Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Published by ED-APHEIT, 2020-05-08 11:53:56

Description: ปรับปรุง@10-04-2562 ใช้ เอกสารประกอบการสอน รายวิชา TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน TP510 ฝึกป ิฏบั ิตวิชา ีชพระห ่วางเรียน วาสนา ิวสฤตาภา เอกสารประกอบการสอน TP510 ฝึกปฏิบตั วิ ชิ าชีพระหว่างเรยี น วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ ย์ 110/1-4 ถนนประชาช่ืน เขตหลกั สี่ 02-954-7300 ต่อ 427 02-954-9730

สารบญั ประมวลการสอนและแผนการสอน (มคอ.3) ............................................................................................ ก วิธจี ัดการเรียนการสอน .............................................................................................................................ง สัดสํวนการให๎คะแนน (จาํ แนกตามดา๎ นผลกการเรยี นร)ู๎ ............................................................................ง บทที่ 1 ระบบความคดิ ทางการศกึ ษา ระบบการศึกษาข้ันพ้ืนฐานกบั การพัฒนาความเปน็ ครมู ืออาชพี .... 1 1.1 ระบบความคดิ ทางการศึกษา......................................................................................................... 3 1.2 ระบบการศกึ ษาข้ันพื้นฐานกับการพฒั นาความเป็นครมู ืออาชีพ ................................................... 10 บทท่ี 2 การเรียนร๎ูเชงิ ก๎าวหน๎า วธิ สี อนเพ่ือสํงเสรมิ ศกั ยภาพของผ๎เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 กรณีศึกษา: การเรียนรจู๎ ากครูต๎นแบบ ครูสอนดี....................................................................................................... 33 2.1 เทคนิการสอนเชิงก๎าวหน๎า........................................................................................................... 34 2.2 กรณศี ึกษา : การเรยี นรจ๎ู ากครตู น๎ แบบ ครูสอนดี......................................................................... 41 บทที่ 3 รปู แบบการสอน ........................................................................................................................ 44 3.1 รปู แบบเนน๎ ดา๎ นพุทธพิ สิ ยั ............................................................................................................ 47 3.2 รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี น๎นการพฒั นาดา๎ นจติ พิสยั (Affective Domain)............................. 50 3.3 รูปแบบเนน๎ ดา๎ นทักษะพิสัย ......................................................................................................... 55 3.4 รปู แบบเนน๎ ทักษะกระบวนการ.................................................................................................... 59 3.5 รูปแบบเนน๎ การบูรณาการ........................................................................................................... 61 บทท่ี 4 การจดั ทําแผนการเรียนร๎ู การเลือกใช๎ การผลติ ส่ือ นวัตกรรมทส่ี อดคล๎องกบั การจดั การเรยี นรู๎ 76 4.1 การจัดทาํ แผนการเรียนรู๎............................................................................................................. 77 4.2 การเลือกใช๎ การผลิตสอื่ .............................................................................................................. 85 4.3 การวัดและประเมินผลการจัดการเรยี นรู๎โดยเนน๎ ผเ๎ู รยี นเปน็ สําคญั .............................................108 4.4 การบันทึกและรายงานผลการจดั การเรียนร๎ู .............................................................................120 4.5 การวิจยั เพื่อแก๎ปญั หาผเู๎ รียน .....................................................................................................121 บทที่ 5 วธิ กี ารสอน และเทคนคิ การสอนตํางๆ .....................................................................................133 5.1 การบรรยาย วิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย (Lecture Method)....................................................134 5.2 การอภิปราย – การแบํงกลํุมยํอย ..............................................................................................150 5.3 การสอนแบบนริ นัย (Deduction) วิธสี อนโดยใชก๎ ารนริ นัย (Deductive Method) ................152 1

5.4 วธิ สี อนโดยใชก๎ ารอุปนยั (Induction Method).......................................................................159 5.5 การสอนแบบรวํ มมือ การจัดการเรียนร๎แู บบรํวมมือ (Cooperative Learning) ....................168 5.6 การสอนแบบบทบาทสมมุติ วิธสี อนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) ................194 5.7 การไปทัศนศึกษา ......................................................................................................................222 5.8 Research Based Learning Research-Based Learning (RBL)............................................223 5.9 การสอนแบบโครงงาน/โครงการ (Project Method)................................................................228 5.10 การสอนแบบสาธิต วธิ สี อนโดยใช๎การสาธติ (Demonstration Method) .............................230 5.11 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน Inquiry Method ...................................................................241 5.12 การสอนแบบทดลอง (Experimental Method)...................................................................255 5.13 Problem Based Learning (Problem-Based Learning) ...................................................265 5.14 การสอนแบบศนู ย์การเรียน (Learning Center).....................................................................274 5.15 วิธสี อนโดยใชเ๎ กม (Game Method) .....................................................................................288 5.16 การสรา๎ งผงั ความคิด หรือแผนทคี่ วามคดิ (Concept Mapping Mind Map) ......................301 เอกสารอา๎ งองิ ......................................................................................................................................308 2

ประมวลการสอนและแผนการสอน (มคอ.3) มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย์ รหสั วิชา TP 510 ช่ือวิชา ฝึกปฏิบตั วิ ชิ าชพี ระหวํางเรยี น (Practicum Teaching Experience) จานวน 1 หน่วยกิต (90 ชั่วโมง) รายวชิ าสังกดั คณะ วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ หลกั สตู ร ประกาศนยี บัตรบัณฑิตวชิ าชพี ครู คาอธิบายรายวชิ า การบูรณาการความรู๎วิชาชีพครูและการพัฒนาความเป็นครูมืออาชีพ โดยการวางแผน สงั เกตการณ์ และจัดทําแผนการเรียนรู๎ท่ีสร๎างองค์ความรู๎ด๎วยตนเอง ทดลองสอนในสถานการณ์จําลอง และสถานการณ์จริง สามารถปฏิบัติการสอน การออกแบบทดสอบ วัดและประเมินผลผู๎เรียน การวิเคราะหว์ ตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม การสร๎างข๎อสอบหรอื เครอื่ งมือวัดผลตามวตั ถุประสงค์เพื่อให๎ได๎ เครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ การตรวจข๎อสอบ การให๎คะแนนและการตัดสินผล การเรียน รวมถึงการสอบภาคปฏบิ ัตแิ ละใหค๎ ะแนน ฝกึ การทาํ วิจัยเพื่อแกป๎ ญั หาผเู๎ รียน ภาคการศกึ ษา - ปีการศึกษา - ช้ันเรยี นปีที่ 1 อาจารย์ผรู้ บั ผิดชอบรายวิชา อาจารย์ ดร. วาสนา วสิ ฤตาภา อาจารยผ์ ูส้ อน โทรศพั ท์ 427 อาจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา หอ้ งพัก อาคาร 6 ชัน้ 16 สถานที่เรยี น/หอ้ งเรยี น ตามตาราง ภายนอกมหาวิทยาลยั สถานศกึ ษาของนักศึกษา จาํ นวนชว่ั โมงฝึก 30 ชัว่ โมง วนั และเวลาให้คาปรึกษานอกชน้ั เรียน วันพฤหสั บดี เวลา09.00 – 17.00 น. วนั เสาร์ เวลา09.00 – 17.00 น. วันศกุ ร์ เวลา09.00 – 17.00 น. วนั - เวลา-

ผลการเรยี นรู้ นักศกึ ษาได้ เรยี นรู้ ดา้ น มาตรฐานผลการเรยี นรู้ตาม มคอ.2 วิธกี ารประเมนิ ผล จากแผนการ และจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม การเรียนรู้ สอน สัปดาหท์ ี่ ครง้ั ที่ คณุ ธรรม 1) สามารถจัดการกับปัญหาทางคุณธรรมจริยธรรมท่ีซับซ๎อนเชิง 1.ใชก๎ ารสอบถาม สัปดาห์ที่ 1,3 จรยิ ธรรม วชิ าการหรอื วิชาชีพโดยคาํ นึงถึงความรูส๎ กึ ของผอู๎ น่ื 2.สงั เกตพฤติกรรม ครัง้ ท่ี 4,10 2) สามารถวินิจฉัยอยํางผู๎ร๎ูด๎วยความยุติธรรมและชัดเจนเมื่อไมํมี การเรียน ข๎อมูลทางจรรยาบรรณวิชาชีพหรือไมํมีระเบียบข๎อบังคับที่ 3.พิจารณาความ เพยี งพอ รับผิดชอบในงานท่ี 3) สามารถวินิจฉัยปัญหาทางจริยธรรมตามหลักการเหตุผลและ มอบหมาย คาํ นิยมท่ดี ีงาม 4) สามารถริเร่ิม ยกปัญหาทางจริยธรรมเพื่อทบทวนแก๎ไข สนับสนุนอยํางจริงจังให๎ผู๎อื่นใช๎การวินิจฉัยทางด๎านคุณธรรม จริยธรรมในการจัดการกับข๎อโต๎แย๎งและปัญหาท่ีมีผลกระทบตํอ ตนเองและผอู๎ ื่น 5) แสดงออกซึ่งภาวะผ๎ูนําในการสํงเสริมให๎มีการประพฤติปฏิบัติ ตามหลักคุณธรรมจริยธรรมในสภาพแวดล๎อมของการทํางานและ ชุมชนท่กี ว๎างขวางข้นึ ความรู้ 3) มคี วามเขา๎ ใจในวิธกี ารพัฒนา ความรใ๎ู หมํๆและการประยุกต์ 1.ใช๎การสังเกต สปั ดาห์ที่ 1 ตลอดถึงผลกระทบของงานวิจัยในปัจจุบันท่ีมีตํอองค์ความรู๎ใน 2.ประเมินผลการ ครง้ั ที่ 1,3 สาระวชิ า และปฏิบัติในวิชาชพี แสดงความคิดเหน็ 4) ตระหนักในระเบียบข๎อบังคับที่ใช๎อยูํในสภาพแวดล๎อมของ 3.ใชก๎ ารตั้งคาํ ถาม ระดับชาติและนานาชาติท่ีอาจมีผลกระทบตํอวิชาชีพรวมท้ัง ใหต๎ อบ เหตุผล และการเปลย่ี นแปลงท่ีจะเกิดข้นึ ในอนาคต ทกั ษะทาง 2. สามารถพัฒนาแนวคิดในเชิงความริเร่ิมสร๎างสรรค์เพ่ือ 1.สงั เกตพฤติกรรม สปั ดาห์ท่ี ปญั ญา ตอบสนองประเด็นหรือปัญหาทางการเรียนการสอน สามารถใช๎ การทํางานกบั กลํุม 1,2,3 ดุลพินิจในการตัดสินใจในสถานการณ์ท่ีมีข๎อมูลไมํเพียงพอ 2.ให๎แสดงความ ครงั้ ที่ 1-2,5- สามารถสังเคราะห์และใช๎ผลงานวิจัย ส่ิงตีพิมพ์ทางวิชาการหรือ คดิ เห็น 6,11-12 รายงานทางวชิ าชีพ 3.ทักษะการ 3. สามารถใชเ๎ ทคนิคทว่ั ไปหรอื เฉพาะทางในทางวิเคราะห์ประเด็น แกป๎ ญั หา ปัญหาที่ซับซ๎อนได๎อยํางสร๎างสรรค์ รวมถึงพัฒนาข๎อสรุป ข

นกั ศกึ ษาได้ เรยี นรู้ ด้าน มาตรฐานผลการเรียนรู้ตาม มคอ.2 วิธกี ารประเมินผล จากแผนการ และจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม การเรียนรู้ สอน สปั ดาห์ที่ ครงั้ ที่ ข๎อเสนอแนะที่เกี่ยวข๎องในสาขาวิชาชีพครู สามารถวางแผนและ ดําเนินการโครงการสําคัญหรอื โครงการวิจยั ได๎ดว๎ ยตนเอง โดยการ ใช๎ความรท๎ู างทฤษฏีและภาคปฏบิ ัติตลอดจนเทคนิควิธีการวิจัยให๎ ข๎อสรุปที่สมบูรณ์ ขยายองค์ความร๎ูหรือแนวทางปฏิบัติในวิชาชีพ ที่มีอยํูเดิมได๎อยํางมนี ัยสาํ คญั ทกั ษะ 1) สามารถแก๎ไขปัญหาที่มีความซับซ๎อนหรือความยุํงยาก 1.สังเกตพฤติกรรม สัปดาห์ที่ 2,3 ความสัมพนั ธ์ ระดบั สูงทางวชิ าชีพครไู ด๎ด๎วยตนเอง การทํางานกลุํม ครง้ั ท่ี 7-8-9 ระหว่างบุคคล 2) สามารถตัดสินใจและมีความรับผิดชอบในการดําเนินงานด๎วย 2.พจิ ารณาการ และความ ตนเองและสามมารถประเมินงานตนเองได๎ ปฏิบตั แิ ละการ รับผดิ ชอบ 3. สามารถวางแผนในการปรบั ปรุงตนเองให๎มีประสิทธิภาพในการ แสดงความคิดเหน็ ปฏิบัติงานระดับสงู ได๎ 4. รํวมมือกับผ๎ูอ่ืนอยํางเต็มท่ีในการจัดการข๎อโต๎แย๎งและปัญหา ตาํ งๆ 5. แสดงออกซึ่งทักษะการเป็นผ๎ูนําได๎อยํางเหมาะสมตามโอกาส และสถานการณ์เพอ่ื เพม่ิ พูนประสิทธิภาพในการทาํ งานกลมํุ ทกั ษะการ 1. สามารถคัดกรองข๎อมูลทางคณิตศาสตรแ์ ละสถิตเิ พอ่ื นํามาใช๎ใน 1.ให๎คําตอบ สัปดาหท์ ่ี 3,4 วิเคราะหเ์ ชงิ การศึกษาค๎นคว๎าปัญหา สรุปปัญหาและเสนอแนะแก๎ไขปัญหา คําถาม คร้ังที่ ตัวเลข การ ตํางๆได๎ 2.สงั เกตพฤติกรรม 12,13,14 สื่อสารและการใช้ 2. สามารถส่ือสารอยํางมีประสิทธิภาพได๎อยํางเหมาะสมกับ 3.ประเมินผลสาระ เทคโนโลยี บคุ คลทัง้ ในวงวชิ าการ วิชาชพี และชมุ ชนท่วั ไป และวิธีการ สารสนเทศ 3. สามารถนําเสนอรายงานท้ังในรูปแบบท่ีเป็นทางการและไมํ นําเสนองาน เป็นทางการผํานสื่อสิ่งพมิ พ์ทางวชิ าการและวิชาชพี อน่ื ๆ (ทักษะ 1.สามารถจัดการใหเ๎ กิดการเรียนรู๎สูผํ ๎เู รยี นในสถานศกึ ษา 1สอบถามการ สปั ดาหท์ ่ี 4 การบริหารให้ 2.สามารถศกึ ษาคน๎ ควา๎ ด๎วยตนเองและทํางานรํวมกับกลํุม ประยกุ ตค์ วามร๎ู ครัง้ ท่ี 14-15 เกดิ การเรยี นรู้ 3.สามารถนําความรู๎จากการวิเคราะห์วิจารณ์งานวิจัยไปใช๎ในการ 2.พิจารณาจาก และติดตามผล พฒั นาผ๎เู รยี น แนวคิดใน และวิจัย) กระบวนการ อภปิ ราย ค

วธิ ีจัดการเรียนการสอน รอ๎ ยละของเวลาทง้ั หมด วิธีการสอน รอ้ ยละของเวลาท้ังหมด 5 วธิ ีการสอน 20 การฝึกปฏบิ ตั ิ 50  การบรรยาย  กิจกรรมกลุ่ม 20  นาํ เสนอผลงานและ 5  อ่ืนๆ (ระบ)ุ .................... - การอภปิ ราย  กรณีศึกษา สัดสว่ นการใหค้ ะแนน (จาํ แนกตามด๎านผลกการเรยี นรู๎) รายการคะแนน 1. ุคณธรรม จริยธรร 2.ความรู 3. ัทกษะทาง ัปญญ 4. ัทกษะความสัมพันธฯ 5. ัทกษะการวิเคราะ ์หฯ 6. ัทกษะการ ัจดการเรียน รวม เขา๎ เรียนอยํางสมาํ่ เสมอ 5- - - - - 5 การมสี วํ นรวํ มกจิ กรรมในชั้นเรยี น -- - 5 - -5 การทํารายงานเดยี่ ว ( 2 ช้นิ ) สงั เกตการสอน สังเกตผูเ๎ รยี น 4 7 5 - 7 2 25 สงํ งานตรงเวลา (2) - - - - - (2) อ๎างอิงถกู ตอ๎ ง/ไมลํ อกงานคนอืน่ (2) - - - - - (2) เนื้อหาถูกตอ๎ ง/องคค์ วามร๎ใู หมํ - (7) (5) - - - (12) วธิ ีการวิเคราะห์ถูกตอ๎ ง - - - - (4) - (4) เทคนคิ การนําเสนอนาํ สนใจและใช๎เทคโนโลยี - - - - (3) - (3) วางแผนการทํางาน/การเรียนรใ๎ู นงาน - - - - - (2) (2) การทาํ รายงาน (แผน+การสอน เด๋ียว 15 คะแนน +วจิ ัยกลํมุ 20 คะแนน) รวม 2 ช้ิน 4 15 5 3 8 - 35 สํงงานตรงเวลา (2) - - - - - (2) อา๎ งองิ ถูกตอ๎ ง/ไมลํ อกงานคนอ่ืน (2) - - - - - (2) เนอ้ื หาถกู ตอ๎ ง/องคค์ วามรู๎ใหมํ - (15) (5) - - - (20) วธิ กี ารวิเคราะหถ์ ูกตอ๎ ง - - - - (5) - (5) เทคนิคการนําเสนอนาํ สนใจและใชเ๎ ทคโนโลยี - - - - (3) - (3) ความรวํ มมอื กับกลุมํ - - - (3) - - (3) สอบไลํ - 15 10 - 5 - 30 รวม 13 37 20 8 20 2 100 การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธขิ์ องนักศกึ ษา 1) มีการสอบทานการให๎คะแนนจากการสุํมตรวจผลงานของนักศึกษา (รายงานกลุํมหรืองาน เดี่ยว) โดยอาจารยค์ นอ่ืนในสาขาการจดั การศกึ ษาหรอื สาขาหลักสตู รการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ 2) มีการพิจารณาผลการให๎คะแนน (การตัดเกรด) โดยกรรมการวิชาการ หลักสูตร ประกาศนยี บตั รบัณฑติ วิชาชพี ครู วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ ง

แผนการสอน สัปดาห์ท่ี เร่อื ง วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ครงั้ ท่ี หัวข้อย่อยท่สี อน สปั ดาห์ท่ี 1 ครง้ั ท่ี 1 เวลา 08.00 – 12.00 น. - แนะนาํ วิชาและอธบิ ายประมวลการสอนและ 1. แนะนาํ วิชาและอธบิ ายประมวลการ สัปดาหท์ ี่ 1 ครง้ั ท่ี 2 แผนการสอน: คาํ อธิบายรายวชิ า สอนและแผนการสอน เวลา 13.00 - 17.00 น. วตั ถปุ ระสงค์ในการเรียนการสอน การ 2. ตอบคาํ ถามและข๎อสงสัยในขอบเขต สัปดาหท์ ี่ 1 คร้งั ที่ 3 เวลา 08.00 – 12.00 น. ประเมนิ ผล และตาํ ราเรียน วิชาและการประเมนิ ผล สปั ดาห์ท่ี 1 ครัง้ ท่ี 4 - ขอ๎ ตกลงในการเรียนการสอน 3. กิจกรรมกลํุมวเิ คราะห์ เวลา 13.00 – 17.00 น. - ระบบความคิดทางการศึกษา ระบบ - ระบบความคดิ ทางการศึกษา การศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานกบั การพัฒนาความเป็น ระบบการศึกษาขนั้ พื้นฐานกบั การ ครูมอื อาชีพ พฒั นาความเปน็ ครูมอื อาชีพ - การจัดการศกึ ษาตํางประเทศ - การจดั การศกึ ษาตาํ งประเทศ -การเรยี นรู๎เชงิ กา๎ วหน๎า วิธสี อนเพอ่ื สํงเสริม 1. วเิ คราะห์อภิปรายเกยี่ วกบั การเรยี นร๎ู ศกั ยภาพของผเ๎ู รยี นในศตวรรษที่ 21 เชงิ ก๎าวหน๎า: วธิ สี อนท่สี งํ เสริมศกั ยภาพ - STEM Education ของผ๎ูเรยี นในศตวรรษที่ 21 และ - Flipped Classroom เทคนิคการสอนในปัจจุบนั - กรณศี กึ ษา : การเรียนรู๎จากครตู น๎ แบบ 2. วิดีทศั น์ ครตู น๎ แบบ ครสู อนดี ครูสอนดี 3. ให๎นักศึกษาวเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายใน ประเด็นการจดั การเรียนรข๎ู องครู ต๎นแบบ ครสู อนดี รูปแบบการสอน : 1. ใหน๎ ักศึกษานาํ เสนอแนวคดิ ของรปู แบบ 1. รปู แบบเนน๎ ด๎านพุทธิพสิ ัย การสอน ตามทไี่ ด๎รับมอบหมายให๎ค๎นคว๎า 2. รูปแบบเนน๎ ดา๎ นจิตพสิ ยั ลํวงหน๎า 3. รปู แบบเนน๎ ดา๎ นทักษะพสิ ยั 2. นกั ศกึ ษาวิเคราะหแ์ ละอภิปราย 4. รปู แบบเนน๎ ทักษะกระบวนการ 3. ทดลองสอนในสถานการณจ์ าํ ลอง 5. รูปแบบเนน๎ การบรู ณาการ 4. ทดลองสอนสถานการณ์จริงใน สถานศึกษา (เขยี นแผนการสอนและ บันทกึ การสอนหลงั ปฏบิ ตั กิ ารสอน) การจัดทําแผนการเรียนร๎ู 1. การบรรยายความร๎ู การเลือกใช๎ การผลิตสื่อ และนวตั กรรมท่ี 2. นกั ศกึ ษาวเิ คราะห์และอภิปรายเกี่ยวกับ สอดคลอ๎ งกบั การจัดการเรียนร๎ู การเลือกใช๎ การผลิตสื่อ และนวตั กรรมที่ สอดคลอ๎ งกบั การจดั การเรยี นร๎ู 3. ฝึกปฏิบัตกิ ารเขยี นแผนการสอน จ

