Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือมอนเทสซอริ

คู่มือมอนเทสซอริ

Published by Library Online, 2021-07-19 05:08:44

Description: คู่มือมอนเทสซอริ

Search

Read the Text Version

คาํ นาํ เอกสารคมู อื การจดั การเรยี นรคู ละชนั้ ระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ ไดจ ดั ทาํ ขนึ้ สาํ หรบั ครปู ฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ เพอื่ ใชจ ดั ประสบการณใ หเ ดก็ ปฐมวยั ในหอ งเรยี นคละชนั้ (อนบุ าล 1 และอนบุ าล 2 รวมกัน) เน่ืองจากแนวทางของมอนเทสซอริ สอดคลองกบั การจดั การเรยี นรูค ละชั้นท่สี ง เสรมิ ใหน ักเรยี นมีวนิ ัย ควบคุม ตนเองได สามารถพงึ่ ตนเอง เรยี นรูรว มกันกับเพ่ือนอยา งมคี วามสุข และมปี ฏิสัมพนั ธท ดี่ กี ับครแู ละเพอื่ น ซ่งึ เปน หลัก การสาํ คัญพืน้ ฐานของการจัด การเรียนรูค ละชั้น สอ่ื และกจิ กรรมของมอนเทสซอรไิ ดค ดั เลอื กนาํ มาใชใ หเ หมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรยี นขนาดเลก็ ซงึ่ มที รพั ยากร จาํ กดั สอ่ื บางชนิ้ ทนี่ าํ เสนอในเอกสารเปน สอ่ื ทหี่ าซอ้ื ได คณุ ครสู ามารถปรบั ใชต ามแนวทางมอนเทสซอริ รวมทงั้ สอ่ื ทอ งถน่ิ ทผ่ี ลิตขนึ้ ในแตละภูมภิ าค ขอขอบคณุ คณะทาํ งานทุกทาน ท่ีรวมแรงรวมใจถอดประสบการณท ไ่ี ดร บั จากการอบรม การจดั การเรยี นรู ระดบั ปฐมวยั ตามแนวทางมอนเทสซอริ ซง่ึ สมาคมมอนเทสซอรแิ หง ประเทศไทย สํานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐานรวมมอื กนั ในการอบรมพัฒนาครูผสู อนปฐมวยั ในการนาํ แนวความคิดมอน เทสซอรมิ าบรู ณาการกบั หลกั การจดั การศกึ ษาปฐมวยั ของประเทศไทย เพอ่ื นาํ มาปรบั ใชใ นโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยคดั เลอื ก กจิ กรรมและสื่อทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ ไทย นับเปนคุณประโยชนต อการศกึ ษาปฐมวัยและโรงเรียนขนาดเล็กทว่ั ประเทศ สาํ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน เมษายน 2556



สารบัญ 1 20 คํานาํ 22 การเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ 24 กิจกรรมหมวดชีวติ ประจําวนั 26 28 กิจกรรมท่ี 1 การยกเกา อี้ 30 กจิ กรรมท่ี 2 การมวนเสอ่ื หรือพรม 32 กจิ กรรมที่ 3 การพบั ผา 34 กิจกรรมท่ี 4 การปแู ละเกบ็ ท่นี อน 36 กิจกรรมที่ 5 การตกั ถัว่ 38 กจิ กรรมที่ 6 การเทขา ว,ถั่ว 41 กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตง ตัว กระดมุ 44 กจิ กรรมที่ 8 กรอบแตงตวั เขม็ ขัด 46 กิจกรรมท่ี 9 การลางมือ 50 กจิ กรรมที่ 10 การลา งโตะ 52 กิจกรรมท่ี 11 การขดั โลหะ 54 กิจกรรมที่ 12 การเดนิ จงกรม 56 กจิ กรรมที่ 13 การมอบของขวัญ 58 กิจกรรมท่ี 14 การกราบแม 60 กจิ กรรมที่ 15 การเช็ดใบไม 62 กจิ กรรมท่ี 16 การขดั รองเทา 66 กจิ กรรมหมวดประสาทรับรู 68 กิจกรรมที่ 1 แทน กระบอกพมิ พ 71 กจิ กรรมที่ 2 หอชมพู 73 กิจกรรมที่ 3 บนั ไดน้าํ ตาล 75 กิจกรรมท่ี 4 พลองแดง 78 กจิ กรรมท่ี 5 แถบสี กลอ งที่ 1 80 กจิ กรรมท่ี 6 แถบสี กลอ งท่ี 2 82 กิจกรรมที่ 7 แถบสี กลอ งที่ 3 กจิ กรรมที่ 8 ตเู รขาคณิต กจิ กรรมที่ 9 ลูกบาศกสองตัวแปร กจิ กรรมที่ 10 กระดานขรุขระและเรียบ

กจิ กรรมท่ี 11 แถบอุณหภมู ิ 84 กิจกรรมท่ี 12 แถบน้าํ หนัก 86 กจิ กรรมท่ี 13 การจดั กลมุ 88 กิจกรรมท่ี 14 กลองเสยี ง 90 กจิ กรรมท่ี 15 ขวดอุณหภมู ิ 92 กิจกรรมท่ี 16 การชมิ รส 94 กิจกรรมที่ 17 การดมกล่ิน 96 กจิ กรรมที่ 18 เรขาคณติ ทรงทึบ 98 กิจกรรมหมวดภาษา 100 กิจกรรมสง เสรมิ การพดู การฝกภาษา 102 การสะสมคาํ ศพั ท 102 กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรมสง เสริมภาษาพดู 102 กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมเรยี นรคู าํ ศพั ทจากสงิ่ แวดลอมในหองเรยี น 107 กจิ กรรมที่ 3 การจาํ แนกพยญั ชนะตน (เสียง - รปู ) 111 กจิ กรรมท่ี 4 การสะสมคาํ ศพั ท : ชุดบัตรภาพ 114 กจิ กรรมสง เสริมการเขียน 117 กิจกรรมท่ี 1 ตัวอกั ษรกระดาษทราย 117 กิจกรรมท่ี 2 ตวั อักษรเคลื่อนที่ 120 กจิ กรรมท่ี 3 แผน โลหะลีลามอื 123 กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมฝกการเขยี นดวยมอื 126 กจิ กรรมสง เสริมการอาน 129 กจิ กรรมที่ 1 กลอ งวัตถกุ ลอ งที่ 1 129 กิจกรรมท่ี 2 กลองวตั ถกุ ลองที่ 2 131 กจิ กรรมท่ี 3 คาํ ยาก 136 กิจกรรมชุดการอานอนกุ รม 138 กิจกรรมที่ 1 ชอื่ วัตถุและอปุ กรณต างๆ ในสงิ่ แวดลอ ม 138 กิจกรรมที่ 2 คณุ ลักษณะตา งๆ ของอุปกรณฝ ก ประสาทรบั รู 140 กิจกรรมที่ 3 ชุดบัตรภาพตางๆ (ฝก การจาํ แนก – จดั กลมุ ) 142 กิจกรรมชุดการอานหนา ทข่ี องคํา 145 กจิ กรรมที่ 1 คาํ คณุ ศพั ท 145 กจิ กรรมท่ี 2 คําคุณศพั ทสมเหตสุ มผล 147 กิจกรรมท่ี 3 คาํ คุณศัพทส บื คน 150 กิจกรรมที่ 4 คําสนั ธาน 152

กิจกรรมที่ 5 คําบพุ บท 154 กิจกรรมท่ี 6 คาํ กริยา 156 กจิ กรรมท่ี 7 คาํ กรยิ าวเิ ศษณ 158 กจิ กรรมท่ี 8 คํากริยาวิเศษณส มเหตสุ มผล 160 กจิ กรรมที่ 9 คาํ ส่ังตอเน่ือง 162 กจิ กรรมที่ 10 ลักษณะอื่นๆ ของคาํ กรยิ า 164 กจิ กรรมการอานชุดภมู ศิ าสตร 166 กิจกรรมที่ 1 ลกู โลกกระดาษทราย 166 กิจกรรมท่ี 2 ลกู โลกสี 167 กจิ กรรมที่ 3 รปู ตอแผนทีโ่ ลก 169 กิจกรรมท่ี 4 รูปตอแผนที่และบตั รภาพ 171 กิจกรรมท่ี 5 รปู ตอแผนทีแ่ ละบตั รคาํ 172 กิจกรรมที่ 6 ธงชาติตาง ๆ 173 กิจกรรมท่ี 7 กิจกรรมตกุ ตาเครอื่ งแตงกายอาเซยี น 174 กิจกรรมหมวดคณิตศาสตร 176 กลมุ งานที่ 1 ความเขา ใจที่มีตงั้ แต 1-10 และ 0 178 กิจกรรมที่ 1 ไมจํานวน 178 กิจกรรมท่ี 2 ตัวเลขกระดาษทราย 182 กิจกรรมท่ี 3 ไมจ ํานวนและบตั รเลข 185 กิจกรรมท่ี 4 กลองกระสวย 193 กิจกรรมที่ 5 บัตรเลขและเบีย้ 196 กจิ กรรมท่ี 6 เกมจาํ ตวั เลข 199 กลุมงานที่ 2 ระบบเลขฐานสิบ 201 กิจกรรมที่ 1 การนําเสนอบทเรยี นดวยลกู ปด 201 กจิ กรรมท่ี 2 การนาํ เสนอบทเรยี นดวยบตั รเลข 207 กิจกรรมท่ี 3 การสรา งจาํ นวนดว ยลกู ปด และบตั รเลข 201 กจิ กรรมท่ี 4 การบวกธรรมดา 215 กจิ กรรมท่ี 5 การบวกแบบมที ด 218 กจิ กรรมที่ 6 การลบธรรมดา 221 กิจกรรมท่ี 7 การลบแบบกระจาย 225 กิจกรรมที่ 8 แนะนาํ เกมเลนเบี้ยอากร 229 กจิ กรรมท่ี 9 การบวกแบบธรรมดาดว ยเบี้ยอากร 233 กจิ กรรมที่ 10 การบวกแบบมที ดดวยเบยี้ อากร 237

กิจกรรมท่ี 11 การลบธรรมดาดวยเบ้ยี อากร 241 กิจกรรมท่ี 12 การลบมกี ระจายดวยเบยี้ อากร 245 กลุมงานท่ี 3 นบั ตอเน่ือง 249 กจิ กรรมท่ี 1 ลูกปด 11-19 249 กิจกรรมท่ี 2 กระดาน 11- 19 พรอ มบัตรเลข 253 กิจกรรมท่ี 3 กระดานพรอมลูกปด และบัตรเลข 11-19 256 กจิ กรรมท่ี 4 กระดาน 10-90 (99) พรอมลกู ปด และบัตรเลข 258 กลุมงานที่ 4 พัฒนาการจํา 262 กิจกรรมท่ี 1 งูบวก 262 กจิ กรรมท่ี 2 กระดานบวก 268 กจิ กรรมที่ 3 ตารางฝก หัดบวก หมายเลข 1 274 กจิ กรรมที่ 4 ตารางฝก หัดบวก หมายเลข 2 277 กจิ กรรมท่ี 5 ตารางฝกหดั บวก หมายเลข 3 280 กจิ กรรมที่ 6 ตารางฝก หดั บวก หมายเลข 4 283 กจิ กรรมที่ 7 งลู บ 285 กิจกรรมที่ 8 กระดานลบ 291 กิจกรรมที่ 9 ตารางฝกหดั ลบ หมายเลข 1 296 กจิ กรรมท่ี 10 ตารางฝกหัดลบ หมายเลข 2 298 บรรณานุกรม 301 คณะทํางาน 302

การเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริ (Montessori) มอนเทสซอริคอื อะไร ? มอนเทสซอริ คอื ช่ือสกุลของแพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ ชาวอิตาลี ถอื กาํ เนิดขน้ึ เม่ือ ค.ศ.1870 เธอสาํ เรจ็ การศึกษาเปนแพทยห ญิงคนแรกของอติ าลี ในป ค.ศ.1896 แพทยห ญงิ มอนเทสซอริไดคดิ คน ระบบการจดั การศึกษา สาํ หรบั เดก็ กอ นวยั เรยี นขน้ึ มาใหม ซง่ึ เปน วธิ กี ารศกึ ษาทอ่ี อกแบบมาใหต อบสนองความตอ งการพนื้ ฐานของเดก็ กอ นวยั เรยี น ระบบการศกึ ษามอนเทสซอริเปนท่ียอมรับทวั่ โลก โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ (ปย ะนชุ ชัชรตั น. 2552:2) ความเปนมาของการสอนแบบมอนเทสซอริ การสอนแบบมอนเทสซอริ เปน การสอนทค่ี ดิ รเิ รมิ่ โดยแพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ (Dr. Maria Montessori) ตงั้ แต ป ค.ศ. 1907 โดยพฒั นาจากการสงั เกตเดก็ ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ จากความเชอ่ื ทว่ี า การเรยี นรเู กดิ ขน้ึ จากภายในตนเอง การศกึ ษาของแตล ะบคุ คลจงึ ใชเ วลายาวนานมากกวา ชวั่ โมงและจาํ นวนปท แ่ี ตล ะคนใชใ นหอ งเรยี น เพราะวา คนเราถกู กระตนุ ใหอ ยากรอู ยากเหน็ ตามธรรมชาติ และมคี วามรกั ในการใฝห าความรู แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ ไดร เิ รมิ่ การสอนสาํ หรบั เดก็ ท่ีมคี วามบกพรอ งทางสตปิ ญ ญา และพัฒนาการสอนจนสมบรู ณแบบเพื่อใชก ับเด็กทว่ั ไป ทฤษฎขี อง มอนเทสซอรเิ ปน ท่ี ยอมรับของคนทัว่ โลก ดวยวธิ ีการสอนนเี้ ด็กสามารถ อานเขยี น และคดิ คํานวณดวยวธิ ีธรรมชาติเหมอื นการหัดเดนิ และ พดู เดก็ ไดท าํ งานตามชวงเวลาของความสนใจและตามความพรอมของแตล ะคน เดก็ มวี นิ ัยในตนเอง รูจักควบคมุ ตนเอง รจู ักมารยาทในการรอ การเอ้อื เฟอ เผื่อแผชวยเหลอื ซงึ่ กันและกนั การใชก ิรยิ าวาจาที่ดีตอ กนั รจู กั รับผิดชอบในการกระ ทําของตนเอง โดยใชอปุ กรณช ้ินใดแลว ตองเก็บเขาทีใ่ หเรียบรอ ย รจู ักรักษาอุปกรณ ไมท ํางานเพ่ือหวังรางวลั หรือเพ่อื ไม ใหถ ูกทาํ โทษเทาน้ัน แตใ หเ หน็ วา รางวัลของเขาคอื ผลงานของเขาเอง (กรรณิการ รักขุมแกว บตั . 2549:12) การเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริมีกระบวนการท่ีเนนการพัฒนาศักยภาพตามความแตกตางของเด็กแตละ บคุ คลเพือ่ พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ เปนการศกึ ษาตลอดชพี ใหมคี วามเปน มนษุ ยที่สมบรู ณม ีคุณลักษณะอนุรักษจรรโลงสิ่ง แวดลอ มในสงั คมโลก ดําเนินการโดยสมาคมมอนเทสซอรสิ ากล (AMI) ท่ีกอตงั้ โดยแพทยห ญิงมาเรีย มอนเทสซอริ ซึ่งมี องคกรเครอื ขายทัว่ โลก ปจจุบันมีสาํ นักงานใหญตั้งอยู ณ ประเทศเนเธอรแลนด แนวคดิ สําคญั ของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ จดุ มงุ หมายของการศึกษาแบบมอนเทสซอริ แพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ เช่อื วามนุษยเรียนรูดว ยตนเอง การเรียนรทู ี่แทจ รงิ น้นั เปน ปจเจกและเกิดขนึ้ อยา งตอเน่อื งตลอดชวี ิตไมใ ชเฉพาะการเรยี นรูในหอ งเรยี นนานนับชว่ั โมงเปน เวลาแรมป เพราะมนษุ ยน น้ั มแี รงจงู ใจภายใน มีความสนใจใครรแู ละมคี วามรกั ในการเรียนรู ดังน้นั แพทยหญิงมาเรีย มอนเทสซอริ จึงเห็นวาเปา หมายของการศกึ ษาไม ควรเปน แคการเติมเต็มความรู จากสงิ่ ทเ่ี ราเตรียมไวล ว งหนา แตควรจะเปน การบม เพาะธรรมชาตขิ องความตอ งการเรยี น รขู องแตละบคุ คล ในหองเรยี นมอนเทสซอริมวี ธิ ีการอยู 2 วิธีท่จี ะนาํ ไปสจู ดุ มุงหมายดังกลาว ดังน้ี 1. วิธแี รก คือเปด โอกาสใหเด็ก ๆ ไดมีประสบการณตนื่ เตน กับการเรยี นท่ตี นเองเปนผเู ลือก 2. วิธที ่ีสอง คือการชวยใหเ ด็กไดพ ัฒนาเคร่อื งมอื ธรรมชาติของการเรียนรูเ พื่อใหเดก็ ๆ มีศักยภาพในการเรยี นรู 1การจดั การเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

อยา งเตม็ ท่ีตอไปในอนาคต สื่อมอนเทสซอริจะมีลกั ษณะทง้ั 2 ประการ ทีจ่ ะชว ยพัฒนาเดก็ ในระยะยาว และขณะเดียวกัน ก็จะใหข อมลู จาํ เพาะแกเด็กดว ยเชน กนั กรอบแนวคดิ ของการสอนแบบมอนเทสซอรทิ ส่ี ําคัญ ๆ (จีรพันธุ พูลพัฒน. 2551:37 ) ประกอบดว ย 1. การศึกษาของแตล ะบุคคลยาวนานมากกวา ช่วั โมงเรยี น และจํานวนปที่แตละคนใชใ นหองเรียนเพราะคนเรา ไดรับการกระตนุ จากความอยากรูเ ห็นและใฝหาความรูตามธรรมชาตอิ ยแู ลว 2. สทิ ธิของเดก็ ในการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพในการเรยี น การสํารวจโลกของตนเอง และสทิ ธทิ ี่จะมีสภาพการทาํ งาน ทเี่ หมาะสม 3. ระยะแรกของการจัดการศึกษาไมใชการเอาความรูไปบอกเด็กแตเนนการปลูกฝงใหเด็กไดเจริญเติบโตตาม ธรรมชาตขิ องเด็ก 4. จติ ของเด็กเหมือนฟองนา้ํ ท่ซี ึมซบั ขอมลู จากส่งิ แวดลอม เขาจะใชจ ิตของเขาแสวงหาความรู แบบซึมซบั เอา สิง่ ตาง ๆ เขาไวในจติ ใจของเขา 5. พลังอํานาจทางจติ ของเดก็ จะพัฒนาไปพรอม ๆ กบั สตปิ ญญาในชว งอายุตั้งแตเกิดจนถงึ 6 ป 6. เดก็ เรยี นรไู ดด ที ส่ี ดุ จากสภาพแวดลอ มทไ่ี ดต ระเตรยี มไวอ ยา งมจี ดุ หมายอยา งมอี สิ ระ จากการควบคมุ ของผใู หญ 7. ไมมใี ครไดร ับการศึกษาโดยคนอน่ื ตัวเขาเองตอ งทาํ ใหเกดิ ขึ้นเอง การใหโอกาสเด็กไดคนพบ ส่ิงตา ง ๆ ดวย ตนเองจะทําใหเ กดิ การเรยี นรไู ดดที ่ีสดุ (กรรณิการ รักขุมแกว บัต. 2549:24) ปรชั ญาความเชื่อของการเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริ แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ เขียนไวใน “The Absorbent Mind” วา ชว งเวลาที่สาํ คัญท่ีสดุ ในชวี ิตไมใ ช ชวงเวลาของการศึกษาในมหาวทิ ยาลยั แตเ ปนชว งแรกเกดิ จนถงึ 6 ป ชว งเวลาดงั กลาว เปนชว งสาํ คญั ที่มกี ารพัฒนา สมองและพฒั นาการทางจติ ไมม ีชว งเวลาไหนของชวี ติ ท่ีเด็ก ๆ มคี วามตองการทจ่ี ะใชสมองในการเรยี นรมู ากไปกวา ชว งนี้ ถามอี ุปสรรคในการใชสมองเพื่อการเรยี นรูกระบวนการเรียนรอู ยางสมบูรณก ็จะลดลง จากการศกึ ษาวจิ ัยทางดา นจิตวทิ ยานับพนั ๆ กรณี ดร.เบนจามนิ บลมู แหง มหาวทิ ยาลัยชคิ าโก ไดยนื ยันทฤษฎี ของ แพทยห ญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ และระบุไวใน “ความมัน่ คงและการเปล่ียนแปลงของบคุ ลิกมนุษย” วา (ปย ะนชุ ชัชวรตั น. 2552:4) มนษุ ยเ มอ่ื แรกรบั รู ถงึ ชว งอายุ 4 ป จะมกี ารพฒั นาตนเองถงึ 50% ในเรอื่ งสตปิ ญ ญาเปน หลกั ตอเมอื่ อายุ 4 – 8 ป กจ็ ะพฒั นาอีก 30% แสดงใหเหน็ ถงึ ความเจรญิ เติบโตอยา งรวดเรว็ ของสมองในชวงวัยตน และมีผลกระทบอยา งมากจาก สิง่ แวดลอมในพฒั นาการดงั กลา ว เชน เดียวกันกบั แพทยหญิงมาเรีย มอนเทสซอริ ดร.เบนจามิน บลูม เชือ่ วาสง่ิ แวดลอ ม จะมผี ลกระทบอยางมากในชว งเวลาหน่ึงเวลาใด เม่อื พฒั นาการของเด็กในชว งเวลาดงั กลา วมกี ารเจรญิ เตบิ โตอยา งรวดเรว็ ยกตวั อยางเชน การอดอาหาร จะไมมผี ลตอ ความสงู ในเดก็ อายุ 18 ป และจะมผี ลใหเ กิดภาวะปญ ญาออ นอยางรุนแรงใน ทารกวยั 1 ป เนือ่ งจากพัฒนาการทางจิตเกดิ ข้ึน 80% กอนทเี่ ดก็ จะอายุ 8 ป ความสําคัญของเง่อื นไขระหวาง ชวงเวลา ดงั กลาวจงึ ไมใชเ รือ่ งกลาวเกินจรงิ และมขี อ คดิ คน ของ แพทยห ญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ สนบั สนุนหลักการดังกลาว คือ 1. แนวโนม ความเปน มนษุ ย (Human Tendencies) แนวโนม ความเปนมนุษย คอื พลงั (Power) ในการสรา งตนเอง เปน การขับเคลอื่ น ซง่ึ เปนมรดกตกทอดตาม สายพนั ธทุ ี่จะนําใหเกดิ พัฒนาการดา นการเรียนรตู ลอดชวี ติ เปน จิตไรส ํานกึ (Unconscious) เปนสวนทีช่ วยใหเราตดั สิน 2 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

ใจวา จะทาํ อะไร ซง่ึ แนวโนม ของความเปน มนษุ ยน ้ี จะอยตู ดิ ตวั เราไปตลอดชวี ติ ทง้ั หมดน้ี แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ เรียกวา Human Tendencies เพราะเปนสวนสาํ คัญของความเปน มนุษย ซึ่งแตกตางจากสตั ว โดยในสัตวนั้นจะเดนิ หรือ จะทาํ อะไรอนื่ ๆ โดยสญั ชาตญาณ สว นในเดก็ ทารก ไมม สี ญั ชาตญาณของการอยรู อดมพี ลงั (Power) นอ ยนดิ แตม แี นวโนม ความเปน มนษุ ยซ อ นอยอู ยา งมหาศาลในจติ ใตส าํ นกึ ทจ่ี ะชว ยใหเ ดก็ สามารถดาํ เนนิ ชวี ติ ไดโ ดยไมอ าศยั จติ สาํ นกึ เดก็ ทวั่ โลก สามารถทาํ อะไรเหมอื น ๆ กนั แตกตา งกนั ทว่ี ธิ กี ารเรยี นรซู ง่ึ จะเปน เอกลกั ษณข องแตล ะคนเทา นนั้ (กรรณกิ าร รกั ขมุ แกว บัต. 2549:36-40) คณุ ลักษณะแนวโนม ของความเปน มนุษย 1. ความคนุ เคย (Orientation) 2. ระบบระเบยี บ (Order) 3. การคนควา (Exploration) 4. การส่อื สาร (Communication) 5. ความเทีย่ งตรง (Exactness) 6. การปฏบิ ัตซิ ํ้า (Repetition) 7. ความสมบรู ณเ พยี บพรอ ม (Self Perfection) 8. กจิ กรรมการงาน (Activity) / ทาํ กับมอื ...มอื คอื ครขู องเดก็ 9. การงาน (Work) 10. นามธรรม (Abstraction) 11. การจดั การสิง่ ตา ง ๆ (Maniplulation) 2. เด็กมีจติ ซมึ ซบั การเรยี นรผู า นสอื่ ของเดก็ ๆ เปน ลกั ษณะเฉพาะที่ แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ เรยี กวา “จติ ซมึ ซบั ” ในบทความตา ง ๆ ของแพทยห ญิงมอนเทสซอริ บอยครงั้ จะเปรยี บเทยี บวา จิตของเดก็ เปรยี บเสมือนกบั “ฟองน้ํา” ที่ซมึ ซบั ขอมลู ราย ละเอยี ดตา ง ๆ จากส่งิ แวดลอม หรือเปนเสมือน “กลอ งถา ยรปู ” ท่เี กบ็ ภาพ ทุกอยา ง เราจะสังเกตไดจากกระบวนการ เรียนรูภาษาแมของเด็กในวัย 2 ขวบ เด็กพดู ภาษาของตนเอง โดยปราศจากโครงสรา งของประโยคอยางเปนรูปแบบ ปราศจากจิตสํานึกที่ตองการจะพูดหรือแทบจะไมตองใชความความพยายามในการพูดเหมือนกับที่ผูใหญจําเปนตอง พยายามอยา งมากในการเรยี นภาษาอ่ืนใหเ ชยี่ วชาญ จิตซึมซับ (Absorbent Mind) คอื องคประกอบการทาํ งานของสมองทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการประสานกายและจติ วิญญาณคงศกั ยภาพความสามารถและพลงั ของสมองไว ซงึ่ การทํางานของเซลลส มองมพี ฒั นาการเกิดขึ้นตั้งแต 25 วนั แรกนับแตปฏสิ นธิ เดก็ ตงั้ แตแ รกเกิด – 6 ป มคี ุณลักษณะของจติ ซึมซบั (Absorbent Mind) ในภาษาแม การเคลื่อนไหว อยา งสมบูรณและการจัดระบบภายใน แยกลักษณะจิตซึมซับของแตละชวงอายุได ดังนี้ (กรรณิการ รกั ขุมแกว บัต. 2549:44-45) 2.1 อายุ 0-3 ขวบ เปน Sensitive Periods ทอี่ าศยั การซึมซบั แบบจติ ไรส ํานึก (Unconscious Mind) 2.2 อายุ 3-6 ขวบ เปน Sensitive Periods ทีอ่ าศยั การซึมซบั แบบจติ สาํ นึก (Unconscious Mind) ศึกษา คน ควา /วางแผน/กระบวนการสรางสรรคดว ยตนเอง 3การจดั การเรียนรูร ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

ในเดก็ บางคนทีม่ ีอายุ 3 – 6 ขวบ แลว แตค วามพรอมไมเปน ไปตามวัยมคี วามพรองไมเ ปน ไปตาม ภาวะปกติ อาจมกี ารรบั รไู ว เปน ก่ึงจติ ไรสํานกึ (Subconscious Mind) มอี ารมณ/ความคิด/จนิ ตนาการ/ความคิดรวบยอด/ความคดิ สรา งสรรค แตใ นเดก็ แตละคนจะมอี งคประกอบของจติ ซึมซบั และการเสริมสรา งการทํางานของสมองของจิตซึมซบั ดังน้ี องคประกอบของจติ ซึมซบั 1. รบั ไมเ ลือก โดยรับภาพทั้งหมด (Total Image) เปน การทํางานเชนเดียวกับกลอ งถายรูป 2. รับไมแ ยก โดยไมจดั กระทาํ กระบวนการใด ๆ ทั้งสนิ้ ซึง่ เปน การรับแบบฟองนา้ํ ดดู ซับทกุ อยางเขาสูตัว 3. รับมาทั้งหมด โดยอาศยั กายภาพและวัตถุตา ง ๆ ทเ่ี กี่ยวของ กระทําแบบไมรตู วั Unconscious Mind) การเสริมสรา งการทํางานของสมองของจิตซึมซบั 1. สง เสรมิ การเคลือ่ นไหว 2. สง เสรมิ พฒั นาการการใชก ลามเน้ือมอื 3. สง เสริมการเคลื่อนท่ีตา ง ๆ 4. สามารถคงความรูโดยการจาํ ดว ยกลา มเนอื้ 5. สรางและเรียนรภู าษาแม 6. สรางเจตจาํ นง (The will) เกิดการเชือ่ ฟง รับรไู ด 7. มีภาพลกั ษณของสมั พนั ธก บั สิง่ แวดลอ มทางกายภาพและจิตวิญญาณ 8. ทกั ษะตา ง ๆ เฉพาะตัว มีการพงึ่ พาตนเองเปนอิสระ 9. ความสามารถในการปรบั ตวั เขา กับสงั คม 3. เดก็ มีชวงวกิ ฤต หรือชวงการรับรูไว (Sensitive Periods) ชวงของการรับรไู วตอการเรียนรู จากการสงั เกตของ แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ นําไปสกู ารวิจัยในยุคปจจบุ นั ในเรอ่ื งความสาํ คญั ของการ รับรไู วตอการเรยี นรู ซง่ึ เปน ชวงเวลาทีเ่ ด็กๆ ลุม หลงตอ การเรียนรูเรอื่ งใดเรื่องหนง่ึ หรอื ทกั ษะใดทกั ษะหน่งึ เชน การเดนิ ขนึ้ – ลงบันได การเรียงสงิ่ ของ การนับหรอื การอานจึงเปน การงา ยสําหรบั เด็กๆ ทีจ่ ะเรยี นรูท ักษะเฉพาะเร่ืองหนึ่งเรื่องใด สอดคลองกับชว งเวลาการรบั รไู วตอ การเรียนรเู รือ่ งนนั้ ๆ ดีกวาชวงอ่ืนๆ ในชวี ติ หองเรียนมอนเทสซอริไดประโยชนจาก ความจรงิ ดงั กลาวโดยการอนุญาตใหเด็กๆ มีอิสระในการเลือกกิจกรรมของตนเองสอดคลองกับการรับรูไวในการเรยี นรู ในเรอ่ื งนัน้ ๆ การรบั รไู ว คอื กฎของพฒั นาการทเ่ี ปน ชว งของการเปลยี่ นแปลงทางการภาพทมี่ อี ยใู นตวั เดก็ ทกุ คนทว่ั โลกท่เี กิด จากพลงั ขบั จากภายใน (Inner - Guide) และทาํ ใหเ ดก็ แตล ะคนมศี กั ยภาพเตม็ ตวั ในการแสดงออกทางบคุ ลกิ ลกั ษณะตา ง ๆ เฉพาะตวั ของแตล ะบคุ คล เม่ือเด็กมีปฏิสัมพนั ธก ับส่งิ แวดลอ ม จะมกี ารตอบสนองตรงกบั ส่ิงเรา ภายใน คณุ สมบัติในการ รบั รไู วเปน พเิ ศษทําใหเดก็ เกิดความรแู ละทักษะอยางรวดเร็ว ชว งเวลาเหลาน้ีจะมีอยูในเด็กทั่วโลก ทักษะและความรบู าง ดานสามารถพัฒนาไดสงู สดุ ในชว งเวลาน้ี ในขณะเดียวกันถาทกั ษะเหลา นีไ้ มไ ดร ับการสงเสริมในเวลาและวธิ กี ารที่เหมาะ สม อัจฉริยภาพเหลา น้ี กจ็ ะสญู สิ้นไป ชวงรบั รไู วมอี งคป ระกอบและลักษณะการเรียนรู ดงั นี้ (กรรณกิ าร รักขุมแกว บัต. 2549:45-46) 4 การจดั การเรยี นรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

องคป ระกอบของการรับรูไว 1. รับเลือก 2. แยกใช 3. เลือกทาํ งานบางสว น ลักษณะการเรยี นรูข องเด็กในชวงการรบั รไู ว 1. จะอยูในกระบวนการเรียนตลอด 2. หักหามตนเองไมไ ด 3. ทาํ ซ้ําและทาํ นาน ๆ 4. ลุม หลงในส่งิ นัน้ อยางย่งิ 5. มคี วามประณีต 6. มีความสนกุ ในการทํางาน 7. เมือ่ ทําเสรจ็ แลว ไดผ อนคลาย การรับรูในแตละชวงของเด็กอยูใ นชวงของจิตไรสํานกึ (Unconscious Absorbent Mind) ทส่ี รา งบุคลกิ ภาพ ของแตล ะบุคคล การสรางบุคลกิ ภาพในแตละครั้งสงผลใหเดก็ ฝกฝนตนเองใหม จี ติ สํานึก ที่ควบคุมตนเองได ชวงการรบั รไู วตา ง ๆ น้นั สามารถเกดิ ขนึ้ ไดใ นเวลาเดยี วกนั แตจ ะมเี รื่องใดเรอ่ื งหนึ่งท่ีเดนกวา ชว งการรับรูไว กอใหเ กดิ ระบบระเบยี บเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง โดยอาศยั จติ ซึมซบั (Absorbent Mind) เปนพน้ื ฐาน ชวงการรับรไู ว เปนพลังของจติ และวิญญาณทเี่ ลือกนาํ มาเฉพาะบางสว นจากส่งิ แวดลอ มทใ่ี ชภ าพลกั ษณซ่ึง ปรุงแตงมาจากจิตซึมซับและนาํ มาใช โดยมภี าษาเปน ตัวเชือ่ ม และมีการเคลื่อนไหว มรี ะบบ มีความประณตี ซ่งึ เกดิ จาก การทาํ ซ้ํานานจนเกดิ ความทรงจาํ สามารถแสดงการรบั รูไวของเด็ก แตละชว งอายดุ งั ตารางตอไปนี้ 5การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

ตาราง 1 แสดงชวงการรับรไู วของเดก็ ߊüÜüÖĉ ùêĀøĂČ ßŠüÜøĆïøšĕĎ ü ÙüćöøšĒĎ úąìÖĆ þąìóĊę Ćçîćĕéÿš ÜĎ ÿéč ĒøÖđÖéĉ – 1 ½ ×üï đøĊ÷îøÝĎš ćÖÖćøđÙúęČĂîĕĀüøŠćÜÖć÷ 1 ½ - 3 ×üï óĆçîćÖćøìćÜõćþćóéĎ 1 ½ - 4 ×üï óĆçîćÖćøìćÜÖúćš öđîĂĚČ ðøąÿćìÿöĆ ñĆÿ 2 – 4 ×üï öÙĊ üćöÿîĔÝđÖĊę÷üÖĆïøąđïĊ÷ïĔîÿÜęĉ ĒüéúšĂöĒúąĔî ßüĊ êĉ ðøąÝĞćüîĆ 2 – 6 ×üï đøĊ÷îøìšĎ ćÜéîêøĊ 2 ½ - 4 ×üï öÙĊ üćöúąđĂĊ÷éĂĂŠ îĔîđøĂČę ÜðøąÿćìÿöĆ ñÿĆ đø÷Ċ îøĎš ÙüćöøšÿĎ ċÖĒúąóùêÖĉ øøöìĊęÙüøöêĊ ŠĂÿĆÜÙö 3 – 6 ×üï öĊÙüćöđ×ćš ĔÝëÜċ ÿŠüîđÖĊ÷ę üךĂÜìęñĊ ĎšĔĀâŠóċÜöêĊ ŠĂđéĘÖ 3 ½ - 4 ½ ×üï đø÷Ċ îøšĎìćÜéćš îÖćøđ×÷Ċ î 4 – 4 ½ ×üï ðøąÿćìÿĆöñÿĆ ĔîÖćøÝĆïêšĂÜ 4 ½ - 5 ½ ×üï đø÷Ċ îøìĎš ćÜéćš îÖćøĂŠćî  ชวงแรกเกดิ – 3 ขวบ การรบั รูไวของชวงน้ี ชว ยในการสรา งภาษาใหกบั เด็ก เดก็ มปี ระสบการณถ งึ ความอบอนุ ทผี่ ใู หญค ยุ กบั เดก็ เดก็ จะเรยี นภาษาใดกต็ ามทอี่ ยใู นสง่ิ แวดลอ ม เราไมท ราบประวตั แิ นน อนวา ภาษามนษุ ยเ กดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร และไมทราบวาเกดิ สงิ่ มหัศจรรยอะไรเม่อื เดก็ พูดได เราเห็นวา พัฒนาการไมใ ช ส่งิ ท่เี กดิ ขนึ้ ทางเดยี ว แตเ ราจะเห็นวาเมอ่ื มี ส่งิ ใหมเ กดิ ข้ึนกม็ ีพฒั นาการชวงทีข่ ึ้นสูงสดุ และมชี วงราบเรียบ ไมมสี ่งิ ใดทเี่ กิดข้ึนแลว มพี ฒั นาการในลกั ษณะเชิงข้ันบันได เชนเดียวกับเด็กทุกคนท่ีมพี ฒั นาการทางดานเสยี ง คํา โครงสรา งประโยค ไวยากรณใ นประโยค ทต่ี อ งเกิดข้ึนโดยผา นการ วางแผน อยา งไรก็ตาม ทุก ๆ ภาษามคี วามซบั ซอน แตค วามสามารถทางภาษาเชงิ รวมจะเกดิ ขนึ้ ชว งเด็กอายุ 2 ขวบ โดย จะเกิดข้ึนเมอ่ื องคป ระกอบภาษาท่ซี บั ซอ นทัง้ หลายมีการสรางสมเพยี งพอในลักษณะการสรางของจติ ไรส าํ นกึ การเรียนรูภ าษา (Language) ของเด็กชว งนี้ สามารถแยกใหเหน็ พัฒนาการได ดงั น้ี 2 เดอื นแรก เดก็ หนั ศีรษะไปทางเสียงท่ไี ดยนิ 4 – 5 เดือน จับตาจองปากท่ีพูดกบั เดก็ 6 เดอื น เดก็ เริ่มออกเสียงออ แอ 1 ป พูดคําแรก 18 เดือน ตอ งการรูช่อื ของทุกสง่ิ และใชค ําเหมารวม concept คาํ ตางๆ 20 เดอื น เริ่มเปนวลี 20 – 24 เดอื น มคี วามตืน่ ตวั ในการพดู เปนคาํ 24 – 26 เดอื น สรา งคําใหมอาจเหมาะสมตามสถานการณ 30 เดือน ภาษาสมบูรณ 6 การจัดการเรยี นรูร ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

ตาราง 2 แสดงชวงอายุเดก็ กบั ศกั ยภาพการเรยี นรูทางภาษา ߊüÜĂć÷đč éĘÖÖïĆ ýĆÖ÷õćóÖćøđøĊ÷îøìĎš ćÜõćþć 4 – 5 đéČĂî 6 đéĂČ î 2–2½ 3 3½ 4 4½ 5–5½ ÝĆïêćÝĂš ÜðćÖ đøöęĉ ĂĂÖđÿĊ÷Ü óĎéđðŨîÙĞć / üúĊ ÿćöćøëđø÷Ċ îøÙĎš ćĞ óĚîČ åćî ×èąìĊĒę öŠóéĎ ĂĂš ĒĂš ÖĆïđéĘÖ öõĊ ćþćóéĎ ìÿĊę öïĎøèŤ ĕöŠÿćöćøëĂŠćîĕéšĒêŠöĊÙüćöÙščîđÙ÷ÖĆïõćþćóĎéĔî ßčéĂðč ÖøèŤëćéđÿĊ÷Ü ñŠ ć î Ö ć ø Ùšč î đ Ù ÷ õ ć þ ć ē é ÷ Ĕ ßš ÝĞćĒîÖÙĞćêćöĀîšćìĊę×ĂÜÙĞćĕéš ĂčðÖøèŤĂĆÖþøÖøąéćþìøć÷/ ēé÷ĂćýĆ÷ÿĆâúĆÖþèŤ (ÙĞćîćö/ ĒñŠîēúĀąúĊúćöČĂ/ĕöŠÿćöćøë Ùč è ýĆ ó ìŤ / üĉ đ ý þ èŤ / ïč ó ï ì / đ×Ċ÷îĕéšĒêŠĂćýĆ÷ĂĆÖþøđÙúČęĂîìęĊ ÙćĞ ÿîĆ íćî ĄúĄ) đðŨîĂðč Öøèߍ Šü÷đ×Ċ÷î ĂćŠ îÙćĞ /ĂŠćîüúĊÝćÖÖćøĂŠćî ĂŠćîÙćĞ /üúĊ/ ĂîÖč øö/ĂîčìĉîÙćĞ ýĆóìŤēé÷ĂćýĆ÷ ðøąē÷Ù/ Öćøüđĉ ÙøćąĀđŤ ÿ÷Ċ ÜđßĂČę öÖĆï ÝćĞ ĒîÖ ÿĆâúÖĆ þèŤ ðøąē÷Ùĕéš เด็กในชวงอายุ 3 – 6 ป จะมีการตกผลึกของความประณีตทางภาษา เรยี นคาํ ใหมมากมาย สวนใหญจ ะมีความ สมบูรณใ นการออกเสยี ง การสรางประโยคมกี ารสรางอยบู นฐานไวยากรณท ่ถี ูกตอง โดยไมไ ดต อ งการความชวยเหลือ นอกจากอาศัยรวมอยูกับคนทพ่ี ูดภาษา ในชว งปน ้เี ดก็ สามารถขยายคําศัพทไดกวา 10,000 คาํ เด็กอายุ 4 ½ ขวบ การรับรไู วทางภาษาไดพ ัฒนาไปอกี ระดับหนงึ่ คือ เด็กเร่มิ ตน ใชภาษาในลักษณะความสัมพนั ธ ระหวา งถอ ยคาํ ในประโยคหรือโครงสรา งความสัมพันธทางไวยากรณ (Syntax) ของภาษา เดก็ สามารถพัฒนาภาษาได  แผนภาพแสดงชว งการรบั รไู ว (กรรณกิ าร รักขุมแกว บตั . 2551:12) 7การจดั การเรียนรูระดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

4. ระนาบพฒั นาการ ระนาบพัฒนาการ 4 ระดับ หรอื บางครงั้ เรียกวา ระนาบการศึกษา 4 ระดบั คอื ทศั นะเก่ยี วกบั พฒั นาการของ มนษุ ย ซงึ่ นักทฤษฎีรว มสมยั ของแพทยหญิงมอนเทสซอริ ท่ีสนใจศกึ ษาพฒั นาการของมนษุ ยโดยดจู ากชว งเวลาและแบง ออกเปนระดบั หรอื สว นตาง ๆ เชน Piaget เรียกชวงเวลาเหลา น้ันวา Stages (ระดับ) และ Erickson เรียกวา Ages (อาย)ุ นกั ทฤษฎีเหลา นี้มมี ุมมองตา งกัน เชน Freud มองในมมุ เรอื่ งจติ วทิ ยาทางเพศ (Psycho Sexual) Erickson มมี มุ มองใน เรื่องจิตวทิ ยาสงั คม Piaget ในดานสติปญ ญาเนนวธิ กี ารเรียนรูข องคนและวธิ ีที่การเรยี นรเู กดิ ขึ้น แพทยหญิงมอนเทสซอริ มองในมมุ กวา งโดยศึกษาสวนประกอบตาง ๆ ท่พี ฒั นามนุษย มไิ ดมองดา นเดยี วเชน นัก วิทยาศาสตรร ว มสมัย นอกจากนนั้ ยงั พจิ ารณาการเปล่ยี นแปลงจากชวงพฒั นาการหน่งึ ไปสชู ว งตอ ไป โดยใชคาํ วา Meta- morphosis (การเปล่ียนแปลงรูปรางลกั ษณะ) เปน ลักษณะการเปลีย่ นแปลงในเดก็ แบบหนอนผเี สอ้ื Morph หมายความวา เปล่ียน ซ่ึงคาํ น้ีโดยปกตใิ ชก บั การเปลยี่ นแปลงในชว งชวี ติ ของแมลง และเหตทุ นี่ าํ มาใช กับมนุษยเน่ืองจากแพทยหญิงมอนเทสซอริ พบวาในบางชวงเวลาความเปล่ียนแปลงนั้น เฉียบขาดจนเกือบเหมือนกับ กลายเปนเด็กคนใหม มีความตางกันอยางยิ่งของพฤติกรรมและบุคลิกภาพ จากเดก็ คนเกา วิธีทสี่ มั พนั ธกบั โลก หรือวิธี การเรียนรตู า งกันอยางยิง่ เกิดการเปลย่ี นแปลงชนดิ ถอนราก ถอนโคนไปสอู กี ระดบั หนง่ึ พลังภายในของเดก็ และสง่ิ แวดลอ มภายนอก ทฤษฎเี ก่ยี วกบั พัฒนาการตา ง ๆ มขี อ ไดเปรยี บเสยี เปรยี บ มปี ระโยชนแ ละขอจาํ กัด นักทฤษฎีพัฒนาการเชอื่ วา โดยธรรมชาตพิ ัฒนาการเฉพาะทางในเร่อื งตา ง ๆ จะพัฒนาจนเสรจ็ ส้นิ ในชวงอายนุ ้ัน ๆ ธรรมชาตใิ หพ ลังเด็กเพ่ือปฏิบัติ ใหสําเร็จ แตพ ลังและความหย่ังรูไ มสามารถทํางานใหสาํ เรจ็ ไดตามลาํ พัง เดก็ จะตอ งมีปฏิสัมพันธกับสงิ่ แวดลอ ม เดก็ มี ตน ทนุ คือพลงั งาน สวนสิ่งแวดลอ มในโลกใหต น ทนุ สนับสนุนอีกประการหนง่ึ การเปลยี่ นแปลงพลงั งานในตัวเด็กเราทาํ ไดไ มม าก สิ่งที่เปนขอจาํ กดั หรอื อปุ สรรค คอื สิ่งแวดลอ มทเ่ี ดก็ อยูร ว ม ซงึ่ อาจเตม็ ไปดว ยขวากหนามตอพฒั นาการหรอื มีอิทธพิ ลตอความสมบรู ณของพัฒนาการในแตล ะระยะ ดงั นนั้ ถา เราเขา ใจ ความตอ งการของเด็ก จะสามารถจัดส่ิงแวดลอมท่ีพรอ มมูลและระวงั อปุ สรรคทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ได 8 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

พฒั นาการแตละระดับสงผลตอพฒั นาการระดับตอไป อาจกลาวไดวาบุคคลที่มีปญหาในระนาบท่ีสามก็จะสงผลไปสูระนาบที่สี่และเปนอิทธิพลตอพัฒนาการในระดับ ตอ ไป ซงึ่ หมายความวา ขอจํากดั จากระนาบลา งสง ผลผานไปสูระดบั สงู ข้ึน เด็กที่ขาดพฒั นาการบางประการในระดบั ท่ี ควรเปน นนั้ สามารถเกิดพัฒนาการในระดบั ตอ ไปได แตพ ลงั ธรรมชาตซิ ่ึงมีอยูในระนาบลา งซ่ึงทาํ ใหพัฒนาการเปน ไปโดย งายหมดไปแลว จงึ ทาํ ใหค ณุ ลักษณะทีไ่ มไ ดพ ัฒนาให เสรจ็ ส้นิ ในชวงวัยนัน้ ตองกระทําตอโดยใชจ ิตสํานกึ ซ่ึงตองใชค วาม พยายามอยา งยงิ่ และกลายเปนงานหนกั ทีส่ รา งความกดดนั อยา งสงู มนษุ ยส ามารถพัฒนาไดตลอดเวลา แตจ ะตองใชพลงั และความต้งั ใจอยา งยิง่ ซ่งึ นักทฤษฎีบางคนกลา ววา ถา พฒั นาการไมสําเร็จในเวลาท่เี หมาะสมก็จะไมเกดิ ข้นึ อีกตอ ไป ธรรมชาตขิ องพฒั นาการมนษุ ย แพทยหญงิ มอนเทสซอริ แบงออกเปน 4 ชว ง ดงั น้ี ระนาบที่ 1 ชวงอายุ 0 – 6 ปฐมวยั Infancy ระนาบท่ี 2 ชว งอายุ 6 – 12 วัยเด็ก Childhood ระนาบท่ี 3 ชว งอายุ 12 – 18 วัยรนุ Adolescence ระนาบท่ี 4 ชว งอายุ 18 – 24 วัยถึงพรอมดานวฒุ ิภาวะ Maturity พฒั นาการ 4 ระนาบน้ี คือ การสรางจงั หวะของชีวติ การกําหนดตวั เลขของอายุ เชน 6 12 18 หรอื 24 เปน การคาบเกย่ี วกันไดของป และมคี วามยดื หยุน ซ่งึ มไิ ด หมายความวาจะเปนทนั ทีเมอ่ื เดก็ อายุครบ 6 ป หรือ 12 ป ชวง 0-6 และ 12-18 เปนชว งท่มี ีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ซง่ึ ชวงสามปแ รกของระนาบเปนชวง การสรางและเปนชวงทมี่ ีพฒั นาเปล่ียนแปลงอยา งมหาศาล เมอื่ สามปแ รกไดโครงท่ีดีแลว สามปตอ ไป คอื อายุ 3-6 และ 9-12 ป เปน ชวงการตกผลึกเปน รปู เปน รางข้ึน แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ อธบิ ายโดยวาดภาพประกอบแทนพฒั นาการทกุ ระนาบดว ยรปู ทรงกระเปาะคลา ยเมลด็ พนั ธุ พชื ตอ กนั และอธบิ ายสวนตนของกระเปาะแรก ซ่งึ มีขนาดใหญท ส่ี ุด มสี เี ขียวเขม เรียกวา Nebuli ซึ่งหมายถึง ผลรวม ของศกั ยภาพที่เด็กมีอยใู นระหวา งอายุ 0-3 ป โดยเริ่มตง้ั แตเ กิด เปนลักษณะทางศักยภาพของเซลลและอยูใ นลกั ษณะซึ่ง เดก็ พัฒนาไดดว ยการซมึ ซับโดยสภาวะไรจ ิตสํานกึ (The Unconscious Absorbent Mind) Nebuli มอี ยจู นกระทั่งอายุ ประมาณ 3 ขวบ สว นทา ยของกระเปาะแรกสเี ขยี วออนอธิบายสว นน้ีวา เปน Formation of Man คือ การสรางฐานของความเปน คน เด็กอายุ 3-6 ป พัฒนาการสรางจติ สาํ นึก (Construction of the Conscious Mind) อายุระหวาง 0-6 ป เปน ชว งเวลาทม่ี ีลักษณะถอนรากถอนโคน เกดิ พฒั นาการตา ง ๆ มากมายกวาในระนาบอื่น อายุระหวา ง 6-12 ป ภาพแสดงเปน เสนคลายทอ แคบยาวสีเขยี วออ นตอจากกระเปาะ 0-6 ป เรยี กระยะนวี้ า Development of Man หรอื พฒั นาการมนุษย เปน ระนาบที่ 2 และเปน งานสุดทา ยเพือ่ เตมิ ความสมบรู ณของงานท่เี รมิ่ ตนมาจาก 0-6 ป ระนาบท่ี 1 และระนาบที่ 2 นเี้ ออ้ื เฟอซึง่ กันและกัน อายุระหวาง 12-18 ป หรือระนาบที่ 3 แสดงโดยกระเปาะขนาดเล็กสีสม เพือ่ แสดงวา มคี วามรอ นหรือไฟ มคี วาม เปลี่ยนแปลงอยางแยกขาดเชน กันแตไ มเ ขมขน เทา 0-6 ป 9การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

อายุระหวา ง 18-24 ป แสดงดว ยเสนคลา ยทอแคบยาว และตอ ดวยเสน ประ เนอ่ื งจากพฒั นาการสวนใหญม ี ความม่นั คงแลว มสี ว นนอยทีต่ อเนื่องไปหลังจากอายุ 21 ป สัญลักษณไมมที ส่ี ิน้ สดุ (Infinity) แสดงไวต อนกลางของภาพประกอบเพ่อื แสดงวา การเจรญิ เตบิ โตนนั้ ยงั คงตอ เน่ืองไปและศกั ยภาพของพัฒนาการของมนุษยนั้นอยูในภาวะไมม ที ีส่ นิ้ สุด พฒั นาการระนาบทีห่ นึง่ ระนาบนี้เรยี กวา การสรางจติ มนษุ ย (Psychic Being) Psychic Being หมายถึง บุคลิกภาพของมนุษย การทาํ งานเปนอิสระ Functional Independence ในการพงึ่ ตนเองสงิ่ ทเ่ี ดน คอื การพง่ึ ตนโดยทาํ งานไดอ ยา งอสิ ระ “ฉนั ทาํ งานไดด ว ยตนเอง”ฉนั ทาํ สงิ่ ทฉี่ นั ตอ งการทาํ ชวงน้ีเปนการเจรญิ เตบิ โตทยี่ ง่ิ ใหญท่สี ุดของมนษุ ย คอื จิตซมึ ซบั และชว งการเรยี นรูไ วธรรมชาติใหมนุษยมพี ลังท่ยี ิ่ง ใหญซึ่งปรากฏในระนาบทห่ี นง่ึ เทานั้น โดยไมเ กดิ อกี แลว ในระนาบอนื่ ๆ พลงั ประการแรกคอื จติ ซึมซบั พลงั หรอื ความ สามารถทสี่ อง คือ ชว งการเรยี นรูไว พฒั นาการดานรางกาย ตั้งแตวินาทีแรกเกิดความสงู ของเด็กเมอ่ื อายุ 6 ขวบ แสดงใหเ ห็นถึงการเจรญิ เตบิ โต เดก็ 6 ป จะมคี วามสูงครงึ่ หน่งึ ของขนาดตนเองเม่อื เปนผใู หญ ซ่ึงตา งจากสง่ิ มีชีวิตอนื่ ๆ ทารกของเรามคี วามสามารถจาํ กดั มากแตกตางจากมนษุ ย ผูใหญ ลูกสัตวยนื และเคลือ่ นทไี่ ดไ มน านหลังจากคลอด สามารถสือ่ สารและมีระบบยอยอาหารเกอื บสมบรู ณ แตทารก มนุษยแ รกเกิดสมองและระบบประสาทยงั ไมส มบรู ณ หลังจากคลอดแลว 15 เดือน ระบบประสาทจงึ มีความสมบูรณข ึ้น สามารถยนื และวง่ิ ทํางานไดสมบรู ณ โดยกายภาพเดก็ แรกเกิดเคลื่อนไหวไดชา และไมแ นนอน เมื่ออายุ 6 ปเคล่ือนทป่ี ระสานงานไดดี แรกเกิดแกวง มอื ไดบาง เม่อื 6 ป มอื ของเด็กประสานสมั พันธกันจนถึงจดุ ทีก่ ลาวไดว า คือ เคร่ืองมอื ของจิต สมอง ในดานการสอื่ สาร ดานแรกเกิดไดแ ตรองไห พฒั นาเปน การสง เสียงออ แอ และเมอื่ อายุ 6 ป พัฒนาการพูดไดส มบรู ณ ระบบประสาทอื่น ๆ ทีท่ ําใหพ่ึงตนเองไดโ ดยอิสระเชน การรบั ประทานอาหาร การแตง ตวั การใชส วม เมอ่ื เดก็ อายุ 6 ขวบ เดก็ สามารถดูแล ความตอ งการของตนเองและปฏิบัติดวย ความมั่นใจ พฒั นาการทางสงั คมและอารมณ เด็กในระนาบน้ไี มมกี ารเปล่ียนแปลงมากทางอารมณ เดก็ ทารกแมแตอ ยูใ นครรภก็มลี ักษณะเปนสตั วสังคม ซ่งึ Erickson เรียกวา ความสามารถในการเช่ือถอื และวุฒิภาวะ เดก็ อายุ 6 ป หากขาดความผกู พนั และไวใจจะเยียวยาไดย าก มาก และถาไมมตี ้ังแตอายุ 1 ป กจ็ ะเติมใหในภายหลงั โดยยาก เดก็ เลก็ อายุ 4-5 ป มลี กั ษณะ Egocentric หรอื ถือตนเองเปนใหญ ซึ่งเปนไปตามธรรมชาติ จนกระทง่ั รวู าจะ ทาํ อยา งไรกบั ผอู นื่ โดยรจู กั ตนเองเพียงพอ เด็กกระทาํ สิ่งทเี่ รยี กวา การเลนคูขนาน เดก็ 2-3 ป มกั จะอยใู นทีใ่ กล ๆ กัน แตไมจ าํ เปนตองเลนดว ยกัน เดก็ 4-5 ป เร่มิ เปล่ยี นไปสูการตระหนักถึงความเปนสงั คม ระมดั ระวงั ตอส่งิ ตาง ๆ รอบตน สามารถใชมารยาทและคณุ สมบัตผิ ดู ี ซ่ึงเปนสามญั ในขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมท่เี ดก็ อยูอาศัย เรียนรกู ารนับถือตนเอง และผอู ่ืนเมอ่ื อายุ 6 ป เดก็ เปนผทู ่ีมีมรรยาทงามปรากฏเหน็ ไดใ นระนาบตอไป 10 การจัดการเรยี นรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

เดก็ 6 ป มีความรสู กึ ม่นั คงปลอดภยั มคี วามรักตอ โลกรอบตน เปนผมู คี วามไวและตอบสนองตอ โลกเหลานัน้ เดก็ เจรญิ เติบโตผานระเบียบภายนอกไปสูวินยั ภายใน มีความงอกงามทางระบบประสาท เปน ผเู รียนทีม่ ปี ระสาทรบั รูอ ยางยอดเยย่ี ม ถาฉันจับตองได เหน็ ได ชมิ รสได ดมกลนิ่ ได ฉนั รับรสู ่ิงเหลา นัน้ ไดห มด โดยประสาทรบั รู ฉนั สามารถ รวบรวมไวในจติ Aristotle กลาววา “There is Nothing in the Mind That is not First in the Senses” “ไมมีสิ่งใดในความ คดิ ของเรา ที่ไมไ ดรับรผู า นประสาทสัมผสั มากอ นเปนลําดับแรก” ในระหวางการพฒั นาชว งแรกน้ี การพัฒนาดา นเจตจํานง (Will) เปนสิง่ จาํ เปน ความสามารถ ในการเชอื่ ฟง ของ เด็กสรางจากพนื้ ฐานของเจตจํานง สิง่ ทเี่ กิดขึน้ ตอไปในระนาบน้ี คอื การสรา งระบบประสาทของสมองดานการจาํ แนกหมวดหมู สิ่งตา ง ๆ ในโลก สมองมิไดมีสิ่งเหลา นี้มาแตเกดิ จะตองสรา งข้นึ โดยมีประสบการณจากส่งิ ตา ง ๆ ในโลกรอบตวั เด็ก ความแจมชดั ของการ จดั ระบบหมวดหมเู หลานขี้ นึ้ อยูกับประสบการณที่เดก็ ไดร บั นอกจากน้นั เด็ก 0-6 ปม คี วามคิดรวบยอดเก่ียวกบั คําศพั ท โดยกระบวนการจาํ จนขน้ึ ใจ แตเ ห็นไมเ ดน ชัดใน ระหวางพัฒนาจะเห็นตอ เมือ่ จําไดแ ลว จากการท่ีเดก็ ซึมซบั ส่งิ ตาง ๆ จากบรบิ ทของสังคม เดก็ จึงกลายเปนนักปรบั ตวั ทางสงั คม ซงึ่ อาจมีผลมากหรอื จาํ กดั เนอ่ื งจากขออคตทิ ีม่ อี ยูใ นสงั คมที่เดก็ อยเู ปนเหตุสําคัญตอการพัฒนาในระนาบทห่ี นงึ่ นี้ ความรูสึกวาเราคอื ใคร เวลา สถานท่ที เี่ ราอยู คณุ ธรรม ขอ หา ม ประเพณี หรอื ธรรมเนยี ม คอื สว นของการปรับตวั ทางวัฒนธรรม โดยการซึมซาบและบูรณาการในระนาบพัฒนาการนี้ เด็กจะอยรู วมกับผอู ่ืนได เด็กอายุ 6 ป มคี วามสามารถทางภาษา ไมเฉพาะการพูด แตเปน ภาษาซงึ่ อยใู นบรบิ ทของการใชเ พือ่ สื่อสารรวม ถงึ การเขียนและการอาน การคลีค่ ลายความสามารถทางจติ คณติ ศาสตร ดไู ดจ ากความตองการเร่ือง ระเบียบ ความเที่ยงแมนยํา และ ระบบของส่งิ ของ ซ่ึงเปน หลกั เบือ้ งตน ของวิชาคณิตศาสตร เรขาคณิต พีชคณิต และเปนองคประกอบของจติ คณติ ศาสตร เม่ือเด็กมีความสามารถในการเคลอ่ื นไหว การสอื่ สาร ทักษะการทํางานเปน อิสระ เดก็ สรา งเจตจาํ นงและความ สามารถในการเชื่อฟง เด็กสรางพลังของนามธรรมและจนิ ตนาการ สิ่งแวดลอ มทต่ี องการ 0 – 3 : ผูเล้ียงดูซ่ึงควรเปนบิดามารดากลุมสังคมเล็ก ๆ เชน ครอบครัวการออกไปนอกบานกับ ครอบครัว การเลนในสนามเด็กเลน หรือเดินเลนกับพอแม ตองการท่ีที่สามารถออกไปเลน สาํ รวจโดยลําพงั อยา งปลอดภัย 3 – 6 : ตองการบานทป่ี ลอดภยั และออกไปนอกบานกับครอบครัว ตองการเพื่อนสองสามคน ตองการ ประสบการณห า งจากครอบครวั เปน เวลาสมควรในแตล ะวนั เพอ่ื เรยี นรโู ลกภายนอก สรา งพฒั นาการ ทางสงั คม การสรา งความสมั พันธกับเพ่ือนตา งจากความสมั พันธกบั สมาชิกในครอบครวั 11การจัดการเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

การเชอ่ื มโยงสรู ะนาบที่สอง เมื่ออายปุ ระมาณ 5.5 – 6.5 ป ปรากฏการณนา สนใจของการเปลีย่ นแปลงโยงไปสรู ะนาบทสี่ อง ทางกาย ฟน นาํ้ นมหมดไปกลายเปน ฟน แท ผมทเี่ คยออ นนมุ เรม่ิ กระดา งขน้ึ ขาเรมิ่ ยาว กอ นหนา นคี้ วามสงู จากสะโพก ถงึ ศีรษะเปน 2 ใน 3 สว น เมอื่ 6 – 7 ป มกี ารเปล่ียนแปลงซ่ึงปรากฏ ในงานวจิ ัยวา ภายในเวลา 24 ชั่วโมงมีกรณีทีก่ ระดูก และกลา มเนอื้ ขาเปลยี่ นมหาศาล โดยเรมิ่ จากเทา ไปสขู า เมอ่ื อายปุ ระมาณ 10-11 ป สว นสงู จากสะโพกถงึ ศรี ษะเทา กนั 1 สว น และสะโพกสนู ้ิวเทาคอื 2 สวน ทางสังคม ทนเดก็ เล็กไมค อ ยได กลายเปนนักสังคม ชอบพดู คยุ และทาํ งานกับเพ่อื น แพทยห ญิงมอนเทสซอริ กลา ววา เปน เวลาท่ีตอ งใหเ ด็กไปสูร ะนาบท่สี องและส่ิงแวดลอ มแบบปฐมวยั ไมสนอง ความตองการแลว หลกั การของการสอนแบบมอนเทสซอริ จากแนวคดิ ปรชั ญาและความเชอ่ื ขางตน นาํ มาสูหลกั การของการสอนแบบมอนเทสซอริ ดังนี้ 1. การยอมรับนับถือเดก็ (Respect for the Child) การมีอสิ ระ นบั วาเปน ความสําคญั อยางยงิ่ ทส่ี ่ิงแวดลอมตอ งใหอ ิสระเด็กในการเลอื กทํางาน และเวลาในการ ทาํ งานนานเทา ทต่ี อ งการหรอื หยดุ พกั กจิ กรรมบา ง สามารถทาํ งานโดยไมถ กู รบกวนจากเพอื่ นหรอื จากตารางสอน ตราบใดที่ งานของเดก็ ไมร บกวนคนอืน่ เด็กทุกคนมสี ิทธแิ ละเสรีภาพท่ที ําส่งิ เหลานีไ้ ดทกุ คน การทํางานในหองเรยี นมอนเทสซอริ ของเดก็ ๆ เด็กจะทาํ งานคนเดยี ว หรือทาํ งานเปนกลุมเล็ก ๆ เงยี บ ๆ โดยไมร บกวนผอู น่ื แตอ ยา งใด ความเหน็ อสิ ระในหอ งเรยี นมอนเทสซอรหิ มายถงึ อสิ ระภายใตข อบเขตทก่ี าํ หนด (Freedom within Limits) เด็ก ๆ มีอสิ ระท่ีจะเลอื กทํางานที่ตนเองชอบแตไมมีอสิ ระท่จี ะปฏิเสธการทาํ งาน มีอิสระทีจ่ ะพดู หรือ เคล่อื นไหว ภายใตข อบเขตของการเคารพ ซึง่ ครูจะใหค วามเคารพเด็กโดยการอนญุ าตใหเ ดก็ ไดเลอื กทํางานในสงิ่ ท่ีตนเอง ตอ งการ รบั ฟงความคดิ เห็นของเด็กทแ่ี ตกตา ง นักเรยี นเคารพตนเอง โดยการระมดั ระวังไมใ หตนเองตกไปอยใู นอันตราย หรอื ภาวะเส่ยี งตอ อันตราย นักเรียนเคารพผู อ่นื โดยการไมท าํ รา ยผอู ่ืนดวยคําพูดหรือการกระทํา ไมรบกวนเพื่อนในระหวางท่เี พอื่ นทํางาน หรือพูดคยุ เสียงดงั รบกวน เคารพครู และเคารพสง่ิ แวดลอม คือรูจกั ทจ่ี ะดูแลรกั ษาสื่ออุปกรณ ตาง ๆ และรว มดแู ลสภาพแวดลอมทง้ั ในและนอก หอ งเรยี น เม่อื เด็ก ๆ ทําผิด “ครู” จะไมเ ขาไปแกไ ขความผิดพลาดทนั ที แต “ครู” จะเปดโอกาสใหเด็กไดค น พบดว ย ตนเองดว ยการทาํ งานกบั สอ่ื ซาํ้ ๆ เนอื่ งจากสอื่ มอนเทสซอรเิ ปน สอื่ ทส่ี ามารถตรวจสอบ ความถกู ตอ งดว ยตนเองได กระบวนการ ดังกลา วน้ี จึงเปน กระบวนการเรยี นรูจากประสบการณต รงของเดก็ ตามหลักการศึกษาแบบมอนเทสซอริ 2. การตระเตรยี มสง่ิ แวดลอ ม (The Prepared Environment) การเตรียมการทางออม ถงึ แมวากจิ กรรมท้งั หลายจัดเตรยี มเพอื่ วตั ถปุ ระสงคเ ฉพาะสาํ หรบั เปาหมายในการ พัฒนาอ่ืน ๆ ทจี่ ะตามมาในภายหลัง เชนความเขาใจเชงิ นามธรรมของคณิตศาสตรหรือพัฒนาการทางคณุ ธรรมเม่อื เขาสู ระดบั ประถมศกึ ษาจากอุปกรณประสาทรบั รูในระดบั ปฐมวัย 12 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

3. การศึกษาดวยตนเอง/พ่งึ ตนเอง (Self or Auto-education) การพึง่ ตนเอง ตองจัดเตรยี มสภาพส่งิ แวดลอมเพือ่ ใหเดก็ ไมตองพ่ึงผใู หญโ ดยเร่มิ ตน จากกายภาพ เม่อื เด็ก สามารถทําส่ิงตาง ๆ ใหตนเองไดจึงจะเร่ิมเลือกตัดสินใจไดดวยตนเอง ครูควรจัดส่ิงแวดลอมโดยการเตรยี มวัตถแุ ละ อปุ กรณตา ง ๆ ใหเ ดก็ สามารถพ่งึ ตนเอง รวมทั้งวิธกี ารท่ผี ูใ หญตอ งถือปฏิบตั ิเพ่อื ใหโ อกาสเด็กไดฝ ก พงึ่ ตนเอง คอื อนุญาต ใหเ ด็ก ๆ ไดมีประสบการณ ต่ืนเตน กบั การเรยี นรูท ี่ตนเองเปน ผูเลือก 4. การสงั เกตเดก็ “คร”ู ในท่นี ้ีจึงเปน “ผสู ังเกต” ความสนใจและความตองการเฉพาะบคุ คลของเด็ก และการทํางานของครูใน แตล ะวัน จึงเปนกระบวนการท่ีเกดิ จากการทีค่ รูสังเกตเดก็ มากกวา การเตรยี มการสอนตามหลักสตู ร “คร”ู สาธติ วธิ ีการทาํ งานกับสื่อทีเ่ ด็กแตละคนเลอื กมาอยางถกู ตอง “ครู” จะเฝาสงั เกตความกาวหนา ของ เดก็ แตล ะคนอยา งละเอยี ด และบันทกึ การทํางานกบั ส่อื ของเดก็ “คร”ู จะไดร ับการอบรมและมีความแมน ยําในเรือ่ งความพรอมของเดก็ ในบางครัง้ “ครู” จะดงึ ความสนใจ เดก็ ไปยงั งานอื่นเม่อื เหน็ วาเดก็ เลือกงานทย่ี ากเกินไป และในขณะเดียวกัน “ครู” จะกระตุนเด็กบางคนทไ่ี มก ลา เลือกงาน ทที่ า ทายสาํ หรบั ตนเอง 5. สอนแบบคละอายุ ชว งอายุคละกนั สงิ่ แวดลอ มทม่ี สี งั คมสรา งโดยเดก็ ชว งอายคุ ละกนั สามป เปด โอกาสใหเ ดก็ เรยี นรจู ากกนั และ กนั ในบรรยากาศที่ไมแ ขง ขัน เปนการเตรยี มเด็กโดยตรงสําหรบั การอยรู ว มกันในสงั คมจรงิ ในหอ งเรยี นมอนเทสซอริจะมีสอื่ มากมายใหเดก็ เลอื กทาํ ตามลาํ ดบั เดก็ พฒั นาตนเองตามความสนใจซงึ่ ความ ตองการเรียนรูจะชักนาํ ใหเดก็ ๆ เรียนรูเ รือ่ งทยี่ ากขึน้ เปนลําดับ การที่หอ งเรยี นมีนักเรยี นอายุ 3-6 ขวบ อยูรวมกันจะ ทาํ ใหเดก็ เลก็ ไดเรียนรูจากการเลียนแบบเดก็ โตในหองและเดก็ โตกม็ โี อกาสทจี่ ะเปน ตวั อยาง และชวยเหลอื เด็กท่ีเล็กกวา ดวยเชน กัน 6. พฤตกิ รรมการใชเสียงเบา ๆ หอ งเรียนมอนเทสซอริจะมีเสียงพูดเบา ๆ ตลอดเวลา เพราะวาการเรียนรจู ากสื่อนั้นมีหลายองคป ระกอบ เชน การเดิน การถอื การเท การพูด และสิง่ ท่สี าํ คัญที่สุดคือ การทํางานดว ยมอื ทุกกจิ กรรมจะนาํ ไปสกู ารเคารพครู การ เคารพการทาํ งานของผอู ่นื และการเคารพตอส่ือการเรยี น แพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ ไมเคยกลา ววา เดก็ ท่เี งยี บและการน่งั อยกู บั ทเ่ี ปน เด็กดี แตว ินยั ในตนเอง ตามความหมายของ พ.ญ. มาเรยี มอนเทสซอรินน้ั สะสมจากการซึมซับในขณะเด็กทาํ งานอยางมจี ุดมงุ หมาย เมอื่ เด็ก สนใจกิจกรรมการเรยี นในหอ งอยางมาก เด็ก ๆ ก็จะมีสมาธิและ ความมน่ั คงมพี ฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสมตามวยั ในหอ งเรียนมอนเทสซอรถิ า เด็กมีพฤตกิ รรมไมพึงประสงค คณุ ครจู ะเขาไปชว ยเดก็ ๆ เลอื กงานท่ีจะดงึ ดูด ความสนใจของเดก็ ๆ ใหจ ดจอกับงานนั้น 13การจดั การเรียนรูร ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

ความรพู นื้ ฐานเกย่ี วกบั การสอนแบบมอนเทสซอริ 1. หลักสตู รของมอนเทสซอริ กรรณกิ าร รกั ขมุ แกว บัต (2547 : 2) กลา ววาหลกั สูตรมอนเทสซอรริ ะดบั ชน้ั อนุบาล (3-6 ขวบ) มกี ารจดั หมวดหมขู องกิจกรรมไวเปน 4 หมวด ดงั นี้ 1.1 กิจกรรมหมวดชวี ิตประจาํ วนั (Practical Life) เปนกจิ กรรมทม่ี ีวัตถุประสงคเ พื่อพฒั นาทกั ษะพื้นฐาน ทีม่ ีความจําเปน ตอการปฏบิ ัติกจิ วัตรประจําวนั ของมนุษย ไดแ กทักษะดานการควบคมุ รา งกาย การเคลื่อนไหวและความ สามารถเบอ้ื งตนในการใชเคร่ืองมอื ท่ีเกย่ี วกับการดแู ลตนเองและส่ิงแวดลอ ม สามารถแยกเปน กลมุ ยอยได ประกอบดว ย 1) กิจกรรมการเคล่อื นไหวเบอ้ื งตน (Preliminary Movement) การเคล่อื นไหวในการใชวัสดุ เชน การรอย การตัก การเท การพบั การมว น การคล่ี การยก การถอื การเปด การปด เปน ตน หนวยการเรียนกิจกรรมนี้ ไดแก การยกเกา อี้ การตัก การเท และการพบั ฯลฯ 2) กจิ กรรมการดแู ลตนเอง (Care of the Person) เชน การลา งมือ การสวมและการถอดถุงเทา รองเทา การแตง ตวั ตดิ กระดมุ หนว ยการเรยี นกจิ กรรมน้ี ไดแ ก การลา งมอื การใชช ดุ กรอบไมแ ตง ตวั การขดั รองเทา ฯลฯ 3) กิจกรรมดูแลสิง่ แวดลอ ม (Care of Environment) เชน การเช็ด การกวาด การซกั การจดั สิง่ ของ บนชนั้ การใชม ดี เปน ตน หนว ยการเรยี นกจิ กรรมนี้ ไดแ ก การลา งโตะ การขดั มนั โตะ การขดั ทองเหลอื ง การรดนาํ้ ตน ไม ฯลฯ 4) กิจกรรมทักษะพน้ื ฐานกฬี าและกฬี าพน้ื บา น เพอ่ื การอนุรักษก ารละเลน ของเดก็ ไทยและสงเสรมิ ความสามารถดา นกฬี าใหเหมาะสมกับสภาพหองเรียนและความตองการของสงั คมไทย หนว ยการเรียนกจิ กรรมน้ี ไดแ ก การเลนหมากเก็บ การเลน อีตกั และเลน ตาเขยง ฯลฯ 5) กจิ กรรมมารยาทสังคม หนว ยการเรียนกิจกรรมน้ี ไดแก การตอนรับแขกและการเชญิ แขก 6) กิจกรรมวงรี (การเดินจงกรม) เปนกจิ กรรมเร่มิ ตนของวนั ในชว งเชา โดยทาํ กิจกรรมจติ ศึกษา กํากับ สติมีการเคลือ่ นไหวในวงรีใน 3 ระดับ คอื ลา ง กลาง ต่าํ หนวยการเรียนกจิ กรรมน้ี ไดแ ก หนว ยการเลา เร่อื งจรงิ จากชีวิต ประจาํ วนั ฯลฯ 7) กจิ กรรมเกมเงยี บ เปน กิจกรรมฝกใหเ ดก็ สงั เกตความเงยี บสามารถกาํ หนดทศิ ทางของเสยี ง ใหเ ดก็ หลับตา ครวู างส่งิ ของกระทบพื้นใหเ ดก็ ชบี้ อกตําแหนง ทิศทางของเสยี งในขณะท่ีหลับตา หนว ยการเรยี นกิจกรรมน้ี ข้นึ อยู กับครูเปนผูก ําหนด 1.2 กจิ กรรมหมวดสงเสริมประสาทรบั รู (Sensorial Life) เปน กิจกรรมทม่ี ีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื สนองความ ตอ งการของเดก็ วยั 3-6 ป ทมี่ คี วามไวตอ ประสาทรับรดู า นความเปนระเบยี บ (Sensitive Period of Order) ในขณะ ทก่ี ิจกรรมชีวติ ประจาํ วนั ชว ยใหผูเรยี นไดเ รียนรูกระบวนการ (Process) กิจกรรมสงเสริมประสาทรับรูชว ยใหผ ูเรียนเขา ใจ สิ่งตา ง ๆ โดยเฉพาะเมอ่ื เด็กรแู ละสามารถจดั ระบบของสิง่ น้ัน ๆ ได กิจกรรมจะครอบคลุมการทํางานของประสาทรับรู ดานตาง ๆ ดังนี้ 1) ประสาทรับรูดานการมองเห็น (Visual Sense) ประกอบดวยการมองเหน็ คุณสมบตั ขิ องวัตถุเก่ยี ว กบั ขนาด เชน ใหญ-เลก็ ยาว-สน้ั กวาง-แคบ หนา-บาง มติ ิ ระดบั พืน้ ท่ี เนอื้ ท่ี รปู ทรง สี 2) ประสาทรบั รจู ากการฟง (Auditory Sense) เปน กจิ กรรมฝก คณุ สมบตั ขิ อง นกั ฟง เสยี ง ฟง เสยี งดงั – คอ ย สลับกนั ไป การจับคูเสียง และการเลนระฆงั โนตดนตรี (C Major Scales) 14 การจัดการเรียนรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

3) ประสาทรบั รจู ากการสมั ผสั ดว ยนวิ้ มอื และมอื (Tactile Sense) เรยี นรเู กยี่ วกบั ผวิ สมั ผสั เชน ความลน่ื ผวิ ขรุขระ นุม กระดา ง รอนเย็น หนกั เบา เปนตน 4) ประสาทรับรจู ากการชมิ รส (Gustatory Sense) กิจกรรมรับรูเบ้อื งตนเก่ียวกบั รส ไดแ ก รสหวาน ขม เปรีย้ ว เค็ม รสอาหารจากธรรมชาติ รสที่ปราศจากกลิ่น เปนตน 5) ประสาทรบั รจู ากการดมกล่นิ (Olfactory Sense) เปน การรับรูเบื้องตนเกีย่ วกบั คุณสมบตั ิและชอื่ ของกลิ่นพน้ื ฐานทไี่ ดจ ากธรรมชาติที่ควรรู เชน กลิน่ สมุนไพร เครอื่ งเทศ กลน่ิ ดอกไม กลิ่นผลไม โดยสามารถแยกกลนิ่ จบั คู จัดพวก จาํ แนกกลิน่ ได 6) ประสาทรับรูเ กยี่ วกับพน้ื ฐานทางชวี วทิ ยา (Biology on the Sensorial Level) จากการจับคูรปู รางของใบไม 14 แบบมาตรฐานทส่ี ามารถพบไดใ นโรงเรียนและชมุ ชนทัว่ โลก และภาพตอสว นตาง ๆ ของสตั วห รอื พชื 7) ประสาทรับรเู กย่ี วกบั พ้นื ฐานวชิ าภูมศิ าสตรกายภาพ (Geography on the Sensorial Level) รบั รู คณุ สมบตั ทิ างภมู ศิ าสตรก ายภาพของโลกซงึ่ ประกอบไปดว ยดนิ และนาํ้ (Formation on Land and Water) รปู ทรงตา ง ๆ จากลูกโลก พน้ื ดินทราย 8) กิจกรรมดานดนตรี (Exercises of Music) มนษุ ยไมไ ดเกดิ พรอ มกบั ทกั ษะทางดนตรมี าแตกาํ เนิด แตดนตรีเปนสวนหน่ึงของวัฒนธรรมของมนุษย ใชแสดงอารมณ ความรูสกึ ผูม ดี นตรจี งึ เปนมนุษยท ี่สมบรู ณ (Music is a Means of Human Expression. To be Human is to be Musical) 9) กจิ กรรมแสดงอารมณ (Exercises of Expression) เปนทักษะพ้ืนฐานเพือ่ เปน กญุ แจสโู ลกของ ศิลปะ (the Keys to the World of Art) งานศิลปะในเด็ก 3-6 ขวบคอื การถา ยเทพลังภายในทเ่ี ดก็ สะสมคนื กลับสโู ลก รอบตัวในรปู แบบงานศิลปที่เปน นามธรรม (Abstract) เชน งานลายเสน งานปน งานฉีก-ตดั -ปะ เปนตน 1.3 กิจกรรมหมวดภาษา (Language) มนษุ ยเมื่อแรกเกดิ ไมม ีความสามารถและทักษะในการสอื่ สารดา น ภาษา ในขวบปแ รกเดก็ ทารกสามารถพูดคําแรกไดอยางมคี วามหมาย พัฒนาการทางภาษาเร่ิมตนจากเสียงพยางคและตอไปก็จะสามารถพูดเปนคําจนสามารถสนทนาเปนประโยคที่สมบูรณ ตามหลักไวยากรณไดเมือ่ อายุ 2 ขวบ การจดั การเรียนรูภาษาในหอ งเรยี นมอนเทสซอริ การสอนภาษา (Language) มวี ัตถปุ ระสงค ดังนี้ 1. การสือ่ สารดว ยวาจา (Spoken Language) 2. การสอ่ื สารดวยการเขยี น (Written Language) 3. การสื่อสารดวยการอาน (Reading Language) 1.4 กจิ กรรมหมวดคณิตศาสตร (Mathematics) กิจกรรมหมวดคณิตศาสตรในชน้ั เรียน มอนเทสซอรมิ ี หลกั การดงั นี้ 1) วิวัฒนาการของมนุษยและประวัตนิ ักคณิตศาสตร 2) ความเปนผมู ีจิตคณติ ศาสตร (Mathematics Mind) ของมนษุ ย 3) เอกลักษณใ นการนาํ เสนอการเรยี นโดยใชส อ่ื เพอ่ื เก็บใจความสาํ คัญ (Materialized Abstraction) หนว ยการเรียนของกจิ กรรมนี้ ไดแ ก 15การจัดการเรยี นรูระดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

1) หนวยการเรยี นจาํ นวน 1-10 2) หนว ยการเรียนระบบเลขฐานสิบ 3) หนวยการเรียนการนับขามและนับตอ เน่ือง 4) หนว ยการเรียนการฝก ปฏิบัตเิ พอื่ นาํ ไปสกู ารจาํ 5) หนวยการเรยี นเพ่ือตอ เน่อื งไปสคู วามเปนนามธรรม 2. บทบาทครมู อนเทสซอริ ครูที่จัดการเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริตองทําความเขาใจเพ่ือการปฏิบัติท่ีถูกตองในเรื่องตอไปน้ี (กรรณิการ รกั ขุมแกว บัต. 2549 : 55-58) 2.1 ความรเู กย่ี วกับอุปกรณ (Knowledge of the Material) การทาํ ความเขาใจอปุ กรณ ดว ยการสงั เกต ดูจากรูปภาพ อา นหนังสือ หรือเรยี นจากการฟงผูอ่ืนอธบิ าย และลงมือปฏบิ ตั งิ านกบั อุปกรณน นั้ เปน เวลานานพอสมควร พยายามเขาใจและประเมินความยากงาย ความรูสกึ ความสนใจ ทีอ่ ปุ กรณแ ตละชนิ้ จะมตี อ เดก็ ครทู ่มี คี วามอดทนปฏิบัติ งานซํ้าๆ เหมือนท่ีเดก็ ปฏิบัติ จะสามารถประเมินพลังงานหรือความอดทนของเดก็ ในแตล ะอายไุ ด สามารถจดั ลําดับ อุปกรณแ ละตดั สินความสามารถของเดก็ ตามพัฒนาการแตล ะระดบั และสงเสรมิ การเรยี นรใู หเ ด็กไดอยางเหมาะสม 2.2 รักษาระเบยี บ (Maintenance of Order) นอกจากครนู าํ เสนออปุ กรณอ ยา งมรี ะเบยี บวิธีตอ เดก็ แลว ครู ตองนําเสนอสภาพแวดลอ มที่มรี ะเบยี บดวย กฎเบ้ืองตนของการสรางวินยั ภายในเดก็ ท่ปี ฏิบัตไิ ดโ ดยงาย และเด็กสามารถ ทํางานอยา งมีความสุข คือ อุปกรณท ุกชิน้ ตอ งมีทเ่ี กบ็ และอยูในที่ เมื่อไมใชง านแลว เด็กเลือกนาํ อปุ กรณท ลี ะอยางจาก บนชัน้ มาใช เม่อื ใชเ สรจ็ เด็กตอ งนาํ เกบ็ เขา ทใี่ หเหมือนสภาพเดมิ หลังการทาํ กิจกรรมเสร็จ เดก็ จะยกเลกิ กจิ กรรมกลาง คนั เพราะหมดความสนใจแลวไมได เด็กตองควบคุมตนเองในการทํากิจกรรมโดยการยอมรบั ระเบียบในสภาพแวดลอม และกฎของสังคม เดก็ ไมส ง ตอ อุปกรณท ่ตี นเลอื กแลวไปใหเ พ่ือน หรอื เอาอุปกรณจ ากเดก็ อ่นื ๆ มาใชในขณะทเี่ พ่ือนใช อปุ กรณนน้ั อยไู มวา เดก็ อยากไดเ พยี งใด เด็กตอ งอดทนและคอยจนกวา เพอ่ื นจะปฏิบัติงานเสร็จและนาํ ของเหลานน้ั กลบั มาคนื ที่เดิมกอนเขาถงึ จะนาํ มาใชไ ด ซึ่งวธิ กี ารนต้ี ัดปญ หาแกงแยง แขงขนั ได 2.3 การสรา งความสมบูรณใ นการทํางานใหเด็ก (Perfection) เมื่อเดก็ ตัง้ ใจทาํ กิจกรรม หนา ท่ีสาํ คัญของ ครูคอื ชว ยใหเ ดก็ มสี มาธิอยกู บั กจิ กรรมทท่ี าํ เพื่อนําไปสพู ฒั นาการ ครูจะตองเปน ผพู ิทักษ “guardian angel” ไมใหเด็ก ถูกรบกวนจากผอู ื่นหรอื สงิ่ ตาง ๆ 2.4 การใหบ ทเรียน (Giving Lessons) หนาท่ีนําเสนอบทเรียนโดยแนะนําอุปกรณต อเด็ก ครตู องมคี วาม ลึกซง้ึ ระหวา งความแตกตา งของ 2 ชว งเวลา ชวงแรกครนู าํ เดก็ สัมพนั ธก บั อุปกรณโดยเสนอวธิ ีใชเบ้อื งตน ชวงทสี่ อง ครู อธิบายสอดแทรกความเขา ใจหลังจากเด็กลงมือปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเองไดแลว 2.5 ทักษะการสังเกตเด็ก ครูสังเกตการทาํ งานของเดก็ ตั้งแตเ รม่ิ นาํ อปุ กรณจากชน้ั มาสูพ้ืนทที่ าํ งาน ขณะ ปฏบิ ตั ิและทําเสร็จเกบ็ กลบั ชั้นวางอุปกรณต ามปกติ 3. เทคนคิ การใหบ ทเรียน การใหบ ทเรียนของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ จะแบงเปน 2 ชวง คอื ชวงเรม่ิ งาน (Initiation) ชวง เรยี นรบู ทเรียน (Lessons) ดงั น้ี 16 การจดั การเรยี นรูร ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

3.1 การเริ่มงาน (Initiation) การเรมิ่ งานในการสอนแบบมอนเทสซอริ จะเปน การสรา งความคนุ เคยกับอปุ กรณใ หแกเด็ก การสราง ขอตกลงรวมกบั เด็ก และการใหบทเรียนแกเดก็ สรุปได ดงั น้ี 1) การสรางความคุนเคยกับอุปกรณ เปน กจิ กรรมช่ัวโมงแรกของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ ซงึ่ ครเู ริม่ โดยการนาํ เดก็ สํารวจอปุ กรณใ นหองเรียน 2) การสรา งขอตกลงรวมกบั เด็ก 3) การใหบ ทเรยี นแกเ ดก็ เปน การจดั ประสบการณใหแกเด็กจากอุปกรณแตล ะชนดิ ซ่ึงระยะแรกควร เปนอุปกรณก ลุม ประสาทสัมผัส ครูตอ งใหเด็กสนใจตอ วัตถใุ นบทเรียนเทา นั้น โตะ หรอื พ้นื ท่ี ๆ ใชเสนอบทเรียนจะตอ ง ไมม วี ตั ถอุ ื่นทีไ่ มเก่ยี วของกับบทเรยี นอยบู รเิ วณนน้ั ครสู าธติ วธิ ปี ฏบิ ตั หิ นง่ึ หรอื สองครงั้ ดว ยอาการแสดงออกถงึ ความนา สนใจ และเรา ใหเ ดก็ สนใจปฏบิ ตั ิ ขณะเดก็ ใชอ ปุ กรณค รตู อ งปอ งกนั การใชอ ปุ กรณผ ดิ ถา ครเู หน็ วา เดก็ ใชอ ปุ กรณไ มเ ปน ประโยชน ตอพัฒนาการของสติปญญา ครคู วรระงับไมใหเ ดก็ ทาํ ตอ ดว ยอาการท่ที ําใหเ ด็กรสู ึกวา ครมู คี วามสงบและอารมณด ี แต ถา เดก็ มีแนวโนมของพฤตกิ รรมไมเ หมาะสม ครูตองใชคาํ พดู ท่เี ด็ดเด่ียว จรงิ จัง แตไมใชด ว ยนํ้าเสยี งของการเอาผิดหรือ ลงโทษ แตใ หเ ปน การแสดงอาํ นาจตามหนา ทข่ี องครู เพราะเดก็ บางคนครจู าํ เปน ตอ งใชอ าํ นาจเพอ่ื ชว ยใหเ ดก็ บงั คบั ตนเองได ความเขมงวดจริงจังของครใู นกรณีท่เี ดก็ บงั คบั ตนเองไมไ ดน ้ี เปรียบเหมือนกบั มอื ทีแ่ ขง็ แรงชว งพยงุ บคุ คลทอ่ี อ นแอให ชวยเหลอื ตนเองใหไ ด 3.2 บทเรียน (The Lessons) ชวงนี้ครูทําหนาท่ีตรวจสอบความคิดรวบยอดของเด็กจากแบบฝกหัดท่ีเด็กไดปฏิบัติไปมากมาย บทบาทหลักของครู คือใหช ือ่ เฉพาะของสิ่งตาง ๆ ท่เี ดก็ ใชท าํ งาน เพ่ือชวยใหเ ดก็ พูดช่ือไดถ ูกตอ ง โดยครพู ูดออกเสียง ปกติ ถูกตองชดั เจน ไมเนนเสียงเกนิ ธรรมชาติ ซึง่ จะเปนการใหบทเรียนดวยการสอน 3 ข้ันตอน (The Three Staged Lesson) ดังนี้ ขั้นที่หนึ่ง : การเช่ือมโยงประสาทรับรูกับช่ือวัตถุ (The Association of the Senses Perception with Names) ครอู อกเสยี งคาํ นามหรอื คณุ ศพั ทโ ดยไมเ ตมิ เสยี งอน่ื ๆ มากกวา นน้ั ครอู อกเสยี งดงั พอที่เด็กไดย นิ พยางคต า ง ๆ ชดั เจน เชน เมือ่ ครใู หเ ดก็ สัมผัสกระดานเรยี บและกระดานขรุขระในแบบฝก หดั แรกของการเรยี นการรบั รู ครูพดู วา “เรยี บ” (It is Smooth) “ขรุขระ” (It is Rough) ครูทวนคาํ เหลานัน้ หลาย ๆ คร้ังดวยนาํ้ เสยี งชดั เจนปกติ “เรียบ เรยี บ เรียบ” หรอื “ขรุขระ ขรุขระ ขรุขระ” หรือการใหเดก็ รบั รเู รื่องความรอ น ครพู ูดวา “เย็น” (It is Cold) “รอน” (It is Hot) และตอดวย “เยน็ เจ๊ียบ” (It is Ice Cold) “อุน” (It is Luke Warm) “รอ นจัด” (It is Scalding) หลงั จากนั้นจงึ ใชคํา พรรณนา “รอ น” “รอ นกวา ” “รอ นนอยกวา” เปน ตน บทเรียนน้ีใชสรางคําเฉพาะที่สัมพันธกับวัตถุหรือกับความคิดรวบยอดทางนามธรรมใหเด็กเขาใจได ทันที ดงั นนั้ คําอ่นื ๆ ท่ีไมจําเปนจงึ ไมนํามาเกีย่ วขอ ง ขนั้ ท่ีสอง : การจดจาํ วตั ถทุ ่ีสอดคลองกับช่อื (The Recognition of the Object Corresponding the Name) ครูควรทดสอบวา บทเรยี นนัน้ ๆ มีความสําเร็จหรือไม โดยทดสอบวา คาํ ท่สี อนไปนนั้ เดก็ ทาํ ไดบ า งหรอื ไม โดยให เวลาในขั้นท่หี นึง่ ตามสมควรจึงเขาสูขั้นที่สอง โดยครูใชคําถามชา ๆ และชัด ๆ ถึงคํานามและคําคณุ ศัพททีส่ อนแลว “แผนไหนเรยี บ” แผนไหนขรุขระ (Which One is…?) 17การจัดการเรียนรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

เดก็ ชี้น้วิ ไปทว่ี ัตถุทเ่ี ด็กเขาใจ ซึ่งขั้นนี้เปน ข้ันที่สาํ คัญทสี่ ุดของบทเรยี น เน่ืองจากเปนการชว ยการจดจํา และเปนการเชือ่ มโยง เมอ่ื ครเู ห็นวา เด็กพอเขา ใจครูถามซํา้ ๆ เพ่อื ใหจ ําขึ้นใจ แตใ นกรณที ค่ี รสู งั เกตวา เดก็ ไมเอาใจใสตอบ ผดิ ๆ ถูก ๆ ไมต อ งการทาํ ใหดี แทนที่ครูจะแกไ ขเดก็ หรือพยายามชักจูงตอ ไป ครูควรเลื่อนบทเรยี นนัน้ ไปสอนภายหลงั การทเี่ ดก็ มีความผิดพลาดในการเชอ่ื มโยงคาํ และวัตถคุ อื ชว งที่ประสาทรับรไู มพรอมกับการเชอ่ื มโยงของจิต จงึ จาํ เปน ที่ จะตองนําเสนอบทเรยี นใหมในคร้ังตอไป ถา พยายามแกไขเด็กในโอกาสน้ัน เชน “กลาววา” ไมใชหนูทําผิด ทีถ่ ูกคอื อนั นี้ “คําเหลา น้ีจะประทับอยใู นใจเดก็ มากกวา “เรยี บ” “ขรขุ ระ” และขดั ขวางการเตมิ เต็มในจติ สํานกึ ของเดก็ ในบทเรียน ครง้ั ตอไปรวมท้ังมีผลตอการเรยี นรขู องเดก็ ในอนาคตดวย ขน้ั ทสี่ าม : การจดจาํ ชอ่ื ทสี่ อดคลอ งกับวตั ถุ (Remembering of the Name Corresponding to the Objective) ข้นั น้ีเปน ขั้นรวบรดั ตรวจสอบความถกู ตองของขน้ั ท่หี น่งึ ครูถามเด็กวา “น่ีคืออะไร” (What is This?) เดก็ พรอ มตอบคําถามไดวา “นี่คอื เรยี บ” “น่คี ือขรุขระ” เมอ่ื เด็กยังไมม่ันใจในการออกเสยี งเนอื่ งจากเปน คําใหม ครถู ามซ้าํ ไดอกี หน่ึงหรอื สองคร้งั เพอื่ ใหเ ด็กม่ันใจ ถา เดก็ แสดง ความบกพรองในการออกเสยี ง ครบู ันทึกความตอ งการพเิ ศษเพอื่ จัดบทเรยี นแกไ ขการออกเสยี งในคราวตอ ไป 4. ส่ืออปุ กรณการสอนกลมุ วิชาการเพื่อพัฒนาดานภาษา ส่อื อุปกรณการสอนมอนเทสซอริ แบง เปน 3 กลมุ ใหญ คอื กลมุ ประสบการณช ีวติ กลุมประสาทสัมผัส และ กลุมวชิ าการ ซึ่งกลมุ วชิ าการแยกเปนกลุม ภาษาและกลมุ คณิตศาสตร ในทน่ี จี้ ะเสนอเฉพาะสื่อเพ่อื พัฒนาดานภาษา ดังนี้ (จรี พันธุ พลู พัฒน และคําแกว ไกรสรพงษ. 2544 : 14) 1. สอ่ื ฝกลลี ามือ เชน กรอบไมอ อกแบบรูปทรงเรขาคณิต ตวั อกั ษรกระดาษทราย 2. ส่ือเพื่อพฒั นาการออกเสียง และการจําตัวอกั ษร เชน ตัวอักษรกระดาษทราย 3. ส่ือเพือ่ พัฒนาการจําแนกเสียงและรูจกั คําศพั ทใ หม เชน สอื่ ชดุ พยญั ชนะตน 4. สอื่ เพอ่ื พฒั นาการสรา งคาํ เชน แบบฝก สะกดคาํ กระดานสะกดคาํ กระดานสรา งคาํ หว งบตั รคาํ กระดานอา นคาํ 5. ส่ือเพอ่ื พฒั นาการออกเสียงวรรณยุกต เชน กระดานผันวรรณยกุ ต การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์การเรยี นและพฤตกิ รรมพงึ ประสงคป ระเมนิ โดยระเบยี บวิธีเชิงวิทยาศาสตร (Scientific Method) มี ผลเชิงประจักษ ผลพฒั นาการทางกายของเดก็ ไดจ ากการตรวจวดั และจดบนั ทกึ เชน เสน รอบวงศรี ษะ สว นสงู นา้ํ หนกั ประกอบผล การตรวจตดิ ตามของแพทย เชน สขุ ภาพปาก หู ตา การออกเสียง หรอื อืน่ ๆ ตามกรณี การเปลย่ี นแปลงทางพฤตกิ รรมดา นอารมณส งั คมโดยการสงั เกตการณ จดบนั ทกึ รายวนั วเิ คราะห และกาํ หนด กจิ กรรมสนองความตอ งการ (ดูความสขุ ของเด็ก การพึง่ ตนเอง ความเมตตากรณุ า รกั การเรียนรู วนิ ัยในตน) พฤติกรรมทางปญญาจากระดบั สมาธิของเด็กในการปฏิบัติงาน ครูจดบันทึกผลดว ยกราฟ ดผู ลงานเดก็ (Works) ดจู าก แฟม งาน (Portfolio) ระดับผลสมั ฤทธิ์ในภาพรวมของหอ งเรยี น แสดงโดยกราฟระดบั สมาธิของเดก็ ทีเ่ ดก็ ปฏิบตั ิในชวงเวลาตาง ๆ ตลอดวนั นนั้ ๆ ความถหี่ า งของการเกบ็ ผลดว ยกราฟ เปน ไปตามการวนิ จิ ฉยั ของครหู รอื โรงเรยี นเพอื่ มาตรฐานในความนา เชอ่ื ถอื 18 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

การแสดงระดบั เสน กราฟแนวนอนในระดับสูง แสดงวา มผี ลสัมฤทธ์ิสงู หอ งเรยี นหรอื เดก็ อยใู นสภาวะปกติ (Nor- malization) พฤติกรรมการเรียนแสดงโดยกราฟจาํ นวนกิจกรรมแตละหมวด ท่ีเด็กปฏิบัติในชวงเวลาตาง ๆ ตลอดวันน้ัน ๆ ครใู ชก ารแสดงผลของกราฟเพ่อื ปรับปรุงแผนการสอนหรือการจัดบทเรียนในภาพรวมหรือรายคน ตวั อยา งเกณฑการจดบนั ทึกระดบั พัฒนาการของการทาํ งานของเดก็ 5 ระดบั 1. ครูสาธติ เด็กปฏิบตั ิ 2. เด็กปฏิบัตโิ ดยมผี ูช ว ย 3. เด็กปฏบิ ตั เิ องตามลาํ พงั 4. เดก็ ชว ยหรือสอนเด็กอนื่ 5. เด็กเชื่อมโยงความรสู รา งงานใหม 19การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรม หมวด ชีวติ ประจําวนั 20 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมหมวดชีวิตประจําวัน กจิ กรรมท่ี 1 การยกเกา อี้ กจิ กรรมที่ 2 การมวนเสือ่ หรือพรม กจิ กรรมที่ 3 การพับผา กจิ กรรมท่ี 4 การปูและเก็บทน่ี อน กจิ กรรมท่ี 5 การตกั ถัว่ กจิ กรรมที่ 6 การเทขา ว,ถัว่ กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตง ตวั กระดุม กิจกรรมท่ี 8 กรอบแตงตวั เขม็ ขัด กจิ กรรมท่ี 9 การลา งมือ กิจกรรมที่ 10 การลางโตะ กิจกรรมที่ 11 การขดั โลหะ กจิ กรรมที่ 12 การเดนิ จงกรม กจิ กรรมท่ี 13 การมอบของขวัญ กจิ กรรมที่ 14 การกราบแม กจิ กรรมที่ 15 การเชด็ ใบไม กิจกรรมท่ี 16 การขดั รองเทา 21การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมท่ี 1 การยกเกา อ้ี 1. ส่ือ/อปุ กรณ เกาอี้ 1 ตัว 2. วตั ถปุ ระสงค 1. การเชือ่ มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพ่ึงพาตนเองได 3. วิธีจดั กิจกรรม 1. เดนิ ไปเชิญชวนเด็กมายกเกาอ้ี พาเด็กมาทีโ่ ตะ มีเกา อีเ้ ก็บอยคู กู ันเรียบรอ ย 2. ครยู นื ตรงอยดู า นหลงั เกาอี้ เดก็ ยนื อยทู างดานซา ยมือของครู 3. ครจู ะยกเกาอี้ใหด ูนะคะ หนั มองหนาเด็ก 4. ครยู นื ตรงดานหลงั เกา อี้ มอื ขวาจบั ขอบดา นบนของพนกั พิงของเกาอี้ทางมุมขวาใหน ว้ิ หัวแมมอื อยทู าง ดา นหนา 5. มือซา ยจับขอบดา นบนของพนักพิงของเกาอี้ทางมุมซาย ใหนิ้วหวั แมม ืออยทู างดานหนา 6. ยกเกา อ้ขี ้นึ ใหขาเกา อี้ดานหนา สูงกวา ขาเกาอด้ี า นหลัง 7. ถอยหลังประมาณ 1 กาวหยุดยนื ตรง คอย ๆ วางเกา อี้ลงใหข าเกาอดี้ า นหลังวางลงกอ น แลวคอย ๆ วาง ขาเกา อีด้ านหนาท้ัง 2 ขางอยา ใหมีเสียงดัง 8. ครเู ดนิ มายนื ดา นขางของเกาอ้ี หันหนา เขาหาดา นขางของเกา อ้ี กม ตัวเลก็ นอย มอื ซา ยจับพนกั เกา อ้ี มอื ขวาจับเบาะนง่ั ยกเกา อ้ีขึ้นหลงั ตรง 22 การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

9. เดินยกเกาอ้ไี ปรอบโตะ มาหยดุ ในทเ่ี ดิม กมหลังและยอ เขาเลก็ นอ ยคอย ๆ วางเกาอลี้ ง โดยใหขาเกา อ้ี ดานหนา ขวาวางลงกอน วางขาหลงั ทัง้ สองขา งและขาหนา ดานซายลงเบา ๆ 10. ถอยหลงั ไปยนื ตรงดา นหลังเกาอี้ มือขวาจับดา นบนพนักเกาอ้ีดานขวาใหน ้วิ หัวแมม อื อยดู า นหนา มอื ซา ย จับบนพนกั เกาอดี้ า นซา ยใหนว้ิ หัวแมม อื หันมาทางดานหนา เกาอี้ 11. ยกเกาอ้ีข้นึ ใหข าเกาอี้ดา นหนาสงู กวา ขาเกาอ้ดี านหลงั 12. สอดเกา อเ้ี ขา ไปเกบ็ ใตโ ตะ โดยวางขาหลงั ทงั้ สองขา งของเกา อล้ี งกอ นแลว คอ ย ๆ วางขาหนา ทง้ั สองลงเบา ๆ 13. ถามเดก็ วา “หนอู ยากลองทาํ บา งไหมคะ หนูจะทาํ มากเทา ไรก็ไดน ะคะ” 14. ใหนักเรียนทดลองยกเกาอดี้ วยตนเอง 4. การประเมนิ ผล 1. การยกเกา อ้ี การวางเกา อ้ี ไมใ หมเี สยี งดัง 2. การยกเกาอ้ีเดนิ ไปตามทศิ ตามเข็มนาฬก า 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่ึง - 3 ขวบ, 4 ขวบ, 5 ขวบ 6. กิจกรรมผูปกครองมสี วนรวม 1. ผปู กครองควรใหเ ดก็ ชว ยเหลอื ตนเองทีบ่ า น แสดงความไวว างใจ 2. แสดงความชื่นชม เมอื่ เดก็ ทาํ ได 7. ขอ เสนอแนะสําหรบั ครู 1. เด็กสามารถดูแลตนเอง ในการยกเกา อไ้ี ด เมอื่ ไดรับการแนะนาํ ที่ถูกวิธี 2. เมอื่ เดก็ ยงั ทําไดไ มด ี อยา เขา ไปแทรกขณะที่เดก็ กาํ ลงั ปฏบิ ัติงานอยู รอเวลาสาธิตใหม 23การจดั การเรยี นรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กิจกรรมท่ี 2 การมวนเสือ่ หรือพรม 1. สอื่ /อุปกรณ เส่ือหรือพรม 1 ผืน 2. วัตถุประสงค 1. การเช่อื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพึง่ พาตนเอง 3. วธิ ีจดั กจิ กรรม ครูเดนิ ไปเชญิ ชวนเดก็ มาทํากจิ กรรม พาเดก็ ไปทเี่ ก็บเสื่อ สาธิตการยกเสื่อดว ย 2 มอื มอื ขวาจับกอนและมือ ซายจบั ตาม ยกข้นึ ดวย 2 มอื แลว วางลงที่เดมิ ใหเ ดก็ ทดลองยกบา ง แลวยกตามครมู าหาทว่ี า งท่ีเตรียมไว 1. ครรู ับเสอื่ มาวางลงโดยควํา่ มว นของเสือ่ ลง จับรมิ เสื่อทัง้ สองขางดงึ ออกเล็กนอ ย ครูนง่ั คุกเขา บนเสื่อ และ วางมอื บนขาหนาตักตนเอง 2. ครยู กมือขวาไปจบั ขอบมว นเส่อื ดา นขวา ยกมือซายไปจบั ขอบมว นเสื่อดานซาย ยกเสอื่ คล่อี อกประมาณ ครึง่ ชว งแขน คอ ย ๆ วางเสือ่ ลงกบั พน้ื ยกมอื วางบนหนาขาท้ังสองขา งท่ีหนาตักตนเอง 3. ขยับตวั ไปขา งหนา ชิดมว นเพอื่ ยกมอื ขวาไปจบั ขอบเสื่อดา นขวา ยกมอื ซา ยไปจับขอบมว นเสือ่ ดา นซา ย ยกเส่อื คล่ีออกประมาณครงึ่ ชว งแขน คอย ๆ วางเสอ่ื ลงกบั พนื้ ยกมือวางบนหนาขา ท้ังสองขางที่หนาตักตนเอง 4. ทาํ ซํา้ เหมอื นขอ 6 จนสุดขอบเส่ือ วางมอื ทง้ั สองตรงกลางเสือ่ ยกมือขวากดขอบเสือ่ ไปเรอื่ ย ๆ จนสดุ ขอบเส่ือดานขางขวา ยกมอื ขวากลบั มากดตรงกลางเสอื่ 24 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

5. ยกมอื ซายกดขอบเสอ่ื ไปเรื่อย ๆ จนสดุ ขอบเส่อื ดา นขา งซาย ยกมอื ซายกลบั มากดตรงกลางเสอ่ื 6. คอ ย ๆ ลูบมอื ขวาเบา ๆ จากตรงกลางเส่ือไปขอบเสื่อดา นขวา ยกมือขวากลบั มากดตรงกลางเส่อื คอ ย ๆ ลูบมอื ซายเบา ๆ จากตรงกลางเสื่อไปขอบเสอ่ื ดา นซา ย ยกมอื ซา ยกลับมากดตรงกลางเส่อื 7. คยุ กับเดก็ วาครูจะเก็บเส่อื นะคะ มว นเสือ่ จากตรงกลางโดยใชม ือขวามว นไปทางขวา มอื ซา ยมวนไปทาง ซา ย คอย ๆ ไลมอื ตามกนั 8. ยกเสอ่ื ข้ึนมาวางบนตกั ตนเอง คอ ย ๆ มวนเสอื่ หมุนควํา่ มอื ลงไปจนมว นเสือ่ ชดิ พนื้ ใชมือขวาตบประคอง มว นเส่อื ดานขวา มือซา ยตบประคองเส่อื ดา นซาย เพอ่ื ใหม ว นเสือ่ ตรง ไสเสอ่ื ไมย ืน่ ไปขางใดขา งหน่งึ 9. ทําซ้ําเหมือนขอ 10 จนเสื่อมว นหมดผืน 10. ใชส องมอื ยกเสอื่ ขึ้นจากพ้นื แลวยกไปเกบ็ ทีเ่ ดิม 4. การประเมินผล การคลีเ่ ส่ือออกตอ งคอ ย ๆ คลี่ออก 1. ระยะของการยกใหเ ส่อื คลอ่ี อกใหพอเหมาะกบั การขยับตวั 2. การมว นเส่อื การมว นเส่ือเร่มิ ตน ตองใหแ นน 3. การตบประคองปลายเสอื่ ซา ย, ขวาเพอ่ื ไมใหเสอื่ เอยี ง 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบครง่ึ ขนึ้ ไป 6. กิจกรรมผูป กครองมีสวนรวม ควรใหเด็กมีสว นรว มในการปูผาจดั ที่นั่งเลนในบา นหรือกจิ กรรมท่ตี องมที ร่ี องรบั ตา งๆ 7. ขอเสนอแนะสาํ หรับครู เมอื่ เดก็ เรมิ่ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมใหม ครตู อ งใหก าํ ลงั ใจ คอ ยๆแกใ นครง้ั ตอ ไปใหเ ปน ธรรมชาตไิ มต อ งเรง รบี การปฏบิ ตั ิ ซํ้าเดก็ จะเรยี นรแู ละปรับตวั ไดเอง 25การจัดการเรียนรูร ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กิจกรรมท่ี 3 การพบั ผา 1. สื่อ/อปุ กรณ 1. เกา อ้เี ต้ีย 1 ตวั 2. ถาดใสผ า 5 ผนื ขนาด 12 x 12 นิ้ว แตล ะผืน ประกอบดว ย 2.1 ผาแสดงเสน ตามแนวนอนกลางผืนผา 1 เสน เพื่อพบั เปนคร่ึงตามแนวนอน 2.2 ผาแสดงเสนตามแนวทแยงกลางผืนผา 1 เสน เพอ่ื พับเปน คร่ึงหนึง่ ตามแนวทแยง 2.3 ผาแสดงเสน ตัดกนั เปนมุมฉากกลางผา เพอ่ื พับเปนหนงึ่ ในส่ีตามแนวนอนและแนวต้ัง 2.4 ผาแสดงเสน ตดั กัน 2 เสนจากมมุ ที่ 4 ของผา เพอ่ื พับผาเปน หนึง่ ในส่ี ตามแนวทแยง 2.5 ผา ไมม เี สน เพอื่ ใหเ ดก็ พบั ตามปรารถนา โดยจดั วางผา ในตะกรา ใหถ กู ดา น การพบั แบบงา ยสดุ อยบู นสดุ 2. วตั ถุประสงค 1. การเชื่อมโยงการเคลือ่ นไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพง่ึ พาตนเองได 3. วิธีจัดกจิ กรรม 1. ครูเชญิ ชวนเดก็ ไปทช่ี ัน้ วางอปุ กรณแลวแนะนาํ วา “น่คี ือการพับผา ” 2. ครยู กถาดใหเ ดก็ ดแู ลววางกลับคนื ที่ ใหเ ด็กยกถาดกิจกรรมมาที่โตะ 3. ครูและเดก็ นงั่ ทโ่ี ตะทํากจิ กรรม นาํ ถาดอุปกรณม าวางดานขวาของครู 4. ครพู ดู กบั เดก็ วา “ครจู ะแสดงวธิ กี ารพับผาใหด”ู 26 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

5. ครหู ยบิ ผา ผนื ที่ 1 วางบนโตะ แลว ใชน ้วิ ช้ี ลากเสนที่อยูบนผาขนานกบั โตะ จากซา ยไปขวาหยิบขอบของ ผาดานลางพับขึ้นใหมมุ ของผา ดา นลางจรดกับมมุ ของผา ดา นบนจับมุมใหตรง สังเกตเสน ดายทป่ี รากฏขน้ึ หยบิ ผาที่พบั แลวมาวางไวด า นบนทางซา ยมอื 6. ครหู ยิบผา ผนื ที่ 2 วางบนโตะ แลวใชน ้วิ ชีท้ ่เี สน ลากจากซายไปขวา วางมอื ขวาไวบนผา ขอบเสน ทแยง แลว จับมุมผาดานลางขน้ึ มามมุ ดานบน จบั มุมใหต รง สงั เกตเสนที่ปรากฏ นาํ ผาวางตอ ดา นลางผนื ท่ี 1 7. ครหู ยิบผา ผนื ท่ี 3 มาวางบนโตะ ทาํ เหมอื นกบั ขอ 5 ผา ทมี่ ี 2 เสนตามแนวตงั้ และแนวนอน ใหพับ 2 ครงั้ พับสว นแรกขน้ึ ดา นบนหมุนผาใหเ สนขนานขอบโตะ แลวพับผาขนึ้ หมนุ ผาใหเสน ขนานกับขอบโตะ แลวพบั ครั้งที่ 2 8. ครหู ยบิ ผา ผนื ที่ 4 มาวางบนโตะ มีเสน 2 เสน ตามแนวทแยง ใหพ บั 2 คร้งั พับสว นแรกโดยใชม ือขวาวาง บนผา แลว จับมมุ ผาดานลา งข้นึ มาท่มี มุ บนของผา แลว หมุนผา ใหเ สน ขนานกับขอบโตะ แลว ใหมอื ขวาวางบนผา จบั มุม ดา นลางข้ึนมมุ ดานบน จบั มุมใหต รง สงั เกตเสน ทปี่ รากฏ 9. ครหู ยิบผาผนื ท่ี 5 เปนผา ท่ีไมม เี สน ครูพับโดยการนาํ ขอบมมุ ท้งั 4 มมุ เขาหาจุดกง่ึ กลาง แลว หยบิ มมุ ผา ทั้ง 4 มุมขน้ึ พรอมกนั นาํ ผา นั้นทาํ เหมือนกาํ ลงั ปด ฝุนรอบ ๆ โตะ 10. ครูแสดงการคลีผ่ า โดยจับมุมใดมุมหนง่ึ ของผาแลวคล่ีออก แลว นาํ ไปวางในถาดอปุ กรณ โดยเรียงตาม ลาํ ดบั 11. ครูนําถาดผาขน้ึ มาวางบนโตะ 12. ครพู ดู กบั เดก็ วา “หนูรูจกั วิธกี ารพบั ผา แลว” 13. ครูเชญิ ใหเ ด็กบา งปฏิบตั ิ บอกเด็กวา “สามารถปฏิบัตไิ ดห ลายครั้งตามความตอ งการเม่อื ทาํ เสร็จแลว เก็บ อุปกรณเ ขา ช้นั ไดเรียบรอย” 4. การประเมินผล 1. วธิ กี ารพับผา 2. การลูบผาตามเสน 3. การจับมมุ ผาชนมมุ ผา อยา งมสี มาธิ 5. อายุ 3-4 ปข้ึนไป 27การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมที่ 4 การปูและเก็บท่นี อน 1. สื่อ/อปุ กรณ 1. ท่นี อน 1 ชดุ 2. วตั ถปุ ระสงค 1. การเช่อื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพง่ึ พาตนเองได 3. วธิ ีจัดกิจกรรม 1. ครเู ดนิ ไปเชิญชวนเดก็ มาทาํ กจิ กรรมการปแู ละการเกบ็ ที่นอน นาํ เดก็ ไปทีต่ เู ก็บทีน่ อน 2. ครูสาธิตการยกท่นี อนดว ยสองมือและวางลง แนะนําใหเด็กทดลองยกดแู ลวใหถ ือที่นอนมาวางกับพืน้ ท่ี วาง ใหเ ดก็ น่ังทางดานซายมือของครู 3. ครเู รมิ่ สาธติ การปูที่นอน โดยใชนิว้ 3 นิ้ว คือนว้ิ ช้ี น้ิวกลางและนิ้วหวั แมม ือขา งขวาจับสายรดั ดา นซา ยดึง ออกและเปลย่ี นไปจบั ดา นขวาดงึ ออก 4. เรม่ิ คล่ีผาออกโดยดึงดา นซา ยกอ น ใชมือซายยกหมอนพลิกไปทางซา ย ลูบผา ใหเรยี บชา ๆ คลผ่ี า ดานขวา ออก ลบู ผาใหเรียบชา ๆจากซายไปขวา. 5. ยกผา ทพี่ ับอยูด านนอกลําตวั วางออกไปทางดา นนอกลาํ ตวั ลูบผาใหเรยี บชา ๆจากซายไปขวา และยกผา ท่ี พบั อยูดานในชดิ ลาํ ตวั วางเขาหาลําตวั ลูบผา ใหเ รียบชา ๆจากซา ยไปขวา 28 การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

6. ครูสนทนากับเด็กปูท่ีนอนเสรจ็ แลว ครูจะเกบ็ ทีน่ อนใหเ หมือนเดมิ โดยเร่ิมยกรมิ ผา ท่อี ยูด า นชดิ ลาํ ตวั วาง พับออกไปดา นนอกลําตัวประมาณหนึ่งในสามของความกวางของผา ลบู ผาใหเรียบชาๆจากซา ยไปขวา และยกริมผาท่อี ยู ดา นนอกลําตวั วางพบั เขาหาลาํ ตัวใหทับสว นทพี่ บั แลวพอดี ลูบผาใหเ รียบชาๆจากซา ยไปขวา 7. ใชมอื ซายยกหมอนพลิกมาทางดา นขวา ลุกข้ึนเปลี่ยนที่นัง่ มาอยูทางซายมือดา นบนของหมอน มว น ท่นี อนโดยใชส องมอื พลกิ ที่นอน เมอ่ื เชอื กรัดท่ีนอนมาอยดู า นบน 8. เมือ่ เชือกรดั ท่นี อนมาอยูด า นบน ใชเขา ทั้งสองขา งกดทีน่ อนไว มอื ทั้งสองขา งจบั ริมที่นอนอกี ดา นมวน เขาหากนั แผน เทปท่ตี ดิ หมุนมาตรงกนั ใชส ายรดั ติดยึดไว 9. เชญิ ชวนใหเดก็ ทดลองทํา จะทาํ มากก่คี รัง้ กไ็ ดนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารพบั ผา 2. การลบู ผาชา ๆ 3. การหมนุ ผาใหแนน 5. อายุ ประมาณ 3 ขวบขนึ้ ไป 29การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมที่ 5 การตกั ถั่ว 1. สอื่ /อุปกรณ 1. ถาด 1 ใบ 2. ถว ยกลมไมมีหู 2 ใบ 3. ชอน 1 คัน 4. ถว่ั เหลอื ง ¾ ถว ย 2. วัตถปุ ระสงค 1. การเชือ่ มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพ่งึ พาตนเองได 3. วิธจี ดั กิจกรรม 1. ครเู ดนิ ไปเชญิ ชวนเด็กมารวมกจิ กรรมตกั ถัว่ ดว ยกัน นําเดก็ ไปท่ีชัน้ วางถาดใสถวยท่ีมี ถั่วเหลอื ง แนะนํา วา เราจะตักถวั่ นะคะ 2. ครสู าธิตการยกถาดดว ยสองมือและวางลง แนะนาํ ใหเ ด็กทดลองยกดูแลวใหถอื ถาดมาวางบนโตะ ที่จะ สาธิต ใหเดก็ นั่งเกาอคี้ ูกบั ครูทางดานซายมือของครู 3. ครูบอกวาครูจะตกั ถั่วใหดนู ะคะ ครใู ชม อื ซายโดยใชสามน้ิวคือนิ้วช้ี นว้ิ กลางและน้วิ หัวแมมือจบั ตรงกลาง ดา มชอ น สงดามชอ นใหม ือขวาจบั ดวย 3 นิว้ เหมือนกนั 4. ครูใชช อ นตักถัว่ ใหเต็มชอ นยกสงู ขึน้ พอประมาณ นาํ ไปใสใ นถวยเปลา ดานซายมอื 5. เรม่ิ เทถว่ั ใสถ ว ยชา ๆ ใหเ ด็กสามารถไดยนิ เสยี งเมลด็ ถ่วั กระทบผิวถวยจนหมดชอน 30 การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

6. ตักถ่ัวชํา้ อกี จนถ่ัวเกือบหมดถวย กมมองดู ใชมอื ซา ยจบั ถว ยเอยี งใหเดก็ ดูคอ ย ๆ ตกั ถว่ั จนหมด วาง ถวยในท่ีเดิม 7. วางชอนลงทีข่ า งถาดดา นนอก ทางขวามอื 8. ใชส องมือยกถว ยดานซายทม่ี ีถว่ั ไปวางดานหนาของถาดทางดา นซา ยและใชส องมอื ยกถวยดา นขวามอื ท่ี ไมม ถี ่ัว ไปวางดานหนา ของถาดทางดา นขวา 9. ใชม อื ทง่ั สองยกถาดขนึ้ เล็กนอ ยเอยี งใหเดก็ ดวู ามถี ่วั หลนอยูหรอื ไม ถามีใหเ กบ็ ใสคนื ไปในถว ยได ถา หลน ออกนอกถาดใหเ ก็บทงิ้ ถังขยะ 10. การเก็บถว ยใสถ าดอยางเดิม โดยใชมอื ทง้ั สองยกถวยดานหนาถาดซา ยมอื ที่มีเมลด็ ถ่วั นําไปวางในถาด ดา นขวามอื และยกถว ยดา นหนาถาดขวามือที่ไมม เี มลด็ ถ่ัวนาํ ไปวางในถาดดา นซายมือ 11. เกบ็ ถว ยเรยี บรอ ยเหมอื นเดมิ แลว ถามเดก็ วา หนอู ยากลองทาํ ไหมคะ แลว เลอื่ นถาดมาทางซา ยตรงหนา เดก็ บอกเด็กวา หนทู ําไดม ากครัง้ เทาท่ตี องการนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ จี บั ชอ นในการตักถ่ัว ใหจ ับดว ยสามน้วิ เหมอื นจับดนิ สอ 2. การเทถัว่ เทชา ๆ ยกไมสูงมากนกั จะทาํ ใหถ ั่วหลนออกนอกถว ย ถาตํา่ เกนิ ไปจะไมคอยไดยนิ เสยี ง 3. การเอยี งถวยดูวา มีถั่วอยใู นถว ยหรือไม 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่งึ – 3 ขวบ 6. กิจกรรมผูป กครองมีสวนรวม 1. ผปู กครองควรใหเดก็ ไดต กั ส่งิ ท่ีเขาทําในชีวิตบอยๆ เชน ตกั อาหารไมตองกลัวเลอะเทอะ 2. อุปกรณการเลนของเดก็ ท่บี า นอาจหาวัตถุท่ีมใี หเ ดก็ ตกั เชน เมด็ มะขาม ถัว่ เขียว 7. ขอเสนอแนะสําหรบั ครู 1. การใหกาํ ลังใจของครูสาํ คัญกับเดก็ มาก แคย้มิ พยักหนาเดก็ กม็ กี าํ ลงั ใจมากขนึ้ แลว 2. อุปกรณสามารถเปลยี่ นแปลงไปไดต ามที่ทองถ่นิ มี เชน เมลด็ ขา ว เมลด็ มะกล่ํา 31การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมท่ี 6 การเทขาว, ถั่ว 1. สอื่ /อุปกรณ 1. ถาดใสเ หยอื กแกว 1 ใบ 2. เหยือกแกวมีหู 2 ใบ 3. ถ่วั เขยี วประมาณ 3 / 4 ของเหยอื ก 2. วัตถปุ ระสงค 1. การเชอ่ื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพ่งึ พากตนเองได 3.วธิ จี ัดกิจกรรม 1. ครเู ดินไปเชญิ ชวนเดก็ มาทาํ กิจกรรมเทถว่ั ดว ยกัน นําเด็กไปท่ชี น้ั วางถาดใสเ หยือกไว และมถี ัว่ อยูใน เหยอื กดา นขวามอื เรยี บรอ ยแลว 2. ครสู าธติ การยกถาดดวยสองมือและวางลง แนะนาํ ใหเ ดก็ ทดลองยกดูแลวใหถ อื ถาดมาวางบนโตะ ใหเ ดก็ นง่ั ทางดา นซายมอื ของครู 3. ครูเรม่ิ สาธติ การเทถั่ว โดยใชนิว้ 3 น้ิว คอื นว้ิ ชี้ นว้ิ กลางและนว้ิ หัวแมมือขางขวาจบั หเู หยอื กดา นขวา น้ิว มอื ซายชว ยประคองเหยือก ยกขนึ้ ดว ยความสูงพอประมาณอยา สงู เกินไป ใหปากเหยอื กอยูบนปากของเหยอื กดานซายท่ี วางอยูไ มม อี ะไรในเหยอื กน้ัน 32 การจัดการเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

4. เร่ิมเทเมลด็ ถวั่ ชา ๆ ใหเ ด็กสามารถไดย นิ เสียงเมล็ดถัว่ กระทบกับผวิ ของเหยอื กเทจนถ่ัวหมดเหยือก หยดุ คา งมอื ไวเ ล็กนอ ย คอ ย ๆ วางเหยอื กลงทเ่ี ดมิ 5. ยกเหยอื กดา นขวาอีกครง้ั พลิกดูวาถ่วั หมดหรอื ไม วางเหยือกเปลา ลงในถาดที่เดมิ ยกมือออกทลี ะขา งนํา มาวางบนตักคกู ัน 6. ใชน้วิ มือ 3 นิ้วคอื นิว้ ชี้ นวิ้ กลางและนวิ้ หวั แมม ือขา งซา ยจับหูเหยอื กดา นซา ย ใชน้ิวมือขวาประคอง เหยอื ก ยกเหยอื กขึ้นนําไปวางดา นหนาของถาดในตาํ แหนงทีต่ รงกับทเ่ี ดิม 7. ใชน ิ้วมอื 3 นว้ิ คือนว้ิ ชี้ นิ้วกลาง และนวิ้ หัวแมม ือขา งขวาจบั หูเหยอื กดา นขวา ใชน ้ิวมอื ซา ยประคอง เหยอื ก ยกเหยอื กข้นึ นําไปวางดานหนา ของถาดในตําแหนงตรงทเี่ ดมิ 8. ใชน ้วิ มือ 3 น้ิวขางซายจับหเู หยือกขา งซา ย ใชน้วิ มือ 3 นว้ิ มอื ขวาประคองเหยอื กยกเหยือกดา นซายกลบั มาวางในถาดดานขวามอื หันหูเหยือกเขาหาตัวเรา 9. ใชน ว้ิ มอื 3 นว้ิ ขางขวา จบั หเู หยือกดานขวาบนใชน วิ้ มอื ซานประคองเหยือกยกเหยอื กขน้ึ ออ มเหยือกดา น ขวา มาวางลงในถาดดานซา ยมอื หนั หูเหยือกเขาหาตวั เรา 10. ใชม อื ซา ยจบั หเู หยอื กซา ย ใชน วิ้ มอื ขวาจบั หมู อื ขวาหมนุ หอู อกไปอยดู า นขา งของทงั้ สองดา นทงั้ ซา ยและขวา 11. เชญิ ชวนใหเ ดก็ ทดลองทาํ จะทํามากกี่คร้งั กไ็ ดนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารจบั เหยือก จบั หูเหยือกขา งหนึ่ง และมือท่ีประคองอกี ขา งหนงึ่ 2. การเทถว่ั ชา ๆ 3. การหยดุ มือคา งไวเมอื่ ถ่วั หมดประมาณ 5 วนิ าที 4. การหมนุ มอื ตอนเก็บอปุ กรณเ ขาที่ หมุนออ มเหยอื กทม่ี ีถั่วอยู 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่งึ ขนึ้ ไป – 3 ขวบ 6. กิจกรรมผูป กครองมสี ว นรว ม ผูปกครองสามารถชวยหาสิ่งของใหเ ดก็ ไดเ ทตางๆ เชน นํา้ เม็ดถ่ัว เม็ดงา ขาวโพด ทราย การจบั หถู ว ยนั้น เปน พื้นฐานของการจบั ดินสอเพ่อื การเขยี น 7. ขอ เสนอแนะสาํ หรับครู อุปกรณสามารถเปล่ยี นไดต ามความเหมาะสมและจะไดสรางความสนใจใหเ ดก็ อกี ดว ย 33การจัดการเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตงตวั กระดมุ 1. ส่อื /อุปกรณ 1. กรอบไม สเี่ หล่ยี มดานเทา 1 อัน 2. ผา 2 ผืน ดา นหน่ึงตดิ กระดมุ อีกดา นหนง่ึ มีรงั ดุม 2. วตั ถุประสงค 1. การควบคุมการเคลือ่ นไหว 2. การควบคุมสมาธิ 3. ความสามารถในการพึง่ พาตนเอง 3. วิธีจัดกจิ กรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครูนะคะ ครูจะตดิ กระดุมใหดู นาํ เด็กไปที่ชน้ั วางของ ครแู สดงวิธีถือกรอบกระดมุ ใหด ู วางไวท ่เี ดิม 2. ใหเดก็ ถอื กรอบไม กรอบแตง ตัว กระดมุ นาํ มาวางบนโตะ เตรยี มฝก 3. สนทนากบั เด็ก ครูชีท้ ีก่ ระดุม แนะนําวา นเ้ี รียกกระดุม ในตัวหนมู ีไหม และแนะนําวามรี ังดมุ ดว ยแกะ กระดุมใหเด็กดกู อนหนึง่ เมด็ แลว ตดิ ไวอ ยา งเดิม 4. ครจู ะเรมิ่ ถอดรงั ดมุ นะคะ ครชู ท้ี กี่ ระดมุ ทกุ เมด็ และเรม่ิ จบั ทเี่ มด็ ที่ 1 ดงึ กระดมุ ดา นบนหรอื ดา นนอกตวั สดุ ใชน วิ้ ช้ีและนวิ้ กลางจบั ดานลางของกระดุม ใชนวิ้ หวั แมม ือจับดา นบนของกระดมุ ใชม ือดานขวา และใชม อื ดา นซา ยจับรมิ ผา ดา นซายสดุ ตรงรังดมุ 5. มอื ซายจบั ผา ทางดา นซายสุดโดยใชนวิ้ ช้แี ละนิ้วกลางสอดไปดานลางนว้ิ หวั แมม อื จบั ดา นบน ดึงสาบเส้ือ ออกหางเลก็ นอยใหรงั ดมุ หางออกมชี องวางกดกระดุมริมซา ยลง ใหทะลผุ า นรังดมุ ลงไปโผลด านลา ง 34 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

6. ใชม อื ซายจับกระดุมทโ่ี ผลดา นลางดึงไว มอื ขวาเปล่ยี นมาจับสาบเสือ้ ดึงขนึ้ กระดมุ จะหลดุ ออกมา เปด สาบเส้อื ใหเ ห็นกระดุมและรงั ดุมทถ่ี อดแลว และปด สาบไวอ ยา งเดิม 7. ทําซํา้ ในกระดุมเม็ดที่ 2, 3, 4 และ 5 เหมือนเมด็ ท่ี 1 8. เปดผา ดานขวามือพลกิ ไปดานขวาสุด จับผา ดว ยสองมอื มอื ขวาจบั ดานบนมอื ซา ยจับดา นลางยกผาขนึ้ พลกิ ไปดานขางขวามือ 9. เปดผา ดานซา ยมอื โดยมอื ซายจบั ดานบนมอื ขวาจับดา นลาง ยกผาข้นึ พลิกไปดานขางซายมอื 10. ปดผาเขามาในกรอบไมอ ยา งเดมิ โดยยกผาดานซายกอนใชส องมือจับ มือซา ยจบั ดานบนมุมซา ย มอื ขวา จับดานลางมุมซา ย ยกเขา มาในกรอบไมเปลย่ี นมายกผาดา นขวาบา ง ใชม อื ขวาจบั ดานบนมมุ ขวา ใชมอื ซายจับมุมดา น ลางขวา ยกผาพลกิ เขา มาในกรอบไมปดทับบนกระดุม 11. เร่ิมตดิ กระดุม ใชม อื ขวาจับสาบเสื้อดา นรงั ดมุ พลกิ ขึน้ ใหเห็นรงั ดมุ นิ้วหวั แมมืออยูดา นลางของสาปเสอ้ื พลิกมอื ขน้ึ เพอ่ื ใหเ หน็ กระดมุ อยูดา นลาง มอื ซายจบั กระดมุ ดวย 2 นว้ิ นิ้วช้ีและน้วิ กลางจบั ดานลางของกระดุม น้วิ หัวแม มือจับดา นบนยกกระดุมข้ึนสอดเขาไปในรงั ดมุ ใหกระดุมโผลขน้ึ มาดา นบน มอื ขวาเปล่ยี นจากจับสาบเสือ้ มาจับกระดมุ มอื ซายเปลี่ยนมาจบั สาบเสื้อกดสาบเสื้อลงไป มอื ขวาก็ดึงกระดุมข้ึนมา 12. กระดุมเมด็ ตอ ไป 2, 3, 4, และ 5 ทําเหมือนเม็ดที่ 1 13. เม่อื เสรจ็ แลว ถามเดก็ วา หนูพรอ มจะทดลองทาํ เองหรือยงั คะ ทําไดม ากครั้งเทาที่ตอ งการ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ ีการจับกระดุมทแี่ นนพอ ไมห ลุดงา ย 2. กระบวนการจับกระดุมและสาบเสือ้ ดว ยสองมอื 3. การดึงและการดนั ท่ปี ระสานกันของสองมอื 4. การจบั สาบเสื้อทั้ง 2 ดาน ดา นทมี่ กี ระดุมอยดู านลาง ดานทเ่ี ปนรังดุมอยูบ น และในแนวเดยี วกัน 5. อายุ ประมาณ 2 ป 2 ป – 3 ป 6. กจิ กรรมผปู กครองมสี ว นรวม 1. ผูป กครองควรใหเวลาเด็กในการแตง ตัวและใจเยน็ ๆในการรอคอย 2. เวลาเด็กติดกระดุมเสอ้ื ตนเอง ควรดูแลอยูหางๆอยารบี รอ นชวย อาจแนะนาํ ในการจบั ชายเสือ้ ใหต รงกัน 7. ขอเสนอแนะสําหรบั ครู 1. ควรใชกระดุมเม็ดใหญก อ น เม่อื เด็กทาํ ชํานาญแลวควรใชก ระดุมเมด็ เลก็ ลง 2. กิจกรรมกรอบไมแตงตัว มหี ลายอยา งควรใหเด็กฝก ใหชํานาญเรยี งลาํ ดับไปเชน กระดุมใหญ กระดมุ เล็ก กระดมุ หวง เปนตน 35การจดั การเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมที่ 8 กรอบแตงตัว เขม็ ขัด 1. สื่อ/อุปกรณ 1. กรอบไมส เี่ หลยี่ มดานเทา 1 อัน 2. แผน หนงั 2 ผนื 3. เขม็ ขดั 5 คู 2. จุดประสงค 1. การควบคมุ การเคลอ่ื นไหว 2. การควบคุมสมาธิ 3. ความพงึ พอใจในตนเอง 3. วธิ จี ดั กิจกรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครู ครูจะพาไปฝกคาดเข็มขดั กนั นําเดก็ ไปชน้ั วางของ ครูแสดงวิธกี ารจับและถอื กรอบ แตง ตัวเขม็ ขัดใหดแู ลววางไวท ีเ่ ดมิ 2. ใหเ ด็กถอื กรอบแตง ตัวเขม็ ขัดมาวางบนโตะเตรยี มฝก 3. สนทนากบั เด็ก ครูช้ีท่ีเขม็ ขัดในกรอบแตง ตัว นี่เรยี กเข็มขดั นะคะชเี้ สยี งจากบนลงลา งใหครบ 5 คู 4. ครถู อดเข็มขดั ออก 1 คู ชใ้ี หดูหัวเข็มขดั สายเข็มขัด หว งและเข็มและคาดกลับไวตามเดิม 5. ครูจะเรม่ิ ถอดเข็มขดั กอนนะคะ มือซายจบั หวั เขม็ ขดั กดไว มอื ขวาดงึ สายเข็มขัดออกจากหวงรัด และเขม็ ทเ่ี สยี บอยมู าทางขวามอื มือซายเปลี่ยนมาดึงเข็มท่ีเสยี บในรูสายเขม็ ขัดออกมาพับไปทางดานซา ย ปดหางของสายเขม็ ขัด ไปทางดานซายอยา งเดมิ 36 การจดั การเรยี นรูร ะดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

6. มอื ขวาจับสายเขม็ ขดั ทางดา นขวามอื สดุ ดงึ สายเข็มขัดออกจากหว งลดั ของหัวเข็มขดั มือซา ยกดหว งทาง ดา นซา ยมอื ไว พลกิ สายเข็มขัดไปทางดา นขวา 7. ทําซํา้ เสน ที่ 2, 3, 4 และ 5 เหมอื นเข็มขดั เสนที่ 1 8. ถอดเขม็ ขัดครบ 5 เสน ยกแผน หนังดานขวามอื เปดไปทางดานขวาดว ย 2 มอื ยกแผน หนงั ดานซา ยมือ ดว ย 2 มือ เปดไปทางดา นซายดวย 2 มอื 9. ยกแผน หนงั ดานซายมือดวย 2 มอื กลับมาวางท่เี ดมิ และยกผานหนังดา นขวามือพลิกปดมาทางซา ยมือ กลับมาวางทเ่ี ดิม 10. มอื ซา ยจับหวั เขม็ ขดั ขึ้น มือขวาจบั สายเขม็ ขดั สอดเขาไปในหวั เข็มขัดทําแบบเดี่ยวกนั ใหค รบทั้ง 5 คู ให สายเขม็ ขัดพาดไปทางซา ย 11. มือซายจับหวั เข็มขดั กดใหแนน ไมข ยับ มอื ขวาดงึ สายเข็มขัดไปทางขวาใหต งึ ใชน้วิ ชีข้ องมือซายใสเขม็ เขาไปในสายเขม็ ขัด ปดซา ยเขม็ ขดั ไปทางซาย 12. มือซายจับหวงเขม็ ขดั ดานซา ย มือขวาจบั ปลายสายเขม็ ขัด สอดผา นหว งไปทางซายเสร็จเรียบรอ ย 13. ทาํ ซ้าํ เสนที่ 2, 3, 4 และ5 เหมอื นเสน ท่ี 1 14. เสรจ็ เรยี บรอ ยแลวหนูทดลองทาํ ใหม ากที่สุดเทา ท่อี ยากทาํ ก่รี อบก็ไดน ะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. เข็มทส่ี อดเขา ไปในรูเขม็ ขัด 2. หวง 2 หว งทหี่ วั เข็มขดั 3. การดงึ สายเข็มขดั ใหพ อทเ่ี ข็มจะหลดุ ออกจากเขม็ ขดั ได 4. ขณะท่ีนําเขม็ สอดเขา รเู ข็มขดั 5. อายุ ประมาณ 3 -4 ป หรอื ขึ้นอยกู ับความพรอมของเดก็ 6. กจิ กรรมผูปกครองมสี วนรว ม 1. เด็กจะทํากิจกรรมทุกอยา งไดดีคือไดท ําบอ ยๆ และไดทาํ อยางสนกุ สนานและมีความสุข ควรเชญิ ชวนหรอื หากิจกรรมทํารว มกัน 2. กิจกรรมท่จี ดั ทาํ ควรเกย่ี วของกบั ชีวิตประจาํ วนั ของเด็ก เชน เขม็ ขัดกระเปาใสของเลน ซิปถุงผา โบผูกผม ตกุ ตา 7. ขอเสนอแนะสาํ หรบั ครู 1. เมือ่ เดก็ ไมอยากทาํ หรอื ทําไมไดควรหยุดกอน และใหก ําลังใจเราจะทําใหมวันหลัง 2. ควรเรียงลําดับความยากงายของอุปกรณกรอบไมแตงตวั เชน ซิป ตนี ตกุ แก เขม็ ขัดลอ็ ค เข็มขัดหัวเขม็ เชอื กผกู รองเทา ผูกโบ 37การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กจิ กรรมท่ี 9 การลา งมอื 1. ส่อื /อปุ กรณ 6. ผาเชด็ มือ 1. อา งลางมือ 7. ผาทําความสะอาด 2. เหยอื กนา้ํ 8. ครมี บํารงุ มือ 3. กระปอ งน้าํ 9. ผากนั เปอน 4. จานใสสบู 1 กอ น 5. แปรงขดั เลบ็ พรอมจานรอง 2. วัตถปุ ระสงค 1. การควบคมุ การเคลอื่ นไหว 2. การควบคมุ สมาธิ 3. ความสามารถในการพงึ พาตนเอง 3. วิธีจัดกิจกรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครู เราจะไปลา งมอื กัน พดู คุยกบั เดก็ ถงึ อุปกรณท ุกชนิดบนโตะ 2. ครเู ชิญชวนเด็กไปสวมผา กันเปอ น ทัง้ 2 คน แลว กลับมาทโ่ี ตะ 3. ครใู หเด็กชว ยยกเหยือกไปตกั นาํ้ จากโอง นาํ้ ทเ่ี ตรยี มไว 4. ครสู าธิตวิธีตกั นาํ้ จากโอง ใหเดก็ ดู และใหเ ดก็ เปนผูต ักนํ้าตอ ไปจนประมาณ 4/5 สวนของเหยอื กนํา้ นาํ กลับมาวางดา นขวาของอา งลางมอื 5. ครูเทน้าํ จากเหยือกใสอา งลางมอื ประมาณ ½ ของอา ง 38 การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

6. ทํามือใหเปย กโดยจมุ มือทง้ั สองลงในอางลา งมอื หงายมือซา ยขน้ึ มือขวาหยิบสบูมาถูท่มี ือซาย 3-4 ครง้ั โดยลูบลงจากขอ มือมาปลายมอื แลววางสบูไ วทเี่ ดิม 7. ถมู อื ทง้ั สองดวยกันใหเกดิ ฟองสบูเตม็ สองมอื แลว ถูหลงั มือทัง้ สองผลัดกนั ไปมาเสร็จแลว กางมอื ซา ยออก ใชน้ิวของมอื ขวาลบู ไปตามงา มมือเรม่ิ จากน้ิวกอยถึงนิ้วหัวแมม อื เปลย่ี นมือกางมอื ขวาออก ทําเชน เดียวกนั และถสู บใู ห ท่ัวมอื ถงึ ขอ มือทง้ั สองขา ง 8. ลา งสบอู อกโดยจมุ มือทั้งสองลงไปในอา งน้ํา ลางสบูออกเบา ๆ 9. ใหเ ด็กชวยคลผี่ า เช็ดมอื ทว่ี างอยดู านขวามือ ครเู ชด็ มือโดยวางมือบนผาคว่าํ มอื หงายมือเบา ๆ แลวใช มอื ขวาจับผา ยกขึ้น ซบั มอื ซายและเปลี่ยนมอื ทําเชนเดยี วกันอีกครง้ั เชด็ ตามงามมอื ใหท ่วั 10. น้าํ ที่ใชแ ลว ไปท้ิง โดยขยับกระปอ งน้าํ ใตโ ตะ ออกมาเล็กนอย ยกอา งนา้ํ ดวยสองมือ เทนา้ํ ท้งิ ใหห มดทุก หยด เทออกนอกตวั เรา วางอางทีเ่ ดมิ 11. ใหเ ดก็ ชวยถอื กระปอ งนํา้ ไปทิง้ แลว นาํ กระปอ งน้าํ มาเก็บทีเ่ ดมิ 12. ใชน ํา้ ท่ยี งั เหลอื ในเหยือก ลา งคราบสบูท่ตี ดิ อยูใ นอาง ยกกระปอ งนาํ้ ใตโตะ ออกมาเลก็ นอย เทนา้ํ จาก อางน้ําท้งิ อีกครง้ั วางอางท่ีเดิม 13. ใหเ ด็กชวยเอานาํ้ ในกระปองนํา้ ไปรดนา้ํ ตนไม ในบริเวณหองเรียนของเรานํากระปอ งนา้ํ กลับมาวางท่เี ดิม 14. ครแู ละเดก็ กลบั มาดทู ี่โตะ สังเกตวา นํา้ หกอยไู หม นําผา สําหรับทาํ ความสะอาดซับใหท ว่ั บรเิ วณ แลวเรมิ่ เชด็ ทอี่ า งนํ้า มือซา ยจับอา งไว มอื ขวาเช็ดใหทั่วอา งเช็ดหมนุ ตามเขม็ นาฬก า และเช็ดเหยือกใสน ํา้ ใชว ิธเี ดยี วกัน นําผาเช็ด อางวางทเี่ ดิม ยกเหยอื กดวยสองมอื วางลงในอา งนา้ํ เหมือนเดิม 15. หยบิ ผา ทาํ ความสะอาด มาทาํ ความสะอาดกระปอ งนาํ้ ยกกระปอ งนา้ํ ขยบั ออกมาใชม อื ซา ยจบั กระปอ งไว มอื ขวาเช็ดหมุนวนตามเข็มนาฬกาใหแ หงเกบ็ ทีเ่ ดิม 16. เอาผาวางท่ีเดิมบนโตะ 17. สนทนากับเดก็ ผา เปอ นทง้ั สองผนื เอาไปเก็บตะกราผาเปอ น 18. หยิบผา ผนื ใหมมาวางแทนท่ี 19. ทาโลชนั่ ท่มี ือท้งั สอง ลูบใหท วั่ มือเบา ๆ 20. เชิญชวนใหเ ดก็ ทดลองทําตอ จะก่ีครง้ั ก็ไดต ามใจตอ งการ 21. ครูจะไปเกบ็ ผากันเปอ นและดเู พอ่ื นคนอ่นื ๆ กอ นนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วิธีการถูสบู ถูออกนอกตัวเอยี งมือใหปลายมือลงตา่ํ ไปในอาง 2. การจับสบูไ มใหเ ล่อื นหลุดมือ 3. ฟองสบูอยูใ นมอื ท้ังสองเต็มมือ 4. วธิ ลี างน้าํ สบูออกไมใ หก ระเดน็ เลอะเทอะ เวลายกมือขน้ึ จากนํ้าใหเ อียงมอื ปลายมอื ชีล้ งในอางนา้ํ ใหน าํ้ ไหลลงดนู ้ําคอยๆ หยด 5. การเทน้าํ ท้งิ ใหเ ทออกนอกตวั 39การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ

6. การวางอปุ กรณต า ง ๆ ใหอยูใ นทเ่ี ดมิ ทุกครัง้ 7. การไปหยิบผา กนั เปอ น 5. อายุ ข้ึนอยกู ับความพรอ มของเด็ก ถา เด็กท่ผี า นพ้นื ฐานการปฏบิ ัตจิ ะเริ่มไดเรว็ ประมาณ 3 ปขน้ึ ไป 6. กจิ กรรมผปู กครองมีสวนรว ม 1. เด็กจะทาํ กจิ กรรมทกุ อยา งไดด ีคอื ไดทาํ บอ ยๆ และไดทําอยางสนกุ สนานและมคี วามสุข ควรเชญิ ชวนหรอื หากิจกรรมทาํ รว มกัน ควรลางมือทุกคร้งั ทจ่ี ะจบั ของรับประทาน หรือเม่ือมือสกปรก หรอื หลังใชหอ น้าํ 2. กจิ กรรมทีจ่ ดั ทาํ ควรเกีย่ วขอ งกับชวี ติ ประจําวนั ของเด็ก เชน การตดั เลบ็ 7. ขอ เสนอแนะสําหรบั ครู 1. เมอื่ เดก็ ไมอยากทาํ หรือทําไมไดค วรหยดุ กอ น และใหก ําลงั ใจเราจะทาํ ใหมว นั หลัง 2. ควรใหเดก็ เชด็ มือดวยผาแหง ทกุ ครัง้ 40 การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ

กิจกรรมท่ี 10 การลางโตะ 1. สือ่ /อปุ กรณ 6. แปรงขนาดเลก็ 1. เส่ือหรือผายาง 7. ฟองน้าํ 2. เหยอื กใสน า้ํ 8. ผา เชด็ นาํ้ 3. กระปองน้ํา 9. ผากนั เปอ น 4. อางน้ํา 5. จานสบู และสบูกอ นเล็ก 2. วตั ถุประสงค 1. การควบคุมการเคลอ่ื นไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพงึ่ พาตนเอง 3. วธิ จี ัดกจิ กรรม 1. เชิญชวนเด็กใหตามครมู าเราจะไปลา งโตะ กนั นาํ เดก็ ไปท่ีช้นั วางของ แนะนําอปุ กรณย กเปนตวั อยา งและ วางที่เดิมใหเ ดก็ เลอื กจะยกอะไรและชว ยกนั ยกไปวางบนโตะ 2. ชวนกันไปใสผ า กนั เปอ น แลวกลบั มาท่โี ตะ 3. ครูยกถาดใสข อง และใหเด็กชว ยปผู า ยางกบั พ้นื และชว ยกันยกโตะวางบนผา ยาง 4. ครหู ยิบอุปกรณต า ง ๆ วางเรียงลําดับท่ใี ชก อนวางกอนจนครบ 5. ใหเ ด็กชว ยไปตักนา้ํ มา โดยเอาเหยอื กน้ําไปตกั จากทเ่ี ก็บนํา้ ในหอ งเรยี น และนาํ กลับมาวางท่ีเดมิ 6. ใหเด็กเปน ผูเทนาํ้ ลงอางน้าํ ประมาณ 4/5 ของนํา้ 41การจัดการเรยี นรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook