Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (ร่าง) แนวทางการใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘

(ร่าง) แนวทางการใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘

Published by special_lp, 2018-06-13 02:39:00

Description: ๕.เล่มแนวทางตามโปรแกรม

Search

Read the Text Version

(ร่าง) แนวทางการใช้ โปรแกรมการพัฒนาทกั ษะการดารงชวี ติสาหรบั เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ ของศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘ สานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก คำนำ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒)พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กาหนดไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาข้ันพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”และพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕ กาหนดให้คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิตพรอ้ มทั้งได้รับเทคโนโลยสี ่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่นื ใดทางการศกึ ษาเลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลนั้น และให้ได้รับการศึกษาท่ีมีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมท้ังการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพเิ ศษของคนพกิ ารแต่ละประเภทและบุคคล เพ่ือเป็นการสนองพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๔๕บทบาทหน้าที่และกลุ่มเป้าหมายที่รับบริการดังกล่าวสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้มีการทบทวนแนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการพัฒนาศักยภาพสาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการศึกษาของศูนย์การศึกษาพิเศษ และเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตามระบบประกันคุณภาพ มาตรฐานที่ ๑ตัวบ่งชี้ที่ ๑.๒ ผู้เรียนสามารถพ่ึงพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน จึงมีการพัฒนาให้มีโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘เพ่ือเป็นแนวทางการจัดการศึกษาสาหรับเด็กพิการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนตามทักษะการเรียนรู้๔ กลุ่มทักษะ ประกอบด้วย กลุ่มทักษะการดารงชีวิตประจาวันกลุ่มทักษะส่วนบุคคลและสังคมกลุ่มทักษะวิชาการเพื่อการดารงชีวิต และกลุ่มทักษะการทางานและอาชีพ เพื่อให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับช้ันต่อไปสามารถเรียนรู้และช่วยเหลือตนเอง อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขบนพน้ื ฐานความเช่ือท่วี ่าคนพกิ ารทกุ คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มศักยภาพ ขอขอบคุณผู้ท่ีมีส่วนรว่ มจากทกุ หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องท้ังในและนอกกระทรวงศึกษาธิการตลอดจนภาคเอกชน ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแนวทางการใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ฉบับนี้มีความสมบูรณ์ เหมาะสม สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสม สอดคลอ้ งกับสภาพความต้องการจาเป็นของเด็กแต่ละคนได้อย่างถูกต้อง มีพัฒนาการท่ีดีเตม็ ตามศักยภาพ และเตบิ โตเป็นประชากรทม่ี คี ณุ ภาพ และเป็นอนาคตของชาติต่อไป (นายอานาจ วชิ ยานุวัติ) ผูอ้ านวยการสานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ ....... / ........... / ..........

ขสารบญัคำนำ......................................................................................................................... ................... หนา้บทท่ี ๑ แนวคิด และหลกั การพัฒนาทกั ษะการดารงชวี ติ สาหรบั เดก็ ก ทม่ี คี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษ........................................................................................ ๑ ๑. แนวคดิ กำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวติ สำหรับเดก็ ทมี่ ีควำมต้องกำรจำเปน็ พิเศษ....... ๑ ๒. หลกั กำรพฒั นำทักษะกำรดำรงชีวติ สำหรบั เด็กที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษ........... ๒ ๓. กระบวนกำรพัฒนำทกั ษะกำรดำรงชวี ติ สำหรับเดก็ ที่มีควำมตอ้ งกำรจำเปน็ พิเศษ..... ๔บทที่ ๒ สาระสาคัญของโปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการดารงชวี ิตสาหรับเดก็ ท่มี คี วามตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ........................................................................................ ๑๐ ๑. หลักกำร...................................................................................................................... ๑๐ ๒. จุดหมำย..................................................................................................................... ๑๐ ๓. โครงสรำ้ ง................................................................................................................... ๑๑ ๔. กลมุ่ เปำ้ หมำย............................................................................................................ ๑๒บทที่ ๓ การนาโปรแกรมการพฒั นาทักษะการดารงชวี ิตสาหรบั เดก็ ท่ีมคี วามต้องการ จาเป็นพเิ ศษสู่การปฏิบัติ............................................................................................... ๑๔ ๑. หลกั กำรสำคัญในกำรนำโปรแกรมกำรพัฒนำทกั ษะกำรดำรงชวี ติ สำหรบั เด็กทีม่ ี ควำมต้องกำรจำเปน็ พเิ ศษสกู่ ำรปฏบิ ัติ........................................................................... ๑๔ ๒. กำรบรหิ ำรจดั กำรโปรแกรมกำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวิตสำหรบั เด็กทมี่ ีควำม ตอ้ งกำรจำเปน็ พิเศษ....................................................................................................... ๑๗บทที่ ๔ แนวการจัดการเรยี นรู้.................................................................................................... ๑๙ ๑. กำรจดั กำรเรียนรทู้ ักษะกำรดำรงชวี ติ ........................................................................ ๑๙ ๒. แนวทำงกำรจดั กิจกรรม............................................................................................. ๒๔ ๒๔ ๑) แนวกำรจัดกจิ กรรมกลุ่มทกั ษะกำรดำรงชีวติ ประจำวัน........................................ ๗๘ ๒) แนวกำรจัดกจิ กรรมกลุ่มทักษะวิชำกำรเพ่ือกำรดำรงชีวติ ..................................... ๙๘ ๓) แนวกำรจดั กิจกรรมกลุ่มทกั ษะส่วนบุคคลและสงั คม............................................ ๑๑๔ ๔) แนวกำรจดั กจิ กรรมกลุ่มทักษะกำรทำงำนและอำชีพ........................................... ๑๒๘ ๓. กำรจัดกำรเรียนรู้ในทักษะตำ่ งๆ................................................................................. ๑๗๒บทท่ี ๕ การประเมนิ ผลการเรียนรู้.............................................................................................. ๑๗๒ ๑. จุดมุง่ หมำยของกำรประเมินผลกำรเรยี นรู.้ ................................................................. ๑๗๒ ๒. กำรประเมนิ ผลตำมสภำพจริง.................................................................................... ๑๗๕ ๓. กำรกำกับดแู ลคุณภำพกำรศึกษำ................................................................................ ๑๗๖เอกสารอ้างอิง............................................................................................................................. .

คสารบญัภาคผนวก............................................................................................................................. ....... หนา้ ๑๗๘ - แบบประเมินก่อนการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรบั เด็กท่มี ีความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษของศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ชว่ งวัย ๐ – ๓ ป.ี ............................................. ๑๗๙ - แบบประเมินก่อนการพัฒนาทกั ษะการดารงชวี ิตสาหรบั เดก็ ท่ีมีความต้องการ ๑๘๐ จาเปน็ พเิ ศษของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ชว่ งวยั ๔– ๖ ปี................................................ - แบบประเมนิ ก่อนการพัฒนาทักษะการดารงชวี ิตสาหรับเดก็ ทม่ี ีความต้องการ ๑๘๓ จาเป็นพเิ ศษของศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ชว่ งวยั ๗– ๑๐ ปี.............................................. ๑๘๘ - แบบประเมินก่อนการพัฒนาทกั ษะการดารงชวี ิตสาหรบั เด็กทีม่ ีความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ชว่ งวยั ๑๑ ปีขนึ้ ไป........................................... ๑๙๔ - แบบประเมนิ ระหวำ่ งกำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวิตสำหรับเด็กที่มีควำมต้องกำร จำเปน็ พิเศษของศูนย์กำรศึกษำพเิ ศษ.......................................................................... ๑๙๕ - แบบประเมินหลังกำรพฒั นำทักษะกำรดำรงชวี ิตสำหรบั เดก็ ท่ีมีควำมตอ้ งกำร จำเป็นพิเศษของศนู ย์กำรศึกษำพิเศษ........................................................................... ๑๙๖ ๒๐๐ - คาสง่ั แต่งต้ังคณะกรรมการจัดทาหลกั สตู รการดารงชีวิตสาหรับเดก็ ที่มีความต้องการ จาเป็นพิเศษของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ...........................................................................คณะผจู้ ัดทำ.................................................................................................................. ................

งสารบัญแผนภาพแผนภำพที่ ๑.๑ กระบวนกำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวิตสำหรับเดก็ ท่มี ีควำมต้องกำร หน้า จำเปน็ พเิ ศษ................................................................................................. ๕แผนภำพที่ ๒.๑ โครงสร้ำงโปรแกรมกำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวิตสำหรบั เด็ก ที่มคี วำมต้องกำรจำเป็นพิเศษ ของศนู ย์กำรศึกษำพเิ ศษ.............................. ๑๑ ๑๗แผนภำพท่ี ๓.๑ กำรบรหิ ำรจดั กำรโปรแกรมกำรพัฒนำทักษะกำรดำรงชีวิต.........................

จ สารบญั ตารางตำรำงที่ ๑.๑ แบบประเมินทักษะจาเปน็ สาหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ...................... หน้าตำรำงที่ ๑.๒ ขั้นตอนการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน........................................ ๖ตำรำงที่ ๓.๑ แสดงตวั อยา่ งขนั้ ตอนของการวิเคราะหง์ าน................................................. ๘ตำรำงท่ี ๔.๑ กำรจัดกำรเรียนรใู้ นกลุ่มทกั ษะกำรดำรงชวี ิตประจำวัน........................... ๑๕ตำรำงท่ี ๔.๒ กำรจัดกำรเรยี นรใู้ นกลุ่มทักษะวิชำกำรเพ่ือกำรดำรงชีวิต........................ตำรำงท่ี ๔.๓ กำรจดั กำรเรยี นรใู้ นกลุม่ ทกั ษะส่วนบคุ คลและสังคม................................ ๑๒๙ตำรำงที่ ๔.๔ กำรจัดกำรเรียนรู้ในกลุ่มทักษะกำรทำงำนและอำชีพ.............................. ๑๓๙ ๑๕๐ ๑๖๐

บทที่ ๑ แนวคิดและหลกั การพฒั นาทักษะการดารงชวี ติ สาหรับเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ๑. แนวคิดการพฒั นาทักษะการดารงชวี ติ สาหรบั เดก็ ทีม่ ีความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ การศึกษาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาคนเพ่ือพัฒนาชาติ การจัดการศึกษาสาหรับคนพิการมีปรัชญา แนวคิดเช่นเดียวกับคนทั่วไปโดยมีเป้าหมายสูงสุดให้คนพิการได้รับการพัฒนาศักยภาพของตนเองสูงสุด มีความเข้าใจ ยอมรับตนเอง มีความเช่ือมั่นช่วยตนเองได้ และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมการที่คนพิการจะประสบความสาเร็จและมีคุณลักษณะดังกล่าวการจัดการศึกษาจะต้องนาเป้าหมายและวิธีการท่ีคนพิการในวัยผู้ใหญ่ต้องเผชิญมาศึกษาเพ่ือพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ท่ีทาให้เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษในวัยเรียนได้รับการจัดโปรแกรมท่ีสัมพันธ์กับสภาพการดาเนินชีวติ และนาไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีหลากหลาย ซ่ึงมกี ารเปลีย่ นแปลงอย่างต่อเนอื่ งตามความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม การจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะข้างต้น สถานศึกษาต้องมีการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนที่หลากหลายตอบสนองต่อความต้องการจาเป็นของผู้เรียนและควา มเปลี่ยนแปลงของสังคมดังข้อบัญญัติของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (คร้ังที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๘ ให้มีหลักสูตรสถานศึกษาต่างๆรวมทั้งหลักสูตรสถานศึกษาสาหรับบุคคลพิการต้องมีลักษณะหลากหลายทั้งน้ีให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดยมุ่ งพัฒนาคุณภาพชวี ิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ สาระของหลักสูตรท้ังท่ีเป็นวิชาการและวิชาชีพต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลท้ังด้านความรู้ความคิดความสามารถความดีงามและความรับผิดชอบต่อสังคม (ราชกิจจานุเบกษา, ๒๕๔๒) ดังนั้นการจัดการศึกษาสาหรับเด็กจึงจาเป็นต้องมีการจัดและพฒั นาหลักสตู รใหต้ อบสนองต่อการพฒั นาทกั ษะชีวิตหรอื ทักษะการดารงชีวิตของคนพิการ การที่บุคคลจะดาเนินชีวิตของตนในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุขน้ันจาเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้เครือ่ งมือในการเรียนรใู้ นด้านการอ่าน การเขยี น การคดิ คานวณแสวงหาความรู้และพัฒนาทักษะตา่ ง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง การสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น การอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ ในการดาเนินชีวิต การควบคุมตนเอง การทางานและการประกอบอาชีพ รวมทั้งการพัฒนาคุณลักษณะท่ีดี ซ่ึงคนพิการก็ต้องมีสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเช่นเดียวกัน ฉะน้ัน ทักษะการดารงชีวิต หรือทักษะชีวิตจึงเป็นทักษะท่ีจาเป็นสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษที่จะต้องได้รับพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงวัย ไรท์ (Wright, 1980) ได้นิยามการดารงชีวิตอิสระหรือทักษะชีวิตของคนพิการว่าหมายถึงความสามารถของคนพิการในการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลตนเอง เข้าร่วมในกระบวนการของการจัดการควบคุมตนเองในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจากัดน้อยที่สุด ดัทตาและกันดู (Dutta & Kundu, 2006) ได้ข้อคิดเห็นเพ่ิมเติมว่าการดารงชีวิตเปน็ ทัศนคติ การเคล่ือนไหวทางความคิด การเมืองและสังคมของมติ ิต่าง ๆ ของโลก และได้ช้ีให้เหน็ ว่า

๒ปรัชญาการดารงชีวิตอิสระอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับให้เกียรติต่อสิทธิ โอกาสท่ีเท่าเทียมกันของคนพิการการเสริมพลังและการยอมรับนับถือตนเองของคนพิการ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงท่ีว่าคนพิการเป็นผู้ที่รู้เร่ืองชีวิตของตนเองดีและมีสิทธิ์ท่ีจะแสดงการควบคุมชีวิตของตนเองได้เต็มที่ ซึ่งโนเสคและรัทสกา (Nosek, 1997; Ratzka, 1997) ได้เน้นย้าว่าเป็นการสร้างหลักประกันว่าคนพิการมสี ทิ ธิและทางเลือกอ่ืน ๆ เชน่ เดียวกับเพือ่ นรว่ มชมุ ชนและสังคม จากแนวคิดที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษเป็นสิทธิของบุคคลในการพัฒนาตนเองให้มีทักษะต่าง ๆ ในการควบคุมตนเองและสร้างการยอมรับนับถือตนเอง มีโอกาสสาหรับการดาเนินชีวิตและมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีคุณค่าในสังคม โดยประยุกต์หลักการจัดการศึกษาพิเศษมาใช้พัฒนาทักษะการดารงชีวิตเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษซ่ึง (ผดุง อารยะวิญญู, ๒๕๔๒, ; ศรียา นิยมธรรม, ๒๕๔๖) ได้กล่าวอย่างชดั เจนถงึ แนวคิดหลักการการจัดการศึกษาพิเศษดังนี้ ๑) ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการท่ีจะได้รับบริการทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นคนพิการ หรือคนปกติ เมื่อรัฐจัดการศึกษาให้แก่เด็กปกติแล้ว ก็ควรจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษด้วยหากเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษไม่สามารถเรียนในโปรแกรมการศึกษาท่ีรัฐจัดให้เด็กปกติได้ก็เป็นหน้าท่ีของรัฐท่ีจะจัดการศึกษาให้สนองต่อความต้องการของ เด็กท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ ๒) เดก็ ที่มคี วามต้องการจาเป็นพิเศษควรได้รบั การศึกษาควบค่ไู ปกับการบาบดั การฟน้ื ฟูสมรรถภาพทุกด้านโดยเร็วที่สุด ในทันทีที่ทราบว่าเด็กมีความต้องการพิเศษ ท้ังน้ีเพื่อเป็นการเตรียมเดก็ ใหพ้ รอ้ มท่ีจะเรียนตอ่ ไป และมีพัฒนาการทุกดา้ นเต็มศักยภาพ ๓) การจัดการศึกษาพิเศษควรคานึงถึงการอยู่ร่วมสังคมกับคนปกติได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ การเรยี นการสอนเดก็ เหล่านจี้ ึงควรใหเ้ รียนร่วมกบั เดก็ ปกติใหม้ ากที่สุดเท่าท่ีจะทาได้เว้นแต่เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษผู้น้ันมีสภาพความพิการหรือความบกพร่องในขั้นรุนแรง จนไม่อาจเรียนรว่ มได้ อยา่ งไรกต็ าม ควรให้เดก็ ท่มี ีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษได้สมั ผสั กับสงั คมปกติ ๔) การศึกษาพิเศษควรมุ่งให้เด็กมีความเข้าใจยอมรับตนเอง มีความเชื่อมั่นและมุ่งให้ชว่ ยตนเองได้ ตลอดจนมคี วามรบั ผิดชอบต่อตนเอง และสังคม ๕) การศึกษาพิเศษ ควรจัดทาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการพิเศษของเด็ก และควรเน้นถงึ เร่อื งอาชพี ดว้ ย๒. หลกั การพฒั นาทักษะการดารงชวี ิตสาหรับเดก็ ทม่ี คี วามต้องการจาเป็นพิเศษ การพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษมีหลักการเช่นเดียวกับการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตของเด็กท่ัวไปตามหลักการจัดการศึกษาพิเศษ ดังนี้(Wehman & Kregel, 2003)

๓ ๑) การจัดการศึกษาต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาพความเสียเปรียบของเด็กที่มีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษแต่ละประเภท โดยใช้แนวการศกึ ษาของเด็กปกติ ๒) การพัฒนาทักษะการดารงชีวิตต้องจัดควบคู่กับการฟื้นฟูบาบัดทุกด้าน และควรจัดเป็นโปรแกรมเป็นรายบุคคล ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนบางอย่าง อาจจัดเป็นกลุ่มเล็กสาหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องหรือมีความต้องการคล้ายคลึงกัน และอยู่ในระดับความสามารถท่ีใกล้เคยี งกัน ๓) การจัดโปรแกรมการสอนทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษควรเน้นที่ความสามารถของเด็ก และให้เด็กมีโอกาสได้ประสบความสาเร็จมากกว่าท่ีจะคานึงความพิการ หรือความบกพร่อง เพ่ือทาให้เด็กมีความม่ันใจว่าแม้ตนจะมีความบกพร่อง แต่ก็ยังมีความสามารถบางอย่างเทา่ กบั หรอื ดกี วา่ คนปกติ ซึง่ จะช่วยให้เดก็ สามารถปรับตวั ไดด้ ีข้นึ ๔) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรจัดให้ใกล้เคียงและสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมขอ งก าร ด าร งชี วิ ต ข อ ง เด็ กที่ มี ค ว าม ต้ อ งก าร จ าเป็ น พิ เศ ษ แต่ ล ะ ค น เพื่ อ ก าร น าไป ใช้ ได้ จ ริ งท้ั งในสภาพแวดล้อมของตนและสภาพแวดล้อมทเี่ ปลีย่ นแปลงไปในสังคม นอกจากน้ีเวห์แมนและเครเกล (Wehman & Kregel, 2003) ได้เสนอหลักการในการพัฒนาทักษะการดารงชีวติ สาหรับเดก็ ท่มี ีความต้องการจาเป็นพิเศษไว้ดังน้ี ๑) การพัฒนาและการใช้โปรแกรมที่เหมาะสมกับสภาพการดารงชีวิตสาหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องปานกลางและรุนแรงน้ัน ผู้สอนต้องเข้าใจผู้เรียนโดยตลอด ท้ังในด้านความสามารถความสาเรจ็ การสนบั สนนุ ความต้องการจาเป็น เช่นเดียวกับความรเู้ กี่ยวกับสมรรถนะท่ีต้องการปฏบิ ัติในบา้ น โรงเรียน การจา้ งงาน และสภาพแวดลอ้ มในชุมชน ๒) การเรยี นการสอนต้องเปน็ รายบุคคล ที่สนองความต้องการจาเป็นและความชอบของผู้เรียนแต่ละคน การทางานกับผู้เรียนและครอบครัวในการเลือกเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้เรียนจะทาให้ผู้เรียนปฏิบัติได้อย่างเป็นอิสระในชุมชน ท้องถ่ินและส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนได้ควบคุมและชี้นาชีวิตของตนเอง กลวิธีการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะและนาทักษะจาเป็นไปใช้ผลวิจัยและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีท่ผี ่านมาเมอื่ เร็วๆน้ี ชีน้ าชุดการปฏบิ ตั ิทด่ี ีตา่ งๆในวธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนสาหรับผ้เู รยี นพกิ าร ๓) การกาหนดเป้าหมายการเรยี นการสอนควรพิจารณาโดยการวเิ คราะห์การจา้ งงาน ๔) ในการสอนทักษะการดารงชีวิต ครูผู้สอนต้องคานึงถึงสภาพแวดล้อมทางการศึกษาความเป็นอยู่ ชมุ ชน และสนั ทนาการทจ่ี ะตอ้ งเผชิญทง้ั ในและนอกโรงเรียน ๕) งานที่ได้กาหนดไว้ในโปรแกรมควรมีการจัดกลุ่มและสอนด้วยกันในลักษณะบรู ณาการดกี วา่ ที่จะสอนในเพยี งทักษะใดทักษะหนึ่ง ๖) การเรียนการสอนไม่ควรเป็นการเตรียมผู้เรียนให้ปฏิบัติทักษะในสถานการณ์เดียวแตค่ วรใหผ้ ูเ้ รียนสามารถนาไปใช้กบั ความสามารถใหม่กับสภาพแวดลอ้ มใหม่ในชุมชนของตน

๔ ๗) การเรียนการสอนควรเกิดขึ้นในสถานการณ์หรือบริบทท่ีผูเ้ รยี นไดน้ าทกั ษะที่ได้เรียนรู้เหลา่ น้นั ไปใช้ไดจ้ รงิ๓. กระบวนการพฒั นาทกั ษะการดารงชวี ติ สาหรบั เดก็ ที่มีความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ การพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องระยะยาวท่ีสัมพันธ์กับช่วงวัยและสภาพแวดล้อมของบุคคล กระบวนการจัดการศึกษาจึงให้ความสาคัญกับความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กแต่ละคนและครอบครัว สภาพแวดล้อมหลักท่ีเด็ก ใช้ชีวิตอยู่เพ่ือนามากาหนดประสบการณ์การเรียนรู้ วิธีการจัดการเรียนการสอน การจัดสื่ออุปกรณ์และสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุนให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิต ซึ่งเน้นให้บุคคลเป็นศูนย์กลาง (person-centered)โดยให้ความสาคัญกับความต้องการจาเป็นของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัว(ความต้องการ ความฝัน ความหวัง) เพ่ือนามาจัดลาดับความสาคัญในการเลือกทักษะและเน้ือหาท่ีสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม บริการ ส่ิงสนับสนุนต่าง ๆ สาหรับออกแบบโปรแกรม ดังนั้นในการวางแผนเพื่อออกแบบโปรแกรมให้ตรงกับสภาพ เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ครอบครัวและผู้เก่ียวข้องจึงมีบทบาทสาคัญท่ีจะให้ข้อมูล และชี้นาแก่ครูหรือผู้ดูแลในการใช้เคร่ืองมือวิธีการประเมิน สาหรับการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน ซ่ึงในที่นี้เสนอแนะให้ครูผู้สอนได้ดาเนนิ การตามกระบวนการดงั น้ี

๕ ๑. รวบรวมขอ้ มูลผู้เรยี นเพือ่ ศึกษาความสามารถพื้นฐาน ๒. คดั เลอื กทักษะยอ่ ย/หวั ข้อและจดั ลาดับความสาคัญปรับ ๓. ออกแบบและจัดทาโปรแกรมการเรียนการสอนปรับ ๔. จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนไม่บรรลุ ๕. ประเมินผลและรายงานผล บรรลุ ดาเนนิ การต่อ/เข้า โปรแกรมใหม่แผนภาพที่ ๑.๑ กระบวนการพฒั นาทักษะการดารงชวี ิตสาหรับเดก็ ท่มี ีความต้องการจาเป็นพิเศษ ข้นั ตอนท่ี ๑ รวบรวมข้อมูลผู้เรยี นเพื่อศกึ ษาความสามารถพนื้ ฐาน ผสู้ อน/ผูด้ ูแลรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความชอบ ความสามารถ ความหวังของผู้เรียนโดยการสัมภาษณ์ผู้ท่ีเก่ียวข้อง สังเกตพฤติกรรมการเล่น การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การส่ือสาร รวมถึงพฤติกรรมอื่น ๆ และประเมินความสามารถท่ีมีความเฉพาะเจาะจงในด้านต่างๆ ของทักษะการดารงชีวิต เช่น การปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การพกั ผ่อน การใช้เวลาว่าง การทางานในบา้ น การเดนิ ทางในชุมชน การปฏิบัติตนในสังคมการอ่าน การเขียน การคิดคานวณ การใช้จ่ายเงิน การจัดการเงิน การแก้ปัญหา การร่วมกิจกรรมในชุมชน เป็นต้น เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินผู้สอนสามารถสร้างขึ้นเองหรือใช้เคร่ืองมือมาตรฐานท่ีผ่านการศึกษามาอย่างเป็นระบบการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ ต้องใช้เวลาในการดาเนินการซึ่งผู้รับผิดชอบคือครู ผู้ปกครอง นักวิชาชีพ ผู้เก่ียวข้องจะทางานร่วมกันและต้องให้เวลา จัดส่ืออปุ กรณ์ในสถานการณ์ และจัดสงิ่ สนับสนนุ เพอื่ ให้ผ้เู รยี นไดแ้ สดงพฤติกรรม

สามารถทาไ ้ดเอง ๖ พยายามทา แ ่ตทาไ ่มไ ้ด ทาไ ้ดแต่ ้ตอง ีม ู้ผช่วยเหลือตวั อยา่ งเคร่อื งมอื ท่ีใช้ประเมิน ทาไ ้ดแต่ไ ่มทาแบบประเมินก่อนการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็น ไ ่ม ีมโอกาสไ ้ดทาพิเศษ ของศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ช่วงวยั ๐ – ๓ ปี คาชี้แจง แบบประเมินชุดนี้มุ่งให้ครู ผู้ปกครองได้ใช้ประเมินความสามารถของนักเรียนหรือบุตรของตนในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในการดารงชีวิตเพื่อนามาระบุเป็นข้อมูลพื้นฐานสาหรับการวางแผน การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทส่ี ง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนเรยี นรแู้ บบบูรณาการสาหรับการดารงชวี ิตจริง ดังนั้นการจัดสถานการณ์จึงเป็นท้ังการจาลองสถานการณ์ การจัดบทบาทสมมติ การปฏิบัติในสถานการณ์จริงในสถานที่ต่าง ๆที่สอดคล้องกับอายุจริงของผู้เรียนและสภาพแวดล้อม เพ่ือให้ผู้ประเมินมีข้อมูลสาหรับการวิเคราะห์ความต้องการในทักษะย่อยที่ก่อรูปเป็นทักษะท่ีซับซ้อนในชีวิตท้ังการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การพักผ่อน การใช้เวลาว่าง การทางานในบ้าน การเดินทางในชุมชนการปฏบิ ัติตนในสงั คม การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ การใช้จา่ ยเงิน การจัดการเงิน การแกป้ ญั หาการร่วมกิจกรรมในชมุ ชน การประเมนิ ใช้เกณฑด์ งั นี้ - สามารถทาได้เอง - พยายามทา แตท่ าไมไ่ ด้ - ทาได้แตต่ ้องมีผชู้ ่วยเหลอื - ทาได้แต่ไมท่ า - ไม่มโี อกาสได้ทาวิธีการ: ให้ครู/ผู้ปกครอง เขียนเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับระดับการปฏิบัติของนักเรียนพร้อมทงั้ บันทึกลักษณะการปฏบิ ตั ิของนักเรยี นกลุ่มทกั ษะการดารงชวี ิตประจาวัน ทักษะ ทกั ษะย่อย๑. การดแู ลตนเองและ ๑) การถอดและสวมใสเ่ ครอ่ื งแตง่ กายการดแู ลสุขอนามัยส่วน ๒) การเลือกเครื่องแต่งกายบุคคล ๓) การใช้หอ้ งนา้ ในท่ีอยู่อาศัย ๔) การใชห้ ้องนา้ ในท่ีสาธารณะ ๕) อนามยั สว่ นบคุ คล ๖) การปฏิบตั ติ นและดูแลบคุ ลกิ ภาพหมายเหตุ ผูส้ อนควรเลอื กประเมินทักษะยอ่ ยให้เหมาะสมกบั ชว่ งวัยของผเู้ รียน

๗ตารางท่ี ๑.๑ แบบประเมินก่อนการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ ช่วงวยั ๐ – ๓ ปี นาข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ สังเกต และประเมินจากการปฏิบัติมารวบรวมเป็นแผนภาพของผู้เรียนเพ่ือนาไปวิเคราะห์ในประเด็นต่าง ๆทั้งในด้านความชอบ ความหวัง ความสนใจและความสามารถ ซ่ึงจะได้ข้อมูลที่เป็นจุดเด่น จุดอ่อนที่เก่ียวกับผู้เรียน ครอบครัว และชุมชนที่จะนามากาหนดเปน็ เป้าหมาย และจุดประสงคเ์ บ้ืองต้นนาเพื่อไปใช้ในการดาเนนิ การขัน้ ต่อไป ข้ันตอนที่ ๒ คัดเลือกหัวข้อและจัดลาดับความสาคัญเป็นการนาผลจากการดาเนินการในขั้นตอนท่ี ๑ มาคัดเลือกทักษะย่อยให้มีความเฉพาะเจาะจงสาหรับการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตของเดก็ แต่ละคน ในการตดั สนิ ใจเลือกทักษะใด ๆ มาจัดโปรแกรมการเรยี นการสอนน้ันมักจะพิจารณาสิ่งสาคัญในการประกันการเรียนการสอนว่าควรสอนทักษะใดบ้าง โดยมีประเด็นการพิจารณาดังน้ี(Wehman & Kregel, 2003) ๑) สามารถปฏิบัติได้เหมาะกับหน้าท่ี (Functionality) ในการใช้ควรได้ตอบคาถามว่าทักษะหรือพฤติกรรมท่ีนาไปจัดการเรียนการสอนนั้นเหมาะสมที่จะให้ผู้เรียนนาไปใช้สาหรับการดารงชีวติ หรือไม่ ผเู้ รียนจะมีโอกาสได้ใช้ทักษะนัน้ ๆ ที่บ้าน ในชุมชน หรอื ในการทางานหรือไม่ ซึ่งจะนาสภาพแวดล้อมเข้ามาประกอบว่าผู้เรียนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ท่ีไหน เพ่ือจะได้พิจารณาทั้งในเร่ืองทักษะ/พฤติกรรมเฉพาะรวมถึงส่ิงสนับสนุนในสภาพแวดล้อมนั้น ๆจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุทักษะ ทั้งในการฝกึ ฝนไปตามลาดับตามธรรมชาติของสภาพแวดล้อมในปัจจุบนั และอนาคตที่เอื้อให้ผเู้ รียนมีทักษะในการดารงชีวิต ๒) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ทักษะหรือพฤติกรรมที่จะสอนควรอยู่บนฐานความมีประสิทธผิ ลที่สมเหตุสมผลในการใช้เวลาที่ผู้เรียนจะบรรลุ เกณฑ์ความเป็นไปได้ถูกนาไปใชเ้ ปน็ ประจากบั การตัดสนิ ใจทางการศึกษาในทกั ษะหรือพฤติกรรมทีม่ ีความสัมพันธ์มากทีส่ ดุ กับผ้เู รียนคนนน้ั ได้แก่ ๒.๑) สาหรับผู้เรียนในช่วงประถมศึกษา การตัดสินใจจะมุ่งไปท่ีการพูด รูปแบบการสื่อสารทางเลือกตา่ ง ๆท่ีมักนามาเป็นสว่ นหนงึ่ ในความเปน็ ไปได้ของการเรยี นการสอน ๒.๒) ในจุดท่ีแน่นอนของประสบการณ์ทางการศึกษาของผู้เรียนจานวนมากการตัดสินความเป็นไปได้ในการสอนต่อเนื่องในการอ่านคาคุ้นตากับการเน้นทักษะการอ่านที่นาไปปฏบิ ตั ิได้ ๒.๓) สาหรับวัยรุ่น ความเป็นไปได้ของการสอนขับรถการใช้ขนส่งสาธารณะการเตรียมอาหารสาเรจ็ รูป การเตรยี มอาหารทซี่ บั ซ้อน ๓) ความชอบของนักเรียน (Student Preferences) เกณฑ์ ในข้อ ๑) และ ๒) ต้องนามาพิจารณาร่วมกับความชอบ ความพึงพอใจของเด็กและครอบครัวในทักษะที่จะสอน หากเด็กที่มี

๘ความต้องการจาเปน็ พิเศษมโี อกาสไดเ้ ลือกวัตถุประสงค์การเรียนการสอนท่ตี นสนใจก็ควรมกี ารจงู ใจให้เรยี นรู้ทกั ษะน้นั ๆ ขั้นตอนท่ี ๓ ออกแบบและจัดทาโปรแกรมการเรียนการสอน การออกแบบโปรแกรมสาหรับผู้เรียนที่มีลักษณะและความต้องการพิเศษเฉพาะตนจาเป็นต้องจัดทักษะท่ีเจาะจงและการสนับสนุนที่จาเป็นในการจัดการเรยี นการสอนการนาลักษณะและความต้องการของผเู้ รียนเป็นวธิ ีที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาใช้ในการพิจารณาการปฏิบัติงานของนักเรียน การจัดสาระเนื้อหางาน และการจัดการเรียนการสอน โดยมีขั้นตอนหลักๆในการพิจารณาโปรแกรมการเรียนการสอนดังน้ี(Wehman & Kregel, 2003 : p. 40 – 44) ขัน้ ตอน คาอธิบาย๑. พฒั นาวัตถุประสงค์ ระบขุ อบขา่ ย สถานการณ์และเกณฑ์การปฏิบัติการเรียนการสอน๒. ระบุวิธกี ารปฏบิ ตั ิงาน กาหนดวธิ ีที่ผเู้ รยี นสามารถปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และประสทิ ธิผลมากที่สดุ๓. จดั ทาการวเิ คราะหง์ าน ระบขุ ั้นตอนที่เกย่ี วขอ้ งในงาน ทางานนน้ั ให้สมบรู ณ์๔. พิจารณารูปแบบ เลือกการนาเสนองานทั้งที่เป็นการฝึกแบบลูกโซย่ อ้ นกลบัของโปรแกรม ฝึกแบบลูกโซ่ และการนาเสนองานทงั้ หมด๕. รวบรวมข้อมลู ความสามารถ ตรวจสอบความเท่ยี งของการวเิ คราะหง์ านและประเมนิ ระยะเวลาพืน้ ฐาน ที่ต้องใช้สาหรับการเรียนการสอน๖. พฒั นาการกระตนุ้ เตือน ระบกุ ารสนับสนนุ และการกระตุ้นเตือนทลี่ ดความผดิ พลาดในการเรียนการสอน ของผ้เู รียน ๑. ระบบที่ใช้การกระตุ้นเตือนน้อยท่ีสุด ๒. การยดื เวลาให้นานขน้ึ๗. จัดตารางการฝึก กาหนดความถ่แี ละเวลาของช่วงการฝึก ๑. การฝกึ แบบรวมหรอื แยกย่อยแต่ละครง้ั ๒. การเรยี นการสอนในชุมชน๘. การพฒั นากลวธิ ี จูงใจผ้เู รยี นให้อยากเรยี นรู้การเสรมิ แรง๙. วางแผนสาหรบั การนาไปใช้ นาไปใช้ในสถานการณ์อ่นื ผฝู้ ึกคนอืน่ และพฤติกรรมอ่ืนอื่นๆในสถานการณ์ทวั่ ไปตารางท่ี ๑.๒ ข้ันตอนการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน

๙ ข้ันตอนที่ ๔ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อจัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคลจากการออกแบบในขัน้ ตอนท่ี ๓ แล้วผู้สอน/ผู้ดแู ล นาแผนดังกล่าวไปใช้พัฒนาทักษะการดารงชีวิตโดยใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ สื่อ ส่ิงอานวยความสะดวกท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะเหล่าน้ันทั้งในสถานการณ์ในศูนย์การศึกษาพิเศษ ท่ีบ้านและในชุมชน พร้อมทั้งบันทึกผลการจัดกิจกรรมเพ่ือเป็นข้อมูลในการประเมินผลระหว่างเรียน และตัดสินใจในการปรับปรุงการเรียนการสอนเมื่อผู้เรียนไม่บรรลุตามเกณฑแ์ ละเวลาทกี่ าหนด ข้ันตอนท่ี ๕ ประเมินผลและรายงานผลเป็นการประเมินผลรวมสรุปของการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตท้ังโปรแกรมเพื่อให้ได้ข้อมูลสาหรับการตัดสินใจและจัดทารายงานเป็นหลักฐานสาหรบั การนาไปใชพ้ ัฒนาผ้เู รยี นต่อเน่อื ง หรือส่งต่อ ผลการประเมินจะนามาใช้ดังนี้ ๑) หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กาหนดผู้สอน/ผ้ดู ูแลจะต้องยอ้ นกลบั มาพิจารณาการออกแบบโปรแกรมการเรยี นการสอนเพ่อื ปรับปรุงโดยใช้เกณฑ์ และขัน้ ตอนที่กล่าวมาร่วมกับผเู้ กีย่ วขอ้ ง ๒) หากผู้เรียนสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายท่ีกาหนด ผสู้ อน/ผดู้ แู ลจะได้นาใช้ในการประชุมเพื่อวางแผนต่อเนื่องในการพัฒนาเข้าสู่โปรแกรมใหม่ หรือใช้เพ่ือการส่งต่อเข้ารับบรกิ ารอื่น

บทท่ี ๒ สาระสาคัญของโปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการดารงชีวิต สาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ๑. หลักการ ๑) เป็นการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมให้เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษพัฒนาตามธรรมชาติเตม็ ศกั ยภาพและไดร้ บั ความสาเรจ็ ในการดาเนนิ ชีวิต ภายใต้ความรว่ มมือของทุกภาคสว่ น ๒) เป็นการพัฒนาเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษแบบองค์รวมในระบบนิเวศวิทยาที่สมั พันธก์ บั ชีวิต ความตอ้ งการจาเป็นของเด็กทม่ี ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษและครอบครวั ๓) เปน็ โปรแกรมที่มโี ครงสรา้ งยดื หยนุ่ ท้งั ดา้ นสาระและการจัดการเรยี นรู้ ๔) เป็นโปรแกรมที่จดั การศึกษาได้ทกุ รปู แบบ๒. จดุ หมาย ๑) มุ่งพัฒนาเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษให้มีศักยภาพสูงสดุ ในการดาเนินชวี ิต ๒) เพื่อให้ครอบครัวและชุมชนร่วมสร้างโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้เปน็ สมาชกิ ที่ดีและมคี ุณภาพ ของสังคม ๓) เพื่อเป็นเส้นทางเช่ือมโยงการให้การศึกษาแก่เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพเิ ศษตลอดแนวให้เหน็ คุณคา่ ของตนเอง มวี ินยั และทักษะทีเ่ ก่ียวกบั ตนเองและการดาเนินชวี ิต ๔) เพื่อให้ผู้มีส่วนในการจัดการศึกษาได้ม่ันใจว่าเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษท่สี าเรจ็ จากศนู ย์การศกึ ษาพิเศษนน้ั มคี ุณภาพเป็นที่ยอมรบั

๑๑๓. โครงสรา้ ง ก าร พั ฒ น าศั ก ย ภ าพ เด็ ก ที่ มี ค ว าม ต้ อ งก าร จ าเป็ น พิ เศ ษ ต าม โป ร แ ก ร ม ก าร พั ฒ น าทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษจาเป็นต้องคานึงถึงโครงสร้างโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับ เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ ดังนี้ชว่ งวัย ๐ – ๓ ปี ชว่ งวยั ๔ – ๖ ปี ชว่ งวัย ๗ – ๑๐ ปี ชว่ งวัย ๑๑ ปขี ้ึนไปกลมุ่ ทกั ษะการดารงชวี ติ ประจาวนั๑.ทกั ษะการดแู ลตนเองและการดแู ลสขุ อนามยั ส่วนบคุ คล๒.ทักษะการเข้าสังคม การทากิจกรรมนนั ทนาการ และการทางานอดเิ รก (กจิ กรรมยามว่าง) กลุ่มทักษะการดารงชวี ิตประจาวัน ๑.ทักษะการเคลอ่ื นยา้ ยตนเองในบา้ น ๒.ทักษะการดแู ลสขุ ภาพและความปลอดภยั ในชีวิตประจาวนั ๓.ทักษะการทางานบา้ น ๔.ทักษะการมีส่วนร่วมในสังคมและทกั ษะชีวิต กล่มุ ทักษะวิชาการเพอื่ การดารงชีวิต ๑.ทักษะการสอื่ สาร กลุม่ ทกั ษะสว่ นบคุ คลและสงั คม ๑.ทักษะการจดั การและการควบคมุ ตนเอง ๒.ทกั ษะการมสี ว่ นรว่ มทางสงั คม ๓.ทักษะการเดินทางในชมุ ชน ๔.ทกั ษะการปรับตวั ในสงั คมและการใช้เวลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ กลมุ่ ทกั ษะวชิ าการเพื่อการดารงชีวติ ๑.ทกั ษะการอ่าน ๒.ทกั ษะการเขียน ๓.ทักษะการคดิ คานวณ ๔.ทกั ษะความคดิ รวบยอดและการแก้ปญั หา กลมุ่ ทักษะการทางานและอาชีพ ๑.ทักษะการเรยี นรู้เรื่องอาชพี ๒.ทักษะการเรยี นรเู้ รื่องการทางาน กลมุ่ ทกั ษะการทางานและอาชีพ ๑.ทกั ษะการวางแผนการใชเ้ งิน ๒.ทกั ษะสุขภาพและความปลอดภยั ในการ ทางาน ๓.ทกั ษะการเดนิ ทางไปทางานแผนภาพที่ ๒.๑ โครงสร้างโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวติ สาหรบั เดก็ ทม่ี คี วามต้องการ จาเป็นพิเศษ ของศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ

๑๒๔. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายตามโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ จาเป็นต้องคานึงถึงโครงสร้างหลักสูตร เป็นเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษจานวน ๒ กลุ่ม คือ (๑) เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษรับบริการในศูนย์การศึกษาพิเศษ และ (๒) เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษรับบริการท่ีบ้าน ซ่ึงมีประเภทความพิการเป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศกึ ษา พ.ศ.๒๕๕๒ ดังตอ่ ไปนี้ ๑) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นต้ังแต่ระดับเลก็ นอ้ ยจนถึงตาบอดสนทิ ซึง่ แบ่งเปน็ ๒ ประเภทดงั น้ี ๑.๑ คนตาบอดหมายถึงบุคคลท่ีสูญเสียการเห็นมากจนต้องใช้สื่อสัมผัสและส่ือเสียงหากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๖๐ (๖/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน๒๐๐ (๒๐/๒๐๐) จนถึงไม่สามารถรับรู้เร่ืองแสง ๑.๒ คนเห็นเลือนรางหมายถึงบุคคลท่ีสูญเสียการเห็นแต่ยังสามารถอ่านอักษรตั ว พิ ม พ์ ข ย า ย ให ญ่ ด้ ว ย อุ ป ก ร ณ์ เค รื่ อ งช่ ว ย ค ว า ม พิ ก า ร ห รื อ เท ค โ น โล ยี สิ่ ง อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว กหากวดั ความชดั เจนของสายตาข้างดีเม่ือแก้ไขแลว้ อยู่ในระดบั ๖ สว่ น ๑๘ (๖/๑๘) หรือ ๒๐ ส่วน ๗๐(๒๐/๗๐) ๒) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลท่ีสูญเสียการได้ยินต้ังแต่ระดับหตู งึ น้อยจนถึงหหู นวก ซงึ่ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังน้ี ๒.๑ คนหูหนวก หมายถึง บุคคลท่ีสูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซ่ึงโดยท่ัวไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยนิ ๙๐ เดซิเบล ขึน้ ไป ๒.๒ คนหูตึง หมายถึง บุคคลท่ีมีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอท่ีจะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน โดยท่ัวไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซ่ึงหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินนอ้ ยกว่า ๙๐ เดซิเบล ลงมาถึง ๒๖ เดซิเบล ๓) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลท่ีมีความจากัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจบุ ันซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือความสามารถทางสติปัญญาต่ากว่าเกณฑ์เฉล่ียอย่างมีนัยสาคัญร่วมกับความจากัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย ๒ ทักษะจาก ๑๐ทักษะ ได้แก่ การส่ือความหมาย การดูแลตนเอง การดารงชีวิตภายในบ้าน ทักษะทางสังคมการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การนาความรู้

๑๓มาใช้ในชีวิตประจาวัน การทางานการใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ทั้งน้ีได้แสดงอาการดังกล่าวกอ่ นอายุ ๑๘ ปี ๔) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ ซึ่งแบ่งเป็น๒ ประเภท ดงั น้ี ๔.๑ บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรอื การเคล่อื นไหว ได้แก่ บุคคลที่มีอวัยวะไม่สมส่วนหรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติมีอุปสรรคในการเคล่ือนไหว ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาทโรคของระบบกล้ามเน้ือและกระดูก การไม่สมประกอบมาแตก่ าเนดิ อุบัตเิ หตแุ ละโรคติดต่อ ๔.๒ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลท่ีมีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีโรคประจาตัว ซ่ึงจาเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเน่ืองและเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทาใหเ้ กดิ ความจาเปน็ ต้องได้รบั การศกึ ษาพิเศษ ๕) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทางานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านท่บี กพร่องได้ทั้งทมี่ รี ะดบั สตปิ ัญญาปกติ ๖) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูดเช่นเสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบ ก พ ร่อ งใน เร่ือ งค วาม เข้ าใจห รือก ารใช้ ภ าษ าพู ด ก ารเขีย น ห รือ ระบ บ สั ญ ลั ก ษ ณ์ อ่ื นท่ีใชใ้ นการตดิ ต่อสอ่ื สาร ซงึ่ อาจเก่ียวกับรูปแบบเนื้อหาและหน้าที่ของภาษา ๗) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมากและปัญหาทางพฤติกรรมน้ันเป็นไปอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรบั รู้อารมณ์หรือความคิด เช่นโรคจติ เภท โรคซมึ เศรา้ โรคสมองเสอื่ ม เป็นตน้ ๘) บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทางานของสมองบางส่วน ซ่ึงส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการดา้ นภาษา ด้านสังคม และการปฏิสมั พันธ์ทางสงั คมและ มีข้อจากัดด้านพฤติกรรมหรือมีความสนใจจากัดเฉพาะเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดยความผิดปกติน้ันค้นพบได้กอ่ นอายุ ๓๐ เดอื น ๙) บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่งประเภทในบคุ คลเดียวกัน

บทที่ ๓ การนาโปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการดารงชวี ติ สาหรับเดก็ ท่ีมคี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษสูก่ ารปฏิบัติ๑. หลกั การสาคัญในการนาโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชวี ิตสาหรบั เดก็ ที่มีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษสกู่ ารปฏบิ ตั ิ โปรแกรมการพัฒ น าทักษะการดารงชีวิตสาห รับ เด็กท่ี มีความ ต้องการจาเป็ นพิ เศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ได้จัดกลุ่มทักษะ เป็น ๔ ทักษะ คือทักษะการดารงชีวิตประจาวันทกั ษะสว่ นบคุ คลและสังคม ทักษะวิชาการเพื่อการดารงชีวิตและทักษะการทางานและอาชีพโดยแบ่งการพัฒนาตามช่วงวัยของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษท่ีมารับบริการ การนาโปรแกรมไปใช้ต้องนาหลักการพัฒนาทักษะการดารงชีวิต และกระบวนการพัฒนาทักษะการดารงชีวติ ที่กลา่ วมาในบทที่ ๑ มาใช้ตามหลักการสาคัญดงั น้ี ๑) การจัดโปรแกรมการเรียนไม่ควรอยู่บนความเช่ือท่ีผิดว่าเด็กไม่สามารถเรียนรู้จึงจัดเฉพาะการดูแลเล้ยี งดพู ืน้ ฐานและความปลอดภยั ในสภาพแวดล้อมทไี่ ม่มีการสอน ๒) ผลการวิจัยยืนยันชัดเจนว่าความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลที่มีความบกพร่องรุนแรงเกิดขึ้นได้จากการให้โอกาสในการเรียนรแู้ ละการเรยี นการสอนที่มีคุณภาพ ทั้งการสอนโดยตรงและการเรียนรู้โดยการสังเกตจากบุคคลอ่ืนท่ีไม่ใช่ผู้พิการ (Browder et al., 2006; Downing,2008; Falkenstine et al., 2009; Farmer et al., 1991; Jorgensen et al., 2007;Spooner et al., 2008) ๓) ผลการวิจัยช้ีชัดว่าบุคคลท่ีมีความบกพร่องรุนแรงเรียนทักษะวิชาการ เช่น การอ่านการเขียน และ คณิตศาสตร์ การส่ือสาร เป็นต้น ได้เช่นเดียวกับทักษะอ่ืน ๆ เช่น การกิน การแต่งกายการซักรีด ทักษะทางสังคม ทักษะการเกี่ยวกับความปลอดภัย เป็นต้น เม่ือถูกคาดหวังว่าเรียนได้และได้รับการสอนที่มคี ุณภาพรวมทั้งมีส่งิ สนบั สนุน (Brady & Bashinski, 2008; Collins et al., 1991;Hughes et al., 1993; Ketterer et al., 2007; Tayloe et al., 2002) ๔) การที่ผู้เรียนที่มีความบกพร่องรุนแรงจะพัฒนาได้ถึงขีดสูงสุด และได้รับการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมน้ัน ครูผู้สอนต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีคุณภาพสูง น่ันหมายความว่าครูจะต้องได้รับการฝึกฝน อบรมที่พิสูจน์ได้ว่าจะเกิดผลกระทบทางบวกทางการศึกษาแก่ผู้เรียนท่ีมีความบกพร่องรุนแรง การฝึกปฏิบัติของครูควรประกอบด้วยการสอนท่ีเป็นระบบเป็นการวางแผนการสอนที่ดีซึ่งเกี่ยวกับการต้ังค่าเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง และการประเมินผลส่ิงท่ีผู้เรียน

๑๕เรียนรู้ รวมทั้งใหโ้ อกาสอย่างมีความหมายสาหรบั การฝึกฝนทักษะซึ่งประกอบด้วยกระบวนการเฉพาะเพ่ือระบุวัตถุประสงค์ การช่วยเหลือ การเสริมแรง และการแนะนา หลักการพ้ืนฐานของการสอนท่ีเป็นระบบ คือ การจัดการสนับสนุนพฤติกรรมทางบวก การพัฒ นาทักษะการสื่อสารการจัดโปรแกรมที่เหมาะสมกับอายุและมีความหมาย การมีส่วนร่วมอย่างกระ ฉับกระเฉงของครอบครัว และการการสรา้ งทมี งานแบบร่วมมอื ร่วมใจ๕) การปรับเปลี่ยนแนวคิดการจัดการศึกษาจากการดูแลเล้ียงดู และการปกป้องไป สู่ เจ ต น ารม ณ์ “ ก ารเรีย น รู้แ ล ะ ก ารพั ฒ น า ” (Learning and Growth) เจ ต น ารม ณ์ น้ีคอื ต้องการพัฒนาว่าผเู้ รยี น เรียนรู้ได้มากข้ึนเท่าใด โดยวิธกี ารเรียนการสอนแบบใดและสิ่งสนับสนุนใด เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการจัดการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายท่ีสูงข้ึน รวมท้ังให้ผู้เกี่ยวข้องได้กาหนดความคาดหวังที่สูงข้ึนด้วย โดยพิจารณาทั้งด้านอายุจริง วัฒนธรรม ภูมิภาคที่อาศัย ความสนใจ และความต้องการจาเป็นท่ีเช่ือมโยงกบั เปา้ หมายของแตล่ ะบคุ คลดั ง นั้ น ผู้ ส อ น /ผู้ ดู แ ล แ ล ะ ผู้ เกี่ ย ว ข้ อ งจึ ง ต้ อ ง ร่ ว ม มื อ กั น ใน ก า ร ป รั บ เป ล่ี ย น ทั ศ น ะเพ่ือจัดโปรแกรมที่เหมาะสมอายุจริง สภาพสังคม วัฒนธรรม ความสนใจ และความต้องการจาเป็นของเด็กและครอบครัว เพ่ือประกันว่าเด็กและครอบครัวจะได้รับบริการท่ีมีคุณภาพ ตรงกับเป้าหมายซง่ึ ผู้เกีย่ วขอ้ งควรมคี วามเช้าใจตรงกนั ในการนาโปรแกรมไปใช้ดงั น้ี ๑) กลุ่มทักษะการดารงชีวิตประจาวันเป็นสิ่งเด็กทุกคนต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่องตามความต้องการจาเป็นในสภาพแวดล้อม ทักษะท่ีตอ้ งใช้และอายุท่ีเปลี่ยนแปลง เด็กบางคนต้องการฝึกแบบตัวต่อตัว ตามวิธีการเรียนรู้ (Learning style) แม้ว่าผู้สอน/ผู้ดูแลจะได้วิเคราะห์งานมาแล้วอย่างละเอียดก็ควรตรวจสอบขั้นตอนของงานกับวิธีปฏิบัติของเด็กและปรับให้ตรงกับวิธีปฏิบัติของเด็กคนน้ัน ๆ เด็กท่ีเรียนรู้โดยการมองเห็นการทาเป็นแบบอย่างทีละข้ัน การแสดงบทบาทสมมติจะช่วยให้เด็กทาตามแบบ จนสามารถปฏิบัติได้เอง ซ่ึงในการสอนทักษะใดๆ ก็ตามต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าการท่ีเด็กจะเรียนรู้และบรรลุทักษะน้ีได้น้ัน จาเป็นต้องมีพฤติกรรม/ทักษะใดมาก่อนตัวอย่าง การลา้ งมือกอ่ นและหลังรับประทานอาหารท่เี ด็กปฏิบตั ิไดด้ ว้ ยตนเองพฤติกรรม/ทักษะ:สามารถล้างมือก่อนและหลังรบั ประทานอาหารทเ่ี ด็กปฏบิ ตั ไิ ดด้ ้วยตนเองพฤติกรรม/ทักษะทีต่ ้องมีก่อน ขัน้ ตอนของงานการเปิดก๊อกนา้ และหากสบ่เู หลวอยู่ ๑. เปิดก๊อกนา้ ทอ่ี ่างล้างมือในภาชนะท่ตี ้องกดเพ่ือให้สบไู่ หล ๒. รองมอื ใต้ก๊อกนา้ ให้มอื เปยี กออกมา เด็กกต็ ้องรแู้ ละปฏิบัติได้ ๓. เทสบเู่ หลวลงบนฝ่ามอื /หยิบสบกู่ อ้ นถูมือกอ่ น ๔. ถูมอื เขา้ ด้วยกันท้งั ฝ่ามือ หลังมือและน้วิ มอื ๕. ลา้ งสบอู่ อก ๖. เชด็ มอื ให้แห้งตารางท่ี ๓.๑ แสดงตัวอยา่ งขั้นตอนของการวเิ คราะหง์ าน

๑๖ ๒) กลุ่มทักษะส่วนบุคคลและสังคม เป็นทักษะท่ีมุ่งให้เด็กได้พัฒนาทักษะที่จาเป็นในการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการหรือความคาดหวังของสังคม และรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลไว้ได้ได้แก่ ทักษะการจัดการและควบคุมตนเอง ทักษะการส่ือสาร ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์เด็กควรได้รับการพัฒนาในการให้รู้จักตนเอง เลือกสิ่งที่ตนชอบหรือสนใจต่าง ๆ การแก้ปัญหาการตัดสินใจ การยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในบ้าน โรงเรียน สังคม เพ่ือแสดงการตัดสินใจ ดังนั้นผู้สอน/ผู้ดูแลอาจต้องใชส้ ถานการณ์จาลอง สถานการณ์จริงให้ผู้เรียนได้เลือก และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่นาไปใช้ได้ในสถานการณ์อ่ืนเมื่อโตข้ึนทั้งในสถานท่ีทางาน การดารงชีวิตในชมุ ชน ตัวอยา่ งการนาหลักการดงั กลา่ วไปใช้ พฤติกรรม : การปฏิบัติตนในการเป็นสมาชิกของห้องเรียน ผู้สอนสามารถใช้บทบาทสมมติ/สถานการณ์จริงให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลือกทาในส่ิงที่ชอบ หรือสนใจในการเล่น การทางานการชว่ ยเหลอื เพื่อน เพือ่ นาไปสกู่ ารร้จู ักตนเอง ภูมใิ จในตนเองสาหรับการดารงชีวิตในบ้านและชุมชน ๓) กลุ่มทักษะวิชาการเพ่ือการดารงชีวิต เด็กจาเป็นต้องมีทักษะต่าง ๆที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ที่จะทาให้ตนเองเข้าใจส่ิงต่าง ๆรอบตัว แก้ปัญหาและเป็นพ้ืนฐานในการเรียนรู้และรับประสบการณ์ใหม่ ได้แก่ การเตรียมความพร้อม การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ เงินและการใช้เงิน เวลา ภาษาและการส่ือสาร เป็นต้น ในการจัดโปรแกรมการเรียนการสอนเด็กจะต้องได้รับการเตรียมความพร้อม ในเร่ืองต่าง ๆ ท่ีเป็นพื้นฐาน เช่น การจาแนก การจัดกลุ่ม การจัดลาดับจากการเลน่ การปฏิบัตกิ ิจวัตร การทางาน ไปสู่การอา่ น การเขียน การคิดคานวณท่ีใชป้ ระโยชน์ไดจ้ ริงในชวี ิต ตวั อย่าง พฤตกิ รรม : อ่านสัญลักษณง์ า่ ย ๆ ท่ีพบในชวี ติ ประจาวนั หากเด็กคนนี้บ้านอยู่ในตลาด โอกาสที่จะพบเห็นป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆที่ใช้ในตลาดมีมาก ผู้สอน/ผู้ดูแลจะสารวจข้อมูลและนามาจัดลาดับความสาคัญ ความง่าย ความยากท่ีเด็กและครอบครัวจาเป็นต้องใช้เพื่อให้อ่านและเข้าใจปฏิบัติได้ถูก โดยใช้ท้ังสถานการณ์จริง สถานการณ์จาลอง สื่อท่ีมีลักษณะหลากหลายท่ีพบในสภาพจริง เช่น ป้ายแสดงสัญลักษณ์ผู้หญิง ผู้ชาย หน้าหอ้ งน้า ป้ายสญั ลกั ษณ์ หา้ มเข้า เปน็ ตน้ ๔) กลุ่มทักษะอาชีพและการทางาน เป้าหมายสูงสุดของบุคคลในการดารงชีวิตคือ การมีงานทา ประกอบอาชีพเลี้ยงตนได้ เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษทุกคนจึงควรได้รับโอกาสใน การเตรียมตัวทางาน พัฒนาความรู้และทักษะเฉพาะของงานที่สนใจ การทางานร่วมกับผู้อื่น การสมัครงาน การรักษางาน ทจ่ี ะช่วยให้การดาเนนิ ชีวิตได้เช่นเดียวกบั คนอ่ืน ๆ ในชมุ ชน การจัดโปรแกรมช่วงเช่ือมต่อ (Transition Program) จึงมีบทบาทสาคัญที่ผู้เก่ียวข้องจะได้ร่วมกันวางแผนและจัดกิจกรรมท่ีสัมพันธ์กับสภาพเพื่อเอื้อให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการพัฒนาต่อเนื่องทัง้ ในบ้าน โรงเรียน หนว่ ยงาน และสถานประกอบการ

๑๗๒. การบรหิ ารจดั การโปรแกรมการพฒั นาทักษะการดารงชีวติสาหรับเด็กท่มี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษ การบริหารจัดการเป็นการดาเนินการเพื่อมุ่งให้ผู้สอน/ผู้ดูแลได้ใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษที่จัดทาไว้ขึ้นมาใช้พัฒนาเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษตามระยะเวลาทกี่ าหนด ซึ่งได้เสนอไวใ้ นทน่ี ี้ ๕ ข้ันตอนตามแผนภาพท่ี ๓.๑การเตรียมการและการสร้างความเขา้ ใจ การประสานงาน แกค่ รู บุคลากร และผู้ปกครอง บุคคล/หน่วยงาน การจัดระบบการจดั การภายในศนู ย์ ฯ การจดั หา/ผลิต/ จัดให้ เพือ่ รองรับและขบั เคลือ่ น มีส่อื อุปกรณ์ แหล่ง การอานวยการในการใชโ้ ปรแกรม ฯ เรยี นรู้ ในการจดั การเรยี นรู้ การนเิ ทศกากบั ติดตาม และ การจัดสภาพแวดลอ้ ม ประเมนิ ผล บรรยากาศ การรายงานผลแผนภาพที่ ๓.๑ การบรหิ ารจดั การโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชวี ติ การนาโปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิตไปสู่การปฏิบัติของศูนย์การศึกษาพิเศษเพือ่ พัฒนาผเู้ รียนน้ันจาเปน็ ตอ้ งมขี ้นั ตอนการดาเนนิ งานทีช่ ัดเจนให้ผู้เกย่ี วข้องทุกฝ่ายได้ร่วมมือ ดงั น้ี ๑) การเตรียมการและสร้างความเข้าใจแก่ครู บุคลากรและผู้ปกครอง ศูนย์การศึกษาพิเศษจาเป็นต้องเตรียมการให้ความรู้ สร้างทักษะ สร้างทักษะและสร้างเจตคติท่ีถูกต้องต่อการนาโปรแกรม ฯ ไปพัฒนาผู้เรียนตามกระบวนการ ซง่ึ อาจตอ้ งมีการสาธิตและฝกึ ปฏิบตั ใิ นการใช้เครือ่ งมือต่างๆ การจัดกิจกรรม รวมทั้งการดาเนินการต่างๆ ของศูนย์การศึกษาพิเศษในการส่งเสริม สนับสนุนนิเทศ กากับ ติดตามและประเมินผล

๑๘ ๒) การจัดทาข้ันตอนกระบวนการทางานท่ีเป็นระบบ บุคลากรในศูนย์เข้าใจตรงกันเพ่ือรองรับและขับเคล่ือน โปรแกรมการพัฒนาทักษะการดารงชีวิต เป็นโปรแกรมระยะยาวที่สัมพันธ์กับช่วงชีวิตของผู้เรียนซ่ึงผู้เรียนแต่ละช่วงวัยต้องการการจัดประสบการณ์ในรูปแบบที่แตกต่างกันจึงจาเป็นต้องมีคณะทางานที่รับผิดชอบในการจัดทาข้ันตอนกระบวนการในการจัดโปรแกรม ฯเพ่ือให้บุคลากรทุกคนเข้าใจตรงกัน รวมทั้งให้บริการแนะนาท้ังในด้านเอกสาร การจัดการ การดูแลให้มีการดาเนินการทง้ั ภายในศูนย์การศึกษาพิเศษและชมุ ชน ๓) การอานวยการในการใช้โปรแกรม ฯ ในการจัดการเรียนรู้ ศูนย์การศึกษาพิเศษควรดาเนินบทบาทผู้อานวยความสะดวกในการเอ้ืออานวยให้การจัดกิจกรรมพัฒ นาทักษะชีวิตแก่ผู้เรียนท้ังในด้านการจัดหา ผลิตสื่อ อุปกรณ์ เทคโนโลยีแหล่งเรียนรู้ ที่เอ้ือต่อการจัดกิจกรรมและผู้สอนได้นาไปใช้และพัฒนาต่อยอดเพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงและปฏิบัติกิจกรรมได้ง่าย การจัดโปรแกรมพัฒนาทักษะการดารงชีวิตจาเป็นต้องใช้แหล่งเรียนรู้ วัสดุ อุปกรณ์ในหน่วยงานและชุมชนทีส่ ัมพันธ์กับสภาพการดาเนินชวี ิตและเป้าหมายการพัฒนาผู้เรยี น การติดตอ่ สื่อสาร การประสานงานจะชว่ ยให้มกี ารดาเนนิ งานตอ่ เนอื่ ง และสร้างความรว่ มมือให้เกิดขึ้นในชมุ ชน ๔) การนิเทศ กากับ ติดตามและประเมินผล เมื่อศูนย์การศึกษาพิเศษได้นาโปรแกรมไปใช้พัฒนาผู้เรียน จาเป็นต้องมีการนิเทศ เพื่อร่วมคิดร่วมทาแก้ปัญหาและปรับวิธีการ กิจกรรมที่จะทาให้ผู้เรียนได้รับบริการและกากับติดตามโดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การแนะ การส อนงานการสังเกตและสะท้อนคิด การให้คาปรึกษา เป็นต้น เพ่ือตรวจสอบการดาเนินงาน พร้อมทั้งประเมินผลการดาเนินงานท้งั ในด้าน โปรแกรม ฯ การจัดโปรกรม ฯ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนผลสัมฤทธข์ิ องผ้เู รียน เพื่อนาผลไปปรบั ปรงุ แก้ไข ในด้านตา่ งๆ ท่ีกล่าวมาแลว้ ๕) การรายงานผล เป็นการจัดทารายงานหลังจากใช้โปรแกรมไปแล้ว ๑ ปีการศึกษาของกลุ่มงานที่รับผิดชอบ เพื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ผลการใช้โปรแกรมที่เน้นปัจจัย กระบวนการและผลผลิตซึ่งผู้เก่ียวข้องได้ร่วมกันจัดทาข้ึน การรายงานผลจะช่วยให้เห็นร่องรอยความพยายามของศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษพัฒนาการจดั บริการท่ีสร้างความเข้มแข็งทางวชิ าการเพมิ่ ข้นึ

๑๙ บทที่ ๔ แนวการจัดการเรียนรู้๑. การจัดการเรยี นรู้ทกั ษะการดารงชวี ติ การจัดการเรียนรู้ทักษะการดารงชีวิตควรนาเทคนิค วิธีการท่ีจะช่วยให้เด็กท่ีมีความตอ้ งการพิเศษประสบความสาเร็จ ซ่ึง (กุลยา ก่อสุวรรณ, ๒๕๕๓) ได้เสนอแนะวิธีการเลือกใช้เทคนิคการสอนสาหรับเดก็ ท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษโดยพิจารณาประเด็นต่อไปน้ี ๑) เหมาะสมกับวยั ของเด็กหรือไม่ ๒) เป็นท่ียอมรบั ของสังคมหรอื ไม่ ๓) เหมาะสมกับลลี าการเรยี นรูข้ องเด็กและความชอบของเด็กหรือไม่ เทคนิคท่คี วรนามาใช้ ๑. การเสริมแรง เป็นการวางเงื่อนไข เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมเป้าหมายเป็นการเพ่ิมพฤติกรรมให้เกิดถ่ีข้ึน อันเป็นผลที่ได้รับสิ่งท่ีพึงพอใจ หรือการหลีกหนีหรือหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ไม่พอใจการเสริมแรงมี ๒ ชนิด คือ ๑) การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เป็นการให้ส่ิงที่พอใจ แล้วทาให้บุคคลมีพฤติกรรมน้ัน ๆ เพ่ิมมากข้ึน ๒) การเสริมแรงทางลบ (NegativeReinforcement)เป็นการเอาส่ิงที่บุคคลน้ันไม่พึงพอใจหรือไม่ชอบออกไปแลว้ ทาให้บุคคลมีพฤติกรรมนั้นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมีหลักในการเสริมแรงดังน้ี (กุลยา ก่อสุวรรณ, ๒๕๕๓; พิกุล เลียวสิริพงศ์,๒๕๕๖) ๑ .๑ Immediately (ให้ ทั นที ) เม่ื อเด็ กท าพ ฤติ กรรมที่ พึ งประสงค์ ครูต้ องให้การเสริมแรงทันทีเพื่ อให้เด็กเรียนรู้ว่าเม่ือเขาทาพฤติกรรมเช่นน้ีแล้วเขาจะได้รับส่ิงท่ี เขาชอบทันทีการทาเชน่ นี้ทาให้เด็กมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์มากขึ้น ๑.๒ Frequently (ให้บ่อยๆ) การให้การเสริมแรงในช่วงแรกน้ัน ครูต้องให้บ่อยหรือใหท้ กุ ครงั้ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมท่พี ึงประสงค์ หลังจากนัน้ จงึ ค่อยลดการเสริมแรงลง ๑.๓ Enthusiasm (ให้อย่างกระตือรือร้น) ครูต้องการให้การเสริมแรด้วยความเต็มใจจรงิ ใจ และกระตอื รือร้นเม่ือเด็กทาพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์น้ัน ๑.๔ Eye Contact (ให้พร้อมสบตา) ขณะท่ีให้การเสริมแรงน้ัน ครูควรมองหน้าและสบตาเด็ก เพ่อื ให้เขาร้วู ่า ครใู ห้ด้วยความจริงใจและชื่นชมพฤติกรรมนั้น ๑.๕ Describe the Behavior (อธิบายว่าพฤติกรรมใดท่ีได้รับการเสริมแรง) เน่ืองจากบางคร้ังเด็กอาจแสดงพฤติกรรมหลายอย่างในเวลาใกล้เคียงกัน หากครใู ห้การเสริมแรงเพียงอย่างเดียว เช่นครูชมเด็กชายว่าเก่งว่า “ดีมาก” โดยไม่บอกเหตุผลหรืออธิบายเพ่ิมเติม เด็กชายเก่งอาจไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมใดที่ครูชมว่าดีหรือเด็กชายเก่งอาจเข้าใจผิด คิดเอาเองว่าครูชมพฤติกรรมนั่งเงียบๆ ทั้งท่ีจริงๆ แล้วครูชมพฤติกรรมที่เด็กชายเก่งให้เพ่ือนขอยืมยางลบ ดังน้ันครูควรบอกว่า “ดีมากนะที่เก่งใหเ้ พ่อื นยมื ยางลบ อย่างน้แี สดงวา่ เป็นเด็กมนี ้าใจ” เป็นต้น

๒๐ ๑.๖ Anticipation (ให้การเสริมแรงโดยทาให้เด็กอยากรู้อยากเห็นและรอคอย)การที่ครูเก็บตัวเสริมแรงให้เป็นความลับหรือ surprise ของเด็ก จะช่วยเพิ่มคุณค่าของตัวเสริมแรงนั้น ๆ ด้วย เช่น การที่ครูใส่ตัวเสริมแรงท่ีเด็กชอบไว้ในถุงจะทาให้เด็กรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและเกดิ ความรอคอยมากขน้ึ โดยเฉพาะขณะทค่ี รกู าลังจะหยิบตวั เสริมแรงออกมา เปน็ ตน้ ๑.๗ Variety (ให้อย่างหลากหลาย) หากครูใชต้ ัวเสริมแรงตัวใดตัวหนง่ึ มากเกนิ ไปเด็กอาจเบ่ือ ทาใหต้ วั เสริมแรงตัวนั้นไม่ไดผ้ ลตามทค่ี รตู ้องการ ครจู ึงควรใช้ตัวเสรมิ แรงอย่างหลากหลาย ๒. การกระตุ้นเตือน (Prompting) เป็นวิธีการช่วยให้เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษตอบสนองในทางทถี่ ูกตอ้ งซึ่งครสู ามารถกระตนุ้ เตือนเพ่อื ให้เด็กทมี่ ีความต้องการพิเศษปฏิบตั ิได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับวัตถุประสงค์เป้าหมาย เช่น การชี้แนะ การทาเป็นแบบอย่าง การให้สัญญาณการจับมอื ทา (กลุ ยา กอ่ สุวรรณ, ๒๕๕๓) ระบุวา่ การกระตุ้นเตือนท่นี ามาใช้เพื่อการตอบสนอง ไดแ้ ก่ ๑) กระตุ้นเตือนด้วยวาจา เม่ือครูต้องการให้เด็กทาพฤติกรรมหน่ึง ครูจะเตือนก่อนเด็กจะทาพฤติกรรมน้ันและระหว่างท่ีเด็กทาพฤติกรรมน้ันๆ ด้วย เชน่ ครวู างเคร่ืองเขียนหลายชนิดไว้บนโต๊ะ ได้แก่ ปากกา ดินสอ เมื่อเด็กเอื้อมมือไปหยิบดินสอ ครูจึงย้าคาว่า “ปากกา” เป็นต้นหรือ เม่ือเด็กทางานช้ากว่าที่ควรจะเป็น ครูจะเตือนให้เด็กทาให้เร็วขึ้น หรือบางคร้ังครูอาจต้องพูดช้าลงเพ่อื ใหเ้ ด็กใจไดง้ า่ ยข้นึ วิธีเหลา่ นถี้ อื เปน็ การกระต้นุ เตอื นด้วยวาจาท้งั สนิ้ ๒) การกระตุ้นเตือนด้วยท่าทาง เป็นการแสดงท่าทางเพ่ือบอกหรือดึงความสนใจของเด็ก เชน่ เม่อื ครูสอนเรอื่ งการจับคูส่ ี ครูช้นี ้ิวบอกสีทถ่ี ูกต้อง ๓) การทาเป็นแบบอย่าง ผู้ท่ีเป็นแบบอย่างอาจเป็นครู เพ่ือนที่เป็นเด็กด้วยกันหรือผู้ใหญ่คนอื่นที่ในสถานการณ์นั้นก็ได้ ในการสอนวิธีน้ี หากครูนาการวิเคราะห์งานมาร่วมด้วยเด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่ข้อควรระวังในการสอนโดยการเป็นแบบอย่างนี้ จะได้ผลก็ต่อเม่ือ เด็ กให้ความสนใจ และจะตองมีผทู้ ีท่ าเปน็ แบบอยา่ งคอยแนะนาข้นั ตอนการทาดว้ ยเสมอ ๔) การกระตุ้นทางกาย เป็นการจับมือทา แต่ครูไม่ควรใช้วิธีนี้พร่าเพรื่อ ครูควรนาวิธีการนี้มาใช้เมื่อมีความจาเป็นจริง ๆ และควรใช้ควบคู่กับการกระตุ้นเตือนด้วยวาจา พร้อมทั้งอธิบายว่าการใช้การกระตุน้ เตือนหรือการชว่ ยเหลือแบบใดก็ตาม หลักสาคัญของการกระตุ้นเตือน คือ ครูต้องค่อยๆ ลดการช่วยเหลือลง เพ่ือให้เด็กทาได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นและช่วยให้พฤติกรรมน้ันเป็นไปตามธรรมชาติ มากท่ีสุดโดยมีวิธีการใช้ดงั น้ี ๑) เลอื กวธิ ที ่ีเหมาะสมกบั เด็กนน้ั ๆ ๒) ใช้การกระตุ้นเตือนหลังจากมีคาสั่ง จากน้ันลดการกระตุ้นเตือนลง เพื่อให้เด็กมีโอกาสตอบสนองก่อนใหค้ วามช่วยเหลือ ๓) อย่าใช้วิธีกระตุ้นเตือนซ้า ๆ ในเร่ืองเดิม โดยเฉพาะการกระตุ้นเตือนด้วยวาจาหากครูสังเกตเห็นว่า การกระตุ้นเตือนแบบใดแบบหน่ึงใช้ไม่ได้ผล ขอแนะนาให้ครูเลือกใช้การกระตุ้นเตือนแบบอ่นื แทน เช่น การจบั มอื ทา ๔) การกระตนุ้ เตือนเพ่ือให้เด็กสนใจ ๕) วางแผนในการลดการช่วยเหลือลง ๖) อยา่ ใชก้ ารกระตนุ้ เตือน หากไม่จาเปน็

๒๑ ๗) ใหก้ ารเสริมแรง เมื่อเดก็ ตอบสนองได้ถกู ๘) ใชก้ ารกระตนุ้ เตอื นทางธรรมชาติ ๓. การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) งานที่ให้นักเรียนปฏิบัติทุกงานจะมีข้ันตอนแตกต่างกัน ครูจาเป็นต้องมีการวิเคราะห์งานให้เป็นข้ันตอนเล็ก ๆ `โดยการจาแนกงานตั้งแต่ข้ันตอนแรกจนถึงขั้นสุดท้าย ในการตรวจสอบข้ันตอนที่จาแนกไว้น้ันให้นามาตรวจสอบกับนักเรียนแต่ละคนและปรับให้เปน็ ไปตามข้นั ตอนที่นกั เรียนปฏบิ ัติ ๔. กระบวนการฝีกฝนแบบลูกโซ่ (Chaining) เม่ือครูวิเคราะห์งานแล้วจะเริ่มสอนนกั เรียนตั้งแต่ขั้นตอนแรกส่วนขนั้ ตอนทเี่ หลือจนถึงข้ันตอนสุดท้ายครเู ป็นผู้ปฏบิ ัติทัง้ หมด เมื่อนกั เรยี นปฏบิ ัตขิ ้ันตอนแรกได้ตามเกณฑ์ครูจะสอนขน้ั ตอนที่ ๒ และให้นักเรยี นปฏิบัตขิ นั้ ตอนท่ี ๑ และ ๒ ส่วนครูจะปฏิบัติข้ันตอนท่ีเหลือท้ังหมด เมื่อนักเรียนปฏิบัติงานได้ก็จะสอนขั้นตอนท่ี ๓ และให้นักเรียนปฏิบัติข้ันตอนท่ี ๑ - ๓ ขั้นตอนที่เหลือครูจะเป็นผู้ปฏิบัติ การสอนให้นักเรียนฝึกฝนแบบลูกโซ่ต้ังแต่ขั้นตอนแรกของงานถึงข้ันตอนสุดท้ายเรียกว่า การฝึกแบบเดินหน้า (Forward Chaining)ซ่ึงมักใช้สอนกับงานท่ีขั้นตอนสุดท้ายยากมาก ส่วนการฝึกฝนแบบถอยหลัง (Backward Chaining)เป็นการสอนงานที่ตรงกันข้ามกับการฝึกแบบเดินหน้า น่ันคือ ครู/ผู้ปกครองจะปฏิบัติงานที่เหลือทัง้ หมดนักเรียนจะทาขั้นตอนสุดท้าย และให้ทาขั้นตอนถัดข้ึนมาเพิ่มขนึ้ ข้ันตอนที่เหลือครู/ผูป้ กครองจะเป็น ผู้ปฏิบัติ การฝึกแบบถอยหลังจะทาให้นักเรียนสนุกมากกว่าเนื่องจากนักเรียนรู้สึกว่าตนเองทากิจกรรมได้สาเรจ็ ซง่ึ มักใช้ในการฝกึ ทกั ษะการดูแลช่วยเหลอื ตนเอง ๕. การทาซาๆ (Repetition) วิธีให้นักเรียนทาซ้า ๆ เป็นการเสริมแรงและเรียนรู้งานที่ดีวิธีหนึ่ง เน่ืองจากงานที่ให้นักเรียนฝึกฝนจนเกิดทักษะนั้นจะต้องทาเป็นประจา หรือทุกวัน เช่นการดูแลช่วยเหลือตนเอง ครู/ผู้ปกครองจึงต้องช่วยให้นักเรียนฝึกปฏิบัติทุกคร้ังเมื่อปฏิบัติกิจกรรมประจาวัน ๖. การตะล่อมกล่อมเกลา (Shaping) การตะล่อมกล่อมเกลาหรือการปรับแต่งพฤติกรรมเป็นการดาเนินการเมื่อครู/ผูป้ กครองให้รางวัลและชมเชยนักเรียนเม่ือนักเรียนปฏิบัติงานได้ใกล้เคียงกับงานโดยไม่ได้พิจารณาว่าจะต้องเป็นงานท่ีสมบูรณ์ท่ีสุด เช่นให้นักเรียนหวีผมถ้านักเรียนหยิบหวียังศีรษะตนเองและเคล่ือนหวีในลักษณะการหวี ครูก็จะให้รางวัลและชมเชยนักเรียนในพฤติกรรมนั้น ซึ่งน่ันหมายความว่านักเรียนยังไม่ทางานได้สาเร็จหรือแม้ว่าแทนท่ีจะเป็นการหวีให้เรียบแต่กลับทาให้ผมยุ่ง แต่ก็ใช้การปรับแต่งพฤติกรรมเพ่ือให้นักเรียนทางานได้สาเร็จ ซ่ึงมักจะใช้ชว่ ยนกั เรยี นในการฝึกขั้นตอนแรก ๆ ๗. การช่วยเหลือให้ผ่านขันตอนแรกของการริเร่ิมงาน (Grading) เป็นการใช้อุปกรณ์ท่ีมีขนาดเกินจริงสาหรับการปฏิบัติท่ีง่ายเมื่อเร่ิมต้น เม่ือให้นักเรียนฝึกกิจกรรมจะเริ่มด้วยการฝึกกิจกรรมทีง่ า่ ย และคอ่ ยเพม่ิ ความซับซ้อนของงาน เชน่ การใช้หวี กระดุม เสื้อขนาดใหญ่ เปน็ ต้น ๘ . ก ารป รับ (Adaptations) ใน ก ารว างแ ผ น บ ท เรีย น เพ่ื อ ส อ น ทั ก ษ ะชี วิตทักษะการดารงชีวิตอิสระสาหรับนักเรียนบางคนอาจไม่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการจาเป็นพิเศษโดยเฉพาะนักเรียนท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย วิธีการปรับเพื่อให้นักเรยี นปฏิบัติงานได้จากอุปกรณ์ทป่ี รับแล้วกเ็ ปน็ แนวคิดทนี่ ามาใช้ ไดแ้ ก่

๒๒ ๘.๑ การปรับสภาพแวดล้อม เช่นการปรับสภาพแวดล้อมสาหรับเก้าอี้รถเข็นในการใช้ห้องน้า การทาเก้าอ้ีสาหรับอาบน้า การลดระดับอ่างล้างหน้า การเก็บเสื้อและส่ิงของในระดบั ท่ีมคี วามสงู ในระดบั ท่ีนกั เรยี นเออ้ื มถึง ๘.๒ การปรับเทคนิค เช่นการตรึงแขนบนโต๊ะก่อนการกิน หรือการน่ังบนเตียงและสวมกางเกง เป็นต้น การปรับเทคนคิ ต่าง ๆจะขนึ้ อยกู่ ับความต้องการจาเปน็ ของนกั เรยี น ๘.๓ การปรบั วัสดุ อปุ กรณ์ เปน็ การปรบั อุปกรณ์เพื่อช่วยให้นกั เรยี นทมี่ คี วามตอ้ งการจาเป็นพิเศษมีอิสระในการปฏิบัติ เช่น ช้อนที่ดัดแปลงให้มีท่ีจับยาวขึ้นสาหรับการเอื้อมถึงการดัดแปลงเสื้อสาหรับนักเรยี นใหส้ วมได้ง่าย เป็นต้น ๙. การทาตัวอย่างให้ดู (Modeling) เป็นการแสดงวิธีการที่ถูกต้อง เด็กควรจะทาส่ิงที่ถูกต้องและฝกึ ทาในเรื่องน้นั ขอ้ แนะนาสาหรับครใู นการทาตวั อย่าง มดี ังน้ี ๑) ครูต้องทาตวั อยา่ งให้เด็กดูหลาย ๆ คร้ัง ๒) ใช้ภาษาพูดให้ชัด ๓) สีหน้าท่าทางของครู ๔) ครูต้องมีความอดทน (ใช้วิธีการให้เพอื่ นทเี่ ปน็ เดก็ ปกติแสดงตวั อยา่ ง เปน็ อีกวิธีการหนง่ึ ทีเ่ ด็กเรียนรู้ไดด้ ี) ๑๐. การถอนการแนะ (Prompt Fading) การถอนการแนะนาจะตองกระทาอยางเปนระบบโดยมีกฎอยูวาแนะเทาท่ีจาเปนเทานั้น และถอนการแนะใหเร็วทสี่ ุดเทาที่จะเร็วได แตจะต้องไมถอนเร็วเกินไปจนผูเรียนไมสามารถทาได แตการถอนการแนะซ้าหรือไมถอน ก็จะย่ิงเปนผลเสียเพราะจะทาใหผูเรียนเคยชินแตกับการแนะ รวมทั้งหามการแนะอยางไมตั้งใจ เชน ผูสอนตองการให้ผูเรียนช้ีบัตรคาไหน แลวผูสอนก็ชาเลืองไปบัตรคานั้นโดยไมตั้งใจ ผูเรียนก็เลยเดาคาตอบจากสายตา ผูสอนได ตอไปผูเรียนก็จะไมสนใจทีจ่ ะดูบัตรคาท่ีถูกแตจะคอยดูวาสายตาผูสอนเหลือบไปท่ีบัตรคาไหน ก็จะช้ีบัตรคาน้ัน เปนตน การแนะอยางไมตั้งใจน้ีทาใหผูเรียนไมเกิดการเรียนรูตามท่ีผูสอนตองการ ทั้งน้ีผูสอนจะตองจาใหขึ้นใจเลยวา เปาหมายสุดทายของการสอนคือผูเรียนเกิดการเรียนรูและเขาใจ สามารถปฏิบัติทักษะหรือพฤติกรรมท่ีสอนไดดวยตัวเองอยางเปนอิสระการแนะจึงจะตองมีการถอนหรือถอยออก ไมเชนน้ันเด็กหรือผูเรียนออทิสติกจะมีปญหาที่จะรอคอยแตการแนะเทานั้นตัวอย่าง การแนะจากมากที่สุดไปจนกระทั่งนอยที่สุดจนไมมีการแนะเลย เชน ผู้สอนจะสอนใหผูเรียนนงั่ เรยี บรอยบนเกาอ้ี ดงั นี้ ๑) ผูสอนใชคาส่ังวา “นั่งลง” (ผูเรียนอยูในทายืนโดยขางหลังผูเรียนมีเกาอ้ีวางอยู)ในระยะแรกผูเรียนไมน่ัง เนื่องจากยังไมเขาใจความหมายของคาสั่งวานั่งลงและยังไมเขาใจวาจะตองทาหรอื ตอบสนองอยางไร ๒) ผูสอนบอกวา “ผดิ ” ๓) ผูสอนส่ังวาให “นงั่ ลง” อกี เปนครั้งทส่ี องผูเรียนกย็ งั ไมตอบสนองอกี ๔) ผูสอนกบ็ อกวา “ผิด” อกี เปนครั้งทสี่ อง ๕) ผูสอนส่งั วาให “น่งั ลง” เปนครัง้ ทสี่ าม แลวจับตัวผูเรียนใหนัง่ ลงบนเกาอี้ ๖) ผูสอนชมเชยวา “ดีมาก” พรอมกบั ใหขนมทีผ่ ูเรียนชอบ

๒๓ ๗) ทาอยางนี้จนกระท่ังผูเรียนเร่ิมจะเขาใจการตอบสนองตอคาสั่ง การจับทงั้ ตวั ผูเรยี นใหน่ัง ก็อาจจะเปลยี่ นเปนใชนิ้วจ้ีทต่ี ัวผูเรียนแลวกดปลายน้ิวเบา ๆ ลงใหเขาใจวา ใหน่ัง ๘) ตอมาก็ใหเหลือแตทาทางและการสงสายตาที่เกาอีว้ าใหนั่งลง ๙) ตอมาผูสอนไมใชนิว้ ชแ้ี ตใชแตสายตาจนกระทัง่ เหลือแตคาสัง่ อยางเดยี ว เปนตน จะเห็นวาการแนะจะคอย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งใหเด็กสามารถเรียนเองอยางเปนธรรมชาติ ซ่ึงอาจจะใชเวลานานกวาที่เด็กจะเรียนรูไดเองก็ถือวามีความคุมคาหากเด็กเกดิ การเรียนรูสิ่งตาง ๆ ท่ีจาเป็นไดดวยตนเอง ๑๑. เทคนิคการสอนแบบ 3R’s เป็นการสอนท่ีนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ซ่งึ ประกอบด้วย ๑) Repetition คือ การสอนซ้า การสอนซ้าๆ ทบทวนบ่อยๆ สอนง่ายๆ ส้ันๆ สอนจากง่ายไปหายาก และใชเ้ วลาสอนมากกว่าเด็กทวั่ ไป ใชว้ ธิ สี อนหลายๆ วธิ ีในเน้ือหาเดมิ ๒) Relaxation คือ การสอนแบบไม่ตึงเครียด ไม่สอนเน้ือหาวิชาเดียวนานเกิน ๑๕นาที ควรเปลี่ยนกิจกรรมการสอนวิชาการเป็นการเล่น ร้องเพลง ดนตรี เล่านิทานหรือให้เด็กได้ลงมือปฏบิ ัตจิ ริง และ ๓) Routine คือ การสอนให้เป็นกิจวัตรประจาวัน เป็นกิจกรรมที่ต้องทาสม่าเสมอในแต่ละวัน

๒. แนวทางการจดั กจิ กรรม๑) แนวทางการจดั กิจกรรมกลมุ่ ทักษะการดารงชีวติ ประจาวัน ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พฤต๑. การดูแลตนเองและ ๑.๑ การถอดและสวมใสเ่ คร่ือง ๑.๑.๑ สามารถการดูแลสขุ อนามัยส่วน แตง่ กาย ขาสั้นเอวยดื /เสบุคคล (Personal Careand Hygiene Skills) ๑.๑.๒ สามารถ (กางเกงขาสัน้ เ

๒๔น (Functional Daily Living Skills)ติกรรมท่คี าดหวัง แนวทางการจัดกจิ กรรมถถอดเครื่องแต่งกาย (กางเกง ผูส้ อนฝึกให้ผู้เรียนปฏบิ ัตใิ นเร่ือง การรู้จักชื่อเรียกของสื้อคอกลม) ได้ ๑ ชิน้ เคร่ืองแต่งกาย คาส่ังท่ีใช้ และการปฏิบัติตามคาส่ัง โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วย ตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดงั ต่อไปนี้ ๑) การวิเคราะห์งาน ๒) การฝึกปฏิบัตใิ นสถานการณ์จาลอง ๓) การฝึกปฏิบตั ใิ นสถานการณ์จริง ๔) การเสรมิ แรงถสวมเครอ่ื งแต่งกายงา่ ย ๆ ผ้สู อนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัตใิ นเรื่อง การรูจ้ ักชื่อเรียกของเอวยืด/เส้ือคอกลม) ได้ เคร่ืองแต่งกาย คาส่ังที่ใช้ และการปฏิบัติตามคาส่ังใน การลงมือทากิจกรรมสวมเครื่องแต่งกายประเภท ต่างๆ โดยผ้สู อนชว่ ยเหลอื จนผ้เู รียนสามารถทาไดด้ ว้ ย ตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) การวเิ คราะหง์ าน ๒) การฝึกปฏิบตั ใิ นสถานการณจ์ าลอง ๓) การฝึกปฏิบัตใิ นสถานการณ์จรงิ ๔) การเสริมแรง

ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พฤต๑. การดแู ลตนเองและ ๑.๑ การถอดและสวมใส่เครื่อง ๑.๑.๓ สามารถการดูแลสุขอนามัยส่วน แต่งกาย (ต่อ) กระดุมหรือซบิ ไบคุ คล (Personal Care กางเกงขาส้นั มีซand Hygiene Skills)(ตอ่ ) ๑.๑.๔ สามารถ กระดมุ ซิบ ผกู / กระโปรง,กางเก มเี ชือกผูก) ๑.๑.๕ สามารถ ขั้นตอน

๒๕ตกิ รรมทีค่ าดหวงั แนวทางการจดั กิจกรรมถถอดเคร่ืองแต่งกายทมี่ ีได้ (เสื้อสวมหวั ที่มกี ระดุม/ ผู้สอนประเมินความสามารถพื้นฐานการติดกระดุมซบิ ) การใช้ซิปกับเส้ือ/กางเกง/กระโปรงของตนเอง ผู้สอน สาธิตและให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติกับตนเองทีละข้ันตอนถสวมเคร่ืองแต่งกายท่มี ี ให้ ผู้ เรี ย น ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ใน ส ถ าน ก าร ณ์ ก า ร แ ต่ งต้ั ง ท่ี/มดั ได้ (เสอ้ื ผา่ หน้า, สมั พันธก์ บั กิจกรรมประจาวันกง,รองเทา้ ,เสือ้ หรอื กางเกงที่ โดยเสรมิ แรงโดยใช้กจิ กรรมดังตอ่ ไปน้ี ๑) การวเิ คราะหง์ านถแตง่ ตวั ได้ตามลาดับทกุ ๒) การฝกึ ปฏบิ ตั ใิ นสถานการณจ์ าลอง ๓) การฝึกปฏบิ ตั ใิ นสถานการณ์จริง ๔) การเสริมแรง ผู้สอนจัดวัสดุในการฝึกปฏิบัติทีละ ๑ อย่าง โดย พจิ ารณาจากพ้นื ฐานความสามารถของผู้เรยี น วิเคราะห์งาน และประเมินตามข้ันตอนแล้วจึง รวบขั้นตอนที่ปฏิบัติให้ทาต่อเน่ืองเพิ่มขึ้น โดยใช้การ ปรับแต่งพฤติกรรมและใช้เทคนิคการฝึกแบบถอย หลงั /เดนิ หน้า ตามสภาพของงาน ๑) ผู้สอนใช้เทคนิคการวิเคราะห์งานและประเมิน ผ้เู รยี นตามข้ันตอนทีว่ เิ คราะห์ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติในข้ันตอนท่ี ปฏิบัติได้แล้ว นามาจัดลาดับใหม่ให้สอดคล้องกับข้ันตอนการปฏิบัติ ของผู้เรียนแต่ละคน แล้วจึงนาเทคนิคการสอนแบบ เดินหน้าและถอยหลงั ให้ผเู้ รียนปฏิบัตแิ ต่ละขน้ั ตอน

ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฤต ๑.๑ การถอดและสวมใส่เครื่อง ๑.๑.๕ สามารถ๑. การดแู ลตนเองและ แต่งกาย (ต่อ) ขน้ั ตอน (ต่อ)การดแู ลสขุ อนามัยส่วนบคุ คล (Personal Care ๑.๒ การเลือกเคร่ืองแตง่ กาย ๑.๒.๑ สามารถand Hygiene Skills) ต้เู สอ้ื ผ้า/ลนิ้ ชกั /(ต่อ) ๑.๒.๒ สามารถ เหมาะสมกับกา ทางาน ไปงานเล

๒๖ติกรรมที่คาดหวัง แนวทางการจัดกิจกรรมถแต่งตัวได้ตามลาดับทกุ ตอ่ เนอ่ื งโดยใช้การเสรมิ แรงถเลอื กเสื้อผ้าของตนจาก ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเร่ือง การรู้จักประเภท/ชน้ั วางได้ ของเครื่องแต่งกาย รู้จักเส้ือผ้าของตัวเอง และการ เลือกเสื้อผ้าของตนเองจากผู้อื่น รู้จักตู้เส้ือผ้า/ล้ินชัก/ถเลือกเสื้อผา้ รองเท้าได้ ช้ันวาง รู้ตาแหน่งที่เก็บเส้ือผ้าของตัวเอง รวมไปถึงาลเทศะและโอกาสไดเ้ ชน่ ไป คาส่ังที่ใช้ในการทากิจกรรม และการปฏิบัติตามคาสั่งลี้ยง เปน็ ต้น โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วย ตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดังต่อไปน้ี ๑) วเิ คราะห์งาน ๒) ฝึกปฏิบตั ใิ นสถานการณ์จรงิ ๓) กิจกรรมการสวมเครื่องแตง่ กาย หมายเหตุ กรณีเส้ือผ้าของผู้เรียนเก็บรวบรวมกับ บุคคลอื่นให้สอนการจาแนกเสื้อผ้าที่เป็นของตนเอง กอ่ น โดยใชก้ ารกระตนุ้ เตอื น การเสรมิ แรง ๑) ผู้สอนใช้สื่อเป็นวีดีโอคลิปการจัดงานรื่นเริง และ ให้ผเู้ รียนแสดงออกโดยการเตน้ รา การรอ้ งเพลง ๒) ให้ผู้เรียนดูภาพสถานการณ์ในชีวิตจริงของคนท่ี ทางานในทต่ี ่างๆและใช้คาถามให้ผูเ้ รียนตอบเกี่ยวกับ

ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฤต ๑.๒.๒ สามารถ๑. การดูแลตนเองและ ๑.๒ การเลือกเคร่ืองแตง่ กาย เหมาะสมกับกาการดแู ลสุขอนามัยส่วน (ตอ่ ) ไปทางาน ไปงาบคุ คล (Personal Careand Hygiene Skills) ๑.๒.๓ สามารถ(ตอ่ ) สว่ นตัวและรับร ๑.๒.๔ สามารถ ท่ีจาหนา่ ยเครื่อ

ติกรรมทคี่ าดหวัง ๒๗ถเลือกเสื้อผา้ รองเทา้ ได้าลเทศะและโอกาสได้เชน่ แนวทางการจดั กจิ กรรมานเลยี้ ง เปน็ ต้น (ต่อ) การแต่งกาย ท้งั ที่เหมาะสมและไมเ่ หมาะสมถแสดงสง่ิ ท่เี ป็นความชอบ ๓) จัดกิจกรรมงานรื่นเริงในชั้นเรียน/บ้าน และให้รู้สง่ิ ท่เี ปน็ แฟช่ันได้ ผเู้ รียนเลอื กเคร่อื งแตง่ กาย โดยการแนะนา ๔) ฝกึ ปฏบิ ตั ซิ า้ ในสถานการณ์ทว่ั ไปถหาร้าน/ห้างสรรพสินคา้องแต่งกายได้ ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การแต่งกายที่ เหมาะสมตามสมัยนิยม เลือกส่งิ ท่ีตัวเองชอบจากภาพ ตัวอย่าง การฝึกให้ผู้เรียนบอกความชอบส่วนตัวใน การแต่งกาย ทดลองแต่งกายตามท่ีชอบหรือสนใจ แล้วฝึกให้รู้จักการปรับปรุงแต่งกายให้เหมาะสมกับ ตนเอง โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ ดว้ ยตนเอง โดยใชก้ ิจกรรมดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ/สถานการณจ์ าลอง ๒) สถานการณ์จริง ๓) กจิ กรรมการสวมเครือ่ งแต่งกาย ๔) กิจกรรมการประกวดเดินแฟชั่นโชว์ ๕) กิจกรรมแตง่ ตวั ต๊กุ ตากระดาษ ผ้สู อนฝึกให้ผู้เรยี นปฏบิ ัติในเร่ือง การรจู้ ักชื่อเรียกของ ร้านค้า/ห้างสรรพสินค้า รู้จักสินค้าท่ีต้องการ และ ราคาสินค้าเหมาะสมกับตนเอง โดยผู้สอนช่วยเหลือ จนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้กิจกรรม ดงั ตอ่ ไปน้ี

ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฤต ๑.๒.๔ สามารถ๑. การดูแลตนเองและ ๑.๒ การเลอื กเคร่ืองแต่งกาย ทจ่ี าหน่ายเครื่อการดูแลสุขอนามัยสว่ น (ตอ่ )บคุ คล (Personal Care ๑.๒.๕ สามารถand Hygiene Skills) เหมาะสมกบั ตน(ตอ่ ) ๑.๒.๖ สามารถ ร้านคา้ ได้

ตกิ รรมที่คาดหวัง ๒๘ถหารา้ น/ห้างสรรพสินค้าองแต่งกายได้ (ตอ่ ) แนวทางการจดั กิจกรรมถเลือกเคร่ืองแตง่ กายท่ี ๑) นาผู้เรยี นไปตลาด/รา้ นจาหน่ายเครือ่ ง แตง่ กายนเองในรา้ นคา้ ได้ เพ่ือแนะนาสภาพแวดลอ้ มจริง ๒) ฝกึ ปฏบิ ัตใิ นสถานการณจ์ รงิ ตามขั้นตอนถซอื้ เครอ่ื งแตง่ กายจาก ๓) จัดกจิ กรรมรว่ มกบั ผ้ปู กครองในการให้ผู้เรยี นได้ฝึก เลือกร้านและสอบถามหารา้ น ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง ของขนาด สี แบบ และประเภท ของเคร่ืองแต่งกายให้เหมาะสมกับ ตนเอง โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ ด้วยตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดงั ต่อไปนี้ ๑) นาผู้เรยี นไปตลาด/รา้ นจาหนา่ ยเคร่อื ง แต่งกาย เพอ่ื แนะนาสภาพแวดลอ้ มจรงิ ๒) ฝกึ ปฏิบัตใิ นสถานการณ์จริงตามข้ันตอน ๓) จัดกจิ กรรมร่วมกบั ผู้ปกครองในการให้ผู้เรียนไดฝ้ ึก เลือกร้านและสอบถามหารา้ น ๔) ให้ผู้เรียนได้เลือกเสื้อ กางเกง กระโปรงใน สถานศกึ ษา ๕) ให้ผู้เรยี นได้เลอื กท่รี ้านคา้ ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การซ้ือเคร่ืองแต่ง กายจากร้านค้าให้เหมาะสมกับตนเอง โดยผู้สอน ช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้ กิจกรรมดังตอ่ ไปนี้

ทักษะ ทกั ษะย่อย พฤต๑. การดแู ลตนเองและ ๑.๒ การเลอื กเคร่ืองแตง่ กาย ๑.๒.๖ สามารถการดูแลสขุ อนามัยส่วน (ต่อ) ร้านคา้ ได้ (ตอ่ )บุคคล (Personal Careand Hygiene Skills)(ต่อ)๑.๓ การใชห้ ้องนา้ ในท่ีอยอู่ าศยั ๑.๓.๑ สามารถ สว้ มได้ ๑.๓.๒ สามารถ ในบา้ นได้

๒๙ติกรรมทคี่ าดหวงั แนวทางการจดั กจิ กรรมถซือ้ เครอ่ื งแต่งกายจาก ๑) นาผู้เรียนไปตลาด/ร้านค้าจาหน่ายเครื่อง แต่ง กาย เพอื่ แนะนาสภาพแวดล้อมจริง ๒) ฝึกปฏบิ ัติในสถานการณจ์ รงิ ตามขัน้ ตอน ๓) จัดกิจกรรมร่วมกับผู้ปกครองในการใหผ้ ู้เรยี นได้ฝึก ซ้ือเครอื่ งแตง่ กายจากร้านคา้ ๔) ใหผ้ ้เู รียนได้เลือกซ้ือเครื่องแต่งกายในร้านค้าถรับรเู้ ม่ือใดที่จะตอ้ งเขา้ ห้อง ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเร่ือง การรู้จักช่วงเวลาใน การเข้าห้องส้วมในการขับถ่าย โดยผู้สอนช่วยเหลือ จนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้กิจกรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) การวเิ คราะหง์ าน ๒) การฝกึ ปฏิบตั ิโดยใช้การกระต้นุ เตอื น การปรับแต่ง พฤตกิ รรมในสถานการณจ์ าลอง ๓) การฝกึ ปฏิบัติในสถานการณจ์ ริง ๔) การเสรมิ แรงถรู้จกั อุปกรณต์ ่างๆ ในหอ้ งน้า ผสู้ อนฝึกใหผ้ ู้เรยี นปฏิบัติในเรื่อง การรูจ้ ักชื่อเรียกของ อุปกรณ์ต่างๆในห้องน้าในบ้าน และประโยชน์ของ อุปกรณ์แต่ละชนิด โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียน สามารถทาไดด้ ว้ ยตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดงั ต่อไปน้ี ๑) การอธิบายและสาธิต การใช้สื่ออุปกรณ์ต่างๆใน ห้ อ ง น้ า ใน บ้ า น ข อ ง จ ริ ง ให้ ผู้ เรี ย น ได้ รู้ จั ก ชื่ อ แ ล ะ ประโยชน์ของอปุ กรณแ์ ต่ละชนดิ

ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฤต๑. การดแู ลตนเองและ ๑.๓ การใชห้ อ้ งน้าในท่ีอยอู่ าศยั ๑.๓.๒ สามารถการดแู ลสขุ อนามัยส่วน (ตอ่ ) ในบา้ นได้บคุ คล (Personal Careand Hygiene Skills)(ต่อ) ๑.๓.๓ สามารถ ในบ้านไดด้ ว้ ยต ๑.๓.๔ สามารถ

๓๐ติกรรมท่คี าดหวงั แนวทางการจัดกจิ กรรมถรจู้ ักอปุ กรณ์ต่างๆ ในหอ้ งนา้ ๒) กิจกรรมการจับคู่ชื่ออุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้าใน บา้ น ตามสภาพความเปน็ อยจู่ รงิ ของผูเ้ รยี น ๓.นาผู้เรียนไปหอ้ งน้าเพื่อแนะนาสภาพแวดล้อมจรงิถใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆ ในหอ้ งน้า ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การใช้อุปกรณ์ต่างๆตนเอง ในห้องน้าให้เหมาะสมประเภทการใช้งาน โดยผู้สอน ช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้ถกดชักโครก/ราดนา้ ได้ กิจกรรมดังตอ่ ไปน้ี ๑) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ/สถานการณ์จาลอง ๒) การฝึกปฏิบตั ใิ นสถานการณ์จาลอง ๓) การฝกึ ปฏิบัติในสถานการณจ์ รงิ ผสู้ อนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเร่ือง การรู้จักชักโครก/โถ ส้วม รู้จักท่ีกดชักโครก/ขันน้า รู้จักวิธีกดที่กดชัก โครก/ตักน้าด้วยขันน้าแล้วราดน้าจนสะอาด โดย ผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้กิจกรรมดังต่อไปน้ี ๑) การวิเคราะห์งาน ๒) การแสดงบทบาทสมมุติ/สถานการณจ์ าลอง ๓) การฝึกปฏบิ ตั ิในสถานการณ์จาลอง ๔) การฝกึ ปฏิบตั ิในสถานการณจ์ รงิ

ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฤต๑. การดูแลตนเองและ ๑.๓ การใชห้ อ้ งนา้ ในที่อยูอ่ าศยั ๑.๓.๕ สามารถการดูแลสุขอนามัยสว่ น (ตอ่ ) ขับถ่ายได้บคุ คล (Personal Careand Hygiene Skills)(ตอ่ ) ๑.๓.๖ เม่ือใชห้ สะอาดเพ่ือผู้อื่น ผา้ อนามยั การใ

๓๑ติกรรมท่คี าดหวัง แนวทางการจดั กจิ กรรมถแต่งตัวให้เรยี บร้อยหลังการ ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การแต่งกาย หลงั จากการขับถ่าย การสารวจตนเองหลังการขับถ่าย โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วย ตนเอง โดยใชก้ ิจกรรมดังต่อไปน้ี ๑) การวิเคราะห์งาน ๒) การแสดงบทบาทสมมุติ/สถานการณจ์ าลอง ๓) การฝึกปฏบิ ัตใิ นสถานการณจ์ าลอง ๔) การฝึกปฏิบตั ิในสถานการณจ์ ริงห้องนา้ แล้วสามารถทาให้ ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การกดชักโครก/ตักนมาใชต้ อ่ ได้ (การล้าง การห่อ น้าด้วยขันน้าแล้วราดน้าจนโถส้วมสะอาดการสารวจใชก้ ระดาษชาระ) ความเรียบร้อยของบริเวณภายในห้องน้าหลังการใช้ ห้องน้าและการทาความสะอาดห้องน้าที่ตนเองเข้า หรือการห่อและทิ้งผ้าอนามัยลงในถังขยะ ในกรณีท่ี เป็นผู้หญิง โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทา ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยใชก้ จิ กรรมดังต่อไปนี้ ๑) การวิเคราะห์งาน ๒) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ/สถานการณจ์ าลอง ๓) การฝกึ ปฏบิ ตั ิในสถานการณจ์ าลอง ๔) การฝึกปฏบิ ตั ใิ นสถานการณจ์ ริง ๕) กิจกรรมการล้าง การห่อผ้าอนามัย การใช้ กระดาษชาระ

ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฤต ๑.๔.๑ รบั รเู้ ม่อื๑. การดูแลตนเองและ ๑.๔ การใชห้ อ้ งนา้ ในที่ สาธารณะการดูแลสุขอนามยั ส่วน สาธารณะบุคคล (Personal Care ๑.๔.๒ รจู้ ักป้ายand Hygiene Skills) ห้องน้าสาธารณ(ต่อ)

๓๒ตกิ รรมท่ีคาดหวัง แนวทางการจัดกิจกรรมอใดที่จะต้องเข้าหอ้ งน้าในที่ ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเรื่อง การรู้จักช่วงเวลาในยสญั ลักษณ์ท่เี กีย่ วกบั การใช้ การเข้าห้องน้าที่สาธารณะ โดยผู้สอนช่วยเหลือจนณะ ผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้กิจกรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) การวเิ คราะห์งาน ๒) การฝกึ ปฏิบตั ใิ นสถานการณจ์ าลอง ๓) การฝกึ ปฏิบัติในสถานการณ์จริง ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเร่ือง รู้จักบอกชื่อและ แยกแยะป้ายห้องน้า เช่น ป้ายทางไปห้องน้า ห้องน้า ผู้หญิงหรือห้องน้าผู้ชาย ป้ายห้องน้าคนพิการ ป้าย ห้องน้าสาธารณะท่ีตนเองต้องเข้าใช้ โดยผู้สอน ช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้ กิจกรรมดังตอ่ ไปน้ี ๑) การอธบิ ายและยกตวั อย่าง ๒) กิจกรรมการจับคู่และการแยกแยะป้ายให้ เหมาะสมกับการใช้ ๓) กจิ กรรมการฝกึ สงั เกตปา้ ยห้องน้าในที่สาธารณะ ๔) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ ๕) การฝกึ ปฏิบตั ใิ นสถานการณ์จาลอง ๖) การฝกึ ปฏบิ ัติในสถานการณ์จริง

ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฤต๑. การดแู ลตนเองและ ๑.๔ การใชห้ อ้ งน้าในที่ ๑.๔.๓ รบั รวู้ า่ หการดูแลสุขอนามัยสว่ น สาธารณะ (ต่อ) ไหนบคุ คล (Personal Careand Hygiene Skills)(ต่อ) ๑.๔.๔ รคู้ วามแ สาธารณะ ชาย

๓๓ติกรรมท่คี าดหวงั แนวทางการจดั กจิ กรรมห้องนา้ สาธารณะอยบู่ รเิ วณ ผ้สู อนฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติในเร่ือง ตาแหนง่ ท่ตี ้ังห้องน้าแตกตา่ งระหวา่ งห้องนา้ สาธารณะในชีวิตประจาวันในชุมชน เช่น ห้องน้า หรอื หญงิ ภายในวดั หอ้ งน้าในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสง่ เสริม สุขภาพตาบล ห้องน้าในโรงเรียน (ขึ้นอยู่กับบริบท ของผู้เรียนแต่ละคน) ชีวิตประจาวันนอกชุมชน เช่น ห้องน้าภายในโรงพยาบาล ห้องน้าในห้างสรรพสินค้า ห้องน้าในสถานีตารวจ เป็นต้น ในสถานการณ์จริง โดยผู้สอนช่วยเหลือจนผู้เรียนสามารถทาได้ด้วย ตนเอง โดยใช้กิจกรรมดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) การอธบิ ายและยกตวั อย่าง ๒ ) น า ผู้ เรี ย น ไป ส ถ า น ที่ จ ริ ง เพ่ื อ แ น ะ น า สภาพแวดล้อมจริง ๓) ฝกึ ปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์จริงตามขั้นตอน ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนโดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างห้องน้าชายหรือหญิงในการ ดูจากสถานที่จริง ที่หลากหลายในแตล่ ะสถานท่ี โดยผู้สอนช่วยเหลือจน ผู้เรียนสามารถทาได้ด้วยตนเอง โดยใช้กิจกรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) การอธบิ ายและยกตวั อยา่ ง ๒) กิจกรรมฝกึ สังเกตหอ้ งน้าในทสี่ าธารณะ ๓) กิจกรรมบอกความแตกต่างในภาพ ๔) การฝึกปฏบิ ตั ใิ นสถานการณ์จาลอง