สัปดาหท์ ่ี เร่อื ง วิธีการสอนและกิจกรรม ครง้ั ที่ หวั ขอ้ ย่อยท่สี อน สปั ดาห์ที่ 2 คร้ังท่ี 5 รูปแบบการสอน วิธกี ารสอน และเทคนิคการ 1. ผู๎สอนบรรยายความร๎ู เวลา 08.00 – 12.00 น. สอนตาํ งๆ 2. นักศึกษาวิเคราะห์และอภิปราย สปั ดาหท์ ่ี 2 ครั้งที่ 6 - Research Based Learning 3. นกั ศกึ ษาลงมือปฏิบัติการ จัดทาํ เวลา 13.00 - 17.00 น. - การสอนแบบโครงงาน/โครงการ แผนการเรยี นร๎ตู ามสาระการเรยี นรต๎ู ามวิธี - การสอนแบบศนู ย์การเรยี น สอนแบบตาํ งๆ สัปดาห์ที่ 2 ครัง้ ที่ 7 วธิ ีการสอน และเทคนิคการสอนตาํ งๆ 1. ใหน๎ ักศกึ ษานาํ เสนอแนวคดิ ของรปู แบบ เวลา 08.00 – 12.00 น. - การสอนแบบสาธิต การสอน วธิ ีการสอน และเทคนคิ การสอน - การสอนแบบสืบสวนสอบสวน ตํางๆตามท่ไี ด๎รบั มอบหมายให๎คน๎ ควา๎ สัปดาห์ท่ี 2 ครง้ั ท่ี 8 - การสอนแบบปฏิบตั กิ าร ลํวงหน๎า เวลา 13.00 – 17.00 น. - การสอนแบบทดลอง 2. นกั ศึกษาวเิ คราะหแ์ ละอภปิ ราย - Problem Based Learning 3. ทดลองสอนในสถานการณจ์ าํ ลอง สปั ดาหท์ ่ี 3 ครง้ั ท่ี 9 4. ทดลองสอนสถานการณ์จรงิ ใน เวลา 08.00 – 12.00 น. วธิ ีการสอน และเทคนคิ การสอนตาํ งๆ สถานศึกษา (เขียนแผนการสอนและ - การบรรยาย การอภปิ ราย - การแบํงกลมํุ บนั ทกึ การสอนหลงั ปฏบิ ตั กิ ารสอน) ยํอย 1. ให๎นักศึกษานําเสนอแนวคดิ ของรปู แบบ - การสอนแบบรวํ มมอื การสอน วิธีการสอน และเทคนคิ การสอน - การสอนแบบบทบาทสมมุติ ตํางๆ ตามท่ไี ดร๎ บั มอบหมายให๎คน๎ ควา๎ - การไปทัศนศึกษา 2. นกั ศกึ ษาวิเคราะหแ์ ละอภิปราย - การสอนแบบจ๊ิกซอร์ 3. ทดลองสอนในสถานการณ์จาํ ลอง 4. ทดลองสอนสถานการณจ์ ริงใน รูปแบบการสอน วิธกี ารสอน และเทคนิคการ สถานศึกษา (เขยี นแผนการสอนและ สอนตาํ งๆ บนั ทกึ การสอนหลงั ปฏบิ ตั ิการสอน) - [การเขียนแผนผังความคิด หรอื แผนท่ี 1. ผ๎ูสอนบรรยายความร๎ู ความคิด (Mind Map)] 2. นกั ศึกษาวเิ คราะหแ์ ละอภิปราย - การสอนแบบนริ นยั (Deduction) 3. นกั ศึกษาลงมอื ปฏบิ ตั ิ การเขยี นแผนผงั - การสอนแบบอุปนัย (Induction) ความคิด หรือแผนที่ความคิด (Mind Map) วิธีการสอนแบบนริ นัย การทาํ วจิ ัยเพอื่ แกป๎ ญั หาผเ๎ู รยี น (Deduction) และวิธีการสอนแบบอปุ นยั (Induction) 1. แบงํ กลมํุ นักศกึ ษาและผ๎ูสอนนาํ ผลงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ๎ งกับการเรียนการ สอน เทคนคิ การสอน วธิ กี ารสอน ให๎แตํ ฉ

สปั ดาหท์ ่ี เรื่อง วธิ ีการสอนและกิจกรรม ครั้งท่ี หัวข้อย่อยทส่ี อน ละกลํมุ วิเคราะห์ สปั ดาหท์ ่ี 3 ครั้งท่ี 10 การทําวิจยั เพอื่ แก๎ปญั หาผ๎ูเรยี น (ตํอ) 2.แตลํ ะกลุํมนาํ เสนอผลการวเิ คราะห์ฯ เวลา 13.00 - 17.00 น. และแลกเปลยี่ นเรียนรรู๎ ะหวํางกลมํุ 3.จดั ทาํ แผนการวิจยั สํวนบุคคลและเกบ็ สัปดาหท์ ี่ 3 คร้งั ที่ 11 การวัดผลและประเมนิ ผลการจดั การเรยี นร๎ู ข๎อมูลในสถานศกึ ษาของตนเอง เวลา 08.00 – 12.00 น. โดยเนน๎ ผู๎เรียนเปน็ สําคัญ 1. แบํงกลํุมนักศกึ ษาและผูส๎ อนนํา ผลงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ๎ งกับการเรยี นการสอน เทคนคิ การสอน วิธีการสอน ให๎แตํละกลุํม วเิ คราะห์ 2.แตลํ ะกลมุํ นาํ เสนอผลการวิเคราะหแ์ ละ แลกเปล่ยี นเรยี นร๎ูระหวํางกลํมุ 1. บรรยาย อภปิ ราย และปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 2. เรียนรโ๎ู ดยใชป๎ ัญหาเปน็ หลกั และศึกษา ดว๎ ยตนเอง สัปดาห์ที่ 3 ครั้งที่ 12 การนําผลการประเมินมาพฒั นาการจัดการ 1. ชี้แจงและบรรยายกจิ กรรม เวลา 13.00 – 17.00 น. เรยี นร๎ูและพัฒนาคณุ ภาพผูเ๎ รยี น ประกอบการเรียนการสอน การบนั ทึกและรายงานผลการจดั การเรียนรู๎ 2. บรรยาย อภปิ ราย เรียนรโ๎ู ดยใชป๎ ญั หา เป็นหลัก และศึกษาดว๎ ยตนเอง สปั ดาหท์ ี่ 4 คร้งั ท่ี 13 นําเสนอผลการฝกึ ปฏบิ ัติ (สอบสอน) ฝึกปฏิบตั ิ เวลา 08.00 – 12.00 น. นาํ เสนอผลการฝึกปฏบิ ตั ิ (สอบสอน) ฝึกปฏิบัติ สปั ดาห์ที่ 4 ครง้ั ท่ี 14 เวลา 13.00 - 17.00 น. นาํ เสนอผลการฝกึ ปฏบิ ตั ิ (สอบสอน) ฝกึ ปฏบิ ตั ิ สัปดาหท์ ี่ 4 ครง้ั ที่ 15 เวลา 08.00 – 12.00 น. สอบข๎อเขียน วนั อาทติ ย์ วันที่ 11 ก.ย. 2560 เวลา 13.00 - 16.00 น. ช

บทท่ี 1 ระบบความคิดทางการศึกษา ระบบการศึกษาขัน้ พื้นฐาน กบั การพฒั นาความเปน็ ครมู อื อาชพี หวั เร่ือง 1. ระบบความคิดทางการศึกษา 2. ระบบการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานกับการพัฒนาความเปน็ ครูมืออาชีพ 3. การจัดการศึกษาประเทศตํางๆ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให๎ผูเ๎ รยี นมีความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ระบบความคิดทางการศึกษา 2. เพื่อให๎ผเ๎ู รียนเขา๎ ใจเก่ียวกับระบบการศึกษาของประเทศไทย 3. เพื่อเรียนร๎ูการจัดการศึกษาในตํางประเทศ กจิ กรรมระหวา่ งเรยี น ผูส๎ อนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพอื่ ให๎ผู๎เรียนเกดิ การเรียนรู๎ ทักษะและการคิดวเิ คราะห์ ดังน้ี 1. บรรยาย อภปิ ราย ซักถาม กระตุน๎ ใหเ๎ กดิ การแลกเปลี่ยนเรียนร๎ูเกี่ยวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่ีสอนระหวาํ งผ๎สู อนกับผเ๎ู รียนและระหวาํ งผูเ๎ รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอรเ์ นต็ 3. ทาํ การศึกษาจากกรณศี กึ ษาทั้งในรปู แบบเอกสารและวดิ ีโอ 4. การทํางานกลํุมเพื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพื่อการแลกเปล่ียนเรียนร๎ู ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระท่ีเก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรยี น 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเ๎ู รียนและผู๎สอนรํวมสรปุ ประเดน็ การเรยี นร๎ู สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตาํ รา งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข๎อง 2. สอื่ ดิจทิ ลั จากอนิ เทอรเ์ นต็ และสไลด์นาํ เสนอ

การประเมนิ ผล 1. การสวํ นรํวมกบั กิจกรรมในช้ันเรยี นของผู๎เรยี น ความสามารถในการวเิ คราะห์ประเด็นท่ีศกึ ษา 2. จากรายงานการคน๎ ควา๎ ตามประเดน็ ของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา ระบบความคดิ ทางการศึกษา ระบบการศึกษาข้ันพื้นฐานกับ การพฒั นาความเปน็ ครมู อื อาชพี พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ.2542 แก๎ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 กลําววําการศึกษาหมายถึง กระบวนการเรียนรู๎เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคล และสังคม โดยการถํายทอดความรู๎ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร๎างสรรค์จรรโลง ความก๎าวหน๎า ทางวิชาการ การสร๎างองค์ความร๎ูอันเกิดจากการจัดสภาพแวดล๎อม สังคม การเรียนร๎ูและ ปจั จยั เกื้อหนุนให๎ บุคคลเรียนรอ๎ู ยํางตอํ เนอ่ื งตลอดชีวิต “การศึกษาข้ันพื้นฐาน” หมายความวํา การศึกษา กํอนระดับอุดมศึกษา “การศึกษาตลอดชีวิต” หมายความวํา การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหวําง การศกึ ษา ในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่ือให๎สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได๎ อยํางตํอเนื่อง ตลอดชีวิต “สถานศึกษา” หมายความวํา สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หนํวยงานการศึกษาหรือหนํวยงานอ่ืนของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอํานาจ หน๎าที่หรือมี วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา “สถานศึกษาข้ันพื้นฐาน” หมายความวํา สถานศึกษาท่ีจัด การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน “มาตรฐานการศึกษา” หมายความวํา ข๎อกําหนดเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพท่ีพึง ประสงค์ และมาตรฐานท่ีต๎องการให๎เกิดข้ึนในสถานศึกษาทุกแหํง และเพ่ือใช๎เป็นหลักในการเทียบเคียง สาํ หรบั การ สงํ เสริมและกาํ กับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพทางการศึกษา “การประกันคุณภาพภายใน” หมายความวํา การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ คุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาน้ันเอง หรือโดย หนํวยงาน ต๎นสังกดั ทม่ี หี น๎าทกี่ ํากับดูแลสถานศกึ ษานั้น “การประกันคุณภาพภายนอก” หมายความวํา การประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบ คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยสํานักงานรับรองมาตรฐาน และประเมนิ คณุ ภาพการศึกษาหรอื บคุ คลหรือหนวํ ยงานภายนอกทสี่ าํ นักงานดังกลาํ วรับรอง เพ่ือเป็นการ ประกันคุณภาพ และให๎มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา “ผู๎สอน” หมายความวํา ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับตําง ๆ “ครู” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพซึ่งทํา หน๎าท่ีหลักทางด๎านการเรียนการสอนและการ สํงเสริมการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนด๎วยวิธีการตํางๆ ใน 2

สถานศกึ ษาท้ังของรัฐและเอกชน “คณาจารย์” หมายความวํา บุคลากรซ่ึงทําหน๎าที่หลักทางด๎านการสอน และการวิจัยใน สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาของรัฐและเอกชน “ผ๎ูบริหารสถานศึกษา” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษา แตํละแหํง ทั้งของรัฐและเอกชน “ผ๎ูบริหารการศึกษา” หมายความวํา บุคลากรวิชาชีพท่ีรับผิดชอบการบริหารการศึกษานอก สถานศึกษา ต้ังแตํระดับเขตพ้ืนที่การศึกษาข้ึนไป “บุคลากรทางการศึกษา” หมายความวํา ผ๎ูบริหารสถานศึกษา ผ๎ูบริหารการศึกษา รวมทั้งผ๎ูสนับสนุนการศึกษาซ่ึงเป็นผู๎ทําหน๎าที่ให๎บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเน่ืองกับ การจัดกระบวนการเรียนการ สอน การนเิ ทศ และการบริหารการศึกษาในหนํวยงานการศึกษาตาํ ง ๆ 1.1 ระบบความคิดทางการศึกษา กระบวนการดําเนินการใหมนุษยไดรับการศึกษานี้หากรัฐยังไมเขามาดูแล ก็เปนเร่ืองท่ี คนใกลชิด เชน ครอบครัวหรือญาติมิตรเพื่อนฝูงทําหนาท่ีอบรมส่ังสอนกันเอง เพื่อใหผูรับการอบรม สามารถอยูรวมกับ สังคมขนาดยอมน้ันได แตเม่ือสังคมขยายตัวมากข้ึนจนปจจุบันกลายเปนสังคม ระดับประเทศ การให การศึกษาตองเปนไปอยางระบบ ตองมีการจัดการ มีเปาหมาย มีรูปแบบ กระบวนการ มีการลงทุน และมี ผูรับผิดชอบ ดังท่ีเราเรียกโดยรวมวา การจัดการศึกษา คือ ทําทุกอยําง อยางเปนระบบทท่ี ุกสวนมคี วามสัมพันธเชอื่ มโยงกนั นโยบายรัฐบาลกับการศึกษา รัฐบาลมีนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาคือ พระราชบัญญัติ การศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งได๎นิยาม คําวํา “การศึกษา” ไว๎ในมาตรา 4 วํา “การศึกษา เป็น กระบวนการเรียนรู๎เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและ สังคม โดยการถํายทอดความร๎ู การฝึก การ อบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร๎างสรรจรรโลง ความกา๎ วหน๎าทางวชิ าการ การสร๎างองคค์ วามร๎ูอัน เกิดจากการจัดสภาพแวดล๎อม สังคม การเรียนรู๎และปัจจัย เก้ือหนุนให๎บุคคลเรียนร๎ูอยํางตํอเน่ืองตลอด ชีวิต” นอกจากน้ี ในมาตรา 6 ได๎กําหนดความมํุงหมายไว๎วํา “การจัดการศึกษาต๎องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคน ไทยให๎เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งด๎านรํางกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู๎ และ คุณธรรม มีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยูํรํวมกับผ๎ูอื่นได๎อยํางมีความสุข” จากนิยาม และความมํุงหมาย ดังกลําว จะเห็นได๎อยํางชัดเจนวําการศึกษาเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนามนุษย์ให๎มีความสมบูรณ์ และ การเรียนรู๎ของมนุษย์นั้นสามารถเรียนร๎ูได๎ตลอดเวลา รัฐบาลโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน ได๎กําหนดนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต โดยให๎มีการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาท้ัง ระบบเพื่อพัฒนาครตู ามสมรรถนะให๎เปน็ ครูดี ครูเกํง มคี ณุ ภาพ คุณธรรม จึงได๎จัดโครงการพัฒนาครูที่เน๎น การสร๎างความเข๎มแขง็ ของสมรรถนะด๎านการจดั การเรียนการสอนในบริบทท่ีหลากหลายของลักษณะและ ขนาดของโรงเรียน โดยใช๎กระบวนการสร๎างระบบพ่ีเลี้ยง coaching และให๎เป็นไปตามความต๎องการ จําเป็นของสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา โดยให๎สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา/มัธยมศึกษา ประสานสถาบันอุดมศึกษาเพื่อรํวมเป็นคํูพัฒนาการจัดพัฒนาให๎เน๎นรูปแบบ การพัฒนาฐานโรงเรียนในขณะปฏิบัติการสอน (on the Job training) และให๎มีระบบสนับสนุนใน 3

รปู แบบการ coaching และ mentoring โดยใหเ๎ น๎นการพัฒนาเพื่อเสริมสร๎างจิตวิญญาณและ อุดมการณ์ ของความเป็นครู การพัฒนาผ๎ูเรียนให๎มีความร๎ูความสามารถด๎าน literacy, numeracy และ reasoning ability ตามระดับช้ัน ควบรวมกับกระบวนการจัดการเรียนร๎ูกลุํมสาระการเรียนร๎ู หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามแนวทางของการเรียนร๎ูในศตวรรษที่ 21 ด๎วยการออกแบบ จัดท า และพัฒนาหลักสูตร ส่ือ และวิธีการพัฒนาครู ให๎ครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และเหมาะสมกับระดับชั้นที่สอน แล๎วจึงประเมินสมรรถนะกํอนการพัฒนา และด าเนินการ พัฒนาครูตามหลักสูตร โดยก าหนดกรอบระยะเวลาในการพัฒนาไมํน๎อยกวํา 5 วันดังนี้ (1) กิจกรรม classroom เน๎นด๎านเน้ือหาและกระบวนการรวมทั้งการฝึกปฏิบัติ 2 วัน (2) กิจกรรม แลกเปล่ยี นเรยี นร๎ู ณ สถานศึกษาไมํน๎อย กวํา 3 ครั้ง และจะต๎องมีกระบวนการนิเทศ ติดตามประเมินผล ดว๎ ย 1) ความหมายและแนวคดิ ระบบการศกึ ษา หมายถึง การกาํ หนดหลกั สตู ร จุดมุงํ หมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และ แนวทางในการจัดการศึกษา เพ่ือให๎การศกึ ษาชวํ ยพัฒนาชวี ิตของคนไปในแนวทางท่ีพงึ ประสงค์ การศึกษาเปน็ กระบวนการสร๎างและพัฒนาประชากรของประเทศให๎มีพลัง มีความสามารถที่ จะพัฒนาประเทศชาติให๎เจริญก๎าวหน๎าอยํางมีสันติสุข การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาพัฒนาประชากร และประเทศชาติ และการที่จะดําเนินไปได๎อยํางมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต๎องอาศัยกระบวนการ ศึกษาทีไ่ ดร๎ บั การพัฒนามดี แี ล๎ว การศกึ ษามสี วํ นสาํ คัญและจําเปน็ ในการพฒั นาประเทศใหร๎ งํุ เรืองทัง้ ทางดา๎ นเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง การปกครอง และวัฒนธรรม เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการ ถาํ ยทอดวฒั นธรรม และสร๎างภูมปิ ัญญาให๎แกสํ ังคม ระบบการศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพต๎องมีเนื้อหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่ สอดคล๎องกับวัตถุประสงค์ มีหลักการท่ีดี และจําเป็นต๎องอาศัยการบริหารท่ีกระจายอํานาจให๎ผู๎ท่ีมีสํวน เกย่ี วขอ๎ งและชมุ ชนได๎เข๎ามามสี วํ นรวํ มให๎มากทีส่ ดุ ระบบการศกึ ษาไดร๎ บั การพัฒนามาตลอด แตยํ งั ไมํสามารถบรรลผุ ลตามท่ีกําหนดไว๎เทําใดนัก เพราะยังมีปัญหาด๎านคุณภาพของผลผลิต ด๎านการกระจายโอกาสทางการศึกษา ด๎านการบริหาร การศกึ ษา และด๎านการระดมสรรพกาํ ลังเพอ่ื จดั การศึกษา ความจําเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให๎สอดคล๎องกับเง่ือนไข และการเปล่ียนแปลง ด๎านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอยํางเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผ๎ูท่ีเกี่ยวข๎องต๎องตระหนัก ท้ังน้ีเพ่ือให๎ สามารถพฒั นาประเทศไดอ๎ ยาํ งเหมาะสมกับสภาพ และความตอ๎ งการของประเทศในอนาคต 4

ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให๎เป็นผ๎ูมีปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพ้ืนฐาน หรือศักยภาพทจี่ ะพัฒนาตนเองและสังคมตํอไป กอปรทั้งให๎ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงาน สาํ หรบั พฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศจําเป็นต๎องอาศัยกระบวนการศึกษาทีด่ ี ระบบการศึกษาท่ีดีจะต๎องมีความยืดหยํุน ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนตามความสนใจ ความพร๎อม ได๎ อยํางตํอเน่ืองตลอดเวลาและตลอดชีวิต มีเครือขํายการเรียนรู๎ท่ีสามารถถํายทอดความร๎ูประเภทตํางๆ จากแหลํงตาํ งๆ ไปยังผูเ๎ รยี นได๎อยํางตอํ เนอ่ื งโดยอาศัยท้ังระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบ โรงเรยี น 2) ระบบการศกึ ษาท่ีดี ระบบการศึกษามีบทบาทสําคัญย่ิงในการจัดการศึกษาของประเทศ ถ๎าระบบการศึกษาท่ี กําหนดไว๎ดี สอดคล๎องกับสภาพ ปัญหา และความต๎องการของทั้งสํวนตนและประเทศก็จะสํงผลดีตํอชีวิต ความเป็นอยํูของพลเมือง เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา เน่ืองจากระบบการศึกษามีผล เกี่ยวโยงถึงด๎านกําลังคนหรือกําลังแรงงานของประเทศในระดับตํางๆ เพราะระบบการศึกษาเป็น กระบวนการผลิตกาํ ลงั คนทสี่ ําคัญยง่ิ ดังนน้ั จงึ ควรอยใํู นกรอบแนวคดิ ตํอไปน้ี 1) กาํ หนดความมงุํ หมายในการจดั การศึกษา โดยเน๎นความมงุํ หมายหลัก 3 ประการ คือ (1) ต๎องจัดการศึกษาเพ่ือให๎เปน็ คนรจู๎ กั คดิ อยํางมเี หตุผล มีระเบียบวินยั และ ขยนั ขนั แข็งในอาชพี การงาน (2) ต๎องจดั การศึกษาให๎มีทักษะในวชิ าชพี และประยุกต์ใชเ๎ ทคโนโลยที เี่ หมาะสม (3) ต๎องจดั การศกึ ษาโดยระดมสรรพกําลังจากภาคเอกชน สถานประกอบการและ หนํวยงานของรฐั เขา๎ มามีสํวนรวํ มในการจัดการศึกษาอบรม 2) จดั การศึกษาให๎สอดคลอ๎ งกับการเกษตรแผนใหมํท่ีประยกุ ต์ใชเ๎ ทคโนโลยีและการจัดการที่ เหมาะสม เพราะเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนสํวนใหญํ ดังนั้นระบบการศึกษาจะต๎องพัฒนาบุคคล ใหม๎ ที ักษะในวชิ าชีพอยาํ งแท๎จริงและนาํ เอาการศึกษานอกระบบโรงเรยี น และการฝึกปฏิบัติการมาใช๎ 3) จัดระบบการศึกษาให๎สอดคล๎องกับการประกอบอาชีพ โดยการนําเทคนิควิทยามาใช๎ กอปรทง้ั ให๎รูถ๎ งึ การจดั การ การตลาด และการวจิ ัยค๎นคว๎า 4) จัดแก๎ไขปัญหาการผลิตกําลังคน โดยการขยายสวัสดิการสังคม การสํงแรงงานไปทํางาน ตาํ งประเทศ และการสร๎างงานใหมํๆ 5) จัดระบบการศกึ ษาท่ีสงํ เสริมการจัดวิชาชีพทง้ั ในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน การ สํงเสรมิ อาชีพ ตลอดทัง้ การวจิ ยั และสงํ เสริมกจิ กรรมพัฒนาชนบท ในการพจิ ารณาปรับปรงุ ระบบการศกึ ษาน้ัน ควรยดึ หลกั การตํอไปน้ี 1) การศึกษาต๎องสรา๎ งเสรมิ ใหบ๎ คุ คลคดิ เป็น ทําเปน็ แกป๎ ัญหาเป็นและสามารถดาํ รงตนอยํู ในสงั คมได๎อยํางตามอัตภาพ 5

2) การศึกษาจะตอ๎ งสอดคล๎องกบั สภาพทอ๎ งถ่ิน และการประกอบอาชีพในทอ๎ งถิน่ 3) การศึกษาจะต๎องสร๎างบุคคลให๎มีพน้ื ฐานความรท๎ู างด๎านวิชาชีพท่เี หมาะสมกบั วยั และ ระดบั การศกึ ษา 4) การจัดการศึกษาจะตอ๎ งปลกู ฝังและสร๎างบุคคลให๎มีความสาํ นึก รับผดิ ชอบและมีสํวนรํวม ตอํ การพัฒนาท๎องถน่ิ อันเป็นแหลงํ ภูมลิ าํ เนาของตน 5) ในการจดั การศึกษาเพ่ือประโยชน์ตํอประชาชนจะตอ๎ งใหเ๎ อกชน สถานประกอบการ และ ทอ๎ งถ่นิ เขา๎ มามีสํวนรวํ มรบั ผิดชอบในการจดั การศึกษาทางด๎านวิชาชีพการเลย้ี งดูอบรมเดก็ และการรกั ษา ดุลยภาพของสังคมในดา๎ นกาํ ลงั คน ดังน้นั แนวการจดั ระบบการศกึ ษาควรพจิ ารณาดําเนินการ ดังนี้ 1) ควรจัดเป็นระบบคํูขนานระหวํางในระบบโรงเรยี นและนอกระบบโรงเรยี นเพอ่ื ใหโ๎ อกาส แกทํ ุกคนในทกุ สถานการณ์ และสอดคล๎องกับความจาํ เปน็ 2) ควรเปิดโอกาสให๎หนวํ ยงานและสถานประกอบการเข๎ามามีสวํ นรํวมฝึกอบรมบคุ ลากรตาม ความต๎องการของตน และสังคม 3) จะต๎องสอดคล๎องกับอาชีพของแตํละท๎องถ่ิน และความเปน็ จรงิ ในสังคม 4) จะต๎องเบ็ดเสรจ็ ในตวั เองทุกระดบั เพื่อให๎คนออกสตูํ ลาดแรงงานมากกวาํ การเรยี นตอํ ใน ระดับสูง 5) จะตอ๎ งชกั จูงใหค๎ นสามารถประกอบอาชีพสวํ นตวั ได๎ 6) จะตอ๎ งเป็นการศึกษาทมี่ ํงุ ปรบั ปรุงตน เพ่ือให๎สามารถพฒั นาอาชีพพ้นื บ๎านด๎วยการใช๎ เทคโนโลยแี ละวธิ กี ารท่ีเหมาะสม และเป็นการศึกษาทค่ี วรให๎ผู๎เข๎ารับการศึกษาอยูํในทอ๎ งถิน่ มากกวําตัว เมอื ง 7) จะต๎องเปน็ การศึกษาที่สามารถปรบั ปรุงมาตรฐานการดาํ รงชวี ิตและการประกอบอาชีพ ดว๎ ยการพจิ ารณา และเรมิ่ ตน๎ จากส่งิ ท่เี ขาเปน็ อยํู และมีอยูํ 8) จะต๎องเน๎นการปฏบิ ตั ิควบคไํู ปกบั การเรยี นทางวิชาการ 9) การฝึกอาชพี และการฝึกบคุ คลให๎เปน็ พลเมืองดจี ะต๎องจดั ทําควบคูกํ ับไป ไมคํ วรแยกหาํ ง จากกนั 10) ระบบการศึกษาและระบบอื่นๆ ของสงั คม จะต๎องประสานสัมพนั ธเ์ กื้อหนนุ กัน และไมํ ควรแยกชนบทและเมืองออกจากกัน 11) ระบบโรงเรียนทกุ ประเภทและระดับจะต๎องประสานสัมพนั ธ์กัน และเก้ือหนุนกัน 6

พนม พงษ์ไพบูลย์ (อ๎างถึงใน อําพร เรืองศรี, 2560) ได๎เสนอรูปแบบ และระบบการศึกษาที่ พึงประสงค์เพื่อสนองความต๎องการในการพัฒนาประเทศ ซึ่งถือได๎วําเป็นระบบการศึกษาที่ดี โดยกําหนด เปน็ เชิงแนวทาง หลักการในการกําหนดจุดหมาย หลักการจัดการศึกษา และวธิ จี ดั การศกึ ษา สําหรบั หลักการจดั การศึกษาเพื่อใหเ๎ กดิ ประสิทธิภาพ และคุณภาพควรยึดหลกั การตํอไปน้ี 1. หลกั ความกว๎างขวางและเป็นธรรม เพื่อให๎แตํละคนไมํวําจะแตกตํางกนั ด๎านเพศ วัย และ ฐานะทางเศรษฐกจิ และสงั คม ได๎มีโอกาสไดร๎ กั การบริหารการศกึ ษาท่เี หมาะสมสอดคลอ๎ งกับความ ต๎องการ และความสามารถ ณ ถนิ่ ท่ีอยํขู องตนได๎อยาํ งตลอดเวลาและตํอเน่ืองกนั ตลอดชีวติ 2. หลกั ความสมดลุ ควรจดั การศกึ ษาใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎พัฒนาความสมดลุ ระหวํางปัญญา คุณธรรม และสมรรถภาพพืน้ ฐานกับความร๎ูและทักษะสําหรบั การประกอบอาชีพ 3. หลกั ความสอดคล๎อง น่นั คือ สอดคล๎องกบั สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของสงั คมในระดับตํางๆ ทั้งในเขตเมืองและชนบท 4. หลกั ความหลากหลาย การจดั การศึกษาควรจัดใหม๎ ีความหลากหลายทั้งรูปแบบ เนอื้ หา และวธิ ีการ 3) พัฒนาการของระบบการศกึ ษาไทย อําพร เรอื งศรี (2560) กลาํ วถึงระบบการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการมาอยาํ งตอํ เนื่อง เปน็ ระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งอาจแบํงออกเป็น 4 สมยั คือ - สมยั สโุ ขทัยจนถงึ ต๎นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ - สมัยรชั กาลที่ 5 จนถึงการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 - สมยั หลังการเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถงึ พ.ศ. 2534 - สมัยปัจจุบนั ตามแผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2535 ลกั ษณะของระบบการศึกษาทั้ง 4 สมัย ดังกลาํ ว พอประมวลสรุปไดด๎ ังนี้ 1. สมยั สุโขทัยจนถึงตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ลักษณะของระบบการศึกษาในชํวงนี้ยังไมํเป็นแบบแผนชัดเจน สํวนใหญํเป็นการศึกษา สําหรับเด็กชาย ซ่ึงเป็นการศึกษาหาความร๎ูด๎านวิชาการและศิลปะ สถานที่การ ศึกษามักเป็นท่ีวัด ราชสํานัก และบ๎านเจ๎านายช้ันสูง การศึกษาด๎านวิชาชีพจะมีสอนและถํายทอดภายในวงศ์ตระกูล และในหมํูเครือญาติ สํวนเด็กหญิงจะมีการฝึกงานบ๎านในครอบครัว ราชสํานัก และบ๎านเจ๎านายชั้นสูง ประชาชนนยิ มนําบุตรหลานไปไว๎กับเจ๎านายและผู๎มีศักดินาสูงเพื่อให๎ใช๎สอย และฝึกงานเพื่อคาดหมายวํา จะได๎มโี อกาสเขา๎ รบั ราชการ ได๎ยศถาบรรดาศักด์ติ ํอไป อยํางไรก็ดี ประเทศตะวันตกเร่ิมเข๎ามามีบทบาทในการศึกษาไทยในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสเข๎ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและตํอจากน้ัน ก็มีประเทศอ่ืนๆ ตดิ ตามมา 7

2. สมัยรัชกาลท่ี 5 จนถึงการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ลักษณะการศึกษาในชํวงน้ีเร่ิมเป็นระบบแบบแผน แตํยังไมํเป็นมาตรฐานนัก เปน็ ชํวงท่ีการศึกษาเจริญรุํงเรืองมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ทรงเล็งเห็นความสําคัญ ของการศึกษาในฐานะที่เป็นรากฐานของความสําเร็จในทุกด๎าน ผ๎ูได๎รับการศึกษาในวิชาการสมัยใหมํจะ สามารถนําความรู๎เหลํานั้นมาพัฒนาบ๎านเมือง ดังน้ัน จึงทรงสํงเสริมให๎จัดการศึกษาแบบตะวันตก คณะสอนศาส นาชาว อเมริ กันมีบ ทบาทในการ เปล่ียน แปลงระบบ การ ศึกษาของไทยเ ป็นอยํ างมา ก เร่ิมมีการต้ังโรงเรียนเพ่ือฝึกคนเข๎ารับราชการ มีการจัดตั้งโรงเรียนสําหรับราษฎรท่ัวไป สถาปนา มหาวทิ ยาลัยแหํงแรกข้ึน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ในชํวงนี้มีโครงการศึกษาและแผนการศึกษาข้ึนหลายฉบับ อยํางไรก็ดี ในแตํละ ฉบับมิได๎ระบุจุดมุํงหมายไว๎อยํางชัดเจน นอกจากน้ันยังมีการประกาศใช๎พระราชบัญญัติประถมศึกษาข้ึน เม่ือ พ.ศ. 2464 เพ่อื ใหป๎ ระชาชนเข๎ารบั การศกึ ษาโดยถว๎ นหนา๎ 3. สมยั หลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2534 ในชํวงน้ีการศึกษาของไทยมีการเปล่ียนแปลงมากท่ีสุด มีแผนการศึกษาชาติ และแผนการศึกษาแหํงชาติเกิดขึ้นหลายฉบับจนถึงแผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2520 ในแตํละแผนมี ความสําคัญตํอการพัฒนาการศึกษาในแตํละยุคแตํละสมัยโดยทุกแผนระบุจุดมุํงหมายของการศึกษาเป็น ลายลักษณ์อักษรไว๎ชัดเจน และเปล่ียนแปลงไปตามการเปล่ียนแปลงด๎านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ลักษณะของการศึกษาคํอนข๎างเอนเอียงไปตามแนวคิดด๎านการศึกษาของอเมริกา โดยปรากฏชัดเจนใน แผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2503 เหตุการณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 กํอให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง ความคิดด๎านการศึกษามาก โดยมํุงเน๎นการใช๎การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาคนในการออกไปรับใช๎สังคม และประเทศชาติ ซ่ึงนําไปสํูการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2517 ซ่ึงเน๎นการศึกษาเพ่ือชีวิตและสังคม ขอ๎ สงั เกตของระบบการศกึ ษาในชวํ งนี้กค็ ือ สวํ นใหญํเนน๎ การศึกษาในระบบโรงเรียน เมื่อมีประกาศใช๎แผนการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2520 การศึกษาจะเน๎นหนักให๎ เป็นการศึกษาเพ่ือชีวิตและสังคม เป็นกระบวนการตํอเนื่องกันตลอดชีวิต มุํงพัฒนาคุณภาพพลเมืองให๎ สามารถดํารงชวี ิต ทาํ ประโยชน์แกํสงั คม แผนการศกึ ษาแหํงชาติฉบับนแี้ บํงระบบการศึกษาเปน็ 2 ระบบชัดเจน คือ - การศกึ ษาในระบบโรงเรยี น และ - การศึกษานอกโรงเรยี น การศกึ ษาในระบบโรงเรยี นมี 4 ระดบั คือ กอํ นประถมศึกษา ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษา และอดุ มศกึ ษา โดยการจัดการมลี ักษณะและประเภทตํางๆ เพือ่ ใหเ๎ กดิ ความเสมอภาคทาง การศกึ ษา 8

4. สมัยปจั จบุ ันตามแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 แผนการศึกษา พ.ศ. 2535 ทใี่ ชอ๎ ยูํปัจจุบนั มีลกั ษณะท่ปี รากฏหลายประการได๎แกํ 1) กาํ หนดหลักการ ท่ีสาํ คัญ 4 หลักการ - หลกั การสร๎างความเจริญงอกงามและหลักความสมดุลระหวํางความเจริญทาง จิตใจกับทางวัตถุและเศรษฐกิจ - หลักการกลมกลนื และเกื้อกลู ซง่ึ กันและกันระหวํางมนุษย์กับสิ่งแวดลอ๎ ม - หลักการความกา๎ วทนั กบั ความเจรญิ ก๎าวหน๎าทางวิทยาการสมัยใหมํ ซ่งึ ควบคํู ไปกับคณุ คําทางภูมิปญั ญา ภาษา และวฒั นธรรมดง้ั เดิมของทอ๎ งถ่นิ และสังคมไทย - หลกั ความสมดุลระหวาํ งการพงึ พาอาศัยกันกบั การพึ่งพาตนเอง 2) กาํ หนดจุดมํุงหมาย ที่ครอบคลมุ ท้ังด๎านปัญญา ด๎านจิตใจ ดา๎ นรํางกายและดา๎ น สงั คม 3) วางระบบการศึกษา ซ่ึงให๎บุคคลได๎ศึกษาและเรียนรู๎ตํอเน่ืองไปตลอดชีวิตเพ่ือ พัฒนาตนเองทั้ง 4 ด๎านอยํางสมดุล และสามารถสร๎างเสริมความเจริญก๎าวหน๎าให๎แกํประเทศภายใต๎ ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลําวคือ - เปดิ โอกาสให๎บคุ คลเรยี นร๎เู พื่อพฒั นาตนเองไดเ๎ หมาะสมกับวยั - แบงํ การศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับกํอนประถมศึกษา ระดบั ประถมศกึ ษา ระดับมัธยมศึกษา (มี 2 ตอน คอื ตอนต๎นและตอนปลาย) และระดบั อุดมศึกษา - จดั การศึกษาประเภทตํางๆ ไดต๎ ามความเหมาะสม และตามความต๎องการ ของกลมุํ เปาู หมาย ชุมชน และประเทศ ได๎แกํ การฝกึ หดั ครู การศกึ ษาวชิ าชีพ การศึกษาวชิ าชพี พิเศษ การศกึ ษาวิชาชพี เฉพาะกจิ หรือเฉพาะบุคคลบางกลมํุ การศึกษาพเิ ศษ และการศึกษาของภกิ ษุ สามเณร นกั บวช และบุคลากรทางศาสนา 4) กาํ หนดแนวนโยบายการศึกษา ไว๎ 19 ประการเพื่อเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ใิ ห๎ ชัดเจน เชํน - ใหก๎ ารศกึ ษาระดบั มธั ยมศึกษาเปน็ การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานของปวงชน - ปฏริ ปู การฝกึ หดั ครู และการพัฒนาครปู ระจําการ - สํงเสริมให๎มีการศึกษาภาษาตาํ งประเทศทเ่ี อ้ือตอํ การพฒั นาอยําง กว๎างขวาง 9

1.2 ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานกบั การพฒั นาความเป็นครูมืออาชพี พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช ได๎พระราชทานพระบรมราโชวาทแกํครู อาวุโส เม่ือวันท่ี 29 ตุลาคม 2522 มีข๎อความเกี่ยวกับลักษณะครูที่ดี 3 ประการ คือ “ความเป็นครูน้ัน ประกอบข้ึนด๎วยส่ิงที่มีคุณคําสูง หลายอยําง ได๎แกํ 1) ปัญญา คือความรู๎ที่ดีประกอบด๎วยหลักวิชาอัน ถูกต๎อง ท่ีแนํนแฟูนกระจํางแจ๎งในใจ รวมท้ัง ความฉลาดท่ีจะพิจารณาเร่ืองตํางๆ ตลอดจนกิจที่จะท า ค าท่ีจะพูดทุกอยํางได๎โดยถูกต๎อง ด๎วยเหตุผลอยํางหน่ึง ได๎แกํ ความดี คือความสุจริต ความเมตตากรุณา เห็นใจและปรารถนาดตี อํ ผอ๎ู ่ืนโดยเสมอหนา๎ 2) ความสามารถ ที่ จะเผื่อแผํและถาํ ยทอดความรู๎ความดีของ ตนเองไปยังผู๎อื่นอยํางได๎ผล ความเป็นครูมีอยํูแล๎ว ยํอมฉายออกให๎ผ๎ูอื่น ได๎รับประโยชน์ด๎วย ผ๎ูที่มีความ เป็นครูสมบูรณ์ในตัว นอกจากจะมีความดีด๎วยตนเองแล๎ว ยังจะชํวยให๎ทุกคนที่มี โอกาสเข๎ามาสัมพันธ์ เกยี่ วข๎องบรรลถุ ึงความดีและความเจริญไปดว๎ ย” (กรมวิชาการ, 2540 : 88) พระมงคลธรรมวิธาน และคณะ (2561) กลําวไว๎วํา ครู คือผ๎ูนําทางจิตวิญญาณและเป็น กัลยาณมิตรท่ีมีความสําคัญในการส่ังสอนและถํายทอดความรู๎ให๎แกํศิษย์มาทุกยุคทุกสมัย ครูในแตํละยุค ต๎องอาศัยวิชาความรู๎ท่ีตนเองถนัดและสามารถถํายทอดความร๎ูให๎กับศิษย์ เพียงเพื่อหวังวําศิษย์จะนํา ความร๎ูท่ีได๎ไปประกอบอาชีพที่สุจริตและเป็นคนดีของสังคม เพราะครูเป็นผู๎ท่ีกํอให๎เกิดองค์ความร๎ูอันจะ เป็นประโยชน์ตํอสังคมและโลก และเป็นผ๎ูมีความสําคัญตํอการสร๎างบัณฑิตให๎มีความคิดท่ีดี มีวิธีการ วิเคราะห์อยํางถูกต๎องและมีระบบระเบียบในการปฏิบัติงาน ตลอดจนสามารถพัฒนาบุคลิกภาพเชิง วชิ าการ เชงิ วชิ าชพี ซ่ึงศิษย์ควรได๎รบั การปลูกฝังอบรมจากครผู ๎ูสอน เพราะฉะน้ัน ผู๎ ท่จี ะเป็นครตู ๎องเปน็ ผู๎ทจ่ี ะรับหนา๎ ทอี่ นั หนกั ดงั ที่ มยุรี ด๎วงศรี (2558: 33 – 34 อ๎างถึงใน พระมงคลธรรมวิธาน และคณะ, 2561) กลําววํา คําวํา “ครู” คือผ๎ูสั่ง สอนศิษย์หรือ ผู๎ถํายทอดความรู๎ให๎แกํศิษย์ มาจากคําวํา คะ-รุ (ในภาษาบาลี) แปลวํา “หนัก” หมายความวํา ความ รับผิดชอบในการอบรมส่ังสอนของครูน้ัน นับเป็นภาระหน๎าท่ีที่หนักหนาสาหัสไมํน๎อย กวําคนๆ หน่ึงจะ เติบโตเป็นผู๎มีวิชาความรู๎ และเป็นคนดีของสังคม ผ๎ูเป็น \"ครู\" จะต๎องทํุมเทแรงกายและแรงใจไมํน๎อยไป กวําพํอแมํ ผู๎ใหก๎ าํ เนดิ เลย ซ่งึ ในชีวติ ของคนๆ หน่ึง นอกเหนือไปจากพํอแมํซ่ึงเปรียบเสมือน “ครูคนแรก” แล๎ว การท่ีเด็กๆ จะดํารงชีพตํอไปได๎ในสังคม จําเป็นอยํางยิ่งท่ีจะต๎องมี \"ครู\" ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชา ความร๎ู เพื่อปูพื้นฐานไปสูํหนทางทํามาหากินในภายภาคหน๎าด๎วย ดังนั้น \"ครู\" จึงเป็นบุคคลสําคัญท่ีทุกคน ควรจะได๎แสดงความกตญั ญกู ตเวทติ าตอํ ทาํ น เพราะครเู ปน็ ผย๎ู กระดับความคดิ และจิตวญิ ญาณของผูเ๎ รียน หากกลําวถึงคําวํา “ครู” ก็ไมํพ๎นเรื่องบทบาทการเป็นผ๎ูพัฒนาทางด๎านวิชาการของ นักเรียนซึ่งเป็นบทบาทที่ทุกคนให๎ความสําคัญ โดยเฉพาะนักวิชาการศึกษาท่ีมุํงมั่นหาวิธีการใหมํๆ หรือ นวัตกรรมมาใช๎เพ่ือพัฒนาให๎เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ดีข้ึน อีกบทบาทท่ีสําคัญก็คือการพัฒนา นักเรียนให๎เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ คําวํา มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นไมํได๎หมายถึงเฉพาะผ๎ูท่ีเรียน เกํง หรืออยํูใน โอวาทของคุณพํอคุณแมํ ครูบาอาจารย์ เทําน้ัน แตํหมายรวมถึงความสมบูรณ์ท้ังทางรํางกาย จิตใจ 10

อารมณ์ สังคม และสติปัญญาด๎วย กลําวคือ ก. ความสมบูรณ์ทางด๎านรํางกาย คือการมีสุขภาพกายดี แขง็ แรง ปราศจากโรคภยั ไข๎เจ็บ มีความรู๎ ความเข๎าใจและรู๎จักวิธีปฏิบัติตนเพ่ือปูองกันโรค และหลีกเล่ียง อุบัติเหตุหรือภาวะเสี่ยงตํอการบาดเจ็บ ข. ความสมบูรณ์ทางด๎านจิตใจ คือการมีสุขภาพจิตดี มีความ อํอนโยน เมตตากรุณา คิดดี มีหลักคุณธรรม และจริยธรรมในการดําเนินชีวิต ค. ความสมบูรณ์ทางด๎าน อารมณ์ คอื ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการแสดงอารมณ์ได๎อยํางเหมาะสม และถูกกาลเทศะ ง. ความสมบูรณ์ทางดา๎ นสังคม คอื ความสามารถในการปรับตวั ให๎เขา๎ กับสงั คมไดด๎ ี มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี เคารพ กฎระเบียบของสังคม มีความรับผิดชอบ และสํงเสริมความสามัคคีในหมูํคณะ จ. ความสมบูรณ์ทาง สติปัญญา คือความสามารถในทางวิชาการ มีความร๎ู มีทักษะ มีสติปัญญา และ สามารถนําไปใช๎เพื่อเกิด ประโยชน์และสร๎างสรรค์ได๎ ทั้ง 5 ข๎อนี้ มีความสอดคล๎องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 หมวดที่ 1 มาตรา 6 ท่ีกลําววํา “การจัดการศึกษาต๎องเป็นไปเพื่อการพัฒนาคนไทยให๎เป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ทั้งรํางกาย จิตใจ สติปัญญา ความร๎ู และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยูํรํวมกับผ๎ูอื่นได๎อยํางมีความสุข” และ ในมาตรา 22 บัญญัติไว๎วํา การจัดการศึกษาต๎องยึดหลัก วําผ๎ูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู๎และพัฒนาตนเอง ได๎ และถือวําผู๎เรียนมีความสําคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศกึ ษาต๎องสํงเสริมให๎ผู๎เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซึ่งต๎อง อาศัยครูมอื อาชีพเทํานัน้ และการพัฒนาให๎เป็นครูมอื อาชพี ต๎องเรมิ่ ที่ผ๎เู ปน็ ครูเป็นเบื้องต๎น 1.3 การจดั การศกึ ษาประเทศต่างๆ 1.3.1 การจดั การศกึ ษาประเทศฟนิ แลนด์ สภาพของประเทศฟนิ แลนด์ สาธารณรัฐฟินแลนด์ อยูํในกลุํมยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือใกล๎กับสวีเดน นอร์เวย์ และ รสั เซีย มีประชากร 5 ล๎านคนในพ้ืนที่ 300,000 ตารางกิโลเมตร การปกครองแบํงเป็น 2 ระดับ ได๎แกํ รัฐ และ 432 เทศบาล แบํงการปกครองเป็น 6 จังหวัด และ 90 เขตปกครองท๎องถ่ิน มีทะเลสาบ 187,886 แหํง และเกาะอีก 179,584 เกาะ พ้ืนท่ีสํวนใหญํเป็นปุาสน อากาศหนาวเย็นตลอด 8 เดือน มีชํวงพร ะ อาทิตย์เที่ยงคืน 73 วัน ในชํวงฤดูร๎อน และไมํข้ึนเลย 51 วันในชํวงฤดูหนาว ภาษาท่ีใช๎คือฟินแลนด์และ สวีเดน นโยบายการเมืองสําคัญที่สุดท่ีมีสํวนเรํงการพัฒนาของประเทศฟินแลนด์คือใช๎การศึกษาเป็น เครือ่ งมือพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ เพือ่ สรา๎ งศักยภาพการแขงํ ขนั ของประเทศ ระบบการศกึ ษาของฟนิ แลนด์ ฟินแลนด์ให๎ความสําคัญกับความเสมอภาค โดยไมํเก็บคําเลําเรียน จัดการศึกษาภาค บังคับ 9 ปี ต้ังแตํอายุ 7-16 ปี โรงเรียนรัฐจะบริการอาหารกลางวันฟรี มีการจัดเตรียมอุดมศึกษาในสาย สามัญและอาชีวศึกษาและในระดับอุดมศึกษาจะมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอาชีวศึกษาข้ันสูง จากการ ทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการศึกษาขององค์การเพ่ือความรํวมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD-PISA) 11

ปี พ.ศ. 2546 พบวํานักเรียนอายุ 15 ปี ของฟินแลนด์ทําคะแนนนําสูงสุดในความสามารถด๎านการอําน และวิทยาศาสตร์ และ ได๎อันดับสองด๎านคณิตศาสตร์และการแก๎ปัญหา นอกจากน้ี เวิล์ด อีโคโนมิก ฟอรัม จัดอันดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให๎เป็นอันดับ 1 ของโลก ประชากรท่ีอายุเกิน 15 ปี อํานออก เขียนได๎ 100 เปอร์เซ็นต์ และจํานวนผู๎เรียนการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย มีจํานวน 1.5 ล๎านคน หรือคิดเป็นรอ๎ ยละ 45 ของประชากร การปฏิรูปการศึกษาของฟนิ แลนด์ ฟินแลนด์ได๎เริ่มปฏิรูปหลักสูตรใหมํในชํวงปี พ.ศ. 2513-2515 โดยจัดการศึกษาภาค บงั คบั 9 ปี เนน๎ ใหเ๎ ด็กทกุ คนไดเ๎ รียนโดยเทศบาลเป็นผู๎จัดการศึกษา ตํอมาได๎เปล่ียนหลักสูตรอีก 3 ครั้งใน ปี พ.ศ. 2528 2537 และ 2547 โดยเนน๎ ใหท๎ ๎องถิ่นได๎พฒั นาหลักสตู รสอดคลอ๎ งความต๎องการผู๎เรียน และ เน๎นความเข๎มแข็งของเครือขํายชุมชน ผ๎ูปกครองและองค์กรที่เข๎ามาชํวยสร๎างสังคมแหํงการเรียนร๎ู นโยบายการศกึ ษาเนน๎ การปฏริ ูปอยํางตํอเนือ่ ง ประชาชนมสี วํ นรวํ ม และความเสมอภาคทางการศกึ ษา ปจั จัยความสาเร็จของการศึกษา ฟินแลนด์มีนโยบายระดับชาติในการสร๎างสังคมฐานเศรษฐกิจความร๎ู ระบบการศึกษาที่ บูรณาการอยํางลงตัว การทํางานระหวํางสํวนราชการในสํวนกลางและท๎องถ่ิน การสํงเสริมกิจกรรม นักเรียนตั้งแตํปฐมวัย และเน๎นการผลิตครูท่ีมีศักยภาพโดยครูต๎องจบการศึกษาศึกษาศาสตร์อยํางน๎อยใน ระดบั ปริญญาโท งานบริหารบุคคลของขา้ ราชการครูฟินแลนด์ ครไู ดร๎ ับเงนิ เดอื นเฉลย่ี ตํ่าสุด 2,555 ยูโร (112,420 บาท) ตํอเดือนไปจนถึงสูงสุด 5,000 ยูโร (220,000 บาท) ตํอเดือน จํานวนครูประถม 45,000 คน ครูมัธยม 7,300 คน ครูอนุบาลและ ประถมศึกษา 7,200 คน อาจารย์อาชีวศึกษา 14,000 คน อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวะชั้นสูง 6,000 คน และอาจารยม์ หาวิทยาลัย 7,700 คน รวม 87,200 คน โดยเทศบาลจะเป็นผ๎ูพิจารณาระดับเงินเดือนของ ครูใหญํ/ อาจารย์ใหญํ สํวนสภามหาวิทยาลัยเป็นผ๎ูกําหนดอัตราเงินเดือนของอธิการบดีมหาวิทยาลัย สํวนครูแตํละคนจะได๎รับเงินเดือนตามภารกิจและผลงานซ่ึงครูใหญํ/ อาจารย์ใหญํ/ อธิการบดี เป็นผู๎ พจิ ารณา โดยมสี มาคมวชิ าชพี ครู/ สหภาพครู เข๎ามาดูแลเจรจาตํอรองได๎ อัตราเงนิ เดือนน้ี องค์กรท๎องถ่ิน จะเป็นผู๎จัดสรร สํวนรัฐบาลสนับสนุนเพียงบางสํวน โดยมีการกําหนดระดับซีสําหรับข๎าราชการครูด๎วย เชํน ครูอนุบาลจะเร่ิมจาก C56 ชั่วโมงของการทํางาน 16-24 ชั่วโมงสอน หากทํางานเกินจํานวนท่ี กาํ หนดจะไดร๎ บั เงินคาํ ตอบแทนเพิ่มขน้ึ ความก้าวหนา้ ทางวิชาชีพครู สํานักงานสภาการศึกษา กระทรวงการศึกษาฟนิ แลนด์จะกํากบั มาตรฐานคุณภาพการจัด การศึกษาของโรงเรียนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานและจัดบริการฝึกอบรมพัฒนาตลอดชีวิตการเป็นครู สวํ นโรงเรียนจะสงํ ครูไปฝกึ อบรมพฒั นาอยาํ งเป็นระบบ ท้ังน้ีฟินแลนด์ได๎ยกเลกิ การใช๎ศึกษานิเทศก์ไปแล๎ว 12

เม่ือ 15 ปีท่ีผํานมา โดยได๎เน๎นการสร๎างความเข๎มแข็งของผ๎ูบริหารสถานศึกษาและครู รวมทั้งได๎ทุํมเทใน การใช๎เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชํวยการจัดการเรียนการสอน และการศึกษาวิจัยเพ่ือสร๎างฐานข๎อมูลและ พัฒนานวัตกรรมใหมํ 1.3.2 การจดั การศกึ ษาของสวเี ดน สภาพภมู ิประเทศของประเทศสวเี ดน ราชอาณาจักรสวีเดน ตั้งอยํูบนคาบสมุทรสแกนดินีเวีย ในยุโรปเหนือ เขตแดนจรด ประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ ชํองแคบสแกเกอร์แรค และ แคทีแกต และอําวบอสเนีย มีกรุงสตอกโฮล์ม เป็นเมืองหลวง มีประชากร 9 ล๎านคน มีรายได๎ประชากรตํอหัวสูงในระดับ 30 ประเทศแรกของโลก (28,000 ดอลลํารส์ หรฐั ตํอคนตํอปี รายไดส๎ ูงกวาํ คนไทย 4 เทํา) ระบบการศกึ ษาของสวเี ดน สวเี ดนเน๎นการดูแลเด็กเล็กชํวงอายุ 1-6 ขวบ โดยจัดหลากหลายรูปแบบ ได๎แกํ ศูนย์เด็ก เล็ก ศูนย์รบั เล้ียงเดก็ ไป-กลบั และโรงเรยี นอนุบาลจัดให๎ 1 ปี สําหรับเด็กอายุ 6 ปี การศึกษาภาคบังคับ 9 ปี โดยไมํเก็บคําเลําเรียน และบริการรถโรงเรียนอาหารกลางวันและสื่อการเรียนให๎ทั้งหมด เชํนเดียวกับฟินแลนด์ และยังมีการจัดทุนชํวยเหลือและกองทุนให๎กู๎ยืมเพื่อการศึกษาสําหรับเด็กจาก ครอบครวั รายได๎น๎อยซึ่งต๎องการเรยี นมธั ยมปลายและอดุ มศกึ ษา กระทรวงการศกึ ษาและวจิ ัยของสวเี ดน กระทรวงการศึกษาและวิจัยของสวีเดนรับผิดชอบการศึกษาทุกระดับเชํนเดียวกับ กระทรวงศึกษาธิการของไทยแตํจะรวมงานวิจัยด๎วย โดยมีโครงสร๎าง 5 หนํวยงาน ได๎แกํ สํานักงาน การศึกษาภาคบงั คับ สาํ นกั งานการศึกษามธั ยมปลาย สํานักงานกองทุนกู๎ยืมเพ่ือการศึกษาและการศึกษา นอกโรงเรยี น สํานักงานอุดมศกึ ษา และสํานกั งานวจิ ัย 1.3.3 การจัดการศึกษาประเทศสงิ คโปร์ โครงสร๎างการบริหารการศึกษามี 2 ระดับ คือ ระดับชาติมีกระทรวงศึกษาธิการ ทํา หน๎าท่ีกําหนดนโยบายการศึกษาทุกระดับ และวางยุทธศาสตร์ในการนํานโยบายการศึกษาของรัฐสูํการ ปฏิบัติ ระดับสถานศึกษา แบํงเป็น (1) ระดับประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษา 4-5 ปี (2) ระดับ หลังมธั ยมแบํงเปน็ สายสามญั 2 ปี หรอื สายอาชีวศกึ ษา 3 ปี (3) ระดบั อดุ มศกึ ษา เปูาหมายและนโยบายการศึกษาของชาติ สิงคโปรไ์ ดป๎ ระกาศนโยบายมาตรฐาน การศึกษาของชาติท่ีเรียกวํา การศึกษาของชาติ (National Education) ในการกลําวสุนทรพจน์ของ ประธานาธิบดีโก็โจ๏ตง ในวันประชุมครูของสิงคโปร์ ถึงความสําคัญของการกําหนดนโยบายการศึกษา ชาติใหเ๎ ป็นองค์ประกอบทส่ี าํ คญั ของระบบการดําเนนิ งานการศึกษา เปาู หมาย หลักการ วธิ ีดาํ เนินการ 13

การพฒั นามาตรฐานการศึกษาของชาติ แนวคิดใหมํทางการศึกษาชาติ (National Education ยํอวํา NE) ของสิงคโปร์มีจุดเริ่มต๎น จากสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโก็โจ๏ตง โดยเร่ิมท่ีสาระการเรียนรู๎ซ่ึงมีการปรับปรุงวิชาสังคมศึกษา วิชาหน๎าที่พลเมืองและศีลธรรม ประวัติศาสตร์ให๎เน๎นถึงการสร๎างชาติ เป็นการปลูกฝังจิตสํานึกของเด็ก ทกุ คน ใหม๎ จี ติ ใจชาตนิ ิยม มีจติ ใจที่เขา๎ ใจอดีตปัจจบุ ันและอนาคต แนวทางการดาเนนิ งานการศึกษาของชาติ คณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ ประกอบด๎วย 13 คณะอนุกรรมการในการ ดําเนินการวางยุทธศาสตร์และการวัดประเมินผลการดําเนินการโปรแกรมการศึกษาของชาติท้ังในระดับ โรงเรยี นและระดบั อดุ มศกึ ษา ยทุ ธศาสตร์ท่ใี ชส๎ าํ หรบั โรงเรยี นคอื National Education (NE) ต๎องเป็น สํวนหนึ่งของการศึกษาท้ังระบบ ต๎องฝังอยํูในจิตใจของผู๎อํานวยการและครูกํอน ต๎องเป็นภารกิจของครู ทกุ คน และต๎องนาํ สนใจ ต๎องพัฒนาความคดิ ต๎องได๎รบั การยอมรบั จากสงั คม การดําเนนิ การจะต๎องแบงํ เป็น 2 ข้ันตอน คอื 1) พฒั นาความตระหนักรูเ๎ กีย่ วกบั ความจรงิ สถานการณ์ปัจจบุ นั และโอกาสของสงิ คโปร์ 2) พัฒนาความรู๎สึกความเป็นเจ๎าของและรับผิดชอบ ตํอชุมชนและตํอชาติ เพื่อท่ีจะปกปูอง ประเทศจากภัยคกุ คาม โดยในแตํระดบั ของการศกึ ษาจะใช๎กลยุทธ์ท่ีแตกตาํ งกัน การนามาตรฐานการศึกษาของชาตไิ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานการศึกษาของชาติได๎นาํ ไปใชป๎ ระโยชน์ในการพัฒนาหลักสตู ร และกิจกรรมในโครงการ ระดับชาติเพ่ือให๎บรรลุตามเปูาหมายการศึกษาแนวใหมํคือการปลูกฝังจิตสํานึกของเด็กทุกคน ให๎มีจิตใจ รักประเทศมีจติ ใจท่เี ขา๎ ใจอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต 1.3.4 การจดั การศกึ ษาประเทศนวิ ซแี ลนด์ แมํแบบระบบการศึกษาในประเทศนิวซีแลนดค์ ือระบบการศึกษาแบบอังกฤษ การศึกษา ภาคบงั คบั ของประเทศนิวซแี ลนดค์ อื อายุ 6 – 16 ปี (New Zealand Government, 2017) การศกึ ษาของประเทศนิวซีแลนด์มํงุ เนน๎ ให๎นักศึกษามีความพร๎อมทงั้ ทักษะและความรู๎ที่ จําเปน็ ตอํ การประกอบอาชีพและดา๎ นอนื่ ๆ นิวซแี ลนดเ์ ป็นประเทศที่ไดร๎ ับการยอมรบั จากนานาชาติวาํ มรี ะบบการศกึ ษาท่ีมีคณุ ภาพ สถาบนั การศึกษาในนวิ ซีแลนด์เกอื บท้ังหมดมีแผนกทีค่ อยดแู ลนักเรียนตาํ งชาติ (International Student Office) โดยจัดเจา๎ หน๎าทีใ่ หค๎ วามชวํ ยเหลอื นักศกึ ษาตาํ งชาตติ ลอดเวลาท่ีศึกษาอยูํ ประเทศนิวซีแลนด์ เปดิ รับนกั เรยี น นักศกึ ษาในทุกระดับต้งั แตํ ระดับมธั ยมศกึ ษา วทิ ยาลัยอาชีวะศึกษา โพลีเทคนคิ วิทยาลัยครู มหาวทิ ยาลัย และสถาบันสอนภาษาเอกชน ในแตลํ ะปี 14

มนี ักศึกษากวาํ 30,000 คน จากกวาํ 160 ประเทศ เดินทางมาศกึ ษาตํอท่นี ิวซแี ลนด์ วฒุ ิการศกึ ษาของ ประเทศนิวซีแลนด์ ได๎รับการยอมรบั ในระดับนานาชาติ และมีมาตรฐานการศึกษา ท่ีเปน็ ระบบเดยี วกันทั้ง ประเทศ ระดับการศึกษา ระดับประถมศึกษา (Primary Education Study) นักเรียนสํวนมากเริ่มต๎นการเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เมื่ออายุ 5 ปี และเข๎า ศึกษาตํอในระดับประถมศึกษาตอนปลายเม่ืออายุ 11 ปี โรงเรียนประถมศึกษาหลายแหํงสามารถรับ นักเรียนจนกระทง่ั อายุ 12 ปี ระดับมธั ยมศึกษา (Secondary Education Study) โรงเรียนมัธยมของนิวซีแลนด์เปิดสอนต้ังแตํช้ันปีที่ 9 - 13 (Years 9- 13) ระดับอายุ 13 - 19 ปี และมีโรงเรียนมัธยมมากกวํา 350 แหํง (High Schools, Grammar Schools หรือColleges) เปิดสอนวิชาตํางๆ หลากหลาย โรงเรียนแตํละแหํงสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเองโดยยึด โครงสรา๎ งหลกั ของ กระทรวงศกึ ษาธิการ โดยจะไดร๎ ับการประเมินโดยหนํวยงานท่ีมีช่ือวํา New Zealand Qualifications Authority โรงเรียนมัธยมในนวิ ซีแลนดส์ วํ นใหญํเป็นโรงเรียนรัฐ ได๎ทนุ สนบั สนนุ จากรฐั บาล นวิ ซีแลนด์ สวํ นใหญํเป็นโรงเรยี นสหศึกษา มเี พยี ง 10 % ทเ่ี ป็นโรงเรยี นหญิงลว๎ นหรอื ชายล๎วน มโี รงเรยี น เอกชนนอกระบบรฐั เพียงไมํก่ีแหงํ สวํ นใหญเํ ปน็ โรงเรียนที่จดั ตง้ั โดยองค์กรทางศาสนา และมหี ลายแหงํ ท่ี เป็นโรงเรียนเกําแกยํ ดึ ธรรมเนียมการเรียนการสอนตามแบบดง้ั เดิมของโรงเรยี นท่สี ืบทอดกันมายาวนาน โรงเรียนเอกชนหลายแหํงหันมาเขา๎ สํรู ะบบรฐั และเปน็ ท่รี ูจ๎ ักในฐานะโรงเรียนกึ่งรฐั กง่ึ เอกชน โรงเรยี น เหลํานีไ้ ดร๎ บั ทนุ สนบั สนุนจากรฐั บาลแตยํ งั คงรกั ษาเอกลกั ษณ์ทางการศกึ ษา (อาธิ โรงเรยี นคาทอลิก กย็ ัง สอนหลักศาสนาคาทอลิกเชนํ เดิม) นักศึกษาตาํ งชาติสามารถเขา๎ เรยี นท้ังในโรงเรียนรัฐและเอกชน) ระบบการเรียนการสอนโรงเรียนมัธยมเกือบทุกแหงํ สอดคล๎องกนั ไมวํ ําจะเปน็ คณุ สมบัติ ในการเข๎ารับการศึกษา หลักสูตรการสอน มาตรฐานการศึกษา ตลอดจนสาขาวิชาตํางๆ โดยยึดหลักของ National Certificate of Educational Achievement (NCEA เปน็ หนํวยงานหลกั ทรี่ ับรองคุณวฒุ ขิ อง นกั เรยี นในระดับมธั ยมปลาย) นกั เรียนตาํ งชาตจิ ํานวนมากลงทะเบยี นเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลายเพื่อเตรยี ม ความพร๎อมสําหรบั การศกึ ษาตอํ ระดบั อดุ มศกึ ษาในประเทศนิวซแี ลนด์ หรือประเทศอ่นื ๆ ท่ใี ช๎ ภาษาอังกฤษ ภาคการศึกษา แบํงเปน็ 4 เทอม ระหวาํ งเทอมจะปิดให๎นักเรยี น พัก 2 สปั ดาห์ โรงเรยี นมัธยมถกู กําหนดใหม๎ ีการสอนไมํนอ๎ ย กวํา 190 วนั ตํอปกี ารศึกษา 15

เทอม 1 กมุ ภาพนั ธ์ - เมษายน เทอม 2 เมษายน - มถิ ุนายน เทอม 3 กรกฎาคม - กนั ยายน เทอม 4 ตลุ าคม - ธันวาคม ระดับอดุ มศึกษา (Tertiary Education) การเขา๎ ศึกษาตํอระดบั อดุ มศึกษาน้นั นักศึกษาต๎องมคี วามสามารถในการใช๎ภาษาอังกฤษ คํอนข๎างดี ท้ังยังมีผลการเรียนในระดับท่ีสถาบันการศึกษาต๎องการ โดยการวัดความสามารถในการใช๎ ภาษาอังกฤษนั้น จะกระทําโดยผํานการสอบวัดระดบั ภาษาอังกฤษตํางๆ เชํน IELTS หรอื TOEFL สถาบันระดับอดุ มศึกษาในสหรัฐอเมริกาแบํงเป็น 4 ประเภท ดังน้ี มหาวิทยาลัย (University) ประเทศนิวซีแลนด์มีมหาวิทยาลัยรวม 8 แหํง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลท้ังหมด และได๎รับการยอมรับในระดับนานาชาติในความเป็นเลิศทางด๎านวิชาการ แตํละมหาวิทยาลัยมีระบบการ ตรวจสอบคณุ ภาพของตนเอง และได๎รับการตรวจสอบจากสํวนกลาง ท้ังในแงํของหลักสูตรที่เปิดสอนและ นโยบายของมหาวิทยาลัย อยํางไรก็ดี ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ไมํมีระบบการจัดอันดับของ มหาวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั เหลาํ นี้กระจายอยํูตามเมืองใหญํท่ัวประเทศ มหาวิทยาลัยในประเทศนิวซีแลนด์ เปิดสอนในหลักสูตรตํางๆ ต้ังแตํระดับเตรียมความ พรอ๎ มสาํ หรบั ปริญญาตรถี งึ ปริญญาเอก ระดบั อนปุ ริญญาตรี (Graduate Diploma) อนุปริญญาตรี ใช๎เวลาเรียน 1 ปี เหมาะสําหรับนักศึกษาที่จบปริญญาตรีสาขาใดสาขา หนึ่งแลว๎ แตํตอ๎ งการเรยี นสาขาอื่นอีก หรือเพื่อชํวยสํงเสริมให๎มีความก๎าวหน๎าในการงานดีขึ้น หรือใช๎เป็น เปน็ พน้ื ฐานเพ่ือเรยี นในสาขาเฉพาะทางในระดับปรญิ ญาโท-เอก อนุปริญญาโท (Postgraduate Diploma) เปรียบได๎กับอนุปริญญาโทหรือคร่ึงหลักสูตรปริญญาโท ใช๎เวลาเรียน 1 ปี มักเป็นการ เรยี นตํอในระดับทีส่ งู ข้ึนจากสาขาวชิ าท่ีเรยี นจบในปรญิ ญาตรี ในหลายๆมหาวิทยาลัย หลักสูตรนี้เป็น 1 ปี แรกของหลักสตู รปริญญาโท ระดบั ปริญญาตรี (Graduate Degree) นักศึกษาท่ีสําเร็จมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จากประเทศไทย จะต๎องเข๎าเรียนในหลักสูตร Foundation Studies กํอน หรือต๎องสําเร็จหลักสูตรเทียบเทําปีที่ 1 ของหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือ สําเร็จหลักสูตรอนปุ รญิ ญาในวทิ ยาลัยอาชวี ศึกษา 2 ปี จึงจะมสี ทิ ธสิ มัครเข๎าศึกษาตํอในระดับปริญญาตรีได๎ 16

ระดับปรญิ ญาโท (Master Degree) โดยบางหลักสูตรอาจกําหนดเรื่องของประสบการณ์การทํางานด๎วย นอกจากนี้นักศึกษา จะต๎องมีผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL 600 หรือ IELTS 6.5 และต๎องมีหัวข๎อวิทยานิพนธ์และ ประสบการณ์ทาํ งานอีกด๎วย สํวนใหญํมีระยะเวลาเรียน 2 ปี และประกอบด๎วยการเรียนในห๎องเรียน(Course work) และการทําวิจัย (Research) และทํารายงาน Papers ระดบั ปรญิ ญาเอก (Doctorate Degree) ปริญญาเอกสํวนใหญํในนิวซีแลนด์ เป็น Ph D. (Doctor of Philosophy) ซ่ึงมีเปิดสอน ในทุกมหาวิทยาลัย ใช๎เวลาเรียนประมาณ 2-3 ปี เป็นการทําวิทยานิพนธ์ (Thesis) และสอบปากเปลํา Oral Examination ผ๎ูประสงค์จะเข๎าศึกษาตํอระดับปริญญาเอกโดยท่ัวไปต๎องมีประสบการณ์การทํางาน ด๎วย นอกจากน้ีนักศึกษาจะต๎องมีผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL 600 หรือ IELTS 6.5 และต๎องมีหัวข๎อ วทิ ยานิพนธแ์ ละประสบการณ์ทาํ งานอกี ดว๎ ย เทคโนโลยีและโพลเี ทคนคิ (Vocational Education) นิวซีแลนดม์ ีสถาบันเทคโนโลยแี ละโพลีเทคนคิ 21 แหํงท่ีและทกุ แหงํ ได๎รับทุนจากรัฐบาล ตั้งอยํูในเขตเมืองใหญํและเมืองตามภูมิภาค โดยเปิดสอนหลักสูตรการศึกษาและอบรมท้ังในสายวิชาการ และอาชวี ศึกษา เรมิ่ ตง้ั แตํระดับช้นั เตรยี มอุดมศึกษาจนถึงระดบั ปริญญาบัตร มีท้ังสายวิชาการและวิชาชีพ ครอบคลุมสาขาวิชาตํางๆ อาทิ เกษตรศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ การกํอสร๎างและอาคารสถานที่ ธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ การประมงและการศึกษาทางทะเล วนศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การ ทํองเที่ยวและการต๎อนรับ ในแตํละสายมีวิชาแยกยํอยอีกนับร๎อยวิชา มีหลักสูตรหลายระดับ อาทิ ประกาศนียบัตร (Certificates) อนุปริญญา (Diploma) รวมถึงปริญญาตรี (Degrees) และ ปริญญาโท (Master's Degree) อีกด๎วย อยํางไรก็ตามหลักสูตรปริญญาตรีและหลักสูตรปริญญาโทมีเปิดสอนเฉพาะ กบั บางสถาบนั และในบางสาขาวิชาเทํานน้ั สถาบันเทคโนโลยีและโพลีเทคนิคมีความสัมพันธ์อันแนํนแฟูนกับหนํวยราชการและบริษัทเอ กชน โรงงานอุตสหกรรมตํางๆ จึงเป็นหลักประกันได๎วําหลักสูตรของสถาบันตํางๆเหลําน้ีมีความเหมาะสมทั้ง ทางดา๎ นวชิ าการและทกั ษะทจี่ ะนําไปปรบั ใช๎กับการประกอบอาชีพในอนาคต วทิ ยาลัยการศึกษา (Colleges of Education) เป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทางครุศาตร์ เนื้อหาวําด๎วยการสอนในระดับกํอน ประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา โดยเปิดสอนท้ังในหลักสูตรอบรมวิชาชีพครูเต็ม รูปแบบ เปิดสอนหลักสูตรพัฒนาทักษะและความสามารถในด๎านตํางๆ คุณวุฒิที่เปิดมีต้ังแตํ ระดับ อนุปริญญา ปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก อาทิ ในสาขาวิชา Early Childhood Education, Primary Education และ Secondary Education เปน็ ตน๎ 17

สถาบันฝึกอบรมขั้นอุดมศกึ ษาของเอกชน (Private Tertiary Education) เปน็ สถาบนั เอกชน ทเ่ี ปดิ สอนในระดบั อุดมศกึ ษา ทั้งวชิ าชพี และวชิ าการ ซ่ึงมํุงเน๎นความ ถนัดในเชิงวิชาชีพด๎านใดด๎านหนึ่ง เชํน การทํองเท่ียวและการบริการ ธุรกิจและการจัดการ รวมทั้งอาจ เป็นสถาบนั สอนภาษาท่ีมมี ากกวาํ 100 สถาบนั ท่ัวท้ังประเทศนวิ ซีแลนดด์ ว๎ ย ภาคการศึกษา สถาบันโพลีเทคนิคและมหาวิทยาลัย มี 2 ภาคการศึกษา คือ กุมภาพนั ธแ์ ละกรกฎาคม ใน บางสถาบันแบงํ เป็น 3 เทอม คือ กุมภาพนั ธ์ มิถนุ ายนและกนั ยายน แผนผงั แสดงระบบการศกึ ษาของประเทศนิวซีแลนด์ ระบบมหาวิทยาลัยในประเทศนิวซีแลนดป์ ระกอบไปด๎วยคณะผบ๎ู รหิ ารที่ดําเนินการอยําง อสิ ระในแตํละมหาวิทยาลัย แตํมีความรวํ มมือในการเข๎าสมํู าตรฐานทก่ี าํ หนดรํวมกันมาเป็นเวลากวํา 40 ปี มาแล๎ว มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แหํง คือ มหาวิทยาลัยโอ๎คแลนด์ (Auckland University) มหาวิทยาลัยโอ๎ค แลนด์เทคโนโลยี (Auckland University of Technology) มหาวิทยาลัยไวกาโต (Waikato University) มหาวิทยาลัยแมสสีย์ (Massey University) มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย (Victoria University) มหาวิทยาลัย แคนเทอร์เบอรี (Canterbury University) มหาวิทยาลัยลินคอล์น (Lincoln University) และ มหาวิทยาลัยโอตาโก (Otago University) ถึงแม๎จะมีความแตกตํางกันในเรื่องของความเกําแกํของ 18

สถานศึกษา จํานวนนักศึกษา และ อื่นๆ เชํน แนวทางการปฏิบัติงานตามภารกิจเฉพาะของสถาบัน คุณลักษณะของสถาบันที่แตกตํางกัน แตํมหาวิทยาลัยท้ัง 8 แหํงมีแนวทางการบริหารงานท่ีเป็นอิสระ ภายใต๎พระราชบัญญัติการศึกษา ค.ศ. 1989 ท่ีระบุให๎แตํละมหาวิทยาลัยดําเนินการตามภารกิจท่ีได๎ กําหนดไว๎ มหาวทิ ยาลยั ได๎กาํ หนดแนวทางการบริหารงานระดับอุดมศึกษาโดยมุํงเน๎นการเรียนการสอนและ การวิจัยเป็นหลัก ตอบสนองความต๎องการของชุมชนด๎วยวิธีการที่หลากหลาย และในขณะเดียวกันได๎ ปฏบิ ัติแนวทางการดาํ เนนิ งานและบรหิ ารงานเพอ่ื ใหไ๎ ดม๎ าตรฐานและเป็นท่ียอมรับในระดับนานาชาติ โดย มีกระบวนการในการกําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสถาบัน กําหนดถึงผลสัมฤทธ์ิของผู๎ที่เข๎าเรียนในแตํ ละโปรแกรมวชิ า ใชว๎ ิธกี ารสอนที่เน๎นการวจิ ัยเป็นฐาน ใช๎สภาพแวดลอ๎ มของแตลํ ะสถาบันให๎เกิดประโยชน์ สูงสดุ และเสนอเง่ือนไขคณุ สมบัติพเิ ศษตํางๆที่ประเทศตาํ งๆยอมรับ ในขณะเดียวกันมีการพัฒนาบุคลากร ของสถาบันให๎มีคุณภาพเพ่ือเป็นท่ียอมรับในตลาดแรงงานการศึกษานานาชาติเพ่ือ การพัฒนาวิชาชีพ สนบั สนนุ ในการวจิ ัยทัง้ ภายในประเทศและระดับนานาชาติ ระบบการศึกษากอ่ นระดับอุดมศกึ ษา ระบบการศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์มีการเช่ือมโยงในทุกระดับ กระทรวงศึกษาธิการมี หน๎าท่ีในการกําหนดนโยบายแผนการจัดการศึกษาแหํงชาติ และให๎หนํวยงานท่ีเกี่ยวข๎องกําหนดแผน ยุทธศาสตรใ์ นการดําเนนิ งานเองภายใตม๎ าตรฐานการศกึ ษาในเรอื่ งตํางๆทเ่ี กย่ี วข๎อง โรงเรียนในนิวซีแลนด์มีท้ังในโรงเรียนของรัฐบาล ก่ึงรัฐบาล และเอกชน หลักสูตรจะมี มาตรฐานคลา๎ ยคลงึ กนั ระบบการศึกษาเริ่มต๎นตัง้ แตํระดับประถมศึกษา เรียกวําชั้น Primary 1-2 สําหรับ เด็กนกั เรียนอายุต้ังแตํ 6 ขวบข้ึนไป ระดับประถมศึกษาตอนต๎นใช๎เวลาเรียน 6 ปี ชั้นประถมศึกษาตอน ปลายเร่ิมต๎นท่ีช้ัน Form 1 ใช๎เวลาเรียนประมาณ 6-7 ปี โดยในช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย นักเรียน สามารถเลือกเรียนวิชาชีพท่ีสนใจได๎และได๎รับประกาศนียบัตรเพื่อการเรียนตํอในระดับสูงตํอไป โรงเรียน มธั ยมสวํ นใหญํจะรับนกั เรียนตํางชาติเข๎าเรยี นใน Form 3 หรือ ปที ่ี 9 ในระบบการศึกษา บางโรงเรียนรับ ต้ังแตชํ ัน้ Form 1 หรือ ชน้ั ประถมศกึ ษา 1 หรอื เดก็ ทม่ี ีอายุ 7 ปีข้ึนไป ชั้น Form 5-6 ถือวําเป็นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะมีวิชาเลือก มากข้ึน และวิชาบังคับ นอ๎ ยลง เชนํ ภาษาองั กฤษ คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั Form 7 สําหรับนักเรียนท่ีต๎องการเข๎าเรียนตํอ ในระดับมหาวิทยาลัย ในนิวซีแลนด์ เมื่อจบช้ัน Form 7 จะมีการสอบ BURSARY เพ่ือคัดเลือก นักเรียนเข๎าเรียนในมหาวิทยาลัย นักเรียนใน ชั้น Form 5-7 จึงมักเลือกวิชา ที่จะเป็นพื้นฐานของการเรียน ในระดับปริญญาตรี ที่ตนสนใจ เชํน สนใจ เรียน ปริญญาตรีด๎านธุรกิจ จะเลือกเรียนวิชา คณิตศาสตร์ สถิติ การบัญชี เศรษฐศาสตร์ เป็นต๎น สํวน นกั เรยี นท่สี นใจ จะเรยี นทางดา๎ นวิทยาศาสตร์ จะเลือกเรยี นวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชวี วิทยา เปน็ ต๎น 19

มโี รงเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาในนิวซีแลนด์ประมาณ 400 แหํง ท้ังโรงเรียนของรัฐบาล กึ่ง รฐั บาลและเอกชน โรงเรียนแตลํ ะแหงํ สามารถจัดหลกั สตู รการเรียนการสอนเอง แตํต๎องได๎รับ การรับรอง คุณภาพจาก คณะกรรมการประกันคุณภาพนิวซีแลนด์(New Zealand Qualification Authority - NZQA) หลักสูตรและมาตรฐานการศึกษาจึงคล๎ายคลึงกัน และมีจุดประสงค์เดียวกันคือ เตรียมความ พรอ๎ มใหน๎ กั เรยี น เพ่อื สอบให๎ได๎ประกาศนยี บัตร ระดับมัธยมศึกษาที่รัฐบาลกําหนด นักเรียนทุกคนเม่ือจบ ระดับForm 5 (ม. 5) จะต๎องสอบไลํข๎อสอบกลางของประเทศเพื่อรับประกาศนียบัตร เรียกวํา School Certificate และเม่ือเรียนจบ Form 6 (ม. 6) ต๎องสอบข๎อสอบที่โรงเรียนเป็นผ๎ูจัดสอบเพื่อรับ Sixth Form Certificate ดังน้นั การเลอื กโรงเรียนจึงเปน็ สิง่ สําคญั โรงเรียนมัธยมสํวนใหญํจะรับนักเรียนตํางชาติเข๎าเรียนในช้ัน Form 3 (ม.3 อายุ 13 ปี) บางโรงเรียนรับต้ังแตํช้ัน Form 1 (ม.1) นักเรียนระดับช้ัน Form 3-4 ถือเป็นชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น นักเรียนจะเรียนวชิ าบังคับพนื้ ฐาน อาทิ ภาษาอังกฤษ สงั คม- ศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา พลศึกษา ดนตรี ศิลปะ สํวนวชิ าเลือกอาจจะมีคหกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภาษาตํางประเทศ นักเรียน ระดับForm 5-6 ถือเป็นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะมีวิชาเลือกตามความถนัดมากข้ึน และมีวิชาบังคับ น๎อยลง วชิ าบังคับคอื ภาษาองั กฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เม่ือจบช้ัน Form 5 นักเรียนต๎องสอบ School Certificate Examination ซึ่งจัดสอบ โดยกระทรวงศึกษาธิการและสอบ Sixth Form Certificate ซ่ึงโรงเรียนเป็นผู๎จัดสอบเม่ือจบชั้น Form 6 นักเรียนระดับชั้น Form 7 เป็นนักเรียนปีสุดท๎ายในระดับโรงเรียนมัธยม นักเรียนจะต๎องสอบ Bursary and Scholarship Examinations เพอื่ ใชผ๎ ลคะแนนสอบในการสมัครเขา๎ มหาวิทยาลยั นักเรียนตํางชาติก็ สามารถเข๎าสอบได๎ นักเรียนในชั้น Form 5-6-7 ควรเลือกวิชาท่ีจะเป็นพื้นฐานของ การเรียนในระดับ ปริญญาตรีที่ตนสนใจ เชํน สนใจเรียนปริญญาตรีด๎านธุรกิจ ก็ควรเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติ การ บัญชี เศรษฐศาสตร์ เป็นต๎น สวํ นนักเรียนท่ีจะเรียนทางด๎านวิทยาศาสตร์ก็ควรเลือก เรียนวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชวี วทิ ยา เป็นต๎น โรงเรยี นมธั ยมถกู กําหนดให๎มีการสอนไมํนอ๎ ยกวํา 190 วันตอํ ปีการศกึ ษา กาํ หนดวนั ปิดและเปิดประจําภาคเรยี นตามปกติ คือ เทอม 1: 1 กุมภาพนั ธ์- 7 เมษายน เทอม 2: 26 เมษายน - 30 มิถุนายน เทอม 3: 17 กรกฎาคม - 22 กนั ยายน เทอม 4: 9 ตลุ าคม - 8 ธนั วาคม 20

ในประเทศนิวซีแลนด์มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแตํเน๎นการจัดการศึกษาทาง วชิ าชีพ ทเ่ี รยี กวํา สถาบันโพลีเทคนิค (Polytechnic) อีกด๎วย เป็นสถาบันอุดมศึกษาท่ีได๎รับการสนับสนุน จากรฐั บาลเปิด ให๎การศึกษาอบรมสายวิชาชพี เน๎นด๎านอุตสาหกรรมธุรกิจและการพาณิชย์ มีสาขาวิชาให๎ เลือกมากถงึ 150 สาขามหี ลกั สตู ร ต้ังแตปํ ระกาศนียบัตร อนุปริญญา จนถึงปริญญาตรี และสามารถ โอน หนํวยกิตเพื่อเรียนตํอระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยได๎ โพลีเทคนิคทั้งหมดมี 25 แหํง กระจายอยูํ 18 แหํงในเกาะเหนือ และ 7 แหํงในเกาะใต๎ นอกจากน้ีโพลีเทคนิคยังมีการ อบรมหลักสูตรส้ันๆ (Short Courses) และหลักสูตรสอน ภาษาอังกฤษอีกด๎วย คุณสมบัติของผ๎ูเรียน คือ มีอายุ 18 ปีข้ึนไป สําเร็จ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีเกรดเฉล่ีย 2-2.5 และสอบ TOEFL ได๎คะแนนอยํางตํ่า 500 หรือ IELTS 5.0 คา่ ใชจ่ ่ายในการศกึ ษา โรงเรียนมธั ยมศึกษา คําเลําเรยี นอยํูระหวาํ ง 7,500 - 15,000 เหรียญนิวซีแลนด์ ตอํ ปี วทิ ยาลยั โพลเี ทคนิค คําเลาํ เรยี นอยํูระหวําง 9,000 - 16,000 เหรยี ญนวิ ซีแลนด์ ตอํ ปี มหาวทิ ยาลัย ปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาโท/เอก แตกตํางกันไป ข้ึนอยํูกบั สาขาวชิ า คาํ เลาํ เรยี นอยรํู ะหวําง 10,000 - 18,500 เหรียญนวิ ซแี ลนด์ ตอํ ปี คําเลําเรยี นอยูรํ ะหวาํ ง 11,000 - 13,000 เหรียญนิวซแี ลนด์ ตํอปี สถาบนั สอนภาษาอังกฤษ คําเรยี นประมาณเดือนละ 1,200 - 1,400 เหรียญนวิ ซีแลนด์ 1.3.5 การจัดการศกึ ษาในสหราชอาณาจักร แผนภูมิเปรียบเทียบ ระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษ กับ ไทย ระบบการศกึ ษา ประเทศอังกฤษ สายสามญั ชํวงอายุ ระบบ (ปี) การศกึ ษา ระดบั การศึกษา ระดับช้นั การสอบวัดผล ประเทศไทย 3-4 สายสามัญ ระดบั ประเทศ 4-5 อนุบาล 1 5-6 อนบุ าล 2 Foundation Stage (อนุบาล) Nursery1 6-7 อนบุ าล 3 Key Stage 1 (ประถม) Nursery2 7-8 Key Stage 2 (ประถม) Year 1 8-9 ป. 1 Year 2 9-10 ป. 2 Year 3 ป. 3 Year 4 ป. 4 Year 5 21

Year 6 SATS 10-11 ป. 5 11-12 ป. 6 Key Stage 3 (มัธยม) Year 7 GCSE 12-13 ม. 1 AS Level 13-14 ม. 2 Year 8 A2 Level 14-15 ม. 3 15-16 ม. 4 Year 9 16-17 ม. 5 17-18 ม. 6 Key Stage 4 (GCSE) Year 10 >=18 ปริญญา Year 11 Key Stage 5 (Sixth Form, A Year 12 Levels) Year 13 เรยี นต่อระดบั ปริญญา Key Stage 1 (ช่วงอายุ 5-7 ป,ี Year 1-2) นักเรียนใน Key Stage น้ี อยใูํ นชวํ งอายุระหวําง 5-7 ปี วชิ าหลกั ท่ีเรียนมี 3 รายวชิ า ไดแ๎ กํ คณติ ศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้จะเป็นวิชาทีส่ อนให๎นักเรียนมีความรู๎ รอบตวั เพม่ิ เตมิ หรอื เสริมสร๎างสขุ ภาพให๎แข็งแรง อาทเิ ชํน วชิ าทเ่ี ก่ยี วกบั ศาสนา พลศกึ ษา สขุ ศกึ ษา ศลิ ปะ นันทนาการ เป็นตน๎ โดยเปูาหมายใน Key Stage นค้ี ือ – สามารถอาํ นออกเขียนได๎ – สามารถบวกลบเลขได๎ – มีความเข๎าใจวิทยาศาสตร์ทั่วไป – มีความประพฤติทางสังคมท่เี หมาะสม – มีพัฒนาการเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ท้งั ในหอ๎ งเรยี น และ นอกห๎องเรยี น ซึ่งสวํ นใหญํมกั ใช๎ ระบบบัดดีค้ ลาส เพือ่ สร๎างความสมั พนั ธร์ ะหวํางรุํน (เพ่ือน รํนุ พี่ รํุนนอ๎ ง) Key stage 2 (ช่วงอายุ 7-11 ป,ี Year 3-6) นักเรียนใน Key Stage นี้ อยูใํ นชํวงอายรุ ะหวําง 7-11 ปี วิชาหลักท่ียังคงเปน็ ภาษาอังกฤษ, คณิตศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ นอกจากนัน้ ยงั มีวิชาทน่ี าํ สนใจ ให๎เรียนเพ่ิม เชนํ วิชาภาษา 22

ฝรง่ั เศส, คณติ ศาสตร์ ที่มีความซับซอ๎ นมากยิ่งขน้ึ , วิชาเก่ียวกับการอํานและการตีความ, วิธกี ารทํารายงาน และการพูดบรรยาย เป็นตน๎ โดยมีคุณครูผเู๎ ชยี วชาญในแตลํ ะวิชาเป็นผคู๎ วบคมุ ดแู ลการสอนใหก๎ บั นักเรยี น โดยเปูาหมายใน Key Stage นีค้ ือ – สามารถพูดนาํ เสนอหน๎าช้ันเรียนแบบสน้ั ๆได๎ – สามารถอํานและทาํ ความเขา๎ ใจเนือ้ เรื่อง – มีพัฒนาการทักษะการเขยี นรายงานทดี่ ี Key Stage 3 (ช่วงอายุ 11-14 ปี, Year 7-9) นกั เรียนใน Key Stage น้ี อยใูํ นชวํ งอายุระหวาํ ง 11-14 ปี โดยจะมี เหลาํ คุณครผู ูเ๎ ช่ยี วชาญเฉพาะดา๎ น ทําหนา๎ ทสี่ อนหนังสอื และใหค๎ วามร๎ูแกํนกั เรยี นในวชิ า นั้นๆ นอกจากนั้นยังมีการตดิ ตามผลการเรียนของนกั เรยี นแตลํ ะคนอกี ด๎วย รายวิชาที่ เรียน ไดแ๎ กํ – ภาษาอังกฤษ – คณติ ศาสตร์ – วิทยาศาสตร์ – ประวตั ิศาสตร์ – ภมู ิศาสตร์ – ภาษาตํางประเทศ – สาระสนเทศและเทคโนโลยี – ศลิ ปะและการออกแบบ – ดนตรี – พละศึกษา – ประชากรศาสตร์ – คอมพิวเตอร์ โดยเปาู หมายใน Key Stage นี้คอื – นกั เรียนมคี วามกลา๎ แสดงออก กลา๎ แสดงความคิดเห็น – มีความสามารถใน การตดิ สินใจอยํางมีเหตผุ ล – นักเรียนสามารถคน๎ หาตัวเองได๎ วําชอบเรียนอะไร มีความถนดั ทางด๎านไหน 23

Key Stage 4 (ช่วงอายุ 14-16 ป,ี Year 10-11) นกั เรยี นใน Key Stage น้ี อยํูในชํวงอายุระหวําง 14-16 ปี ซ่ึงเป็นชํวงระดับมัธยมปลาย โดยนักเรียนจะตอ๎ งทาํ การเลือกเรยี น 8-12 วิชา เพอื่ เตรียมตัวสอบ IGCSE หรือ GCSE เป็นการสอบเทียบ วุฒมิ ธั ยมศกึ ษาตอนปลายของระบบองั กฤษ ซงึ่ เป็นการสอบระดบั ประเทศ IGCSE ยํอมาจาก International General Certificate of Secondary Education การสอบ IGCSE น้ันจะถูกจัดข้ึนโดยโรงเรียนนานาชาติที่ใช๎ระบบการเรียนการสอนแบบอังกฤษ GCSE ยํอมาจาก General Certificate of Secondary Education การสอบ GCSE นั้นจะถูกจัดขึ้นในโรงเรียนหรือวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ โดยท้ัง 2 อยําง นักเรียนจะต๎องเลือกสอบ ประมาณ 8-12 วิชา เชํน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา ภาษาตํางประเทศ ศิลปะ ฯลฯ และผลการสอบจะแบํงออกเป็น 7 ระดับ คือ Grade A, B, C, D, E, F และ G นักเรียนที่สอบได๎ Grade C ขึ้นไปจึงจะถือวําสอบผําน นักเรียนท่ีสอบ IGCSE หรือ GCSE จนได๎วุฒิบัตร สามารถเข๎าศึกษา ตํอในหลักสูตรสายสามัญ “A” Level ได๎ หรือหลักสูตรสายวิชาชีพ Advanced GNVQ โดยมีระยะเวลา เรียน 2 ปี หลักสตู รวิชาระดับประเทศที่บงั คบั เรียน แบงํ ออกเป็น วิชาหลัก และ วิชาพน้ื ฐาน วิชาหลัก ได๎แกํ ภาษาองั กฤษอังกฤษ, คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ วชิ าพน้ื ฐาน ไดแ๎ กํ คอมพวิ เตอร์, พละศึกษา และประชากรศาสตร์ และโรงเรยี นต๎องเปิดสอนอยาํ งนอ๎ ยหนึ่งวชิ า ในแตลํ ะหมวดวิชาดังตํอไปน้ี – ศิลปะ – สารสนเทศและเทคโนโลยี – มนษุ ย์ศาสตร์ – ภาษาตํางประเทศ โดยเปูาหมายใน Key Stage นี้คือ – ตัดสินใจไดว๎ ํา สนใจศกึ ษาตํอในสาชาใด – มีความรพ๎ู นื้ ฐาน ทสี่ ามารถนาํ มาประยุกต์ใช๎ในชีวติ ประจําวัน 24

Key Stage 5 (ช่วงอายุ 16-18 ปี, Year 12-13) นกั เรียนใน Key Stage นี้ อยใูํ นชวํ งอายรุ ะหวําง 16-18 ปี จะมีระยะเวลาเรยี น 2 ปี ได๎แกํ Year 12 และ Year 13 โดยเปูาหมายของนกั เรยี นในชํวงนคี้ ือ เรียนเพ่ือเตรยี มตัวสอบ GCE A Level (GCE Advanced) เพือ่ นําผลสอบไปยนื่ เข๎าศึกษาตํอในระดับมหาวทิ ยาลัย GCE A Level (GCE Advanced) เปน็ การสอบวดั ผลความร๎ขู องนักเรียนที่มีอายุต้ังแตํ 16 ปขี ้นึ ไป วชิ าท่สี อบมีให๎เลือกกวาํ 50 วชิ า โดยสํวนใหญจํ ะสอบเพยี ง 2 – 3 วชิ าทมี่ คี วามสมั พันธ์กัน คือ เลอื กสอบทางด๎าน Science หรอื ทางด๎าน Humanities ผลการสอบแบํงออกเป็น 5 ระดบั คือ A, B, C, D และ E ซง่ึ Grade ท้งั 5 ระดับน้ถี ือวาํ สอบผาํ นทงั้ หมด แตมํ หาวิทยาลยั สํวนใหญํจะรับพจิ ารณารบั ผ๎ู ท่มี ผี ลการสอบในระดบั C ขึ้นไป แตมํ หาวทิ ยาลัยบางแหํงอาจจะรบั ผท๎ู ี่ได๎คะแนนระดับ A และ B สําหรบั ผลสอบ GCE “A” Level น้ีเปน็ เกณฑ์ทีส่ ถานศึกษาใชใั นการพจิ ารณารับนักเรียนเขา๎ ศึกษาตํอ ระดับอดุ มศึกษา ตัวอยํางรายวิชาท่ีเรียน ได๎แกํ ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, สื่อสารมวลชน, วรรณกรมอังกฤษ, ICT,เศรษฐศาสตร์, พละศึกษา, ประวัติศาสตร์, ภาษาฝรั่งเศส, การศึกษาธุรกจิ , การออกแบบสินคา๎ , ศิลปะ, สงั คมวทิ ยา, จิตวทิ ยา เป็นต๎น ระดับอุดมศึกษา (Higher Education) นกั ศึกษาของไทย มจี ํานวนไมํนอ๎ ย ทีม่ า ศึกษาตอํ องั กฤษ โดยมเี ปูาหมายในดารเรยี นใน ระดบั อุดมศึกษา ซงึ่ หลักสูตรระดับอุดมศึกษา แบํงออกเป็น Undergraduate ศกึ ษาตํออังกฤษ ในระดบั ปรญิ ญาตรี – Bachelor Degree เปน็ หลกั สตู รการศึกษา 3 ปี ยกเว๎นบางสาขาวิชา เชนํ วิศวกรรมศาสตร์ (4 ปี) สถาปัตยกรรมศาสตร์ (5 ป)ี ทันตแพทย์ (5 ป)ี สตั วแพทย์ (5 ปี) แพทย์ (6 ปี) Postgraduate ศึกษาตํออังกฤษ ในระดับสูงกวาํ ระดับปริญญาตรีแบํงออกเปน็ 3 ระดับคือ – Postgraduate Certificate Diploma หลักสูตรการศึกษา 9 เดือนถงึ 1 ปี รบั สมัคร ผสู๎ าํ เรจ็ การศกึ ษาปรญิ ญาตรเี ข๎าศกึ ษาตํอ – Master Degree หลักสูตรการศกึ ษา 1 – 2 ปี – Doctoral Degree ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี หรือมากกวํา 3 ปี ในบางสาขา 25

ขอ้ มูลที่ควรทราบ – ระบบการศึกษาของอังกฤษ เนน๎ คณติ ศาสตร์ และ วทิ ยาศาสตร์ – เด็กนกั เรยี นไทย จะเขา๎ สํูการศกึ ษาภาคบงั คับ (Year 1) ช๎ากวํา นักเรียนอังกฤษ 1 ปี โดยท่ี องั กฤษ การศกึ ษาภาคบังคบั เริ่มตัง้ แตํอายุ 5-6 ปี สํวนเดก็ นกั เรียนไทยจะเข๎าเรียน ป.1 อายุ 6-7 ปี พอถงึ ปลายทางที่ ชวํ งอายุ 17-18 ปี จะทาํ ใหเ๎ ด็กไทย เรียนนอ๎ ยกวํา เดก็ อังกฤษ 1 ปี เดก็ นกั เรยี น อังกฤษ จะได๎เรยี นถึง Year 13 สวํ นเด็กไทย จะไดเ๎ รยี นถงึ ม.6 หรือ Year 12 – นกั เรียนไทยทจ่ี บ ม.6 มา หากตอ๎ งการมาตํอ ป.ตรี ที่อังกฤษ สํวนใหญํ จะต๎องเรียน Foundation กอํ น 1 ปี – เดก็ องั กฤษ ประมาณ 95% จะเรียนในโรงเรียนรัฐบาล แตสํ าํ หรับครอบครวั ท่ีมฐี านะดีมักสงํ บุตรหลานเข๎าเรียนในโรงเรยี นเอกชน – ในสํวนของ นักเรียนตํางชาติท่มี า ศึกษาตํอที่องั กฤษ ในระดบั มธั ยมศกึ ษา จะมสี ทิ ธลิ งเรยี นใน โรงเรียนเอกชนเทํานน้ั – ภาคการศึกษาของสถานศกึ ษาทุกระดบั ในอังกฤษ เริ่มต๎นภาคแรก ในราวปลายเดือนกันยายน หรอื ต๎นเดอื นตลุ าคมของปีท่ีหนึ่ง และส้ินสดุ ราวปลายเดอื นมถิ นุ ายนหรือต๎นเดอื นกรกฎาคมของปี ถัดไป โดยแบํงออกเปน็ 3 ภาค คอื ภาคต๎น (Autumn Term) เร่ิมปลายเดือนกนั ยายน ถงึ กลางเดือนธนั วาคม ภาคกลาง (Spring Term) เร่ิมกลางเดือนมกราคม ถึง ปลายเดือนมีนาคม ภาคปลาย (Summer Term) เริม่ ปลายเดอื นเมษายน ถงึ ต๎นเดอื นกรกฎาคม 26

1.3.6 การจัดการศกึ ษาในประเทศบรูไน ประเทศบรูไนไมํมีการศึกษาภาคบังคับ แตํการศึกษาเป็นสากล และจัดให๎ฟรีสําหรับ ประชาชนทั่วไป การศึกษาแบํงออกเป็นระดับกํอนประถมศึกษา 1 ปี ระดับประถมศึกษา 6 ปี ระดับ มัธยมศึกษา 7-8 ปี ซ่ึงแบํงเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น 3 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2-3 ปี และ ระดบั เตรยี มอดุ มศึกษา 2 ปี และระดบั มหาวทิ ยาลยั 3-4 ปี • ระดับกอ่ นประถมศึกษา เดก็ ทุกคนต๎องเขา๎ ศึกษาในระดบั กํอนประถมศึกษา 1 ปี เมือ่ อายุ 5 ปี หลงั จากน้ันจึงเข๎า ศกึ ษาในระดับประถมศึกษา • ระดับประถมศกึ ษา แบํงออกเป็นสองระดบั คอื ระดบั ประถมตน๎ 3 ปี และประถมปลาย 2-3 ปี หลังจากจบ การศกึ ษาระดับประถมศึกษา 6 ปี นกั เรียนจะต๎องเข๎ารับการทดสอบข๎อสอบกลาง (PCE : Primary Certificate of Examination) ซ่ึงการศึกษาในระดับน้ีมีจุดประสงค์เพอื่ ปูพืน้ ฐานด๎านการเขยี น การ อาํ น และการคํานวณให๎แกํนักเรยี น เพ่ือจะไดน๎ ําความรเู๎ หลาํ น้ีไปใชใ๎ นการพัฒนาตนเอง • ระดับมธั ยมศกึ ษา การศึกษาระดบั มธั ยมศึกษารวมใชเ๎ วลา 7-8 ปี (มธั ยมศกึ ษา 1-5 และ เตรียมอุดมศึกษา 2 ปี) - ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน๎ มรี ะยะเวลา 3 ปี หลังมธั ยมศึกษาตอนต๎นแลว๎ นกั เรยี นจะตอ๎ งทดสอบ BJCE (Brunei Junior Certificate of Education) จึงสามารถเรยี นตํอระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย หรอื เลือกเรียนวชิ า ดา๎ นชําง และเทคนคิ พืน้ ฐานท่ีสถาบันการศึกษาทางเทคนิคและอาชวี ศึกษา - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีระยะเวลา 2-3 ปี นักเรียนจะเลือกเรียนสายศิลป์ สายวิทย์ หรือสายอาชีพ ตามแตํผล การสอบ BJCE หลักจากเรียนจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล๎ว (ระดับ 5) เด็กต๎องสอบข๎อสอบ Brunei-Cambridge General Certificate of Education : BCGCE “O” level หรือสําเร็จการศึกษา ระดับ 6 เด็กต๎องสอบข๎อสอบ Brunei-Cambridge General Certificate of Education : BCGCE “A” level แล๎วจึงจะมสี ิทธ์เิ รยี นตอํ ระดับเตรียมอุดมศกึ ษา - ระดับเตรยี มอุดมศึกษา มีระยะเวลา 2 ปี • ระดบั ปรญิ ญาตรี จัดให๎กับเด็กที่มีผลการศึกษาดี มีศักยภาพในการศึกษาตํอได๎ หรือศึกษาในสาขาที่เป็น ความตอ๎ งการของประเทศ ซึ่งมที ้ังมหาวิทยาลยั สถาบนั อาชวี ะ และเทคนิคตาํ ง ๆ วทิ ยาลัยตําง ๆ โรงเรยี นเอกชน (Non-Government Schools) 27

มบี ทบาทในการชวํ ยแบํงเบาภาระการจัดการศึกษาของรัฐบาล โดยโรงเรียนเอกชนท่ีข้ึน ทะเบียนกับกระทรวงศึกษาธิการมี 5 ประเภท ได๎แกํ โรงเรียนภาคบังคับตามปกติ (ตั้งแตํระดับอนุบาล จนถงึ ระดับมธั ยมศึกษา) โรงเรยี นกวดวิชา โรงเรยี นสอนคอมพวิ เตอร์ โรงเรยี นสอนดนตรี โรงเรียนสอนตัด เส้อื การศึกษา และการฝึกหัดดา้ นอาชวี ะและเทคนคิ กรมการศกึ ษาดา๎ นเทคนคิ (Department of Technical Education – DTE) เป็น ผ๎ูรบั ผิดชอบดูแลการจดั การศึกษา และการฝกึ หดั ด๎านอาชีวะและเทคนคิ (Technical and Vocational Education and Training) และโปรแกรมเกยี่ วกบั การศึกษาตํอ (Continuing Education-CE) ระบบการศกึ ษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2528 กําหนดให๎ใช๎ภาษาอังกฤษ และภาษามาเลย์ในการ สอนตั้งแตํระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีท่ี 3 ครูจะสอนทุกวิชาด๎วยภาษามาเลย์ ยกเว๎นวิชา ภาษาองั กฤษซ่งึ ใชภ๎ าษาองั กฤษในการสอน สาํ หรบั ระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ขนึ้ ไป โรงเรียนจะใช๎ทั้งภาษา มาเลย์ และภาษาอังกฤษในการสอน โดยภาษามาเลย์ใช๎สําหรับสอนวิชาเก่ียวกับมาเลย์ ความรู๎เก่ียวกับ ศาสนาอิสลาม พลศึกษา ศิลปะและการชําง และวิชาหน๎าท่ีพลเมือง สํวนภาษาอังกฤษใช๎ในการสอนวิชา วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์ ประวัติศาสตร์ และภาษาองั กฤษ เปน็ ต๎น1.3.6 1.3.7 การจัดการศกึ ษาประเทศมาเลเซยี อยํูในความรับผดิ ชอบของกระทรวงศึกษาธกิ าร แบํงระดับการบรหิ ารเป็น 5 ระดับ คือ ระดับชาติ ระดบั รัฐ ระดับอําเภอ ระดับกลุํมโรงเรยี นและระดบั โรงเรยี น - การบรหิ ารการศึกษาระดับชาตอิ ยํใู นความรบั ผิดชอบของรัฐบาลกลาง ( Federal Government) - การศึกษาทุกประเภททุกระดับอยภํู ายใตค๎ วามรบั ผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ เพยี งกระทรวงเดยี ว ยกเวน๎ การศกึ ษาทมี่ ลี ักษณะเป็นการศึกษานอกระบบ (Non-formal Education) จะ มีกรมจากกระทรวงอื่น ๆ ที่เก่ียวขอ๎ งรับผดิ ชอบ เชํน กรมแรงงาน กรมเกษตร เปน็ ตน๎ ระบบการจัดการศึกษาของมาเลเซยี (National Education System) เป็นระบบ 6:3:2 คือ - ระดับประถมศึกษา หลกั สูตร 6 ปกี ารศึกษา - ระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ หลกั สูตร 3 ปกี ารศึกษา - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตร 2 ปกี ารศึกษา - ระดบั เตรยี มอุดมศึกษา หลักสตู ร 1 หรอื 2 ปกี ารศกึ ษา - ระดบั อดุ มศกึ ษา หลกั สตู รเฉล่ยี ประมาณ 3 ปีครงึ่ ถึง 4 ปีการศึกษา และแบงํ การศึกษาออกเปน็ 5 ระดับดงั น้ี 1. การศึกษาระดับประถมศึกษา (Pre-school Education) 28

2. การศึกษาระดบั ประถมศึกษา (Primary Education) 3. การศกึ ษาระดบั มธั ยมศึกษา (Secondary Education) 4. การศึกษาระดับหลังมธั ยมศึกษาหรือเตรียมอุดมศึกษา (Post-secondary Education) 5. การศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education) สวํ นสถานศึกษาท่ที ําหนา๎ ทจี่ ัดการศึกษาระดับตาํ ง ๆ น้นั แบํงออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. สถานศกึ ษาของรัฐบาล (Government Education Institutions) 2. สถานศกึ ษาในอุปถมั ภข์ องรฐั บาล (Government-aided Educational Institutions) 3. สถานศึกษาเอกชน (Private Educational Institutes) ในโรงเรยี นของรัฐบาลกําหนดใหใ๎ ช๎ภาษาประจําชาติคือ ภาษามลายู (Bahasa Malayu) ทเี่ ขียนดว๎ ยอักษรรมู ี (อักษรภาษาองั กฤษ) เปน็ ภาษาหลักในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1.3.8 การจดั การศึกษาประเทศฟลิ ิปปินส์ ระบบการศึกษาของประเทศฟิลิปปินส์มีทั้งแบบที่เป็นทางการและไมํเป็นทางการ โดย การศึกษาแบบท่ีเป็นทางการนั้นมีลําดับข้ันตอนของการเรียนอยํูสามระดับนั่นคือ ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ในระดับประถมศึกษาน้ันจะใช๎เวลาศึกษาภาคบังคับหกปีที่ โรงเรียนของรัฐบาลหรือเจ็ดปีในโรงเรียนของเอกชนนอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยซึ่งนักเรียน สามารถเลือกเรียนได๎ โดยการศึกษาระดับนี้รวมไปถึงการเรียนชั้นอนุบาลและอาจเป็นหลักสูตรเตรียม ประถมศึกษาก็ได๎ นักเรียนที่มีอายุระหวํางสามหรือส่ีปีจะเข๎าเรียนในสถานรับเล้ียงเด็กกํอนวัยเรียน จนกระท่งั มอี ายคุ รบ 5-6 ปี จงึ จะเล่ือนขน้ึ ชน้ั ประถมศึกษาปีทห่ี นึง่ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาใช๎เวลาสี่ปีโดยนักเรียนต๎องเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอน ปลายกํอน นักเรียนสํวนใหญํท่ีเรียนช้ันมัธยมศึกษาจะมีอายุ 12 ปีและเรียนจบเม่ืออายุ 15 ปี สํวน ระดับอดุ มศกึ ษาน้ัน นักเรยี นสวํ นใหญจํ ะมีอายุประมาณ 16 ปี การศกึ ษาระดบั นี้แบํงเป็นระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอกในหลากหลายสาขาวิชา นอกจากน้ัน การศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษายังรวม ไปถึงหลกั สูตรอาชวี ศึกษาแบบสองหรอื สามปที ี่อาจไมํมีการมอบปรญิ ญาก็ได๎ ระบบการศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ใกล๎เคียงกับระบบการศึกษาแบบเป็นทางการของ สหรัฐอเมริกา ในขณะท่ีระบบการศึกษาของประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียมักจะได๎รับอิทธิพลจากประเทศ อังกฤษ ฝรงั่ เศส หรอื เนเธอรแ์ ลนด์ การศกึ ษาแบบไมํเป็นทางการซึง่ รวมถึงการรบั ความร๎ูนอกโรงเรยี นนัน้ มีวตั ถุประสงค์หลัก สําหรับผู๎เรียนกลุํมเฉพาะ เชํน เยาวชนหรือผ๎ูใหญํท่ีไมํสามารถเข๎าเรียนตํอท่ีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยได๎ 29

ตัวอยํางได๎แกํหลักสูตรการศึกษาผู๎ใหญํที่ไมํร๎ูหนังสือซึ่งบูรณาการการเขียนและการอํานเบื้องต๎นเข๎ากับ ทักษะในชีวิตประจําวัน หน๎าท่ีในการบริหาร ควบคุม และดําเนินการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (ระดับประถมและ มัธยมศึกษา) นั้นจะเป็นของแผนกการศึกษา วัฒนธรรมและกีฬา ในขณะท่ีคณะกรรมาธิการการ อุดมศึกษาจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษาระดับสูง สํวนการศึกษาด๎านเทคนิคหลังมัธยมศึกษานั้นจะ ดําเนินการโดยเจ๎าหน๎าท่ีด๎านการพัฒนาทักษะและการศึกษาด๎านเทคนิคซ่ึงยังมีหน๎าที่ปฐมนิเทศ ให๎การ ฝึกอบรมและการพัฒนาด๎านทักษะอาชีพแกํเยาวชนที่ไมํได๎เข๎าเรียนในโรงเรียนและผู๎ใหญํท่ีวํางงาน นอกจากน้ีประเทศฟิลิปปินส์ใช๎การเรียนการสอนแบบทวิภาษา บางวิชาจะสํวนเป็น ภาษาอังกฤษ สํวนวิชาอน่ื ๆ จะสอนเปน็ ภาษาฟิลปิ ปินส์ 1.3.9 การจดั การศึกษา สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republic) เป็นประเทศที่อยูํในวงล๎อมของ 5 ประเทศ คือ เวียดนาม กัมพูชา ไทย พมํา และจีน เป็นประเทศที่ไมํมี ทางออกทะเล พื้นท่ีประเทศท้ังหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร ซ่ึงสํวนใหญํเป็นเขาและที่ราบสูง ใชภ๎ าษาลาวเป็นภาษาราชการ เมืองหลวงช่ือเวียงจนั ทน์ (Vientiane) ปกครองในระบบสังคมนิยม การจัดการศึกษาของลาวเริ่มด๎วยการศึกษาในระดับอนุบาลและกํอนวัยเรียน โรงเรียน อนุบาลในประเทศลาวจะมีท้ังโรงเรียนท่ีเป็นของรัฐบาลและเอกชน เปิดรับนักเรียนต้ังแตํอายุ 3-6 ปี ใชเ๎ วลาเรียน 3 ปี แบํงเปน็ ช้นั อนบุ าล 1-3 เมอ่ื จบช้นั อนุบาลแลว๎ จะเข๎าเรยี นในระดับประถมศกึ ษาตํอไป นับต้ังแตํลาวได๎เปล่ียนการปกครองเมื่อปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2528) เป็นต๎นมา ได๎ใชร๎ ะบบการศกึ ษาเปน็ แบบ 11 ปี คือระบบ 5 :3 :3 ดังน้ี • ประถมศึกษา ใช๎เวลาในการศึกษา 5 ปี เด็กจะเริ่มเข๎าเรียนเมื่ออายุ 6 ปี การศึกษา ในระดับนี้คือเป็นการศึกษาภาคบังคับ เด็กทุกคนต๎องจบการศึกษาในระดับนี้ แตํในทางปฏิบัติการศึกษา ภาคบงั คบั จะมผี ลดแี ตํเฉพาะเด็กในเมืองใหญํเทํานน้ั เน่ืองจากลาวมพี ้นื ทป่ี ระเทศกว๎างขวางและประชากร กระจายกันอยํู • มัธยมศึกษาตอนต๎น ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี และในอนาคตจะให๎เด็กได๎เรียน ภาษาองั กฤษเพิ่มมากขึ้น • มัธยมศึกษาตอนปลาย ใช๎เวลาในการศึกษา 3 ปี การศึกษาข้ันพื้นฐานในระบบ 5 -3 -3 น้ีอ ยูํ ใน ค ว า ม ดูแ ล แล ะ รับ ผิ ดช อ บข อ งก ร มส า มัญ ศึ กษ า ก ร ะท ร ว ง ศึ กษ า ธิก า ร • อดุ มศกึ ษาหรอื การศึกษาชนั้ สงู รวมการศึกษาด๎านเทคนิค สถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือ มหาวิทยาลัย อยูํในความดูแลและรับผิดชอบของกรมอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ ยกเว๎นการศึกษาเฉพาะทางซึ่งอยูํในความดูแลของกระทรวงอ่ืน โดยเมื่อเด็กจบการศึกษาในระดับประถม 30

และมัธยมศึกษาแล๎ว จะมีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อเสนอกระทรวงศึกษาธิการให๎เด็กได๎เข๎าศึกษาตํอใน ระดบั ทสี่ ูงขน้ึ ได๎แกํ • สายอาชีพ ใช๎เวลาศึกษา 3 ปี ในวิทยาลัยเทคนิคตํางๆ เชํน ทางด๎านไฟฟูา กํอสร๎าง บญั ชี ปาุ ไม๎ เป็นต๎น • มหาวิทยาลยั และสถาบนั การศกึ ษาที่สาํ คญั ได๎แกํ 1. มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ (เวียงจันทน์) ใช๎เวลาศึกษา 6 ปี ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข 2. มหาวิทยาลยั แหํงชาติ (ดงโดก) ใชเ๎ วลาศึกษา 4 ปี 3. สถาบนั สรรพวิชา (National Polytechnic Institute) ใชเ๎ วลาศกึ ษา 6 ปี รายการอา้ งอิง การศกึ ษาในประเทศไทย. ใน วิกพิ ีเดยี . (2560) สบื ค๎นเมือ่ 29 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/jsIQ7 กองทนุ เพ่ือความเสมอภาคทางการศึกษา. (2556) ต้นแบบการจดั การศกึ ษา : ญ่ีปุ่น. สบื ค๎นเม่ือ 30 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/aMOZ4 ธงชัย สมบรู ณ์. (2548) การศึกษาของประเทศในยุโรป. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง. _______________. การศึกษาของประเทศในเอเซีย. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร, สํานกั ความสมั พนั ธ์ตํางประเทศ. (2560). ระบบการศึกษา-บรูไน. สบื คน๎ เม่อื 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component /k2/item/3709-2013-10-17-03-56-03. _______________. ระบบการศึกษา-ฟิลิปปนิ ส์. สืบค๎นเมือ่ 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component/k2/item/3710-2013-10-17-03-56- 03. _______________. ระบบการศึกษา-สงิ คโปร์. สืบคน๎ เมื่อ 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://www.bic.moe.go.th/index.php/component/k2/item/3708-2013-10-17-03-56- 03. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู .ิ (2558) ระบบการศกึ ษาในประเทศอาเซียน. สืบค๎นเม่ือ 30 กรกฎาคม 2560, จาก shorturl.at/duzOW พมิ พพ์ รรณ เทพสเุ มธานนท์ และคณะ. (2547). ระบบการศึกษาของตางประเทศ. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง 31

อาํ พร เรืองศรี. (2560) ระบบการศึกษาไทย. สืบค๎นเมอ่ื 29 กรกฎาคม 2560, จาก https://goo.gl/V4THz6.shorturl.at/bceAC อทุ ัย บุญประเสริฐ. ระบบการศึกษาในประเทศญ่ีปนุ . การประชมุ การจดั การศึกษาในประชาคมอาเซียน. 23 พฤศจิกายน 2556. มหาวิทยาลัยธุรกิจบณั ฑติ ย์. Education in Laos. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_Laos Education in New Zealand. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_New_Zealand. Education in the Philippines. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_the_Philippines Education in the Malaysia. From Wikipedia. (2017) Avaliable from : https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_the_Malaysia New Zealand Government. (2017). new zealand education system. Online from https://www.govt.nz/browse/education OECD. (2014). Education policy outlook NETHERLANDS (ONLINE). 32

บทที่ 2 การเรียนรู้เชิงกา้ วหน้า วธิ ีสอนเพอื่ ส่งเสรมิ ศกั ยภาพของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 กรณศี กึ ษา: การเรียนรู้จากครูต้นแบบ ครูสอนดี หวั เร่อื ง 1. STEM Education 2. Flipped Classroom 3. กรณีศึกษา : การเรยี นร๎จู ากครูตน๎ แบบ ครูสอนดี วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อใหผ๎ ๎เู รียนมีความร๎ูความเข๎าใจเกี่ยวกบั แนวคิดการเรียนร๎ูเชิงก๎าวหน๎า 2. เพือ่ ใหผ๎ เ๎ู รียนได๎เรียนรูแ๎ นวปฏิบัตทิ ี่ดีจากครูตน๎ แบบ ครูสอนดี กิจกรรมระหวา่ งเรียน ผูส๎ อนใช๎วิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพ่อื ใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ ทกั ษะและการคดิ วิเคราะห์ ดังนี้ 1. บรรยาย อภปิ ราย ซักถาม กระตุ๎นใหเ๎ กดิ การแลกเปล่ียนเรียนรู๎เก่ียวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่สี อนระหวํางผสู๎ อนกบั ผเู๎ รยี นและระหวํางผู๎เรยี นเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อนิ เทอร์เน็ต 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณศี ึกษาทง้ั ในรปู แบบเอกสารและวิดีโอ 4. การทํางานกลุํมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความรู๎ นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระที่เก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรียน 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเ๎ู รยี นและผส๎ู อนรํวมสรุปประเด็นการเรยี นรู๎ ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนงั สือ ตํารา งานวจิ ยั ที่เก่ียวข๎อง 2. สื่อดจิ ิทัลจากอนิ เทอรเ์ นต็ และสไลด์นาํ เสนอ 33

การประเมนิ ผล 1. การสํวนรวํ มกับกจิ กรรมในช้ันเรยี นของผูเ๎ รียน ความสามารถในการวิเคราะห์ประเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการคน๎ ควา๎ ตามประเด็นของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา การเรยี นรเู้ ชงิ ก้าวหน้า วิธสี อนเพือ่ สง่ เสรมิ ศักยภาพของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 กรณศี ึกษา: การเรียนรู้จากครูต้นแบบ ครสู อนดี 2.1 เทคนิการสอนเชงิ ก้าวหนา้ 2.1.1 STEM Education คําวํา “สะเต็ม” หรือ “STEM” เป็นคํายํอจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได๎แกํ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึงองค์ความร๎ู วิชาการของศาสตร์ท้ังสี่ที่มีความเช่ือมโยงกันในโลก ของความเป็นจริงท่ีต๎องอาศัยองค์ความร๎ูตํางๆ มาบูรณาการเข๎าด๎วยกันในการดําเนินชีวิตและการทํางาน คําวาํ STEM ถูกใช๎ คร้ังแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แหํงประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation: NSF) ซ่ึงใช๎คํานี้เพ่ืออ๎างถึงโครงการหรือโปรแกรมท่ีเกี่ยวข๎องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อยํางไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แหํงประเทศสหรัฐอเมริกาไมํได๎ให๎ นิยามที่ชัดเจนของคําวํา STEM มีผลให๎มีการใช๎และให๎ความหมายของคํานี้แตกตํางกันไป (Hanover Research, 2011, p.5) เชํน มีการใช๎คําวํา STEM ในการอ๎างอิงถึงกลุํมอาชีพท่ีมีความเกี่ยวข๎องกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สะเต็มศึกษา คือ แนวทางการจัดการศึกษาท่ีบูรณาการความรู๎ใน 4 สหวิทยาการ ได๎แกํ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน๎นการนําความร๎ูไปใช๎แก๎ปัญหาในชีวิตจริง รวมท้ังการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหมํ ที่เป็นประโยชน์ตํอการดําเนินชีวิต และการทํางาน ชํวย นักเรียนสร๎างความเชื่อมโยงระหวําง 4 สหวิทยาการ กับชีวิตจริงและการทํางาน การจัดการเรียนร๎ูแบบ สะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู๎ท่ีไมํเน๎นเพียงการทํองจําทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ แตํเป็นการสร๎างความเข๎าใจทฤษฎีหรือกฏเหลํานั้นผํานการปฏิบัติให๎เห็นจริงควบคํูกับการ พัฒนาทักษะการคิด ต้ังคําถาม แก๎ปัญหาและการหาข๎อมูลและวิเคราะห์ข๎อค๎นพบใหมํๆ พร๎อมท้ัง สามารถนาํ ขอ๎ คน๎ พบนนั้ ไปใช๎หรอื บูรณาการกับชวี ิตประจาํ วนั ได๎ 34

การจัดการเรียนร๎ูตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5 ประการได๎แกํ (1) เป็นการสอนท่ีเน๎น การบูรณาการ (2) ชํวยนักเรียนสรา๎ งความเช่ือมโยงระหวํางเนื้อหาวิชาท้ัง 4 กับชีวิตประจําวันและการทํา อาชีพ (3) เน๎นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (4) ท๎าทายความคิดของนักเรียน และ (5) เปิดโอกาสให๎ นักเรยี นได๎แสดงความคดิ เหน็ และความเข๎าใจท่ีสอดคลอ๎ งกับเนอ้ื หาท้ัง 4 วิชา จุดประสงค์ของการจัดการ เรียนรู๎ตามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนรักและเห็นคุณคําของการเรียนวิทยาศาส ตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นวําวิชาเหลํานั้นเป็นเร่ืองใกล๎ตัวท่ีสามารถนํามาใช๎ ได๎ทกุ วนั จดุ ประสงคข์ องการจดั การเรยี นรูต๎ ามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ สํงเสริมให๎ผู๎เรียนรักและ เห็นคุณคําของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นวําวิชา เหลาํ นนั้ เป็นเร่ืองใกล๎ตวั ที่สามารถนํามาใชไ๎ ด๎ทกุ วนั ระดับการบูรณาการท่ีอาจเกิดขึ้นในชั้นเรียนสะเต็มศึกษาสามารถแบํงได๎เป็น 4 ระดับ ได๎แกํ การบูรณาการภายในวิชา (disciplinary), การบูรณาการแบบพหุวิทยากร (multidisciplinary integration), การบูรณาการแบบสหวิทยาการ (interdisciplinary integration) และ การยูรณาการแบบ ข๎ามสาขาวิชา (transdisciplinary integration) ดังแสดงในรปู การบูรณาการภายในวิชา คือ การจัดการเรียนร๎ูท่ีนักเรียนได๎เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะ ของแตํละวิชาของสะเต็มแยกกัน การจัดการเรียนรู๎แบบน้ีคือการจัดการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีท่เี ปน็ อยํูท่ัวไปท่ีครูผสู๎ อนแตลํ ะวชิ าตํางจดั การเรียนร๎ใู หแ๎ กนํ ักเรยี นตามรายวชิ าของตนเอง การบูรณาการแบบพหุวิทยาการ คือ การจัดการเรียนรู๎ท่ีนักเรียนได๎เรียนเนื้อหาและฝึก ทักษะของวิชาของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์แยกกัน โดยมีหัวข๎อหลัก (theme) ท่ีครูทุกวิชากําหนดรํวมกัน และมีการอ๎างอิงถึงความเช่ือมโยงระหวํางวิชานั้นๆ การจัดการ เรยี นรแ๎ู บบนี้ชวํ ยให๎นกั เรียนเหน็ ความเช่อื มโยงของเน้ือหาในวชิ าตํางๆ กบั สง่ิ ทีอ่ ยูํรอบตัว การบรู ณาการแบบสหวิทยาการ คือ การจัดการเรียนรู๎ท่ีนักเรียนได๎เรียนเนื้อหาและฝึก ทักษะอยํางน๎อย 2 วิชารํวมกันโดยกิจกรรมมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทุกวิชาเพื่อให๎นักเรียนได๎เห็น ความสอดคลอ๎ งกนั ในการจดั การเรยี นร๎ูแบบนี้ ครูผู๎สอนในวิชาที่เก่ียวข๎องต๎องทํางานรํวมกันโดยพิจารณา เนื้อหาหรือตัวช้ีวัดที่ตรงกันและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู๎ในรายวิชาของตนเองโดยให๎เชื่อมโยงกับวิชา อ่นื ผํานเนอื้ หาหรอื ตัวชว้ี ัดนัน้ การบูรณาการแบบข๎ามสาขาวิชา คือ การจัดการเรียนการสอนที่ชํวยนักเรียนเช่ือมโยง ความร๎แู ละทกั ษะท่ีเรียนรู๎จากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์กับชีวิตจริง โดย นักเรียนได๎ประยุกต์ความรู๎และทักษะเหลําน้ันในการแก๎ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริงในชุมชนหรือสังคม และสร๎าง ประสบการณก์ ารเรียนรูข๎ องตวั เอง ครผู ส๎ู อนจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ูตามความสนใจหรือปัญหาของนักเรียน โดยครูอาจกําหนดกรอบหรือ theme ของปัญหากว๎างๆ ให๎นักเรียนและให๎นักเรียนระบุปัญหาท่ี 35

เฉพาะเจาะจงและวิธีการแก๎ปัญหาเอง ท้ังนี้ ในการกําหนดกรอบของปัญหาให๎นักเรียนศึกษาน้ัน ครูต๎อง คํานงึ ถึงปัจจยั ทีเ่ ก่ียวข๎อง 3 ปจั จัยกับการเรยี นรข๎ู องนกั เรยี น ไดแ๎ กํ (1) ปัญหาหรือคําถามที่นักเรียนสนใจ (2) ตัวช้ีวัดในวิชาตํางๆ ท่ีเกี่ยวข๎อง และ (3) ความร๎ูเดิมของนักเรียน การจัดการเรียนรู๎แบบ problem/ project-based learning เป็นกลยุทธ์ในการจัดการเรียนรู๎ (instructional strategies) ท่ีมีแนวทาง ใกล๎เคียงกบั แนวทางบรู ณาการแบบนี้ แนวทางการวดั ผลประเมนิ ผลกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา การวดั และประเมนิ ผลกจิ กรรมการเรียนร๎ูตามแนวทางสะเต็มศึกษา นอกจากมีการวัดผล การเรยี นรูต๎ ามแนวทางการวดั ผลของสาขาวิชาที่นํามาบูรณาการรํวมกันแล๎ว ยังต๎องมีการวัดสมรรถนะใน การนําความร๎ูและทกั ษะท่ไี ดเ๎ รียนรูม๎ าประยุกตใ์ ช๎การออกแบบและพัฒนาช้ินงาน รวมท้ังทักษะสําคัญของ การเรียนร๎ูในศตวรรษท่ี 21 เชํน ทักษะการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ (critical thinking) การคิดสร๎างสรรค์ (creative thinking) การทํางานรํวมกันเป็นทีม (collaboration) และ การส่ือสาร (communication) ซง่ึ สามารถพิจารณาไดจ๎ ากตัวอยํางของเกณฑ์การประเมนิ กจิ กรรมแบบโครงงานเป็นฐาน (project-based learning) ประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 1. ผเู๎ รียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์และสรา๎ งนวัตกรรมใหมํๆ ที่ใชว๎ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยีและกระบวนการออกแบบทางวศิ วกรรม เป็นพน้ื ฐาน 2. ผ๎ูเรียนเข๎าใจสาระวชิ าและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตรม์ ากขึน้ 3. สํงเสรมิ การจดั การเรยี นรู๎และเชื่อมโยงกันระหวาํ งกลํมุ สาระวิชา 4. หนํวยงานภาครัฐและเอกชนมีสํวนรํวมสนับสนุนการจัดกิจกรรมของครแู ละบุคลากรทางการศึกษา 5. สรา๎ งกาํ ลงั คนดา๎ นสะเต็มของประเทศไทย เพอื่ เพ่มิ ศักยภาพทางเศรษฐกิจของชาติ 2.1.2 Flipped Classroom ทศั นวรรณ รามณรงค์ (2556) กลาํ วเก่ยี วกบั หอ๎ งเรียนกลับด๎านวํา เป็นการสอน สอนให๎นกั เรียนรบั ผดิ ชอบการเรยี นของตนเอง เม่ือใช๎ห๎องเรียนกลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริง บรรยากาศในห๎องเรียนเปล่ียนไป ชีวิตครู เปลี่ยนไป และพฤติกรรมของเด็กก็เปล่ียนไป ในห๎องเรียนแบบเดิม นักเรียนนั่งฟัง รับคาส่ัง และรับ ถํายทอด แลว๎ ตอบขอ๎ สอบเพื่อพิสูจนว์ ําตนได๎เรียนรู๎ สภาพเชํนนี้ได๎ผลตํอเด็กสํวนน๎อย เด็กอีกจานวนหนึ่ง หมดความสนใจ และหลุดไปจากกระบวนการเรียนรู๎ แตํในห๎องเรียนแบบ กลับทางและเรียนให๎รู๎จริง นักเรียนรับผิดชอบตํอการเรียนของตนเอง การเรียนไมํใชํส่ิงท่ีกระทาตํอนักเรียน แตํกลายเป็นส่ิงที่ 36

นักเรียนเป็นเจ๎าของ เป็นผู๎กระทา และจะเป็นทักษะท่ีติดตัวตลอดไป เมื่อกลับทางห๎องเรียนในชํวงแรก เด็กอาจไมํคุ๎น และอาจตํอต๎าน แตํเม่ือดาเนินการไประยะหนึ่ง เด็กจะเห็นคุณคํา และจะเปล่ียนเป็น เจา๎ ของการเรยี นรข๎ู องตนอยาํ งขมขี มัน ทาํ ให๎หอ๎ งเรยี นเตม็ ไปดว๎ ยกิจกรรมที่หลากหลาย การเรยี นรู้เปน็ ศนู ยก์ ลางของหอ้ งเรียน ในหอ๎ งเรยี นแบบเกํา ครเู ป็นจดุ สนใจของหอ๎ งเรยี น แตํในหอ๎ งเรียนกลับทางและเรียนให๎ รจ๎ู ริงจดุ สนใจอยทํู ่สี ่ิงทนี่ กั เรยี นได๎เรยี นรู๎ หรอื ยงั ไมํรู๎ ในห๎องเรียนแบบนี้ นักเรียนมาเข๎าห๎องเรียนพร๎อมกับ เปูาหมายของการเรียนรู๎ ครูเป็นผู๎จัดสิ่งของห๎องเรียนและส่ิงอานวยความสะดวกตํอการเรียน รวมทั้งชํวย แนะนาให๎นักเรียนวางแผนการเรียนร๎ูของตน ห๎องเรียนเปลี่ยนจากที่รับถํายทอด (ความรู๎) มาเป็นท่ีพูดคุย แลกเปลีย่ น เพื่อการเรียนรู๎ และเพ่อื แสดงวําตนได๎เรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์อยํางรู๎จริง นักเรียนอยํูในสภาพ เป็นเจ๎าของกระบวนการเรียนร๎ู ไมํใชํเพียงผ๎ูรับถํายทอดสาระ ผ๎ูเขียนท้ังสองเปล่ียนชื่อห๎องเรียน (classroom) เป็น พน้ื ทีส่ าหรับการเรียนร๎ู (learning space) การเรียนรู๎แบบกลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริงให๎บริการ feedback แกํเด็กในทันที และลด เอกสารท่ีครูต๎องทําการประเมินอยํางไมํเป็นทางการ เพื่อ feedback แกํเด็กในทันทีที่เด็กทากิจกรรมใน ห๎องเรียน ชํวยให๎เด็กได๎รู๎ความก๎าวหน๎าในการเรียนของตนทันที และครูก็ไมํต๎องตรวจการบ๎านกองโต นกั เรียนจะเอาชน้ิ ผลงานมาคุยกบั ครู เกยี่ วกบั วัตถุประสงคแ์ ละประเดน็ หลกั ของการเรียน ครูจะตรวจสอบ ความเข๎าใจ และความเขา๎ ใจผิดของเด็กไปพร๎อมๆ กัน ครูให๎คะแนนได๎ในช่ัวโมงเรียน และสามารถปรึกษา หรือวางแผนการเรียนท่ีจาเป็นข้ันตํอไปเพ่ือชํวยให๎เข๎าใจชัดขึ้น หรือเพื่อขจัดความเข๎าใจผิด เด็กที่เข๎าใจ แจํมแจ๎งแล๎ว และแสดงความหัวไวในเรื่องนั้น ครูก็สามารถพูดคุยเพ่ือรํวมกันวางแผนการเรียนข้ันตํอไป เพอื่ ให๎ท๎าทายย่ิงข้ึน เข๎าใจไดล๎ กึ และมีมมุ มองท่ีกวา๎ งและเช่อื มโยงยิ่งข้ึน มคี อมพิวเตอร์ทดสอบความเข๎าใจ บทเรียนให๎นักเรียนสอบเอง แล๎วได๎รับคะแนนสอบในทันที นักเรียนกับครูสามารถทบทวนคาตอบรํวมกัน เพื่อทาความเข๎าใจ ครูจะเห็นประเด็นที่นักเรียนมีความเข๎าใจผิดซ๎าๆ กันหลายคน และนามาปรับปรุง บทเรียนของตนได๎ และนามาใช๎ออกแบบการเรียนซํอมได๎ จุดสาคัญของวิธีการเรียนแบบใหมํคือ นักเรียน จะมีความรูเ๎ รอ่ื งนน้ั ถูกตอ๎ งและเพียงพอสาหรบั เปน็ พื้นความรสู๎ ูํบทเรียนตํอไป การเรยี นแบบร๎ูจริง ชวํ ยให๎นกั เรยี นมโี อกาสได๎เรยี นเสริม ในชั้นเรียนตามปกติมีนักเรียน บางคนไมํผํานการทดสอบในรอบแรก ซงึ่ หากเป็นชัน้ เรียนตามปกติ การสอนก็ดาเนินตํอไป และนักเรียนท่ี เรียนไมทํ นั ก็จะคํอยๆ ลา๎ หลงั ยิ่งขึน้ ๆ จนเบอ่ื เรยี น แตใํ นห๎องเรียนแบบรู๎จริง นักเรียนจะเรียนเรื่องเดิมใหมํ จนกวาํ จะรู๎จริง และครูก็จะรู๎วําจะต๎องชํวยเหลือนักเรียนคนใด ในเร่ืองใด คือครูเอาใจใสํนักเรียนเป็นราย คน เม่ือนักเรียนที่เรียนอํอนเหลําน้ีได๎แก๎ความเข๎าใจผิดของตน ก็จะสามารถเรียนบทเรียนตํอไปได๎ คลํองแคลํวขนึ้ 37

การเรียนแบบร๎ูจริงเปิดชํองให๎นักเรียนเรียนรู๎สาระด๎วยหลากหลายวิธี ใช๎ทฤษฎี UDL (Universal Design for Learning)ในการจัดการเรียนรู๎ เพื่อเปิดโอกาสให๎เด็กได๎เลือกเรียนด๎วยวิธีที่ตน ถนัดท่ีสุด เชํนบางคนชอบเรียนจากวิดีทัศน์ บางคนชอบเรียนจากตาราเรียน บางคนชอบค๎นจาก อินเทอร์เน็ต เป็นต๎น ครูก็สํงเสริม ทาให๎เด็กร๎ูสึกมีอิสระ และร๎ูสึกวําการเรียนเป็นเร่ืองของตนเอง เป็น ความรบั ผดิ ชอบของตนเอง การเปิดอิสระให๎เด็กได๎เลือกวิธีเรียนน้ี ชํวยให๎เด็กค๎นพบวิธีเรียนที่ให๎ผลดีที่สุด ตํอตนเอง คือได๎ฝึกทักษะการเรียนร๎ูน่ันเอง เม่ือเปิดอิสระเชํนน้ี นักเรียนจะทดลองวิธีการตํางๆ หลากหลายแบบ บางคนชอบเรียนไปกํอนลํวงหน๎า บางคนชอบทาแบบฝึกหัด บางคนชอบทาแลบ ก็ได๎ เรยี นตามแบบทต่ี นชอบ การเรียนแบบร๎ูจริงเปิดชํองให๎นักเรียนแสดงภูมิรู๎ได๎หลากหลายแบบ การสอบ แบบเดมิ ก็เชํนเดียวกัน ไมํใชํวิธีการทดสอบภูมิร๎ูท่ีเหมาะตํอนักเรียนทุกคนอยํางเทําเทียมกัน นักเรียนบาง คนอาจแสดงความร๎คู วามเขา๎ ใจไดด๎ ีโดยการตอบขอ๎ สอบตามปกติ แตํบางคนอาจแสดงความเข๎าใจได๎ดีกวํา โดยการอภปิ รายดว๎ ยวาจากับครู หรือบางคนชอบการทดสอบโดยนาเสนอด๎วย PowerPoint หรือบางคน อาจเขียนเรียงความอธิบายความเข๎าใจ ท่ีนําต่ืนตาต่ืนใจท่ีสุดคือ มีนักเรียนขอทาวิดีโอเกมเพื่อทดสอบ ความร๎ูความเข๎าใจวิชาของตน และเม่ือครูอนุญาต นักเรียนก็ทาให๎ครูแปลกใจในความคิดสร๎างสรรค์และ ความสามารถของนกั เรียนคนนี้ การเรียนแบบรู๎จริงเปล่ียนบทบาทของครู ครูได๎ใช๎เวลาให๎เกิดคุณคําตํอศิษย์มากท่ีสุด เพอื่ ชํวยใหเ๎ วลาในห๎องเรียนเปน็ เวลาที่ศิษย์เกิดการเรียนร๎ูแบบร๎จู รงิ การเรียนแบบรู๎จริงชํวยให๎นักเรียนเห็นคุณคําของการเรียน ไมํใชํรับจ๎างมาโรงเรียน โดยทั่วไป นักเรียนมาโรงเรียนโดยหวังได๎เกรด ผํานการทํองจาเนื้อวิชา ไมํใชํหวังได๎เรียนร๎ู นักเรียนในช้ัน เรียนแบบกลับทางและเรียนให๎ร๎ูจริง จะเริ่มต๎นด๎วยความไมํพอใจวิธีเรียนแบบใหมํที่ไมํถํายทอดวิชาให๎ โดยตรง แตํในทีส่ ุดเดก็ เหลําน้จี ะคํอยๆ เปลยี่ นไปเปน็ เดก็ ท่มี ที ักษะแหงํ “นักเรยี นร๎ู” วธิ ีเรยี นแบบกลับทางและเรยี นใหร๎ ๎ูจรงิ ชํวยเพมิ่ เวลาพบหน๎าระหวํางครกู ับ ศิษย์ เม่ือเริ่มการเรียนวิธีนี้ ผ๎ูปกครองเด็กบางคนเป็นหํวงวําปฏิสัมพันธ์ระหวํางครูกับศิษย์จะ ลดลง ซึ่งในทางเปน็ จรงิ กลบั ตรงกนั ข๎าม ครูกบั นักเรียนมปี ฏสิ มั พันธก์ นั มากขึ้น และเป็นการปฏิสัมพันธ์ท่ีมี คณุ คาํ ตอํ การเรียนร๎ขู องศิษย์มากขึ้น ผลสัมฤทธ์ิของการเรียนดขี ้ึน และความเครยี ดลดลง เพราะเด็กเข๎าถึง เนอ้ื หาไดเ๎ มอ่ื ตอ๎ งการ ๒๔ ชัว่ โมงตํอวัน และ ๗ วนั ตอํ สัปดาห์ การเรียนแบบร้จู รงิ ชว่ ยใหน้ ักเรียนทุกคนอย่กู บั การเรยี น หลักการเรียนแบบ brain-based มีวํา “สมองท่ีพัฒนา คือสมองของคนที่กาลังทางาน” ในห๎องเรียนแบบเดมิ ผ๎ูที่ทางานคือครู แตใํ นห๎องเรยี นแบบกลับทางและเรยี นใหร๎ ู๎จริง ผ๎ูทางานคือนักเรียน การเรียนแบบรจู๎ ริงทาให๎การลงมอื ทาเปน็ การเรยี นแบบท่ีเหมาะตํอเดก็ แตลํ ะคน 38

ในการเรียนแบบเดมิ การเรยี นในห๎องปฏบิ ตั ิการทาเป็นกลํุมขนาดใหญํ และทาพร๎อมๆ กัน ซึ่งดูเสมือน วําเป็นชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพมาก แตํเมื่อมองจากมุมของการเรียนร๎ูของเด็ก การเรียนร๎ูแบบกลับทาง และเรียนให๎ร๎ูจริง ชํวยให๎เกิดการเรียนร๎ูแบบที่เหมาะตํอเด็กแตํละคน ในช้ันเรียนวิชาเคมีของผ๎ูเขียน หนังสือ ครูใช๎เวลาชํวงแรกอธิบายเร่ืองข๎อพึงระวังด๎านความปลอดภัย แล๎วปลํอยให๎นักเรียนทดลองทาง หอ๎ งปฏบิ ัติการดว๎ ยตนเอง โดยครคู อยชวํ ยเหลือแนะนาเปน็ รายคน กลําวโดยสรุปจากแนวคิดข๎างต๎น ได๎ดังน้ี ตัวแบบ ( Model ) ของห๎องเรียนแบบ กลับด๎าน การจัดการเรียนการสอนแบบห๎องเรียนกลับด๎าน ( Flipped Classroom ) ซ่ึงเป็นนวัตกรรม การเรียนการสอนรูปแบบใหมํในการสร๎างผู๎เรียนให๎เกิดการเรียนรู๎แบบรอบด๎านหรือ Mastery Learning นนั้ จะมอี งค์ประกอบสาคัญท่เี กดิ ขน้ึ 4 องคป์ ระกอบที่เป็นวัฏจักร ( Cycle ) หมุนเวียนกันอยํางเป็นระบบ ซง่ึ องค์ประกอบทัง้ 4 ที่เกดิ ขน้ึ ได๎แกํ 1. การกําหนดยุทธวิธีเพ่ิมพูนประสบการณ์ ( Experiential Engagement ) โดยมี ครูผ๎ูสอนเป็นผ๎ูชี้แนะวิธีการเรียนร๎ูให๎กับผ๎ูเรียนเพ่ือเรียนเนื้อหาโดยอาศัยวิธีการที่หลากหลายทั้งการใช๎ กิจกรรมที่กําหนดข้ึนเอง เกม สถานการณ์จาลอง ส่ือปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด๎านศิลปะแขนง ตาํ งๆ 2. การสืบคน๎ เพ่ือให๎เกิดมโนทัศน์รวบยอด ( Concept Exploration ) โดยครูผู๎สอนเป็น ผค๎ู อยช้แี นะให๎กับผ๎ูเรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลายประเภทเชํน สื่อประเภทวิดีโอบันทึกการบรรยาย การ ใช๎ส่ือบนั ทึกเสยี งประเภท Podcasts การใชส๎ ือ่ Websites หรอื สื่อออนไลน์ Chats 3. การสร๎างองคค์ วามรอ๎ู ยํางมีความหมาย ( Meaning Making ) โดยผ๎ูเรียนเป็นผ๎ูบูรณา การสร๎างทักษะองค์ความร๎ูจากสื่อท่ีได๎รับจากการเรียนรู๎ด๎วยตนเองโดยการสร๎างกระดานความรู๎ อิเล็กทรอนิกส์ ( Blogs ) การใช๎แบบทดสอบ ( Tests ) การใช๎สื่อสังคมออนไลน์และกระดานสาหรับ อภปิ รายแบบออนไลน์ ( Social Networking & Discussion Boards ) 4. การสาธิตและประยุกต์ใช๎ ( Demonstration & Application ) เป็นการสร๎างองค์ ความรู๎โดยผู๎เรียนเองในเชิงสร๎างสรรค์ โดยการจัดทาเป็นโครงงาน ( Project ) และผํานกระบวนการนา เสนอผลงาน ( Presentations ) ทีเ่ กดิ จากการรังสรรคง์ านเหลําน้ั น กระบวนการของห้องเรียนแบบกลับดา้ น ( Flipped Classroom ) 1. กิจกรรม Warm-up 5 นาที 2. ถาม – ตอบเรือ่ งวดี ทิ ศั น์ 10 นาที 3. กจิ กรรมเรียนร๎ทู ีค่ รูมอบหมาย หรือนักเรยี นคดิ เอง หรอื Lab 1 ช่ัวโมง 15 นาที ประโยชนท์ ่เี กดิ จากการเรยี นแบบห้องเรยี นกลบั ดา้ น 1. เพ่ือเปล่ียนวิธีการสอนของครู จากการบรรยายหน๎าช้ันเรียนหรือจากครูสอนไปเป็นครูฝึก ฝึก การทําแบบฝกึ หัดหรือทากจิ กรรมอ่ืนในช้ันเรยี นใหแ๎ กํศษิ ย์เปน็ รายบุคคลหรอื อาจเรียกวาํ เป็นครูติวเตอร์ 39

2. เพ่ือใชเ๎ ทคโนโลยีการเรียนท่ีเด็กสมัยใหมํชอบ โดยใช๎สื่อ ICT ซึ่งกลําวได๎วําเป็นการนาโลกของ โรงเรียนเขา๎ สโูํ ลกของนกั เรยี นซง่ึ เป็นโลกยุคดจิ ิตลั 3. ชํวยเหลือเด็กที่มีงานยํุง เด็กสมัยน้ีมีกิจกรรมมาก ดังนั้นจึงต๎องเข๎าไปชํวยเหลือในการจัดการ เรียนร๎ูโดยใช๎บทสอนท่ีสอนด๎วยวีดิทัศน์อยํูบนอินเทอร์เน็ต ( Internet ) ชํวยให๎เด็กเรียนไว๎ลํวงหน๎าหรือ เรยี นตามชั้นเรียนไดง๎ ํายขึ้น รวมทั้งเปน็ การฝึกเดก็ ใหร๎ ูจ๎ ัดการจัดเวลาของตนเอง 4. ชํวยเหลือเด็กเรียนอํอนให๎ขวนขวายหาความร๎ู ในชั้นเรียนปกติเด็กเหลํานี้จะถูกทอดทิ้งแตํใน ห๎องเรียนกลบั ดา๎ นเด็กจะไดร๎ บั การเอาใจใสจํ ากครมู ากท่สี ุดโดยอัตโนมตั ิ 5. ชํวยเหลือเด็กท่ีมีความสามารถแตกตํางกันให๎ก๎าวหน๎าในการเรียนตามความสามารถของ ตนเอง เพราะเด็กสามารถฟัง-ดูวีดิทัศน์ได๎เองจะหยุดตรงไหนก็ได๎ กรอกลับ ( Review ) ก็ได๎ตามท่ีตนเอง พงึ พอใจท่จี ะเรยี น 6. ชํวยให๎เด็กสามารถหยุดและกรอกลับครูของตนเองได๎ ทาให๎เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตนพอใจ เบอ่ื กห็ ยุดพักได๎ สามารถแบํงเวลาในการดเู ป็นชวํ งได๎ 7. ชํวยให๎เกิดปฏิสัมพันธ์ระหวํางเด็กกับครูเพ่ิมขึ้น ตรงกันข๎ามกับการท่ีเรียนแบบออนไลน์ การ เรียนแบบห๎องเรียนกลับด๎านยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคงมาโรงเรียนและนักเรียนพบปะกับครู ห๎องเรียนกลับด๎านเป็นการประสานการใช๎ประโยชน์ระหวํางการเรียนแบบออนไลน์ และการเรียนระบบ พบหน๎า ชํวยเปลี่ยนและเพ่ิมบทบาทของครูให๎เป็นทั้งพ่ีเล้ียง (Mentor) เพ่ือน เพ่ือนบ๎าน (Neighbor) และผเู๎ ช่ยี วชาญ (Expert) 8. ชํวยให๎ครูรู๎จักนักเรียนดีขึ้น หน๎าที่ของครูไมํใชํเพียงชํวยให๎ศิษย์ได๎ความรู๎หรือเน้ือหา แตํต๎อง กระตน๎ุ ให๎เกิดแรงบันดาลใจ (Inspire) ใหก๎ าลงั ใจ รบั ฟังและชวํ ยเหลอื สงํ เสริมผ๎ูเรียนซ่ึงเป็นมิติสาคัญที่จะ ชํวยเสริมพฒั นาการทางการเรยี นของเด็ก 9. ชํวยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหวํางเพ่ือนนักเรียนด๎วยกันเอง จากกิจกรรมทางการเรียนท่ีครูจัด ประสบการณ์ขึ้นมานั้น ผู๎เรียนสามารถที่จะชํวยเหลือเก้ือกูลซ่ึงกันและกันได๎ดี เป็นการปรับเปล่ียน กระบวนทศั น์ของนกั เรยี นทีเ่ คยเรยี นตามคาส่งั ครูหรือทางานให๎เสร็จตามกําหนด เป็นการเรียนเพ่ือตนเอง ไมใํ ชคํ นอ่นื สงํ ผลตอํ เด็กท่เี อาใจใสกํ ารเรยี น ปฏิสมั พันธ์ระหวํางนักเรยี นดว๎ ยกันจะเพ่ิมข้ึนโดยอตั โนมัติ 10. ชํวยให๎เห็นคุณคําของความแตกตําง ตามปกติแล๎วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กที่มีความ แตกตํางกันมาก มีความถนัดและความชอบท่ีแตกตํางกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนแบบห๎องเรียน กลับทางจะชํวยให๎ครูเห็นจุดอํอนจุดแข็งของผู๎เรียนแตํละคน เพื่อด๎วยกันก็เห็น และชํวยเหลือกันด๎วยจุด แขง็ ของแตํละคน 11. เป็นการปรบั เปลย่ี นรูปแบบการจดั การหอ๎ งเรียน ชํวยเปิดชํองให๎ครูสามารถจดั การช้ันเรียนได๎ ตามความตอ๎ งการทจี่ ะทา ครสู ามารถทาหน๎าทข่ี องการสอนท่สี าคัญในเชิงสร๎างสรรค์ เพื่อสร๎างคุณภาพแกํ ชัน้ เรียน ชวํ ยให๎เด็กรูอ๎ นาคตของชวี ติ ได๎ดีทีสุด 40


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook