Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กามนิต

Description: กามนิต เป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก ประพันธ์ใน ค.ศ. 1906 โดยคาร์ล แอดอล์ฟ เกลเลอโรป นักประพันธ์ชาวเดนมาร์ก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมใน ค.ศ. 1917 หนังสือกามนิตได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ฉบับภาษาไทยแปลโดยเสฐียรโกเศศ–นาคะประทีป ในปี พ.ศ. 2473.

Search

Read the Text Version

กรไณล*'ว พระรูปพระพุทธเจ่าก็เจ่ามาใกล้มโนวลีกามนิฅเ ขนทุกที จนคุประหนึ่งว่าเบนเมฆเลื่อนลอยเจ่ามา, แล่วหุ้ เบนก่งหมอกที่มืรํศมืรุ่งเรืองใสกระจ่าง ฉะน,น. ๏๏๏ สี่สิบหำ กลางคนและรุ่งเช่าในสกลจิกรวาล ย่นว่าในห้องโถงที่ประชุมเลื่ยงคุก,น เมื่อก่บโคมไพ่ต่าง ๆ หมกแล่ว ก็'.หลือแต่โคมเล็กอยู่ควงเดียวริบหรี่ อยู่มุมห*องหนำรูปบ ก่งนึ่ฉน'โด, กามนิฅก็เหลืออยู่ทีหลํงเพี่อนริบหรี่แต่ผู้เดียว ในท่ามก แห่งวิศวราตรี คือ กาละอ*นึเบี!นราฅรีไปหมด. อ’นรูปธรรมกามนิต มีตารกะธาตแห่งความเหมือนในองค์ พระพุทธเจ่าห่อหุ้มอยู่แล่วิ, นามธรรมก็มีความตรึกนึกในองค พุทธเจ่าเจ่าไปซึมซาบอยู่. นึ่แหละเบี!นเสมือนนามนที่หล่อเลํ้ยง ในโคมน์อยไว้มิให้คบ. ถอยกำที่ตนได้เคยสนทนาอยู่กบพระบรมศาสดา ในห่องโถง ช่างหมอกรุงราชคฤห ได้กล*บมาปรากฏโดยสนเซิง ฅง๎แต่ก่น'จน อวสาน : ประโยคต่อประโยคและคำต่อคำ. เมื่อหวนระลึกถอยกำ เหล่านึ่ได้ตลอดแล่วิ, ก็เรี่มทวนก่นไปใหม่. ในจ่อกวามที เบนประโยค ๆ ไบ่นน, ประโยคหนึ่ง ๆ เบนเสมือนทวารก่นทางที่จะ เช่าวิถีใหม่แห่ง'ธรรมรส, ซึ่งเช่าไปตรองเห็นแล่ว ก็ล่วงเช่าอีกทวา ๓๓ดา)

ห,แง, แล้วก็ผ่านอีกทวารหนึ่ง, เบ็๋นลำค*บติดต่อท้นไป, พลางกามนิ ฅรวจคนฅามวะ!]ะวิถีแห่งความตรึกนึก, จนไม่มีถีงไรเหลืออยู่ นอกจาก ความมืดตอซึ่งล้อมอยู่รอบตน. ขณะที่ควง'จิตเบน’ไปอย่อย่างนึ ทํ้ง์มีความเพ่งพินิจหน พระพุทธเจ’าเขำไว้เบี่นอารมณ์ จนหมคสํ้น ไม่มีอารมณ์อะไร อยู่, ประกอบท1งรปธรรมก็นำเอาตารกะธาตุที่อยู่รอบตน เขาไปรวม เนั้ออยู่คิวยทวีขํ้น, จนส็่งทื่เหลืออยู่โปร่งบางไปหมด ความมืดแห่งวิศวราตรีก็ปรากฏมี เบนสีนาเงินอ’Vเงาม แล้วก็เขมข ทกที, เบ็่นคิงนํ้ กามนิตจึ่งนึกว่า — “ออกไปในที่น่น เบนความมีดอนกว่างขวางมหึมาหนาแน แห่งวิศวราตรี. แต่ก็'จะคิองมีคราวถึงกำหนด เบ็่นความรุ่งเขำ มีท้าวมหาพรหมขั้นใหม่. คิาว่าความตรึกนึก และมโนธาต เพ่งเล็งไปทางที่จะจุติเบี่นท้าวมหาพรหม ซึ่งมีหนำที่ร่ง ขั้น, ก็กงไม่มีใครจะดีไปกว่าเรา. เพราะในขณะจะสนก*'ลป กำลงถึง กาลประลยไปอยู่น สื่งท้งํ้ปวงก็ข่อย!!บด'บตามกนหมด คงเหลือ ท้าวมหาพรหมประจำหนำที่ มีความรู้สึกได้ดีพร่อม อยู่ในท่าม วิศวโลกานุโลกแฅ่ผ้เดียว. จริงอยู่ ถาเราปรารถนา ก็ย่อมจะท ทนที กล่าวคือ ร่งสฤษฏ์สื่งที่งปวงให้กลบมีชีวิตขั้น, แลวพัให ดก๓^

ตามตำแหน่ง ในโลกานุโลกที่ปรากฏใหม่. แต่ก็มีอย่อย่างเดียว ที ร*งสฤษฏ์หาได้ไม่ คือ ไม่สามารถชบวาสิฏฐีขั้นมาได้อีก. วาสิฏ3 สั้นชาฅิสํ้นภพ'โปแล5ว ล่วงไปในล*กษณะซึ่งไม่มีเชํ้อเกิดเหลืออยู่เลย, ถึงพระเบนเจ่ามหานภาพองค์ใดองค์หนึ่ง หรือเทวดา มาร พรหม จะกนหาก็ไม่พบร่องรอย เมื่อไม่มีวาสิฏ3ผู้งามเลิศและดีเลิ จะมีผลดีอะไรในความเกิดมีชีวิตอยู่ใ มีประโยชน์อะไรดำยชีวิตของ ทำวมหาพรหม ที่ฅํองล่วงไปเหมือนกน? อะไรคือความเบึ่นชำคราว? และอะไรคือความคงที่ ? “ไม่ตองคิดอย่างอื่น: ความคงที่นนมี, และทางไปสู่คว คงที่นนก็มี. “พราหมณ์ชราผู้หนึ่งเบนวานะปรํสถ คือความม*กนอยสน'โดษ อยู่ในท่า ได้เคยสอนเราว่า ในบริเวณรอบหำใจ มีเล่นโลหิตอน่ ละเอียดหอมล่อมอยู่น*บดำยร่อย สำหร*บอาตมนจะได้ส่งความคิด ความรู้สึกแล่นไปตลอดกาย. แต่ว่ามีเสนหนึ่งขั้นไปสู่กระหม่อมศีรษ น1นแหละ เบนทางที่อาตมํน่ออกจากร่าง. โลกานุโลกก็อย่างเดียวก ย่อมมีวิถีน*บดำยรอย ควยพน คำยแสน ผ่านไปในแคนทุกข์ สนทำง ยาวบาง และแม่ซ่านไปจบภวานุภพ. แต่ก็มีวิถีอยู่อย่างเดียวเท่านน ที่ออกจากภพเหล่านึ่ไปได้อย่างแท้เที่ยง, นึ่คือวิถีไปสู่แดนความก ไม่มีเครื่องกีดขวางอีกแลว. ในขณะนึ่ เรากำล่งดำเนินเขำสู่ท และจะไปจนถึงทีสุด.” ๓๓ลิ่

แลวกามนิตก็ยึดเอาพระพุทธนิมิตไว้ในมโนธาตุแน่นแพน มุ่งแต่วิถีห้จะไปสู่ความสั้นแห่งทุกข์. ขณะน5น วิศวราตรีท ตลอด ก็มืดแน่นหนกเขาทกที ครนเมื่อมึดอคทึบถึงที่สุด ก็ใ]งเกิดสยมภูองค์ใหม่ฉายแ แปลบขนมา คือ ทำวมหาพรหม ผ้จะส่งความสว่างและถนอมสกล จกรวาลน้บได้แสน ให้กงสืบปวํตยาการไปตลอดอีกก*ลธ์|หนึ่ง. และขณะนน ทำวมหาพรหม ก็บํนดาลสงท*งปวง'ให้มีชีวิฅชํ้น : “ คูก่อนสรรพชีพ ซึ่งไค้พกอยู่ตลอดคืนหนึ่งของพรหม ในความว่างเปล่า, จงตื่นเถิด แล่วเขำประจำตำแหน่งตามอำ ที่เราเฉลี่ยแก่ตน รบกวามบนเพิง'ใปชวว*นหนึ่งของพรหม'โลก.” กรํนแลิวชีพและโลกานุโลก ก็ผดขั้นจากมหนธการก'วามมืด แห่งความว่างเปล่า, ดุจลุกลอยลมโผล่สลอนขั้นมาในกลางหาว, เบ ดาวต่อดาว, ชีพต่อชีพ, ส่งเสียงแซ่ซองยินดีกึกกองตลบนภากาศ ว่า— “ขำแต่ทำวปรเมษฐ์, 'พระองค์ตรสเรียกพวกขำพเจำท ให้อุบ*ฅในสกลจกรวาลที่สรำงใหม่, และเ รีมเบนวนใหม่เพ ขำพเจำไค้รบความชื่นบานในพรหมโลก จากส่วนความบไแห้งส พระองค์มีอยู่รุ่งเรืองฉายมาให้.” เมื่อกามนิฅไค้เห็นและไค้ยินเสียงสำรวลร่าครึกกรั้นรื่นเร ตลอด ก็บํงเกดความลิงเวชใจ: ๓๙'0

“ชีพ และโลกานุโลก และคาวเทพ และแม้ถึงทำวมหาพรหม เอง ค่างแซ่ซ4องยินดีปรีดาค่อนร*บว”นใหม่แห่งพรหม'โลก. เพราะ อะไร ? ก็เพราะไม่ร้แจำซึ่งความจริง'.” อไเความสมเพชโลก ทวยเทพ และทำวมหาพรหมนเอง เบ็่น ทางให้ประหาร มานะ ความสำก*ญตน และภวราก กวามติดใจเกิด ที่ยำเหลือเบนเศษอยู่ หมดสนไป, และบ”คนึ่ก็มารำพึงว่า— “ระวางว”นหนึ่งของพรหมนื ย่อมมีพระส'มมาส”มพุทธเจก้มา ดร”ส และประกาศพระธรรม คือ ส”จจะ, และทวยเทพที่เราเห็นอยู่ รอบขำงเหล่านึ่ ก็อาจได้ยินสำจะ อ”นส่องทางวิสุทธิแห่งตนๆ เบ อุป,แส่?]แล่ว. ถก้มาระลึกได้ว่า ในเวลารุ่งเชก้แห่งว”นในพรหมโลก ได้เห็นผู้หนึ่งออกไปพนชาติภพแลว, นำแจะเบนอุทาหรณ์แห่ง ส”จธรรมที่ตนได้ยิน มาสำแดงผลประจ'กษ์แก่ตน, และเมื่อโจษก”นว่า ‘ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในท่ามกลางพวกเรา หรือจะเรียกว่าส่วนหนึ่งแห่ง ได้ล่วงหนำไปในวิถีที่เบ็'นทางวิมุตติแลว,’ ก็จะเบนเหตุนำเขาเหล่า นน เขก้สู่วิถีที่ถูกดำย.เพราะฉะนน เราจ'กช่วยนำทางเขาท1งหมด; จะไม่เอาตำรอดแ1 2ต^ ่/ะา ผ้เคียว. เพราะตามความจริง ไม่มีใครช่วยตน ได้ โดยตนเองมิได้ช่วยผู้อื่น.” ในเวลาไม่ชก้ คาวเทพบางองค์ ณ็รี่มสำเกดเห็น ว่ามีดาวเทพ อยู่องค์หนึ่ง ท่ามกลางพวกตน หาได้ส่องแสงรุ่งเรืองสว่างขั้นโดย ลำด”บไม่ กลบมีล่กษณะตรงก”นขก้ม คือหรี่มวลงไป. ๓๔๑

เหล่าดาวเทพจึ่งร่องเตือนว่า— ท่านผู้เบ็่นภราดา, ท่านพึงหนไปเพ่งท่าวมหาพรหม เพ รบแสงให้เกิดความสว่างรุ่งเรืองยึงขํ้น. เพราะท่านก็ผู้หนึ่งเบ ในหมู่เรา อิน,ท่าวมหาพรหมได้เรียกให้มาร่วมเสวยความบ'นเท ท่ว่ยอาศไ]รศมีท่าวเธอฉายส่องมาให้.” แม้ทวยเทพรองบอกมาเช่นนึ่, กามนิตจะได้เอาใจใส่ พงก็หาไม่. ทวยเทพคงจองด เห็นคาวกามนิดอิงหรี่แสงลงเสมอ ก็เก ความวิตก, ร่องทุกข์ต่อท่าวมหาพรหมว่า— “ ขำแต่ท่า,วสุรเชษฐ์ ผู้เบ็๋นแสงสว่างและเบนผู้ถนอมข เหล่าพวกขำพเขำ, ไค้โปรดเถิดพระเ•ขำขำ. ดาวดวงนึ่ไม สามารถจะส่องร'ศมี มีแต่,จะลดน้อยถอยแสงลง'ใป. ขอประทานแสง สว่างจากพระองก เพื่อ'ให้พื่นชํ้น จะ’ได้ร่วมความบนเทิงสุขภาย อนร่งเรืองของพระองค์.” ครนแล,วิ ทไวจ'ตุรพ'กฅร์มหาพรหมผู้เต็มเบึ๋ยมด8วิยพรหมวิ ก็เพ่งพระเนตรในพระพกฅร์ดไนที่แปรไปในทางกามนิฅ ส่งมหา นุภาพ'ให้พ่นกำล่งขํ้น. แต่แสงของกามนิฅ อิงคงปรากฏว่าลดน้อยลงทุกที. ทไว พรหมทรงสมเพช ในเหตุที่ว่า ดาวควงนึ่ไม่ยอมรบรศมีที่ ฉายไปประทาน. แม้แต่ควงอาทิตย์ตํ้งแสน ซี่งลำนได้รไ]แสงไปจ ๓๔!23

พระองค์ ก็!]งยินดีปรีคา, ไม่เหมือนก*บคาวดวงน. พระองค์จึง ประมวลเอาแสงทิพย์ที่มีอยู่ในสกลจำรวาล อนเบ็1นแสงมีอำนาจพอ ที่จะเผาผลาญโลกานโลกได้ต1งพํน ให้เบนถ่านเถำในพริบคา ส่องพุ ฅรงไปที่กามนิฅ. แต่แสงของกามนิฅก็กงหรี่ลคลงอยู่เรื่อย ประหนึ่ง กวามดบอยู่แล้ว. ทำวมหาพรหมทรงปริวิตก ว่า — “ ดาวนึ่ดวงเดียวที่พนอำนาจเราไปได้, เช่นน8นเบ็่นอ เรามิได้ทรงสรรพศํกดีแท้จริงเสียแลำ. เราไม่แจำว่าดาวดวงน1นจะไ ทางไหนคำย, เช่นนนเบนอนว่า เรามิได้เบ็่นสํพพญผู. เพราะดาว เทพดวงนน จะมิได้ดเบไปเหมือนกวามดบ คือ ความดาย ที่มีแก่ชีพ อื่นที่ง์หลาย ซึ่งแลำไปเกิดใหม่ตามกรรมปรุงแต่งไว้. ดาวดวงน8น ไม่ยินดีรบแสงของเรา เพราะเห็นทางสว่างในวิถีไหนหนอ? เช่นนน คงมีความสว่างที่รุ่งเรืองกว่าเรา อยู่ในวิถีตรงขำมจากเรา. เราควรจะ ถือเอาทางน*นึ่ดำย ดีหรือไม่หนอ?” และในขณะเดียวกนนึ่ ชีวาตมนแห่งเหล่าดาวเทพก็บำ ปริวิตกเช่นเดียวกนว่า — “ ดาวดวงนึ่ถอยห่างจากอำนาจทำวมหาพรหม, เช่นนึ่ อนว่า ทำวมหาพรหมมิได้ทรงสรรพศำดี. แสงอะไรหนอที่ส่ ๓^๓

ทางดาวควงนน จนปรากฏว่าคาวน*น์ไม่ใยดีต่อรํศมีทำวมหาพรหม 1 ถาเช่นนนทํองมีแสงอื่นอีกแห่งหนึ่ง ทรุ่งเรือง,ดีกว่าแสงซึ่ ความบไแทิงสุขอยู่ ณ บ*คนึ่, และอยู่ในวิถีทางที่ดรงขามจากเรา. เร ควรจะไปทางนน ดีหรือไม่หนอ ? ผายทำวมหาพรหม ทรงรำพึงว่า — “เราตกลงใจแลว. ทำกระไร, เราพึงรวมร*ศมีแห่งเรา ซึง ซ่าน’ใปทํววิศวากาศ คืนมาสู่เรา, แลำให้จ'กรวาลเหล่านท8งหม แก่ประลย เบนกลางคืน ๆ หนึ่งของพรหมโลก. และเมื่อรวบรวม รํศมีมาอยู่ในเ ราแห่งเดียวหมดแทํวิ, จิกไค้แผดร*ศมีนไ;ตรงไปที่คาว เทพดวงนไเโดยเฉพาะ เพื่อรงให้กลบคืนมาอยู่ใหม่ในพ จงได้.” - ค'รนแลวิ •ทำวมหาพรหมก็ทรงเรียกเอาบรรดาร*ศมี ที่แผ่'ไปท่ว้ วิศวากาศ. โ'ล:ก่ำนุโลกก็ถงระยะกาลประล*ย, เช่าสู่ความมืดแห่งพรหม ราตรีกาลอีกคำรบหนึ่ง. และทำวมหาพรหม ก็รวบรวมร่กีมีให้มาอ ในที่แห่งเดียว ฉายพุ่งตรงไปที่กามนิฅ, อนเบนแสงอำนาจพ สกล'โลกนบดืวิยแสน'โกฏิลุกเบนใฟ ; แล่วิให้ร'ศมีนึ่นกลบคืนมาสู พระองค์ และแผ่ปล่อยไปในวิศวากาศขํ้นเบ็นคำรบใหม่. น ถงตอนน — ทาวมหาพรหมควรทอดพระเนตรคาวกามนฅ สก สว่างขน, กล'บเห็นแสงริบหรี่หนกลงเรื่อยไป จนดีบวูบไม่มีเหลือ. ๓ (รึ๋. (&.

ระวางกลางวิศวากาศอ*นหาเขตกำหนดมิไค้ สกลจกรวาลาน จ*กรวาล เกิดขํ้นแลำช'วแล่นหนึ่ง ก็ประลยลาญ, เกิดเบ็นวน[หม ของพรหมโลกเบนว*นหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า หนึ่งกลป. ส่วนกามน้ตนบถือ เอาซึ่งสญ,จาริกเบ็่นบญว่ฅร ก็ด*บรวบจริมจิฅสํ้นเช้อไปเอง, เหมือน แสงไฟในโคมที่ด*บ เพราะหมดนามนที่หล่อเลยงไส้ไว้จนหยาดสุดทาย ฉะนึ่นแล. อิติ ศฺรีกามนีตสูตริ สํปูรุณ34 I กามนิตสูตรชริบูรณ์โดึยประสงตแล พิมพ์ทโรงพิมพ์ชวนพิมพ์ ๑๑!®-๑๑๖ ถนนบร์พ่ฅร สำราญราษฎร์ พระนคร โทร นายชวน ศรสงคราม ผู้พิมพ์โฆษณา ๖:๕0๘ ๓๔๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook