คาํ นาํ เอกสารคมู อื การจดั การเรยี นรคู ละชนั้ ระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ ไดจ ดั ทาํ ขนึ้ สาํ หรบั ครปู ฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ เพอื่ ใชจ ดั ประสบการณใ หเ ดก็ ปฐมวยั ในหอ งเรยี นคละชนั้ (อนบุ าล 1 และอนบุ าล 2 รวมกัน) เน่ืองจากแนวทางของมอนเทสซอริ สอดคลองกบั การจดั การเรยี นรูค ละชั้นท่สี ง เสรมิ ใหน ักเรยี นมีวนิ ัย ควบคุม ตนเองได สามารถพงึ่ ตนเอง เรยี นรูรว มกันกับเพ่ือนอยา งมคี วามสุข และมปี ฏิสัมพนั ธท ดี่ กี ับครแู ละเพอื่ น ซ่งึ เปน หลัก การสาํ คัญพืน้ ฐานของการจัด การเรียนรูค ละชั้น สอ่ื และกจิ กรรมของมอนเทสซอรไิ ดค ดั เลอื กนาํ มาใชใ หเ หมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรยี นขนาดเลก็ ซงึ่ มที รพั ยากร จาํ กดั สอ่ื บางชนิ้ ทนี่ าํ เสนอในเอกสารเปน สอ่ื ทหี่ าซอ้ื ได คณุ ครสู ามารถปรบั ใชต ามแนวทางมอนเทสซอริ รวมทงั้ สอ่ื ทอ งถน่ิ ทผ่ี ลิตขนึ้ ในแตละภูมภิ าค ขอขอบคณุ คณะทาํ งานทุกทาน ท่ีรวมแรงรวมใจถอดประสบการณท ไ่ี ดร บั จากการอบรม การจดั การเรยี นรู ระดบั ปฐมวยั ตามแนวทางมอนเทสซอริ ซง่ึ สมาคมมอนเทสซอรแิ หง ประเทศไทย สํานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐานรวมมอื กนั ในการอบรมพัฒนาครูผสู อนปฐมวยั ในการนาํ แนวความคิดมอน เทสซอรมิ าบรู ณาการกบั หลกั การจดั การศกึ ษาปฐมวยั ของประเทศไทย เพอ่ื นาํ มาปรบั ใชใ นโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยคดั เลอื ก กจิ กรรมและสื่อทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ ไทย นับเปนคุณประโยชนต อการศกึ ษาปฐมวัยและโรงเรียนขนาดเล็กทว่ั ประเทศ สาํ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน เมษายน 2556
สารบัญ 1 20 คํานาํ 22 การเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ 24 กิจกรรมหมวดชีวติ ประจําวนั 26 28 กิจกรรมท่ี 1 การยกเกา อี้ 30 กจิ กรรมท่ี 2 การมวนเสอ่ื หรือพรม 32 กจิ กรรมที่ 3 การพบั ผา 34 กิจกรรมท่ี 4 การปแู ละเกบ็ ท่นี อน 36 กิจกรรมที่ 5 การตกั ถัว่ 38 กจิ กรรมที่ 6 การเทขา ว,ถั่ว 41 กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตง ตัว กระดมุ 44 กจิ กรรมที่ 8 กรอบแตงตวั เขม็ ขัด 46 กิจกรรมท่ี 9 การลางมือ 50 กจิ กรรมที่ 10 การลา งโตะ 52 กิจกรรมท่ี 11 การขดั โลหะ 54 กิจกรรมที่ 12 การเดนิ จงกรม 56 กจิ กรรมที่ 13 การมอบของขวัญ 58 กิจกรรมท่ี 14 การกราบแม 60 กจิ กรรมที่ 15 การเช็ดใบไม 62 กจิ กรรมท่ี 16 การขดั รองเทา 66 กจิ กรรมหมวดประสาทรับรู 68 กิจกรรมที่ 1 แทน กระบอกพมิ พ 71 กจิ กรรมที่ 2 หอชมพู 73 กิจกรรมที่ 3 บนั ไดน้าํ ตาล 75 กิจกรรมท่ี 4 พลองแดง 78 กจิ กรรมท่ี 5 แถบสี กลอ งที่ 1 80 กจิ กรรมท่ี 6 แถบสี กลอ งท่ี 2 82 กิจกรรมที่ 7 แถบสี กลอ งที่ 3 กจิ กรรมที่ 8 ตเู รขาคณิต กจิ กรรมที่ 9 ลูกบาศกสองตัวแปร กจิ กรรมที่ 10 กระดานขรุขระและเรียบ
กจิ กรรมท่ี 11 แถบอุณหภมู ิ 84 กิจกรรมท่ี 12 แถบน้าํ หนัก 86 กจิ กรรมท่ี 13 การจดั กลมุ 88 กิจกรรมท่ี 14 กลองเสยี ง 90 กจิ กรรมท่ี 15 ขวดอุณหภมู ิ 92 กิจกรรมท่ี 16 การชมิ รส 94 กิจกรรมที่ 17 การดมกล่ิน 96 กจิ กรรมที่ 18 เรขาคณติ ทรงทึบ 98 กิจกรรมหมวดภาษา 100 กิจกรรมสง เสรมิ การพดู การฝกภาษา 102 การสะสมคาํ ศพั ท 102 กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรมสง เสริมภาษาพดู 102 กิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมเรยี นรคู าํ ศพั ทจากสงิ่ แวดลอมในหองเรยี น 107 กจิ กรรมที่ 3 การจาํ แนกพยญั ชนะตน (เสียง - รปู ) 111 กจิ กรรมท่ี 4 การสะสมคาํ ศพั ท : ชุดบัตรภาพ 114 กจิ กรรมสง เสริมการเขียน 117 กิจกรรมท่ี 1 ตัวอกั ษรกระดาษทราย 117 กิจกรรมท่ี 2 ตวั อักษรเคลื่อนที่ 120 กจิ กรรมท่ี 3 แผน โลหะลีลามอื 123 กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมฝกการเขยี นดวยมอื 126 กจิ กรรมสง เสริมการอาน 129 กจิ กรรมที่ 1 กลอ งวัตถกุ ลอ งที่ 1 129 กิจกรรมท่ี 2 กลองวตั ถกุ ลองที่ 2 131 กจิ กรรมท่ี 3 คาํ ยาก 136 กิจกรรมชุดการอานอนกุ รม 138 กิจกรรมที่ 1 ชอื่ วัตถุและอปุ กรณต างๆ ในสงิ่ แวดลอ ม 138 กิจกรรมที่ 2 คณุ ลักษณะตา งๆ ของอุปกรณฝ ก ประสาทรบั รู 140 กิจกรรมที่ 3 ชุดบัตรภาพตางๆ (ฝก การจาํ แนก – จดั กลมุ ) 142 กิจกรรมชุดการอานหนา ทข่ี องคํา 145 กจิ กรรมที่ 1 คาํ คณุ ศพั ท 145 กจิ กรรมท่ี 2 คําคุณศพั ทสมเหตสุ มผล 147 กิจกรรมท่ี 3 คาํ คุณศัพทส บื คน 150 กิจกรรมที่ 4 คําสนั ธาน 152
กิจกรรมที่ 5 คําบพุ บท 154 กิจกรรมท่ี 6 คาํ กริยา 156 กจิ กรรมท่ี 7 คาํ กรยิ าวเิ ศษณ 158 กจิ กรรมท่ี 8 คํากริยาวิเศษณส มเหตสุ มผล 160 กจิ กรรมที่ 9 คาํ ส่ังตอเน่ือง 162 กจิ กรรมที่ 10 ลักษณะอื่นๆ ของคาํ กรยิ า 164 กจิ กรรมการอานชุดภมู ศิ าสตร 166 กิจกรรมที่ 1 ลกู โลกกระดาษทราย 166 กิจกรรมท่ี 2 ลกู โลกสี 167 กจิ กรรมที่ 3 รปู ตอแผนทีโ่ ลก 169 กิจกรรมท่ี 4 รูปตอแผนที่และบตั รภาพ 171 กิจกรรมท่ี 5 รปู ตอแผนทีแ่ ละบตั รคาํ 172 กิจกรรมที่ 6 ธงชาติตาง ๆ 173 กิจกรรมท่ี 7 กิจกรรมตกุ ตาเครอื่ งแตงกายอาเซยี น 174 กิจกรรมหมวดคณิตศาสตร 176 กลมุ งานที่ 1 ความเขา ใจที่มีตงั้ แต 1-10 และ 0 178 กิจกรรมที่ 1 ไมจํานวน 178 กิจกรรมท่ี 2 ตัวเลขกระดาษทราย 182 กิจกรรมท่ี 3 ไมจ ํานวนและบตั รเลข 185 กิจกรรมท่ี 4 กลองกระสวย 193 กิจกรรมที่ 5 บัตรเลขและเบีย้ 196 กจิ กรรมท่ี 6 เกมจาํ ตวั เลข 199 กลุมงานที่ 2 ระบบเลขฐานสิบ 201 กิจกรรมที่ 1 การนําเสนอบทเรยี นดวยลกู ปด 201 กจิ กรรมท่ี 2 การนาํ เสนอบทเรยี นดวยบตั รเลข 207 กิจกรรมท่ี 3 การสรา งจาํ นวนดว ยลกู ปด และบตั รเลข 201 กจิ กรรมท่ี 4 การบวกธรรมดา 215 กจิ กรรมท่ี 5 การบวกแบบมที ด 218 กจิ กรรมที่ 6 การลบธรรมดา 221 กิจกรรมท่ี 7 การลบแบบกระจาย 225 กิจกรรมที่ 8 แนะนาํ เกมเลนเบี้ยอากร 229 กจิ กรรมท่ี 9 การบวกแบบธรรมดาดว ยเบี้ยอากร 233 กจิ กรรมที่ 10 การบวกแบบมที ดดวยเบยี้ อากร 237
กิจกรรมท่ี 11 การลบธรรมดาดวยเบ้ยี อากร 241 กิจกรรมท่ี 12 การลบมกี ระจายดวยเบยี้ อากร 245 กลุมงานท่ี 3 นบั ตอเน่ือง 249 กจิ กรรมท่ี 1 ลูกปด 11-19 249 กิจกรรมท่ี 2 กระดาน 11- 19 พรอ มบัตรเลข 253 กิจกรรมท่ี 3 กระดานพรอมลูกปด และบัตรเลข 11-19 256 กจิ กรรมท่ี 4 กระดาน 10-90 (99) พรอมลกู ปด และบัตรเลข 258 กลุมงานที่ 4 พัฒนาการจํา 262 กิจกรรมท่ี 1 งูบวก 262 กจิ กรรมท่ี 2 กระดานบวก 268 กจิ กรรมที่ 3 ตารางฝก หัดบวก หมายเลข 1 274 กจิ กรรมที่ 4 ตารางฝก หัดบวก หมายเลข 2 277 กจิ กรรมท่ี 5 ตารางฝกหดั บวก หมายเลข 3 280 กจิ กรรมที่ 6 ตารางฝก หดั บวก หมายเลข 4 283 กจิ กรรมที่ 7 งลู บ 285 กิจกรรมที่ 8 กระดานลบ 291 กิจกรรมที่ 9 ตารางฝกหดั ลบ หมายเลข 1 296 กจิ กรรมท่ี 10 ตารางฝกหัดลบ หมายเลข 2 298 บรรณานุกรม 301 คณะทํางาน 302
การเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริ (Montessori) มอนเทสซอริคอื อะไร ? มอนเทสซอริ คอื ช่ือสกุลของแพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ ชาวอิตาลี ถอื กาํ เนิดขน้ึ เม่ือ ค.ศ.1870 เธอสาํ เรจ็ การศึกษาเปนแพทยห ญิงคนแรกของอติ าลี ในป ค.ศ.1896 แพทยห ญงิ มอนเทสซอริไดคดิ คน ระบบการจดั การศึกษา สาํ หรบั เดก็ กอ นวยั เรยี นขน้ึ มาใหม ซง่ึ เปน วธิ กี ารศกึ ษาทอ่ี อกแบบมาใหต อบสนองความตอ งการพนื้ ฐานของเดก็ กอ นวยั เรยี น ระบบการศกึ ษามอนเทสซอริเปนท่ียอมรับทวั่ โลก โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ (ปย ะนชุ ชัชรตั น. 2552:2) ความเปนมาของการสอนแบบมอนเทสซอริ การสอนแบบมอนเทสซอริ เปน การสอนทค่ี ดิ รเิ รมิ่ โดยแพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ (Dr. Maria Montessori) ตงั้ แต ป ค.ศ. 1907 โดยพฒั นาจากการสงั เกตเดก็ ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ จากความเชอ่ื ทว่ี า การเรยี นรเู กดิ ขน้ึ จากภายในตนเอง การศกึ ษาของแตล ะบคุ คลจงึ ใชเ วลายาวนานมากกวา ชวั่ โมงและจาํ นวนปท แ่ี ตล ะคนใชใ นหอ งเรยี น เพราะวา คนเราถกู กระตนุ ใหอ ยากรอู ยากเหน็ ตามธรรมชาติ และมคี วามรกั ในการใฝห าความรู แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ ไดร เิ รมิ่ การสอนสาํ หรบั เดก็ ท่ีมคี วามบกพรอ งทางสตปิ ญ ญา และพัฒนาการสอนจนสมบรู ณแบบเพื่อใชก ับเด็กทว่ั ไป ทฤษฎขี อง มอนเทสซอรเิ ปน ท่ี ยอมรับของคนทัว่ โลก ดวยวธิ ีการสอนนเี้ ด็กสามารถ อานเขยี น และคดิ คํานวณดวยวธิ ีธรรมชาติเหมอื นการหัดเดนิ และ พดู เดก็ ไดท าํ งานตามชวงเวลาของความสนใจและตามความพรอมของแตล ะคน เดก็ มวี นิ ัยในตนเอง รูจักควบคมุ ตนเอง รจู ักมารยาทในการรอ การเอ้อื เฟอ เผื่อแผชวยเหลอื ซงึ่ กันและกนั การใชก ิรยิ าวาจาที่ดีตอ กนั รจู กั รับผิดชอบในการกระ ทําของตนเอง โดยใชอปุ กรณช ้ินใดแลว ตองเก็บเขาทีใ่ หเรียบรอ ย รจู ักรักษาอุปกรณ ไมท ํางานเพ่ือหวังรางวลั หรือเพ่อื ไม ใหถ ูกทาํ โทษเทาน้ัน แตใ หเ หน็ วา รางวัลของเขาคอื ผลงานของเขาเอง (กรรณิการ รักขุมแกว บตั . 2549:12) การเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริมีกระบวนการท่ีเนนการพัฒนาศักยภาพตามความแตกตางของเด็กแตละ บคุ คลเพือ่ พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ เปนการศกึ ษาตลอดชพี ใหมคี วามเปน มนษุ ยที่สมบรู ณม ีคุณลักษณะอนุรักษจรรโลงสิ่ง แวดลอ มในสงั คมโลก ดําเนินการโดยสมาคมมอนเทสซอรสิ ากล (AMI) ท่ีกอตงั้ โดยแพทยห ญิงมาเรีย มอนเทสซอริ ซึ่งมี องคกรเครอื ขายทัว่ โลก ปจจุบันมีสาํ นักงานใหญตั้งอยู ณ ประเทศเนเธอรแลนด แนวคดิ สําคญั ของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ จดุ มงุ หมายของการศึกษาแบบมอนเทสซอริ แพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ เช่อื วามนุษยเรียนรูดว ยตนเอง การเรียนรทู ี่แทจ รงิ น้นั เปน ปจเจกและเกิดขนึ้ อยา งตอเน่อื งตลอดชวี ิตไมใ ชเฉพาะการเรยี นรูในหอ งเรยี นนานนับชว่ั โมงเปน เวลาแรมป เพราะมนษุ ยน น้ั มแี รงจงู ใจภายใน มีความสนใจใครรแู ละมคี วามรกั ในการเรียนรู ดังน้นั แพทยหญิงมาเรีย มอนเทสซอริ จึงเห็นวาเปา หมายของการศกึ ษาไม ควรเปน แคการเติมเต็มความรู จากสงิ่ ทเ่ี ราเตรียมไวล ว งหนา แตควรจะเปน การบม เพาะธรรมชาตขิ องความตอ งการเรยี น รขู องแตละบคุ คล ในหองเรยี นมอนเทสซอริมวี ธิ ีการอยู 2 วิธีท่จี ะนาํ ไปสจู ดุ มุงหมายดังกลาว ดังน้ี 1. วิธแี รก คือเปด โอกาสใหเด็ก ๆ ไดมีประสบการณตนื่ เตน กับการเรยี นท่ตี นเองเปนผเู ลือก 2. วิธที ่ีสอง คือการชวยใหเ ด็กไดพ ัฒนาเคร่อื งมอื ธรรมชาติของการเรียนรูเ พื่อใหเดก็ ๆ มีศักยภาพในการเรยี นรู 1การจดั การเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
อยา งเตม็ ท่ีตอไปในอนาคต สื่อมอนเทสซอริจะมีลกั ษณะทง้ั 2 ประการ ทีจ่ ะชว ยพัฒนาเดก็ ในระยะยาว และขณะเดียวกัน ก็จะใหข อมลู จาํ เพาะแกเด็กดว ยเชน กนั กรอบแนวคดิ ของการสอนแบบมอนเทสซอรทิ ส่ี ําคัญ ๆ (จีรพันธุ พูลพัฒน. 2551:37 ) ประกอบดว ย 1. การศึกษาของแตล ะบุคคลยาวนานมากกวา ช่วั โมงเรยี น และจํานวนปที่แตละคนใชใ นหองเรียนเพราะคนเรา ไดรับการกระตนุ จากความอยากรูเ ห็นและใฝหาความรูตามธรรมชาตอิ ยแู ลว 2. สทิ ธิของเดก็ ในการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพในการเรยี น การสํารวจโลกของตนเอง และสทิ ธทิ ี่จะมีสภาพการทาํ งาน ทเี่ หมาะสม 3. ระยะแรกของการจัดการศึกษาไมใชการเอาความรูไปบอกเด็กแตเนนการปลูกฝงใหเด็กไดเจริญเติบโตตาม ธรรมชาตขิ องเด็ก 4. จติ ของเด็กเหมือนฟองนา้ํ ท่ซี ึมซบั ขอมลู จากส่งิ แวดลอม เขาจะใชจ ิตของเขาแสวงหาความรู แบบซึมซบั เอา สิง่ ตาง ๆ เขาไวในจติ ใจของเขา 5. พลังอํานาจทางจติ ของเดก็ จะพัฒนาไปพรอม ๆ กบั สตปิ ญญาในชว งอายุตั้งแตเกิดจนถงึ 6 ป 6. เดก็ เรยี นรไู ดด ที ส่ี ดุ จากสภาพแวดลอ มทไ่ี ดต ระเตรยี มไวอ ยา งมจี ดุ หมายอยา งมอี สิ ระ จากการควบคมุ ของผใู หญ 7. ไมมใี ครไดร ับการศึกษาโดยคนอน่ื ตัวเขาเองตอ งทาํ ใหเกดิ ขึ้นเอง การใหโอกาสเด็กไดคนพบ ส่ิงตา ง ๆ ดวย ตนเองจะทําใหเ กดิ การเรยี นรไู ดดที ่ีสดุ (กรรณิการ รักขุมแกว บัต. 2549:24) ปรชั ญาความเชื่อของการเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริ แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ เขียนไวใน “The Absorbent Mind” วา ชว งเวลาที่สาํ คัญท่ีสดุ ในชวี ิตไมใ ช ชวงเวลาของการศึกษาในมหาวทิ ยาลยั แตเ ปนชว งแรกเกดิ จนถงึ 6 ป ชว งเวลาดงั กลาว เปนชว งสาํ คญั ที่มกี ารพัฒนา สมองและพฒั นาการทางจติ ไมม ีชว งเวลาไหนของชวี ติ ท่ีเด็ก ๆ มคี วามตองการทจ่ี ะใชสมองในการเรยี นรมู ากไปกวา ชว งนี้ ถามอี ุปสรรคในการใชสมองเพื่อการเรยี นรูกระบวนการเรียนรอู ยางสมบูรณก ็จะลดลง จากการศกึ ษาวจิ ัยทางดา นจิตวทิ ยานับพนั ๆ กรณี ดร.เบนจามนิ บลมู แหง มหาวทิ ยาลัยชคิ าโก ไดยนื ยันทฤษฎี ของ แพทยห ญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ และระบุไวใน “ความมัน่ คงและการเปล่ียนแปลงของบคุ ลิกมนุษย” วา (ปย ะนชุ ชัชวรตั น. 2552:4) มนษุ ยเ มอ่ื แรกรบั รู ถงึ ชว งอายุ 4 ป จะมกี ารพฒั นาตนเองถงึ 50% ในเรอื่ งสตปิ ญ ญาเปน หลกั ตอเมอื่ อายุ 4 – 8 ป กจ็ ะพฒั นาอีก 30% แสดงใหเหน็ ถงึ ความเจรญิ เติบโตอยา งรวดเรว็ ของสมองในชวงวัยตน และมีผลกระทบอยา งมากจาก สิง่ แวดลอมในพฒั นาการดงั กลา ว เชน เดียวกันกบั แพทยหญิงมาเรีย มอนเทสซอริ ดร.เบนจามิน บลูม เชือ่ วาสง่ิ แวดลอ ม จะมผี ลกระทบอยางมากในชว งเวลาหน่ึงเวลาใด เม่อื พฒั นาการของเด็กในชว งเวลาดงั กลา วมกี ารเจรญิ เตบิ โตอยา งรวดเรว็ ยกตวั อยางเชน การอดอาหาร จะไมมผี ลตอ ความสงู ในเดก็ อายุ 18 ป และจะมผี ลใหเ กิดภาวะปญ ญาออ นอยางรุนแรงใน ทารกวยั 1 ป เนือ่ งจากพัฒนาการทางจิตเกดิ ข้ึน 80% กอนทเี่ ดก็ จะอายุ 8 ป ความสําคัญของเง่อื นไขระหวาง ชวงเวลา ดงั กลาวจงึ ไมใชเ รือ่ งกลาวเกินจรงิ และมขี อ คดิ คน ของ แพทยห ญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ สนบั สนุนหลักการดังกลาว คือ 1. แนวโนม ความเปน มนษุ ย (Human Tendencies) แนวโนม ความเปนมนุษย คอื พลงั (Power) ในการสรา งตนเอง เปน การขับเคลอื่ น ซง่ึ เปนมรดกตกทอดตาม สายพนั ธทุ ี่จะนําใหเกดิ พัฒนาการดา นการเรียนรตู ลอดชวี ติ เปน จิตไรส ํานกึ (Unconscious) เปนสวนทีช่ วยใหเราตดั สิน 2 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
ใจวา จะทาํ อะไร ซง่ึ แนวโนม ของความเปน มนษุ ยน ้ี จะอยตู ดิ ตวั เราไปตลอดชวี ติ ทง้ั หมดน้ี แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ เรียกวา Human Tendencies เพราะเปนสวนสาํ คัญของความเปน มนุษย ซึ่งแตกตางจากสตั ว โดยในสัตวนั้นจะเดนิ หรือ จะทาํ อะไรอนื่ ๆ โดยสญั ชาตญาณ สว นในเดก็ ทารก ไมม สี ญั ชาตญาณของการอยรู อดมพี ลงั (Power) นอ ยนดิ แตม แี นวโนม ความเปน มนษุ ยซ อ นอยอู ยา งมหาศาลในจติ ใตส าํ นกึ ทจ่ี ะชว ยใหเ ดก็ สามารถดาํ เนนิ ชวี ติ ไดโ ดยไมอ าศยั จติ สาํ นกึ เดก็ ทวั่ โลก สามารถทาํ อะไรเหมอื น ๆ กนั แตกตา งกนั ทว่ี ธิ กี ารเรยี นรซู ง่ึ จะเปน เอกลกั ษณข องแตล ะคนเทา นนั้ (กรรณกิ าร รกั ขมุ แกว บัต. 2549:36-40) คณุ ลักษณะแนวโนม ของความเปน มนุษย 1. ความคนุ เคย (Orientation) 2. ระบบระเบยี บ (Order) 3. การคนควา (Exploration) 4. การส่อื สาร (Communication) 5. ความเทีย่ งตรง (Exactness) 6. การปฏบิ ัตซิ ํ้า (Repetition) 7. ความสมบรู ณเ พยี บพรอ ม (Self Perfection) 8. กจิ กรรมการงาน (Activity) / ทาํ กับมอื ...มอื คอื ครขู องเดก็ 9. การงาน (Work) 10. นามธรรม (Abstraction) 11. การจดั การสิง่ ตา ง ๆ (Maniplulation) 2. เด็กมีจติ ซมึ ซบั การเรยี นรผู า นสอื่ ของเดก็ ๆ เปน ลกั ษณะเฉพาะที่ แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ เรยี กวา “จติ ซมึ ซบั ” ในบทความตา ง ๆ ของแพทยห ญิงมอนเทสซอริ บอยครงั้ จะเปรยี บเทยี บวา จิตของเดก็ เปรยี บเสมือนกบั “ฟองน้ํา” ที่ซมึ ซบั ขอมลู ราย ละเอยี ดตา ง ๆ จากส่งิ แวดลอม หรือเปนเสมือน “กลอ งถา ยรปู ” ท่เี กบ็ ภาพ ทุกอยา ง เราจะสังเกตไดจากกระบวนการ เรียนรูภาษาแมของเด็กในวัย 2 ขวบ เด็กพดู ภาษาของตนเอง โดยปราศจากโครงสรา งของประโยคอยางเปนรูปแบบ ปราศจากจิตสํานึกที่ตองการจะพูดหรือแทบจะไมตองใชความความพยายามในการพูดเหมือนกับที่ผูใหญจําเปนตอง พยายามอยา งมากในการเรยี นภาษาอ่ืนใหเ ชยี่ วชาญ จิตซึมซับ (Absorbent Mind) คอื องคประกอบการทาํ งานของสมองทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการประสานกายและจติ วิญญาณคงศกั ยภาพความสามารถและพลงั ของสมองไว ซงึ่ การทํางานของเซลลส มองมพี ฒั นาการเกิดขึ้นตั้งแต 25 วนั แรกนับแตปฏสิ นธิ เดก็ ตงั้ แตแ รกเกิด – 6 ป มคี ุณลักษณะของจติ ซึมซบั (Absorbent Mind) ในภาษาแม การเคลื่อนไหว อยา งสมบูรณและการจัดระบบภายใน แยกลักษณะจิตซึมซับของแตละชวงอายุได ดังนี้ (กรรณิการ รกั ขุมแกว บัต. 2549:44-45) 2.1 อายุ 0-3 ขวบ เปน Sensitive Periods ทอี่ าศยั การซึมซบั แบบจติ ไรส ํานึก (Unconscious Mind) 2.2 อายุ 3-6 ขวบ เปน Sensitive Periods ทีอ่ าศยั การซึมซบั แบบจติ สาํ นึก (Unconscious Mind) ศึกษา คน ควา /วางแผน/กระบวนการสรางสรรคดว ยตนเอง 3การจดั การเรียนรูร ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
ในเดก็ บางคนทีม่ ีอายุ 3 – 6 ขวบ แลว แตค วามพรอมไมเปน ไปตามวัยมคี วามพรองไมเ ปน ไปตาม ภาวะปกติ อาจมกี ารรบั รไู ว เปน ก่ึงจติ ไรสํานกึ (Subconscious Mind) มอี ารมณ/ความคิด/จนิ ตนาการ/ความคิดรวบยอด/ความคดิ สรา งสรรค แตใ นเดก็ แตละคนจะมอี งคประกอบของจติ ซึมซบั และการเสริมสรา งการทํางานของสมองของจิตซึมซบั ดังน้ี องคประกอบของจติ ซึมซบั 1. รบั ไมเ ลือก โดยรับภาพทั้งหมด (Total Image) เปน การทํางานเชนเดียวกับกลอ งถายรูป 2. รับไมแ ยก โดยไมจดั กระทาํ กระบวนการใด ๆ ทั้งสนิ้ ซึง่ เปน การรับแบบฟองนา้ํ ดดู ซับทกุ อยางเขาสูตัว 3. รับมาทั้งหมด โดยอาศยั กายภาพและวัตถุตา ง ๆ ทเ่ี กี่ยวของ กระทําแบบไมรตู วั Unconscious Mind) การเสริมสรา งการทํางานของสมองของจิตซึมซบั 1. สง เสรมิ การเคลือ่ นไหว 2. สง เสรมิ พฒั นาการการใชก ลามเน้ือมอื 3. สง เสริมการเคลื่อนท่ีตา ง ๆ 4. สามารถคงความรูโดยการจาํ ดว ยกลา มเนอื้ 5. สรางและเรียนรภู าษาแม 6. สรางเจตจาํ นง (The will) เกิดการเชือ่ ฟง รับรไู ด 7. มีภาพลกั ษณของสมั พนั ธก บั สิง่ แวดลอ มทางกายภาพและจิตวิญญาณ 8. ทกั ษะตา ง ๆ เฉพาะตัว มีการพงึ่ พาตนเองเปนอิสระ 9. ความสามารถในการปรบั ตวั เขา กับสงั คม 3. เดก็ มีชวงวกิ ฤต หรือชวงการรับรูไว (Sensitive Periods) ชวงของการรับรไู วตอการเรียนรู จากการสงั เกตของ แพทยห ญงิ มาเรยี มอนเทสซอริ นําไปสกู ารวิจัยในยุคปจจบุ นั ในเรอ่ื งความสาํ คญั ของการ รับรไู วตอการเรยี นรู ซง่ึ เปน ชวงเวลาทีเ่ ด็กๆ ลุม หลงตอ การเรียนรูเรอื่ งใดเรื่องหนง่ึ หรอื ทกั ษะใดทกั ษะหน่งึ เชน การเดนิ ขนึ้ – ลงบันได การเรียงสงิ่ ของ การนับหรอื การอานจึงเปน การงา ยสําหรบั เด็กๆ ทีจ่ ะเรยี นรูท ักษะเฉพาะเร่ืองหนึ่งเรื่องใด สอดคลองกับชว งเวลาการรบั รไู วตอ การเรียนรเู รือ่ งนนั้ ๆ ดีกวาชวงอ่ืนๆ ในชวี ติ หองเรียนมอนเทสซอริไดประโยชนจาก ความจรงิ ดงั กลาวโดยการอนุญาตใหเด็กๆ มีอิสระในการเลือกกิจกรรมของตนเองสอดคลองกับการรับรูไวในการเรยี นรู ในเรอ่ื งนัน้ ๆ การรบั รไู ว คอื กฎของพฒั นาการทเ่ี ปน ชว งของการเปลยี่ นแปลงทางการภาพทมี่ อี ยใู นตวั เดก็ ทกุ คนทว่ั โลกท่เี กิด จากพลงั ขบั จากภายใน (Inner - Guide) และทาํ ใหเ ดก็ แตล ะคนมศี กั ยภาพเตม็ ตวั ในการแสดงออกทางบคุ ลกิ ลกั ษณะตา ง ๆ เฉพาะตวั ของแตล ะบคุ คล เม่ือเด็กมีปฏิสัมพนั ธก ับส่งิ แวดลอ ม จะมกี ารตอบสนองตรงกบั ส่ิงเรา ภายใน คณุ สมบัติในการ รบั รไู วเปน พเิ ศษทําใหเดก็ เกิดความรแู ละทักษะอยางรวดเร็ว ชว งเวลาเหลาน้ีจะมีอยูในเด็กทั่วโลก ทักษะและความรบู าง ดานสามารถพัฒนาไดสงู สดุ ในชว งเวลาน้ี ในขณะเดียวกันถาทกั ษะเหลา นีไ้ มไ ดร ับการสงเสริมในเวลาและวธิ กี ารที่เหมาะ สม อัจฉริยภาพเหลา น้ี กจ็ ะสญู สิ้นไป ชวงรบั รไู วมอี งคป ระกอบและลักษณะการเรียนรู ดงั นี้ (กรรณกิ าร รักขุมแกว บัต. 2549:45-46) 4 การจดั การเรยี นรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
องคป ระกอบของการรับรูไว 1. รับเลือก 2. แยกใช 3. เลือกทาํ งานบางสว น ลักษณะการเรยี นรูข องเด็กในชวงการรบั รไู ว 1. จะอยูในกระบวนการเรียนตลอด 2. หักหามตนเองไมไ ด 3. ทาํ ซ้ําและทาํ นาน ๆ 4. ลุม หลงในส่งิ นัน้ อยางย่งิ 5. มคี วามประณีต 6. มีความสนกุ ในการทํางาน 7. เมือ่ ทําเสรจ็ แลว ไดผ อนคลาย การรับรูในแตละชวงของเด็กอยูใ นชวงของจิตไรสํานกึ (Unconscious Absorbent Mind) ทส่ี รา งบุคลกิ ภาพ ของแตล ะบุคคล การสรางบุคลกิ ภาพในแตละครั้งสงผลใหเดก็ ฝกฝนตนเองใหม จี ติ สํานึก ที่ควบคุมตนเองได ชวงการรบั รไู วตา ง ๆ น้นั สามารถเกดิ ขนึ้ ไดใ นเวลาเดยี วกนั แตจ ะมเี รื่องใดเรอ่ื งหนึ่งท่ีเดนกวา ชว งการรับรูไว กอใหเ กดิ ระบบระเบยี บเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง โดยอาศยั จติ ซึมซบั (Absorbent Mind) เปนพน้ื ฐาน ชวงการรับรไู ว เปนพลังของจติ และวิญญาณทเี่ ลือกนาํ มาเฉพาะบางสว นจากส่งิ แวดลอ มทใ่ี ชภ าพลกั ษณซ่ึง ปรุงแตงมาจากจิตซึมซับและนาํ มาใช โดยมภี าษาเปน ตัวเชือ่ ม และมีการเคลื่อนไหว มรี ะบบ มีความประณตี ซ่งึ เกดิ จาก การทาํ ซ้ํานานจนเกดิ ความทรงจาํ สามารถแสดงการรบั รูไวของเด็ก แตละชว งอายดุ งั ตารางตอไปนี้ 5การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
ตาราง 1 แสดงชวงการรับรไู วของเดก็ ߊüÜüÖĉ ùêĀøĂČ ßŠüÜøĆïøšĕĎ ü ÙüćöøšĒĎ úąìÖĆ þąìóĊę Ćçîćĕéÿš ÜĎ ÿéč ĒøÖđÖéĉ – 1 ½ ×üï đøĊ÷îøÝĎš ćÖÖćøđÙúęČĂîĕĀüøŠćÜÖć÷ 1 ½ - 3 ×üï óĆçîćÖćøìćÜõćþćóéĎ 1 ½ - 4 ×üï óĆçîćÖćøìćÜÖúćš öđîĂĚČ ðøąÿćìÿöĆ ñĆÿ 2 – 4 ×üï öÙĊ üćöÿîĔÝđÖĊę÷üÖĆïøąđïĊ÷ïĔîÿÜęĉ ĒüéúšĂöĒúąĔî ßüĊ êĉ ðøąÝĞćüîĆ 2 – 6 ×üï đøĊ÷îøìšĎ ćÜéîêøĊ 2 ½ - 4 ×üï öÙĊ üćöúąđĂĊ÷éĂĂŠ îĔîđøĂČę ÜðøąÿćìÿöĆ ñÿĆ đø÷Ċ îøĎš ÙüćöøšÿĎ ċÖĒúąóùêÖĉ øøöìĊęÙüøöêĊ ŠĂÿĆÜÙö 3 – 6 ×üï öĊÙüćöđ×ćš ĔÝëÜċ ÿŠüîđÖĊ÷ę üךĂÜìęñĊ ĎšĔĀâŠóċÜöêĊ ŠĂđéĘÖ 3 ½ - 4 ½ ×üï đø÷Ċ îøšĎìćÜéćš îÖćøđ×÷Ċ î 4 – 4 ½ ×üï ðøąÿćìÿĆöñÿĆ ĔîÖćøÝĆïêšĂÜ 4 ½ - 5 ½ ×üï đø÷Ċ îøìĎš ćÜéćš îÖćøĂŠćî ชวงแรกเกดิ – 3 ขวบ การรบั รูไวของชวงน้ี ชว ยในการสรา งภาษาใหกบั เด็ก เดก็ มปี ระสบการณถ งึ ความอบอนุ ทผี่ ใู หญค ยุ กบั เดก็ เดก็ จะเรยี นภาษาใดกต็ ามทอี่ ยใู นสง่ิ แวดลอ ม เราไมท ราบประวตั แิ นน อนวา ภาษามนษุ ยเ กดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร และไมทราบวาเกดิ สงิ่ มหัศจรรยอะไรเม่อื เดก็ พูดได เราเห็นวา พัฒนาการไมใ ช ส่งิ ท่เี กดิ ขนึ้ ทางเดยี ว แตเ ราจะเห็นวาเมอ่ื มี ส่งิ ใหมเ กดิ ข้ึนกม็ ีพฒั นาการชวงทีข่ ึ้นสูงสดุ และมชี วงราบเรียบ ไมมสี ่งิ ใดทเี่ กิดข้ึนแลว มพี ฒั นาการในลกั ษณะเชิงข้ันบันได เชนเดียวกับเด็กทุกคนท่ีมพี ฒั นาการทางดานเสยี ง คํา โครงสรา งประโยค ไวยากรณใ นประโยค ทต่ี อ งเกิดข้ึนโดยผา นการ วางแผน อยา งไรก็ตาม ทุก ๆ ภาษามคี วามซบั ซอน แตค วามสามารถทางภาษาเชงิ รวมจะเกดิ ขนึ้ ชว งเด็กอายุ 2 ขวบ โดย จะเกิดข้ึนเมอ่ื องคป ระกอบภาษาท่ซี บั ซอ นทัง้ หลายมีการสรางสมเพยี งพอในลักษณะการสรางของจติ ไรส าํ นกึ การเรียนรูภ าษา (Language) ของเด็กชว งนี้ สามารถแยกใหเหน็ พัฒนาการได ดงั น้ี 2 เดอื นแรก เดก็ หนั ศีรษะไปทางเสียงท่ไี ดยนิ 4 – 5 เดือน จับตาจองปากท่ีพูดกบั เดก็ 6 เดอื น เดก็ เริ่มออกเสียงออ แอ 1 ป พูดคําแรก 18 เดือน ตอ งการรูช่อื ของทุกสง่ิ และใชค ําเหมารวม concept คาํ ตางๆ 20 เดอื น เริ่มเปนวลี 20 – 24 เดอื น มคี วามตืน่ ตวั ในการพดู เปนคาํ 24 – 26 เดอื น สรา งคําใหมอาจเหมาะสมตามสถานการณ 30 เดือน ภาษาสมบูรณ 6 การจัดการเรยี นรูร ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
ตาราง 2 แสดงชวงอายุเดก็ กบั ศกั ยภาพการเรยี นรูทางภาษา ߊüÜĂć÷đč éĘÖÖïĆ ýĆÖ÷õćóÖćøđøĊ÷îøìĎš ćÜõćþć 4 – 5 đéČĂî 6 đéĂČ î 2–2½ 3 3½ 4 4½ 5–5½ ÝĆïêćÝĂš ÜðćÖ đøöęĉ ĂĂÖđÿĊ÷Ü óĎéđðŨîÙĞć / üúĊ ÿćöćøëđø÷Ċ îøÙĎš ćĞ óĚîČ åćî ×èąìĊĒę öŠóéĎ ĂĂš ĒĂš ÖĆïđéĘÖ öõĊ ćþćóéĎ ìÿĊę öïĎøèŤ ĕöŠÿćöćøëĂŠćîĕéšĒêŠöĊÙüćöÙščîđÙ÷ÖĆïõćþćóĎéĔî ßčéĂðč ÖøèŤëćéđÿĊ÷Ü ñŠ ć î Ö ć ø Ùšč î đ Ù ÷ õ ć þ ć ē é ÷ Ĕ ßš ÝĞćĒîÖÙĞćêćöĀîšćìĊę×ĂÜÙĞćĕéš ĂčðÖøèŤĂĆÖþøÖøąéćþìøć÷/ ēé÷ĂćýĆ÷ÿĆâúĆÖþèŤ (ÙĞćîćö/ ĒñŠîēúĀąúĊúćöČĂ/ĕöŠÿćöćøë Ùč è ýĆ ó ìŤ / üĉ đ ý þ èŤ / ïč ó ï ì / đ×Ċ÷îĕéšĒêŠĂćýĆ÷ĂĆÖþøđÙúČęĂîìęĊ ÙćĞ ÿîĆ íćî ĄúĄ) đðŨîĂðč Öøèߍ Šü÷đ×Ċ÷î ĂćŠ îÙćĞ /ĂŠćîüúĊÝćÖÖćøĂŠćî ĂŠćîÙćĞ /üúĊ/ ĂîÖč øö/ĂîčìĉîÙćĞ ýĆóìŤēé÷ĂćýĆ÷ ðøąē÷Ù/ Öćøüđĉ ÙøćąĀđŤ ÿ÷Ċ ÜđßĂČę öÖĆï ÝćĞ ĒîÖ ÿĆâúÖĆ þèŤ ðøąē÷Ùĕéš เด็กในชวงอายุ 3 – 6 ป จะมีการตกผลึกของความประณีตทางภาษา เรยี นคาํ ใหมมากมาย สวนใหญจ ะมีความ สมบูรณใ นการออกเสยี ง การสรางประโยคมกี ารสรางอยบู นฐานไวยากรณท ่ถี ูกตอง โดยไมไ ดต อ งการความชวยเหลือ นอกจากอาศัยรวมอยูกับคนทพ่ี ูดภาษา ในชว งปน ้เี ดก็ สามารถขยายคําศัพทไดกวา 10,000 คาํ เด็กอายุ 4 ½ ขวบ การรับรไู วทางภาษาไดพ ัฒนาไปอกี ระดับหนงึ่ คือ เด็กเร่มิ ตน ใชภาษาในลักษณะความสัมพนั ธ ระหวา งถอ ยคาํ ในประโยคหรือโครงสรา งความสัมพันธทางไวยากรณ (Syntax) ของภาษา เดก็ สามารถพัฒนาภาษาได แผนภาพแสดงชว งการรบั รไู ว (กรรณกิ าร รักขุมแกว บตั . 2551:12) 7การจดั การเรียนรูระดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
4. ระนาบพฒั นาการ ระนาบพัฒนาการ 4 ระดับ หรอื บางครงั้ เรียกวา ระนาบการศึกษา 4 ระดบั คอื ทศั นะเก่ยี วกบั พฒั นาการของ มนษุ ย ซงึ่ นักทฤษฎีรว มสมยั ของแพทยหญิงมอนเทสซอริ ท่ีสนใจศกึ ษาพฒั นาการของมนษุ ยโดยดจู ากชว งเวลาและแบง ออกเปนระดบั หรอื สว นตาง ๆ เชน Piaget เรียกชวงเวลาเหลา น้ันวา Stages (ระดับ) และ Erickson เรียกวา Ages (อาย)ุ นกั ทฤษฎีเหลา นี้มมี ุมมองตา งกัน เชน Freud มองในมมุ เรอื่ งจติ วทิ ยาทางเพศ (Psycho Sexual) Erickson มมี มุ มองใน เรื่องจิตวทิ ยาสงั คม Piaget ในดานสติปญ ญาเนนวธิ กี ารเรียนรูข องคนและวธิ ีที่การเรยี นรเู กดิ ขึ้น แพทยหญิงมอนเทสซอริ มองในมมุ กวา งโดยศึกษาสวนประกอบตาง ๆ ท่พี ฒั นามนุษย มไิ ดมองดา นเดยี วเชน นัก วิทยาศาสตรร ว มสมัย นอกจากนนั้ ยงั พจิ ารณาการเปล่ยี นแปลงจากชวงพฒั นาการหน่งึ ไปสชู ว งตอ ไป โดยใชคาํ วา Meta- morphosis (การเปล่ียนแปลงรูปรางลกั ษณะ) เปน ลักษณะการเปลีย่ นแปลงในเดก็ แบบหนอนผเี สอ้ื Morph หมายความวา เปล่ียน ซ่ึงคาํ น้ีโดยปกตใิ ชก บั การเปลยี่ นแปลงในชว งชวี ติ ของแมลง และเหตทุ นี่ าํ มาใช กับมนุษยเน่ืองจากแพทยหญิงมอนเทสซอริ พบวาในบางชวงเวลาความเปล่ียนแปลงนั้น เฉียบขาดจนเกือบเหมือนกับ กลายเปนเด็กคนใหม มีความตางกันอยางยิ่งของพฤติกรรมและบุคลิกภาพ จากเดก็ คนเกา วิธีทสี่ มั พนั ธกบั โลก หรือวิธี การเรียนรตู า งกันอยางยิง่ เกิดการเปลย่ี นแปลงชนดิ ถอนราก ถอนโคนไปสอู กี ระดบั หนง่ึ พลังภายในของเดก็ และสง่ิ แวดลอ มภายนอก ทฤษฎเี ก่ยี วกบั พัฒนาการตา ง ๆ มขี อ ไดเปรยี บเสยี เปรยี บ มปี ระโยชนแ ละขอจาํ กัด นักทฤษฎีพัฒนาการเชอื่ วา โดยธรรมชาตพิ ัฒนาการเฉพาะทางในเร่อื งตา ง ๆ จะพัฒนาจนเสรจ็ ส้นิ ในชวงอายนุ ้ัน ๆ ธรรมชาตใิ หพ ลังเด็กเพ่ือปฏิบัติ ใหสําเร็จ แตพ ลังและความหย่ังรูไ มสามารถทํางานใหสาํ เรจ็ ไดตามลาํ พัง เดก็ จะตอ งมีปฏิสัมพันธกับสงิ่ แวดลอ ม เดก็ มี ตน ทนุ คือพลงั งาน สวนสิ่งแวดลอ มในโลกใหต น ทนุ สนับสนุนอีกประการหนง่ึ การเปลยี่ นแปลงพลงั งานในตัวเด็กเราทาํ ไดไ มม าก สิ่งที่เปนขอจาํ กดั หรอื อปุ สรรค คอื สิ่งแวดลอ มทเ่ี ดก็ อยูร ว ม ซงึ่ อาจเตม็ ไปดว ยขวากหนามตอพฒั นาการหรอื มีอิทธพิ ลตอความสมบรู ณของพัฒนาการในแตล ะระยะ ดงั นนั้ ถา เราเขา ใจ ความตอ งการของเด็ก จะสามารถจัดส่ิงแวดลอมท่ีพรอ มมูลและระวงั อปุ สรรคทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ได 8 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
พฒั นาการแตละระดับสงผลตอพฒั นาการระดับตอไป อาจกลาวไดวาบุคคลที่มีปญหาในระนาบท่ีสามก็จะสงผลไปสูระนาบที่สี่และเปนอิทธิพลตอพัฒนาการในระดับ ตอ ไป ซงึ่ หมายความวา ขอจํากดั จากระนาบลา งสง ผลผานไปสูระดบั สงู ข้ึน เด็กที่ขาดพฒั นาการบางประการในระดบั ท่ี ควรเปน นนั้ สามารถเกิดพัฒนาการในระดบั ตอ ไปได แตพ ลงั ธรรมชาตซิ ่ึงมีอยูในระนาบลา งซ่ึงทาํ ใหพัฒนาการเปน ไปโดย งายหมดไปแลว จงึ ทาํ ใหค ณุ ลักษณะทีไ่ มไ ดพ ัฒนาให เสรจ็ ส้นิ ในชวงวัยนัน้ ตองกระทําตอโดยใชจ ิตสํานกึ ซ่ึงตองใชค วาม พยายามอยา งยงิ่ และกลายเปนงานหนกั ทีส่ รา งความกดดนั อยา งสงู มนษุ ยส ามารถพัฒนาไดตลอดเวลา แตจ ะตองใชพลงั และความต้งั ใจอยา งยิง่ ซ่งึ นักทฤษฎีบางคนกลา ววา ถา พฒั นาการไมสําเร็จในเวลาท่เี หมาะสมก็จะไมเกดิ ข้นึ อีกตอ ไป ธรรมชาตขิ องพฒั นาการมนษุ ย แพทยหญงิ มอนเทสซอริ แบงออกเปน 4 ชว ง ดงั น้ี ระนาบที่ 1 ชวงอายุ 0 – 6 ปฐมวยั Infancy ระนาบท่ี 2 ชว งอายุ 6 – 12 วัยเด็ก Childhood ระนาบท่ี 3 ชว งอายุ 12 – 18 วัยรนุ Adolescence ระนาบท่ี 4 ชว งอายุ 18 – 24 วัยถึงพรอมดานวฒุ ิภาวะ Maturity พฒั นาการ 4 ระนาบน้ี คือ การสรางจงั หวะของชีวติ การกําหนดตวั เลขของอายุ เชน 6 12 18 หรอื 24 เปน การคาบเกย่ี วกันไดของป และมคี วามยดื หยุน ซ่งึ มไิ ด หมายความวาจะเปนทนั ทีเมอ่ื เดก็ อายุครบ 6 ป หรือ 12 ป ชวง 0-6 และ 12-18 เปนชว งท่มี ีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ซง่ึ ชวงสามปแ รกของระนาบเปนชวง การสรางและเปนชวงทมี่ ีพฒั นาเปล่ียนแปลงอยา งมหาศาล เมอื่ สามปแ รกไดโครงท่ีดีแลว สามปตอ ไป คอื อายุ 3-6 และ 9-12 ป เปน ชวงการตกผลึกเปน รปู เปน รางข้ึน แพทยห ญงิ มอนเทสซอริ อธบิ ายโดยวาดภาพประกอบแทนพฒั นาการทกุ ระนาบดว ยรปู ทรงกระเปาะคลา ยเมลด็ พนั ธุ พชื ตอ กนั และอธบิ ายสวนตนของกระเปาะแรก ซ่งึ มีขนาดใหญท ส่ี ุด มสี เี ขียวเขม เรียกวา Nebuli ซึ่งหมายถึง ผลรวม ของศกั ยภาพที่เด็กมีอยใู นระหวา งอายุ 0-3 ป โดยเริ่มตง้ั แตเ กิด เปนลักษณะทางศักยภาพของเซลลและอยูใ นลกั ษณะซึ่ง เดก็ พัฒนาไดดว ยการซมึ ซับโดยสภาวะไรจ ิตสํานกึ (The Unconscious Absorbent Mind) Nebuli มอี ยจู นกระทั่งอายุ ประมาณ 3 ขวบ สว นทา ยของกระเปาะแรกสเี ขยี วออนอธิบายสว นน้ีวา เปน Formation of Man คือ การสรางฐานของความเปน คน เด็กอายุ 3-6 ป พัฒนาการสรางจติ สาํ นึก (Construction of the Conscious Mind) อายุระหวาง 0-6 ป เปน ชว งเวลาทม่ี ีลักษณะถอนรากถอนโคน เกดิ พฒั นาการตา ง ๆ มากมายกวาในระนาบอื่น อายุระหวา ง 6-12 ป ภาพแสดงเปน เสนคลายทอ แคบยาวสีเขยี วออ นตอจากกระเปาะ 0-6 ป เรยี กระยะนวี้ า Development of Man หรอื พฒั นาการมนุษย เปน ระนาบที่ 2 และเปน งานสุดทา ยเพือ่ เตมิ ความสมบรู ณของงานท่เี รมิ่ ตนมาจาก 0-6 ป ระนาบท่ี 1 และระนาบที่ 2 นเี้ ออ้ื เฟอซึง่ กันและกัน อายุระหวาง 12-18 ป หรือระนาบที่ 3 แสดงโดยกระเปาะขนาดเล็กสีสม เพือ่ แสดงวา มคี วามรอ นหรือไฟ มคี วาม เปลี่ยนแปลงอยางแยกขาดเชน กันแตไ มเ ขมขน เทา 0-6 ป 9การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
อายุระหวา ง 18-24 ป แสดงดว ยเสนคลา ยทอแคบยาว และตอ ดวยเสน ประ เนอ่ื งจากพฒั นาการสวนใหญม ี ความม่นั คงแลว มสี ว นนอยทีต่ อเนื่องไปหลังจากอายุ 21 ป สัญลักษณไมมที ส่ี ิน้ สดุ (Infinity) แสดงไวต อนกลางของภาพประกอบเพ่อื แสดงวา การเจรญิ เตบิ โตนนั้ ยงั คงตอ เน่ืองไปและศกั ยภาพของพัฒนาการของมนุษยนั้นอยูในภาวะไมม ที ีส่ นิ้ สุด พฒั นาการระนาบทีห่ นึง่ ระนาบนี้เรยี กวา การสรางจติ มนษุ ย (Psychic Being) Psychic Being หมายถึง บุคลิกภาพของมนุษย การทาํ งานเปนอิสระ Functional Independence ในการพงึ่ ตนเองสงิ่ ทเ่ี ดน คอื การพง่ึ ตนโดยทาํ งานไดอ ยา งอสิ ระ “ฉนั ทาํ งานไดด ว ยตนเอง”ฉนั ทาํ สงิ่ ทฉี่ นั ตอ งการทาํ ชวงน้ีเปนการเจรญิ เตบิ โตทยี่ ง่ิ ใหญท่สี ุดของมนษุ ย คอื จิตซมึ ซบั และชว งการเรยี นรูไ วธรรมชาติใหมนุษยมพี ลังท่ยี ิ่ง ใหญซึ่งปรากฏในระนาบทห่ี นง่ึ เทานั้น โดยไมเ กดิ อกี แลว ในระนาบอนื่ ๆ พลงั ประการแรกคอื จติ ซึมซบั พลงั หรอื ความ สามารถทสี่ อง คือ ชว งการเรยี นรูไว พฒั นาการดานรางกาย ตั้งแตวินาทีแรกเกิดความสงู ของเด็กเมอ่ื อายุ 6 ขวบ แสดงใหเ ห็นถึงการเจรญิ เตบิ โต เดก็ 6 ป จะมคี วามสูงครงึ่ หน่งึ ของขนาดตนเองเม่อื เปนผใู หญ ซ่ึงตา งจากสง่ิ มีชีวิตอนื่ ๆ ทารกของเรามคี วามสามารถจาํ กดั มากแตกตางจากมนษุ ย ผูใหญ ลูกสัตวยนื และเคลือ่ นทไี่ ดไ มน านหลังจากคลอด สามารถสือ่ สารและมีระบบยอยอาหารเกอื บสมบรู ณ แตทารก มนุษยแ รกเกิดสมองและระบบประสาทยงั ไมส มบรู ณ หลังจากคลอดแลว 15 เดือน ระบบประสาทจงึ มีความสมบูรณข ึ้น สามารถยนื และวง่ิ ทํางานไดสมบรู ณ โดยกายภาพเดก็ แรกเกิดเคลื่อนไหวไดชา และไมแ นนอน เมื่ออายุ 6 ปเคล่ือนทป่ี ระสานงานไดดี แรกเกิดแกวง มอื ไดบาง เม่อื 6 ป มอื ของเด็กประสานสมั พันธกันจนถึงจดุ ทีก่ ลาวไดว า คือ เคร่ืองมอื ของจิต สมอง ในดานการสอื่ สาร ดานแรกเกิดไดแ ตรองไห พฒั นาเปน การสง เสียงออ แอ และเมอื่ อายุ 6 ป พัฒนาการพูดไดส มบรู ณ ระบบประสาทอื่น ๆ ทีท่ ําใหพ่ึงตนเองไดโ ดยอิสระเชน การรบั ประทานอาหาร การแตง ตวั การใชส วม เมอ่ื เดก็ อายุ 6 ขวบ เดก็ สามารถดูแล ความตอ งการของตนเองและปฏิบัติดวย ความมั่นใจ พฒั นาการทางสงั คมและอารมณ เด็กในระนาบน้ไี มมกี ารเปล่ียนแปลงมากทางอารมณ เดก็ ทารกแมแตอ ยูใ นครรภก็มลี ักษณะเปนสตั วสังคม ซ่งึ Erickson เรียกวา ความสามารถในการเช่ือถอื และวุฒิภาวะ เดก็ อายุ 6 ป หากขาดความผกู พนั และไวใจจะเยียวยาไดย าก มาก และถาไมมตี ้ังแตอายุ 1 ป กจ็ ะเติมใหในภายหลงั โดยยาก เดก็ เลก็ อายุ 4-5 ป มลี กั ษณะ Egocentric หรอื ถือตนเองเปนใหญ ซึ่งเปนไปตามธรรมชาติ จนกระทง่ั รวู าจะ ทาํ อยา งไรกบั ผอู นื่ โดยรจู กั ตนเองเพียงพอ เด็กกระทาํ สิ่งทเี่ รยี กวา การเลนคูขนาน เดก็ 2-3 ป มกั จะอยใู นทีใ่ กล ๆ กัน แตไมจ าํ เปนตองเลนดว ยกัน เดก็ 4-5 ป เร่มิ เปล่ยี นไปสูการตระหนักถึงความเปนสงั คม ระมดั ระวงั ตอส่งิ ตาง ๆ รอบตน สามารถใชมารยาทและคณุ สมบัตผิ ดู ี ซ่ึงเปนสามญั ในขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมท่เี ดก็ อยูอาศัย เรียนรกู ารนับถือตนเอง และผอู ่ืนเมอ่ื อายุ 6 ป เดก็ เปนผทู ่ีมีมรรยาทงามปรากฏเหน็ ไดใ นระนาบตอไป 10 การจัดการเรยี นรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
เดก็ 6 ป มีความรสู กึ ม่นั คงปลอดภยั มคี วามรักตอ โลกรอบตน เปนผมู คี วามไวและตอบสนองตอ โลกเหลานัน้ เดก็ เจรญิ เติบโตผานระเบียบภายนอกไปสูวินยั ภายใน มีความงอกงามทางระบบประสาท เปน ผเู รียนทีม่ ปี ระสาทรบั รูอ ยางยอดเยย่ี ม ถาฉันจับตองได เหน็ ได ชมิ รสได ดมกลนิ่ ได ฉนั รับรสู ่ิงเหลา นัน้ ไดห มด โดยประสาทรบั รู ฉนั สามารถ รวบรวมไวในจติ Aristotle กลาววา “There is Nothing in the Mind That is not First in the Senses” “ไมมีสิ่งใดในความ คดิ ของเรา ที่ไมไ ดรับรผู า นประสาทสัมผสั มากอ นเปนลําดับแรก” ในระหวางการพฒั นาชว งแรกน้ี การพัฒนาดา นเจตจํานง (Will) เปนสิง่ จาํ เปน ความสามารถ ในการเชอื่ ฟง ของ เด็กสรางจากพนื้ ฐานของเจตจํานง สิง่ ทเี่ กิดขึน้ ตอไปในระนาบน้ี คอื การสรา งระบบประสาทของสมองดานการจาํ แนกหมวดหมู สิ่งตา ง ๆ ในโลก สมองมิไดมีสิ่งเหลา นี้มาแตเกดิ จะตองสรา งข้นึ โดยมีประสบการณจากส่งิ ตา ง ๆ ในโลกรอบตวั เด็ก ความแจมชดั ของการ จดั ระบบหมวดหมเู หลานขี้ นึ้ อยูกับประสบการณที่เดก็ ไดร บั นอกจากน้นั เด็ก 0-6 ปม คี วามคิดรวบยอดเก่ียวกบั คําศพั ท โดยกระบวนการจาํ จนขน้ึ ใจ แตเ ห็นไมเ ดน ชัดใน ระหวางพัฒนาจะเห็นตอ เมือ่ จําไดแ ลว จากการท่ีเดก็ ซึมซบั ส่งิ ตาง ๆ จากบรบิ ทของสังคม เดก็ จึงกลายเปนนักปรบั ตวั ทางสงั คม ซงึ่ อาจมีผลมากหรอื จาํ กดั เนอ่ื งจากขออคตทิ ีม่ อี ยูใ นสงั คมที่เดก็ อยเู ปนเหตุสําคัญตอการพัฒนาในระนาบทห่ี นงึ่ นี้ ความรูสึกวาเราคอื ใคร เวลา สถานท่ที เี่ ราอยู คณุ ธรรม ขอ หา ม ประเพณี หรอื ธรรมเนยี ม คอื สว นของการปรับตวั ทางวัฒนธรรม โดยการซึมซาบและบูรณาการในระนาบพัฒนาการนี้ เด็กจะอยรู วมกับผอู ่ืนได เด็กอายุ 6 ป มคี วามสามารถทางภาษา ไมเฉพาะการพูด แตเปน ภาษาซงึ่ อยใู นบรบิ ทของการใชเ พือ่ สื่อสารรวม ถงึ การเขียนและการอาน การคลีค่ ลายความสามารถทางจติ คณติ ศาสตร ดไู ดจ ากความตองการเร่ือง ระเบียบ ความเที่ยงแมนยํา และ ระบบของส่งิ ของ ซ่ึงเปน หลกั เบือ้ งตน ของวิชาคณิตศาสตร เรขาคณิต พีชคณิต และเปนองคประกอบของจติ คณติ ศาสตร เม่ือเด็กมีความสามารถในการเคลอ่ื นไหว การสอื่ สาร ทักษะการทํางานเปน อิสระ เดก็ สรา งเจตจาํ นงและความ สามารถในการเชื่อฟง เด็กสรางพลังของนามธรรมและจนิ ตนาการ สิ่งแวดลอ มทต่ี องการ 0 – 3 : ผูเล้ียงดูซ่ึงควรเปนบิดามารดากลุมสังคมเล็ก ๆ เชน ครอบครัวการออกไปนอกบานกับ ครอบครัว การเลนในสนามเด็กเลน หรือเดินเลนกับพอแม ตองการท่ีที่สามารถออกไปเลน สาํ รวจโดยลําพงั อยา งปลอดภัย 3 – 6 : ตองการบานทป่ี ลอดภยั และออกไปนอกบานกับครอบครัว ตองการเพื่อนสองสามคน ตองการ ประสบการณห า งจากครอบครวั เปน เวลาสมควรในแตล ะวนั เพอ่ื เรยี นรโู ลกภายนอก สรา งพฒั นาการ ทางสงั คม การสรา งความสมั พันธกับเพ่ือนตา งจากความสมั พันธกบั สมาชิกในครอบครวั 11การจัดการเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
การเชอ่ื มโยงสรู ะนาบที่สอง เมื่ออายปุ ระมาณ 5.5 – 6.5 ป ปรากฏการณนา สนใจของการเปลีย่ นแปลงโยงไปสรู ะนาบทสี่ อง ทางกาย ฟน นาํ้ นมหมดไปกลายเปน ฟน แท ผมทเี่ คยออ นนมุ เรม่ิ กระดา งขน้ึ ขาเรมิ่ ยาว กอ นหนา นคี้ วามสงู จากสะโพก ถงึ ศีรษะเปน 2 ใน 3 สว น เมอื่ 6 – 7 ป มกี ารเปล่ียนแปลงซ่ึงปรากฏ ในงานวจิ ัยวา ภายในเวลา 24 ชั่วโมงมีกรณีทีก่ ระดูก และกลา มเนอื้ ขาเปลยี่ นมหาศาล โดยเรมิ่ จากเทา ไปสขู า เมอ่ื อายปุ ระมาณ 10-11 ป สว นสงู จากสะโพกถงึ ศรี ษะเทา กนั 1 สว น และสะโพกสนู ้ิวเทาคอื 2 สวน ทางสังคม ทนเดก็ เล็กไมค อ ยได กลายเปนนักสังคม ชอบพดู คยุ และทาํ งานกับเพ่อื น แพทยห ญิงมอนเทสซอริ กลา ววา เปน เวลาท่ีตอ งใหเ ด็กไปสูร ะนาบท่สี องและส่ิงแวดลอ มแบบปฐมวยั ไมสนอง ความตองการแลว หลกั การของการสอนแบบมอนเทสซอริ จากแนวคดิ ปรชั ญาและความเชอ่ื ขางตน นาํ มาสูหลกั การของการสอนแบบมอนเทสซอริ ดังนี้ 1. การยอมรับนับถือเดก็ (Respect for the Child) การมีอสิ ระ นบั วาเปน ความสําคญั อยางยงิ่ ทส่ี ่ิงแวดลอมตอ งใหอ ิสระเด็กในการเลอื กทํางาน และเวลาในการ ทาํ งานนานเทา ทต่ี อ งการหรอื หยดุ พกั กจิ กรรมบา ง สามารถทาํ งานโดยไมถ กู รบกวนจากเพอื่ นหรอื จากตารางสอน ตราบใดที่ งานของเดก็ ไมร บกวนคนอืน่ เด็กทุกคนมสี ิทธแิ ละเสรีภาพท่ที ําส่งิ เหลานีไ้ ดทกุ คน การทํางานในหองเรยี นมอนเทสซอริ ของเดก็ ๆ เด็กจะทาํ งานคนเดยี ว หรือทาํ งานเปนกลุมเล็ก ๆ เงยี บ ๆ โดยไมร บกวนผอู น่ื แตอ ยา งใด ความเหน็ อสิ ระในหอ งเรยี นมอนเทสซอรหิ มายถงึ อสิ ระภายใตข อบเขตทก่ี าํ หนด (Freedom within Limits) เด็ก ๆ มีอสิ ระท่ีจะเลอื กทํางานที่ตนเองชอบแตไมมีอสิ ระท่จี ะปฏิเสธการทาํ งาน มีอิสระทีจ่ ะพดู หรือ เคล่อื นไหว ภายใตข อบเขตของการเคารพ ซึง่ ครูจะใหค วามเคารพเด็กโดยการอนญุ าตใหเ ดก็ ไดเลอื กทํางานในสงิ่ ท่ีตนเอง ตอ งการ รบั ฟงความคดิ เห็นของเด็กทแ่ี ตกตา ง นักเรยี นเคารพตนเอง โดยการระมดั ระวังไมใ หตนเองตกไปอยใู นอันตราย หรอื ภาวะเส่ยี งตอ อันตราย นักเรียนเคารพผู อ่นื โดยการไมท าํ รา ยผอู ่ืนดวยคําพูดหรือการกระทํา ไมรบกวนเพื่อนในระหวางท่เี พอื่ นทํางาน หรือพูดคยุ เสียงดงั รบกวน เคารพครู และเคารพสง่ิ แวดลอม คือรูจกั ทจ่ี ะดูแลรกั ษาสื่ออุปกรณ ตาง ๆ และรว มดแู ลสภาพแวดลอมทง้ั ในและนอก หอ งเรยี น เม่อื เด็ก ๆ ทําผิด “ครู” จะไมเ ขาไปแกไ ขความผิดพลาดทนั ที แต “ครู” จะเปดโอกาสใหเด็กไดค น พบดว ย ตนเองดว ยการทาํ งานกบั สอ่ื ซาํ้ ๆ เนอื่ งจากสอื่ มอนเทสซอรเิ ปน สอื่ ทส่ี ามารถตรวจสอบ ความถกู ตอ งดว ยตนเองได กระบวนการ ดังกลา วน้ี จึงเปน กระบวนการเรยี นรูจากประสบการณต รงของเดก็ ตามหลักการศึกษาแบบมอนเทสซอริ 2. การตระเตรยี มสง่ิ แวดลอ ม (The Prepared Environment) การเตรียมการทางออม ถงึ แมวากจิ กรรมท้งั หลายจัดเตรยี มเพอื่ วตั ถปุ ระสงคเ ฉพาะสาํ หรบั เปาหมายในการ พัฒนาอ่ืน ๆ ทจี่ ะตามมาในภายหลัง เชนความเขาใจเชงิ นามธรรมของคณิตศาสตรหรือพัฒนาการทางคณุ ธรรมเม่อื เขาสู ระดบั ประถมศกึ ษาจากอุปกรณประสาทรบั รูในระดบั ปฐมวัย 12 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
3. การศึกษาดวยตนเอง/พ่งึ ตนเอง (Self or Auto-education) การพึง่ ตนเอง ตองจัดเตรยี มสภาพส่งิ แวดลอมเพือ่ ใหเดก็ ไมตองพ่ึงผใู หญโ ดยเร่มิ ตน จากกายภาพ เม่อื เด็ก สามารถทําส่ิงตาง ๆ ใหตนเองไดจึงจะเร่ิมเลือกตัดสินใจไดดวยตนเอง ครูควรจัดส่ิงแวดลอมโดยการเตรยี มวัตถแุ ละ อปุ กรณตา ง ๆ ใหเ ดก็ สามารถพ่งึ ตนเอง รวมทั้งวิธกี ารท่ผี ูใ หญตอ งถือปฏิบตั ิเพ่อื ใหโ อกาสเด็กไดฝ ก พงึ่ ตนเอง คอื อนุญาต ใหเ ด็ก ๆ ไดมีประสบการณ ต่ืนเตน กบั การเรยี นรูท ี่ตนเองเปน ผูเลือก 4. การสงั เกตเดก็ “คร”ู ในท่นี ้ีจึงเปน “ผสู ังเกต” ความสนใจและความตองการเฉพาะบคุ คลของเด็ก และการทํางานของครูใน แตล ะวัน จึงเปนกระบวนการท่ีเกดิ จากการทีค่ รูสังเกตเดก็ มากกวา การเตรยี มการสอนตามหลักสตู ร “คร”ู สาธติ วธิ ีการทาํ งานกับสื่อทีเ่ ด็กแตละคนเลอื กมาอยางถกู ตอง “ครู” จะเฝาสงั เกตความกาวหนา ของ เดก็ แตล ะคนอยา งละเอยี ด และบันทกึ การทํางานกบั ส่อื ของเดก็ “คร”ู จะไดร ับการอบรมและมีความแมน ยําในเรือ่ งความพรอมของเดก็ ในบางครัง้ “ครู” จะดงึ ความสนใจ เดก็ ไปยงั งานอื่นเม่อื เหน็ วาเดก็ เลือกงานทย่ี ากเกินไป และในขณะเดียวกัน “ครู” จะกระตุนเด็กบางคนทไ่ี มก ลา เลือกงาน ทที่ า ทายสาํ หรบั ตนเอง 5. สอนแบบคละอายุ ชว งอายุคละกนั สงิ่ แวดลอ มทม่ี สี งั คมสรา งโดยเดก็ ชว งอายคุ ละกนั สามป เปด โอกาสใหเ ดก็ เรยี นรจู ากกนั และ กนั ในบรรยากาศที่ไมแ ขง ขัน เปนการเตรยี มเด็กโดยตรงสําหรบั การอยรู ว มกันในสงั คมจรงิ ในหอ งเรยี นมอนเทสซอริจะมีสอื่ มากมายใหเดก็ เลอื กทาํ ตามลาํ ดบั เดก็ พฒั นาตนเองตามความสนใจซงึ่ ความ ตองการเรียนรูจะชักนาํ ใหเดก็ ๆ เรียนรูเ รือ่ งทยี่ ากขึน้ เปนลําดับ การที่หอ งเรยี นมีนักเรยี นอายุ 3-6 ขวบ อยูรวมกันจะ ทาํ ใหเดก็ เลก็ ไดเรียนรูจากการเลียนแบบเดก็ โตในหองและเดก็ โตกม็ โี อกาสทจี่ ะเปน ตวั อยาง และชวยเหลอื เด็กท่ีเล็กกวา ดวยเชน กัน 6. พฤตกิ รรมการใชเสียงเบา ๆ หอ งเรียนมอนเทสซอริจะมีเสียงพูดเบา ๆ ตลอดเวลา เพราะวาการเรียนรจู ากสื่อนั้นมีหลายองคป ระกอบ เชน การเดิน การถอื การเท การพูด และสิง่ ท่สี าํ คัญที่สุดคือ การทํางานดว ยมอื ทุกกจิ กรรมจะนาํ ไปสกู ารเคารพครู การ เคารพการทาํ งานของผอู ่นื และการเคารพตอส่ือการเรยี น แพทยหญงิ มาเรีย มอนเทสซอริ ไมเคยกลา ววา เดก็ ท่เี งยี บและการน่งั อยกู บั ทเ่ี ปน เด็กดี แตว ินยั ในตนเอง ตามความหมายของ พ.ญ. มาเรยี มอนเทสซอรินน้ั สะสมจากการซึมซับในขณะเด็กทาํ งานอยางมจี ุดมงุ หมาย เมอื่ เด็ก สนใจกิจกรรมการเรยี นในหอ งอยางมาก เด็ก ๆ ก็จะมีสมาธิและ ความมน่ั คงมพี ฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสมตามวยั ในหอ งเรียนมอนเทสซอรถิ า เด็กมีพฤตกิ รรมไมพึงประสงค คณุ ครจู ะเขาไปชว ยเดก็ ๆ เลอื กงานท่ีจะดงึ ดูด ความสนใจของเดก็ ๆ ใหจ ดจอกับงานนั้น 13การจดั การเรียนรูร ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
ความรพู นื้ ฐานเกย่ี วกบั การสอนแบบมอนเทสซอริ 1. หลักสตู รของมอนเทสซอริ กรรณกิ าร รกั ขมุ แกว บัต (2547 : 2) กลา ววาหลกั สูตรมอนเทสซอรริ ะดบั ชน้ั อนุบาล (3-6 ขวบ) มกี ารจดั หมวดหมขู องกิจกรรมไวเปน 4 หมวด ดงั นี้ 1.1 กิจกรรมหมวดชวี ิตประจาํ วนั (Practical Life) เปนกจิ กรรมทม่ี ีวัตถุประสงคเ พื่อพฒั นาทกั ษะพื้นฐาน ทีม่ ีความจําเปน ตอการปฏบิ ัติกจิ วัตรประจําวนั ของมนุษย ไดแ กทักษะดานการควบคมุ รา งกาย การเคลื่อนไหวและความ สามารถเบอ้ื งตนในการใชเคร่ืองมอื ท่ีเกย่ี วกับการดแู ลตนเองและส่ิงแวดลอ ม สามารถแยกเปน กลมุ ยอยได ประกอบดว ย 1) กิจกรรมการเคล่อื นไหวเบอ้ื งตน (Preliminary Movement) การเคล่อื นไหวในการใชวัสดุ เชน การรอย การตัก การเท การพบั การมว น การคล่ี การยก การถอื การเปด การปด เปน ตน หนวยการเรียนกิจกรรมนี้ ไดแก การยกเกา อี้ การตัก การเท และการพบั ฯลฯ 2) กจิ กรรมการดแู ลตนเอง (Care of the Person) เชน การลา งมือ การสวมและการถอดถุงเทา รองเทา การแตง ตวั ตดิ กระดมุ หนว ยการเรยี นกจิ กรรมน้ี ไดแ ก การลา งมอื การใชช ดุ กรอบไมแ ตง ตวั การขดั รองเทา ฯลฯ 3) กิจกรรมดูแลสิง่ แวดลอ ม (Care of Environment) เชน การเช็ด การกวาด การซกั การจดั สิง่ ของ บนชนั้ การใชม ดี เปน ตน หนว ยการเรยี นกจิ กรรมนี้ ไดแ ก การลา งโตะ การขดั มนั โตะ การขดั ทองเหลอื ง การรดนาํ้ ตน ไม ฯลฯ 4) กิจกรรมทักษะพน้ื ฐานกฬี าและกฬี าพน้ื บา น เพอ่ื การอนุรักษก ารละเลน ของเดก็ ไทยและสงเสรมิ ความสามารถดา นกฬี าใหเหมาะสมกับสภาพหองเรียนและความตองการของสงั คมไทย หนว ยการเรียนกจิ กรรมน้ี ไดแ ก การเลนหมากเก็บ การเลน อีตกั และเลน ตาเขยง ฯลฯ 5) กจิ กรรมมารยาทสังคม หนว ยการเรียนกิจกรรมน้ี ไดแก การตอนรับแขกและการเชญิ แขก 6) กิจกรรมวงรี (การเดินจงกรม) เปนกจิ กรรมเร่มิ ตนของวนั ในชว งเชา โดยทาํ กิจกรรมจติ ศึกษา กํากับ สติมีการเคลือ่ นไหวในวงรีใน 3 ระดับ คอื ลา ง กลาง ต่าํ หนวยการเรียนกจิ กรรมน้ี ไดแ ก หนว ยการเลา เร่อื งจรงิ จากชีวิต ประจาํ วนั ฯลฯ 7) กจิ กรรมเกมเงยี บ เปน กิจกรรมฝกใหเ ดก็ สงั เกตความเงยี บสามารถกาํ หนดทศิ ทางของเสยี ง ใหเ ดก็ หลับตา ครวู างส่งิ ของกระทบพื้นใหเ ดก็ ชบี้ อกตําแหนง ทิศทางของเสยี งในขณะท่ีหลับตา หนว ยการเรยี นกิจกรรมน้ี ข้นึ อยู กับครูเปนผูก ําหนด 1.2 กจิ กรรมหมวดสงเสริมประสาทรบั รู (Sensorial Life) เปน กิจกรรมทม่ี ีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื สนองความ ตอ งการของเดก็ วยั 3-6 ป ทมี่ คี วามไวตอ ประสาทรับรดู า นความเปนระเบยี บ (Sensitive Period of Order) ในขณะ ทก่ี ิจกรรมชีวติ ประจาํ วนั ชว ยใหผูเรยี นไดเ รียนรูกระบวนการ (Process) กิจกรรมสงเสริมประสาทรับรูชว ยใหผ ูเรียนเขา ใจ สิ่งตา ง ๆ โดยเฉพาะเมอ่ื เด็กรแู ละสามารถจดั ระบบของสิง่ น้ัน ๆ ได กิจกรรมจะครอบคลุมการทํางานของประสาทรับรู ดานตาง ๆ ดังนี้ 1) ประสาทรับรูดานการมองเห็น (Visual Sense) ประกอบดวยการมองเหน็ คุณสมบตั ขิ องวัตถุเก่ยี ว กบั ขนาด เชน ใหญ-เลก็ ยาว-สน้ั กวาง-แคบ หนา-บาง มติ ิ ระดบั พืน้ ท่ี เนอื้ ท่ี รปู ทรง สี 2) ประสาทรบั รจู ากการฟง (Auditory Sense) เปน กจิ กรรมฝก คณุ สมบตั ขิ อง นกั ฟง เสยี ง ฟง เสยี งดงั – คอ ย สลับกนั ไป การจับคูเสียง และการเลนระฆงั โนตดนตรี (C Major Scales) 14 การจัดการเรียนรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
3) ประสาทรบั รจู ากการสมั ผสั ดว ยนวิ้ มอื และมอื (Tactile Sense) เรยี นรเู กยี่ วกบั ผวิ สมั ผสั เชน ความลน่ื ผวิ ขรุขระ นุม กระดา ง รอนเย็น หนกั เบา เปนตน 4) ประสาทรับรจู ากการชมิ รส (Gustatory Sense) กิจกรรมรับรูเบ้อื งตนเก่ียวกบั รส ไดแ ก รสหวาน ขม เปรีย้ ว เค็ม รสอาหารจากธรรมชาติ รสที่ปราศจากกลิ่น เปนตน 5) ประสาทรบั รจู ากการดมกล่นิ (Olfactory Sense) เปน การรับรูเบื้องตนเกีย่ วกบั คุณสมบตั ิและชอื่ ของกลิ่นพน้ื ฐานทไี่ ดจ ากธรรมชาติที่ควรรู เชน กลิน่ สมุนไพร เครอื่ งเทศ กลน่ิ ดอกไม กลิ่นผลไม โดยสามารถแยกกลนิ่ จบั คู จัดพวก จาํ แนกกลิน่ ได 6) ประสาทรับรูเ กยี่ วกับพน้ื ฐานทางชวี วทิ ยา (Biology on the Sensorial Level) จากการจับคูรปู รางของใบไม 14 แบบมาตรฐานทส่ี ามารถพบไดใ นโรงเรียนและชมุ ชนทัว่ โลก และภาพตอสว นตาง ๆ ของสตั วห รอื พชื 7) ประสาทรับรเู กย่ี วกบั พ้นื ฐานวชิ าภูมศิ าสตรกายภาพ (Geography on the Sensorial Level) รบั รู คณุ สมบตั ทิ างภมู ศิ าสตรก ายภาพของโลกซงึ่ ประกอบไปดว ยดนิ และนาํ้ (Formation on Land and Water) รปู ทรงตา ง ๆ จากลูกโลก พน้ื ดินทราย 8) กิจกรรมดานดนตรี (Exercises of Music) มนษุ ยไมไ ดเกดิ พรอ มกบั ทกั ษะทางดนตรมี าแตกาํ เนิด แตดนตรีเปนสวนหน่ึงของวัฒนธรรมของมนุษย ใชแสดงอารมณ ความรูสกึ ผูม ดี นตรจี งึ เปนมนุษยท ี่สมบรู ณ (Music is a Means of Human Expression. To be Human is to be Musical) 9) กจิ กรรมแสดงอารมณ (Exercises of Expression) เปนทักษะพ้ืนฐานเพือ่ เปน กญุ แจสโู ลกของ ศิลปะ (the Keys to the World of Art) งานศิลปะในเด็ก 3-6 ขวบคอื การถา ยเทพลังภายในทเ่ี ดก็ สะสมคนื กลับสโู ลก รอบตัวในรปู แบบงานศิลปที่เปน นามธรรม (Abstract) เชน งานลายเสน งานปน งานฉีก-ตดั -ปะ เปนตน 1.3 กิจกรรมหมวดภาษา (Language) มนษุ ยเมื่อแรกเกดิ ไมม ีความสามารถและทักษะในการสอื่ สารดา น ภาษา ในขวบปแ รกเดก็ ทารกสามารถพูดคําแรกไดอยางมคี วามหมาย พัฒนาการทางภาษาเร่ิมตนจากเสียงพยางคและตอไปก็จะสามารถพูดเปนคําจนสามารถสนทนาเปนประโยคที่สมบูรณ ตามหลักไวยากรณไดเมือ่ อายุ 2 ขวบ การจดั การเรียนรูภาษาในหอ งเรยี นมอนเทสซอริ การสอนภาษา (Language) มวี ัตถปุ ระสงค ดังนี้ 1. การสือ่ สารดว ยวาจา (Spoken Language) 2. การสอ่ื สารดวยการเขยี น (Written Language) 3. การสื่อสารดวยการอาน (Reading Language) 1.4 กจิ กรรมหมวดคณิตศาสตร (Mathematics) กิจกรรมหมวดคณิตศาสตรในชน้ั เรียน มอนเทสซอรมิ ี หลกั การดงั นี้ 1) วิวัฒนาการของมนุษยและประวัตนิ ักคณิตศาสตร 2) ความเปนผมู ีจิตคณติ ศาสตร (Mathematics Mind) ของมนษุ ย 3) เอกลักษณใ นการนาํ เสนอการเรยี นโดยใชส อ่ื เพอ่ื เก็บใจความสาํ คัญ (Materialized Abstraction) หนว ยการเรียนของกจิ กรรมนี้ ไดแ ก 15การจัดการเรยี นรูระดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
1) หนวยการเรยี นจาํ นวน 1-10 2) หนว ยการเรียนระบบเลขฐานสิบ 3) หนวยการเรียนการนับขามและนับตอ เน่ือง 4) หนว ยการเรียนการฝก ปฏิบัตเิ พอื่ นาํ ไปสกู ารจาํ 5) หนวยการเรยี นเพ่ือตอ เน่อื งไปสคู วามเปนนามธรรม 2. บทบาทครมู อนเทสซอริ ครูที่จัดการเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริตองทําความเขาใจเพ่ือการปฏิบัติท่ีถูกตองในเรื่องตอไปน้ี (กรรณิการ รกั ขุมแกว บัต. 2549 : 55-58) 2.1 ความรเู กย่ี วกับอุปกรณ (Knowledge of the Material) การทาํ ความเขาใจอปุ กรณ ดว ยการสงั เกต ดูจากรูปภาพ อา นหนังสือ หรือเรยี นจากการฟงผูอ่ืนอธบิ าย และลงมือปฏบิ ตั งิ านกบั อุปกรณน นั้ เปน เวลานานพอสมควร พยายามเขาใจและประเมินความยากงาย ความรูสกึ ความสนใจ ทีอ่ ปุ กรณแ ตละชนิ้ จะมตี อ เดก็ ครทู ่มี คี วามอดทนปฏิบัติ งานซํ้าๆ เหมือนท่ีเดก็ ปฏิบัติ จะสามารถประเมินพลังงานหรือความอดทนของเดก็ ในแตล ะอายไุ ด สามารถจดั ลําดับ อุปกรณแ ละตดั สินความสามารถของเดก็ ตามพัฒนาการแตล ะระดบั และสงเสรมิ การเรยี นรใู หเ ด็กไดอยางเหมาะสม 2.2 รักษาระเบยี บ (Maintenance of Order) นอกจากครนู าํ เสนออปุ กรณอ ยา งมรี ะเบยี บวิธีตอ เดก็ แลว ครู ตองนําเสนอสภาพแวดลอ มที่มรี ะเบยี บดวย กฎเบ้ืองตนของการสรางวินยั ภายในเดก็ ท่ปี ฏิบัตไิ ดโ ดยงาย และเด็กสามารถ ทํางานอยา งมีความสุข คือ อุปกรณท ุกชิน้ ตอ งมีทเ่ี กบ็ และอยูในที่ เมื่อไมใชง านแลว เด็กเลือกนาํ อปุ กรณท ลี ะอยางจาก บนชัน้ มาใช เม่อื ใชเ สรจ็ เด็กตอ งนาํ เกบ็ เขา ทใี่ หเหมือนสภาพเดมิ หลังการทาํ กิจกรรมเสร็จ เดก็ จะยกเลกิ กจิ กรรมกลาง คนั เพราะหมดความสนใจแลวไมได เด็กตองควบคุมตนเองในการทํากิจกรรมโดยการยอมรบั ระเบียบในสภาพแวดลอม และกฎของสังคม เดก็ ไมส ง ตอ อุปกรณท ่ตี นเลอื กแลวไปใหเ พ่ือน หรอื เอาอุปกรณจ ากเดก็ อ่นื ๆ มาใชในขณะทเี่ พ่ือนใช อปุ กรณนน้ั อยไู มวา เดก็ อยากไดเ พยี งใด เด็กตอ งอดทนและคอยจนกวา เพอ่ื นจะปฏิบัติงานเสร็จและนาํ ของเหลานน้ั กลบั มาคนื ที่เดิมกอนเขาถงึ จะนาํ มาใชไ ด ซึ่งวธิ กี ารนต้ี ัดปญ หาแกงแยง แขงขนั ได 2.3 การสรา งความสมบูรณใ นการทํางานใหเด็ก (Perfection) เมื่อเดก็ ตัง้ ใจทาํ กิจกรรม หนา ท่ีสาํ คัญของ ครูคอื ชว ยใหเ ดก็ มสี มาธิอยกู บั กจิ กรรมทท่ี าํ เพื่อนําไปสพู ฒั นาการ ครูจะตองเปน ผพู ิทักษ “guardian angel” ไมใหเด็ก ถูกรบกวนจากผอู ื่นหรอื สงิ่ ตาง ๆ 2.4 การใหบ ทเรียน (Giving Lessons) หนาท่ีนําเสนอบทเรียนโดยแนะนําอุปกรณต อเด็ก ครตู องมคี วาม ลึกซง้ึ ระหวา งความแตกตา งของ 2 ชว งเวลา ชวงแรกครนู าํ เดก็ สัมพนั ธก บั อุปกรณโดยเสนอวธิ ีใชเบ้อื งตน ชวงทสี่ อง ครู อธิบายสอดแทรกความเขา ใจหลังจากเด็กลงมือปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเองไดแลว 2.5 ทักษะการสังเกตเด็ก ครูสังเกตการทาํ งานของเดก็ ตั้งแตเ รม่ิ นาํ อปุ กรณจากชน้ั มาสูพ้ืนทที่ าํ งาน ขณะ ปฏบิ ตั ิและทําเสร็จเกบ็ กลบั ชั้นวางอุปกรณต ามปกติ 3. เทคนคิ การใหบ ทเรียน การใหบ ทเรียนของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ จะแบงเปน 2 ชวง คอื ชวงเรม่ิ งาน (Initiation) ชวง เรยี นรบู ทเรียน (Lessons) ดงั น้ี 16 การจดั การเรยี นรูร ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
3.1 การเริ่มงาน (Initiation) การเรมิ่ งานในการสอนแบบมอนเทสซอริ จะเปน การสรา งความคนุ เคยกับอปุ กรณใ หแกเด็ก การสราง ขอตกลงรวมกบั เด็ก และการใหบทเรียนแกเดก็ สรุปได ดงั น้ี 1) การสรางความคุนเคยกับอุปกรณ เปน กจิ กรรมช่ัวโมงแรกของการเรยี นการสอนแบบมอนเทสซอริ ซงึ่ ครเู ริม่ โดยการนาํ เดก็ สํารวจอปุ กรณใ นหองเรียน 2) การสรา งขอตกลงรวมกบั เด็ก 3) การใหบ ทเรยี นแกเ ดก็ เปน การจดั ประสบการณใหแกเด็กจากอุปกรณแตล ะชนดิ ซ่ึงระยะแรกควร เปนอุปกรณก ลุม ประสาทสัมผัส ครูตอ งใหเด็กสนใจตอ วัตถใุ นบทเรียนเทา นั้น โตะ หรอื พ้นื ท่ี ๆ ใชเสนอบทเรียนจะตอ ง ไมม วี ตั ถอุ ื่นทีไ่ มเก่ยี วของกับบทเรยี นอยบู รเิ วณนน้ั ครสู าธติ วธิ ปี ฏบิ ตั หิ นง่ึ หรอื สองครงั้ ดว ยอาการแสดงออกถงึ ความนา สนใจ และเรา ใหเ ดก็ สนใจปฏบิ ตั ิ ขณะเดก็ ใชอ ปุ กรณค รตู อ งปอ งกนั การใชอ ปุ กรณผ ดิ ถา ครเู หน็ วา เดก็ ใชอ ปุ กรณไ มเ ปน ประโยชน ตอพัฒนาการของสติปญญา ครคู วรระงับไมใหเ ดก็ ทาํ ตอ ดว ยอาการท่ที ําใหเ ด็กรสู ึกวา ครมู คี วามสงบและอารมณด ี แต ถา เดก็ มีแนวโนมของพฤตกิ รรมไมเ หมาะสม ครูตองใชคาํ พดู ท่เี ด็ดเด่ียว จรงิ จัง แตไมใชด ว ยนํ้าเสยี งของการเอาผิดหรือ ลงโทษ แตใ หเ ปน การแสดงอาํ นาจตามหนา ทข่ี องครู เพราะเดก็ บางคนครจู าํ เปน ตอ งใชอ าํ นาจเพอ่ื ชว ยใหเ ดก็ บงั คบั ตนเองได ความเขมงวดจริงจังของครใู นกรณีท่เี ดก็ บงั คบั ตนเองไมไ ดน ้ี เปรียบเหมือนกบั มอื ทีแ่ ขง็ แรงชว งพยงุ บคุ คลทอ่ี อ นแอให ชวยเหลอื ตนเองใหไ ด 3.2 บทเรียน (The Lessons) ชวงนี้ครูทําหนาท่ีตรวจสอบความคิดรวบยอดของเด็กจากแบบฝกหัดท่ีเด็กไดปฏิบัติไปมากมาย บทบาทหลักของครู คือใหช ือ่ เฉพาะของสิ่งตาง ๆ ท่เี ดก็ ใชท าํ งาน เพ่ือชวยใหเ ดก็ พูดช่ือไดถ ูกตอ ง โดยครพู ูดออกเสียง ปกติ ถูกตองชดั เจน ไมเนนเสียงเกนิ ธรรมชาติ ซึง่ จะเปนการใหบทเรียนดวยการสอน 3 ข้ันตอน (The Three Staged Lesson) ดังนี้ ขั้นที่หนึ่ง : การเช่ือมโยงประสาทรับรูกับช่ือวัตถุ (The Association of the Senses Perception with Names) ครอู อกเสยี งคาํ นามหรอื คณุ ศพั ทโ ดยไมเ ตมิ เสยี งอน่ื ๆ มากกวา นน้ั ครอู อกเสยี งดงั พอที่เด็กไดย นิ พยางคต า ง ๆ ชดั เจน เชน เมือ่ ครใู หเ ดก็ สัมผัสกระดานเรยี บและกระดานขรุขระในแบบฝก หดั แรกของการเรยี นการรบั รู ครูพดู วา “เรยี บ” (It is Smooth) “ขรุขระ” (It is Rough) ครูทวนคาํ เหลานัน้ หลาย ๆ คร้ังดวยนาํ้ เสยี งชดั เจนปกติ “เรียบ เรยี บ เรียบ” หรอื “ขรุขระ ขรุขระ ขรุขระ” หรือการใหเดก็ รบั รเู รื่องความรอ น ครพู ูดวา “เย็น” (It is Cold) “รอน” (It is Hot) และตอดวย “เยน็ เจ๊ียบ” (It is Ice Cold) “อุน” (It is Luke Warm) “รอ นจัด” (It is Scalding) หลงั จากนั้นจงึ ใชคํา พรรณนา “รอ น” “รอ นกวา ” “รอ นนอยกวา” เปน ตน บทเรียนน้ีใชสรางคําเฉพาะที่สัมพันธกับวัตถุหรือกับความคิดรวบยอดทางนามธรรมใหเด็กเขาใจได ทันที ดงั นนั้ คําอ่นื ๆ ท่ีไมจําเปนจงึ ไมนํามาเกีย่ วขอ ง ขนั้ ท่ีสอง : การจดจาํ วตั ถทุ ่ีสอดคลองกับช่อื (The Recognition of the Object Corresponding the Name) ครูควรทดสอบวา บทเรยี นนัน้ ๆ มีความสําเร็จหรือไม โดยทดสอบวา คาํ ท่สี อนไปนนั้ เดก็ ทาํ ไดบ า งหรอื ไม โดยให เวลาในขั้นท่หี นึง่ ตามสมควรจึงเขาสูขั้นที่สอง โดยครูใชคําถามชา ๆ และชัด ๆ ถึงคํานามและคําคณุ ศัพททีส่ อนแลว “แผนไหนเรยี บ” แผนไหนขรุขระ (Which One is…?) 17การจัดการเรียนรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
เดก็ ชี้น้วิ ไปทว่ี ัตถุทเ่ี ด็กเขาใจ ซึ่งขั้นนี้เปน ข้ันที่สาํ คัญทสี่ ุดของบทเรยี น เน่ืองจากเปนการชว ยการจดจํา และเปนการเชือ่ มโยง เมอ่ื ครเู ห็นวา เด็กพอเขา ใจครูถามซํา้ ๆ เพ่อื ใหจ ําขึ้นใจ แตใ นกรณที ค่ี รสู งั เกตวา เดก็ ไมเอาใจใสตอบ ผดิ ๆ ถูก ๆ ไมต อ งการทาํ ใหดี แทนที่ครูจะแกไ ขเดก็ หรือพยายามชักจูงตอ ไป ครูควรเลื่อนบทเรยี นนัน้ ไปสอนภายหลงั การทเี่ ดก็ มีความผิดพลาดในการเชอ่ื มโยงคาํ และวัตถคุ อื ชว งที่ประสาทรับรไู มพรอมกับการเชอ่ื มโยงของจิต จงึ จาํ เปน ที่ จะตองนําเสนอบทเรยี นใหมในคร้ังตอไป ถา พยายามแกไขเด็กในโอกาสน้ัน เชน “กลาววา” ไมใชหนูทําผิด ทีถ่ ูกคอื อนั นี้ “คําเหลา น้ีจะประทับอยใู นใจเดก็ มากกวา “เรยี บ” “ขรขุ ระ” และขดั ขวางการเตมิ เต็มในจติ สํานกึ ของเดก็ ในบทเรียน ครง้ั ตอไปรวมท้ังมีผลตอการเรยี นรขู องเดก็ ในอนาคตดวย ขน้ั ทสี่ าม : การจดจาํ ชอ่ื ทสี่ อดคลอ งกับวตั ถุ (Remembering of the Name Corresponding to the Objective) ข้นั น้ีเปน ขั้นรวบรดั ตรวจสอบความถกู ตองของขน้ั ท่หี น่งึ ครูถามเด็กวา “น่ีคืออะไร” (What is This?) เดก็ พรอ มตอบคําถามไดวา “นี่คอื เรยี บ” “น่คี ือขรุขระ” เมอ่ื เด็กยังไมม่ันใจในการออกเสยี งเนอื่ งจากเปน คําใหม ครถู ามซ้าํ ไดอกี หน่ึงหรอื สองคร้งั เพอื่ ใหเ ด็กม่ันใจ ถา เดก็ แสดง ความบกพรองในการออกเสยี ง ครบู ันทึกความตอ งการพเิ ศษเพอื่ จัดบทเรยี นแกไ ขการออกเสยี งในคราวตอ ไป 4. ส่ืออปุ กรณการสอนกลมุ วิชาการเพื่อพัฒนาดานภาษา ส่อื อุปกรณการสอนมอนเทสซอริ แบง เปน 3 กลมุ ใหญ คอื กลมุ ประสบการณช ีวติ กลุมประสาทสัมผัส และ กลุมวชิ าการ ซึ่งกลมุ วชิ าการแยกเปนกลุม ภาษาและกลมุ คณิตศาสตร ในทน่ี จี้ ะเสนอเฉพาะสื่อเพ่อื พัฒนาดานภาษา ดังนี้ (จรี พันธุ พลู พัฒน และคําแกว ไกรสรพงษ. 2544 : 14) 1. สอ่ื ฝกลลี ามือ เชน กรอบไมอ อกแบบรูปทรงเรขาคณิต ตวั อกั ษรกระดาษทราย 2. ส่ือเพื่อพฒั นาการออกเสียง และการจําตัวอกั ษร เชน ตัวอักษรกระดาษทราย 3. ส่ือเพือ่ พัฒนาการจําแนกเสียงและรูจกั คําศพั ทใ หม เชน สอื่ ชดุ พยญั ชนะตน 4. สอื่ เพอ่ื พฒั นาการสรา งคาํ เชน แบบฝก สะกดคาํ กระดานสะกดคาํ กระดานสรา งคาํ หว งบตั รคาํ กระดานอา นคาํ 5. ส่ือเพอ่ื พฒั นาการออกเสียงวรรณยุกต เชน กระดานผันวรรณยกุ ต การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์การเรยี นและพฤตกิ รรมพงึ ประสงคป ระเมนิ โดยระเบยี บวิธีเชิงวิทยาศาสตร (Scientific Method) มี ผลเชิงประจักษ ผลพฒั นาการทางกายของเดก็ ไดจ ากการตรวจวดั และจดบนั ทกึ เชน เสน รอบวงศรี ษะ สว นสงู นา้ํ หนกั ประกอบผล การตรวจตดิ ตามของแพทย เชน สขุ ภาพปาก หู ตา การออกเสียง หรอื อืน่ ๆ ตามกรณี การเปลย่ี นแปลงทางพฤตกิ รรมดา นอารมณส งั คมโดยการสงั เกตการณ จดบนั ทกึ รายวนั วเิ คราะห และกาํ หนด กจิ กรรมสนองความตอ งการ (ดูความสขุ ของเด็ก การพึง่ ตนเอง ความเมตตากรณุ า รกั การเรียนรู วนิ ัยในตน) พฤติกรรมทางปญญาจากระดบั สมาธิของเด็กในการปฏิบัติงาน ครูจดบันทึกผลดว ยกราฟ ดผู ลงานเดก็ (Works) ดจู าก แฟม งาน (Portfolio) ระดับผลสมั ฤทธิ์ในภาพรวมของหอ งเรยี น แสดงโดยกราฟระดบั สมาธิของเดก็ ทีเ่ ดก็ ปฏิบตั ิในชวงเวลาตาง ๆ ตลอดวนั นนั้ ๆ ความถหี่ า งของการเกบ็ ผลดว ยกราฟ เปน ไปตามการวนิ จิ ฉยั ของครหู รอื โรงเรยี นเพอื่ มาตรฐานในความนา เชอ่ื ถอื 18 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
การแสดงระดบั เสน กราฟแนวนอนในระดับสูง แสดงวา มผี ลสัมฤทธ์ิสงู หอ งเรยี นหรอื เดก็ อยใู นสภาวะปกติ (Nor- malization) พฤติกรรมการเรียนแสดงโดยกราฟจาํ นวนกิจกรรมแตละหมวด ท่ีเด็กปฏิบัติในชวงเวลาตาง ๆ ตลอดวันน้ัน ๆ ครใู ชก ารแสดงผลของกราฟเพ่อื ปรับปรุงแผนการสอนหรือการจัดบทเรียนในภาพรวมหรือรายคน ตวั อยา งเกณฑการจดบนั ทึกระดบั พัฒนาการของการทาํ งานของเดก็ 5 ระดบั 1. ครูสาธติ เด็กปฏิบตั ิ 2. เด็กปฏิบัตโิ ดยมผี ูช ว ย 3. เด็กปฏบิ ตั เิ องตามลาํ พงั 4. เดก็ ชว ยหรือสอนเด็กอนื่ 5. เด็กเชื่อมโยงความรสู รา งงานใหม 19การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรม หมวด ชีวติ ประจําวนั 20 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมหมวดชีวิตประจําวัน กจิ กรรมท่ี 1 การยกเกา อี้ กจิ กรรมที่ 2 การมวนเสือ่ หรือพรม กจิ กรรมที่ 3 การพับผา กจิ กรรมท่ี 4 การปูและเก็บทน่ี อน กจิ กรรมท่ี 5 การตกั ถัว่ กจิ กรรมที่ 6 การเทขา ว,ถัว่ กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตง ตวั กระดุม กิจกรรมท่ี 8 กรอบแตงตวั เขม็ ขัด กจิ กรรมท่ี 9 การลา งมือ กิจกรรมที่ 10 การลางโตะ กิจกรรมที่ 11 การขดั โลหะ กจิ กรรมที่ 12 การเดนิ จงกรม กจิ กรรมท่ี 13 การมอบของขวัญ กจิ กรรมที่ 14 การกราบแม กจิ กรรมที่ 15 การเชด็ ใบไม กิจกรรมท่ี 16 การขดั รองเทา 21การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมท่ี 1 การยกเกา อ้ี 1. ส่ือ/อปุ กรณ เกาอี้ 1 ตัว 2. วตั ถปุ ระสงค 1. การเชือ่ มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพ่ึงพาตนเองได 3. วิธีจดั กิจกรรม 1. เดนิ ไปเชิญชวนเด็กมายกเกาอ้ี พาเด็กมาทีโ่ ตะ มีเกา อีเ้ ก็บอยคู กู ันเรียบรอ ย 2. ครยู นื ตรงอยดู า นหลงั เกาอี้ เดก็ ยนื อยทู างดานซา ยมือของครู 3. ครจู ะยกเกาอี้ใหด ูนะคะ หนั มองหนาเด็ก 4. ครยู นื ตรงดานหลงั เกา อี้ มอื ขวาจบั ขอบดา นบนของพนกั พิงของเกาอี้ทางมุมขวาใหน ว้ิ หัวแมมอื อยทู าง ดา นหนา 5. มือซา ยจับขอบดา นบนของพนักพิงของเกาอี้ทางมุมซาย ใหนิ้วหวั แมม ืออยทู างดานหนา 6. ยกเกา อ้ขี ้นึ ใหขาเกา อี้ดานหนา สูงกวา ขาเกาอด้ี า นหลัง 7. ถอยหลังประมาณ 1 กาวหยุดยนื ตรง คอย ๆ วางเกา อี้ลงใหข าเกาอดี้ า นหลังวางลงกอ น แลวคอย ๆ วาง ขาเกา อีด้ านหนาท้ัง 2 ขางอยา ใหมีเสียงดัง 8. ครเู ดนิ มายนื ดา นขางของเกาอ้ี หันหนา เขาหาดา นขางของเกา อ้ี กม ตัวเลก็ นอย มอื ซา ยจับพนกั เกา อ้ี มอื ขวาจับเบาะนง่ั ยกเกา อ้ีขึ้นหลงั ตรง 22 การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
9. เดินยกเกาอ้ไี ปรอบโตะ มาหยดุ ในทเ่ี ดิม กมหลังและยอ เขาเลก็ นอ ยคอย ๆ วางเกาอลี้ ง โดยใหขาเกา อ้ี ดานหนา ขวาวางลงกอน วางขาหลงั ทัง้ สองขา งและขาหนา ดานซายลงเบา ๆ 10. ถอยหลงั ไปยนื ตรงดา นหลังเกาอี้ มือขวาจับดา นบนพนักเกาอ้ีดานขวาใหน ้วิ หัวแมม อื อยดู า นหนา มอื ซา ย จับบนพนกั เกาอดี้ า นซา ยใหนว้ิ หัวแมม อื หันมาทางดานหนา เกาอี้ 11. ยกเกาอ้ีข้นึ ใหข าเกาอี้ดา นหนาสงู กวา ขาเกาอ้ดี านหลงั 12. สอดเกา อเ้ี ขา ไปเกบ็ ใตโ ตะ โดยวางขาหลงั ทงั้ สองขา งของเกา อล้ี งกอ นแลว คอ ย ๆ วางขาหนา ทง้ั สองลงเบา ๆ 13. ถามเดก็ วา “หนอู ยากลองทาํ บา งไหมคะ หนูจะทาํ มากเทา ไรก็ไดน ะคะ” 14. ใหนักเรียนทดลองยกเกาอดี้ วยตนเอง 4. การประเมนิ ผล 1. การยกเกา อ้ี การวางเกา อ้ี ไมใ หมเี สยี งดัง 2. การยกเกาอ้ีเดนิ ไปตามทศิ ตามเข็มนาฬก า 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่ึง - 3 ขวบ, 4 ขวบ, 5 ขวบ 6. กิจกรรมผูปกครองมสี วนรวม 1. ผปู กครองควรใหเ ดก็ ชว ยเหลอื ตนเองทีบ่ า น แสดงความไวว างใจ 2. แสดงความชื่นชม เมอื่ เดก็ ทาํ ได 7. ขอ เสนอแนะสําหรบั ครู 1. เด็กสามารถดูแลตนเอง ในการยกเกา อไ้ี ด เมอื่ ไดรับการแนะนาํ ที่ถูกวิธี 2. เมอื่ เดก็ ยงั ทําไดไ มด ี อยา เขา ไปแทรกขณะที่เดก็ กาํ ลงั ปฏบิ ัติงานอยู รอเวลาสาธิตใหม 23การจดั การเรยี นรรู ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กิจกรรมท่ี 2 การมวนเสือ่ หรือพรม 1. สอื่ /อุปกรณ เส่ือหรือพรม 1 ผืน 2. วัตถุประสงค 1. การเช่อื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพึง่ พาตนเอง 3. วธิ ีจดั กจิ กรรม ครูเดนิ ไปเชญิ ชวนเดก็ มาทํากจิ กรรม พาเดก็ ไปทเี่ ก็บเสื่อ สาธิตการยกเสื่อดว ย 2 มอื มอื ขวาจับกอนและมือ ซายจบั ตาม ยกข้นึ ดวย 2 มอื แลว วางลงที่เดมิ ใหเ ดก็ ทดลองยกบา ง แลวยกตามครมู าหาทว่ี า งท่ีเตรียมไว 1. ครรู ับเสอื่ มาวางลงโดยควํา่ มว นของเสือ่ ลง จับรมิ เสื่อทัง้ สองขางดงึ ออกเล็กนอ ย ครูนง่ั คุกเขา บนเสื่อ และ วางมอื บนขาหนาตักตนเอง 2. ครยู กมือขวาไปจบั ขอบมว นเส่อื ดา นขวา ยกมือซายไปจบั ขอบมว นเสื่อดานซาย ยกเสอื่ คล่อี อกประมาณ ครึง่ ชว งแขน คอ ย ๆ วางเสือ่ ลงกบั พน้ื ยกมอื วางบนหนาขาท้ังสองขา งท่ีหนาตักตนเอง 3. ขยับตวั ไปขา งหนา ชิดมว นเพอื่ ยกมอื ขวาไปจบั ขอบเสื่อดา นขวา ยกมอื ซา ยไปจับขอบมว นเสือ่ ดา นซา ย ยกเส่อื คล่ีออกประมาณครงึ่ ชว งแขน คอย ๆ วางเสอ่ื ลงกบั พนื้ ยกมือวางบนหนาขา ท้ังสองขางที่หนาตักตนเอง 4. ทาํ ซํา้ เหมอื นขอ 6 จนสุดขอบเส่ือ วางมอื ทง้ั สองตรงกลางเสือ่ ยกมือขวากดขอบเสือ่ ไปเรอื่ ย ๆ จนสดุ ขอบเส่ือดานขางขวา ยกมอื ขวากลบั มากดตรงกลางเสอื่ 24 การจดั การเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
5. ยกมอื ซายกดขอบเสอ่ื ไปเรื่อย ๆ จนสดุ ขอบเส่อื ดา นขา งซาย ยกมอื ซายกลบั มากดตรงกลางเสอ่ื 6. คอ ย ๆ ลูบมอื ขวาเบา ๆ จากตรงกลางเส่ือไปขอบเสื่อดา นขวา ยกมือขวากลบั มากดตรงกลางเส่อื คอ ย ๆ ลูบมอื ซายเบา ๆ จากตรงกลางเสื่อไปขอบเสอ่ื ดา นซา ย ยกมอื ซา ยกลับมากดตรงกลางเส่อื 7. คยุ กับเดก็ วาครูจะเก็บเส่อื นะคะ มว นเสือ่ จากตรงกลางโดยใชม ือขวามว นไปทางขวา มอื ซา ยมวนไปทาง ซา ย คอย ๆ ไลมอื ตามกนั 8. ยกเสอ่ื ข้ึนมาวางบนตกั ตนเอง คอ ย ๆ มวนเสอื่ หมุนควํา่ มอื ลงไปจนมว นเสือ่ ชดิ พนื้ ใชมือขวาตบประคอง มว นเส่อื ดานขวา มือซา ยตบประคองเส่อื ดา นซาย เพอ่ื ใหม ว นเสือ่ ตรง ไสเสอ่ื ไมย ืน่ ไปขางใดขา งหน่งึ 9. ทําซ้ําเหมือนขอ 10 จนเสื่อมว นหมดผืน 10. ใชส องมอื ยกเสอื่ ขึ้นจากพ้นื แลวยกไปเกบ็ ทีเ่ ดิม 4. การประเมินผล การคลีเ่ ส่ือออกตอ งคอ ย ๆ คลี่ออก 1. ระยะของการยกใหเ ส่อื คลอ่ี อกใหพอเหมาะกบั การขยับตวั 2. การมว นเส่อื การมว นเส่ือเร่มิ ตน ตองใหแ นน 3. การตบประคองปลายเสอื่ ซา ย, ขวาเพอ่ื ไมใหเสอื่ เอยี ง 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบครง่ึ ขนึ้ ไป 6. กิจกรรมผูป กครองมีสวนรวม ควรใหเด็กมีสว นรว มในการปูผาจดั ที่นั่งเลนในบา นหรือกจิ กรรมท่ตี องมที ร่ี องรบั ตา งๆ 7. ขอเสนอแนะสาํ หรับครู เมอื่ เดก็ เรมิ่ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมใหม ครตู อ งใหก าํ ลงั ใจ คอ ยๆแกใ นครง้ั ตอ ไปใหเ ปน ธรรมชาตไิ มต อ งเรง รบี การปฏบิ ตั ิ ซํ้าเดก็ จะเรยี นรแู ละปรับตวั ไดเอง 25การจัดการเรียนรูร ะดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กิจกรรมท่ี 3 การพบั ผา 1. สื่อ/อปุ กรณ 1. เกา อ้เี ต้ีย 1 ตวั 2. ถาดใสผ า 5 ผนื ขนาด 12 x 12 นิ้ว แตล ะผืน ประกอบดว ย 2.1 ผาแสดงเสน ตามแนวนอนกลางผืนผา 1 เสน เพื่อพบั เปนคร่ึงตามแนวนอน 2.2 ผาแสดงเสนตามแนวทแยงกลางผืนผา 1 เสน เพอ่ื พับเปน คร่ึงหนึง่ ตามแนวทแยง 2.3 ผาแสดงเสน ตัดกนั เปนมุมฉากกลางผา เพอ่ื พับเปนหนงึ่ ในส่ีตามแนวนอนและแนวต้ัง 2.4 ผาแสดงเสน ตดั กัน 2 เสนจากมมุ ที่ 4 ของผา เพอ่ื พับผาเปน หนึง่ ในส่ี ตามแนวทแยง 2.5 ผา ไมม เี สน เพอื่ ใหเ ดก็ พบั ตามปรารถนา โดยจดั วางผา ในตะกรา ใหถ กู ดา น การพบั แบบงา ยสดุ อยบู นสดุ 2. วตั ถุประสงค 1. การเชื่อมโยงการเคลือ่ นไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพง่ึ พาตนเองได 3. วิธีจัดกจิ กรรม 1. ครูเชญิ ชวนเดก็ ไปทช่ี ัน้ วางอปุ กรณแลวแนะนาํ วา “น่คี ือการพับผา ” 2. ครยู กถาดใหเ ดก็ ดแู ลววางกลับคนื ที่ ใหเ ด็กยกถาดกิจกรรมมาที่โตะ 3. ครูและเดก็ นงั่ ทโ่ี ตะทํากจิ กรรม นาํ ถาดอุปกรณม าวางดานขวาของครู 4. ครพู ดู กบั เดก็ วา “ครจู ะแสดงวธิ กี ารพับผาใหด”ู 26 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
5. ครหู ยบิ ผา ผนื ที่ 1 วางบนโตะ แลว ใชน ้วิ ช้ี ลากเสนที่อยูบนผาขนานกบั โตะ จากซา ยไปขวาหยิบขอบของ ผาดานลางพับขึ้นใหมมุ ของผา ดา นลางจรดกับมมุ ของผา ดา นบนจับมุมใหตรง สังเกตเสน ดายทป่ี รากฏขน้ึ หยบิ ผาที่พบั แลวมาวางไวด า นบนทางซา ยมอื 6. ครหู ยิบผา ผนื ที่ 2 วางบนโตะ แลวใชน ้วิ ชีท้ ่เี สน ลากจากซายไปขวา วางมอื ขวาไวบนผา ขอบเสน ทแยง แลว จับมุมผาดานลางขน้ึ มามมุ ดานบน จบั มุมใหต รง สงั เกตเสนที่ปรากฏ นาํ ผาวางตอ ดา นลางผนื ท่ี 1 7. ครหู ยิบผา ผนื ท่ี 3 มาวางบนโตะ ทาํ เหมอื นกบั ขอ 5 ผา ทมี่ ี 2 เสนตามแนวตงั้ และแนวนอน ใหพับ 2 ครงั้ พับสว นแรกขน้ึ ดา นบนหมุนผาใหเ สนขนานขอบโตะ แลวพับผาขนึ้ หมนุ ผาใหเสน ขนานกับขอบโตะ แลวพบั ครั้งที่ 2 8. ครหู ยบิ ผา ผนื ที่ 4 มาวางบนโตะ มีเสน 2 เสน ตามแนวทแยง ใหพ บั 2 คร้งั พับสว นแรกโดยใชม ือขวาวาง บนผา แลว จับมมุ ผาดานลา งข้นึ มาท่มี มุ บนของผา แลว หมุนผา ใหเ สน ขนานกับขอบโตะ แลว ใหมอื ขวาวางบนผา จบั มุม ดา นลางข้ึนมมุ ดานบน จบั มุมใหต รง สงั เกตเสน ทปี่ รากฏ 9. ครหู ยิบผาผนื ท่ี 5 เปนผา ท่ีไมม เี สน ครูพับโดยการนาํ ขอบมมุ ท้งั 4 มมุ เขาหาจุดกง่ึ กลาง แลว หยบิ มมุ ผา ทั้ง 4 มุมขน้ึ พรอมกนั นาํ ผา นั้นทาํ เหมือนกาํ ลงั ปด ฝุนรอบ ๆ โตะ 10. ครูแสดงการคลีผ่ า โดยจับมุมใดมุมหนง่ึ ของผาแลวคล่ีออก แลว นาํ ไปวางในถาดอปุ กรณ โดยเรียงตาม ลาํ ดบั 11. ครูนําถาดผาขน้ึ มาวางบนโตะ 12. ครพู ดู กบั เดก็ วา “หนูรูจกั วิธกี ารพบั ผา แลว” 13. ครูเชญิ ใหเ ด็กบา งปฏิบตั ิ บอกเด็กวา “สามารถปฏิบัตไิ ดห ลายครั้งตามความตอ งการเม่อื ทาํ เสร็จแลว เก็บ อุปกรณเ ขา ช้นั ไดเรียบรอย” 4. การประเมินผล 1. วธิ กี ารพับผา 2. การลูบผาตามเสน 3. การจับมมุ ผาชนมมุ ผา อยา งมสี มาธิ 5. อายุ 3-4 ปข้ึนไป 27การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมที่ 4 การปูและเก็บท่นี อน 1. สื่อ/อปุ กรณ 1. ท่นี อน 1 ชดุ 2. วตั ถปุ ระสงค 1. การเช่อื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพง่ึ พาตนเองได 3. วธิ ีจัดกิจกรรม 1. ครเู ดนิ ไปเชิญชวนเดก็ มาทาํ กจิ กรรมการปแู ละการเกบ็ ที่นอน นาํ เดก็ ไปทีต่ เู ก็บทีน่ อน 2. ครูสาธิตการยกท่นี อนดว ยสองมือและวางลง แนะนําใหเด็กทดลองยกดแู ลวใหถ ือที่นอนมาวางกับพืน้ ท่ี วาง ใหเ ดก็ น่ังทางดานซายมือของครู 3. ครเู รมิ่ สาธติ การปูที่นอน โดยใชนิว้ 3 นิ้ว คือนว้ิ ช้ี น้ิวกลางและนิ้วหวั แมม ือขา งขวาจับสายรดั ดา นซา ยดึง ออกและเปลย่ี นไปจบั ดา นขวาดงึ ออก 4. เรม่ิ คล่ีผาออกโดยดึงดา นซา ยกอ น ใชมือซายยกหมอนพลิกไปทางซา ย ลูบผา ใหเรยี บชา ๆ คลผ่ี า ดานขวา ออก ลบู ผาใหเรียบชา ๆจากซายไปขวา. 5. ยกผา ทพี่ ับอยูด านนอกลําตวั วางออกไปทางดา นนอกลาํ ตวั ลูบผาใหเรยี บชา ๆจากซายไปขวา และยกผา ท่ี พบั อยูดานในชดิ ลาํ ตวั วางเขาหาลําตวั ลูบผา ใหเ รียบชา ๆจากซา ยไปขวา 28 การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
6. ครูสนทนากับเด็กปูท่ีนอนเสรจ็ แลว ครูจะเกบ็ ทีน่ อนใหเ หมือนเดมิ โดยเร่ิมยกรมิ ผา ท่อี ยูด า นชดิ ลาํ ตวั วาง พับออกไปดา นนอกลําตัวประมาณหนึ่งในสามของความกวางของผา ลบู ผาใหเรียบชาๆจากซา ยไปขวา และยกริมผาท่อี ยู ดา นนอกลําตวั วางพบั เขาหาลาํ ตัวใหทับสว นทพี่ บั แลวพอดี ลูบผาใหเ รียบชาๆจากซา ยไปขวา 7. ใชมอื ซายยกหมอนพลิกมาทางดา นขวา ลุกข้ึนเปลี่ยนที่นัง่ มาอยูทางซายมือดา นบนของหมอน มว น ท่นี อนโดยใชส องมอื พลกิ ที่นอน เมอ่ื เชอื กรัดท่ีนอนมาอยดู า นบน 8. เมือ่ เชือกรดั ท่นี อนมาอยูด า นบน ใชเขา ทั้งสองขา งกดทีน่ อนไว มอื ทั้งสองขา งจบั ริมที่นอนอกี ดา นมวน เขาหากนั แผน เทปท่ตี ดิ หมุนมาตรงกนั ใชส ายรดั ติดยึดไว 9. เชญิ ชวนใหเดก็ ทดลองทํา จะทาํ มากก่คี รัง้ กไ็ ดนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารพบั ผา 2. การลบู ผาชา ๆ 3. การหมนุ ผาใหแนน 5. อายุ ประมาณ 3 ขวบขนึ้ ไป 29การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมที่ 5 การตกั ถั่ว 1. สอื่ /อุปกรณ 1. ถาด 1 ใบ 2. ถว ยกลมไมมีหู 2 ใบ 3. ชอน 1 คัน 4. ถว่ั เหลอื ง ¾ ถว ย 2. วัตถปุ ระสงค 1. การเชือ่ มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝกสมาธิ 3. การพ่งึ พาตนเองได 3. วิธจี ดั กิจกรรม 1. ครเู ดนิ ไปเชญิ ชวนเด็กมารวมกจิ กรรมตกั ถัว่ ดว ยกัน นําเดก็ ไปท่ีชัน้ วางถาดใสถวยท่ีมี ถั่วเหลอื ง แนะนํา วา เราจะตักถวั่ นะคะ 2. ครสู าธิตการยกถาดดว ยสองมือและวางลง แนะนาํ ใหเ ด็กทดลองยกดูแลวใหถอื ถาดมาวางบนโตะ ที่จะ สาธิต ใหเดก็ นั่งเกาอคี้ ูกบั ครูทางดานซายมือของครู 3. ครูบอกวาครูจะตกั ถั่วใหดนู ะคะ ครใู ชม อื ซายโดยใชสามน้ิวคือนิ้วช้ี นว้ิ กลางและน้วิ หัวแมมือจบั ตรงกลาง ดา มชอ น สงดามชอ นใหม ือขวาจบั ดวย 3 นิว้ เหมือนกนั 4. ครูใชช อ นตักถัว่ ใหเต็มชอ นยกสงู ขึน้ พอประมาณ นาํ ไปใสใ นถวยเปลา ดานซายมอื 5. เรม่ิ เทถว่ั ใสถ ว ยชา ๆ ใหเ ด็กสามารถไดยนิ เสยี งเมลด็ ถ่วั กระทบผิวถวยจนหมดชอน 30 การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
6. ตักถ่ัวชํา้ อกี จนถ่ัวเกือบหมดถวย กมมองดู ใชมอื ซา ยจบั ถว ยเอยี งใหเดก็ ดูคอ ย ๆ ตกั ถว่ั จนหมด วาง ถวยในท่ีเดิม 7. วางชอนลงทีข่ า งถาดดา นนอก ทางขวามอื 8. ใชส องมือยกถว ยดานซายทม่ี ีถว่ั ไปวางดานหนาของถาดทางดา นซา ยและใชส องมอื ยกถวยดา นขวามอื ท่ี ไมม ถี ่ัว ไปวางดานหนา ของถาดทางดา นขวา 9. ใชม อื ทง่ั สองยกถาดขนึ้ เล็กนอ ยเอยี งใหเดก็ ดวู ามถี ่วั หลนอยูหรอื ไม ถามีใหเ กบ็ ใสคนื ไปในถว ยได ถา หลน ออกนอกถาดใหเ ก็บทงิ้ ถังขยะ 10. การเก็บถว ยใสถ าดอยางเดิม โดยใชมอื ทง้ั สองยกถวยดานหนาถาดซา ยมอื ที่มีเมลด็ ถ่วั นําไปวางในถาด ดา นขวามอื และยกถว ยดา นหนาถาดขวามือที่ไมม เี มลด็ ถ่ัวนาํ ไปวางในถาดดา นซายมือ 11. เกบ็ ถว ยเรยี บรอ ยเหมอื นเดมิ แลว ถามเดก็ วา หนอู ยากลองทาํ ไหมคะ แลว เลอื่ นถาดมาทางซา ยตรงหนา เดก็ บอกเด็กวา หนทู ําไดม ากครัง้ เทาท่ตี องการนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ จี บั ชอ นในการตักถ่ัว ใหจ ับดว ยสามน้วิ เหมอื นจับดนิ สอ 2. การเทถัว่ เทชา ๆ ยกไมสูงมากนกั จะทาํ ใหถ ั่วหลนออกนอกถว ย ถาตํา่ เกนิ ไปจะไมคอยไดยนิ เสยี ง 3. การเอยี งถวยดูวา มีถั่วอยใู นถว ยหรือไม 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่งึ – 3 ขวบ 6. กิจกรรมผูป กครองมีสวนรวม 1. ผปู กครองควรใหเดก็ ไดต กั ส่งิ ท่ีเขาทําในชีวิตบอยๆ เชน ตกั อาหารไมตองกลัวเลอะเทอะ 2. อุปกรณการเลนของเดก็ ท่บี า นอาจหาวัตถุท่ีมใี หเ ดก็ ตกั เชน เมด็ มะขาม ถัว่ เขียว 7. ขอเสนอแนะสําหรบั ครู 1. การใหกาํ ลังใจของครูสาํ คัญกับเดก็ มาก แคย้มิ พยักหนาเดก็ กม็ กี าํ ลงั ใจมากขนึ้ แลว 2. อุปกรณสามารถเปลยี่ นแปลงไปไดต ามที่ทองถ่นิ มี เชน เมลด็ ขา ว เมลด็ มะกล่ํา 31การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมท่ี 6 การเทขาว, ถั่ว 1. สอื่ /อุปกรณ 1. ถาดใสเ หยอื กแกว 1 ใบ 2. เหยือกแกวมีหู 2 ใบ 3. ถ่วั เขยี วประมาณ 3 / 4 ของเหยอื ก 2. วัตถปุ ระสงค 1. การเชอ่ื มโยงการเคลื่อนไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพ่งึ พากตนเองได 3.วธิ จี ัดกิจกรรม 1. ครเู ดินไปเชญิ ชวนเดก็ มาทาํ กิจกรรมเทถว่ั ดว ยกัน นําเด็กไปท่ชี น้ั วางถาดใสเ หยือกไว และมถี ัว่ อยูใน เหยอื กดา นขวามอื เรยี บรอ ยแลว 2. ครสู าธติ การยกถาดดวยสองมือและวางลง แนะนาํ ใหเ ดก็ ทดลองยกดูแลวใหถ อื ถาดมาวางบนโตะ ใหเ ดก็ นง่ั ทางดา นซายมอื ของครู 3. ครูเรม่ิ สาธติ การเทถั่ว โดยใชนิว้ 3 น้ิว คอื นว้ิ ชี้ นว้ิ กลางและนว้ิ หัวแมมือขางขวาจบั หเู หยอื กดา นขวา น้ิว มอื ซายชว ยประคองเหยือก ยกขนึ้ ดว ยความสูงพอประมาณอยา สงู เกินไป ใหปากเหยอื กอยูบนปากของเหยอื กดานซายท่ี วางอยูไ มม อี ะไรในเหยอื กน้ัน 32 การจัดการเรยี นรูระดบั ปฐมวัยในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
4. เร่ิมเทเมลด็ ถวั่ ชา ๆ ใหเ ด็กสามารถไดย นิ เสียงเมล็ดถัว่ กระทบกับผวิ ของเหยอื กเทจนถ่ัวหมดเหยือก หยดุ คา งมอื ไวเ ล็กนอ ย คอ ย ๆ วางเหยอื กลงทเ่ี ดมิ 5. ยกเหยอื กดา นขวาอีกครง้ั พลิกดูวาถ่วั หมดหรอื ไม วางเหยือกเปลา ลงในถาดที่เดมิ ยกมือออกทลี ะขา งนํา มาวางบนตักคกู ัน 6. ใชน้วิ มือ 3 นิ้วคอื นิว้ ชี้ นวิ้ กลางและนวิ้ หวั แมม ือขา งซา ยจับหูเหยอื กดา นซา ย ใชน้ิวมือขวาประคอง เหยอื ก ยกเหยอื กขึ้นนําไปวางดา นหนาของถาดในตาํ แหนงทีต่ รงกับทเ่ี ดิม 7. ใชน ิ้วมอื 3 นว้ิ คือนว้ิ ชี้ นิ้วกลาง และนวิ้ หัวแมม ือขา งขวาจบั หูเหยอื กดา นขวา ใชน ้ิวมอื ซา ยประคอง เหยอื ก ยกเหยอื กข้นึ นําไปวางดานหนา ของถาดในตําแหนงตรงทเี่ ดมิ 8. ใชน ้วิ มือ 3 น้ิวขางซายจับหเู หยือกขา งซา ย ใชน้วิ มือ 3 นว้ิ มอื ขวาประคองเหยอื กยกเหยือกดา นซายกลบั มาวางในถาดดานขวามอื หันหูเหยือกเขาหาตัวเรา 9. ใชน ว้ิ มอื 3 นว้ิ ขางขวา จบั หเู หยือกดานขวาบนใชน วิ้ มอื ซานประคองเหยือกยกเหยอื กขน้ึ ออ มเหยือกดา น ขวา มาวางลงในถาดดานซา ยมอื หนั หูเหยือกเขาหาตวั เรา 10. ใชม อื ซา ยจบั หเู หยอื กซา ย ใชน วิ้ มอื ขวาจบั หมู อื ขวาหมนุ หอู อกไปอยดู า นขา งของทงั้ สองดา นทงั้ ซา ยและขวา 11. เชญิ ชวนใหเ ดก็ ทดลองทาํ จะทํามากกี่คร้งั กไ็ ดนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารจบั เหยือก จบั หูเหยือกขา งหนึ่ง และมือท่ีประคองอกี ขา งหนงึ่ 2. การเทถว่ั ชา ๆ 3. การหยดุ มือคา งไวเมอื่ ถ่วั หมดประมาณ 5 วนิ าที 4. การหมนุ มอื ตอนเก็บอปุ กรณเ ขาที่ หมุนออ มเหยอื กทม่ี ีถั่วอยู 5. อายุ ประมาณ 2 ขวบคร่งึ ขนึ้ ไป – 3 ขวบ 6. กิจกรรมผูป กครองมสี ว นรว ม ผูปกครองสามารถชวยหาสิ่งของใหเ ดก็ ไดเ ทตางๆ เชน นํา้ เม็ดถ่ัว เม็ดงา ขาวโพด ทราย การจบั หถู ว ยนั้น เปน พื้นฐานของการจบั ดินสอเพ่อื การเขยี น 7. ขอ เสนอแนะสาํ หรับครู อุปกรณสามารถเปล่ยี นไดต ามความเหมาะสมและจะไดสรางความสนใจใหเ ดก็ อกี ดว ย 33การจัดการเรียนรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
กิจกรรมท่ี 7 กรอบแตงตวั กระดมุ 1. ส่อื /อุปกรณ 1. กรอบไม สเี่ หล่ยี มดานเทา 1 อัน 2. ผา 2 ผืน ดา นหน่ึงตดิ กระดมุ อีกดา นหนง่ึ มีรงั ดุม 2. วตั ถุประสงค 1. การควบคุมการเคลือ่ นไหว 2. การควบคุมสมาธิ 3. ความสามารถในการพึง่ พาตนเอง 3. วิธีจัดกจิ กรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครูนะคะ ครูจะตดิ กระดุมใหดู นาํ เด็กไปที่ชน้ั วางของ ครแู สดงวิธีถือกรอบกระดมุ ใหด ู วางไวท ่เี ดิม 2. ใหเดก็ ถอื กรอบไม กรอบแตง ตัว กระดมุ นาํ มาวางบนโตะ เตรยี มฝก 3. สนทนากบั เด็ก ครูชีท้ ีก่ ระดุม แนะนําวา นเ้ี รียกกระดุม ในตัวหนมู ีไหม และแนะนําวามรี ังดมุ ดว ยแกะ กระดุมใหเด็กดกู อนหนึง่ เมด็ แลว ตดิ ไวอ ยา งเดิม 4. ครจู ะเรมิ่ ถอดรงั ดมุ นะคะ ครชู ท้ี กี่ ระดมุ ทกุ เมด็ และเรม่ิ จบั ทเี่ มด็ ที่ 1 ดงึ กระดมุ ดา นบนหรอื ดา นนอกตวั สดุ ใชน วิ้ ช้ีและนวิ้ กลางจบั ดานลางของกระดุม ใชนวิ้ หวั แมม ือจับดา นบนของกระดมุ ใชม ือดานขวา และใชม อื ดา นซา ยจับรมิ ผา ดา นซายสดุ ตรงรังดมุ 5. มอื ซายจบั ผา ทางดา นซายสุดโดยใชนวิ้ ช้แี ละนิ้วกลางสอดไปดานลางนว้ิ หวั แมม อื จบั ดา นบน ดึงสาบเส้ือ ออกหางเลก็ นอยใหรงั ดมุ หางออกมชี องวางกดกระดุมริมซา ยลง ใหทะลผุ า นรังดมุ ลงไปโผลด านลา ง 34 การจัดการเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
6. ใชม อื ซายจับกระดุมทโ่ี ผลดา นลางดึงไว มอื ขวาเปล่ยี นมาจับสาบเสือ้ ดึงขนึ้ กระดมุ จะหลดุ ออกมา เปด สาบเส้อื ใหเ ห็นกระดุมและรงั ดุมทถ่ี อดแลว และปด สาบไวอ ยา งเดิม 7. ทําซํา้ ในกระดุมเม็ดที่ 2, 3, 4 และ 5 เหมือนเมด็ ท่ี 1 8. เปดผา ดานขวามือพลกิ ไปดานขวาสุด จับผา ดว ยสองมอื มอื ขวาจบั ดานบนมอื ซา ยจับดา นลางยกผาขนึ้ พลกิ ไปดานขางขวามือ 9. เปดผา ดานซา ยมอื โดยมอื ซายจบั ดานบนมอื ขวาจับดา นลาง ยกผาข้นึ พลิกไปดานขางซายมอื 10. ปดผาเขามาในกรอบไมอ ยา งเดมิ โดยยกผาดานซายกอนใชส องมือจับ มือซา ยจบั ดานบนมุมซา ย มอื ขวา จับดานลางมุมซา ย ยกเขา มาในกรอบไมเปลย่ี นมายกผาดา นขวาบา ง ใชม อื ขวาจบั ดานบนมมุ ขวา ใชมอื ซายจับมุมดา น ลางขวา ยกผาพลกิ เขา มาในกรอบไมปดทับบนกระดุม 11. เร่ิมตดิ กระดุม ใชม อื ขวาจับสาบเสื้อดา นรงั ดมุ พลกิ ขึน้ ใหเห็นรงั ดมุ นิ้วหวั แมมืออยูดา นลางของสาปเสอ้ื พลิกมอื ขน้ึ เพอ่ื ใหเ หน็ กระดมุ อยูดา นลาง มอื ซายจบั กระดมุ ดวย 2 นว้ิ นิ้วช้ีและน้วิ กลางจบั ดานลางของกระดุม น้วิ หัวแม มือจับดา นบนยกกระดุมข้ึนสอดเขาไปในรงั ดมุ ใหกระดุมโผลขน้ึ มาดา นบน มอื ขวาเปล่ยี นจากจับสาบเสือ้ มาจับกระดมุ มอื ซายเปลี่ยนมาจบั สาบเสื้อกดสาบเสื้อลงไป มอื ขวาก็ดึงกระดุมข้ึนมา 12. กระดุมเมด็ ตอ ไป 2, 3, 4, และ 5 ทําเหมือนเม็ดที่ 1 13. เม่อื เสรจ็ แลว ถามเดก็ วา หนูพรอ มจะทดลองทาํ เองหรือยงั คะ ทําไดม ากครั้งเทาที่ตอ งการ 4. การประเมนิ ผล 1. วธิ ีการจับกระดุมทแี่ นนพอ ไมห ลุดงา ย 2. กระบวนการจับกระดุมและสาบเสือ้ ดว ยสองมอื 3. การดึงและการดนั ท่ปี ระสานกันของสองมอื 4. การจบั สาบเสื้อทั้ง 2 ดาน ดา นทมี่ กี ระดุมอยดู านลาง ดานทเ่ี ปนรังดุมอยูบ น และในแนวเดยี วกัน 5. อายุ ประมาณ 2 ป 2 ป – 3 ป 6. กจิ กรรมผปู กครองมสี ว นรวม 1. ผูป กครองควรใหเวลาเด็กในการแตง ตัวและใจเยน็ ๆในการรอคอย 2. เวลาเด็กติดกระดุมเสอ้ื ตนเอง ควรดูแลอยูหางๆอยารบี รอ นชวย อาจแนะนาํ ในการจบั ชายเสือ้ ใหต รงกัน 7. ขอเสนอแนะสําหรบั ครู 1. ควรใชกระดุมเม็ดใหญก อ น เม่อื เด็กทาํ ชํานาญแลวควรใชก ระดุมเมด็ เลก็ ลง 2. กิจกรรมกรอบไมแตงตัว มหี ลายอยา งควรใหเด็กฝก ใหชํานาญเรยี งลาํ ดับไปเชน กระดุมใหญ กระดมุ เล็ก กระดมุ หวง เปนตน 35การจดั การเรียนรรู ะดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมที่ 8 กรอบแตงตัว เขม็ ขัด 1. สื่อ/อุปกรณ 1. กรอบไมส เี่ หลยี่ มดานเทา 1 อัน 2. แผน หนงั 2 ผนื 3. เขม็ ขดั 5 คู 2. จุดประสงค 1. การควบคมุ การเคลอ่ื นไหว 2. การควบคุมสมาธิ 3. ความพงึ พอใจในตนเอง 3. วธิ จี ดั กิจกรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครู ครูจะพาไปฝกคาดเข็มขดั กนั นําเดก็ ไปชน้ั วางของ ครูแสดงวิธกี ารจับและถอื กรอบ แตง ตัวเขม็ ขัดใหดแู ลววางไวท ีเ่ ดมิ 2. ใหเ ด็กถอื กรอบแตง ตัวเขม็ ขัดมาวางบนโตะเตรยี มฝก 3. สนทนากบั เด็ก ครูช้ีท่ีเขม็ ขัดในกรอบแตง ตัว นี่เรยี กเข็มขดั นะคะชเี้ สยี งจากบนลงลา งใหครบ 5 คู 4. ครถู อดเข็มขดั ออก 1 คู ชใ้ี หดูหัวเข็มขดั สายเข็มขัด หว งและเข็มและคาดกลับไวตามเดิม 5. ครูจะเรม่ิ ถอดเข็มขดั กอนนะคะ มือซายจบั หวั เขม็ ขดั กดไว มอื ขวาดงึ สายเข็มขัดออกจากหวงรัด และเขม็ ทเ่ี สยี บอยมู าทางขวามอื มือซายเปลี่ยนมาดึงเข็มท่ีเสยี บในรูสายเขม็ ขัดออกมาพับไปทางดานซา ย ปดหางของสายเขม็ ขัด ไปทางดานซายอยา งเดมิ 36 การจดั การเรยี นรูร ะดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
6. มอื ขวาจับสายเขม็ ขดั ทางดา นขวามอื สดุ ดงึ สายเข็มขัดออกจากหว งลดั ของหัวเข็มขดั มือซา ยกดหว งทาง ดา นซา ยมอื ไว พลกิ สายเข็มขัดไปทางดา นขวา 7. ทําซํา้ เสน ที่ 2, 3, 4 และ 5 เหมอื นเข็มขดั เสนที่ 1 8. ถอดเขม็ ขัดครบ 5 เสน ยกแผน หนังดานขวามอื เปดไปทางดานขวาดว ย 2 มอื ยกแผน หนงั ดานซา ยมือ ดว ย 2 มือ เปดไปทางดา นซายดวย 2 มอื 9. ยกแผน หนงั ดานซายมือดวย 2 มอื กลับมาวางท่เี ดมิ และยกผานหนังดา นขวามือพลิกปดมาทางซา ยมือ กลับมาวางทเ่ี ดิม 10. มอื ซา ยจับหวั เขม็ ขดั ขึ้น มือขวาจบั สายเขม็ ขดั สอดเขาไปในหวั เข็มขัดทําแบบเดี่ยวกนั ใหค รบทั้ง 5 คู ให สายเขม็ ขัดพาดไปทางซา ย 11. มือซายจับหวั เข็มขดั กดใหแนน ไมข ยับ มอื ขวาดงึ สายเข็มขัดไปทางขวาใหต งึ ใชน้วิ ชีข้ องมือซายใสเขม็ เขาไปในสายเขม็ ขัด ปดซา ยเขม็ ขดั ไปทางซาย 12. มือซายจับหวงเขม็ ขดั ดานซา ย มือขวาจบั ปลายสายเขม็ ขัด สอดผา นหว งไปทางซายเสร็จเรียบรอ ย 13. ทาํ ซ้าํ เสนที่ 2, 3, 4 และ5 เหมอื นเสน ท่ี 1 14. เสรจ็ เรยี บรอ ยแลวหนูทดลองทาํ ใหม ากที่สุดเทา ท่อี ยากทาํ ก่รี อบก็ไดน ะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. เข็มทส่ี อดเขา ไปในรูเขม็ ขัด 2. หวง 2 หว งทหี่ วั เข็มขดั 3. การดงึ สายเข็มขดั ใหพ อทเ่ี ข็มจะหลดุ ออกจากเขม็ ขดั ได 4. ขณะท่ีนําเขม็ สอดเขา รเู ข็มขดั 5. อายุ ประมาณ 3 -4 ป หรอื ขึ้นอยกู ับความพรอมของเดก็ 6. กจิ กรรมผูปกครองมสี วนรว ม 1. เด็กจะทํากิจกรรมทุกอยา งไดดีคือไดท ําบอ ยๆ และไดทาํ อยางสนกุ สนานและมีความสุข ควรเชญิ ชวนหรอื หากิจกรรมทํารว มกัน 2. กิจกรรมท่จี ดั ทาํ ควรเกย่ี วของกบั ชีวิตประจาํ วนั ของเด็ก เชน เขม็ ขัดกระเปาใสของเลน ซิปถุงผา โบผูกผม ตกุ ตา 7. ขอเสนอแนะสาํ หรบั ครู 1. เมือ่ เดก็ ไมอยากทาํ หรอื ทําไมไดควรหยุดกอน และใหก ําลังใจเราจะทําใหมวันหลัง 2. ควรเรียงลําดับความยากงายของอุปกรณกรอบไมแตงตวั เชน ซิป ตนี ตกุ แก เขม็ ขัดลอ็ ค เข็มขัดหัวเขม็ เชอื กผกู รองเทา ผูกโบ 37การจดั การเรยี นรรู ะดับปฐมวยั ในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กจิ กรรมท่ี 9 การลา งมอื 1. ส่อื /อปุ กรณ 6. ผาเชด็ มือ 1. อา งลางมือ 7. ผาทําความสะอาด 2. เหยอื กนา้ํ 8. ครมี บํารงุ มือ 3. กระปอ งน้าํ 9. ผากนั เปอน 4. จานใสสบู 1 กอ น 5. แปรงขดั เลบ็ พรอมจานรอง 2. วัตถปุ ระสงค 1. การควบคมุ การเคลอื่ นไหว 2. การควบคมุ สมาธิ 3. ความสามารถในการพงึ พาตนเอง 3. วิธีจัดกิจกรรม 1. เชญิ ชวนเดก็ มากับครู เราจะไปลา งมอื กัน พดู คุยกบั เดก็ ถงึ อุปกรณท ุกชนิดบนโตะ 2. ครเู ชิญชวนเด็กไปสวมผา กันเปอ น ทัง้ 2 คน แลว กลับมาทโ่ี ตะ 3. ครใู หเด็กชว ยยกเหยือกไปตกั นาํ้ จากโอง นาํ้ ทเ่ี ตรยี มไว 4. ครสู าธิตวิธีตกั นาํ้ จากโอง ใหเดก็ ดู และใหเ ดก็ เปนผูต ักนํ้าตอ ไปจนประมาณ 4/5 สวนของเหยอื กนํา้ นาํ กลับมาวางดา นขวาของอา งลางมอื 5. ครูเทน้าํ จากเหยือกใสอา งลางมอื ประมาณ ½ ของอา ง 38 การจดั การเรยี นรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
6. ทํามือใหเปย กโดยจมุ มือทง้ั สองลงในอางลา งมอื หงายมือซา ยขน้ึ มือขวาหยิบสบูมาถูท่มี ือซาย 3-4 ครง้ั โดยลูบลงจากขอ มือมาปลายมอื แลววางสบูไ วทเี่ ดิม 7. ถมู อื ทง้ั สองดวยกันใหเกดิ ฟองสบูเตม็ สองมอื แลว ถูหลงั มือทัง้ สองผลัดกนั ไปมาเสร็จแลว กางมอื ซา ยออก ใชน้ิวของมอื ขวาลบู ไปตามงา มมือเรม่ิ จากน้ิวกอยถึงนิ้วหัวแมม อื เปลย่ี นมือกางมอื ขวาออก ทําเชน เดียวกนั และถสู บใู ห ท่ัวมอื ถงึ ขอ มือทง้ั สองขา ง 8. ลา งสบอู อกโดยจมุ มือทั้งสองลงไปในอา งน้ํา ลางสบูออกเบา ๆ 9. ใหเ ด็กชวยคลผี่ า เช็ดมอื ทว่ี างอยดู านขวามือ ครเู ชด็ มือโดยวางมือบนผาคว่าํ มอื หงายมือเบา ๆ แลวใช มอื ขวาจับผา ยกขึ้น ซบั มอื ซายและเปลี่ยนมอื ทําเชนเดยี วกันอีกครง้ั เชด็ ตามงามมอื ใหท ่วั 10. น้าํ ที่ใชแ ลว ไปท้ิง โดยขยับกระปอ งน้าํ ใตโ ตะ ออกมาเล็กนอย ยกอา งนา้ํ ดวยสองมือ เทนา้ํ ท้งิ ใหห มดทุก หยด เทออกนอกตวั เรา วางอางทีเ่ ดมิ 11. ใหเ ดก็ ชวยถอื กระปอ งนํา้ ไปทิง้ แลว นาํ กระปอ งน้าํ มาเก็บทีเ่ ดมิ 12. ใชน ํา้ ท่ยี งั เหลอื ในเหยือก ลา งคราบสบูท่ตี ดิ อยูใ นอาง ยกกระปอ งนาํ้ ใตโตะ ออกมาเลก็ นอย เทนา้ํ จาก อางน้ําท้งิ อีกครง้ั วางอางท่ีเดิม 13. ใหเ ด็กชวยเอานาํ้ ในกระปองนํา้ ไปรดนา้ํ ตนไม ในบริเวณหองเรียนของเรานํากระปอ งนา้ํ กลับมาวางท่เี ดิม 14. ครแู ละเดก็ กลบั มาดทู ี่โตะ สังเกตวา นํา้ หกอยไู หม นําผา สําหรับทาํ ความสะอาดซับใหท ว่ั บรเิ วณ แลวเรมิ่ เชด็ ทอี่ า งนํ้า มือซา ยจับอา งไว มอื ขวาเช็ดใหทั่วอา งเช็ดหมนุ ตามเขม็ นาฬก า และเช็ดเหยือกใสน ํา้ ใชว ิธเี ดยี วกัน นําผาเช็ด อางวางทเี่ ดิม ยกเหยอื กดวยสองมอื วางลงในอา งนา้ํ เหมือนเดิม 15. หยบิ ผา ทาํ ความสะอาด มาทาํ ความสะอาดกระปอ งนาํ้ ยกกระปอ งนา้ํ ขยบั ออกมาใชม อื ซา ยจบั กระปอ งไว มอื ขวาเช็ดหมุนวนตามเข็มนาฬกาใหแ หงเกบ็ ทีเ่ ดิม 16. เอาผาวางท่ีเดิมบนโตะ 17. สนทนากับเดก็ ผา เปอ นทง้ั สองผนื เอาไปเก็บตะกราผาเปอ น 18. หยิบผา ผนื ใหมมาวางแทนท่ี 19. ทาโลชนั่ ท่มี ือท้งั สอง ลูบใหท วั่ มือเบา ๆ 20. เชิญชวนใหเ ดก็ ทดลองทําตอ จะก่ีครง้ั ก็ไดต ามใจตอ งการ 21. ครูจะไปเกบ็ ผากันเปอ นและดเู พอ่ื นคนอ่นื ๆ กอ นนะคะ 4. การประเมนิ ผล 1. วิธีการถูสบู ถูออกนอกตัวเอยี งมือใหปลายมือลงตา่ํ ไปในอาง 2. การจับสบูไ มใหเ ล่อื นหลุดมือ 3. ฟองสบูอยูใ นมอื ท้ังสองเต็มมือ 4. วธิ ลี างน้าํ สบูออกไมใ หก ระเดน็ เลอะเทอะ เวลายกมือขน้ึ จากนํ้าใหเ อียงมอื ปลายมอื ชีล้ งในอางนา้ํ ใหน าํ้ ไหลลงดนู ้ําคอยๆ หยด 5. การเทน้าํ ท้งิ ใหเ ทออกนอกตวั 39การจัดการเรียนรูระดับปฐมวัยในโรงเรยี นขนาดเลก็ โดยใชแ นวทางมอนเทสซอริ
6. การวางอปุ กรณต า ง ๆ ใหอยูใ นทเ่ี ดมิ ทุกครัง้ 7. การไปหยิบผา กนั เปอ น 5. อายุ ข้ึนอยกู ับความพรอ มของเด็ก ถา เด็กท่ผี า นพ้นื ฐานการปฏบิ ัตจิ ะเริ่มไดเรว็ ประมาณ 3 ปขน้ึ ไป 6. กจิ กรรมผปู กครองมีสวนรว ม 1. เด็กจะทาํ กจิ กรรมทกุ อยา งไดด ีคอื ไดทาํ บอ ยๆ และไดทําอยางสนกุ สนานและมคี วามสุข ควรเชญิ ชวนหรอื หากิจกรรมทาํ รว มกัน ควรลางมือทุกคร้งั ทจ่ี ะจบั ของรับประทาน หรือเม่ือมือสกปรก หรอื หลังใชหอ น้าํ 2. กจิ กรรมทีจ่ ดั ทาํ ควรเกีย่ วขอ งกับชวี ติ ประจําวนั ของเด็ก เชน การตดั เลบ็ 7. ขอ เสนอแนะสําหรบั ครู 1. เมอื่ เดก็ ไมอยากทาํ หรือทําไมไดค วรหยดุ กอ น และใหก ําลงั ใจเราจะทาํ ใหมว นั หลัง 2. ควรใหเดก็ เชด็ มือดวยผาแหง ทกุ ครัง้ 40 การจดั การเรยี นรูระดับปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
กิจกรรมท่ี 10 การลางโตะ 1. สือ่ /อปุ กรณ 6. แปรงขนาดเลก็ 1. เส่ือหรือผายาง 7. ฟองน้าํ 2. เหยอื กใสน า้ํ 8. ผา เชด็ นาํ้ 3. กระปองน้ํา 9. ผากนั เปอ น 4. อางน้ํา 5. จานสบู และสบูกอ นเล็ก 2. วตั ถุประสงค 1. การควบคุมการเคลอ่ื นไหว 2. การฝก สมาธิ 3. การพงึ่ พาตนเอง 3. วธิ จี ัดกจิ กรรม 1. เชิญชวนเด็กใหตามครมู าเราจะไปลา งโตะ กนั นาํ เดก็ ไปท่ีช้นั วางของ แนะนําอปุ กรณย กเปนตวั อยา งและ วางที่เดิมใหเ ดก็ เลอื กจะยกอะไรและชว ยกนั ยกไปวางบนโตะ 2. ชวนกันไปใสผ า กนั เปอ น แลวกลบั มาท่โี ตะ 3. ครูยกถาดใสข อง และใหเด็กชว ยปผู า ยางกบั พ้นื และชว ยกันยกโตะวางบนผา ยาง 4. ครหู ยิบอุปกรณต า ง ๆ วางเรียงลําดับท่ใี ชก อนวางกอนจนครบ 5. ใหเ ด็กชว ยไปตักนา้ํ มา โดยเอาเหยอื กน้ําไปตกั จากทเ่ี ก็บนํา้ ในหอ งเรยี น และนาํ กลับมาวางท่ีเดมิ 6. ใหเด็กเปน ผูเทนาํ้ ลงอางน้าํ ประมาณ 4/5 ของนํา้ 41การจัดการเรยี นรูระดบั ปฐมวยั ในโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยใชแนวทางมอนเทสซอริ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314