๔. มีการอา้ งองิ จากงานวิจัยอ่ืน ๆ ๒๖๒ citations แมว้ ่า งานวิจยั ทัง้ หมดเร่มิ ตพี ิมพใ์ นปี ๒๐๑๙ ๕. งานวิจยั ดังกลา่ ว ในเรือ่ ง Blockchain IoT และ Business Processes เปน็ เร่อื งท่ีใหมแ่ ละไดร้ บั ความสนใจทั่วโลก ดงั นนั้ นักวิจัยหรือผ้ทู มี่ ีความสนใจในเร่ืองน้ี สามารถตอ่ ยอดผลงานจากผลงานท่ีไดร้ ับการ ตีพิมพ์ สถานที่ตดิ ตอ่ 349 ภาควชิ าสถติ ิ คณะพาณชิ ยศาสตรแ์ ละการบัญชี โทรศัพท์ ๐๘-๙๗๒๐-๒๙๐๐ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชูเกียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวิจัยดีเดน่ ประเภทนสิ ติ ดษุ ฎบี ณั ฑิต สาขา วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ ผลงานวิจยั เร่ือง การตอบสนองทางภูมคิ ้มุ กนั ตอ่ วัคซนี ไอกรน Immunity to Pertussis Vaccination โดย อาจารย์ ดร. แพทยห์ ญงิ ณศมน วรรณลภากร อาจารย์ทีป่ รึกษาหลัก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภูว่ รวรรณ ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ แหลง่ ทนุ ที่ได้รบั ๑. แหลง่ ทุน Thrasher Research Fund ๒. แหลง่ ทนุ Research Chair Grant ของ สำ� นกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ ๓. แหลง่ ทนุ จากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ 350 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ยั โดยสรปุ ประเทศไทยเริม่ มีการใชว้ ัคซีนป้องกันโรคไอกรนในเดก็ ทารกต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๐ ในรูปของวัคซนี รวม คอตีบ-ไอกรนชนดิ เต็มเซลล-์ บาดทะยกั จำ� นวน ๒ ครัง้ ในเด็กอายุ ๒ และ ๔ เดอื น และในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และ ๒๕๓๐ มีการปรบั เพม่ิ เปน็ สามครงั้ (อายุ ๒, ๔ และ ๖ เดือน) และสค่ี รั้ง (อายุ ๒, ๔, ๖ และ ๑๘ เดือน) ตามล�ำดับ จนกระท่ังในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ปรับเป็นให้วัคซีนไอกรนท้ังหมด ๕ ครั้ง ที่อายุ อายุ ๒, ๔, ๖, ๑๘ และ ๔๘ เดอื น แต่จนถงึ ปจั จุบันกย็ งั ไมส่ ามารถก�ำจัดโรคไอกรนให้หมดไปได้ โรคนส้ี ามารถเปน็ ไดท้ กุ ชว่ งอายุ โดยทารกและเดก็ เลก็ จะเปน็ กลมุ่ เสยี่ งทอ่ี าจเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจนเปน็ อันตรายถึงชีวิตได้ ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิต้านทานต่อเชื้อไอกรนในประชากรชาวไทยที่เคยได้รับวัคซีนมาใน วัยเด็กยงั มจี ำ� กัด รวมถึงการเพ่มิ ขึ้นของอตั ราป่วยด้วยโรคไอกรนเพิม่ ขน้ึ ในเดก็ ไทยทีอ่ ายนุ อ้ ยกวา่ ๑ ปี จึงเป็นที่มาในการศกึ ษาภูมติ ้านทานต่อเช้อื ไอกรนในประชากรไทยและหญิงตง้ั ครรภ์ชาวไทย การให้วัคซีนไอกรนในหญิงตั้งครรภ์ เป็นวิธีที่สามารถจะช่วยส่งผ่านภูมิต้านทานเพ่ือป้องกัน โรคไอกรนจากมารดาไปสู่ทารก และสามารถปกป้องทารกจากโรคไอกรนในช่วงระยะแรกของชีวิตได้ อยา่ งไรกต็ ามยงั ไมม่ กี ารศกึ ษาวา่ ภมู ติ า้ นทานของมารดาทอ่ี ยใู่ นรา่ งกายทารกจะสามารถรบกวนการสรา้ ง ภูมิคุ้มกันในตัวทารกได้หรือไม่ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือต้องการศึกษาถึงผลของ maternal vaccination/maternal antibodies ต่อ humoral และ cell-mediated immune response ใน ทารกท่ีได้รบั วคั ซนี ไอกรนชนดิ เต็มเชลล์ และไรเ้ ซลล์ ๑ เดอื นหลงั ได้รบั วคั ซีน primary series จ�ำนวน สามครงั้ และ ๑ เดือนหลงั จากไดร้ ับวัคซนี กระต้นุ เขม็ แรก การศึกษานเ้ี ปน็ randomized controlled clinical trial โดยผูว้ จิ ัยจะศึกษาระดบั ภูมคิ ้มุ กนั ของ โรคไอกรนในบุตรที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน (Boostrix, GSK, Rixensart, Belgium) ขณะอายคุ รรภ์ ๒๗ - ๓๖ สัปดาห์ ทารกที่คลอดจะถูกแบง่ ออกเปน็ ๒ กลุ่ม ไดแ้ ก่กลุ่มทไ่ี ดร้ ับ วัคซนี ไอกรนชนิดเต็มเซลล์ (Quinvaxem, Berna Biotech, Incheon, Korea) และกลุ่มทไ่ี ดร้ บั วัคซีน ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (Infanrix hexa, GSK, Rixensart, Belgium) นอกจากน้ียังมีทารกกลุ่มควบคุม คือกลุ่มที่มารดาไม่ได้รับวัคซีนไอกรนขณะตั้งครรภ์ และทารกได้รับวัคซีนไอกรนชนิดเต็มเซลล์ของ กระทรวงสาธารณสขุ ทารกทกุ รายจะไดร้ บั การตรวจตดิ ตามและฉดี วคั ซนี ไอกรนทโี่ รงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ เม่ืออายุ ๒, ๔, ๖, ๑๘ เดือน ตรวจภมู ติ ้านทานชนดิ IgG ต่อ pertussis toxin (PT), filamentous haemagglutinin (FHA) and pertactin (PRN) ท่ีอายุ ๒ และ ๗ เดือน จะตรวจหาโดยวิธี ELISA การตรวจ T cell response ทำ� โดยนำ� เม็ดเลือดขาวของเด็กทอ่ี ายุ ๗, ๑๘ และ ๑๙ เดือนมากระตุ้น ด้วย heat-inactivated PT ในหลอดทดลอง แล้วน�ำมาดู cell proliferation, วเิ คราะหห์ า cytokine ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ Th1, Th2 และ Th17 cytokine และวิเคราะหห์ าความแตกต่างของ cytokine producing CD4+ T cell โดยวธิ ี intracellular cytokine staining assay ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 351
ผลการศึกษาพบว่าในขณะทมี่ ภี ูมิต้านทานของมารดาอยูใ่ นกระแสเลอื ดในปรมิ าณที่สงู ทารกทไ่ี ด้วัคซีน ไอกรนชนิดไรเ้ ซลล์ สามารถสรา้ ง IgG ได้สูงกวา่ ทารกทไี่ ด้วัคซนี ไอกรนชนดิ เตม็ เซลล์ แต่เม่ือเปรยี บเทียบ IgG ต่อโปรตนี ของเชือ้ ไอกรนในทารกทไี่ ด้รบั วคั ซนี ไอกรนชนดิ เตม็ เซลล์ แตค่ ลอดจากมารดาทีไ่ ด้รบั หรอื ไมไ่ ดร้ บั วัคซนี ไอกรนขณะตั้งครรภ์ พบว่าทารกท่คี ลอดจากมารดาทไ่ี ด้รับวคั ซนี ไอกรนขณะต้ังครรภ์ มรี ะดบั IgG ท่ตี �่ำ กวา่ ทารกทีค่ ลอดจากมารดาทีไ่ มไ่ ดร้ ับวัคซีนขณะต้งั ครรภ์ วัคซีนไอกรนชนดิ เต็มเซลล์ สามารถกระต้นุ Th17 response ได้ดกี วา่ ชนิดไรเ้ ซลล์ นอกจากนี้ยังพบวา่ การตอบสนองทาง cellular immunity ของทารกก่อน และหลังจากการได้รับวคั ซีนกระตนุ้ ทอ่ี ายุ ๑๘ เดอื นนน้ั ไม่ต่างกัน 352 ยกย่องเชิดชูเกยี รติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ส่งิ ทด่ี ีเดน่ ของงานวจิ ัย ผลการศึกษามีประโยชนต์ ่อกระทรวงสาธารณสขุ และ ส�ำนักงานหลักประกันสขุ ภาพแห่งชาติ สามารถ น�ำข้อมูลไปวางแผนการให้วคั ซีนในระดบั ชาตไิ ด้ ขอ้ มูลจากการศกึ ษานี้ยงั มีประโยชนต์ ่อประเทศก�ำลงั พัฒนา จ�ำนวนมากท่ียังใช้วัคซีนไอกรนชนิดเต็มเซลล์ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ และตัวอย่างน้�ำเหลือง ท่ีเหลือจากการตรวจภูมิต่อวัคซีนไอกรนนี้ สามารถน�ำไปตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคติดเชื้อท่ีส�ำคัญอื่น ๆ ใน ประเทศไทย เช่น ตับอักเสบบี หดั หัดเยอรมนั คางทมู คอตบี บาดทะยัก ไข้สมองอักเสบฮบิ และเอนเทอโร ไวรัส ๗๑ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการจริยธรรม อันจะเป็นข้อมูลส�ำคัญที่จะใช้ในการวางแผนงาน สร้างเสริมภูมคิ ุ้มกันโรคแหง่ ชาตติ ่อไป สถานที่ตดิ ตอ่ 353 ศูนยเ์ ชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรสั วทิ ยาคลนิ กิ ภาควิชากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๕๖-๔๙๒๘, ๐-๒๒๕๖-๔๙๐๙ โทรสาร ๐-๒๒๕๖-๔๙๒๙ E-mail: [email protected] ยกย่องเชิดชเู กียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวิจัยดเี ดน่ ประเภทนิสติ ดุษฎีบณั ฑติ สาขา วทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ ผลงานวจิ ยั เร่อื ง การศกึ ษาลกั ษณะทางพันธกุ รรมและพยาธิก�ำเนิดของไวรสั อบุ ัตใิ หม่เทมบูซใู นเปด็ ทแ่ี ยกได้ ในประเทศไทย Genetic and Pathogenic Characterizations of Newly Emerged Duck Tembusu Virus Isolated in Thailand โดย สัตวแพทยห์ ญิง ดร.พชั รีภรณ์ นลิ วไิ ล อาจารย์ท่ีปรกึ ษาหลกั ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ สัตวแพทยห์ ญิง ดร.อัญญรัตน์ ต้นธรี วงศ์ ภาควชิ าจุลชีววิทยา คณะสตั วแพทยศาสตร์ แหลง่ ทุนที่ไดร้ ับ ๑. ทุนอุดหนุนการวจิ ยั จากเงินอดุ หนนุ ทัว่ ไปจากรฐั บาล ปงี บประมาณ ๒๕๖๐ ๒. สำ� นักงานพัฒนาการวิจยั การเกษตร (องค์การมหาชน) ปงี บประมาณ ๒๕๖๑ ๓. กองทุนรชั ดาภิเษกสมโภช ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ๔. ทนุ ๙๐ ปี จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กองทุนรัชดาภเิ ษกสมโภช รุ่นท่ี ๔๒ ครงั้ ที่ ๑/๒๕๖๒ ๕. บรษิ ัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำ� กัด (มหาชน) 354 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ ไวรสั เทมบซู ใู นเปด็ เปน็ สาเหตขุ องโรคอบุ ตั ใิ หมใ่ นเปด็ ทพ่ี บในเอเชยี ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๓ ฝงู เปด็ ปว่ ย แสดงอาการผิดปกติเก่ียวกับการทรงตัวและพบปัญหาผลผลิตไข่ลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดความ สูญเสียทางเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมการเลี้ยงเป็ดอย่างมาก วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้ศึกษาถึงลักษณะทาง พนั ธกุ รรมและพยาธกิ ำ� เนดิ ของไวรสั เทมบซู ใู นเปด็ ทแ่ี ยกไดใ้ นประเทศไทย ซง่ึ สามารถสรปุ ประเดน็ สำ� คญั ได้ ดังน้ี ๑. ผลการศึกษาย้อนหลัง ยืนยันการพบไวรัสเทมบูซูในเป็ดในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยไวรสั ทแี่ ยกไดจ้ ากตวั อยา่ งเปด็ ปว่ ยเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จดั อยใู่ นคลสั เตอร์ 1 ซง่ึ มลี กั ษณะทางพนั ธกุ รรม แตกต่างจากไวรัสท่พี บในไทยและจีนในปัจจบุ นั ๒. ผลการตรวจวินิจฉยั ไวรสั เทมบซู ูในเปด็ ที่พบในไทยระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐ จากการ เกบ็ ตวั อยา่ งจำ� นวน ๒๘๘ ตัวอย่าง จากฟารม์ เปด็ ๘๙ ฟาร์ม พบตวั อยา่ งบวก ๖๕ ตัวอย่าง (ร้อยละ ๒๒.๕๗) จาก ๓๔ ฟาร์ม (ร้อยละ ๓๘.๒๐) บง่ ชี้ถึงการระบาดของไวรัสเทมบูซใู นเป็ดในพืน้ ทีเ่ ลีย้ งเปด็ ในไทยเป็นวงกวา้ ง ๓. การวเิ คราะหล์ กั ษณะทางพันธกุ รรมพบว่า ไวรสั เทมบูซใู นเป็ดท่ีระบาดในเอเชียประกอบดว้ ย ไวรัส ๓ คลัสเตอร์ โดยมีการกระจายตัวสัมพันธ์กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ บ่งช้ีถึงความหลากหลาย ทางพนั ธุกรรมของไวรัสเทมบูซูในเป็ด และพบว่าไวรสั เทมบูซใู นเป็ดในคลสั เตอร์ยอ่ ย ๒.๑ เป็นกลมุ่ หลกั ทพี่ บระบาดในไทยในปัจจุบนั (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐) ๔. ท�ำการพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของวิธีตรวจแบบ one-step RT-PCR ท่ีสามารถ ตรวจไวรัสเทมบซู ใู นเปด็ ไดท้ ุกคลัสเตอร์ โดย one-step RT-PCR ที่พฒั นาขนึ้ มีความจำ� เพาะตอ่ ยนี NS5 ของไวรัส ซงึ่ เป็นบริเวณที่มีความแปรผนั ทางพันธกุ รรมต�่ำ วิธีทดสอบนีม้ คี วามความไวและความจ�ำเพาะ สูง สามารถตรวจไวรัสเทมบูซูในเป็ดได้ทุกคลัสเตอร์ โดยไม่มีปฏิกิริยาข้ามกับไวรัสที่พบในเป็ดและ ฟลาวิไวรัสชนิดอ่ืน และได้ท�ำการประเมินประสิทธิภาพของวิธีตรวจโดยท�ำการทดสอบกับตัวอย่าง สัตวท์ ดลองและตัวอย่างจากภาคสนาม ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 355
๕. ผลการศึกษาพยาธิก�ำเนิดของการติดเช้ือไวรัสเทมบูซูในเป็ดที่ระบาดในประเทศไทยในเป็ดพันธุ ์ เชอรว่ี ลั เล่ย์ ๓ ช่วงอายุ พบว่าเป็ดทกุ ชว่ งอายมุ ีความไวตอ่ การตดิ ไวรสั ชนิดนี้ และพบวา่ เปด็ อายนุ ้อยมคี วามไว รบั ตอ่ ไวรสั เทมบซู ใู นเป็ดมากกว่าเป็ดอายุมาก บ่งถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งอายุเปด็ และความไวตอ่ การเกดิ โรค สิง่ ที่ดีเด่นของงานวจิ ยั ๑. ผลการศึกษาย้อนหลังยืนยันการพบไวรัสเทมบูซูในเป็ดในประเทศไทยต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็น การตอบค�ำถามและระบุสาเหตุของอาการผิดปกติเก่ียวกับการทรงตัวในเป็ดท่ีพบในไทยมาเป็นเวลานาน และไดท้ ำ� การศึกษาลักษณะทางพนั ธุกรรมของไวรัสทีแ่ ยกไดจ้ ากตวั อยา่ งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เปรียบเทยี บกบั ไวรสั ทีพ่ บในปัจจบุ ัน พบวา่ มคี วามแตกตา่ งจากไวรัสทีพ่ บในไทยและจนี ในปัจจุบัน ๒. ผลการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของไวรัสเทมบูซูในเป็ดที่พบในไทยในปัจจุบัน บ่งช้ีถึงความ หลากหลายทางพันธุกรรมของไวรัส และบ่งชี้ถึงการระบาดของไวรัสในพ้ืนท่ีเลี้ยงเป็ดในไทยเป็นวงกว้าง โดย รายงานนเี้ ป็นการพสิ จู นพ์ บไวรัสในคลัสเตอร์ ๓ เป็นคร้ังแรก นอกจากนก้ี ารพบวา่ ไวรสั ในคลัสเตอรย์ ่อย ๒.๑ 356 ยกย่องเชิดชเู กียรติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
เป็นกลุ่มหลักท่ีพบระบาดในไทยในปัจจุบัน นับเป็นข้อมูลส�ำคัญส�ำหรับการวางมาตรการป้องกันโรคและ การศกึ ษาวจิ ัยเกยี่ วกับวัคซีนป้องกนั โรคท่ีมีประสทิ ธิภาพในอนาคต ๓. การแบ่งกลุ่มไวรัสเทมบูซูในเป็ดตามลักษณะทางพันธุกรรมออกเป็น ๓ คลัสเตอร์ที่รายงานใน วิทยานิพนธ์ สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการจัดกลุ่มไวรัสเทมบูซูในเป็ดได้ในทุกประเทศท่ีพบการระบาด และชี้เห็นถึงความจ�ำเป็นของการพัฒนาวิธีตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพสามารถตรวจวินิจฉัยไวรัสเทมบูซู ในเป็ดได้ทกุ คลัสเตอร์ ๔. การตรวจวินิจฉัยไวรัสเทมบูซูในเป็ดด้วยวิธี one-step RT-PCR ที่พัฒนาข้ึน สามารถใช้เป็นวิธ ี อา้ งองิ ในการตรวจวนิ จิ ฉยั ไวรสั เทมบซู ใู นเปด็ ไดท้ กุ คลสั เตอร์ เหมาะสำ� หรบั หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทง้ั ในและตา่ งประเทศ ๕. ผลการศึกษาพยาธิก�ำเนิดของการติดเชื้อไวรัสเทมบูซูท่ีระบาดในประเทศไทยในเป็ดพันธุ์เชอร ่ี วัลเล่ย์ ๓ ช่วงอายุ พบว่าเป็ดทุกช่วงอายมุ คี วามไวตอ่ การติดไวรสั ชนดิ น้ี และบง่ ถงึ ความสมั พันธ์ระหว่างอายุ เป็ดและความไวต่อการโรค นับเป็นข้อมูลส�ำคัญในการจัดการฟาร์ม ซึ่งควรหลีกเล่ียงการเลี้ยงเป็ดหลายอายุ เนือ่ งจากมีความเส่ยี งตอ่ การตดิ เช้อื ข้ามระหวา่ งฝงู ๖. ผลการศึกษาพยาธิก�ำเนิดได้ให้ข้อมูลพ้ืนฐานท่ีส�ำคัญเก่ียวกับผลจากการติดเช้ือไวรัสเทมบูซูในเป็ด ไดแ้ ก่ ระยะฟกั ตวั ของโรค อาการ รอยโรคทางพยาธวิ ิทยา การกระจายของเชื้อในรา่ งกาย การขับเชือ้ และ การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในเป็ด เป็นต้น ซ่ึงเป็นข้อมูลพื้นฐานท่ีส�ำคัญส�ำหรับการวางมาตรการในการ เฝ้าระวงั ควบคมุ และป้องกันโรค ทง้ั ในระดับฟารม์ องคก์ ร หรอื ระดบั ประเทศ ความรู้ที่ได้จากการศึกษาในคร้ังนี้ช้ีให้เห็นความส�ำคัญของการตรวจเฝ้าระวังไวรัสเทบูซูในเป็ด และช้ี ให้เห็นถึงความส�ำคัญของการประเมินประสิทธิภาพของวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างต่อเนื่อง เพ่ือสามารถตรวจ วินิจฉัย ควบคุม และป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสเทมบูซูในเป็ดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถใช้ความรู้จาก วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีเป็นข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับต่อยอดการวางแผนการศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัส เทมบูซูในเป็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต ได้แก่ การพัฒนาวัคซีน การพัฒนาชุดตรวจในภาคสนาม การพฒั นาวธิ ตี รวจทรี่ วดเร็วและแม่นยำ� มากข้ึน รวมทง้ั การวางมาตรการเพื่อควบคุมและเฝ้าระวังโรค เป็นต้น สถานทตี่ ิดตอ่ 357 ภาควชิ าจุลชีววทิ ยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๙๖๕๕ โทรสาร ๐-๒๒๕๑-๑๖๕๖ E-mail: [email protected] ยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวิจัยดีเด่น ประเภทนิสิตดุษฎีบณั ฑติ สาขา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลงานวิจยั เร่อื ง การพฒั นาเซน็ เซอรเ์ ชงิ แสงสำ� หรบั การตรวจวัดไอออนคลอไรดแ์ ละเซน็ เซอร์เชงิ เคมไี ฟฟา้ ส�ำหรบั การตรวจวัดตวั บ่งช้ที างการแพทย์ Development of Optical Sensor for Detection of Chloride Ions and Electrochemical Sensor for Detection of Clinical Indicators โดย ดร.อบั ดลุ ฮาดี ยะโกะ๊ อาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก ศาสตราจารย์ ดร.อรวรรณ ชัยลภากุล ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ แหล่งทุนที่ไดร้ ับ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 358 ยกย่องเชดิ ชเู กียรตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ัยโดยสรุป ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเซนเซอร์เข้ามามีบทบาทส�ำคัญส�ำหรับมนุษย์ในชีวิตประจ�ำวัน เพราะเป็น เคร่ืองมือท่ีส�ำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหลักมากมาย รวมถึงเพ่ือความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึนของมนุษย์ จากความต้องการอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่เพ่ิมมากขึ้นน้ี ท�ำให้การพัฒนาอุปกรณ์ในการตรวจ วิเคราะห์ขนาดย่อส่วน (miniaturized devices) ท่ีมีขนาดเล็ก สามารถพกพาไปใช้นอกสถานที่ได ้ แต่ยังคงให้ผลการวิเคราะห์ท่ีถูกต้องแม่นย�ำ รวดเร็ว และมีราคาถูก ได้กลายมาเป็นเป้าหมายส�ำคัญ ในการพัฒนาเพ่ือให้ตอบโจทย์กระแสโลก ด้วยเหตุนี้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาเซนเซอร์ ขนาดย่อส่วนหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานท่ีแตกต่างกัน ทั้งเซนเซอร์ด้านกายภาพ เซนเซอร์ด้านเคมี และเซนเซอร์ด้านชีวภาพ นอกจากน้ผี ู้วิจัยยงั ม่งุ เนน้ ทจ่ี ะน�ำเอาคณุ สมบตั ทิ ี่แตกต่างกัน ของวัสดุระดับนาโนเมตร มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเซนเซอร์ที่พัฒนาข้ึน เพื่อเพ่ิมขีดจ�ำกัดการตรวจวัด ประสทิ ธภิ าพ และความวอ่ งไวในการตรวจวเิ คราะห์ ทงั้ นวี้ ทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นป้ี ระกอบดว้ ย ๔ งานวจิ ยั ยอ่ ย ที่ครอบคลมุ เซนเซอร์ทุกชนดิ (เซนเซอรด์ ้านกายภาพ เซนเซอรด์ ้านเคมี และเซนเซอรด์ า้ นชีวภาพ) เพือ่ การตรวจวดั ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม การตรวจวดั ดา้ นการแพทย์ และการตรวจวดั ดา้ นเภสชั กรรม โดยหากจำ� แนก ตามวธิ ีทีใ่ ชใ้ นการตรวจวิเคราะห์จะสามารถจำ� แนกวิทยานพิ นธ์ฉบับนไี้ ด้เป็น ๒ ส่วนหลกั คือ (๑) การ พัฒนาระบบการตรวจวิเคราะห์ขนาดย่อส่วนร่วมกับการใช้วัสดุระดับนาโนเมตรส�ำหรับการตรวจวัด เชิงแสง และ (๒) การพัฒนาระบบการตรวจวิเคราะห์ขนาดย่อส่วนร่วมกับการใช้วัสดุระดับนาโนเมตร สำ� หรับการตรวจวดั เชงิ เคมีไฟฟา้ ในแต่ละสว่ นจะประกอบดว้ ย ๒ งานวิจัยย่อยท่มี ีท่มี าและความส�ำคญั ที่แตกต่างกัน โดยส่วนที่ (๑) สามารถจ�ำแนกออกเป็น ๒ งานวิจัยย่อย โดยงานวิจัยย่อยท่ี ๑ มุ่งเน้น พัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดเชิงสีฐานกระดาษส�ำหรับการตรวจวัดไอออนคลอไรด์โดยใช้อนุภาคเงินปริซึม ระดับนาโนเมตรร่วมกับการใช้สมาร์ทโฟนส�ำหรับการติดตามการเปล่ียนแปลงสีของการเกิดปฏิกิริยา การกัดกร่อนแบบออกซิเดชันของอนุภาคเงินปริซึมระดับนาโนเมตรเป็นอนุภาคเงินทรงกลมภายใต้ การเหน่ียวน�ำของไอออนคลอไรด์ ในงานวิจัยย่อยที่ ๒ เป็นการพัฒนาเซ็นเซอร์จากจอภาพอิเล็กโทร ลูมิเนสเซนซ์แบบพิมพ์สกรีน (screen-printed electroluminescent display) ร่วมการกับใช้วัสดุ กราฟีนออกไซด์ระดับนาโนเมตร ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเซ็นเซอร์ส�ำหรับการใช้งานที่หลากหลายร่วมกับ การใชส้ มารท์ โฟน ซงึ่ ประกอบดว้ ย เชน่ จอภาพเรอื งแสง เซน็ เซอรส์ ำ� หรบั การตรวจวดั ความเขม้ ขน้ ไอออน จอภาพเซน็ เซอรแ์ บบอนิ เทอแอคทีฟ ส�ำหรับการตอบสนองแบบทนั ที (interactive display) เซน็ เซอร์ ส�ำหรับการตรวจวัดความช้ืน และเซ็นเซอร์ส�ำหรับการติดตามลมหายใจของมนุษย์เพื่อการวินิจฉัยทาง การแพทย์ ยกย่องเชดิ ชูเกียรติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 359
360 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
งานวิจัยส่วนที่ (๒) อุปกรณ์ตรวจวัดเชิงเคมีไฟฟ้าได้ถูกพัฒนาขึ้น ซ่ึงประกอบไปด้วย ๒ งานวิจัยย่อย โดยงานวิจัยย่อยที่ ๑ มุ่งเน้นพัฒนาขั้วไฟฟ้าจากวัสดุกราฟีนคอมโพสิตระดับนาโนเมตรท่ีสามารถลดการ เกาะติดของวติ ามินดีท่ผี ิวหน้าข้วั จากผลการวิจยั พบวา่ ขัว้ ไฟฟ้าทีพ่ ัฒนาขึน้ มีประสิทธภิ าพการตรวจวเิ คราะห์ ทด่ี ี งานวจิ ยั ยอ่ ยที่ 2 มงุ่ เนน้ พฒั นาอปุ กรณว์ เิ คราะหข์ องไหลจลุ ภาคบนวสั ดฐุ านกระดาษสำ� หรบั การนำ� สง่ สาร แบบซีเควนเชี่ยล ร่วมกบั การใช้วัสดุกราฟนี และอนุภาคทองระดับนาโนเมตร โดยระบบที่พฒั นาข้ึนน้ีถกู น�ำไป ทดสอบกบั การตรวจวัดกรดวติ ามินซี (ascorbic acid) สารส่อื ประสาท (serotonin) และสารบ่งชท้ี ใ่ี ชใ้ นการ คัดกรองผปู้ ว่ ยโรคมะเร็งมะเรง็ ตับ มะเร็งอณั ฑะ หรอื มะเร็งรงั ไข่ (α-fetoprotein) จากการวิจยั พบวา่ ระบบ การตรวจวเิ คราะหข์ นาดยอ่ สว่ นทง้ั ๔ แบบที่พฒั นาข้ึนใหค้ ่าความไวในการตรวจวิเคราะห์ทดี่ ี มีความจำ� เพาะ เจาะจงสงู มีขนาดเล็กพกพาได้ และมีแนวโน้มท่จี ะน�ำไปใชใ้ นการตรวจวเิ คราะห์นอกสถานทไี่ ด้ สง่ิ ท่ีดีเดน่ ของงานวจิ ัย นวัตกรรมการวิจัยที่เกิดจากเซ็นเซอร์ทั้ง ๔ ประเภทท่ีประดิษฐ์ข้ึน สามารถสร้างทางเลือกการตรวจ วิเคราะหใ์ หก้ บั ผู้ใช้งานได้ ท้ังนีเ้ นื่องจากเซ็นเซอร์ท่ีพัฒนาขึน้ ล้วนแลว้ แต่ประดิษฐ์ขนึ้ จากแนวคิดในการสรา้ ง เซ็นเซอร์ทีม่ ขี นาดเล็ก มีราคาถูก สามารถใช้งานไดง้ า่ ย และพกพาไปใชน้ อกห้องปฏิบัตกิ ารได้ ดงั นัน้ ผใู้ ช้งาน จึงสามารถเลือกใช้เซ็นเซอร์เหล่าน้ีได้โดยไม่ต้องพ่ึงพาเครื่องมือวิเคราะห์ขนาดใหญ่ ซึ่งมักพบได้เฉพาะใน ห้องปฏิบัติการกลาง หรือ ศูนย์เครื่องมือขนาดใหญ่ ท่ีมักพบข้อจ�ำกัดในเร่ืองราคา ข้ันตอนการตรวจวัดที่ ยุ่งยากซับซ้อน และต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะต่อเครื่องมือมาตรฐานเหล่านั้น ดังน้ัน เซ็นเซอร ์ เหลา่ นจ้ี งึ เป็นอปุ กรณว์ เิ คราะหท์ างเลอื กท่ตี อบโจทย์ และแกไ้ ขขอ้ จาํ กดั ขา้ งตน้ ได้ แมจ้ ะเป็นประชาชนทอี่ ยใู่ น พื้นทหี่ ่างไกลกส็ ามารถเขา้ ถึงเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์สมัยใหม่น้ีได้ จึงเปน็ การลดภาระใหก้ บั รัฐบาลหรือ หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องได้เปน็ อยา่ งดี นอกจากน้ี ผลงานการวิจยั เหล่านี้ยงั สามารถสรา้ งรากฐานและองคค์ วามรู้ ทส่ี ามารถตอ่ ยอดพัฒนาเพอ่ื ใหเ้ กดิ นวัตกรรมทีส่ ามารถสรา้ งประโยชนใ์ นเชงิ พาณชิ ยท์ ั้งทางตรงและทางอ้อม สถานท่ีตดิ ต่อ 361 ภาควชิ าเคมี คณะวิทยาศาสตร์ โทรศพั ท์ ๐๙-๖๙๓๖-๙๑๓๒ E-mail: [email protected] ยกย่องเชดิ ชูเกียรตบิ ุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวจิ ัยดีเด่น ประเภทนิสิตดุษฎีบัณฑิต สาขา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผลงานวิจยั เร่อื ง ตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าชนดิ ออกไซด์ผสมทไี่ ด้จากวสั ดุเลเยอรด์ ับเบิลไฮดรอกไซดท์ ่ีสงั เคราะหด์ ้วย ตัวทำ� ละลายอินทรยี ์สำ� หรบั การเปล่ียนของเสียท่ีเป็นกรดและกลีเซอรอลเป็นสารเคมที ่ีมี คุณคา่ สูง AMO LDH-Derived Mixed Oxides as Solid Catalysts for Conversion of Acid Waste and Glycerol to Specialty Chemicals โดย ดร.จริ ายุ กลุ จริ าเสฐ อาจารยท์ ่ปี รกึ ษาหลัก ศาสตราจารย์ ดร.ศริ ิรตั น์ จิตการค้า วิทยาลยั ปิโตรเลยี มและปโิ ตรเคมี แหลง่ ทนุ ทีไ่ ดร้ ับ งานวจิ ยั ฉบบั นี้เปน็ โครงการย่อย ในทุนวจิ ยั ของ บริษทั เอสซีจีเคมคิ อลส์ จ�ำกัด ภายใตศ้ นู ยค์ วามเปน็ เลศิ ด้านเทคโนโลยปี ิโตรเคมีและวสั ดุ (PETROMAT) ทุนผ้ชู ่วยวิจยั จาก ศูนยค์ วามเปน็ เลศิ ดา้ นเทคโนโลยีปโิ ตรเคมแี ละวัสดุ (PETROMAT) 362 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ ุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวิจัยโดยสรุป ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าชนดิ ออกไซดผ์ สมทไ่ี ดม้ าจากวสั ดเุ ลเยอรด์ บั เบลิ ไฮดรอกไซด์ (LDH) และ วสั ดเุ ลเยอร์ ดับเบิลไฮดรอกไซด์ที่สังเคราะห์ด้วยตัวท�ำละลายอินทรีย์ (AMO - LDHs) ได้ถูกสังเคราะห์และศึกษา โครงสรา้ งและคณุ สมบัติทางเคมีและกายภาพโดยใชเ้ ครอื่ งมอื BET, XRD, TPD, TPR, XPS และ XAS ซงึ่ พบวา่ ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ ามโี ครงสรา้ ง คณุ สมบตั ทิ างกายภาพและความเปน็ กรด-เบสทแี่ ตกตา่ งกนั โดยตวั เรง่ ปฏิกิริยาชนิดออกไซด์ผสมจะถูกปรับปรุงและน�ำไปใช้ทดสอบในสองปฏิกิริยา ได้แก่ เอสเทอริฟิเคชัน ของกรดเบนโซอิก (ของเสียที่เป็นกรดจากโรงงานปิโตรเคมี) และไฮโดรจิโนไลซิสของกลีเซอรอล (ผลพลอยได้จากการผลิตไบโอดีเซล) ซ่ึงจากผลการทดลองพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาท่ีได้มาจากวัสดุเลเยอร์ ดับเบิลไฮดรอกไซด์สามารถใช้เปล่ียนแปลงกรดเบนโซอิกและกลีเซอรอลเป็นสารเคมีที่มีมูลค่าได้อย่าง มนี ยั ส�ำคัญ เนอ่ื งจากความเป็นคู่กรดและเบสของตัวเร่งปฏกิ ิริยา เชน่ Mg2+-O2- และ Al3+-O2- นอกจาก นอ้ี อกไซดผ์ สมทไี่ ดร้ บั การปรบั ปรงุ ดว้ ยการแทนทด่ี ว้ ยไอออนบวกบางสว่ น (Ni, Cu, Co, หรอื Fe) ไดส้ รา้ ง คู่กรดและเบสใหม่ขึ้นมา (เช่น Ni2+-O2 ซ่ึงได้มาจากพันธะ Ni-O-Mg และ Ni-O-Al ในตัวเร่งปฏิกิริยา ประเภท Ni-Mg-Al เลเยอร์ดบั เบลิ ไฮดรอกไซด์) ซ่ึงมีอทิ ธพิ ลต่อความจ�ำเพาะเจาะจงและความสามารถ ในการเร่งปฏิกิริยา โดยตัวเร่งปฏิกิริยา Ni-Mg-Al ได้เพิ่มการเปลี่ยนกรดเบนโซอิกและเพิ่มผลผลิต 2-เอดทวิ เฮกซิวเบนโซเอต (ผลิตภณั ฑท์ ี่ตอ้ งการ) ได้อย่างชดั เจน ซึ่งมากกวา่ ตัวเรง่ ปฏกิ ิรยิ าโลหะอน่ื ๆ ในขณะทตี่ วั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า Cu-Mg-Al ไดเ้ พม่ิ การเปลยี่ นกลเี ซอรอลไปเปน็ สารเคมชี วี ภาพ เชน่ 1,2-โพรเพน ไดออล และเอทลิ แลคเตต ไดม้ ากกว่าตัวเรง่ ปฏิกิรยิ าตน้ แบบเป็นอยา่ งมาก นอกจากนี้ งานวิจัยนีย้ ังได้ กล่าวถึงบทสรุปของเสน้ ทางและกลไลการเกดิ ปฏิกิริยาอกี ดว้ ย ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 363
ส่งิ ทด่ี เี ดน่ ของงานวจิ ยั งานวิจัยนี้ได้รับทุนจาก บริษัท เอสซีจีเคมิคอลส์ จ�ำกัด โดยความร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศด้าน เทคโนโลยปี โิ ตรเคมแี ละวสั ดุ (PETROMAT) เพอื่ ตรวจสอบลกั ษณะ (โครงสรา้ งทางกายภาพและคณุ สมบตั ทิ าง เคมี) ของ AMO-LDH และ AMO- วัสดุ LDO และตรวจสอบศักยภาพของการประยุกต์ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา ดงั นน้ั LDO ท่ไี ด้รับการดดั แปลงจึงถูกทดสอบในสองปฏกิ ริ ยิ า นั่นคอื เอสเทอรฟิ ิเคชันของกรดเบนโซอกิ และ ไฮโดรเจนไฮโดรไลซิสของกลเี ซอรอล ดงั น้ัน ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการวจิ ยั ช้ินน้ี คอื ๑. ได้เป็นส่วนหน่ึงของงานวิจัยของบริษัท เอสซีจีเคมิคอลส์ จ�ำกัด เพื่อน�ำองค์ความรู้จากการวิจัย ไปใชใ้ นการด�ำเนินงานวจิ ยั ของบริษัทต่อไป ๒. ผลงานวจิ ยั ไดม้ ปี ระโยชนแ์ ละเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการทที่ ำ� ใหผ้ บู้ รหิ ารของบรษิ ทั เอสซจี เี คมคิ อลส์ จำ� กดั สามารถที่จะน�ำผลงานวิจัยไปใช้ในเชิงนโยบาย เช่น การตัดสินใจในการท่ีจะผลิตเป็นสินค้าที่ทีมูลค่า เชิงพาณิชย์ เปน็ ต้น ๓. ผลงานวิจัยยังตอบโจทย์นโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทย 4.0 ซ่ึงได้รับแรงผลักดัน ผ่านการพัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืน (BCG Economy) กล่าวคือกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจชีวภาพเป็นแรงผลักดันในการยกระดับมูลค่าทรัพยากรชีวภาพเน่ืองจาก ประเทศไทยเปน็ ประเทศเกษตรกรรม ดงั นน้ั การผลติ สารประกอบชวี ภาพทไ่ี ดจ้ ากแหลง่ ตา่ ง ๆ เชน่ กลเี ซอรอล จากการผลิตไบโอดีเซล และไบโอเอทานอลจากการหมักสินค้าเกษตร (เช่น อ้อยและมันส�ำปะหลัง) เป็น เส้นทางส�ำหรับการพฒั นาแนวคดิ ทางชีวภาพในประเทศไทย 364 ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
สถานทีต่ ิดตอ่ 365 วทิ ยาลยั ปโิ ตรเลยี มและปิโตรเคมี โทรศพั ท์ ๐๖-๓๔๙๗-๔๔๕๔ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชูเกียรตบิ คุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวัลผลงานวจิ ัยดีเด่น ประเภทนสิ ติ ดษุ ฎีบณั ฑติ สาขา สงั คมศาสตร์ ผลงานวจิ ัยเรือ่ ง การรพฒั นามาตรวดั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ ของผบู้ รโิ ภคสำ� หรบั วสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม Development of Measurement Scales of Consumer-Based Brand Equity for Small and Medium Enterprises โดย ดร.ณชิ ชา โชคพทิ กั ษก์ ลุ อาจารยท์ ป่ี รึกษาหลกั รองศาสตราจารย์ ดร.สราวธุ อนันตชาติ ภาควชิ าการประชาสัมพนั ธ์ คณะนเิ ทศศาสตร์ แหล่งทุนทไ่ี ดร้ บั - ทุน ๙๐ ปี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย กองทนุ รชั ดาภเิ ษกสมโภช - ทุนสำ� นักงานการวิจยั แหง่ ชาติ: แผนงานเสรมิ สร้างศักยภาพและพัฒนานกั วิจยั ร่นุ ใหม่ ตามทศิ ทางยุทธศาสตรก์ ารวิจัยและนวตั กรรม : ประเภทบัณฑิตศึกษา 366 ยกย่องเชิดชูเกียรติบคุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวิจยั โดยสรุป การศกึ ษาครง้ั นป้ี ระกอบดว้ ยวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั สองประการ ไดแ้ ก่ (๑) เพอ่ื พฒั นาและตรวจสอบ ความตรงของโมเดลการวัดคุณค่าตราสินค้าของผู้บริโภคส�ำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอม็ อ)ี ทีม่ คี วามเป็นสากลใช้ได้ทว่ั ไป และ (๒) เพอื่ ศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างคณุ ค่าตราสินคา้ เอส เอ็มอีกับการตอบสนองของผู้บริโภค ด้วยวิธีวิจัยสามขั้นตอน การวิจัยขั้นแรก คือการวิจัยเชิงคุณภาพ เพอ่ื วเิ คราะหเ์ อกสารของ ๔๐ ตราสนิ คา้ เอสเอม็ อที ไี่ ดร้ บั รางวลั รวมถงึ สมั ภาษณแ์ บบกง่ึ มโี ครงสรา้ งและ สนทนากลุ่มกับผู้บริโภคที่มีลักษณะทางประชากรหลากหลาย ๔๐ คน จนได้ข้อค�ำถามเบื้องต้นจ�ำนวน ๔๑ ขอ้ การวจิ ยั ขน้ั ทสี่ อง ไดน้ ำ� ขอ้ คำ� ถามขน้ั แรกมาเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ สำ� รวจกบั ผบู้ รโิ ภค ๘๓๘ คน และวเิ คราะห์ องค์ประกอบเชิงส�ำรวจและเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า แบบจ�ำลองการวัดคุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอี สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ทั้งน้ี ผลการศึกษาแบบจ�ำลองทางเลือกเชิงแข่งขันสามรูปแบบ พบว่า แบบจำ� ลององคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั สองอนั ดบั (แบบจำ� ลองทางเลอื กที่ 1) สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ เพียงแบบจำ� ลองเดียว (Chi-square [37, N=419] = 40.220, p = .330 CFI = .999 RMSEA = .014) แบบจำ� ลององค์ประกอบเชงิ สาเหตุ (แบบจ�ำลองทางเลือกท่ี ๒) และแบบจำ� ลององค์ประกอบเชงิ สาเหตุ ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ (แบบจ�ำลองทางเลือกท่ี ๓) ไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังนัน้ แบบจำ� ลองการวดั คุณคา่ ตราสินค้าเอสเอ็มอีจงึ เปน็ แบบจำ� ลององค์ประกอบเชิงยืนยันสองอันดับ ท่ีประกอบด้วยห้าองค์ประกอบอันดับแรก ได้แก่ ความใช้ได้จริงของตราสินค้า ความเป็นของแท้ของ ตราสินคา้ ความใสใ่ จของตราสินค้า การตระหนักร้ตู ราสนิ คา้ และการสะทอ้ นความสมั พันธ์ของผบู้ รโิ ภค กับตราสนิ คา้ ยกย่องเชิดชูเกยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 367
การวิจัยข้ันที่สาม คือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอีกับการตอบสนองของ ผู้บริโภค และการตรวจสอบความไม่แปรเปล่ียนของแบบจ�ำลองการวัดคุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอี ในบริบท ธรุ กิจและลกั ษณะกลุ่มผบู้ ริโภคที่แตกต่างกัน ผลการศึกษาความไม่แปรเปลี่ยนของแบบจ�ำลองการวัดในบริบทธุรกิจพบว่า แบบจ�ำลองการวัดคุณค่า ตราสนิ ค้าเอสเอ็มอีไมแ่ ปรเปลยี่ นลักษณะของแบบจ�ำลอง และสอดคลอ้ งกบั ข้อมลู เชงิ ประจักษ์ ทงั้ ในสามตรา สนิ คา้ จากสามภาคธรุ กิจ (โทฟซุ ัง [การผลิต]: Chi-square [204, N=184] = 210.241, p = .367, CFI = .997, RMSEA = .013) (ซานตา เฟ่ [การบรกิ าร]: Chi-square [194, N=184] = 219.594, p = .100, CFI = .992, RMSEA = .027) (อฟี แอนดบ์ อย [การคา้ ]: Chi-square [202, N=184] = 203.404, p = .459, CFI = .999, RMSEA = .037) การวเิ คราะห์ความไมแ่ ปรเปล่ยี นของนำ้� หนกั องค์ประกอบ พบว่า แบบจำ� ลองการวดั คุณค่า ตราสินค้าเอสเอ็มอีมีความไม่แปรเปล่ียนบางส่วน ซึ่งมีนัยว่า บางข้อค�ำถามเป็นเกณฑ์ท่ีผู้บริโภคใช้ประเมิน คุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอีทุกธุรกิจ ส่วนบางข้อน้ันมีการตีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบริบทธุรกิจ ส่วนผล การศึกษาความไม่แปรเปล่ียนของแบบจ�ำลองการวัดในหกกลุ่มผู้บริโภคท่ีต่างกัน พบว่า แบบจ�ำลองการวัด คุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอีไม่แปรเปลี่ยนลักษณะของแบบจ�ำลอง และสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ทั้งใน ผบู้ รโิ ภคทแ่ี ตกตา่ งกนั ในระดบั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ ความเกยี่ วพนั กบั ประเภทสนิ คา้ และความผกู พนั กบั ตราสนิ คา้ การวเิ คราะหค์ วามไมแ่ ปรเปลย่ี นของนำ้� หนกั องคป์ ระกอบ พบวา่ แบบจำ� ลองการวดั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ เอสเอม็ อี มคี วามไมแ่ ปรเปลยี่ น ซงึ่ มนี ยั วา่ ผบู้ รโิ ภคทม่ี รี ะดบั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ ความเกย่ี วพนั กบั ประเภทสนิ คา้ และความ ผกู พนั กบั ตราสนิ คา้ แตกตา่ งกนั ประเมนิ คณุ คา่ ตราสินค้าเอสเอม็ อดี ว้ ยเกณฑท์ ีไ่ มต่ ่างกนั ส�ำหรบั ผลการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอีกับการตอบสนองของผู้บริโภค พบว่าแบบจ�ำลองเชิงสาเหตุ ของคณุ ค่าตราสินคา้ เอสเอ็มอกี บั การตอบสนองของผู้บริโภค ได้แก่ ความชอบตราสินคา้ มากกว่า ความภกั ดี ต่อตราสินค้า และการบอกต่อ สอดคล้องกบั ขอ้ มูลเชิงประจกั ษท์ ้ังในสามตราสินคา้ จากสามภาคธุรกิจ โดยใน กรณีตราสินคา้ ภาคการผลิตหรือโทฟุซังนน้ั คณุ ค่าตราสินค้าเอสเอ็มอี อธบิ ายความแปรปรวนของการบอกต่อ 368 ยกย่องเชดิ ชเู กียรติบคุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
มากท่ีสุดท่ีร้อยละ ๖๕.๙ ส่วนในตราสินค้าซานตา เฟ่ของภาคการบริการ และตราสินค้าอีฟแอนด์บอยของ ภาคการค้า คุณค่าตราสินค้าเอสเอ็มอีอธิบายความแปรปรวนของความชอบตราสินค้ามากกว่าได้มากที่สุด ทร่ี อ้ ยละ ๘๔.๑ และ ๕๗.๖ ตามลำ� ดบั สงิ่ ท่ีดเี ดน่ ของงานวจิ ยั (๑) ประโยชน์ทางด้านการเพิ่มพูนองค์ความรู้เชิงทฤษฎี ผลการศึกษาคร้ังนี้ได้เติมเต็มองค์ความรู้เชิง ทฤษฎีให้แนวคิดเก่ียวกับการวัดคุณค่าตราสินค้า โดยขยายขอบเขตการวัดคุณค่าตราสินค้าไปสู่บริบทของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้ลุ่มลึกและกว้างขวางข้ึนด้วยการพัฒนาแบบจ�ำลองการวัด คุณค่าตราสินค้าขึ้นจากประสบการณ์ของผู้บริโภคโดยตรง และได้น�ำเสนอโครงสร้างของคุณค่าตราสินค้า สำ� หรับเอสเอ็มอี ตลอดจนแบบจ�ำลองการวดั คณุ คา่ ตราสนิ ค้าในธุรกจิ ประเภทดังกล่าว (๒) ประโยชน์ทางการก่อให้เกิดหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ผลการวิจัยชิ้นน้ีช่วยให้เกิด หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับพีระมิดสู่คุณค่าตราสินค้า (Concept of brand equity pyramid) ของ Keller (2001) ใหเ้ ปน็ รปู ธรรมขน้ึ ทง้ั ยงั ชว่ ยใหเ้ กดิ หลกั ฐานทางการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณทเี่ กยี่ วขอ้ ง กับการทดสอบประสิทธิภาพของแบบจ�ำลองการวัดคุณค่าตราสินค้าทั้งสามรูปแบบท่ีปรากฏในการศึกษา ดา้ นการวดั คณุ คา่ ตราสินคา้ ในปัจจุบัน (๓) ประโยชน์ด้านการพัฒนาวิธีวิทยาทางการวิจัย การศึกษาครั้งนี้ได้บุกเบิกวิธีวิจัยทั้งในขั้นตอน การเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถก้าวข้ามข้อจ�ำกัดนานาประการของวิสาหกิจเอสเอ็มอ ี จนประสบผลส�ำเร็จในการพัฒนาแบบจ�ำลองการวัดคุณค่าตราสินค้าของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีความตรง ความเทีย่ ง และใชไ้ ด้โดยทั่วไป (๔) ประโยชนด์ า้ นการนำ� ไปปฏบิ ตั ใิ ช้ ผปู้ ระกอบการวสิ าหกจิ เอสเอม็ อี ทง้ั ภาคการผลติ ภาคการบรกิ าร และภาคการคา้ สามารถนำ� แบบจำ� ลองการวดั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ ตลอดจนวธิ กี ารวดั คณุ คา่ ตราสนิ คา้ ไปใชใ้ นการ ประเมนิ การบรหิ ารจดั การตราสินคา้ ของตนไดท้ นั ที สถานทตี่ ิดต่อ 369 ภาควิชาการประชาสัมพนั ธ์ คณะนิเทศศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๒๒๐๕, ๐๖-๓๒๔๒-๕๙๘๒ E-mail: nitchafatface @gmail.com ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวัลผลงานวจิ ยั ดีเดน่ ประเภทนสิ ิตดุษฎบี ณั ฑิต สาขา สังคมศาสตร์ ผลงานวิจัยเรอื่ ง นโยบายเพื่อความย่ังยืนของระบบขนส่งอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ กรณีศึกษาการให้บรกิ าร เชื่อมตอ่ ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย Policy for Sustainable Informal Transport – A Case Study of Feeder Services in Bangkok, Thailand โดย ดร.จุฑาภรณ์ อมั ระปาล อาจารยท์ ี่ปรึกษาหลกั ศาสตราจารย์ ดร.เกษม ชูจารุกลุ ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ แหลง่ ทนุ ทไ่ี ดร้ ับ ทนุ การศกึ ษาหลักสตู รดษุ ฎีบณั ฑติ “๑๐๐ ปี จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และทุน ๙๐ ปี กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย 370 ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติบุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ัยโดยสรุป รถส่ีล้อเล็กเป็นบริการรูปแบบหนึ่งของระบบขนส่งอย่างไม่เป็นทางการในกรุงเทพมหานคร อำ� นวยความสะดวกทงั้ ในการเดนิ ทางหลกั และการเดนิ ทางสำ� หรบั เชอ่ื มกบั ระบบขนสง่ อนื่ เชน่ รถโดยสาร ประจ�ำทางและระบบขนส่งมวลชน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือส�ำรวจลักษณะรูปแบบการให้บริการ รถส่ีล้อเล็ก ปัญหา ความท้าทายในการให้บริการ ระบุปัจจัยท่ีมีผลต่อการใช้บริการและไม่ใช้บริการ รถสลี่ อ้ เลก็ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการเดนิ ทางและทศั นคตเิ พอื่ ทราบปจั จยั ทสี่ ามารถนำ� ไปปรบั ปรงุ การใหบ้ รกิ าร และเสนอแนะแนวทางสำ� หรบั จัดท�ำนโยบายการพัฒนาการใหบ้ ริการรถสล่ี อ้ เลก็ ตอ่ ไป งานวิจัยด�ำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามจากผู้ให้บริการรถสี่ล้อเล็ก ผใู้ ชบ้ รกิ ารรถสลี่ อ้ เลก็ และผทู้ ไ่ี มใ่ ชบ้ รกิ าร รวมทง้ั สมั ภาษณก์ งึ่ โครงสรา้ ง (Semi-structured interview) จากหน่วยงานที่ก�ำกับดูแลส่ีล้อเล็ก การศึกษาครอบคลุมการให้บริการรถสี่ล้อเล็ก จ�ำนวน ๕ เส้นทาง ได้แก่ บางบอน-ตลาดพล ู ศริ ิราช-ตลาดพลู จรัญสนิทวงศ-์ คลองสาน วภิ าวด-ี รชั ดาภิเษก และ สขุ มุ วิท ซอย ๓๙ พบวา่ ประเด็นท่นี ่าสนใจจากผู้ให้บรกิ ารรถสล่ี อ้ เลก็ ประกอบด้วย ชวั่ โมงการท�ำงานยาวนาน สภาพแวดลอ้ มในการทำ� งานไมเ่ หมาะสม รถทใี่ หบ้ รกิ ารและผใู้ หบ้ รกิ ารบางสว่ นขน้ึ ทะเบยี นไมส่ อดคลอ้ ง ตามท่ีก�ำหนด ประสบการณ์ต�ำรวจเรียกจับ และการทับซ้อนเส้นทางกับรูปแบบการให้บริการขนส่ง สาธารณะอืน่ ๆ ผูใ้ ช้บริการเลือกใช้บรกิ ารรถสี่ล้อเลก็ เนอ่ื งด้วยเหตผุ ลอันดับแรก คือ ความสะดวกสบาย การเข้าถึงได้ง่าย และราคาถูก ตามล�ำดับ ส�ำหรับผู้ท่ีไม่ใช้บริการรถส่ีล้อเล็กมีเหตุผลอันดับแรก คือ การตอ่ รถ การเปล่ยี นรูปแบบการเดินทาง และผู้โดยสารหนาแน่น ตามลำ� ดบั ยกย่องเชดิ ชเู กยี รตบิ ุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 371
การวิเคราะห์ความส�ำคัญ-ผลการด�ำเนินงาน (Importance-Performance Analysis) จากทัศนคต ิ ของผใู้ ชบ้ รกิ ารรถสลี่ อ้ เลก็ พบวา่ ปจั จยั ความนา่ เชอ่ื ถอื ของการบรกิ าร การเชอื่ มตอ่ การไดท้ น่ี งั่ และคา่ โดยสาร เปน็ ปจั จยั ทผ่ี ใู้ ชบ้ รกิ ารใหค้ วามสำ� คญั และมคี วามพงึ พอใจ สว่ นปจั จยั ดา้ นความปลอดภยั ตอ่ ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ เป็นปัจจัยท่ีผู้ใช้บริการเห็นว่ามีความส�ำคัญแต่พึงพอใจระดับต่�ำ ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ (Exploratory Factor Analysis) และโมเดลการถดถอยโลจิสติก (Logistic regression model) พบวา่ ปัจจยั ที่มีผลอย่างมีนัยส�ำคัญต่อความพึงพอใจในการให้บริการโดยรวม ประกอบด้วย ความน่าเชื่อถือของการให้ บริการ สภาพแวดลอ้ มภายในรถ ความสะดวกสบาย และผลกระทบทม่ี ตี อ่ สิ่งแวดลอ้ ม ตอ่ จากนั้นไดว้ เิ คราะห์ จดั กลุม่ (Cluster Analysis) พบผใู้ ชบ้ รกิ าร จ�ำนวน ๔ กลมุ่ คือ ๑) Pleasurable experience ๒) Reliability oriented ๓) Invehicle-environment desire และ ๔) Environmentally conscious โดยแต่ละกลุ่ม มีพฤติกรรมการเดินทาง ทศั นคติ และความคาดหวังแตกต่างกนั งานวจิ ยั เสนอแนะแนวทางทสี่ ามารถนำ� ไปประยุกตใ์ ชว้ างแผนนโยบายเพอ่ื จัดระเบียบและรวมประสาน รถสี่ล้อเล็กเข้ากับระบบโครงข่ายการเดินทางในเมือง เพื่อให้สังคมมีทางเลือกการเดินทางท่ีมีประสิทธิภาพ อย่างยั่งยนื ต่อไป ส่งิ ท่ีดเี ดน่ ของงานวจิ ยั ประการแรก หัวข้อศึกษาวิจัยมีความทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน ชุมชนเมืองมีการขยายตัวและมีลักษณะความเป็นเมืองมากข้ึน (Urbanization) ประชากรเพ่ิมขึ้นท�ำให ้ ความต้องการในการเดินทางมากข้ึน ระบบขนส่งสาธารณะจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานท่ีมีบทบาทส�ำคัญต่อ การยกระดบั คุณภาพชีวิตและการพัฒนาเมอื งอยา่ งยง่ั ยนื งานวจิ ัยน้ไี ดม้ ีการศึกษาข้อมลู เชิงลึกเกย่ี วกับระบบ ขนส่งอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Transport) ซ่ึงเป็นการบริการที่มีลักษณะเฉพาะ พบได้ในประเทศ ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยน�ำเสนอกรณีศึกษาการให้บริการรถสี่ล้อเล็กในรูปแบบการเดินทางหลัก และเช่อื มตอ่ การเดนิ ทาง (Feeder services) ท�ำให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนสง่ สาธารณะรูปแบบหลักได้ง่าย 372 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ ุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
และสะดวก เชน่ รถโดยสารประจำ� ทาง รถไฟฟ้า และรถใต้ดนิ เปน็ ตน้ ประการทส่ี อง วตั ถปุ ระสงคข์ องงานม่งุ เน้นวจิ ัยการให้บริการระบบขนสง่ เพอื่ พฒั นาประเทศอย่างยงั่ ยืน สอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (Sustainable Development Goals: SDG) ของสหประชาชาติ (United Nations: UN) จำ� นวน ๒ ข้อ ดังน้ี ๑. เป้าหมายที่ ๙ Build resilient infrastructure, promote inclusive and sustainable industrialization ๒. เป้าหมายท่ี ๑๑ Make cities and human settlements inclusive, safe, resilient and sustainable งานวจิ ยั มกี ารบรู ณาการองคค์ วามรู้ ๓ มติ เิ ขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ดา้ นเศรษฐกจิ ดา้ นสงั คม และดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม วิเคราะหป์ ระเดน็ ครบทกุ ดา้ นชัดเจนสอดคลอ้ งตามหลักการพฒั นาอย่างย่ังยนื ประการทสี่ าม ไดด้ ำ� เนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ลกึ จากผทู้ มี่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งทกุ ภาคสว่ น ประกอบดว้ ย ผใู้ หบ้ รกิ าร ผู้ใช้บริการ หน่วยงานก�ำกับดูแลการให้บริการ และประชาชนท่ัวไป กลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บริการและผู้ท่ีไม่ใช ้ บริการ ประกอบด้วย ชาวไทยและชาวต่างชาติ มีการเปรียบเทียบพฤติกรรมการเดินทางและทัศนคติที่มี ต่อระบบขนส่งสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างชาวไทยกับชาวต่างชาติ ผลการศึกษาวิเคราะห์ท�ำให้ เขา้ ใจมมุ มองครบทุกภาคส่วน น�ำไปส่กู ารเสนอแนะนโยบายเพื่อเป็นแนวทางน�ำไปปฏบิ ัตไิ ด้จริง และประการที่สี่ เลือกใช้วิธีวิจัยและเคร่ืองมือวิจัยอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ ได้แก่ การวิเคราะห ์ องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ (Exploratory Factor Analysis) เพื่อสกัดตัวแปรคุณภาพการให้บริการ และน�ำ ตัวแปรมาใช้เพื่อการวิเคราะห์จัดกลุ่ม (Cluster Analysis) ต่อไป รูปแบบการศึกษาวิเคราะห์ในงานวิจัยน้ี สามารถประยกุ ตใ์ ชก้ บั ระบบขนสง่ รปู แบบอนื่ หรอื งานวจิ ยั สาขาอน่ื ทงั้ ในกรงุ เทพมหานครและจงั หวดั อนื่ ๆ ได้ โดยสรุป วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้น�ำเสนอบทบาทและความส�ำคัญของรถสี่ล้อเล็กในกรุงเทพมหานครที่มี การใหบ้ ริการควบคไู่ ปกับระบบขนสง่ สาธารณะรูปแบบอืน่ ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบการใหบ้ รกิ ารทีม่ ีอยู่ ในปัจจุบันพร้อมท้ังการวิเคราะห์มุมมองรอบด้านจากผู้ท่ีเก่ียวข้องท้ังระบบ แสดงให้เห็นว่ารถสี่ล้อเล็กม ี ความจ�ำเป็นในการเดินทาง ได้รับความนิยมจากคนในพื้นท่ี และมีศักยภาพที่จะปรับปรุงและพัฒนาระบบ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขน้ึ ดงั นน้ั การใหบ้ รกิ ารสล่ี อ้ เลก็ จงึ เปน็ ทน่ี า่ สนใจในบรบิ ทของชมุ ชนเมอื งทม่ี กี ารขยาย ตวั อยา่ งรวดเรว็ พรอ้ มไปกบั การเพม่ิ โครงขา่ ยเสน้ ทางรถไฟฟา้ และรถใตด้ นิ ทงั้ นี้ ผลการศกึ ษาจะเปน็ ประโยชน์ ตอ่ สงั คมและนำ� ไปใชไ้ ดจ้ รงิ สำ� หรบั หนว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ งเพอ่ื ประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในการพฒั นาระบบขนสง่ ในประเทศอยา่ งย่ังยนื ต่อไป สถานท่ีติดตอ่ 373 หลักสูตรสิง่ แวดลอ้ ม การพัฒนาและความยัง่ ยืน บณั ฑติ วิทยาลัย โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๓๕๑๘ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชดิ ชูเกยี รตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวจิ ยั ดเี ด่น ประเภทนิสติ ดุษฎบี ัณฑิต สาขา มนษุ ยศาสตร์ ผลงานวิจัยเรอื่ ง การสรา้ งสรรคเ์ พลงกลองอาเซยี น A Composition of Glong Asean โดย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.รงั สรรค์ บวั ทอง อาจารย์ทป่ี รึกษาหลัก ศาสตราจารย์ ดร.บษุ กร บิณฑสนั ต์ ภาควชิ าดุริยางคศิลปไ์ ทย คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ 374 ยกย่องเชิดชูเกียรติบคุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ งานวิจัยเร่ืองการสร้างสรรค์เพลงกลองอาเซียน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างสรรคเ์ พลงส�ำเนยี งตา่ ง ๆ สร้างองค์ความร้กู ระบวนการสรา้ งสรรค์เพลงกลองอาเซยี นและจัดแสดง เพลงกลองอาเซียน โดยใช้กระสวนจังหวะกลองเป็นหลักในการประพันธ์ ผลการศึกษา พบว่า การ สร้างสรรค์เพลงกลองอาเซียน ท่ีผู้วิจัยได้เลือกกลองประเทศ มาเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์เพลง ได้แก่ ๑. กลองมอื (สะโกไฎ) ราชอาณาจักรกัมพูชา ๒. กลองสะบดั ชัย ประเทศไทย ๓. กลองเรอบานา อานัค (Rebana Anak) ประเทศบรไู น ๔. กลองปตั วาย (Patwaing) สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมยี นมา ๕. กลองดบี ากัน (Debakan) สาธารณรฐั ฟิลปิ ปนิ ส์ ๖. กลองเรอบานา อบี ู (Rebana Ibu) สาธารณรฐั มาเลเซีย ๗. กลองปิง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๘. กลองเตยเซิน (Trong Tay Son) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๙. กลองไชนิสดรัม (Chinese Drums) และกลองทับบล้า (Tabla) สาธารณรัฐสงิ คโปร์ ๑๐. กลองเกนิ ดัง (Kendang) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยใชห้ ลกั แนวคดิ และทฤษฎี ทางดนตรีมาก�ำหนดรูปแบบในการประพันธ์ ท�ำให้เกิดผลงานการประพันธ์เพลงส�ำเนียงต่าง ๆ จ�ำนวน ๑๐ เพลง ได้แก่ เพลงสะโกไฎ เพลงเบิกชัย เพลงเรอบานาอานัค เพลงปัตวาย เพลงดีบากัน เพลง เรอบานาอีบู เพลงลาวปิง เพลงเตยเซิน เพลงจีนแขกสัมพันธ์ และเพลงเกินดัง ซ่ึงเป็นแนวทางให้กับ ผทู้ ส่ี นใจในการศึกษารปู แบบการประพนั ธ์ในลกั ษณะนี้ การจดั การแสดงผลงานการสรา้ งสรรคเ์ พลงกลองอาเซยี น ผวู้ ิจยั ใช้วงดนตรไี ทย ๓ ประเภท เป็น หลกั ได้แก่ วงเครือ่ งสาย วงปพี่ าทย์ และวงรองเงง็ อกี ทง้ั น�ำเคร่อื งดนตรีชาตติ ่าง ๆ มาผสมผสานและนำ� เครื่องดนตรีไทยบางชนิดมาประยุกต์ใช้ในบทเพลงเพ่ือสร้างสีสัน สร้างส�ำเนียงเพลงภาษาต่าง ๆ ได้แก่ ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ คุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 375
ส�ำเนยี งจนี ลาว พมา่ เขมร ญวน แขกอนิ เดยี แขกชวา และฝร่งั ในเร่ืองของเพลงสาํ เนยี งภาษานั้น จะมีความ สมบูรณต์ ้องมีองคป์ ระกอบหลายอยา่ ง เช่น เรื่องสํานวนเพลง อกี ทงั้ ต้องมเี ครอื่ งดนตรีเฉพาะทีส่ ามารถแสดง เอกลกั ษณข์ องสาํ เนยี งภาษาประเทศนัน้ ๆ ได้ รวมท้งั เคร่อื งกาํ กับจงั หวะ เชน่ กลอง เครอ่ื งภาษาหรอื เครือ่ ง ก�ำกับจังหวะอ่ืน ๆ นับเป็นลักษณะเด่นของเพลงส�ำเนียงภาษา และสามารถแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะ ของสำ� เนียงภาษาในดนตรีท่ีเป็นสญั ลกั ษณข์ องชนชาตติ า่ ง ๆ ได้อยา่ งเดน่ ชดั สิง่ ท่ดี เี ด่นของงานวจิ ัย จากการได้ศึกษาศิลปวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะความเป็นวัฒนธรรมร่วม หรือมีความคล้ายคลึงกันมากจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเดียวกัน โดยเฉพาะดนตรีของกลุ่มประเทศ อาเซียนทั้งในภาคพื้นทวีป (Mainland) ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม หรือวัฒนธรรมดนตรี ของกล่มุ ประเทศหมู่เกาะ (Islands) ได้แก่ อนิ โดนีเซีย มาเลเซีย ฟลิ ปิ ปินส์ สิงคโปร์ บรไู น ซ่ึงวัฒนธรรมดนตรี ของกลมุ่ ประเทศภาคพนื้ ทวปี มลี กั ษณะรว่ มทคี่ ลา้ ยกนั เปน็ อยา่ งยงิ่ ทงั้ ดนตรที เ่ี ปน็ แบบแผนหรอื ดนตรปี ระจำ� ชาติ และดนตรพี น้ื บา้ นทว่ั ไป สว่ นวฒั นธรรมดนตรขี องกลมุ่ ประเทศหมเู่ กาะ เปน็ วฒั นธรรมทปี่ รากฏใหเ้ หน็ ถงึ การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด วัฒนธรรมที่ส�ำคัญคือ การใช้เครือ่ งดนตรีประเภทฆอ้ งโลหะทองเหลือง ซง่ึ ปรากฏอย่ทู ั่วไปในดินแดนของกลุ่มประเทศหม่เู กาะน้ี เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเคร่อื งตี เปน็ เครอื่ งดนตรที ่ีมีจำ� นวนมากทีส่ ดุ และถือวา่ เป็นเคร่อื งดนตรเี ก่าแกท่ ่สี ดุ ของอุษาคเนย์และของโลก กระจายอยู่ทั้งในภาคพ้ืนทวีปและภาคพ้ืนคาบสมุทรและกลุ่มเกาะ มีทั้งเคร่ืองต ี ท่ที �ำท�ำนอง (Melodic Percussions) และเคร่อื งตที ที่ �ำจงั หวะ (Rhythmic Percussions) เช่น เครือ่ งตีที่ท�ำ ดว้ ยโลหะผสม โดยเฉพาะอย่างย่งิ เครอื่ งตที องเหลืองและสำ� ริด (Bronze) พบทง้ั ในพ้ืนทศ่ี กั ดิส์ ิทธ์ิ เช่น วัดไป จนเขตพระราชฐานทใ่ี ชเ้ ปน็ ดนตรปี ระโคมเพอื่ ประกอบพระอสิ รยิ ยศของพระเจา้ แผน่ ดนิ ไดแ้ ก่ กลองมโหระทกึ 376 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรติบคุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
บางทีจึงเรียกกลองชนิดน้ีว่า “กลองกบ” (Frog Drum) พบในพื้นท่ีกว้างขวาง ตั้งแต่จีนตอนใต้ลงมาจนถึง เวียดนาม ภาคอีสานและตะวันตกของไทยไปจนถึงพน้ื ทยี่ า่ นอินโดนีเซยี ฟิลปิ ปินส์ มีการขุดคน้ พบซากกลอง มโหระทกึ ทงั้ บนบกและในนำ�้ ทเ่ี ปน็ เสน้ ทางการคา้ ทางทะเลในสมยั โบราณ เทคโนโลยใี นการสรา้ งมโหระทกึ นน้ั มีพัฒนาการมาราว ๆ ๓,๐๐๐ ปี “กลอง” เป็นเครื่องดนตรีที่มีความส�ำคัญและมีบทบาทอย่างยิ่งในการใช้เป็นเคร่ืองมือส่ือสารของ มนุษย์ และยังใช้ในการประกอบพิธกี รรมในด้านตา่ ง ๆ ของมนษุ ยต์ ้งั แตอ่ ดตี จนถึงปจั จบุ ัน อีกทง้ั กลองยังเปน็ เคร่ืองดนตรีที่เป็นวัฒนธรรมร่วมของประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มอาเซียน ซึ่งปรากฏให้เห็นในทุกประเทศท่ีมี ศิลปวัฒนธรรมทางด้านดนตรี ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางดรุ ยิ างคศิลป์ เรือ่ ง การสร้างสรรค์กลองอาเซยี น ได้เรียนรูร้ ูปแบบการสรา้ ง ผลงานในรูปแบบใหม่ โดยการน�ำกระสวนจังหวะกลองมาตีความและใช้ทฤษฎีทางด้านดนตรีมาประยุกต์ใช้ ในการประพันธ์ จนเกดิ เพลงสำ� เนียงตา่ ง ๆ เพือ่ สรา้ งจินตภาพให้กบั ผฟู้ งั โดยรอ้ ยเรียงเล่าเรอื่ งราวการก่อต้ัง ประชาคมอาเซยี นผา่ นผลงานการสรา้ งสรรคก์ ลองอาเซยี น อกี ทงั้ เปน็ การผสมผสานทางวฒั นธรรมโดยปราศจาก อคตใิ ด ๆ สะท้อนให้เหน็ ถงึ คุณค่าและความสำ� คัญในด้านเอกลกั ษณท์ างดนตรี และแนวทางในการสรา้ งสรรค์ ผลงานลกั ษณะการผสานวัฒนธรรม เป็นการสรา้ งคุณค่าทางสนุ ทรยี ะของวฒั นธรรมทแ่ี ตกต่าง ซ่ึงจะน�ำไปใช้ ประโยชนใ์ นการสร้างความเขา้ ใจระหว่างประชาคมในภูมิภาคอาเซียนไดต้ อ่ ไป สถานท่ตี ดิ ต่อ 377 ภาควิชาดนตรไี ทย วทิ ยาลัยการดนตรี โทรศพั ท์ ๐๘-๑๔๐๑-๓๐๖๑ โทรสาร ๐-๒๔๖๖-๖๖๖๔ E-mail: [email protected] ยกย่องเชดิ ชูเกยี รตบิ ุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวิจยั ดีเด่น ประเภทนิสิตดุษฎีบณั ฑติ สาขา มนษุ ยศาสตร์ ผลงานวจิ ยั เรื่อง พลวตั ของคติชนเก่ียวกบั พระบรมธาตุเจดีย์ วดั พระมหาธาตุวรมหาวิหาร จงั หวดั นครศรีธรรมราช ในสงั คมไทยร่วมสมัย Dynamics of Phra Borommathat Chedi Folklore, Wat Phra Mahathat Woramahawihan, Nakhon Si Thammarat Province in Contemporary Thai Society โดย ดร.พลกฤษณ์ วสีววิ ัฒน์ อาจารย์ท่ีปรึกษาหลกั รองศาสตราจารย์ ดร.ปรมนิ ท์ จารวุ ร ภาควชิ าภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ แหลง่ ทนุ ทีไ่ ด้รบั ๑. ทนุ วจิ ยั วบิ ลู ยส์ วสั ด-์ิ แอนเดอรส์ นั เพอื่ สนบั สนนุ การเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนามทางคตชิ นวทิ ยา ของศาสตราจารย์ ดร.วรรณี วบิ ูลยส์ วัสดิ์ แอนเดอร์สัน ๒. ทนุ ENITAS Scholarship ๒๐๒๐ โครงการวิวฒั น์ไทยและอาเซียนศกึ ษานานาชาติ เพือ่ การพัฒนาสังคมไทย (The Empowering Network for International Thai and ASEAN Studies : ENITAS) ของสถาบนั ไทยศกึ ษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 378 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวิจยั โดยสรปุ วิทยานิพนธ์น้ีเป็นงานวิจัยทางด้านมนุษยศาสตร์มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมคติชนเกี่ยวกับ พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในสังคมไทยร่วมสมัย ศึกษา ปจั จัยและบริบททางสงั คมทม่ี ผี ลตอ่ พลวตั ของคติชน รวมท้งั วิเคราะห์พลวัตของคตชิ นและวธิ คี ิดในการ นำ� คตชิ นมาใชใ้ นสงั คมไทยรว่ มสมยั ผวู้ จิ ยั ใชว้ ธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพโดยเกบ็ ขอ้ มลู คตชิ นเกย่ี วกบั พระบรม ธาตุเจดีย์ในสังคมไทยร่วมสมัย ประเภทต�ำนาน ความเช่ือ และประเพณีพิธีกรรม จาก ๒ แหล่งข้อมูล คอื ข้อมลู เอกสาร จากหนังสือ นิตยสาร เอกสารประชาสมั พันธ์ และเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ และข้อมูลภาคสนาม ด้วยวธิ ีการสมั ภาษณ์ ผู้ใหข้ ้อมลู สำ� คัญ (key informant) และสงั เกตการณใ์ นประเพณีพิธกี รรมในพนื้ ที่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ชมุ พร กระบ่ี สุราษฎร์ธานี สงขลา พทั ลุง และตรงั ชว่ ง พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๒ จากนั้นน�ำแนวคิดทฤษฎีทางคติชนวิทยา คือ แนวคิดเรื่องอนุภาคและแบบเรื่อง และทฤษฎี “คติชน สร้างสรรค์” (creative folklore) มาใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ดังกลา่ ว ผลการศึกษาพบว่า บริบทสังคมนครศรีธรรมราช บริบทสังคมไทย และบริบทสังคมโลกเป็น “ปจั จัยเร่ง” ทกี่ ระตนุ้ ให้มกี ารน�ำคติชนเก่ยี วกับพระบรมธาตเุ จดยี ์มาใช้ในบริบทใหม่ ๆ ขณะทล่ี ักษณะ เดน่ ของคตชิ นในเรอื่ งความชดั เจนและความคลมุ เครอื ของตำ� นานพระบรมธาตเุ จดยี ์ รวมทงั้ การผสมผสาน คตกิ ารบชู าพระธาตุกบั ความเชอ่ื ในท้องถิ่นเป็น “ปัจจัยเอ้อื ” ต่อการเลือกน�ำส่วนใดส่วนหนึ่งของคตชิ น มาใชป้ ระโยชน์ เมอื่ ปจั จยั ทงั้ สองสอดรบั กนั จงึ เกดิ การนำ� คตชิ นในสงั คมประเพณมี าปรบั ใชใ้ นสงั คมปจั จบุ นั หลายลักษณะ ท้ังการสืบทอด การรื้อฟื้น การผลิตซ้�ำ การประยุกต์ รวมถึงการตีความและสร้างความ หมายใหม่ ท�ำให้เกิดคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ในสังคมไทยร่วมสมัยหลายรูปแบบ ได้แก่ คติชน เกีย่ วกบั พระบรมธาตเุ จดยี ์ที่สืบทอดจากคติชนเดมิ รือ้ ฟ้นื จากคตชิ นเดมิ ประยุกตจ์ ากคติชนเดิม ผลติ ซ้�ำ จากบางส่วนของคติชนเดิม และคติชนท่ีสร้างข้ึนใหม่ การน�ำคติชนเก่ียวกับพระบรมธาตุเจดีย์มาใช้ใน บริบทใหม่ ๆ ดังกลา่ ว สง่ ผลให้คตชิ นเกิดการเปล่ยี นแปลงอย่างเปน็ พลวตั ในหลายมติ ิ คือ คติชนเก่ียวกับ พระบรมธาตเุ จดยี ม์ กี ารนำ� เสนอผา่ นกระบวนการวชิ าการ มกี ารกลายเปน็ สนิ คา้ วฒั นธรรม เปน็ เครอ่ื งมอื ในการจัดการความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ และช่วยขยายความศรัทธาต่อพระบรมธาตุเจดีย์ซ่ึงท�ำให้เกิด สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธใิ์ หม่ ตลอดจนเกดิ ศลิ ปะรปู แบบใหม่ ๆ นอกจากนพี้ ลวตั ของคตชิ นเกย่ี วกบั พระบรมธาตเุ จดยี ์ ยงั สะทอ้ นให้เหน็ วธิ คี ิดของกลมุ่ คนท่อี ยเู่ บ้อื งหลงั การน�ำคตชิ นมาใช้ในสงั คมปจั จบุ นั คอื การสรา้ งเครอื ข่ายความสัมพนั ธข์ องผทู้ มี่ คี วามศรทั ธาตอ่ พระบรมธาตุเจดีย์ การเสนอวดั พระมหาธาตุวรมหาวิหารเปน็ ศูนย์กลางทางพุทธศาสนาในภาคใต้ การดัดแปลงให้เป็นของท้องถ่ินและการอนุรักษ์เพ่ือใช้ประโยชน์ใน เชงิ วฒั นธรรม ค�ำส�ำคญั : คติชนเกีย่ วกบั พระบรมธาตเุ จดีย,์ พลวัตของคติชน, วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรธี รรมราช ยกย่องเชิดชูเกยี รตบิ ุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 379
สงิ่ ท่ดี เี ดน่ ของงานวิจยั วิทยานิพนธ์น้ีเป็นการศึกษาคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัด นครศรธี รรมราชในแงม่ มุ ใหม่ โดยมงุ่ ศกึ ษาขอ้ มลู คตชิ นในเชงิ พลวตั เพอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ ความเปลย่ี นแปลงของคตชิ น อันเป็นผลมาจากการสังสรรค์ทางวัฒนธรรมและการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ท้ังยังเป็น การศกึ ษาขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมในพน้ื ทภ่ี าคใตใ้ นมมุ มองทตี่ า่ งไปจากเดมิ เพอ่ื ทำ� ความเขา้ ใจปรากฏการณก์ ารนำ� คติชนเกย่ี วกบั พระบรมธาตเุ จดยี ์ในสังคมประเพณมี าปรบั ใชใ้ นบรบิ ทใหม่ ๆ โดยเฉพาะในบริบทการน�ำเสนอ วัดพระมหาธาตุวรมหาวหิ าร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพอ่ื ขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกโลก ซ่งึ การน�ำเสนอมรดกทาง วัฒนธรรม เพ่ือข้ึนทะเบียนเป็นมรดกโลกน้ันเป็น “กระแส” และ “ปรากฏการณ์” ที่ก�ำลังเกิดขึ้นในพื้นท่ี ต่าง ๆ ในโลก และในอกี หลายพืน้ ทใี่ นสงั คมไทย ข้อมูลคติชนเก่ียวกับพระบรมธาตุเจดีย์ท่ีใช้ในการศึกษาได้มาจากการเก็บข้อมูลภาคสนามในพื้นท่ี ๗ จงั หวดั ภาคใต้ ไดแ้ ก่ จงั หวดั นครศรธี รรมราช ชมุ พร กระบ่ี สุราษฎรธ์ านี สงขลา พทั ลงุ และตรัง ในแต่ละ จังหวัดเก็บข้อมูลจากหลายอ�ำเภอ อีกทั้งเก็บข้อมูลจากหลายกลุ่มคน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ ปราชญ์ชาวบ้าน ผ้นู �ำท้องถิ่น ตลอดจนผูท้ ศ่ี รัทธาพระบรมธาตเุ จดียท์ ั้งภายในประเทศและตา่ งประเทศ นอกจากนีย้ ังเกบ็ ขอ้ มลู อย่างต่อเน่ืองหลายปีเพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างรอบด้านมากท่ีสุดและเห็นถึงความเปล่ียนแปลงของคติชนในแต่ละ ช่วงเวลา ผลจากการด�ำเนินการดังกล่าวท�ำให้ได้ข้อมูลคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ท่ีเป็นปัจจุบัน หลากหลาย และมากพอสำ� หรบั การนำ� มาศึกษาวิเคราะห์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าข้อมูลคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ในสังคมปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ท้ังท่ียังคงรักษารปู แบบเดมิ ปรบั เปลี่ยนใหส้ อดคลอ้ งกับยคุ สมัยท่เี ปล่ียนไป และสรา้ งสรรค์ข้นึ ใหม่จากข้อมลู เดิม โดยบริบททางสังคมเป็นปัจจัยเร่งที่ท�ำให้มีการน�ำคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ในสังคมประเพณ ี มาประยุกต์ใช้ในสังคมไทยร่วมสมัย ขณะที่ลักษณะเด่นของคติชนเป็นปัจจัยท่ีเอ้ือต่อการเลือกน�ำส่วนหนึ่ง ส่วนใดของคติชนมาใชป้ ระโยชนใ์ นหลายลกั ษณะ สง่ ผลใหเ้ กดิ คตชิ นในสังคมไทยรว่ มสมัยรปู แบบตา่ ง ๆ การ เปลยี่ นแปลงดังกลา่ วทำ� ใหเ้ หน็ ถงึ พลวัตของคติชนในหลากหลายมิติ ปรากฏการณพ์ ลวัตของคติชนยังสะทอ้ น 380 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ ุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้เห็นวิธีคิดของกลุ่มคนท่ีอยู่เบื้องหลังการน�ำคติชนมาใช้ในสังคมร่วมสมัย ผลการศึกษาข้างต้นจึงถือว่าเป็น ความรใู้ หมใ่ นการศกึ ษาคตชิ นเกยี่ วกับพระบรมธาตเุ จดีย์ ข้อค้นพบจากการศึกษาครั้งน้ีก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการศึกษาคติชนวิทยา ในแง่ได้เห็นกระบวนการ สร้างคติชนประเภทต�ำนานในรูปแบบใหม่ โดยน�ำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาต�ำนานปรัมปรา อย่างเปน็ ระบบระเบียบ แล้วนำ� เสนอผลการศกึ ษาในรูปแบบผลงานวชิ าการ ท�ำใหไ้ ด้ต�ำนานส�ำนวนใหม่ที่ม่งุ น�ำเสนอข้อเท็จจริงของเรื่องราวในเชิงประวัติศาสตร์ ขณะท่ีการน�ำคติชนเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์ในสังคม ประเพณมี าใชใ้ นสงั คมไทยรว่ มสมยั ทำ� ใหเ้ หน็ วา่ “คตชิ นกลายเปน็ สญั ญะแสดงถงึ สงิ่ ทมี่ คี ณุ คา่ ทต่ี กทอดมาจาก อดตี ” กลมุ่ คนจงึ เลอื กนำ� คตชิ นมาใช้ ทง้ั ในวตั ถปุ ระสงคเ์ ดมิ และนำ� มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ ของผคู้ นในรปู แบบใหม ่ ขณะเดียวกันข้อค้นพบจากการศึกษาก่อให้เกิดประโยชน์ด้านพระธาตุศึกษา ในแง่ได้เห็นการขยายของ คติการบูชาพระธาตุในทางพุทธศาสนาไปสู่ลัทธิพิธี (cult) ที่มีส่ิงศักด์ิสิทธ์ิเป็นศูนย์กลางของความเชื่อ ท้ังน้ี เพื่อตอบสนองความต้องการในรปู แบบใหม่ของผู้คนในเรือ่ งโชคลาภความมง่ั คั่งในทรพั ยส์ ินเงินทอง ตลอดจน รอดพน้ จากภยนั ตรายตา่ ง ๆ ซงึ่ เปน็ ความเสยี่ งในสงั คมรว่ มสมยั สว่ นการนำ� คตกิ ารบชู าพระธาตมุ าใชป้ ระโยชน ์ ในหลายลกั ษณะและหลากวตั ถปุ ระสงคแ์ สดงใหเ้ หน็ การนำ� “ทนุ ทางวฒั นธรรม” มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปรบั ตวั ให้ทนั ต่อความเปล่ียนแปลงที่เกดิ ขึ้นในสังคมร่วมสมยั นอกจากนข้ี อ้ คน้ พบจากการศกึ ษายังก่อให้เกิดประโยชนด์ า้ นมรดกโลกศึกษา ในแง่ไดเ้ ห็นการน�ำขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมประเภทคติชนมาให้ความหมายใหมว่ ่าเป็น “รากเหง้าทางวฒั นธรรมท่แี สดงถึงความเจริญของ กลุ่มคน” เพ่ือน�ำเสนอว่าแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมนั้นมีความแท้ดั้งเดิมและมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล สมควรได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ขณะเดียวกันการน�ำคติชนในสังคมประเพณีมาประยุกต์ใช้ในการ นำ� เสนอแหลง่ มรดกทางวฒั นธรรมในทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกโลกยงั แสดงถงึ “กระบวนการทำ� ใหเ้ ปน็ มรดกโลก” เพ่ือให้ท้องถนิ่ มคี วามสำ� คญั ข้นึ มาท้ังในระดบั ชาติและในระดับโลก วิทยานิพนธ์น้ีจึงเป็นแนวทางในการศึกษากระบวนการน�ำคติชนในฐานะทุนทางวัฒนธรรมมาใช ้ ในสงั คมไทยรว่ มสมยั ไดต้ อ่ ไป และนำ� ไปเปน็ ผลงานวจิ ยั ทใ่ี ชส้ นบั สนนุ การนำ� เสนอวดั พระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพอ่ื ข้นึ ทะเบียนเปน็ มรดกโลกได้อีกดว้ ย สถานทีต่ ดิ ตอ่ 381 สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช โทรศัพท์ ๐๘-๗๒๗๖-๕๐๕๖ E-mail: [email protected] ยกย่องเชิดชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวัลผลงานวิจยั ดีเด่น ประเภทนิสติ มหาบณั ฑติ สาขา วทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ ผลงานวจิ ยั เร่อื ง เอ็น, เอน็ -บสิ (5-เอทลิ -2-ไฮดรอกซีเบนซลิ ) เมทลิ ลามีนเหนย่ี วนำ� ใหเ้ ซลลม์ ะเร็งปอดชนดิ ไมใ่ ชเ่ ซลลเ์ ลก็ ตามแบบอะพอพโทซิสผา่ นการท�ำลายโปรตีนซี-มกิ N, N-BIS (5-Ethyl-2-Hydroxybenzyl) Methylamine Induces Apoptosis of Non-Small Cell Lung Cancer Cells Via C-Myc Protein Degradation โดย นางสาวนชิ ารัตน์ ศรรี ัตนศักด ์ิ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาหลกั ศาสตราจารย์ เภสชั กร ดร.ปิติ จนั ทรว์ รโชต ิ ภาควชิ าเภสัชวทิ ยาและสรีรวิทยา คณะเภสชั ศาสตร์ แหลง่ ทุนทไ่ี ดร้ ับ ๑. ทนุ อดุ หนนุ การศกึ ษาระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เพอ่ื เฉลมิ ฉลองวโรกาส ทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรงเจรญิ พระชนมายุครบ ๗๒ พรรษา ๒. สำ� นกั งานสนบั สนนุ การวจิ ยั (Thailand research fund, grant number RSA6180036) 382 ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ยั โดยสรปุ มะเรง็ ปอดเป็นโรคที่พบไดม้ าก และเปน็ สาเหตกุ ารตายอันดับตน้ ๆ ซี-มิก (c-Myc) เป็นโปรตีนที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อมะเร็ง โดยมีรายงานพบว่ามะเร็งปอดส่วนมากจะมีการเพ่ิมระดับของโปรตีน ชนิดน้ีส่งผลให้ความรุนแรงของมะเร็งเพ่ิมมากขึ้น และส่งผลต่อการรักษาท่ีล้มเหลว ในการศึกษาน้ีจึงมี วตั ถปุ ระสงคท์ จี่ ะแสดงผลของสารสงั เคราห์ เอน็ , เอน็ -บสิ (5-เอทลิ -2-ไฮดรอกซเี บนซลิ ) เมทลิ ลามนี หรอื อเี อ็มดี ซง่ึ เปน็ สารในกลมุ่ เบนโซซาซนี ไดเมอร์ วา่ มีเปา้ หมายทซี่ -ี มิก สามารถเหนยี่ วน�ำใหเ้ กดิ การท�ำลาย ซ-ี มกิ ในมะเรง็ ปอดได้ อเี อม็ ดแี สดงความเปน็ พษิ ตอ่ เซลลม์ ะเรง็ ปอดผา่ นทางการเหนยี่ วนำ� ใหเ้ กดิ การตาย แบบอะพอพโทซิส ผลการศกึ ษาต่อโปรตีนเป้าหมายพบวา่ อเี อม็ ดสี ามารถลดระดับโปรตีนซ-ี มิกไดอ้ ย่าง มีประสิทธิภาพ อีกท้ังเหน่ียวน�ำให้เกิดการท�ำงานอย่างเป็นข้ันตอนของเอนไซม์แคสเปส การศึกษาด้วย ไซโคลเฮกซิไมด์ (cycloheximide; CHX) บ่งบอกว่าอีเอ็มดีสามารถลดค่าคร่ึงชีวิตของโปรตีนซี-มิกได้ เม่ือท�ำการศึกษาต่อด้วยเอ็มจี ๑๓๒ (MG132) ซ่ึงเป็นสารที่ยับย้ังโปรตีเอโซมพบว่าโปรตีนซี-มิก ไม่สลายไปเมื่อให้อีเอ็มดี แสดงให้เห็นว่าการสลายไปของโปรตีนซี-มิกเกี่ยวข้องกับกระบวนการท�ำลาย โปรตีนผ่านทางยูวิควิติน นอกจากนั้นการวิเคราะห์ด้วยอิมมูโนพรีซิพพิเทชั่น (immunoprecipitation analysis) แสดงให้เห็นว่าเมื่อให้สารอีเอ็มดีเกิดการสร้างซี-มิก-ยูบิควิติน คอมเพล็กซ์เพ่ิมมากข้ึนเม่ือ เทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้อีเอ็มดียังสามารถลดซี-มิกในเซลล์ไลน์ของมะเร็งปอดท่ีพัฒนามาจาก ผปู้ ่วยชาวไทยได้ ไม่เพยี งแตค่ วามสามารถในการเหน่ียวนำ� ให้เกิดการตายแบบอะพอพโทซสิ ของอีเอม็ ดี ผวู้ จิ ยั ยงั ไดท้ ำ� การศกึ ษาผลของสารอเี อม็ ดตี อ่ การยบั ยงั้ การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเรง็ การแพรก่ ระจาย ของเซลล์มะเร็งเป็นกระบวนการที่เกิดเมื่อเซลล์มะเร็งหลุดออกจาพื้นผิวท่ีต้นก�ำเนิน แล้วไปก่อให้เกิด มะเร็งยงั บริเวณอ่ืนผา่ นทางหลอดเลือดหรือนำ้� เหลอื ง การเคลื่อนทข่ี องเซลลเ์ ป็นกระบวนการหนึง่ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในระหวา่ งการแพรก่ ระจายของเซลลซ์ งึ่ ถกู ควบคมุ ดว้ ยหลากหลายกลไก สญั ญาณจากอนิ ทกิ รนิ มสี ว่ น ในการควบคุมการด�ำคงอยู่ของเซลล์ และกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนที่ของเซลล์ได้ อีเอ็มดีในขนาดความ เขม้ ขน้ ที่ไมเ่ ป็นพิษต่อเซลลส์ ามารถยับยั้งการสรา้ งฟโิ ลโพเดยี และยับยั้งการเคลอ่ื นท่ีของเซลลไ์ ด้ ทงั้ ยงั มีผลต่อการด้อื ของเซลล์ในกระบวนการอะนอยคิส โดยยบั ยัง้ การเจรญิ และการด�ำคงอยขู่ องเซลล์มะเรง็ ท่ีหลุดออกจากพ้ืนผิวยึดเกาะ นอกจากน้ีอีเอ็มดียังมีความสามารถในการลดระดับ อินทีกรินเบต้า ๓ (integrin β3) ในขณะทไ่ี ม่พบผลตอ่ อนิ ทีกรนิ เบตา้ ๑ (integrin β1) และแอลฟา ๕ (integrin β5) ส�ำหรับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณจากอินทีกริน ได้แก่ focal adhesion kinase (FAK) และ active protein kinase B (Akt) อีเอ็มดีสามารถลดระดับโปรตีนดังกล่าวได้อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ จากผลการศึกษาที่ได้กล่าวมานี้เป็นหลักฐานสนับสนุนให้อีเอ็มดีสามารถเป็นสารใหม่ท่ีมีประสิทธิภาพ ในการพฒั นาเพื่อรักษามะเรง็ ปอดต่อไป ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 383
384 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ส่งิ ที่ดเี ดน่ ของงานวจิ ัย ๑. งานวิจัยแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสารอีเอ็มดีต่อการต้านมะเร็ง และยับย้ังการแพร่กระจาย ของมะเรง็ ปอด ๒. สารอเี อม็ ดมี เี ปา้ หมายในการทำ� ลายโปรตนี ซ-ี มกิ ซงึ่ โปรตนี ซ-ี มกิ เปน็ โปรตนี ทสี่ ำ� คญั ตอ่ การดำ� รงอยู่ ของเซลล์ รวมไปถงึ การแพรก่ ระจาย และการด้อื ตอ่ ยาเคมบี ำ� บดั ท่ีมอี ยู่ในปจั จุบนั ๓. งานวิจัยน้ีได้ท�ำการศึกษาในเซลล์มะเร็งปอดที่แยกออกมาจากผู้ป่วยชาวไทยทั้งที่เคยได้รับและไม่ เคยไดร้ บั ยาเคมบี ำ� บดั มากอ่ น ซงึ่ พบวา่ สารอเี อม็ ดสี ามารถกำ� จดั เซลลม์ ะเรง็ ปอดทแ่ี ยกออกมาจากผปู้ ว่ ยได้ จงึ อาจเปน็ ทางเลือกใหมใ่ นการรกั ษามะเร็งปอดในผปู้ ่วยชาวไทยได้อยา่ งมีประสิทธภิ าตอ่ ไป ๔. จากผลการวจิ ยั เลง็ เหน็ ไดว้ า่ สารอเี อม็ ดมี ปี ระสทิ ธภิ าพทจ่ี ะสามารถพฒั นาตอ่ ไปเปน็ ยาเคมบี ำ� บดั ได้ ในอนาคต ทงั้ ในด้านการกำ� จดั เซลล์มะเร็ง และยบั ย้งั การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเรง็ ๕. งานวจิ ยั นเี้ ปน็ พนื้ ฐานในการตอ่ ยอดความรทู้ จ่ี ะพฒั นา และศกึ ษากลไกการออกฤทธข์ิ องสารอเี อม็ ดี ต่อไปในอนาคต สถานทต่ี ดิ ต่อ 385 ภาควิชาเภสัชวิทยาและสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ โทรศพั ท์ ๐๙-๕๕๕๙-๗๑๙๕ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประเภทนสิ ติ มหาบัณฑติ สาขา วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ ผลงานวิจัยเร่อื ง การพัฒนาอุปกรณว์ เิ คราะห์ฐานกระดาษสำ� หรับหาปริมาณสารเพรดนโิ ซโลนและเดกซาเมทาโซน ทปี่ ลอมปนในผลิตภัณฑ์สมนุ ไพรด้วยวธิ ีเคมีไฟฟ้า Development of Paper-based Analytical Device for Determination of Prednisolone and Dexamethasone Adulterated in Herbal Products Using Electrochemical Method โดย นายวิศรตุ พรม้ิ พราย อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.วนิดา หลายวัฒนไพศาล ภาควชิ าเคมีคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ แหลง่ ทนุ ทีไ่ ดร้ บั - ทนุ สง่ เสรมิ กลุม่ วจิ ัย (เมธวี จิ ยั อาวโุ ส) ส�ำนกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.) - ทุนสนบั สนนุ นสิ ติ ระดับปรญิ ญาโทและเอกไปทำ� วิจยั ในตา่ งประเทศ จากบณั ฑติ วทิ ยาลัย จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย - ทนุ เสริมรากฐานการวจิ ัย กองทนุ รชั ดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการความร่วมมอื ดา้ นการวจิ ัยกับสถาบนั ตา่ งประเทศของคณะสหเวชศาสตร์ 386 ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติบคุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ยั โดยสรปุ การปลอมปนของสารสเตียรอยด์ชนิดเดกซาเมทาโซนและเพรดนิโซโลนในผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นปัญหาส�ำคัญที่ก่อผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้ใช้ในหลายๆ ประเทศท่ัวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศก�ำลังพัฒนา งานวิจัยน้ีประสบความส�ำเร็จในการพัฒนาอุปกรณ์ส�ำหรับแยกและตรวจวัด ปริมาณการปลอมปนของสารสเตียรอยด์ดังกล่าว โดยใช้อุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์ฐานกระดาษร่วมกับ การตรวจวเิ คราะห์ทางเคมไี ฟฟา้ (electrochemical paper-based analytical device หรือ ePAD) ซงึ่ ประกอบดว้ ยกระดาษ Whatman SG81 ตลบั พลาสตกิ จากการพมิ พส์ ามมติ แิ ละขว้ั ไฟฟา้ ชนดิ screen printed electrode โดยกระดาษ Whatman SG81 ใช้ส�ำหรับแยกสารสเตยี รอยด์ชนิดเดกซาเมทาโซน และเพรดนิโซโลน โดยใช้วัฏภาคเคล่อื นทีเ่ ปน็ สารละลาย 60% ethyl acetate ใน cyclohexane ซึง่ ผลการศึกษาพบว่าสามารถแยกสารสเตียรอยด์ ดังกล่าวออกจากสิ่งเจือปนต่างๆ ได้ภายใน ๗ นาที สารสเตียรอยด์ท่ีแยกออกจากกันบนกระดาษน�ำมาวัดปริมาณด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าชนิด differential pulse voltammetry โดยใช้ตลับพลาสติกจากการพิมพ์สามมิติที่ถูกออกแบบส�ำหรับกักเก็บสารละลา ยอเิ ลก็ โทรไลตใ์ หอ้ ยบู่ นกระดาษ ทำ� ใหส้ ามารถตรวจวดั สญั ญาณทางเคมไี ฟฟา้ ไดค้ งท่ี ซงึ่ อปุ กรณท์ พ่ี ฒั นา ข้ึนสามารถตรวจวัดปริมาณปลอมปนของสารสเตียรอยด์ท้ังชนิดเดกซาเมทาโซนและเพรดนิโซโลนได้ใน ชว่ งความเขม้ ขน้ ระหวา่ ง ๑๐ - ๕๐๐ µg/mL โดยมคี า่ สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธเ์ ทา่ กบั ๐.๙๘๘ และ ๐.๙๙๔ ตามลำ� ดับ มขี ีดจำ� กัดในการตรวจวิเคราะหเ์ ชงิ คุณภาพเท่ากับ ๓.๕๙ µg/mL และ ๖.๐๐ µg/mL ตาม ลำ� ดับและขดี จำ� กดั ในการตรวจวเิ คราะหเ์ ชงิ ปริมาณมคี ่าเท่ากบั ๑๑.๙๘ µg/mL และ ๒๐.๐๒ µg/mL ยกย่องเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 387
ตามล�ำดับ การตรวจวัดปริมาณปลอมปนของสารสเตียรอยด์ทั้งสองชนิดในสิ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์สมุนไพรจริง ด้วยวธิ ที ่พี ฒั นาขน้ึ มคี า่ สอดคล้องกับผลที่ตรวจด้วยวธิ ี HPLC และเป็นวิธีทีใ่ ชง้ านงา่ ย มีตน้ ทนุ ต�่ำ รวดเรว็ และ มศี กั ยภาพนำ� ไปใชต้ รวจหาสง่ิ ตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรทสี่ งสยั วา่ มกี ารปลอมปนของสารสเตยี รอยดใ์ นระดบั ภาคสนาม สิ่งทด่ี เี ดน่ ของงานวิจัย องค์ความรู้จากวิทยานิพนธ์น้ีสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจวิเคราะห์สารชีวโมเลกุลหรือสารเคมี ตา่ งๆ ทมี่ คี ณุ สมบตั ใิ นการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมไี ฟฟา้ ได้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ขน้ั ตอนการเตรยี มตวั อยา่ งกอ่ นการ ตรวจวเิ คราะห์ สามารถชว่ ยลดระยะเวลาการเตรียมตวั อยา่ งเหลือเพียง ๗ นาที มีต้นทุนต่�ำไมถ่ ึง ๑๐ บาทต่อ การสกัด และสามารถก�ำจัดสารรบกวนในส่ิงตัวอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากโดยปกติแล้วขั้นตอน การเตรยี มตวั อย่างตอ้ งอาศัยตวั ดูดซับของแขง็ (solid phase extraction หรอื SPE) ทมี่ รี าคาแพงหลายร้อย บาท ตอ้ งน�ำเข้าจากตา่ งประเทศ และใชร้ ะยะเวลาในการสกัดนานประมาณ ๓๐ - ๖๐ นาที อีกทั้งในขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ทางผู้วิจัยได้น�ำเทคนิคการพิมพ์สามมิติที่ก�ำลังได้รับความนิยมใน ปจั จบุ นั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาชดุ ตรวจวเิ คราะห์ เนอ่ื งจากมรี าคาถกู สามารถผลติ เครอ่ื งมอื ใชเ้ องไดภ้ ายใน 388 ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ประเทศไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหรือน�ำเข้าจากต่างประเทศ และท�ำให้สะดวกต่อการใช้งานจริงในระดับภาค สนาม ประกอบกบั การนำ� เทคนคิ เคมไี ฟฟา้ มาใชใ้ นการตรวจวเิ คราะหเ์ ชงิ ปรมิ าณ สามารถชว่ ยเพมิ่ ขดี จำ� กดั ใน การตรวจวิเคราะหใ์ ห้ตรวจวัดสารในปริมาณต�่ำ ๆ ได้ อุปกรณ์ตรวจวิเคราะหม์ ีราคาถกู ดังนัน้ องค์ความร้ใู น วิทยานิพนธ์ดังกล่าวตอบโจทย์ต่อความต้องการพ้ืนฐานในการพัฒนาชุดตรวจวิเคราะห์ในปัจจุบัน เนื่องจาก สามารถช่วยลดการพ่ึงพาเทคโนโลยีและการน�ำเข้าจากต่างประเทศได้ ลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ ประมาณ ๔ เท่า มีตน้ ทนุ ตำ่� ประมาณ ๑๐๐ - ๒๐๐ บาท ซึ่งลดลงจากการตรวจในปัจจุบันประมาณ ๕ - ๑๐ เท่า และสามารถน�ำไปใช้ในการตรวจวิเคราะห์ในระดับภาคสนามได้ ทางผู้วิจัยคาดว่าองค์ความรู้ดังกล่าวจะ สามารถก่อประโยชน์อย่างมากหากหน่วยงานของภาครัฐหรือเอกชนเอาองค์ความรู้ไปต่อยอดในการพัฒนา ชุดตรวจวิเคราะหส์ �ำหรับสารชีวโมเลกุลหรือสารเคมชี นิดอืน่ ๆ องค์ความรใู้ นวทิ ยานิพนธน์ ีไ้ ด้ถกู ตพิ ิมพล์ งในวารสาร Analytica Chimica Acta ซงึ่ เป็นวารสารระดับ นานาชาติที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมี impact factor เท่ากับ ๕.๙๗๗ และจัดเป็นวารสารระดับ Q1 และ Tier 1 ในกล่มุ วารสารทีเ่ กยี่ วกับการตรวจวิเคราะหท์ างเคมี โดยในปจั จุบันมกี ารอา้ งองิ ๗ คร้งั ภายในระยะ เวลา ๑ ปี ในฐานข้อมูล Scopus มี Field-Weighted Citation Impact 1.43 และงานวิจัยดังกล่าวได้ ถูกเผยแพร่ด้วยการน�ำเสนอผลงานทางวิชาการระดับนานาชาติในงาน 38th Workshop on Chemistry and Micro-Nano Systems Society (CHIMINAS) ณ เมืองซับโปโร ประเทศญ่ีปุ่น ระหว่างวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ถึง ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ และ 6th International Conference on Bio-Sensing Technology ณ เมอื งกัวลาลมั เปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวนั ที่ ๑๖ - ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ และ น�ำเสนอผลงานทางวิชาการภายในประเทศในงาน “Novelty in Detection Method Labeling to Innovation” ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันท่ี ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ึงได้รับ รางวัลดีเดน่ ในการน�ำเสนอผลงาน จากการเผยแพรอ่ งคค์ วามร้ดู ังกลา่ วท้ังการติพิมพ์ น�ำเสนอผลงานทัง้ ระดับ ชาตแิ ละนานาชาติ ทำ� ใหผ้ ทู้ สี่ นใจสามารถเขา้ ถงึ องคค์ วามรดู้ งั กลา่ วไดง้ า่ ยและมโี อกาสนำ� ไปพฒั นาตอ่ ยอดเพอื่ ตรวจวเิ คราะห์สารชวี โมเลกลุ หรอื สารเคมอี ่ืน ๆ ต่อไป สถานที่ติดต่อ 389 ฝา่ ยวิจยั กราฟนี และนวัตกรรมการพมิ พอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ (GPERD) ศูนยเ์ ทคโนโลยเี พื่อความมนั่ คงของประเทศและการประยกุ ต์เชงิ พาณชิ ย์ (NSD) สำ� นักพฒั นาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) โทรศพั ท์ ๐-๒๕๖๔-๖๙๐๐ ตอ่ ๗๑๖๔๓ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติบคุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวิจยั ดีเด่น ประเภทนิสิตมหาบัณฑติ สาขา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผลงานวจิ ยั เรื่อง ไมเซลลพ์ อลิเมอร์เตรียมจากการดัดแปรหลังพอลิเมอไรเซชนั ของพอลิเมอรท์ ี่มีเพนตะฟลู ออโรฟนี ลิ เอสเทอร์ pH Responsive Polymeric Micelles Prepared by Post-polymerization Modification of Pentafluorophenyl ester-containing Polymer โดย นางสาวยวุ พร ภญิ ญกจิ อาจารย์ทีป่ รึกษาหลกั รองศาสตราจารย์ ดร.วรวรี ์ โฮเวน่ ภาควิชาเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ แหล่งทุนทไ่ี ดร้ บั - สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย (RSA5980071, DPG6080001) - ทุนการศกึ ษาระดบั ปริญญาโทจากศนู ย์ความเป็นเลศิ ด้านเทคโนโลยปี ิโตรเคมแี ละวสั ดุ (PETROMAT) 390 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวิจยั โดยสรุป ไมเซลลพ์ อลิเมอร์ตอบสนองต่อพเี อช (pH responsive polymeric micelles) ไดร้ บั ความสนใจ อย่างมากในการน�ำมาประยุกต์ใช้เป็นพาหะน�ำส่งยารักษามะเร็ง ในวิทยานิพนธ์น้ีสนใจพัฒนาไมเซลล์ พอลเิ มอรต์ อบสนองตอ่ พเี อชสองระบบ ระบบแรกเปน็ ไมเซลลท์ ม่ี หี มทู่ เี่ ปลยี่ นแปลงประจไุ ด้ ระบบทส่ี อง เปน็ ไมเซลลข์ องพอลเิ มอร์ทค่ี อนจเู กตกบั ยาดว้ ยพนั ธะที่แตกสลายไดด้ ้วยกรด ซ่ึงเตรียมจากการดัดแปร หลังพอลิเมอไรเซชันของพอลิ(เพนทาฟลูออโรเฟนิลแอคริลิก) (PPFPA) ด้วยนิวคลีโอไฟล์ชนิดต่างๆ ใน ระบบแรกเป็นการน�ำ PPFPA ไปท�ำปฏิกิริยากับ 1-แอมิโน-2-โพรพานอล เพ่ือเตรียมเป็นแอมฟิฟิลิก โคพอลเิ มอรแ์ บบสมุ่ ของ พอล(ิ เพนตะฟลอู อโรฟนี ลิ อะครเิ ลต และ พอลิ (2-ไฮดรอกซโี พรพลิ อะครลิ าไมด)์ (PPFPA-ran-PHPA) ซ่ึงสามารถประกอบตวั เปน็ ไมเซลลใ์ นน้�ำได้ หลังจากนัน้ น�ำ PPFPA ทเ่ี หลือในสวน แกนกลางของไมเซลล์ท�ำปฏิกิริยากับ 1-(3-แอมิโนโพรพิล)อิมิดาโซล (API) ซ่ึงเป็นรีเอเจนต์ที่ให้หมู่ท่ี สามารถเปลยี่ นแปลงประจุ ทำ� ใหไ้ ดไ้ มเซลลพ์ อลเิ มอรท์ ต่ี อบสนองตอ่ พเี อช ดอกโซรบู ซิ นิ (Doxorubicin; DOX) ซึ่งเปน็ ยารักษามะเรง็ สามารถถูกกกั เก็บไวภ้ ายในไมเซลลท์ พ่ี ฒั นาขึน้ ได้ และพบว่ายาสามารถถูก กระตุ้นให้ปลดปล่อยออกมาจากการโปรโตเนชันของวงอิมิดาโซลหลังจากการลดพีเอชจาก ๗.๔ เป็น ๕.๐ จากการศึกษาการเข้าสู่เซลล์พบว่าไมเซลล์ท่ีพัฒนาข้ึนสามารถเข้าสู่เซลล์ MDA-MB-231 ได้ด้วย เส้นทางเอนโดไซโตซิสภายใน ๓๐ นาที นอกจากน้ียังก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ MDA-MB-231 โดยความเปน็ พษิ ตอ่ เซลลข์ น้ึ อยกู่ บั ปรมิ าณยา สว่ นระบบทสี่ องเปน็ การดดั แปร PPFPA ดว้ ยการทำ� ปฏกิ ริ ยิ า ต่อเน่ืองกับ 1-แอมิโน-2-โพรพานอล และ 4-ไฮดรอกซีเบนซัลดีไฮด์ ตามลำ� ดับ ท�ำให้ได้โคพอลิเมอร์ แบบส่มุ ท่มี ีหมู่แอลดีไฮด์ของพอล(ิ 4-ฟอร์มิลฟนี ลิ อะคริเลต) และ พอลิ (2-ไฮดรอกซีโพรพิลอะครลิ าไมด์) (PFA-ran-PHPA) หลังจากน้ันคอนจูเกต DOX กับ PFA-ran-PHPA ด้วยพันธะทางเคมีผ่านปฏิกิริยา ซฟิ เบสได้เปน็ พอลิเมอร์ที่คอนจูเกตกับ DOX ดว้ ยพนั ธะเบนโซอิกอิมมนี ทีส่ ลายตัวได้ในกรด ซึ่งสามารถ ประกอบตัวเป็นไมเซลล์ได้ในน�้ำมีขนาดน้อยกว่า ๑๐๐ นาโนเมตร อนุภาคดังกล่าวปลดปล่อยยาได้ ในสภาวะทีเ่ ปน็ กรด (พีเอช ๕.๐) จากการแตกออกของพันธะเบนโซอิกอมิ มนี ส่ิงทดี่ ีเด่นของงานวิจัย งานวิจัยในวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ท่ีจะพัฒนาระบบการน�ำส่งยาในรูปแบบของไมเซลล์ พอลิเมอร์ที่ตอบสนองต่อพีเอชโดยต้องการที่จะควบคุมการปลดปล่อยตัวยาให้มีความจ�ำเพาะในสภาวะ ทเ่ี ปน็ กรดเทา่ นน้ั เพอื่ มงุ่ หวงั การนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการนำ� สง่ ยารกั ษามะเรง็ ซงึ่ มสี ภาวะเปน็ กรดมากกวา่ เซลล์ปกติ การพัฒนาระบบน�ำส่งยาท่ีตอบสนองอย่างจ�ำเพาะต่อเซลล์มะเร็งน้ีจะสามารถช่วยลดผล ข้างเคียงท่ีจะเกิดข้ึนกับเซลล์ปกติอื่นๆในร่างกายในระหว่างการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบ�ำบัดที่อาจจะ เกิดขึ้นต่อตัวผู้ป่วย อย่างไรก็ตามในการพัฒนาระบบน�ำส่งยาท่ีสามารถตอบสนองต่อตัวกระตุ้นอย่าง จ�ำเพาะและการควบคุมการปลดปล่อยตัวยาอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีปัจจัยหลายอย่างท่ีต้องคำ� นึงถึง ได้แก่ การตอบสนองต่อตัวกระตุ้น (stimuli-responsive), ความเสถียร (stability), ประสิทธิภาพ ยกย่องเชดิ ชเู กียรติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 391
ในการกกั เกบ็ ตวั ยา (drug encapsulation efficiency) และความเขา้ กนั ไดก้ บั เซลลร์ า่ งกาย (biocompatibility) ไมเซลล์ทีเ่ กิดจากการประกอบตัวขึน้ จากแอมฟิฟลิ กิ พอลเิ มอร์ (amphiphilic polymer) ท่ีมีทง้ั ส่วนทีช่ อบนำ�้ และไม่ชอบน้ำ� อยูใ่ นสายเดียวกนั จะมีเสถยี รภาพมากกว่าไมเซลลท์ ีป่ ระกอบตัวข้ึนจากโมเลกลุ ขนาดเล็ก เช่น สารลดแรงตงึ ผวิ (surfactant) นอกจากนก้ี ารใชพ้ อลเิ มอรท์ ห่ี นว่ ยซำ�้ มหี มขู่ า้ งเปน็ หมฟู่ งั กช์ นั ทวี่ อ่ งไวในการเกดิ ปฏิกิริยา (reactive functional group) ยงั มีประโยชน์สำ� หรับการท�ำปฏิกิริยากบั สารต่าง ๆ เชน่ ยา, ยนี , โปรตีน, สารเรืองแสง ท�ำให้สามารถน�ำไมเซลล์ท่ีเตรียมได้ไปประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย เช่น พาหะน�ำส่ง สารไปสู่เซลล์เป้าหมายได้ การสังเคราะห์แอมฟิฟิลิกพอลิเมอร์มักท�ำผ่านการสังเคราะห์ในรูปแบบของ บลอ๊ กโคพอลิเมอรซ์ ง่ึ เปน็ ปฏิกิริยาหลายขน้ั ตอน หรือผ่านปฏิกิริยาโคพอลิเมอไรเซชนั โดยตรงของมอนอเมอร์ ๒ ชนิดที่มีความชอบน�้ำต่างกันซึ่งมักมีข้อจ�ำกัดในการหาตัวท�ำละลายท่ีเหมาะสม เป็นอุปสรรคส�ำคัญท�ำให้ ไมส่ ามารถสงั เคราะหโ์ คพอลเิ มอรแ์ ละเตรยี มเปน็ ไมเซลลท์ ม่ี อี งคป์ ระกอบตามตอ้ งการได้ งานวจิ ยั ในวทิ ยานพิ นธน์ ้ี เปน็ การศกึ ษาวธิ ีการสังเคราะหแ์ อมฟฟิ ิลิกพอลิเมอร์เพอื่ นำ� ไปใช้เป็นระบบการน�ำสง่ ยา โดยอาศัยการดัดแปร หลังพอลิเมอไรเซชัน (post-polymerization modification) ของพอลิเมอร์ตั้งต้นเพียงชนิดเดียวคือ พอลิ เพนตะฟลูออโรฟีนิลแอคริเลทที่มีหมู่ข้างเป็นเพนตะฟลูออโรฟีนิล ท่ีเป็นหมู่เอสเทอร์ท่ีว่องไวสามารถเกิด ปฏิกริ ิยาเคมีไดภ้ ายใต้สภาวะทไ่ี มร่ นุ แรงกับนวิ คลโี อไฟล์หลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิง่ สารประกอบเอมีน ท�ำให้สามารถสังเคราะห์พอลิเมอร์ท่ีมีหมู่ฟังก์ชันหลากหลาย (multifunctional polymer) และควบคุม 392 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ ุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
อัตราส่วนของแต่ละองค์ประกอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โคพอลิเมอร์ที่เตรียมด้วยวิธีดังกล่าวในงานวิจัยน้ี สามารถกักเก็บ DOX ซ่ึงเป็นยารักษามะเร็งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ส�ำคัญคือหมู่เพนตะฟลูออโรฟีนิล ภายในแกนกลางของไมเซลล์ที่เตรียมขึ้นยังสามารถใช้ท�ำปฏิกิริยาต่อกับ 1-(3-aminopropyl imidazole) ท�ำให้ได้ไมเซลล์ที่ตอบสนองต่อพีเอช โดยตัวยาที่กักเก็บไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาเม่ือไมเซลล์น้ีอยู่ในสภาวะ ที่เป็นกรด นอกจากน้ียังได้ท�ำการศึกษาต่อกับเซลล์มะเรง็ ชนิด MDA-MB-231 ซึง่ เปน็ เซลล์มะเรง็ เตา้ นม จาก การทดลองพบว่าระบบไมเซลล์พอลิเมอร์ที่พัฒนาขึ้นมาน้ีสามารถเข้าสู่เซลล์มะเร็งได้ด้วยกระบวนการ endocytosis และสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานวิจัยน้ีเกิดจากการบูรณาการองค์ ความรู้จากหลายแขนง ได้แก่ เคมี, พอลิเมอร์ และชวี การแพทย์ จนท�ำให้ไดผ้ ลงานวิจยั ทีส่ มบูรณ์และสามารถ ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่มีคุณภาพ คือ Journal of Material Chemistry B ท่ีมี IF2019=5.344 และจัดอยูใ่ น quartile 1/Tier1 สถานท่ีติดตอ่ 393 ภาควิชาเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ โทรศพั ท์ ๐๘-๔๙๒๘-๕๖๔๖ E-mail: [email protected], [email protected] ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติบคุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวลั ผลงานวจิ ยั ดเี ด่น ประเภทนสิ ติ มหาบณั ฑติ สาขา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผลงานวจิ ยั เรือ่ ง ลกั ษณะสมบัตเิ ชิงหน้าทขี่ องตวั ยบั ย้งั แคปปาบไี คเนสในวิถีส่งสญั ญาณตา้ นไวรัสของ กุง้ กุลาด�ำ Penaeus monodon Functional Characterization of Inhibitor of Kappa B Kinase in Black Tiger Shrimp Penaeus Monodon Antiviral Signaling Pathway โดย นายสิทธิพงษ์ ณ นคร อาจารย์ทป่ี รกึ ษาหลกั ศาสตราจารย์ ดร.อญั ชลี ทศั นาขจร ภาควิชาชีวเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ แหล่งทนุ ท่ไี ดร้ ับ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั และสำ� นักงานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว) 394 ยกย่องเชิดชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลงานวจิ ยั โดยสรุป วิถีการส่งสัญญาณ IKK-NF-κB เป็นหนึ่งในกลไกการตอบสนองท่ีส�ำคัญในระบบภูมิคุ้มกันโดยมี โปรตีนตัวยบั ยัง้ แคปปาบไี คเนส (IKK) ทำ� หนา้ ทีเ่ ปน็ ตัวกลางในการกระตุ้นการส่งสัญญาณ ในงานวิจัยน้ี ไดท้ �ำการบ่งชบ้ี ริเวณถอดรหสั ของยนี IKK ในกงุ้ กลุ าดำ� Penaeus monodon (PmIKK) จ�ำนวน ๓ ชนดิ คือ PmIKKβ, PmIKKε1 และ PmIKKε2 และพบวา่ ยนี ทงั้ 3 ชนดิ มีการแสดงออกในทุกเนอ้ื เย่ือทน่ี �ำมา ทดสอบ นอกจากน้ียังได้ศึกษาบทบาทของ PmIKK ทั้งสามในการตอบสนองเมื่อกุ้งติดเชื้อไวรัสและ แบคทีเรีย ซึ่งพบว่ามีเพียง PmIKKε1 และ PmIKKε2 เท่านั้น ที่แสดงออกเพ่ิมข้ึนอย่างมีนัยส�ำคัญ ในสภาวะทก่ี ุ้งติดเชอ้ื ไวรัสตวั แดงดวงขาว (WSSV), ไวรสั หัวเหลือง (YHV) รวมถงึ เชอ้ื แบคทเี รีย Vibrio harveyi แต่ไมพ่ บความเปลย่ี นแปลงของยนี PmIKKβ ตอ่ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ทดสอบ เม่ือ ท�ำการยับย้ังการแสดงออกของยีน PmIKKβ และ PmIKKε โดยเทคนิค dsRNA-mediated RNA interference (RNAi) พบว่า ส่งผลให้กุ้งท่ีติดเชื้อมีอัตราการรอดลดลงเมื่อเทียบกับกุ้งกลุ่มควบคุม และยังส่งผลลดระดับการแสดงออกของยีน PmVago4 ซึ่งมีบทบาทคล้าย interferon (IFN-like) ใน สัตว์มีกระดูกสันหลัง ขณะเดียวกันพบว่ายีนในระบบภูมิคุ้มกันบางชนิดมีการแสดงออกเพ่ิมข้ึน เช่น เปปไทด์ต้านจุลชีพ ALFPm3 และ CrustinPm5 รวมถึง transcription factor PmDorsal และ บางชนิดท่ีไม่เปล่ียนแปลงเช่น ALFPm6, CrustinPm1, CrustinPm7, PmVago1, PmRelish และ PmCactus เปน็ ตน้ เมือ่ ยบั ยั้งการแสดงออกของยนี PmMyD88 และ PmIMD ซ่งึ เป็นยนี ทีส่ �ำคัญในวถิ ี การส่งสญั ญาณ Toll และ IMD พบว่ายีน PmIKKβ และ PmIKKε ไม่ได้รับผลกระทบและไมเ่ ก่ยี วข้อง กับวิถีการส่งสัญญาณทั้งสอง นอกจากน้ีการแสดงออกของยีน PmIKKβ และ PmIKKε ในเซลล์ HEK293T ยงั ส่งผลกระตุ้นให้ promoter ของยีน NF-κB และ IFNβ ทำ� งานมากขึ้นตามล�ำดับอกี ดว้ ย ผลการทดลองดงั กลา่ ว บง่ ชวี้ า่ PmIKKβ และ PmIKKε อาจมบี ทบาทสำ� คญั โดยเปน็ หนง่ึ ในหลายตวั กลาง เพ่ือส่งผ่านสัญญาณจากหลายวิถีที่เกิดข้ึน ดังนั้น PmIKKβ และ PmIKKε อาจมีบทบาทเก่ียวข้องกับ ระบบ cytokine โดยกระตุ้น PmVago4 ในระบบภูมิคุมิกันโดยก�ำเนิด (innate immune system) ของกุ้งกุลาดำ� ในการตอบสนองตอ่ เช้ือโรค ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ 395
สิ่งทด่ี ีเด่นของงานวจิ ัย งานวิจัยฉบับน้ีได้เริ่มขึ้นโดยมีจุดประสงค์ส�ำคัญมากจากความตั้งใจเพ่ือพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงกุ้ง ของเกษตรกร ซึง่ เปน็ หนง่ึ ในสัตว์น�ำ้ อนั ดบั ตน้ ๆ ท่สี ร้างมูลค่าการสง่ ออกใหก้ ับประเทศ แต่เนอื่ งจากในระยะ หลังฟาร์มหลายแห่งประสบปัญหาที่มาจากโรคระบาด ท้ังท่ีมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเช้ือรา ส่งผลให้การลงทุนของเกษตรกรไม่สามารถสร้างผลประกอบการได้ หรือแม้กระท่ังส่งผลให้เกิดหน้ี โครงการ “ภูมิคุ้มกันของกุ้งกับการควบคุมโรค” จึงถูกจัดท�ำขึ้นโดยศูนย์เช่ียวชาญด้านอณูชีววิทยาและจีโนมส์กุ้ง โดย มุ่งหวังเพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกระทบให้ผลผลิตกุ้งของเกษตรกรในประเทศเพิ่มขึ้น ใน ปัจจุบันไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่าน้ันที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดโรคบาดในกุ้ง โดยเฉพาะโรคท่ีเกิดจาก เชอ้ื ไวรัสตวั แดงดวงขาว หรอื white spot syndrome virus น้ัน เป็นสาเหตใุ ห้กุ้งตายจ�ำนวนมากภายในเวลา ๔ - ๗ วันหลงั การติดเชอ้ื สรา้ งความสญู เสยี ทางเศรษฐกิจให้อุตสาหกรรมการเลยี้ งกุง้ ทว่ั โลก ผ้วู จิ ยั จึงได้เร่มิ ศกึ ษากลไกของระบบภมู คิ มุ้ กนั ในการตอบสนองตอ่ เชอ้ื โรคในกงุ้ โดยใชก้ งุ้ กลุ าดำ� เปน็ ตน้ แบบ และวทิ ยานพิ นธ์ ฉบับน้ีได้รายงานกลไกส�ำคัญท่ีเก่ียวข้องกับโปรตีน IKK หรือ โปรตีนตัวยับย้ังแคปปาบีไคเนสท้ังส้ิน ๓ ชนิด ซ่ึงมีหน้าท่ีส่งต่อสัญญาณและมีผลกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มการตอบสนองต่อเชื้อก่อโรค โปรตีน IKK ยังส่งผลให้โปรตีนในกลุ่มเปปไทด์ต้านจุลชีพ (antimicrobial peptide) ชนิดอื่นหรือโปรตีน PmVago4 ซ่ึงมีหน้าที่คล้าย interferon ในสัตว์มีกระดูกสันหลังให้ถูกกระตุ้นและเพิ่มการท�ำงานของระบบภูมิคุ้มกันใน เซลลข์ ้างเคยี งได้ นอกจากนก้ี ารลดลงของโปรตนี IKK ยังเพ่ิมอัตราการตายในกงุ้ ท่ตี ิดเชอ้ื ไวรสั ตัวแดงดวงขาว ผลงานวิจัยน้ีจึงแสดงให้เห็นถึงบทบาทส�ำคัญและหน้าท่ีของโปรตีน IKK ในกลไกต่อต้านการติดเชื้อของกุ้ง 396 ยกย่องเชิดชเู กียรตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
องค์ความรู้จากการท�ำวิทยานิพนธ์ในคร้ังนี้ สามารถน�ำไปสู่การพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมในการกระตุ้น ภูมิคุ้มกันของกุ้ง รวมถึงการคัดเลือกสายพันธุ์กุ้งกลุ่มที่มีกระบวนการตอบสนองและการท�ำงานของโปรตีน IKK อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้กุ้งสายพันธุ์ท่ีทนทานต่อโรคส�ำหรับเกษตรกร อย่างไรก็ตามวิทยานิพนธ์ ฉบับน้ียังมุ่งหวังเพ่ือต่อยอดจากองค์ความรู้ท่ีได้ เพราะยังมีกลไกและโปรตีนอีกหลายชนิดท่ีเก่ียวข้องกับ ระบบภูมิคุ้มกัน ที่อาจน�ำไปสู่องค์ความรู้ใหม่และส่งผลให้คุณภาพและมูลค่าการท�ำฟาร์มกุ้งของประเทศ เพ่ิมมากยิ่งขนึ้ ในอนาคต สถานท่ีตดิ ตอ่ 397 ศูนยเ์ ชีย่ วชาญด้านอณชู วี วทิ ยาและจโี นมกุ้ง ภาควชิ าชวี เคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ โทรศพั ท์ ๐-๒๒๑๘-๕๔๑๔ E-mail [email protected] ยกยอ่ งเชดิ ชูเกยี รติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
รางวัลผลงานวิจัยดเี ดน่ ประเภทนสิ ติ มหาบณั ฑิต สาขา สังคมศาสตร์ ผลงานวจิ ัยเรือ่ ง อาชญากรรมเศรษฐกจิ : ศกึ ษากรณกี ารตกเปน็ เหยอ่ื การเกง็ ก�ำไรอตั ราแลกเปล่ยี นเงนิ ตรา ต่างประเทศ Economic Crime : A Case Study of Victimization of Foreign Exchange โดย นางสาววนัสนันท์ กนั ทะวงศ์ อาจารย์ทปี่ รึกษาหลกั ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฐติ ิยา เพชรมนุ ี ภาควิชาสงั คมวทิ ยาและมานุษยวิทยา คณะรฐั ศาสตร์ แหล่งทนุ ที่ไดร้ ับ ทุน ๙๐ ปี จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั รนุ่ ที่ ๔๕ ครัง้ ที่ ๑/๒๕๖๓ 398 ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติบคุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 504
Pages: