เอกสารประกอบการสอน TP510 ึฝกปฏิบั ิตวิชา ีชพระหว่างเ ีรยน วาสนา ิวสฤตาภา เอกสารประกอบการสอน TP510 ฝึกปฏิบตั วิ ชิ าชีพระหว่างเรยี น วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ ย์ 110/1-4 ถนนประชาช่ืน เขตหลกั สี่ 02-954-7300 ต่อ 427 02-954-9730
สารบญั ประมวลการสอนและแผนการสอน (มคอ.3) ............................................................................................ ก วธิ จี ดั การเรียนการสอน .............................................................................................................................ง สัดสวํ นการให๎คะแนน (จําแนกตามด๎านผลกการเรียนร๎ู) ............................................................................ง บทที่ 1 ระบบความคดิ ทางการศึกษา ระบบการศึกษาข้นั พื้นฐานกับการพฒั นาความเป็นครูมอื อาชพี .... 1 1.1 ระบบความคิดทางการศึกษา......................................................................................................... 3 1.2 ระบบการศึกษาข้ันพื้นฐานกับการพัฒนาความเปน็ ครูมืออาชีพ ................................................... 10 บทที่ 2 การเรยี นรูเ๎ ชิงก๎าวหน๎า วธิ สี อนเพอื่ สํงเสรมิ ศกั ยภาพของผเ๎ู รยี นในศตวรรษที่ 21 กรณีศึกษา: การเรียนรจ๎ู ากครูตน๎ แบบ ครูสอนดี....................................................................................................... 33 2.1 เทคนิการสอนเชงิ กา๎ วหน๎า........................................................................................................... 34 2.2 กรณีศึกษา : การเรยี นร๎จู ากครูตน๎ แบบ ครสู อนดี......................................................................... 41 บทท่ี 3 รูปแบบการสอน ........................................................................................................................ 44 3.1 รูปแบบเนน๎ ดา๎ นพุทธพิ ิสยั ............................................................................................................ 47 3.2 รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน๎ การพัฒนาด๎านจติ พสิ ัย (Affective Domain)............................. 50 3.3 รูปแบบเนน๎ ดา๎ นทักษะพิสัย ......................................................................................................... 55 3.4 รูปแบบเนน๎ ทกั ษะกระบวนการ.................................................................................................... 59 3.5 รูปแบบเนน๎ การบรู ณาการ........................................................................................................... 61 บทที่ 4 การจัดทําแผนการเรียนรู๎ การเลอื กใช๎ การผลิตส่ือ นวัตกรรมท่สี อดคล๎องกบั การจัดการเรียนร๎ู 76 4.1 การจดั ทําแผนการเรยี นร๎ู............................................................................................................. 77 4.2 การเลอื กใช๎ การผลติ สอื่ .............................................................................................................. 85 4.3 การวัดและประเมินผลการจัดการเรยี นร๎ูโดยเนน๎ ผเ๎ู รียนเปน็ สาํ คญั .............................................108 4.4 การบนั ทึกและรายงานผลการจัดการเรยี นรู๎ .............................................................................120 4.5 การวจิ ัยเพื่อแก๎ปญั หาผเ๎ู รียน .....................................................................................................121 บทท่ี 5 วธิ ีการสอน และเทคนิคการสอนตํางๆ .....................................................................................133 5.1 การบรรยาย วิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยาย (Lecture Method)....................................................134 5.2 การอภิปราย – การแบงํ กลมุํ ยอํ ย ..............................................................................................150 5.3 การสอนแบบนริ นัย (Deduction) วธิ สี อนโดยใชก๎ ารนริ นัย (Deductive Method) ................152 1
5.4 วธิ สี อนโดยใชก๎ ารอุปนัย (Induction Method).......................................................................159 5.5 การสอนแบบรวํ มมือ การจัดการเรียนรูแ๎ บบรวํ มมือ (Cooperative Learning) ....................168 5.6 การสอนแบบบทบาทสมมุติ วิธสี อนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) ................194 5.7 การไปทัศนศึกษา ......................................................................................................................222 5.8 Research Based Learning Research-Based Learning (RBL)............................................223 5.9 การสอนแบบโครงงาน/โครงการ (Project Method)................................................................228 5.10 การสอนแบบสาธิต วธิ สี อนโดยใช๎การสาธติ (Demonstration Method) .............................230 5.11 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน Inquiry Method ...................................................................241 5.12 การสอนแบบทดลอง (Experimental Method)...................................................................255 5.13 Problem Based Learning (Problem-Based Learning) ...................................................265 5.14 การสอนแบบศนู ย์การเรียน (Learning Center).....................................................................274 5.15 วิธสี อนโดยใชเ๎ กม (Game Method) .....................................................................................288 5.16 การสร๎างผงั ความคิด หรือแผนทคี่ วามคิด (Concept Mapping Mind Map) ......................301 เอกสารอา๎ งองิ ......................................................................................................................................308 2
บทท่ี 1 ระบบความคิดทางการศึกษา ระบบการศึกษาขัน้ พื้นฐาน กบั การพฒั นาความเป็นครมู อื อาชพี หวั เร่ือง 1. ระบบความคิดทางการศึกษา 2. ระบบการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานกับการพัฒนาความเปน็ ครูมืออาชีพ 3. การจัดการศึกษาประเทศตํางๆ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให๎ผูเ๎ รยี นมีความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ระบบความคดิ ทางการศึกษา 2. เพื่อให๎ผเ๎ู รียนเขา๎ ใจเก่ียวกับระบบการศกึ ษาของประเทศไทย 3. เพื่อเรียนร๎ูการจัดการศึกษาในตํางประเทศ กจิ กรรมระหวา่ งเรยี น ผูส๎ อนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพอื่ ให๎ผ๎เู รียนเกดิ การเรียนรู๎ ทักษะและการคิดวเิ คราะห์ ดังนี้ 1. บรรยาย อภปิ ราย ซักถาม กระตุน๎ ใหเ๎ กิดการแลกเปลี่ยนเรียนร๎ูเกี่ยวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่ีสอนระหวาํ งผ๎สู อนกับผเ๎ู รียนและระหวํางผูเ๎ รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอรเ์ นต็ 3. ทาํ การศึกษาจากกรณศี กึ ษาทั้งในรปู แบบเอกสารและวดิ ีโอ 4. การทํางานกลํุมเพื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพื่อการแลกเปล่ียนเรียนรู๎ ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระท่ีเก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรยี น 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเ๎ู รียนและผู๎สอนรํวมสรปุ ประเดน็ การเรยี นรู๎ สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตาํ รา งานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข๎อง 2. สอื่ ดิจทิ ลั จากอนิ เทอรเ์ นต็ และสไลด์นาํ เสนอ
การประเมนิ ผล 1. การสวํ นรํวมกับกิจกรรมในช้ันเรียนของผเู๎ รียน ความสามารถในการวิเคราะหป์ ระเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการคน๎ ควา๎ ตามประเด็นของเนื้อหา 3. ผลการสอบของรายวิชา ระบบความคดิ ทางการศึกษา ระบบการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานกับ การพฒั นาความเป็นครูมอื อาชพี พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ.2542 แก๎ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 กลําววําการศึกษาหมายถึง กระบวนการเรียนรู๎เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคล และสังคม โดยการถํายทอดความร๎ู การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร๎างสรรค์จรรโลง ความก๎าวหน๎า ทางวิชาการ การสร๎างองค์ความร๎ูอันเกิดจากการจัดสภาพแวดล๎อม สังคม การเรียนร๎ูและ ปจั จยั เกื้อหนุนให๎ บุคคลเรียนรอ๎ู ยํางตํอเน่ืองตลอดชีวิต “การศึกษาข้ันพื้นฐาน” หมายความวํา การศึกษา กํอนระดับอุดมศึกษา “การศึกษาตลอดชีวิต” หมายความวํา การศึกษาท่ีเกิดจากการผสมผสานระหวําง การศกึ ษา ในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่ือให๎สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได๎ อยํางตํอเนื่อง ตลอดชีวิต “สถานศึกษา” หมายความวํา สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หนํวยงานการศึกษาหรือหนํวยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ท่ีมีอํานาจ หน๎าที่หรือมี วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา “สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน” หมายความวํา สถานศึกษาที่จัด การศึกษาขัน้ พื้นฐาน “มาตรฐานการศึกษา” หมายความวํา ข๎อกําหนดเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพท่ีพึง ประสงค์ และมาตรฐานท่ีต๎องการให๎เกิดข้ึนในสถานศึกษาทุกแหํง และเพื่อใช๎เป็นหลักในการเทียบเคียง สาํ หรบั การ สงํ เสรมิ และกาํ กับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพทางการศึกษา “การประกันคุณภาพภายใน” หมายความวํา การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ คุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดย หนํวยงาน ต๎นสังกดั ทม่ี หี นา๎ ทกี่ าํ กับดูแลสถานศกึ ษานัน้ “การประกันคุณภาพภายนอก” หมายความวํา การประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบ คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยสํานักงานรับรองมาตรฐาน และประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาหรือบุคคลหรือหนํวยงานภายนอกท่สี าํ นกั งานดงั กลาํ วรับรอง เพื่อเป็นการ ประกันคุณภาพ และให๎มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา “ผ๎ูสอน” หมายความวํา ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับตําง ๆ “ครู” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพซ่ึงทํา หน๎าท่ีหลักทางด๎านการเรียนการสอนและการ สํงเสริมการเรียนรู๎ของผู๎เรียนด๎วยวิธีการตํางๆ ใน 2
สถานศกึ ษาท้งั ของรฐั และเอกชน “คณาจารย์” หมายความวํา บุคลากรซึ่งทําหน๎าท่ีหลักทางด๎านการสอน และการวิจัยใน สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาของรัฐและเอกชน “ผ๎ูบริหารสถานศึกษา” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษา แตํละแหํง ทั้งของรัฐและเอกชน “ผู๎บริหารการศึกษา” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพท่ีรับผิดชอบการบริหารการศึกษานอก สถานศึกษา ต้ังแตํระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป “บุคลากรทางการศึกษา” หมายความวํา ผ๎ูบริหารสถานศึกษา ผู๎บริหารการศึกษา รวมท้ังผู๎สนับสนุนการศึกษาซ่ึงเป็นผู๎ทําหน๎าที่ให๎บริการ หรือปฏิบัติงานเก่ียวเน่ืองกับ การจัดกระบวนการเรยี นการ สอน การนเิ ทศ และการบรหิ ารการศกึ ษาในหนวํ ยงานการศึกษาตาํ ง ๆ 1.1 ระบบความคิดทางการศึกษา กระบวนการดําเนินการใหมนุษยไดรับการศึกษาน้ีหากรัฐยังไมเขามาดูแล ก็เปนเร่ืองท่ี คนใกลชิด เชน ครอบครัวหรือญาติมิตรเพ่ือนฝูงทําหนาที่อบรมส่ังสอนกันเอง เพ่ือใหผูรับการอบรม สามารถอยูรวมกับ สังคมขนาดยอมน้ันได แตเมื่อสังคมขยายตัวมากข้ึนจนปจจุบันกลายเปนสังคม ระดับประเทศ การให การศึกษาตองเปนไปอยางระบบ ตองมีการจัดการ มีเปาหมาย มีรูปแบบ กระบวนการ มีการลงทุน และมี ผูรับผิดชอบ ดังที่เราเรียกโดยรวมวา การจัดการศึกษา คือ ทําทุกอยําง อยางเปนระบบทที่ ุกสวนมีความสัมพนั ธเชื่อมโยงกนั นโยบายรัฐบาลกับการศึกษา รัฐบาลมีนโยบายเก่ียวกับการศึกษาคือ พระราชบัญญัติ การศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งได๎นิยาม คําวํา “การศึกษา” ไว๎ในมาตรา 4 วํา “การศึกษา เป็น กระบวนการเรียนร๎ูเพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและ สังคม โดยการถํายทอดความรู๎ การฝึก การ อบรม การสืบสานทางวฒั นธรรม การสรา๎ งสรรจรรโลง ความกา๎ วหน๎าทางวิชาการ การสร๎างองคค์ วามร๎ูอัน เกิดจากการจัดสภาพแวดล๎อม สังคม การเรียนร๎ูและปัจจัย เก้ือหนุนให๎บุคคลเรียนร๎ูอยํางตํอเน่ืองตลอด ชีวิต” นอกจากนี้ ในมาตรา 6 ได๎กําหนดความมํุงหมายไว๎วํา “การจัดการศึกษาต๎องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคน ไทยให๎เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งด๎านรํางกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู๎ และ คุณธรรม มีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยํูรํวมกับผ๎ูอ่ืนได๎อยํางมีความสุข” จากนิยาม และความมุํงหมาย ดังกลําว จะเห็นได๎อยํางชัดเจนวําการศึกษาเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนามนุษย์ให๎มีความสมบูรณ์ และ การเรียนรู๎ของมนุษย์นั้นสามารถเรียนร๎ูได๎ตลอดเวลา รัฐบาลโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน ได๎กําหนดนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต โดยให๎มีการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้ง ระบบเพื่อพัฒนาครตู ามสมรรถนะให๎เปน็ ครดู ี ครูเกํง มีคุณภาพ คุณธรรม จงึ ได๎จัดโครงการพัฒนาครูท่ีเน๎น การสรา๎ งความเขม๎ แข็งของสมรรถนะด๎านการจัดการเรียนการสอนในบริบทท่ีหลากหลายของลักษณะและ ขนาดของโรงเรียน โดยใช๎กระบวนการสร๎างระบบพี่เล้ียง coaching และให๎เป็นไปตามความต๎องการ จําเป็นของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา โดยให๎สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษา/มัธยมศึกษา ประสานสถาบันอุดมศึกษาเพ่ือรํวมเป็นคํูพัฒนาการจัดพัฒนาให๎เน๎นรูปแบบ การพัฒนาฐานโรงเรียนในขณะปฏิบัติการสอน (on the Job training) และให๎มีระบบสนับสนุนใน 3
รปู แบบการ coaching และ mentoring โดยให๎เน๎นการพัฒนาเพื่อเสริมสร๎างจิตวิญญาณและ อุดมการณ์ ของความเป็นครู การพัฒนาผู๎เรียนให๎มีความรู๎ความสามารถด๎าน literacy, numeracy และ reasoning ability ตามระดับช้ัน ควบรวมกับกระบวนการจัดการเรียนรู๎กลุํมสาระการเรียนร๎ู หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามแนวทางของการเรียนรู๎ในศตวรรษที่ 21 ด๎วยการออกแบบ จัดท า และพัฒนาหลักสูตร ส่ือ และวิธีการพัฒนาครู ให๎ครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 และเหมาะสมกับระดับช้ันที่สอน แล๎วจึงประเมินสมรรถนะกํอนการพัฒนา และด าเนินการ พัฒนาครูตามหลักสูตร โดยก าหนดกรอบระยะเวลาในการพัฒนาไมํน๎อยกวํา 5 วันดังน้ี (1) กิจกรรม classroom เน๎นด๎านเนื้อหาและกระบวนการรวมท้ังการฝึกปฏิบัติ 2 วัน (2) กิจกรรม แลกเปลยี่ นเรยี นรู๎ ณ สถานศึกษาไมํน๎อย กวํา 3 คร้ัง และจะต๎องมีกระบวนการนิเทศ ติดตามประเมินผล ดว๎ ย 1) ความหมายและแนวคดิ ระบบการศึกษา หมายถงึ การกาํ หนดหลักสตู ร จุดมุํงหมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และ แนวทางในการจดั การศกึ ษา เพอื่ ให๎การศึกษาชวํ ยพฒั นาชวี ติ ของคนไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ การศกึ ษาเปน็ กระบวนการสร๎างและพฒั นาประชากรของประเทศให๎มีพลัง มีความสามารถที่ จะพัฒนาประเทศชาติให๎เจริญก๎าวหน๎าอยํางมีสันติสุข การศึกษาจึงเป็นเคร่ืองมือพัฒนาพัฒนาประชากร และประเทศชาติ และการที่จะดําเนินไปได๎อยํางมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต๎องอาศัยกระบวนการ ศึกษาทีไ่ ด๎รับการพัฒนามีดแี ลว๎ การศกึ ษามสี วํ นสําคญั และจาํ เปน็ ในการพัฒนาประเทศใหร๎ ุํงเรืองทงั้ ทางด๎านเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง การปกครอง และวัฒนธรรม เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการ ถาํ ยทอดวฒั นธรรม และสร๎างภูมิปัญญาให๎แกํสังคม ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต๎องมีเน้ือหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่ สอดคล๎องกับวัตถุประสงค์ มีหลักการท่ีดี และจําเป็นต๎องอาศัยการบริหารท่ีกระจายอํานาจให๎ผ๎ูที่มีสํวน เกี่ยวขอ๎ งและชุมชนได๎เข๎ามามีสวํ นรํวมให๎มากทสี่ ดุ ระบบการศึกษาไดร๎ บั การพัฒนามาตลอด แตํยังไมสํ ามารถบรรลุผลตามที่กําหนดไว๎เทําใดนัก เพราะยังมีปัญหาด๎านคุณภาพของผลผลิต ด๎านการกระจายโอกาสทางการศึกษา ด๎านการบริหาร การศกึ ษา และด๎านการระดมสรรพกําลงั เพ่ือจัดการศึกษา ความจําเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให๎สอดคล๎องกับเง่ือนไข และการเปลี่ยนแปลง ด๎านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอยํางเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผ๎ูที่เกี่ยวข๎องต๎องตระหนัก ท้ังนี้เพ่ือให๎ สามารถพฒั นาประเทศไดอ๎ ยาํ งเหมาะสมกบั สภาพ และความต๎องการของประเทศในอนาคต 4
ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให๎เป็นผ๎ูมีปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพ้ืนฐาน หรือศักยภาพทจี่ ะพัฒนาตนเองและสังคมตํอไป กอปรทั้งให๎ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงาน สาํ หรบั พฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศจําเปน็ ต๎องอาศัยกระบวนการศึกษาทด่ี ี ระบบการศึกษาท่ีดีจะต๎องมีความยืดหยุํน ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนตามความสนใจ ความพร๎อม ได๎ อยํางตํอเน่ืองตลอดเวลาและตลอดชีวิต มีเครือขํายการเรียนรู๎ท่ีสามารถถํายทอดความร๎ูประเภทตํางๆ จากแหลํงตาํ งๆ ไปยังผู๎เรยี นได๎อยาํ งตอํ เนอื่ งโดยอาศัยท้ังระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบ โรงเรยี น 2) ระบบการศกึ ษาทด่ี ี ระบบการศึกษามีบทบาทสําคัญย่ิงในการจัดการศึกษาของประเทศ ถ๎าระบบการศึกษาที่ กําหนดไว๎ดี สอดคล๎องกับสภาพ ปัญหา และความต๎องการของท้ังสํวนตนและประเทศก็จะสํงผลดีตํอชีวิต ความเป็นอยํูของพลเมือง เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา เน่ืองจากระบบการศึกษามีผล เกี่ยวโยงถึงด๎านกําลังคนหรือกําลังแรงงานของประเทศในระดับตํางๆ เพราะระบบการศึกษาเป็น กระบวนการผลิตกาํ ลงั คนทสี่ ําคัญยง่ิ ดังนน้ั จงึ ควรอยใํู นกรอบแนวคดิ ตํอไปน้ี 1) กาํ หนดความมงุํ หมายในการจัดการศึกษา โดยเนน๎ ความมุงํ หมายหลกั 3 ประการ คือ (1) ตอ๎ งจัดการศึกษาเพ่ือให๎เป็นคนรจู๎ กั คดิ อยํางมีเหตผุ ล มรี ะเบียบวนิ ยั และ ขยนั ขนั แข็งในอาชพี การงาน (2) ต๎องจดั การศึกษาให๎มีทกั ษะในวชิ าชพี และประยุกตใ์ ชเ๎ ทคโนโลยที ่เี หมาะสม (3) ต๎องจดั การศกึ ษาโดยระดมสรรพกําลังจากภาคเอกชน สถานประกอบการและ หนํวยงานของรฐั เขา๎ มามีสวํ นรวํ มในการจดั การศกึ ษาอบรม 2) จดั การศึกษาให๎สอดคลอ๎ งกับการเกษตรแผนใหมทํ ปี่ ระยุกตใ์ ชเ๎ ทคโนโลยีและการจัดการที่ เหมาะสม เพราะเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนสํวนใหญํ ดังน้ันระบบการศึกษาจะต๎องพัฒนาบุคคล ใหม๎ ที ักษะในวชิ าชีพอยํางแทจ๎ ริงและนาํ เอาการศึกษานอกระบบโรงเรยี น และการฝึกปฏบิ ัตกิ ารมาใช๎ 3) จัดระบบการศึกษาให๎สอดคล๎องกับการประกอบอาชีพ โดยการนําเทคนิควิทยามาใช๎ กอปรทง้ั ให๎รูถ๎ งึ การจัดการ การตลาด และการวจิ ัยค๎นคว๎า 4) จัดแก๎ไขปัญหาการผลิตกําลังคน โดยการขยายสวัสดิการสังคม การสํงแรงงานไปทํางาน ตาํ งประเทศ และการสร๎างงานใหมํๆ 5) จัดระบบการศกึ ษาทส่ี งํ เสริมการจัดวิชาชีพทง้ั ในระบบโรงเรยี น นอกระบบโรงเรยี น การ สํงเสรมิ อาชีพ ตลอดทง้ั การวจิ ยั และสงํ เสริมกจิ กรรมพัฒนาชนบท ในการพจิ ารณาปรับปรุงระบบการศกึ ษาน้ัน ควรยดึ หลักการตํอไปนี้ 1) การศึกษาต๎องสรา๎ งเสรมิ ใหบ๎ คุ คลคดิ เป็น ทําเปน็ แก๎ปัญหาเป็นและสามารถดาํ รงตนอยํู ในสงั คมได๎อยํางตามอัตภาพ 5
2) การศึกษาจะตอ๎ งสอดคล๎องกบั สภาพทอ๎ งถ่ิน และการประกอบอาชีพในท๎องถิน่ 3) การศึกษาจะต๎องสร๎างบุคคลให๎มีพน้ื ฐานความรท๎ู างด๎านวิชาชพี ท่เี หมาะสมกบั วยั และ ระดบั การศกึ ษา 4) การจัดการศึกษาจะตอ๎ งปลกู ฝังและสร๎างบุคคลให๎มีความสํานกึ รับผดิ ชอบและมีสํวนรวํ ม ตอํ การพัฒนาท๎องถน่ิ อันเป็นแหลงํ ภูมิลาํ เนาของตน 5) ในการจดั การศึกษาเพ่ือประโยชน์ตํอประชาชนจะตอ๎ งใหเ๎ อกชน สถานประกอบการ และ ทอ๎ งถ่นิ เขา๎ มามีสํวนรวํ มรบั ผิดชอบในการจดั การศึกษาทางด๎านวิชาชีพการเลย้ี งดูอบรมเดก็ และการรกั ษา ดุลยภาพของสังคมในดา๎ นกาํ ลงั คน ดังน้นั แนวการจดั ระบบการศกึ ษาควรพจิ ารณาดําเนินการ ดังนี้ 1) ควรจัดเป็นระบบคูํขนานระหวํางในระบบโรงเรยี นและนอกระบบโรงเรยี นเพอ่ื ใหโ๎ อกาส แกทํ ุกคนในทกุ สถานการณ์ และสอดคล๎องกับความจาํ เปน็ 2) ควรเปิดโอกาสใหห๎ นวํ ยงานและสถานประกอบการเข๎ามามีสวํ นรํวมฝึกอบรมบคุ ลากรตาม ความต๎องการของตน และสังคม 3) จะต๎องสอดคล๎องกับอาชีพของแตํละท๎องถ่ิน และความเปน็ จรงิ ในสังคม 4) จะต๎องเบ็ดเสรจ็ ในตวั เองทุกระดบั เพื่อให๎คนออกสตูํ ลาดแรงงานมากกวาํ การเรยี นตอํ ใน ระดับสูง 5) จะตอ๎ งชกั จูงใหค๎ นสามารถประกอบอาชีพสวํ นตวั ได๎ 6) จะตอ๎ งเป็นการศึกษาทมี่ ํงุ ปรบั ปรุงตน เพ่ือให๎สามารถพฒั นาอาชีพพ้นื บ๎านดว๎ ยการใช๎ เทคโนโลยแี ละวธิ กี ารท่ีเหมาะสม และเป็นการศึกษาทค่ี วรให๎ผูเ๎ ข๎ารับการศึกษาอยูํในทอ๎ งถิน่ มากกวําตวั เมอื ง 7) จะต๎องเปน็ การศึกษาที่สามารถปรบั ปรุงมาตรฐานการดาํ รงชวี ิตและการประกอบอาชีพ ดว๎ ยการพจิ ารณา และเรมิ่ ตน๎ จากสิ่งท่เี ขาเปน็ อยํู และมีอยูํ 8) จะต๎องเน๎นการปฏิบตั ิควบคไํู ปกบั การเรยี นทางวิชาการ 9) การฝึกอาชพี และการฝึกบคุ คลให๎เปน็ พลเมืองดจี ะต๎องจดั ทําควบคูกํ ับไป ไมคํ วรแยกหาํ ง จากกนั 10) ระบบการศึกษาและระบบอื่นๆ ของสงั คม จะต๎องประสานสมั พนั ธเ์ กื้อหนุนกัน และไมํ ควรแยกชนบทและเมืองออกจากกัน 11) ระบบโรงเรียนทกุ ประเภทและระดับจะต๎องประสานสัมพนั ธก์ ัน และเก้ือหนุนกัน 6
พนม พงษ์ไพบูลย์ (อ๎างถึงใน อําพร เรืองศรี, 2560) ได๎เสนอรูปแบบ และระบบการศึกษาท่ี พึงประสงค์เพื่อสนองความต๎องการในการพัฒนาประเทศ ซึ่งถือได๎วําเป็นระบบการศึกษาที่ดี โดยกําหนด เปน็ เชิงแนวทาง หลกั การในการกําหนดจดุ หมาย หลักการจดั การศึกษา และวธิ ีจดั การศึกษา สาํ หรบั หลักการจัดการศกึ ษาเพอ่ื ใหเ๎ กดิ ประสิทธิภาพ และคุณภาพควรยดึ หลักการตํอไปนี้ 1. หลกั ความกว๎างขวางและเป็นธรรม เพื่อให๎แตลํ ะคนไมํวาํ จะแตกตํางกันดา๎ นเพศ วัย และ ฐานะทางเศรษฐกจิ และสงั คม ได๎มีโอกาสได๎รักการบริหารการศึกษาท่เี หมาะสมสอดคลอ๎ งกับความ ต๎องการ และความสามารถ ณ ถิน่ ท่ีอยขํู องตนได๎อยาํ งตลอดเวลาและตํอเน่ืองกนั ตลอดชวี ิต 2. หลกั ความสมดุล ควรจัดการศึกษาใหผ๎ เ๎ู รียนได๎พัฒนาความสมดุลระหวาํ งปญั ญา คณุ ธรรม และสมรรถภาพพืน้ ฐานกับความร๎ูและทักษะสําหรับการประกอบอาชีพ 3. หลกั ความสอดคลอ๎ ง นน่ั คือ สอดคล๎องกบั สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของสงั คมในระดับตํางๆ ทัง้ ในเขตเมืองและชนบท 4. หลกั ความหลากหลาย การจดั การศึกษาควรจัดใหม๎ คี วามหลากหลายท้ังรูปแบบ เน้ือหา และวธิ ีการ 3) พัฒนาการของระบบการศกึ ษาไทย อําพร เรอื งศรี (2560) กลาํ วถงึ ระบบการศกึ ษาของไทยมีววิ ฒั นาการมาอยาํ งตอํ เน่ือง เปน็ ระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งอาจแบงํ ออกเป็น 4 สมยั คือ - สมยั สโุ ขทัยจนถงึ ต๎นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ - สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 - สมยั หลังการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถงึ พ.ศ. 2534 - สมัยปัจจุบนั ตามแผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2535 ลักษณะของระบบการศึกษาท้ัง 4 สมัย ดังกลาํ ว พอประมวลสรุปไดด๎ ังนี้ 1. สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ลักษณะของระบบการศึกษาในชํวงนี้ยังไมํเป็นแบบแผนชัดเจน สํวนใหญํเป็นการศึกษา สําหรับเด็กชาย ซ่ึงเป็นการศึกษาหาความร๎ูด๎านวิชาการและศิลปะ สถานที่การศึกษามักเป็นที่วัด ราชสํานัก และบ๎านเจ๎านายชั้นสูง การศึกษาด๎านวิชาชีพจะมีสอนและถํายทอดภายในวงศ์ตระกูล และในหมํูเครือญาติ สํวนเด็กหญิงจะมีการฝึกงานบ๎านในครอบครัว ราชสํานัก และบ๎านเจ๎านายชั้นสูง ประชาชนนยิ มนําบุตรหลานไปไว๎กับเจ๎านายและผ๎ูมีศักดินาสูงเพื่อให๎ใช๎สอย และฝึกงานเพ่ือคาดหมายวํา จะได๎มโี อกาสเขา๎ รบั ราชการ ได๎ยศถาบรรดาศกั ด์ติ อํ ไป อยํางไรก็ดี ประเทศตะวันตกเร่ิมเข๎ามามีบทบาทในการศึกษาไทยในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสเข๎ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและตํอจากนั้นก็มีประเทศอื่นๆ ตดิ ตามมา 7
2. สมัยรชั กาลท่ี 5 จนถึงการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ลักษณะการศึกษาในชํวงน้ีเริ่มเป็นระบบแบบแผน แตํยังไมํเป็นมาตรฐานนัก เปน็ ชํวงที่การศึกษาเจริญรุํงเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ทรงเล็งเห็นความสําคัญ ของการศึกษาในฐานะท่ีเป็นรากฐานของความสําเร็จในทุกด๎าน ผ๎ูได๎รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหมํจะ สามารถนําความร๎ูเหลําน้ันมาพัฒนาบ๎านเมือง ดังน้ัน จึงทรงสํงเสริมให๎จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาสนาชาวอเมริกันมีบทบาทในการเปล่ียนแปลงระบบการศึกษาของไทยเป็นอยํางมาก เร่ิมมีการต้ังโรงเรียนเพื่อฝึกคนเข๎ารับราชการ มีการจัดต้ังโรงเรียนสําหรับราษฎรทั่วไป สถาปนา มหาวทิ ยาลัยแหํงแรกข้ึน คือ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในชํวงนี้มีโครงการศึกษาและแผนการศึกษาข้ึนหลายฉบับ อยํางไรก็ดี ในแตํละ ฉบับมิได๎ระบุจุดมํุงหมายไว๎อยํางชัดเจน นอกจากนั้นยังมีการประกาศใช๎พระราชบัญญัติประถมศึกษาข้ึน เม่ือ พ.ศ. 2464 เพ่อื ให๎ประชาชนเขา๎ รับการศกึ ษาโดยถว๎ นหน๎า 3. สมยั หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถงึ พ.ศ. 2534 ในชํวงนี้การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากท่ีสุด มีแผนการศึกษาชาติ และแผนการศึกษาแหํงชาติเกิดข้ึนหลายฉบับจนถึงแผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2520 ในแตํละแผนมี ความสําคัญตํอการพัฒนาการศึกษาในแตํละยุคแตํละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมํุงหมายของการศึกษาเป็น ลายลักษณ์อักษรไว๎ชัดเจน และเปล่ียนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงด๎านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ลักษณะของการศึกษาคํอนข๎างเอนเอียงไปตามแนวคิดด๎านการศึกษาของอเมริกา โดยปรากฏชัดเจนใน แผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2503 เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 กํอให๎เกิดการเปล่ียนแปลงทาง ความคิดด๎านการศึกษามาก โดยมํุงเน๎นการใช๎การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาคนในการออกไปรับใช๎สังคม และประเทศชาติ ซ่ึงนําไปสํูการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2517 ซึ่งเน๎นการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม ขอ๎ สงั เกตของระบบการศึกษาในชวํ งนก้ี ค็ ือ สวํ นใหญํเนน๎ การศกึ ษาในระบบโรงเรยี น เม่ือมีประกาศใช๎แผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2520 การศึกษาจะเน๎นหนักให๎ เป็นการศึกษาเพ่ือชีวิตและสังคม เป็นกระบวนการตํอเนื่องกันตลอดชีวิต มุํงพัฒนาคุณภาพพลเมืองให๎ สามารถดาํ รงชวี ิต ทาํ ประโยชน์แกํสงั คม แผนการศกึ ษาแหงํ ชาติฉบบั นแี้ บํงระบบการศึกษาเป็น 2 ระบบชัดเจน คือ - การศกึ ษาในระบบโรงเรียน และ - การศึกษานอกโรงเรยี น การศึกษาในระบบโรงเรยี นมี 4 ระดบั คือ กอํ นประถมศึกษา ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และอุดมศกึ ษา โดยการจดั การมลี ักษณะและประเภทตํางๆ เพือ่ ให๎เกดิ ความเสมอภาคทาง การศกึ ษา 8
4. สมัยปจั จบุ ันตามแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 แผนการศึกษา พ.ศ. 2535 ทใี่ ชอ๎ ยูํปัจจุบนั มีลกั ษณะท่ปี รากฏหลายประการได๎แกํ 1) กาํ หนดหลักการ ท่ีสาํ คัญ 4 หลักการ - หลกั การสร๎างความเจริญงอกงามและหลักความสมดุลระหวํางความเจริญทาง จิตใจกับทางวัตถแุ ละเศรษฐกิจ - หลักการกลมกลนื และเกื้อกลู ซง่ึ กนั และกันระหวํางมนุษย์กับสง่ิ แวดลอ๎ ม - หลักการความกา๎ วทนั กบั ความเจริญก๎าวหน๎าทางวิทยาการสมยั ใหมํ ซึ่งควบคํู ไปกับคณุ คําทางภมู ปิ ญั ญา ภาษา และวฒั นธรรมดง้ั เดิมของทอ๎ งถ่นิ และสังคมไทย - หลกั ความสมดุลระหวาํ งการพงึ พาอาศัยกนั กบั การพึ่งพาตนเอง 2) กาํ หนดจุดมงํุ หมาย ที่ครอบคลมุ ท้ังด๎านปัญญา ด๎านจิตใจ ด๎านรํางกายและด๎าน สงั คม 3) วางระบบการศึกษา ซ่ึงให๎บุคคลได๎ศึกษาและเรียนรู๎ตํอเน่ืองไปตลอดชีวิตเพ่ือ พัฒนาตนเองท้ัง 4 ด๎านอยํางสมดุล และสามารถสร๎างเสริมความเจริญก๎าวหน๎าให๎แกํประเทศภายใต๎ ระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลําวคือ - เปดิ โอกาสให๎บคุ คลเรียนร๎เู พื่อพฒั นาตนเองไดเ๎ หมาะสมกับวัย - แบงํ การศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับกํอนประถมศึกษา ระดับ ประถมศกึ ษา ระดับมัธยมศึกษา (มี 2 ตอน คอื ตอนต๎นและตอนปลาย) และระดับอุดมศึกษา - จัดการศึกษาประเภทตํางๆ ไดต๎ ามความเหมาะสม และตามความต๎องการ ของกลมุํ เปาู หมาย ชุมชน และประเทศ ได๎แกํ การฝกึ หดั ครู การศกึ ษาวชิ าชีพ การศึกษาวิชาชพี พิเศษ การศกึ ษาวิชาชพี เฉพาะกจิ หรือเฉพาะบุคคลบางกลมํุ การศึกษาพเิ ศษ และการศกึ ษาของภิกษุ สามเณร นกั บวช และบุคลากรทางศาสนา 4) กาํ หนดแนวนโยบายการศึกษา ไว๎ 19 ประการเพื่อเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ใิ ห๎ ชัดเจน เชํน - ใหก๎ ารศกึ ษาระดบั มธั ยมศึกษาเปน็ การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานของปวงชน - ปฏริ ปู การฝกึ หดั ครู และการพัฒนาครปู ระจําการ - สํงเสริมให๎มีการศึกษาภาษาตาํ งประเทศทเ่ี อ้ือตอํ การพฒั นาอยาํ ง กว๎างขวาง 9
1.2 ระบบการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานกบั การพัฒนาความเป็นครมู ืออาชีพ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัวภูมิพลอดุลยเดช ได๎พระราชทานพระบรมราโชวาทแกํครู อาวุโส เมื่อวันท่ี 29 ตุลาคม 2522 มีข๎อความเก่ียวกับลักษณะครูที่ดี 3 ประการ คือ “ความเป็นครูนั้น ประกอบข้ึนด๎วยส่ิงท่ีมีคุณคําสูง หลายอยําง ได๎แกํ 1) ปัญญา คือความรู๎ที่ดีประกอบด๎วยหลักวิชาอัน ถูกต๎อง ท่ีแนํนแฟูนกระจํางแจ๎งในใจ รวมท้ัง ความฉลาดท่ีจะพิจารณาเรื่องตํางๆ ตลอดจนกิจที่จะท า ค าท่ีจะพูดทุกอยํางได๎โดยถูกต๎อง ด๎วยเหตุผลอยํางหน่ึง ได๎แกํ ความดี คือความสุจริต ความเมตตากรุณา เห็นใจและปรารถนาดตี อํ ผูอ๎ นื่ โดยเสมอหนา๎ 2) ความสามารถ ที่ จะเผอื่ แผํและถาํ ยทอดความร๎ูความดีของ ตนเองไปยังผู๎อื่นอยํางได๎ผล ความเป็นครูมีอยํูแล๎ว ยํอมฉายออกให๎ผ๎ูอ่ืน ได๎รับประโยชน์ด๎วย ผ๎ูที่มีความ เป็นครูสมบูรณ์ในตัว นอกจากจะมีความดีด๎วยตนเองแล๎ว ยังจะชํวยให๎ทุกคนท่ีมี โอกาสเข๎ามาสัมพันธ์ เกยี่ วข๎องบรรลถุ งึ ความดแี ละความเจรญิ ไปดว๎ ย” (กรมวชิ าการ, 2540 : 88) พระมงคลธรรมวธิ าน และคณะ (2561) กลําวไว๎วํา ครู คือผ๎ูนําทางจิตวิญญาณและเป็น กัลยาณมิตรท่ีมีความสําคัญในการสั่งสอนและถํายทอดความร๎ูให๎แกํศิษย์มาทุกยุคทุกสมัย ครูในแตํละยุค ต๎องอาศัยวิชาความรู๎ที่ตนเองถนัดและสามารถถํายทอดความรู๎ให๎กับศิษย์ เพียงเพ่ือหวังวําศิษย์จะนํา ความร๎ูท่ีได๎ไปประกอบอาชีพท่ีสุจริตและเป็นคนดีของสังคม เพราะครูเป็นผู๎ท่ีกํอให๎เกิดองค์ความรู๎อันจะ เป็นประโยชน์ตํอสังคมและโลก และเป็นผู๎มีความสําคัญตํอการสร๎างบัณฑิตให๎มีความคิดที่ดี มีวิธีการ วิเคราะห์อยํางถูกต๎องและมีระบบระเบียบในการปฏิบัติงาน ตลอดจนสามารถพัฒนาบุคลิกภาพเชิง วชิ าการ เชงิ วชิ าชพี ซ่ึงศษิ ยค์ วรได๎รบั การปลกู ฝงั อบรมจากครูผู๎สอน เพราะฉะน้ัน ผ๎ู ทจี่ ะเป็นครูตอ๎ งเป็นผทู๎ ่ีจะรบั หน๎าท่อี ันหนัก ดงั ที่ มยุรี ด๎วงศรี (2558: 33 – 34 อ๎างถึงใน พระมงคลธรรมวิธาน และคณะ, 2561) กลําววํา คําวํา “ครู” คือผู๎สั่ง สอนศิษย์หรือ ผู๎ถํายทอดความรู๎ให๎แกํศิษย์ มาจากคําวํา คะ-รุ (ในภาษาบาลี) แปลวํา “หนัก” หมายความวํา ความ รับผิดชอบในการอบรมส่ังสอนของครูน้ัน นับเป็นภาระหน๎าที่ที่หนักหนาสาหัสไมํน๎อย กวําคนๆ หนึ่งจะ เติบโตเป็นผู๎มีวิชาความรู๎ และเป็นคนดีของสังคม ผู๎เป็น \"ครู\" จะต๎องทํุมเทแรงกายและแรงใจไมํน๎อยไป กวําพํอแมํ ผู๎ใหก๎ าํ เนดิ เลย ซึ่งในชวี ิตของคนๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพํอแมํซ่ึงเปรียบเสมือน “ครูคนแรก” แล๎ว การท่ีเด็กๆ จะดํารงชีพตํอไปได๎ในสังคม จําเป็นอยํางยิ่งที่จะต๎องมี \"ครู\" ท่ีจะประสิทธิ์ประสาทวิชา ความร๎ู เพื่อปูพื้นฐานไปสูํหนทางทํามาหากินในภายภาคหน๎าด๎วย ดังนั้น \"ครู\" จึงเป็นบุคคลสําคัญที่ทุกคน ควรจะได๎แสดงความกตญั ญกู ตเวทติ าตํอทําน เพราะครูเปน็ ผู๎ยกระดบั ความคดิ และจิตวิญญาณของผเู๎ รียน หากกลําวถึงคําวํา “ครู” ก็ไมํพ๎นเรื่องบทบาทการเป็นผ๎ูพัฒนาทางด๎านวิชาการของ นักเรียนซึ่งเป็นบทบาทที่ทุกคนให๎ความสําคัญ โดยเฉพาะนักวิชาการศึกษาท่ีมุํงม่ันหาวิธีการใหมํๆ หรือ นวัตกรรมมาใช๎เพื่อพัฒนาให๎เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีดีข้ึน อีกบทบาทท่ีสําคัญก็คือการพัฒนา นักเรียนให๎เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คําวํา มนุษย์ท่ีสมบูรณ์น้ันไมํได๎หมายถึงเฉพาะผ๎ูท่ีเรียน เกํง หรืออยํูใน โอวาทของคุณพํอคุณแมํ ครูบาอาจารย์ เทํานั้น แตํหมายรวมถึงความสมบูรณ์ทั้งทางรํางกาย จิตใจ 10
อารมณ์ สังคม และสติปัญญาด๎วย กลําวคือ ก. ความสมบูรณ์ทางด๎านรํางกาย คือการมีสุขภาพกายดี แข็งแรง ปราศจากโรคภยั ไข๎เจ็บ มีความรู๎ ความเข๎าใจและรู๎จักวิธีปฏิบัติตนเพ่ือปูองกันโรค และหลีกเล่ียง อุบัติเหตุหรือภาวะเสี่ยงตํอการบาดเจ็บ ข. ความสมบูรณ์ทางด๎านจิตใจ คือการมีสุขภาพจิตดี มีความ อํอนโยน เมตตากรุณา คิดดี มีหลักคุณธรรม และจริยธรรมในการดําเนินชีวิต ค. ความสมบูรณ์ทางด๎าน อารมณ์ คอื ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการแสดงอารมณ์ได๎อยํางเหมาะสม และถูกกาลเทศะ ง. ความสมบูรณ์ทางด๎านสงั คม คือความสามารถในการปรับตัวใหเ๎ ขา๎ กบั สังคมไดด๎ ี มปี ฏิสัมพันธ์ท่ีดี เคารพ กฎระเบียบของสังคม มีความรับผิดชอบ และสํงเสริมความสามัคคีในหมํูคณะ จ. ความสมบูรณ์ทาง สติปัญญา คือความสามารถในทางวิชาการ มีความร๎ู มีทักษะ มีสติปัญญา และ สามารถนําไปใช๎เพ่ือเกิด ประโยชน์และสร๎างสรรค์ได๎ ท้ัง 5 ข๎อนี้ มีความสอดคล๎องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 หมวดที่ 1 มาตรา 6 ที่กลําววํา “การจัดการศึกษาต๎องเป็นไปเพื่อการพัฒนาคนไทยให๎เป็นมนุษย์ท่ี สมบูรณ์ทั้งรํางกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู๎ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยํูรํวมกับผู๎อ่ืนได๎อยํางมีความสุข” และ ในมาตรา 22 บัญญัติไว๎วํา การจัดการศึกษาต๎องยึดหลัก วําผ๎ูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนร๎ูและพัฒนาตนเอง ได๎ และถือวําผู๎เรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจดั การศกึ ษาตอ๎ งสงํ เสริมใหผ๎ ูเ๎ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซ่ึงต๎อง อาศยั ครูมอื อาชพี เทํานน้ั และการพฒั นาใหเ๎ ป็นครูมืออาชพี ต๎องเรม่ิ ทผ่ี ูเ๎ ปน็ ครเู ป็นเบ้ืองตน๎ 1.3 การจัดการศกึ ษาประเทศต่างๆ 1.3.1 การจดั การศกึ ษาประเทศฟินแลนด์ สภาพของประเทศฟนิ แลนด์ สาธารณรัฐฟินแลนด์ อยูํในกลํุมยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือใกล๎กับสวีเดน นอร์เวย์ และ รสั เซีย มีประชากร 5 ล๎านคนในพ้ืนที่ 300,000 ตารางกิโลเมตร การปกครองแบํงเป็น 2 ระดับ ได๎แกํ รัฐ และ 432 เทศบาล แบํงการปกครองเป็น 6 จังหวัด และ 90 เขตปกครองท๎องถ่ิน มีทะเลสาบ 187,886 แหํง และเกาะอีก 179,584 เกาะ พ้ืนที่สํวนใหญํเป็นปุาสน อากาศหนาวเย็นตลอด 8 เดือน มีชํวงพระ อาทิตย์เที่ยงคืน 73 วัน ในชํวงฤดูร๎อน และไมํขึ้นเลย 51 วันในชํวงฤดูหนาว ภาษาที่ใช๎คือฟินแลนด์และ สวีเดน นโยบายการเมืองสําคัญท่ีสุดท่ีมีสํวนเรํงการพัฒนาของประเทศฟินแลนด์คือใช๎การศึกษาเป็น เครื่องมอื พฒั นาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร๎างศกั ยภาพการแขงํ ขันของประเทศ ระบบการศึกษาของฟนิ แลนด์ ฟินแลนด์ให๎ความสําคัญกับความเสมอภาค โดยไมํเก็บคําเลําเรียน จัดการศึกษาภาค บังคับ 9 ปี ตั้งแตํอายุ 7-16 ปี โรงเรียนรัฐจะบริการอาหารกลางวันฟรี มีการจัดเตรียมอุดมศึกษาในสาย สามัญและอาชีวศึกษาและในระดับอุดมศึกษาจะมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอาชีวศึกษาข้ันสูง จากการ ทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการศึกษาขององค์การเพื่อความรํวมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD-PISA) 11
ปี พ.ศ. 2546 พบวํานักเรียนอายุ 15 ปี ของฟินแลนด์ทําคะแนนนําสูงสุดในความสามารถด๎านการอําน และวิทยาศาสตร์ และ ได๎อันดับสองด๎านคณิตศาสตร์และการแก๎ปัญหา นอกจากน้ี เวิล์ด อีโคโนมิก ฟอรัม จัดอันดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให๎เป็นอันดับ 1 ของโลก ประชากรท่ีอายุเกิน 15 ปี อํานออก เขียนได๎ 100 เปอร์เซ็นต์ และจํานวนผู๎เรียนการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย มีจํานวน 1.5 ล๎านคน หรอื คิดเปน็ รอ๎ ยละ 45 ของประชากร การปฏริ ปู การศกึ ษาของฟินแลนด์ ฟินแลนด์ได๎เริ่มปฏิรูปหลักสูตรใหมํในชํวงปี พ.ศ. 2513-2515 โดยจัดการศึกษาภาค บังคับ 9 ปี เนน๎ ให๎เด็กทุกคนไดเ๎ รียนโดยเทศบาลเป็นผู๎จัดการศึกษา ตํอมาได๎เปล่ียนหลักสูตรอีก 3 ครั้งใน ปี พ.ศ. 2528 2537 และ 2547 โดยเนน๎ ให๎ท๎องถิ่นไดพ๎ ัฒนาหลักสตู รสอดคลอ๎ งความต๎องการผู๎เรียน และ เน๎นความเข๎มแข็งของเครือขํายชุมชน ผู๎ปกครองและองค์กรที่เข๎ามาชํวยสร๎างสังคมแหํงการเรียนร๎ู นโยบายการศึกษาเน๎นการปฏิรปู อยํางตอํ เนื่อง ประชาชนมีสํวนรวํ ม และความเสมอภาคทางการศึกษา ปัจจยั ความสาเรจ็ ของการศึกษา ฟินแลนด์มีนโยบายระดับชาติในการสร๎างสังคมฐานเศรษฐกิจความรู๎ ระบบการศึกษาท่ี บูรณาการอยํางลงตัว การทํางานระหวํางสํวนราชการในสํวนกลางและท๎องถ่ิน การสํงเสริมกิจกรรม นักเรียนต้ังแตํปฐมวัย และเน๎นการผลิตครูท่ีมีศักยภาพโดยครูต๎องจบการศึกษาศึกษาศาสตร์อยํางน๎อยใน ระดบั ปริญญาโท งานบริหารบคุ คลของขา้ ราชการครูฟนิ แลนด์ ครูได๎รับเงินเดือนเฉล่ียตา่ํ สุด 2,555 ยูโร (112,420 บาท) ตํอเดือนไปจนถึงสูงสุด 5,000 ยูโร (220,000 บาท) ตํอเดือน จํานวนครูประถม 45,000 คน ครูมัธยม 7,300 คน ครูอนุบาลและ ประถมศึกษา 7,200 คน อาจารย์อาชีวศึกษา 14,000 คน อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวะชั้นสูง 6,000 คน และอาจารย์มหาวิทยาลยั 7,700 คน รวม 87,200 คน โดยเทศบาลจะเป็นผ๎ูพิจารณาระดับเงินเดือนของ ครูใหญํ/ อาจารย์ใหญํ สํวนสภามหาวิทยาลัยเป็นผู๎กําหนดอัตราเงินเดือนของอธิการบดีมหาวิทยาลัย สํวนครูแตํละคนจะได๎รับเงินเดือนตามภารกิจและผลงานซึ่งครูใหญํ/ อาจารย์ใหญํ/ อธิการบดี เป็นผ๎ู พจิ ารณา โดยมสี มาคมวชิ าชพี ครู/ สหภาพครู เข๎ามาดแู ลเจรจาตํอรองได๎ อัตราเงนิ เดือนนี้ องค์กรท๎องถิ่น จะเป็นผ๎ูจัดสรร สํวนรัฐบาลสนับสนุนเพียงบางสํวน โดยมีการกําหนดระดับซีสําหรับข๎าราชการครูด๎วย เชํน ครูอนุบาลจะเริ่มจาก C56 ช่ัวโมงของการทํางาน 16-24 ช่ัวโมงสอน หากทํางานเกินจํานวนที่ กาํ หนดจะได๎รบั เงนิ คําตอบแทนเพิ่มขึน้ ความก้าวหนา้ ทางวิชาชีพครู สํานักงานสภาการศึกษา กระทรวงการศกึ ษาฟินแลนด์จะกาํ กบั มาตรฐานคุณภาพการจัด การศึกษาของโรงเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและจัดบริการฝึกอบรมพัฒนาตลอดชีวิตการเป็นครู สํวนโรงเรียนจะสงํ ครูไปฝึกอบรมพัฒนาอยํางเปน็ ระบบ ทัง้ น้ฟี ินแลนด์ไดย๎ กเลกิ การใช๎ศึกษานิเทศก์ไปแล๎ว 12
เมื่อ 15 ปีท่ีผํานมา โดยได๎เน๎นการสร๎างความเข๎มแข็งของผ๎ูบริหารสถานศึกษาและครู รวมทั้งได๎ทํุมเทใน การใช๎เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชํวยการจัดการเรียนการสอน และการศึกษาวิจัยเพ่ือสร๎างฐานข๎อมูลและ พฒั นานวตั กรรมใหมํ 1.3.2 การจดั การศึกษาของสวเี ดน สภาพภมู ปิ ระเทศของประเทศสวเี ดน ราชอาณาจักรสวีเดน ต้ังอยํูบนคาบสมุทรสแกนดินีเวีย ในยุโรปเหนือ เขตแดนจรด ประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ ชํองแคบสแกเกอร์แรค และ แคทีแกต และอําวบอสเนีย มีกรุงสตอกโฮล์ม เป็นเมืองหลวง มีประชากร 9 ล๎านคน มีรายได๎ประชากรตํอหัวสูงในระดับ 30 ประเทศแรกของโลก (28,000 ดอลลาํ รส์ หรัฐ ตอํ คนตํอปี รายไดส๎ ูงกวาํ คนไทย 4 เทํา) ระบบการศึกษาของสวเี ดน สวเี ดนเนน๎ การดูแลเดก็ เล็กชํวงอายุ 1-6 ขวบ โดยจัดหลากหลายรูปแบบ ได๎แกํ ศูนย์เด็ก เลก็ ศนู ยร์ ับเลยี้ งเดก็ ไป-กลบั และโรงเรียนอนุบาลจัดให๎ 1 ปี สําหรับเด็กอายุ 6 ปี การศึกษาภาคบังคับ 9 ปี โดยไมํเก็บคําเลําเรียน และบริการรถโรงเรียนอาหารกลางวันและสื่อการเรียนให๎ท้ังหมด เชํนเดียวกับฟินแลนด์ และยังมีการจัดทุนชํวยเหลือและกองทุนให๎กู๎ยืมเพ่ือการศึกษาสําหรับเด็กจาก ครอบครัวรายได๎น๎อยซง่ึ ตอ๎ งการเรยี นมัธยมปลายและอดุ มศกึ ษา กระทรวงการศึกษาและวิจัยของสวเี ดน กระทรวงการศึกษาและวิจัยของสวีเดนรับผิดชอบการศึกษาทุกระดับเชํนเดียวกับ กระทรวงศึกษาธิการของไทยแตํจะรวมงานวิจัยด๎วย โดยมีโครงสร๎าง 5 หนํวยงาน ได๎แกํ สํานักงาน การศกึ ษาภาคบงั คับ สํานกั งานการศกึ ษามัธยมปลาย สํานักงานกองทุนกู๎ยืมเพื่อการศึกษาและการศึกษา นอกโรงเรียน สํานักงานอดุ มศกึ ษา และสํานกั งานวิจยั 1.3.3 การจดั การศึกษาประเทศสิงคโปร์ โครงสรา๎ งการบริหารการศึกษามี 2 ระดับ คือ ระดับชาติมีกระทรวงศึกษาธิการ ทํา หน๎าท่ีกําหนดนโยบายการศึกษาทุกระดับ และวางยุทธศาสตร์ในการนํานโยบายการศึกษาของรัฐสํูการ ปฏิบัติ ระดับสถานศึกษา แบํงเป็น (1) ระดับประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษา 4-5 ปี (2) ระดับ หลงั มัธยมแบํงเป็นสายสามญั 2 ปี หรือสายอาชีวศกึ ษา 3 ปี (3) ระดับอุดมศกึ ษา เปูาหมายและนโยบายการศึกษาของชาติ สงิ คโปรไ์ ด๎ประกาศนโยบายมาตรฐาน การศึกษาของชาติที่เรียกวํา การศึกษาของชาติ (National Education) ในการกลําวสุนทรพจน์ของ ประธานาธิบดีโก็โจ๏ตง ในวันประชุมครูของสิงคโปร์ ถึงความสําคัญของการกําหนดนโยบายการศึกษา ชาติใหเ๎ ป็นองคป์ ระกอบที่สําคญั ของระบบการดาํ เนินงานการศกึ ษา เปาู หมาย หลกั การ วธิ ดี ําเนินการ 13
การพฒั นามาตรฐานการศึกษาของชาติ แนวคิดใหมํทางการศึกษาชาติ (National Education ยํอวํา NE) ของสิงคโปร์มีจุดเริ่มต๎น จากสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโก็โจ๏ตง โดยเร่ิมท่ีสาระการเรียนรู๎ซึ่งมีการปรับปรุงวิชาสังคมศึกษา วิชาหน๎าที่พลเมืองและศีลธรรม ประวัติศาสตร์ให๎เน๎นถึงการสร๎างชาติ เป็นการปลูกฝังจิตสํานึกของเด็ก ทกุ คน ใหม๎ จี ติ ใจชาตนิ ิยม มีจติ ใจทีเ่ ขา๎ ใจอดีตปัจจบุ ันและอนาคต แนวทางการดาเนนิ งานการศกึ ษาของชาติ คณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ ประกอบด๎วย 13 คณะอนุกรรมการในการ ดําเนินการวางยุทธศาสตร์และการวัดประเมินผลการดําเนินการโปรแกรมการศึกษาของชาติท้ังในระดับ โรงเรยี นและระดบั อดุ มศกึ ษา ยทุ ธศาสตร์ท่ใี ชส๎ าํ หรบั โรงเรียนคือ National Education (NE) ต๎องเป็น สํวนหนึ่งของการศึกษาท้ังระบบ ต๎องฝังอยํูในจิตใจของผู๎อํานวยการและครูกํอน ต๎องเป็นภารกิจของครู ทกุ คน และต๎องนาํ สนใจ ตอ๎ งพัฒนาความคดิ ต๎องได๎รบั การยอมรับจากสงั คม การดําเนนิ การจะต๎องแบงํ เป็น 2 ข้ันตอน คอื 1) พฒั นาความตระหนักรูเ๎ กย่ี วกับความจรงิ สถานการณ์ปัจจุบัน และโอกาสของสิงคโปร์ 2) พัฒนาความรู๎สึกความเป็นเจ๎าของและรับผิดชอบ ตํอชุมชนและตํอชาติ เพื่อท่ีจะปกปูอง ประเทศจากภัยคกุ คาม โดยในแตํระดับของการศกึ ษาจะใช๎กลยุทธท์ ่ีแตกตาํ งกัน การนามาตรฐานการศึกษาของชาตไิ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานการศึกษาของชาติไดน๎ าํ ไปใชป๎ ระโยชนใ์ นการพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมในโครงการ ระดับชาติเพ่ือให๎บรรลุตามเปูาหมายการศึกษาแนวใหมํคือการปลูกฝังจิตสํานึกของเด็กทุกคน ให๎มีจิตใจ รักประเทศมีจติ ใจท่เี ขา๎ ใจอดีตปจั จบุ นั และอนาคต 1.3.4 การจดั การศกึ ษาประเทศนวิ ซแี ลนด์ แมํแบบระบบการศกึ ษาในประเทศนวิ ซีแลนด์คือระบบการศึกษาแบบอังกฤษ การศึกษา ภาคบงั คบั ของประเทศนิวซแี ลนดค์ อื อายุ 6 – 16 ปี (New Zealand Government, 2017) การศกึ ษาของประเทศนิวซีแลนด์มํงุ เนน๎ ใหน๎ ักศกึ ษามีความพร๎อมทงั้ ทักษะและความรู๎ที่ จําเปน็ ตอํ การประกอบอาชีพและดา๎ นอืน่ ๆ นิวซแี ลนดเ์ ป็นประเทศที่ไดร๎ ับการยอมรับจากนานาชาติวาํ มรี ะบบการศึกษาที่มคี ณุ ภาพ สถาบนั การศึกษาในนวิ ซีแลนด์เกอื บท้ังหมดมีแผนกทีค่ อยดูแลนักเรียนตํางชาติ (International Student Office) โดยจัดเจา๎ หน๎าทีใ่ หค๎ วามชวํ ยเหลอื นักศกึ ษาตาํ งชาตติ ลอดเวลาทศี่ ึกษาอยูํ ประเทศนิวซีแลนด์ เปดิ รับนกั เรยี น นักศึกษาในทุกระดับตง้ั แตํ ระดบั มธั ยมศึกษา วทิ ยาลัยอาชีวะศึกษา โพลีเทคนคิ วิทยาลัยครู มหาวทิ ยาลัย และสถาบันสอนภาษาเอกชน ในแตลํ ะปี 14
มนี ักศึกษากวาํ 30,000 คน จากกวาํ 160 ประเทศ เดนิ ทางมาศกึ ษาตํอท่ีนวิ ซแี ลนด์ วุฒิการศกึ ษาของ ประเทศนิวซีแลนด์ ได๎รับการยอมรับในระดบั นานาชาติ และมีมาตรฐานการศึกษา ท่ีเปน็ ระบบเดียวกันท้ัง ประเทศ ระดับการศึกษา ระดับประถมศึกษา (Primary Education Study) นักเรียนสํวนมากเริ่มต๎นการเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เมื่ออายุ 5 ปี และเข๎า ศึกษาตํอในระดับประถมศึกษาตอนปลายเมื่ออายุ 11 ปี โรงเรียนประถมศึกษาหลายแหํงสามารถรับ นักเรียนจนกระทง่ั อายุ 12 ปี ระดับมธั ยมศึกษา (Secondary Education Study) โรงเรียนมธั ยมของนิวซีแลนด์เปิดสอนต้ังแตํช้ันปีที่ 9 - 13 (Years 9- 13) ระดับอายุ 13 - 19 ปี และมีโรงเรียนมัธยมมากกวํา 350 แหํง (High Schools, Grammar Schools หรือColleges) เปิดสอนวิชาตํางๆ หลากหลาย โรงเรียนแตํละแหํงสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเองโดยยึด โครงสรา๎ งหลกั ของ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยจะได๎รับการประเมินโดยหนํวยงานที่มีช่ือวํา New Zealand Qualifications Authority โรงเรียนมัธยมในนวิ ซีแลนดส์ ํวนใหญํเป็นโรงเรียนรัฐ ไดท๎ นุ สนับสนนุ จากรัฐบาล นวิ ซีแลนด์ สวํ นใหญํเป็นโรงเรยี นสหศึกษา มเี พียง 10 % ที่เป็นโรงเรยี นหญิงลว๎ นหรอื ชายล๎วน มโี รงเรียน เอกชนนอกระบบรฐั เพียงไมกํ ่ีแหงํ สํวนใหญเํ ป็นโรงเรียนที่จัดตั้งโดยองค์กรทางศาสนา และมหี ลายแหงํ ที่ เป็นโรงเรียนเกําแกยํ ดึ ธรรมเนียมการเรียนการสอนตามแบบด้งั เดิมของโรงเรยี นท่สี ืบทอดกันมายาวนาน โรงเรียนเอกชนหลายแหํงหนั มาเขา๎ สํูระบบรัฐและเปน็ ทร่ี ูจ๎ ักในฐานะโรงเรียนก่ึงรัฐก่ึงเอกชน โรงเรียน เหลํานีไ้ ดร๎ บั ทนุ สนบั สนนุ จากรัฐบาลแตยํ ังคงรกั ษาเอกลักษณ์ทางการศึกษา (อาธิ โรงเรยี นคาทอลิก กย็ งั สอนหลักศาสนาคาทอลิกเชนํ เดิม) นักศึกษาตํางชาติสามารถเขา๎ เรยี นทั้งในโรงเรยี นรฐั และเอกชน) ระบบการเรยี นการสอนโรงเรียนมัธยมเกือบทุกแหงํ สอดคล๎องกนั ไมํวาํ จะเป็นคณุ สมบัติ ในการเข๎ารับการศึกษา หลักสตู รการสอน มาตรฐานการศึกษา ตลอดจนสาขาวิชาตํางๆ โดยยึดหลักของ National Certificate of Educational Achievement (NCEA เปน็ หนํวยงานหลกั ทีร่ ับรองคุณวฒุ ขิ อง นกั เรยี นในระดับมธั ยมปลาย) นกั เรียนตาํ งชาตจิ าํ นวนมากลงทะเบยี นเรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายเพื่อเตรียม ความพร๎อมสําหรบั การศึกษาตํอระดับอุดมศึกษาในประเทศนวิ ซแี ลนด์ หรอื ประเทศอื่นๆ ทีใ่ ช๎ ภาษาอังกฤษ ภาคการศึกษา แบํงเปน็ 4 เทอม ระหวาํ งเทอมจะปิดใหน๎ ักเรียน พกั 2 สัปดาห์ โรงเรยี นมธั ยมถูกกาํ หนดใหม๎ ีการสอนไมํนอ๎ ย กวํา 190 วนั ตํอปกี ารศึกษา 15
เทอม 1 กุมภาพนั ธ์ - เมษายน เทอม 2 เมษายน - มิถนุ ายน เทอม 3 กรกฎาคม - กันยายน เทอม 4 ตลุ าคม - ธันวาคม ระดบั อุดมศกึ ษา (Tertiary Education) การเข๎าศึกษาตอํ ระดบั อุดมศกึ ษาน้นั นักศึกษาต๎องมีความสามารถในการใช๎ภาษาอังกฤษ คํอนข๎างดี ทั้งยังมีผลการเรียนในระดับท่ีสถาบันการศึกษาต๎องการ โดยการวัดความสามารถในการใช๎ ภาษาองั กฤษนนั้ จะกระทาํ โดยผาํ นการสอบวัดระดบั ภาษาอังกฤษตํางๆ เชนํ IELTS หรอื TOEFL สถาบันระดับอุดมศกึ ษาในสหรฐั อเมรกิ าแบํงเป็น 4 ประเภท ดังน้ี มหาวิทยาลัย (University) ประเทศนิวซีแลนด์มีมหาวิทยาลัยรวม 8 แหํง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลท้ังหมด และได๎รับการยอมรับในระดับนานาชาติในความเป็นเลิศทางด๎านวิชาการ แตํละมหาวิทยาลัยมีระบบการ ตรวจสอบคณุ ภาพของตนเอง และไดร๎ ับการตรวจสอบจากสํวนกลาง ทั้งในแงํของหลักสูตรท่ีเปิดสอนและ นโยบายของมหาวิทยาลัย อยํางไรก็ดี ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ไมํมีระบบการจัดอันดับของ มหาวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เหลําน้ีกระจายอยตูํ ามเมอื งใหญทํ วั่ ประเทศ มหาวิทยาลัยในประเทศนิวซีแลนด์ เปิดสอนในหลักสูตรตํางๆ ตั้งแตํระดับเตรียมความ พร๎อมสาํ หรับปรญิ ญาตรถี ึงปริญญาเอก ระดบั อนุปริญญาตรี (Graduate Diploma) อนุปริญญาตรี ใช๎เวลาเรียน 1 ปี เหมาะสําหรับนักศึกษาที่จบปริญญาตรีสาขาใดสาขา หน่งึ แลว๎ แตํต๎องการเรยี นสาขาอ่ืนอีก หรือเพ่ือชํวยสํงเสริมให๎มีความก๎าวหน๎าในการงานดีขึ้น หรือใช๎เป็น เป็นพ้ืนฐานเพอ่ื เรียนในสาขาเฉพาะทางในระดบั ปรญิ ญาโท-เอก อนปุ ริญญาโท (Postgraduate Diploma) เปรียบได๎กับอนุปริญญาโทหรือครึ่งหลักสูตรปริญญาโท ใช๎เวลาเรียน 1 ปี มักเป็นการ เรียนตอํ ในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ จากสาขาวชิ าที่เรียนจบในปริญญาตรี ในหลายๆมหาวทิ ยาลัย หลักสูตรน้ีเป็น 1 ปี แรกของหลกั สตู รปริญญาโท ระดับปรญิ ญาตรี (Graduate Degree) นักศึกษาท่ีสําเร็จมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากประเทศไทย จะต๎องเข๎าเรียนในหลักสูตร Foundation Studies กํอน หรือต๎องสําเร็จหลักสูตรเทียบเทําปีท่ี 1 ของหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือ สําเรจ็ หลกั สูตรอนปุ ริญญาในวิทยาลัยอาชวี ศึกษา 2 ปี จงึ จะมีสทิ ธิสมัครเข๎าศึกษาตํอในระดับปริญญาตรีได๎ 16
ระดับปริญญาโท (Master Degree) โดยบางหลักสูตรอาจกําหนดเรื่องของประสบการณ์การทํางานด๎วย นอกจากนี้นักศึกษา จะต๎องมีผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL 600 หรือ IELTS 6.5 และต๎องมีหัวข๎อวิทยานิพนธ์และ ประสบการณ์ทํางานอีกด๎วย สํวนใหญํมีระยะเวลาเรียน 2 ปี และประกอบด๎วยการเรียนในห๎องเรียน(Course work) และการทาํ วจิ ัย (Research) และทํารายงาน Papers ระดบั ปรญิ ญาเอก (Doctorate Degree) ปริญญาเอกสํวนใหญํในนิวซีแลนด์ เป็น Ph D. (Doctor of Philosophy) ซ่ึงมีเปิดสอน ในทุกมหาวิทยาลัย ใช๎เวลาเรียนประมาณ 2-3 ปี เป็นการทําวิทยานิพนธ์ (Thesis) และสอบปากเปลํา Oral Examination ผ๎ูประสงค์จะเข๎าศึกษาตํอระดับปริญญาเอกโดยท่ัวไปต๎องมีประสบการณ์การทํางาน ด๎วย นอกจากนี้นักศึกษาจะต๎องมีผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL 600 หรือ IELTS 6.5 และต๎องมีหัวข๎อ วทิ ยานิพนธแ์ ละประสบการณ์ทํางานอกี ด๎วย เทคโนโลยแี ละโพลเี ทคนคิ (Vocational Education) นิวซีแลนดม์ ีสถาบันเทคโนโลยแี ละโพลเี ทคนิค 21 แหํงที่และทกุ แหงํ ได๎รับทุนจากรัฐบาล ตั้งอยํูในเขตเมืองใหญํและเมืองตามภูมิภาค โดยเปิดสอนหลักสูตรการศึกษาและอบรมทั้งในสายวิชาการ และอาชวี ศกึ ษา เร่ิมตง้ั แตํระดับช้นั เตรยี มอุดมศกึ ษาจนถงึ ระดับปรญิ ญาบตั ร มีท้ังสายวิชาการและวิชาชีพ ครอบคลุมสาขาวิชาตํางๆ อาทิ เกษตรศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ การกํอสร๎างและอาคารสถานที่ ธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ การประมงและการศึกษาทางทะเล วนศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การ ทํองเที่ยวและการต๎อนรับ ในแตํละสายมีวิชาแยกยํอยอีกนับร๎อยวิชา มีหลักสูตรหลายระดับ อาทิ ประกาศนียบัตร (Certificates) อนุปริญญา (Diploma) รวมถึงปริญญาตรี (Degrees) และ ปริญญาโท (Master's Degree) อีกด๎วย อยํางไรก็ตามหลักสูตรปริญญาตรีและหลักสูตรปริญญาโทมีเปิดสอนเฉพาะ กบั บางสถาบนั และในบางสาขาวิชาเทาํ นนั้ สถาบันเทคโนโลยีและโพลีเทคนิคมีความสัมพันธ์อันแนํนแฟูนกับหนํวยราชการและบริษัทเอกชน โรงงานอุตสหกรรมตํางๆ จึงเป็นหลักประกันได๎วําหลักสูตรของสถาบันตํางๆเหลําน้ีมีความเหมาะสมทั้ง ทางดา๎ นวชิ าการและทกั ษะทจี่ ะนําไปปรับใชก๎ ับการประกอบอาชีพในอนาคต วทิ ยาลัยการศึกษา (Colleges of Education) เป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทางครุศาตร์ เนื้อหาวําด๎วยการสอนในระดับกํอน ประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา โดยเปิดสอนท้ังในหลักสูตรอบรมวิชาชีพครูเต็ม รูปแบบ เปิดสอนหลักสูตรพัฒนาทักษะและความสามารถในด๎านตํางๆ คุณวุฒิที่เปิดมีตั้งแตํ ระดับ อนุปริญญา ปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก อาทิ ในสาขาวิชา Early Childhood Education, Primary Education และ Secondary Education เป็นตน๎ 17
สถาบันฝกึ อบรมขน้ั อุดมศกึ ษาของเอกชน (Private Tertiary Education) เป็นสถาบนั เอกชน ทเ่ี ปดิ สอนในระดับอุดมศกึ ษา ท้งั วชิ าชีพและวชิ าการ ซ่ึงมํุงเน๎นความ ถนัดในเชิงวิชาชีพด๎านใดด๎านหนึ่ง เชํน การทํองเท่ียวและการบริการ ธุรกิจและการจัดการ ร วมท้ังอาจ เป็นสถาบนั สอนภาษาทม่ี มี ากกวาํ 100 สถาบนั ท่ัวท้ังประเทศนิวซแี ลนดด์ ๎วย ภาคการศกึ ษา สถาบนั โพลีเทคนิคและมหาวิทยาลัย มี 2 ภาคการศึกษา คือ กมุ ภาพันธแ์ ละกรกฎาคม ใน บางสถาบนั แบงํ เปน็ 3 เทอม คือ กุมภาพนั ธ์ มิถนุ ายนและกนั ยายน แผนผงั แสดงระบบการศกึ ษาของประเทศนิวซีแลนด์ ระบบมหาวิทยาลัยในประเทศนิวซีแลนดป์ ระกอบไปดว๎ ยคณะผบ๎ู รหิ ารที่ดําเนินการอยําง อสิ ระในแตํละมหาวิทยาลัย แตํมีความรวํ มมือในการเข๎าสมํู าตรฐานทกี่ ําหนดรํวมกันมาเป็นเวลากวํา 40 ปี มาแล๎ว มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แหํง คือ มหาวิทยาลัยโอ๎คแลนด์ (Auckland University) มหาวิทยาลัยโอ๎ค แลนด์เทคโนโลยี (Auckland University of Technology) มหาวิทยาลัยไวกาโต (Waikato University) มหาวิทยาลัยแมสสีย์ (Massey University) มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย (Victoria University) มหาวิทยาลัย แคนเทอร์เบอรี (Canterbury University) มหาวิทยาลัยลินคอล์น (Lincoln University) และ มหาวิทยาลัยโอตาโก (Otago University) ถึงแม๎จะมีความแตกตํางกันในเร่ืองของความเกําแกํของ 18
สถานศึกษา จํานวนนักศึกษา และ อื่นๆ เชํน แนวทางการปฏิบัติงานตามภารกิจเฉพาะของสถาบัน คุณลักษณะของสถาบันที่แตกตํางกัน แตํมหาวิทยาลัยทั้ง 8 แหํงมีแนวทางการบริหารงานท่ีเป็นอิสระ ภายใต๎พระราชบัญญัติการศึกษา ค.ศ. 1989 ท่ีระบุให๎แตํละมหาวิทยาลัยดําเนินการตามภารกิจที่ได๎ กําหนดไว๎ มหาวทิ ยาลยั ได๎กาํ หนดแนวทางการบริหารงานระดับอุดมศึกษาโดยมํุงเน๎นการเรียนการสอนและ การวิจัยเป็นหลัก ตอบสนองความต๎องการของชุมชนด๎วยวิธีการที่หลากหลาย และในขณะเดียวกันได๎ ปฏบิ ัติแนวทางการดาํ เนนิ งานและบรหิ ารงานเพอ่ื ใหไ๎ ด๎มาตรฐานและเป็นท่ียอมรับในระดับนานาชาติ โดย มีกระบวนการในการกําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสถาบัน กําหนดถึงผลสัมฤทธ์ิของผ๎ูที่เข๎าเรียนในแตํ ละโปรแกรมวชิ า ใชว๎ ิธกี ารสอนที่เน๎นการวจิ ัยเป็นฐาน ใช๎สภาพแวดล๎อมของแตลํ ะสถาบันให๎เกิดประโยชน์ สูงสดุ และเสนอเง่ือนไขคณุ สมบัติพิเศษตํางๆที่ประเทศตาํ งๆยอมรบั ในขณะเดียวกันมีการพัฒนาบุคลากร ของสถาบันให๎มีคุณภาพเพ่ือเป็นท่ียอมรับในตลาดแรงงานการศึกษานานาช าติเพื่อการพัฒนาวิชาชีพ สนบั สนนุ ในการวจิ ัยทัง้ ภายในประเทศและระดับนานาชาติ ระบบการศึกษากอ่ นระดับอุดมศกึ ษา ระบบการศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์มีการเชื่อมโยงในทุกระดับ กระทรวงศึกษาธิการมี หน๎าท่ีในการกําหนดนโยบายแผนการจัดการศึกษาแหํงชาติ และให๎หนํวยงานที่เกี่ยวข๎องกําหนดแผน ยุทธศาสตรใ์ นการดําเนนิ งานเองภายใตม๎ าตรฐานการศกึ ษาในเร่ืองตํางๆทีเ่ กย่ี วขอ๎ ง โรงเรียนในนิวซีแลนด์มีทั้งในโรงเรียนของรัฐบาล ก่ึงรัฐบาล และเอกชน หลักสูตรจะมี มาตรฐานคลา๎ ยคลงึ กนั ระบบการศกึ ษาเร่ิมต๎นตัง้ แตํระดับประถมศึกษา เรียกวําชั้น Primary 1-2 สําหรับ เด็กนักเรียนอายุต้ังแตํ 6 ขวบข้ึนไป ระดับประถมศึกษาตอนต๎นใช๎เวลาเรียน 6 ปี ชั้นประถมศึกษาตอน ปลายเร่ิมต๎นท่ีช้ัน Form 1 ใช๎เวลาเรียนประมาณ 6-7 ปี โดยในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย นักเรียน สามารถเลือกเรียนวิชาชีพท่ีสนใจได๎และได๎รับประกาศนียบัตรเพ่ือการเรียนตํอในระดับสูงตํอไป โรงเรียน มธั ยมสวํ นใหญํจะรับนกั เรียนตํางชาติเขา๎ เรยี นใน Form 3 หรอื ปีที่ 9 ในระบบการศึกษา บางโรงเรียนรับ ต้ังแตชํ ัน้ Form 1 หรือ ชน้ั ประถมศกึ ษา 1 หรอื เดก็ ทมี่ อี ายุ 7 ปขี น้ึ ไป ชั้น Form 5-6 ถือวําเป็นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะมีวิชาเลือก มากข้ึน และวิชาบังคับ นอ๎ ยลง เชนํ ภาษาองั กฤษ คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั Form 7 สําหรับนักเรียนท่ีต๎องการเข๎าเรียนตํอ ในระดับมหาวิทยาลัย ในนิวซีแลนด์ เมื่อจบช้ัน Form 7 จะมีการสอบ BURSARY เพ่ือคัดเลือก นักเรียนเข๎าเรียนในมหาวิทยาลัย นักเรียนใน ชั้น Form 5-7 จึงมักเลือกวิชา ท่ีจะเป็นพ้ืนฐานของการเรียน ในระดับปริญญาตรี ที่ตนสนใจ เชํน สนใจ เรียน ปริญญาตรีด๎านธุรกิจ จะเลือกเรียนวิชา คณิตศาสตร์ สถิติ การบัญชี เศรษฐศาสตร์ เป็นต๎น สํวน นกั เรยี นท่สี นใจ จะเรยี นทางดา๎ นวทิ ยาศาสตร์ จะเลือกเรียนวชิ า เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา เป็นตน๎ 19
มโี รงเรียนระดบั มัธยมศึกษาในนิวซีแลนด์ประมาณ 400 แหํง ท้ังโรงเรียนของรัฐบาล ก่ึง รฐั บาลและเอกชน โรงเรียนแตลํ ะแหงํ สามารถจดั หลกั สตู รการเรยี นการสอนเอง แตํต๎องได๎รับ การรับรอง คุณภาพจาก คณะกรรมการประกันคุณภาพนิวซีแลนด์(New Zealand Qualification Authority - NZQA) หลักสูตรและมาตรฐานการศึกษาจึงคล๎ายคลึงกัน และมีจุดประสงค์เดียวกันคือ เตรียมความ พรอ๎ มใหน๎ ักเรยี น เพ่อื สอบให๎ได๎ประกาศนยี บัตร ระดับมัธยมศึกษาที่รัฐบาลกําหนด นักเรียนทุกคนเม่ือจบ ระดับForm 5 (ม. 5) จะต๎องสอบไลํข๎อสอบกลางของประเทศเพื่อรับประกาศนียบัตร เรียกวํา School Certificate และเม่ือเรียนจบ Form 6 (ม. 6) ต๎องสอบข๎อสอบที่โรงเรียนเป็นผ๎ูจัดสอบเพื่อรับ Sixth Form Certificate ดงั น้นั การเลอื กโรงเรยี นจึงเปน็ สิง่ สําคญั โรงเรียนมัธยมสํวนใหญํจะรับนักเรียนตํางชาติเข๎าเรียนในช้ัน Form 3 (ม.3 อายุ 13 ปี) บางโรงเรียนรับต้ังแตํช้ัน Form 1 (ม.1) นักเรียนระดับช้ัน Form 3-4 ถือเป็นชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น นักเรียนจะเรียนวชิ าบังคับพนื้ ฐาน อาทิ ภาษาอังกฤษ สงั คม- ศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา พลศึกษา ดนตรี ศิลปะ สํวนวชิ าเลือกอาจจะมีคหกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภาษาตํางประเทศ นักเรียน ระดับForm 5-6 ถือเป็นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะมีวิชาเลือกตามความถนัดมากขึ้น และมีวิชาบังคับ น๎อยลง วิชาบังคับคอื ภาษาองั กฤษ คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ เม่ือจบช้ัน Form 5 นักเรียนต๎องสอบ School Certificate Examination ซึ่งจัดสอบ โดยกระทรวงศึกษาธิการและสอบ Sixth Form Certificate ซ่ึงโรงเรียนเป็นผู๎จัดสอบเม่ือจบชั้น Form 6 นักเรียนระดับชั้น Form 7 เป็นนักเรียนปีสุดท๎ายในระดับโรงเรียนมัธยม นักเรียนจะต๎องสอบ Bursary and Scholarship Examinations เพอื่ ใชผ๎ ลคะแนนสอบในการสมคั รเขา๎ มหาวทิ ยาลัย นักเรียนตํางชาติก็ สามารถเขา๎ สอบได๎ นักเรียนในชั้น Form 5-6-7 ควรเลือกวิชาท่ีจะเป็นพื้นฐานของ การเรียนในระดับ ปริญญาตรีที่ตนสนใจ เชํน สนใจเรียนปริญญาตรีด๎านธุรกิจ ก็ควรเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติ การ บัญชี เศรษฐศาสตร์ เป็นต๎น สวํ นนักเรียนท่ีจะเรยี นทางด๎านวิทยาศาสตร์ก็ควรเลือก เรียนวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชวี วทิ ยา เป็นต๎น โรงเรยี นมธั ยมถกู กําหนดให๎มีการสอนไมํน๎อยกวาํ 190 วันตํอปีการศึกษา กาํ หนดวนั ปิดและเปิดประจําภาคเรยี นตามปกติ คือ เทอม 1: 1 กุมภาพนั ธ์- 7 เมษายน เทอม 2: 26 เมษายน - 30 มิถนุ ายน เทอม 3: 17 กรกฎาคม - 22 กนั ยายน เทอม 4: 9 ตลุ าคม - 8 ธนั วาคม 20
ในประเทศนิวซีแลนด์มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแตํเน๎นการจัดการศึกษาทาง วชิ าชีพ ทเ่ี รยี กวํา สถาบันโพลีเทคนิค (Polytechnic) อีกด๎วย เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ได๎รับการสนับสนุน จากรฐั บาลเปิด ให๎การศึกษาอบรมสายวชิ าชพี เน๎นด๎านอุตสาหกรรมธุรกิจและการพาณิชย์ มีสาขาวิชาให๎ เลือกมากถงึ 150 สาขามหี ลกั สูตร ต้ังแตปํ ระกาศนียบัตร อนุปริญญา จนถึงปริญญาตรี และสามารถ โอน หนํวยกิตเพื่อเรียนตํอระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยได๎ โพลีเทคนิคท้ังหมดมี 25 แหํง กระจายอยํู 18 แหํงในเกาะเหนือ และ 7 แหํงในเกาะใต๎ นอกจากน้ีโพลีเทคนิคยังมีการ อบรมหลักสูตรส้ันๆ (Short Courses) และหลักสูตรสอน ภาษาอังกฤษอีกด๎วย คุณสมบัติของผ๎ูเรียน คือ มีอายุ 18 ปีข้ึนไป สําเร็จ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีเกรดเฉล่ีย 2-2.5 และสอบ TOEFL ได๎คะแนนอยํางตํ่า 500 หรือ IELTS 5.0 คา่ ใชจ่ ่ายในการศกึ ษา โรงเรียนมธั ยมศึกษา คําเลาํ เรยี นอยํูระหวาํ ง 7,500 - 15,000 เหรยี ญนวิ ซแี ลนด์ ตํอปี วทิ ยาลยั โพลเี ทคนิค คําเลําเรยี นอยํูระหวําง 9,000 - 16,000 เหรียญนวิ ซแี ลนด์ ตํอปี มหาวทิ ยาลัย ปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาโท/เอก แตกตาํ งกันไป ขึ้นอยํกู ับสาขาวชิ า คาํ เลาํ เรยี นอยูํระหวําง 10,000 - 18,500 เหรียญนวิ ซแี ลนด์ ตอํ ปี คําเลําเรยี นอยํูระหวําง 11,000 - 13,000 เหรียญนิวซแี ลนด์ ตํอปี สถาบนั สอนภาษาอังกฤษ คาํ เรยี นประมาณเดือนละ 1,200 - 1,400 เหรยี ญนิวซแี ลนด์ 1.3.5 การจัดการศึกษาในสหราชอาณาจักร แผนภูมิเปรียบเทียบ ระบบการศึกษาของประเทศองั กฤษ กับ ไทย ระบบการศกึ ษา ประเทศอังกฤษ สายสามญั ชํวงอายุ ระบบ (ป)ี การศกึ ษา ระดบั การศึกษา ระดับช้นั การสอบวัดผล ประเทศไทย 3-4 สายสามัญ ระดบั ประเทศ 4-5 อนุบาล 1 5-6 อนบุ าล 2 Foundation Stage (อนุบาล) Nursery1 6-7 อนบุ าล 3 Key Stage 1 (ประถม) Nursery2 7-8 Key Stage 2 (ประถม) Year 1 8-9 ป. 1 Year 2 9-10 ป. 2 Year 3 ป. 3 Year 4 ป. 4 Year 5 21
Year 6 SATS 10-11 ป. 5 11-12 ป. 6 Key Stage 3 (มัธยม) Year 7 GCSE 12-13 ม. 1 AS Level 13-14 ม. 2 Year 8 A2 Level 14-15 ม. 3 15-16 ม. 4 Year 9 16-17 ม. 5 17-18 ม. 6 Key Stage 4 (GCSE) Year 10 >=18 ปรญิ ญา Year 11 Key Stage 5 (Sixth Form, A Year 12 Levels) Year 13 เรียนตอ่ ระดับ ปริญญา Key Stage 1 (ชว่ งอายุ 5-7 ปี, Year 1-2) นกั เรียนใน Key Stage นี้ อยูํในชวํ งอายุระหวาํ ง 5-7 ปี วิชาหลักทีเ่ รยี นมี 3 รายวชิ า ไดแ๎ กํ คณิตศาสตร์, ภาษาองั กฤษ และวิทยาศาสตร์ นอกจากน้ีจะเปน็ วชิ าท่ีสอนให๎นักเรียนมคี วามรู๎ รอบตวั เพิ่มเติมหรือเสริมสร๎างสุขภาพใหแ๎ ข็งแรง อาทเิ ชนํ วชิ าทเี่ ก่ยี วกับศาสนา พลศกึ ษา สุขศกึ ษา ศลิ ปะ นนั ทนาการ เปน็ ต๎น โดยเปาู หมายใน Key Stage นคี้ อื – สามารถอํานออกเขยี นได๎ – สามารถบวกลบเลขได๎ – มีความเข๎าใจวทิ ยาศาสตรท์ ั่วไป – มคี วามประพฤติทางสงั คมทเ่ี หมาะสม – มีพฒั นาการเรื่องมนษุ ยสัมพันธ์ ทงั้ ในห๎องเรียน และ นอกห๎องเรยี น ซึ่งสํวนใหญํมกั ใช๎ ระบบบัดด้ีคลาส เพือ่ สรา๎ งความสมั พันธ์ระหวํางรุํน (เพ่ือน รํนุ พ่ี รุํนน๎อง) Key stage 2 (ชว่ งอายุ 7-11 ปี, Year 3-6) นักเรยี นใน Key Stage น้ี อยูใํ นชวํ งอายุระหวําง 7-11 ปี วชิ าหลกั ท่ยี ังคงเปน็ ภาษาอังกฤษ, คณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ นอกจากนน้ั ยังมีวิชาที่นาํ สนใจ ให๎เรยี นเพ่ิม เชนํ วิชาภาษา 22
ฝรง่ั เศส, คณติ ศาสตร์ ที่มีความซับซอ๎ นมากยิ่งขน้ึ , วิชาเก่ียวกับการอํานและการตีความ, วิธกี ารทํารายงาน และการพูดบรรยาย เป็นตน๎ โดยมีคุณครผู เู๎ ชยี วชาญในแตลํ ะวิชาเป็นผคู๎ วบคมุ ดแู ลการสอนใหก๎ บั นักเรยี น โดยเปูาหมายใน Key Stage นีค้ ือ – สามารถพูดนาํ เสนอหน๎าช้ันเรียนแบบสน้ั ๆได๎ – สามารถอํานและทาํ ความเขา๎ ใจเนือ้ เรื่อง – มีพัฒนาการทักษะการเขยี นรายงานทดี่ ี Key Stage 3 (ช่วงอายุ 11-14 ป,ี Year 7-9) นกั เรียนใน Key Stage น้ี อยใูํ นชวํ งอายุระหวาํ ง 11-14 ปี โดยจะมี เหลาํ คุณครผู ูเ๎ ช่ยี วชาญเฉพาะดา๎ น ทําหนา๎ ทสี่ อนหนังสอื และใหค๎ วามร๎ูแกนํ กั เรยี นในวชิ า นั้นๆ นอกจากนั้นยังมีการตดิ ตามผลการเรียนของนกั เรยี นแตลํ ะคนอกี ด๎วย รายวิชาที่ เรียน ไดแ๎ กํ – ภาษาอังกฤษ – คณติ ศาสตร์ – วิทยาศาสตร์ – ประวตั ิศาสตร์ – ภมู ิศาสตร์ – ภาษาตํางประเทศ – สาระสนเทศและเทคโนโลยี – ศลิ ปะและการออกแบบ – ดนตรี – พละศึกษา – ประชากรศาสตร์ – คอมพิวเตอร์ โดยเปาู หมายใน Key Stage นี้คอื – นกั เรียนมคี วามกลา๎ แสดงออก กลา๎ แสดงความคิดเห็น – มีความสามารถใน การตดิ สินใจอยํางมีเหตผุ ล – นักเรียนสามารถคน๎ หาตัวเองได๎ วําชอบเรียนอะไร มีความถนดั ทางด๎านไหน 23
Key Stage 4 (ช่วงอายุ 14-16 ป,ี Year 10-11) นักเรียนใน Key Stage น้ี อยูใํ นชํวงอายุระหวําง 14-16 ปี ซ่ึงเป็นชํวงระดับมัธยมปลาย โดยนกั เรียนจะตอ๎ งทําการเลือกเรียน 8-12 วชิ า เพอ่ื เตรียมตัวสอบ IGCSE หรือ GCSE เป็นการสอบเทียบ วฒุ มิ ัธยมศกึ ษาตอนปลายของระบบองั กฤษ ซงึ่ เป็นการสอบระดับประเทศ IGCSE ยํอมาจาก International General Certificate of Secondary Education การสอบ IGCSE นั้นจะถูกจัดข้ึนโดยโรงเรียนนานาชาติท่ีใช๎ระบบการเรียนการสอนแบบอังกฤษ GCSE ยํอมาจาก General Certificate of Secondary Education การสอบ GCSE น้ันจะถูกจัดขึ้นในโรงเรียนหรือวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ โดยท้ัง 2 อยําง นักเรียนจะต๎องเลือกสอบ ประมาณ 8-12 วิชา เชํน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา ภาษาตํางประเทศ ศิลปะ ฯลฯ และผลการสอบจะแบํงออกเป็น 7 ระดับ คือ Grade A, B, C, D, E, F และ G นักเรียนที่สอบได๎ Grade C ขึ้นไปจึงจะถือวําสอบผําน นักเรียนท่ีสอบ IGCSE หรือ GCSE จนได๎วุฒิบัตร สามารถเข๎าศึกษา ตํอในหลักสูตรสายสามัญ “A” Level ได๎ หรือหลักสูตรสายวิชาชีพ Advanced GNVQ โดยมีระยะเวลา เรยี น 2 ปี หลักสูตรวชิ าระดบั ประเทศท่ีบงั คับเรียน แบํงออกเป็น วิชาหลกั และ วิชาพืน้ ฐาน วชิ าหลกั ได๎แกํ ภาษาองั กฤษอังกฤษ, คณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ วิชาพ้นื ฐาน ไดแ๎ กํ คอมพิวเตอร์, พละศึกษา และประชากรศาสตร์ และโรงเรยี นตอ๎ งเปิดสอนอยาํ งน๎อยหนงึ่ วิชา ในแตลํ ะหมวดวชิ าดงั ตอํ ไปนี้ – ศิลปะ – สารสนเทศและเทคโนโลยี – มนุษยศ์ าสตร์ – ภาษาตาํ งประเทศ โดยเปูาหมายใน Key Stage นี้คอื – ตัดสินใจไดว๎ าํ สนใจศกึ ษาตํอในสาชาใด – มคี วามรูพ๎ ืน้ ฐาน ทีส่ ามารถนํามาประยุกต์ใชใ๎ นชีวติ ประจําวัน 24
Key Stage 5 (ช่วงอายุ 16-18 ป,ี Year 12-13) นกั เรียนใน Key Stage นี้ อยใูํ นชํวงอายรุ ะหวําง 16-18 ปี จะมีระยะเวลาเรียน 2 ปี ได๎แกํ Year 12 และ Year 13 โดยเปูาหมายของนักเรยี นในชํวงนี้คอื เรียนเพื่อเตรียมตัวสอบ GCE A Level (GCE Advanced) เพ่ือนําผลสอบไปยื่นเขา๎ ศึกษาตํอในระดับมหาวิทยาลยั GCE A Level (GCE Advanced) เปน็ การสอบวัดผลความรู๎ของนักเรียนทม่ี ีอายุตง้ั แตํ 16 ปขี ้นึ ไป วชิ าท่สี อบมีให๎เลือกกวาํ 50 วิชา โดยสวํ นใหญจํ ะสอบเพยี ง 2 – 3 วชิ าทมี่ คี วามสมั พนั ธ์กนั คือ เลอื กสอบทางด๎าน Science หรือทางด๎าน Humanities ผลการสอบแบํงออกเปน็ 5 ระดับ คือ A, B, C, D และ E ซง่ึ Grade ท้งั 5 ระดับน้ถี ือวาํ สอบผํานทง้ั หมด แตํมหาวทิ ยาลยั สวํ นใหญํจะรับพิจารณารบั ผ๎ู ท่มี ผี ลการสอบในระดบั C ขึ้นไป แตมํ หาวทิ ยาลัยบางแหํงอาจจะรบั ผท๎ู ่ไี ด๎คะแนนระดับ A และ B สาํ หรบั ผลสอบ GCE “A” Level น้ีเป็นเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษาใชัในการพจิ ารณารบั นักเรียนเขา๎ ศกึ ษาตํอ ระดับอดุ มศึกษา ตัวอยํางรายวิชาท่ีเรียน ได๎แกํ ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, สื่อสารมวลชน, วรรณกรมอังกฤษ, ICT,เศรษฐศาสตร์, พละศึกษา, ประวัติศาสตร์, ภาษาฝรั่งเศส, การศึกษาธุรกจิ , การออกแบบสนิ คา๎ , ศิลปะ, สงั คมวทิ ยา, จติ วิทยา เปน็ ต๎น ระดับอุดมศึกษา (Higher Education) นกั ศึกษาของไทย มจี ํานวนไมํนอ๎ ย ท่มี า ศึกษาตํออังกฤษ โดยมเี ปาู หมายในดารเรียนใน ระดบั อุดมศึกษา ซงึ่ หลักสูตรระดบั อุดมศึกษา แบํงออกเป็น Undergraduate ศึกษาตํออังกฤษ ในระดบั ปรญิ ญาตรี – Bachelor Degree เปน็ หลกั สตู รการศึกษา 3 ปี ยกเวน๎ บางสาขาวิชา เชํน วิศวกรรมศาสตร์ (4 ปี) สถาปัตยกรรมศาสตร์ (5 ปี) ทนั ตแพทย์ (5 ป)ี สัตวแพทย์ (5 ป)ี แพทย์ (6 ปี) Postgraduate ศึกษาตํออังกฤษ ในระดับสูงกวาํ ระดับปริญญาตรีแบํงออกเป็น 3 ระดับคือ – Postgraduate Certificate Diploma หลักสตู รการศึกษา 9 เดือนถงึ 1 ปี รับสมคั ร ผสู๎ าํ เรจ็ การศึกษาปรญิ ญาตรีเข๎าศกึ ษาตํอ – Master Degree หลักสูตรการศึกษา 1 – 2 ปี – Doctoral Degree ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี หรือมากกวํา 3 ปี ในบางสาขา 25
ขอ้ มูลที่ควรทราบ – ระบบการศึกษาของอังกฤษ เนน๎ คณติ ศาสตร์ และ วทิ ยาศาสตร์ – เด็กนกั เรยี นไทย จะเขา๎ สํูการศกึ ษาภาคบงั คับ (Year 1) ช๎ากวํา นักเรียนอังกฤษ 1 ปี โดยท่ี องั กฤษ การศกึ ษาภาคบังคบั เริ่มตัง้ แตํอายุ 5-6 ปี สํวนเดก็ นักเรียนไทยจะเข๎าเรียน ป.1 อายุ 6-7 ปี พอถงึ ปลายทางที่ ชวํ งอายุ 17-18 ปี จะทาํ ใหเ๎ ด็กไทย เรียนน๎อยกวํา เดก็ อังกฤษ 1 ปี เดก็ นกั เรยี น อังกฤษ จะได๎เรยี นถึง Year 13 สวํ นเดก็ ไทย จะไดเ๎ รยี นถงึ ม.6 หรือ Year 12 – นกั เรียนไทยทจ่ี บ ม.6 มา หากตอ๎ งการมาตํอ ป.ตรี ท่ีองั กฤษ สํวนใหญํ จะต๎องเรียน Foundation กอํ น 1 ปี – เดก็ องั กฤษ ประมาณ 95% จะเรียนในโรงเรียนรฐั บาล แตสํ าํ หรับครอบครวั ท่ีมฐี านะดีมักสงํ บุตรหลานเข๎าเรียนในโรงเรยี นเอกชน – ในสํวนของ นักเรียนตํางชาติท่มี า ศึกษาตํอที่องั กฤษ ในระดบั มธั ยมศกึ ษา จะมสี ทิ ธลิ งเรยี นใน โรงเรียนเอกชนเทํานน้ั – ภาคการศึกษาของสถานศกึ ษาทุกระดบั ในอังกฤษ เร่ิมต๎นภาคแรก ในราวปลายเดือนกันยายน หรอื ต๎นเดอื นตลุ าคมของปีท่ีหนึ่ง และสนิ้ สดุ ราวปลายเดอื นมถิ นุ ายนหรอื ต๎นเดอื นกรกฎาคมของปี ถัดไป โดยแบํงออกเปน็ 3 ภาค คอื ภาคต๎น (Autumn Term) เร่ิมปลายเดือนกนั ยายน ถึง กลางเดือนธนั วาคม ภาคกลาง (Spring Term) เร่ิมกลางเดือนมกราคม ถึง ปลายเดือนมนี าคม ภาคปลาย (Summer Term) เริม่ ปลายเดอื นเมษายน ถงึ ต๎นเดอื นกรกฎาคม 26
1.3.6 การจดั การศกึ ษาในประเทศบรไู น ประเทศบรูไนไมํมีการศึกษาภาคบังคับ แตํการศึกษาเป็นสากล และจัดให๎ฟรีสําหรับ ประชาชนท่ัวไป การศึกษาแบํงออกเป็นระดับกํอนประถมศึกษา 1 ปี ระดับประถมศึกษา 6 ปี ระดับ มัธยมศึกษา 7-8 ปี ซ่ึงแบํงเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น 3 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2-3 ปี และ ระดับเตรยี มอุดมศกึ ษา 2 ปี และระดับมหาวิทยาลัย 3-4 ปี • ระดบั กอ่ นประถมศึกษา เด็กทกุ คนต๎องเข๎าศึกษาในระดบั กอํ นประถมศึกษา 1 ปี เม่ืออายุ 5 ปี หลังจากนั้นจงึ เข๎า ศกึ ษาในระดบั ประถมศึกษา • ระดับประถมศกึ ษา แบงํ ออกเป็นสองระดับคือ ระดบั ประถมตน๎ 3 ปี และประถมปลาย 2-3 ปี หลังจากจบ การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา 6 ปี นกั เรียนจะต๎องเข๎ารับการทดสอบข๎อสอบกลาง (PCE : Primary Certificate of Examination) ซง่ึ การศึกษาในระดับน้ีมีจุดประสงค์เพือ่ ปูพนื้ ฐานด๎านการเขยี น การ อําน และการคาํ นวณให๎แกํนักเรยี น เพื่อจะได๎นําความรเู๎ หลาํ นี้ไปใช๎ในการพัฒนาตนเอง • ระดับมธั ยมศกึ ษา การศึกษาระดับมธั ยมศึกษารวมใช๎เวลา 7-8 ปี (มธั ยมศกึ ษา 1-5 และ เตรียมอดุ มศกึ ษา 2 ปี) - ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต๎น มีระยะเวลา 3 ปี หลังมธั ยมศึกษาตอนต๎นแลว๎ นักเรียนจะตอ๎ งทดสอบ BJCE (Brunei Junior Certificate of Education) จงึ สามารถเรยี นตํอระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย หรอื เลือกเรยี นวิชา ด๎านชาํ ง และเทคนิคพื้นฐานที่สถาบันการศึกษาทางเทคนิคและอาชีวศึกษา - ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย มีระยะเวลา 2-3 ปี นักเรียนจะเลือกเรียนสายศิลป์ สายวิทย์ หรือสายอาชีพ ตามแตํผล การสอบ BJCE หลักจากเรียนจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล๎ว (ระดับ 5) เด็กต๎องสอบข๎อสอบ Brunei-Cambridge General Certificate of Education : BCGCE “O” level หรือสําเร็จการศึกษา ระดับ 6 เด็กต๎องสอบข๎อสอบ Brunei-Cambridge General Certificate of Education : BCGCE “A” level แล๎วจึงจะมสี ทิ ธเิ์ รียนตํอระดบั เตรยี มอุดมศกึ ษา - ระดับเตรียมอุดมศึกษา มีระยะเวลา 2 ปี • ระดบั ปริญญาตรี จัดให๎กับเด็กที่มีผลการศึกษาดี มีศักยภาพในการศึกษาตํอได๎ หรือศึกษาในสาขาท่ีเป็น ความต๎องการของประเทศ ซง่ึ มีท้งั มหาวทิ ยาลัย สถาบนั อาชวี ะ และเทคนิคตําง ๆ วทิ ยาลยั ตาํ ง ๆ โรงเรยี นเอกชน (Non-Government Schools) 27
มบี ทบาทในการชํวยแบํงเบาภาระการจัดการศึกษาของรัฐบาล โดยโรงเรียนเอกชนที่ขึ้น ทะเบียนกับกระทรวงศึกษาธิการมี 5 ประเภท ได๎แกํ โรงเรียนภาคบังคับตามปกติ (ต้ังแตํระดับอนุบาล จนถงึ ระดับมธั ยมศกึ ษา) โรงเรยี นกวดวชิ า โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนสอนดนตรี โรงเรียนสอนตัด เส้อื การศกึ ษา และการฝึกหัดด้านอาชวี ะและเทคนคิ กรมการศกึ ษาด๎านเทคนคิ (Department of Technical Education – DTE) เป็น ผร๎ู ับผิดชอบดูแลการจดั การศึกษา และการฝกึ หดั ด๎านอาชวี ะและเทคนคิ (Technical and Vocational Education and Training) และโปรแกรมเกีย่ วกบั การศกึ ษาตํอ (Continuing Education-CE) ระบบการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2528 กําหนดให๎ใช๎ภาษาอังกฤษ และภาษามาเลย์ในการ สอนต้ังแตํระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีท่ี 3 ครูจะสอนทุกวิชาด๎วยภาษามาเลย์ ยกเว๎นวิชา ภาษาองั กฤษซึ่งใช๎ภาษาองั กฤษในการสอน สาํ หรบั ระดับประถมศกึ ษาปีที่ 4 ขึ้นไป โรงเรียนจะใช๎ท้ังภาษา มาเลย์ และภาษาอังกฤษในการสอน โดยภาษามาเลย์ใช๎สําหรับสอนวิชาเก่ียวกับมาเลย์ ความรู๎เกี่ยวกับ ศาสนาอิสลาม พลศึกษา ศิลปะและการชําง และวิชาหน๎าท่ีพลเมือง สํวนภาษาอังกฤษใช๎ในการสอนวิชา วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นตน๎ 1.3.6 1.3.7 การจัดการศกึ ษาประเทศมาเลเซยี อยใํู นความรบั ผดิ ชอบของกระทรวงศึกษาธิการ แบงํ ระดบั การบรหิ ารเป็น 5 ระดบั คอื ระดบั ชาติ ระดับรฐั ระดบั อําเภอ ระดบั กลํมุ โรงเรยี นและระดับโรงเรยี น - การบรหิ ารการศึกษาระดบั ชาติอยูใํ นความรบั ผดิ ชอบของรฐั บาลกลาง ( Federal Government) - การศกึ ษาทุกประเภททุกระดับอยํภู ายใตค๎ วามรบั ผิดชอบของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพยี งกระทรวงเดยี ว ยกเว๎นการศึกษาทมี่ ลี กั ษณะเป็นการศึกษานอกระบบ (Non-formal Education) จะ มกี รมจากกระทรวงอืน่ ๆ ที่เก่ียวขอ๎ งรับผิดชอบ เชนํ กรมแรงงาน กรมเกษตร เป็นตน๎ ระบบการจัดการศึกษาของมาเลเซยี (National Education System) เปน็ ระบบ 6:3:2 คือ - ระดับประถมศึกษา หลกั สตู ร 6 ปีการศึกษา - ระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น หลกั สูตร 3 ปกี ารศึกษา - ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย หลกั สูตร 2 ปีการศกึ ษา - ระดับเตรียมอุดมศึกษา หลักสตู ร 1 หรอื 2 ปีการศึกษา - ระดับอุดมศกึ ษา หลักสูตรเฉลี่ยประมาณ 3 ปีครง่ึ ถึง 4 ปีการศกึ ษา และแบํงการศึกษาออกเป็น 5 ระดบั ดงั น้ี 1. การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา (Pre-school Education) 28
2. การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา (Primary Education) 3. การศึกษาระดบั มัธยมศึกษา (Secondary Education) 4. การศึกษาระดับหลังมธั ยมศึกษาหรือเตรียมอุดมศึกษา (Post-secondary Education) 5. การศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education) สวํ นสถานศึกษาท่ที ําหนา๎ ทจี่ ัดการศึกษาระดบั ตาํ ง ๆ น้นั แบงํ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. สถานศกึ ษาของรัฐบาล (Government Education Institutions) 2. สถานศกึ ษาในอุปถัมภข์ องรฐั บาล (Government-aided Educational Institutions) 3. สถานศึกษาเอกชน (Private Educational Institutes) ในโรงเรียนของรัฐบาลกําหนดให๎ใช๎ภาษาประจาํ ชาติคือ ภาษามลายู (Bahasa Malayu) ทเี่ ขียนดว๎ ยอักษรรูมี (อักษรภาษาองั กฤษ) เป็นภาษาหลักในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1.3.8 การจดั การศึกษาประเทศฟิลปิ ปินส์ ระบบการศึกษาของประเทศฟิลิปปินส์มีท้ังแบบที่เป็นทางการและไมํเป็นทางการ โดย การศึกษาแบบท่ีเป็นทางการนั้นมีลําดับข้ันตอนของการเรียนอยูํสามระดับนั่นคือ ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ในระดับประถมศึกษาน้ันจะใช๎เวลาศึกษาภาคบังคับหกปีที่ โรงเรียนของรัฐบาลหรือเจ็ดปีในโรงเรียนของเอกชนนอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยซ่ึงนักเรียน สามารถเลือกเรียนได๎ โดยการศึกษาระดับน้ีรวมไปถึงการเรียนชั้นอนุบาลและอาจเป็นหลักสูตรเตรียม ประถมศึกษาก็ได๎ นักเรียนที่มีอายุระหวํางสามหรือส่ีปีจะเข๎าเรียนในสถานรับเล้ียงเด็กกํอนวัยเรียน จนกระท่งั มอี ายคุ รบ 5-6 ปี จงึ จะเล่ือนขน้ึ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ีหนึง่ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาใช๎เวลาสี่ปีโดยนักเรียนต๎องเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอน ปลายกํอน นักเรียนสํวนใหญํท่ีเรียนชั้นมัธยมศึกษาจะมีอายุ 12 ปีและเรียนจบเม่ืออายุ 15 ปี สํวน ระดับอดุ มศกึ ษาน้ัน นักเรียนสวํ นใหญจํ ะมีอายปุ ระมาณ 16 ปี การศกึ ษาระดบั นี้แบํงเป็นระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอกในหลากหลายสาขาวิชา นอกจากน้ัน การศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษายังรวม ไปถึงหลกั สูตรอาชวี ศกึ ษาแบบสองหรือสามปที ีอ่ าจไมํมีการมอบปรญิ ญาก็ได๎ ระบบการศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ใกล๎เคียงกับระบบการศึกษาแบบเป็นทางการของ สหรัฐอเมริกา ในขณะท่ีระบบการศึกษาของประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียมักจะได๎รับอิทธิพลจากประเทศ อังกฤษ ฝรงั่ เศส หรอื เนเธอร์แลนด์ การศึกษาแบบไมํเป็นทางการซ่งึ รวมถึงการรับความรู๎นอกโรงเรยี นนัน้ มีวตั ถุประสงค์หลัก สําหรับผู๎เรียนกลุํมเฉพาะ เชํน เยาวชนหรือผ๎ูใหญํท่ีไมํสามารถเข๎าเรียนตํอที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยได๎ 29
ตัวอยํางได๎แกํหลักสูตรการศึกษาผู๎ใหญํท่ีไมํร๎ูหนังสือซ่ึงบูรณาการการเขียนและการอํานเบ้ืองต๎นเข๎ากับ ทักษะในชีวติ ประจาํ วัน หน๎าที่ในการบริหาร ควบคุม และดําเนินการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (ระดับประถมและ มัธยมศึกษา) น้ันจะเป็นของแผนกการศึกษา วัฒนธรรมและกีฬา ในขณะที่คณะกรรมาธิการการ อุดมศึกษาจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษาระดับสูง สํวนการศึกษาด๎านเทคนิคหลังมัธยมศึกษานั้นจะ ดําเนินการโดยเจ๎าหน๎าที่ด๎านการพัฒนาทักษะและการศึกษาด๎านเทคนิคซึ่งยังมีหน๎าที่ปฐมนิเทศ ให๎การ ฝึกอบรมและการพัฒนาด๎านทักษะอาชีพแกํเยาวชนท่ีไมํได๎เข๎าเรียนในโรงเรียนและผู๎ใหญํท่ีวํางงาน นอกจากนี้ประเทศฟิลิปปินส์ใช๎การเรียนการสอนแบบทวิภาษา บางวิชาจะสํวนเป็น ภาษาองั กฤษ สํวนวิชาอื่นๆ จะสอนเป็นภาษาฟิลปิ ปินส์ 1.3.9 การจดั การศกึ ษา สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republic) เป็นประเทศท่ีอยูํในวงล๎อมของ 5 ประเทศ คือ เวียดนาม กัมพูชา ไทย พมํา และจีน เป็นประเทศท่ีไมํมี ทางออกทะเล พ้ืนท่ีประเทศทั้งหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร ซ่ึงสํวนใหญํเป็นเขาและที่ราบสูง ใชภ๎ าษาลาวเป็นภาษาราชการ เมอื งหลวงชื่อเวียงจนั ทน์ (Vientiane) ปกครองในระบบสังคมนิยม การจัดการศึกษาของลาวเร่ิมด๎วยการศึกษาในระดับอนุบาลและกํอนวัยเรียน โรงเรียน อนุบาลในประเทศลาวจะมีทั้งโรงเรียนท่ีเป็นของรัฐบาลและเอกชน เปิดรับนักเรียนตั้งแตํอายุ 3-6 ปี ใช๎เวลาเรียน 3 ปี แบงํ เปน็ ชั้นอนุบาล 1-3 เม่ือจบชั้นอนุบาลแล๎วจะเขา๎ เรยี นในระดับประถมศึกษาตํอไป นับต้ังแตํลาวได๎เปลี่ยนการปกครองเมื่อปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2528) เป็นต๎นมา ได๎ใช๎ระบบการศกึ ษาเปน็ แบบ 11 ปี คอื ระบบ 5 :3 :3 ดงั น้ี • ประถมศึกษา ใช๎เวลาในการศึกษา 5 ปี เด็กจะเร่ิมเข๎าเรียนเม่ืออายุ 6 ปี การศึกษา ในระดับนี้คือเป็นการศึกษาภาคบังคับ เด็กทุกคนต๎องจบการศึกษาในระดับนี้ แตํในทางปฏิบัติการศึกษา ภาคบงั คับจะมีผลดีแตเํ ฉพาะเด็กในเมอื งใหญเํ ทํานั้น เน่ืองจากลาวมพี ืน้ ทป่ี ระเทศกว๎างขวางและประชากร กระจายกนั อยํู • มัธยมศึกษาตอนต๎น ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี และในอนาคตจะให๎เด็กได๎เรียน ภาษาอังกฤษเพ่มิ มากขึ้น • มัธยมศึกษาตอนปลาย ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี การศึกษาข้ันพื้นฐานในระบบ 5 -3 -3 น้ีอ ยํู ใน ค ว า ม ดูแ ล แล ะ รับ ผิ ดช อ บข อ งก ร มส า มัญ ศึ กษ า ก ร ะท ร ว ง ศึ กษ า ธิก า ร • อุดมศกึ ษาหรือการศกึ ษาชั้นสูง รวมการศึกษาด๎านเทคนิค สถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือ มหาวิทยาลัย อยํูในความดูแลและรับผิดชอบของกรมอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ ยกเว๎นการศึกษาเฉพาะทางซ่ึงอยํูในความดูแลของกระทรวงอ่ืน โดยเม่ือเด็กจบการศึกษาในระดับประถม 30
และมัธยมศึกษาแล๎ว จะมีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อเสนอกระทรวงศึกษาธิการให๎เด็กได๎เข๎าศึกษาตํอใน ระดับทสี่ ูงขึน้ ได๎แกํ • สายอาชีพ ใช๎เวลาศึกษา 3 ปี ในวิทยาลัยเทคนิคตํางๆ เชํน ทางด๎านไฟฟูา กํอสร๎าง บัญชี ปุาไม๎ เปน็ ตน๎ • มหาวิทยาลยั และสถาบนั การศึกษาที่สาํ คัญได๎แกํ 1. มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ (เวียงจันทน์) ใช๎เวลาศึกษา 6 ปี ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข 2. มหาวทิ ยาลัยแหงํ ชาติ (ดงโดก) ใชเ๎ วลาศึกษา 4 ปี 3. สถาบันสรรพวชิ า (National Polytechnic Institute) ใชเ๎ วลาศกึ ษา 6 ปี รายการอ้างอิง การศึกษาในประเทศไทย. ใน วกิ พิ เี ดยี . (2560) สบื ค๎นเมือ่ 29 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/jsIQ7 กองทนุ เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2556) ต้นแบบการจดั การศกึ ษา : ญ่ีปุ่น. สบื คน๎ เม่ือ 30 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/aMOZ4 ธงชยั สมบูรณ์. (2548) การศกึ ษาของประเทศในยโุ รป. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง. _______________. การศึกษาของประเทศในเอเซีย. กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง สํานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร, สํานักความสัมพนั ธ์ตํางประเทศ. (2560). ระบบการศึกษา-บรูไน. สบื ค๎นเม่อื 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component /k2/item/3709-2013-10-17-03-56-03. _______________. ระบบการศึกษา-ฟลิ ิปปินส์. สืบค๎นเมอ่ื 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component/k2/item/3710-2013-10-17-03-56- 03. _______________. ระบบการศกึ ษา-สงิ คโปร์. สืบคน๎ เมื่อ 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component/k2/item/3708-2013-10-17-03-56- 03. มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ. (2558) ระบบการศกึ ษาในประเทศอาเซียน. สืบค๎นเม่ือ 30 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/duzOW พิมพพ์ รรณ เทพสเุ มธานนท์ และคณะ. (2547). ระบบการศกึ ษาของตางประเทศ. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยรามคาํ แหง 31
อําพร เรืองศรี. (2560) ระบบการศกึ ษาไทย. สบื ค๎นเมอ่ื 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://goo.gl/V4THz6.shorturl.at/bceAC อุทยั บุญประเสริฐ. ระบบการศกึ ษาในประเทศญ่ีปุน. การประชมุ การจดั การศึกษาในประชาคมอาเซียน. 23 พฤศจิกายน 2556. มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑิตย์. Education in Laos. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_Laos Education in New Zealand. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_New_Zealand. Education in the Philippines. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_the_Philippines Education in the Malaysia. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_the_Malaysia New Zealand Government. (2017). new zealand education system. Online from https://www.govt.nz/browse/education OECD. (2014). Education policy outlook NETHERLANDS (ONLINE). 32
บทที่ 2 การเรียนรเู้ ชิงกา้ วหนา้ วิธีสอนเพ่อื ส่งเสริมศกั ยภาพของผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 กรณีศึกษา: การเรยี นรจู้ ากครตู ้นแบบ ครสู อนดี หวั เร่อื ง 1. STEM Education 2. Flipped Classroom 3. กรณีศึกษา : การเรยี นรจ๎ู ากครูต๎นแบบ ครสู อนดี วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือใหผ๎ ู๎เรยี นมีความร๎ูความเข๎าใจเกี่ยวกบั แนวคิดการเรยี นรู๎เชิงก๎าวหนา๎ 2. เพือ่ ให๎ผเ๎ู รยี นได๎เรยี นรแู๎ นวปฏิบตั ิทีด่ ีจากครตู ๎นแบบ ครูสอนดี กิจกรรมระหวา่ งเรยี น ผ๎ูสอนใชว๎ ิธีการสอนแบบผสมผสาน เพื่อให๎ผู๎เรยี นเกดิ การเรยี นรู๎ ทกั ษะและการคดิ วิเคราะห์ ดังน้ี 1. บรรยาย อภิปราย ซักถาม กระตุ๎นใหเ๎ กดิ การแลกเปลี่ยนเรียนร๎ูเก่ียวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่ีสอนระหวํางผ๎สู อนกับผ๎ูเรียนและระหวํางผ๎ูเรยี นเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอรเ์ น็ต 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณีศึกษาทั้งในรูปแบบเอกสารและวิดโี อ 4. การทํางานกลุํมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความรู๎ นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในชั้นเรียน เพ่ือการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระที่เก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรยี น 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในชั้นเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผ๎เู รียนและผส๎ู อนรํวมสรปุ ประเดน็ การเรยี นร๎ู ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสอื ตาํ รา งานวิจยั ที่เกย่ี วข๎อง 2. ส่ือดจิ ทิ ลั จากอินเทอรเ์ น็ตและสไลด์นําเสนอ 33
การประเมินผล 1. การสวํ นรวํ มกับกจิ กรรมในช้ันเรยี นของผูเ๎ รียน ความสามารถในการวเิ คราะห์ประเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการคน๎ ควา๎ ตามประเด็นของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา การเรยี นรเู้ ชิงก้าวหน้า วิธีสอนเพือ่ สง่ เสรมิ ศักยภาพของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 กรณศี ึกษา: การเรียนรูจ้ ากครูต้นแบบ ครูสอนดี 2.1 เทคนิการสอนเชงิ ก้าวหนา้ 2.1.1 STEM Education คําวํา “สะเต็ม” หรือ “STEM” เป็นคํายํอจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได๎แกํ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึงองค์ความร๎ู วิชาการของศาสตร์ท้ังสี่ที่มีความเช่ือมโยงกันในโลก ของความเป็นจริงท่ีต๎องอาศัยองค์ความร๎ูตํางๆ มาบูรณาการเข๎าด๎วยกันในการดําเนินชีวิตและการทํางาน คําวาํ STEM ถูกใช๎ คร้ังแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แหํงประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation: NSF) ซ่ึงใช๎คํานี้เพ่ืออ๎างถึงโครงการหรือโปรแกรมท่ีเกี่ยวข๎องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อยํางไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แหํงประเทศสหรัฐอเมริกาไมํได๎ให๎ นิยามที่ชัดเจนของคําวํา STEM มีผลให๎มีการใช๎และให๎ความหมายของคํานี้แตกตํางกันไป (Hanover Research, 2011, p.5) เชํน มีการใช๎คําวํา STEM ในการอ๎างอิงถึงกลุํมอาชีพท่ีมีความเกี่ยวข๎องกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สะเต็มศึกษา คือ แนวทางการจัดการศึกษาท่ีบูรณาการความร๎ูใน 4 สหวิทยาการ ได๎แกํ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน๎นการนําความร๎ูไปใช๎แก๎ปัญหาในชีวิตจริง รวมท้ังการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหมํ ที่เป็นประโยชน์ตํอการดําเนินชีวิต และการทํางาน ชํวย นักเรียนสร๎างความเชื่อมโยงระหวําง 4 สหวิทยาการ กับชีวิตจริงและการทํางาน การจัดการเรียนร๎ูแบบ สะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนร๎ูที่ไมํเน๎นเพียงการทํองจําทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ แตํเป็นการสร๎างความเข๎าใจทฤษฎีหรือกฏเหลํานั้นผํานการปฏิบัติให๎เห็นจริงควบคูํกับการ พัฒนาทักษะการคิด ต้ังคําถาม แก๎ปัญหาและการหาข๎อมูลและวิเคราะห์ข๎อค๎นพบใหมํๆ พร๎อมทั้ง สามารถนําขอ๎ คน๎ พบนนั้ ไปใช๎หรอื บูรณาการกับชวี ิตประจาํ วนั ได๎ 34
การจัดการเรียนร๎ูตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5 ประการได๎แกํ (1) เป็นการสอนท่ีเน๎น การบูรณาการ (2) ชํวยนักเรียนสรา๎ งความเช่ือมโยงระหวํางเน้ือหาวิชาท้ัง 4 กับชีวิตประจําวันและการทํา อาชีพ (3) เน๎นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (4) ท๎าทายความคิดของนักเรียน และ (5) เปิดโอกาสให๎ นกั เรยี นได๎แสดงความคดิ เหน็ และความเข๎าใจท่ีสอดคลอ๎ งกับเนอ้ื หาท้ัง 4 วิชา จุดประสงค์ของการจัดการ เรียนรู๎ตามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ สํงเสริมให๎ผู๎เรียนรักและเห็นคุณคําของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นวําวิชาเหลํานั้นเป็นเร่ืองใกล๎ตัวที่สามารถนํามาใช๎ ได๎ทกุ วนั จดุ ประสงคข์ องการจัดการเรียนรต๎ู ามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ สํงเสริมให๎ผู๎เรียนรักและ เห็นคุณคําของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นวําวิชา เหลาํ นนั้ เป็นเร่ืองใกล๎ตวั ที่สามารถนํามาใชไ๎ ด๎ทกุ วนั ระดับการบูรณาการที่อาจเกิดขึ้นในชั้นเรียนสะเต็มศึกษาสามารถแบํงได๎เป็น 4 ระดับ ได๎แกํ การบูรณาการภายในวิชา (disciplinary), การบูรณาการแบบพหุวิทยากร (multidisciplinary integration), การบูรณาการแบบสหวทิ ยาการ (interdisciplinary integration) และ การยูรณาการแบบ ข๎ามสาขาวิชา (transdisciplinary integration) ดังแสดงในรปู การบูรณาการภายในวิชา คือ การจัดการเรียนรู๎ที่นักเรียนได๎เรียนเน้ือหาและฝึกทักษะ ของแตํละวิชาของสะเต็มแยกกัน การจัดการเรียนรู๎แบบน้ีคือการจัดการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีท่เี ปน็ อยํูท่ัวไปที่ครูผสู๎ อนแตลํ ะวชิ าตํางจัดการเรยี นรูใ๎ หแ๎ กํนักเรยี นตามรายวชิ าของตนเอง การบูรณาการแบบพหุวิทยาการ คือ การจัดการเรียนร๎ูท่ีนักเรียนได๎เรียนเน้ือหาและฝึก ทักษะของวิชาของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์แยกกัน โดยมีหัวข๎อหลัก (theme) ท่ีครูทุกวิชากําหนดรํวมกัน และมีการอ๎างอิงถึงความเช่ือมโยงระหวํางวิชาน้ันๆ การจัดการ เรยี นรแ๎ู บบนี้ชวํ ยให๎นกั เรียนเหน็ ความเช่อื มโยงของเนอื้ หาในวชิ าตาํ งๆ กบั สง่ิ ท่ีอยํรู อบตวั การบรู ณาการแบบสหวิทยาการ คือ การจัดการเรียนร๎ูท่ีนักเรียนได๎เรียนเนื้อหาและฝึก ทักษะอยํางน๎อย 2 วิชารํวมกันโดยกิจกรรมมีการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของทุกวิชาเพื่อให๎นักเรียนได๎เห็น ความสอดคลอ๎ งกนั ในการจดั การเรยี นรแ๎ู บบน้ี ครูผ๎ูสอนในวิชาท่ีเกี่ยวข๎องต๎องทํางานรํวมกันโดยพิจารณา เนื้อหาหรือตัวช้ีวัดที่ตรงกันและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู๎ในรายวิชาของตนเองโดยให๎เชื่อมโยงกับวิชา อ่นื ผํานเนอื้ หาหรอื ตัวชว้ี ัดนัน้ การบูรณาการแบบข๎ามสาขาวิชา คือ การจัดการเรียนการสอนที่ชํวยนักเรียนเชื่อมโยง ความร๎แู ละทกั ษะท่ีเรียนรู๎จากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์กับชีวิตจริง โดย นักเรียนได๎ประยุกต์ความรู๎และทักษะเหลําน้ันในการแก๎ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหรือสังคม และสร๎าง ประสบการณก์ ารเรียนรูข๎ องตวั เอง ครูผ๎สู อนจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ูตามความสนใจหรือปัญหาของนักเรียน โดยครูอาจกําหนดกรอบหรือ theme ของปัญหากว๎างๆ ให๎นักเรียนและให๎นักเรียนระบุปัญหาท่ี 35
เฉพาะเจาะจงและวิธีการแก๎ปัญหาเอง ท้ังนี้ ในการกําหนดกรอบของปัญหาให๎นักเรียนศึกษาน้ัน ครูต๎อง คํานงึ ถึงปัจจยั ทีเ่ ก่ียวขอ๎ ง 3 ปจั จัยกับการเรยี นรข๎ู องนกั เรยี น ได๎แกํ (1) ปัญหาหรือคําถามท่ีนักเรียนสนใจ (2) ตัวช้ีวัดในวิชาตํางๆ ท่ีเกี่ยวข๎อง และ (3) ความร๎ูเดิมของนักเรียน การจัดการเรียนรู๎แบบ problem/ project-based learning เป็นกลยุทธ์ในการจัดการเรียนรู๎ (instructional strategies) ที่มีแนวทาง ใกล๎เคียงกบั แนวทางบรู ณาการแบบนี้ แนวทางการวดั ผลประเมนิ ผลกิจกรรมการเรียนรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา การวดั และประเมินผลกจิ กรรมการเรียนรูต๎ ามแนวทางสะเต็มศึกษา นอกจากมีการวัดผล การเรยี นรูต๎ ามแนวทางการวดั ผลของสาขาวิชาที่นํามาบูรณาการรํวมกันแล๎ว ยังต๎องมีการวัดสมรรถนะใน การนําความร๎ูและทกั ษะท่ไี ดเ๎ รียนรม๎ู าประยกุ ตใ์ ช๎การออกแบบและพัฒนาช้ินงาน รวมทั้งทักษะสําคัญของ การเรียนร๎ูในศตวรรษท่ี 21 เชํน ทักษะการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ (critical thinking) การคิดสร๎างสรรค์ (creative thinking) การทํางานรํวมกันเป็นทีม (collaboration) และ การส่ือสาร (communication) ซง่ึ สามารถพิจารณาไดจ๎ ากตัวอยํางของเกณฑ์การประเมนิ กจิ กรรมแบบโครงงานเป็นฐาน (project-based learning) ประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 1. ผเู๎ รียนมีทักษะการคิดวเิ คราะห์และสรา๎ งนวัตกรรมใหมํๆ ที่ใชว๎ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยีและกระบวนการออกแบบทางวศิ วกรรม เป็นพน้ื ฐาน 2. ผ๎ูเรียนเข๎าใจสาระวชิ าและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากข้นึ 3. สํงเสรมิ การจดั การเรยี นรู๎และเชือ่ มโยงกันระหวํางกลํมุ สาระวิชา 4. หนํวยงานภาครัฐและเอกชนมีสํวนรวํ มสนับสนุนการจัดกิจกรรมของครูและบุคลากรทางการศึกษา 5. สรา๎ งกาํ ลงั คนดา๎ นสะเตม็ ของประเทศไทย เพอื่ เพ่มิ ศักยภาพทางเศรษฐกิจของชาติ 2.1.2 Flipped Classroom ทศั นวรรณ รามณรงค์ (2556) กลาํ วเกย่ี วกบั หอ๎ งเรยี นกลับด๎านวํา เป็นการสอน สอนให๎นกั เรียนรบั ผดิ ชอบการเรยี นของตนเอง เม่ือใช๎ห๎องเรียนกลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริง บรรยากาศในห๎องเรียนเปลี่ยนไป ชีวิตครู เปลี่ยนไป และพฤติกรรมของเด็กก็เปล่ียนไป ในห๎องเรียนแบบเดิม นักเรียนนั่งฟัง รับคาส่ัง และรับ ถํายทอด แลว๎ ตอบขอ๎ สอบเพื่อพิสูจน์วําตนได๎เรียนรู๎ สภาพเชํนนี้ได๎ผลตํอเด็กสํวนน๎อย เด็กอีกจานวนหน่ึง หมดความสนใจ และหลุดไปจากกระบวนการเรียนรู๎ แตํในห๎องเรียนแบบ กลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริง นักเรียนรับผิดชอบตํอการเรียนของตนเอง การเรียนไมํใชํสิ่งที่กระทาตํอนักเรียน แตํกลายเป็นสิ่งท่ี 36
นักเรียนเป็นเจ๎าของ เป็นผู๎กระทา และจะเป็นทักษะที่ติดตัวตลอดไป เม่ือกลับทางห๎องเรียนในชํวงแรก เด็กอาจไมํคุ๎น และอาจตํอต๎าน แตํเมื่อดาเนินการไประยะหน่ึง เด็กจะเห็นคุณคํา และจะเปล่ียนเป็น เจา๎ ของการเรยี นร๎ูของตนอยาํ งขมีขมัน ทาํ ให๎ห๎องเรียนเตม็ ไปด๎วยกิจกรรมที่หลากหลาย การเรยี นรเู้ ป็นศนู ย์กลางของห้องเรยี น ในห๎องเรยี นแบบเกํา ครูเป็นจุดสนใจของห๎องเรยี น แตํในห๎องเรียนกลับทางและเรียนให๎ รจ๎ู ริงจดุ สนใจอยูทํ ่ีสงิ่ ทีน่ ักเรียนได๎เรยี นรู๎ หรือยังไมรํ ู๎ ในห๎องเรียนแบบน้ี นักเรียนมาเข๎าห๎องเรียนพร๎อมกับ เปูาหมายของการเรียนร๎ู ครูเป็นผ๎ูจัดส่ิงของห๎องเรียนและส่ิงอานวยความสะดวกตํอการเรียน รวมทั้งชํวย แนะนาให๎นักเรียนวางแผนการเรียนรู๎ของตน ห๎องเรียนเปลี่ยนจากท่ีรับถํายทอด (ความรู๎) มาเป็นท่ีพูดคุย แลกเปลย่ี น เพ่ือการเรยี นรู๎ และเพอื่ แสดงวาํ ตนได๎เรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์อยํางร๎ูจริง นักเรียนอยํูในสภาพ เป็นเจ๎าของกระบวนการเรียนร๎ู ไมํใชํเพียงผ๎ูรับถํายทอดสาระ ผู๎เขียนทั้งสองเปล่ียนช่ือห๎องเรียน (classroom) เปน็ พนื้ ทีส่ าหรับการเรยี นร๎ู (learning space) การเรียนรู๎แบบกลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริงให๎บริการ feedback แกํเด็กในทันที และลด เอกสารท่ีครูต๎องทําการประเมินอยํางไมํเป็นทางการ เพ่ือ feedback แกํเด็กในทันทีที่เด็กทากิจกรรมใน ห๎องเรียน ชํวยให๎เด็กได๎รู๎ความก๎าวหน๎าในการเรียนของตนทันที และครูก็ไมํต๎องตรวจการบ๎านกองโต นกั เรียนจะเอาชน้ิ ผลงานมาคยุ กบั ครู เกีย่ วกบั วัตถุประสงคแ์ ละประเด็นหลักของการเรียน ครูจะตรวจสอบ ความเขา๎ ใจ และความเขา๎ ใจผดิ ของเด็กไปพร๎อมๆ กัน ครูให๎คะแนนได๎ในชั่วโมงเรียน และสามารถปรึกษา หรือวางแผนการเรียนท่ีจาเป็นข้ันตํอไปเพื่อชํวยให๎เข๎าใจชัดขึ้น หรือเพ่ือขจัดความเข๎าใจผิด เด็กท่ีเข๎าใจ แจํมแจ๎งแล๎ว และแสดงความหัวไวในเรื่องน้ัน ครูก็สามารถพูดคุยเพื่อรํวมกันวางแผนการเรียนข้ันตํอไป เพอื่ ให๎ทา๎ ทายย่งิ ข้นึ เข๎าใจไดล๎ ึกและมีมมุ มองที่กวา๎ งและเช่ือมโยงยง่ิ ขน้ึ มคี อมพิวเตอร์ทดสอบความเข๎าใจ บทเรียนให๎นักเรียนสอบเอง แล๎วได๎รับคะแนนสอบในทันที นักเรียนกับครูสามารถทบทวนคาตอบรํวมกัน เพื่อทาความเข๎าใจ ครูจะเห็นประเด็นท่ีนักเรียนมีความเข๎าใจผิดซ๎าๆ กันหลายคน และนามาปรับปรุง บทเรียนของตนได๎ และนามาใช๎ออกแบบการเรียนซํอมได๎ จุดสาคัญของวิธีการเรียนแบบใหมํคือ นักเรียน จะมคี วามรูเ๎ ร่ืองนั้นถูกตอ๎ งและเพยี งพอสาหรบั เป็นพืน้ ความรูส๎ ูบํ ทเรยี นตํอไป การเรียนแบบรจ๎ู รงิ ชวํ ยใหน๎ ักเรียนมโี อกาสได๎เรียนเสริม ในชั้นเรียนตามปกติมีนักเรียน บางคนไมํผํานการทดสอบในรอบแรก ซึง่ หากเปน็ ชน้ั เรียนตามปกติ การสอนก็ดาเนินตํอไป และนักเรียนที่ เรียนไมทํ นั ก็จะคอํ ยๆ ลา๎ หลังยง่ิ ขึ้นๆ จนเบอ่ื เรียน แตใํ นหอ๎ งเรียนแบบร๎จู รงิ นักเรียนจะเรียนเรื่องเดิมใหมํ จนกวาํ จะรู๎จริง และครูก็จะรู๎วําจะต๎องชํวยเหลือนักเรียนคนใด ในเรื่องใด คือครูเอาใจใสํนักเรียนเป็นราย คน เมื่อนักเรียนท่ีเรียนอํอนเหลําน้ีได๎แก๎ความเข๎าใจผิดของตน ก็จะสามารถเรียนบทเรียนตํอไปได๎ คลํองแคลํวขนึ้ 37
การเรียนแบบรู๎จริงเปิดชํองให๎นักเรียนเรียนรู๎สาระด๎วยหลากหลายวิธี ใช๎ทฤษฎี UDL (Universal Design for Learning)ในการจัดการเรียนร๎ู เพ่ือเปิดโอกาสให๎เด็กได๎เลือกเรียนด๎วยวิธีท่ีตน ถนัดที่สุด เชํนบางคนชอบเรียนจากวิดีทัศน์ บางคนชอบเรียนจากตาราเรียน บางคนชอบค๎นจาก อินเทอร์เน็ต เป็นต๎น ครูก็สํงเสริม ทาให๎เด็กรู๎สึกมีอิสระ และร๎ูสึกวําการเรียนเป็นเร่ืองของตนเอง เป็น ความรบั ผดิ ชอบของตนเอง การเปดิ อิสระให๎เด็กได๎เลือกวิธีเรียนน้ี ชํวยให๎เด็กค๎นพบวิธีเรียนท่ีให๎ผลดีที่สุด ตํอตนเอง คือได๎ฝึกทักษะการเรียนรู๎น่ันเอง เมื่อเปิดอิสระเชํนนี้ นักเรียนจะทดลองวิธีการตํางๆ หลากหลายแบบ บางคนชอบเรียนไปกํอนลํวงหน๎า บางคนชอบทาแบบฝึกหัด บางคนชอบทาแลบ ก็ได๎ เรยี นตามแบบทตี่ นชอบ การเรียนแบบร๎ูจริงเปิดชํองให๎นักเรียนแสดงภูมิรู๎ได๎หลากหลายแบบ การสอบ แบบเดิมก็เชํนเดียวกัน ไมํใชํวิธีการทดสอบภูมิร๎ูที่เหมาะตํอนักเรียนทุกคนอยํางเทําเทียมกัน นักเรียนบาง คนอาจแสดงความรคู๎ วามเข๎าใจไดด๎ ีโดยการตอบข๎อสอบตามปกติ แตํบางคนอาจแสดงความเข๎าใจได๎ดีกวํา โดยการอภปิ รายดว๎ ยวาจากับครู หรือบางคนชอบการทดสอบโดยนาเสนอด๎วย PowerPoint หรือบางคน อาจเขียนเรียงความอธิบายความเข๎าใจ ที่นําตื่นตาต่ืนใจท่ีสุดคือ มีนักเรียนขอทาวิดีโอเกมเพื่อทดสอบ ความรู๎ความเข๎าใจวิชาของตน และเมื่อครูอนุญาต นักเรียนก็ทาให๎ครูแปลกใจในความคิดสร๎างสรรค์และ ความสามารถของนกั เรยี นคนนี้ การเรียนแบบร๎ูจริงเปลี่ยนบทบาทของครู ครูได๎ใช๎เวลาให๎เกิดคุณคําตํอศิษย์มากท่ีสุด เพอื่ ชวํ ยให๎เวลาในห๎องเรยี นเป็นเวลาท่ศี ิษยเ์ กดิ การเรยี นร๎ูแบบรู๎จริง การเรียนแบบร๎ูจริงชํวยให๎นักเรียนเห็นคุณคําของการเรียน ไมํใชํรับจ๎างมาโรงเรียน โดยท่ัวไป นักเรียนมาโรงเรียนโดยหวังได๎เกรด ผํานการทํองจาเน้ือวิชา ไมํใชํหวังได๎เรียนรู๎ นักเรียนในชั้น เรียนแบบกลับทางและเรียนให๎รู๎จริง จะเร่ิมต๎นด๎วยความไมํพอใจวิธีเรียนแบบใหมํท่ีไมํถํายทอดวิชาให๎ โดยตรง แตํในท่ีสดุ เด็กเหลําน้จี ะคอํ ยๆ เปลยี่ นไปเป็นเดก็ ท่มี ที กั ษะแหงํ “นักเรียนร”๎ู วธิ เี รียนแบบกลบั ทางและเรยี นใหร๎ ู๎จริงชํวยเพิ่มเวลาพบหน๎าระหวาํ งครกู บั ศษิ ย์ เม่ือเริ่มการเรียนวิธีน้ี ผ๎ูปกครองเด็กบางคนเป็นหํวงวําปฏิสัมพันธ์ระหวํางครูกับศิษย์จะ ลดลง ซึ่งในทางเปน็ จริงกลบั ตรงกนั ข๎าม ครูกับนกั เรียนมปี ฏสิ มั พันธก์ ันมากขน้ึ และเปน็ การปฏิสัมพันธ์ที่มี คณุ คาํ ตอํ การเรยี นรู๎ของศิษย์มากข้ึน ผลสมั ฤทธิ์ของการเรียนดีข้นึ และความเครยี ดลดลง เพราะเด็กเข๎าถึง เนือ้ หาได๎เม่ือตอ๎ งการ ๒๔ ชว่ั โมงตํอวัน และ ๗ วันตอํ สัปดาห์ การเรยี นแบบรจู้ รงิ ช่วยใหน้ กั เรยี นทกุ คนอย่กู ับการเรียน หลักการเรียนแบบ brain-based มีวํา “สมองที่พัฒนา คือสมองของคนท่ีกาลังทางาน” ในห๎องเรียนแบบเดิม ผท๎ู ีท่ างานคอื ครู แตใํ นหอ๎ งเรียนแบบกลับทางและเรยี นให๎ร๎ูจริง ผทู๎ างานคือนักเรยี น การเรียนแบบรจ๎ู ริงทาใหก๎ ารลงมือทาเปน็ การเรยี นแบบทีเ่ หมาะตํอเดก็ แตํละคน 38
ในการเรยี นแบบเดมิ การเรยี นในห๎องปฏบิ ตั ิการทาเปน็ กลุํมขนาดใหญํ และทาพร๎อมๆ กัน ซึ่งดูเสมือน วําเป็นชั้นเรียนท่ีมีประสิทธิภาพมาก แตํเมื่อมองจากมุมของการเรียนร๎ูของเด็ก การเรียนรู๎แบบกลับทาง และเรียนให๎ร๎ูจริง ชํวยให๎เกิดการเรียนรู๎แบบท่ีเหมาะตํอเด็กแตํละคน ในชั้นเรียนวิชาเคมีของผู๎เขียน หนังสือ ครูใช๎เวลาชํวงแรกอธิบายเรื่องข๎อพึงระวังด๎านความปลอดภัย แล๎วปลํอยให๎นักเรียนทดลองทาง ห๎องปฏบิ ัติการด๎วยตนเอง โดยครคู อยชํวยเหลอื แนะนาเป็นรายคน กลําวโดยสรุปจากแนวคิดข๎างต๎น ได๎ดังน้ี ตัวแบบ ( Model ) ของห๎องเรียนแบบ กลับด๎าน การจัดการเรียนการสอนแบบห๎องเรียนกลับด๎าน ( Flipped Classroom ) ซึ่งเป็นนวัตกรรม การเรียนการสอนรูปแบบใหมํในการสร๎างผ๎ูเรียนให๎เกิดการเรียนรู๎แบบรอบด๎านหรือ Mastery Learning นนั้ จะมีองคป์ ระกอบสาคญั ทเี่ กดิ ข้ึน 4 องค์ประกอบท่ีเป็นวัฏจักร ( Cycle ) หมุนเวียนกันอยํางเป็นระบบ ซึ่งองค์ประกอบท้งั 4 ท่ีเกิดขึ้นได๎แกํ 1. การกําหนดยุทธวิธีเพ่ิมพูนประสบการณ์ ( Experiential Engagement ) โดยมี ครูผ๎ูสอนเป็นผู๎ช้ีแนะวิธีการเรียนรู๎ให๎กับผ๎ูเรียนเพื่อเรียนเน้ือหาโดยอาศัยวิธีการท่ีหลากหลายท้ังการใช๎ กิจกรรมท่ีกําหนดข้ึนเอง เกม สถานการณ์จาลอง ส่ือปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด๎านศิลปะแขนง ตํางๆ 2. การสืบคน๎ เพ่ือให๎เกิดมโนทัศน์รวบยอด ( Concept Exploration ) โดยครูผ๎ูสอนเป็น ผคู๎ อยช้แี นะให๎กับผู๎เรียนจากส่ือหรือกิจกรรมหลายประเภทเชํน ส่ือประเภทวิดีโอบันทึกการบรรยาย การ ใชส๎ ่ือบันทกึ เสยี งประเภท Podcasts การใช๎สือ่ Websites หรอื สื่อออนไลน์ Chats 3. การสร๎างองคค์ วามรูอ๎ ยาํ งมีความหมาย ( Meaning Making ) โดยผู๎เรียนเป็นผู๎บูรณา การสร๎างทักษะองค์ความร๎ูจากสื่อที่ได๎รับจากการเรียนร๎ูด๎วยตนเองโดยการสร๎างกระดานความร๎ู อิเล็กทรอนิกส์ ( Blogs ) การใช๎แบบทดสอบ ( Tests ) การใช๎สื่อสังคมออนไลน์และกระดานสาหรับ อภิปรายแบบออนไลน์ ( Social Networking & Discussion Boards ) 4. การสาธิตและประยุกต์ใช๎ ( Demonstration & Application ) เป็นการสร๎างองค์ ความร๎ูโดยผ๎ูเรียนเองในเชิงสร๎างสรรค์ โดยการจัดทาเป็นโครงงาน ( Project ) และผํานกระบวนการนา เสนอผลงาน ( Presentations ) ที่เกิดจากการรงั สรรค์งานเหลาํ นั้ น กระบวนการของห้องเรียนแบบกลบั ด้าน ( Flipped Classroom ) 1. กิจกรรม Warm-up 5 นาที 2. ถาม – ตอบเรอ่ื งวดี ิทศั น์ 10 นาที 3. กจิ กรรมเรียนร๎ูทีค่ รมู อบหมาย หรอื นกั เรียนคิดเอง หรือ Lab 1 ช่วั โมง 15 นาที ประโยชนท์ ีเ่ กดิ จากการเรียนแบบหอ้ งเรียนกลับดา้ น 1. เพ่ือเปลี่ยนวิธีการสอนของครู จากการบรรยายหน๎าช้ันเรียนหรือจากครูสอนไปเป็นครูฝึก ฝึก การทําแบบฝึกหัดหรอื ทากิจกรรมอ่ืนในช้ันเรียนให๎แกํศิษย์เปน็ รายบุคคลหรอื อาจเรียกวําเปน็ ครตู ิวเตอร์ 39
2. เพือ่ ใชเ๎ ทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหมํชอบ โดยใช๎สื่อ ICT ซ่ึงกลําวได๎วําเป็นการนาโลกของ โรงเรียนเข๎าสูโํ ลกของนกั เรียนซึง่ เปน็ โลกยุคดิจติ ลั 3. ชํวยเหลือเด็กที่มีงานยุํง เด็กสมัยน้ีมีกิจกรรมมาก ดังนั้นจึงต๎องเข๎าไปชํวยเหลือในการจัดการ เรียนรู๎โดยใช๎บทสอนท่ีสอนด๎วยวีดิทัศน์อยูํบนอินเทอร์เน็ต ( Internet ) ชํวยให๎เด็กเรียนไว๎ลํวงหน๎าหรือ เรียนตามชน้ั เรียนไดง๎ าํ ยขึ้น รวมทง้ั เป็นการฝึกเดก็ ใหร๎ ู๎จัดการจัดเวลาของตนเอง 4. ชํวยเหลือเด็กเรียนอํอนให๎ขวนขวายหาความร๎ู ในชั้นเรียนปกติเด็กเหลําน้ีจะถูกทอดท้ิงแตํใน ห๎องเรยี นกลบั ด๎านเด็กจะได๎รับการเอาใจใสํจากครมู ากที่สดุ โดยอตั โนมตั ิ 5. ชํวยเหลือเด็กท่ีมีความสามารถแตกตํางกันให๎ก๎าวหน๎าในการเรียนตามความสามารถของ ตนเอง เพราะเด็กสามารถฟัง-ดูวีดิทัศน์ได๎เองจะหยุดตรงไหนก็ได๎ กรอกลับ ( Review ) ก็ได๎ตามท่ีตนเอง พึงพอใจทีจ่ ะเรยี น 6. ชํวยให๎เด็กสามารถหยุดและกรอกลับครูของตนเองได๎ ทาให๎เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตนพอใจ เบ่ือก็หยดุ พกั ได๎ สามารถแบํงเวลาในการดูเปน็ ชํวงได๎ 7. ชํวยให๎เกิดปฏิสัมพันธ์ระหวํางเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข๎ามกับการท่ีเรียนแบบออนไลน์ การ เรียนแบบห๎องเรียนกลับด๎านยังเป็นรูปแบบการเรียนท่ีนักเรียนยังคงมาโรงเรียนและนักเรียนพบปะกับครู ห๎องเรียนกลับด๎านเป็นการประสานการใช๎ประโยชน์ระหวํางการเรียนแบบออนไลน์ และการเรียนระบบ พบหน๎า ชํวยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให๎เป็นท้ังพ่ีเลี้ยง (Mentor) เพื่อน เพื่อนบ๎าน (Neighbor) และผู๎เช่ียวชาญ (Expert) 8. ชํวยให๎ครูร๎ูจักนักเรียนดีข้ึน หน๎าท่ีของครูไมํใชํเพียงชํวยให๎ศิษย์ได๎ความรู๎หรือเน้ือหา แตํต๎อง กระตุน๎ ให๎เกิดแรงบนั ดาลใจ (Inspire) ให๎กาลังใจ รับฟงั และชํวยเหลอื สงํ เสริมผู๎เรียนซ่ึงเป็นมิติสาคัญที่จะ ชํวยเสรมิ พฒั นาการทางการเรยี นของเดก็ 9. ชํวยเพ่ิมปฏิสัมพันธ์ระหวํางเพ่ือนนักเรียนด๎วยกันเอง จากกิจกรรมทางการเรียนที่ครูจัด ประสบการณ์ข้ึนมานั้น ผู๎เรียนสามารถที่จะชํวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได๎ดี เป็นการปรับเปล่ียน กระบวนทศั น์ของนกั เรียนทเี่ คยเรียนตามคาส่งั ครูหรือทางานให๎เสร็จตามกําหนด เป็นการเรียนเพ่ือตนเอง ไมใํ ชคํ นอนื่ สํงผลตอํ เด็กที่เอาใจใสกํ ารเรยี น ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวํางนกั เรียนด๎วยกันจะเพ่ิมขึ้นโดยอตั โนมตั ิ 10. ชํวยให๎เห็นคุณคําของความแตกตําง ตามปกติแล๎วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กท่ีมีความ แตกตํางกันมาก มีความถนัดและความชอบท่ีแตกตํางกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนแบบห๎องเรียน กลับทางจะชํวยให๎ครูเห็นจุดอํอนจุดแข็งของผู๎เรียนแตํละคน เพื่อด๎วยกันก็เห็น และชํวยเหลือกันด๎วยจุด แขง็ ของแตลํ ะคน 11. เปน็ การปรบั เปล่ยี นรปู แบบการจัดการห๎องเรียน ชํวยเปดิ ชอํ งให๎ครูสามารถจดั การชั้นเรียนได๎ ตามความตอ๎ งการท่ีจะทา ครสู ามารถทาหน๎าทข่ี องการสอนที่สาคัญในเชิงสร๎างสรรค์ เพื่อสร๎างคุณภาพแกํ ช้นั เรยี น ชวํ ยให๎เดก็ รอู๎ นาคตของชีวติ ได๎ดที สี ดุ 40
12. เปล่ียนคาสนทนากับพํอแมํ ประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหวํางโรงเรียนกับผู๎ปกครอง ซ่ึงการ รับทราบและแลกเปล่ยี นความร๎ูรวํ มกนั จะทาให๎เดก็ เกิดการเรียนรท๎ู ่ีดีได๎ 13. ชํวยให๎เกิดความโปรํงใสในการจัดการศึกษา การใช๎ห๎องเรียนแบบกลับทางโดยนาสาระคา สอนไปไว๎ในวีดิทัศน์นาไปเผยแพรํทางอินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการเรียนให๎ สาธารณชนได๎ทราบ สรา๎ งความเชอ่ื มนั่ ในคณุ ภาพการเรยี นการสอนให๎ผปู๎ กครองทราบ 2.2 กรณีศกึ ษา : การเรียนรจู้ ากครตู น้ แบบ ครูสอนดี ครูนั้นควรเป็นแบบอยํางที่ดีของศิษย์ เป็นผ๎ูที่สร๎างทรัพยากรมนุษย์ที่ดีตํอสังคม ฉะน้ัน โดยธรรมชาตขิ องครูต๎องเป็นผ๎ูใฝุเรยี น และต๎องร๎ูจักพัฒนาตนเองอยํางตํอเน่ือง โดยลักษณการสอนท่ีดีนั้น จะชํวยให๎ครปู ระสบผลสําเรจ็ ในการสอนให๎นกั เรยี นมคี วามเขา๎ ใจในบทเรียนนน้ั ๆ การสอนท่ีดคี วรมลี กั ษณะ ดังน้ี 1. มีการสํงเสริมนักเรียนให๎เรียนด๎วยการกระทํา เพราะการได๎ลงมือทําจริง จะทําให๎ ประสบการณ์ที่มีความหมาย 2. มีการสํงเสริมนักเรียนให๎เรียนด๎วยการทํางานเป็นกลํุม นักเรียนได๎แสดงความคิดเห็น ยอมรับความคดิ เห็นซงึ่ กนั และกัน และรูจ๎ กั การทํางานรํวมกับผูอ๎ ืน่ 3. มีการตอบสนองความต๎องการของนักเรียน เรียนด๎วยความสุข ความสนใจ กระตอื รือร๎นในการทํากิจกรรมตําง ๆ 4. มีการสอนใหส๎ มั พนั ธร์ ะหวาํ งวชิ าท่ีเรียนกับวชิ าอื่น ๆ ในหลกั สูตรเป็นอยํางดี 5. มีการใช๎ส่ือการสอน จําพวกโสตทัศนวัสดุ เพ่ือเร๎าความสนใจ ชํวย ผ๎ูเรียนเข๎าใจ บทเรยี นไดง๎ ํายข้ึน 6. มกี จิ กรรมทหี่ ลากหลาย เพือ่ เร๎าความสนใจ ผ๎เู รยี นสนุกสนาน ได๎ลงมอื ปฏิบัติจริง และดูผลการปฏบิ ตั ิของตนเอง 7. มีการสํงเสริมให๎นักเรียนได๎ใช๎ความคิดอยํูเสมอ ด๎วยการซักถาม หรือให๎แสดงความ คิดเห็นเกย่ี วกับปัญหางําย ๆ เด็กคิดหาเหตุผลเปรยี บเทยี บ และพิจารณาความสัมพันธข์ องสง่ิ ตําง ๆ 8. มีการสํงเสริมความคิดริเร่ิม และความคิดสร๎างสรรค์ สํงเสริมการคิดทําสิ่งใหมํ ๆ ที่ดี มีประโยชนไ์ มํเลียนแบบใครสํงเสรมิ กิจกรรมสนุ ทรยี ภาพ รอ๎ ยกรอง วาดภาพ และแสดงละคร 9. มีการใช๎การจูงใจ ในระหวํางเรียน เชํน รางวัล การชมเชย คะแนนแขํงขัน เคร่ืองเชิดชูเกียรติการลงโทษ ซึ่งจะชํวยให๎เกิดความสนใจ ตั้งใจ ขยันหม่ันเพียรในการเรียนและทํา กจิ กรรม 10. มีการสํงเสริมการดําเนินชีวิตตามแบบประชาธิปไตย เปิดโอกาสให๎แสดงความ คิดเห็น มีการรับฟังความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน เคารพความคิดเห็นของผู๎อื่น ยกยํองความคิดเห็นท่ีดี นกั เรียนมสี วํ นรํวมในการวางแผนรํวมกบั ครู 41
11. มีการเรา๎ ความสนใจกํอนลงมอื ทาํ การสอนเสมอ 12. มีการประเมนิ ผลตลอกเวลา โดยวิธกี ารตาํ ง ๆ เชนํ การสังเกต การซักถาม การ ทดสอบเพอื่ ให๎แนํใจวําการสอนของครตู รงตามจุดประสงค์มากทส่ี ดุ 2.2.1 คุณครูธนพร. บญุ ประสิทธิ์ ครสู อนเรอื่ ง อวัยวะภายใน ครสู อนโดยการสอนแบบรวํ มมือ จิก๊ ซอร์ เพ่ือให๎เด็กไดช๎ วํ ยเหลอื กนั และกนั วิธีการสอนของครู คาบแรกครูเปิดเพลงให๎เด็กเต๎นตามจังหวะ หลังจากเต๎นเสร็จครูก๎ได๎ใช๎คําถามเป็น ตัวกระตุ๎นนกั เรียน ถามวาํ ร๎ไู หมครูจะสอนเร่ืองอะไร. ครูก๎ได๎คําตอบท่ีตํางกัน และมีเด็กตอบวําจังหวะของ หัวใจ. หลังจากนั้นครูก๎นําเข๎าสํูบทเรียนโดยสอนเรื่องอัตราการเต๎นของหัวใจกํอน โดยให๎เด็กปฏิบัติลงมือ ทําใหไ๎ ดส๎ งั เกตแุ ละเกดิ การเรยี นรูเ๎ อง. และครกู ับนักเรียนก๎ชํวยกันสรุปในท๎ายคาบ. หลังจากนั้นคาบที่สอง ครูก๎ให๎นักเรียนจับกลํุมกัน. และมีผ๎ูเช่ียวชาญในแตํละเรื่อง. ให๎เด็กได๎ชํวยกันในกลุํม. มีปฏิสัมพันธ์กับ เพื่อนมากขน้ึ และเดก็ กจ็ ะมีความรับผิดชอบในหนา๎ ทีท่ ีต่ นได๎รับผิดชอบ ความประทับใจ ประทับใจที่ครูมีวิธีการสอนท่ีทําให๎เด็กมีความสนใจเข๎าถึงบทเรียนได๎งําย มีวิธีในการ สอนที่ทํามห๎บทเรียนยากๆได๎เข๎าใจงํายมากขึ้น โดยครูสอดแทรกในเรื่องเพลง และมีการเลํานิทาน ทําใหเ๎ ด็กชอบและตัง้ ใจเรียน ครูใชค๎ าํ ถามกระตนุ๎ เดก็ ทําใหเ๎ ดก็ คดิ และเข๎าเอาได๎อยํางงําย 2.2.2 คณุ ครสู ถาพร มุ่งเพียรมั่น ครทู ่ปี รึกษาชมรมอาสายุวกาชาดโรงเรียนวเิ ชียรมาตุ เจา๎ ของรางวลั \"ยอดคนดีศรีตรัง เมืองแหํงความสขุ \" ปี 2556 คุณครสู ถาพร กลําววํา การศกึ ษาอยาํ งแท๎จริงจะไมํมงุํ เนน๎ เฉพาะการแขํงขันด๎านวิชาการ แตํต๎องปลูกฝงั คาํ นยิ มให๎นักเรียนได๎มีภูมิคุม๎ กนั ในการอยํูในสังคมแหํงการ แขํงขันอยํางเป็นพันธมิตรและมี จิตรับผิดชอบตํอสํวนรวม โรงเรียนจึงควรจัดกิจกรรมสํงเสริม“จิตอาสา” ที่นอกจากจะเป็นการพัฒนา คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ลว๎ ยงั เป็นการสงํ เสรมิ การเรียนรู๎จากประสบการณ์ตรง ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ใน การประยุกต์ใชค๎ วามรส๎ู ชูํ ีวิตจริง กิจกรรมอาสายุวกาชาด เป็นหน่ึงกิจกรรมท่ีนํามาเป็นหนทางเปิดโอกาสให๎นักเรียนได๎ใช๎ กระบวนการคดิ วิเคราะหเ์ หตุผลสําหรบั เดก็ สามารถแยกแยะเรื่อง การคิดถูกต๎อง คิดดี ตามหลักวิชาการ ด๎วยการน๎อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวมา เป็นแนวทางในการประพฤติ ปฏบิ ตั ิตน ไดข๎ ยายพื้นทข่ี องความดี และยกระดบั ศรัทธาในคณุ งามความดี ประเทศไทยของเรามีเครือขาํ ยคนดีมากมาย แตํอยูํกันอยํางกระจัดกระจาย ครูมืออาชีพ ทุกคนจงึ ควรทาํ หน๎าท่ดี ๎วยจิตวิญญาณของความเป็นครู ด๎วยการเสริมสร๎าง ระเบียบ วินัย โดยใช๎ศีลธรรม 42
เปน็ ฐานในการดึงจิตวญิ ญาณของเดก็ และเยาวชนกลับมาในสังคมครอบ ครัว สํงเสริมพลังครอบครัว ใช๎ 3 ประสานได๎แกํ บ๎าน วัด โรงเรยี น เพือ่ อนาคตท่ดี ขี องเดก็ และเยาวชนไทย “รางวัลทยี่ ่ิงใหญํทสี่ ดุ ใน ชีวิตของครู คอื การเปดิ หรอื การขยายพ้ืนท่ี การทาํ กิจกรรม ด๎านจติ อาสา นอกเหนือจากการเรียนร๎ูวชิ าในห๎องเรยี น เพราะเป็นการขยายพ้นื ที่ของความดี พร๎อมกบั ยกระดับ ศรัทธาในคุณงามความดี และสงํ เสริม คนดี\" ให๎แกํเดก็ และ เยาวชน เน๎นใหเ๎ ดก็ และเยาวชน เห็นคุณคาํ ของตนเอง และผอู๎ ่ืน” คณุ ครสู ถาพร มํุงเพียรมัน่ กลําว กจิ กรรมท้ายบท 1. แบงํ กลมุํ ทําการศกึ ษาครูตน๎ แบบ กลมํุ ละ 2 ทาํ น 2. จดั ทําข๎อสรปุ ของการเปน็ ครูต๎นแบบวําควรมคี ุณลักษณะอยํางไรบ๎าง เอกสารอา้ งองิ สถาบนั สงํ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2559) รจู๎ ักสะเต็ม สบื คน๎ เม่ือ 28 กรกฏาคม 2559 จากเว็ปไซต์ http://www.stemedthailand.org สถาบนั สํงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2559) การเรียนรต๎ู ามแนวทางสะเต็มศกึ ษา สาขา ฟสิ กิ ส์ สบื คน๎ เมอ่ื 28 กรกฏาคม 2559 จากเว็ปไซต์ http://physics.ipst.ac.th วิจารณ์ พานิช. Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day บทที่ ๖ ช่อื The Case for THE Flipped–Mastery Model 43
บทท่ี 3 รปู แบบการสอน หัวเร่ือง 1. รูปแบบเน๎นดา๎ นพุทธพิ สิ ยั 2. รปู แบบเนน๎ ด๎านจติ พสิ ัย 3. รปู แบบเนน๎ ดา๎ นทักษะพิสยั 4. รปู แบบเนน๎ ทกั ษะกระบวนการ 5. รปู แบบเนน๎ การบรู ณาการ วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือใหผ๎ เ๎ู รยี นมคี วามรู๎ความเข๎าใจ วเิ คราะห์องค์ความร๎ูเก่ยี วกบั รูปแบบการสอนตํางๆ ได๎ กิจกรรมระหวา่ งเรียน ผ๎สู อนใชว๎ ิธีการสอนแบบผสมผสาน เพ่อื ใหผ๎ ๎เู รยี นเกิดการเรยี นร๎ู ทักษะและการคิดวเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. บรรยาย อภิปราย ซักถาม กระตุ๎นให๎เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู๎เกี่ยวกับประสบการณ์ในเร่ือง ทส่ี อนระหวาํ งผ๎สู อนกบั ผเู๎ รยี นและระหวาํ งผูเ๎ รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารท้ังในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอร์เนต็ 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณีศกึ ษาท้ังในรูปแบบเอกสารและวิดีโอ 4. การทํางานกลุํมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในชั้นเรียน เพ่ือการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ ระหวํางผ๎ูเรียนในชั้นเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระท่ีเก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรียน 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเู๎ รียนและผ๎สู อนรวํ มสรปุ ประเด็นการเรยี นร๎ู สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตํารา งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วข๎อง 2. สือ่ ดิจทิ ัลจากอินเทอร์เนต็ และสไลดน์ าํ เสนอ การประเมินผล 1. การสวํ นรํวมกบั กิจกรรมในชั้นเรียนของผเ๎ู รียน ความสามารถในการวเิ คราะหป์ ระเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการค๎นควา๎ ตามประเด็นของเนื้อหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 44
รปู แบบการสอน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร ไพฑูรย์ สินลารัตน์ กลําวไว๎วํา ท่ีผํานมาเรามักจะคุ๎นเคยกับ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็นศูนย์กลาง ครูผู๎สอนเป็นศูนย์กลางและการเรียนรู๎ที่จากตนเองและ สังคม ซ่ึงเป็นภาพกว๎างๆ รูปแบบการเรียนการสอนก็คือตัวแนวคิดท่ีเกี่ยวกับการเรียนการสอนท่ีเป็นรูปธรรม อาจจะเกิดจากแนวความคิดรํวมกันจนกลายเป็นรูปแบบ จากรูปแบบการเรียนการสอนก็กลายมาเป็น กระบวนการและวิธีการสอน ท่ีสามารถแจกแจงเป็นเทคนิควิธีการสอน ในสํวนของเทคนิควิธีการสอนก็คือเรามี วิธกี ารเทคนิควธิ ีท่ีมันแยบยลอยํางไรทเ่ี ราสอนแล๎วนักเรยี นเขา๎ ใจดีข้นึ อาจจะหมายถึงลูกเลํนก็เป็นได๎ 1. รูปแบบการเรยี นการสอนทางตรง Direct instruction Approach คือ การเรียนการ สอนที่ผสู๎ อนจดั การดําเนนิ การและหาวิธีการให๎เป็นไปตามทีผ่ ๎สู อนตอ๎ งการ ผู๎สอนอธบิ ายในรูปแบบที่จํากัด เฉพาะเจาะจง เป็นวิธีการที่ผู๎สอนดําเนินการตามผ๎ูสอนโดยตรงและวางเปูาหมายเพ่ือให๎เด็กๆน้ันเป็นไป ตามคาด องค์ประกอบหลัก มีเปูาหมายชัด มีจุดมํุงหมายชัดเจน ครูจะพยายามตรวจสอบดูวําผลท่ีเกิดกับ ตัวเด็กเป็นไปตามท่ีกําหนดหรือปุาว คํอนข๎างเป็นกรอบที่จํากัด ข๎อเสียคือ ไมํมีความยืดหยํุนใน กระบวนการสอนและการเรียนร๎ู เด็กจะได๎แคํฟัง จด จํา และทํอง เด็กจะไมํคํอยได๎คิด จะใช๎ได๎ดีตํอเมื่อ สังคมมกี ารเปลี่ยนแปลงนอ๎ ย ถ๎าลกั ษณะสงั คมแนํนอนตายตัว เราใชว๎ ิธนี ไ้ี ด๎ ขั้นแรก ครูบรรยาย ข้ันที่สอง ครูจะสาธิตให๎ดู นักเรียนก็ศึกษาตามนี้ สามครูตั้งคําถามและอาจจะมีการทํารายงานท่ีครูกําหนดกรอบไว๎ หรืออาจจะเป็นครูกําหนดการอํานออกเสียง ฝึกอําน ถ๎าเราจะนําวิธีนี้มาใช๎ เราต๎องดูวําเราต๎องการอะไร ถ๎าเราไมคํ ํานึงถึงเด็กนักก็จะใช๎วิธนี ้ไี ด๎ แตสํ ังคมยคุ ให่ไํ มีอะไรแนนํ อนตายตัวชดั เจน 2. การเรียนการสอนในทางตรงกันข๎าม Indirect Approach ครูจัดการเรียนการสอน โดยออ๎ ม แตํเด็กเรียนรตู๎ ามท่ีเดก็ ตอ๎ งการ เด็กกําหนดการเรียนร๎ูเอง ในกระบวนการและวิธีการไมํใชํครูหา มาให๎ แตเํ ดก็ หามารํวมด๎วย เป็นการเปิดโอกาสให๎เขามีสํวนรํวม น่ันหมายถึงเขาก่ํางเตรียมตัวเพื่ออนาคต ถา๎ เราจะวางแผนการสอนควรใช๎ Indiect แตสํ ามารถนาํ ทางตรง มาใชบ๎ างสํวนได๎ ทุกวันนี้เราเรียนรู๎จาก ส่ิงอ่ืนๆที่ไมํใชํครูจริงๆ เชํน การเรียนรู๎ด๎วยตัวเอง เราจะเข๎าใจยิ่งขึ้น การศึกษาค๎นคว๎าด๎วยตัวเองตาม เปูาหมายที่เราต๎องการ หรือการเรียนรู๎ที่เรียกวําวิธีการวิจัย การฝึกปฏิบัติ การสัมผัสสิ่งตํางๆรอบตัว ใน ฐานะผส๎ู อนให๎เราคาํ นึงวําเด็กกําลังหาความร๎ูเพื่อตัวเอง การเรียนร๎ูจากเพ่ือนเชํนการคุย การสนทนา การ แลกเปล่ยี นความคดิ เห็น การเรียนร๎ูจากสัมคมรอบขา๎ ง สง่ิ แวดล๎อม รูปแบบการเรียนการสอนข้ึนอยูํกับเราตั้งเปูาหมาย ถ๎าเราตั้งเปูาหายให๎เด็กเกิดความรู๎ ความคิดก็ ใช๎รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Indirect approach เราต๎องให๎เขารู๎จักคิด วางแผน ต้ังเปูาหมายให๎ตัวเอง ครูจัดการเรียนร๎ูแบบอ๎อมๆการเรียนร๎ูอยูํกับเด็ก การเรียนการสอนในอนาคต การ จดการทอํ งจํา เป็นวิธีทล่ี า๎ สมัย เราต๎องมแี งํมมุ ใหมๆํ ใหเ๎ ขานําจิตใจท่ีดงี ามควบคูกํ ับความรูม๎ าผสมผสานกัน จะทาํ ใหเ๎ กิดการเรียนร๎ทู ่ี 45
การเรียนการสอนในห๎องเรียน สํวนใหญํเป็นการเรียนในวิชาตํางๆ โดยมีเนื้อหาสาระตาม มาตรฐานการเรียนร๎ูท่ีกําหนดไว๎ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 รวมถึงตามตัวช้ีวัด หรือผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวังเพ่ือให๎ครูผู๎สอนมองเห็นผลที่คาดหวังท่ีต๎องพัฒนาการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เพื่อ พฒั นาผู๎เรียนไปสูํเปูาหมายการเรียนร๎ทู ่ีกาํ หนดไว๎อยํางมีประสิทธิภาพและเต็มตามศักยภาพของผู๎เรียนแตํ ละคนผสู๎ อนต๎องออกแบบกจิ กรรมการเรียนรแ๎ู ละจัดประสบการณก์ ารเรียนรู๎อยํางเป็นระบบเน๎นประโยชน์ สูงสุดท่ีจะเกิดแกํผู๎เรียนและคํานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคลพัฒนาผ๎ูเรียนจนเต็มศักยภาพตามความ ถนัดและความสนใจเป็นรายบุคล ซึ่งการการจัดการเรียนรู๎ให๎ผู๎เรียนบรรลุเปูาหมายตามมาตรฐานการ เรียนรู๎และตัวช้ีวัดช้ันปีจะต๎องใช๎กระบวนการการเรียนร๎ูที่หลากหลายได๎แกํกระบวนการสร๎างความร๎ู กระบวนการคดิ กระบวนการทางสงั คมกระบวนการแกป๎ ัญหากระบวนการเรยี นร๎จู ากประสบการณ์การจริง กระบวนการปฏบิ ัตกิ ระบวนการพัฒนาคาํ นิยมกระบวนการบูรณาการฯลฯซ่ึงสอดคล๎องกับผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซ่ึงตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Business Reviewเป็นพีระมิดแหํงการเรียนร๎ูแสดง ใหเ๎ หน็ ถงึ คาํ รอ๎ ยละจากการจัดกจิ กรรมที่ตํางกันแตลํ ะอยําง โดยกิจกรรมท่ีตํางกันจะทําให๎เราจดจําส่ิงท่ีได๎ การเรียนร๎ูตาํ งกันด๎วย ตามแผนภาพที่ 1 แสดงถึงอัตราของการจาํ ได๎จากการเรียนร๎ใู นรปู แบบตํางๆ ดังนี้ การฟังเนือ้ หา (Lecture5%) การอ่าน (ส่สวReading10%) ภาพและเสยี ง (Audio Visual 20%) การสาธติ (Demonstration30%) การอภปิ รายกลุ่ม (Discussion Group50%) การฝกึ ฝนจากการลงมือทา (Practice by Doing 75%)50%) การสอนผู้อ่นื (Teaching Others90%) ที่มา : National Training Laboratories, Bethel, Maine อา๎ งองิ จาก สารแพทย์ศาสตรศกึ ษา มอ. (2559). การเรยี นร๎เู ชิงรุก (Active Learning), ปที ่ี 2 (ฉบบั ที่ 1 เดือนมกราคม-มนี าคม 2559), 2-4 46
ในบทน้ีขอนําเสนอรูปแบบและเทคนิคการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาผู๎เรียนให๎เกิด กระบวนการเรยี นร๎ทู ี่หลากหลาย ทิศนา แขมณี (2553) ได๎กลําวถงึ รปู แบบตํางๆ ดงั นี้ 3.1 รปู แบบเนน้ ด้านพุทธพิ ิสัย 1) รปู แบบการเรียนการสอนท่เี นน้ การพัฒนาด้านพทุ ธพิ สิ ัย (cognitive domain) รูปแบบการเรยี นการสอนในหมวดนี้ เป็นรปู แบบการเรยี นการสอนท่ีมงํุ ชํวยให๎ ผู๎เรียนเกิดความร๎ูความเข๎าใจในเนื้อหาสาระตํางๆ ซึ่งเนื้อหาสาระน้ันอาจอยํูในรูปของข๎อมูล ข๎อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอด รปู แบบท่คี ดั เลอื กมานําเสนอในที่น้มี 5ี รูปแบบ ดังน้ี 1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทศั น์ 1.2 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเยํ 1.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการนาํ เสนอมโนทัศนก์ วา๎ งลวํ งหนา๎ 1.4 รปู แบบการเรียนการสอนเน๎นความจํา 1.5 รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช๎ผงั กราฟิก 3.1.1 รปู แบบการเรยี นการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) เน่ืองจากผ๎ูเรยี นเกดิ การเรียนรู๎มโนทศั น์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอยาํ งท่ีหลากหลาย ดังน้ันผลที่ผ๎เู รียนจะไดร๎ ับโดยตรงคือ จะเกิดความเข๎าใจในมโนทศั นน์ ้นั และได๎เรียนร๎ูทักษะการสรา๎ งมโน ทัศน์ซง่ึ สามารถนําไปใชใ๎ นการทาํ ความเข๎าใจมโนทศั น์อ่นื ๆตํอไปได๎ รวมทั้งชวํ ยพัฒนาทักษะการใช๎ เหตุผลโดยการอุปนยั (inductive reasoning) อกี ดว๎ ย ขั้นท่ี 1 ผู๎สอนเตรียมข๎อมูลสําหรับให๎ผ๎ูเรียนฝึกหัดจําแนก ผู๎สอนเตรียมข๎อมูล 2 ชุด ถ๎า มโนทัศนท์ ต่ี ๎องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ๎อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช๎วิธีการยกเป็นตัวอยํางเร่ืองส้ัน ๆ ที่ผู๎สอนแตํงข้ึนเองนําเสนอแกํผ๎ูเรียน ผ๎ูสอนเตรียมสื่อการสอนท่ีเหมาะสมจะใช๎นําเสนอตัวอยําง มโนทศั น์เพอื่ แสดงใหเ๎ ห็นลกั ษณะตาํ ง ๆ ของมโนทัศนท์ ีต่ ๎องการสอนอยํางชัดเจน ขั้นที่ 2 ผส๎ู อนอธบิ ายกตกิ าในการเรียนให๎ผ๎ูเรียนรู๎และเข๎าใจตรงกัน ผส๎ู อนชแ้ี จงวิธกี ารเรียนรใู๎ หผ๎ ๎เู รยี นเข๎าใจกํอนเรม่ิ กิจกรรมโดยอาจสาธิตวธิ ีการและใหผ๎ เู๎ รยี นลองทําตามท่ี ผ๎ูสอนบอกจนกระทง่ั ผเู๎ รยี นเกิดความเข๎าใจพอสมควร ขนั้ ที่ 3 ผสู๎ อนเสนอขอ๎ มูลตัวอยาํ งของมโนทศั น์ทต่ี ๎องการสอน และขอ๎ มูลทไี่ มใํ ชํตัวอยาํ ง ของมโนทัศน์ทตี่ ๎องการสอน ข้ันท่ี 4 ใหผ๎ เู๎ รยี นบอกคุณสมบตั เิ ฉพาะของส่งิ ท่ีตอ๎ งการสอน จากกิจกรรมทีผ่ าํ นมาใน ขั้นตน๎ ๆผูเ๎ รยี นจะต๎องพยามหาคุณสมบตั ิเฉพาะของตัวอยํางท่ีใชํและไมํใชสํ งิ่ ท่ีผ๎ูเรยี นต๎องการสอน ข้นั ท่ี 5 ให๎ผเู๎ รยี นสรุปและให๎คาํ จํากดั ความของสิง่ ท่ีต๎องการสอน เม่ือผ๎เู รยี นได๎รายการของคณุ สมบตั ิเฉพาะของส่งิ ที่ต๎องการสอนแลว๎ ผ๎ูสอนให๎ ผ๎เู รยี นชวํ ยกนั เรยี บเรียงให๎เป็นคํานยิ ามหรือคาํ จาํ กัดความ 47
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315