาชนท่ีถูกทาร้ายและสูญหาย (นายอนั วาร์ สาและ เปน็ ผเู้ สนอ) ญตั ติดว่ น เร่อื ง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตง้ั คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั เพ่ือพจิ ารณา และศึกษาการสูญหาย ตาย บาดเจ็บ เนื่องจากสันนิษฐานว่าเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (นายกมลศกั ดิ์ ลวี าเมาะ เปน็ ผ้เู สนอ) ญตั ตดิ ่วน เรอื่ ง ขอให้สภาผแู้ ทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพจิ ารณา ศึกษาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาและยุติการใช้ความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ (นางผ่องศรี แซ่จึง และนางมุกดา พงษ์สมบัติ เป็นผู้เสนอ) ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาปัญหาการดาเนินการของเจ้าหน้าท่ีท่ีส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสามจัง หวัดชายแดน ภาคใต้ (นายนิรามาน สุไลมาน เป็นผู้เสนอ) ญัตติ เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาเขตการปกครองพิเศษพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (นายสัญหพจน์ สุขศรีเมือง เป็นผู้เสนอ) และญัตติ เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากาหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการบังคับใช้ พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อประกอบการพิจารณาการบังคับใช้ หรือขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และกาหนดหลกั เกณฑ์การประเมนิ ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ (นายอาดิลนั อาลีอิสเฮาะ เป็นผู้เสนอ) และลงมติต้ังกรรมาธิการวิสามัญข้ึนคณะหน่ึง เพื่อพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิด สิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้ายประชาชน กาหนดเวลาการพิจารณาศึกษาไว้ ๖๐ วัน ต่อมา คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมติขยายระยะเวลาในการดาเนินงานออกไปอีก ๕ ครั้ง โดยส้ินสุดในวันพุธที่ ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๖๓ นัน้ บัดน้ี คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาศึกษารายงานเร่ือง แนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิ มนษุ ยชนและการลอบประทุษรา้ ยประชาชน เสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ซึง่ ปรากฏผล ดังน้ี ๑. คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ไดม้ ีมติเลอื กตัง้ ๑. นายพรชยั ตระกลู วรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. นายวิชิต ปล่งั ศรสี กุล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทห่ี น่ึง ๓. นายอัครวัฒน์ อศั วเหม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่สี อง
๔. นายอนั วาร์ สาและ ๒ ๕. นายสมชาย ฝ่ังชลจิตร ๖. นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีสาม ๗. นายจริ ายุ ห่วงทรพั ย์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทส่ี ่ี ๘. นางผอ่ งศรี แซจ่ ึง รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่ีห้า ๙. นายนพดล ปทั มะ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีห่ ก ๑๐. นางองั คณา นลี ะไพจิตร รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีเจด็ ๑๑. พลตรี ทรงกลด ทพิ ย์รัตน์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทแ่ี ปด ๑๒. นายอาดลิ ัน อาลอี สิ เฮาะ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทเ่ี กา้ ๑๓. นางภทั ธมน เพง็ ส้ม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สิบ ๑๔ นางสาวพมิ พ์รพี พันธุว์ ิชาตกิ ุล เลขานุการคณะกรรมาธกิ าร ๑๕. นายอบั ดลุ กอฮาร์ อาแวปเู ตะ ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธกิ าร คนที่หน่ึง ๑๖. นางสาวทพิ านนั ศิริชนะ ผ้ชู ว่ ยเลขานุการคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีสอง ๑๗. นายเจรญิ คัมภีรภาพ ผชู้ ่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการ คนทสี่ าม ๑๘. นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๙. นายมานพ ครี ีภวู ดล โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๒๐. พลตารวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๒๑. นายวรี ะ สมความคดิ โฆษกคณะกรรมาธิการ ๒๒. นายปวณิ ชานิประศาสน์ ท่ปี รึกษาคณะกรรมาธิการ ๒๓. พลตารวจตรี สรุ ินทร์ ปาลาเร่ ทป่ี รึกษาคณะกรรมาธิการ ๒๔. นายฉลอง เรย่ี วแรง ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๒๕. นางมุกดา พงษส์ มบตั ิ ท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ๒๖. นายณฏั ฐช์ นน ศรีกอ่ เกอ้ื ทีป่ รึกษาคณะกรรมาธิการ ๒๗. นางสาวนพวรรณ หวั ใจมน่ั ทปี่ รึกษาคณะกรรมาธกิ าร ๒๘. นายประพิศ นวมโคกสงู ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ๒๙. นายไผ่ ลกิ ค์ กรรมาธิการ ๓๐. นางพรเพญ็ บญุ ศิรวิ ัฒนกลุ กรรมาธกิ าร ๓๑. นายมหู ามดั เปาซี อาลีฮา กรรมาธิการ ๓๒. นางสาวรตญา กอบศิริกาญจน์ กรรมาธกิ าร ๓๓. นายเรอื งศกั ดิ์ สุวารี กรรมาธกิ าร ๓๔. นายวสันต์ กลา้ แท้ กรรมาธกิ าร ๓๕. นายสมั พันธ์ แปน้ พัฒน์ กรรมาธิการ ๓๖. นายสามารถ เจนชยั จติ รวนชิ กรรมาธกิ าร ๓๗. นายอภวิ ัฒน์ อากาศฤกษ์ กรรมาธกิ าร ๓๘. นางสาวเอมอร เสียงใหญ่ กรรมาธิการ กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร
๓ ๓๙. นายฐาปกรณ์ กลุ เจริญ กรรมาธิการ ๔๐. นายธนาคม จงจิระ กรรมาธกิ าร ๔๑. นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกยี รติ กรรมาธกิ าร ๔๒. นายอนันต์ ปาลคี ุปต์ กรรมาธิการ ๔๓. นางอมรตั น์ โชคปมติ ตก์ ลุ กรรมาธิการ ๔๔. นายโอชิษฐ์ เกียรตกิ ้องชชู ัย กรรมาธิการ ๔๕. นางกนกนุช กลิ่นสังข์ กรรมาธกิ าร ๔๖. นายเกิดโชค เกษมวงศ์จติ ร กรรมาธกิ าร ๔๗. นายจตภุ ทั ร์ บญุ ภัทรรกั ษา กรรมาธกิ าร ๔๘. นางสาวชลธิชา แจง้ เร็ว กรรมาธิการ ๔๙. นายทศพร เสรรี กั ษ์ กรรมาธกิ าร อนึ่ง เม่ือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ นายนภดล ปัทมะ ได้พ้นจากตาแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่ีแปด เพราะลาออกและในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๒๙ (สมัยสามัญประจาปี คร้ังที่สอง) วันพุธที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ท่ีประชุมเห็นชอบให้ต้ัง นายศุภณัฐค์ น้อยโสภณ เป็นกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้าย ประชาชนแทนตาแหนง่ ท่ีว่าง ๒. คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญไดม้ ีมติตัง้ ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธิการวิสามญั คอื ๑. นายปยิ บตุ ร แสงกนกกลุ ๒. นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ๓. นายนิรามาน สุไลมาน ๔. นายสัณหพจน์ สขุ ศรีเมือง ๕. นายสุมติ รชยั หัตถสาร ๖. นายฮอชาลี มา่ เหรม็ ๗. นายอารเี พญ็ อุตรสนิ ธ์ุ ๘. นายฮาฟิซ หิเล ๙. พลตารวจเอก วริ ุฬห์ พนื้ แสน ๑๐. รองศาสตราจารย์ ยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ ๑๑. นายวริ พจน์ โคกเกษม ๑๒. นายนมิ ติ ร พลเย่ยี ม ๑๓. นายสมมตุ ิ เบ็ญจลกั ษณ์ ๓. คณ ะกรรมาธิการวิสามัญ ได้มีมติแต่งต้ัง นายเอรวัตร อุ่นกงลาด ปฏิบัติหน้าท่ีเป็น ผ้ชู ว่ ยเลขานุการในคณะกรรมาธิการ ตามขอ้ บงั คบั การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๓ วรรคสี่
๔ ๔. คณะกรรมาธิการได้มีมติแต่งต้ังคณะอนุกรรมาธิการเพ่ือพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหา การละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน และการลอบประทษุ ร้ายประชาชน จานวน ๒ คณะ ดังนี้ ๔.๑ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้าย ประชาชน คณะท่ีหน่ึง (ละเมิดสิทธิทางด้านการเมืองและละเมิดสิทธิทางด้านอ่ืน) เพื่อทาหน้าท่ีพิจารณาศึกษา กรณีท่ีประชาชนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและถูกประทุษร้ายผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง การดาเนินการของ เจ้าหน้าท่ีรัฐกรณีประชาชนถูกทาร้ายตายและสูญหาย อีกท้ัง ศึกษาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาและยุติ การใช้ความรนุ แรงในสังคมทุกรปู แบบ ตลอดจนปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืน ๆ ตามท่ีคณะกรรมาธิการมอบหมาย ดังมีรายชื่อ ตอ่ ไปน้ี ๑. นายวิชติ ปลั่งศรสี กลุ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๒. นางผอ่ งศรี แซ่จึง รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนทหี่ นง่ึ ๓. นายเจรญิ คมั ภรี ภาพ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทส่ี อง ๔. นางมุกดา พงษ์สมบัติ โฆษกคณะอนุกรรมาธิการ ๕. นายอัครวฒั น์ อัศวเหม โฆษกคณะอนุกรรมาธกิ าร ๖. นายจตภุ ทั ร์ บุญภัทรรกั ษา อนกุ รรมาธกิ าร ๗. นายเรอื งศักด์ิ สวุ ารี อนกุ รรมาธกิ าร ๘. นายสามารถ เจนชัยจติ รวนิช อนุกรรมาธิการ ๙. นางองั คณา นลี ะไพจิตร เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ ๑๐. นางสาวชลธชิ า แจ้งเร็ว ผู้ชว่ ยเลขานุการคณะอนกุ รรมาธกิ าร ทปี่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ ๑. พลตารวจโท วิโรจน์ เปาอนิ ทร์ ๒. รองศาสตราจารยท์ รงพร ทาเจรญิ ศกั ด์ิ ๓. นายพรเทพ วสิ ุทธิ์วัฒนศักดิ์ ๔. นางสาวทพิ านนั ศิริชนะ ๕. นางสาวนพวรรณ หัวใจมน่ั ๖. นายนริ ามาน สไุ ลมาน ๗. นายอานนท์ ชวาลาวัณย์ ๘. นายกรณ์ มีดี ๙. นางสนุ ทรี เทพสุวรรณ ๑๐. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ธเนศพล อินทรจ์ ันทร์ ๔.๒ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้าย ประชาชน คณะท่ีสอง (ละเมิดสิทธิในเขตพ้ืนท่ีพิเศษและจังหวัดชายแดนใต้) เพื่อทาหน้าที่พิจารณาตรวจสอบ ศกึ ษาการปฏิบตั ิงานของเจา้ หน้าที่รัฐที่กระทาการละเมดิ สิทธิมนุษยชน การประทุษร้ายและสญู หายของประชาชน ในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาศึกษาการดาเนินงานของเจ้าหน้าท่ีรัฐท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิ ของประชาชนในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาศึกษาเขตพื้นท่ีพิเศษในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาศึกษาเขตพื้นท่ีพิเศษในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาศึกษาเขตพ้ืนที่ชาติพันธุ์ และประชาชน
๕ ในเขตชายแดน อีกทัง้ พจิ ารณาศึกษาหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการบงั คบั ใช้กฎหมายพิเศษในพื้นท่ีจังหวดั ชายแดน ภาคใต้ ตลอดจนปฏิบตั ิหนา้ ท่ีอ่ืน ๆ ตามทีค่ ณะกรรมาธกิ ารมอบหมาย ดงั มรี ายช่ือต่อไปนี้ ๑. นายอาดิลัน อาลอี ิสเฮาะ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๒. นางสาวเพชรดาว โตะ๊ มนี า รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนทหี่ นึง่ ๓. นายมานพ คีรีภวู ดล รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนทสี่ อง ๔. นายเกดิ โชค เกษมวงศ์จิตร อนกุ รรมาธกิ าร ๕. นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ อนุกรรมาธิการ ๖. นายอภวิ ฒั น์ อากาศฤกษ์ อนุกรรมาธิการ ๗. นายฉลอง เทอดวรี ะพงศ์ อนุกรรมาธกิ าร ๘. นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อนกุ รรมาธิการ ๙. นางสาวเอมอร เสยี งใหญ่ อนกุ รรมาธกิ าร ๑๐. นายอบั ดลุ กอฮาร์ อาแวปเู ตะ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร ๑. นายมูหามดั เปาซี อาลฮี า ๒. นายชพู นิ จิ เกษมณี ๓. นายสมุ ติ รชยั หถั ตสาร ๔. นายศักดา แสนม่ี ๕. นายณธนภทั ร ฤทธ์ิเนติกุล ๖. นายเกรียงไกร ชชี ่วง ๗. นายสลุ ยั มาน มะหะแซ ๘. นายรักชาติ สวุ รรณ์ ๙. นายประสิทธ์ิ มะหะหมดั ๑๐. พลเอก สมชาย วษิ ณุวงศ์ ๑๑. นายประพิศ นวมโคกสงู ๑๒. นายธนภณ ธัญธนสกลุ ๑๓. นายนนั ทพงศ์ สวุ รรณรัตน์ ๑๔. วา่ ที่ร้อยตรี อภิชาต พงษส์ วัสด์ิ ๑๕. นางสาวบุณณดา สปุ ิยพนั ธุ์ ๑๖. นายสณั หพจน์ สขุ ศรีเมอื ง ๑๗. นายนริ ามาน สุไลมาน ๑๘. นายอภิชา จงจริ ะวงศา ๑๙. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิ มูลศลิ ป์ ๒๐. นางสาวกลั ยา แซ่อึ้ง ๒๑. นายรุสตมั้ หวั่นสู
๖ ๕. ผู้ซง่ึ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ไดเ้ ชิญมาช้ีแจงแสดงความคดิ เหน็ คือ ๕.๑ ผูแ้ ทนสานักงานตารวจแห่งชาติ ๕.๒ ผ้แู ทนสานักงานคณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ ๕.๓ ผู้แทนคณะกรรมการจดั การเรื่องราวรอ้ งทุกข์กรณีถูกกระทาทรมานและถูกบังคบั ให้หายสาบสญู ๕.๔ ผู้แทนสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ๕.๕ ผแู้ ทนกระทรวงดจิ ิทลั เพ่ือเศรษฐกิจและสงั คม ๕.๖ ผแู้ ทนกรมค้มุ ครองสิทธแิ ละเสรีภาพ ๕.๗ ผู้แทนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ๕.๘ ผแู้ ทนสานักงานอยั การสูงสุด สานักงานต่างประเทศ ๕.๙ ผู้แทนกรมเจรจาการค้าระหวา่ งประเทศ ๕.๑๐ ญาตผิ ู้เสียหายกรณบี คุ คลผถู้ ูกกระทาทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสญู ๕.๑๑ ผู้เสยี หายกรณีถกู คุกคามทางเพศผ่านสื่อออนไลน์ ๕.๑๒ ผู้แทนกลมุ่ โครงการอินเตอรเ์ นต็ เพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ๕.๑๓ ผูแ้ ทนกลุ่มนวชีวนิ ๕.๑๔ ผแู้ ทนสานกั งานสภาความม่นั คงแหง่ ชาติ ๕.๑๕ ผู้แทนสานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แหง่ ชาติ ๕.๑๖ ผู้แทนกองอานวยการรักษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร ๕.๑๗ ผแู้ ทนสถาบนั นติ ิวิทยาศาสตร์ ๕.๑๘ ผู้อานวยการสานักสนั ตวิ ธิ แี ละธรรมาภิบาล ๕.๑๙ ผู้แทนจากสานกั งานเลขาธกิ ารสภาความมัน่ คงแห่งชาติ ๖. การพจิ ารณาของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีการประชุมพิจารณาศึกษาเร่ือง แนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิด สทิ ธมิ นุษยชนและการลอบประทษุ ร้ายประชาชน ซึง่ สรปุ สาระสาคญั ได้ ดังนี้ ๖.๑ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีการจัดการประชุม โดยเชิญหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมาร่วมประชุม เพ่ือใหข้ ้อมูล ข้อเทจ็ จรงิ ตลอดจนช้ีแจงแสดงความคิดเหน็ จานวน ๑๒ ครงั้ ครั้งที่ ๑ วนั พธุ ท่ี ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๒ ครั้งท่ี ๒ วนั พธุ ท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ คร้ังท่ี ๓ วันพุธที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๔ วนั พุธท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๕ วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๖ วันพุธท่ี ๑๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๗ วนั พธุ ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓ ครงั้ ที่ ๘ วนั พธุ ท่ี ๒๔ มนี าคม ๒๕๖๓
๗ ครัง้ ท่ี ๙ วนั พธุ ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครัง้ ที่ ๑๐ วนั พุธที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ คร้ังที่ ๑๑ วันพุธท่ี ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ คร้งั ที่ ๑๒ วันพธุ ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ ๖.๒ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดข้อมูลเร่ืองน้ีจากเอกสาร ขอ้ มลู คาชี้แจงจากหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วข้องรวมทั้งรายละเอียดจากแหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ โดยนามาประกอบการพจิ ารณา ศึกษาขอ้ เท็จจริงของคณะกรรมาธิการวิสามญั ๖.๓ คณะกรรมาธกิ ารได้มมี ตเิ ดนิ ทางไปศกึ ษาดงู าน จานวน ๓ คร้งั ดงั น้ี (๑) บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานครและศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บา้ นกาญจนาภิเษก เม่ือวันพฤหัสบดที ี่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (๒) สานักงานสภาชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย อาเภอสันทราย รวมท้ังในพื้นท่ีอาเภออมก๋อย และอาเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม่ เมอ่ื วนั ศกุ รท์ ี่ ๑๐ ถงึ วนั เสารท์ ่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (๓) จงั หวดั ปัตตานีและจงั หวดั ยะลา เมอ่ื วันเสาร์ท่ี ๑๘ ถงึ วันจนั ทรท์ ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๖.๔ คณะกรรมาธิการไดม้ มี ติให้จดั สมั มนา จานวน ๑ ครั้ง ดังน้ี - โรงแรมคุม้ ภคู า อาเภอเมือง จงั หวดั เชยี งใหม่ เมอื่ วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๗. ผลการพจิ ารณาศกึ ษาของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้จัดทารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหา การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทษุ รา้ ยประชาชน ปรากฏผลการดาเนนิ การ ซงึ่ สรปุ ได้ ดงั น้ี
๗.๑ ประเดน็ การพจิ ารณาที่ ๑ รายงานการศึกษาและแกไ้ ขปญั หาการละเมิดสิทธิมนษุ ยชน และการลอบประทุษร้ายประชาชน กรณกี ารละเมดิ สิทธทิ างด้านการเมอื งและละเมดิ สิทธิดา้ นอื่น บทท่ี ๑ กลไกสากลกบั การคุ้มครองสิทธมิ นุษยชน ความเป็นมา การสู้รบในสงครามโลกครั้งท่ีหนึ่งและครั้งที่สองได้พรากชีวิตมนุษย์ไปไม่น้อยกว่าหกสิบล้านคน และยังส่งผลกระทบในด้านอ่ืน ๆ ต่อความเป็นอยู่และศักด์ิศรีของมนุษย์ ทั้งในรูปแบบของความอดอยาก การทรมานการพลัดพราก เด็กกาพร้า นักโทษทางการเมือง การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การบังคับสูญหาย การล่วงละเมดิ ทางเพศ และการฆ่าลา้ งเผ่าพันธ์ุ (Genocide) ดังน้ัน ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกคร้ังท่ีสองประเทศต่างๆท้ังประเทศที่ชนะและแพ้สงคราม ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การสหประชาชาติข้ึน เพ่ือเป็นเวทีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยให้ความสาคัญกับการ คุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการรักษาสันติภาพ ประเทศสมาชิกสหประชาติจึงได้ให้คาม่ันว่าจะร่วมกันป้องกัน มิให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้นอีก และได้มีการประกาศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) เพื่อประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปัจเจกชนท่ัวทุกแห่ง โดยปฏิญญาได้รับการยกร่างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. ๑๙๔๗) โดยคณะกรรมการภายใต้คณะกรรมาธิการ สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกจานวน ๘ คน โดยมีนาง Eleanor Roosevelt ภรรยาอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประธาน และเป็นหนึ่งในบุคคลสาคัญที่ผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ใหก้ ารสนบั สนุนและรบั รองปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสทิ ธิมนุษยชน ต่อมาเมื่อวันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ (ค.ศ. ๑๙๔๘) ท่ีประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้รับรองปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยมีการลงคะแนนเสียง ซึ่งมีประเทศลงคะแนนเสียงสนับสนุน ๔๘ ประเทศ รวมทั้งไทย มปี ระเทศท่ีงดออกเสยี ง ๘ ประเทศ และไม่มปี ระเทศใดลงคะแนนเสียงคดั ค้าน ปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสทิ ธมิ นษุ ยชน ฉบับนี้จึงถือเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก กฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับในปัจจุบันล้วนมีพื้นฐาน และได้รับการพัฒนาและมาจาก ปฏิญญาสากลฉบับน้ีท้ังสิ้น และกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนเหล่าน้ีก็ได้กลายเป็นพ้ืนฐานสาหรับ การพัฒนากฎหมายภายในประเทศของประเทศต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชน ในประเทศของตน ทั้งน้ี โดยท่ีประชาคมโลกตระหนักถึงความสาคัญของปฏิญญาสากลฯ ในฐานะแม่บทของ สทิ ธิมนษุ ยชน ปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสิทธิมนษุ ยชนจงึ ไดร้ บั การแปลเป็นภาษาตา่ งๆ มากทส่ี ดุ ในโลก ในการประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ สมัยที่ ๓ เม่ือวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ (ค.ศ. ๑๙๔๘) ที่ประชุมได้มีข้อมติรับรอง ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) ซ่ึงถือเป็นเอกสารสาคัญทางประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชน ระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก และเป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับท่ีมีอยู่ ในปัจจุบัน ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จึงถือเป็นมาตรฐานที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติได้ร่วม กัน
๙ จัดทาเพ่ือส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั่วโลก ท้ังน้ี ประเทศไทยเป็นหนึ่งในส่ีสิบแปดประเทศแรก ท่ีลงคะแนนเสียงร่วมรับรองปฏิญญาฉบับนี้ในการประชุม ดังกล่าว ซึ่งจัดข้ึน ณ กรุงปารีส ประเทศฝร่ังเศส ๑ รวมทัง้ กาหนดให้วันที่ ๑๐ ธนั วาคม ของทกุ ปี เป็น วันสทิ ธิมนษุ ยชนสากล (International Human Rights Day) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จึงเป็นพันธกรณีที่ท่ัวโลกตกลงใช้ร่วมกันเป็นแนวทางไปสู่เสรีภาพ และความเท่าเทียม และเป็นรากฐานสาคัญของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ดังข้อบทของปฏิญญาฯ ทเี่ นน้ ยา้ ว่า “มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและ เสมอภาคกันในศักด์ิศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏบิ ัติต่อกนั ดว้ ยจติ วิญญาณแห่งภราดรภาพ” (ข้อบทท่ี ๑) “ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพทั้งปวง ตามท่ีกาหนดไว้ในปฏิญญาน้ี โดยปราศจากการแบ่งแยก ไม่ว่าชนิดใด อาทิ เช้ือชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเหน็ ทางการเมืองหรือทางอื่น พ้ืนเพทางชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิด หรือสถานะอ่ืน นอกเหนือจากนี้ จะไม่มีการแบ่งแยกใดบนพ้ืนฐานของสถานะทางการเมือง ทางกฎหมาย หรือทางการระหว่างประเทศของ ประเทศ หรือดินแดนท่ีบุคคลสงั กัด ไม่ว่าดินแดนนี้จะเป็นเอกราช อยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเอง หรอื อยภู่ ายใต้การจากัดอธปิ ไตยอน่ื ใด” (ขอ้ บทที่ ๒) ความหมายของ สทิ ธมิ นุษยชน สิทธิมนุษยชน๒ มีความหมายกว้างขวางกว่า “สิทธิ” ตามกฎหมาย (Human Rights Beyond Laws) นักกฎหมายทั่วไปมักอธิบายว่า “สิทธิ” คือ ประโยชน์ที่กฎหมายรับรอง ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายในขอบเขตที่แคบ ในแง่ที่ว่าบุคคลจะมีสิทธิใดต้องมีกฎหมายรับรองไว้เท่านั้น ถ้ากฎหมายไม่ได้เขียนรับรองไว้ย่อมไม่ มีสิทธิ หรือไม่ได้รับสิทธิ แต่ ในมุมมองของ “สิทธิมนุษยชน” นั้น ขอบเขตของสิทธิมนุษยชนกว้างกว่าสิ่งท่ีกฎหมาย รบั รอง สิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมาตรฐานข้ันต่าของการปฏิบัติต่อมนุษย์นั้นสามารถจาแนกได้ ครอบคลมุ สิทธิ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) สิทธิพลเมือง ได้แก่สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความม่ันคงในชีวติ ไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกทาร้าย ไม่ถูกบังคับให้สูญหาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สิทธิในความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย สิทธิที่จะได้รับ การปกป้องจากการคมุ ขังโดยพลการ สิทธิท่ีจะได้รับการพิจารณาคดีในศาลอยา่ งยุตธิ รรม โดยผู้พิพากษาท่ีมีอิสระ สทิ ธใิ นการไดร้ บั สัญชาติ เสรภี าพของศาสนิกชนในการเช่ือถอื และปฏบิ ตั ติ ามความเช่ือ ๒) สิทธิทางการเมือง ได้แก่สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของตนเองทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก สิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการดาเนินกิจการท่ีเป็นประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพในการรวมกลุ่มโดยสง บ สิทธิในการเลอื กต้ังอย่างเสรี ๓) สิทธิทางเศรษฐกิจ ได้แก่สิทธิในการมีงานทา สามารถเลือกงานได้อิสระ และได้รับค่าตอบแทน ที่เปน็ ธรรม สิทธใิ นการเป็นเจา้ ของทรัพยส์ ิน การได้รบั มาตรฐานการครองชพี อยา่ งพอเพยี งกบั การดารงชพี ๑ http://humanrights.mfa.go.th/th/humanrights/obligation/ ๒ ชดุ ความรู้ สทิ ธมิ นษุ ยชน, กองส่งเสริมสิทธแิ ละเสรีภาพ กรมคมุ้ ครองสิทธเิ สรภี าพ กระทรวงยตุ ธิ รรม (http://www.rlpd.go.th/rlpdnew/images/rlpd_1/HRC/nhr.pdf)
๑๐ ๔) สิทธิทางสังคม ได้แก่สิทธิในการได้รับการศึกษา สิทธิในการได้รับหลักประกันด้านสุขภาพ อนามัย แม่และเด็กต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเต็มที่ ได้รับความม่ันคงทางสังคม มีเสรีภาพในการเลอื กค่แู ละสร้างครอบครวั ๕) สิทธิทางวัฒนธรรม ได้แก่การมีเสรีภาพในการใช้ภาษาหรือสื่อความหมายในภาษาท้องถิ่นของตน มีเสรีภาพในการแต่งกายตามวัฒนธรรม การปฏิบัติกิจตามวัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่น การปฏิบัติตามความเช่ือ ทางศาสนา การแสดงศิลปวฒั นธรรม บันเทิงได้โดยไม่มใี ครมาบังคับ กล่าวได้ว่า “สิทธิตามกฎหมาย” ไม่ใช่เรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งหมด มีสิทธิบางประการถือเป็น สิทธิมนุษยชน เพราะเป็นส่ิงที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด ไม่สามารถโอนให้ผู้อ่ืน และไม่มีใครสามารถพรากไปจาก มนุษย์แต่ละคนได้ เช่น การบังคับสูญหายแม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติแต่วิญญูชนทุกคนย่อมรู้ว่าการกระทาดังกล่าว เป็นความผิด หรือกรณีท่ีผู้ยากไร้ไม่ไดร้ ับอาหารที่เพียงพอกับการยังชีพ แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดของใคร แตถ่ ือเปน็ การละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะรัฐมีหน้าท่ีจดั หาให้คนในชาติได้รบั อาหารท่ีเพยี งพอแก่การมีชีวิตอยู่รอด เปน็ ตน้ องคก์ ร และหนว่ ยงานภายใต้ระบบสหประชาชาติ สหประชาชาติประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาติ (FAO) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) องค์การแรงงาน ระหว่างประเทศ (IMO) การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) สานักงานโครงการ พัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) องค์การส่ิงแวดล้อมโลก (UNEP) องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO), กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNPF) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEP) สหภาพสากลไปรษณีย์ (UPU) องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาค ระหว่างเพศ และเพ่ิมพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN WOMEN) สานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ล้ีภัย แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รวมถึงหน่วยงานท่ีมีบทบาทสาคัญมากท่ีสุดด้านสิทธิมนุษยชน คือ สานักงาน ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of High Commissioner on Human Rights - OHCHR) ซึ่งมีสานักงานใหญ่ต้ังอยู่ที่ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ท้ังน้ี สหประชาชาติได้แต่งตั้งผู้ประสานงาน สหประชาชาติ (UN Resident Coordinator: UNRC) ประจาอยู่ในประเทศต่างๆ เพื่อทาหน้าประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานต่าง ๆ ในระบบของสหประชาชาติ และทาหน้าที่สนับสนุนการประสานงานกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ ผ่านกลไกการประสานงาน United Nations Country Team Agencies (UNCT) โดยมีสานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme (UNDP) Country Office] เปน็ สานกั งาน ในส่วนสานักงานส่วนภมู ิภาคเอเชยี และแปซิฟิก มสี ถานทต่ี ัง้ อยู่ที่กรงุ เทพมหานคร กลไกของสหประชาชาติด้านสทิ ธิมนษุ ยชน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือเรียกในภาษาอังกฤษ ว่า United Nations Human Rights Council มีช่ือเรียกย่อๆ ว่า HRC (Human Rights Council) เป็น กลไกระหว่างรัฐ จัดตั้งขึ้นตามข้อมติ สมัชชาแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๙ โดยมีหน้าท่ีสาคัญในการ สอดส่องดูแลการละเมิด สิทธิมนุษยชน ท่ีเกิดขึ้นท่ัวโลก หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ มนุษยชนที่เกิดข้ึน สร้างบรรทัดฐานของ การส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และให้ข้อเสนอแนะรวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถสาหรับการส่งเสริมและคุ้มครอง สทิ ธมิ นษุ ยชนในประเทศตา่ ง ๆ
๑๑ สิทธิมนุษยชน ได้ทวีความสาคัญย่ิงขึ้นเม่ือสหประชาชาติได้ยกระดับประเด็นสิทธิมนุษยชนให้เป็น หน่ึงในสามเสาหลักของสหประชาชาติร่วมกับประเด็นความม่ันคงและประเด็นการพัฒนาและให้ผนวกมิติ สิทธิมนุษยชนเข้าไว้ในการดาเนินงานของสหประชาชาติในทุกด้าน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิทธิมนุษยชน เป็นเร่ืองท่ีสหประชาชาติให้ความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง และได้มีการพัฒนากลไกเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนท่ัวโลกโดยการยกระดับ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Committee) ข้ึนเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council- HRC) ซึ่งมีสถานะเท่าเทียมกับ คณะมนตรคี วามมน่ั คง และคณะมนตรีเศรษฐกจิ และ สงั คมของสหประชาชาติ ซง่ึ ก่อตง้ั ข้นึ มาก่อนหนา้ นี้ องค์ประกอบของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (HRC) ประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๔๗ ประเทศ แบ่งตาม สัดส่วนของแต่ละภูมิภาค คือ ภูมิภาคแอฟริกา ๑๓ ประเทศ ภูมิภาคเอเชีย ๑๓ ประเทศ ภูมิภาคยุโรปตะวันออก ๖ ประเทศ ภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ๘ ประเทศ และภูมิภาคยุโรปตะวันตกและอ่ืน ๆ ๗ ประเทศ การเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจะกระทาโดยวิธีการลงคะแนนเสียงแบบลับโดยประเทศสมาชิก สหประชาชาติ ๑๙๒ ประเทศ ทั้งน้ี ประเทศที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้จะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อยกึ่งหน่ึงของ จานวนประเทศสมาชกิ สหประชาชาติ โดยมวี าระในการดารงตาแหน่งคราวละ ๓ ปี กลไกการทางานคณะมนตรีสิทธมิ นุษยชน มีกลไกส่งเสรมิ และคมุ้ ครองสิทธมิ นษุ ยชน หลัก ๆ ๔ กลไกดว้ ยกัน คอื ๑. การประชุมสมัยปกติและสมัยพิเศษคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน จะจัดการประชุมสมัยปกติปีละ ๓ ครั้ง คร้ังละ ๓ สัปดาห์ โดยจะมีการรับฟังรายงานสิทธิมนุษยชนของข้าหลวงใหญ่ สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ การพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ ซึ่ง ครอบคลุมทั้งด้านสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทาง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมท้ังสิทธิของบุคคล กลุ่มต่าง ๆ และการพิจารณา
๑๒ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นท่ีที่อยู่ในความห่วงกังวลของคณะมนตรีสิทธิมนุษยช น ผลการพิจารณา จะออกเป็นข้อมติเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ พิจารณาใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในด้านน้ัน ๆ ต่อไป นอกจากน้ีคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยังสามารถเปิดการประชุมสมัยพิเศษได้ หากมีสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนท่ีร้ายแรงเกิดข้ึนในพ้ืนที่ใดพ้ืนท่ีหน่ึง และจาเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างมาตรการกดดันให้ประเทศในความห่วงกังวลยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ท้ังนี้ การประชุมสมัยพิเศษ จะเปิดขึ้นได้เม่ือได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน จานวน ๑ ใน ๓ ของสมาชิก ทั้งหมด ๒. กระบวนการพิเศษ (Special Procedures) เป็นกลไกติดตามสอดส่องและรายงานการละเมิด สิทธิมนุษยชน ทั้งในลักษณะสถานการณ์สิทธิมนุษยชนรายประเทศ (Country Situations) และสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนรายประเด็น (Thematic Issues) โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับการแต่งต้ังโดยคณะมนตรี สิทธิมนุษยชนอาจจะเป็นผู้รายงานพิเศษ (Special Rapporteur-SR) หรือผู้เช่ียวชาญอิสระ (Independent Expert) หรือคณะทางาน (Working Group) ซึ่งมีองค์ประกอบจานวน ๕ คน จากแต่ละภูมิภาค ปัจจุบัน กระบวนการพิเศษเหล่าน้ีมี ๓๑ อาณัติสาหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนรายประเด็น อาทิ ผู้รายงานพิเศษ ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก (SR on Freedom of Expression and Peaceful Assembly) ผู้รายงานพิเศษด้านการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม (SR on Extra Judicial Killing) ผู้รายงาน พิเศษด้านการทรมาน (SR on Torture) ผู้รายงานพิเศษด้านการค้ามนุษย์ฯ และอีก ๘ อาณัติสาหรับสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนรายประเทศ อาทิ ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพม่า (SR of Human Rights in Myanmar) ผู้เสนอรายงานพเิ ศษว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนษุ ยชนในเกาหลีเหนือฯ รวมถึงคณะทางานด้านการ บังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ (Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance) คณะทางาน ด้านการธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน คณะทางานด้านการควบคุมตัวโดยพลการ (Working Group on Arbitrary Detention) เป็นตน้ กระบวนการพิเศษเหล่าน้ีจะศึกษาติดตามปัญหาหรือพัฒ นาการการส่งเสริมแล ะคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนในอาณัติ (mandate) ที่ตนได้รับ รวมท้ังทารายงานพร้อมขอ้ เสนอแนะเสนอตอ่ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังสามารถรับข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเด็นที่อยู่ในอาณัติได้ด้วย โดยกระบวนการ พิเศษจะกลั่นกรองข้อมูลและข้อร้องเรียนต่าง ๆ ท่ีได้รับและหากเห็นว่ามีน้าหนักก็จะส่งข้อร้องเรียนไปยังรัฐบาล ของประเทศที่เก่ียวข้องเพ่ือขอรับข้อมูลและคาช้ีแจง ตลอดจนสามารถขอเยือนประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ (Official Visit) เพ่ือทาการศึกษานโยบายและแนวปฏิบัติต่าง ๆ และตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้ อาณตั ิทเ่ี ก่ยี วข้องในประเทศทจ่ี ะเยือน ทง้ั นี้ตอ้ งไดร้ ับการอนญุ าตจากประเทศนน้ั ๆเป็นสาคญั ๓. กระบวนการรับและพิจารณาข้อร้องเรียน (Complaint Procedures) เป็นกลไกของคณะมนตรี สิทธิมนุษยชนในการรับและพิจารณาข้อร้องเรียนแบบลับ โดยจะรับข้อร้องเรียนที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ท่ีรุนแรง มีความต่อเน่ืองและเป็นระบบเท่าน้ัน กระบวนการน้ีประกอบด้วยคณะทางาน ๒ คณะ คือ คณะทางาน ว่าด้วยข้อร้องเรียน (Working Group on Communications) ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละ ภูมิภาคจานวน ๕ คน และคณะทางานวา่ ด้วยสถานการณ์ (Working Group on Situations) ประกอบด้วยผู้แทน จากประเทศสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน จานวน ๕ ประเทศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มภูมิภาคต่าง ๆ คณะทางานชุดแรกมีหน้าท่ีกล่ันกรองและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อร้องเรียนที่ได้รับ ซึ่งมีประเด็นสาคัญว่า
๑๓ ข้อร้องเรียนดังกล่าวได้ผ่านกลไกการเยียวยาภายในประเทศจนถึงท่ีสุดแล้วหรือไม่ หากกลไกภายในประเทศ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คณะทางานฯ ก็จะรับข้อร้องเรียน และส่งข้อร้องเรียนไปยังรัฐบาลของประเทศ ท่ีเก่ียวข้องเพื่อขอรับข้อมูลหรือคาช้ีแจงเพิ่มเติม จากนั้นจะจัดทารายงานเสนอต่อคณะทางานชุดที่ ๒ ซึ่งจะพิจารณาข้อร้องเรียนพร้อมคาช้ีแจงของรัฐบาล ซึ่งหากข้อมูลท้ังหมดปรากฏให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพข้ันพ้ืนฐานอย่างร้ายแรงก็จะเสนอรายงานพร้อม มาตรการต่าง ๆ ให้คณะมนตรี สิทธิมนุษยชนพิจารณาออกเป็นข้อมติเพ่ือกดดันให้รัฐบาลท่ีเกี่ยวข้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนท่ีรุนแรง และเป็นระบบต่อไป ๔. กระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศ (Universal Periodic Review - UPR)๓ กลไก UPR เป็นกระบวนการที่ดาเนินโดยรัฐ (State-Led) ท่ีกาหนดให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ๑๙๓ ประเทศ ทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนระหว่างกันเอง (Peer Review) โดยสมาชิกสหประชาชาติ ทุกประเทศจะต้องถูกทบทวนเหมือนกันท้ังสิ้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ แต่ละประเทศจะถูกทบทวนผ่านการจัดทา และนาเสนอรายงาน UPR ต่อที่ประชุม HRC ทุก ๆ ๔ ปีครึ่ง กระบวนการ UPR ถือเป็นกลไกใหม่ของ สภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ (HRC) ในการติดตามและตรวจสอบความก้าวหน้าและความท้าทาย ด้านสิทธิมนุษยชนของแตล่ ะประเทศบนพ้ืนฐานของความเท่าเทยี มกนั คาม่นั โดยสมัครใจ สหประชาชาติกาหนดไว้ว่าทุกประเทศที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจะต้องจัดทา คามั่นโดยสมัครใจเพ่ือให้ทุกประเทศทราบว่าเมื่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกแล้วแต่ละประเทศจะดาเนินการอะไร เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศของตน คาม่ันสาหรับประเทศไทยได้รับการ ประมวลขึ้นจากประเด็นสิทธิมนุษยชนท่ีเป็นปัญหาท้าทายสาคัญของไทย เพ่ือให้เกิดเป็นสัญญาประชาคมหรือ ข้อผูกพันที่ไทยจะต้องทาให้บังเกิดผลสัมฤทธ์ิจึงถือเป็นเอกสารด้านสิทธิมนุษยชนที่สาคัญฉบับหนึ่งของประเทศ หากไทยสามารถปฏบิ ัติไดอ้ ย่างจรงิ จังกับคามน่ั ท่ใี หไ้ ว้กน็ า่ จะทาให้ไทยบรรลเุ ป้าหมายของการพัฒนาสทิ ธิมนษุ ยชน ในประเทศเพื่อมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนได้ ซึ่งจะเกิดข้ึนได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ของสังคมช่วยกันทาให้เกิดผลอย่างแท้จริง คาม่นั หลักของประเทศไทยประกอบดว้ ย๔ (๑) การส่งเสริม การอนุวัติกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับสิทธิมนุษยชน และเร่งทบทวน แก้ไขกฎหมายฉบับต่าง ๆ ที่ยังอาจมีเนื้อหาบางส่วนเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาด้าน สิทธิมนุษยชนท่ีประเทศไทยเป็นภาคีแลว้ ท้งั ๗ ฉบับ (๒) การถอนข้อสงวนภายใต้อนุสัญญาต่าง ๆ และพิจารณาเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาทางด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอนสุ ญั ญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคล ทกุ คนจากการหายสาบสูญโดยถกู บงั คับ (๓) การส่งเสริม การตระหนักร้ถู ึงสิทธิของประชาชนและการบังคับใช้กฎหมายท่ีสอดคล้องกับมาตรฐาน สิทธมิ นษุ ยชนโดยอาศัยการส่งเสริมสทิ ธมิ นุษยชนศกึ ษาให้กบั ผู้บงั คับใช้กฎหมาย และบคุ ลากรทางดา้ นความม่นั คง ๓ คณะมนตรสี ิทธิมนษุ ยชน แห่งสหประชาชาติ (HRC), คามั่นด้านสิทธิมนษุ ยชนของไทย, กระบวนการ UPR ฉบับประชาชน, กระทรวงการต่างประเทศ ธันวาคม ๒๕๕๓. http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/hrcth.pdf หนา้ ๒๑. ๔ คณะมนตรสี ทิ ธิมนษุ ยชน แห่งสหประชาชาติ (HRC), คามน่ั ด้านสทิ ธิมนษุ ยชนของไทย, กระบวนการ UPR ฉบบั ประชาชน, กระทรวงการตา่ งประเทศ ธนั วาคม ๒๕๕๓. http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/hrcth.pdf, อา้ งแล้ว หนา้ ๒๙-๓๐.
๑๔ (๔) การส่งเสริมสิทธมิ นษุ ยชนศกึ ษาในทุกประเภทและทุกระดับของการศกึ ษา (๕) การส่งเสริมระบบยุติธรรมและหลักนิติรัฐเพ่ือความเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ และป้องกันมิให้ ผ้กู ระทาผดิ ลอยนวลรอดพน้ จากกระบวนการยตุ ธิ รรม (๖) การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของคนยากจน และกลุ่มเปราะบาง เด็ก สตรี คนพิการ และ ผสู้ งู อายุ รวมท้งั กลมุ่ บคุ คลชายขอบ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าว และกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ (๗) ขจัดการละเมิดสิทธิของบุคคลในรูปแบบการค้ามนุษย์ ซ่ึงคาม่ันทั้งหมดดังกล่าวจะได้รับการ ถ่ายทอดเป็นแผน ปฏบิ ตั กิ ารตามคาม่ันตอ่ ไป ทงั้ น้ี สามารถสบื คน้ เอกสาร กระบวนการ UPR ๕ กระบวนการ UPR เป็นกลไกตรวจสอบทีส่ าคญั ของคณะมนตรีสทิ ธมิ นษุ ยชน (Human Rights Council -HRC) โดยรัฐภาคีจะต้องจัดทารายงาน UPR ความยาวไม่เกิน ๒๐ หน้า เสนอต่อ HRC ครอบคลุมทุกมิติสิทธิมนุษยชน บนพ้ืนฐานของ (๑) กฎบัตรสหประชาชาติ (๒) ปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (๓) ตราสารด้านสิทธิมนษุ ยชน ท่ีประเทศที่ถูกทบทวนเป็นภาคี (๔) คาม่ันโดยความสมัครใจท่ีประกาศไว้โดยประเทศที่ถูกทบทวน และ (๕) กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง HRC กาหนดให้กระบวนการทบทวนสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ ในรอบแรกใช้เวลาท้ังหมด ๔ ปีครึ่ง (ปีละ ๔๘ ประเทศ) โดยการทบทวน จะดาเนินการ โดยคณะทางาน UPR (Working Group on UPR) ซ่ึงประกอบด้วยประเทศสมาชิกคณะมนตรี สิทธิมนุษยชน (HRC) ทั้งหมด ๔๗ ประเทศ โดยคณะทางาน UPR จะจัดประชุมเพื่อทบทวนสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ ปีละ ๓ ครั้ง คร้ังละ ๒ สัปดาห์ และในการประชุมแต่ละคร้ังจะมีการพิจารณา สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ จานวน ๑๖ ประเทศ เอกสารท่ีจะใช้ในการทบทวนสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศจะประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ (๑) รายงานที่จัดทาโดยรัฐบาล (๒) รายงานท่ีจัดทา โดยสานักงานขา้ หลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่รวบรวมขอ้ มลู ท่ีเก่ียวข้องกับประเทศที่จะถกู ทบทวน จากรายงานของคณะกรรมการประจาอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ รวมท้ังกลไกพิเศษที่เกี่ยวข้อง และ (๓) รายงานจากภาคส่วนอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง อาทิ ภาคประชาสังคมและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซง่ึ ได้รบั การรวบรวมโดยสานักงานข้าหลวงใหญ่สทิ ธมิ นุษยชนฯ ตราสารหรือสนธิสญั ญาระหวา่ งประเทศดา้ นสิทธิมนุษยชน นอกจากกลไกคณะมนตรีสทิ ธิมนษุ ยชนแล้ว สหประชาชาติยงั มีอีกหนึ่งกลไกในการส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน คือ ตราสารหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ซ่ึงถือเป็นสนธิสัญญาหลัก ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติ ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนถูกจัดทาข้ึน เพือ่ ใหเ้ ป็นมาตรฐานสากลดา้ นสิทธมิ นษุ ยชนเพ่อื ตรวจสอบว่าแต่ละประเทศมีระดับของการคุ้มครองสิทธิมนษุ ยชน มากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้จากมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนที่กาหนดอยู่ในตราสารเหล่านี้ ซ่ึงมตี ้นกาเนิดมาจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธมิ นุษยชน ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนถือเป็นสนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ภายใต้สหประชาชาติ มีทงั้ สนิ้ ๙ ฉบบั ๕ เรื่องเดยี วกนั อา้ งแล้ว หนา้ ๓๑.
๑๕ (๑) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) (๒) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม (The International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights - ICESCR) (๓) อนุสญั ญาวา่ ด้วยการขจัดการเลอื กปฏิบตั ิต่อสตรีในทกุ รปู แบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women - CEDAW) (๔) อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ (International on the Rights of the Child - CRC) (๕) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเช้ือชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination - CERD) (๖) อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) (๗) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities - CRPD) (๘) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (ICPPED) (๙) อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถ่ินฐานและสมาชิกในครอบครัว (Convention on the Protection of the Rights of Migrants Workers and Member of their Families - CMW) ปัจจุบันประเทศไทยเข้าเป็นภาคีตราสารระห ว่างประเทศหลักเหล่านี้แล้วท้ังส้ิน ๗ ฉบับ คือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR), กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม (ICESCR), อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW), อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC), อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD), อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษท่ีโหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักด์ิศรี (CAT) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) นอกจากน้ันประเทศไทยยังเป็นภาคี พิธีสารเลือกรับ (Optional Protocol) ตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก อีก ๓ ฉบับคือ พิธีสารเลือกรับเร่อื งการค้าเด็ก การค้าประเวณีและ ส่ือลามก ที่เกี่ยวกับเด็ก (Optional Protocol to the CRC on the sale of children, child prostitution and child pornography) พิธีสารเลือกรับเร่ืองความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the CRC on the involvement of children in armed conflicts) และพิธีสารเลือกรับเรื่อง กระบวนการติดต่อร้องเรียน (Optional Protocol to the CRC on a communications procedure) และ พิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Optional Protocol to the CEDAW) ด้วย ส่วนอนุสัญญาอีกสองฉบับที่ไทยยังไม่ได้เป็นภาคี คือ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครอง บุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - ICPPED) และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของคนงานอพยพ และสมาชกิ ครอบครวั (CMW) พนั ธกรณขี องรฐั ภาคี๖ ๖ เรอื่ งเดียวกนั อา้ งแลว้ หนา้ ๔๗.
๑๖ ตามกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อรัฐใดเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนฉบับใดก็จะเกิดพันธกร ณี ตามมาใน ๔ เร่อื งหลัก คอื (๑) การประกันให้เกิดสทิ ธิตามอนุสญั ญาฉบับน้ัน ๆ (๒) การดาเนนิ การให้เกิดสิทธิและ คุ้มครองสิทธิ (๓) การเผยแพร่เน้ือหาของสิทธิท่ีระบุอยู่ในอนุสัญ ญาให้ประชาชนได้รับทราบ และ (๔) จัดทารายงานผลการปฏิบัติตามอนุสัญญาให้สหประชาชาติทราบ ดังนั้น เมื่อประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญา ด้านสิทธิมนุษยชน ๗ ฉบับ โดยหลักการหมายถึงสิทธิของประชาชนในประเทศย่อมได้รับการคุ้มครองภายใต้ อนุสัญญาเหล่าน้ีแล้ว แต่จะมีผลในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอย่กู ับการดาเนินการของรัฐในการประกันและ ดาเนินการให้เกิดสทิ ธิ รวมท้ังคุ้มครองสทิ ธิตามอนุสญั ญาฯ ซึง่ จะกระทาโดยผ่านการออกหรือปรบั แกก้ ฎหมายหรือ นโยบายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี รวมทั้งดาเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซ่งึ ยงั เปน็ ประเดน็ ทา้ ทายและเป็นหนงึ่ ในคาม่นั ดา้ นสทิ ธมิ นุษยชนของไทยทต่ี ้องดาเนนิ การให้เกิดประสทิ ธิผล ในส่วนของรายงานประเทศตามพันธกรณี คือ การยอมรับที่จะจัดทาและเสนอรายงานประเทศเก่ียวกับ ผลการปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับน้ัน ๆ ให้สหประชาชาติพิจารณาทุก ๆ ๔ หรือ ๕ ปี โดยจะมีคณะกรรมการ ประจาอนุสัญญา (Treaty Body) แต่ละฉบับ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้พิ จารณารายงาน และ ให้ข้อเสนอแนะแก่ประเทศท่ีเป็นภาคีในประเด็นท่ีเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไขต่อไป ซ่ึงรายงานประเทศภายใต้ อนุสัญญาแต่ละฉบับจะแตกต่างจากรายงาน UPR กล่าวคือรายงานประเทศภายใต้อนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน จะเป็นการรายงานการปฏบิ ัติตามสิทธิเฉพาะด้านทเ่ี กีย่ วกับอนุสัญญาฉบับนั้น ๆ มีคณะกรรมการประจาอนุสญั ญา เป็นผู้พิจารณารายงานแต่รายงาน UPR จะเป็นรายงานภาพรวมสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศในทุกด้าน มีประเทศสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเป็นผู้พิจารณารายงาน แต่รายงานทั้งสองส่วนก็เสริมซ่ึงกันและกัน โดยในการจัดทารายงาน UPR ก็จะต้องนาเอาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประจาอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ ท่ีรัฐเคยได้รับมาพิจารณากาหนดเป็นประเด็นในรายงานเพ่ือแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปฏิบัติตาม ขอ้ เสนอแนะตา่ งๆ ข้ อ เส น อ แ น ะแ ล ะ ข้ อ ห่ ว งใ ยข อ งค ณ ะก ร ร ม ก า ร ป ร ะจ า อ นุ สั ญ ญ า สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น ต่ อ ก า ร ล ะเมิ ด สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เช่น ข้อสังเกตเชิงสรุป (Concluding observations) ต่อรายงานตามกติกา กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง. (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) ฉบับท่ีสองของประเทศไทย๗ เผยแพร่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง การสังหาร ๗ https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/TreatyBodyExternal/countries.aspx?CountryCode=THA&Lang=EN การสังหารนอกกระบวนการกฎหมาย การบงั คับบคุ คลใหส้ ญู หาย และการทรมาน (คาแปลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ) ๑๙. คณะกรรมการยงั คงกงั วลวา่ กฎหมายอาญาของรฐั ภาคีไมม่ ีขอ้ หาความผิดทเี่ หมาะสมที่จะนาผู้กระทาผิดฐานการทรมานและการบงั คบั บุคคล ใหส้ ญู หายเขา้ สู่กระบวนการยตุ ธิ รรมทต่ี อ้ งสอดคลอ้ งกับกตกิ านีแ้ ละมาตรฐานระหว่างประเทศอ่นื ๆ คณะกรรมการผดิ หวังทีเ่ กดิ ความลา่ ชา้ ในการประกาศใชร้ ่างพระราชบัญญตั ปิ อ้ งกันและปราบปรามการทรมานและการบงั คบั บคุ คลให้สูญหาย (ขอ้ ๒, ๖, ๗, ๙, ๑๐ และ ๑๖) ๒๐. รัฐภาคีควรจะประกันวา่ กฎหมายมคี วามสอดคล้องอย่างเต็มทีก่ ับกตกิ านโี้ ดยเฉพาะตอ่ ข้อหา้ มตอ่ การทรมานและการบงั คบั บคุ คลให้สูญหาย สอดคลอ้ งกับกตกิ าและมาตรฐานระหวา่ งประเทศ รฐั ภาคีควรจะประกาศใช้กฎหมายเพอื่ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบงั คับ บุคคลใหส้ ูญหายโดยพลนั ๒๑. คณะกรรมการกังวลอย่างยง่ิ เกยี่ วกบั รายงานวา่ มกี ารทรมานและการปฏบิ ตั ทิ โ่ี หดร้าย การฆา่ นอกระบบกฎหมาย และการบังคับใหส้ ญู หายต่อ นกั ปกปอ้ งสทิ ธิมนษุ ยชน และบุคคลอ่นื ๆ รวมท้ังที่เกิดขึน้ ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการยังคงกังวลตอ่ การลอยนวลพน้ ผิดที่เกิดข้ึน อยา่ งกว้างขวางเน่ืองจากการกระทาความผดิ เหลา่ น้ี และกระบวนการสอบสวนคดีทีล่ า่ ช้า รวมทงั้ กรณกี ารใชอ้ าวธุ ปนื สงั หารพลเรอื นระหว่างทเี่ กดิ ความรุนแรงทางการเมอื งเมอื่ ปี ๒๕๕๓ การบงั คับบุคคลสูญหายกรณีนายสมชาย นีละไพจิตร และนายพอละจี รกั จงเจรญิ (บลิ ล)่ี และการทรมาน นางสาวกริชสดุ า คณุ ะเสน (ขอ้ ๒, ๖, ๗, ๙, ๑๐ และ ๑๖)
๑๗ นอกกระบวนการกฎหมาย การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการทรมาน โดยคณะกรรมการสิทธิพลเมืองและ สิทธิทางการเมือง สหประชาชาติ (UN Committee on Civil and Political Rights) แสดงความกังวลว่าประเทศไทย ยังมีกฎหมายที่เหมาะสมที่จะนาผู้กระทาผิดฐานทรมานและบังคับสู ญหายมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมท่ีต้อง สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และกรรมการแสดงความผิดหวังในความล่าช้าในการประกาศใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทาให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... คณะกรรมการฯ กังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานว่ามีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย การฆ่านอกระบบกฎหมายและการบังคับ ให้สูญหายต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและบุคคลอ่ืน ๆ การใช้อาวุธปืนสังหารพลเรือนระหว่างที่เกิดความรุนแรง ทางการเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓ การบังคับบุคคลสูญหายกรณีนายสมชาย นีละไพจิตร และนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลล่ี) และการทรมานนางสาวกริชสุดา คุณะเสน คณะกรรมการยังคงกังวลต่อการลอยนวลพ้นผิด (impunity) ที่เกดิ ขน้ึ อย่างกวา้ งขวางเนอื่ งจากการกระทาความผิดเหลา่ น้ี และกระบวนการสอบสวนคดีทล่ี ่าชา้ โดยคณะกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมอื งเสนอแนะใหป้ ระเทศไทยประกันให้มีการร้องเรียน และให้มีการสอบสวนโดยพลันอย่างไม่ลาเอียง และอย่างรอบด้านต่อข้อกล่าวหาว่ามีเจ้าหน้าท่ีรัฐเกี่ยวข้องกับ การทรมานและการบังคับสูญหาย ประกันให้มีการฟ้องร้องดาเนินคดีต่อผู้กระทาความผิด และหากศาลตัดสินว่า มีความผิดให้กาหนดบทลงโทษอย่างเหมาะสมให้มีการชดเชยผู้เสียหายอย่างเต็มท่ีจนกว่าจะพอใจ และประกันว่า จะไม่เกดิ ซา้ คณะกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สหประชาชาติ ( UN Committee on Civil and Political Rights) ยังมีข้อสังเกตต่อรายงานฉบับที่ ๑ ของประเทศไทยว่า ประเทศไทยไม่ได้นาข้อบทในกติกาฯ ไปจัดทาเป็นกฎหมายในประเทศอย่างเต็มท่ี และบทบัญญัติของกติกาฯ นาไปใช้อ้างในศาลไม่ได้ตราบท่ียังไม่ได้ นาบทบัญญัติน้ันไปจัดทาเป็นกฎหมาย (ข้อบทท่ี ๒๘) คณะกรรมการเสนอแนะให้รัฐภาคีควรรับประกัน ๒๒. รัฐภาคีควรจะ (ก) ประกันใหม้ กี ารร้องเรียนและใหม้ กี ารสอบสวนโดยพลนั อย่างไมล่ าเอยี ง และอย่างรอบด้านตอ่ ข้อกลา่ วหาและข้อร้องเรยี นทั้งปวง ว่าได้เกิดกรณที เี่ จา้ พนักงานผูบ้ ังคบั ใชก้ ฎหมายและเจา้ หนา้ ทท่ี หารใช้กาลังอยา่ งมชิ อบด้วยกฎหมายและเกนิ กวา่ เหตุ รวมทั้งในกรณี การทรมาน การบงั คับบคุ คลใหส้ ญู หาย และการฆ่านอกระบบกฎหมาย รวมทัง้ กรณีทเี่ กดิ ขนึ้ ในจังหวดั ชายแดนใต้ ประกนั ใหม้ กี าร ฟอ้ งร้องดาเนนิ คดีต่อผกู้ ระทาความผดิ และหากศาลตดั สนิ ว่ามีความผดิ ใหก้ าหนดบทลงโทษอย่างเหมาะสม (ข) ใหแ้ จ้งข้อมลู ท่ีเป็นจริงเกย่ี วกับพฤตกิ ารณท์ เ่ี กิดขน้ึ ของความผิดเหล่านีร้ วมทั้งในกรณีการบงั คบั บคุ คลให้สญู หายใหม้ ีการชแ้ี จงถงึ ชะตากรรมหรือทีอ่ ยขู่ องผูต้ กเปน็ เหยอ่ื และประกนั วา่ จะมีการแจ้งใหญ้ าตขิ องพวกเขาไดท้ ราบความคืบหนา้ และผลการสอบสวน (ค) ประกนั วา่ ผ้เู สยี หายจะได้รบั การชดเชยอยา่ งเต็มที่ รวมทง้ั ความพึงพอใจและหลักประกนั ว่าจะไม่เกิดการกระทาผิดซ้า (ง) แกไ้ ขเพิ่มเตมิ พระราชบญั ญตั ิกฎอยั การศกึ พระราชกาหนดในสถานการณฉ์ ุกเฉิน และคาสง่ั หัวหน้า คสช.ท่ี ๓/๒๕๕๘ เพอ่ื ประกันว่ามี เนื้อหาสอดคล้องกับข้อบทในกตกิ า รวมท้ังหลกั ประกนั ทป่ี อ้ งกันไม่ให้มีการควบคุมตวั โดยไม่สามารถติดต่อกบั โลกภายนอก ดงั ทม่ี กี าร อธบิ ายไว้ในความเห็นท่วั ไปของคณะกรรมการท่ี ๓๕ (๒๕๕๗) และหลกั เกณฑ์ ท้งั นีโ้ ดยมคี วามมงุ่ ประสงคใ์ ห้เพ่อื ยกเลกิ การประกาศ ใช้กฎอยั การศกึ และพระราชกาหนดในสถานการณฉ์ ุกเฉินในจงั หวดั ตา่ ง ๆ ซง่ึ ปัจจบุ ันมีการประกาศใช้อยโู่ ดยไม่ชักช้าเกนิ ควร (จ) จัดต้งั กลไกอิสระโดยทนั ทีเพอ่ื ปอ้ งกนั และปราบปรามการทรมานและการบงั คับบคุ คลให้สญู หาย (ฉ) ใหเ้ พ่ิมการอบรมให้กบั เจา้ พนักงานผ้บู ังคบั ใชก้ ฎหมายและเจา้ หนา้ ทที่ หารเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเคารพอยา่ งเตม็ ทต่ี อ่ สิทธิมนุษยชน รวมท้ังการ ใชก้ าลังอยา่ งเหมาะสม และการขจดั การทรมานและการปฏบิ ตั ทิ ีโ่ หดรา้ ย และประกนั ว่าค่มู ือการอบรมต่าง ๆ มเี น้ือหาสอดคลอ้ งกบั กติกาน้ี และหลกั การพื้นฐานแหง่ สหประชาชาตเิ ก่ยี วกับการใช้อาวุธปนื ของเจา้ พนักงานผบู้ ังคับใช้กฎหมาย (UN Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials) ๘ ขอ้ บทที่ ๒. กติกาสากลวา่ ดว้ ยสิทธพิ ลเมอื งและสิทธทิ างการเมอื ง “ในกรณที ี่ยงั ไมม่ มี าตรการทางนิตบิ ญั ญตั หิ รอื มาตรการอ่นื ใด รฐั ภาคแี ต่ละรัฐ แหง่ กติกานีร้ ับทจี่ ะดาเนินการตามข้นั ตอนท่จี าเป็นตามกระบวนการทางรฐั ธรรมนูญของตนและบทบัญญตั ิแห่งกตกิ านเ้ี พอื่ ให้มีมาตรการทาง
๑๘ ต่อประสิทธิภาพของการคุ้มครองสิทธิทั้งหลายภายใต้กติกาฯ น้ี และสร้างความมั่นใจให้มีการเคารพสิทธิดังกล่าว และประชาชนทุกคนได้ใชส้ ิทธิเหลา่ น้นั อย่างเตม็ ที่๙ นอกจากนั้นผู้รายงานพิเศษ รวมถึงคณะทางานด้านต่าง ๆ ตามอาณัติขององค์การสหประชาชาติ ยังได้สื่อสารข้อห่วงใยเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะ รวมถึงกฎหมายพิเศษ หรอื คาส่ังคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ๑๐ ทีเ่ กยี่ วข้องกับสทิ ธมิ นุษยชนตามขอบเขตของรายงานฉบับน้ี เช่น Date, Country, Type and Mandates Summary Replies ref. no. of received communication ๑๒ Jun ๒๐๒๐ disappearances Information received concerning ๑๕ Jun Thailand executions the alleged abduction and ๒๐๒๐ JUA freedom of opinion and disappearance in Cambodia of ๑๐ Aug THA ๕/๒๐๒๐ Mr. Wanchalearm Satsaksit, ๒๐๒๐ ๑๐ Mar ๒๐๒๐ Thailand expression a Thai political activist. JAL THA ๓/๒๐๒๐ Alleged victims: ๑ - business ๒๐ Jan ๒๐๒๐ freedom of opinion and Information received concerning Thailand the continued judicial expression harassment by Thammakaset Co. human rights defenders Ltd (Thammakaset), of human migrants rights defenders, migrant workers, slavery journalists, and academics for women and girls denouncing exploitative working conditions of migrant workers at freedom of opinion and the poultry farm of this Thai expression company. Alleged victims: ๓ (Angkhana Neelapaijit, Puttanee Kangkun, Suchanee Cloitre) Information received concerning judicial proceedings against the นติ ิบัญญตั หิ รือมาตรการอ่นื ใดทอี่ าจจาเปน็ เพอ่ื ให้สทิ ธิทง้ั หลายที่รบั รองไวใ้ นกตกิ านีเ้ ปน็ ผล” (๒) Where not already provided for by existing legislative or other measures, each State Party to the present Covenant undertakes to take the necessary steps, in accordance with its constitutional processes and with the provisions of the present Covenant, to adopt such laws or other measures as may be necessary to give effect to the rights recognized in the present Covenant. https://www.ohchr.org/en/professionalinterest/pages/ccpr.aspx ๙ “The Committee notes that the Covenant has not been fully incorporated into domestic law and that its provisions are not in practice invoked in courts of law unless they have been specifically incorporated by legislation (art. ๒). The State party should guarantee the effective protection of all rights enshrined in the Covenant and ensure that they are fully respected and enjoyed by all.” https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CCPR%2fCO%2f84%2fTHA&Lang=en ๑๐ รายละเอยี ด Communication Report ของ Special Procedure ท้งั หมดต่อประเทศไทยโปรดดู https://spcommreports.ohchr.org/TmSearch/Results
๑๙ JAL freedom of peaceful political party the Future Forward THA ๑/๒๐๒๐ assembly and of Party, which may lead to its association dissolution. ๑๒ Jul ๒๐๑๙ Alleged victims: ๑ (FFP) Thailand JUA freedom of opinion and Information received concerning - THA ๖/๒๐๑๙ expression several physical assaults and ๐๖ Mar ๒๐๑๙ freedom of peaceful death threats against Mr Aekachai Thailand assembly and of JUA association Hongkangwan, Mr Anurak THA ๓/๒๐๑๙ human rights defenders Jeantawanich and Mr Sirawith ๒๕ Jun ๒๐๑๘ Thailand disappearances Serithiwat. JAL executions THA ๔/๒๐๑๘ freedom of opinion and Alleged victims: ๓ (Aekachai ๑๓ Sep ๒๐๑๗ expression Hongkangwan, Anurak Thailand torture JAL Jeantawanich, Sirawith THA ๖/๒๐๑๗ freedom of opinion and expression Serithiwat) freedom of peaceful Information received concerning ๑๔ Mar assembly and of association the alleged enforced ๒๐๑๙ human rights defenders disappearance and extrajudicial, violence against women summary, or arbitrary executions freedom of opinion and in late ๒๐๑๘ of three Thai expression human rights defenders political activists affiliated with women in law and in the United Front for Democracy practice against Dictatorship (UDD), Alleged victims: ๔ (Chatchawan Bubphawan, Itthipol Sukpan, Kraidej Luelert, Surachai Danwattananusorn) Information received concerning ๐๔ Jul the arrest, detention and charges ๒๐๑๘ against ๖๒ peaceful protestors, in relation to the legitimate exercise of their rights of peaceful assembly and association during a protest taking place in Thammasat University (Bangkok), on ๒๒ May ๒๐๑๘. Alleged victims: ๖๒ Information received concerning alleged acts of intimidation, harassment and death threats online against Ms Angkhana Neelapaijit, Ms Anchana Heemmina and Ms Pornpen
๒๐ ๒๔ Jan ๒๐๑๗ freedom of opinion and Khongkachonkiet, which appear ๒๖ Jan Thailand expression to be in connection with the ๒๐๑๗ JUA exercise of the right to freedom THA ๑/๒๐๑๗ human rights defenders of expression in the performance of their human rights work. Alleged victims: ๓ Information received concerning the arrest and detention of Mr. Jatupat Boonpatararaksa, a student activist and human rights defender, for posts made online, and charges brought against him under the lèse-majesté provision of the Criminal Code and under the Computer Crime Act. Alleged victims: ๑ นอกจากนั้นในรายงาน Cooperation with the United Nations, its representatives and mechanisms in the field of human rights๑๑ ซึ่งเป็นรายงานประจาปีของเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ระบุถึงการคุกคามนักสิทธิมนุษยชนที่ติดต่อกับองค์การสหประชาชาติ โดยได้กล่าวถึงสถานการณ์ท่ีนักสิทธิ มนุษยชน และภาคประชาสังคมต้องเผชิญเก่ียวกับการแก้แค้น เช่น การทารุณกรรม การกักขังตามอาเภอใจ การสอดแนมหรือการทาให้เหย่ือและนักสิทธิมนุษยชนเสอ่ื มเสียชือ่ เสยี งขณะที่รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้ม อ้ าง เห ตุ ผ ล เร่ื อ ง ค ว า ม มั่ น ค งแ ห่ งช า ติ แ ล ะ ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ ใน ก า ร ขั ด ข ว า งไม่ ให้ ชุ ม ช น แ ล ะ ป ร ะช า สั ง ค ม เข้ า ถึ ง สหประชาชาติ รายงานยังระบุด้วยว่าผู้หญิงที่ให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติยังเสี่ยงถูกข่มขืนและตกเป็นเหยื่อ ทาให้เสียศักด์ิศรีในส่ือออนไลน์ ท้ังน้ีรายงานระบุว่ามีประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ๓๘ ประเทศ๑๒ ท่ีมีวิธีปฏิบัติ ท่ี “น่าละอาย” (shameful practices) เช่น การแก้แค้น และขู่เข็ญคุกคามบุคคลท่ีร่วมมือกับสหประชาชาติ ในเร่ืองสิทธิมนุษยชน โดยมปี ระเทศไทยเปน็ หน่ึงใน ๓๘ ประเทศท่ถี กู กล่าวถึงด้วย โดยนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวว่า “โลกใบนี้เป็นหน้ีบุคคลท่ีกล้ายืนหยัด ต่อสู้เพ่ือสิทธิมนุษยชนเหล่าน้ัน พวกเขามอบข้อมูลและประสานงานกับสหประชาชาติตามท่ีเราร้องขอ เพื่อสร้าง หลักประกันว่าสิทธิของพวกเขาจะได้รับการเคารพ” “การลงโทษบุคคลท่ีให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ เป็นเรื่องที่น่าละอาย” เลขาธิการสหประชาชาติ ยงั ได้เรยี กรอ้ งใหท้ ุกฝา่ ยพยายามมากขึ้นเพ่ือหยุดยั้งวิธีปฏิบตั ิเหลา่ น้ี ปัญหาการปฏิบัตติ ามขอ้ ห่วงกังวลและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งสหประชาชาติ ๑๑ https://ap.ohchr.org/documents/dpage_e.aspx?si=A/HRC/39/41, August 2018. ๑๒ https://news.un.org/en/story/2018/09/1019082
๒๑ ท่ีผ่านมาประเทศไทยมีความพยายามนาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ มาปฏิบัติ (implementations) เช่นมีการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ๑๓ รวมถึงมีการปรับปรุง กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ หลายสิ่งโดยเฉพาะเร่ืองทางสังคมประเทศไทยปฏิบัติได้ดีและได้รับความชื่นชม เช่น เรือ่ ง สาธารณสขุ Universal Health Care การแก้ปัญหาการระบาดของโคโรนา่ ไวรัส หรือ COVID-19 ซงึ่ เปน็ โรค ระบาดร้ายแรง (pandemic) หากแต่มีหลายสิ่งท่ีประเทศไทยยังไม่สามารถปฏิบัติได้ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ซ่ึงเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (freedom of opinion) และการแสดงออกอย่างสันติ (peaceful assembly) หรือการลงโทษทางอาญาร้ายแรง เช่น การประหารชีวติ (execution) การฆ่านอกระบบกฎหมาย (extra judicial killing) การบังคับสูญหาย (enforced disappearance) การทรมาน (torture) สภาพความเปน็ อยูเ่ รอื นจา หรอื การใหค้ วามชว่ ยเหลอื และคุ้มครองผูล้ ้ีภัย เป็นตน้ แม้สภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ (Human Rights Council) ไม่มีอานาจบังคับประเทศ สมาชิก แตห่ ากสมาชิกประเทศใดมีการละเมิดสิทธิมนษุ ยชนร้ายแรง เช่น กระทาการปฏิวัติรฐั ประหาร การสงั หาร นอกระบบกฎหมาย หรือการบังคับบุคคลสูญหาย เลขาธิการสหประชาชาติอาจมีแถลงการณ์ข้อห่วงกังวล ต่อประเทศน้ัน ๆ หรือประเทศท่ีเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เช่นสหภาพยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาอาจมีมาตรการ ตัดสิทธิทางการค้า หรือการลงลงโทษ (sanction) ด้วยวิธีอ่ืน เช่น กรณีประเทศไทย ภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นายบัน คี - มุน เลขาธิการสหประชาชาติสมัยน้ัน ได้มีแถลงการณ์เรียกร้อง ให้ไทยกลับคืนสู่การปกครองตามรัฐธรรมนูญ โดยพลเรือนและคืนสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยเรว็ เช่นเดียวกันกับ นางเนวี พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้กล่าวประณามการทารัฐประหาร และกังวล ๑๓ มตคิ ณะรฐั มนตรี วันท่ี ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ https://cabinet.soc.go.th/soc/Program2-3.jsp?top_serl=99326764 ๑. เห็นชอบและประกาศใชว้ าระแหง่ ชาติ : สิทธิมนษุ ยชนร่วมขับเคลอ่ื น Thailand ๔.๐ เพือ่ การพฒั นาทย่ี งั่ ยืน โดยการประกาศวาระแหง่ ชาติฯ คร้ังนี้ มเี ป้าหมายใหส้ ังคมไทยเป็นสงั คมทีส่ ่งเสรมิ สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทยี มกนั โดยคานึงถึงศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษยเ์ พอื่ นาไปสูส่ ังคมสนั ติสขุ และมี กรอบระยะเวลาในการดาเนนิ การ ๒ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒) โดยมีกลยทุ ธท์ สี่ าคญั ภายใตร้ หสั ชื่อว่า “๔ สรา้ ง + ๓ ปรับปรงุ + ๒ ขบั เคล่ือน + ๑ ลด = Goal สงั คม สนั ติสุข สงบสุข” และใหห้ น่วยงานตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งนาวาระแหง่ ชาตฯิ ไปสกู่ ารปฏบิ ตั เิ พ่อื เพิม่ ขีดความสามารถ ในการดาเนนิ งานดา้ นสิทธิมนษุ ยชนใหม้ ีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลมากย่ิงขนึ้ พร้อมท้ังให้รายงานผลการดาเนนิ งานตามวาระแห่งชาตฯิ ภายใน เดือนพฤศจกิ ายนของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามทีก่ ระทรวงยตุ ธิ รรมเสนอ ๒. สาหรับงบประมาณเพื่อเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งานใหก้ ระทรวงยตุ ธิ รรมและหนว่ ยงานที่เกีย่ วขอ้ งใชจ้ ่ายจากงบประมาณรายจา่ ยประจาปที ี่ แตล่ ะหนว่ ยงานได้รับจดั สรร โดยดาเนินการในภารกจิ ของหนว่ ยงาน และนามิตดิ า้ นสทิ ธมิ นุษยชนมาเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการทางานให้ดยี งิ่ ขึน้ ดว้ ย ตามความเหน็ ของสานกั งบประมาณ และให้รับความเหน็ ของกระทรวงการตา่ งประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สานกั งาน ก.พ. และสานกั งาน ก.พ.ร. เกี่ยวกบั แนวทางการขับเคล่ือนวาระแหง่ ชาตฯิ ในช้นั ตน้ อาจเนน้ เรอ่ื งชอ่ งว่างระหวา่ งกฎหมายหรือพนั ธกรณี ระหว่างประเทศทมี่ ีกบั การปฏบิ ตั ิ ส่งเสริมความเขา้ ใจบคุ ลากรต่อประเด็นและหลักการสทิ ธมิ นษุ ยชนและพนั ธกรณีระหว่างประเทศของไทยในด้าน สิทธมิ นุษยชน สง่ เสริมศกั ยภาพของหนว่ ยงานภาครฐั ดา้ นสถติ แิ ละการมีสถติ ขิ อ้ มลู ทแ่ี ยกตามเพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ รายได้ ภมู ิลาเนา ฯลฯ และควรสรา้ งกลไกและเวทีรับฟังขอ้ คดิ เหน็ จากภาคประชาสงั คมและชมุ ชน รวมทัง้ ควรใหม้ ีการถอดบทเรยี นและพฒั นาเครือ่ งมอื ในการจัดทา ฐานข้อมูลการดาเนินงานและการประเมนิ ถงึ ความตระหนักของผเู้ กยี่ วขอ้ งในแต่ละระยะทด่ี าเนนิ การ และควรมีการจดั ทาหลักสูตรสิทธิมนษุ ยชน เข้าไปในหลกั สตู รหรอื หวั ขอ้ วิชาต่าง ๆ และมกี ารสร้างวทิ ยากรตัวคณู รวมถงึ ควรปรบั ปรุงตวั ช้ีวดั ให้ชัดเจนและเป็นรปู ธรรม ไปพจิ ารณาดาเนินการ ในส่วนที่เกีย่ วขอ้ งตอ่ ไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุตธิ รรมนาประเด็นท่ียงั ไมส่ ามารถดาเนินการให้บรรลไุ ดต้ ามแผนสิทธมิ นุษยชนแห่งชาติ ฉบบั ท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) และ ขอ้ เสนอแนะด้านสทิ ธิมนุษยชนจากหนว่ ยงานต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งทั้งในและตา่ งประเทศมากาหนดเป็นตวั ชวี้ ดั ดว้ ย และมอบหมายให้หนว่ ยงานต่าง ๆ ดาเนนิ การในส่วนที่เก่ียวข้องเพื่อใหก้ ารขับเคลอื่ นวาระแห่งชาติฯ เปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพประสทิ ธผิ ลตอ่ ไป
๒๒ อย่างยิ่งเก่ียวกับการแทนท่ีรัฐบาลท่ีมาจากการเลือกตั้ง การประกาศกฎอัยการศึก การระงับรัฐธรรมนูญและ การออกมาตรการฉุกเฉินตา่ ง ๆ นอกจากนยี้ ังเรียกร้องให้ประเทศไทยฟ้นื ฟหู ลักนติ ธิ รรมในประเทศไทยโดยเร็วด้วย๑๔ ในขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาว่ามีการเฝ้าติดตามการพัฒนาในประเทศไทย ดว้ ยความวิตกอย่างย่ิง กองทัพต้องยอมรบั และเคารพอานาจของประชาชนตามรัฐธรรมนญู อันเปน็ หลักการพ้นื ฐาน ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยพร้อมท้ังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และทางานร่วมกันเพื่อประโยชน์ ของประเทศ นอกจากน้ี สหภาพยุโรปประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศไทยทาให้ข้อตกลงทางการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าจะมีการเลือกต้ัง ซ่ึงหมายรวมถึง การชะลอการลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือไทย – ประชาคมยุโรป และประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (Partnership and Cooperation Agreement) และการเดินทางเยือนอียู และไทยอยา่ งเป็นทางการของเจา้ หน้าท่รี ะดับสูงจะตอ้ งระงับไว้ช่วั คราว๑๕ ทา่ ทอี งคก์ รระหว่างประเทศต่อประเทศไทยหลังรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ประเทศ – องคก์ รระหวา่ งประเทศ ทา่ ทีตอ่ ประเทศไทย ๔๓ ประเทศ ประกาศเตอื นประชาชนให้ระมัดระวังการเดนิ ทางมายังประเทศไทย ๑๙ ประเทศ ประกาศให้ประชาชนหลกี เล่ยี งการเดนิ ทางมายงั ประเทศไทย องค์การสหประชาชาติ เรยี กรอ้ งให้ไทยกลบั คืนสู่การปกครองตามรฐั ธรรมนูญโดยพลเรือน สหภาพยโุ รป วิตกกงั วลอย่างยงิ่ ต่อการรฐั ประหาร, ชะลอการทาขอ้ ตกลงการค้า - การลงทนุ สหรฐั อเมริกา ทบทวนการชว่ ยเหลือแบบกองทพั ตอ่ กองทัพ, ระงบั การช่วยเหลอื ทางการทหาร, ใหน้ ักทอ่ งเทยี่ วยกเลิกการเดนิ ทาง อังกฤษ ขอใหเ้ ร่งนาประเทศไปสกู่ ารมรี ฐั บาลพลเรอื น ทม่ี าจากการเลือกตง้ั ออสเตรเลีย กงั วลอยา่ งย่ิงตอ่ สถานการณ์รัฐประหารในประเทศไทย จนี กังวลต่อสถานการณ์และขอให้ไทยคืนความสงบโดยเรว็ ฝร่ังเศส ประณามรัฐประหารไทย เรยี กรอ้ งให้นารฐั ธรรมนญู กลับคืนมาและจัดการเลอื กตั้ง เยอรมนั นี เรยี กร้องใหเ้ ร่งจัดการเลอื กตั้ง ฟนื้ ฟูคุ้มครองประชาชนตามรฐั ธรรมนูญ รัสเซยี เรียกรอ้ งให้กระบวนการทางการเมอื งกลบั คืนส่กู ารมีรฐั ธรรมนญู สิงคโปร์ ความไม่แน่นอนทางการเมอื งไทย จะฉดุ ใหช้ าติอาเซยี นถอยหลงั กมั พูชา อยากเหน็ การรกั ษาสนั ตภิ าพ – เสถียรภาพ เคารพเจตจานงคนไทย ข้อมูลจาก https://thaipublica.org/2014/07/foreign-reactions-to-the-coup/ สรปุ สิทธิมนุษยชน ถือเป็นหลักสากลที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสาคัญ ส่งผลให้แต่ละประเทศ ไม่สามารถละเลยเร่ืองการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนภายในประเทศของตนได้ ท้ังคณะมนตรี สิทธิมนุษยชน และตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนเป็นกลไกด้านสิทธิมนุษยชนที่สาคัญ ของสหประชาชาติท่ีมีข้ึนเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นสาคัญ อย่างไรก็ดี การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ยังถือเป็นความรับผิดชอบหลักของรัฐ ตราบใดท่ีรัฐยังมีขีดความสามารถในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ของประชาชนของตนเอง กลไกสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติก็จะทาหน้าท่ีเป็นส่วนสนับสนุนการดาเนินงาน ของรัฐ โดยการวางมาตรฐานติดตาม สอดส่อง ดูแล มิให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ถดถอย แต่พยายาม ๑๔ https://www.un.org/sg/en/content/sg/statement/2014-05-22/statement-attributable-spokesman-secretary-general-thailand ๑๕ https://eeas.europa.eu/headquarters/headquarters-homepage_en
๒๓ ให้ก้าวหน้าตามกาลังที่รัฐจะสามารถกระทาได้ แต่หากเม่ือใดที่รัฐล้มเหลวในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กลไกสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติก็จะเข้ามากดดันเพ่ือให้รัฐเร่งแก้ไขปัญหาบนพ้ืนฐานของความ เปน็ สากลของสิทธิมนษุ ยชน ฉะนั้น เม่ือไทยเปน็ สมาชิกคณะมนตรสี ิทธมิ นุษยชน และเคยเปน็ ประธานคณะมนตรี สิทธิมนุษยชน ก็เท่ากับไทยได้เข้าไปร่วมรับผิดชอบการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนท่ัวโลกแล้ว โดยไทยจะต้องเป็น ตัวอย่างของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และควรปฏิบัติตามคามั่นด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้ให้ไว้กับประชาคมโลก อ ย่ า ง จ ริ ง จั ง โ ด ย ไม่ ส า ม า ร ถ ห ลี ก เลี่ ย ง ได้ ใ น ฐ า น ะ ส ม า ชิ ก ท่ี มี ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ข อ ง ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ ๑๖ ๑๖ http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/hrcth.pdf
บทท่ี ๒ ปญั หาและแนวทางการแกไ้ ขปัญหาการละเมิดสิทธมิ นุษยชนตามรฐั ธรรมนูญ สภาพปัญหา คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาประเด็นเรื่อง “สิทธิมนุษยชน ( Human Rights)” ที่สัมพันธ์กับ รัฐธรรมนูญจากการที่ประเทศไทยในขณะน้ีดารงสถานะฐานะที่เป็นรัฐชาติ (Nation State) ท่ีได้เลือกใช้ระบบ การใช้อานาจรัฐตลอดจนความสัมพันธ์ทางการเมืองการปกครองที่เกี่ยวข้องกับการใช้อานาจท่ีว่าน้ันให้อยู่ภายใต้ กฎกติกาตามรัฐธรรมนูญท่ีเป็นกฎหมายสูงสุด โดยได้คลี่คลายและมีการเปลี่ยนแปลงมาหลังยุคการเมือง การปกครองท่ีอยู่ภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ีมีมาก่อนหน้าน้ันควบคู่กับการพัฒนาทางการเมือง การปกครองในการสร้างรัฐชาติให้ทั นสมัย (Modernization State) และเข้าสู่ระบบรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) ในยุคปัจจุบัน ซ่ึงได้มีการสร้าง ขยายกลไก และกระบวนการตรวจสอบทีห่ ลากหลาย อีกทั้ง ก่อตั้งองค์กรอิสระซ่ึงเป็นสถาบันทางการเมืองรูปแบบใหม่เพ่ิมขึ้นจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และสังคมวิทยาทางการเมืองท่ีเปลี่ยนแปลงไปของประเทศ อีกทั้งเพ่ือมุ่งสู่การแก้ปัญหาต่าง ๆ ในทางการเมือง การปกครองคู่กับการตื่นรู้ในสิทธิเสรีภาพทางการเมืองการปกครองของประชาชนตลอดจนการจัดระบบ ความสัมพันธ์ของรัฐชาติสมัยใหม่ในทางเศรษฐกิจ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ีมุ่งหันทิศทางเข้าสู่ ความเป็นรัฐชาติท่ีมปี ฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (Multi States) มากขึ้นในหลากหลายบริบทท้ังทางเศรษฐกิจ การเมือง ความมนั่ คงในและระหวา่ งภูมิภาค และ ประชาคมโลกในสากล ในด้านความสัมพันธ์ต่อกรณีประเด็นสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่เป็นหลักการเชิงสากลที่ได้เชื่อมต่อเข้าสู่ สังคมการเมืองไทย และถูกบรรจุรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะซึ่งเป็นหลักการทางกฎหมายอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซง่ึ มกี ารพัฒนาเพม่ิ มากขน้ึ อย่างเป็นลาดบั แต่ถึงกระน้ันก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าปัญหาความรุนแรงทางด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ยังอยู่ในสถานะท่ียังไม่มีความมั่นคง ประเทศไทยมักถูกกล่าวหาว่ามีภาพลักษณ์ในระหว่างประเทศที่ติดลบ โดยเฉพาะกับสังคมการเมืองไทยยุคที่มกี ารเมืองการปกครอง และการใชอ้ านาจจากรัฐบาลทมี่ าจากการยึดอานาจ รัฐประหารทาให้เกิดข้อเรียกร้องและการอ้างหลักการสิทธิมนุษยชน ตามหลักการเชิงสากลที่เช่ือมโยงมุ่งไปสู่ รัฐธรรมนูญมากข้ึน โดยเป็นความคาดหวังของสังคมและประชาชนที่สาคัญทม่ี ีต่อฐานะของรัฐธรรมนูญอยู่เสมอมา จนมาสู่ท่ีมาและข้อพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่อญัตติที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เรียกร้องให้ สภาผู้แทนราษฎรแก้ปัญหา ห า ก จ ะ จ า แ น ก แ ย ก แ ย ะ จั ด แ บ่ ง ป ร ะ เภ ท แ ล ะ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ปั ญ ห า ก า ร ล ะ เมิ ด สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น ที่ มี สว่ นเกย่ี วข้องกบั รัฐธรรมนญู ในประเทศไทยนั้น อาจพจิ ารณาได้ในหลากหลายลักษณะ ไดแ้ ก่ ประการแรก แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครอง ศักดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์หรือแนวคิดหลักการทางสากลว่าด้วยสทิ ธมิ นุษยชนไว้ แต่ก็ไม่สามารถบังคับใชไ้ ดอ้ ยา่ ง เปน็ รปู ธรรม ประการที่สอง สิทธิเสรีภาพทั้งหลายท่ีบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญมีลักษณะท่ีแตกต่างไม่สอดคล้อง กับหลกั การสากลว่าดว้ ยสทิ ธิมนุษยชน
๒๕ ประการท่ีสาม รัฐธรรมนูญมีความหละหลวม ละเลย ไม่ได้สร้างหลักประกันการเข้าถึงสิทธิมนุษยชน ต่อประชาชน ตลอดจนมีกลไกควบคุมการใชอ้ านาจรัฐเพอื่ คุ้มครองสทิ ธิเช่นว่าน้นั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เกีย่ วกบั ญตั ติ ญัตติท่ีผู้เสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎรมีขอบเขตเน้ือหาสาระเก่ียวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน อย่างเห็นได้ชัดแจ้งอย่างไม่มีข้อสงสัย โดยผู้เสนอญัตติซ่ึงล้วนดารงตาแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ทเ่ี ปน็ ผู้แทนปวงชนได้ยืนยันสิทธิในทางการเมืองในสิทธทิ ่ีจะแสดงออกความคิดเห็นในทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ ของบุคคล หรือแม้จะเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงสิทธิในชีวิตและร่างกายที่จะไม่ถูกทาร้ายหรือละเมิด จากบคุ คลอ่นื ไม่ว่าจะมาจากเจ้าหน้าทขี่ องรัฐหรอื ไม่ การยืนยันสิทธิในทางการเมือง และการแสดงออกความคิดเห็นในทางการเมืองของบุคคล หรือนักกิจกรรมในทางการเมือง การประทุษร้ายผู้มีความคิดเห็นต่างในทางการเมืองท่ีถือเป็นสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะต้องได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐแล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ยังได้รับการประกันและคุ้มครองสิทธิทางการเมืองดังกล่าวที่ว่านั้น โดยเฉพาะตามความในมาตรา ๕๓ หมวด ๕ หน้าที่ของรฐั ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ยังกาหนดให้รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่บุคคลหรือนักกิจกรรมทางการเมืองท่ีได้ออกมาใช้สิทธิในทางการเมือง ดงั กล่าวกับถกู ทารา้ ยหลายครง้ั หลายหน แต่เจ้าหนา้ ทีต่ ารวจยังไม่สามารถจับกุมผูล้ อบประทุษร้ายมาลงโทษไดเ้ ลย จนประชาชนสงั คมไดว้ ิพากษว์ ิจารณ์ว่ารัฐบาลมิได้สนใจและใสใ่ จทาให้เกิดความหวาดกลัวในความปลอดภยั ในชวี ิต ไมก่ ลา้ ใชส้ ิทธติ ามรัฐธรรมนูญและกฎมายต่อการแสดงออกความคิดเห็นทางการเมอื ง ซ่ึงเป็นสิทธมิ นุษยชนพืน้ ฐาน ทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยการท่ีรัฐมิได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ฯ ตามมาตรา ๕๓ อย่างเคร่งครัด ดังกล่าวเปน็ การละเมิดสิทธิมนุษยชนตอ่ ผูใ้ ชส้ ทิ ธิ ตามรัฐธรรมนูญในทางการเมือง คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และคณะอนุกรรมาธิการฯ ซึ่งได้ศึกษากรณีปัญหาที่ผู้เสนอญัตติได้ระบุมา เป็นข้อห่วงใยท่ีมีมูลความจริง ทั้งข้ออ้างพ้ืนฐานท้ังหลักการสิทธิมนุษยชน สิทธิในทางการเมือง การแสดงออก สิทธิในชีวิตร่างกาย สิทธิทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติรับรอง และคุ้มครองไว้โดยชัดแจ้งควบคู่กับหน้าที่ของรัฐที่ต้องเคร่งครัดต่อการมีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครอง ตามความในมาตรา ๕๓ หมวด ๕ ของ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สมควรได้รับ การพิจารณาเพอ่ื ให้สภาผู้แทนราษฎรได้รบั ทราบปัญหา และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาท่ีจะได้บรรจไุ วใ้ นรายงานน้ี ตามสมควรแกก่ รณีตอ่ ไป รฐั สภากับความสมั พันธข์ องสทิ ธมิ นุษยชน คณะกรรมาธิการฯ เห็นวา่ การพิจารณาประเด็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่อาจพิจารณาเรื่องท่ีมี ความสาคัญน้ีได้อยา่ งโดด ๆ โดยไม่พิจารณาประเด็นอยา่ งอ่นื ประกอบ ดังนนั้ ตามญัตติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ท่ีขอต่อสภาฯ น้นั จึงจาต้องพิจารณาเรื่องนี้ในลกั ษณะที่สัมพันธ์กับหลกั การสาคัญในสังคมการเมอื งอืน่ ๆ ในฐานะ ท่ีมีความเก่ียวข้องส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันหรือเป็นฐานรองรับซึ่งกัน และกันอย่างแยกไม่ออกกับหลักการ ท่ีว่านนั้ เช่น หลักรฐั ธรรมนูญหรือรฐั ธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) หลักนิติรัฐ (Legal state) และนิติธรรม (Rule of Law) หลักการทางปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย (Democratic Government) หลกั ความเป็นอิสระ ของศาล และการแบ่งแยกอานาจตรวจสอบถ่วงดุล (The Independence of the Judiciary and the Separation of Power) ที่ล้วนเกี่ยวข้องต่อโครงสร้างพ้ืนฐานใน เงือ่ นไขการบังคับใช้อานาจรฐั ซ่ึงมีอยู่อย่างจากัด
๒๖ อีกท้ังกาหนดเง่ือนไข ข้นั ตอน และวิธีการ การใช้อานาจทีว่ ่าน้ันไว้อยา่ งถกู ตอ้ งครบถว้ นในรัฐธรรมนูญ เพื่อประกัน สิทธิมนษุ ยชนของประชาชนพลเมืองจะไดร้ ับการคุ้มครองเคารพและปฏบิ ตั ิใหเ้ ปน็ จรงิ ในปลายทาง ดังนั้นการพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซ่ึงกาหนดทิศทาง แ ล ะคุ้ ม ค รอ งสิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น ให้ เป็ น ก รอ บ ใน ก าร ใช้ อ าน า จ ข อ งอ งค์ ก รต าม รัฐ ธ ร รม นู ญ ให้ มุ่ งไป สู่ เป้ าห ม า ย และเจตนารมณ์ร่วมกันในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนท่ีอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อยู่น้ีน้ัน จึงถือเป็นประเด็นหลักการสาคัญที่จาเป็นของรัฐตามระบอบรัฐธรรมนูญเพ่ื อเป็นหลักประกันเก่ียวข้องกับการใช้ อานาจรฐั ในการบรหิ ารจัดการทางการเมืองการปกครอง การนิติบญั ญัติ การใชอ้ านาจช้ีขาดโดยศาลท่ีมีเขตอานาจ อย่างมีมาตรฐานสอดคล้องต้องกันในฐานะที่เป็นหลักการสากลในทางระหว่างประเทศซึ่งมีความเป็นสากล (Universality) ทั้งยังเป็นหลกั การที่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันทไ่ี ม่อาจแบ่งแยกได้ (Indivisibility) ของสิทธิมนุษยชน ทีบ่ ญั ญัตไิ วแ้ ต่ละด้าน ซึ่งเปน็ ท่ยี อมรบั นับถือกนั ในประการสาคญั ดังน้ีคือ สทิ ธิมนษุ ยชนในฐานะทีเ่ ปน็ สทิ ธิขั้นพ้นื ฐานของมนษุ ย์ “สิทธิมนุษยชน” เป็นหลักการสาคัญพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์ให้มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยอิสรภาพ ในการพูด และความเช่ือถือ ปราศจากความหวาดกลัวไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันทั้ง เพศ ภาษาสีผิว เชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ ย่อมมีเกียรติ์ศักดิ์ ศักด์ิศรี ในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน มีสิทธิในชีวิต และร่างกายท่ีดารงชีวิตอยู่อย่าง ปลอดภัยเป็นความจาเป็นที่สิทธิมนุษยชนได้รับความคุ้มครอง เคารพ และปฏิบัติตามหลักบังคับของกฎหมาย ถา้ ไมป่ ระสงค์จะใหค้ นตกอยู่ในบงั คับให้หนั เข้าหาขบถขัดขืนต่อทรราช และ การกดข่ีเปน็ วิถีทางสุดทา้ ย๑๗ ในฐานะท่ีสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิขั้นพ้ืนฐานของมนุษย์ที่เกิดมาแม้จะแตกต่างท้ัง เพศ ภาษา สีผิว เชื้อชาติหรือเผา่ พันธ์ุของคนทกุ คนที่ได้จากการท่ีคนเหล่านั้น “เกดิ ” มาเป็นมนุษยจ์ ึงทาให้สทิ ธิมนุษยชน เป็นสิทธิ ที่เป็นไปโดยกฎธรรมชาติ (Natural Law) พัฒนาเรียกขานกันมาเป็นสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Rights) และ สิทธมิ นุษยชน (Human Rights) ทใ่ี ช้กันในยุคปัจจบุ นั ความท่ีสิทธิมนุษยชนที่จัดเป็นสิทธิขั้นพ้ืนฐานของมนุษย์เรานี้จึงส่งผลอย่างมีนัยสาคัญของความเช่ือ ต่อมาของบ่อเกิดหรือที่มาของสิทธิมนุษยชน (Sources of Human Rights) ไม่ได้มาจากการเขียนหรือบัญญัติขึ้น จากกฎหมายของรัฐที่บัญญัติข้ึนเพราะเป็นหลักการท่ีมีอยู่จริง (Existing) จากการที่บุคคลนั้นได้เกิดมาน่ันเอง ผลของความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิข้ันมูลฐานนั้นทาให้ข้ออ้างต่อการไม่รับรอง และคุ้มครองสทิ ธิมนุษยชนจากรฐั โดยอ้างถึงการไม่มีกฎหมายรับรองหรือไม่รบั รองนั้นสิ้นไป ขณะเดียวกนั การทา หนา้ ทีช่ ี้ขาดของศาลโดยตลุ าการก็ไม่สามารถจะอา้ งเช่นเดยี วกนั น้นั กห็ าได้ไม่เช่นกัน การบังคับใช้สิทธิมนุษยชนในบางด้านให้เป็นข้อห้ามต่อรัฐไม่ให้ทาอย่างเด็ดขาดจนพัฒนาเป็นหลักการ ทั่วไปทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นบทบังคับท่ีเด็ดขาด jus congens ทีเรียกกันในภาษาละตินอันเป็นหลัก ข้อห้ามมิให้รัฐกระทาโดยเด็ดขาดต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนบางด้าน เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นปรปักษ์ต่อมวลมนุษย์ชาติ การบังคับสูญหาย (Enforced disappearance) ทีถ่ กู นาไปขยายผลและบงั คับใชใ้ นกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) โดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ศาลสิทธิมนุษยชน (Human Rights Court) และคณะผู้ตัดสินพิเศษของ สหประชาชาติ (International Tribunals) เพราะความมีอยู่จริงซ่ึงสิทธิขั้นมูลฐานน้ีเองอันทาให้ข้ออ้าง ๑๗ คาปรารภ ปฎิญญาสากลว่าดว้ ยสิทธมิ นษุ ยชน แห่งสหประชาชาติ คศ ๑๙๔๙
๒๗ ทางกฎหมายของรฐั ที่ไม่นาพาใหค้ วามเคารพคุม้ ครองสิทธิมนุษยชนจากวาทะกรรมทางกฎหมายที่ว่าไม่มกี ฎหมาย รองรับก็ดีหรือการไม่ได้ลงนามผูกพันในพันธกรณีระหว่างประเทศ (International obligations) ก็ดีหรือข้ออ้าง เร่ืองความยุติธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติจะถูกปฏิเสธไม่มีใครยอมรับอีกต่อไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ชอบกล่าวอ้างมีอยู่ และใชเ้ ป็นข้ออา้ งกนั จริงในสังคมการเมืองไทย สิทธมิ นุษยชนกบั สทิ ธติ ามรัฐธรรมนูญ มีความเข้าใจสับสน ปนเป หลงกนั เรื่อยมาในสังคมการเมืองไทยเก่ียวกบั คาวา่ สทิ ธิมนุษยชนสทิ ธิเสรภี าพ (freedom and liberty) สิทธติ ามรฐั ธรรมนญู บญั ญตั ิ โดยนยั ว่า สทิ ธมิ นุษยชนน้ันมีบ่อเกดิ มาจากรฐั ธรรมนูญที่รัฐ บัญญัติขึ้นตามยุคสมัยต่าง ๆ ผลแห่งความเข้าใจที่สับสนหลงผิดน้ียังขยายต่อไปว่าสิทธิมนุษยชนเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญอยู่ภายใต้รฐั ธรรมนูญ บุคคลจะมีสิทธิเสรีภาพในด้านใด อย่างไร จะได้รับรองและคุ้มครองได้มากน้อย เพียงใดใหต้ รวจสอบดูไดจ้ ากท่ีกฎหมายบัญญัติหรือที่รัฐธรรมนูญบัญญตั ิไว้เท่านั้น ถ้ารัฐธรรมนญู ไมบ่ ัญญัตไิ ว้กไ็ ม่มี สิทธเิ ชน่ วา่ นน้ั สิทธิมนุษยชน และสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีความแตกต่างกันและสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือเหมือนกันได้ ท้ังนี้โดยนัยที่สาคัญเมื่อพิจารณาจากบ่อเกิดและท่ีมาซึ่งสิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่มีท่ีมาจาก “การเกิด” ของคนทุกคนอันเป็นสิทธิตามธรรมชาติ และมีฐานะที่เป็นสากลโดยไม่จากัดแม้จะมีความแตกต่างกัน ในเช้ือชาติ สีผิว ความเชื่อ เพศ หรือเผ่าพันธุ์ ย่อมมีอยู่เหมือน ๆ กันหมด แต่สิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ รัฐธรรมนูญให้ความสาคัญคุ้มครองโดยเขียนบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง เช่น สิทธิเสรีภาพในทาง การเมือง การแสดงออก การพิมพ์การโฆษณา สิทธิการชมุ นุมในทางการเมือง สิทธิเสรีภาพในความเช่ือการนับถือ ศาสนา สิทธิผู้บริโภค สิทธิในการอนุรักษ์พัฒนาตามจารีตประเพณีวัฒนธรรม เป็นต้นเน้ื อหาสาระแห่งสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญจะมีมากมีน้อย กว้างขวางหรือคับแคบมีอยู่อย่างจากัดอย่างไรหรืออยู่ภายใต้กฎหมายบัญญัติ อย่างไรข้ึนอยู่กับลักษณะสังคมการเมืองในแต่ละยุคสมัยโดยเฉพาะจากผู้มีอานาจและคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ อยา่ งท่ีพบเห็นชัดเจนมากในกรณีของประเทศไทยจะพบรัฐธรรมนูญหลายยคุ หลายสมยั ท่ีบัญญัตหิ ลักการ สิทธิตาม รัฐธรรมนูญให้มีลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายกับถ้อยคาในสิทธิมนุษยชนแต่เป็นหลักการท่ีบัญญัติไว้ให้อยู่ภายใต้ กฎหมายที่บัญญัติจะพบถ้อยคาในรัฐธรรมนูญท่ีเขียนไว้เสมอว่า “ท้ังนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” เช่นบุคคลมีสิทธิ ในการชุมนุมทางการเมือง. ท้ังนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซ่ึงการใช้สิทธิในทางการเมืองเช่นว่าน้ีประชาชนพลเมือง ย่อมมหี ลักประกนั อยู่นอ้ ยเนอ่ื งจาก ประการแรก แม้รัฐธรรมนูญจะเขียนรับรองสิทธิไว้กว้างขวางครอบคลุมเนื้อหาสิทธิในหลาย ๆ ด้าน แต่เนื่องจากเป็นสิทธิที่บัญญัติรับรองไว้ให้อยู่ภายใต้กฎหมายอีกชั้นหน่ึงทาให้ฝ่ายบริหารไม่ยอมตรากฎหมาย เช่นว่านั้นมารับรองและคุ้มครองไว้ทาให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญท่ีบัญญัติไว้เช่นว่าน้ี แทบไม่มีความหมายต่อการ คมุ้ ครองสิทธิของประชาชน ประการที่สอง การกาหนดให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญให้อยู่ภายใต้กฎหมายท่ีจะตราข้ึนตามมาทาให้ ฝ่ายบริหารหรือรัฐสภาจากัดขอบเขตหรือสร้างเงื่อนไขข้ันตอนกระบวนการเข้าถึงสิทธิเช่นว่านั้นมีความซับซ้อน ยุ่งยากในการใช้สิทธิมากย่ิงข้ึนหรอื แม้กระท่ังขัดแย้งทาให้สาระแห่งสิทธิท่ีบัญญัติไวส้ ิ้นผลในทางปฏิบัติตามท่ีนิยม เรียกกันว่าเป็น “สิทธิแบบวาทะกรรมหรือสิทธิแบบวาทศิลป์ (Rhetoric Rights)” คือ เขียนไว้แบบหลอก ๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้มีการบังคับใช้จริงตามที่เขียนไว้อันเป็นที่นิยมและการใช้เป็นข้ออ้างต่อสังคมของ นกั ร่างรฐั ธรรมนญู ของไทยในอดีต
๒๘ ประการท่ีสาม การบังคับใช้สาระแห่งสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ยังเป็นช่องทาง ให้การบังคับใช้ให้เป็นไปตามเน้ือหาแห่งสิทธิเกิดข้อจากัดจากการวินิจฉัยหรือตีความกฎหมายไปในทางลักษณะ ที่ขัดขวางมิให้สาระแห่งสิทธิบรรลุผลได้อีกด้วย เช่น กรณีการใช้สิทธิในข้อมูลข่าวสารเคยมีคาวินิจฉัยของศาล ท่ีเคยวินิจฉัยไว้ในกรณีสิทธิที่จะรู้ในข้อมูลข่าวสารทางราชการ ซึ่งศาลเคยวินิจฉัยไว้โดยสรุปความว่า “แม้รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิท่ีจะรู้ในข้อมูลข่าวสารของทางราชการก็จริงแต่กฎหมายก็ไม่ได้ บัญญัติว่าทางราชการจะต้องเปิดเผยให้ข้อมูลข่าวสารที่ว่าน้ัน” อันแสดงให้เห็นว่าปัญหาการวินิจฉัยสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้อยู่ภายใต้กฎหมายท่ีบัญญัติจึงเป็นอุปสรรคที่สาคัญในการได้รับการรับรองและ คมุ้ ครองสิทธิตามรฐั ธรรมนูญ กรณีสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนบางด้านในแต่ละด้านน้ันมีลักษณะที่เหมือนหรือคล้าย เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันการนาไปใช้เป็นข้ออ้างสิทธิ และการบังคับใช้ในทางกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ในกรณีน้ี จะมีหลักประกันในการรับรอง และคุ้มครองสิทธิของประชาชน ทั้งน้ีเน่ืองจากมีความชัดเจนในเน้ือหา สาระแห่งสิทธิไม่มีปัญหาการตีความหรือวินิจฉัย และการมีผลบังคับถูกนาไปใช้โดยตรงอันเป็นการคุ้มครองสิทธิ ของประชาชนได้ชัดเจนและดีกว่าเพราะการกล่าวอ้างเรื่องไม่มีกฎหมายลูกรองรับหรือการกล่าวอ้างเงื่อนไข กระบวนการทางกฎหมายท่ีสลับซับซ้อนท่ีจะไม่คุ้มครองสิทธิจะเกิดขึ้นไม่ได้จากศาลที่มีเขตอานาจวินิจฉัยช้ีขาด หรอื หนว่ ยงานรฐั ทีเ่ ก่ยี วข้องกับการโตแ้ ย้งในเน้ือหาแห่งสทิ ธเิ ช่นวา่ นน้ั ในประการสาคัญสทิ ธิมนษุ ยชน และสิทธติ ามรัฐธรรมนญู มคี วามเกยี่ วข้องสัมพันธ์กันหรอื ไม่ บรรดาสทิ ธิ มนุษยชนในแต่ละด้านของประชาชน พลเมือง หากไม่เขียนหรือบัญญัติไว้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญประชาชน จะได้รบั การรับรองและคุม้ ครองสิทธเิ ช่นว่านั้นหรือไม่ คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาเห็นว่า สิทธิมนุษยชนและสิทธิตามรัฐธรรมนูญสมควรมีความสัมพันธ์ สอดคล้องเก่ียวข้องกันอย่างมีนัยสาคัญขอบเขตความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไม่อาจจากัดอยู่ในขอบเขตปริมณฑล เพียงเท่าท่ีเป็นสิทธิท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่รับรองและคุ้มครองไว้เท่าน้ัน การแยกสิทธิมนุษยชน และสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญออกจากกนั โดยเด็ดขาดไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเพ่ือเปิดโอกาสให้รัฐบัญญัติให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ท่ีได้รับรองคุ้มครองไว้อยู่ภายใต้กฎหมายท่ีจะตราข้ึนภายหลังนั้นเท่ากับการปฏิเสธความมีอยู่จริงของ สทิ ธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของประชาชนพลเมืองอันนามาสู่เง่ือนไขการใช้อานาจที่คุกคามสิทธเิ กิดความ รุนแรงและการละเมดิ สทิ ธิมนษุ ยชนในปลายทางอยู่ตลอดมา ส่วนกรณี สิทธิมนุษยชนไม่ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งน้ัน คณะกรรมาธิการฯ ขอยืนยันและเห็นว่าการท่ีสิทธิมนุษยชนข้ันมูลฐาน ประชาชนพลเมืองจะได้รับการรับรอง และคุ้มครองปกป้องจากรัฐหรือไม่นั้นในการพิจารณาวินิจฉัยกรณีนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเขียนบัญญัติไว้หรือไม่ ในรัฐธรรมนูญ โดยมีหลักในการพิจารณาในทางกฎหมายที่สาคญั กล่าวคอื ๑) สิทธิมนุษยชนซ่ึงถือเป็นสิทธิข้ันมูลฐานของมนุษย์ทุกคนที่ได้มาหรือมีแหล่งที่มาจากการ “บุคคลน้ัน ได้เกิดมา” อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันโดยสากลไม่ได้เกิดข้ึนจากการที่รัฐ มีรัฐบัญญัติให้มีสิทธิ ดังนั้นการจะได้รับ การรับรองและคุ้มครองปกป้องจากรัฐหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีกฎหมายหรือรัฐบัญญัติแต่อย่างใดไม่ หากแต่ พิจารณาจากตัวบุคคล แม้จะเอาเพศ ภาษา สีผิว ความเชอื่ ฯ มาเป็นเง่ือนไขจากดั สิทธิไม่ได้เชน่ กนั
๒๙ ๒) สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่มีลักษณะท่ีมีความผูกพันทางกฎหมาย (Legal binding) ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผูกพันในฐานะที่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (International Obligations) ที่รัฐชาติต้องให้ความ เคารพ และปฏบิ ัตติ ามดังท่ีรัฐชาตเิ ป็นภาคสี มาชิก และให้สัตยาบันรบั รอง (Ratified) ไวห้ ลายฉบับ ๓) สิทธมิ นุษยชน ในบางด้านเป็นข้อห้ามเด็ดขาดมิให้รฐั กระทา (jus congens) เช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) การบังคับสญู หาย (Enforced Disappearances) ตามแนวทางการพิจารณาของ ศาลยุติธรรมระหวา่ งประเทศ (International Court of Justice) ศาลสิทธิมนุษยชน ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) หรอื ศาลพเิ ศษแห่งสหประชาชาติ (International Tribunals) ๔) สิทธิมนุษยชน โดยในทางสากลของประเทศเสรีประชาธิปไตยที่มีอารยะถือเป็นหลักการท่ัวไป ทางกฎหมาย (General Principle of Law) ในลักษณะเดียวกับหลักกฎหมายท่ัวไป ซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง ประกนั สทิ ธขิ นั้ มลู ฐานจากการใชอ้ านาจรัฐ จากการพิจารณาพิพากษาอรรถคดโี ดยศาล (Judicial Review) ๕) สิทธิมนุษยชน และศักดิศรีความเป็นมนุษย์เคยเป็นหลักปฏิบัติชัดแจ้งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นสิทธิท่ีมีผลบังคับใช้และผูกพันต่อองค์กรของรัฐทุกองค์กร ตามความในมาตรา ๒๖ และ ๒๗๑๘ สทิ ธมิ นุษยชนกบั การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การเมืองการปกครองเป็นสัมพันธภาพของการเข้ามามีอานาจ และใช้อานาจรัฐกับประชาชนพลเมือง ภายในรัฐในด้านต่าง ๆ ให้เกิดสันติสุข อยู่ดีกินดีของประชาชน ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หลากหลายมติ ิในขณะที่สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นหลกั การเชิงท้ังเป้าหมายท่ีเป็นท้ังเง่ือนไขกระบวนของการ ใชอ้ านาจรัฐที่เกย่ี วข้องกบั การบริหารจัดการกจิ กรรมเชน่ ว่านนั้ การบรรลุถึงเป้าหมายปลายทาง และ เง่ือนไขเชิงกระบวนการใช้อานาจภายใต้สิทธิมนุษยชน จึงเป็น เจตจานง (will) ของประชาชนและรัฐหรือ (ประเทศ) ไม่จากัดว่า รัฐหรือประเทศน้ัน ๆ จะมีระบบการเมืองการ ปกครองอย่างไรเพราะเมื่อพิจารณาจากพัฒนาการท่ีมาในอดีต และท่ีเป็นอยู่ ๆ ในปัจจุบัน รัฐและประเทศต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ และพันธกรณีระหว่างประเทศ (International obligations) ในเร่ืองสิทธิมนุษยชน มากน้อย แ ต ก ต่ า งกั น อ อ ก ไป ใน ฐ า น ะ ที่ เป็ น ห ลั ก ก าร เชิ งส าก ล ซ่ึ งมี จุ ด เน้ น แ ต ก ต่ างกั น อ อ ก ไป ต าม ลั ก ษ ณ ะ ก า ร เมื อ ง การปกครองตามความเชื่อทางการเมืองท้ังจากค่ายโลกเสรีประชาธิปไตยหรือแนวทางสังคมนิยมความเช่ือ ทางศาสนา อันเป็นเหตุสาคัญให้เอกสารกติการะหว่างประเทศ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนท่ีมีและ ใช้อยู่ในปัจจุบันแยกเป็นกลุ่มสิทธิเสรีภาพทางการเมืองกลุ่มหน่ึงกับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมอีกกลุ่ม อันเปรียบเสมือนเหรยี ญสองด้านของหลกั การสิทธิมนุษยชนที่ใช้บงั คบั อย่เู วลาน้ี ถึงกระน้ันก็ตาม กล่าวจาเพาะถึงสังคมการเมืองไทยนั้นทางคณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องร่วมกันว่า การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมีหลักประกันต่อการปกป้องคุมครอง และสนับสนุนต่อ สิทธิมนุษยชนมากกว่าสังคมการเมืองท่ีอยู่นอกวิถีทางประชาธิปไตย เช่น ในระบบปฏิวัติ รัฐประหารหรือท่ีไม่ได้ เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์หรือประชาธปิ ไตยครึ่งใบท่เี รียกขานกันในสังคมการเมืองไทย ทั้งนี้ เน่ืองจาก เหตุผลสาคัญไมว่ า่ มาจาก ๑๘ มาตรา ๒๖ การใชอ้ านาจโดยองค์กรของรัฐทุกองคก์ รต้องคานงึ ถึงศกั ดิศ์ รคี วามเป็นมนุษย์ สทิ ธแิ ละเสรภี าพตามบทบญั ญัตแิ ห่งรัฐธรรมนญู น้ี มาตรา ๒๗ สทิ ธิและเสรีภาพทีร่ ัฐธรรมนญู นร้ี บั รองไว้โดยชัดแจ้งโดยปรยิ ายหรอื โดยคาวนิ จิ ฉยั ของศาลรัฐธรรมนูญยอ่ มได้รับความค้มุ ครอง และผกู พันรฐั สภา คณะรฐั มนตรี ศาล และองคก์ รอื่น ของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บงั คบั กฎหมายและการตคี วามกฎหมายทงั้ ปวง
๓๐ ๑) กระบวนการเข้าสู่อานาจท่ีเป็นประชาธิปไตยมีจุดยึดโยงกับประชาชน ผู้ใช้สิทธิเลือกต้ังเข้ามา ทาหน้าท่ีขณะท่ีการเข้าสู่อานาจภายใต้การรัฐประหารไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกหรือยินยอมจากประชาชน (บางท่านอ้างว่ามาจากกระบอกปืน) เพราะการยึดอานาจ กระทานอกวถิ ีทางตามทรี่ ัฐธรรมนญู บัญญตั ิ ๒) การใช้กฎหมายในระบอบประชาธิปไตยต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา ซ่ึงมีที่มาจาก ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ขณะที่ระบบรัฐประหารใช้คาส่ังคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย (จากการวินิจฉัยของ ศาลฎกี าของไทยในอดตี ) ๓) ในระบอบประชาธิปไตยประกันหลักการใช้อานาจแบบนิติธรรม (Rule of Law) หรือนิติรัฐ (Legal State) แต่ในระบบรัฐประหารเป็นการใช้อานาจตามอาเภอใจ (Arbitrary) จากคณะผู้ยึดอานาจ โดยปราศจากการตรวจสอบถว่ งดลุ จากองค์กรทางการเมืองอื่นใด ๔) ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกชุมนุมในทางการเมืองขณะที่ ในระบอบรฐั ประหารประชาชนพลเมอื งจะถูกจากัดสิทธิโดยเฉพาะสิทธิในทางการเมือง ๕) ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีหลักประกันจากอรรถคดีโดยศาลในการตรวจสอบทบทวน ในการใช้กฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาแต่ในระบบรัฐประหาร ในคดีความมั่นคง ซง่ึ มาจากคาสง่ั คณะรัฐประหารใชศ้ าลทหาร และวิธีพิจารณาแบบศาลทหารทป่ี ระชาชนไม่มีสทิ ธิ อุทธรณ์ ฎกี า แต่อยา่ งใด ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่าน้ีล้วนแล้วแต่เป็นเหตุปัจจัยของการใช้อานาจรัฐท่ีนาไปสู่การลิดรอนสิทธิมนุษยชน อนั เนื่องมาจากลักษณะทางการเมืองการปกครองท่ีไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นตน้ ตอสาคัญของปัญหาการละเมิด สิทธิเสรภี าพทางการเมืองในสังคมการเมืองไทย หลกั ประกันสิทธิมนษุ ยชน และกลไกคุ้มครองสง่ เสรมิ สิทธิมนษุ ยชน การท่ีประเทศจะทาให้สิทธิมนุษยชนที่ได้รับความรับรอง และคุ้มครองตามกฎหมายไม่เป็นสิทธิแบบ วาทกรรมหรือสิทธิแบบวาทศิลป์ (Rhetoric Rights) นั้น นอกเหนือจากกอปรไปด้วยหลักการสาคัญ ๆ อื่น ๆ ที่ส่งเสริมสนับสนุนไม่ว่าหลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือนิติรัฐ (Legal State) หลักการแบ่งแยกอานาจและ ตรวจสอบถ่วงดุล (The Independence of the Judiciary and the Separation of Power) หลกั การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนหลักการปกครองอื่น ๆ เช่น หลักธรรมาภิบาลที่ดี (Good Government) แล้ว บทบาทและการทาหน้าท่ีของ “ศาล” ถือเป็นหลักประกันสิทธิมนุษยชนที่สาคัญย่ิงในฐานะที่จะเป็นผู้ใช้อานาจ ทบทวนชี้ขาดการบังคับใช้กฎหมายตามท่ีเรียกการใช้อานาจในส่วนนี้ว่าอานาจในการทบทวนชี้ขาดข้อพิพาทโดยศาล หรือ (Judicial Review) ที่อิงอยู่บนหลักความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี (Independence of Judiciary and Judicial Review) มีความสามารถในฐานะศาล (Competent Court) โดยสมบูรณ์ดังท่ีกติกา ระหว่างประเทศว่าด้วยสทิ ธิพลเมืองและสิทธกิ ารเมืองได้บัญญัติหลกั ประกนั เช่นว่าน้ีไว้ตามข้อบทท่ี ๑๔ อนบุ ัญญัติ ที่ ๑ ความว่า “บุคคลทั้งปวงย่อมเสมอกันในการพิจารณาของศาลและตุลาการในการพิจารณาคดีอาญา ซ่ึงตนต้องหาว่า กร ะ ท าผิ ด ห รื อ ก าร พิ จ าร ณ าค ดี เกี่ ย ว กั บ สิ ท ธิ แ ล ะห น้ า ที่ ข อ งต น บุ ค ค ล ทุ ก ค น ย่ อ ม มี สิ ท ธิ ได้ รั บ ก า ร พิ จ า ร ณ า อย่างเปิดเผยและเป็นธรรมโดยคณะตุลาการซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายมีความสามารถ มีความเป็นอิสระและ เป็นกลาง ส่ือมวลชนและสาธารณชนอาจถูกห้ามเข้าฟังการพิจารณาคดีทั้งหมดหรือบางส่วนก็ด้วยเหตุผล ทางศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของชาติในสังคมประชาธิปไตย หรือเพื่อความ
๓๑ จาเป็นเกี่ยวกับส่วนได้เสียในเรื่องชีวิตส่วนตัวของคู่กรณีหรือในสภาพการณ์พิเศษ ซ่ึงศาลเห็นว่าจาเป็นอย่างยิ่ง เม่ือการพิจารณาโดยเปิดเผยน้ัน อาจเป็นการเสื่อมเสียต่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแต่คาพิพากษาในคดีอาญา หรือคาพิพากษาหรือคาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีอ่ืนต้องเปดิ เผยเว้นแต่จาเปน็ เพือ่ ประโยชน์ของเด็กและเยาวชนหรือ เปน็ กระบวนพจิ ารณาเก่ียวด้วยข้อพพิ าทของคู่สมรสในเร่ืองการเป็นผู้ปกครองเด็ก”๑๙ หลักประกัน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะความเป็นอิสระ ความสามารถ ความเป็นกลาง ซ่งึ ถูกจดั ตั้งข้ึนตามกฎหมายท่ีมีความเป็นสากลทีก่ ล่าวถึงข้างต้นน้ี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ เอง กไ็ ด้บญั ญตั ริ ับรองการทาหน้าที่ของศาลไว้ในหมวดที่ ๑๐๒๐ แต่ถึงกระน้ันก็ตาม กรณีหลักประกันสิทธิเสรภี าพหรือสิทธิมนุษยชนโดยศาลในประเทศไทยน้ันมีปญั หา ทางกฎหมายทีค่ ณะกรรมาธิการ ฯ เห็นสมควรต้องพจิ ารณาต่อไปอีก ๓ ประการคือ (๑) ขอบเขตของความเป็นอิสระของศาลที่แม้วา่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จะบัญญัติไว้ตามความในหมวด ๑๐ และ ๑๑ บางส่วนก็ตาม แต่หาได้มีความม่ันคงมีความเป็นอิสระ กรณี หากประเทศมีการเปลี่ยนแปลงนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะผู้ยึดอานาจรัฐประหารได้มีคาส่ังท่ียกเลิก รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือบางส่วนอันส่งผลเป็นการล้มล้างอานาจศาล และความเป็นอิสระของศาลไปด้วย แม้คณะผู้ทารัฐประหารจะมีคาส่ังให้ศาลทาหน้าที่พิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่อไปหรือให้ทาหน้าท่ีเป็นศาลทหาร หรือการโอนคดีความผิดที่คณะรัฐประหารกาหนดเป็นความผิดบางประเภทให้อยู่ในอานาจศาลทหารท่ีพิจารณา เป็นอยา่ งอ่ืนไปไม่ได้เลยว่ากรณีการทาหน้าที่ของศาลในกรณีกล่าวถงึ ข้างต้นน้ถี ูกตั้งข้ึนหรือสถาปนาข้ึนโดยอานาจ รัฐประหาร (คาสั่งรัฐประหารก่อต้ังศาลได้) จึงส่งผลอย่างมีนัยสาคัญต่อการใช้อานาจของศาล และหลักประกัน ความเป็นอิสระของศาล ตลอดจนความสามารถของศาล และสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือสิทธิมนุษยชน ในปลายทางเพราะจะมีปัญหาสถานภาพทางกฎหมายของคณะรัฐประหารที่เข้ามายึดอานาจจากรัฐบาลพลเ รือน ที่มาตามวิถีทางรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยเป็นกลุ่มบุคคลและคณะบุคคลใช้อานาจรัฐท่ีถูกต้องหรือไม่ ซง่ึ เป็นปัญหาความสามารถของการใช้อานาจ (Competent Authority) ด้วยในขณะเดยี วกนั (๒) ความเป็นอิสระของตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๘ วรรคสอง จะบัญญัติรับรองความเป็นอิสระของตุลาการไว้ว่าการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดีใหเ้ ป็นไป ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแต่กรณีมีการล้มล้างยกเลิกรัฐธรรมนูญไม่มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการน้ัน แต่มี “คาสั่ง” คณะรัฐประหารท่ีตราข้ึนมา “ภายหลัง” คาส่ังดังกล่าวมีฐานะที่เป็นกฎหมายโดยชอบ เหมอื นกฎหมายท่ตี ราขนึ้ โดยรฐั สภาทมี่ าจากการเลอื กต้ังของประชาชนหรอื ไม่ ๑๙ “All persons shall be equal before the courts and tribunals. In the determination of any criminal charge against him, or of his rights and obligations in a suit at law, everyone shall be entitled to a fair and public hearing by a competent, independent and impartial tribunal established by law. The press and the public may be excluded from all or part of a trial for reasons of morals, public order (order public) or national security in a democratic society, or when the interest of the private lives of the parties so requires, or to the extent strictly necessary in the opinion of the court in special circumstances where publicity would prejudice the interests of justice; but any judgement rendered in a criminal case or in a suit at law shall be made public except where the interest of juvenile persons otherwise requires or the proceedings concern matrimonial disputes or the guardianship of children.”- Article ๑๔ ICCPR. ๒๐ มาตรา ๑๙๙ การพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดี เปน็ อานาจของศาล ซง่ึ ตอ้ งดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย และ ในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษตั รยิ ์ ผพู้ พิ ากษาและตลุ าการยอ่ มมอี ิสระในการ พิจารณาพพิ ากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนญู และกฎหมายใหเ้ ป็นไปโดยรวดเรว็ เป็นธรรม และปราศจาก อคตทิ ง้ั ปวง
๓๒ จากการศึกษาติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่าศาลและตุลาการไทยยังคงใช้แนวคาพิพากษา จากศาลฎีกาในอดตี ทเ่ี คยพิจารณาพพิ ากษาให้คาส่ังคณะปฏิวัตริ ัฐประหารมสี ถานะเปน็ “กฎหมาย” เพราะมาจาก รัฏฐาธิปัตย์อันส่งผลเป็นการรับรองอานาจคณะรัฐประหารท่ีไม่เพียงแต่จะรับรองอานาจในการตรากฎหมาย โดยอาเภอใจของคณะผู้ทารัฐประหารให้มีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปแล้วยังรับรองอานาจของคณะรัฐประหาร ในการจัดตงั้ ศาลให้มาใช้อานาจพิจารณาพิพากษาอีกด้วย คณะกรรมาธิการฯ ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งจากการใช้อานาจของศาลและตุลาการท่ีรับรองคาส่ัง คณะรัฐประหารมฐี านะเป็นกฎหมายมสี ถานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ทีม่ ีลักษณะเช่นเดียวกันกับกฎหมายท่ีตราโดยรฐั สภา เพราะถอื ได้วา่ การวนิ จิ ฉัยไปในแนวทางดงั กล่าวเป็นการ ๑) เปลี่ยนแปลงหลักการทางการเมืองการปกครองจากที่เคารพยึดถือประชาชนผู้มีอานาจสูงสุด มาเปน็ คณะรฐั ประหารคือผู้มอี านาจสูงสุดแทน นอกจากนกี้ ารวนิ จิ ฉัยทางกฎหมายข้างตน้ ยังไมส่ อดคล้อง สวนทาง และขัดแย้งกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ผูกพันต่อประเทศไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมือง และสิทธิในทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR ๑๙๖๖) ตามข้อบัญญัติท่ี ๑ ข้อ ๑ ที่ว่า ประชาชนทุกคนเป็นผู้มีสิทธิในการกาหนดชีวิตตนเอง (Self-determination)๒๑ ท่ีทรงอานาจสงู สดุ ในทางกฎหมาย ๒) ทาลายหลักความเป็นอิสระของศาล (Independence of the Judiciary) เสียเองท่ียอมรับและ รับรองการกระทาท่ีผิดกฎหมาย (การรัฐประหาร) นอกวิถีการตามรัฐธรรมนูญให้เป็นส่ิงที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสถานะของศาลที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ก่อต้ังโดยรัฐธรรมนูญสามารถก่อตั้งขึ้นใช้ อานาจศาลได้ใหม่อีกครั้ง เม่ือคณะผู้ยึดอานาจรัฐประหารมีคาส่ังให้มีอานาจต่อไปหรือแม้มีอานาจที่ถูกจากัดลง ต่อกรณีการการกาหนดลักษณะความผิดอื่น ๆ ให้อยู่ในอานาจศาลอื่น ๆ (ศาลทหาร) ตลอดจนการตัดสิทธิ ศาลอุทธรณห์ รือศาลฎกี า มีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดีต้องถูกตดั สทิ ธไิ ปด้วย ยิ่งไปกว่าน้ันยังเป็นการฝ่าฝืนปฏิบัติท่ีสวนทางไม่สอดคล้องกับหลักประกันความเป็นอิสระของศาล ตามพันธกรณีระหว่างประเทศท่ีราชอาณาจักรไทยมีพันธกรณีไว้ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิในทางการเมือง ( International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR ๑๙๖๖) ในบทบัญญัติท่ี ๑๔ ข้อ ๑ ที่บัญญัติเงื่อนไขหลักการการใช้ลงโทษบุคคลใด ๆ ในฐานะศาลทีก่ ่อตั้งจาก “กฎหมาย” ทผ่ี ่านความเหน็ ชอบจากรฐั สภาตรงกับคาในบทบญั ญตั ทิ ี่ระบไุ วว้ ่า “ถูกจัดต้ังโดยกฎหมาย”หรือ established by law๒๒ จึงเป็นไปไม่ได้เลยในการวินิจฉัยคาว่ากฎหมายหรือคาว่า Law ตามกติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีความ ผูกพันน้ีมีความหมายเช่นเดียวกับ “คาสั่ง” คณะผู้ทารัฐประหารด้วยหรือจะวินิจฉัยไปในทางท่ีว่าอานาจศาล เกิดจากคาสั่งคณะผทู้ ารฐั ประหารได้เชน่ เดียวกนั ตอ่ ภาคสี มาชกิ ของกตกิ าระหว่างประเทศข้างต้น ซึง่ จะไม่มีรัฐภาคี สมาชิกชาติไหนรับรองการวินิจฉัยไปในแนวทางท่ีทาลายความเป็นอิสระของศาลหรือรับรองการกระทาการ รฐั ประหารเปน็ การกระทาทีถ่ กู ตอ้ งตามหลักนิติธรรม (Rule of Law) หรอื นิติรฐั (Legal State) ๒๑ Article ๑ ICCPR, ‘All people have the right of self-determination. By virtue of that right they freely determine their political status and freely pursue their economic, social and cultural development’. ๒๒ Article ๑๔ ICCPR, ‘All persons shall be equal before the court and tribunals. In the determination of any criminal charge against him, or of his rights and obligations in a suit at law. Everyone shall be entitled to a fair and public hearing by a competent, independent and impartial tribunal established by law……..’
๓๓ ในประการสาคัญหลักประกันสิทธิมนุษยชนโดยศาลและตุลาการภายใต้หลั กความเป็นอิสระ ของศาลและตุลาการผลจากการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ยังพบหลักประกันที่สาคัญระหว่างประเทศอีก ๒ ฉบับ ซึ่งการใช้อานาจศาลและตุลาการในกรณีการรับรองการกระทาและคาสั่งของคณะรัฐประหารดังกล่าว ข้างต้นยังไม่เป็นไปตามหลักมาตรฐานและความสอดคล้องกับหลักการพ้ืน ฐานว่าด้วยความเป็นอิสระของศาล หรือ Basic Principles on the Independence of the Judiciary๒๓ ที่รับรองโดยข้อมติของสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติที่ ๔๐/๓๒ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ และข้อมติท่ี ๔๐/๑๔๖ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๙ ตลอดจนหลักจรรยาบันในการใช้อานาจหน้าที่ของศาลและตุลาการที่รู้จักกันในทางสากลว่า Bangalore Principles of Judicial Conduct ๒๐๐๒๒๔ โดยหลักการทั้ง ๒ ฉบับนี้ถือเป็นหลักประกันสิทธิมนุษยชนท่ีสาคัญ ย่ิงที่เป็นมาตรการควบคุมจรรยาบันศาลและตุลาการเมื่อใดก็ตามท่ีใช้อานาจหน้าที่ในฐานะของศาลและตุลาการ กบั อรรถคดอี นั จะเป็นหลักประกันและค้มุ ครองสิทธมิ นุษยชนอยา่ งสงู สดุ ต่อประชาชน คณะกรรมาธิการฯ จึงเห็นว่าการใช้อานาจศาลที่ไปรับรองการกระทาและคาส่ังของคณะผู้ทา รั ฐ ป ร ะ ห า ร เป็ น ก ฎ ห ม า ย จึ ง เป็ น ส า เห ตุ ที่ ส า คั ญ ที่ ท า ให้ ห ลั ก ป ร ะ กั น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น จ า ก ศ า ล แ ล ะ ตุ ล า ก า ร ตามมาตรฐานสากลสูญส้ินไป เร่ืองน้ีซึ่งเป็นปัญหาเชิงสาระสาคัญและเป็นปัญหาเชิงหลักการที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยชอบและให้มีอกี ตอ่ ไป หากรัฐสภาจะแสดงบทบาทในการปกป้องคมุ้ ครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยต่อไป (๓) การพิจารณาพิพากษาตาม “รัฐธรรมนูญและกฎหมาย” โดยไม่คานึงถึงพันธกรณีที่มีต่อ ราชอาณาจักรไทยโดยที่การใช้อานาจของศาลและตุลาการในการพิจารณาอรรถคดีมีความสาคัญสูงสุด ต่อหลักประกันสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนษุ ยชน ซง่ึ รัฐชาติท่ียึดเอาการใช้อานาจการเมืองการปกครองภายใต้ระบบ รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยท่ีสร้างหลักประกันความเป็นอิสระของศาลและตุลาการไว้ในรัฐธรรม นูญ เพอ่ื เป็นกลไกควบคุม จากดั การใช้อานาจรัฐ ขณะเดียวกันกบั คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและสทิ ธมิ นุษยชนตอ่ ประชาชน ควบคู่กับการบัญญัติรับรองสาระแก่นสาร (essence) สิทธิเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชนในแต่ละด้านไว้ใน รัฐธรรมนญู เปน็ สิทธิเสรภี าพท่ีรัฐธรรมนูญรับรองและค้มุ ครอง (สิทธติ ามรัฐธรรมนญู ) ด้วยเมื่อคานึงถึงที่มาหรือบ่อเกิดของสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนท่ีมีที่มาแตกต่างกัน ซ่ึงอาจจะเหมอื นสอดคล้องในสาระ (essence) หรอื มคี วามแตกต่างกนั ได้แต่ถึงกระนนั้ ก็ตาม กรณีพันธกรณีระหว่างประเทศ (International Obligations) ที่ราชอาณาจักรไทยไดเ้ คยทาคามั่น มีความผูกพัน (Commits) ไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ โดยเฉพาะอย่างย่ิงที่มีต่อ ประเดน็ การคุ้มครองสิทธิมนษุ ยชน (Human Rights) อันจะทาให้บ่อเกิดทม่ี าของหลักการทางกฎหมายที่เกี่ยวขอ้ ง ๒๓ เป็นหลักการพืน้ ฐานที่ประกนั ความเปน็ อิสระของศาล ซง่ึ ที่ประชมุ ใหญแ่ ห่งสหประชาชาติใหก้ ารรับรองเพ่ือเป็นแนวทางให้ประเทศตา่ ง ๆ นาไปเปน็ แนวทางการทาหน้าทข่ี องตุลาการ โดยกาหนดแนวทางตา่ ง ๆ เพอื่ เป็นการประกนั ความเป็นอสิ ระของศาล เชน่ รัฐธรรมนญู ต้องประกนั ความเป็น อสิ ระของศาลไว้ในรฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมาย การกาหนดหนา้ ทีข่ องรัฐบาลและองค์กรทางการเมอื งท่ตี อ้ งให้ความเคารพต่อความเป็นอิสระของศาล เปน็ ตน้ ๒๔ Bangalore Principles of Judicial Conduct ๒๐๐๒ เปน็ ประมวลจรรยาบันท่ีเป็น เคร่อื งมือในการตรวจสอบการทาหน้าท่ขี องศาลและตลุ าการ ซงึ่ พฒั นาต่อยอดจากคณะผู้พพิ ากษาอสิ ระจากหลากหลายประเทศให้เป็นหลกั การพืน้ ฐานทป่ี ระกนั ความเปน็ อิสระของศาล (Basic Principles on the Independence of the Judiciary) ทม่ี รี ายละเอยี ดชดั เจนมากขึ้นในการสรา้ งหลกั ประกัน สิทธมิ นษุ ยชน สทิ ธิมนุษยชนที่กาหนดรายละเอียดหลกั การเชงิ คุณคา่ ๖ ประการในการทาหนา้ ท่ีของศาลและตลุ าการ ได้แก่ ความเปน็ อิสระ (Independence) ความไม่ลาเอียงหรือสองมาตรฐาน (Impartiality) ยดึ มนั่ ตอ่ จรรยาบรรณในวิชาชีพ (Integrity) ความถูกต้องเหมาะสม (Propriety) ความเสมอภาค เท่าเทียม (Equality) และความสามารถ และความพากเพียรท่ีเสยี สละ (Competence and diligence) รายละเอยี ดโปรดดตู ามภาคผนวกทา้ ย รายงาน
๓๔ กับสิทธิมนุษยชนเพ่ิมข้ึนนอกเหนือจากกฎหมายภายในประเทศ (Domestic Laws) ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญหรือ กฎหมายภายในท่ีมีผลบังคับใช้จึงมีปัญหาว่าในการใช้อานาจศาลและตุลาการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๘ จะประกันความเป็นอิสระของศาล และตุลาการไว้๒๕การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในกรณีปัญหาข้อพิพาทท่ีเก่ียวข้องกับการใช้สิทธิเสรีภาพ ของประชาชนและสิทธิมนุษยชนพ้ืนฐานนั้นจะผูกพันองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายบริหารหรือฝ่ายศาลและ ตุลาการจะหยิบยกเอาพันธะกรณีที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนที่ว่านั้นมาใช้ในการทบทวนตรวจ สอบ กบั กรณีปัญหาข้อพิพาททเี่ กิดขนึ้ หรอื ไม่ เพียงใด คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามความในมาตรา ๑๘๘ รัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ทีบ่ ัญญตั ิเป็นหลกั การไว้วา่ “มาตรา ๑๘๘ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล ซ่ึงต้องดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษัตริย์ ผ้พู ิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดตี ามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ให้เป็นไปโดยรวดเรว็ เป็นธรรม และปราศจากอคตทิ ้ังปวง” ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๘ วรรคสอง ตามความท่ีว่า “ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” ดังน้ันคาว่า “กฎหมาย” ท่ีศาลจะนามาพจิ ารณาจึงหมายความรวมถึงบรรดากฎหมายท้ังปวงท่ีเกีย่ วข้องกับข้อเทจ็ จริง (Facts) โดยเฉพาะอย่างยงิ่ กับพันธกรณรี ะหว่างประเทศทเี่ ป็นกฎหมายประเภทกฎหมายระหว่างประเทศ ซ่งึ มีผลผกู พันต่อ ราชอาณาจักรไทยท่ีศาลในฐานะท่ีเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญจึงต้องให้ความเคารพและมีความผูกพันในฐานะ เป็นองค์กรผู้ใช้อานาจทบทวนชี้ขาดข้อพิพาทหรือ Judicial Review ต่อพันธกรณีที่ราชอาณาจักรไทยมีความ ผูกพันโดยเฉพาะที่เก่ียวกับสิทธิมนุษยชนโดยหลักการท่ีสาคัญนี้ถือเป็นเหตุผลที่แสดงไว้ปรากฏตามหลักการ พ้ืนฐานว่าด้วยความเป็นอิสระของศาลหรือ Basic Principles on the Independence of the Judiciary ในส่วนคาปรารภ๒๖ โดยเพาะอย่างย่ิงในส่วนที่เป็นสาระสาคัญเกี่ยวกับการพิจารณาอรรถคดีท่ีต้องต้ังอยู่บนความ เป็นกลางอย่างเคร่งคัดบนพ้ืนฐานของข้อเท็จจริง (Facts) และสอดคล้องกับกฎหมายปราศจากข้อจากัดใด ๆ การแทรกแซงใด ๆ การชักจูงใด การกดดัน ข่มขู่คุกคาม ทั้งทางตรงหรือโดยอ้อมไม่ว่าจะมากหรือน้อยหรือเพื่อ เหตุผลใด๒๗ ยิ่งไปกว่าน้ันตามประมวลจรรยาบรรณการทาหน้าท่ีของศาลและตุลาการแห่งบังกลอร์หรือ Bangalore Principles of Judicial Conduct ๒๐๐๒ ในส่วนท่ี ๑ ที่เป็นหลักการว่าด้วยความเป็นอิสระของศาล และตุลาการไดบ้ ญั ญัติใหค้ วามเป็นอิสระของศาลและตุลาการถือเป็นสิ่งสาคญั ท่ีจะต้องทาใหม้ ีขน้ึ ก่อนหลกั นิตธิ รรม (Rule of Law) และตามประกันขั้นพ้ืนฐานในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมตุลาการจะต้องค้าจุนให้หลัก ๒๕ มาตรา ๑๘๘การพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดเี ปน็ อานาจของศาล ซึง่ ต้องดาเนนิ การให้เปน็ ไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษตั ริย์ ผพู้ ิพากษาและตลุ าการยอ่ มมอี สิ ระในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดตี ามรฐั ธรรมนูญและกฎหมายใหเ้ ปน็ ไปโดยรวดเรว็ เปน็ ธรรม และปราศจากอคติ ทัง้ ปวง ๒๖ Whereas rules concerning the exercise of judicial office should aim at enabling judges to act in accordance with those principles, โดยทก่ี ฎเกณฑ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับการทาหนา้ ทีข่ ององค์กรในกระบวนการยตุ ธิ รรมสมควรทีจ่ ะใหค้ ณะตลุ าการ ถอื ปฏบิ ตั ใิ ห้สอดคลอ้ งกบั หลักการพืน้ ฐานนี้ ๒๗ The judiciary shall decide matters before them impartially, on the basis of facts and in accordance with the law, without any restrictions, improper influences, inducements, pressures threats or interferences, direct or indirect, from any quarter or for any reason.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 459
Pages: